Important Announcement
PubHTML5 Scheduled Server Maintenance on (GMT) Sunday, June 26th, 2:00 am - 8:00 am.
PubHTML5 site will be inoperative during the times indicated!

Home Explore ทักษะการเรียนรู้ ทร21001

ทักษะการเรียนรู้ ทร21001

Published by Nichanunt, 2020-05-02 13:32:46

Description: หนังสือเรียนสาระทักษะการเรียนรู้ ระดับมัธยมศึกษาตอนต้น เป็นแบบเรียนที่จัดทำขึ้นสำหรับผู้เรียนที่เป็นนักศึกษานอกระบบในการศึกษาหนังสือเรียนสาระทักษะการเรียนรู้ ผู้เรียนควรปฏิบัติดังนี้
1. ศึกษาโครงสร้างรายวิชาให้เข้าใจในสาระสำคัญ ผลการเรียนรู้ที่คาดหวัง และขอบข่ายเนื้อหา
2. ศึกษารายละเอียดเนื้อหาของแต่ละบทอย่างละเอียด และทำกิจกรรมตามที่กำหนด แล้วตรวจสอบกับแนวตอบกิจกรรมที่กำหนด ถ้าผู้เรียนตอบผิดควรกลับไปศึกษาและทำความเข้าใจในเนื้อหาใหม่ให้เข้าใจก่อนที่จะศึกษาเรื่องต่อไป
3. ปฏิบัติกิจกรรมท้ายเรื่องของแต่ละเรื่อง เพื่อเป็นการสรุปความรู้ความเข้าใจของเนื้อหาในเรื่องนั้นๆ อีกครั้ง และการปฏิบัติกิจกรรมของเนื้อหาแต่ละเรื่อง ผู้เรียนสามารถนำไปตรวจสอบกับครู และเพื่อนๆ ที่ร่วมเรียนในรายวิชาและระดับเดียวกันได้

Search

Read the Text Version

แนวทางการทํากจิ กรรม ครูแบ่งกล่มุ ผเู้ รียนออกเป็น – กลุม่ ยอ่ ย ใหผ้ เู้ รียนเลือกประธานกลุ่มและเลขานุการกลุ่มเพือ เป็นผนู้ าํ และผจู้ ดบนั ทึกผลการอภิปรายของกลุม่ ตามลาํ ดบั และนาํ ผลการอภิปรายทีบนั ทึกไวไ้ ปเสนอต่อ ทีประชุมใหญ่ จากนนั ให้ผเู้ รียนทุกกลุ่มอภิปรายถกแถลงเพือหาคาํ ตอบตามประเด็นทีกาํ หนดให้ ครู ติดตามสงั เกต การใชเ้ หตุผลของแต่ละกลมุ่ หากขอ้ มลู ยงั ไมเ่ พียงพอ ครูอาจชีแนะใหอ้ ภิปรายเพิมเติมได้ เลขานุการกลุ่มบนั ทึกผลการพิจารณาหาคาํ ตอบตามประเด็นทีกาํ หนด และนาํ คาํ ตอบนนั ไปรายงานในที ประชุมกลุ่มใหญ่ (หากมีผเู้ รียนไม่มาก ครูอาจใหม้ กี ารสนทนาหรืออภิปรายถกแถลงกนั ในกลุ่มใหญ่เลย โดยไม่ตอ้ งแบ่งกล่มุ ยอ่ ยก็ได)้ ในการประชุมกลมุ่ ใหญ่ ครูเตรียมกระดาษบรู๊ฟแบ่งเป็น ช่อง ใหห้ วั ขอ้ แต่ละช่องวา่ ขอ้ มลู ทาง วิชาการ ขอ้ มลู ดา้ นตนเอง และขอ้ มลู ดา้ นสงั คมสิงแวดลอ้ มนาํ มาติดไวล้ ่วงหนา้ เมอื แต่ละกลุม่ รายงานถึง เหตุผลของกลุ่มว่าสูห้ รือไม่ สู้ เพราะเหตุผลอะไร ขอ้ มลู ทีนาํ มาเสนอจะถกู บนั ทึกลงในช่องทีเหมาะสม กบั ขอ้ มลู นนั ๆ เช่น ถา้ ยกเหตุผลว่าสู้ หรือไม่สู้ เพราะสังเกตจากปฏิกิริยาหรือพฤติกรรมของผคู้ นรอบ ขา้ งในรถ กน็ ่าจะบนั ทึกเหตุผลนนั ลงในช่องที เรียกขอ้ มูลดา้ นสงั คมสิงแวดลอ้ ม หากเหตุทีเสนอเป็ น เรืองความมนั ใจหรือความเขม้ แข็งทางจิตใจของตนเองก็บนั ทึกเหตุผลลงในช่องที ขอ้ มูลดา้ นตนเอง หรือถา้ เหตุผลทีเสนอเป็ นเรืองของความรู้เรืองการยิงปื น ชนิดของปื น ก็บนั ทึกเหตุผลลงในช่องที ขอ้ มลู ทางวิชาการ เป็นตน้ เมือทุกกลุ่มรายงานและขอ้ มลู ถกู บนั ทึกลงในแบบบนั ทึกขอ้ มลู ทงั กลุ่มแลว้ ครูนาํ กระดาษบรู๊ฟทีบนั ทึกขอ้ มลู ทงั ดา้ นขึนมาใหผ้ เู้ รียนพจิ ารณาแลว้ จะถามผเู้ รียนว่า พอใจกบั การคิด การตดั สินใจหรือยงั ถา้ ยงั ไม่พอใจใหท้ ุกคนเพมิ เติมตามทีตอ้ งการ จากนนั ครูสรุปใหผ้ เู้ รียนเขา้ ใจวา่ การ คิดการแกป้ ัญหาต่าง ๆ ผแู้ กป้ ัญหาจะมีการนาํ ขอ้ มลู มาประกอบการคิดอยา่ งนอ้ ย ประการ เสมอ คือ ขอ้ มลู วชิ าการ ขอ้ มลู ตนเอง และขอ้ มลู สงั คมสิงแวดลอ้ ม อาจมคี นคิดถงึ ขอ้ มลู ดา้ นอืน ๆ อีกก็ได้ แต่จะมี ขอ้ มูลหลกั ยืนยนั ประการเสมอ การคิดแกป้ ัญหานันจึงจะรอบคอบและพอใจ ถา้ ยงั ไม่พอใจก็ตอ้ ง กลบั ไปคิดถึงปัญหาและขอ้ มูลทีนาํ มาคิดแกไ้ ข พยายามคิดหาขอ้ มูลเพิมเติมแต่ละดา้ นใหม้ ากขึน จน พอเพยี งทีจะใชแ้ กป้ ัญหาจนพอใจกถ็ อื วา่ การคิดการแกป้ ัญหานนั เสร็จสินดว้ ยดี

ตวั อย่าง แบบฟอร์มในการเตรียมบนั ทึกขอ้ มลู จากการคิดการสรุปของผเู้ รียน หลงั จากอภิปรายถก แถลงกรณีตวั อยา่ งเรือง “สูไ้ หม” แลว้ ครูนาํ มาบนั ทึกลงตารางในกระดาษบรู๊ฟขา้ งล่างนี ข้อมูลทางวชิ าการ ข้อมูลเกยี วกบั ตนเอง ข้อมูลทางสังคมและสิงแวดล้อม ............................................. ............................................. ................................................... ............................................. ............................................. ................................................... ............................................. ............................................. ................................................... ............................................. ............................................. ................................................... ............................................. ............................................. ................................................... ............................................. ............................................. ................................................... ตวั อยา่ งขอ้ สรุปของกรณีตวั อยา่ ง ตวั อย่าง เรือง “สูไ้ หม” จากความเห็นของ ขอ้ สรุปผลการอภิปรายจากกรณีตวั อยา่ งเรือง ผเู้ รียนหลายกล่มุ หลายคนทีเคย เสนอไว้ ดงั ทีปรากฏในกรอบ “สู้ไหม” ดา้ นขวามือ ตวั อยา่ งนีขอ้ สรุปนี -------------- อาจจะใกลเ้ คียงกบั ขอ้ สรุปของ ปัญหาในสังคมปั จจุบันซับซ้อนและ กลมุ่ ของท่านก็ได้ เปลียนแปลงรวดเร็ว การเรียนรู้โดยการฟัง การจาํ จากการสอนการอธิ บายข องครู อย่างเดี ยว ค งไม่ พอทีจะแกป้ ัญหาไดอ้ ยา่ งยงั ยนื ทนั ต่อเหตุการณ์ การสอนให้ผู้เรี ยนรู้จักคิดเอง โดยใช้ข้อมูล ทีหลากหลายอย่างน้อย ประการ คือ ข้อมูล ทีเกียวขอ้ งกบั หลกั วิชาการ ขอ้ มูลเกียวกบั ตนเอง และขอ้ มลู เกียวกบั สภาพของสงั คมสิงแวดลอ้ ม มา ประกอบในการคิด การตดั สินใจอย่างพอเพียง กจ็ ะทาํ ใหก้ ารคิด การตดั สินใจเพือแกป้ ัญหานันมี ความมนั ใจและถกู ตอ้ งมากขึน

เมือผเู้ รียนไดร้ ่วมทาํ กิจกรรม ความเชือพนื ฐานทางการศึกษาผใู้ หญ่ ครบทงั กิจกรรมแลว้ ครูนาํ กระดาษบรู๊ฟทีสรุปกรณีตวั อยา่ งทงั แผน่ ติดผนงั ไว้ เชิญทุกคนเขา้ ร่วมประชุมกลุ่มใหญ่แลว้ ให้ ผเู้ รียนบางคนอาสาสมคั รสรุปความเชือพืนฐานทางการศึกษาผใู้ หญ่ใหเ้ พือนฟัง จากนันครูสรุปสุดทา้ ย ดว้ ยบทสรุปตวั อยา่ งดงั นี ความเชือพนื ฐานทางการศึกษาผใู้ หญ่ เชือวา่ คนทุกคนมีพนื ฐานทีแตกต่างกนั ความตอ้ งการก็ไม่ เหมอื นกนั แต่ทุกคนก็มีจุดมุ่งหมายปลายทางของตนทีจะกา้ วไปสู่ความสาํ เร็จ ซึงถา้ บรรลถุ ึงสิงนันไดเ้ ขา ก็จะมคี วามสุข ดงั นนั ความสุขเหล่านีจึงเป็นเรืองต่างจิตต่างใจทีกาํ หนดตามสภาวะของตน อยา่ งไรกต็ าม การจะมีความสุขอยไู่ ดใ้ นสงั คม จาํ เป็นตอ้ งรู้จกั ปรับตวั เอง และสังคมให้ผสมกลมกลืนกนั จนเกิดความ พอดีแก่เอกตั ภาพ และบางครังหากเป็ นการตดั สินใจทีไดก้ ระทาํ ดีทีสุดตามกาํ ลงั ของตวั เองแลว้ ก็จะมี ความพอใจกบั การตดั สินใจนนั อีกประการหนึงในสงั คมทีมีการเปลียนแปลงอยา่ งรวดเร็วนี การทีจะ ปรับตวั เองและสิงแวดลอ้ มใหเ้ กิดความพอดีนนั จาํ เป็นตอ้ งรู้จกั การคิด การแกป้ ัญหา การเรียนการสอนที จะใหค้ นรู้จกั แกป้ ัญหาไดน้ นั การสอนโดยการบอกอยา่ งเดียวคงไมไ่ ดป้ ระโยชนม์ ากนกั การสอนใหร้ ู้จกั คิด รู้จกั วิเคราะห์จึงเป็นวธิ ีทีควรนาํ มาใช้ กระบวนการคิด การแกป้ ัญหามีหลากหลายวิธีแตกต่างกนั ไป แต่กระบวนการคิด การแกป้ ัญหาทีตอ้ งใชข้ อ้ มลู ประกอบการคิด การวิเคราะห์อยา่ งนอ้ ย ประการ คือ ขอ้ มลู ทางวชิ าการ ขอ้ มลู เกียวกบั ตวั เอง และขอ้ มลู เกียวกบั สงั คมและสิงแวดลอ้ ม ซึงเมือนาํ ผลการคิดนี ไปปฏิบตั ิแลว้ พอใจ มคี วามสุข กจ็ ะเรียกการคิดเช่นนนั วา่ คดิ เป็ น

บทสรุป เราไดเ้ รียนรู้ถงึ ความเชือพนื ฐานทางการศึกษาผใู้ หญ่ โดยการทาํ กิจกรรมร่วมกนั ทงั กิจกรรม ดงั บทสรุปทีไดร้ ่วมกนั เสนอไวแ้ ลว้ ความเชือพนื ฐานทีสรุปไวน้ ีคือ ความเชือพืนฐานทีเป็ นความจริงใน ชีวิตของคนที กศน. นาํ มาเป็ นหลกั ให้คนทาํ งาน กศน. ตลอดจนผเู้ รียนไดต้ ระหนักและเข้าใจแลว้ นาํ ไปใชใ้ นการดาํ รงชีวติ เพอื การคิด การแกป้ ัญหา การทาํ งานร่วมกบั คนอืน การบริหารจดั การในฐานะ เป็นนายเป็นผนู้ าํ หรือผตู้ าม ในฐานะผสู้ อน ผเู้ รียน ในฐานะเป็ นสมาชิกในครอบครัว สมาชิกในชุมชน และสงั คม เพือใหร้ ู้จกั ตวั เอง รู้จกั ผอู้ ืน รู้จกั สภาวะสิงแวดลอ้ ม การคิดการตัดสินใจต่าง ๆ ทีคาํ นึงถึง ขอ้ มลู ทีเพียงพออยา่ งน้อยประกอบดว้ ยขอ้ มูล ดา้ น คือ ขอ้ มูลทางวิชาการ ขอ้ มูลเกียวกบั ตนเองและ ขอ้ มลู เกียวกบั สงั คม สิงแวดลอ้ ม ดว้ ยความใจกวา้ ง มอี ิสระ ยอมรับฟังความคิดเห็นของผอู้ ืนไม่เอาแต่ใจ ตนเอง จะไดม้ สี ติ รอบคอบ ละเอียดถีถว้ น ไม่ผดิ พลาดจนเกินไป เราถอื ว่าความเชือพนื ฐานทางการศกึ ษา ผใู้ หญ่ ดงั กล่าวนี คือ พืนฐานเบืองตน้ ของการนาํ ไปสู่การคิดเป็ น หรือเรียกตามภาษานกั วิชาการว่า ปฐมบทของกระบวนการคดิ เป็ น

เรืองที คดิ เป็ นและกระบวนการคดิ เป็ น ในเรืองที เราไดเ้ รียนรู้เรืองของความเชือพืนฐานทางการศึกษาผใู้ หญ่มาแลว้ ว่า เป็ นพืนฐาน หรือปฐมบทของคิดเป็ น เป็ นความจริงหรือสัจธรรมในชีวิตทีสามารถนาํ ไปใช้ในการดาํ รงชีวิตให้มี ความสุขได้ ดงั นัน คิดเป็ นจึงควรจะเป็ นเรืองทีอยใู่ นแวดวงของความจริงทีอยใู่ นวิถีการดาํ รงชีวิตของ มนุษยแ์ ละสามารถนาํ มาปรับใชใ้ นการเรียนรู้และการมชี ีวิตอยรู่ ่วมกบั เพือนมนุษยเ์ ป็นอยา่ งสุขได้ เพอื ให้ ผเู้ รียนไดเ้ รียนรู้เรืองคิดเป็นอยา่ งกวา้ งขวางเพมิ ขึน ขอใหผ้ เู้ รียนไดร้ ่วมกิจกรรมทีกาํ หนดใหต้ ่อไปนี กจิ กรรมที ใหผ้ เู้ รียนไปหาความหมายของคาํ ว่า คิดเป็ นในแง่มุมต่าง ๆ ทังโดยการอ่านหนังสือ สนทนา ธรรม ฟังวิทยุ คุยกบั เพอื น ฯลฯ แลว้ บนั ทึกการคิดดงั กล่าวลงในหนา้ ว่างของแบบเรียนนีอยา่ งสัน ๆ โดย ไม่ตอ้ งกงั วลว่าจะไมถ่ กู ตอ้ ง 1. คิดเป็น คือ ......................................................................................................................... .................................................................................................................................... 2. คิดเป็น คือ ......................................................................................................................... .................................................................................................................................... 3. คิดเป็น คือ ......................................................................................................................... .................................................................................................................................... 4. คิดเป็น คือ ......................................................................................................................... ..................................................................................................................................... กจิ กรรมที ขอใหผ้ เู้ รียนลองใหค้ วามเห็นของผเู้ รียนเองบา้ งว่า คิดเป็ นคืออะไร โดยไม่ตอ้ งกงั วลว่าจะไม่ ถกู ตอ้ ง คิดเป็น คือ ........................................................................................................................... ....................................................................................................................................................... ....................................................................................................................................................... ....................................................................................................................................................... ....................................................................................................................................................... .......................................................................................................................................................

