แบบทดสอบความขยนั สู่ความสําเร็จ ใหผ้ เู้ รียนทาํ แบบทดสอบเกียวกบั ความขยนั ของตนเองโดยขีดเครืองหมายว่ามีลกั ษณะเช่นใด โดยตอบใหต้ รงกบั ความคิดหรือความรู้สึกของตนเองมากทีสุด ดงั ต่อไปนี ขอ้ ขอ้ ความ ใช่ ไมใ่ ช่ บางครัง () () () ขา้ พเจา้ อยากเรียนหนงั สือมากกวา่ ทาํ อยา่ งอืน ขา้ พเจา้ ทาํ การบา้ นทุกวิชาทีครูใหโ้ ดยสมาํ เสมอ ขา้ พเจา้ ตงั เป้ าหมายชีวิตไวแ้ ลว้ และจะดาํ เนินการตามนนั ขา้ พเจา้ ชอบคน้ ควา้ บทเรียนในเรืองทีสนใจเป็นพิเศษ ขา้ พเจา้ ชอบอธิบายบทเรียนยาก ๆ ใหเ้ พือนฟังเสมอ ขา้ พเจา้ มกั จะดหู นงั สือโดยพยายามทาํ ความเขา้ ใจบทเรียนอยเู่ สมอ ขา้ พเจา้ คิดวา่ ขา้ พเจา้ ชอบเรียนหนงั สือมากกวา่ บริการผอู้ นื ขา้ พเจา้ ชอบมาโรงเรียนทุกวนั ขา้ พเจา้ เห็นว่าการนงั เรียนในหอ้ งเรียนเป็นเรืองทีน่าเบือหน่าย ขา้ พเจา้ มคี วามสุขทุกครังทีใหบ้ ริการเพอื นหรือครู เมือครูสงั ให้เขียนรายงานส่งขา้ พเจา้ มกั จะส่งทนั ตามกาํ หนดเวลา เสมอ ถ้าข้าพเจ้าได้รับมอบหมายให้ทํากิจกรรมอืน ๆ นอกบทเรี ยน ขา้ พเจา้ จะมีความรู้สึกตืนเตน้ และสนใจ เมือขา้ พเจ้าไดร้ ับมอบหมายให้ทาํ งานใด ๆ ขา้ พเจา้ จะทาํ งานนัน ไดส้ าํ เร็จ ถา้ มีใครมาขอความร่วมมือจากขา้ พเจ้าในเรื องทีไม่ใช่การเรียน ขา้ พเจา้ มกั จะใหค้ วามร่วมมือ เมอื มวี นั เวลาวา่ ง ขา้ พเจา้ ชอบทาํ งานอดิเรกมากกวา่ นงั ท่องหนงั สือ แหล่งทีมา : http//203.146.122.12/gmidance/homeroom 2550/indexeq50.htm
การแปลผลคะแนน - คะแนน หมายถึง ผเู้ รียนเป็นคนขยนั ในการเล่าเรียน มีความมานะพยายาม สนใจ ศึกษา หาความรู้ในเรืองบริการ หรือช่วยเหลือผอู้ ืน ผเู้ รียนคิดว่าเป็ นสิงทีน่าภูมิใจฉะนันผเู้ รียนควรจะฝึ กให้ มีนิสยั รักการทาํ งาน แลว้ จะเป็นคนทีน่าคบมาก - คะแนน หมายถงึ ผเู้ รียนเป็นคนทาํ ตามอารมณ์ของตนเอง ผเู้ รียนพอใจจะทาํ สิงใดก็ทาํ สิงนัน ถา้ ไม่ชอบก็ไม่อยากทาํ ควรปรับปรุงตนเองให้มีนิสัยรักความขยนั แลว้ ผูเ้ รียนจะประสบ ผลสาํ เร็จในทุกดา้ น - คะแนน หมายถงึ ผเู้ รียนเป็ นคนค่อนขา้ งจะไม่ขยนั ในการเล่าเรียน แต่มีความสุขในการ ทาํ งานบริการผอู้ ืน มจี ิตใจโอบออ้ มอารี เป็นคนทีน่ารักมาก ๆ สามารถดาํ เนินชีวติ อยา่ งมคี วามสุข
ผ้เู รียนวเิ คราะห์ตนเองเกยี วกบั หัวข้อต่อไปนี ตามความคดิ เหน็ ของตนเอง . ความเห็นของผเู้ รียนในเรืองความหมายของความขยนั คือ ........................................................................................................................................................ ........................................................................................................................................................ ........................................................................................................................................................ . บุคคลทีประสบความสาํ เร็จในชีวติ เพราะความขยนั หมนั เพยี รทีผเู้ รียนประทบั ใจมากทีสุด คือ ........................................................................................................................................................ ทงั นีเพราะ......................................................................................................................................... ........................................................................................................................................................ . ความขยนั หมนั เพียรมคี ุณค่าและประโยชนต์ ่อการศึกษาเล่าเรียน คือ ........................................................................................................................................................ ........................................................................................................................................................ ........................................................................................................................................................ . ความขยนั หมนั เพียรมคี ุณค่าและประโยชน์ต่ออาชีพการงาน คือ ........................................................................................................................................................ ........................................................................................................................................................ ........................................................................................................................................................ . ความขยนั หมนั เพียรมคี ุณค่าและประโยชน์ต่อสงั คม และประเทศชาติ คือ ........................................................................................................................................................ ........................................................................................................................................................ ........................................................................................................................................................ . ผลเสียทีเกิดจากความเกียจคร้าน คือ ........................................................................................................................................................ ........................................................................................................................................................ ........................................................................................................................................................
กจิ กรรมที “การเรียนรู้ด้วยตนเองของฉัน” คาํ ชีแจง 1. ใหผ้ เู้ รียน เขียนคาํ ถามทีเป็นความคิดเห็นของตน จาํ นวน 2 ประเดน็ ประเด็นแรกเกียวกบั สิงทีคิดวา่ สาํ คญั สาํ หรับตนเอง ประเดน็ ทีสอง เป็นสิงสาํ คญั รอบตวั 2. ใหผ้ เู้ รียนระบุหวั ขอ้ เรืองทีตอ้ งการศกึ ษา ตามความตอ้ งการและความสนใจของผเู้ รียน จาํ นวน 1 เรือง เพอื กาํ หนดแหลง่ การเรียนรู้ 3. ใหผ้ เู้ รียนกาํ หนดตารางการเรียน ไดแ้ ก่ จดั เวลาใหเ้ หมาะสมกบั หวั ขอ้ ทีเรียน 4. ใหผ้ เู้ รียนสร้างคาํ ถามเกียวกบั หวั ขอ้ ทีสนใจเพอื ชีแนวทางทีจะศกึ ษาคน้ ควา้ ต่อไป 5. ใหผ้ เู้ รียนวางแผนกาํ หนดกระบวนการเรียนรู้ ไดแ้ ก่ การเลอื กแหล่งการเรียนรู้ วธิ ีการนาํ เสนอ ผลการเรียนรู้ การสร้างเครืองมอื ประเมนิ ผลการเรียนรู้ 6. ให้ผูเ้ รียนดาํ เนินการเรียนรู้ตามแผนทีกาํ หนด และจดั ทาํ บันทึกประจําวนั เพือแสดงผล การปฏิบตั ิว่าเป็นไปตามเป้ าหมายทีมีการกาํ หนดตามแผนดว้ ยตนเอง นอกจากนี ใหผ้ เู้ รียนไปสมั ภาษณ์ ผรู้ ู้ กจิ กรรมที “ทางแห่งความสาํ เร็จ” วัตถุประสงค์ เพือให้ผเู้ รียนเกิดความรู้ความเขา้ ใจ ตระหนักถึงการมีลกั ษณะชีวิตทีจะนาํ ไปสู่ คว ามสําเร็ จ และ สามาร ถนําหลัก ธร ร มไปใช้ใน ก าร พัฒ น าต น เองให้ปร ะ สบผลสําเร็ จ ใน ชี วิ ต ได้ อยา่ งถกู ตอ้ งเหมาะสม
แบบประเมินตนเองหลงั เรียน แบบสอบถาม เรือง ความพร้อมในการเรียนรู้ด้วยตนเองของผู้เรียน ชือ........................................................นามสกุล................................................ระดบั มธั ยมศึกษาตอนตน้ คาํ ชีแจง แบบสอบถามฉบบั นี เป็นแบบสอบถามทีวดั ความพึงพอใจและเจตคติเกียวกบั การเรียนรู้ ของท่าน ใหท้ ่านอ่านขอ้ ความต่าง ๆ ต่อไปนี ซึงมีดว้ ยกนั ขอ้ หลงั จากนนั โปรดทาํ เครืองหมาย ลงในช่องทีตรงกบั ความเป็ นจริง ของตวั ท่านมากทีสุด ระดับความคดิ เห็น มากทีสุด หมายถงึ ท่านรู้สึกว่า ข้อความนันส่วนใหญ่เป็นเช่นนีหรือมนี อ้ ยครังทีไมใ่ ช่ มาก หมายถึง ท่านรู้สึกว่า ข้อความเกนิ ครึงมกั เป็นเช่นนี ปานกลาง หมายถงึ ท่านรู้สึกว่า ข้อความจริงบา้ งไมจ่ ริงบา้ งครึงต่อครึง นอ้ ย หมายถงึ ท่านรู้สึกว่า ข้อความเป็นจริงบ้างไม่บ่อยนกั นอ้ ยทีสุด หมายถงึ ท่านรู้สึกว่า ข้อความไม่จริง ไม่เคยเป็ นเช่นนี ความคดิ เห็น รายการคาํ ถาม มาก มาก ปาน น้อย น้อย ทีสุด กลาง ทีสุด 1. ขา้ พเจา้ ตอ้ งการเรียนรู้อยเู่ สมอตราบชวั ชวี ิต 2. ขา้ พเจา้ ทราบดีวา่ ขา้ พเจา้ ตอ้ งการเรียนอะไร 3. เมือประสบกบั บางสิงบางอยา่ งทีไม่เขา้ ใจ ขา้ พเจา้ จะหลีกเลยี งไปจากสิงนนั 4. ถา้ ขา้ พเจา้ ตอ้ งการเรียนรู้สิงใด ขา้ พเจา้ จะหาทางเรียนรู้ใหไ้ ด้ 5. ขา้ พเจา้ รักทจี ะเรียนรู้อยเู่ สมอ 6. ขา้ พเจา้ ตอ้ งการใชเ้ วลาพอสมควรในการเริมศกึ ษาเรืองใหม่ ๆ 7. ในชนั เรียนขา้ พเจ้าหวงั ทีจะใหผ้ ูส้ อนบอกผูเ้ รียนทงั หมดอย่างชดั เจนว่าตอ้ งทาํ อะไรบา้ งอยตู่ ลอดเวลา 8. ขา้ พเจา้ เชือว่า การคิดเสมอว่าตวั เราเป็ นใครและอยู่ทีไหน และจะทาํ อะไร เป็ น หลกั สาํ คญั ของการศึกษาของทกุ คน 9. ขา้ พเจา้ ทาํ งานดว้ ยตนเองไดไ้ มด่ ีนกั 10. ถา้ ตอ้ งการขอ้ มลู บางอยา่ งทยี งั ไม่มี ขา้ พเจา้ ทราบดีว่าจะไปหาไดท้ ไี หน 11. ขา้ พเจา้ สามารถเรียนรู้สิงตา่ ง ๆ ดว้ ยตนเองไดด้ ีกวา่ คนส่วนมาก 12. แมข้ า้ พเจา้ จะมีความคิดทดี ี แต่ดเู หมอื นไม่สามารถนาํ มาใชป้ ฏิบตั ิได้ 13. ขา้ พเจา้ ตอ้ งการมสี ่วนร่วมในการตดั สินใจว่าควรเรียนอะไร และจะเรียนอยา่ งไร 14. ขา้ พเจา้ ไม่เคยทอ้ ถอยตอ่ การเรียนสิงทยี าก ถา้ เป็นเรืองทขี า้ พเจา้ สนใจ 15. ไม่มีใครอืนนอกจากตวั ขา้ พเจา้ ทจี ะตอ้ งรับผดิ ชอบในสิงทขี า้ พเจา้ เลอื กเรียน 16. ขา้ พเจา้ สามารถบอกไดว้ ่า ขา้ พเจา้ เรียนสิงใดไดด้ หี รือไม่
ความคดิ เห็น รายการคาํ ถาม มาก มาก ปาน น้อย น้อย ทีสุด กลาง ทสี ุด 17. สิงทีขา้ พเจา้ ตอ้ งการเรียนรู้ไดม้ ากมาย จนขา้ พเจา้ อยากใหแ้ ต่ละวนั มีมากกวา่ 24 ชวั โมง 18. ถา้ ตดั สินใจทจี ะเรียนรู้อะไรกต็ ามขา้ พเจา้ สามารถจะจดั เวลาทีจะเรียนรู้สิงนนั ได้ ไมว่ ่าจะมภี ารกิจมากมายเพยี งใดกต็ าม 19. ขา้ พเจา้ มีปัญหาในการทาํ ความเขา้ ใจเรืองทอี ่าน 20. ถา้ ขา้ พเจา้ ไมเ่ รียนกไ็ มใ่ ชค่ วามผดิ ของขา้ พเจา้ 21. ข้าพเจ้าทราบดีว่า เมือไรทีขา้ พเจ้าต้องการจะเรียนรู้ในเรืองใดเรืองหนีง ใหม้ ากขึน 22. ขอมีความเขา้ ใจพอทจี ะทาํ ขอ้ สอบใหไ้ ดค้ ะแนนสูง ๆ กพ็ อใจแลว้ ถึงแมว้ ่า ขา้ พเจา้ ยงั ไมเ่ ขา้ ใจเรืองนนั อยา่ งถอ่ งแทก้ ต็ ามที 23. ขา้ พเจา้ คิดว่า หอ้ งสมดุ เป็นสถานทีทนี ่าเบอื 24. ขา้ พเจา้ ชืนชอบผูท้ ีเรียนรู้สิงใหม่ ๆ อยเู่ สมอ 25. ขา้ พเจา้ สามารถคิดคน้ วิธีการตา่ ง ๆ ไดห้ ลายแบบสาํ หรับการเรียนรู้หวั ขอ้ ใหม่ ๆ 26. ขา้ พเจา้ พยายามเชอื มโยงสิงทกี าํ ลงั เรียนกบั เป้ าหมายระยะยาวทตี งั ไว้ 27. ขา้ พเจา้ มคี วามสามารถเรียนรู้ ในเกือบทกุ เรือง ทขี า้ พเจา้ ตอ้ งการจะรู้ 28. ขา้ พเจา้ สนุกสนานในการคน้ หาคาํ ตอบสาํ หรับคาํ ถามตา่ ง ๆ 29. ขา้ พเจา้ ไม่ชอบคาํ ถามทมี ีคาํ ตอบถูกตอ้ งมากกวา่ หนึงคาํ ตอบ 30. ขา้ พเจา้ มีความอยากรู้อยากเห็นเกยี วกบั สิงต่าง ๆ มากมาย 31. ขา้ พเจา้ จะดใี จมาก หากการเรียนรู้ของขา้ พเจา้ ไดส้ ินสุดลง 32. ขา้ พเจา้ ไม่ไดส้ นใจการเรียนรู้ เมือเปรียบเทียบกบั ผูอ้ นื 33. ข้าพเจ้าไม่มีปัญหา เกียวกับทกั ษะเบืองต้นในการศึกษาค้นคว้า ได้แก่ ทกั ษะการฟัง อ่าน เขยี น และจาํ 34. ขา้ พเจา้ ชอบทดลองสิงใหม่ ๆ แมไ้ มแ่ น่ใจว่า ผลนนั จะออกมาอยา่ งไร 35. ขา้ พเจา้ ไมช่ อบ เมอื มีคนชใี หเ้ ห็นถงึ ขอ้ ผิดพลาดในสิงทีขา้ พเจา้ กาํ ลงั ทาํ อยู่ 36. ขา้ พเจา้ มีความสามารถในการคิดคน้ หาวธิ ีแปลก ๆ ทจี ะทาํ สิงต่าง ๆ 37. ขา้ พเจา้ ชอบคดิ ถงึ อนาคต 38. ขา้ พเจา้ มีความพยายามคน้ หาคาํ ตอบในสิงทีตอ้ งการรู้ไดด้ เี มือเทยี บกบั ผูอ้ ืน 39. ขา้ พเจา้ เห็นว่าปัญหาเป็นสิงทที า้ ทาย ไม่ใชส่ ญั ญาณใหห้ ยดุ ทาํ 40. ขา้ พเจา้ สามารถบงั คบั ตนเอง ใหก้ ระทาํ สิงที คิดวา่ ควรกระทาํ 41. ขา้ พเจา้ ชอบวธิ ีการของขา้ พเจา้ ในการสาํ รวจตรวจสอบปัญหาต่าง ๆ 42. ขา้ พเจา้ มกั เป็นผูน้ าํ กลุ่มในการเรียนรู้ 43. ขา้ พเจา้ สนุกทีไดแ้ ลกเปลยี นความคิดเหน็ กบั ผูอ้ นื
ความคดิ เห็น รายการคาํ ถาม มาก มาก ปาน น้อย น้อย ทีสุด กลาง ทสี ุด 44. ขา้ พเจา้ ไมช่ อบสถานการณ์การเรียนรู้ทที า้ ทาย 45. ขา้ พเจา้ มคี วามปรารถนาอยา่ งแรงกลา้ ทีจะเรียนรู้สิงใหม่ ๆ 46. ยงิ ไดเ้ รียนรู้มาก ขา้ พเจา้ กย็ งิ รู้สึกว่าโลกนีน่าตืนเตน้ 47. การเรียนรู้เป็นเรืองสนุก 48. การยดึ การเรียนรู้ทีใชไ้ ดผ้ ลมาแลว้ ดกี วา่ การลองใชว้ ธิ ีใหม่ ๆ 49. ขา้ พเจา้ ตอ้ งการเรียนรู้ใหม้ ากยงิ ขนึ เพือจะไดเ้ ป็นคนทมี ีความเจริญกา้ วหนา้ 50. ขา้ พเจา้ เป็นผูร้ ับผิดชอบเกยี วกบั การเรียนรู้ของขา้ พเจา้ เอง ไมม่ ใี ครมารับผดิ ชอบ แทนได้ 51. การเรียนรู้ถึงวธิ ีการเรียน เป็นสิงทีสาํ คญั สาํ หรับขา้ พเจา้ 52. ขา้ พเจา้ ไมม่ วี นั ทีจะแก่เกินไป ในการเรียนรู้สิงใหม่ ๆ 53. การเรียนรู้อยตู่ ลอดเวลา เป็นสิงทีน่าเบือหน่าย 54. การเรียนรู้เป็นเครืองมอื ในการดาํ เนินชีวิต 55. ในแต่ละปี ขา้ พเจา้ ไดเ้ รียนรู้สิงใหม่ ๆ หลายๆ อยา่ งดว้ ยตนเอง 56. การเรียนรู้ ไม่ไดท้ าํ ใหช้ ีวติ ของขา้ พเจา้ แตกต่างไปจากเดิม 57. ขา้ พเจา้ เป็นผูเ้ รียนทีมปี ระสิทธิภาพ ทงั ในชนั เรียน และการเรียนรู้ดว้ ยตนเอง 58 ขา้ พเจา้ เหน็ ดว้ ยกบั ความคิดทวี า่ “ผูเ้ รียนคือ ผูน้ าํ ”
แบบประเมนิ ตนเองหลงั เรียนเรียน บทสะท้อนทีได้จากการเรียนรู้ 1. สิงทีท่านประทบั ใจในการเรียนรู้รายวชิ าการเรียนรู้ดว้ ยตนเอง ..................................................................................................................................................................... ..................................................................................................................................................................... ..................................................................................................................................................................... ..................................................................................................................................................................... ..................................................................................................................................................................... ..................................................................................................................................................................... 2. ปัญหา / อุปสรรค ทีพบในการเรียนรู้รายวิชาการเรียนรู้ดว้ ยตนเอง ..................................................................................................................................................................... ..................................................................................................................................................................... ..................................................................................................................................................................... ..................................................................................................................................................................... ..................................................................................................................................................................... 3. ขอ้ เสนอแนะเพมิ เติม ..................................................................................................................................................................... ..................................................................................................................................................................... ..................................................................................................................................................................... ..................................................................................................................................................................... ..................................................................................................................................................................... .....................................................................................................................................................................
