Important Announcement
PubHTML5 Scheduled Server Maintenance on (GMT) Sunday, June 26th, 2:00 am - 8:00 am.
PubHTML5 site will be inoperative during the times indicated!

Home Explore ວິຊາເສດຖະສາດການຈັດການ

ວິຊາເສດຖະສາດການຈັດການ

Published by lavanh5579, 2021-08-27 03:38:56

Description: ວິຊາເສດຖະສາດການຈັດການ

Search

Read the Text Version

74 จะช่วยให้รัฐบาลสามารถคาดคะเนถึงผลที่จะไดร้ ับจากการเลือกใช้นโยบายที่เหมาะสมและดาเนิน นโยบายเศรษฐกิจดงั กล่าวไดอ้ ยา่ งมีประสิทธิผล 2. ด้านการดาเนินธุรกิจ ในด้านการดาเนินธุรกิจความรู้ในเรื่องความยืดหยุ่นจะช่วยกิจการ เกี่ยวกบั การต้งั ราคาสินคา้ การบริการ หรือการเปล่ียนแปลงราคาสินคา้ หรือบริการ เช่น หน่วยธุรกิจ ตอ้ งการนาสินคา้ ออกใหม่ออกสู่ตลาด ผผู้ ลิตจะตอ้ งตดั สินใจวา่ ตนควรจะต้งั ราคาสินคา้ อยา่ งไร ต้งั ราคา ให้สูงเพื่อดึงกลุ่มลูกคา้ ท่ีมีรายไดส้ ูง หรือต้งั ราคาสินคา้ ใหต้ ่าเพ่ือดึงลูกคา้ ส่วนใหญ่ของตลาด ซ่ึงความ ยืดหยนุ่ ของอุปสงคต์ ่อรายไดข้ องผูบ้ ริโภค และความยืดหยนุ่ ของอุปสงคต์ ่อราคาสินคา้ ชนิดอ่ืนจะเป็ น เคร่ืองมือที่มีประโยชน์ต่อการตดั สินใจของผูผ้ ลิตได้ ดงั น้นั ผผู้ ลิตจาเป็ นตอ้ งทราบความยดื หยนุ่ ของอุป สงคต์ อ่ ราคาสินคา้ ของตน ท้งั น้ีกิจการยงั สามารถประยกุ ตใ์ ชป้ ระโยชนจ์ ากความยดื หยนุ่ ได้ เช่น - การเก็บภาษีหรือการผลกั ภาระภาษีในแต่ละรายการสินคา้ ท่ีรัฐตอ้ งการช่วยเหลือ ประชากรในประเทศ และการเก็บภาษีจากสินคา้ ท่ีผลิตในประเทศ ซ่ึงจะเป็ นตวั กาหนดปริมาณของ สินคา้ ในประเทศและต่างประเทศ เช่น การเก็บภาษีการคา้ จากสินคา้ ท่ีผลิตภายในประเทศ ซ่ึงมีค่าความ ยืดหยุ่นของอุปสงค์สูง ผลของราคาสินคา้ ที่สูงข้ึนอาจทาให้ผูซ้ ้ือลดการซ้ือสินคา้ ชนิดน้นั ลงอยา่ งมาก ทาให้รายรับรวมของผูข้ ายลดลง ขณะเดียวกนั รัฐบาลเก็บภาษีไดน้ อ้ ย กรณีเช่นน้ีภาระภาษีส่วนใหญ่จะ ตกอยูก่ บั ผูข้ าย ตรงกนั ขา้ มถา้ อุปสงคข์ องสินคา้ มีค่าความยืดหยุ่นต่า ภาระภาษีส่วนใหญ่จะตกอยู่กบั ผบู้ ริโภค เพราะในกรณีน้ีราคาสินคา้ ที่เพ่ิมข้ึนเน่ืองจากการเก็บภาษีจะไม่มีผลมากนกั ในการลดจานวน ซ้ือของผูบ้ ริโภค การวิเคราะห์ดงั กล่าวใชไ้ ดก้ บั การเก็บภาษีทุกประเทศ ภาษีบริษทั ธุรกิจ ภาษีเงินได้ ภาษีนาเขา้ ภาษีส่งออก และภาษีสรรพสามิต เป็นตน้ - การวเิ คราะห์ปัญหาเก่ียวกบั การกาหนดราคาข้นั