ขอให้ผเู้ รียนนาํ บันทึกความเขา้ ใจทีได้ศึกษาเรือง คิดเป็ น ในกิจกรรมที และ ไปปรึกษาครู ว่าท่านมีความเข้าใจเรื องคิดเป็ นมากน้อยเพียงใด ครูประเมินความเข้าใจของผูเ้ รี ยนแต่ละคนด้วย เครืองหมาย  เขา้ ใจดีมาก เขา้ ใจดีพอควร ให้ผเู้ รียนไดศ้ ึกษาเรืองของคิดเป็ นและกระบวนการคิดเป็ นต่อไปนีอย่างชา้ ๆ ไม่ตอ้ งรีบร้อน แลว้ ใหค้ ะแนนความเขา้ ใจของตวั เองดว้ ยเครืองหมาย  ลงในกรอบการประเมินหลงั จากการทาํ ความ เขา้ ใจเสร็จแลว้ 2.1 แนวคดิ และทิศทางของคดิ เป็ น “คิดเป็ น” เป็ นคาํ ไทยสัน ๆ ง่าย ๆ ทีดร.โกวิท วรพิพฒั น์ ใชเ้ พืออธิบายถึงคุณลกั ษณะที พงึ ประสงคข์ องคนในการดาํ รงชีวติ อยใู่ นสงั คมทีมีการเปลยี นแปลงอยา่ งรวดเร็ว รุนแรง และซบั ซอ้ น ได้ อยา่ งปกติสุข “คิดเป็น” มาจากความเชือพนื ฐานเบืองตน้ ทีว่าคนมีความแตกต่างกนั เป็นธรรมดา แต่ทุกคน มีความตอ้ งการสูงสุดเหมือนกนั คือความสุขในชีวิต คนจะมีความสุขไดก้ ็ต่อเมือมีการปรับตวั เองและ สงั คม สิงแวดลอ้ มใหเ้ ขา้ หากนั อยา่ งผสมกลมกลืนจนเกิดความพอดี นาํ ไปสู่ความพอใจและมีความสุข อย่างไรก็ตามสังคมสิงแวดลอ้ มไม่ได้หยุดนิง แต่จะมีการเปลียนแปลงอย่างรวดเร็วและรุนแรงอยู่ ตลอดเวลาก่อใหเ้ กิดปัญหา เกิดความทุกข์ ความไม่สบายกายไม่สบายใจขึนไดเ้ สมอ กระบวนการปรับ ตนเองกบั สงั คมสิงแวดลอ้ มใหผ้ สมกลมกลืนจึงตอ้ งดาํ เนินไปอย่างต่อเนืองและทนั การ คนทีจะทาํ ได้ เช่นนีตอ้ งรู้จกั คิด รู้จักใชส้ ติปัญญา รู้จกั ตวั เองและธรรมชาติสงั คมสิงแวดลอ้ มเป็ นอย่างดี สามารถ แสวงหาขอ้ มูลทีเกียวขอ้ งอยา่ งหลากหลายและพอเพียง อย่างน้อย ประการ คือ ขอ้ มูลทางวิชาการ ขอ้ มลู ทางสงั คมสิงแวดลอ้ ม และขอ้ มลู ทีเกียวขอ้ งกบั ตนเองมาเป็ นหลกั ในการวิเคราะห์ปัญหาเพือเลือก แนวทางการตดั สินใจทีดีทีสุดในการแกป้ ัญหา หรือสภาพการณ์ทีเผชิญอยอู่ ยา่ งรอบคอบ จนมีความ พอใจแลว้ ก็พร้อมจะรับผดิ ชอบการตดั สินใจนันอย่างสมเหตุสมผล เกิดความพอดีความสมดุลในชีวิต อยา่ งสนั ติสุข เรียกไดว้ ่า “คนคิดเป็น” กระบวนการ คิดเป็น อาจสรุปไดด้ งั นี

“คดิ เป็ น” ปัญหา กระบวนการคิดเป็ น ความสุข ขอ้ มูลทีตอ้ งนาํ มาพิจารณา ตนเอง สังคม วชิ าการ ไมพ่ อใจ พอใจ การวิเคราะห์และสงั เคราะห์ขอ้ มูล ทีหลากหลายและพอเพียง อยา่ งละเอียดรอบคอบ ลงมือปฎิบตั ิ การตดั สินใจ ลงมือปฎิบตั ิ เลือกแนวทางปฏิบตั ิ ท่านอาจารย์ ดร.โกวิท วรพิพฒั น์ เคยกล่าวไวว้ ่า “คิดเป็ น” เป็ นคาํ เฉพาะทีหมายรวม ทุกอยา่ งไวใ้ นตวั แลว้ เป็นคาํ ทีบรู ณาการเอาการคิด การกระทาํ การแกป้ ัญหา ความเหมาะสม ความพอดี ความเชือ วฒั นธรรมประเพณี คุณธรรมจริยธรรม มารวมไวใ้ นคาํ ว่า “คิดเป็ น” หมดแลว้ นันคือ ตอ้ ง คิดเป็น คิดชอบ ทาํ เป็น ทาํ ชอบ แกป้ ัญหาไดอ้ ยา่ งมีคุณธรรมและความรับผดิ ชอบ ไม่ใช่เพียงแค่คิดอย่าง เดียว เพราะเรืองดงั กล่าวเป็นขอ้ มลู ทีตอ้ งนาํ มาประกอบการคิด การวเิ คราะหอ์ ยา่ งพอเพียงอยแู่ ลว้ กระบวนการเรียนรู้ตามทิศทางของ “คิดเป็ น” นี ผเู้ รียนสาํ คญั ทีสุด ผสู้ อนเป็ นผจู้ ดั โอกาส จดั กระบวนการ จดั ระบบขอ้ มลู และแหล่งการเรียนรู้ รวมทงั การกระตุน้ ใหก้ ระบวนการคดิ การวิเคราะห์ ไดใ้ ชข้ ้อมูลอย่างหลากหลาย ลึกซึงและพอเพียง นอกจากนัน “คิดเป็ น” ยงั ครอบคลุมไปถึงการหล่อ หลอมจิตวิญญาณของคนทาํ งาน กศน. ทีปลกู ฝังกนั มาจากพีสู่น้องนับสิบ ๆ ปี เป็ นต้นว่า การเคารพ คุณค่าของความเป็นมนุษยข์ องคนอยา่ งเท่าเทียมกนั การทาํ ตวั เป็นสามญั เรียบง่าย ไม่มมี ุม ไม่มีเหลยี ม

ไม่มีอตั ตา ให้เกียรติผอู้ ืนดว้ ยความจริงใจ มองในดีมีเสีย ในเสียมีดี ในขาวมีดาํ ในดาํ มีขาว ไม่มี อะไรทีขาวไปทงั หมด และไมม่ อี ะไรทีดาํ ไปทงั หมด ทงั นีตอ้ งมองในส่วนดีของผอู้ นื ไวเ้ สมอ จากแผนภูมิดงั กลา่ วนี จะเห็นว่า คิดเป็ นหรือกระบวนการคิดเป็ นนันจะตอ้ งประกอบดว้ ย องคป์ ระกอบต่าง ๆ ดงั ต่อไปนี 1. เป็ นกระบวนการเรียนรู้ทีประกอบดว้ ยการคิด การวิเคราะห์ และสังเคราะห์ข้อมูล ประเภทต่าง ๆไม่ใช่การเรียนรู้จากหนังสือหรือลอกเลียนจากตาํ ราหรือรับฟังการสอน การบอกเล่าของครูแต่เพียงอยา่ งเดียว 2. ขอ้ มลู ทีนาํ มาประกอบการคิด การวิเคราะห์ต่าง ๆ ตอ้ งหลากหลาย เพียงพอ ครอบคลุม อยา่ งนอ้ ย ดา้ น คือ ขอ้ มลู ทางวิชาการ ขอ้ มลู เกียวกบั ตนเอง และขอ้ มลู เกียวกบั สังคม สิงแวดลอ้ ม 3. ผเู้ รียนเป็ นคนสาํ คญั ในการเรียนรู้ ครูเป็ นผจู้ ดั โอกาสและอาํ นวยความสะดวกในการ จดั การเรียนรู้ 4. เรียนรู้จากวิถีชีวิต จากธรรมชาติและภูมิปัญญา จากประสบการณ์และการปฏิบตั ิจริง ซึงเป็ นส่วนหนึงของการเรี ยนรู้ตลอดชีวิต 5. กระบวนการเรียนรู้เป็ นระบบเปิ ดกวา้ ง รับฟังความคิดของผอู้ ืนและยอมรับความเป็ น มนุษยท์ ีศรัทธาในความแตกต่างระหวา่ งบุคคล ดงั นนั เทคนิคกระบวนการทีนาํ มาใชใ้ น การเรียนรู้จึงมกั จะเป็นวธิ ีการสานเสวนา การอภิปรายถกแถลง กลุ่มสัมพนั ธห์ รือกลุ่ม สนทนา 6. กระบวนการคิดเป็ นนัน เมือมีการตัดสินใจ ลงมือปฏิบตั ิแลว้ จะเกิดความพอใจ มี ความสุข แต่ถา้ ลงมือปฏบิ ตั ิแลว้ ยงั ไมพ่ อใจก็จะมสี ติ ไม่ทุรนทุราย ไม่เดือดเนือร้อนใจ แต่จะกลบั ยอ้ นไปหาสาเหตุแห่งความไม่สาํ เร็จ ไม่พึงพอใจกบั การตดั สินใจดงั กล่าว แลว้ แสวงหาขอ้ มลู เพมิ เติม เพือหาทางเลอื กในการแกป้ ัญหาแลว้ ทบทวนการตดั สินใจ ใหม่จนกวา่ จะพอใจกบั การแกป้ ัญหานนั 2.2 คดิ เป็ นและการเชือมโยงสู่ปรัชญาคดิ เป็ น พจนานุกรมไทยฉบบั ราชบณั ฑิตยสถาน พ.ศ. ใหน้ ิยามคาํ วา่ ปรัชญา ไวว้ ่า วชิ าว่าดว้ ย หลกั แห่งความรู้และหลกั แห่งความจริง คิดเป็น คือ ลกั ษณะอนั พงึ ประสงคท์ ีช่วยใหค้ นสามารถดาํ รงชีวิตอยใู่ นสงั คมทีเปลียนแปลง อยตู่ ลอดเวลาไดอ้ ยา่ งสนั ติสุข เพราะคนคิดเป็นเชือมนั ในหลกั แห่งความเป็ นจริงของมนุษยท์ ียอมรับใน ความแตกต่างของบุคคล รู้จกั ปรับตวั เองและสงั คมใหผ้ สมกลมกลืนจนเกิดความพอดีและพอเพียง และ เชือมนั ในการตดั สินใจแกป้ ัญหาทีใชข้ อ้ มูลประกอบการคิด การวิเคราะห์อย่างน้อย ประการ จนเกิด ความพอใจกบั การตดั สินใจนนั กจ็ ะเป็นการแกป้ ัญหาทีประสบความสุข ถา้ ยงั ไมพ่ อใจก็จะกลบั ไปศึกษา วเิ คราะห์ขอ้ มลู ใหม่ทีเพียงพอ และทนั เหตุการณ์จนกว่าจะพอใจกบั การตดั สินใจของตนเอง คนทีจะทาํ ได้

เช่นนีตอ้ งรู้จกั คิด รู้จกั ใชส้ ติปัญญา รู้จกั ตวั เอง รู้จกั ธรรมชาติ สังคมสิงแวดลอ้ มเป็ นอย่างดี มีความ รอบรู้ทีจะแสวงหาขอ้ มลู มาประกอบการคิด การวเิ คราะหข์ องตนเองได้ คิดเป็น นอกจากจะเป็นความเชือในหลกั ความเป็นจริงตามธรรมชาติของมนุษยด์ งั กล่าว แลว้ คิดเป็ นยงั เป็ นหลกั การและแนวคิดสาํ คญั ในการจดั ดาํ เนินโครงการต่าง ๆทางการศึกษาผใู้ หญ่ การศึกษานอกโรงเรียนตงั แต่ในอดีตทีผ่านมาถึงปัจจุบัน โดยเฉพาะในเรืองของความเป็ นธรรมชาติ ความเรียบง่ายทีหลากหลาย มีข้อมูลให้พิจารณาทงั ด้านบวกและดา้ นลบ มีประเด็นให้คิด วิเคราะห์ แสวงหาเหตุผลในการหาคาํ ตอบทีเหมาะสมใหก้ บั ตนเองและชุมชน คิดเป็ น นอกจากจะเป็ นหลกั ในการดาํ เนินโครงการการศึกษาผูใ้ หญ่ การศึกษานอก โรงเรียนแลว้ ยงั เป็ นหลกั คิดและแนวทางในการดาํ เนินชีวิตประจาํ วนั ของคนทาํ งานการศึกษานอก โรงเรียนและบุคคลทวั ไป เป็ นตน้ ว่า การเคารพในคุณค่าของความเป็ นมนุษยข์ องคนอย่างเท่าเทียมกนั การทาํ ตวั เป็ นคนเรียบง่าย ไม่มีอตั ตายดึ เหนียวจนไม่รับฟังความคิดของผอู้ ืน รวมทงั การมีทกั ษะการ เรียนรู้เพอื การเรียนรู้ตลอดชีวิตดว้ ย จากการทีคิดเป็ น เป็ นทังความเชือในหลกั ความเป็ นจริงของมนุษย์ เป็ นทงั หลกั การ แนวคิด และทิศทางการดาํ เนินกิจกรรมและโครงการต่าง ๆ ของ กศน. และเป็นพืนฐานทีสาํ คญั ในวถิ ีการ ดาํ เนินชีวิตของบุคคลทวั ไป รวมทงั เป็ นการส่งเสริมให้มีทกั ษะการเรียนรู้เพือการเรียนรู้ตลอดชีวิตใน อนาคต คิดเป็นจึงเป็นทียอมรับและกาํ หนดใหเ้ ป็น “ปรัชญาคิดเป็น” หรือปรัชญาการศึกษานอกโรงเรียนที เหมาะสมกบั ความเป็น กศน. เป็นอยา่ งยงิ 2.3 กระบวนการและขันตอนการแก้ปัญหาของคนคดิ เป็ น คนคิดเป็นเชือวา่ ทุกขห์ รือปัญหาเป็นความจริงตามธรรมชาติทีเกิดขึนไดก้ ็สามารถแกไ้ ขได้ ถา้ รู้จกั แสวงหาขอ้ มลู ทีหลากหลายและพอเพียงอย่างนอ้ ย ดา้ น คือ ขอ้ มูลทางวิชาการ ขอ้ มูลเกียวกบั สภาวะแวดลอ้ มทางสงั คมในวถิ ชี ีวิต วถิ วี ฒั นธรรมประเพณี วิถีคุณธรรมจริยธรรม และขอ้ มลู ทีเกียวกบั ตนเอง รู้จกั ตนเองอย่างถ่องแท้ ซึงครอบคลุมถึงการพึงพาตนเองและความพอเพียง พอประมาณ มาวเิ คราะหแ์ ละสงั เคราะห์ประกอบการคิดและการตดั สินใจแกป้ ัญหา คนคิดเป็ นจะเผชิญกบั ทุกข์หรือ ปัญหาอยา่ งรู้เท่าทัน มีสติไตร่ตรองอย่างละเอียดรอบคอบในการเลือกวิธีการแกป้ ัญหาและตัดสินใจ แกป้ ัญหาตามวิธีการทีเลือกแลว้ ว่าดีทีสุด ก็จะมีความพอใจและเต็มใจรับผิดชอบกบั ผลการตดั สินใจ เช่นนนั อยา่ งไรก็ตาม สงั คมในยคุ โลกาภิวตั น์เป็นสงั คมแห่งการเปลียนแปลงทีรวดเร็วและรุนแรง ปัญหา ก็เปลียนแปลงอยตู่ ลอดเวลา ทุกขก์ ็เกิดขึน ดาํ รงอยู่ และดบั ไป หรือเปลียนโฉมหน้าไปตามกาลสมยั กระบวนทศั น์ในการดบั ทุกข์ก็ตอ้ งพฒั นารูปแบบให้ทนั ต่อการเปลียนแปลงเหล่านันอยตู่ ลอดเวลาให้ เหมาะสมกบั สถานการณ์ทีเปลียนแปลงไปดว้ ย กระบวนการดบั ทุกขห์ รือแกป้ ัญหาก็จะหมุนเวียนมา จนกว่าจะพอใจอกี เป็นเช่นนีอยอู่ ยา่ งต่อเนืองตลอดชีวติ

. ปัญหา กระบวนการและขันตอนการแก้ปัญหาของคนคดิ เป็ น ความสุข กระบวนการแกป้ ัญหา 2. วเิ คราะห์หาสาเหตุของปัญหาจากขอ้ มูลทีหลากหลายและพอเพยี ง อยา่ งนอ้ ย ประการ ตนเอง สังคมสิงแวดลอ้ ม วิชาการ . ประเมนิ ผล 3. วเิ คราะห์หาทางเลือกในการแกป้ ัญหาจากขอ้ มลู ทหี ลากหลาย . ประเมนิ ผล (ยงั ไมพ่ อใจ) อยา่ งนอ้ ย ประการ (พอใจ) ขอ้ มลู เกียวกบั ขอ้ มลู ดา้ น ตนเอง สังคม ขอ้ มูลดา้ น สิงแวดลอ้ ม วชิ าการ . ปฏบิ ตั ิ . ตดั สินใจเลอื กวิธีการแกป้ ัญหาทดี ีทีสุด . ปฏิบตั ิ