แบบวดั ระดับการเรียนด้วยตนเองของผู้เรียน คาํ ชีแจง แบบวดั นีเป็นแบบวดั ระดบั การเรียนดว้ ยตนเองของผูเ้ รียน มจี าํ นวน 7 ขอ้ โปรดกาเครืองหมาย ลงในช่อง ทีตรงกบั ความสามารถในการเรียนดว้ ยตนเองตามความเป็นจริงของทา่ น 1. การวนิ ิจฉัยความตอ้ งการเนือหาในการเรียน 5. การดาํ เนินการเรียน นกั ศกึ ษาไดเ้ รียนเนือหา ตามคาํ อธิบายรายวิชาเท่านนั นกั ศึกษาดาํ เนินการเรียนตามแนวทางทคี รูกาํ หนด ครู นาํ เสนอเนือหาอืน นอกเหนือจากคาํ อธิบาย นกั ศึกษาดาํ เนินการเรียน ตามแนวทางทีครูนาํ เสนอ รายวชิ า แลว้ ใหน้ กั ศกึ ษาเลอื กเรียนเพิมเตมิ แลว้ ใหน้ กั ศกึ ษาปรับ นักศึกษาได้เสนอเนื อหาอืนเพือเรี ยนเพิมเติม นักศึกษาดาํ เนินการเรียน ตามแนวทางทีนักศึกษา นอกเหนือจากคาํ อธิบายรายวชิ าดว้ ย ร่วมกนั กาํ หนดกบั ครู นกั ศกึ ษาเป็นผกู้ าํ หนดเนือหาในการเรียนเอง นกั ศกึ ษาดาํ เนินการเรียน ตามการกาํ หนดของตนเอง 2. การวินิจฉัยความตอ้ งการวิธีการเรียน 6. การแสวงหาแหล่งทรัพยากรการเรียน ครูเป็นผูก้ าํ หนดวา่ จะจดั การเรียนการสอนวิธีใด ครูเป็นผจู้ ดั หาแหล่งทรัพยากรการเรียนใหน้ กั ศึกษา ครูนาํ เสนอวธิ ีการเรียนการสอนแลว้ ใหน้ กั ศกึ ษาเลอื ก ครูเป็ นผูจ้ ัดหาแหล่งทรัพยากรการเรียน แล้วให้ นกั ศกึ ษาร่วมกบั ครูกาํ หนดวธิ ีการเรียนรู้ นกั ศกึ ษาเลอื ก นกั ศึกษาเป็นผกู้ าํ หนดวธิ ีการเรียนรู้เอง นักศึกษาร่ วมกับครู หาแหล่งทรัพยากรการเรี ยน ร่วมกนั 3. การกาํ หนดจุดม่งุ หมายในการเรียน นกั ศึกษาเป็นผจู้ ดั หาแหล่งทรัพยากรการเรียนเอง ครูเป็นผูก้ าํ หนดจุดมงุ่ หมายในการเรียน ครูนาํ เสนอจุดมุ่งหมายในการเรียนแลว้ ใหน้ กั ศกึ ษาเลือก 7. การประเมนิ การเรียน นกั ศกึ ษาร่วมกบั ครูกาํ หนดจุดม่งุ หมายในการเรียน ครู เป็นผปู้ ระเมินการเรียนของนกั ศกึ ษา นกั ศกึ ษาเป็นผกู้ าํ หนดจุดมุง่ หมายในการเรียนเอง ครู เป็ นผูป้ ระเมินการเรียนของนักศึกษาเป็ นส่วน ใหญ่ และเปิ ดโอกาสใหน้ กั ศึกษาไดป้ ระเมินการเรียนของ 4. การวางแผนการเรียน ตนเองดว้ ย นกั ศกึ ษาไม่ไดเ้ ขยี นแผนการเรียน มีการประเมินการเรียนโดยครู ตวั นกั ศึกษาเอง และ ครูนาํ เสนอแผนการเรียนแลว้ ใหน้ กั ศกึ ษานาํ ไปปรับแก้ เพือนนกั ศึกษา นกั ศึกษาร่วมกบั ครูวางแผนการเรียน นกั ศึกษาเป็นผูป้ ระเมินการเรียนของตนเอง นักศึกษาวางแผนการเรียนเอง โดยการเขียนสัญญา กระบวนการเรียนรู้ทีเป็นการเรียนรู้ดว้ ยตนเอง การเรียนทีระบุจุดมุ่งหมายการเรียน วิธีการเรียน แหล่ง มีความจาํ เป็นทจี ะตอ้ งอาศยั ทกั ษะและความรู้ ทรัพยากรการเรียน วิธีการประเมินการเรียน และวนั ที บางอยา่ ง ผูเ้ รียนควรไดม้ กี ารตรวจสอบพฤติกรรม จะทาํ งานเสร็จ ทีจาํ เป็นสาํ หรับผูเ้ รียนทจี ะเรียนรู้ดว้ ยตนเอง
บทที การใช้แหล่งเรียนรู้ สาระสําคญั แหล่งเรียนรู้มคี วามสาํ คญั ในการพฒั นาความรู้ของมนุษยใ์ หส้ มบูรณ์มากยงิ ขึน นอกเหนือจาก การเรียนในชนั เรียน และเป็นแหล่งทีอยใู่ หส้ งั คมชุมชนลอ้ มรอบตวั ผเู้ รียน สามารถเขา้ ไปศึกษาคน้ ควา้ เพอื การเรียนรู้ไดต้ ลอดชีวิต ผลการเรียนทคี าดหวงั 1. ผเู้ รียนมคี วามรู้ ความเขา้ ใจ เห็นความสาํ คญั ของแหลง่ เรียนรู้ และหอ้ งสมดุ ประชาชน 2. ผเู้ รียนสามารถใชแ้ หล่งเรียนรู้ หอ้ งสมุดประชาชนได้ ขอบข่ายเนือหา เรืองที ความหมาย และความสาํ คญั ของแหลง่ เรียนรู้ เรืองที หอ้ งสมดุ : แหลง่ เรียนรู้ เรืองที แหลง่ เรียนรู้สาํ คญั ในชุมชน
เรืองที ความหมาย และความสําคญั ของแหล่งเรียนรู้ ความรู้ในยคุ ปัจจุบนั มกี ารเกิดขึนใหม่ และมีการพฒั นาเปลียนแปลงตลอดเวลา ทงั ในประเทศ และทวั โลก ประกอบกบั เทคโนโลยสี ารสนเทศ สามารถเผยแพร่สือสารถึงกนั ไดอ้ ยา่ งรวดเร็ว ต่อเนือง และตลอดเวลา ทาํ ใหม้ นุษยจ์ าํ เป็นตอ้ งเรียนรู้กบั สิงใหม่ ๆ ทีเกิดขึนกบั ความเปลียนแปลงอย่างต่อเนือง เพือให้สามารถปรับตัวให้สอดคล้องกลมกลืนกับสังคมทีไม่หยุดนิง และสามารถดํารงชีวิตได้ อยา่ งมีความสุข อยา่ งไรก็ตามการเรียนรู้ในหอ้ งเรียนยอ่ มไม่ทนั เหตุการณ์และเพียงพอ ตอ้ งมีการเรียนรู้ ทุกรูปแบบใหด้ าํ เนินไปพร้อม ๆ กนั โดยเฉพาะการเรียนรู้จากสิงแวดลอ้ มในชุมชนทีมสี าระเนือหาทีเป็น ขอ้ มูลความรู้ หรือองค์ความรู้เป็ นแหล่งให้ความรู้ ประสบการณ์ สิงแปลกใหม่ทีเอือต่อการเรียนรู้ ประสาทสมั ผสั ทงั ตา จมูก หู ลิน กาย และใจ จึงจะทาํ ใหเ้ รียนรู้ไดเ้ ท่าทนั ความเปลียนแปลงทีเกิดขึน แหล่งสถานที บริเวณ หรือทีอยทู่ ีมีองคค์ วามรู้ทีมนุษยส์ ามารถเรียนรู้ไดเ้ รียกว่า “แหล่งเรียนรู้” ความหมาย แหล่งเรียนรู้ หมายถงึ ถนิ ทีอยู่ บริเวณ ศนู ยร์ วม บ่อเกิด แห่ง ทีมสี าระเนือหาทีเป็ นขอ้ มลู ความรู้ หรือองคค์ วามรู้ทีปรากฏอยรู่ อบตวั ของมนุษย์ เมือไดป้ ฏิสัมพนั ธ์ดว้ ย ไม่ว่าทางตา หู จมูก ลิน กาย และใจ แลว้ ทาํ ให้เกิดความรู้ ความเข้าใจ มีความเท่าทันความเปลียนแปลงไปของสิงต่าง ๆ ช่วยให้ สามารถดาํ รงชีวิตอยใู่ นโลกของการเปลียนแปลงไดอ้ ยา่ งเป็นสุขตามสมควรแก่อตั ภาพ ความสําคญั แหล่งเรียนรู้มบี ทบาทสาํ คญั อยา่ งยงิ ในการช่วยพฒั นาคุณภาพของมนุษยใ์ นยคุ ความรู้ทีเกิดขึน ใหมๆ่ และเปลียนแปลงอยา่ งรวดเร็ว ดงั ต่อไปนี 1. เป็นแหล่งทีมีสาระเนือหา ทีเป็นขอ้ มลู ความรู้ใหม้ นุษยเ์ กิดโลกทศั นท์ ีกวา้ งไกล 2. เป็นสือการเรียนรู้สมยั ใหมท่ ีเรียนรู้ไดเ้ ร็วและมากยงิ ขึน 3. เป็นแหล่งช่วยเสริมการเรียนรู้ของการศกึ ษาทุกประเภท 4. เป็นแหล่งการเรียนรู้ตลอดชีวติ ทีบุคคลสามารถเรียนรู้ไดด้ ว้ ยตนเอง 5. เป็นแหลง่ ทีมนุษยไ์ ดร้ ับประสบการณ์ตรงจากการเขา้ ไปหาความรู้จากแหล่งกาํ เนิด 6. เป็นแหล่งทีมนุษยส์ ามารถเขา้ ไปปฏสิ มั พนั ธใ์ หเ้ กิดความรู้เกียวกบั วิทยาการใหม่ ๆ 7. เป็นแหลง่ ส่งเสริมความสมั พนั ธอ์ นั ดีระหวา่ งคนในทอ้ งถนิ กบั ผเู้ ขา้ ศึกษา 8. เป็นสิงทีช่วยเปลียนทศั นคติ ค่านิยมใหเ้ กิดการยอมรับสิงใหม่ เกิดจินตนาการและ ความคิดสร้างสรรค์ 9. เป็นการประหยดั เงินของผเู้รียนในการใชแ้ หล่งเรียนรู้ของชุมชนใหเ้กิดประโยชน์สูงสุด ภาพจาก http://www.google.co.th/imglanding
กจิ กรรม ใหผ้ เู้ รียนศกึ ษาคน้ ควา้ เกียวกบั ความหมายและความสาํ คญั ของแหลง่ เรียนรู้ จากหนงั สือเรียนระดบั มธั ยมศึกษาตอนตน้
เรืองที ห้องสมุด : แหล่งเรียนรู้ หอ้ งสมุด เป็นแหลง่ เรียนรู้ทีสาํ คญั ในชุมชน เพราะเป็นแหล่งจดั หา รวบรวมสรรพความรู้ต่าง ๆ ทีมแี ละเกิดขึนในโลกมาจดั ระบบในการอาํ นวยความสะดวกใหผ้ รู้ ับบริการไดเ้ ขา้ ถึงสารสนเทศทีตนเอง ตอ้ งการ และสนใจไดส้ ะดวกรวดเร็ว ตลอดจนจดั กิจกรรมสนบั สนุนส่งเสริมการอ่าน การศึกษาคน้ ควา้ หาความรู้ เพือใหเ้ กิดการใชบ้ ริการใหม้ ากทีสุด ความหมายของห้องสมุดประชาชน หอ้ งสมดุ ประชาชน หมายถึง สถานทีจดั หารวบรวมทรัพยากรสารสนเทศเพือการอ่านการศึกษา คน้ ควา้ ทุกชนิด มีการจดั ระบบหมวดหม่ตู ามหลกั สากลเพือการบริการ และจดั บริการอย่างกวา้ งขวาง แก่ประชาชนในชุมชน สังคม ในประเทศและต่างประเทศ โดยไม่จํากัดเพศ วยั ความรู้ เชือชาติ ศาสนา รวมทงั การจดั กิจกรรมส่งเสริมการอ่าน โดยรัฐเป็ นผสู้ นบั สนุนทางการเงิน และมีบุคลากรทีมี ความรู้ทางบรรณารักษศ์ าสตร์เป็นผดู้ าํ เนินการ ห้องสมุดเป็ นแหล่งเรี ยนรู้สําคัญในชุมชนทีใกลช้ ิดกับผูเ้ รี ยนมากทีสุด แทบทุกอาํ เภอ จะมีหอ้ งสมุดประชาชน สงั กดั กศน. ใหบ้ ริการไดแ้ ก่ หอ้ งสมุดประชาชนจงั หวดั ห้องสมุดประชาชน “เฉลิมราชกุมารี” และห้องสมุดประชาชนอาํ เภอ นอกจากนียงั มีหอ้ งสมุดประเภทอืนอีก ทงั ทีรัฐเป็ น ผสู้ นบั สนุนและเอกชนดาํ เนินการเอง ซึงมีวตั ถุประสงคใ์ นการจดั ตงั แตกต่างกนั อาจจะบริการประชาชน ทวั ไปหรือกลุม่ เป้ าหมายเฉพาะ ซึงผใู้ ชบ้ ริการสามารถสอบถามไดเ้ ป็นแห่งๆไป เช่น หอ้ งสมุดประชาชน ขององคก์ รปกครองส่วนทอ้ งถนิ หอ้ งสมดุ ประชาชนของกรุงเทพมหานคร ห้องสมุดโรงเรียน เป็ นตน้ ในทีนีจะแนะนาํ หอ้ งสมดุ ต่างๆ ดงั นี 1. หอ้ งสมดุ ประชาชน “เฉลิมราชกมุ ารี” 2. หอ้ งสมุดโรงเรียน . หอ้ งสมดุ มหาวิทยาลยั . หอสมุดแห่งชาติ . หอ้ งสมดุ เฉพาะ
.ห้องสมุดประชาชน “เฉลมิ ราชกมุ ารี” ในวโรกาสมิงมงคลสมยั ทีสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี ทรงเจริ ญ พระชนมายุ พรรษา เมือปี พุทธศกั ราช กระทรวงศึกษาธิการไดร้ ับพระราชทานพระราชานุญาต ให้ดาํ เนินโครงการจัดตังห้องสมุดประชาชน “เฉลิมราชกุมารี ” เพือเฉลิมพระเกียรติและสนอง แนวพระราชดาํ ริในการส่งเสริมการศึกษาสาํ หรับประชาชน ห้องสมุดประชาชน “เฉลมิ ราชกมุ ารี” อาํ เภอเมอื ง บทบาทหน้าที ราชบุรี . ศนู ยข์ ่าวสารขอ้ มลู ของชุมชน . ศนู ยส์ ่งเสริมการเรียนรู้ของชุมชน ภาพจาก library4902.blogspot.com . ศนู ยก์ ลางจดั กิจกรรมของชุมชน . ศนู ยก์ ลางสนบั สนุนเครือข่ายการเรียนรู้ในชุมชน บริการของห้องสมดุ ประชาชน “เฉลมิ ราชกมุ ารี” ลักษณะเด่นของห้องสมุดประชาชน “เฉลิมราชกุมารี ” คือ ห้องสมุดทุกแห่งจะได้รับ พระราชทานหนงั สือจาก สมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี เพือนํามาให้บริการแก่ ประชาชน รวมทงั พระองค์จะเสด็จเปิ ดห้องสมุดประชาชน “เฉลิมราชกุมารี” ทุกแห่งดว้ ยพระองคเ์ อง ภายในหอ้ งสมดุ ประกอบดว้ ย หอ้ งต่าง ๆ ดงั นี 1. ห้องอ่านหนงั สือทวั ไป ภายในหอ้ งอ่านหนังสือทวั ไปจะเน้นบรรยากาศทีเรียบง่าย สะดวกสบาย แมก้ ารจดั หมวดหมู่ หนงั สือจะใชร้ ะบบมาตรฐานสากล แต่จะมีคาํ แนะนาํ ง่าย ๆ เพืออาํ นวยความสะดวกแก่ผใู้ ชบ้ ริการ ซึงมี ความหลากหลายต่างวยั ต่างระดบั ความรู้ 2. ห้องเดก็ และครอบครัว หอ้ งสมดุ ประชาชน “เฉลมิ ราชกุมารี” แต่ละแห่งไดจ้ ดั บริเวณเฉพาะสาํ หรับเด็ก เยาวชน และครอบครัว จดั กิจกรรมทีเด็กและครอบครัวสามารถมีส่วนร่วม และแสดงออก เช่น การเล่านิทาน การแสดงละครหุ่น การวาดภาพ การแข่งขนั อ่านเขียน
