Important Announcement
PubHTML5 Scheduled Server Maintenance on (GMT) Sunday, June 26th, 2:00 am - 8:00 am.
PubHTML5 site will be inoperative during the times indicated!

Home Explore วิชา นวัตกรรมเทคโนโลยีและการสื่อสารทางการศึกษา

วิชา นวัตกรรมเทคโนโลยีและการสื่อสารทางการศึกษา

Published by lavanh5579, 2021-08-23 05:18:53

Description: วิชา นวัตกรรมเทคโนโลยีและการสื่อสารทางการศึกษา

Search

Read the Text Version

เอกสารอ้างอิง เรอื งวิทย์ นนทะกา และคณะ (2551). เอกสารการสอนวชิ าสื่อและเทคโนโลยีการสอนหลกั สูตร ประกาศนียบตั รบัณฑิตทางการสอน. เชยี งใหม่ : คณะครศุ าสตร์ สถาบนั ราชภฏั เชียงใหม่. วาสนา ชาวหา (2533). สอ่ื การเรียนการสอน. กรุงเทพฯ: โอเดยี นสโตร์. วรวทิ ย์ นเิ ทศศลิ ป์. (2551). สื่อและนวัตกรรมแห่งการเรยี นรู้. ปทุมธานี : สกายบุ๊ค. วิวรรธน์ จนั ทรเ์ ทพย์. (2542). วชิ าเทคโนโลยีทางการศกึ ษา. ราชบุรี : ธรรมรักษ์. สมบูรณ์ สงวนญาติ. (2534). เทคโนโลยที างการเรียนการสอน. กรงุ เทพฯ: ภาคพัฒนาตาราและเอกสารทาง วชิ าการ, หน่วยศกึ ษานิเทศก์, กรมการฝึกหดั ครู.



แผนบรหิ ารการสอนประจาบทท่ี 5 วัสดกุ ราฟกิ เพือ่ การเรยี นรู้ หัวเรื่องการเรยี นรู้ 1. ความหมายองวสั ดกุ ราฟกิ 2. คณุ ค่าของวัสดกุ ราฟิก 3. แผนภูมิ 4. แผนสถติ ิ 5. แผนภาพ 6. การโฆษณา 7. การต์ นู 8. แผนท่ี 9. การผลิตวัสดกุ ราฟิก 10. สรปุ เนือ้ หาบทท่ี 5 11. แบบฝกึ หัดท้ายบทที่ 5 วัตถปุ ระสงค์การเรยี นรู้ เมอื่ นักศกึ ษาเรียนจบบทเรยี นแลว้ นกั ศึกษาสามารถ 1. บอกความหมาย ประเภท คุณค่า ประโยชน์ ความสาคัญของวัสดกุ ราฟกิ เพื่อการเรยี นรู้ได้ 2. เลอื กวสั ดกุ ราฟกิ เพ่อื การเรียนรู้เพอ่ื นาไปใช้ในการสอนสถานการณต์ ่าง ๆ กิจกรรมการเรียนรู้ 1. การวเิ คราะห์จากเหตุการณจ์ ริง 2. การนาเสนอของผู้เรยี น 3. การอภปิ ราย ถาม-ตอบ และสะท้อนความคดิ เห็น

88 ส่อื การเรียนรู้ 1. สไลด์ โปรแกรม ไมโครซอฟต์ เพาเวอรพ์ อยท์ (Microsoft Power point) เร่อื ง วสั ดุกราฟกิ เพ่ือการ เรยี นรู้ 2. เอกสารประกอบการสอน บทท่ี 5 วัสดุกราฟิกเพื่อการเรยี นรู้ แหล่งการเรียนรู้ 1. สานักวิทยบรกิ าร มหาวิทยาลัยราชภฏั อุดรธานี 2. เวบ็ ไซต์ www.google.com การประเมินผลการเรียนรู้ 1. การนาเสนอของผเู้ รยี น 2. การมสี ว่ นร่วมกิจกรรมการเรียนรู้ 3. การอภปิ ราย ถาม-ตอบ และการสะท้อนความคิดเหน็ ตา่ ง ๆ 4. การตอบคาถามจากแบบฝึกหัดทา้ ยบท จดุ ประสงค์ เคร่ืองมือ เกณฑ์การประเมิน 1. สามารถบอกความหมาย แบบฝกึ หัดทา้ ยบท ทาได้ถูกต้องไม่นอ้ ยกวา่ รอ้ ยละ 75 ประเภท คณุ ค่า ประโยชน์ ความสาคญั ของวัสดุกราฟิกเพื่อ แบบฝึกหดั ทา้ ยบท ทาได้ถกู ต้องไมน่ ้อยกว่าร้อยละ 75 การเรียนรไู้ ด้ 2. สามารถเลือกวัสดกุ ราฟิกเพื่อ การเรียนรู้เพ่ือนาไปใชใ้ นการสอน สถานการณ์ต่าง ๆ

บทที่ 5 วัสดกุ ราฟิกเพ่ือการเรยี นรู้ ในด้านการศึกษา การเรียนการสอนเป็นการสื่อความหมายระหว่างผู้สอนกับผู้เรียน เพื่อถ่ายทอด ความรู้ ความรู้สึกทางด้านจิตใจและการกระทาให้ผู้เรียนเกิดการเรียนรู้ซ่ึงการสื่อความหมายก็ใช้เคร่ืองมือที่ เป็นสัญลักษณ์ท่ีแตกต่างกันไป วัสดุกราฟิกก็จัดเป็นสื่อที่นิยมกันมากเพราะความสะดวกในการใช้ความง่าย และประหยัดในการผลิตท่ีมีมากกว่าส่ือชนิดอื่น ๆ โดยที่คุณค่าหรือประโยชน์ที่ได้ก็ไม่ด้อยไปกว่าสื่ออ่ืนใด เลย ฉะนั้นในงานการจัดการศึกษา ผู้สอนควรให้ความสนใจศึกษาเร่ืองราวเก่ียวกับการผลิต และการใช้วัสดุ กราฟกิ ไวด้ ว้ ยเพราะเมือ่ ผูส้ อนนาวัสดกุ ราฟกิ ไปใช้ในกระบวนการเรียนการสอนแล้วย่อมจะส่งผลให้ผู้เรียนเกิด การเรียนรทู้ ่ถี ูกตอ้ ง และตรงตามจุดมงุ่ หมายทตี่ อ้ งการได้อยา่ งมปี ระสิทธภิ าพแนน่ อน ความหมายของวสั ดกุ ราฟกิ ความหมายของวัสดุกราฟิกมหี ลากหลาย ผูใ้ หค้ วามหมาย ดังเช่น วิรุฬห์ ลีลาพฤทธิ์ (2521) วัสดุมีลักษณะเป็นลายเส้น ซึ่งอาจเป็นสี หรือขาวดาก็ได้ มีคุณค่าในการ เรยี นรู้โดยทาให้สง่ิ ที่เป็นนามธนามเป็นรปู ธรรมมากขน้ึ ทาใหเ้ ขา้ ใจไดง้ า่ ย และช่วยดงึ ดดู ความสนใจของผู้เรียน ได้ดีเพราะมีการเพ่ิมสีสันให้สวยงามน่าดู วัสดุกราฟิกแม้จะต้องใช้เวลาในการผลิต แต่เม่ือผลิตแล้วสามารถใช้ ทบทวนซา้ ไดอ้ กี หลายครั้ง คาว่า Graphics มาจากภาษากรีก หมายถึงการเขียนภาพ การวาดภาพ ซึ่งเป็นลายเส้น เม่ือนามาใช้ ทางการเรยี นการสอนจงึ เรียกว่า วัสดกุ ราฟิกทางการเรยี นการสอน หรอื การศึกษา ซ่ึงหมายถึงสื่อการเรียนการ สอนที่แสดงความหมายด้วย เส้น สี สัญญลักษณ์ รูปร่าง รูปทรง รูปภาพ ตัวอักษร เพ่ือใช้แทนเร่ืองราว หรือ คาพูด (วิวรรธน์ จนั ทรเ์ ทพย์,2542) วรวิทย์ นิเทศศิลป์ (2551) วัสดุกราฟิก หมายถึง ทัศนวัสดุอย่างหน่ึง ใช้สื่อความหมายเพ่ือแสดง สญั ลกั ษณ์ ความหมายของสิง่ หนง่ึ ทเ่ี กี่ยวขอ้ งกบั ข้อเท็จจริง แนวคดิ และเสรมิ ความเข้าใจ พอจะสรุปความหมายของวัสดุกราฟิกโดยทั่ว หมายถึงผลงานแทบทุกอย่างท่ีสร้างขึ้น ด้วยการขีด เขียน เพ่ือท่ีจะส่ือความหมายอย่างใดอย่างหน่ึง แต่ในทางการศึกษาและการเรียนการสอน เมื่อพูดถึงวัสดุ กราฟิกทางการศึกษา จะหมายถึงส่ิงขีดเขียน หรือ พิมพ์ บางประเภท ที่ใช้เป็นสื่อการเรียนการสอน บาง ประเภท ทีส่ ร้างขึ้นดว้ ยการ เขยี น การวาดภาพ การพมิ พ์ เชน่ แผนภมู ิ แผนภาพ ภาพโฆษณา แผนที่ เปน็ ต้น

90 คณุ คา่ ของวสั ดกุ ราฟิก วรวทิ ย์ นิเทศศิลป์ (2551) ได้กล่าวไว้ว่า 1. แสดงใหเ้ ห็นถงึ สิ่งท่ีเป็นนามธรรม หรอื มคี วามสลบั ซับซอ้ นยากแก่การเขา้ ใจ ใหเ้ ข้าใจได้งา่ ยขึ้น เชน่ การอภิปรายเกย่ี วกบั โครงสรา้ งอะตอม ผูส้ อนจาเปน็ ต้องใชแ้ ผนภาพ 2. ย่อหรือขยายสิ่งท่ีมีขนาดใหญ่หรอื เลก็ เกินไปใหด้ ูง่ายขึ้น 3. ดดั แปลงปรุงแต่งจากการจาลองของจริง โดยใชส้ ี การเพิ่มเขา้ หรอื ตดั บางสว่ น ออก เพ่ือใหศ้ ึกษา ไดช้ ดั เจนยงิ่ ขึ้น 4. สญั ลักษณ์ หลายอย่างเป็นภาษาสากลจึงงา่ ยต่อการส่ือความหมาย 5. สามารถออกแบบใหม้ ลี ักษณะพเิ ศษต่าง ๆ เพื่อดงึ ดดู ความสนใจไดม้ าก เชน่ ความเดน่ สะดุดตา ความสวยงาม ความแปลกใหม่ หรือแมแ้ ตก่ ารเคลือ่ นไหว วัสดุกราฟิกที่นิยมใชใ้ นการเรียนการสอน มีหลายประเภท เชน่ แผนภูมิ แผนภาพ แผนสถติ ิ ภาพ โฆษณา การ์ตนู แผนที่ ภาพวาด เป็นต้น แผนภมู แิ ตล่ ะประเภท มีลักษณะ และวธิ ีการใชแ้ ตกตา่ งกัน ดงั รายละเอยี ดต่อไปนี้ แผนภูมิ แผนภูมิ (Chart) เป็นสื่อท่ีนิยมใช้อย่างกว้างขวางเพราะทาได้ง่าย ราคาถูก ใช้สอนได้หลายลักษณะ เชน่ ประกอบการอธบิ ายของผู้สอน สรุปบทเรียน กระตุ้นให้สนใจ นาเสนอได้หลายรูปแบบ คือ (วรวิทย์ นิเทศ ศลิ ป์,2551) 1. ประเภทของแผนภมู ิ 1.1 แผนภูมแิ บบตน้ ไม้ เป็นแผนภูมทิ ีใ่ ชส้ าหรับแสดงใหเ้ ห็นว่า สิ่งหนง่ึ หรอื คหู่ น่งึ แยกได้เป็นหลาย สิ่ง และส่ิงที่แยกออกไปนั้นได้แก่อะไรบ้าง เช่นการคมนาคมมีก่ีทาง พระราชกรณียกิจของ ร.5 วิธีท่ีต้นไม้ สบื พนั ธม์ุ ีอะไรบา้ ง เราไดอ้ ะไรจากพชื บ้าง เป็นต้น

91 ภาพที่ 8 แผนภูมติ น้ ไม้ ทมี่ า: http://thassaneetunpidcha.blogspot.com/p/blog-page_22.html 1.2 แผนภูมิแบบสายธาร แบบนี้ใช้สาหรับแสดงให้เห็นว่า ส่ิง ๆ หน่ึงเกิดจากหลายส่ิงมารวมกัน เขา้ เช่น เสือ้ ผา้ ได้มาจากอะไรบ้าง มีลักษณะคลา้ ยกนั กับแบบแรก เพียงแตก่ ลับทางกันเทา่ นั้น ภาพที่ 9 แผนภาพสายธาร ทีม่ า: http://thassaneetunpidcha.blogspot.com/p/blog-page_22.html 1.3 แผนภูมิแบบต่อเน่ือง ใช้สาหรับแสดงลาดับของการทางาน ของขบวนการดาเนินกิจกรรมซ่ึง เปน็ ไปตามลาดบั ขน้ั เชน่ แผนภมู แิ สดงขั้นการเสนอพระราชบัญญัติ วฏั จักรชีวติ ของกบ เปน็ ต้น

92 ภาพที่ 10 แผนภูมิแบบต่อเนื่อง ทม่ี า: http://thassaneetunpidcha.blogspot.com/p/blog-page_22.html 1.4 แผนภูมิแบบองค์การ ใช้สาหรับแสดงความสัมพันธ์ ของสายงานในองค์การ หรือหน่วยงาน หน่ึง ๆ หรือระหวา่ งองคก์ ารหรอื หน่วยงาน นยิ มใช้เสน้ ตรงโยงใหเ้ ห็นความสัมพนั ธก์ ันของหน่วยงานย่อยซ่ึงมัก ทาเป็นสี่เหลี่ยมล้อมอยู่ ถ้าความสัมพันธ์ส่วนไหนยังเป็นเพียงความดาริก็มักใช้เส้นประไม่ใช้เส้นทึบ ตัวอย่าง ของแผนภมู ิแบบน้ีได้แก่ แผนภมู ิท่ีแสดงหนว่ ยงานขององค์การนิสติ องค์การสหประชาชาติ เปน็ ตน้ ภาพท่ี 11 แผนภูมแิ บบองคก์ ร ทีม่ า: http://thassaneetunpidcha.blogspot.com/p/blog-page_22.html 1.5 แผนภูมิแบบเปรียบเทียบ ใช้สาหรับเปรียบเทียบให้เห็นความแตกต่างกันระหว่างรูปร่าง ลักษณะ ขนาด แนวความคิด ฯลฯ ของส่ิงต่าง ๆ เช่น เปรียบเทียบขนาดของประเทศต่าง ๆ ลักษณะของยุง ธรรมดากบั ยุงกน้ ปล่อง ขอ้ ดขี ้อเสียของการใชพ้ ลงั น้า เปน็ ต้น

93 ภาพท่ี 12 แผนภมู ิเปรียบเทียบ ท่ีมา: http://thassaneetunpidcha.blogspot.com/p/blog-page_22.html 1.6 แผนภูมแิ บบตาราง เปน็ แผนภมู ิใช้แสดงให้เห็น ความสัมพันธ์ระหว่างเวลากับเหตุการณ์ เช่น ตาราง เวลารถไฟเขา้ ออกของสถานี เหตกุ ารณใ์ นประวตั ิศาสตร์ เปน็ ต้น ภาพท่ี 13 แผนภูมิตาราง ทม่ี า: http://thassaneetunpidcha.blogspot.com/p/blog-page_22.html 1.7 แผนภูมิแบบวิวัฒนาการ ใช้สาหรับแสดงความเปลี่ยนแปลงไปของส่ิงต่าง ๆ เช่นวิวัฒนาการ ของการใชล้ ูกล้อ ววิ ฒั นาการของสัตว์ ต้ังแต่สมัยดึกดาบรรพ์ ความกา้ วหน้าเกย่ี วกบั การบนิ เป็นตน้