สูง เช่น การกาหนดอตั ราค่าเช่าข้นั สูง การกาหนดอตั ราดอกเบ้ียข้นั สูง เป็ นตน้ ก่อนจะตดั สินใจใชม้ าตรการเหล่าน้ี รัฐบาลจะตอ้ งศึกษาความ ยดื หยนุ่ ของอุปสงคแ์ ละอุปทานต่อราคา มิฉะน้นั การประกาศใช้มาตรการเหล่าน้ีอาจไม่บงั เกิดผลหรือ อาจเป็นผลเสียมากกวา่ ผลดี เป็นตน้ - การประกนั ราคาข้นั ต่าหรือการกาหนดราคาข้นั สูงของสินคา้ ที่มีผลกระทบต่อความ เป็ นอยู่ของประชากรในประเทศ โดยเฉพาะสินคา้ อุปโภค บริโภคและสินคา้ การเกษตร โดยการการ ประกนั ราคาข้นั ต่าหรือการกาหนดราคาข้นั สูงของสินคา้ จะทาให้อุปสงคแ์ ละอุปทานมีความเหมาะสม ในระดบั ที่เหมาะสมในเวลาหน่ึง ๆ เช่น การประกนั ราคาขา้ ว การกาหนดราคาไข่ไก่หน้าฟาร์ม การ ประกนั ราคาข้นั ต่าสาหรับพืชผลทางเกษตร ภาระการประกนั ราคาข้นั ต่าของรัฐบาลจะมากหรือน้อย ข้ึนอยกู่ บั ความยดื หยนุ่ ของเส้นอุปสงค์ - การวิเคราะห์ปัญหาเกี่ยวกบั การคา้ ระหว่างประเทศ ความยืดหยุน่ ของอุปสงค์ และ อุปทานสามารถใช้ในการศึกษาผลของการเพิ่มหรือลดค่าของเงินท่ีมีต่อสินคา้ เขา้ สินคา้ ออก อตั รา การคา้ และดุลการชาระเงิน

75 แนวคดิ การพยากรณ์ทางธุรกจิ การพยากรณ์ทางธุรกิจเป็ นหัวใจสาคญั ประการหน่ึงในการประกอบธุรกิจหากหน่วยธุรกิจมี การพยากรณ์ที่แม่นยาก็จะสามารถทาใหห้ น่วยธุรกิจไม่ประสบปัญหาการผลิตที่มากเกินความตอ้ งการ ของตลาด ซ่ึงการเกิดอุปทานส่วนเกินจะเกิดความสูญเสียในแง่ตน้ ทุนค่าใช้จ่ายท่ีตอ้ งแบกรับภาระ ไดแ้ ก่ สินคา้ คงคลงั หรือสินคา้ ท่ีไมส่ ามารถขายได้ ทาธุรกิจน้นั เกิดการขาดทุนได้ หรือตรงขา้ มหากการ ประมาณการน้นั ต่ากวา่ ความตอ้ งการของตลาด คือ เกิด “อุปสงคส์ ่วนขาด” (Shortage Demand) ข้ึน คือ สินคา้ ที่ทาการผลิตไม่เพียงพอต่อความตอ้ งการของตลาดในขณะน้นั ทาให้หน่วยธุรกิจเสียโอกาสใน การขายสินคา้ ทากาไรและสูญเสียผลตอบแทนมหาศาลไปอย่างน่าเสียดาย ดงั น้ัน การพยากรณ์ทาง ธุรกิจที่แมน่ ยา จึงมีความจาเป็นตอ่ หน่วยธุรกิจเป็นอยา่ งมาก โดยทว่ั ไปในการพยากรณ์แต่ละคร้ังมีปัจจยั สาคญั ที่ควรพิจารณา 5 ประการ คือ สมมติฐาน ขอ้ มูล แบบของการพยากรณ์ การเลือกวธิ ีพยากรณ์ ผพู้ ยากรณ์ ดงั มีรายละเอียดต่อไปน้ี 1. สมมติฐาน ในการพยากรณ์แต่ละคร้ังมกั จะมีการต้งั สมมติฐานไวก้ ่อนเสมอ เช่น สมมติราน เกี่ยวกบั ระดบั การผลิต รายได้ ค่าจา้ ง ราคาหรืออื่น ๆ ตลอดจนความสัมพนั ธ์ระหวา่ งปัจจยั ต่าง ๆ จะ เปลี่ยนแปลงไปอยา่ งชา้ ๆ ไปในทิศทางใดทิศทางหน่ึง หรือสมมติฐานที่วา่ ลกั ษณะของขอ้ มูลท่ีจะทาให้ ทราบถึงอนาคตน้นั ไดม้ าจากการศึกษาเรื่องราวในอดีต เป็นตน้ 2. ขอ้ มูล ขอ้ มูลหรือตวั เลขใด ๆ เก่ียวกบั เรื่องท่ีจะพยากรณ์ ควรรวบรวมไวอ้ ย่างถูกตอ้ งและ ดว้ ยปริมาณที่มากพอ เพราะการไดข้ อ้ มูลท่ีผิดพลาด จะทาให้การพยากรณ์ผิดพลาด เสียเวลา และเสีย ค่าใชจ้ า่ ย 3. แบบของการพยากรณ์ ในเร่ืองของแบบน้ันสามารถแบ่งได้เป็ นหลายแบบข้ึนอยู่กับผู้ พยากรณ์ วา่ จะยดึ อะไรเป็ นเกณฑ์ เช่น ถา้ ใชเ้ วลาเป็ นเกณฑ์ก็อาจแบ่งไดเ้ ป็ น 2 แบบ คือ การพยากรณ์ แบบระยะส้ัน ซ่ึงมีระยะเวลาไม่เกิน 1 ปี และการพยากรณ์แบบระยะยาว ตามปกติจะมี ระยะเวลาท่ีเกิน กวา่ 1 ปี ข้ึนไป 4. การเลือกวิธีพยากรณ์ ในการเลือกวิธีพยากรณ์สาหรับปัญหาหน่ึงจะตอ้ งพิจารณาถึงเร่ือง ต่อไป 1) ระยะเวลา วธิ ีการพยากรณ์วธิ ีหน่ึงอาจจะเหมาะสมกบั การพยากรณ์ระยะส้ัน ในขณะที่ วิธีอ่ืน ๆ เหมาะสาหรับการพยากรณ์ระยะยาว ผูพ้ ยากรณ์จาเป็นตอ้ งเลือกใหเ้ หมาะสม 2) คา่ ใชจ้ ่าย คา่ ใชจ้ ่ายใน การพยากรณ์เป็นขอ้ จากดั ที่สาคญั อีกประการหน่ึงต่อการเลือกวธิ ี การพยากรณ์ วธิ ีการพยากรณ์ที่มีความ สลบั ซบั ชอ้ นและตอ้ งการการคานวณท่ียดื ยาวมกั จะมีคา่ ใชจ้ ่ายสูงกวา่ วธิ ีพยากรณ์ที่ง่าย ๆ การพยากรณ์ ที่ตอ้ งการขอ้ มูลจานวนมาก ๆ ยอ่ มเสียค่าใชจ้ ่ายสูงกวา่ การพยากรณ์ที่ ตอ้ งการขอ้ มูลแต่นอ้ ย การเลือก วิธีการพยากรณ์จึงตอ้ งพิจารณาถึงงบประมาณที่มีอยดู่ ว้ ย 3) ความถูกตอ้ ง ความถูกตอ้ งแม่นยาของการ พยากรณ์เป็ นอีกปัจจยั หน่ึงท่ีตอ้ งคานึงถึง การพยากรณ์ที่ตอ้ งการประหยดั มาก ๆ และหาขอ้ มูลแต่นอ้ ย ย่อมทาให้ความถูกต้องแม่นยาของการ พยากรณ์ลดลง และส่งผลกระทบต่อการวางแผนและการ

76 ตดั สินใจท่ีถูกตอ้ งตามมา แต่ในความเป็ นจริงที่เกิดข้ึนกค็ ือ ค่าใชจ้ ่ายและความถูกตอ้ งของการพยากรณ์ มกั แปรผกผนั กนั ย่งิ เลือกวิธีพยากรณ์ที่ใชค้ ่าละเอียดถ่ีถว้ นและถูกตอ้ งมากเพียงใด ยอ่ มทาให้ค่าใชจ้ ่าย หรือตน้ ทุนรวมในการ พยากรณ์สูงข้ึน แต่คา่ พยากรณ์ที่ถูกตอ้ งก็จะช่วยลดค่าใชจ้ ่ายในการดาเนินการลง เช่นกนั ในการเลือกวิธีพยากรณ์จึงตอ้ งพิจารณาช่วงเหมาะสม ซ่ึงเป็ นช่วงท่ีจะให้ตน้ ทุน รวมของการ พยากรณ์และความถูกตอ้ งแมน่ ยาของการพยากรณ์อยใู่ นระดบั ที่เหมาะสมท่ีสุด 5. ผพู้ ยากรณ์ ผพู้ ยากรณ์จะเป็นปัจจยั หลกั ของการพยากรณ์ เพราะบุคคลน้ีจะเป็นผเู้ ลือกวธิ ี การพยากรณ์ ดงั น้นั ผพู้ ยากรณ์จึงควรเป็นผทู้ ่ีมีความรอบรู้งานดา้ นตา่ ง ๆ ท่ีเก่ียวกบั ปัญหาซ่ึงตนจะตอ้ ง พยากรณ์ เพ่ือจะเลือกใชว้ ธิ ีพยากรณ์ไดอ้ ยา่ งเหมาะสม เทคนิคของการพยากรณ์ เทคนิคในการพยากรณ์ควรข้ึนอยู่กบั ความสอดคล้องกบั ความต้องการของตลาดมากที่สุด โดยเฉพาะการประมาณการยอดขายของผผู้ ลิต ไม่วา่ จะเป็นยอดขาย กาไร ตน้ ทุนต่อหน่วย หรือรายจ่าย เพื่อการโฆษณา การพยากรณ์ยอดขายและอุปสงค์ของหน่วยธุรกิจ มีเทคนิควิธีการต่าง ๆ เช่น การ พยากรณ์ทางดา้ นคุณภาพและทางด้านสถิติโดยใช้อนุกรมเวลา เทคนิคของการพยากรณ์ที่ใช้ภายใน สถานการณ์ใด ๆ ข้ึนอยกู่ บั ปัจจยั หลายอยา่ ง ปัจจยั อยา่ งหน่ึงคือระดบั ของผลรวมรายการที่ตอ้ งพยากรณ์ โดยปกติระดบั สูงที่สุดของผลรวมทางเศรษฐกิจที่ตอ้ งพยากรณ์คือ เศรษฐกิจของประเทศ แมว้ ่าการ พยากรณ์เศรษฐกิจโลกจะกลายเป็ นเรื่องธรรมดามากข้ึนทุกที เครื่องวดั โดยปกติของกิจกรรมทาง เศรษฐกิจโดยส่วนรวมคือผลิตภณั ฑ์ประชาชาติ (GNP) แต่หน่วยธุรกิจไดใ้ หค้ วามสนใจมากข้ึนกบั การ พยากรณ์ภาคยอ่ ยของ GNP โดยส่วนรวม ร้านคา้ ปลีกจะสนใจต่อการเปลี่ยนแปลงและระดบั ของรายได้ สุทธิส่วนบุคคลในอนาคตมากกวา่ GNP โดยส่วนรวม ระดับต่อมาภายในลาดับของการพยากรณ์ทางเศรษฐกิจคือ การพยากรณ์ยอดขายของ อุตสาหกรรม โดยปกติน่ีจะข้ึนอยูก่ บั ผลการดาเนินงานที่คาดหมายไวข้ องเศรษฐกิจโดยส่วนรวมหรือ ภาคเศรษฐกิจที่สาคญั บางภาค ในที่สุดการพยากรณ์ยอดขายของหน่วยธุรกิจจะข้ึนอยกู่ บั การพยากรณ์ ยอดขายของอุตสาหกรรม ตวั อย่างเช่น การพยากรณ์ของหน่วยธุรกิจหน่ึงอาจจะให้การประมาณ ยอดขายของอุตสาหกรรมเปรียบเทียบกบั ส่วนแบ่งตลาดท่ีคาดหมายไวข้ องพวกเขา ส่วนแบ่งตลาดใน อนาคตอาจจะถูกประมาณบนพ้ืนฐานของส่วนแบ่งตลาดในอดีต หรือการเปลี่ยนแปลงท่ีคาดคะเนไว้ เนื่องจากกลยทุ ธ์การตลาดใหม่ และการพฒั นาผลิตภณั ฑใ์ หม่ เป็นตน้ ภายในหน่วยธุรกิจลาดบั ของการพยากรณ์จะมีอยูด่ ว้ ย หน่วยธุรกิจอาจจะประมาณยอดขายรวม ยอดขาย ตามสายผลิตภณั ฑ์ หรือยอดขายตามภูมิภาคในอนาคต การพยากรณ์เหล่าน้ีจะถูกใช้เพื่อการวางแผน คาสั่งซ้ือวตั ถุดิบ การว่าจ้างพนักงาน การกาหนดตารางเวลาการจดั ส่ง และการวางแผนการผลิต นอกจากน้ีผูจ้ ดั การฝ่ ายการตลาดจะใช้การพยากรณ์ยอดขายเพ่ือการจดั สรรทีมงานขาย การกาหนด