3. ห้องโสตทัศนศึกษา หอ้ งโสตทศั นศกึ ษาเป็นหอ้ งทีมุ่งพฒั นาใหเ้ ป็นศนู ยเ์ ทคโนโลยที างการศึกษาของอาํ เภอ 4. ห้องอเนกประสงค์ หอ้ งสมดุ ประชาชน “เฉลิมราชกมุ ารี” มบี ทบาทในการเป็นศนู ยส์ ่งเสริมการเรียนรู้ของประชาชน ในการวางแผนเบืองต้น จึงกาํ หนดให้มีห้องอเนกประสงค์ทีจะสามารถจัดกิจกรรมการศึกษา ทีหลากหลายทังในรูปของพิพิธภณั ฑ์ท้องถิน นิทรรศการ การอภิปราย การพบกลุ่มของนักศึกษา หรือการเรียนการสอน กลมุ่ สนใจ 5. ห้องเฉลมิ พระเกยี รติ เป็นหอ้ งจดั แสดงหนงั สือพระราชนิพนธ์ รวมทงั สิงของทีสมเด็จพระเทพฯ ทรงออกแบบ สมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกมุ ารี มีพระราชประสงคใ์ หห้ อ้ งสมดุ ประชาชน “เฉลิมราช กมุ ารี” จดั รวบรวมขอ้ มลู เกียวกบั อาํ เภอ และจงั หวดั ทีตงั ในรูปของสถิติ เอกสารสิงพิมพ์ บทสัมภาษณ์ แผนที ตลอดจนภาพถ่าย ในปัจจุบนั ศนู ยข์ อ้ มลู ภายในห้องสมุดประชาชน “เฉลิมราชกุมารี” ยงั มีความ แตกต่างกนั ในความสมบูรณ์ และวิธีการนาํ เสนอ แต่ส่วนใหญ่จะมขี อ้ มลู ในเรืองดงั ต่อไปนี 1. ขอ้ มลู สภาพทวั ไป 2. ขอ้ มลู ทางสงั คม 3. ขอ้ มลู ทางการเมืองการปกครอง 4. ขอ้ มลู ทางการศกึ ษา 5. ขอ้ มลู ทางศิลปวฒั นธรรม 6. ขอ้ มลู ทางวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี 7. ขอ้ มลู ทางการเกษตร 8. ขอ้ มลู ทางอตุ สาหกรรม 9. ขอ้ มลู ทางเศรษฐกิจ ห้องสมดุ ประชาชน \"เฉลมิ ราชกมุ ารี\" อาํ เภอสาม ห้องสมุดประชาชน \"เฉลมิ ราชกมุ ารี\" อาํ เภอท่า พราน จ.นครปฐม ตูม จ.สุรินทร์ ภาพจาก http://library1812.blogspot.com/ ภาพจากhttp:// . . . /libinfow be/
2. ห้องสมดุ โรงเรียน หอ้ งสมดุ โรงเรียน หมายถึง ห้องสมุดทีจดั ตงั ขึนในโรงเรียน หรือสถานทีจดั การศึกษาตาํ กว่า ระดบั อุดมศึกษา มวี ตั ถปุ ระสงค์สาํ คญั เพือใหเ้ ป็ นศูนยก์ ลางการเรียนของนกั เรียน และการสอนของครู หอ้ งสมดุ โรงเรียน จะจดั หาวสั ดุตามหลกั สูตรเพอื ใหบ้ ริการแก่นกั เรียน และครู ความสาํ คญั อีกอย่างหนึง คือ เป็นการปลกู ฝังนิสยั รักการอ่านของนกั เรียน บทบาทและหนา้ ทีของหอ้ งสมุดโรงเรียนมี ประการ ดงั นี 1. เป็นศนู ยก์ ลางของการศึกษาคน้ ควา้ ของการเรียน 2. เป็นศนู ยก์ ลางฝึกวิจารณญาณในการอา่ น มบี รรณารักษท์ าํ หนา้ ทีแนะนาํ การอา่ น 3. เป็นศนู ยก์ ลางอปุ กรณ์การสอน นอกจากการส่งเสริมการเรียนของนกั เรียน แลว้ ยงั ส่งเสริมการสอนของครูดว้ ย ห้องสมดุ โรงเรียนสารวทิ ยา ห้องสมดุ โรงเรียนแม่พระฟาติมา ภาพจาก http://librarianmagazine.com ภาพจาก www.taradgame.com . ห้องสมุดมหาวทิ ยาลยั หอ้ งสมดุ วทิ ยาลยั และมหาวทิ ยาลยั เป็นแหล่งเรียนรู้หลกั ในสถาบนั อุดมศึกษา มีบทบาทหนา้ ที ส่งเสริมการเรียนการสอนตามหลกั สูตรทีเปิ ดในวิทยาลยั หรือมหาวิทยาลยั นนั ๆ เป็ นสาํ คญั โดยการจดั รวบรวมหนงั สือ และสือความรู้อืน ๆ ในสาขาวิชาตามหลกั สูตร ส่งเสริมช่วยเหลือการคน้ ควา้ วิจยั ของ อาจารยแ์ ละนกั ศึกษา ส่งเสริมพฒั นาการทางวิชาการของอาจารย์ และนกั ศึกษา จดั ทาํ บรรณานุกรม และ ดรรชนีสาํ หรับการคน้ หาเรืองราวทีตอ้ งการ แนะนาํ นกั ศึกษาในการใชห้ นังสืออา้ งอิง บตั รรายการ และ คู่มือสาํ หรับการคน้ เรือง เช่น หอ้ งสมุดมหาวิทยาลยั สุโขทยั ธรรมาธิราช เป็ นห้องสมุดมหาวิทยาลยั เปิ ด มีชือเรียกว่า “สาํ นักบรรณสารสนเทศ” มีบริการทงั ในมหาวิทยาลยั ส่วนกลาง ระดบั ภาค และระดับ จงั หวดั ทีประชาชนมโี อกาสเขา้ ใชบ้ ริการได้ นอกจากนี ยังมีห้องสมุดมหาวิทยาลัยต่าง ๆ ทีประชาชนสามารถเข้าไปใช้บริ การได้ โดยเสียค่าบริการตามอตั ราทีหอ้ งสมุดแห่งนนั เรียกเก็บ รวมทงั กฎ กติกา ขอ้ บงั คบั ใหย้ ดึ ถือตามประกาศ ของหอ้ งสมดุ แห่งนนั
ห้องสมดุ มหาวิทยาลยั มหาสารคาม สํานกั หอสมดุ มหาวทิ ยาลยั นเรศวร ภาพจาก www.oknation.net/blog/reading ภาพจาก www.rd1677.com/rd_pitsanulok 4. หอสมดุ แห่งชาติ หอสมุดแห่งชาติ ถือเป็นหอ้ งสมุดทีใหญ่ทีสุด เป็นแหลง่ เรียนรู้ทีสาํ คญั ทีสุดแห่งหนึงในประเทศ ทีดาํ เนินการโดยรัฐบาล บทบาทหน้าทีหลกั ได้แก่ การรวบรวมหนังสือ สิงพิมพ์ และสือความรู้ ทุกอยา่ งทีผลติ ขึนในประเทศ และทุกอยา่ งทีเกียวกบั ประเทศไม่ว่าจะจดั พิมพใ์ นประเทศใด ภาษาใด เป็ น การอนุรักษส์ ือความรู้ทีเป็นทรัพยส์ ินทางปัญญาของชาติไม่ใหส้ ูญไป และใหม้ ีไวใ้ ชใ้ นอนาคต นอกจาก รวบรวมสิงพิมพ์ในประเทศแลว้ ยงั มีหน้าทีรวบรวมหนังสือทีมีคุณค่าซึงพิมพ์ในประเทศอืนไว้ เพอื การศกึ ษา คน้ ควา้ อา้ งองิ ตลอดจนทาํ หนา้ ทีเป็นศนู ยร์ วมบรรณานุกรมต่าง ๆ และจดั ทาํ บรรณานุกรม แห่งชาติออกเผยแพร่ใหท้ ราบโดยทวั กันว่ามีหนังสืออะไรบา้ งทีผลิตขึนในประเทศ หอสมุดแห่งชาติ จึงเป็นแหลง่ ใหบ้ ริการความรู้แก่คนทงั ประเทศ ช่วยเหลอื การคน้ ควา้ วจิ ยั ตอบคาํ ถาม และใหค้ าํ แนะนาํ ปรึกษาเกียวกบั หนงั สือ บทบาทและหน้าที 1. ดาํ เนินการจดั หา รวบรวม และสงวนรักษาทรัพยส์ ินทางปัญญา วิทยาการ ศลิ ปกรรม และวัฒนธรรมของชาติในรูปของหนังสือตัวเขียน เอกสารโบราณ และจารึ ก หนังสือตัวพิมพ์ สือสิงพมิ พ์ สือโสตทศั นวสั ดุ และสืออเิ ลก็ ทรอนิกส์ ทีผลิตจากในประเทศ และต่างประเทศ 2. ศึกษา วิเคราะห์ วิจยั ดาํ เนินงานดา้ นเทคนิควิชาการบรรณารักษศาสตร์ สารนิเทศศาสตร์ และเทคโนโลยสี ารนิเทศตามหลกั มาตรฐานสากล ตลอดจนให้การฝึ กอบรมแก่บุคลากรของหน่วยงาน และสถาบนั การศกึ ษา 3. ใหบ้ ริการการอ่าน ศึกษาคน้ ควา้ และวจิ ยั แก่ประชาชน เพอื ใหเ้ ป็นแหล่งเรียนรู้ตลอดชีวิต และการศึกษาตามอธั ยาศยั 4. เป็นศนู ยป์ ระสานงานระบบสารนิเทศทางวชิ าการแห่งชาติ 5. เป็นศนู ยข์ อ้ มลู วารสารระหว่างชาติแห่งประเทศไทย และภมู ิภาคเอเชียตะวนั ออกเฉียงใต้
ศนู ยก์ าํ หนดเลขมาตรฐานสากลประจาํ หนงั สือและวารสาร ศนู ยก์ าํ หนดรายละเอยี ดทางบรรณานุกรม ของหนังสือทีจัดพิมพ์ในประเทศ และเป็ นศูนย์กลางแลกเปลียน และยืมสิงพิมพ์ในระดับชาติ และนานาชาติ 6. เป็นคลงั สิงพมิ พข์ องชาติ และศนู ยร์ วบรวมสิงพิมพข์ ององคก์ รสหประชาชาติ 7. ปฏบิ ตั ิงานร่วมกนั หรือสนบั สนุนการปฏิบตั ิงานของหน่วยงานอนื ทีเกียวขอ้ ง หรือที ไดร้ ับมอบหมาย หอสมุดแห่งชาติ นอกจากทีตังอยู่ทีท่าวาสุกรี กรุงเทพมหานครแลว้ ยงั มีหอสมุดแห่งชาติ สาขาอยใู่ นภมู ิภาคต่างๆ อีก แห่ง หอสมุดแห่งชาต(ิ ท่าวาสุกรี) หอสมุดแห่งชาตริ ัชมังคลาภเิ ษก จันทบุรี ภาพจาก www.trueplookpanya.com ภาพจาก thai-culture.net/chanthaburi/ บริการของหอสมดุ แห่งชาติ ท่าวาสุกรี นอกจากการให้บริการการอ่าน ศึกษาคน้ ควา้ และวิจยั แก่ประชาชน เพือเป็ นแหล่งเรียนรู้ ตลอดชีวติ และการศึกษาตามอธั ยาศยั แลว้ ยงั มีบริการอนื ๆ ดงั ตวั อยา่ ง 1. บริการอนิ เทอร์เน็ต เพือศึกษาคน้ ควา้ และเป็นแหล่งเรียนรู้ตลอดชีวิตของนกั เรียน นกั ศึกษา ผศู้ กึ ษาคน้ ควา้ วจิ ยั และประชาชนทวั ไป โดยไมเ่ สียค่าใชจ้ ่าย 2. บริการวิทยานิพนธ์ และรายงานการวจิ ยั ปัจจุบนั สาํ นกั หอสมดุ แห่งชาติ ใหบ้ ริการ วิทยานิพนธต์ งั แต่ปี พ.ศ. 2546 – ปี ปัจจุบนั 3. บริการโสตทศั นวสั ดุ ใหบ้ ริการเกียวกบั แผนที CD, DVD สารคดี/ การ์ตนู และภาพยนตร์ทงั ภาษาไทย และภาษาต่างประเทศ แถบบนั ทึกเสียงธรรมะ และนิทานอิสป 4. บริการเลขมาตรฐานสากลประจาํ หนงั สือ วารสาร 5. บริการขอ้ มลู ทางบรรณานุกรมของหนงั สือ
5. ห้องสมุดเฉพาะ หอ้ งสมุดเฉพาะ คือ หอ้ งสมดุ ซึงรวบรวมหนงั สือในสาขาวชิ าบางสาขาโดยเฉพาะ มกั เป็น ส่วนหนึงของหน่วยงานราชการ องค์การ บริษัทเอกชน หรือธนาคาร ทาํ หน้าทีจัดหาหนังสือ และ ให้บริการความรู้ ข้อมูล และข่าวสารเฉพาะเรืองทีเกียวข้องกับการดาํ เนินงานของหน่วยงานนัน ๆ หอ้ งสมุดเฉพาะจะเนน้ การรวบรวมรายงานการคน้ ควา้ วิจยั วารสารทางวิชาการ เช่น ห้องสมุด มารวย ซึงเป็นหอ้ งสมุดของตลาดหลกั ทรัพยแ์ ห่งประเทศไทย จดั ตงั ขึนเพือเป็ นแหล่งสารสนเทศดา้ นตลาดเงิน ตลาดทุน และสาขาวิชาทีเกียวขอ้ ง ก่อนจะปรับปรุงรูปลกั ษณ์ใหม่ และเปลียนชือเป็น “ห้องสมุดมารวย” ในปี พ.ศ. 2547 เพือเป็นเกียรติแด่ ดร.มารวย ผดุงสิทธิ กรรมการผจู้ ดั การตลาดหลกั ทรัพยฯ์ คนที 5 ห้องสมดุ มารวย ห้องสมดุ ธนาคารแห่งประเทศไทย ภาพจาก http://www.thaigoodview.com ภาพจากhttp://www.bot.or.th
เรืองที แหล่งเรียนรู้สําคญั ในชุมชน นอกจากแหล่งเรียนรู้ประเภทหอ้ งสมุดตามทีกล่าวมาแลว้ ยงั มีแหล่งเรียนรู้ทีสาํ คญั ในชุมชน อีกจาํ นวนมาก แต่จะขอกล่าวถึงแหล่งเรียนรู้ทีผูเ้ รียนควรทราบและศึกษาเพือประกอบการเรียนรู้ ดงั ต่อไปนี 1. พิพิธภณั ฑ์ 2. ศาสนสถาน 3. อินเทอร์เน็ต . พพิ ธิ ภัณฑ์ พพิ ิธภณั ฑเ์ ป็นแหล่งเรียนรู้ทีรวบรวม รักษา คน้ ควา้ วจิ ยั และจดั แสดงหลกั ฐานวตั ถสุ ิงของ ทีสมั พนั ธก์ บั มนุษยแ์ ละสิงแวดลอ้ ม เป็นบริการการศกึ ษาทีใหค้ วามรู้ และความเพลดิ เพลินแก่ประชาชน ทวั ไป เนน้ การจดั กิจกรรมการศึกษาทีเอือใหป้ ระชาชนสามารถเรียนรู้ดว้ ยตวั เองอย่างอิสระเป็ นสาํ คญั พิพิธภณั ฑม์ ีหลากหลายรูปแบบ มีการจดั แบ่งประเภทแตกต่างกนั ไป ซึงกล่าวโดยสรุปไดว้ ่าประเภท ของพพิ ธิ ภณั ฑส์ ามารถแบ่งออกได้ 6 ประเภท ดงั นี ก. พพิ ธิ ภณั ฑส์ ถานประเภททวั ไป (Encyclopedia Museum) เป็นสถาบนั ทีรวมวชิ าการ ทุกสาขาเขา้ ดว้ ยกนั โดยจดั เป็นแผนก ๆ ข. พพิ ิธภณั ฑส์ ถานศลิ ปะ (Museum of Arts) เป็นสถาบนั ทีจดั แสดงงานศลิ ปะทุกแขนง เช่น พพิ ิธภณั ฑส์ ถานศลิ ปะการแสดง หอศลิ ป์ พพิ ิธภณั ฑศ์ ลิ ปะสมยั ใหม่ เป็นตน้ ค. พิพธิ ภณั ฑส์ ถานวทิ ยาศาสตร์และเทคโนโลยี (Museum of Science and Technology) เป็ นสถาบันทีจัดแสดงวิวฒั นาการทางวิทยาศาสตร์ด้านต่าง ๆ เช่น เครื องจักรกล โทรคมนาคม ยานอวกาศ และววิ ฒั นาการเกียวกบั เครืองมอื การเกษตร เป็นตน้ ง. พิพิธภณั ฑส์ ถานธรรมชาติวิทยา (Natural Science Museum) เป็นสถาบนั ทีจดั แสดง เรืองราวของธรรมชาติเกียวกบั เรืองของโลก ดิน หิน แร่ สัตว์ พืช รวมทังสวนสัตว์ สวนพฤกษชาติ วนอทุ ยาน และพพิ ธิ ภณั ฑส์ ตั วน์ าํ และสตั วบ์ กดว้ ย พิพิธภณั ฑส์ ตั วน์ าํ ราชมงคลศรีวชิ ยั จงั หวดั ตรัง www.aquariumthailand.com พพิ ธิ ภัณฑ์สถานแห่งชาติน่าน www.travelthaimagazine.com
จ. พิพธิ ภณั ฑส์ ถานประวตั ิศาสตร์ (Historical Museum) เป็นสถาบนั ทีจดั แสดงหลกั ฐาน ทางประวตั ิศาสตร์ แสดงถึงชีวิตความเป็ นอยู่ วฒั นธรรมและประเพณี พิพิธภณั ฑป์ ระเภทนีอาจแยก เฉพาะเรืองกไ็ ด้ เช่น พิพธิ ภณั ฑท์ ีรวบรวม และจดั แสดงหลกั ฐานทางประวตั ิศาสตร์ ซึงเกียวกบั การเมือง การทหาร เศรษฐกิจ สังคม หรือการแสดงบา้ นและเมืองประวตั ิศาสตร์ ทังนีรวมถึงโบราณสถาน อนุสาวรีย์ และสถานทีสาํ คญั ทางวฒั นธรรม ฉ. พิพธิ ภณั ฑส์ ถานชาติพนั ธุว์ ทิ ยา และประเพณีพนื เมือง (Museum of Ethnology) และ การจาํ แนกชาติพนั ธุ์ และอาจจดั เฉพาะเรืองราวของทอ้ งถินใดทอ้ งถินหนึง ซึงเรียกว่าพิพิธภณั ฑ์สถาน พนื บา้ น และถา้ จดั แสดงกลางแจง้ โดยปลูกโรงเรือน จดั สภาพแวดลอ้ มใหเ้ หมือนสภาพจริง ก็เรียกว่า พพิ ธิ ภณั ฑส์ ถานกลางแจง้ (Open-air Museum) พพิ ธิ ภณั ฑ์พระปกเกล้า ภาพจาก www.kingprajadhipokmuseum.org ภาพจาก www.pamame.com ภาพจาก www.bloggang.com