94 ภาพท่ี 14 แผนภูมแิ บบวิวฒั นาการ ทมี่ า: http://thassaneetunpidcha.blogspot.com/p/blog-page_22.html 1.8 แผนภูมิแบบอธิบายภาพ ใช้สาหรับช้ีแจงส่วนต่าง ๆ ของภาพที่ต้องการ เช่น แสดงให้เห็น ลักษณะภายในของผลไม้ ส่วนต่าง ๆ ของเครื่องแต่งตัวพระ ส่วนต่าง ๆ ของเจดีย์ เป็นต้น ภาพน้ีอาจเป็น ภาพวาด แผนภาพหรอื ภาพถา่ ยกไ็ ด้ ภาพท่ี 15 แผนภูมิอธิบายภาพ ทมี่ า: http://thassaneetunpidcha.blogspot.com/p/blog-page_22.html การทีเ่ ราจะทาหรือเลือกใช้แผนภมู ิแบบใดนน้ั ก็ย่อมแล้วแต่ลักษณะของความสัมพันธ์ในเร่ืองที่เรา จะแสดง แผนภมู ิบางอันเราไม่อาจบอกได้ว่าเปน็ แบบหนึ่งแบบใดโดยเฉพาะ 1.9 แผนภูมิแบบแยกส่วน คล้ายกับแบบอธิบายภาพ เพียงแต่มีส่วนที่แสดงส่วนที่ขยายจากส่วน เลก็ ๆ เพมิ่ ข้นึ มาแสดงรายละเอยี ดให้เดน่ ชดั 2. ลกั ษณะของแผนภมู ิท่ดี ี 2.1 เปน็ แบบงา่ ย ๆ และแสดงเรอ่ื งราวเพยี งแนวความคดิ เดยี ว 2.2 มีขนาดใหญ่ อา่ นง่าย ไมแ่ นน่ เกินไป

95 2.3 สที ใี่ ช้กับแผนภมู นิ นั้ ตอ้ งดูว่าจาเป็นจะต้องใชห้ รือไม่ แผนภมู บิ างเรื่อง แม้จะไม่ใช้สีก็สามารถ ทาให้ผู้ดูเขา้ ใจได้ดี สี จึงจาเป็นต้องมีใช้ในแผนภูมิก็เพ่ือจะเน้นแสดงความแตกต่างกันหรือเหมือนกัน หรือไม่ก็ ใช้สาหรบั แสดงความหมาย 2.4 ตัวอักษรของคา ท่ีใช้อธิบายประกอบแผนภูมิ ควรเขียนให้บรรจงอ่านง่าย เช่น เขียนให้ห่าง จากรูปประกอบ แล้วใช้เส้นโยงถึงกัน หรือใส่เลขไว้ตามรูป แล้วจึงเขียนห่างออกมาตรง ส่วนหน่ึงของแผนภูมิ ตัวอกั ษรทใี่ ช้แสดงชอื่ เรอ่ื งของแผนภูมคิ วรใหโ้ ตกวา่ อกั ษรท่ีใช้อธิบายเรือ่ ง 2.5 รูปภาพ แผนภาพหรือสัญลกั ษณท์ ใ่ี ช้ในแผนภมู ิ ควรทาให้ดูกันอย่างง่าย ๆ เช่น ใช้รูปโรงงาน เป็นสัญลักษณ์ของการอุตสาหกรรม รูปหนังสือเป็นสัญลักษณ์ของการศึกษา หรือ แผนภาพง่าย ๆ แสดงการ หมุนเวียนของโลหิตในร่างกาย หรือแสดงการแยกส่วนของดอกไม้ เป็นต้น พยายามให้รูปหรือแผนภาพไม่ ซับซ้อน อย่าใหม้ ีรายละเอยี ดมากเกินไป 3. หลกั การใช้แผนภูมปิ ระกอบการสอน ผู้สอนพึงระลึกอยู่เสมอว่า แผนภูมิเป็นตัวแทนของความเป็นจริงที่มีธรรมชาติเป็นนามธรรมใช้ สัญลักษณ์ในการถ่ายทอดเรื่องราว มากกว่าใช้รูปภาพ ซ่ึงหมายความว่าผู้เรียนของเราอาจจะต้องเรียนภาษา ใหม่อกี ภาษาหน่ึงทีเดียวจึงจะเข้าใจเรื่องในแผนภูมิใด้ดี เพ่ือท่ีจะให้ได้ประโยชน์จากการใช้แผนภูมิเป็นอย่างดี ผูส้ อนควรปฏบิ ตั ดิ งั น้ี 3.1 เลอื กใช้แต่แผนภมู ิท่ีตรงกบั เรื่องราวที่จะสอน 3.2 เตรียมตัวผู้เรียนให้พร้อม โดยบอกเหตุผลว่าทาไมจึงใช้แผนภูมินี้ และบอกว่าจุดไหนบ้างท่ี สาคญั รวมท้ังจัดทน่ี ่ังและแสงสว่างให้เหมาะที่ทกุ คนจะมองเห็นได้ถนดั 3.3 เม่ือเห็นว่าผู้เรียนพร้อมแล้ว เราก็เสนอแผนภูมินั้น อธิบายรูปภาพที่ใช้ประกอบ ให้ฟังอย่าง ชัดเจน ช้ีใหเ้ หน็ ลาดับขั้นท่ีสาคัญ ๆ เป็นลาดับอยา่ งถกู ตอ้ ง 3.4 หาไมไ้ ว้สาหรบั ชต้ี รงที่ ๆ ตอ้ งการอธิบายจะได้ไมย่ นื บัง 3.5 ให้ผ้เู รยี นมีส่วนรว่ มอภิปรายเกย่ี วกับแผนภมู นิ ้ันดว้ ย 3.6 ควรใช้คู่ไปกับอุปกรณ์การสอนอย่างอื่นด้วย ถ้ามี เช่น หุ่นจาลอง ตัวอย่างของจริง เป็นต้น โดยชที้ ี่แผนภูมบิ ้าง ท่ีหนุ่ จาลองบ้าง ตามความเหมาะสม 3.7 ถ้าเป็นแผนภูมิทมี่ กี ระดาษปิดรปู หรือขอ้ ความไว้ ก็ใหด้ งึ ออกตามลาดบั ความทจ่ี ะอธิบาย 3.8 เมอื่ ใช้เสรจ็ แลว้ ควรทดสอบความเข้าใจของผู้เรียนด้วยวาจาหรือข้อเขียน และเมื่อทดสอบดู แล้ว ปรากฏว่า ยงั มกี ารเขา้ ใจผดิ อยูอ่ ีก ก็จงแสดงใหม่ ทบทวนแตล่ ะขั้นซา้ อีกครงั้ หน่ึง 3.9 อาจตดิ แผนภูมนิ ั้นไว้ใหผ้ ู้เรยี นมาดเู องเมือ่ มเี วลาวา่ ง

96 3.10กระตุ้นให้ผู้เรียนทากิจกรรมเพ่ิมเติมตามแต่จะเห็นสมควร เช่น ไปอ่านหนังสือ ดูภาพยนตร์ หรอื ไปศึกษานอกสถานทเี่ ปน็ ต้น 3.11ถ้าใช้แผนภูมิสาหรับประกอบในการนิทรรศการ ควรใช้ประกอบกับวัสดุอื่น ที่เก่ียวข้องเช่น รูปภาพ หุ่นจาลอง ของจริง และตัวอย่างของจริง โดยใช้ปูายนิเทศ แสดงแผนภูมิอยู่หลังโต๊ะซ่ึงเป็นท่ีสาหรับ วางวสั ดอุ ่ืน ๆ ดังกลา่ วแลว้ แผนสถิติ แผนสถิติ (Graphs) เป็นทัศนวัสดุท่ีเราประดิษฐ์ข้ึนแทนข้อมูลที่เป็นตัวเลข และใช้สาหรับ แสดง ความสัมพันธ์ของปริมาณที่เปล่ียนไปตามลาดับเวลา ทาให้เห็นแนวโน้มและความเปล่ียนแปลงที่ผิดไปจาก ปรกติ อีกอย่างหน่ึงท่ีนับว่าสาคัญสาหรับผู้สอนก็คือแผนสถิติน่าสนใจมากกว่าตารางตัวเลขของข้อมูลต่าง ๆ และเข้าใจไดง้ ่ายกว่า แผนสถิตชิ ว่ ยทาให้ขอ้ มลู มีชีวติ ชีวาข้ึน (วรวทิ ย์ นิเทศศิลป์,2551) ความมุ่งหมายส่วนใหญ่ของแผนสถิติ ซึ่งเราต้องจาไว้เสมอก็คือ เพ่ือเสนอให้ทราบเรื่องท่ีเก่ียวกับการ เปรียบเทียบ และเร่อื งที่เกย่ี วกบั ปริมาณได้งา่ ยและรวดเร็ว 1. ประเภทของแผนสถิติ แผนสถิตมิ อี ยู่หลายแบบด้วยกนั ท่ีนิยมใช้กนั มากท่สี ดุ ไดแ้ ก่ แผนสถติ แิ บบเสน้ แบบแท่ง แบบวงกลม แบบพนื้ ท่ีและแบบรปู ภาพ 1.1 แผนสถิติแบบเส้น เป็นแผนสถิติท่ีเสนอข้อเท็จจริงได้ถูกต้องว่าแบบอื่น ๆ เส้นแต่ละเส้น จะ แทนความเปล่ียนแปลงของข้อมูลชนิดเดียวกันว่า เพิ่มขึ้นลดลงไปตามลาดับเวลา การคิดปริมาณในช่วงเวลา หน่งึ ๆ นิยมคิดเป็นมาตราส่วนและให้อยูใ่ นแนวตัง้ ฉากส่วนช่วงเวลานัน้ กเ็ ช่นกัน แต่ใหอ้ ยู่ในแนวนอน ถ้ามีการ เปรียบเทยี บข้องมูล 2 อย่าง ถ้าตอ้ งการใหน้ ่าสนใจและมคี วามหมายขึ้นอาจใช้ภาพถ่ายหรือภาพวาดท่ีสัมพันธ์ กับเรอ่ื งเป็นพน้ื หลังได้ ภาพที่ 16 แผนสถติ ิแบบเส้น ที่มา: http://thassaneetunpidcha.blogspot.com/p/blog-page_22.html

97 1.2 แผนสถิติแบบแท่ง เป็นแบบที่ขึ้นช่ือว่าทาง่าย อ่านก็ง่ายกว่าแบบใด ๆ ทั้งหมด แท่งแต่ละ แท่งจะต้องกว้างเท่ากันหมด ส่วนความยาวของแท่งน้ันจะมากหรือน้อยข้ึนอยู่กับปริมาณท่ีเราใช้แทนข้อมูล แท่งน้ีจะอยู่ในแนวนอนหรือในแนวต้ังก็ได้ แผนสถิติแบบแท่งจะให้ผลดีที่สุดต่อเม่ือข้อมูลท่ีเปรียบเทียบมีไม่ มากเกนิ ไป อาจใชส้ แี สดงความแตกต่างของข้อมูล หรืออาจใช้รูปภาพจาลองให้เป็นแท่ง การใช้กระดาษตัดติด แทนการระบายสี จะชว่ ยใหแ้ ทง่ ของกราฟสวยงามยิ่งข้นึ ภาพที่ 17 แผนสถติ ิแบบแท่ง ที่มา: http://thassaneetunpidcha.blogspot.com/p/blog-page_22.html 1.3 แผนสถิติแบบวงกลม เป็นแบบที่ใช้สาหรับเปรียบเทียบความแตกต่างในปริมาณของข้อมูล โดยแบง่ วงกลมออกเปน็ ส่วน ๆ เริม่ จากจุดศูนย์กลาง แบบน้ีมีข้อดีเด่นในข้อที่ว่าสามารถทาให้ผู้ดูมองเห็นส่วน ทง้ั หมดกบั สว่ นย่อยแต่ละส่วนไดใ้ นเวลาเดยี วกัน ภาพท่ี 18 แผนสถติ ิแบบวงกลม ท่มี า: http://thassaneetunpidcha.blogspot.com/p/blog-page_22.html 1.4 แผนสถิตแิ บบพนื้ ท่ี แผนสถิติแบบน้ีใช้ขนาดของพื้นท่ีรูปสี่เหลี่ยมวงกลม หรือรูปทรงแบบอื่น ๆ มกั ใช้สาหรับเปรยี บเทียบจานวนทั้งหมดทส่ี มั พันธ์กันราว 2 หรอื 3 จานวน เปรียบเทียบด้วยขนาดของพื้นท่ี

98 น้ี ทาใหเ้ ข้าใจความสมั พนั ธ์ได้เร็ว แต่วา่ มคี วามละเอยี ดน้อยมาก จึงต้องมีตัวเลขที่แสดงปริมาณที่แท้จริงกากับ ไวด้ ว้ ย ภาพที่ 19 แผนสถิติแบบพ้นื ที่ ท่มี า: http://www.edu.nu.ac.th/wbi/355201/p37-3.html 1.5 แผนสถิติแบบรูปภาพ แผนสถติ แิ บบนี้ใช้รูปภาพแสดงความหมายของข้อมูลภาพแต่ละภาพมี ลักษณะเหมือนกันและมีขนาดเท่ากันหมด มักจะทาเป็นภาพทึบง่าย ๆ ภาพ ๆ หนึ่ง ให้แทนปริมาณของสิ่ง ๆ นั้นเทา่ ใดกก็ าหนดไว้ตายตวั ความแตกตา่ งของปรมิ าณที่จะแสดงนัน้ ขึน้ อยูก่ ับจานวนรูปภาพท่ีแสดงไว้ ภาพท่ี 20 แผนสถิติแบบรปู ภาพ ท่ีมา: http://www.edu.nu.ac.th/wbi/355201/p37-3.html 2. การใช้แผนสถิติประกอบการสอนประกอบการสอน 2.1 แผนสถติ แิ ผนหนง่ึ ๆ ควรแสดงเฉพาะเร่อื งราวทีส่ มั พนั ธ์กัน 2.2 มีช่ือเรอ่ื งของแผนสถติ ิอยดู่ ้วยเสมอ

99 2.3 ตอ้ งบอกแหล่งท่ีมาของสถติ ิไวแ้ ถว ๆ มมุ ลา่ งของแผนสถิตดิ ้วย 2.4 ใช้สกี ต็ อ่ เมื่อจาเป็นในการแสดงความแตกต่าง 2.5 ตัวเลข หรือตัวอกั ษรท่ใี ชอ้ ธบิ ายประกอบควรมขี นาดโตและเปน็ แบบบรรจง 2.6 ขนาดของแผนสถิติน้ันต้องแล้วแต่ขนาดของชั้นหรือกลุ่มผู้เรียน ถ้าแผนสถิติมีขนาดเล็กควร ขยายดว้ ยเคร่ืองฉายวัสดุทึบแสงเมือ่ เวลาใช้กับผเู้ รียนคราวละมาก ๆ ส่ือการสอนที่มีความเป็นนามธรรมมากเท่าใด ผู้เรียนก็จาต้องมีพื้นประสบการณ์ เอามาตีความหมาย มากขึ้นเพียงน้ัน เพราะฉะน้ันเราจะใช้แผนสถิติให้เป็นผลนั้น ต้องใช้หลังจากที่ผู้เรียนได้รับประสบการณ์จาก แหล่งวิชาอื่น ๆ เป็นพ้ืนมาแล้วเช่น จากหนังสือ รูปภาพ ภาพยนตร์ และอุปกรณ์อ่ืน ๆ จึงจะทาให้เข้าใจแผน สถติ ิได้ดี พดู ง่าย ๆ กค็ อื ผเู้ รียนจะเข้าใจความเป็นจริง จากสัญลักษณ์ที่แทนนั้นได้ ตามธรรมดาแผนสถิติน้ีเป็น เครื่องมือสาหรับย่อความรู้ ให้ผู้ดูเห็นส่วนต่าง ๆ โดยส่วนรวม และเห็นความสัมพันธ์ระหว่างรายละเอียด ส่วนรวม ในช่ัวระยะเวลาหนึ่งให้และเห็นส่วนสรุปของปริมาณในเร่ืองใดเร่ืองหนึ่ง ดังน้ันเวลาที่ใช้แผนสถิติจึง ควรใชเ้ มือ่ ตอนท่เี ราตอ้ งการแสดงให้เห็นความสมั พันธต์ ่าง ๆ โดยสรุป แผนภาพ แผนภาพ (Diagram) คือทัศนสัญลักษณ์ที่เขียนขึ้นง่าย ๆ เพ่ือแสดงให้เห็นโครงสร้าง ความสัมพันธ์ ขบวนการของส่ิงที่ผู้สอนต้องการแสดงหรืออธิบายให้ผู้เรียนเข้าใจให้สาหรับอธิบายสิ่งท่ีเป็นนามธรรม ซึ่งไม่ สามารถแสดงให้เห็นด้วยตัวของมันเอง เช่น เวลาที่ผู้สอนต้องการจะอธิบายให้ผู้เรียนทราบว่าโปรตอนกับอี เลคตรอน ของอะตอมของธาตุไฮโดรเจน มีความสัมพันธก์ นั อย่างไร (วรวิทย์ นิเทศศิลป์,2551) 1. แผนภาพบล็อก (Block Diagram) เป็นแผนภาพที่เขียนข้ึนด้วยเส้นกรอบสี่เหลี่ยม(Block) หรือ วงกลม เพ่อื อธิบายสงิ่ ทเี่ ปน็ นามธรรมเก่ียวกับระบบการทางาน ลาดับการทา ส่วนประกอบต่าง ๆ เฉพาะส่วน หรอื ท่ีสาคัญ ไม่มีรายละเอยี ดเชน่ แสดง ภาคตา่ ง ๆ ของเครอ่ื งรบั วทิ ยเุ ครอื่ งขยายเสยี ง