77 เป้าหมายการขาย และการวางแผนการส่งเสริมการขาย การพยากรณ์ยอดขายจะเป็ นส่วนที่สาคญั ของ การพยากรณ์ความตอ้ งการเงินสดของหน่วยธุรกิจของผจู้ ดั การฝ่ ายการเงินดว้ ย เรามีเทคนิคของการพยากรณ์อยูห่ ลายอยา่ ง นกั เศรษฐศาสตร์การบริหารสามารถเลือกใช้ไดต้ ามความ เหมาะสม เทคนิคของการพยากรณ์เหล่าน้ีอาจจะแยกประเภทไดด้ งั ต่อไปน้ีคือ 1. เทคนิคเชิงสารวจ เป็ นเทคนิคการวิจยั หรือเป็ นเคร่ืองมือในการ พยากรณ์ซ่ึงเก็บรวบรวม ขอ้ มูลจากตวั อย่างของบุคคลโดยใช้แบบสอบถาม เป็ นวิธีการเก็บรวบรวม ขอ้ มูลโดยถือเกณฑ์การ ติดต่อส่ือสารโดยใช้กลุ่มตวั อยา่ งที่เป็ นตวั แทนของแต่ละบุคคล ซ่ึงการ พยากรณ์โดยการสารวจน้นั มี หลายระดบั ระดบั ของการพยากรณ์ การพยากรณ์แบ่งออกไดเ้ ป็น 4 ระดบั ดงั น้ี - การพยากรณ์ระดบั เศรษฐศาสตร์มหาภาค เช่น การพยากรณ์ผลิตภณั ฑใ์ นประเทศ ท่ี แทจ้ ริง (Real GDP) ผลิตภณั ฑใ์ นประเทศที่เป็นตวั เงิน (Nominal GDP) มูลคา่ สินคา้ เขา้ มูลค่า สินคา้ ออก เป็ นต้นซ่ึงจะเป็ นหน้าท่ีของหน่วยงานภาครัฐ เช่น ธนาคารแห่งประเทศไทย กระทรวง พาณิชย์ สานกั งานคณะกรรมการพฒั นาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ และสถาบนั การเงินของ ภาคเอกชน เช่น ธนาคารไทยพาณิชย์ ธนาคารกสิกรไทย เป็ นตน้ ซ่ึงการพยากรณ์ในระดบั เศรษฐศาสตร์มหาภาคจะทา ใหร้ ู้ทิศทางของเศรษฐกิจในอนาคต เพื่อท่ีจะไดส้ ามารถวางแผนธุรกิจ ให้สอดคลอ้ งกบั เศรษฐกิจของ ประเทศได้ - การพยากรณ์ระดบั อุตสาหกรรม เช่น การพยากรณ์ยอดขายของอุตสาหกรรมน้ามนั การพยากรณ์ยอดขายของอุตสาหกรรมเหมืองแร่ เป็ นตน้ ซ่ึงจะทาโดยหน่วยงานของรัฐและสถาบนั เอกชน และตอ้ งใชเ้ งินทุนเป็ นจานวนมากในการวิจยั การพยากรณ์ระดบั อุตสาหกรรมจะช้ีให้เห็น ถึง ทิศทางของอุตสาหกรรมท่ีกิจการเผชิญอยู่ - การพยากรณ์ระดับหน่วยธุรกิจหรือกิจการ เช่น ยอดขายรถยนต์ของผู้ผลิตใน อุตสาหกรรมรถยนต์ยอดขายคอมพิวเตอร์ของบริษทั ผูผ้ ลิตคอมพิวเตอร์ เป็ นต้นซ่ึงจะทาให้ผูผ้ ลิต สามารถวางแผนทางดา้ นการเงินและบุคลากรไดอ้ ยา่ งมีประสิทธิภาพยง่ิ ข้ึน - การพยากรณ์ระดบั สินคา้ เป็นการพยากรณ์ระดบั สินคา้ จะมีประโยชนใ์ นการวางแผน ทางดา้ นการผลิต การตลาด การควบคุมสินคา้ คงคลงั เป็ นตน้ ในการสารวจจะไดร้ ับขอ้ มูล 2 ชนิด คือ (1) ขอ้ มูลเกี่ยวกบั ตวั แปรบางอยา่ งท่ีไม่สามารถ ควบคุมได้ ตวั อยา่ งเช่น อตั ราเงินเฟ้อ อตั ราการวา่ งงาน ภาวะเศรษฐกิจถดถอย เป็ นตน้ (2) ขอ้ มูลเก่ียวกบั ประชากร