ขันตอนการแก้ปัญหาของคนคดิ เป็ น 1. คนคิดเป็ นเชือว่า ทุกข์หรือปัญหาใด ๆ ย่อมมีอยใู่ นวิถีชีวิตของมนุษย์ เมือใดทีตนเองและ สภาพสงั คมสิงแวดลอ้ มไม่สามารถปรับเขา้ หากนั จนเกิดความพอดี กจ็ ะเกิดความทุกข์ ความไมส่ บายกาย ไม่สบายใจ ทุกข์หรือปัญหาอาจเป็ นของบุคคลหรือชุมชนและสังคม เมือเกิดทุกข์หรือปัญหาก็จะมี กระบวนการแกป้ ัญหาเพือใหเ้ กิดความสุขทีพึงปรารถนา 2. ขนั หาสาเหตุของปัญหา กระบวนการแกป้ ัญหาของคนคิดเป็ นจะเริมทีการรู้จกั ปัญหา รู้จกั สาเหตุของปัญหาเหลา่ นนั โดยการวเิ คราะหข์ อ้ มลู ทีเกียวขอ้ งอยา่ งนอ้ ย ประการ วา่ ปัญหาหรือทุกขน์ นั เกิดจากการไม่ผสมกลมกลนื ระหว่างตนเองกบั ภาวะแวดลอ้ มหรือขอ้ มลู ทางวชิ าการตรงไหน อยา่ งไร มี อะไรเป็นสาเหตุสาํ คญั บา้ ง เช่น - สาเหตุสาํ คญั มาจากตนเอง จากพืนฐานของชีวิตตนเองและครอบครัว ความไม่สมดุลของ การงานอาชีพทีพึงปรารถนา ความขดั ขอ้ งทีเกิดจากโรคภยั ของตนเอง ความโลภ โกรธ หลง ในใจของตนเอง ความคบั ขอ้ งใจในการรักษาคุณธรรม จริยธรรมของตนเอง ฯลฯ - สาเหตุสําคัญมาจากสังคม ชุมชนและสภาวะแวดลอ้ ม ความไม่พึงพอใจต่อพฤติกรรม ไม่พึงปรารถนาของเพือนบา้ น การขาดแหล่งเงินทุนในการประกอบอาชีพ ชุมชนมีการ ทะเลาะเบาะแวง้ ขาดความสามคั คี ฯลฯ - สาเหตุสาํ คญั มาจากการขาดแหล่งขอ้ มลู แหล่งความรู้ความเคลือนไหวทีเป็ นปัจจุบนั ของ วิชาการและเทคโนโลยีทีเกียวข้อง ขาดภูมิปัญญาทีจะช่วยเติมข้อมูลทางปัญญาในการ บริหารจดั การ ฯลฯ 3. ขนั วิเคราะหเ์ สนอทางเลอื กของปัญหา เมือรู้สาเหตุของปัญหาจากการศึกษาวิเคราะห์ขอ้ มูล ดงั กล่าวแลว้ ก็มาถึงขันตอนการกาํ หนดทางเลือกต่าง ๆ ทีน่าจะเป็ นในการแกท้ ุกข์ หรือแกป้ ัญหาที เกิดขึน การกาํ หนดทางเลือกต่าง ๆ ทีจะใชเ้ ป็ นแนวทางแก้ปัญหานี เป็ นการกระทาํ โดยการศึกษา วเิ คราะหข์ อ้ มลู ทีหลากหลายและพอเพียงทงั ในดา้ นวิชาการ ดา้ นสงั คมสิงแวดลอ้ ม และขอ้ มูลเกียวกบั ตนเอง ซึงเป็นตวั แปรทีสาํ คญั ในการตดั สินใจดว้ ย 4. ขนั การเลอื กวิธีแกป้ ัญหา ขนั ตอนนีเป็นการตดั สินใจ เลอื กแนวทางการแกป้ ัญหาทีเหมาะสม ทีสุดตามขอ้ มลู ทีวิเคราะห์ได้ เป็นทางเลอื กทีดีทีสุดในกลมุ่ ทางเลือกทีไดเ้ ลือกไว้ 5. การนําทางเลือกการแก้ปัญหาไปปฏิบัติ เมือได้ตัดสินใจเลือกทางเลือกทีดีทีสุดในการ แกป้ ัญหาแลว้ กม็ าถงึ ขนั นาํ ทางเลือกนนั ไปปฏบิ ตั ิเพือการแกป้ ัญหา 6. การประเมินผลการแกป้ ัญหา เมือมกี ารปฏิบตั ิการแกป้ ัญหาแลว้ ก็จะตอ้ งมีการประเมนิ ผลการ ดาํ เนินงาน ถา้ ผลทีเกิดขึนเป็นทีพอใจกจ็ ะนาํ ไปสู่ความสุข แกป้ ัญหาไดส้ าํ เร็จ แต่ถา้ ปฏิบตั ิการแกป้ ัญหา แลว้ ยงั ไม่พอใจ ยงั ไม่บรรลุตามทีคิดไวก้ ็จะนาํ ไปสู่การพิจารณาปัญหากนั ใหม่ เข้าสู่กระบวนการ

แกป้ ัญหา การศึกษาขอ้ มลู เพมิ เติมอกี จนกว่าจะพอใจและพบกบั ความสุขกบั การแกป้ ัญหานันจึงจะ ถือว่าจบกระบวนการแกป้ ัญหาของคนคิดเป็น 2.4 ฝึ กทกั ษะการคดิ เป็ น คิดเป็น เป็นเรืองของการสร้างสมประสบการณ์ทีจะทาํ ความเขา้ ใจกบั ความจริงของชีวิต คิดเป็นนอกจากจะเป็นการทาํ ความเขา้ ใจกบั หลกั การและแนวคิดแลว้ กระบวนการเรียนรู้จะเนน้ หนกั ไป ทีการฝึ กปฏิบัติจากกรณีตวั อย่าง และจากการปฏิบตั ิจริงในวิถีการดาํ รงชีวิตประจาํ วนั รวมทงั การได้ แลกเปลยี นความคิดและประสบการณ์จากการสานเสวนาหรืออภิปรายถกแถลงกบั เพือนในกลุ่มดว้ ย คน มที กั ษะสูงกจ็ ะสามารถมองเห็นทางเลอื กและช่องทางในการแกป้ ัญหาไดร้ วดเร็วและคล่องแคล่วมากขึน ฉะนนั การฝึกปฏิบตั ิบ่อยครัง และดว้ ยวิธีทีหลากหลายก็จะช่วยให้การแกป้ ัญหาไม่ผิดพลาดมากนัก ใน ตอนสุดทา้ ยนีเป็ นการเสนอกิจกรรมตวั อย่างใหค้ รูและผเู้ รียนไดร้ ่วมกนั ปฏิบตั ิเพือเพิมพนู ทกั ษะ “คิด เป็น” ใหเ้ ขม้ แขง็ เฉียบคม ฉบั ไว จนเกิดสภาพคล่องเป็นธรรมชาติ และใชเ้ วลาในการคิด การตดั สินใจที รวดเร็วขึนดว้ ย

ใบงานที กรณตี วั อย่าง “สู้ไหม” ผมตกใจสะดุง้ ตืนขึนเมือเกิดเสียงเอะอะ พอลมื ตาขึนมา เห็นทุกคนยนื กนั เกือบหมดรถ “ทุกคนนงั ลงอยนู่ ิง ๆ อยา่ เคลือนไหวไม่งนั ยงิ ตายหมด” เสียงตวาดลนั ออกมาจากปากของเจา้ ชายหนา้ เหียม คอสันที ยนื อยหู่ นา้ รถ กาํ ลงั ใชป้ ื นจ่ออยทู่ ีคอของคนขบั ผมรู้ทนั ทีว่ารถทวั ร์ทีผมโดยสารคนั นีถูกเล่นงานโดยเจา้ พวกวายร้ายแน่ หันไปดูดา้ นหลงั เห็นไอ้ วายร้ายอกี คนหนึงถอื ปื นจงั กา้ อยู่ ผมใชม้ ืออนั สนั เทาลว้ งลงไปในกระเป๋ ากางเกง คลาํ . เห่าไฟของผม ซึงซือออกมาจากร้านเมือบ่ายนีเอง นึกในใจว่า “โธ่เพงิ ซือเอามายงั ไม่ทนั ยงิ เลย เพยี งใส่ลกู เต็มเท่านนั เองก็ จะถกู คนอืนเอาไปเสียแลว้ ” เสียงเจา้ ตาพองหน้ารถตะโกนข่บู อกคนขบั รถ “หยดุ รถเดียวนี มึงอยากตายโหงหรือไง” ผมนึก ในใจว่า เดียวพอรถหยดุ มนั คงตอ้ งใหเ้ ราลงจากรถแลว้ กวาดกนั เกลียงตวั แต่ผมตอ้ งแปลกใจแทนทีรถจะ หยดุ มนั กลบั ยงิ เร็วขึนทุกที ทุกที ยงิ ไปกวา่ นนั รถกลบั ส่ายไปมาเสียดว้ ย ไอพ้ วกมหาโจรเซไปเซมา แต่เจา้ ตาพองยงั ไม่ลดละ แมจ้ ะเซออกไปมนั ก็กลบั วิงไปยนื ประชิดคนขบั อีก พร้อมตะโกนอย่ตู ลอดเวลา “หยดุ โวย้ หยดุ ไอน้ ี กลู งไปไดล้ ะมงึ จะเหยยี บใหค้ าสน้ ทีเดียว” รถคงตะบึงไปต่อ คนขบั บา้ เลือดเสียแลว้ ผมไม่แน่ใจว่าเขาคิดอย่างไร ขณะนันผมกวาดสายตา เห็นผชู้ ายทีนงั ถดั ไปทางมา้ นังดา้ นซา้ ย เป็ นตาํ รวจยศจ่ากาํ ลงั จอ้ งเขมง็ ไปทีไอว้ ายร้ายและถดั ไปอีกเป็ น ชายผมสนั เกรียนอกี คน ใส่กางเกงสีกากี และสีขีมา้ ผมเขา้ ใจว่าคงจะเป็ นตาํ รวจหรือทหารแน่ กาํ ลงั เอา มือลว้ งกระเป๋ ากางเกงอยทู่ งั สองคน บรรยากาศตอนนนั ช่างเครียดจริง ๆ ไหนจะกลวั ปลน้ ถกู ยงิ ไหนจะกลวั รถควาํ ทุกคนเกร็งไปหมด ทุกสิงทุกอยา่ งถึงจุดวกิ ฤตแลว้ ประเดน็ : ท่านจะสู้หรือจะยอม เพราะอะไร ใหค้ รูกบั ผเู้ รียนศกึ ษากรณีตวั อยา่ ง เรือง “สูไ้ หม” แลว้ ร่วมกนั ถกแถลงอภิปรายถึงเหตุผลทีใชใ้ น การตดั สินใจแกป้ ัญหาวกิ ฤติตามประเดน็ ทกี าํ หนดให้ ครูและผเู้ รียนร่วมกนั บนั ทึกขอ้ มลู ลงในแบบบนั ทึก หรือฝึกปฏบิ ตั ิการจาํ แนกขอ้ มลู ทงั ดา้ นทีจะนาํ มาใชป้ ระกอบการคิด การตดั สินใจ

แบบบันทึกการจาํ แนกข้อมูลประกอบการตดั สินใจ ข้อมลู ทางวชิ าการ ข้อมูลเกยี วกบั ตนเอง ข้อมูลเกยี วกบั สังคมสิงแวดล้อม

ใบงานที กรณตี วั อย่าง “เหตุเกดิ ทีโนนหมากม่นุ ” ผมสิบตรีมนั มีเขียน ประจาํ อยู่ ร.พนั ขณะนีปฏิบตั ิการอยทู่ ีอรัญประเทศ คืนนนั ผมกบั เพือน อยหู่ มวดลาดตระเวน เราจะตอ้ งแบ่งกนั ออกลาดตระเวนเป็นหมู่ ๆ ในขณะทีเรารออย่ใู นบงั เกอร์ บางคน ก็นงั บางคนก็เอนนอน ... คุยกนั อยา่ งกระซิบกระซาบ เสียงปื นดงั อยเู่ ป็ นจงั หวะไม่ไกลนัก เราจะตอ้ ง ออกลาดตระเวนตรวจดูว่า พวกขา้ ศึกทีชายแดนจะรุกลาํ เขา้ มาหรือไม่ เราไม่เคยนึกดอกครับว่า ทหาร ญวนกบั เขมรเสรีทีกาํ ลงั ต่อสู่กนั นนั จะรุกลาํ เขา้ มาในเขตของเราแมเ้ ขากาํ ลงั รบติดพนั กนั อยู่ พอไดเ้ วลาหมขู่ องเราตอ้ งออกไปลาดตระเวน เดือนก็มดื คนั นาทีเราเหยยี บยาํ มานัน เราเห็นเป็ น เสน้ ดาํ ๆ ยดื ยาว... ขา้ งหนา้ คือหมบู่ า้ นโนนหมากมนุ่ เราเดินอยา่ งแน่ใจว่า จะไม่มีอะไรเกิดขึน เพราะเราไม่ไดอ้ ยทู่ ีเสน้ กนั เขตแดน ทนั ใดนนั เองเสียง ปื นดงั ขึน จากขา้ งซา้ ย จากขา้ งขวา ดเู หมอื นจะมาทงั สามดา้ น อะไรกนั นี เกิดอะไรขึนทีบา้ นโนนหมาก มุ่น... เราจะทาํ อยา่ งไร ผมคิดว่าเสียงปื นมาจากปื นหลายกระบอกจาํ นวนมากกว่าปื นเราหลายเท่านัก ผม กระโดดลงในปลกั ควายขา้ งทาง ลกู นอ้ งของผมก็กระโดดตาม ทุกคนคิดถึงตวั เองก่อน หลบกระสุนเอา ตวั รอด มอื ผมกุมปื นไว้ ผมจะทาํ อยา่ งไร สงั สูร้ ึ อาจจะตายหมด ถอยรึ ไมไ่ ด้ ไม่ได้ เราจะถอยไม่รอด มนั มืดจนไม่รู้ว่าเราตกอยใู่ นสถานการณ์อยา่ งไร เพอื นผมล่ะ ผมเป็ นหวั หนา้ หมู่ตอ้ งรับผิดชอบลกู นอ้ งของ ผมดว้ ย เราทุกคนมปี ื นคนละกระบอก มกี ระสุนจาํ กดั จะสู้ หรือจะถอย ค่ายทหารอย่ไู ม่ห่างไกลนกั ช่วย ผมทีเถอะครับ ผมตอ้ งรับผดิ ชอบต่อหนา้ ทีลาดตระเวน ผมตอ้ งรับผดิ ชอบชีวิตลกู นอ้ งผมทุกคน ผมจะทาํ อยา่ งไร โปรดช่วยผมตดั สินใจวา่ ผมจะสงั สูห้ รือสงั ถอย เพราะอะไร ใหค้ รูกบั ผเู้ รียนศกึ ษากรณีตวั อยา่ งเรือง “เหตุเกิดทีโนนหมากมุ่น” แลว้ ครูกบั ผเู้ รียนร่วมกนั ถก แถลงถึงเหตุผลทีใชใ้ นการตดั สินใจแกป้ ัญหาวกิ ฤติตามประเด็นทีกาํ หนดให้ ครูและผเู้ รียนร่วมกนั บนั ทึก ขอ้ มูลลงในแบบบนั ทึกเพือฝึ กปฏิบตั ิการจาํ แนกข้อมูลทงั ด้าน ทีจะนาํ มาใชป้ ระกอบการคิด การ ตดั สินใจ แกป้ ัญหา

ใบงานที กรณตี วั อย่างเรือง ส้มกบั หนุ่ม นกั ศกึ ษา กศน. เป็นคนอยใู่ นวยั รุ่นวยั ทาํ งานประกอบอาชีพ เพือเลียงตนเองและครอบครัวเป็ น ส่วนใหญ่ เป็นคนในวยั ทีจะตอ้ งพบกบั ปัญหาทีตอ้ งแกไ้ ขอยตู่ ลอดเวลา ยงิ ในปัจจุบนั เทคโนโลยกี า้ วหนา้ และหลงั ไหลเขา้ มาอย่างไม่มีวนั หยดุ ยงั มีทงั เรืองดี เจริญกา้ วหนา้ สะดวกสบาย เป็ นประโยชน์ต่อการ พฒั นาคุณภาพชีวติ แต่ในเวลาเดียวกนั กก็ ่อใหเ้ กิดความเดือดร้อนไม่ปลอดภยั ต่อชีวิตและทรัพยส์ ิน ทาํ ให้ ครอบครัวแตกแยกไม่มคี วามสุข การศกึ ษาเลา่ เรียนทีลอกเรียนจากต่างประเทศทงั วิชาการและวฒั นธรรม ทีแตกต่างโดยไมม่ ีการปรับใหส้ อดคลอ้ งกบั ความเป็ นไทย ทาํ ให้ยิงเรียน ยิงมีปัญหาชีวิตและสงั คม สม้ เป็นนกั ศึกษา กศน. ทาํ งานเป็นพนกั งานตอ้ นรับของหา้ งสรรพสินคา้ แห่งหนึงรู้จกั กบั หนุ่มโดยการใชว้ ิธี แช็ททางอินเทอร์เน็ต หนุ่มทาํ งานเป็ นพนักงานขายในบริษัท หนุ่มเป็ นคนรูปหล่อ เจา้ ชูม้ ีหญิงสาว มาสนใจหลายคน แต่หนุ่มกม็ ที ่าทีชอบสม้ เป็นพเิ ศษกว่าคนอืน คอยมารับส่ง สร้างความสนิทสนมกบั สม้ เป็นพเิ ศษ แต่กย็ งั ไมเ่ ลกิ ราจากสาว ๆ คนอนื มไี มตรีใหเ้ ห็นอยเู่ สมอ ทงั หนุ่มและส้มคบหากนั มาหลายปี เป็นทีรู้เห็นของเพือน ๆ ทงั หนุ่มและสม้ ในระยะหลงั ๆ นี มชี ายหนุ่มจากทีทาํ งานของสม้ มีฐานะการงาน ดีมาชอบสม้ อีกคน ถึงสม้ จะไมช่ อบเท่าหนุ่ม แต่พอใจในความรักเดียวใจเดียวของเขาอยมู่ าก เขาไม่ใช่คน รูปงามแต่เป็ นคนนิสยั ดี รู้จกั เก็บหอมรอบริบ เป็ นทีรักและไวว้ างใจของเพือน ๆ ทุกคน วนั หนึงหนุ่ม มาขอสม้ แต่งงาน สม้ มีความรู้สึกลงั เลว่าจะยอมรับหนุ่มหรือไม่

ถา้ ท่านเป็นสม้ ท่านจะตดั สินใจอยา่ งไร จะยอมรับแต่งงานกบั หนุ่มหรือไม่ เพราะอะไร ให้ ท่านระบุขอ้ มลู ทงั ประการทีหลากหลายและพอเพียงประกอบการตดั สินใจของท่านลงในแบบฟอร์มที กาํ หนดแยกแยะใหเ้ ห็นทงั ขอ้ มลู เชิงปริมาณและคุณภาพ และหากตอ้ งหาขอ้ มูลเพิมเติมใหร้ ะบุใหช้ ดั เจน ดว้ ย ข้อมลู ทางวชิ าการ ข้อมูลเกยี วกบั ตนเอง ข้อมลู เกยี วกบั สังคมสิงแวดล้อม

ใบงานที กรณตี วั อย่างของผ้เู รียน ใหค้ รูและผเู้ รียนร่วมกนั เสนอกรณีตวั อยา่ ง การตดั สินใจดว้ ยกระบวนการคิดเป็ น และร่วมกนั รวบรวมขอ้ มลู ทงั ดา้ น บนั ทึกลงไวใ้ นแบบฟอร์มจาํ แนกขอ้ มลู จากนนั ใหช้ ่วยกนั ฝึกการวิเคราะห์และ สงั เคราะห์ขอ้ มลู กาํ หนดทางเลือกในการตดั สินใจ – ทางเลือกทีเหมาะสมและเป็ นไปได้ แลว้ เลือก ทางเลือกในการตดั สินใจ ใหเ้ หตุผลประกอบการตดั สินใจลงในแบบฟอร์มทีกาํ หนด แบบบันทกึ ข้อมูล 1. ชือ กรณีตวั อยา่ ง .............................................................................................................. 2. สาระของกรณีตวั อยา่ ง ....................................................................................................... ...................................................................................................................................... ...................................................................................................................................... ...................................................................................................................................... ...................................................................................................................................... ...................................................................................................................................... ...................................................................................................................................... ...................................................................................................................................... ...................................................................................................................................... ...................................................................................................................................... ...................................................................................................................................... ...................................................................................................................................... ...................................................................................................................................... ...................................................................................................................................... ...................................................................................................................................... ...................................................................................................................................... ...................................................................................................................................... ...................................................................................................................................... ...................................................................................................................................... ...................................................................................................................................... ......................................................................................................................................