100 ภาพท่ี 21 แผนภาพบล็อก ทม่ี า: https://en.wikipedia.org/wiki/Functional_flow_block_diagram 2. แผนภาพภาพ (Pictorial Diagram) ใช้สัญญลักษณ์จาลองแบบของจริงโดยตัดรายละเอียดต่าง ๆ ออกไป เพ่ือให้ดูเข้าใจง่ายข้ึน เช่น แสดงการต่อวีดีโอเทปกับเครื่องรับโทรทัศน์หรือแผนภาพแสดงการใช้ เคร่ืองมอื ตา่ ง ๆ ภาพหรอื สญั ญลกั ษณ์ ท่ีแสดงไวจ้ ะมลี ักษณะคลา้ ยของจริง แต่เปน็ ภาพท่ี เขียนข้ึนเพียงเพื่อให้ ดอู อกวา่ เปน็ ภาพอะไร โดยใชภ้ าพจาลอง ภาพท่ี 22 แผนภาพภาพ ทมี่ า: https://en.wikipedia.org/wiki/Circuit_diagram 3. แผนผังไดอะแกรม (Schematic Diagram) ใช้สัญญลักษณ์ท้ังหมดแสดงรายละเอียดของ เน้ือหาเช่นวงอิเลคโทนิคสซ์ ่งึ ใชส้ ญั ญลักษณ์แทนอุปกรณ์ตา่ ง ๆ ท้ังหมด

101 ภาพที่ 23 แผนผงั ไดอะแกรม ท่มี า: https://en.wikipedia.org/wiki/Schematic การใช้แผนภาพประกอบการสอนประกอบการสอน เน่ืองจากแผนภาพเป็นเครื่องถา่ ยทอดความคิดทีอ่ าศยั สญั ญลกั ษณ์มาก และเน้นเฉพาะแนวความคิดที่ สาคัญเท่านั้น รายละเอียดท่ีไม่จาเป็นอื่น ๆ จึงไม่มี รูปท่ีออกมาจึงมีความเป็นนามธรรมมาก ผู้เรียนจะต้องมี ประสพการณ์ตรงมาแล้ว จึงจะอ่านความหมายของแผนภาพออกเวลาที่เราดูแผนภาพ เราควรจะได้นึกเห็น ภาพของความเป็นจริงทีส่ ัมพนั ธก์ ัน (วรวิทย์ นเิ ทศศลิ ป์,2551) 1. วางรากฐานความเข้าใจเกยี่ วกับสญั ญลกั ษณแ์ ก่ผเู้ รียนให้ถูกต้องเสียกอ่ น 2. ควรใชป้ ระกอบสอื่ อืน่ ดว้ ย 3. การเขียนไปพร้อมกับอธิบายไปด้วย โดยค่อย ๆ เพิ่มจนได้แผนภาพที่สมบูรณ์จะช่วยให้เข้าใจดี ยง่ิ ขึน้ 4. ควรใหผ้ ูเ้ รยี นได้มกี จิ กรรม เกี่ยวกบั การใช้และการทาความเข้าใจแผนภาพที่ผู้สอนใช้สอนบ่อย ให้ เกดิ ทักษะในการอ่านแผนภาพ ใหท้ าแผนภาพขนึ้ เอง ทารายงาน เป็นต้น ภาพโฆษณา ภาพโฆษณา (Poster) เป็นทัศนะวัสดุท่ีออกแบบเน้นหนักไปทางการใช้ภาพ อักษร และสัญญลักษณ์ ใช้เป็นเคร่ืองกระตุ้นให้ผู้เรียนพูดและทาบางส่ิงบางอย่างท่ีผู้สอนต้องการได้ โดยท่ีอุปกรณ์น้ันจะช่วยให้ผู้ดู ไดร้ บั แนวความคิดไปและประทับใจในแนวความคิดนั้นอย่างรวดเร็ว อุปกรณ์การสอนน้ีก็คือ\"ภาพโฆษณา\" ซึ่ง สามารถทาใหผ้ ดู้ แู ลว้ รู้เร่ืองดว้ ยอาการประหลาดใจหรอื ตน่ื เตน้ สามารถทาให้ผู้ดูสนใจ ชวนให้เชื่อและปฏติบัติ ตาม เราใช้ภาพโฆษณา เพ่อื

102 1. เร้าความสนใจ กระตุ้นให้ผู้เรยี นอยากรู้ อยากศึกษา เช่น ภาพเกีย่ วกับการท่องเทย่ี ว ย่อมดึงดูดใจ ใหอ้ ยากไปเทยี่ วชม 2. เป็นเครอ่ื งเตือนใจ เช่น เตอื นใหเ้ หน็ ภยั ยาเสพตดิ 3. สร้างบรรยากาศ ให้แก่หอ้ งเรยี นหรอื โรงเรียน 4. ประกาศชกั ชวน จงู ใจให้ทาอะไรบางอย่าง 5. ใช้สาหรบั การสอนในเน้อื หาโดยตรง ภาพท่ี 24 ตวั อยา่ งภาพโปสเตอร์ ทมี่ า: https://www.pinterest.com/pin/327707310368186427/ 1. ลกั ษณะของภาพโฆษณาทด่ี ี 1. แสดงความต้องการเพยี งอย่างเดยี ว และเก่ยี วข้องกับเรอ่ื งทเ่ี รยี น 2. มคี วามเดน่ ออกแบบดี สีสะดุดตา 3. ตัวอักษรและคาบรรยายสัน้ ๆ ดูแลว้ เข้าใจได้ทันที 2. การใช้ภาพโฆษณาในการเรยี นการสอนประกอบการสอน 1. ใช้นาเร่ือง ผู้สอนอาจจัดให้ผู้เรียนดูหน้าห้องเรียน หรือให้ผู้เรียนไปดูภาพโฆษณาก่อนถึงเวลา สอน โดยผูส้ อนให้คาแนะนาสน้ั ๆ 2. ใช้สาหรับเสนอเนือ้หาโดยตรงเช่น ผู้สอนอาจสอนเร่ืองความปลอดภัยในการปฏิบัติงานในโรง ฝึกงานโดยใช้ภาพโฆษณาแสดงใหเ้ ห็น อบุ ตั ิเหตตุ ่าง ๆ ท่เี กิดขน้ึ จากความประมาท

103 3. ทบทวนบทเรยี น อาจทบทวนโดยให้ดูซา้ อกี ครั้งหน่งึ หรอื ให้ดภู าพโฆษณาแผน่ ใหม่ การ์ตูน การ์ตูน (Cartoon) คือภาพง่าย ๆ ทเี่ ขยี นข้ึน โดยแสดงลักษณะเด่นของสิ่งที่ต้องการแสดงออกมาเพ่ือ (วรวทิ ย์ นิเทศศิลป์,2551) 1. กระตนุ้ หรือเร้าให้ผเู้ รียนสนใจอยากเรยี น 2. อธิบายใหเ้ กดิ ความเขา้ ใจได้ง่าย เพราะ การ์ตูน แสดงให้เห็นเฉพาะส่ิงท่ีต้องการ ตัดรายละเอียดท่ี ไม่จาเป็นออกไป 3. ประกอบสอื่ การสอนอ่นื ๆ เชน่ แผนภูมิ ภาพโฆษณา หรอื แผนสถติ ิ เปน็ ตน้ 4. ส่งเสริมให้ผู้เรียนแสดงออก โดยฝึกวาดภาพการ์ตูนในเรื่องราวต่าง ๆ ท่ีเป็นประโยชน์ต่อเนื้อหา การสอน 1. ประเภทของการ์ตนู ทใ่ี ชใ้ นการเรียนการสอน 1. ภาพการต์ นู เด่ียวแสดงออกส่ิงหน่งึ อย่างเดยี ว 2. การต์ ูนเรอ่ื งสนั้ แบง่ เปน็ ตอน ๆ (Comic Strip) อาจเสนอตอนละ 2-5 กรอบภาพ เช่น การ์ตูน ทล่ี งในหนงั สือพมิ พ์รายวัน 3. หนังสือการ์ตูน (Comic book ) เสนอเป็นเร่ืองยาว ในรูปของหนังสือในหนังสือการ์ตูน 1 เล่ม อาจเสนอหลาย ๆ เร่ือง เช่น ชยั พฤกษ์ การ์ตูนคณุ หนู เปน็ ตน้ 2. การใชก้ าร์ตนู ประกอบการสอน ผู้สอนต้องเลือกการ์ตูนท่ีสอดคล้องกับจุดประสงค์ของการสอน ออกแบบง่าย ๆ มีลักษณะเด่น ที่ จะให้ความหมายได้ชัดเจน และจะต้องมีขนาดเหมาะสม ถ้าใช้กับผู้เรียนทั้งช้ันต้องแน่ใจว่าผู้เรียนมองเห็นชัด ทุกคน 1. ใชก้ าร์ตูนนาเข้าสู่บทเรียน อธิบายเนื้อหา หรือ สรุปบทเรียนโดยผู้สอนเขียนข้ึนเอง หรือนามา ดัดแปลง การต์ ูนที่ผู้สอนเขียนข้ึนเอง ขณะอธิบายจะช่วยสร้าง ความสนใจได้มากดังน้ันผู้สอนผู้สอนจึงควรฝึก ทักษะการเขยี นไดท้ ันทีขณะสอน 2. ควรสง่ เสริมให้ผู้เรียนมีส่วนร่วม ในการสร้างภาพการ์ตูนประกอบการเรียนการสอน ซ่ึงอาจทา ในขนั้ สรปุ บทเรยี นหรือเป็นกจิ กรรมติดตาม

104 แผนท่ี แผนท่ี (Maps) เป็นส่ือลายเส้นท่ีใช้แสดงลักษณะของพื้นผิวโลก โดยวิธีแผ่ให้แบนราบพื้นสะดวกต่อ การศึกษารายละเอียด มอี ยหู่ ลายแบบ คือ (วรวทิ ย์ นเิ ทศศิลป์,2551) 1. ประเภทของแผนท่ี 1.1 แบ่งตามเนื้อหา ได้แก่ แผนท่ีแสดง ถนน แม่น้า ทรัพยากร คมนาคม แผนที่แสดงเส้น ก้ัน อาณาเขต แผนที่แสดงความสูงต่า ของพ้ืนที่ แผนท่ีแสดงแหล่งทรัพยากร แผนที่ แสดงความหนาแน่นของ พลเมอื ง แผนทีป่ ระวตั ศิ าสตร์ เป็นต้น 1.2 แบ่งตามลักษณะของการใช้ได้แก่ แผนที่สาหรับแขวนข้างฝา แผนที่สาหรับดูบนโต๊ะ และ หนงั สือแผนที่ แผนทโี่ ครงรา่ ง เปน็ ต้น 2. ลักษณะของแผนท่ีทด่ี ี ควรมีลักษณะดงั นี้ 2.1 บอกทิศทางให้ทราบวา่ ทิศทางท่ีปรากฏจริงบนพ้นื โลกเปน็ อย่างไร 2.2 กาหนดมาตราส่วน เพอื่ ให้ผู้อ่านทราบระยะทางที่เป็นจริง การใช้มาตราส่วน ในแผนที่อาจใช้ มาตราสว่ นหยาบ ๆ หรอื มาตราส่วนทแี่ น่นอน เชน่ 1000 ไมล์ ต่อ1 ซม. เป็นตน้ 2.3 บอกความหมายของสัญญลักษณท์ ่ีใช้ โดยใชร้ ปู ภาพหรือสี 3. การใชแ้ ผนที่ประกอบการสอน 3.1 เลอื กแผนท่ีมเี นอ้ื หาตรงตามจดุ มงุ่ หมาย และมีความยากง่ายเหมาะกบั 3.2 ถ้าไม่สามารถหาแผนท่ี ที่ให้เน้ือหาและรายละเอียดตรงตามความต้องการได้ควรใช้แผนที่ โครงรา่ ง แล้วเตมิ รายละเอียดใหต้ รงกับเน้อื หา 3.3 ใช้วัสดุอ่ืน ๆ ประกอบด้วยเพ่ือให้ผู้เรียนเข้าใจได้ดีย่ิงขึ้น เช่น ใช้รูปภาพลูกโลก ภาพยนตร์ เป็นตน้ 3.4 ใหผ้ ้เู รยี นมีสว่ นรว่ มในการใชแ้ ผนทใ่ี ห้มากทีส่ ดุ เชน่ ใหห้ าตาแหน่งต่าง ๆ บนแผนท่ี นอกจากวสั ดกุ ราฟกิ ทางการศึกษาชนิดต่าง ๆ ตามรายละเอียดข้างต้นแล้ว ยังมีวัสดุกราฟิกแบบอื่น ๆ อีก เช่น รูปภาพ ภาพพมิ พ์ สิ่งพิมพ์ตา่ ง ๆ การผลติ วัสดกุ ราฟิก ในการออกแบบวสั ดุกราฟกิ เพอื่ ท่จี ะให้วสั ดกุ ราฟกิ มีความสวยงาม ดึงดูดความสนใจ เราต้องคานึงถึง หลักการออกแบบ หรือลักษณะของการออกแบบท่ีดี จะทาให้วัสดุกราฟิก มีคุณค่าตรงตามวัตถุประสงค์ และ ใชป้ ระโยชนใ์ นการเรยี นการสอน ไดอ้ ยา่ งมปี ระสิทธิภาพซงึ่ มหี ลักการดังน้ี คอื (วรวิทย์ นิเทศศลิ ป์,2551)

105 1. ควรออกแบบ ให้วัสดุกราฟิกมีลักษณะเหมาะสมตรงกับความมุ่งหมายตามประโยชน์ในการเรียน การสอน และมีความกลมกลนื ของส่วนประกอบสวยงาม และสามารถปรับปรงุ เปล่ียนแปลงได้ 2. ให้มีลักษณะง่าย มีจานวนการผลิตตามความต้องการของสังคม และมีกระบวนการผลิต ท่ีไม่ ยงุ่ ยากสลบั ซับซ้อนมากนกั และมเี นื้อหาสอดคลอ้ งกับจุดม่งุ หมาย 3. ออกแบบให้ประโยชน์ โดยมุ่งถึงผลที่จะได้รับจากการใช้วัสดุกราฟิก ในการเรียนการสอนเป็น สาคัญ 4. การประหยัด การผลิตวัสดุกราฟิกไม่ว่าจะเป็นอะไรก็ตาม ควรได้คานึงถึงหลักของการประหยัด การประหยัดในที่น้ีหมายถึง การประหยัดเงินงบประมาณ ในการจัดทาและการประหยัดเวลาในการจัดทาอื่น ๆ 5. ควรจะมีสว่ นสดั ดี มคี วามกลมกลนื ท้งั ส่วนรวม เช่นรูปแบบลักษณะผวิ เสน้ สี ฯลฯ 6. ควรจะมีโครงสร้างทเี่ หมาะสมกลมกลนื กับวฒั นธรรม และความต้องการของสังคม และความถูก ตอ้ งในสภาพความเป็นจริง 7. ควรจะมคี วามเหมาะสมของวัสดุ และวิธีการ มีคุณภาพและวิธกี ารใช้งา่ ยสะดวก 8. การใช้สี ควรพจิ ารณาใชใ้ หเ้ หมาะสม สรปุ เนอ้ื หาบทท่ี 5 วัสดุกราฟิกเป็นส่ือชนิดหน่งึ ท่ีเปน็ ที่นิยมอยา่ งมากในปัจจุบัน ดว้ ยขอ้ ดีท่ีเด่นชัดคือสามารถที่จะอธิบาย สิ่งต่าง ๆ แทนคาพูด รวมถึงความหมายได้ภายในสื่อนี่เพียงชิ้นเดียว ทาให้ช่วยให้ผู้เรียนมีความเข้าใจมากขึ้น และต่นื ตาต่ืนใจจากการได้เห็นส่ือประเภทน้ี และยังสามารถสร้างได้จากคอมพิวเตอร์ท่ีทุก ๆ คนสามารถใช้ได้ และง่ายต่อการใช้อีกด้วย อย่างไรก็ตามส่ือประเภทน้ียังมีข้อจากัดก็คือ การออกแบบจาเป็นต้องออกแบบให้ดี เพื่อการส่ือความหมายท่ีถูกต้อง และหากเจอปัญหาที่ซับซ้อนหรือสวยงามมาก ๆ จาเป็นต้องใช้ผู้เชี่ยวชาญ ดังนั้นการเลือกใช้ส่ือประเภทน้ีจาเป็นต้องเลือกใช้ให้ถูกสถานการณ์ในการสอน และความขานาญของผู้ใช้อีก ดว้ ย

แบบฝกึ หดั ท้ายบทที่ 5 คาชี้แจง จงตอบคาถามท่กี าหนดใหถ้ กู ตอ้ งชดั เจน 1. อธิบายความหมายของวัสดุกราฟกิ 2. บอกประโยชน์ของวสั ดกุ ราฟิกแตล่ ะชนดิ 3. วสั ดุกราฟกิ มจี ดุ เด่นมากกวา่ สื่อประเภทอื่นอย่างไร จงอธิบาย พร้อมยกตัวอยา่ ง 4. หลักการผลิตวัสดุกราฟิกมีอะไรบา้ ง พร้อมคาอธบิ าย 5. อธิบายการนาวสั ดุกราฟกิ ไปใชใ้ นการเรียนการสอนเพ่ือให้เขา้ กับพฤติกรรมการเรียนรใู้ นสาขาวชิ าท่ี ตนเองสงั กัด

เอกสารอา้ งองิ วิรุฬห์ ลีลาพฤทธ์ิ. (2521). เทคโนโลยีทางการศกึ ษา. กรงุ เทพฯ: วฒั นาพานชิ . วรวทิ ย์ นิเทศศิลป์. (2551). ส่ือและนวตั กรรมแห่งการเรยี นรู้. ปทมุ ธานี : สกายบ๊คุ . วิวรรธน์ จันทร์เทพย์. (2542). วิชาเทคโนโลยที างการศกึ ษา. ราชบรุ ี : ธรรมรกั ษ์.