. ศาสนสถาน วดั โบสถ์ มสั ยดิ เป็นศาสนสถานทีเป็นรากฐานของวฒั นธรรมในดา้ นต่าง ๆ เป็นศนู ยก์ ลาง ทีสาํ คญั ในการทาํ กิจกรรมทางศาสนาของชุมชน และเป็ นแหล่งเรียนรู้ทีมีค่ามากในทุกดา้ น เช่น การให้ การอบรมตามคาํ สังสอนของศาสนา การให้การศึกษาด้านศิลปวฒั นธรรม ขนบธรรมเนียมประเพณี พธิ ีกรรมต่าง ๆ นบั ว่าเป็นการใหก้ ารศึกษาทางออ้ มแก่ประชาชน เช่น วดั พระเชตุพนวิมล มงั คลาราม เป็นแหลง่ เรียนรู้ดา้ นการนวดแผนโบราณเพอื รักษาโรค ตาํ รายาสมุนไพร วดั พระศรีรัตนศาสดาราม เป็น แหล่งเรียนรู้ดา้ นจิตรกรรมฝาผนงั เรือง รามเกียรติ วัดพระศรีรัตนศาสดาราม (วัดพระแก้ว) มสั ยิดกลางปัตตานี ภาพจาก www.bhodhiyalaya.com ภาพจาก travel.sanook.com/gallery โบสถ์ ภาพจาก www.oknation.net กจิ กรรม 1. ใหผ้ เู้ รียนศกึ ษาคน้ ควา้ เรืองศาสนสถานเพมิ เติมจากอินเทอร์เน็ต 2. ใหผ้ เู้ รียนแต่ละคนไปสาํ รวจวดั โบสถ์ และมสั ยดิ ทีอยใู่ นชุมชน ตาํ บล เขียนประวตั ิ ความเป็นมา ความสาํ คญั สิงทีจะเรียนรู้ไดจ้ ากวดั โบสถ์ และมสั ยดิ จดั ทาํ เป็นรายงานส่งครู
. อนิ เทอร์เนต็ อนิ เทอร์เนต็ (Internet) คอื อะไร อินเทอร์เน็ต เป็นระบบเครือข่ายทีเชือมโยงทวั โลกเขา้ ดว้ ยกนั เหมอื นใยแมงมุม หรือ world wide web (www.) จึงเป็ นแหล่งข้อมูลขนาดใหญ่ทีมีข้อมูลทุก ๆ ด้าน ทังภาพ เสียง ภาพเคลอื นไหว ใหผ้ สู้ นใจเขา้ ไปศึกษาคน้ ควา้ ไดส้ ะดวก รวดเร็ว และง่าย มีคอมพิวเตอร์เป็ นเครืองมือ ผทู้ ีใชเ้ ครือข่ายนีสามารถสือสารถึงกนั ไดห้ ลาย ๆ ทาง เช่น อีเมล์ (E-mail) เว็บบอร์ด (Web board) แชทรูม (Chat room) การสืบคน้ ขอ้ มูล และข่าวสารต่าง ๆ รวมทงั คดั ลอกแฟ้ มขอ้ มลู และโปรแกรม มาใชไ้ ด้ ความสําคญั ของอนิ เทอร์เนต็ หลายประเทศทวั โลกกาํ ลงั ใหค้ วามสาํ คญั กบั เทคโนโลยสี ารสนเทศ (Information Technology) หรือเรียกโดยยอ่ วา่ “ไอที (IT)” ซึงหมายถงึ ความรู้ในวิธีการประมวลผล จดั เก็บ รวบรวม เรียกใช้ และนาํ เสนอขอ้ มูล อินเทอร์เน็ตเป็ นเครืองมือสาํ คญั อยา่ งหนึงในการประยุกต์ใชไ้ อที หากเรา จาํ เป็ นตอ้ งอาศยั ขอ้ มูลข่าวสารในการทาํ งานประจาํ วนั อินเทอร์เน็ตจะเป็ นช่องทางทีทาํ ให้เราเขา้ ถึง ขอ้ มูลข่าวสาร หรือเหตุการณ์ความเป็ นไปต่าง ๆ ทวั โลกทีเกิดขึนได้ในเวลาอนั รวดเร็ว ในปัจจุบัน สามารถสืบคน้ ขอ้ มลู ไดง้ ่ายกว่าสืออนื ๆ อินเทอร์เน็ตเป็นแหล่งรวบรวมขอ้ มลู แหลง่ ใหญ่ทีสุดของโลก ประวตั คิ วามเป็ นมาของอนิ เทอร์เน็ต อินเทอร์เน็ตถอื กาํ เนิดขึนครังแรก โดยองคก์ รทางทหารของสหรัฐอเมริกา ชือว่า ย.ู เอส.ดีเฟนซ์ (U.s.Defence Department) เป็ นผคู้ ิดคน้ ระบบขึนมา สาํ หรับประเทศไทยการเชือมต่อ เข้าสู่อินเทอร์เน็ต มีจุดกาํ เนิดมาจากเครื อข่ายคอมพิวเตอร์ ระหว่างมหาวิทยาลยั หรื อทีเรี ยกว่า “แคมปัสเน็ตเวิร์ก” (Campus Network) เครือข่ายดงั กล่าวไดร้ ับการสนับสนุนจาก “ศูนยเ์ ทคโนโลยี อิเล็กทรอนิกส์ และคอมพิวเตอร์แห่งชาติ” (NECTEC) จนกระทงั ในเดือนสิงหาคม ปี พ.ศ. 2535 ไดเ้ ชือมเขา้ สู่อนิ เทอร์เน็ตโดยสมบรู ณ์ ถา้ จะกล่าวถึงพฒั นาการประเทศไทย ตงั แต่ ปี พ.ศ.2530 ไดเ้ ริมมี การติดต่อกบั อนิ เทอร์เน็ตโดยใช้ E-mail โดยเริมที “มหาวิทยาลยั สงขลานครินทร์ วิทยาเขตหาดใหญ่” และสถาบนั เทคโนโลยแี ห่งเอเชียเป็นแห่งแรก อนิ เทอร์เน็ตเป็ นแหล่งเรียนรู้สําคญั ในโลกปัจจุบัน ทีจริงแลว้ อนิ เทอร์เน็ตเป็นทงั ช่องทางการเรียนรู้สู่แหล่งเรียนรู้อนื เองดว้ ย เราสามารถใชช้ ่องทาง นีทาํ อะไรไดม้ ากมายโดยทีเราก็คาดไม่ถึง เหตุผลสาํ คญั ทีทาํ ใหอ้ นิ เทอร์เน็ตเป็นแหลง่ เรียนรู้ทีไดร้ ับความ นิยมแพร่หลาย คือ 1. การสือสารบนอนิ เทอร์เน็ตไม่จาํ กดั ระบบปฏบิ ตั ิการของเครืองคอมพิวเตอร์ 2. อินเทอร์เน็ตไมม่ ขี อ้ จาํ กดั ในเรืองของระยะทาง 3. อินเทอร์เน็ตไมจ่ าํ กดั รูปแบบของขอ้ มลู
ความสําคญั ของอนิ เทอร์เน็ต 1. ความสําคญั ของอนิ เทอร์เน็ตกบั งานด้านต่าง ๆ 1.1 ดา้ นการศึกษา 1) สามารถใชแ้ หล่งคน้ ควา้ หาขอ้ มลู ทางวิชาการ ขอ้ มลู ดา้ นการบนั เทิง ดา้ นการแพทย์ และ อืนๆ ทีน่าสนใจ 2) ระบบเครือข่ายอินเทอร์เน็ตจะทาํ หนา้ ทีเสมอื นเป็นหอ้ งสมุดขนาดใหญ่ 3) ผใู้ ชส้ ามารถใชอ้ นิ เทอร์เน็ตติดต่อกบั แหล่งเรียนรู้อืนๆ เพอื คน้ หาขอ้ มลู ทีกาํ ลงั ศึกษาอยไู่ ด้ ทงั ทีขอ้ มลู ทีเป็นขอ้ ความ เสียง ภาพเคลือนไหวต่างๆ เป็นตน้ 1.2 ดา้ นธุรกิจและการพาณิชย์ 1) ในการดาํ เนินงานธุรกิจ สามารถคน้ หาขอ้ มลู ต่างๆ เพือช่วยในการตดั สินใจทางธุรกิจ 2) สามารถซือขายสินคา้ ผา่ นระบบเครือข่ายอนิ เทอร์เน็ต 3) บริษทั หรือองคก์ รต่าง ๆ ก็สามารถเปิ ดใหบ้ ริการ และสนบั สนุนลกู คา้ ของตนผา่ น ระบบเครือข่ายอินเทอร์เน็ตได้ เช่น การให้คาํ แนะนํา สอบถามปัญหาต่าง ๆ ให้แก่ลกู ค้าแจกจ่ายตัว โปรแกรมทดลองใช้ (Shareware) หรือโปรแกรมแจกฟรี (Freeware) เป็นตน้ 1.3 ดา้ นการบนั เทิง 1) การพกั ผอ่ นหยอ่ นใจ สนั ทนาการ เช่น การคน้ หาวารสารต่าง ๆ ผา่ นระบบ เครือข่ายอินเทอร์เน็ต ทีเรียกว่า Magazine Online รวมทงั หนังสือพิมพ์ และข่าวสารอืน ๆ โดยมี ภาพประกอบทีจอคอมพวิ เตอร์เหมือนกบั วารสารตามร้านหนงั สือทวั ๆ ไป 2) สามารถฟังวทิ ยผุ า่ นระบบเครือข่ายอนิ เทอร์เน็ตได้ 3) สามารถดึงขอ้ มลู (Download) ภาพยนตร์ตวั อยา่ ง ทงั ภาพยนตร์ใหม่ และเก่า 2. ความสําคญั ของการเรียนรู้ทางอนิ เทอร์เน็ต 2.1 การจดั เก็บขอ้ มลู จากอินเทอร์เน็ตไดง้ ่าย และสือสารไดร้ วดเร็ว 2.2 ความครบถว้ นของขอ้ มลู จากอินเทอร์เน็ต 2.3 ความรวดเร็วของเครือข่ายอนิ เทอร์เน็ต 3. การเรียนรู้ผ่านเครือข่ายอนิ เทอร์เน็ตมตี ้นทุนประหยดั กจิ กรรม 1. ใหผ้ ูเ้ รียนศกึ ษาคน้ ควา้ เพิมเติมเรือง อนิ เทอร์เนต็ 2. ใหผ้ ูเ้ รียนบอกถงึ ความแตกต่างระหวา่ งหอ้ งสมุด กบั อินเทอร์เน็ต 3. ใหผ้ ูเ้ รียนบอกถึงความสาํ คญั ของอนิ เทอร์เนต็ ว่ามีความสําคญั กบั ตวั ผูเ้ รียนในดา้ นใดบา้ ง และ สามารถนาํ ไปใชป้ ระโยชนส์ าํ หรับชมุ ชนของตนเองไดอ้ ยา่ งไร
การสืบค้นข้อมูลทางอนิ เทอร์เนต็ ในการสืบคน้ หาขอ้ มูลผ่านเครื อข่ายอินเทอร์เน็ต มีเครืองมือทีช่วยในการสืบค้นทีสะดวก เรียกวา่ โปรแกรมคน้ หา (Search Engine) ซึงโปรแกรมคน้ หานีสามารถใชไ้ ดห้ ลายภาษา เช่น ภาษาไทย ภาษาองั กฤษ ภาษาจีน โปรแกรมคน้ หาทีเป็นทีนิยมทีสามารถใชภ้ าษาไทย คือ เวบ็ ไซตก์ เู กิล (Google) ขันตอนในการใช้โปรแกรมค้นหา 1. เปิ ดโปรแกรมอนิ เทอร์เน็ต (Internet Explorer) 2. พิมพช์ ือเวบ็ ไซต์ www.google.com ลงในช่องแอด็ เดรส (Address) แลว้ กดป่ ุม Go หรือกดเอน็ เทอร์ (Enter) รอจนหนา้ ต่างของเวบ็ ไซตก์ เู กิล Google ขึน 3. หนา้ ต่างของเวบ็ ไซตก์ เู กิล google มสี ่วนประกอบดงั ภาพดา้ นลา่ ง 4. มีบริการทีสามารถเขา้ ถงึ ไดส้ ะดวกในการคน้ หา 6 รายการ คือ รูปภาพ กลุ่มข่าว บลอ็ ก สารบญั เวบ็ Gmail และเพมิ เติม 5. พิมพค์ าํ สาํ คญั หรือสิงทีตอ้ งการคน้ หาในช่องคน้ หา แลว้ กดป่ ุมคน้ หา โดย google 6. เมอื กดป่ ุมคน้ หาโดย Google ก็จะขึนรายละเอียดของเวบ็ ไซตเ์ กียวขอ้ งกบั คาํ สาํ คญั หรือสิงทีตอ้ งการคน้ หา 7. คลิกขอ้ ความทีขีดเสน้ ใตเ้ พอื ศกึ ษารายละเอยี ด จะมกี ารเชือมโยง (Link) ไปเวบ็ ไซตท์ ี ตอ้ งการ กจิ กรรม ใหผ้ เู้ รียนสืบคน้ ขอ้ มลู ทางอนิ เทอร์เน็ตเกียวกบั ศิลปวฒั นธรรมทอ้ งถนิ ทีเป็นภมู ลิ าํ เนาของผเู้ รียน สรุปเป็นรายงานส่งครู พร้อมทงั เขียนแผนภูมิเสน้ ทางการสืบคน้ ขอ้ มลู ดงั กลา่ วดว้ ย
แบบทดสอบ เรือง การใช้แหล่งเรียนรู้ ระดับมธั ยมศึกษาตอนต้น 1. ข้อใดเป็ นแหล่งรวบรวมข้อมูลสารสนเทศ มากทสี ุด ก. หอ้ งสมุด ข. อินเทอร์เน็ต ค. สวนสาธารณะ ง. อุทยานแห่งชาติ . ห้องสมุดประเภทใดทเี กบ็ รวบรวมทรัพยากรสารสนเทศทีมเี นอื หาเฉพาะวชิ า ก. หอ้ งสมดุ ประชาชน”เฉลมิ ราชกุมารี” ข. หอ้ งสมุดโรงเรียนสวนกุหลาบวิทยาลยั ค. หอ้ งสมดุ มารวย ง. หอ้ งสมดุ อาํ เภอ 3. แหล่งเรียนรู้ หมายถึงข้อใด ก. สถานทีใหค้ วามรู้ตามอธั ยาศยั ข. แหลง่ คน้ ควา้ เพอื ประโยชน์ในการพฒั นาตนเอง ค. แหลง่ รวบรวมความรู้และขอ้ มลู เฉพาะสาขาวิชาใดวชิ าหนึง ง. แหลง่ ขอ้ มลู และประสบการณ์ทีส่งเสริมใหผ้ เู้ รียนแสวงหาความรู้และเรียนรู้ดว้ ยตนเอง 4. ถ้านกั ศึกษาต้องการรู้เกยี วกบั โลกและดวงดาว ควรไปใช้บริการแหล่งเรียนรู้ใด ก. ทอ้ งฟ้ าจาํ ลอง ข. เมืองโบราณ ค. พิพิธภณั ฑ์ ง. หอ้ งสมุด 5. หนังสือประเภทใดทีห้ามยมื ออกนอกห้องสมดุ ก. เรืองแปล ข. นวนิยาย ค. หนงั สืออา้ งองิ ง. วรรณกรรมสาํ หรับเด็ก
6. เหตใุ ดห้องสมดุ จงึ ต้องกาํ หนดระเบียบและข้อปฏบิ ัตใิ นการเข้าใช้บริการ ก. เพืออาํ นวยความสะดวกต่อผใู้ ชบ้ ริการ ข. เพอื สนองความตอ้ งการแก่ผใู้ ชบ้ ริการทุกคน ค. เพือใหก้ ารบริหารงานหอ้ งสมดุ เป็นไปอยา่ งเรียบร้อย ง. เพอื ใหเ้ กิดความเป็นธรรมและความเสมอภาคแก่ผใู้ ชบ้ ริการ 7. การจดั ทาํ ค่มู อื การใช้ห้องสมดุ เพอื ให้ข้อมูลเกยี วกบั ห้องสมุด เป็ นบริการประเภทใด ก. บริการข่าวสารขอ้ มลู ข. บริการสอนการใชห้ อ้ งสมุด ค. บริการแนะนาํ การใชห้ อ้ งสมดุ ง. บริการตอบคาํ ถามและช่วยการคน้ ควา้ 8. ความสําคญั ของห้องสมดุ ข้อใดทชี ่วยให้ผ้ใู ช้บริการมจี ติ สํานกึ ทีดตี ่อส่วนรวม ก. ช่วยใหร้ ู้จกั แบ่งเวลาในการศึกษาหาความรู้ ข. ช่วยใหม้ ีความรู้เท่าทนั โลกยคุ ใหม่ตลอดเวลา ค. ช่วยใหม้ นี ิสยั รักการคน้ ควา้ หาความรู้ดว้ ยตนเอง ง. ช่วยใหร้ ะวงั รักษาทรัพยส์ ิน สิงของของหอ้ งสมุด 9. ห้องสมุดประเภทใดให้บริการทุกเพศ วยั และความรู้ ก. หอ้ งสมุดเฉพาะ ข. หอ้ งสมดุ โรงเรียน ค. หอ้ งสมุดประชาชน ง. หอ้ งสมุดมหาวิทยาลยั 10. ห้องสมดุ มารวยเป็ นห้องสมุดประเภทใด ก. หอ้ งสมุดเฉพาะ ข. หอ้ งสมุดโรงเรียน ค. หอ้ งสมุดประชาชน ง. หอ้ งสมุดมหาวิทยาลยั