3. ขอ้ มลู ทีจาํ แนกทงั ดา้ น คือ ดา้ นวชิ าการ ดา้ นตนเอง และดา้ นสงั คมและสิงแวดลอ้ ม ข้อมลู ด้านวชิ าการ ข้อมูลด้านตนเอง ข้อมูลด้านสังคมและสิงแวดล้อม 4. ทางเลอื กทีเสนอเพอื การพจิ ารณาตดั สินใจ 1) .................................................................................................................................. .................................................................................................................................. .................................................................................................................................. 2) .................................................................................................................................. .................................................................................................................................. .................................................................................................................................. 3) .................................................................................................................................. .................................................................................................................................. .................................................................................................................................. 5. ทางเลือกทีตดั สินใจแลว้ ลงมือปฏบิ ตั ิ ........................................................................................................................................ .................................................................................................................................................... .................................................................................................................................................... .................................................................................................................................................... .................................................................................................................................................... .................................................................................................................................................... .................................................................................................................................................... ....................................................................................................................................................

เรืองที ข้อมูลประกอบการคดิ เป็ น ผเู้ รียนไดเ้ รียนรู้ถึงการคิดเป็นและกระบวนการตดั สินใจแกป้ ัญหาของคนคิดเป็ นมาแลว้ จะเห็น วา่ กระบวนการสาํ คญั ทีเป็นเครืองมือในการคิดเป็น คือ การใชข้ อ้ มลู ทีหลากหลายและพอเพยี งอย่างนอ้ ย ดา้ นมาประกอบการคิด การวิเคราะห์ และการตดั สินใจ ซึงไดแ้ ก่ ขอ้ มลู เกียวกบั ตนเอง ขอ้ มลู เกียวกบั วิชาการ และขอ้ มลู เกียวกบั สงั คมสิงแวดลอ้ ม . ลกั ษณะของข้อมลู ประกอบการคดิ เป็ น ข้อมลู เกยี วกบั ตนเอง คนทุกคนมีความแตกต่างกนั ทงั ลกั ษณะภายนอก พฤติกรรมทีแสดงออกและความรู้สึกนึกคิดที อยภู่ ายใน รวมทงั จุดอ่อน จุดแขง็ ของตนเอง บางคนรู้จกั ตวั เองดี เพราะรู้จกั สาํ รวจตรวจสอบตนเองอยู่ ตลอดเวลา ทงั ร่างกาย จิตใจ อารมณ์ และความรู้สึกใหอ้ ยกู่ บั ความเป็นจริง เป็นตวั ของตวั เอง แต่บางคนก็ ไม่รู้จกั ตวั เองตามทีตวั เองเป็ นอยู่ หลงตวั เองบา้ ง ไม่มนั ใจตวั เองบา้ ง หลงเชือคนอืนบา้ ง ไม่ไดร้ ับการ ดูแลทีถกู ตอ้ งในครอบครัวบา้ ง รวมทังขาดการฝึ กฝนตนเองอย่เู สมอ เป็ นตน้ การรู้จกั ตนเองก็ดีเป็ น องค์ประกอบทีสาํ คญั ในการตดั สินใจแกป้ ัญหาทีถูกตอ้ ง เหมาะสม รวดเร็ว และประสบความสาํ เร็จ ขอ้ มลู เกียวกบั ตนเองอาจพิจารณาไดห้ ลายมุมมอง เช่น ความรู้ ความสามารถ ความถนดั ต่าง ๆ เช่น พดู เก่ง มอี ารมณ์ขนั มีกลวธิ ีในการแนะนาํ เผยแพร่ บอกเลา่ โนม้ นา้ วใหค้ นเชือฟัง หรือการแสดงความเห็น ในทีสาธารณะ การเป็ นนักแสดง การมีความรู้ความสามารถเฉพาะตวั ในบางเรือง เช่น เป็ นนกั กีฬา มี ศิลปะในการป้ องกันตวั เป็ นศิลปิ นแขนงหนึงแขนงใดเป็ นพิเศษ ฯลฯ บุคลิกภาพและนิสัยใจคอ เช่น เงียบขรึม พูดมาก พูดนอ้ ย ชอบโออ้ วดหรือเก็บตวั พูดตรง จริงใจ เปิ ดเผย หรือกา้ วร้าว โผงผาง หนัก แน่น หรือหงุดหงิดง่าย โมโหร้าย ชอบพดู จากระแหนะกระแหน ใส่ร้าย ข่มขู่ ใจคอโหดร้าย อิจฉาริษยา อาฆาต หรือเมตตากรุณา โอมออ้ มอารี ฯลฯ ญาติพนี อ้ งและครอบครัว มฐี านะเป็นหวั หนา้ ครอบครัว บุตร ภรรยา หรือผอู้ าศยั อยกู่ นั เป็นครอบครัวใหญ่ หรืออยกู่ นั ตามลาํ พงั พอ่ แม่ ลกู หรืออยคู่ นเดียวในบา้ นเช่า หรือหอพกั ครอบครัวอบอนุ่ หรือแตกแยก ความสมั พนั ธใ์ นครอบครัวมกี ารพบปะ สงั สรรค์ ปรึกษาหารือ รับฟังความคิดเห็นหรือต่างคนต่างอยู่ ไมม่ ีการพงึ พาอาศยั ไม่มีการช่วยเหลือเจือจานฐานะความเป็ นอยู่ รํารวย ยากจน พออยพู่ อกิน เป็นหนีเป็นสิน มีความมนั คงในชีวิต หาเชา้ กินคาํ ขึนอยกู่ บั โชคชะตา มีความ รับผดิ ชอบตนเองและครอบครัว ขยนั หมนั เพียร เก็บหอมรอมริบ สุรุ่ยสุร่าย ใชจ้ ่ายเกินตวั เกินกาํ ลงั เป็ นตน้ การรู้จกั ตนเอง การมีขอ้ มลู เกียวกบั ตนเองหลายๆ ดา้ น เป็ นสิงสาํ คญั ทีจะใชป้ ระกอบการคิด การวิเคราะห์และการตดั สินใจอยา่ งคนคิดเป็ นมาก ถา้ เรารู้จกั ตวั เองดี หลายแง่หลายมุม ทงั จุดอ่อน จุด แข็ง ก็จะมีขอ้ มูลไปประกอบการคิดและการวิเคราะห์มากและหลากหลาย ทาํ ให้การตดั สินใจของเรา ผดิ พลาดนอ้ ย และแกป้ ัญหาไดส้ าํ เร็จเป็นส่วนใหญ่

ข้อมลู เกยี วกบั วชิ าการ ขอ้ มลู ทางวชิ าการ คือ ขอ้ มลู ทีเป็นความจริงทีมีการพิสูจน์แลว้ หรือคน้ พบจากการทดลองแลว้ เก็บหรือบนั ทึกไวใ้ นรูปแบบต่าง ๆ เป็นทฤษฎีหรือหลกั วชิ าแลว้ นาํ มาใชแ้ กป้ ัญหา ใชอ้ า้ งอิงให้เหมาะกบั เหตุการณ์และความจาํ เป็นของสถานการณ์ ขอ้ มลู ทางวชิ าการมี ประเภท คือ ขอ้ มลู ปฐมภูมิ คือ ขอ้ มลู ทีผใู้ ชเ้ ป็นผคู้ ิดคน้ เกบ็ รวบรวมเอง เช่น ขอ้ มูลจากการทดลองหรือจาก การศกึ ษาคน้ ควา้ มาเป็นระยะยาวนานของภูมปิ ัญญาต่าง ๆ ขอ้ มลู ทุติยภมู ิ คือ ขอ้ มลู ทีผใู้ ชน้ าํ มาจากผคู้ นหรือหน่วยงานอืน ๆ ทีทาํ การศึกษาหรือรวบรวม บนั ทึกไวใ้ นอดีต เช่น ขอ้ มลู ทีรวบรวมมาจากเอกสารรายงานการวจิ ยั ขอ้ มลู ทีอา้ งมาจากผทู้ ีรับฟังมาจาก แหล่งความรู้ต่าง ๆ เป็นตน้ ขอ้ มูลทีเป็ นความรู้ทางวิชาการพืนฐานทีคนในสังคมจะตอ้ งใชใ้ นชีวิตประจาํ วนั มีอย่มู ากมาย เช่น การใชภ้ าษา คณิตศาสตร์พืนฐาน วิทยาศาสตร์ทีเป็ นทฤษฎีการคน้ พบทุกศาสตร์ เศรษฐศาสตร์ใน เรืองการลงทุน รายรับรายจ่าย การตลาด กฎหมายขอ้ บงั คบั ทีเกียวขอ้ งกบั ปวงชน ขอ้ มูลทางการแพทย์ อาหารและยา และขอ้ มลู ทางการเกษตร เป็นตน้ ข้อมูลเกยี วกบั สังคมสิงแวดล้อม เนืองจากคนมีวิถีชีวติ ดาํ รงอยกู่ นั เป็นชุมชนและสงั คม คนในชุมชนมีความสัมพนั ธ์เกียวขอ้ งกนั มากบา้ ง นอ้ ยบา้ งขึนอยกู่ บั การเกาะเกียวทีมีอยใู่ นอดีตทีแตกต่างกนั และขึนอย่กู บั ธรรมชาติ วฒั นธรรม ประเพณี และความเชือทียดึ ถอื กนั มาแต่ดงั เดิม การดาํ เนินการใด ๆ ในชุมชนจะกระทบกบั คนในชุมชน ดว้ ยเสมอ จะหนักหรือเบาขึนอย่กู บั บริบทของความผกู พนั ทีมีอยใู่ นชุมชนนัน ๆ การคิดการตดั สินใจ ใด ๆ ทีจะไม่กระทบกระเทือนวิถีชุมชน หรือใหม้ ีการกระทบกระเทือนน้อยทีสุด จึงควรจะตอ้ งนาํ เอา ขอ้ มลู ของชุมชน และสงั คมมาประกอบการคิดการตดั สินใจอยเู่ สมอ ขอ้ มลู ทางสังคม สิงแวดลอ้ มทีควร จะนํามาพิจารณาประกอบการคิด การตดั สินใจ ไดแ้ ก่ ขอ้ มูลทัวไปเกียวกบั เศรษฐกิจและสังคม การ ประกอบอาชีพ วฒั นธรรม จารีตประเพณี การปกครองทอ้ งถนิ สุขภาพอนามยั การศึกษาและแหล่งเรียนรู้ สภาพการบริโภคทรัพยากรธรรมชาติ สภาพความสมั พนั ธ์ระหว่างบา้ น วดั โรงเรียน มสั ยิด ประวตั ิ รากเหง้าความเป็ นมาของชุมชน เอกลกั ษณ์และอตั ลกั ษณ์ของชุมชนทีคนภาคภูมิใจ รวมทงั กิจกรรม กระบวนการเรียนรู้ ความเอืออาทร ความเป็นเครือญาติ ความเขม้ แข็งของชุมชน ฯลฯ เป็นตน้ . เทคนิคการเกบ็ ข้อมลู ประกอบการคดิ เป็ น การเก็บและรวบรวมขอ้ มูลประกอบการคิด การตดั สินใจอย่างคนคิดเป็ นนัน มกั จะใชค้ วาม เรียบง่ายไม่ซบั ซอ้ นในทางวิชาการมากนัก เพราะผเู้ รียนซึงเป็ นผเู้ ก็บขอ้ มูลจะเป็ นคนในชุมชนอย่กู บั ชุมชน มีวิถีชีวิตทีคุน้ เคยกบั วิถีชุมชนนัน ๆ อย่แู ลว้ การเก็บขอ้ มูลอาจใชก้ ระบวนการ ตาดู (สังเกต)

หูฟัง (สนใจ สดบั รับฟัง) ปากถาม (กระตุน้ ชวนคุย) สมองคิด จาํ (เชือมโยง เหตุผล) และมือจด (สรุป บนั ทึก) เพอื จบั ประเดน็ และรวบรวมขอ้ มลู ซึงอาจมีวธิ ีจดั การเชิงวชิ าการพอสงั เขป ดงั นี 1. การสังเกต ไดแ้ ก่ การคน้ หาข้อมูลดว้ ยตนเองโดยตรง เช่น การสงั เกตพฤติกรรม หรือ เหตุการณ์ต่าง ๆ ในชีวิตประจาํ วนั สามารถเก็บรวบรวมขอ้ มลู โดยทีมงาน หรือไปสงั เกต ดว้ ยตนเอง 2. การสมั ภาษณ์ ไดแ้ ก่ การรวบรวมขอ้ มลู จากบุคคลอนื ๆ โดยถามจากครอบครัว ญาติพีนอ้ ง เพอื นบา้ น 3. การตอบแบบสอบถาม ไดแ้ ก่ การสร้างรายการคาํ ถามให้ผูค้ นในชุมชนตอบตามทีผูถ้ าม ตอ้ งการ อาจใชบ้ ริการทางโทรศพั ท์ หรือทางไปรษณีย์ 4. การศึกษาจากเอกสารหรือแหล่งขอ้ มูล เช่น หนังสือพิมพ์ วารสาร คอมพิวเตอร์ เทป บนั ทึกภาพ เทปบนั ทึกเสียง ขอ้ มลู สารสนเทศทางอเี มล์ เวบ็ ไซต์ 5. การทดสอบ/ทดลอง และการสาํ รวจ จากกลุ่มคน ร้านคา้ หรือสถานที ๆ เป็ นแหล่งขอ้ มูล โดยตรง . การวเิ คราะห์และสังเคราะห์ข้อมูลเพอื นาํ มาใช้ประกอบการตดั สินใจ การวเิ คราะห์ข้อมูล การวเิ คราะห์ขอ้ มลู หมายถึง การแยกแยะขอ้ มลู หรือส่วนประกอบของขอ้ มลู ออกเป็นส่วนยอ่ ย ๆ ศกึ ษารายละเอยี ดของขอ้ มลู แต่ละเรืองเพอื ตรวจสอบขอ้ มลู ใหไ้ ดม้ ากทีสุด โดยเฉพาะขอ้ มลู การคิดเป็ น ทงั ประการวา่ แต่ละดา้ นมขี อ้ มลู อะไรบา้ ง เป็นการหาคาํ ตอบวา่ ใคร ทาํ อะไร ทีไหน อยา่ งไร ฯลฯ การ วเิ คราะหข์ อ้ มลู จะมีการศึกษาและตรวจสอบขอ้ มลู รอบดา้ นทงั ดา้ นบวกและดา้ นลบ ดูความหลากหลาย และพอเพียงเพือใหไ้ ดข้ อ้ มูลทีแม่นยาํ เทียงตรง เชือถือได้ สมเหตุสมผล การวิเคราะห์ขอ้ มูลมีประโยชน์ ตรงทีทาํ ให้เราสามารถเขา้ ใจเรืองราวหรือปรากฏการณ์ต่าง ๆ ทีแท้จริง ช่วยให้มีการแสวงหาขอ้ มูล หลากหลาย โดยไม่เชือคาํ บอกเล่าหรือคาํ กล่าวอา้ งของใครง่าย ๆ เป็ นการมองขอ้ มลู หลากหลายมิติเกิด มุมมองเชิงลกึ และกวา้ ง เพียงพอ ครบถว้ น การสังเคราะห์ข้อมลู เป็ นการนําขอ้ มูลทีเกียวขอ้ ง ถูกตอ้ ง ใกลเ้ คียง กลุ่มเดียวกนั มารวบรวม จดั กลุ่ม จดั ระบบเป็ นกลุ่ม ใหญ่ ๆ ในเชิงบูรณาการโดยเฉพาะนาํ ขอ้ มูลการคิดเป็ นทงั ดา้ น คือ ขอ้ มลู ทางวิชาการ ขอ้ มลู เกียวกบั ตนเอง และขอ้ มลู ทีเกียวกบั สงั คมสิงแวดลอ้ ม ทีวิเคราะห์ความแมน่ ยาํ เทียงตรง หลากหลายและพอเพียง ทงั ดา้ นบวกและลบไวแ้ ลว้ มาจดั กลุ่มทางเลือกในการแกป้ ัญหาทีเป็ นขอ้ มลู เชิงบูรณาการ ขอ้ มลู ทงั ดา้ น หลาย ๆ ทางเลือก โดยแต่ละทางเลือกจะมีขอ้ มูลทงั ดา้ นมาสังเคราะห์รวมเขา้ ไวด้ ว้ ย เพือให้เป็ น ทางเลอื กในการตดั สินใจเลือกทางเลือกทีเหมาะสมเป็นทียอมรับและพอใจทีสุดนาํ มาแกป้ ัญหาต่อไป