แผนบรหิ ารการสอนประจาบทท่ี 6 เคร่อื งขยายเสียงและวทิ ยโุ ทรทศั น์ หวั เรอ่ื งการเรยี นรู้ 1. ระบบการขยายเสยี ง 2. เคร่ืองขยายเสียง 3. ลาโพง 4. หอ้ งปฏิบตั ิการทางภาษา 5. วิทยกุ ระจายเสยี ง 6. โทรทัศน์ 7. สรุปเนอื้ หาบทที่ 6 8. แบบฝึกหดั ท้ายบทท่ี 6 วัตถปุ ระสงค์การเรียนรู้ เมื่อนักศึกษาเรยี นจบบทเรยี นแล้ว นักศึกษาสามารถ 1. บอกและอธิบาย ประเภท คุณค่า ประโยชน์ ความสาคัญของเครื่องขยายเสยี งและวทิ ยโุ ทรทศั นเ์ พอื่ การเรียนรู้ได้ 2. สามารถเปรยี บเทียบขอ้ ดีข้อเสียของวทิ ยุและโทรทศั น์ 3. บอกวธิ เี ลอื กเครอื่ งขยายเสียงและวิทยุโทรทัศนเ์ พ่ือการเรียนร้เู พือ่ นาไปใช้ในการสอนสถานการณต์ า่ ง ๆ กิจกรรมการเรยี นรู้ 1. การนาเสนอของผเู้ รียน 2. การวเิ คราะห์จากเหตุการณ์จริง 3. การนาเสนอของผเู้ รียน 4. การอภิปราย ถาม-ตอบ และสะทอ้ นความคิดเหน็

110 สอื่ การเรยี นรู้ 1. สไลด์ โปรแกรม ไมโครซอฟต์ เพาเวอร์พอยท์ (Microsoft Power point) เรือ่ ง เคร่ืองขยายเสียงและ วทิ ยโุ ทรทศั น์ 2. เอกสารประกอบการสอน บทท่ี 6 เคร่อื งขยายเสียงและวิทยโุ ทรทัศน์ แหล่งการเรียนรู้ 1. สานกั วทิ ยบรกิ าร มหาวิทยาลัยราชภฏั อดุ รธานี 2. เว็บไซต์ www.google.com การประเมนิ ผลการเรียนรู้ 1. การนาเสนอของผ้เู รียน 2. การมสี ว่ นรว่ มกจิ กรรมการเรียนรู้ 3. การอภปิ ราย ถาม-ตอบ และการสะท้อนความคิดเหน็ ต่าง ๆ 4. การตอบคาถามจากแบบฝึกหัดทา้ ยบท จดุ ประสงค์ เครอ่ื งมือ เกณฑก์ ารประเมนิ 1. สามารถอธิบายและบอก แบบฝึกหัดทา้ ยบท ทาได้ถกู ต้องไม่นอ้ ยกว่าร้อยละ 75 ประเภท คุณคา่ ประโยชน์ ความสาคญั ของเครือ่ งขยายเสียง แบบฝึกหดั ท้ายบท ทาได้ถกู ต้องไม่นอ้ ยกวา่ ร้อยละ 75 และวทิ ยโุ ทรทัศน์เพื่อการเรียนร้ไู ด้ 2. สามารถบอกวิธีเลอื กเครอ่ื ง ขยายเสยี งและวทิ ยโุ ทรทัศน์เพ่อื การเรียนรูเ้ พื่อนาไปใช้ในการสอน สถานการณ์ต่าง ๆ

บทท่ี 6 เครื่องขยายเสยี งและวทิ ยุโทรทศั น์ ปัจจุบันสื่อประเภทเคร่ืองเสียงและโทรทัศน์ ได้เข้ามามีบทบาทต่อการจัดกิจกรรมการเรียนการสอน เพิ่มขึ้นเรื่อย ๆ เน่ืองจากความจาเป็นที่จะต้องใช้ประการหนึ่ง และเนื่องจาก เครื่องเสียงและโทรทัศน์ใน ปจั จุบนั มีคุณลกั ษณะท่ดี ี เหมาะแกก่ ารนามาใชอ้ กี ประการหนงึ่ ยกตัวอย่างเช่น การสอนหรือการฝึกอบรมท่ีมี ผู้ฟังเป็นจานวนมาก จาเป็นต้องใช้ระบบการขยายเสียง เพื่อช่วยให้ผู้ฟังได้ยินอย่างทั่วถึง การสอน ภาษาต่างประเทศ หรือแม้แต่ภาษาไทยเอง เมื่อต้องการให้ผู้เรียนฝึกการฟังการออกเสียงอย่างถูกต้อง ส่ือท่ี เหมาะแก่การใช้จึงควรเป็นเทป บันทึกเสียง การสอนทางไกลก็จะต้องใช้วิทยุหรือโทรทัศน์ ดังนั้น ผู้สอนจึงมี ความจาเปน็ ต้องมคี วามรู้เก่ียวกับการใชส้ ื่อประเภทน้ีเพื่อให้สามารถนามาใชป้ ระกอบการเรียนการสอนได้ ระบบการขยายเสียง การขยายเสียง หมายถึง การเพ่ิมความดังของเสียง เพื่อให้กระจายไปสู่ผู้ฟังจานวนมากอย่างทั่วถึง ดังน้ันระบบของการขายเสียงจึงไม่ใช่เป็นส่ือการสอนโดยตรง แต่เป็นส่ิงท่ีจะช่วยเสริม ให้การใช้สื่ออื่น ๆ มี ความสมบูรณ์ย่ิงขึ้น เช่น ช่วยให้เสียงพูดดังข้ึน ช่วยให้เสียงจากวิทยุ เทป แผ่นเสียง โทรทัศน์ ดังข้ึน และยัง สามารถส่งไปตามสายได้ไกล ๆ อีกด้วยระบบการขยายเสียงมีองค์ประกอบ หลัก 3 ส่วน คือ (ไพโรจน์ ตีรธนา กล,2528) 1. แหลง่ ต้นเสียง หรอื สัญญาณเขา้ เชน่ ไมโครโฟน Tuner Tape เครอ่ื งเลน่ แผน่ เสยี ภาพท่ี 25 ไมโครโฟน ที่มา: https://en.wikipedia.org/wiki/Microphone

112 2. เคร่ืองขยายเสียง ทาหน้าท่ีขยายสัญญาณ ไฟฟูาความถ่ีเสียงคือ ประมาณ 20 ถึง 20,000 ไซเคิล ตอ่ วินาที ใหม้ กี าลงั แรงขึน้ เคร่ืองขยายเสียงอาจมีส่วนประกอบต่าง ๆ เช่น ภาคขยายขั้นต้น (Pre Amp) ภาค ปรับความถ่ีเสียง (Tone Control) หรือ Equalizers ภาคขยายกาลัง (Power Amp) รวมอยู่ในกล่องเดียวกัน หรืออาจเป็นแบบแยกส่วน 3. ลาโพง ทาหน้าท่ีรับสัญญาณไฟฟูา จากเครื่องขยายเสียง แล้วเปล่ียนเป็นคลื่นเสียง ท่ีคนเราจะรับ ฟังได้ ภาพที่ 26 ลาโพง ทีม่ า: https://en.wikipedia.org/wiki/ลาโพง การใช้ไมโครโฟนประกอบการสอน ไมโครโฟน มีหลายชนิด ซ่ึงต้องเลือกใช้ให้เหมาะสมกับงาน สาหรับระบบการขยายเสียงทั่วไป ไมโครโฟนที่นิยมใช้คือ แบบไดนามิคส์ (Dynamics) และแบบคอนเดนเซอร์ (Condenser) ซ่ึงแบบไดนามิคส์ เปน็ แบบที่ใชก้ นั มากทส่ี ดุ หลักการทว่ั ไปในการใชไ้ มโครโฟน คอื 1. ควรเลือกใช้ไมโครโฟน ให้เหมาะกบั งานและสภาพแวดลอ้ ม โดยพจิ ารณาทศิ ทางการรับเสียง ของไมโครโฟน คุณภาพ และราคาของไมโครโฟนดว้ ย 2. การพูดไมโครโฟน ควรมีระยะหา่ งพอควรประมาณ 2-10 นิ้ว ซ่งึ ข้นึ อยกู่ บั ชนิดของไมโครโฟน ท่ีใช้ ผู้ใชอ้ าจทดลองพูด แลว้ เลือกระยะท่ีให้เสียงดังและชดั เจนท่ีสดุ 3. ไม่ควรทดสอบไมโครโฟนโดยการเคาะหรือเปาุ ควรใช้วธิ ีพูด 4. การวางไมโครโฟนใชง้ าน ไมค่ วรวางในทิศทางหรือตาแหนง่ ทีร่ ับเสยี งจากลาโพงไดง้ า่ ย หรือ วางใกลล้ าโพงจะทาให้เกิดเสียงหวีดหอน

113 5. ไมค่ วรต่อสายไมโครโฟนยาวเกินไปเพราะจะทาให้เกิดเสยี งรบกวนไดง้ ่าย 6. การใช้ไมโครโฟนหลายตวั พร้อมกนั จะทาให้เกดิ ปัญหาในการปรับเสยี ง คือ เพ่ิมความดัง ของเสยี งไดไ้ ม่มากเท่าทค่ี วร มีโอกาสทจ่ี ะหวดี หอนไดง้ ่าย ดงั นน้ั จึงควรใช้ไมโครโฟนเทา่ ที่จาเป็น 7. ระมัดระวงั เร่ืองฝุน ความร้อน ความชืน้ และกระทบกระเทือน เน่ืองจาก โครงสรา้ งภายใน ของไมโครโฟน ค่อนข้างบอบบาง เคร่ืองขยายเสียง เคร่ืองขยายเสียง (Amplifier) เป็นอุปกรณ์ ทาหน้าที่ ขยายสัญญาณไฟฟูาให้มีกาลังสูงขึ้น พอที่จะ ส่งไปทาให้ลาโพงเกิดเสียงดังได้ตามต้องการ ภายในประกอบด้วยวงจรอิเลคทรอนิคส์ท่ีซับซ้อนสาหรับผู้ใช้ ทวั่ ไป ประเภทของเครอื่ งขยายเสยี ง จาแนกได้ดงั นี้ คือ (ไพโรจน์ ตรี ธนากล,2528) 1. จาแนกตามชนิดของวงจรอิเลคทรอนิคส์ มี 2 แบบ คือ เครื่องขยายแบบหลอดสูญญากาศ และแบบวงจรรวม (Integrated Circuit: IC) 2. จาแนกตามคุณภาพเสียง และการใช้งาน เช่น ระบบเสียงแบบเด่ียว (Monophonic: Mono) การรับส่งคลื่นเสียงท่ีขัด (High Fidelity: HiFi) ระบบเสียงสเตอริโอ (Stereo) และ เครื่องขยายเสียงแบบ สาธารณะ (Public Address: PA) ระบบเสยี งแบบเด่ียว หมายถงึ เคร่ืองขยายเสียงแบบ สัญญาณเข้าและออก เพียงสญั ญาณเดียว การรับส่งคล่ืนเสียงท่ีขั หมายถึง เคร่ืองขยายเสียงคุณภาพสูง ให้สัญญาณออกไม่ผิดเพี้ยนจาก สญั ญาณเขา้ HiFi ระบบเสยี งสเตอริโอ หมายถงึ เคร่ืองขยายเสียงแบบสัญญาณเข้าและออก 2 ช่องสัญญาณขึ้นไป ช่วยให้รับร้มู ิติ หรอื ระยะและทศิ ทางของเสยี ง เคร่อื งขยายเสยี งแบบสาธารณะ หมายถึง การใช้งานแบบใชง้ านทว่ั ไป เน้นการใชง้ านที่ต้องการ เสยี งดงั เช่น เครือ่ งขยายเสียงทใี่ ชก้ นั ตามโรงเรียน สถานทกี่ ลางแจ้งต่าง ๆ การใช้งานเครื่องขยายเสียงประกอบการสอน ผ้ใู ชจ้ ะตอ้ งรู้จกั จดุ เสียบต่อสญั ญาณ และปมุ ควบคุม ตา่ ง ๆ ในเคร่ืองขยายเสียง คือ 1. ชอ่ งเสียบสญั ญาณเขา้ จากแหลง่ ตน้ เสยี งตา่ ง ๆ เชน่ ไมโครโฟน (Mic) รับสญั ญาณจากไมโครโฟน อาจมีหลายช่อง เป็น Mic1 Mic2 ... เทป (Tape) รับสญั ญาณจากเทปบันทึกเสยี ง โฟโน (Phono) รบั สัญญาณจากเคร่ืองเลน่ แผ่นเสยี ง

114 จนู เนอร์ (Tunner) รบั สัญญาณจากภาครบั วทิ ยุ เอยเู อ็กซ์ (Auxiliary port: AUX) รบั สญั ญาณจากสญั ญาณอืน่ ๆ 2. ปมุ ปปรับตา่ ง เชน่ โทน (Tone) ปรับเสยี งทุ้มแหลม เบส (Bass) เพม่ิ ลดเสียงทุม้ ทรีเบิล (Treble) เพมิ่ ลดเสียงแหลม ระดบั เสียง (Volume) ควบคุมความดังของเสยี ง อาจใช้ว่า Master บาลานซ์ (Balance) ปรับความสมดุลยข์ องเสียงซ้าย-ขวาในเครอื่ งแบบสเตอริโอ ตวั กรองเสยี งต่า-สงู (Low-High Filter) กรองเสยี งรบกวนดา้ นความถี่ต่า และสงู 3. จดุ ต่อสญั ญาณออก ที่สาคญั ได้แก่จดุ ต่อลาโพง ซง่ึ ต้องต่อให้ถูกต้องตามค่า ตวามตน้ ทาน (Impedance) ของลาโพง เช่น 4 โอห์ม 8 โอห์ม 16 โอหม์ 4. สวติ ซ์ตา่ ง ๆ เช่น สวิตซ์ปิด-เปดิ เครอื่ ง (Power) สวิตซ์ยกระดับเสียงทุ้มแหลม (Loudness) ลาโพง ลาโพง (Speaker) เป็นอุปกรณ์ที่จะเปล่ียนพลังงานไฟฟูากลับเป็นสัญญาณเสียง มีความสาคัญไม่แพ้ สว่ นอน่ื ในการทาให้ไดค้ ณุ ภาพของเสียง ปจั จุบันมีการประดษิ ฐ์ คดิ คน้ ลาโพงออกมาหลายแบบ แต่ที่นิยมใช้มี อย่เู พียงแบบเดยี วคือ แบบไดนามคิ (Dynamic) ซง่ึ มีโครงสร้างภายใน ประกอบด้วยแม่เหล็กถาวรและขดลวด เป็นส่วนสาคัญ แบ่งเป็น 2 ชนิด คือ แบบปากแตร (Horn) และแบบกรวย (Cone) แบบปากแตร คุณภาพ เสียงไม่ดีนัก แต่ให้เสียงดังและพุ่งไปไกล ส่วนแบบกรวย มีหลายขนาด ขนาดใหญ่จะให้เสียงทุ้ม ขนาดเล็กจะ ให้เสยี งแหลมกวา่ บางแบบจะทาลาโพงหลายตัวติดไว้ด้วยกัน แต่ละตัวให้เสียงแตกต่างกัน คือตัวหน่ึงให้เสียง ทุ้ม อีกตัวหน่ึงให้เสียงแหลม การใช้ลาโพงแบบนี้จะต้องติดต้ังไว้ในตู้ จึงจะให้เสียงได้สมบูรณ์ ซึ่งอาจจะต้อง ติดต้งั ลาโพงหลายตัวไวใ้ นตูเ้ ดยี วกัน เชน่ ลาโพงเสียงทุ้ม กลาง แหลม การใช้เครอื่ งขยายเสยี งประกอบการสอน 1. ติดตงั้ เครอื่ งขยายเสียง ลาโพงไมโครโฟน และอปุ กรณป์ ระกอบอนื่ ให้อยู่ในสภาพเรยี บร้อย ไมโครโฟนจะต้องไม่อยู่ในตาแหนง่ ท่ีจะรบั เสยี งจากลาโพง โดยตรง 2. ตอ่ สายลาโพงต้องระมัดระวังไมใ่ ห้สายลาโพงเกิดการลดั วงจรหรือแตะกนั 3. กรณเี กิดเสียงหวีดหอน ผูค้ วบคุมจะต้องลด Volume หรือปรบั เสียงทุ้ม แหลม ด้วย