11. ข้อใดเป็ นแหล่งเรียนรู้ทีทีสําคญั ในการทํากจิ กรรมทางศาสนาและสอนคนให้เป็ นคนดี ก. วดั ข. มสั ยดิ ค. โบสถ์ ง. ถกู ทุกขอ้ 12. ข้อใดเป็ นประโยชน์ของอนิ เทอร์เน็ต ก. สะดวก รวดเร็ว ข. สือสารไดห้ ลายช่องทาง ค. มภี าพนิงและภาพเคลือนไหว ง. ถกู ทุกขอ้ 13. http://www.nfe.go.th คาํ ว่า th หมายถึงอะไร ก. ตวั ยอ่ ประเทศ ข. ตวั ยอ่ หน่วยงานตน้ สงั กดั ค. ตวั ยอ่ ของประเภทองคก์ ร ง. ตวั ยอ่ ของผใู้ หบ้ ริการอินเทอร์เน็ต 14. กล่มุ คาํ ทใี ช้ในการค้นหาข้อมูลเรียกว่าอะไร ก. Password ข. Keyword ค. word ง. Microsoft Word 15. ลงิ ค์ (Link)ในอนิ เทอร์เนต็ หมายถึงอะไร ก. การขาดหายของขอ้ มลู ในเวบ็ เพจ ข. การเชือมโยงของขอ้ มลู ในเวบ็ เพจ ค. การคน้ หาขอ้ มลู ในเวบ็ เพจ ง. ผดู้ ูแลและผใู้ ชใ้ นเวบ็ เพจ แนวคาํ ตอบ ขอ้ ข ขอ้ ค ขอ้ ง ขอ้ ก ขอ้ ค ขอ้ ง ขอ้ ค ขอ้ ง ข้อ ค ขอ้ ก ข้อ ง ข้อ ง ขอ้ ก ขอ้ ข ขอ้ ข
บทที 3 การจัดการความรู้ สาระสําคญั การจัดการความรู้เป็ นเครืองมือของการพฒั นาคุณภาพของงาน หรือสร้างนวตั กรรม ในการทาํ งาน การจดั การความรู้จึงเป็นการจัดการกบั ความรู้และประสบการณ์ทีมีอยใู่ นตวั คน และความรู้เด่นชัด นํามาแบ่งปันให้เกิดประโยชน์ต่อตนเองและองคก์ รดว้ ยการผสมผสาน ความสามารถของคนเขา้ ดว้ ยกนั อยา่ งเหมาะสม มีเป้ าหมายเพือการพฒั นางาน พฒั นาคน และ พฒั นาองคก์ รใหเ้ ป็นองคก์ รแห่งการเรียนรู้ ผลการเรียนรู้ทีคาดหวงั 1. วิเคราะห์ผลทีเกิดขนึ ของขอบขา่ ยความรู้ ตดั สินคุณคา่ กาํ หนดแนวทางพฒั นา 2. เห็นความสัมพนั ธ์ของกระบวนการจดั การความรู้ กบั การนาํ ไปใชใ้ นการ พฒั นาชุมชนปฏิบตั กิ าร 3. ปฏิบตั ติ ามกระบวนการจดั การความรู้ไดอ้ ยา่ งเป็นระบบ หัวข้อบทเรียน ความหมาย ความสาํ คญั หลกั การ เรืองที 1 กระบวนการจดั การความรู้ การรวมกลุม่ เพือตอ่ ยอดความรู้ เรืองที 2 การฝึกทกั ษะและกระบวนการจดั การความรู้
แบบทดสอบเรืองการจัดการความรู้ คาํ ชีแจง : จงกากบาท X เลอื กข้อทีท่านคดิ ว่าถูกต้องทีสุด 1. การจดั การความรู้เรียกสนั ๆ วา่ อะไร ก. MK ข. KM ค. LO ง. QA 2. เป้ าหมายของการจดั การความรู้คอื อะไร ก. พฒั นาคน ข. พฒั นางาน ค. พฒั นาองคก์ ร ง. ถูกทุกขอ้ 3. ขอ้ ใดถูกตอ้ งมากทีสุด ก. การจดั การความรู้ หากไม่ทาํ จะไมร่ ู้ ข. การจดั การความรู้คอื การจดั การความรู้ของผเู้ ชียวชาญ ค. การจดั การความรู้ถือเป็นเป้ าหมายของการทาํ งาน ง. การจดั การความรู้คอื การจดั การความรู้ทีมีในเอกสาร ตาํ รา มาจดั ใหเ้ ป็น ระบบ 4. ขนั สูงสุดของการเรียนรู้คืออะไร ก. ปัญญา ข. สารสนเทศ ค. ขอ้ มลู ง. ความรู้ 5. ชุมชนนกั ปฏิบตั ิ (Cop) คอื อะไร ก. การจดั การความรู้ ข. เป้ าหมายของการจดั การความรู้ ค. วิธีการหนึงของการจดั การความรู้ ง. แนวปฏิบตั ขิ องการจดั การความรู้
6. รูปแบบการจดั การความรู้ตามโมเดลปลาทู ส่วน “ทอ้ งปลา” หมายถึงอะไร ก. การกาํ หนดเป้ าหมาย ข. การแลกเปลียนเรียนรู้ ค. การจดั เกบ็ เป็นคลงั ความรู้ ง. ความรู้ทีชดั แจง้ 7. ผทู้ ีทาํ หนา้ ทีกระตนุ้ ใหเ้ กิดการแลกเปลียนเรียนรู้คือใคร ก. คุณเอือ ข. คุณอาํ นวย ค. คุณกิจ ง. คุณลิขิต 8. สารสนเทศเพือเผยแพร่ความรู้ในปัจจุบนั มีอะไรบา้ ง ก. เอกสาร ข. วีซีดี ค. เวบ็ ไซต์ ง. ถูกทุกขอ้ 9. การจดั การความรู้ดว้ ยตนเองกบั ชุมชนแห่งการเรียนรู้มีความเกียวขอ้ งกนั หรือไม่ อยา่ งไร ก. เกียวขอ้ งกนั เพราะการจดั การความรู้ในบุคคลหลาย ๆ คน รวมกนั เป็น ชุมชน เรียกวา่ เป็นชุมนุมแห่งการเรียนรู้ ข. เกียวขอ้ งกนั เพราะการจดั การความรู้ใหก้ บั ตนเองกเ็ หมือนกบั จดั การความรู้ ใหช้ ุมชนดว้ ย ค. ไม่เกียวขอ้ งกนั เพราะจดั การความรู้ดว้ ยตนเองเป็นปัจเจกบุคคล ส่วน ชุมชนแห่งการเรี ยนรู้เป็ นเรื องของชุมชน ง. ไม่เกียวขอ้ งกนั เพราะชุมชนแห่งการเรียนรู้เป็นการเรียนรู้เฉพาะกลุม่ 10. ปัจจยั ทีทาํ ใหก้ ารจดั การความรู้การรวมกลุม่ ปฏิบตั กิ ารประสบผลสาํ เร็จคืออะไร ก. พฤตกิ รรมของคนในกลุ่ม ข. ผนู้ าํ กลุ่ม ค. การนาํ ไปใช้ ง. ถูกทุกขอ้ เฉลย 1) ข 2) ง 3) ก 4) ก 5) ค 6) ข 7) ข 8) ง 9) ก 10) ง
เรืองที 1 ความหมาย ความสําคัญ หลักการ กระบวนการจัดการความรู้ การรวมกลุ่มเพอื ต่อยอดความรู้ และการจัดทําสารสนเทศเผยแพร่ความรู้ ความหมายของการจัดการความรู้ การจดั การ (Management) หมายถึง กระบวนการในการเขา้ ถึงความรู้และการถ่ายทอด ความรู้ทีตอ้ งดาํ เนินการร่วมกนั กบั ผปู้ ฏิบตั ิงาน ซึงอาจเริมตน้ จากการบ่งชีความรู้ทีตอ้ งการใช้ การสร้างและแสวงหาความรู้ การประมวลเพือกลนั กรองความรู้ การจดั การความรู้ให้เป็นระบบ การสร้างช่องทางเพือการสือสารกบั ผูเ้ กียวขอ้ ง การแลกเปลียนความรู้ การจดั การสมยั ใหม่ใช้ กระบวนการทางปัญญาเป็นสิงสาํ คญั ในการคิด ตดั สินใจ และส่งผลใหเ้ กิดการกระทาํ การจดั การ จึงเนน้ ไปทีการปฏิบตั ิ ความรู้ (Knowledge) หมายถึง ความรู้ทีควบคูก่ บั การปฏิบตั ิ ซึงในการปฏิบตั ิจาํ เป็นตอ้ งใช้ ความรู้ทีหลากหลายสาขาวิชามาเชือมโยงบูรณาการเพือการคิดและตดั สินใจและลงมือปฏิบัติ จุดกาํ เนิดของความรู้คือสมองของคน เป็นความรู้ทีฝังลึกอยใู่ นสมอง ชีแจงออกมาเป็นถอ้ ยคาํ หรือ ตวั อกั ษรไดย้ าก ความรู้นนั เมือนาํ ไปใชจ้ ะไม่หมดไป แตจ่ ะยิงเกิดความรู้ เพิมพูนมากขึนอยใู่ น สมองของผปู้ ฏิบตั ิ ในยคุ แรก ๆ มองว่า ความรู้หรือทุนทางปัญญา มาจากการจดั ระบบและการตีความ สารสนเทศ ซึงสารสนเทศกม็ าจากการประมวลขอ้ มูล ขนั ของการเรียนรู้เปรียบดงั ปิ ระมิดตาม รูปแบบนี
ความรู้แบ่งได้เป็ น 2 ประเภท คอื 1. ความรู้เด่นชัด (Explicit Knowledge) เป็นความรู้ทีเป็นเอกสาร ตาํ รา คูม่ ือ ปฏิบตั ิงาน สือตา่ ง ๆ กฎเกณฑ์ กติกา ขอ้ ตกลง ตารางการทาํ งาน บนั ทึกจากการทาํ งาน ความรู้เด่นชดั จึงมีชือเรียกอีกอยา่ งหนึงวา่ “ความรู้ในกระดาษ” 2. ความรู้ซ่อนเร้น /ความรู้ฝังลึก (Tacit Knowledge) เป็นความรู้ทีแฝงอยใู่ นตวั คน พฒั นาเป็นภูมิปัญญา ฝังอยใู่ นความคิด ความเชือ คา่ นิยม ทีคนไดม้ าจากประสบการณ์ สังสมมานาน หรือเป็นพรสวรรคอ์ นั เป็นความสามารถพิเศษเฉพาะตวั ทีมีมาแตก่ าํ เนิดหรือเรียก อีกอยา่ งหนึงวา่ “ความรู้ในคน” แลกเปลียนความรู้กนั ไดย้ าก ไม่สามารถแลกเปลียนมาเป็น ความรู้ทีเปิ ดเผยไดท้ งั หมด ตอ้ งเกิดจากการเรียนรู้ร่วมกนั ผ่านการเป็นชุมชน เช่น การสังเกต การแลกเปลียนเรียนรู้ระหวา่ งการทาํ งาน หากเปรียบความรู้เหมือนภเู ขานาํ แขง็ จะมีลกั ษณะดงั นี ส่วนของนําแขง็ ทีลอยพ้นนํา เปรียบเหมือนความรู้ทีเด่นชดั คอื ความรู้ทีอยใู่ นเอกสาร ตาํ รา ซีดี วดี ีโอ หรือสืออืน ๆ ทีจบั ตอ้ งได้ ความรู้นีมีเพียง 20 เปอร์เซ็นต์ ส่วนของนําแขง็ ทจี มอยู่ใต้นํา เปรียบเหมือนความรู้ทียงั ฝังลึกอยใู่ นสมองคน มี ความรู้จาก สิงทีตนเองไดป้ ฏิบตั ิ ไม่สามารถถ่ายทอดออกมาเป็นตวั หนงั สือใหค้ นอืนไดร้ ับรู้ได้ ความรู้ทีฝังลึก ในตวั คนนีมีประมาณ 80 เปอร์เซ็นต์
ความรู้ 2 ยุค ความรู้ยุคที 1 เนน้ ความรู้ในกระดาษ เน้นความรู้ของคนส่วนนอ้ ย ความรู้ทีสร้างขึน โดยนักวิชาการทีมีความชาํ นาญเชียวชาญเฉพาะดา้ น เรามกั เรียกคนเหล่านนั วา่ “ผมู้ ีปัญญา” ซึงเชือวา่ คนส่วนใหญ่ไมม่ ีความรู้ ไมม่ ีปัญญา ไม่สนใจทีจะใช้ความรู้ของคนเหล่านนั โลกทศั น์ ในยคุ ที 1 เป็นโลกทศั น์ทีคบั แคบ ความรู้ยุคที 2 เป็นความรู้ในคน หรืออยใู่ นความสัมพนั ธ์ระหว่างคน เป็ นการ คน้ พบ “ภูมิปัญญา” ทีอยใู่ นตวั คน ทุกคนมีความรู้เพราะทุกคนทาํ งาน ทุกคนมีสัมพนั ธ์กบั ผอู้ ืน จึงย่อมมีความรู้ทีฝังลึกในตวั คนทีเกิดจากการทาํ งาน และการมีความสัมพนั ธ์กันนัน เรียกว่า “ความรู้อนั เกิดจากประสบการณ์” ซึงความรู้ยคุ ที 2 นี มีคุณประโยชน์ 2 ประการ คือ ประการแรก ทาํ ให้เราเคารพซึงกนั และกนั วา่ ตา่ งก็มีความรู้ ประการที 2 ทาํ ให้หน่วยงาน หรือองคก์ รทีมีความเชือเช่นนี สามารถใช้ศักยภาพแฝงของทุกคนในองคก์ รมาสร้างผลงาน สร้างนวตั กรรมใหก้ บั องคก์ ร ทาํ ใหอ้ งคก์ รมีการพฒั นามากขนึ การจดั การความรู้ การจดั การความรู้ (Knowledge Management) หมายถึง การจดั การกบั ความรู้ และ ประสบการณ์ทีมีอยใู่ นตวั คน และความรู้เด่นชดั นาํ มาแบ่งปันให้เกิดประโยชน์ต่อตนเอง และ องคก์ ร ดว้ ยการผสมผสานความสามารถของคนเขา้ ดว้ ยกนั อยา่ งเหมาะสม มีเป้ าหมาย เพือการ พฒั นางาน พฒั นาคน และพฒั นาองคก์ รใหเ้ ป็นองคก์ รแห่งการเรียนรู้ ในปัจจุบนั และในอนาคตโลกจะปรับตวั เขา้ สู่การเป็นสังคมแห่งการเรียนรู้ ซึงความรู้ กลายเป็นปัจจยั สาํ คญั ในการพฒั นาคน ทาํ ใหค้ นจาํ เป็นตอ้ งสามารถแสวงหาความรู้พฒั นา และ สร้างองคค์ วามรู้อยา่ งตอ่ เนือง เพือนาํ พาตนเองสู่ความสาํ เร็จ และนาํ พาประเทศชาติไปสู่การ พฒั นา มีความเจริญกา้ วหนา้ และสามารถแขง่ ขนั กบั ตา่ งประเทศได้ คนทุกคนมีการจดั การความรู้ในตนเองแตย่ งั ไม่เป็นระบบ การจดั การความรู้เกิด ขึน ไดใ้ นครอบครัวทีมีการเรียนรู้ตามอธั ยาศยั พ่อแม่สอนลูก ป่ ูยา่ ตายาย ถ่ายทอดความรู้ และภูมิ ปัญญาใหแ้ กล่ ูกหลานในครอบครัว ทาํ กนั มาหลายชวั อายคุ น โดยใชว้ ิธีธรรมชาติ เช่น พดู คุย สัง สอน จดจาํ ไม่มีกระบวนการทีเป็นระบบแต่อยา่ งใด วิธีการดงั กล่าวถือเป็น การจดั การความรู้ รูปแบบหนึง แตอ่ ยา่ งไรกต็ าม โลกในยคุ ปัจจุบนั มีการเปลียนแปลงอยา่ ง รวดเร็วในดา้ นตา่ ง ๆ การใชว้ ธิ ีการจดั การความรู้แบบธรรมชาติ อาจกา้ วตามโลกไม่ทนั จึงจาํ เป็นตอ้ งมีกระบวนการที
เป็ นระบบ เพือช่วยให้องคก์ รสามารถทาํ ให้บุคคลไดใ้ ช้ความรู้ตามทีตอ้ งการไดท้ นั เวลา ซึงเป็นกระบวนการพฒั นาคนให้มีศกั ยภาพ โดยการสร้างและใชค้ วามรู้ในการปฏิบัติงานให้ เกิดผลสัมฤทธิดีขึนกว่าเดิม การจดั การความรู้หากไม่ปฏิบตั ิจะไม่เขา้ ใจเรืองการจดั การความรู้ นนั คือ “ไม่ทํา ไม่รู้” การจดั การความรู้จึงเป็นกิจกรรมของนักปฏิบตั ิ กระบวนการจดั การความรู้ จึงมีลกั ษณะเป็ นวงจรเรียนรู้ทีต่อเนืองสมาํ เสมอ เป้ าหมายคือการพฒั นางานและพฒั นาคน การจัดการความรู้ทีแทจ้ ริงเป็ นการจดั การความรู้โดยกลุ่มผูป้ ฏิบัติงานเป็ นการดาํ เนินกิจกรรม ร่วมกนั ในกลุ่มผูท้ าํ งาน เพือช่วยกนั ดึง “ความรู้ในคน” และควา้ ความรู้ภายนอกมาใช้ในการ ทาํ งาน ทาํ ให้ไดร้ ับความรู้มากขึน ซึงถือเป็ นการยกระดบั ความรู้และนาํ ความรู้ทีไดร้ ับการ ยกระดบั ไปใช้ในการทาํ งานเป็นวงจรตอ่ เนืองไม่จบสิน การจดั การความรู้จึงตอ้ งร่วมมือกนั ทาํ หลายคน ความคิดเห็นทีแตกต่างในแต่ละบุคคลจะก่อให้เกิดการสร้างสรรค์ด้วยการใช้ กระบวนการแลกเปลียนเรียนรู้ มีปณิธานมุ่งมนั ทีจะทาํ งาน ใหป้ ระสบผลสาํ เร็จดีขึนกว่าเดิม เมือดาํ เนินการจดั การความรู้แลว้ จะเกิดนวตั กรรมในการทาํ งานนนั คอื เกิดการตอ่ ยอดความรู้ และมี องคค์ วามรู้เฉพาะเพอื ใชใ้ นการปฏิบตั ิงานของตนเอง การจดั การความรู้มิใช่การเอาความรู้ทีมีอยู่ ในตาํ ราหรือจากผเู้ ชียวชาญมากองรวมกนั และจัดหมวดหมู่ เผยแพร่ แตเ่ ป็นการดึงเอาความรู้ เฉพาะส่วนทีใชใ้ นงานมาจดั การใหเ้ กิดประโยชนก์ บั ตนเอง กลุม่ หรือชุมชน การจดั การความรู้เป็นการเรียนรู้จากการปฏิบตั ิ นาํ ผลจากการปฏิบตั ิมาแลกเปลียนเรียนรู้กนั เสริมพลงั ของการแลกเปลียนเรียนรู้ดว้ ยการชืนชม ทาํ ใหเ้ ป็ นกระบวนการแห่งความสุข ความภูมิใจ และการเคารพเห็นคุณค่าซึงกนั และกนั ทกั ษะเหลา่ นีนาํ ไปสู่การสร้างนิสยั คิดบวกทาํ บวก มองโลกใน แง่ดี และสร้างวฒั นธรรมในองคก์ รทีผคู้ นสัมพนั ธก์ นั ดว้ ยเรืองราวดี ๆ ดว้ ยการแบ่งปันความรู้ และ แลกเปลียนความรู้จากประสบการณ์ซึงกนั และกนั โดยทีกิจกรรมเหล่านีสอดคลอ้ งแทรกอยใู่ นการ ทาํ งานประจาํ ทุกเรือง ทุกเวลา... ศ.นพ.วจิ ารณ์ พานิช