หรือหน่วยธุรกิจว่าสิงที่เขาตอ้ งการทาคือ อะไร เพราะฉะน้นั การ พยากรณ์จะเป็นแนวทางสาหรับการวางแผน ตวั อยา่ งเช่น ผผู้ ลิตควรจะเพม่ิ ราคา สินคา้ หรือไม่ อยา่ งไร 2. การวิเคราะห์แบบอนุกรมเวลา เป็ นเคร่ืองมือการพยากรณ์เชิงปริมาน ใชร้ ูปแบบขอ้ มูลใน อดีตและคาดคะเนถึงส่ิงที่จะเกิดข้ึนในอนาคตโมเดลแบบอนุกรมเวลามีขอ้ สมมุติวา่ รูปแบบในอดีตจะ เกิดช้าในอนาคต ดังน้ัน จึงแสดงข้ันตอนของ เหตุการณ์ในระหว่างช่วงอดีตจะสามารถใช้หลัก

78 คณิตศาสตร์คาดคะเนช่วงเวลาในอนาคตได้ จะเห็นวา่ ขอ้ มูลอนุกรมเวลาท่ีจดั เกบ็ รวบรวมไดม้ ีความผนั ผวนสูงข้ึน หรือลดลงในบางช่วงเวลา ซ่ึงการผนั แปรดงั กล่าวเกิดข้ึน จากสาเหตุ 4 ประการ ดงั น้ี 1. แนวโนม้ เป็ นการเคล่ือนไหวในทิศทางท่ีเพ่ิมข้ึนหรือลดลงในทิศทางเดียวกนั และ ไม่วา่ เส้นการเคลื่อนไหวของแนวโนม้ จะเพิ่มข้ึนหรือลดลง เส้นการเคลื่อนไหวของแนวโนม้ ของขอ้ มูล แบบอนุกรมเวลาจะมีลกั ษณะเป็นเส้นท่ีต่อเน่ือง 2. การผนั แปรตามฤดูกาล แสดงการเคลื่อนไหวข้ึนลงของตวั เลขซ่ึงเกิดข้ึนเป็ นประจา ในช่วงเวลาหน่ึงหรือฤดูกาลของปี รูปแบบฤดูกาลอาจแตกต่างกนั ในแต่ละช่ัวโมง แต่ละวนั แต่ละ สัปดาห์ แต่ละเดือน ทุกสามเดือน หรือแต่ละปี การผนั แปรตามฤดูกาลเกิดข้ึนเนื่องจากการที่ผูบ้ ริโภค ซ้ือสินคา้ บางชนิด ไม่สม่าเสมอตลอดท้งั ปี แตม่ ีการซ้ือตามฤดูกาล หรือตามเทศกาล การคานวณหาดชั นี ฤดูกาล เพือ่ จะประเมินวา่ ในแตล่ ะเดือนจะมีคา่ ต่างจากค่าท่ีเราคาดหวงั 3. การผนั แปรตามวฏั จกั ร จะแสดงการเคล่ือนไหวข้ึนลงซ่ึงเกิดข้ึนในช่วงเวลานานกวา่ 1 ปี หรือเป็ นระยะเวลาหลายปี ซ่ึงเกิดจากการเปล่ียนแปลงของสภาวะทางเศรษฐกิจ คือ มีการ เจริญเติบโต ตกต่า ถดถอย และหลงั จากน้นั กเ็ จริญเติบโตข้ึนอีกคร้ังหน่ึง 4. การผนั แปรผิดปกติหรือแบบสุ่ม หมายถึง ความผนั แปรท่ี เกิดข้ึนจากเหตุการณ์ท่ี ผิดปกติ ซ่ึงเป็ นส่ิงที่เราไม่สามารถพยากรณ์ได้ เน่ืองจาก เหตุการณ์ผดิ ปกติเป็ นเหตุการณ์ทีไม่สามารถ คาดคะเนได้ ดงั น้นั ถา้ ความผนั ผวนของขอ้ มูลเกิด จากเหตุการณ์ผิดปกติค่อนขา้ งมาก จะทาให้การ พยากรณ์มีโอกาสผดิ พลาดสูงเน่ืองจากการ ผนั แปรทผดิ ปกติน้นั คาดคะเนไดย้ าก 3. วิธีการพยากรณ์แนวโน้ม แบ่งเป็ นวธิ ีการพยากรณ์แนวโนม้ เชิงเส้นตรงและไม่เป็ นเส้นตรง โดยใชว้ ธิ ีอนุกรมเวลาเพื่อพยากรณ์เหตุการณ์ ซ่ึงอธิบายไดใ้ น 4รูปแบบ คือ แนวโนม้ การผนั แปรตาม