115 4. กรณใี ช้ไมโครโฟนหลายตวั ทาให้เพิ่มความดังได้ไม่มาก เนือ่ งจากเกดิ การหวดี หอนได้งา่ ย ควรปดิ สวติ ซ์ หรือลดระดบั เสียงไมโครโฟนตัวที่ไมใ่ ช้เมื่อถึงเวลาทีต่ ้องใช้จงึ เปิด ห้องปฏบิ ตั กิ ารทางภาษา ห้องปฏิบัติการทางภาษา หมายถึงห้องที่จัดทาขึ้น โดยอาศัยวัสดุอุปกรณ์ ทางเสียงต่าง ๆ เพื่อ จุดประสงค์ในการเรียน หรือฝึกทักษะทางภาษา เป็นเทคโนโลยีด้านการสอนภาษาที่มีคุณค่าย่ิง ซึ่งนิยมจัดใน โรงเรยี นสถานศกึ ษาท่วั ไป (กดิ านนั ท์ มลทิ อง,2544) ภาพที่ 27 หอ้ งปฏิบัติการทางภาษา ท่มี า: https://www.spu.ac.th/account/facilities/language รูปแบบของห้องปฏบิ ัติการทางภาษา ห้องปฏิบัติการทางภาษาโดยท่ัวไปจะใช้เทปบันทึกเสียง เป็นอุปกรณ์หลักของการฝึกปฏิบัติการ ซึ่ง อาจจัดเครื่องมืออุปกรณ์ แบบง่าย ๆ ไปจนถึงแบบท่ียุ่งยากซับซ้อน ห้องปฏิบัติการทางภาษาจึงควรจัดเป็น ห้องเฉพาะ เพื่อความสมบูรณ์ของการฝึก และการพัฒนาให้เป็นรูปแบบท่ีทันสมัยขึ้น แต่สภาพโดยทั่วไปของ โรงเรียน สถานศึกษาต่าง ๆ อาจไม่มีงบประมาณเพียงพอท่ีจะจัดเป็นห้องเฉพาะ ห้องปฏิบัติการทางภาษา จึง อาจใช้ห้องเรียนปกติ ดดั แปลงเปน็ ห้องปฏิบัติ ช่วั คราว หรือทาเป็นห้องเฉพาะ 1. ห้องปฏบิ ัตกิ ารภาษาในห้องเรยี น ปฏิบัติการกลุ่มใหญ่ แบบน้ีใช้เทปบันทึกเสียงเพียงเครื่องเดียว โดยผู้สอนเป็นผู้ควบคุมรายการ เช่นเดียวกับการสอนตามปกติ เพียงแต่กรณีน้ีเน้นหนักท่ีกิจกรรมการฟังและออกเสียงตามเทป ผู้สอนอาจให้ ฟัง และออกเสยี งพร้อมกัน หรอื ทดสอบซักถามการออกเสียงเป็นรายบุคคลควบคู่กันไป วิธีนี้อาจไม่ได้ผลดีนัก

116 เนือ่ งจากผู้เรียนต้องทากจิ กรรมพร้อมกัน จึงไม่ส่งเสริมความสามารถเป็นรายบุคคล ผู้เรียนอ่อนอาจตามเพ่ือน ไม่ทัน ผ้เู รยี นท่ีเก่งอาจเกิดความราคาญ ปฏิบัติการแบบกลุ่มย่อย ใช้วิธีจัดห้องเรียนเพียงเล็กน้อย โดยจัดโต๊ะเรียนเป็นกลุ่มย่อยกลุ่มละ ประมาณ 4-8 คน แต่ละกล่มุ ยอ่ ย มีเครื่องบันทึกเสียงประจากลุ่ม แต่ละกล่มุ ทากจิ กรรมทางภาษา ซ่ึงส่วนมาก วธิ นี ้ีจะเน้นหนกั ทกี่ ารฟัง แตล่ ะกลุม่ อาจใชร้ ายการสอน หรือเทปเรื่องเดียว กัน หรืออาจจะกาหนดให้เป็นกลุ่ม ละรายการ หมุนเวียนกันไปก็ได้ วิธีบันทึกเสียงจะต้องปรับปรุงด้านสัญญาณเสียงออก โดยต่อกล่องแยก สัญญาณเพ่ิม ใหเ้ สยี บหฟู ังได้พรอ้ มกันจานวนมาก 2. หอ้ งปฏบิ ตั กิ ารเฉพาะ อาจทาได้หลายรูปแบบตามงบประมาณและความจาเป็น แต่โดยทั่วไป การจัดท่ีนั่งของผู้เรียน จะ จัดแบ่งเป็นช่อง ๆ (Booth) มีวัสดุประเภทดูดซับเสียงกั้นระหว่างช่อง เพ่ือไม่ให้เสียงของผู้เรียนรบกวนกัน เกนิ ไป สว่ นการจดั อุปกรณท์ างเสียงนน้ั อาจจัดไดห้ ลายรปู แบบคือ แบบใช้เคร่ืองบันทึกเสียงชุดเดียว แต่ละบูธ (Boots) ไม่มีเทป ผู้สอนทาหน้าที่ดาเนินรายการ ควบคุมเทปบันทึกเสียงจากโต๊ะกลาง (Master Control) ส่งสัญญาณเสียงไปบูธต่าง ๆ อาจใช้รายการเดียว หรือเปิดหลายรายการพร้อมกัน ผู้เรียนแต่ละคนจะเลือกฟังรายการใดรายการหน่ึงโดยมีสวิตซ์เลือกรายการ อย่ทู ่ีบูธ แบบโต๊ะกลางและมีเทปประจาแต่ละบูธ เป็นห้องปฏิบัติการทางภาษาท่ีสมบูรณ์ โดยผู้เรียนท่ี ประจาในแตล่ ะบูธ สามารถทากจิ กรรมไดห้ ลายอย่าง เช่น รับฟังเสียงจากโต๊ะกลาง ซ่ึงอาจจะเป็นรายการจาก เทป หรอื คาสั่งจากผูส้ อน พูดตอบ ติดตอ่ กับโตะ๊ กลาง ไดอ้ อกเสยี ง บันทึกเสยี งเองได้ในแตล่ ะบูธ แบบใช้วิดีโอเทป สามารถออกแบบให้นาวิดีโอเทปเข้ามาใช้ในการฝึกภาษาได้เป็นอย่างดี ซ่ึง อาจจะใหผ้ รู้ บั ชมรายการร่วมกนั หรอื แยกให้แตล่ ะ Booth มีจอรับภาพ ตลอดจนถงึ มี เคร่ืองวิดีโอเทปประจา ก็ย่อมได้ นอกจากน้ีอาจใช้สื่ออ่ืน เช่น ภาพยนตร์ สไลด์ และส่ือประสมอื่น สามารถออกแบบควบคุม การ ทางานดว้ ยระบบคอมพวิ เตอร์ 3. คณุ ค่าของห้องปฏิบตั ิการทางภาษา 1) ชว่ ยให้ผเู้ รียนได้ฟงั การออกเสียงหรือการพูดท่ีถูกต้อง ฝกึ พูดหรอื ฟังซ้าก่ีคร้ังก็ได้ 2) ผู้เรยี นทราบขอ้ บกพร่องของตนเองจากการฟงั เสยี งที่บนั ทึก 3) ส่งเสรมิ ความสามารถเป็นรายบคุ คล 4) กจิ กรรมการเรียนการสอนนา่ สนใจ ผูเ้ รียนไม่เบ่ือหน่าย

117 5) ชว่ ยใหผ้ สู้ อนทดสอบ วดั ผล ประเมนิ ผล ไดด้ ีและสะดวกรวดเร็ว 4. การใช้หอ้ งปฏิบัตกิ ารทางภาษาประกอบการสอน สามารถใช้ไดห้ ลายรูปแบบเช่น ฝึกการฟัง อาจฟังเพื่อศึกษาการออกเสียงหรือฟังเพื่อจับใจความ ฝึก การพดู การออกเสียง การสนทนา ฟังส่ิงบันเทิงที่มีสาระ ให้เขียนตามคาบอก ฝึกไวยากรณ์ อาจใช้วิธีการถาม ตอบหรือวิธีอ่นื วิทยุกระจายเสียง 1. คุณค่าของวทิ ยกุ ารศกึ ษา (วรวทิ ย์ นเิ ทศศิลป์,2551) 1) เสนอเน้อื หาได้รวดเรว็ ทันต่อเหตกุ ารณ์ ส่งและรบั เนื้อหาได้ทนั ท่ี 2) ไม่มีความจากัดในเรอื่ ง ระยะทาง ความห่างไกล กระจายเสียงไปได้ทุกหนทกุ แหง่ 3) มกี าลงั ชักชวนจูงใจสูง ก่อใหเ้ กิดอารมณแ์ ละเจตคติท่ีต้องการไดด้ ี 4) ใชไ้ ดม้ ากอย่างไมจ่ ากดั เสนอเรือ่ งราวไปไดท้ ุกหอ้ งเรยี นท่มี ีเครอื่ งรับ 5) สรา้ งความเสมอภาคทางการศึกษา ผ้รู บั ได้ฟังอย่างเดียว 6) นาผู้ชานาญการเข้าสหู่ ้องเรยี น ทาใหผ้ เู้ รียนเกดิ ความศรทั ธาเชอ่ื ถือ 7) ใชเ้ ทคนิคปรุงแต่ง ดดั แปลงให้เกิดความแปลกใหม่ เพื่อสร้างความสนใจไดด้ ี 8) เปดิ โอกาสใหศ้ ึกษาได้ทง้ั เปน็ กลุ่มและรายบุคคล อยา่ งไมจ่ ากดั สถานท่ี 9) ส่งเสรมิ พฒั นาทกั ษะทางภาษาแก่เด็กและการสอนแกผ่ ู้สอนทไี่ ดฟ้ งั ตัวอย่างการสอนท่ีดี 2. ข้อจากดั ของวทิ ยุ 1) วิทยุเป็นเพียงสิ่งช่วยผู้สอนสอน มิใช่สอนแทนผู้สอนดังน้ันการใช้วิทยุจะได้ผลหรือไม่จึงข้ึนอยู่ กบั ผูส้ อนผใู้ ช้สอนเป็นสาคัญ 2) เวลาของรายการออกอากาศไม่ตรงกับตารางสอนของโรงเรียน ถ้ามีการเปลี่ยนแปลง ตารางสอนอาจมผี ลกระทบต่อการบรหิ าร 3) เปน็ การส่อื สารทางเดยี ว ผู้เรียนไมม่ โี อกาสซักถามและทบทวน 4) วทิ ยเุ สนอเนอื้ หาดว้ ยเสยี งเพยี งอย่างเดยี ว ไม่มีภาพจงึ สอนได้จากัด 5) โรงเรยี นสว่ นใหญม่ ีเครือ่ งรับน้อย แตบ่ างแหง่ ผสู้ อนก็ไมน่ ิยมใชว้ ทิ ยใุ นการสอน 3. ประเภทของรายการวิทยกุ ารศึกษา 1) รายการเพื่อการศึกษาในระบบโรงเรียน เรียกว่า วิทยุโรงเรียน จัดรายการสอนโดยตรง ตาม หลกั สูตรของกระทรวงศกึ ษาธกิ าร ทง้ั ในระดบั ประถมศกึ ษาและมัธยมศึกษา

118 2) รายการเพ่ือการศึกษาประชาชน มุ่งให้ความรู้ท่ัวไปในเรื่องต่าง ๆ นอกเหนือจากการบันเทิง อาจจดั รายการเพ่ือใหค้ วามรโู้ ดยตรง เรียกว่า \"วทิ ยศุ กึ ษา\" หรือ แฝงความรู้อยูใ่ นรายการอื่น ๆ ผู้สอนหรือผู้ฟัง จะตอ้ งวนิ ิจฉยั เองวา่ เปน็ รายการท่ีมคี ุณค่าตอ่ การศึกษาหรือไม่ 3) รายการเพ่ือการศึกษาระบบเปิด เช่น รายการของมหาวิทยาลัยรามคาแหง มหาวิทยาลยั สโุ ขทัยธรรมาธิราช ออกรายการเพ่อื การสอนสาหรับผู้เรียนและประชาชนทั่วไป โทรทศั น์ โทรทัศน์ (Television) เป็นส่ือถ่ายทอดความรู้ความคิดที่ทรงประสิทธิภาพยิ่ง เพราะให้ท้ังเสียงและ ภาพเคลือ่ นไหว เป็นส่ือทเี่ สมือนไดร้ วมเอาเทป วทิ ยุ และภาพยนตร์เขา้ ไว้ด้วยกนั ภาพที่ 28 โทรทัศน์ ทม่ี า: https://en.wikipedia.org/wiki/Television 1. คุณค่าของโทรทัศน์ (วิวรรธน์ จนั ทรเ์ ทพย์,2542) 1) ให้ทั้งเสียงและภาพเคล่ือนไหว จึงควรมีผลต่อการรับรู้ เรียนรู้มากเป็นพิเศษ และใช้เทคนิค ดดั แปลงปรุงแต่งไดม้ ากมายเช่นเดียวกับภาพยนตร์ศึกษาแบบกระทาซ้า ๆ ได้หลายครั้ง โดยวิธีบันทึกรายการ ลงเทปเอาไว้ 2) ไม่จากัดจานวนผู้เรียน ใช้ได้ดีท้ังในห้องเรียนปกติหรือต่อวงจรปิดกระจายในห้องขนาดใหญ่ หรอื หลาย ๆ หอ้ งพร้อมกัน จนถงึ สง่ คลนื่ ให้ชมทว่ั ประเทศและทวั่ โลก 3) รวมส่ืออื่น ๆ เช่น รูปภาพ สไลด์ แผนภูมิ สถิติ แผ่นท่ี การบรรยาย เข้าไว้ในรูปรายการ โทรทศั นไ์ ด้ 4) นาความรู้จากทุกหนทุกแห่งมาเสนอได้อย่างใกล้ชิดและรวดเร็ว ไม่ว่าจะอยู่ไกลหรือล้ีลับ เพยี งใด จึงช่วยให้มีความรูท้ นั สมยั ทันตอ่ การเปลยี่ นแปลงของสงั คม