ความสําคญั ของการจัดการความรู้ หัวใจของการจดั การความรู้คือ การจดั การความรู้ทีมีอยใู่ นตวั บุคคล โดยเฉพาะบุคคลทีมี ประสบการณ์ในการปฏิบตั ิงานจนงานประสบผลสาํ เร็จ กระบวนการแลกเปลียนเรียนรู้ระหว่างคนกบั คน หรือกลุ่มกบั กล่มุ จะก่อใหเ้ กิดการยกระดบั ความรู้ทีส่งผลต่อเป้ าหมายของการทาํ งาน นนั คือเกิด การพฒั นาประสิทธิภาพของงาน คนเกิดการพฒั นา และ ส่งผลต่อเนืองไปถึงองค์กร เป็ นองค์กรแห่ง การเรียนรู้ ผลทีเกิดขึนกบั การจดั การความรู้ จึงถอื วา่ มคี วามสาํ คญั ต่อการพฒั นาบุคลากรในองคก์ ร ซึง ประโยชน์ทีจะเกิดขึนต่อบุคคล กลุม่ หรือองคก์ ร มอี ยา่ งนอ้ ย 3 ประการ คือ 1. ผลสมั ฤทธิของงาน หากมีการจดั การความรู้ในตนเอง หรือในหน่วยงาน องค์กร จะเกิด ผลสาํ เร็จทีรวดเร็วยงิ ขึน เนืองจากความรู้เพือใชใ้ นการพฒั นางานนนั เป็ นความรู้ทีไดจ้ ากผทู้ ีผ่านการ ปฏิบตั ิโดยตรง จึงสามารถนาํ มาใชใ้ นการพฒั นางานไดท้ นั ที และเกิดนวตั กรรมใหม่ในการทาํ งาน ทงั ผลงานทีเกิดขึนใหมแ่ ละวฒั นธรรมการทาํ งานร่วมกนั ของคนในองคก์ รทีมีความเออื อาทรต่อกนั 2. บุคลากร การจดั การความรู้ในตนเองจะส่งผลใหค้ นในองค์กรเกิดการพฒั นา ตนเอง และ ส่งผลรวมถงึ องคก์ ร กระบวนการเรียนรู้จากการแลกเปลียนความรู้ร่วมกนั จะทาํ ให้บุคลากรเกิดความ มนั ใจในตนเอง เกิดความเป็ นชุมชนในหม่เู พือนร่วมงาน บุคลากร เป็ นบุคคลเรียนรู้และส่งผลให้ องคก์ รเป็นองคก์ รแห่งการเรียนรู้อีกดว้ ย 3. ยกระดบั ความรู้ของบุคลากรและองคก์ ร การแลกเปลียนเรียนรู้ จะทาํ ใหบ้ ุคลากรมีความรู้ เพมิ ขึนจากเดิม เห็นแนวทางในการพฒั นางานทีชดั เจนมากขึน และเมอื นาํ ไปปฏิบตั ิจะทาํ ให้บุคคลและ องคก์ รมอี งคค์ วามรู้เพือใชใ้ นการปฏิบตั ิงานในเรืองทีสามารถนาํ ไปปฏิบตั ิได้ มีองคค์ วามรู้ทีจาํ เป็ นต่อ การใชง้ าน และจดั ระบบใหอ้ ยใู่ นสภาพพร้อมใช้ การทีเรามีการจดั การความรู้ในตวั เอง จะพบว่าความรู้ในตวั เราทีคิดว่าเรามีมากแลว้ นนั จริง ๆ แลว้ ยงั นอ้ ยมากเมือเทียบกบั บุคคลอืน และหากเรามีการแบ่งปันแลกเปลียนความรู้กบั บุคคลอืน จะ พบว่ามีความรู้บางอยา่ งเกิดขึนโดยทีเราคาดไม่ถึง และหากเราเห็นแนวทางมีความรู้แลว้ ไม่นาํ ไป ปฏิบตั ิ ความรู้นนั ก็จะไม่มีคุณค่าอะไรเลย หากนาํ ความรู้นันไปแลกเปลียน และนาํ ไปสู่การปฏิบตั ิที เป็นวงจรต่อเนืองไม่รู้จบจะเกิดความรู้เพมิ ขึนอยา่ งมาก หรือทีเรียกว่า “ยงิ ให้ ยงิ ได้รับ”
หลักการของการจัดการความรู้ การจดั การความรู้ ไมม่ ีสูตรสาํ เร็จในวิธีการของการจดั การเพือใหบ้ รรลุเป้ าหมาย ในเรืองใด เรืองหนึง แต่ขึนอยกู่ บั ปณิธานความมงุ่ มนั ทีจะทาํ งานของตน หรือกิจกรรมของกลุม่ ตนใหด้ ีขึนกว่าเดิม แลว้ ใชว้ ธิ ีการจดั การความรู้เป็นเครืองมือหนึงในการพฒั นางานหรือสร้างนวตั กรรมในงาน มีหลกั การ สาํ คญั 4 ประการ ดงั นี 1. ใหค้ นหลากหลายทศั นะ หลากหลายวถิ ีชีวติ ทาํ งานร่วมกนั อย่างสร้างสรรค์ การจดั การ ความรู้ทีมพี ลงั ตอ้ งทาํ โดยคนทีมพี นื ฐานแตกต่างกนั มีความเชือหรือวิธีคิดแตกต่างกนั (แต่มจี ุดรวมพลงั คือ มเี ป้ าหมายอยทู่ ีงานดว้ ยกนั ) ถา้ กลุ่มทีดาํ เนินการจดั การความรู้ประกอบดว้ ยคนทีคิดเหมือน ๆ กนั การจดั การความรู้จะไม่มีพลงั ในการจดั การความรู้ความแตกต่างหลากหลายมคี ุณค่ามากกว่าความเหมอื น 2. ร่วมกนั พฒั นาวิธีการทาํ งานในรูปแบบใหม่ ๆ เพือบรรลุประสิทธิภาพและประสิทธผล ทีกาํ หนดไว้ ประสิทธิผลประกอบดว้ ยองคป์ ระกอบ 4 ประการ คือ 2.1 การตอบสนองความตอ้ งการ ซึงอาจเป็นความตอ้ งการของตนเอง ผรู้ ับ บริการ ความตอ้ งการของสงั คม หรือความตอ้ งการทีกาํ หนดโดยผนู้ าํ องคก์ ร 2.2 นวตั กรรม ซึงอาจเป็นนวตั กรรมดา้ นผลติ ภณั ฑใ์ หม่ ๆ หรือวธิ ีการใหม่ ๆ กไ็ ด้ 2.3 ขีดความสามารถของบุคคล และขององคก์ ร 2.4 ประสิทธิภาพในการทาํ งาน 3. ทดลองและการเรียนรู้ เนืองจากกิจกรรมการจดั การความรู้ เป็ นกิจกรรมทีสร้างสรรค์ จึงตอ้ งทดลองทาํ เพยี งนอ้ ย ๆ ซึงถา้ ลม้ เหลวก็ก่อผลเสียหายไม่มากนกั ถา้ ไดผ้ ลไมด่ ีก็ยกเลิกความคดิ นนั ถา้ ไดผ้ ลดีจึงขยายการทดลองคือปฏิบตั ิมากขึน จนในทีสุดขยายเป็ นวิธีทาํ งานแบบใหม่ หรือทีเรียกว่า ไดว้ ิธีการปฏบิ ตั ิทีส่งผลเป็นเลศิ (best practice) ใหมน่ นั เอง 4. นาํ เขา้ ความรู้จากภายนอกอยา่ งเหมาะสม โดยตอ้ งถอื ว่าความรู้จากภายนอก ยงั เป็นความรู้ ที “ดิบ” อยตู่ อ้ งเอามาทาํ ให้ “สุก” ใหพ้ ร้อมใชต้ ามสภาพของเรา โดยการเติมความรู้ทีมีตามสภาพของ เราลงไป จึงจะเกิดความรู้ทีเหมาะสมกบั ทีเราตอ้ งการใช้ หลกั การของการจดั การความรู้ จึงมุ่งเนน้ ไปทีการจดั การทีมีประสิทธิภาพ เพราะการจดั การ ความรู้เป็นเครืองมอื ระดมความรู้ในคน และความรู้ในกระดาษทงั ทีเป็นความรู้จากภายนอก และความรู้
ของกลุ่มผรู้ ่วมงานเอามาใชแ้ ละยกระดบั ความรู้ของบุคคลขอ ผรู้ ่วมงาน และขององคก์ รทาํ ให้งาน มีคุณภาพสูงขึน คนเป็ นบุคคลเรียนรู้และองคก์ รเป็ นองค์กรแห่งการเรียนรู้ การจดั การความรู้จึงเป็ น ทกั ษะสิบส่วน เป็นความรู้เชิงทฤษฎีเพียงส่วนเดียว การจดั การความรู้จึงอยใู่ นลกั ษณะ “ไม่ทํา-ไม่รู้”
กิ จ ก ร ร ม กจิ กรรมที 1 ใหอ้ ธิบายความหมายของ “การจดั การความรู้” มาพอสงั เขป ............................................................................................................................................................................................. ............................................................................................................................................................................................. ............................................................................................................................................................................................. ............................................................................................................................................................................................. ............................................................................................................................................................................................. ............................................................................................................................................................................................. กจิ กรรมที 2 ใหอ้ ธิบายความสาํ คญั ของ “การจดั การความรู้” มาพอสังเขป ............................................................................................................................................................................................. ............................................................................................................................................................................................. ............................................................................................................................................................................................. ............................................................................................................................................................................................. ............................................................................................................................................................................................. ............................................................................................................................................................................................. กจิ กรรมที 3 ใหอ้ ธิบายหลกั การของ “การจดั การความรู้” มาพอสงั เขป ............................................................................................................................................................................................. ............................................................................................................................................................................................. ............................................................................................................................................................................................. ............................................................................................................................................................................................. ............................................................................................................................................................................................. .............................................................................................................................................................................................