เรืองที กรณีตวั อย่างเพอื ฝึ กทักษะ กจิ กรรมฝึ กทกั ษะที กรณตี วั อย่างเรือง “ชาวบ้านบางระจนั ” ในราวปี พ.ศ. พมา่ ขา้ ศึกไดย้ กทพั มาโจมตีกรุงศรีอยธุ ยาทีอย่ใู นสภาพอ่อนแอขาด ความสมานฉนั ทส์ ามคั คี แต่มีชาวบา้ นบางระจนั กลุ่มหนึงมีผนู้ าํ สาํ คญั เช่น ขุนสรรค์ พนั เรือง นายทองแสงใหญ่ นายแท่น นายดอก นายทองเหมน็ และนายจนั หนวดเขียว ผมู้ ีฝี มือทางการรบ โดยมพี ระอาจารยธ์ รรมโชติ พระสงฆผ์ แู้ ก่กลา้ ทางคาถาอาคมเป็ นศูนยร์ วมขวญั กาํ ลงั ใจไดร้ วม กาํ ลงั กันเขา้ โจมตีพม่าข้าศึกจนได้รับชัยชนะถึง ครัง ทัง ๆ ทีมีกาํ ลงั น้อยกว่ามากต่อมาก จนพม่าไมก่ ลา้ ออกจากค่ายมารบดว้ ย แต่ใชว้ ิธียงิ ปื นใหญ่มาทาํ ลายค่ายของชาวบา้ นบางระจนั จน เสียหาย ผคู้ นลม้ ตายไปมาก ชาวบา้ นบางระจนั ส่งคนไปขอปื นใหญ่จากกรุงศรีอยุธยาก็ไม่ไดร้ ับ การอนุญาตเพราะกลวั พม่าจะแย่งชิงระหว่างทาง ชาวบา้ นบางระจนั จึงรวบรวมโลหะทีมีอยู่ หล่อปื นใหญ่เอง แต่ความทีขาดวิชาการความรู้ การหล่อปื นใหญ่จึงไม่ประสบความสาํ เร็จ ในทีสุดชาวบา้ นบางระจนั ซึงถนดั ในการรบแบบใชก้ าํ ลงั ฝี มือก็ไม่สามารถเอาชนะพม่าขา้ ศึกได้ ตอ้ งถกู โจมตีแตกพ่ายไป ประเด็น 1. ถา้ ท่านเป็นคนไทยในสมยั นนั ท่านคิดจะไปชว่ ยชาวบา้ นบางระจนั ต่อสูก้ บั ขา้ ศกึ หรือไม่ เพราะเหตุใด 2. หากท่านจะใชก้ ระบวนการ “คดิ เป็น” ในการตดั สินใจครังนี ท่านจะใชข้ อ้ มลู ประกอบการตดั สินใจอยา่ งไรบา้ ง 1) ขอ้ มลู ตนเอง (ตวั ท่านและชาวบา้ นบางระจนั ) 2) ขอ้ มลู สงั คมและสิงแวดลอ้ ม 3) ขอ้ มลู ทางวชิ าการ กจิ กรรมฝึ กทกั ษะที กรณตี วั อย่าง เรือง ข่าวทีน่าสนใจ ใหผ้ เู้ รียนและผสู้ อนร่วมกนั สนทนาถงึ ข่าวสารทีไดร้ ับการกล่าวขวญั และวิพากษว์ ิจารณ์ ทางสือในปัจจุบนั แลว้ เลือกข่าวทีน่าสนใจมา ข่าว ทีบุคคลในข่าวไดต้ ดั สินใจกระทาํ การอยา่ งใด อยา่ งหนึงไปตามทีปรากฏในข่าวนนั สมมติวา่ ผเู้ รียนเป็นบคุ คลในข่าวนนั ผเู้ รียนจะตดั สินใจ เหมอื นบุคคลในข่าวหรือไม่ เพราะอะไร ใหแ้ สดงวิธีการแยกแยะขอ้ มลู ทงั ดา้ นประกอบการ คิดการตดั สินใจใหช้ ดั เจนดว้ ย

สาระของข่าว.................................................................................................................................. ....................................................................................................................................................... ....................................................................................................................................................... ....................................................................................................................................................... ....................................................................................................................................................... ....................................................................................................................................................... ....................................................................................................................................................... การตดั สินใจของท่าน .................................................................................................................... ....................................................................................................................................................... ....................................................................................................................................................... ....................................................................................................................................................... ....................................................................................................................................................... เพราะขอ้ มลู ทีศึกษา มดี งั นี ขอ้ มลู ทางวชิ าการ............................................................................................................ ....................................................................................................................................................... ....................................................................................................................................................... ขอ้ มลู ทางสงั คมสิงแวดลอ้ ม............................................................................................. ....................................................................................................................................................... ....................................................................................................................................................... ขอ้ มลู เกียวกบั ตนเอง ....................................................................................................... ....................................................................................................................................................... ....................................................................................................................................................... ....................................................................................................................................................... .......................................................................................................................................................

ฝึ กทกั ษะที กรณตี วั อย่างเรือง “เหตุเกดิ ทโี นนหมากม่นุ ” ผมสิบตรีมนั มีเขียน ประจาํ อยู่ ร.พนั ขณะนีปฏิบตั ิการอยทู่ ีอรัญประเทศ คืนนันผมกบั เพือน อยหู่ มวดลาดตระเวน เราจะตอ้ งแบ่งกนั ออกลาดตระเวนเป็นหมู่ ๆ ในขณะทีเรารออย่ใู นบงั เกอร์ บางคน กน็ งั บางคนก็เอนนอน ... คุยกนั อย่างกระซิบกระซาบ เสียงปื นดงั อยเู่ ป็ นจงั หวะไม่ไกลนกั เราจะตอ้ ง ออกลาดตระเวนตรวจดูว่า พวกขา้ ศึกทีชายแดนจะรุกลาํ เขา้ มาหรือไม่ เราไม่เคยนึกดอกครับว่า ทหาร ญวนกบั เขมรเสรีทีกาํ ลงั ต่อสู่กนั นนั จะรุกลาํ เขา้ มาในเขตของเราแมเ้ ขากาํ ลงั รบติดพนั กนั อยู่ พอไดเ้ วลาหมขู่ องเราตอ้ งออกไปลาดตระเวน เดือนกม็ ืด คนั นาทีเราเหยยี บยาํ มานัน เราเห็นเป็ น เสน้ ดาํ ๆ ยดื ยาว... ขา้ งหนา้ คือหม่บู า้ นโนนหมากม่นุ เราเดินอยา่ งแน่ใจวา่ จะไม่มีอะไรเกิดขึนเพราะเราไม่ไดอ้ ยทู่ ีเสน้ กนั เขตแดน ทนั ใดนนั เองเสียงปื นดงั ขึน จากขา้ งซา้ ย จากขา้ งขวา ดเู หมือนจะมาทงั สามดา้ น อะไรกนั นี เกิดอะไรขึนทีบา้ นโนนหมากมุ่น... เราจะทาํ อยา่ งไร ผมคิดว่าเสียงปื นมาจากปื นหลายกระบอกจาํ นวนมากกว่าปื นเราหลายเท่านกั ผมกระโดดลงใน ปลกั ควายขา้ งทาง ลกู นอ้ งของผมกก็ ระโดดตาม ทุกคนคิดถงึ ตวั เองก่อน หลบกระสุนเอา ตวั รอด มือผมกุม ปื นไว้ ผมจะทาํ อยา่ งไร สงั สู้รึ อาจจะตายหมด ถอยรึ ไม่ได้ ไม่ได้ เราจะถอยไม่รอด มนั มืดจนไม่รู้ว่าเรา ตกอยใู่ นสถานการณ์อยา่ งไร เพือนผมล่ะ ผมเป็นหวั หนา้ หมตู่ อ้ งรับผดิ ชอบลกู นอ้ งของผมดว้ ย เราทุกคนมี ปื นคนละกระบอก มีกระสุนจาํ กดั จะสู้ หรือจะถอย ค่ายทหารอยไู่ ม่ห่างไกลนกั ช่วยผมทีเถอะครับ ผมตอ้ ง รับผดิ ชอบต่อหนา้ ทีลาดตระเวน ผมตอ้ งรับผิดชอบชีวิตลูกนอ้ งผมทุกคน ผมจะทาํ อย่างไร โปรดช่วยผม ตดั สินใจว่า ผมจะสงั สูห้ รือสงั ถอย ประเดน็ 1. ส.ต.มนั มเี ขียน จะตอ้ งตดั สินใจอยา่ งไร เพราะอะไร 2. ถา้ ท่านเป็น ส.ต.มนั มเี ขียน ตอ้ งตดั สินใจ ท่านตอ้ งใชข้ อ้ มลู อะไรบา้ ง วธิ ดี าํ เนินการ 1. วทิ ยากรเลา่ เหตุการณ์บา้ นโนนหมากมนุ่ 2. แบ่งกล่มุ สมาชิกออกเป็น – กลมุ่ เพือร่วมกนั คิดและร่วมอภิปรายถกแถลงตามประเด็นใน เหตุการณ์ทีเกิดทีบา้ นโนนหมากม่นุ ประมาณ นาที 3. ใหท้ ุกกลุ่มไดน้ าํ เสนอผลการคิด วเิ คราะหต์ ามประเดน็ ทีกาํ หนด 4. สรุปประเดน็ ในกล่มุ ใหญ่

กจิ กรรมฝึ กทกั ษะที กรณตี วั อย่างเรือง “เรืองของฉันเอง” ให้ผเู้ รียนทุกคนคิดถึงปัญหาทีเกิดขึน หรือเคยเกิดขึนกับตนเองมา เรือง และแสดงวิธีการ แกป้ ัญหานนั อยา่ งคนคิดเป็น โดยการแสวงหาขอ้ มลู ทงั ดา้ น อยา่ งพอเพียงมาประกอบการพิจารณาใน การแกป้ ัญหานนั ใหช้ ดั เจน และบนั ทึกกระบวนการดงั กลา่ วไวด้ ว้ ย 1. ลกั ษณะของปัญหาทีนาํ ไปสู่กระบวนการแกป้ ัญหาแบบคนคิดเป็น คืออะไร 2. กระบวนการแสวงหาขอ้ มูลทัง ประการ อย่างหลากหลายและพอเพียงเพือหาสาเหตุ ของปัญหาเป็นอยา่ งไร ใหเ้ สนอรายละเอยี ดของขอ้ มลู ตามสมควร 3. กระบวนการวิเคราะหป์ ัญหาเพือการกาํ หนดทางเลือกในการแกป้ ัญหาทาํ อยา่ งไร มที างเลือก กีทาง 4. ท่านตดั สินใจเลือกทางเลือกขอ้ ไหน เพราะเหตุใด 5. ท่านจะนาํ ทางเลอื กไปปฏบิ ตั ิอยา่ งไร 6. ท่านพอใจและมคี วามสุขกบั การแกป้ ัญหานนั หรือไม่ อยา่ งไร กจิ กรรมท้ายเล่ม 1. ใหค้ รูและผูเ้ รียนทงั กลุ่มช่วยกนั เขียนบนั ทึกหรือบนั ทึกลงแผ่นซีดีรอมสรุปกระบวนการ เรียนรู้วิชา “คิดเป็น” ของกลุ่มผเู้ รียนกลุม่ นี และใหแ้ สดงความคิดเห็นสัน ๆ ต่อผลทีไดจ้ าก การศึกษารายวิชานี 2. ใหผ้ เู้ รียนแต่ละคนอธิบายสนั ๆ ถงึ สิงทีไดเ้ รียนรู้เพมิ ขึนจากการเรียนรายวชิ าคิดเป็น 3. ครูและผเู้ รียนจดั ทาํ แฟ้ มสะสมงานของผูเ้ รียนแต่ละคนในรายวิชาคิดเป็ น เพือเป็ นการ ประเมินผลการเรียนรายบุคคล

บทที การวิจัยอย่างง่าย สาระสําคญั การแสวงหาความรู้ ขอ้ มลู ขอ้ เทจ็ จริงอยา่ งมีระบบเพอื ใหไ้ ดร้ ับคาํ ตอบหรือความรู้ใหม่ทีเชือถือ ไดส้ ามารถทาํ ไดโ้ ดยกระบวนการวจิ ยั ผลการเรียนรู้ทีคาดหวงั เมอื จบบทนี ผเู้ รียนสามารถ 1. อธิบายความหมายและประโยชน์ของการวจิ ยั อยา่ งง่ายได้ 2. ระบุขนั ตอนการวจิ ยั อยา่ งง่ายได้ 3. ฝึกทกั ษะสถิติง่าย ๆ เพือการวจิ ยั ได้ 4. ระบุเครืองมอื การวจิ ยั เพอื เก็บรวบรวมขอ้ มลู ได้ 5. ฝึกทกั ษะในการเขียนโครงการวจิ ยั อยา่ งง่าย ๆ ได้ ขอบข่ายเนือหา เรืองที ความหมายและประโยชน์ของการวิจยั อยา่ งง่าย เรืองที ขนั ตอนการวจิ ยั อยา่ งง่าย เรืองที สถติ ิง่าย ๆ เพอื การวิจยั เรืองที เครืองการวิจยั เพือเกบ็ รวบรวมขอ้ มลู เรืองที การเขียนโครงการวจิ ยั อยา่ งง่าย สือการเรียนรู้ 1. บทเรียนวิจยั ออนไลน์ (http:/www.elearning.nrct.net/). ของสาํ นกั งานคณะกรรมการวจิ ยั แห่งชาติ 2. เขา้ ไปคน้ ขอ้ มลู โดยพมิ พห์ วั ขอ้ เรืองวิจยั ทีตอ้ งการศกึ ษาใน http://www.google.co.th/ 3. วารสาร เอกสาร งานวจิ ยั และวทิ ยานิพนธต์ ่าง ๆ

เรืองที ความหมายและประโยชน์ของการวจิ ัยอย่างง่าย การวจิ ยั คอื อะไร การวจิ ยั หมายถงึ กระบวนการแสวงหาความรู้อยา่ งมปี ระสิทธิภาพ และมีจุดมุ่งหมายทีแน่นอน ภายในขอบเขตทีกาํ หนด โดยใชว้ ธิ ีทางวิทยาศาสตร์ เพือให้ไดม้ าซึงความรู้ ความจริงเป็ นทียอมรับ การ วจิ ยั จึงเป็นเครืองมือในการคน้ หาองคค์ วามรู้หรือขอ้ คน้ พบในการแกป้ ัญหา หรือพฒั นางานหรือการเรียน ไดอ้ ยา่ งเป็นระบบ น่าเชือถอื มคี วามชดั เจน ตรวจสอบได้ การวจิ ยั อย่างง่ายคอื อะไร การวจิ ยั อยา่ งง่าย เป็นกระบวนการในการคน้ หาองคค์ วามรู้ หรือขอ้ คน้ พบในการแกป้ ัญหา หรือ แนวทางพัฒนางานทีมีกระบวนการไม่ซับซ้อนใช้เวลาไม่มาก สามารถทําควบคู่ไปกับการใช้ ชีวิตประจาํ วนั ได้ เนน้ ปรากฏการณ์ทีเกิดขึนจริง และสะทอ้ นความเป็นเหตุเป็นผล ประโยชน์ของการวจิ ยั อย่างง่าย .ปลูกฝังให้เป็ นคนมีพืนฐานในการแสวงหาความรู้ หรือขอ้ คน้ พบในการแกป้ ัญหา อยา่ งมี ระบบ . ฝึกใหเ้ ป็นคนทีคิดอยา่ งมรี ะบบและเป็นเหตุเป็นผล . การวจิ ยั ทาํ ใหเ้ กิดองคค์ วามรู้ใหม่ ๆ . การวจิ ยั ทาํ ใหเ้ กิดสิงประดิษฐ์ และแนวคิดใหม่ ๆ . การวจิ ยั ช่วยตอบคาํ ถามทีอยากรู้ ทาํ ใหเ้ ขา้ ใจปัญหา และช่วยในการแกไ้ ขปัญหา . การวจิ ยั ช่วยในการวางแผนและการตดั สินใจ . การวิจยั ช่วยใหท้ ราบผลและขอ้ บกพร่องจากการเรียน/การทาํ งาน

กจิ กรรมที ใหผ้ เู้ รียนวงกลมคาํ ตอบทีถกู ตอ้ งต่อไปนี 1. ขอ้ ใดเป็นความหมายของการวิจยั อยา่ งง่าย ก. การวางแผนงานอยา่ งเป็นระบบ ข. การคาดเดาคาํ ตอบอยา่ งมรี ะบบ ค. การศกึ ษาคน้ ควา้ เรืองทีสนใจทีไม่ซบั ซอ้ นมากนกั 2. ขอ้ ใดเป็นประโยชนข์ องการวจิ ยั ต่อตวั ผวู้ จิ ยั เอง ก. ฝึกการทาํ งานอยา่ งมีระบบ ข. เกิดการทาํ งานและนวตั กรรม ค. เกิดนวตั กรรมสิงประดษิ ฐใ์ หม่ ๆ 3. ขอ้ ใดเป็นประโยชนข์ องการวิจยั ต่อหน่วยงาน ก. เกิดองคค์ วามรู้ใหม่ ๆ ข. เกิดสิงประดษิ ฐแ์ ละแนวคิดใหม่ ๆ ค. ถกู ทงั ก และ ข

กิจกรรมที ใหผ้ เู้ รียนระดมพลงั สมองหวั ขอ้ “นกั วจิ ยั ตอ้ งมีคุณสมบตั ิอยา่ งไร” ตามความเขา้ ใจของ ผเู้ รียน