119 5) ใชไ้ ดด้ ที ง้ั การสอนโดยตรง และใชป้ ระกอบหรือเสรมิ การสอนยว่ั ยุให้เกดิ ความสนใจ เพลิดเพลิน สรา้ งบรรยากาศและส่ิงแวดลอ้ มทางการศึกษาทด่ี ี 6) ใชเ้ ปน็ เครอ่ื งมอื ปรบั ปรุงทกั ษะการสอน เช่น ใชส้ าหรับการสอนจลุ ภาค 7) เปน็ สือ่ ท่ีมีแนวโนม้ ในการพัฒนากา้ วหน้ามาก เชน่ โทรทศั นผ์ ่านดาวเทียม อยา่ งไรกต็ าม โทรทศั น์กม็ ขี อ้ จากัดคือ เป็นสอ่ื สารทางเดียว ผูเ้ รียนไม่สามารถซักถามปัญหาได้ จึงเป็น เพียงเครือ่ งชว่ ยผู้สอนสอนเท่านัน้ ไมอ่ าจนามาใชแ้ ทนการสอนของผูส้ อนได้ 2. การรับสัญญาณโทรทัศน์ คุณภาพของภาพและเสียง ข้ึนอยู่กับองค์ประกอบทางเทคนิคหลาย อย่าง ที่สาคัญ คือ สายอากาศหรือสายส่งสัญญาณ ซ่ึงจะต้องมีความเหมาะสมสาหรับคลื่นของสถานีโทรทัศน์ แต่ละช่อง เก่ียวกับ แบบของสายอากาศ ตาแหน่ง ทิศทาง ความสูงของแผงสายอากาศ นอกจากยังต้องการ ปรบั แต่งโดยผู้ใช้ ซ่ึงมีปมุ ปรับสงิ่ ตา่ ง ๆ หลายอยา่ ง คือ 1) ปุมเลือกช่อง (Chanel Selector) สาหรับกดหรือหมุนเลือกรับความถ่ีของแต่ละช่อง ปัจจุบัน นิยมผลิตเป็นแบบกดมีประมาณ 8-12 ปุม แต่ละปุมสามารถปรับให้รับความถี่ช่องใด ๆ ก็ได้ อาจเป็นช่วง ความถี่ วเี ฮสเอฟ (VHF) ช่อง 1-13 หรือ ยูเฮสเอฟ (UHF) ช่อง 14-83 2) ความคมชัด (Contrast) ปรบั ความเขม้ -จางของภาพบางเครื่องอาจเขียนว่า Picture 3) ความสว่าง (Bright) ปรบั ความมืด – สวา่ งของจอภาพ 4) สี (Color) ปรบั ความเข้มของสใี นเครอื่ งรับโทรทศั น์สี 5) วโี ฮส (V-Hold) ปรับเมือ่ ภาพเลอื่ นข้ึน – ลงให้หยดุ น่ิง 6) เฮสโฮส (H-Hold) ปรบั เมอื่ ภาพล้มทางแนวนอน 3. การใชว้ ิทยุและโทรทศั นป์ ระกอบการสอน 3.1 ภารกิจกอ่ นการรับฟงั 3.1.1 เลือกรายการ จะต้องทาล่วงหน้าหลาย ๆ วัน โดยดูจากกาหนดการออกอากาศของ สถานีต่าง ๆ หรือเลือกรายการ จากท่ีบันทึกเอาไว้พิจารณาจุดมุ่งหมายของการสอน คุณภาพของรายการ ผู้เรียน ความยากงา่ ยในการจัดเข้าตารางสอน 3.1.2 เตรียมตัวผู้สอน ศึกษาคู่มือและเน้ือหาวิชา แล้ววางแผนการสอนพิจารณากิจกรรม เสริมขณะฟัง และหลงั ฟงั 3.1.3 เตรียมวสั ดุ-อุปกรณแ์ ละสถานที่ ทั้งวสั ดอุ ปุ กรณ์ประกอบการสอน เช่น แผนท่ี รูปภาพ ฯลฯ และวัสดุ-อุปกรณ์ของวิทยุโทรทัศน์อันได้แก่ เครื่องรับเครื่องบันทึกเสียง บันทึกภาพ การจัดห้องเรียน ขจดั ส่ิงรบกวน ตดิ ตัง้ เครือ่ งรับให้สูงพอทีจ่ ะมองเหน็ ไดช้ ดั เจนท่วั ห้อง

120 3.1.4 เตรียมผู้เรียนให้เกิดความสนใจอยากจะฟัง มีความสาคัญและจาเป็นมาก โดยเฉพาะ วทิ ยุ เพราะคนสว่ นมากเคยชินกับการฟงั วิทยแุ บบไม่ต้ังใจ 3.2 ภารกิจระหวา่ งการรบั ฟงั 3.2.1 ผู้สอนจะต้องร่วมฟังไปพร้อมกันกับผู้เรียน เป็นตัวอย่างที่ดีในการฟังควบคุมระเบียบ วนิ ัยและใชว้ สั ดอุ ปุ กรณ์อนื่ ๆ ประกอบได้ทนั ที 3.2.2 ผู้สอนและผู้เรียนร่วมทากิจกรรมตามบทเรียน เช่น การร้องเพลง ให้จังหวะออกเสียง ตาม แสดงทา่ ทาง ตอบคาถาม ใช้สื่ออ่ืนประกอบ เปน็ ต้น 3.2.3 ผู้สอนจะต้องคอยสังเกตและบันทึกปฏิกริยาตอบสนองของผู้เรียนว่าเข้าใจหรือไม่ ตลอดจนคดิ หาแนวทางเพ่มิ เตมิ กิจกรรมหลังฟงั 3.3 ภารกจิ หลังการฟัง อาจแปรเปล่ียนไปตามลักษณะของบทเรยี น เช่น 3.3.1 ศึกษาเพิ่มเติมจากสอื่ การสอนอน่ื ๆ 3.3.2 อภปิ รายแสดงความคดิ เหน็ สรปุ 3.3.3 ศกึ ษาคน้ ควา้ เพ่มิ เตมิ จากหอ้ งสมุด 3.3.4 ทาแบบฝกึ หดั ตอบคาถาม ใหป้ ฏบิ ตั งิ าน สรุปเนื้อหาบทท่ี 6 สื่อประเภทน้ีเน้นการขยายการถ่ายทอดสิ่งที่เราสอน ให้กว้างออกไปไกลกว่าที่เป็นอยู่ ไม่เพียงแค่ใน ห้องเรยี น แต่ยังขยายท้ังห้องที่มีขนาดใหญ่ เช่น เครื่องขยายเสียง ลาโพง เป็นต้น ไปจนถึงทั่วโลก ด้วยการส่ง สัญญาณโทรทัศน์และวิทยุออกไป ซึ่งในปัจจุบันมีการนาส่ือเหล่าน้ีไปใช้อย่างแพร่หลายเพ่ือการขยายโอกาส การเรียนการสอน ข่าวสาร ไปยังผู้เรียนท่ีอยู่ห่างไกล อย่างไรก็ดีการนาสื่อประเภทน้ียังมีข้อจากัดอีกมากมาย เช่น การตอบโต้ การถาม-ตอบและราคา ส่ือประเภทน้ียังทาได้ไม่ดีนัก ดังนั้นการเลือกที่จะใช้สื่อประเภทน้ีไป ใช้ต้องผ่านการวเิ คราะห์วา่ จาเปน็ หรือไม่กบั การใช้สอื่ ประเภทน้ี เนอื่ งจากมคี ่าใช้จ่ายทม่ี ากอยพู่ อสมควร

แบบฝึกหดั ท้ายบทท่ี 6 คาช้ีแจง จงตอบคาถามทีก่ าหนดใหถ้ ูกต้องชดั เจน 1. อธิบายความหมายของเคร่ืองขยายเสยี งและวิทยุโทรทัศน์ 2. บอกประโยชน์และความสาคัญของเคร่ืองขยายเสียงและวิทยโุ ทรทัศน์ 3. เปรียบเทียบข้อดี ข้อเสีย ของวิทยุและโทรทศั น์ เหตุใดวทิ ยุยงั ถกู ใช้อยู่ในปจั จุบัน 4. โทรทศั นม์ จี ุดเด่นมากกวา่ สื่อประเภทอ่ืนอย่างไร จงอธบิ าย พร้อมยกตัวอย่าง 5. อธบิ ายการนาเครื่องขยายเสยี งและวทิ ยโุ ทรทัศน์ไปใช้ในการเรยี นการสอนเพอ่ื ใหเ้ ข้ากับพฤติกรรมการ เรียนรูใ้ นสาขาวชิ าท่ตี นเองสังกัด

เอกสารอา้ งอิง กิดานนั ท์ มลิทอง. (2544). เทคโนโลยที างการศึกษาและนวัตกรรม. กรงุ เทพฯ : จุฬาลงกรณม์ หาวทิ ยาลัย. ไพโรจน์ ตีรธนากล. (2528). เทคนคิ การผลิตรายการวีดโี อเทปเพื่อการศึกษา. กรงุ เทพฯ : ศนู ยส์ ง่ เสริมสห มิตรออฟเซต. วรวิทย์ นิเทศศิลป์. (2551). ส่อื และนวัตกรรมแห่งการเรยี นรู้. ปทมุ ธานี : สกายบคุ๊ . ววิ รรธน์ จนั ทรเ์ ทพย์. (2542). วิชาเทคโนโลยที างการศกึ ษา. ราชบรุ ี : ธรรมรกั ษ์.

แผนบริหารการสอนประจาบทที่ 7 สอ่ื กจิ กรรม หวั เรอ่ื งการเรียนรู้ 1. นาฎการ 2. การสาธติ 3. การจดั นทิ รรศการ 4. การใช้ทรัพยากรชุมชน 5. สรปุ เน้ือหาบทที่ 7 6. แบบฝกึ หดั ทา้ ยบทท่ี 7 วตั ถปุ ระสงคก์ ารเรียนรู้ เม่ือนกั ศึกษาเรยี นจบบทเรยี นแล้ว นักศึกษาสามารถ 1. บอกความหมาย ประเภท คุณคา่ ประโยชน์ ความสาคัญของส่ือกจิ กรรมเพ่ือการเรยี นรู้ได้ 2. บอกวธิ ีการเลอื กสือ่ กจิ กรรมเพื่อการเรยี นรเู้ พ่ือนาไปใช้ในการสอนสถานการณต์ า่ ง ๆ กจิ กรรมการเรยี นรู้ 1. การนาเสนอของผู้เรยี น 2. การวเิ คราะหจ์ ากเหตกุ ารณจ์ รงิ 3. การนาเสนอของผ้เู รียน 4. การอภปิ ราย ถาม-ตอบ และสะทอ้ นความคิดเหน็ ส่อื การเรยี นรู้ 1. สไลด์ โปรแกรม ไมโครซอฟต์ เพาเวอรพ์ อยท์ (Microsoft Power point) เร่อื ง สอื่ กจิ กรรม 2. เอกสารประกอบการสอน บทท่ี 7 สื่อกิจกรรม

124 แหลง่ การเรียนรู้ 1. สานกั วิทยบรกิ าร มหาวิทยาลัยราชภัฏอดุ รธานี 2. เวบ็ ไซต์ www.google.com การประเมินผลการเรียนรู้ 1. การนาเสนอของผเู้ รยี น 2. การมสี ่วนรว่ มกิจกรรมการเรียนรู้ 3. การอภปิ ราย ถาม-ตอบ และการสะท้อนความคิดเห็นตา่ ง ๆ 4. การตอบคาถามจากแบบฝึกหัดทา้ ยบท จุดประสงค์ เครอ่ื งมอื เกณฑ์การประเมนิ 1. สามารถบอกความหมาย แบบฝึกหดั ท้ายบท ทาได้ถูกต้องไมน่ อ้ ยกว่าร้อยละ 75 ประเภท คณุ คา่ ประโยชน์ ความสาคญั ของส่ือกจิ กรรมเพอ่ื แบบฝกึ หดั ทา้ ยบท ทาได้ถูกต้องไมน่ ้อยกว่ารอ้ ยละ 75 การเรยี นร้ไู ด้ 2. สามารถบอกวธิ ีการเลอื กสื่อ กิจกรรมเพอ่ื การเรียนรเู้ พื่อนาไปใช้ ในการสอนสถานการณ์ต่าง ๆ

บทท่ี 7 ส่ือกิจกรรม ในการเรียนการสอน หรือการถา่ ยทอดความรู้ หรือการส่ือความหมายใด ๆ ก็ตามบางคร้ังไม่อาจจะทา ให้ได้ผลดีด้วยการใช้เพียงวัสดุ เคร่ืองมือเท่าน้ัน จาเป็นจะต้องใช้เทคนิควิธีการหรือ กิจกรรมต่าง ๆ ด้วย ซ่ึง การใช้กิจกรรมต่าง ๆ อาจต้องใช้ วัสดุเครื่องมือช่วยในการจัดกิจกรรม หรืออาจจะเป็นกิจกรรมที่ใช้เฉพาะ เทคนิควิธีการล้วน ๆ ก็ได้ จุดประสงค์ของการจัดกิจกรรม อาจจัดสาหรับการเรียนการสอนโดยตรง หรือจัด ประกอบการเรยี นการสอนกไ็ ด้ นาฎการ นาฎการ (Dramatize) หมายถงึ การแสดงต่าง ๆ อาจจะเป็นการแสดงโดยคนคนเดยี ว แสดงเปน็ กลุม่ เลก็ ในห้องเรียน หรอื การแสดงเต็มรปู แบบบนเวที การแสดงกลางแจ้ง การจัดงานแสดงตามประเพณี กถ็ ือว่า เปน็ นาฎการท้งั ส้ิน นาฎการทุกรปู แบบ มคี ุณคา่ ตอ่ การเรยี นการสอนมาก โดยเฉพาะอย่ายงิ่ ในด้านความรสู้ ึก ก่อใหเ้ กิดแรงจงู ใจ (ธีรศกั ด์ิ อัครบวร,2545) 1. คุณค่าเฉพาะของนาฎการ 1.1 เสนอเนอ้ื หาใหบ้ รรลจุ ุดประสงค์ด้านความรูส้ ึกได้ เชน่ การสอน ให้เกิดความรักชาติ ให้รู้สึก สงสารเห็นอกเห็นใจเพ่อื นมนุษย์ ให้ทราบซงึ้ ในวรรณคดี ซ่ึงการสอนวธิ ีอ่ืนอาจชว่ ยให้บรรลจุ ดุ ประสงค์ได้ดี เพยี งแคด่ า้ น ความรู้-ความจา เทา่ น้นั 1.2 มอี ทิ ธิพลในการจงู ใจสงู โดยธรรมชาตคิ นทกุ ชาติทุกภาษานิยมชมชอบ ในศลิ ปะของการ แสดงอยแู่ ลว้ จนอาจกล่าวได้ คนทุกคน ชอบดกู ารแสดง และยิง่ กว่าน้นั มีคนอีกเป็นจานวนมากที่ชอบเป็นผู้ แสดง ดง้ั นัน้ การนาเอานาฎการ หรือการแสดง มาใชก้ บั การเรียนการสอน จึงช่วยทาใหผ้ ู้เรยี น ตื่นเตน้ มคี วาม ตัง้ ใจสงู บรรยากาศการเรยี นการสอนมชี ีวิตชีวา 1.3 การแสดงบางอยา่ ง เช่น การแสดงบทบาท (Role Playing) ช่วยให้ผเู้ รียนได้ระบายความร้สู ึก ทางอารมณ์ หรอื ความกดดนั ตา่ ง ๆ ได้ ถือวา่ เปน็ การชว่ ยบาบัดหรือพัฒนาทางจิตอกี ทางหนึง่ สง่ เสรมิ จนิ ตนาการ การแสดงออกทางสติปัญญา ปฏภิ าณ ไหวพริบ ในเฉพาะอย่างย่งิ สาหรับผู้แสดง 1.4 ส่งเสรมิ พฒั นาการทางสังคมของผูเ้ รยี น การจัดการแสดง จะชว่ ยให้เกิด การประสานงาน การทางานร่วมกัน ไม่เฉพาะในห้องเรียนเดียวกันเท่านัน้ ถา้ จดั การแสดงที่ใหญ่ จะช่วยให้ผเู้ รยี นต่างหอ้ ง ต่าง เอก ต่างคณะ ได้ทางานร่วมกัน และบางคร้งั อาจร่วมไปถึงชุมชนด้วย