กระบวนการในการจดั การความรู้ การจดั การความรู้นันมีหลายรูปแบบ หรือทีเรียกกันว่า “โมเดล” มีหลากหลาย โมเดล หวั ใจของการจดั การความรู้คือ การจดั การความรู้ทีอยใู่ นตวั คน ในฐานะผปู้ ฏิบตั ิ และ เป็นผูม้ ีความรู้ การจดั การความรู้ทีทาํ ให้คนเคารพในศักดิศรีของคนอืน การจัดการความรู้ นอกจากการจดั การความรู้ในตนเองเพือใหเ้ กิดการพฒั นางานและพฒั นาตนเองแลว้ ยงั มองรวมถึง การจดั การความรู้ในกลุ่มหรือองคก์ รดว้ ย รูปแบบ การจดั การความรู้จึงอยบู่ นพืนฐานของความ เชือทีวา่ ทุกคนมีความรู้ ปฏิบตั ใิ นระดบั ความชาํ นาญทีตา่ งกนั เคารพความรู้ทีอยใู่ นตวั คน ดร.ประพนธ์ ผาสุกยึด ไดค้ ิดคน้ รูปแบบการจดั การความรู้ไว้ 2 แบบ คือ รูปแบบ ปลาทูหรือทีเรียกว่า “โมเดลปลาทู” และรูปแบบปลาตะเพียน หรือทีเรียกว่า “โมเดลปลา ตะเพยี น” แสดงใหเ้ ห็นถึงรูปแบบการจดั การความรู้ในภาพรวมของการจดั การ ทีครอบคลุมทงั ความรู้ทีชดั แจง้ และความรู้ทีฝังลึก ดงั นี โมเดลปลาทู เพือใหก้ ารจดั การความรู้ หรือ KM เป็นเรืองทีเขา้ ใจง่าย จึงกาํ หนดใหก้ ารจดั การ ความรู้เปรียบเหมือนกบั ปลาทูตวั หนึง มีสิงทีตอ้ งดาํ เนินการจดั การความรู้อยู่ 3 ส่วน โดย กาํ หนดว่า ส่วนหัว คือการกาํ หนดเป้ าหมายของการจดั การความรู้ทีชัดเจน ส่วนตวั ปลา คือ การแลกเปลียนความรู้ซึงกนั และกนั และส่วนหางปลา คือความรู้ทีไดร้ ับจากการแลกเปลียน เรียนรู้ รูปแบบการจดั การความรู้ตาม “โมเดลปลาทู”
ส่วนที 1 “หัวปลา” หมายถึง “Knowledge Vision” หรือ KV คือเป้ าหมายของ การจัดการความรู้ ผูใ้ ช้ตอ้ งรู้ว่าจะจัดการความรู้เพือบรรลุเป้ าหมายอะไร เกียวข้องหรือ สอดคลอ้ งกบั วิสัยทศั น์ พนั ธกิจและยทุ ธศาสตร์ขององคก์ รอยา่ งไร เช่น จดั การความรู้เพือเพิม ประสิทธิภาพของงาน จดั การความรู้เพือพฒั นาทักษะชีวิตดา้ นยาเสพติด จดั การความรู้เพือ พฒั นาทกั ษะชีวิตดา้ นสิงแวดลอ้ ม จัดการความรู้เพือพฒั นาทกั ษะชีวิตดา้ นชีวิตและทรัพยส์ ิน จดั การความรู้เพอื ฟื นฟขู นบธรรมเนียมประเพณีดงั เดิมของคนในชุมชน เป็นตน้ ส่วนที 2 “ตวั ปลา” หมายถึง “Knowledge Sharing” หรือ KS เป็นการแลกเปลียน เรียนรู้หรือการแบ่งปันความรู้ทีฝังลึกในตวั คนผปู้ ฏิบตั ิ เป็นการแลกเปลียนวิธีการทาํ งานทีประสบ ผลสาํ เร็จไม่เนน้ ทีปัญหา เครืองมือในการแลกเปลียนเรียนรู้มีหลากหลายแบบ อาทิ การเล่าเรือง การสนทนาเชิงลึก การชืนชมหรือการสนทนาในเชิงบวก เพือนช่วย เพือน การทบทวนการ ปฏิบตั ิงาน การถอดบทเรียน การถอดองคค์ วามรู้ ส่วนที 3 “หางปลา” หมายถึง “Knowledge Assets” หรือ KA เป็นขมุ ความรู้ทีไดจ้ าก การแลกเปลียนเรียนรู้ มีเครืองมือในการจดั เก็บความรู้ทีมีชีวิตไม่หยุดนิง คือ นอกจากจดั เกบ็ ความรู้แลว้ ยงั งา่ ยในการนาํ ความรู้ออกมาใชจ้ ริง ง่ายในการนาํ ความรู้ออกมาต่อยอด และง่ายใน การปรับขอ้ มูลไม่ใหล้ า้ สมยั ส่วนนีจึงไม่ใช่ส่วนทีมีหนา้ ทีเกบ็ ขอ้ มูลไวเ้ ฉย ๆ ไม่ใช่ห้องสมุด สําหรับเกบ็ สะสมขอ้ มูลทีนาํ ไปใชจ้ ริงไดย้ าก ดงั นัน เทคโนโลยีการสือสารและสารสนเทศ จึงเป็นเครืองมือจดั เกบ็ ความรู้อนั ทรงพลงั ยงิ ในกระบวนการจดั การความรู้ ตวั อยา่ งการจดั การความรู้เรือง “พฒั นากลุ่มวสิ าหกจิ ชุมชน” ในรูปแบบปลาทู
โมเดลปลาตะเพยี น จากโมเดล “ปลาทู” ตวั เดียวมาสู่โมเดล “ปลาตะเพียน” ทีเป็นฝงู โดยเปรียบ แม่ปลา “ปลาตวั ใหญ่” ไดก้ บั วิสัยทศั น์ พนั ธกิจ ขององคก์ รใหญ่ ในขณะทีปลาตวั เลก็ หลาย ๆ ตวั เปรียบไดก้ บั เป้ าหมายของการจดั การความรู้ทีตอ้ งไปตอบสนองเป้ าหมายใหญ่ขององคก์ ร จึงเป็น ปลาทงั ฝงู เหมือน “โมบายปลาตะเพียน” ของเล่นเดก็ ไทยสมยั โบราณทีผูใ้ หญ่สานเอาไวแ้ ขวน เหนือเปลเดก็ เป็นฝงู ปลาทีหนั หนา้ ไปในทิศทางเดียวกนั และมีความเพียรพยายามทีจะว่ายไปใน กระแสนาํ ทีเปลียนแปลงอยตู่ ลอดเวลา ปลาใหญ่ อาจเปรียบเหมือนการพฒั นาอาชีพ ตามแนวทางปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียงใน ชุมชน ซึงการพฒั นาอาชีพดงั กล่าวตอ้ งมีการแกป้ ัญหาและพฒั นาร่วมกนั ไปทงั ระบบ เกิดกลุม่ ตา่ ง ๆ ขึนในชุมชน เพอื การเรียนรู้ร่วมกนั ทงั การทาํ บญั ชีครัวเรือน การทาํ เกษตรอินทรีย์ การทาํ ป๋ ุย หมกั การเลียงปลา การเลียงกบ การแปรรูปผลิตภณั ฑ์เพือใช้ ในครอบครัวหรือจาํ หน่ายเพือเพิม รายได้ เป็นตน้ เหล่านีถือเป็นปลาตวั เล็ก หากการแกป้ ัญหาทีปลาตวั เล็กประสบผลสําเร็จ จะส่งผลใหป้ ลาตวั ใหญ่หรือเป้ าหมายในระดบั ชุมชนประสบผลสาํ เร็จดว้ ยเช่นกนั นันคือปลาว่าย ไปขา้ งหนา้ อยา่ งพร้อมเพรียงกนั ทีสําคญั ปลาแตล่ ะตวั ไม่จาํ เป็นตอ้ งมีรูปร่างและขนาดเหมือนกนั เพราะการจดั การ ความรู้ของแต่ละเรือง มีสภาพของความยากง่ายในการแกป้ ัญหาทีแตกต่างกนั รูปแบบของการ จดั การความรู้ของแต่ละหน่วยยอ่ ย จึงสามารถสร้างสรรคป์ รับให้เขา้ กับแต่ละทีได้อย่าง เหมาะสม ปลาบางตวั อาจมีทอ้ งใหญ่ เพราะอาจมีส่วนของการแลกเปลียนเรียนรู้มาก บางตวั อาจ
เป็นปลาทีหางใหญเ่ ดน่ ในเรืองของการจดั ระบบคลงั ความรู้เพือใช้ในการปฏิบตั ิมาก แต่ทุกตวั ตอ้ งมีหวั และตาทีมองเห็นเป้ าหมายทีจะไปอยา่ งชดั เจน การจดั การความรู้ไดใ้ ห้ความสําคญั กบั การเรียนรู้ทีเกิดจากการปฏิบตั ิจริง เป็นการเรียนรู้ใน ทุกขนั ตอนของการทาํ งาน เช่น ก่อนเริมงานจะตอ้ งมีการศึกษาทาํ ความเขา้ ใจในสิงทีกาํ ลงั จะทาํ จะเป็นการเรียนรู้ดว้ ยตนเองหรืออาศยั ความช่วยเหลือจากเพือนร่วมงาน มีการศึกษาวิธีการและ เทคนิคตา่ ง ๆ ทีใชไ้ ดผ้ ล พร้อมทงั คน้ หาเหตผุ ลดว้ ยวา่ เป็นเพราะอะไร และจะสามารถนาํ สิงทีได้ เรียนรู้นนั มาใชง้ านทีกาํ ลงั จะทาํ นีไดอ้ ยา่ งไร ในระหว่างทีทาํ งานอยเู่ ช่นกนั จะตอ้ งมีการทบทวน การทาํ งานอยตู่ ลอดเวลา เรียกไดว้ ่าเป็นการเรียนรู้ทีไดจ้ ากการทบทวนกิจกรรมยอ่ ยในทุก ๆ ขนั ตอน หมนั ตรวจสอบอยเู่ สมอวา่ จุดมุ่งหมายของงานทีทาํ อยนู่ ีคืออะไรกาํ ลงั เดินไปถูกทาง หรือไม่เพราะเหตุใด ปัญหาคืออะไร จะตอ้ งทาํ อะไรให้แตกตา่ งไปจากเดิมหรือไม่ และ นอกจากนนั เมือเสร็จสินการทาํ งานหรือเมือจบโครงการ กจ็ ะตอ้ งมีการทบทวนสิงตา่ ง ๆ ทีไดม้ า แลว้ วา่ มีอะไรบา้ งทีทาํ ไดด้ ี มีอะไรบา้ งทีตอ้ งปรับปรุงแกไ้ ขหรือรับไวเ้ ป็นบทเรียน ซึงการเรียนรู้ ตามรูปแบบปลาทูนีถือเป็ นหัวใจสําคญั ของกระบวนการเรียนรู้ทีเป็ นวงจรอย่สู ่วนกลางของ รูปแบบการจดั การความรู้นนั เอง
กระบวนการจัดการความรู้ กระบวนการจัดการความรู้ เป็ นกระบวนการแบบหนึงทีจะช่วยให้องค์กรเข้าถึง ขนั ตอนทีทาํ ให้เกิดการจดั การความรู้ หรือพฒั นาการของความรู้ทีจะเกิดขึนภายในองค์กร มีขนั ตอน 7 ขนั ตอน ดงั นี 1. การบ่งชีความรู้ เป็นการพิจารณาวา่ เป้ าหมายการทาํ งานของเราคืออะไร และ เพอื ใหบ้ รรลุเป้ าหมายเราจาํ ตอ้ งรู้อะไร ขณะนีเรามีความรู้อะไร อยใู่ นรูปแบบใด อยกู่ บั ใคร 2. การสร้างและแสวงหาความรู้ เป็ นการจดั บรรยากาศและวฒั นธรรมการทาํ งาน ของคนในองคก์ รเพือเอือให้คนมีความกระตือรือร้นในการแลกเปลียนความรู้ซึงกนั และกนั ซึง จะก่อใหเ้ กิดการสร้างความรู้ใหม่ เพือนาํ ไปใชใ้ นการพฒั นาอยตู่ ลอดเวลา 3. การจดั การความรู้ใหเ้ ป็นระบบ เป็ นการจดั ทาํ สารบญั และจดั เก็บความรู้ประเภท ตา่ ง ๆ เพือใหก้ ารเกบ็ รวบรวมและการคน้ หาความรู้ นาํ มาใชไ้ ดง้ า่ ยและรวดเร็ว 4. การประมวลและกลนั กรองความรู้ เป็นการประมวลความรู้ใหอ้ ยใู่ นรูปเอกสาร หรือรูปแบบอืน ๆ ทีมีมาตรฐาน ปรับปรุงเนือหาให้สมบูรณ์ ใชภ้ าษาทีเขา้ ใจง่าย และใช้ได้ ง่าย 5. การเขา้ ถึงความรู้ เป็ นการเผยแพร่ความรู้เพือให้ผูอ้ ืนไดใ้ ช้ประโยชน์ เขา้ ถึง ความรู้ไดง้ า่ ยและสะดวก เช่น ใชเ้ ทคโนโลยี เวบ็ บอร์ด หรือบอร์ดประชาสมั พนั ธ์ เป็นตน้ 6. การแบง่ ปันแลกเปลียนความรู้ทาํ ไดห้ ลายวิธีการ หากเป็นความรู้เด่นชดั อาจจดั ทาํ เป็นเอกสารฐานความรู้ทีใชเ้ ทคโนโลยสี ารสนเทศ หากเป็นความรู้ทีฝังลึกทีอยใู่ นตวั คนอาจจดั ทาํ เป็ นระบบแลกเปลียนความรู้เป็ นทีมขา้ มสายงานชุมชนแห่งการเรียนรู้ พีเลียงสอนงาน การสบั เปลียนงาน การยมื ตวั เวทีแลกเปลียนเรียนรู้ เป็นตน้ 7. การเรียนรู้ การเรียนรู้ของบุคคลจะทาํ ใหเ้ กิดความรู้ใหม่ ๆ ขึนมากมาย ซึงจะไป เพิมพนู องคค์ วามรู้ขององคก์ รทีมีอยแู่ ลว้ ใหม้ ากขึนเรือย ๆ ความรู้เหล่านีจะถูกนาํ ไปใชเ้ พือสร้าง ความรู้ใหม่ ๆ เป็นวงจรทีไม่สินสุด เรียกวา่ เป็น “วงจรแห่งการเรียนรู้”
ตวั อย่างของกระบวนการจัดการความรู้ “วสิ าหกจิ ชุมชน” บ้านท่งุ รวงทอง 1. การบ่งชีความรู้ หมู่บา้ นทุ่งรวงทองเป็ นหมู่บ้านหนึงทีอย่ใู นอาํ เภอจุน จงั หวดั พะเยา จากการที หน่วยงานต่าง ๆ ไดไ้ ปส่งเสริมให้เกิดกลุ่มต่าง ๆ ขึนในชุมชน และเห็นความสาํ คญั ของการ รวมตวั กนั เพือเกือกูลคนในชุมชนให้มีการพึงพาอาศยั ซึงกันและกนั จึงมีเป้ าหมายจะพฒั นา หมู่บา้ นให้เป็ นวิสาหกิจชุมชน จึงตอ้ งมีการบ่งชีความรู้ทีจาํ เป็ นทีจะพฒั นาหมู่บ้านให้เป็ น วิสาหกิจชุมชน นนั คือหาขอ้ มูลชุมชนในประเทศไทยทีมีลกั ษณะเป็นวิสาหกิจชุมชน และเมือ ศึกษาขอ้ มูลแลว้ ทาํ ใหร้ ู้ว่าความรู้เรืองวิสาหกิจชุมชนอยทู่ ีไหน นนั คืออยทู่ ีเจา้ หน้าทีหน่วยงาน ราชการทีมาส่งเสริม และอยใู่ นชุมชนทีมีการทาํ วิสาหกิจชุมชนแลว้ ประสบผลสาํ เร็จ 2. การสร้างและแสวงหาความรู้ จากการศึกษาขอ้ มูลแลว้ ว่า หมู่บา้ นทีทาํ เรืองวิสาหกิจชุมชนประสบผลสําเร็จอยทู่ ีไหน ไดป้ ระสานหน่วยงานราชการ และจดั ทาํ เวทีแลกเปลียนเรียนรู้เพอื เตรียมการในการไปศึกษาดูงาน เมือไปศึกษาดูงานไดแ้ ลกเปลียนเรียนรู้ ทาํ ใหไ้ ดร้ ับความรู้เพิมมากขนึ เขา้ ใจรูปแบบกระบวนการ ของการทาํ วิสาหกิจชุมชน และแยกกนั เรียนรู้เฉพาะกลุ่ม เพือนาํ ความรู้ทีไดร้ ับมาปรับใชใ้ นการ ทาํ วสิ าหกิจชุมชนในหมูบ่ า้ นของตนเอง เมือกลบั มาแลว้ มีการทาํ เวทีหลายครังทงั เวทีใหญ่ทีคนทงั หมู่บา้ นและหน่วยงานหลายหน่วยงานมาใหค้ าํ ปรึกษาชุมชนร่วมกนั คิดวางแผน และตดั สินใจ รวมทงั มีเวทียอ่ ยเฉพาะกลุ่มจากการแลกเปลียนเรียนรู้ผา่ นเวทีชาวบา้ นหลายครัง ทาํ ให้ชุมชนเกิด การพฒั นาในหลายดา้ น เช่น ความสัมพนั ธ์ของคนในชุมชน การมีส่วนร่วม ทงั ร่วมคิด ร่วมวางแผน ร่วมดาํ เนินการ ร่วมประเมินผล และร่วมรับผลประโยชน์ทีเกิดขนึ ในชุมชน 3. การจดั การความรู้ให้เป็ นระบบ การทาํ หมู่บ้านให้เป็ นวิสาหกิจชุมชนเป็ นความรู้ใหม่ของคนในชุมชนชาวบ้านได้ เรียนรู้ไปพร้อม ๆ กนั มีการแลกเปลียนเรียนรู้กนั เป็นทางการและไม่เป็นทางการ โดยมีส่วน ราชการและองคก์ รเอกชนต่าง ๆ ร่วมกนั หนุนเสริมการทาํ งานอยา่ งบูรณาการ และจากการถอด บทเรียนหลายครัง ชาวบา้ นมีความรู้เพิมมากขึน และบนั ทึกความรู้อยา่ งเป็นระบบนันคือ มีความรู้เฉพาะกลุม่ ส่วนใหญ่จะบนั ทึกในรูปเอกสารและมีการทาํ วิจยั จากบุคคลภายนอก
4. การประมวลและกลนั กรองความรู้ มีการจดั ทาํ ขอ้ มูล ซึงมาจากการถอดบทเรียน และการจดั ทาํ เป็นเอกสารเผยแพร่ เฉพาะกลุ่ม เป็นแหล่งเรียนรู้ให้กบั นกั ศึกษา กศน. และนกั เรียนในระบบโรงเรียน รวมทงั มี นาํ ขอ้ มลู มาวิเคราะห์เพือจดั ทาํ เป็นหลกั สูตรทอ้ งถินของ กศน.อาํ เภอจุนดว้ ย 5. การเข้าถงึ ความรู้ นอกจากการมีขอ้ มูลในชุมชนแลว้ หน่วยงานต่าง ๆ โดยเฉพาะองคก์ ารบริหารส่วน ตาํ บล ไดจ้ ดั ทาํ ขอ้ มลู เพือใหค้ นเขา้ ถึงความรู้ไดง้ ่าย ไดน้ าํ ขอ้ มูลใส่ไวใ้ นอินเทอร์เน็ต และ ในแต่ ละตาํ บลจะมีอินเทอร์เนต็ ตาํ บลใหบ้ ริการ ทาํ ใหค้ นภายนอกเขา้ ถึงขอ้ มูลไดง้ ่าย และมี การเขา้ ถึง ความรู้จากการแลกเปลียนเรียนรู้ร่วมกนั จากการมาศึกษาดงู านของคนภายนอก 6. การแบ่งปันแลกเปลยี นความรู้ ในการดาํ เนินงานกลุ่มชุมชน ไดม้ ีการแลกเปลียนเรียนรู้กนั ในหลายรูปแบบ ทงั การ ไปศึกษาดูงาน การศึกษาเป็นการส่วนตวั การรวมกลุ่มในลกั ษณะชุมชนนักปฏิบัติ (CoP) ทีแลกเปลียนเรียนรู้ร่วมกนั ทงั เป็นทางการและไมเ่ ป็นทางการทาํ ใหก้ ลุ่มไดร้ ับความรู้มากขึน และ บางกลุ่มเจอปัญหาอุปสรรคโดยเฉพาะเรืองการบริหารจดั การกลุ่มทาํ ให้กลุ่มตอ้ งมาทบทวน ร่วมกนั ใหม่ สร้างความเขา้ ใจร่วมกนั และเรียนรู้เรืองการบริหารจดั การจากกลุ่มอืนเพิมเติมทาํ ให้ กลุ่มสามารถดาํ รงอยไู่ ดโ้ ดยไม่ล่มสลาย 7. การเรียนรู้ กลุ่มไดเ้ รียนรู้หลายอยา่ งจากการดาํ เนินการวิสาหกิจชุมชน การทีกลุ่มมีการพฒั นาขึน นันแสดงวา่ กลุ่มมีความรู้มากขึนจากการลงมือปฏิบตั ิและแลกเปลียนเรียนรู้ร่วมกนั การพฒั นา นอกจากความรู้ทีเพิมขึน ซึงเป็นการยกระดบั ความรู้ของคนในชุมชนแลว้ ยงั เป็นการพฒั นา ความคดิ ของคนในชุมชนดว้ ย ชุมชนมีความคิดทีเปลียนไปจากเดิม มีการทาํ กิจกรรม เพือเรียนรู้ ร่วมกนั บ่อยขึน มีความคิดในการพึงพาตนเอง และเกิดกลุ่มตา่ ง ๆ ขึนในชุมชน โดยการมีส่วน ร่วมของคนในชุมชน
กิ จ ก ร ร ม ท้ า ย บ ท กจิ กรรมที 1 รูปแบบของการจดั การความรู้มีอะไรบา้ ง และมีลกั ษณะอยา่ งไร ............................................................................................................................................................................................. ............................................................................................................................................................................................. ............................................................................................................................................................................................. ............................................................................................................................................................................................. ............................................................................................................................................................................................. ............................................................................................................................................................................................. กจิ กรรมที 2 กระบวนการจดั การความรู้มีกีขนั ตอน อะไรบา้ ง ............................................................................................................................................................................................. ............................................................................................................................................................................................. ............................................................................................................................................................................................. ............................................................................................................................................................................................. ............................................................................................................................................................................................. ............................................................................................................................................................................................. กิจกรรมที 3 ให้ผูเ้ รียนยกตวั อย่างกลุ่มหรือชุมชนทีมีการจัดการความรู้ประสบผลสําเร็จ และอธิบายดว้ ยวา่ สาํ เร็จอยา่ งไร เพราะอะไร ............................................................................................................................................................................................. ............................................................................................................................................................................................. ............................................................................................................................................................................................. ............................................................................................................................................................................................. ............................................................................................................................................................................................. .............................................................................................................................................................................................