ฤดูกาล การผนั แปรตามวฏั จกั ร การผนั แปรท่ีผดิ ปกติ ในข้นั แรกเราจะพิจารณาถึงวธิ ีประมาณแนวโนม้ ซ่ึงแนวโนม้ ในระยะยาวของขอ้ มูล อนุกรมเวลาอาจจะเป็ นลกั ษณะเชิงเส้นตรง โดยปกตินกั วเิ คราะห์จะ ใชว้ ธิ ีค่ากาลงั สองนอ้ ยที่สุด เพื่อจะคานวณแนวโนม้ เชิงเส้นตรง หรืออีกนยั หน่ึง ลมมุติวา่ ผลกระทบใน ระยะยาวเชิงแนวโนม้ อาจจะ เป็นสิงหน่ึงซ่ึงสามารถใชอ้ ธิบายได้ เพราะฉะน้นั การวเิ คราะห์แบบอนุกรม เวลากจ็ ะมีการคาดคะเนวา่ เป็นเชิงเส้นตรง ส่วนวธิ ีการพยากรณ์ในกรณีท่ีแนวโนม้ ไม่เป็ นเชิงเส้นตรง วธิ ีการพยากรณ์ในกรณีที่แนวโนม้ ไม่เป็ นเชิงเส้นตรง ในลกั ษณะของขอ้ มูลแบบอนุกรมเวลาน้นั ในบางคร้ังก็ไม่แสดงออกมาในแนวโนม้ เชิงเส้นตรง เช่นกรณีในสมการรูปการกาลงั ยกสองอาจจะแสดงในลกั ษณะแนวโนม้ ท่ีถูกตอ้ งเหมาะสม 4. การผันแปรตามฤดูกาล เป็ นการวิเคราะห์แบบอนุกรมเวลา โดยใชข้ อ้ มูลจะเป็ นตวั เลขราย เดือนหรือรายไตรมาสมากกวา่ ตวั เลขประจาปี ขอ้ มลแบบอนุกรมเวลาจะให้ความสาคญั กบั การผนั แปร ตามฤดูกาลที่ได้แสดงอยู่ในขอ้ มูลแบบอนุกรมเวลาดว้ ย ซ่ึงการผนั แปรตามฤดูกาลในแต่ละช่วงของ เศรษฐกิจมกั จะข้ึนอยกู่ บั สภาพอากาศเป็ นสาคญั นอกจากน้นั ยงั มีเหตุผลอื่น ๆ สาหรับความผนั แปรตาม ฤดูกาลของอุตสาหกรรมต่าง ๆ นกั เศรษฐศาสตร์การจดั การจึงไดค้ ิดคน้ วิธีการสาหรับการประมาณ

79 รูปแบบของการ ผนั แปรตามฤดูกาลโดยเฉพาะ กล่าวคือ สามารถจะตดั สินไดว้ า่ ในเดือนใดหรือไตรมาส ใดท่ีจะมีความแตกต่างไปจากสิงทีเราคาดหวงั ท้งั น้ีข้ึนอยูก่ บั แนวโนม้ หรือการผนั แปรตามวฏั จกั รที่อยู่ ในอนุกรมเวลา การคานวณหาค่าการผนั แปรตามฤดูกาล วิธีการหน่ึงในการคานวณหาค่าการผนั แปร ตามฤดูกาลในขอ้ มูลแบบอนุกรมเวลาน้นั คือการใชเ้ ทคนิค เชิงถดถอย 5. การผันแปรตามวฏั จักรธุรกจิ เป็ นการใชข้ อ้ มูลแบบอนุกรมเวลาในเชิงธุรกิจจากการผนั แปร ตามวฏั จกั รธุรกิจ ท่ีเกิดจากวงจรธุรกิจ (Business Cycle) หรือการผนั ผวนของธุรกิจ (Business fluctuations) สามารถดูไดจ้ ากผลิตภณั ฑ์ประชาชาติ ซ่ึง ผลิตภณั ฑป์ ระชาชาติน้ีเราจะเห็นไดว้ า่ บางท่ีก็ จะเพ่มิ ข้ึนหรือลดลงไม่แน่นอน อยา่ งไรกต็ าม วงจรแตล่ ะวงจรสามารถจาแนกออกไดเ้ ป็น 4 ระยะ ดงั น้ี 1. ระยะตกต่า คือ จุดท่ีผลิตภณั ฑใ์ นประเทศมีค่าต่าท่ีสุด เมื่อเทียบกบั ระดบั ท่ีมีการจา้ ง งานเตม็ ท่ี 2. ระยะขยายตวั เป็นระยะท่ีเกิดข้ึนเม่ือผลิตภณั