เรืองที ขนั ตอนการทาํ วิจัยอย่างง่าย ขนั ตอนการทาํ วิจยั อยา่ งง่าย ประกอบดว้ ย ขนั ตอน ดงั นี ขันตอนที การกาํ หนดคาํ ถามวิจยั /ปัญหาวิจยั การทาํ วิจัย เริมตน้ จากผวู้ ิจยั อยากรู้อะไร มีปัญหาข้อ สงสยั ทีตอ้ งการคาํ ตอบอะไร ขันตอนที การเขียนโครงการวิจยั ซึงตอ้ งเขียนก่อนการทาํ การวิจยั จริง โดยเขียนใหค้ รอบคลุมหวั ขอ้ ดงั นี 1. ชือโครงการวจิ ยั (จะทาํ วิจยั เรืองอะไร) 2. ความเป็นมาและความสาํ คญั (ทาํ ไมจึงทาํ เรืองนี) 3. วตั ถปุ ระสงคข์ องการวิจยั (อยากรู้อะไรบา้ งจากการวิจยั ) 4. วธิ ีดาํ เนินการวจิ ยั (มีแนวทางขนั ตอนการดาํ เนินงานวจิ ยั อยา่ งไร) 5. ปฏทิ ินปฏิบตั ิงาน (ระยะเวลาการวจิ ยั และแผนการดาํ เนินงาน) 6. ประโยชน์ของการวจิ ยั หรือผลทีคาดวา่ จะไดร้ ับ (การวจิ ยั นีจะเป็นประโยชนอ์ ยา่ งไร) ขันตอนที การดาํ เนินงานตามแผนในโครงการวิจยั ขันตอนที การเขียนรายงานการวิจยั ประกอบดว้ ยหวั ขอ้ ดงั นี 1. ชือเรือง 2. ชือผวู้ จิ ยั 3. ความเป็นมาของการวจิ ยั 4. วตั ถุประสงคข์ องการวจิ ยั 5. วธิ ีดาํ เนินการวจิ ยั 6. ผลการวจิ ยั 7. ขอ้ เสนอแนะ 8. เอกสารอา้ งอิง (ถา้ ม)ี ขันตอนที การเผยแพร่ผลงานวิจัย เป็ นขันตอนสุดทา้ ยของการวิจัยเพือให้บุคคลหรือหน่วยงาน ทีเกียวขอ้ ง นาํ ผลวจิ ยั นนั ไปใชป้ ระโยชนต์ ่อไป

โดยสรุปกระบวนการและขนั ตอนการทาํ วิจยั อยา่ งง่าย เขียนเป็นแผนภมู ิไดด้ งั นี ขันตอน กาํ หนดคาํ ถามวจิ ยั / ปัญหาวจิ ยั เขียนโครงการวจิ ยั ดาํ เนินการตามแผนในโครงการวจิ ยั เขียนรายงานการวิจยั เผยแพร่ผลงานวจิ ยั

กจิ กรรมที ใหผ้ เู้ รียนวงกลมคาํ ตอบทีถกู ตอ้ งต่อไปนี 1. ขนั ตอนการทาํ วิจยั อยา่ งง่ายมีกีขนั ตอน ก. ขนั ตอน ข. ขนั ตอน ค. ขนั ตอน 2. ขนั ตอนแรกของการวจิ ยั คืออะไร ก. คาํ ถาม / ปัญหาการวิจยั ข. วตั ถปุ ระสงคก์ ารวิจยั ค. เขียนรายงานการวิจยั 3. ขนั ตอนสุดทา้ ยของการวจิ ยั คืออะไร ก. การเขียนโครงการวจิ ยั ข. การเผยแพร่ผลงานวจิ ยั ค. การเขียนรายงานการวจิ ยั 4. เหตุผลทีอยากทาํ การวิจยั ตอ้ งเขียนในหวั ขอ้ ใดของโครงการวจิ ยั ก. ชือโครงการวจิ ยั ข. ความเป็นมาและความสาํ คญั ค. วตั ถุประสงคข์ องการวจิ ยั 5. อยากรู้อะไรบา้ งจากการทาํ วจิ ยั ตอ้ งเขียนในหวั ขอ้ ใดของโครงการวจิ ยั ก. ชือโครงการวจิ ยั ข. วตั ถปุ ระสงคข์ องการวจิ ยั ค. ประโยชน์ของการวจิ ยั หรือผลทีคาดวา่ จะไดร้ ับ

เรืองที สถติ งิ ่าย ๆ เพอื การวจิ ยั 1. ความถี (Frequency) ความถี (Frequency) คือ การแจงนบั จาํ นวนของสิงทีเราตอ้ งการศึกษาว่ามีจาํ นวนเท่าใด เช่น จาํ นวนผเู้ รียนในหอ้ งเรียน จาํ นวนสิงของ จาํ นวนคนไปใชส้ ิทธิเลือกตงั เป็นตน้ ตวั อยา่ งที ครู ศรช. ศูนยฯ์ กศน. อาํ เภอ มีทงั หมด คน เราตอ้ งการทราบว่าครู ศรช. ศนู ยฯ์ กศน. อาํ เภอ เป็นเพศหญิงกีคน และเพศชายกีคน เราสามารถแจงนบั จาํ นวนไดด้ งั นี ตารางที การแจงนบั จาํ นวน ครู ศรช. ศนู ยฯ์ กศน. อาํ เภอ แยกตามเพศ เพศ การแจงนบั ความถี (คน) ชาย 15 หญิง 25 รวม 40 40 ตวั อยา่ งที ผเู้ รียนในระดบั ม.ตน้ ของกลุ่มมีทงั หมด คน ตอ้ งการทราบว่าผเู้ รียนมีอาชีพรับราชการ คา้ ขาย เกษตรกรรม รับจา้ ง และอนื ๆ กีคน เราสามารถแจงนบั จาํ นวนไดด้ งั นี ตารางที การแจงนบั จาํ นวนผเู้ รียน ม.ตน้ แยกตามอาชีพ เพศ การแจงนบั ความถี (คน) รับราชการ คา้ ขาย เกษตรกรรม รับจา้ ง อืน ๆ รวม

กจิ กรรมที ใหผ้ เู้ รียนสาํ รวจจาํ นวนคนในครัวเรือนของเพือนในหอ้ งแต่ละคน และทาํ การแจงนับ จาํ นวน เมอื ไดจ้ าํ นวนแลว้ ใส่ในช่องวา่ งตามช่วงทีกาํ หนดให้ จาํ นวนคนในครัวเรือน จาํ นวน – คน จาํ นวน...............................คน จาํ นวน – คน จาํ นวน...............................คน จาํ นวน – คน จาํ นวน...............................คน มากกวา่ คนขึนไป จาํ นวน...............................คน . ร้อยละ (Percentage) ร้อยละ (Percentage) เป็ นสถิติทีใชก้ นั มากในงานวิจยั เพราะคาํ นวณและทาํ ความเขา้ ใจไดง้ ่าย นิยม เรียกว่า เปอร์เซน็ ต์ ใชส้ ญั ลกั ษณ์ % การใชส้ ูตรในการคาํ นวณหาค่าร้อยละมดี งั นี ร้อยละ = ตวั เลขทีตอ้ งการเปรียบเทียบ X 100 จาํ นวนเตม็ ตวั อย่างที จากการสาํ รวจนกั ศึกษาในสถานศึกษาแห่งหนึง มีจาํ นวนทงั สิน คน เป็นนกั ศกึ ษาชาย จาํ นวน คน เป็นนกั ศกึ ษาหญิง จาํ นวน คน คิดเป็นร้อยละไดด้ งั นี นกั ศกึ ษาชาย 18 X 100 = 60.00 % 30 นกั ศกึ ษาหญิง 12 X 100 = 40.00 % 30 การคาํ นวณค่าร้อยละ เมือรวมกลุ่มหรือตวั เลขเปรียบเทียบแลว้ จะได้ 100 % เสมอ ยกเวน้ ถา้ มีจุดทศนิยมและมีการปัดเศษทีนอ้ ยกว่า . ใหป้ รับลง เช่น . – . ปรับเป็ น . ถา้ ตงั แต่ . ขึนไปใหป้ รับขึน เช่น . – . ปรับเป็น

. ค่าเฉลยี (Mean) ค่าเฉลยี (Mean) เป็นการนาํ ค่าของขอ้ มลู ทงั หมดรวมกนั แลว้ หารดว้ ยจาํ นวนขอ้ มลู ทีมอี ยู่ การใช้ สูตรในการคาํ นวณหาค่าเฉลยี ไดด้ งั นี ค่าเฉลีย = ผลรวมของขอ้ มลู ทงั หมด จาํ นวนขอ้ มลู ทีมีอยู่ ตวั อย่างที ถา้ เราอยากทราบวา่ เพอื นในหอ้ งของเราจาํ นวน คน ซึงมีอายุ และ เรียงตามลาํ ดบั มีอายุเฉลียเท่าใด เราสามารถคาํ นวณไดด้ งั นี + + + + + + + + + + ..................... + = 729 30 = 24.30 กจ็ ะไดค้ าํ ตอบว่า ค่าเฉลียของเพือนในหอ้ งทงั คน เท่ากบั . ปี กิจกรรมที ให้ผเู้ รียนสาํ รวจคะแนนปลายภาควิชาภาษาไทยของเพือนในห้อง และหาค่าเฉลียของ คะแนนทีได้

เรืองที เครืองมอื การวจิ ยั เพอื เกบ็ รวบรวมข้อมูล เครืองมือการวิจยั เป็ นสิงสาํ คญั ในการเก็บรวบรวมขอ้ มลู สิงทีตอ้ งการศึกษา เครืองมือทีใชใ้ น การวจิ ยั มหี ลายประเภท ไดแ้ ก่ แบบสอบถาม แบบสมั ภาษณ์ และแบบสงั เกต แบบสอบถาม แบบสอบถามเป็นเครืองมือการวิจยั ทีนิยมนาํ มาใชร้ วบรวมขอ้ มลู งานวิจยั เชิงปริมาณ เช่น การ วจิ ยั เชิงสาํ รวจ การวจิ ยั เชิงอธิบาย เป็นตน้ แบบสอบถามมีทงั แบบสอบถามปลายปิ ด และแบบสอบถาม ปลายเปิ ด แบบสัมภาษณ์ แบบสมั ภาษณ์ เป็นเครืองมือการวิจยั ทีใชใ้ นการเกบ็ รวบรวมขอ้ มลู งานวิจยั ทุกประเภท ทุกสาขา แต่ทีนิยมคือใชก้ บั การวิจยั เชิงคุณภาพ การสัมภาษณ์ เป็ นการรวบรวมขอ้ มูลในลกั ษณะเผชิญหน้ากนั ระหว่างผสู้ ัมภาษณ์ และผใู้ ห้ สมั ภาษณ์ โดยผสู้ มั ภาษณ์เป็นผซู้ กั ถามและผใู้ หส้ มั ภาษณ์เป็นผใู้ หข้ อ้ มลู หรือตอบคาํ ถามของผสู้ มั ภาษณ์ เช่นครูสมั ภาษณ์นกั ศกึ ษาเกียวกบั การเรียนการสอน คณะกรรมการสมั ภาษณ์นกั ศึกษาทีสอบเขา้ เรียนใน สถานศึกษาได้ แบบสังเกต แบบสงั เกตเป็ นเครืองมือการเก็บรวบรวมขอ้ มูล ทีใช้ได้กบั งานวิจยั ทุกประเภท โดยเฉพาะ งานวิจยั เชิงคุณภาพ งานวิจยั เชิงทดลอง เช่น ใชแ้ บบสังเกตพฤติกรรมของนกั ศึกษาในการใชห้ อ้ งสมุด ผสู้ งั เกตจะบนั ทึกพฤติกรรมของนกั ศึกษาตามความเป็นจริง กจิ กรรมที ใหผ้ เู้ รียนทุกคนไปศกึ ษาตวั อยา่ ง แบบสอบถาม แบบสมั ภาษณ์ และแบบสงั เกตเพมิ เติมจาก เอกสาร หรือจาก Website ทีเกียวขอ้ งแลว้ นาํ มาแลกเปลียนเรียนรู้ในการพบกลมุ่

เรืองที การเขียนโครงการวจิ ยั อย่างง่าย โครงการวิจัย คือ แผนการดาํ เนินวิจัยทีเขียนขึนก่อนการทาํ วิจัยจริง มีความสาํ คญั คือเป็ น แนวทางในการดาํ เนินการวจิ ยั สาํ หรับผวู้ ิจยั เองและผเู้ กียวขอ้ ง การเขียนโครงการวจิ ยั อยา่ งง่าย อาจไม่จาํ เป็นตอ้ งเขียนใหค้ รบทุกหวั ขอ้ ตามหลกั การโดยทวั ไป (ซึงมปี ระมาณ หวั ขอ้ ) แต่เขียนใหค้ รอบคลมุ หวั ขอ้ ต่อไปนี 1. ชือโครงการวิจยั (จะทาํ วจิ ยั เรืองอะไร) 2. ความเป็นมาและความสาํ คญั (ทาํ ไมจึงทาํ เรืองนี) 3. วตั ถุประสงคข์ องการวิจยั (อยากรู้อะไรบา้ งจากการวิจยั ) 4. วิธีดาํ เนินการวจิ ยั (มีแนวทางขนั ตอนการดาํ เนินงานวจิ ยั อยา่ งไร) 5. ปฏทิ ินปฏิบตั ิงาน (ระยะเวลาการวจิ ยั และแผนการดาํ เนินงานวิจยั ) 6. ประโยชนข์ องการวจิ ยั หรือผลทีคาดวา่ จะไดร้ ับ (การวิจยั นีจะเป็นประโยชน์อยา่ งไร) รายละเอียดและคาํ อธิบายการเขียนแต่ละหวั ขอ้ ดงั ต่อไปนี 1. ชือโครงการวิจัย ชือโครงการวิจัยควรกะทัดรัด สือความหมายได้ชัดเจน มีความ เฉพาะเจาะจงในสิงทีศึกษา 2. ความเป็ นมาและความสําคัญ เขียนอธิบายใหเ้ ห็นความสาํ คญั ของสิงทีศึกษาเขียนให้ตรง ประเดน็ กระชบั เป็นเหตุเป็นผล มอี า้ งองิ เอกสารทีศกึ ษา (ถา้ มี) 3. วตั ถุประสงค์ของการวิจัย เขียนใหส้ อดคลอ้ งกบั ชือโครงการวิจยั ครอบคลุมเรืองทีศึกษา เขียนใหช้ ดั เจน อาจมขี อ้ เดียวหรือหลายขอ้ ก็ได้ 4. วธิ ีดําเนนิ การวจิ ยั ระบุถงึ วธิ ีการดาํ เนินการวิจยั ใหค้ รอบคลุมหวั ขอ้ ดงั ต่อไปนี 4.1 ประชากรกล่มุ ตวั อยา่ ง สิงทีศกึ ษาคืออะไร มจี าํ นวนเท่าไร 4.2 วิธีการเก็บรวบรวมขอ้ มลู ระบุวิธีการเก็บการบนั ทึกขอ้ มูล ระยะเวลา หรือช่วงเวลา สถานที 4.3 เครืองมือวจิ ยั ระบุชนิด เครืองมือทีใชใ้ นการรวบรวมขอ้ มลู เช่นแบบสอบถาม แบบ สมั ภาษณ์ แบบสาํ รวจ 4.4 การวิเคราะหข์ อ้ มลู ระบุวธิ ีการวิเคราะห์ขอ้ มลู สถิติทีใช้ 5. ปฏิทินปฏิบัติงาน เขียนขนั ตอนการดาํ เนินการวิจัยโดยละเอียด และระยะเวลาการ ดาํ เนินการ แต่ละขนั ตอน 6. ประโยชน์ทีคาดว่าจะได้รับ เขียนเป็นขอ้ ๆ ถงึ ประโยชน์ ทีคาดว่าจะเกิดขึนจากการทาํ วิจยั กจิ กรรมที ใหผ้ เู้ รียนแบ่งกลุ่ม กลุ่มละ คน แต่ละกลุ่มไปศึกษาการเขียนโครงการวิจยั ทีสนใจ แลว้ สรุปใหค้ รอบคลมุ หวั ขอ้ การเขียนโครงการวิจยั อยา่ งง่าย หวั ขอ้ ขา้ งตน้

กจิ กรรมที เฉลยกิจกรรม 1. ค 2. ก 3. ค กจิ กรรมที นกั วิจยั ควรมีคุณสมบตั ิ เช่นรู้จกั สังเกต แสวงหาความรู้จากแหล่งต่างๆ จดบนั ทึก วิเคราะห์ สรุปผล และเผยแพร่ผลงาน เป็นตน้ กจิ กรรมที 1. ค 2. ก 3. ข 4. ข 5. ข กจิ กรรมที การแจงนบั จาํ นวนคนในครัวเรือน เป็นไปตามขอ้ มลู การสาํ รวจ กจิ กรรมที ค่าเฉลยี เป็นไปตามขอ้ มลู ทีสาํ รวจคะแนนปลายภาค ตรวจความถกู ตอ้ งของการคิดค่าเฉลียของ ผเู้ รียน กจิ กรรมที สงั เกต สอบถาม ขอ้ มลู ทีผเู้ รียนนาํ มาแลกเปลยี นเรียนรู้ในกลมุ่ กจิ กรรมที เป็ นไปตามรายละเอียดและคาํ อธิบายการเขียนแต่ละหวั ขอ้ ว่าเขียนได้กระชบั ถูกตอ้ งหรือไม่ อยา่ งไร