126 1.5 พัฒนาบคุ คลิกภาพ หรือการแสดงออก ทัง้ ทางกาย ทางเสียง ทางอารมณ์ การใช้ การแสดง เปน็ ส่อื ใหเ้ ขา้ ใจ ทาใหส้ ง่ิ ท่ีเป็นนามธรรมกลายมาเปน็ บุคลิกภาพที่สงั เกตเหน็ หรอื เข้าใจได้งา่ ย เชน่ คนดี คนชัว่ ผรู้ ้าย ผดู้ ี มีพฤติกรรมอยา่ งไร 2. รปู แบบของการนาฎการ 2.1 การแสดงละคร (Plays) หมายถึง การแสดงที่เป็นเร่ืองราวแสดงให้เห็นถึงชีวิต อุปนิสัย หรือ วัฒนธรรม และมกั มจี ุดมุง่ หมายได้สะเทอื นใจ หรือเขา้ ถงึ จติ ใจ เป็นหลักสาคญั 1) การละครของไทย มีมาตั้งแต่สมัยโบราณ คงสืบเน่ืองมาจากความเลื่อมใสในคาสั่งสอน ของพระพุทธองค์ที่ใช้การเล่านิทาน เป็นส่ือเผยแพร่ คาสั่งสอนให้คนรู้ถึง บาปบุญ คุณโทษ แม้ปัจจุบันน้ี การ ละครก็ยงั เป็นเร่อื งของ บาปบญุ คุณโทษอยู่ การละครตามแนวของไทยนนั้ แบ่งละครออกเป็น 3 ประเภทใหญ่ ๆ คือ ละครรา ละครร้อง ละครพูด 2) การละครตามแนวสากล ซึ่งก็ถือว่าเป็นเรือ่ งของการสะท้อนชีวิตของคน มีท้ังทุกข์ และสุข จึงจัดประเภทละครตามจุดประสงค์ของบทละคร คือ โศกนาฎกรรม (Tragedy) สุขนาฎกรรม (Comedy) สะเทือนใจรนุ แรง (Melo Drama) 2.2 ละครใบ้ (Pantomime) เป็นการส่ือความหมายด้วยภาษาท่าทาง และการแต่งตัว ผู้แสดง จะต้องพยายามแสดงให้ผู้ดู รู้เร่ืองราวหรือเข้าใจความหมายโดยไม่ใช้การพูดเลยแต่อาจจะใช้ดนตรี หรือการ บรรยายประกอบได้ 2.3 หุ่นชีวติ (Tableau) เป็นการแสดงหุ่นนงิ่ แต่ใช้หุน่ ท่ีมีชวี ิต คอื คนแสดงเปน็ หุ่นทาท่าทางอย่าง ใดอยา่ งหน่ึงทช่ี วนสนใจ และเป็นจุดสาคัญของเรือ่ งราวทต่ี อ้ งการสื่อความหมายโดยไมพ่ ูด ไม่การเคล่ือนไหวใด ๆ เช่น หนุ่ แสดงทา่ ทางดีใจ ทา่ ทางเจ็บปวด ทา่ ทางกาลังตอ่ สูห้ รือกิรยิ าอาการอื่น ๆ หุ่นชีวิตอาจใช้สาหรับการ จัดแสดง หรือนิทรรศการ ผู้แสดงอาจอยนู่ งิ่ ไดเ้ พยี งช่ัวระยะเวลาหนึง่ อาจจะขยับเคล่ือนไหวอริยาบทบ้าง หรือ เปล่ียนตัวผู้แสดง ผลัดเปล่ียนหมุนเวียนกันไป นับว่าเป็นวิธีที่ดึงดูดความสนใจ หรือไห้เกิดความรู้สึกตามได้ไม่ น้อย 2.4 การแสดงบทบาท (Role playing) เป็นการให้ผู้แสดงแสดงอารมณ์ คาพูดความรู้สึกออกมา ด้วยตัวผู้แสดงเอง ตามสถานการณ์ที่กาหนดให้บางคร้ังจึงอาจเรียกการแสดงแบบน้ีว่า ละครจิตบาบัด (Psychodrama) การแสดงแบบน้ีจะไม่มีการซักซ้อม หรือ เตรียมตัวมาก่อน ผู้แสดงจะต้องแสดงบทบาท หลงั จากทท่ี ราบวา่ ตัวเองจะต้องแสดงบทอะไรเพียงชั่วขณะน้ัน คาพูด อารมณ์ กิริยาท่าทาง ต่าง ๆ ผู้แสดงจะ คิดและพูดแสดงออกมาเอง เช่น ผู้สอนอาจเล่าเรื่องที่เป็นปัญหาสาหรับผู้เรียนหรือปัญหาสังคมให้ผู้เรียนฟัง เร่ืองหนึ่ง เมื่อถึงจุด สาคัญของเรื่อง จึงเป็นจุดที่เป็นปัญหาและผู้เรียนจะต้องเป็นผู้แก้ปัญหาถึงตอนน้ีผู้สอน

127 หยุดเร่ืองไวแ้ ค่น้นั จากนน้ั ก็กาหนด สมมุติให้ผู้เรียนบางคนเป็นผู้แสดงตามเร่ืองท่ีผู้สอนเล่าต่อจากที่เล่าค้างไว้ เรื่องราวตอ่ ไป จะเป็นอยา่ งไรจึงขึ้นอยู่ความคิดของผู้แสดงเอง เมื่อแสดงจบก็มีการอภิปรายติชม ลงความเห็น กันวา่ วิธแี ก้ปญั หาที่ผแู้ สดง แสดงนัน้ ใชไ้ ดห้ รือไม่ ถ้าใช้ไม่ได้ ก็อาจแสดงใหม่ โดยผู้แสดงคนใหม่ หรือคนเดิมก็ ได้ การแสดงบทบาทสามารถแสดงเก่ียวกบั ปญั หาไดห้ ลายอยา่ ง โดยเฉพาะปัญหาจิตวทิ ยาสงั คม 2.5 การแสดงหุ่น หุ่น เป็นอุปกรณ์ประกอบการสอนที่สาคัญมากอย่างหน่ึง ในการถ่ายทอดเร่ืองราวหรือ แนวความคิดด้วยวิธีง่ายที่สุดแต่ได้ผลดีมากไม่ต้องใช้ฉากและเคร่ืองแต่งตัวท่ีสมบูรณ์ ท้ังน้ีก็เพ่ือจะให้ผู้ดูสนใจ กับการแสดงมากกว่าสนใจกับฉากหรือเครอ่ื งแตง่ ตัว ความจรงิ แล้ว การแสดงดว้ ยห่นุ เช่น หุ่นกระบอกหรือหุ่น ซักนั้น ถ้าจะให้ดีที่สุดควรเล่นกันแบบง่าย ๆ ตรงไปตรงมา จัดการได้ง่าย ๆ หุ่นที่ใช้แสดงมีหลายแบบ เช่น หนังตะลงุ หนุ่ เสยี บไม้ ห่นุ สวมมอื หุ่นนิว้ มือ หุ่นกระบอก หุน่ ชัก กจิ กรรมทีเ่ หมาะสาหรับการใชห้ ่นุ 1) การแสดงทีค่ นจริง ๆ แสดงไดย้ าก 2) การสอื่ ความหมายสง่ิ ทีเ่ ปน็ นามธรรม สร้างสรรคค์ วามคดิ ฝัน 3) การแสดงแบบแทรกตลกขบขนั 4) แสดงเร่ืองท่เี กย่ี วกบั การเหน็บแนมหรือถากถาง เสียดสสี งั คม 5) การแสดงเลยี นแบบละคร ซงึ่ สน้ิ เปลอื งคา่ ใช้จ่ายน้อยกว่า 6) ผู้เรียนมีส่วนร่วมในกิจกรรมอย่างท่ัวถึง เช่น เป็นคนเชิดหุ่นบ้าง ประดิษฐ์หุ่นบ้าง ออกแบบและทาเครื่องแตง่ กายบ้าง ทาฉากและอนื่ ๆ บ้างเปน็ ต้น 7) จัดทาได้ง่ายและเปน็ ไปตามความต้องการของผ้เู รียนอยา่ งแท้จรงิ การสาธิต การสอนแบบสาธิต (Demonstrations) หมายถึง การสอนโดยอธิบายประกอบกับการใช้เครื่องมือ หรือวัสดุต่าง ๆ โดยมีกลุ่มผู้เรียนคอยสังเกต เป็นกิจกรรมท่ีผู้สอนนิยมใช้ทั่วไป เนื่องจากการสาธิตใช้วัสดุ อปุ กรณ์ นอ้ ยกว่าการใหผ้ ู้เรียนทดลองทาเอง (วรศกั ดิ์ เพยี รชอบ,2545) 1. คุณคา่ ของการสาธติ 1) เป็นการรวมจดุ สนใจและตั้งใจ ของผเู้ รียน 2) เหมาะกับการใช้แสดงหลกั การเบอ้ื งต้น วิธกี ารหรอื กระบวนการได้อยา่ งดี 3) ลดเวลาของการลองผิดลองถูกของผูเ้ รียน ใหส้ ั้นลง

128 4) ช่วยฝกึ การสงั เกตและการใช้ วิจารณญาณ 5) ช่วยให้คนท่ีมีความรู้ความสามารถต่างกัน เข้าใจเน้ือหาหรือเรื่องราวน้ัน ๆ ร่วมกันได้ ท้ังยัง ช่วยประหยดั ราคาส่งิ ของด้วย 6) การสาธิตจะช่วยให้ผู้เรียน ได้หัดรวบรวมความคิด สังเกตและวิจารณ์จึงทาให้ประสบการณ์ การเรียนที่สนกุ สนาน มคี วามหมาย และนาไปใช้ได้ 2. การใช้วธิ ีสาธติ ประกอบการสอน 2.1 การเตรียมความพร้อมของผู้สอน เป็นสิ่งจาเป็นอย่างย่ิงสาหรับการสาธิตท่ีดี ซึ่งจะใช้เวลา เตรียมมากน้อยเพียงใดนั้นข้ึนอยู่กับประสบการณ์ของผู้สอน จึงควรจะได้เตรียมล่วงหน้าจนแน่ใจว่าจะไม่เกิด ความบกพรอ่ ง ผิดพลาด โดยจะต้องพจิ ารณาทบทวนในเรือ่ งต่าง ๆ คอื 1) วตั ถปุ ระสงค์ในการสาธติ นั้นคืออะไร 2) พืน้ ฐาน ความพร้อม หรอื พฤตกิ รรมเบื้องต้นของผ้เู รยี น อยใู่ นระดับใด 3) ผูส้ อนคุ้นเคยกับวสั ดุอุปกรณ์ ขน้ั ตอนต่าง ๆ ในการสาธิตแลว้ หรือยัง 4) กาหนดเวลาขั้นตอนตา่ ง ๆ เวลาสาหรับถามหรอื ตอบ และเวลาทอ่ี าจจะตอ้ งสาธติ ซา้ 2.2 การเตรยี มผ้เู รียน 1) บอกผเู้ รียนลว่ งหนา้ ถงึ วตั ถปุ ระสงค์ของการสาธติ นัน้ 2) วางแนวทางในการทจ่ี ะดึงเอาความสนใจและต้ังใจของผู้เรียน เช่น เตรียมท่ีจะถามปัญหา สาคัญ ๆ 3) ผู้เรียนจะต้องจดบันทึกในขณะการสาธิตหรือไม่ หรือจะมีการแจกแนวคาอธิบายที่สาคัญ ๆ ถา้ มี ผ้สู าธิตจะแจกเมอื่ ใด 2.3 ขณะทาการสาธติ ผสู้ าธติ ควรจะได้คานงึ ในสง่ิ ตอ่ ไปนี้ คอื 1) ผู้เรียนทุกคนเหน็ และไดย้ ินชัดหรือไม่ 2) ผู้สาธติ ต้องใชก้ ระดานดาเขยี นเคา้ โครงของการสาธิตเป็นขั้น ๆ ไปเพื่อชว่ ยในการ คดิ ของผูเ้ รียนให้กา้ วไปเป็นขั้น ๆ ไปสู่จดุ หมายที่ตงั้ เอาไว้ 3) ต้องเน้นความสาคัญในศัพท์ใหม่ ข้อความใหม่ ความคิดใหม่ หรือขบวนการใหม่เมื่อมีสิ่ง ใหม่ ๆ เพมิ่ เข้ามา ตอ้ งอธิบายจนแน่ใจวา่ ผดู้ เู ขา้ ใจดแี ล้วจงึ จะดาเนนิ ข้นั ใหม่ตอ่ ไป 4) ตอ้ งคอยสงั เกตสีหนา้ ของผดู้ วู า่ แสดงความไม่เข้าใจ ไมต่ ั้งใจ เชอ่ื หรือไม่เชื่อ 5) ตอ้ งพูดกับผเู้ รยี นไม่ใช่พูดกบั กระดานดา หรือเครื่องมือ

129 6) ต้องเป็นนักแสดงที่ดี นั่นคือการพูดและการสาธิตกลมกลืนกันดี เวลาหยิบส่ิงของแสดงก็ คล่องแคล่วไมข่ ลุกขลกั 7) ในขณะสาธิตนนั้ ควรจะไดก้ ระตุน้ ผู้ดใู ห้ลองทายดูว่าจะเกิดอะไรขึ้น 8) การสาธติ ตอ้ งไมเ่ ร็วเกินไปจนผูด้ ูตามไม่ทนั ตอ้ งคอยเปลย่ี นความเร็วให้เหมาะ ตอนไหนคน ดเู ข้าใจยากก็ทาไปชา้ ๆ ส่งเสรมิ ให้เด็กหรือผู้ดูถามเมื่อไมเ่ ข้าใจ การจัดนิทรรศการ การจดั นิทรรศการ (Exhibition) หมายถึง กิจกรรมท่ีจัดขึ้นโดยนาวัสดุอุปกรณ์ต่าง ๆ มาจัดแสดงเพ่ือ สื่อความหมาย หรือถ่ายทอดความรู้ความคิด ตามจุดประสงค์ของผู้จัดในเรื่องใดเร่ืองหน่ึง และยังสามารถนา เทคนิควิธีการอื่น ๆ มาประกอบให้การจัดนิทรรศการ น่าสนใจย่ิงข้ึนได้อีกด้วย ส่ิงที่นิยมนามาจัดแสดงได้แก่ รูปภาพ แผนภูมิ ของจริง ปูายนิเทศ ส่วนกิจกรรมที่จัดประกอบ เช่น การอภิปราย ตอบปัญหา การประกวด สิ่งบนั เทงิ เพือ่ ดงึ ดูดความสนใจ (ววิ รรธน์ จันทร์เทพย์,2548 และ วรวทิ ย์ นิเทศศิลป.์ (2551). ) การจัดนิทรรศการอาจจาแนกไดห้ ลายประเภท เชน่ การจาแนกตามขนาดได้แก่ 1. การจัดแสดงขนาดย่อม (Display) อาจใช้วัสดอุ ุปกรณ์เพียงช้นิ เดียว หรอื 2-3 ช้ิน จัดแสดงไว้ ที่จัดแสดงอาจใช้ โตะ๊ ปูายนิเทศ หรือ ตโู้ ชว์ เชน่ การจัดของหน้าร้าน ตามห้างสรรพสินค้า ประเภทนี้เป็นการ จัดแสดงลว้ น ๆ มกั ไม่มีกิจกรรมอื่น ๆ ประกอบ การสื่อความหมาย จะใช้ข้อความ วัสดุอุปกรณ์ที่จัดไว้เท่าน้ัน เสนอความคิดในเรื่องหนึ่งเพยี งประเดน็ เดียว 2. กิจกรรมจัดแสดงขนาดกลาง (Exhibition) ความหมายของนิทรรศการโดยทั่วไป หมายถึง การจัดกิจกรรมในลักษณะนี้ คือการนาวัสดุอุปกรณ์ต่าง ๆ มาจัดแสดงเพื่อถ่ายทอดเรื่องราว เร่ืองใดเร่ืองหนึ่ง ในแง่มุมตา่ ง ๆ ผสมผสานเทคนิควิธีการประกอบต่าง ๆ เพื่อจูงใจให้คนมาชม นิยมจัดกันมากตามสถานศึกษา และหนว่ ยงานองค์การตา่ ง ๆ ซ่ึงขนาดของการจัดอาจจะแตกตา่ งกนั บ้าง 3. นิทรรศการขนาดใหญ่ หรือระดับนานาชาติ (Exposition) ตามปกติจะเป็น การจัดแสดง สินค้าผลิตภัณฑ์ต่าง ๆ ระหว่างประเทศเพ่ือให้ประเทศต่าง ๆ นาสินค้าของตนไปจัดแสดง เป็นการ ประชาสมั พันธช์ ่ือเสียงของประเทศ และโฆษณาสนิ ค้า 1. คณุ ค่าของการจดั นิทรรศการ 1) เพอื่ ช่วยเสริมการเรียนการสอน จงู ใจให้เกดิ การเรยี นรู้มากข้นึ 2) ชว่ ยใหส้ ามารถแสดงความคิดอันเป็นนามธรรมแสดงออกมาเปน็ รูปธรรมได้