การรวมกลุ่มเพอื การเรียนรู้ บุคคลและเครืองมือทีเกียวข้องกบั การจัดการความรู้ ในการจดั การความรู้ดว้ ยวิธีการรวมกลุ่มปฏิบตั ิการเพือตอ่ ยอดความรู้ การแลกเปลียน เรียนรู้เพอื ดึงความรู้ทีฝังลึกในตวั บุคคลออกมาแลว้ สกดั เป็นขมุ ความรู้ หรือองคค์ วามรู้เพือใชใ้ น การปฏิบตั งิ านนนั จะตอ้ งมีบุคคลทีส่งเสริมให้เกิดการแลกเปลียนเรียนรู้ ในบรรยากาศของการ มีใจในการแบง่ ปันความรู้ รวมทงั ผทู้ ีทาํ หนา้ ทีกระตนุ้ ใหค้ นอยากทีจะแลกเปลียนเรียนรู้ซึงกนั และ กนั บุคคลทีสาํ คญั และเกียวขอ้ งกบั การจดั การความรู้ มีดงั ตอ่ ไปนี “คุณเออื ” ชือเตม็ คือ “คุณเอือระบบ” เป็นผนู้ าํ ระดบั สูงขององคก์ รหน้าทีสาํ คญั คือ 1) ทาํ ให้ การจดั การความรู้ เป็นส่วนหนึงของการปฏิบตั ิงานตามปกติขององคก์ ร 2) เปิ ดโอกาสใหท้ ุกคน ในองคก์ รเป็น “ผูน้ าํ ” ในการพฒั นาวิธีการทาํ งานทีตนรับผิดชอบ และนาํ ประสบการณ์มา แลกเปลียนเรียนรู้กบั เพอื นร่วมงาน สร้างวฒั นธรรมการเอืออาทรและแบ่งปันความรู้ และ 3) หา กศุ โลบายทาํ ใหค้ วามสาํ เร็จของการใชเ้ ครืองมือการจดั การความรู้มีการนาํ ไปใชม้ ากขนึ “คุณอาํ นวย” หรือผูอ้ าํ นวยความสะดวกในการจดั การความรู้ เป็นผกู้ ระตุน้ ส่งเสริม ให้เกิดการแลกเปลียนเรียนรู้ และอาํ นวยความสะดวกต่อการแลกเปลียนเรียนรู้นําคนมา แลกเปลียนประสบการณ์การทาํ งานร่วมกนั ช่วยให้คนเหล่านันสือสารกนั ให้เกิดความเขา้ ใจ เห็นความสามารถของกนั และกนั เป็นผเู้ ชือมโยงคนหรือหน่วยงานเขา้ มาหากนั โดยเฉพาะอยา่ งยิง เชือมระหวา่ งคนทีมีความรู้หรือประสบการณ์กบั ผตู้ อ้ งการเรียนรู้และนาํ ความรู้นนั ไปใช้ประโยชน์ คุณอาํ นวยตอ้ งมีทกั ษะทีสาํ คญั คือทกั ษะการสือสารกบั คนทีแตกต่างหลากหลาย รวมทงั ตอ้ งเห็น คุณคา่ ของความแตกต่างหลากหลายและรู้จกั ประสานความแตกต่าง เหล่านนั ให้มีคุณคา่ ในทาง ปฏิบตั ิ ผลกั ดนั ใหเ้ กิดการพฒั นางาน และติดตามประเมินผลการ ดาํ เนินงานคน้ หาความสําเร็จ หรือการเปลียนแปลงทีตอ้ งการ “คุณกจิ ” คือ เจา้ หน้าที ผูป้ ฏิบตั ิงานคนทาํ งานทีรับผิดชอบงานตามหนา้ ทีของตนใน องค์กรถือเป็ นผูจ้ ดั การความรู้ตวั จริงเพราะเป็ นผูด้ าํ เนินกิจกรรมการจดั การความรู้มีประมาณ ร้อยละ 90 ของทงั หมดเป็นผรู้ ่วมกนั กาํ หนดเป้ าหมายการใชก้ ารจดั การความรู้ของกลุ่มตน เป็นผู้ คน้ หาและแลกเปลียนเรียนรู้ภายในกลุ่ม และดาํ เนินการเสาะหาและดดู ซบั ความรู้จากภายนอกเพือ นาํ มาประยกุ ตใ์ ชใ้ หบ้ รรลุเป้ าหมายร่วมทีกาํ หนดไวเ้ ป็นผดู้ าํ เนินการจดบนั ทึกและจดั เกบ็ ความรู้ให้ หมุนเวยี นตอ่ ยอดความรู้ไป “คุณลขิ ติ ” คอื คนทีทาํ หนา้ ทีจดบนั ทึกกิจกรรมจดั การความรู้ตา่ ง ๆ เพือจดั ทาํ เป็นคลงั ความรู้ขององคก์ ร
ในการจดั การความรู้ทีอยใู่ นคนโดยการแลกเปลียนเรียนรู้ร่วมกนั จากการเลา่ เรืองสู่กนั ฟัง บุคคลทีส่งเสริ มสนับสนุนให้มีการรวมตัวกันเพือเล่าเรื องคือผูน้ ําสูงสุด หรื อทีเรี ยกว่า “คุณเอือ” เมือรวมตวั กนั แล้วแต่ละคนไดเ้ ล่าเรืองทีประสบผลสําเร็จจากการปฏิบตั ิของตนเอง ออกมาใหเ้ พือนฟัง คนทีเล่าเรืองแตล่ ะเรืองนนั เรียกว่า “คุณกจิ ” และในระหว่งทีเล่าจะมี การซักถามความรู้ เพือใหเ้ ห็นแนวทางของการปฏิบตั ิ เทคนิค เคลด็ ลบั ในการทาํ งานให้ ประสบผลสาํ เร็จ ผูท้ ีทาํ หน้าทีเรียกว่า “คุณอํานวย” และในขณะทีเล่าเรืองจะมีผูค้ อยจด บนั ทึก โดยเฉพาะเคล็ดลบั วิธีการทาํ งานให้ประสบผลสาํ เร็จ นนั คือ “คุณลิขิต” ซึงก็ หมายถึงคนทีคอยจดบนั ทึกนันเอง เมือทุกคนเล่าจบได้ฟังเรืองราววิธีการทาํ งานให้ประสบ ผลสาํ เร็จแลว้ ทุกคนช่วยกนั สรุปความรู้ทีไดจ้ ากการสรุปนี เรียกวา่ “แก่นความรู้” นนั เอง เครืองมอื ทเี กียวข้องกบั การจัดการความรู้ การจดั การความรู้ หัวใจสาํ คญั คือการจดั การความรู้ทีอยใู่ นตวั คน เครืองมือทีเกียวขอ้ ง กบั การจดั การความรู้เพือการแลกเปลียนเรียนรู้ จึงมีหลากหลายรูปแบบ ดงั นี 1. การประชุม (สัมมนา ปฏิบตั ิการ) ทงั ทีเป็นทางการและไม่เป็นทางการ เป็นการ แลกเปลียนเรียนรู้ร่วมกนั หน่วยงานองค์กรต่าง ๆ มีการใช้เครืองมือการจัดการความรู้ ในรูปแบบนีกนั มาก โดยเฉพาะหน่วยงานราชการ 2. การไปศึกษาดูงาน นันคือแลกเปลียนเรียนรู้จากการไปศึกษาดูงาน มีการ ซกั ถาม หรือจดั ทาํ เวทีแสดงความคิดเห็นในระหวา่ งไปศึกษาดูงาน กถ็ ือเป็นการแลกเปลียน ความรู้ร่วมกนั คือ ความรู้ยา้ ยจากคนไปสู่คน 3. การเล่าเรือง (storytelling) เป็นการรวมกลุ่มกนั ของผูป้ ฏิบัติงานทีมีลกั ษณะ คลา้ ยกนั ประมาณ 8-10 คน แลกเปลียนเรียนรู้โดยการเล่าเรืองสู่กนั ฟัง การเล่าเรืองผฟู้ ัง จะตอ้ งนงั ฟังอยา่ งมีสมาธิ หรือฟังอยา่ งลึกซึง จะทาํ ให้เขา้ ใจในบริบทหรือสภาพความเป็นไป ของเรืองทีเล่า เมือแต่ละคนเล่าจบ จะมีการสกดั ความรู้ทีเป็นเทคนิค วิธีการทีทาํ ให้งานประสบ ผลสําเร็จออกมา งานทีทาํ จนประสบผลสาํ เร็จเรียกว่า best practice หรือการปฏิบตั ิงานทีเลิศ ซึงแตล่ ะคนอาจมีวิธีการทีแตกตา่ งกนั ความรู้ทีไดถ้ ือเป็นการยกระดบั ความรู้ใหก้ บั คนทียงั ไม่เคย ปฏิบตั ิ และสามารถนาํ ความรู้ทีไดร้ ับประยกุ ตใ์ ชเ้ พอื พฒั นางานของตนเองได้
4. ชุมชนนกั ปฏิบตั ิ (Community of Practice : CoPs) เป็นการรวมตวั กนั ของคนที สนใจเรืองเดียวกนั รวมตวั กนั เพือแลกเปลียนทงั เป็นทางการ ผ่านการสือสารหลาย ๆ ช่องทาง อาจรวมตวั กนั ในลกั ษณะของการประชุม สมั มนา และแลกเปลียนความรู้กนั หรือการ รวมตวั ใน รูปแบบอืน เช่น การตงั เป็นชมรม หรือใช้เทคโนโลยีในการแลกเปลียนความรู้กนั ในลกั ษณะ ของเวบ็ บลอ็ ก ซึงสามารถแลกเปลียนเรียนรู้กนั ไดท้ ุกที ทุกเวลา และประหยดั คา่ ใช้จ่ายอีกดว้ ย การแลกเปลียนเรียนรู้จะทาํ ใหเ้ กิดการพฒั นาความรู้ และตอ่ ยอดความรู้ 5. การสอนงาน หมายถึง การถ่ายทอดความรู้หรือบอกวิธีการทาํ งาน การช่วย เหลือใหค้ าํ แนะนาํ ให้กาํ ลงั ใจแก่เพือนร่วมงาน รวมทงั การสร้างบรรยากาศเพือถ่ายทอดและ แลกเปลียนความรู้จากคนทีรู้มาก ไปสู่คนทีรู้นอ้ ยในเรืองนนั ๆ 6. เพือนช่วยเพือน (Peer Assist) หมายถึง การเชิญทีมอืนมาแบง่ ปันประสบการณ์ดี ๆ ทีเรียกวา่ best practice ใหเ้ รามาแนะนาํ มาสอน มาบอกตอ่ หรือมาเล่าใหเ้ ราฟัง เพือเราจะได้ นาํ ไปประยกุ ตใ์ ชใ้ นองคก์ รของเราได้ และเปรียบเทียบเป็นระยะ เพือยกระดบั ความรู้และพฒั นา งานใหด้ ียงิ ขนึ ตอ่ ไป 7. การทบทวนก่อนการปฏิบตั ิงาน (Before Aciton Review : BAR) เป็นการ ทบทวนการทาํ งานก่อนการปฏิบตั ิงาน เพือดูความพร้อมก่อนเริมการอบรม ใหค้ วามรู้ หรือ ทาํ กิจกรรมอืน ๆ โดยการเชิญคณะทาํ งานมาประชุมเพือตรวจสอบความพร้อมแตล่ ะฝ่ ายนาํ เสนอ ถึงความพร้อมของตนเองตามบทบาทหน้าทีทีไดร้ ับการทบทวนก่อนการปฏิบตั ิงาน จึงเป็นการ ป้ องกนั ความผดิ พลาดทีจะเกิดขนึ ก่อนการทาํ งานนนั เอง 8. การทบทวนขณะปฏิบตั ิงาน (During Action Review : DAR) เป็นการทบทวน ในระหวา่ งทีทาํ งาน หรือจดั อบรม โดยการสังเกตและนาํ ผลจากการสังเกตมาปรึกษาหารือ และ แกป้ ัญหาในขณะทาํ งานร่วมกนั ทาํ ใหล้ ดปัญหาหรืออุปสรรคในระหวา่ งการทาํ งานได้ 9. การทบทวนหลงั การปฏิบตั ิงาน (After Action Review : AAR) เป็นการติดตาม ผลหรือทบทวนการทาํ งานของผูเ้ ข้าร่วมกิจกรรม หรือคณะทํางานหลังเลิกกิจกรรมแล้ว โดยการนงั ทบทวนสิงทีไดป้ ฏิบตั ิไปร่วมกนั ผา่ นการเขียนและการพดู ดว้ ยการตอบคาํ ถามง่าย ๆ วา่ คาดหวงั อะไรจากการทาํ กิจกรรมนีไดต้ ามทีคาดหวงั หรือไม่ไดเ้ พราะอะไรและจะทาํ อยา่ งไร ตอ่ ไป 10. การจดั ทาํ ดชั นีผูร้ ู้ คือการรวบรวมผูท้ ีเชียวชาญเก่งเฉพาะเรือง หรือภูมิปัญญา มารวบรวมจดั เกบ็ ไวอ้ ยา่ งเป็นระบบ ทงั รูปแบบทีเป็นเอกสาร สืออิเลก็ ทรอนิกส์ เพือให้คน ไดเ้ ขา้ ถึงแหลง่ เรียนรู้ไดง้ ่าย และนาํ ไปสู่กิจกรรมการแลกเปลียนรู้ตอ่ ไป
Search
Read the Text Version
- 1
- 2
- 3
- 4
- 5
- 6
- 7
- 8
- 9
- 10
- 11
- 12
- 13
- 14
- 15
- 16
- 17
- 18
- 19
- 20
- 21
- 22
- 23
- 24
- 25
- 26
- 27
- 28
- 29
- 30
- 31
- 32
- 33
- 34
- 35
- 36
- 37
- 38
- 39
- 40
- 41
- 42
- 43
- 44
- 45
- 46
- 47
- 48
- 49
- 50
- 51
- 52
- 53
- 54
- 55
- 56
- 57
- 58
- 59
- 60
- 61
- 62
- 63
- 64
- 65
- 66
- 67
- 68
- 69
- 70
- 71
- 72
- 73
- 74
- 75
- 76
- 77
- 78
- 79
- 80
- 81
- 82
- 83
- 84
- 85
- 86
- 87
- 88
- 89
- 90
- 91
- 92
- 93
- 94
- 95
- 96
- 97
- 98
- 99
- 100
- 101
- 102
- 103
- 104
- 105
- 106
- 107
- 108
- 109
- 110
- 111
- 112
- 113
- 114
- 115
- 116
- 117
- 118
- 119
- 120
- 121
- 122
- 123
- 124
- 125
- 126
- 127
- 128
- 129
- 130
- 131
- 132
- 133
- 134
- 135
- 136
- 137
- 138
- 139
- 140
- 141
- 142
- 143
- 144
- 145
- 146
- 147
- 148
- 149
- 150
- 151
- 152
- 153
- 154
- 155
- 156
- 157
- 158
- 159
- 160
- 161
- 162
- 163
- 164
- 165
- 166
- 167
- 168
- 169
- 170
- 171
- 172
- 173
- 174
- 175
- 176
- 177
- 178
- 179
- 180
- 181
- 182
- 183
- 184
- 185
- 186
- 187
- 188
- 189
- 190
- 191
- 192
- 193
- 194
- 195
- 196
- 197
- 198
- 199
- 200
- 201
- 202
- 203
- 204
- 205
- 206
- 207