บทที 6 ทกั ษะการเรียนรู้และศักยภาพหลกั ของพนื ทีในการพฒั นาอาชีพ ในปัจจุบนั โลกมกี ารแข่งขนั กนั มากขึน โดยเฉพาะการประกอบอาชีพต่าง ๆ จาํ เป็ นตอ้ ง มีความรู้ความสามารถ ความชาํ นาญการ ทังภาคทฤษฎี และปฏิบตั ิ ผทู้ ีประสบผลสาํ เร็จในอาชีพของ ตนเอง จะตอ้ งมีการค้นคว้า หาความรู้จากแหล่งเรียนรู้ต่าง ๆ เพือเพิมพูนความรู้ความสามารถให้ สอดคลอ้ งกบั การเปลยี นแปลงอยตู่ ลอดเวลา การทีจะจดั การอาชีพใหไ้ ดผ้ ลสาํ เร็จนันจาํ เป็ นตอ้ งมีปัจจยั หลายดา้ น การเรียนรู้ปัจจยั ดา้ นศกั ยภาพหลกั ของพนื ที เป็นเรืองทีสาํ คญั เรืองหนึงทีตอ้ งเรียนรู้ เรืองที 1 ความหมายความสําคญั ของศักยภาพหลกั ของพนื ทใี นการพฒั นาอาชีพ การใช้ทักษะการเรี ยนรู้ในการเรี ยนรู้เกียวกับศกั ยภาพหลกั ของพืนทีเพือเพิมขีด ความสามารถในการพฒั นาอาชีพเป็ นสิงจาํ เป็ น เพราะในสภาพการปัจจุบนั ทีผ่านมาประเทศไทยจะ สามารถยกระดบั คุณภาพการศกึ ษาใหป้ ระชาชนในแต่ละพืนทีมีงานทาํ แลว้ ในระดบั หนึง แต่ดว้ ยพลวตั ของโลกทีเปลยี นแปลงอยา่ งรวดเร็ว และรุนแรงของสังคมโลกดงั กล่าวไดส้ ่งผลต่อสังคมไทย ใหเ้ ขา้ สู่ สงั คมแห่งการแข่งขนั อยา่ งหลีกเลียงไม่ได้ ความอยรู่ อดของประเทศ ปัจจุบนั ขึนอยกู่ บั ความสามารถใน การแข่งขนั และการพฒั นาศกั ยภาพของประเทศให้เกิดประโยชน์สูงสุด ประเทศไทยจึงตอ้ งเพิมขีด ความสามารถในการแข่งขนั ในระดบั โลก จากรายงานของสถาบนั เพือการพฒั นาการจดั การ(IMD) การ จดั อนั ดบั ของ IMD ในรอบ ปี ทีผา่ นมา ประเทศไทยถกู จดั อนั ดบั สมรรถนะหรือความสามารถในการ แข่งขนั อยกู่ ลางๆ ค่อนไปทางทา้ ย โดยเปรียบเทียบแลว้ อย่ตู าํ กว่า ประเทศสิงคโปร์ ไตห้ วนั เกาหลีใต้ ฮ่องกง และ มาเลเซีย มาตลอด การจดั ลาํ ดบั ประเทศไทย โดย IMD ใน ปี ลา่ สุด (พ.ศ. - ) ไทย อยอู่ นั ดบั ที จาก อนั ดบั ที สมรรถนะทีตาํ หรือเป็นจุดอ่อนของประเทศไทยดา้ นหนึงคือ สมรรถนะ ดา้ นการศึกษา ซึงอยใู่ นอนั ดบั ทีประมาณ กว่าจาก ประเทศ ตวั อยา่ งสาํ คญั ทีเห็นไดเ้ ด่นชดั ทีสุด คือ ในปี จะมีการรวมตวั กนั ของกลุม่ ประเทศ ASEAN จะเริมตน้ ขึน เกิดความเคลือนไหวอย่างเสรีของ สินคา้ บริการ การลงทุน และแรงงานฝี มือ หากประเทศไทยไม่เตรียมพร้อม และไม่สามารถแข่งขนั ใน เวทีระดบั ภูมิภาคได้ จะทาํ ให้เสียเปรียบประเทศเพือนบา้ น การยกระดับคุณภาพการศึกษา จึงต้อง ยกระดบั ความสามารถในการแข่งขนั ดว้ ย และไม่เพียงแต่ในภูมิภาคอาเซียนเท่านนั หากแต่จะตอ้ งเป็ น ทุกภมู ิภาคของโลก เพราะทุกภูมิภาคไมว่ า่ จะเป็นพืนทีทีเจริญแลว้ หรือกาํ ลงั พฒั นาก็ตาม ลว้ นมีโอกาส ทีซ่อนอยทู่ ังสิน หากการศึกษาสร้างคนทีมีความรู้ความสามารถ มีวิสัยทศั น์ สามารถมองเห็นโอกาส ทีซ่อนอยู่ จะทาํ ใหป้ ระเทศยนื อยบู่ นเวทีโลกไดอ้ ยา่ งมนั คง และสามารถแข่งขนั ไดใ้ นระดบั สากล ดว้ ยเหตุนี การศึกษาตอ้ งเริมตน้ จากการวิเคราะห์ และคน้ หาศกั ยภาพภายในออกมาก่อน และ ควบคู่ไปกบั ทาํ ความเขา้ ใจการเป็นไปของโลก จึงตอ้ ง “ดูเรา ดูโลก” คือ เขา้ ใจตวั เอง และเขา้ ใจว่าโลก

หมุนไปทางใด เพือวิงไปโดยไม่ทิงใครไวข้ า้ งหลงั มีความรู้เท่าทนั ทุนนิยม และรู้ขอ้ จดั กาํ จดั ของเรา และโดยเฉพาะอยา่ งยงิ เมอื ประเทศไทยกาํ ลงั จะกา้ วเขา้ สู่ประชาคมอาเซียนในปี ประเทศไทยจาํ เป็ น ทีจะตอ้ งเตรียมความพร้อมใหก้ บั ประชาชน ในการตงั รับเขตการคา้ เสรี ทงั สินคา้ และแรงงานทีจะไหลเขา้ มา ภายใตเ้ ขตเศรษฐกิจ สงั คม และวฒั นธรรมทีเป็ นหนึงเดียว โดยการสนบั สนุนใหเ้ กิดการสร้างองค์ ความรู้ในดา้ นต่างๆ โดยเฉพาะการสร้างองคค์ วามรู้ผา่ นกลไกการสร้างงานวิจยั ดา้ นสงั คม ใหเ้ ท่าเทียมกบั งานวจิ ยั ดา้ นวิทยาศาสตร์ กระทรวงศึกษาธิการ ไดก้ าํ หนดยทุ ธศาสตร์การพฒั นาการศึกษาในการพฒั นา 5 ศกั ยภาพของ พนื ทีใน 5 กลุ่มอาชีพใหม่ ให้สามารถแข่งขนั ใน 5 ภูมิภาคหลกั ของโลก เพือพฒั นาใน 5 ศกั ยภาพของ พนื ทีคือ 1.ศกั ยภาพของธรรมชาติในแต่ละพืนที 2.ศกั ยภาพของพืนทีตามลกั ษณะภูมิอากาศ 3.ศกั ยภาพ ของภูมิประเทศและทาํ เลทีตังของแต่ละพืนที 4.ศกั ยภาพของศิลปวฒั นธรรม ประเพณี องค์ความรู้ ภมู ิปัญญา และวถิ ชี ีวติ ของแต่ละพืนที 5.ศกั ยภาพของทรัพยากรมนุษยใ์ นแต่ละพืนที ทงั นี คาํ นึงถึงการ พฒั นาหลกั สูตรตาม 5 กลุม่ อาชีพ คือ เกษตรกรรม อุตสาหกรรม พาณิชยการ ความคิดสร้างสรรค์ และ การอาํ นวยการและอาชีพเฉพาะทาง” ศักยภาพ (Potential) หมายถึง ความสามารถในตวั คนแต่ละคนเป็ นพลงั ภายใน พลงั ที ซ่อนไวห้ รือพลงั แฝงทียงั ไม่ไดแ้ สดงออกมาใหป้ รากฏ หรือออกมาบา้ งแต่ไมห่ มด การวเิ คราะห์ คือ การแยกแยะสิงทีจะพิจารณาออกเป็ นส่วนยอ่ ย ทีมีความสมั พนั ธ์กนั รวมถึงสืบคน้ ความสมั พนั ธส์ ่วนยอ่ ยเหล่านนั ศักยภาพหลักของพืนที หมายถึง ศกั ยภาพของทรัพยากรธรรมชาติในแต่ละพืนที ศกั ยภาพของพนื ทีตามหลกั ภูมิอากาศ ศกั ยภาพของภูมิประเทศ และทาํ เลทีตงั ของแต่ละพืนที ศกั ยภาพ ของศลิ ปะ วฒั นธรรม ประเพณี และวถิ ีชีวิตของแต่ละพืนที และศกั ยภาพของทรัพยากรมนุษยใ์ นแต่ละ พนื ที

เรืองที การวเิ คราะห์ศักยภาพหลกั ของพนื ทีในการพฒั นาอาชีพ . ศักยภาพของทรัพยากรธรรมชาตใิ นแต่ละพนื ที หมายถึง สิงต่าง ๆ(สิงแวดลอ้ ม) ทีเกิดขึนเอง ตามธรรมชาติและมนุษย์ สามารถนาํ มาใชป้ ระโยชน์ได้ เช่น บรรยากาศ ดิน นาํ ป่ าไม้ ทุ่งหญา้ สตั วป์ ่ า แร่ ธาตุ พลังงาน และกําลังแรงงานมนุ ษย์ เป็ นต้น ดังนัน การแยกแยะเพือนําเอาศักยภาพของ ทรัพยากรธรรมชาติในแต่ละพืนทีเพือนํามาใชป้ ระโยชน์ในด้านการประกอบอาชีพตอ้ งพิจารณาว่า ทรัพยากรทางธรรมชาติทีจะตอ้ งนาํ มาใชใ้ นการประกอบอาชีพในพืนทีมีหรือไม่มีเพียงพอหรือไม่ ถา้ ไม่ มี ผปู้ ระกอบการตอ้ งพิจารณาใหม่ว่าจะประกอบอาชีพทีตดั สินใจเลือกไวห้ รือไม่ เช่น การผลิตนาํ แร่ ธรรมชาติ แต่ในพืนทีไม่มีตานําไหลผ่านและไม่สามารถขุดนําบาดาลได้ ซึงผปู้ ระกอบการจะต้อง พิจารณาว่ายงั จะประกอบอาชีพนีอีกหรือไม่ และถา้ ตอ้ งการประกอบอาชีพนีจริงๆเนืองจากตลาดมีความ ตอ้ งการมาก็ตอ้ งพิจารณาวา่ การลงทุนหาแร่ธาตุทีจะมาใชใ้ นการผลติ คุม้ หรือไม่ . ศักยภาพของพนื ทีตามหลกั ภูมอิ ากาศ หมายถงึ ลกั ษณะของลมฟ้ าอากาศทีมอี ยปู่ ระจาํ ทอ้ งถนิ ใดทอ้ งถินหนึงโดยพิจารณาจากค่าเฉลียของอุณหภูมิประจาํ เดือน และปริมาณนาํ ฝนในช่วงระยะเวลา ต่างๆของปี เช่นภาคเหนือของประเทศไทยมีอากาศหนาวเยน็ หรือเป็ นแบบสะวนั นา (Aw) คือ อากาศ ร้อนชืนสลบั กบั ฤดูแลง้ เกษตรกรรม กิจกรรมทีทาํ รายไดต้ ่อประชากรในภาคเหนือ ไดแ้ ก่ การทาํ สวน ทาํ ไร่ ทาํ นา และเลียงสตั วภ์ าคใตเ้ ป็ นภาคทีมีฝนตกตลอดทงั ปี ทาํ ให้เหมาะแก่การปลูกพืชเมืองร้อน ทีตอ้ งการความชุ่มชืนสูง เช่น ยางพารา ปาลม์ นาํ มนั เป็นตน้ ดงั นนั การประกอบอาชีพอะไรก็ตามจาํ เป็ น พิจารณาสภาพภูมอิ ากาศดว้ ย . ศักยภาพของภูมปิ ระเทศและทําเลทีตงั ของแต่ละพืนที หมายถึงลกั ษณะของพืนทีและทาํ เล ทีตงั ในแต่ละจงั หวดั ซึงมลี กั ษณะแตกต่างกนั เช่น เป็นภเู ขา ทีราบสูง ทีราบลมุ่ ทีราบชายฝัง สิงทีเราตอ้ ง ศกึ ษาเกียวกบั ลกั ษณะภมู ิประเทศ เช่น ความกวา้ ง ความยาว ความลาดชนั และความสูงของพนื ที เป็ นตน้ ซึงในการประกอบอาชีพใดๆกต็ ามไม่วา่ จะเป็นการผลิต การจาํ หน่าย หรือการใหบ้ ริการกต็ ามจาํ เป็ นตอ้ ง พจิ ารณาถงึ ทาํ เลทีตงั ทีเหมาะสม . ศักยภาพของศิลปะ วฒั นธรรม ประเพณี และวถิ ชี ีวติ ของแต่ละพนื ที จากการทีประเทศ ไทยมสี ภาพภูมปิ ระเทศ ภมู อิ ากาศ และทรัพยากรธรรมชาติทีแตกต่างกนั ออกไปในแต่ละภาค จึงมีความ แตกต่างกนั ในการดาํ รงชีวติ ของประชากรทงั ดา้ นวฒั นธรรม ประเพณี และการประกอบอาชีพระบบการ เกษตรกรรม สงั คมไทยเป็ นสังคมเกษตรกรรม (Agricultural society) กล่าวคือ ประชากรร้อยละ 80 ประกอบอาชีพเกษตรกรรม หรือกล่าวอีกนยั หนึงไดว้ ่า คนไทยส่วนใหญ่มีวิถีชีวิตผกู พนั กบั ระบบการ เกษตรกรรม และระบบการเกษตรกรรมนีเอง ไดเ้ ป็นทีมาของวฒั นธรรมไทยหลายประการ เช่น ประเพณี ขอฝน ประเพณีลงแขก และการละเลน่ เตน้ กาํ ราํ เคียว เป็นตน้

. ศักยภาพของทรัพยากรมนุษย์ในแต่ละพนื ที หมายถึง เป็ นการนาํ ศกั ยภาพของแต่ละ บุคคลในแต่ละพนื ทีมาใช้ ในการปฏบิ ตั ิงานใหเ้ กิดประโยชน์สูงสุด และสร้างใหแ้ ต่ละบุคคลเกิดทศั นคติ ทีดีต่อองคก์ าร ตลอดจนเกิดความตระหนกั ในคุณค่าของตนเอง เพือนร่วมงานและองคก์ าร เมือพิจารณา ถงึ ทรัพยากรมนุษยใ์ นแต่ละพนื ที โดยเฉพาะภูมิปัญญาไทย แมว้ า่ กาลเวลาจะผ่านไป ความรู้สมยั ใหม่จะ หลงั ไหลเขา้ มามาก แต่ภูมิปัญญาไทยก็สามารถปรับเปลียนให้เหมาะสมกับยุคสมยั เช่นการรู้จักนาํ เครืองยนตม์ าติดตงั กบั เรือ ใส่ใบพดั เป็นหางเสือ ทาํ ใหเ้ รือสามารถแล่นไดเ้ ร็วขึน เรียกวา่ เรือหางยาว การ รู้จกั ทาํ การเกษตรแบบผสมผสาน สามารถพลิกฟื นคืนธรรมชาติให้อุดมสมบูรณ์แทนสภาพเดิมทีถูก ทาํ ลายไป การรู้จกั ออมเงิน สะสมทุนใหส้ มาชิกกยู้ มื ปลดเปลอื งหนีสิน และจดั สวสั ดิการแก่สมาชิก จน ชุมชนมีความมนั คง เขม้ แข็ง สามารถช่วยตนเองไดห้ ลายร้อยหม่บู ้านทวั ประเทศ เช่นกลุ่มออมทรัพย์ คีรีวง จงั หวดั นครศรีธรรมราชจดั ในรูปกองทุนหมุนเวยี นของชุมชน จะเห็นไดว้ ่า การวิเคราะห์ศกั ยภาพมคี วามสาํ คญั และจาํ เป็ นต่อการพฒั นาอาชีพใหเ้ ขม้ แข็งมาก หากไดว้ ิเคราะห์แยกแยะศกั ยภาพของตนเองอย่างรอบด้าน ปัจจยั ภายในตวั ตนผปู้ ระกอบการ ปัจจยั ภายนอกของผปู้ ระกอบการ โอกาสและอุปสรรคในการประกอบธุรกิจการคา้ ยงิ วิเคราะห์ไดม้ ากและ ถูกต้องแม่นยาํ มาก จะทาํ ให้ผปู้ ระกอบการรู้จกั ตนเอง อาชีพของตนเองไดด้ ียิงขึนเหมือนคาํ กล่าว รู้เขา รู้เรา รบร้อยครัง ชนะทงั ร้อยครัง

เรืองที ตวั อย่างอาชีพทสี อดคล้องกบั ศักยภาพหลกั ของพนื ที 1. กล่มุ อาชีพใหม่ด้านเกษตรกรรม กลุ่มการผลติ เช่น การผลิตไมด้ อกเพอื การคา้ การผลิตป๋ ุยอนิ ทรีย์ การผลติ ไก่อนิ ทรีย์ กลุ่มแปรรูป เช่น การแปรรูปปลานิลแดดเดียว การแปรรูปทาํ ไสก้ รอกจากปลาดุก กลุ่มเศรษฐกิจพอเพียง เช่น การเกษตรแบบยงั ยืน การเกษตรผสมผสานตามแนวทาง เกษตรทฤษฎีใหม่ และแนวทางเศรษฐกิจพอเพยี ง การฝึกอบรมเกษตรทางเลือก ภายใตเ้ ศรษฐกิจพอเพียง ตวั อย่างอาชีพ การปลูกพชื ผกั โดยวธิ ีเกษตรธรรมชาติ ปัจจุบนั การเพาะปลกู ของประเทศไทยประสบปัญหาหลายประการทีสาํ คญั ประการแรกคือ พืนทีทาํ การเกษตรส่วนใหญ่เป็ นดินทีขาดความอุดมสมบูรณ์ ประการทีสองเกษตรกรประสบปัญหา แมลงศตั รูรบกวนและหนทางทีเกษตรกรเลือกใช้แกป้ ัญหาส่วนใหญ่ก็คือสารเคมีฆ่าแมลง ซึงเป็ น อนั ตรายต่อเกษตรกรผผู้ ลติ และผบู้ ริโภค และเกิดมลพิษในสภาพแวดลอ้ ม ทางการแกป้ ัญหาดงั กล่าวตาม แนวพระราชดาํ ริกค็ ือ “แนวทางการเกษตรธรรมชาติแบบยงั ยนื ตามแนวพระราชดาํ ริ” ซึงจะเป็นแนวทาง ทีจะทาํ ให้ดินเป็ นดินทีมีความอุดมสมบูรณ์ เป็ นดินทีมีชีวิต มีศกั ยภาพในการผลิตและใหผ้ ลผลิตทาง การเกษตรทีปลอดภยั จากสารพิษต่าง ๆ ทางการเกษตร ดงั นนั ผเู้ รียนควรมีความรู้ ความเขา้ ใจ ทกั ษะและ เจตคติเกียวกบั แนวพระราชดาํ ริของพระบาทสมเดจ็ พระเจา้ อยหู่ วั หลกั เกษตรธรรมชาติ การปรับปรุงดิน โดยใชป้ ๋ ุยอนิ ทรียแ์ ละป๋ ุยชีวภาพ ดินและอินทรียวตั ถุในดิน ชมแปลงสาธิต-ทดลองเกษตรธรรมชาติ การ ป้ องกันและกาํ จดั ศตั รูพืชโดยวิธีเกษตรธรรมชาติ การทาํ สมุนไพรเพือป้ องกนั และกําจัดศตั รูพืช มาตรฐานเกษตรธรรมชาติ ศฝก. ฝึกปฏิบตั ิการทาํ ป๋ ุยหมกั ป๋ ุยนาํ ชีวภาพและนาํ สกดั ชีวภาพ ฝึกปฏิบตั ิการ เพาะกลา้ และฝึกปฏบิ ตั ิงานในแปลงเกษตร มาตรฐานเกษตรธรรมชาติ MOA มาตรฐานเกษตรธรรมชาติ ศฝก. การจดั ดอกไม้การแปรรูปผลผลติ การเกษตร การวางแผนการปลกู พืชผกั โดยวธิ ีเกษตรธรรมชาติใน อนาคต การติดตามผลและใหค้ าํ แนะนาํ