130 3) ช่วยรวบรวมความคิดที่กระจัดกระจายให้เข้าเป็นอันหน่ึงอันเดียวกัน ทาให้เกิดความคิดรวบ ยอดใหม่ 4) เปิดโอกาสให้ผู้เรียนและผู้สอน ได้มีโอกาสแสดงผลงานของตน กระตุ้นให้เกิดความคิดริเริ่ม สรา้ งสรรค์ 5) ชว่ ยใหผ้ ู้เรียน ผู้สอน ไดม้ ีโอกาสทางานร่วมกนั เปน็ การฝกึ การทางานรว่ มกบั บุคคลอืน่ 2. การจัดนทิ รรศการประกอบการสอน ก่อนการจดั ทาโครงการจดั นิทรรศการ ผ้ดู าเนนิ การวางแผนการจัดจะต้อง ตอบคาถามเบ้ืองต้นว่า เรา จะจัดอะไร เพ่ือใคร และจัดอย่างไร เป็นกรอบความคิด กว้าง ๆ เอาไว้ แล้วจึงพิจารณาองค์ประกอบท่ีเป็น รายละเอียดเกีย่ วกบั เรือ่ งตอ่ ไปนี้ คอื 1) จุดประสงค์ - เปาู หมาย เน้ือหา 2) เวลา สถานที่ 3) ศิลปะ และจติ วิทยาในการรับรู้,เรยี นรู้ 4) งบประมาณ 5) ผู้ร่วมงาน หรือผูจ้ ดั 6) การประเมินผล 3. จุดประสงค์ ก่อนลงมือจัดนิทรรศการแต่ละคร้ัง ต้องมีวัตถุประสงค์ให้ชัดเจนว่าจัดนิทรรศการข้ึนเพ่ืออะไร มิ เช่นน้ัน แล้วการจัดนิทรรศการจะเป็นไปอย่างไร้ทิศทาง วัตถุประสงค์ท่ีดีควรเป็นไปเพื่อประโยชน์แก่คนส่วน ใหญ่ 4. เรอ่ื งราว เรื่องราวหรอื เน้ือหาสาระทีจ่ ะนามาจัดนทิ รรศการ ควรเปน็ เรื่องราวท่นี า่ สนใจ เปน็ ประโยชน์ และการ นาเสนอเร่ืองราวในเชิงนิทรรศการน้ัน ผู้จัดควรได้มีการกลั่นกรองเน้ือหาให้การจัดองค์ประกอบต่าง ๆ ตลอดจนการจัดพ้ืนที่สอดคล้องกับจิตวิทยาการรับรู้ แล้วจึงวางแผนการจัด นั่นคือ เตรียมเน้ือหาสาระ ส่ือ ประกอบนิทรรศการซึ่งอาจเป็นรูปภาพ ของจาลอง หรือ ของจริง จากนั้นจึงวางแผนการ นาเสนอที่มีศิลปะ ได้แก่การกาหนด ขนาดตัวอักษร เฟอร์นิเจอร์ บอร์ด หรือตาแหน่งการวางสิ่งของ เป็นต้น กิจกรรมประกอบ อืน่ ๆ เชน่ การแสดงดนตรี การทายปญั หา การประกวด ควรได้รับการพิจารณานามาใช้อย่างเหมาะสม เพ่ือจูง ใจให้คนมาชมมากท่ีสุด 5. งบประมาณ

131 การจัดนิทรรศการ ไม่ว่าจะเป็นนิทรรศการขนาดเล็กจนถึงขนาดใหญ่ จาเป็นต้องใช้งบประมาณมาก ย่ิงนิทรรศการท่ีมีนาดใหญ่โต เช่น นิทรรศการศิลปะ การจัดแต่ละคร้ังจะต้องใช้งบประมาณ จานวนมากข้ึน เพ่อื จดั ซอ้ื วัสดุต่าง ๆ รวมถึงคา่ กรอบรูปกบั ค่าจัดพมิ พ์สูจบิ ัตริ ประกอบนิทรรศการ สาหรับการจัดนิทรรศการในการศึกษาแล้ว โดยมากมักจะคานึงถึงความประหยัด ฉะนั้นจึงไม่จาเป็น ใชง้ บประมาณในการจัดมากมาย แต่มงุ่ เนน้ ใหผ้ ู้จดั รู้จักแก้ปัญหาในการเลอื กใช้เศษวสั ดุต่าง ๆ ใหเ้ กิดประโยชน์ มากท่สี ดุ 6. ผู้รว่ มงานจดั นทิ รรศการ นิทรรศการจะเป็นรูปร่างข้ึนไม่ได้ ถ้าหากปราศจากคนจัด เพราะนิทรรศการนั้นเป็นผลรวมของ ความคดิ ของคนท่ีรว่ มมือกันวางแผนและร่วมมอื กนั จัดขึน้ นิทรรศการในโรงเรยี น ผู้จัดอาจเป็นผู้สอนกับผู้เรียน ร่วมมือกันจัดนิทรรศการ ซงึ่ ถอื ว่าเปน็ กระบวนการท่ีเหมาะสมทางานร่วมกัน ถ้าหากเป็นผู้เรียนช้ันสูง ผู้สอนก็ อาจเปดิ โอกาสให้ผ้เู รียนลงมอื ทากนั เองได้ การทางานร่วมกัน ในการจดั นทิ รรศการแต่ละคร้ัง ควรแบ่งประเภทงานออกเป็นฝุายต่าง ๆ เพื่อความ สะดวกในการดาเนินงานตลอดจนเปน็ การจัดคนใหเ้ หมาะสมกับความถนัดดว้ ย โดยอาจแบ่งหน้าทด่ี ังนี้ 1) ฝาุ ยประชาสัมพนั ธ์ 2) ฝาุ ยเตรียมข้อมลู หรือเนื้อเรือ่ ง ท่จี ะนาแสดง 3) ฝุายเตรียมรูปภาพ และตัวหนงั สือ – หนุ่ จาลอง 4) ฝาุ ยศิลปะ 5) ฝุายจัดสถานท่ี 6) ฝุายจัดพมิ พเ์ อกสารประกอบนทิ รรศการ 7) ฝุายประเมินผล 7. การประเมนิ ผล การประเมินผลการจัดนิทรรศการ นับว่าเป็นขั้นตอนท่ีสาคัญอีกขั้นตอนหน่ึง ท้ังนี้เพ่ือจะได้ทราบ ข้อมูลว่า นิทรรศการที่จัดขึ้นน้ันได้ผลมากน้อยเพียงใด หรือมีจุดดีจุดด้อยอย่างไร เพ่ือจะได้เป็นแนวทาง ปรับปรุงแก้ไขในการจัดนิทรรศการคร้ังต่อ ๆ ไป การประเมินผลสามารถทาได้หลายวิธีด้วยกัน เช่น การทา สมุดแสดงความคดิ เหน็ การใช้แบบสอบถาม สมั ภาษณ์ 8. เวลา สถานท่ี นิทรรศการท่ีจัดข้ึนในชั้นเรียนอาจใช้พ้ืนท่ีเพียงบอร์ดที่ติดผนังห้องเรียนเท่านั้น หรืออาจเป็นมุม ห้องเรียนโดยใช้โต๊ะมาจัดวางส่ิงของที่จะนามาแสดง ถ้าหากเป็นการจัดบอร์ด ก็มักจะมีรูปภาพ ข้อความ

132 บรรยาย เป็นต้น การจัดนิทรรศการดังกล่าวจึงไม่จาเป็น ต้องใช้พื้นท่ีมากมาย นิทรรศการขนาดใหญ่ เช่น นิทรรศการศิลปะ นิทรรศการแสดงสินค้าหรือความก้าวหน้าทางอุตสาหกรรมจาเป็นต้องมีพ้ืนท่ีเพื่อนาเสนอ ผลงาน หรอื ตง้ั แสดงสินค้าเป็นตน้ การนาเสนอในลกั ษณะของนิทรรศการนั้น มิใช่ว่าเพียงแต่มีพื้นที่ สถานที่ แล้วนาสิ่งของมาวางให้เต็ม เทา่ นั้น แตก่ ารจัดนิทรรศการจะต้องคานึงถึงผลในการรบั รู้ ซึง่ จะต้องอาศยั เทคนิคการสร้างความสนใจ เทคนิค ทางศิลปะ เป็นองค์ประกอบ ด้วยเหตุนี้จึงมักพบว่า การจัดนิทรรศการมีการนาเสนอในรูปแบบท่ีสวยงาม พถิ ีพถิ นั เรยี กร้องความสนใจจากผู้เขา้ ชมไดด้ ี เวลาสาหรบั การจดั ต้องได้รับการพิจารณาอย่างเหมาะสม ว่า จะจัดในช่วงวันเวลาใดว่า อยู่ในฤดูกาล ที่เหมาะสมหรือไม่ และควรจดั เป็นเวลานานเพยี งใด 9. ศิลปะและจติ วิทยาในการรบั รู้ ศลิ ปะและจิตวิทยาในการรับรู้ นับเป็นส่วนสาคัญของในการจัดนิทรรศการ ถ้าหากผู้จัดไม่คานึงถึงส่ิง เหลา่ นีแ้ ลว้ การจัดก็มกั จะไมบ่ รรลุผลบทบาทของศลิ ปะมีต้ังแต่การนาเสนอในลักษณะงานประชาสัมพันธ์ และ เทคนคิ รปู แบบการจัดนิทรรศการโดยตรง การใชท้ รพั ยากรชุมชน การใช้ทรัพยากรชุมชน หมายถึง การใช้สิ่งต่าง ๆ ที่มีอยู่ในชุมชนเพ่ือเป็นประโยชน์ต่อการศึกษา (สุ วิทย์ มลู คา และ อรทัย มลู คา,2545) เช่น 1. การใช้บรเิ วณภายในโรงเรียน 2. การเชิญวทิ ยากรมาท่โี รงเรียน 3. เดนิ ทางไปศึกษาภายในชุมชนทโ่ี รงเรยี นต้งั 4. การไปทศั นาจรทางไกล 1. คณุ ค่าของการใช้ทรัพยากรชุมชน 1) มนุษย์ชอบการเปล่ียน ชอบอยู่ในส่ิงแวดล้อมใหม่ ๆ ดังน้ันการพาผู้เรียนออกนอกห้องเรียนไป ศึกษาในชุมชน ย่อมเป็นการเปลยี่ นบรรยากาศทาให้การเรียนของผเู้ รยี นดีขึ้น 2) เป็นวิธีการอนั หน่งึ ทจี่ ะใหผ้ ู้เรยี นคนุ้ เคยกบั ส่งิ แวดล้อม ซ่ึงเป็นความจาเป็นมากเพราะผู้เรียนจะ มชี วี ิตอยไู่ ด้อย่างเปน็ สุข ก็ตอ่ เม่ือสามารถปรับตวั ใหเ้ ข้ากบั สิ่งแวดลอ้ มได้ 3) เป็นการเพ่ิมพูนทาให้ประสบการณ์ ในการเรียนตามหลักสูตรมีความหมายและสมบูรณ์ยิ่งขึ้น เพราะได้เห็นสภาพจริง

133 4) เปน็ การฝึกนสิ ัยเป็นคนช่างสงั เกตพินิจพิจารณา สภาพแวดลอ้ ม 5) เปน็ การฝึกการทางานร่วมกนั ของผเู้ รยี น ผู้เรียนได้วางโครงการรว่ มกันได้ทางาน รว่ มกนั แบ่งงานกนั รับผดิ ชอบ 6) เปน็ เครอ่ื งมือซึ่งจะเปิดโอกาสให้ผู้เรียนนาทักษะในวิชาต่าง ๆ มาใช้เช่น คณิตศาสตร์ ภาษาทั้ง เขียนและพดู ศลิ ป และอืน่ ๆ ให้เกิดประโยชน์รว่ มกนั 7) ช่วยให้จัดกิจกรรมการเรยี นการสอน สอดคล้องกบั สภาพชีวติ และสังคมอย่างแท้จริง 2. การใช้บริเวณโรงเรียน เป็นแหล่งศึกษาท่ีสะดวกที่สุด เพื่อเปลี่ยนบรรยากาศที่จาเจในห้องเรียน เชน่ กจิ กรรมทางพลศกึ ษา วัดระยะ หาพ้ืนที่ ศกึ ษาต้นไม้ พมุ่ ไม้ หิน ดนิ ฯลฯ 3. การเชิญวิทยากรมาพูดที่โรงเรียน ส่วนมากมักจะเชิญพูดในโอกาสที่มีกิจกรรมในวันสาคัญทาให้ ไดป้ ระโยชนน์ ้อย ควรเชิญวทิ ยากรมาสาหรับการเรยี นการสอนตามปกตดิ ้วย 4. การศึกษาภายในชุมชนที่โรงเรียนตั้งอยู่ เป็นการพาผู้เรียนไปศึกษาในหน่วยการ องค์การไกล้ เคียง เช่น การพาผู้เรียนไปดูฟาร์ม บ่อเล้ียงปลา พิพิธภัณฑ์ วัด สถานีรถไฟ ศาล ซ่ึงอยู่ในบริเวณท่ีไม่ห่างจาก โรงเรยี นมากนกั ใช้เวลา ประมาณ สองสาม ช่วั โมงถึง หนง่ึ วนั 5. การเดินทางไปศึกษานอกสถานท่ี หมายถึงการพาไปต่างชุมชนที่โรงเรียนตั้งอยู่ อาจกินเวลาหน่ึง วันหรอื มากกวา่ น้ัน การศึกษานอกสถานที่ มักจะถูกคัดค้านอยู่เสมอว่าเสียเวลา ตารางสอนของเรามักจัดตายตัวมาก ดังน้ันการศึกษานอกสถานท่ีจึงเป็นไปไม่ได้เต็มที่ และอีกประการหนึ่งการศึกษานอกสถานท่ีนี้ก็ส้ินเปลืองมาก จึงไม่คอ่ ยมีคนทา ท่มี ที ากันอยู่ในโรงเรียน ส่วนมากกเ็ ป็นไปในทางเพลดิ เพลนิ สนุกสนาน ไม่ได้มุ่งเพ่ือให้เกิดผล ทางการศึกษาโดยเฉพาะ ไม่ไดเ้ ชื่อมโยงการเรยี นการสอนกับการทัศนศึกษาเท่าที่ควร ขาดจุดประสงค์และการ วางแผนเพื่อการศึกษาท่ชี ัดเจน 5.1 การไปศกึ ษานอกสถานทเี่ พ่ือการเรยี นรู้ 5.1.1 การวางแผนเตรยี มการ เป็นเร่อื งสาคัญมาก ในการไปศกึ ษานอกสถานที่ จาเป็นต้อง เตรียมการอย่างดี โดยเฉพาะอย่างยิ่งการไปศึกษาที่ต้องเดินทางไกล มีการค้างคืน โดยทั่วไปจะวางแผน เตรยี มการในเร่ืองต่อไปน้ีคอื 1) งานธุรการ จะต้องมีการจัดทาโครงการเสนอขอความเห็นชอบจากหลายฝุาย เช่น ผู้บริหาร ผู้สอนผู้สอนในวิชาเดียวกัน หรือผู้สอนผู้เรียนห้องเดียวกัน วางแผนการเดินทาง ติดต่อประสานกับ ฝุายทเี่ ก่ียวขอ้ งตา่ ง ๆ ท้ังที่เก่ียวกับยานพาหนะ สถานที่พัก ความปลอดภัย การประกันชีวิต กาหนดนัดหมาย สถานท่ี เวลา ฯลฯ

134 2) งานวิชาการ กาหนดจุดประสงค์ของการไปให้ชัดเจน จัดโปรแกรมต่าง ๆ ที่จะไป ศกึ ษา ให้สอดคล้องกับบทเรยี น รวมถงึ วางแผนลว่ งหนา้ ถึงการประเมินผลหลังจากกลบั มา 5.1.2 การเดินทางไปศึกษา ผู้เรียนจะต้องได้รับคาช้ีแจงเกี่ยวกับ ข้อปฏิบัติระหว่างการ เดินทางล่วงหนา้ ตลอดจนจุดประสงค์หรอื สิ่งทจ่ี ะไดร้ ับจากการไป ผูส้ อนผ้คู วบคมุ จะตอ้ งดแู ลตรวจสอบผู้เรียน อยา่ งทว่ั ถึงและสม่าเสมอ หาวธิ กี ารในการปูองกนั อุบัตเิ หตุ และการพลัดหลงในกรณีเดินทางไกล คอยตักเตือน ผูเ้ รยี น และรักษาเวลาให้เปน็ ไปตามท่ไี ด้กาหนดไว้ 5.1.3 การประเมินผล จะต้องไม่ประเมินผลเฉพาะในเร่ืองความสนใจของผู้เรียน หรือผู้สอน เท่าน้ัน เพราะการไปศกึ ษานอกสถานที่ ที่ทาให้ผู้สอนผเู้ รียนพอใจมากน้ัน อาจได้ผลในแง่การศึกษาไม่เพียงพอ จึงควรประเมินผลโดยอาศัยการวัดด้านอื่น ๆ ด้วย วิธีการ อาจใช้การสาภาษณ์ ใช้แบบสอบถาม หรือ แบบทดสอบ สรุปเนอื้ หาบทท่ี 7 ส่ือกิจกรรมเป็นสื่อดีต่อการสอนที่นิยมอีกชนิดหน่ึง เน่ืองจากมีการทาให้ผู้เรียนมีความต่ืนตาต่ืนใจ เพราผ้เู รยี นจะได้ลงมือทาเอง ไม่เบื่อกับการบรรยายเป็นเวลานาน รวมถึงการเปิดโอกาสให้ผู้เรียนได้เรียนรู้ถึง ปัญหาต่าง ๆ ด้วยต้นเอง ซ่ึงทาให้ผู้เรียนเห็นและได้ลองลงมือทาจริง ๆ ได้ทั้งความรู้สึก ทักษา และความคิด แต่ถึงอย่างนั้นการใช้สื่อกิจกรรมจาเป็นจะต้องมีการวางแผนเตรียมการ ท้ังความชานาญของผู้สาธิต วิธีการ ดาเนินงาน และย่ิงมีผู้ชมจานวนมากอาจมีอุปสรรคได้ ดังน้ันการเลือกใช้จึงจะเป็นอย่างมากเพื่อให้เหมาะสม กบั สถานการณก์ ารสอน


Like this book? You can publish your book online for free in a few minutes!
Create your own flipbook