การวเิ คราะห์ 5 ศักยภาพของพนื ที ในกล่มุ อาชีพใหม่ด้านเกษตรกรรม ที ศักยภาพ รายละเอยี ดทคี วรพจิ ารณาในประเดน็ 1 การวเิ คราะห์ ทรัพยากรธรรมชาติ - ดินมีความสมบรู ณ์ ในแต่ละพนื ที - ไม่มีแมลงศตั รูรบกวน - มีแหล่งนํา และลักษณะภูมิประเทศทีเป็ นทีราบลุ่มแม่นํา 2 การวเิ คราะห์ พนื ทีตามลกั ษณะ ทีอุดมสมบูรณ์เหมาะสมในการทาํ การเกษตร ภูมอิ ากาศ ฤดูกาล ภูมิอากาศเหมาะสมต่อการปลูกพืชผกั เช่น ไม่อย่ใู นพืนที นาํ ท่วม มีอากาศเยน็ ไมร่ ้อนจดั 3 การวิเคราะห์ ภูมปิ ระเทศ และทาํ เลทีตงั - เป็นฐานการผลิตทางการเกษตร ของแต่ละพืนที - มแี หล่งชลประทาน - ไมม่ คี วามเสียงจากภยั ธรรมชาติทีมผี ลความเสียหายรุนแรง - มพี นื ทีพอเพยี งและเหมาะสม - มีการคมนาคมทีสะดวก 4 การวเิ คราะห์ ศิลป วฒั นธรรม ประเพณี - มีวิถีชีวติ เกษตรกรรม และวิถีชีวิตของแต่ละพนื ที - ประชาชนสนใจในวถิ ีธรรมชาติ 5 การวเิ คราะห์ ทรัพยากรมนุษย์ - มภี มู ิปัญญา/ผรู้ ู้ เกียวกบั เกษตรธรรมชาติ ในแต่ละพนื ที - มีกระแสการสนบั สนุนเกษตรธรรมชาติจากสงั คมสูง

2. กล่มุ อาชีพใหม่ด้านอตุ สาหกรรม ภาคการผลติ ได้แก่ กลุ่มไฟฟ้ าและอิเล็กทรอนิกส์ เช่น ช่างไฟฟ้ าอุตสาหกรรม ช่างเชือมโลหะดว้ ย ไฟฟ้ าและแกส๊ ช่างเชือมเหลก็ ดดั ประตู หนา้ ต่าง ช่างเดินสายไฟฟ้ าภายในอาคาร ช่างเดินสายและติดตงั อปุ กรณ์ไฟฟ้ า กล่มุ เสือผ้า สิงทอ เช่น การทาํ ซิลคส์ กรีน การทาํ ผา้ มดั ยอ้ มและมดั เพนท์ การทาํ ผา้ ดว้ ยกีกระตุก การทาํ ผา้ บาติค กล่มุ เครืองยนต์ เช่น การซ่อมรถจกั รยานยนตแ์ ละเครืองยนต์ ช่างเครืองยนตช์ ุมชน ช่างเคาะตวั ถงั รถยนต์ กลุ่มศิลปะประดิษฐ์และอญั มณี เช่น การแกะสลกั วสั ดุอ่อนเบืองตน้ การขึนรูป กระถางต้นไมด้ ว้ ยแป้ นหมุน การทาํ ของชาํ ร่วยด้วยเซรามิค การออกแบบเครืองโลหะและรูปภณั ฑ์ อญั มณี ตวั อย่างอาชีพ การเป็ นตวั แทนจาํ หน่ายทีพกั และบรกิ ารท่องเทยี วในแหล่งท่องเทยี ว เชิงวฒั นธรรม ในกลุ่มประเทศภมู ภิ าคอาเซียนโดยใช้คอมพวิ เตอร์อนิ เทอร์เน็ต สืบเนืองจากความเปลยี นแปลงของประชาคมโลกทีมีการติดต่อสือสารกนั มากขึนอย่างรวดเร็ว และกลุ่มประเทศอาเซียนไดม้ ีนโยบายใหเ้ กิดประชาคมอาเซียนขึน ซึงหมายถึงคนในภูมิภาคดงั กล่าว จะติดต่อไปมาหาสู่กนั มากขึน และในการนีการเดินทางท่องเทียวของประชาชนก็จะมีมากขึนจากความ สนใจใคร่รู้ใคร่เห็นเกียวกบั ประเพณีวฒั นธรรมของชาติเพอื นบา้ น การท่องเทียวเป็นอุตสาหกรรมบริการ ทีมกี ารเจริญเติบโตอยา่ งรวดเร็วทวั โลก โดยมีเอกลกั ษณ์เฉพาะตวั ซึงแตกต่างจากอุตสาหกรรมประเภท อนื ๆ คือการสร้างรายไดเ้ ป็นเงินตราต่างประเทศเขา้ ประเทศเป็นจาํ นวนมหาศาล เมือเทียบกบั รายไดจ้ าก สินคา้ อนื ๆ การขยายตวั ของอตุ สาหกรรมการท่องเทียวดงั กล่าว ทาํ ใหธ้ ุรกิจทีเกียวขอ้ งกบั การท่องเทียว ไดแ้ ก่ ธุรกิจโรงแรม ร้านอาหาร คมนาคม และขนส่ง มกี ารขยายตวั ตามไปดว้ ยและการท่องเทียวยงั ถกู ใช้ เป็นเครืองมือในการกระจายรายไดแ้ ละความเจริญไปสู่ภมู ภิ าคต่าง ๆ ก่อให้เกิดการสร้างงานสร้างอาชีพ ใหแ้ ก่ชุมชนในทอ้ งถนิ และยงั มบี ทบาทในการกระตุน้ ใหเ้ กิดการผลติ และการนาํ เอาทรัพยากรธรรมชาติ ต่าง ๆ มาใชใ้ ห้เกิดประโยชน์อย่างเหมาะสม โดยอยใู่ นรูปของสินคา้ และบริการเกียวกบั การท่องเทียว ดงั นนั การรวบรวมนาํ เสนอขอ้ มลู การใหบ้ ริการเกียวกบั การท่องเทียวโดยการเป็นตวั กลางระหว่างสถาน ประกอบการ/ผปู้ ระกอบการกบั ผใู้ ชบ้ ริการ จึงเป็ นอาชีพทีน่าสนใจและมีโอกาสก้าวหน้าสูง ดังนัน ผเู้ รียนจึงควรมีความรู้ ความเขา้ ใจ ทกั ษะ และเจตคติเกียวกบั ธุรกิจทีพกั และการใหบ้ ริการการท่องเทียว เชิงวฒั นธรรมในกล่มุ ประเทศอาเซียน การใชค้ อมพิวเตอร์อินเทอร์เน็ตสาํ หรับการเป็ นตวั แทนจาํ หน่าย

ระหว่างเจ้าของ/ผปู้ ระกอบการการท่องเทียวเชิงวฒั นธรรมกับผใู้ ชบ้ ริการผา่ นทางอินเทอร์เน็ต การเจรจาต่อรองในฐานะตวั แทนจาํ หน่าย การประเมนิ ผลและพฒั นาธุรกิจของตน การวเิ คราะห์ 5 ศักยภาพของพนื ที ในกล่มุ อาชีพใหม่ด้านอตุ สาหกรรม ที ศักยภาพ รายละเอยี ดทคี วรพจิ ารณาในประเด็น 1 การวเิ คราะหท์ รัพยากรธรรมชาติ ขอ้ มลู ของแหล่งท่องเทียว ในแต่ละพนื ที 2 การวิเคราะห์พนื ทีตามลกั ษณะภมู อิ ากาศ แหล่งท่องเทียวมีบรรยากาศทีเหมาะสม 3 การวิเคราะห์ภูมิประเทศ และทาํ เลทีตัง มีทาํ เลทีตงั ในชุมชน สงั คม ทีมกี ารคมนาคมสะดวก ของแต่ละพืนที 4 การวเิ คราะห์ศิลปะ วฒั นธรรม ประเพณี - ทุนทางสงั คมและวฒั นธรรม การบริโภคของตลาดโลกมี และวิถีชีวติ ของแต่ละพนื ที แนวโนม้ กระแสความนิยมสินคา้ ตะวนั ออกมากขึน - มีศิลปะ วฒั นธรรม ประเพณี และวิถีชีวิตแบบดงั เดิม และเป็ น เอกลกั ษณ์ 5 การวิเคราะห์ทรัพยากรมนุษย์ แรงงานมีทกั ษะฝีมอื และระบบประกนั สังคม และมีความสามารถ ในแต่ละพนื ที ในการใชเ้ ทคโนโลยี

3. กล่มุ อาชีพใหม่ด้านพาณชิ ยกรรม การค้าและเศรษฐกจิ พอเพยี ง ได้แก่ กลุ่มพัฒนาผลิตภัณฑ์ การออกแบบและพัฒนาบรรจุภัณฑ์เพือชุมชน การพฒั นาผลิตภณั ฑเ์ พือชุมชน การพฒั นาและออกแบบผลติ ภณั ฑ์ การขายสินค้าทางอนิ เทอร์เน็ต (E-Commerce) การสร้างร้านคา้ ทางอินเทอร์เน็ต กล่มุ ผ้ปู ระกอบการ เช่น การประกอบการธุรกิจชุมชน ร้านคา้ ปลีกกลุ่มแม่บา้ น และวสิ าหกิจชุมชน ตวั อย่างอาชีพ โฮมสเตย์ อาชีพโฮมสเตย์ เป็ นการประกอบอาชีพโดยนาํ ตน้ ทุนทางสังคม คือ ทรัพยากรธรรมชาติและ สิงแวดลอ้ มมาบริหารจดั การเพอื เพมิ มลู ค่าจงู ใจใหน้ กั ท่องเทียวเขา้ มาสมั ผสั กบั การท่องเทียวเชิงอนุรักษ์ ในรูปแบบโฮมสเตย์ ในการจดั การศึกษาวิชาอาชีพโฮมสเตย์ ยดึ หลกั การของการศึกษาตลอดชีวิต โดย ใหส้ งั คมเขา้ มามสี ่วนร่วมในการจดั การศกึ ษา เนน้ การพฒั นาสาระและกระบวนการเรียนรู้โดยใชช้ ุมชน เป็นฐาน ควบค่กู บั สร้างองคค์ วามรู้ในการประกอบอาชีพโฮมสเตย์ ภายใตย้ ทุ ธศาสตร์การใชต้ น้ ทุนทาง ธรรมชาติ ทุนทรัพยากรบุคคล ทุนภูมปิ ัญญาและแหล่งเรียนรู้ ทุนทางวฒั นธรรม ทุนงบประมาณของ รัฐ และทุนทางความรู้มาใชจ้ ดั กิจกรรมการเรียนรู้ การจดั การศึกษาอาชีพโฮมสเตย์ เป็ นการจดั การ กิจกรรมการเรียนรู้ทีเสริมสร้างศกั ยภาพให้ผเู้ รียนไดม้ ีความรู้ และสามารถพฒั นาตนเองและกลุ่มไป สู่การบริหารจดั การทีมีมาตรฐาน เป็ นไปตามหลกั การของโฮมสเตย์ นาํ ไปสู่การเชือมโยงองคค์ วามรู้ ทีหลากหลาย ซึงเกิดจากฝึกประสบการณ์โดยการจดั ทาํ โครงการประกอบอาชีพโฮมสเตย์ ดงั นัน ผเู้ รียน จึงควรมคี วามรู้ ความเขา้ ใจ ทกั ษะและเจตคติเกียวกบั สถานการณ์การท่องเทียว นโยบายการท่องเทียว ของประเทศไทย ความรู้พนื ฐาน และมาตรฐานการจดั การโฮมสเตย์ การจดั กิจกรรมนาํ เทียว การตอ้ นรับ นกั ท่องเทียว การบริการ มคั คุเทศก์ การสร้างเครือข่ายการท่องเทียวโฮมสเตย์ การประกอบอาหาร การ ปฐมพยาบาลเบืองตน้ ภาษาองั กฤษเพือการท่องเทียวและ การบริหารจดั การ

การวเิ คราะห์ 5 ศักยภาพของพนื ที ในกล่มุ อาชีพใหม่ด้านพาณชิ ยกรรม ที ศักยภาพ รายละเอยี ดทคี วรพจิ ารณาในประเดน็ 1 การวเิ คราะหท์ รัพยากรธรรมชาติใน - มีแหล่งท่องเทียวทีเป็นจุดสนใจ ชวนใหผ้ คู้ นมาเทียว และ แต่ละพนื ที พกั คา้ งคืน - มีโปรแกรมทนี ่าสนใจในการศึกษาธรรมชาติ และพกั ผอ่ นทีดี - ไมถ่ กู รบกวนจากแมลงและสตั วอ์ ืน ๆ 2 การวิเคราะห์พนื ทีตามลกั ษณะภูมิอากาศ - ใกลแ้ หลง่ นาํ ทะเล มีทิวทศั นท์ ีสวยงาม - ภูมอิ ากาศไม่แปรปรวนบ่อย ๆ 3 การวิเคราะห์ภูมิประเทศ และทาํ เลทีตงั - มที าํ เลทีตงั พอดีไม่ใกลไ้ กลเกินไป ของแต่ละพืนที - มีการคมนาคมสะดวกในการเดินทาง - ขอ้ มลู แต่ละพนื ทีทีเราเลอื กอยใู่ กลจ้ ุดท่องเทียวหรือไม่ สะดวกใน การเดินทางดว้ ยความปลอดภยั เพียงใด มีคู่แข่งทีสาํ คญั หรือไม่ 4 การวิเคราะหศ์ ลิ ปะ วฒั นธรรม ประเพณี เป็นแหลง่ ท่องเทียวทางวฒั นธรรมทีเป็นธรรมชาติ อยใู่ นพืนทีมี และวถิ ีชีวติ ของแต่ละพนื ที การประชาสมั พนั ธท์ ีดีจากองคก์ รท่องเทียว 5 การวิเคราะหท์ รัพยากรมนุษย์ - มีผปู้ ระกอบการ และแรงงานทีมคี วามรู้ความสามารถ ในแต่ละพนื ที - มีความร่วมมอื จากชุมชนในดา้ นการเป็นมติ รกบั แขกทีมาใช้ บริการ

4. กล่มุ อาชีพใหม่ด้านความคดิ สร้างสรรค์ คอมพวิ เตอร์และธุรการ ได้แก่ Software กล่มุ ออกแบบ เช่น โปรแกรม AUTO CAD เพืองานออกแบบก่อสร้าง ออกแบบชินส่วน อุตสาหกรรม เขียนแบบเครืองกลดว้ ยโปรแกรมคอมพวิ เตอร์ Solid Work กลุ่มงานในสํานักงาน เช่น Office and Multimedia การจดั ทาํ ระบบขอ้ มลู ทางการเงิน และบญั ชีดว้ ยโปรแกรม Excel และโปรแกรมบญั ชีสาํ เร็จรูปเพอื ใชใ้ นการทาํ งานทางธุรกิจ การใช้คอมพวิ เตอร์ในสาํ นกั งานดว้ ยโปรแกรม Microsoft Office การพฒั นาโปรแกรมด้วย MS Access โดยใชร้ ะบบงานบุคคล การใช้เทคโนโลยสี ารสนเทศและการสือสาร สาํ หรับการประกอบธุรกิจบนอนิ เทอร์เน็ต Hardware ช่างคอมพวิ เตอร์ เช่น ซ่อม ประกอบ ติดตงั ระบบบาํ รุงรักษาคอมพิวเตอร์และเครือข่าย ตวั อย่างอาชีพ ภาพเคลือนไหว (Animation) เพอื ธุรกจิ ในปัจจุบนั เทคโนโลยกี า้ วเขา้ มามบี ทบาทในชีวิตประจาํ วนั ของมนุษย์ มากขึน สิงหนึงทีเห็นได้ วา่ มีการเติบโต อย่างรวดเร็วนันคือธุรกิจอุตสาหกรรมดา้ น Animation การสร้างความบนั เทิง และงาน สร้างสรรคก์ ารออกแบบโดยการใชค้ อมพวิ เตอร์ หลกั สูตรทางดา้ น Animation จึงน่าจะตอบสนองความ ตอ้ งการของกลุ่มธุรกิจ Animation หลกั สูตร Animation เพือธุรกิจ เป็ นหลกั สูตรอาชีพทีสร้างสรรค์ สามารถนาํ ไปประกอบอาชีพทีสร้างรายไดเ้ ป็ นอยา่ งดี ทังในปัจจุบนั และอนาคต ดงั นัน ผเู้ รียนควรมี ความรู้ ความเข้าใจ ทกั ษะและเจตคติเกียวกับความหมาย ความสาํ คญั และประโยชน์ของความคิด สร้างสรรค์ เทคนิคการคิดเชิงสร้างสรรค์ การกาํ จดั สิงกีดกนั ความคิดเชิงสร้างสรรค์ ความรู้เบืองตน้ เกียวกบั Animation เพือธุรกิจ การออกแบบ Animation เพือธุรกิจ Animation Workshop ประโยชน์และ โทษของการใชค้ อมพิวเตอร์ จรรยาบรรณในการประกอบอาชีพ กฎหมายทีเกียวข้องเกียวกับการ ประกอบอาชีพ การทาํ ธุรกิจ Animation


Like this book? You can publish your book online for free in a few minutes!
Create your own flipbook