ฑใ์ นประเทศเพ่มิ ข้ึน 3. ระยะจุดสูงสุด เกิดข้ึนเม่ือผลิตภณั ฑ์ภายในประเทศมีปริมาณสูงสุด เม่ือ เทียบกบั ระดบั ที่มีการจา้ งงานเตม็ ที่ 4. ระยะถดถอย อยใู่ นระหวา่ งช่วงที่ผลิตภณั ฑใ์ นประเทศกาลงั จะลดลง ถึงจุดตกต่า เพราะฉะน้นั ขอ้ มูลแบบอนุกรมเวลาท้งั ทางดา้ นเศรษฐกิจและทางดา้ นธุรกิจจึงสามารถเพ่ิม ข้ึน และลดลงไดต้ ามวงจรธุรกิจ ตวั อยา่ งเช่น ผลผลิตของอุตสาหกรรมมีแนวโนม้ ที่จะสูงกวา่ เส้น แนวโนม้ ณ จุดสูงสุดของวงจรธุรกิจและมีแนวโนม้ ที่จะต่ากวา่ เส้นแนวโนม้ ณ จุดตกต่า ในทานองเดียวกนั ความ หลากหลายของปริมาณเงินตามช่วงเวลา การจา้ งงานในอุตสาหกรรม และ ราคาหุน้ สามารถที่จะสะทอ้ น ถึงวงจรธุรกิจไดเ้ ช่นเดียวกนั อย่างไรก็ตาม ไม่ใช่ว่าขอ้ มูลท้งั หมดจะ สามารถเพิ่มข้ึนและลดลงอย่าง แน่นอน ณ เวลาเดียวกนั ได้ แต่บางคร้ังจะมีการเพ่มิ ข้ึนก่อนท่ีจะ ลดลงถึงจุดต่าท่ีสุด หรือบางคร้ังอาจจะ ลดลงก่อนท่ีจะเพ่ิมข้ึนถึงจุดสูงสุดก็ได้ ในความเป็ นจริง ขอ้ มูลอนุกรมบางอย่างจะมีแนวโนม้ มากกวา่ การผนั แปรอ่ืน ๆ ในวงจรธุรกิจ ซ่ึงในบางคร้ังอาจ ตอ้ งใชก้ ารพยากรณ์ควบคู่ไปกบั กิจการทางเศรษฐกิจ ดว้ ย 6. เทคนิคการพยากรณ์อย่างง่าย โดยทว่ั ไป การพยากรณ์ท้งั หมดมกั จะมีโอกาสผิดพลาดได้ ดงั น้นั การพยากรณ์ทุกคร้ังจึงจะตอ้ งให้ความ ระมดั ระวงั เป็ นพิเศษ อยา่ งไรก็ตาม ตวั แทนของภาครัฐ และเอกชนไม่ค่อยมีทางเลือกมากนกั แต่ก็ ยงั จะตอ้ งทาการพยากรณ์ด้วยเช่นกนั เนื่องจากตอ้ งมีการ ตดั สินใจอยา่ งต่อเนื่องน้นั จาเป็ นตอ้ งอาศยั การพยากรณ์เพื่อช่วยในการคาดการณ์วา่ อะไรจะเกิดข้ึนบา้ ง โดยจะตอ้ งทาการพยากรณ์ถึงแมว้ า่ เขาจะไม่มนั่ ใจในเรื่องใดเร่ืองหน่ึง ก็ตาม ดงั น้นั จึงเกิดคาถามที่ว่า จะตอ้ งทาอยา่ งไรจึงจะพยากรณ์ไดด้ ีท่ีสุดโดยไม่คานึงถึงวิธีของ การพยากรณ์ ซ่ึงในบทน้ีจะอธิบายถึง เทคนิคการพยากรณ์ข้นั พ้ืนฐาน ซ่ึงถา้ เป็ นกิจการขนาดเล็ก จะช้ีให้เห็นผลในช่วงประมาณไตรมาสของ กิจการท่ีใชเ้ ทคนิคน้ี อยา่ งไรก็ตาม เทคนิคดงั กล่าว ถือวา่ เป็นเคร่ืองมือการพยากรณ์อยา่ งหยาบท่ีเป็ นการ ประมาณการมากกว่าที่จะใชว้ ิธีการท่ีสลบั ซบั ซ้อน เน่ืองจากเทคนิคที่สลบั ซบั ซ้อนน้นั ค่อนขา้ งจะยาก

80 ในความเป็ นจริงและอาจจะทาให้การ พยากรณ์เกิดความผิดพลาดได้ ซ่ึงวิธีที่ง่ายที่สุดสาหรับการ พยากรณ์ก็คือ การคาดการณ์โดยตรงจากแนวโนม้ 7. การใช้ดัชนีชี้วัด ในกรณีท่ีขอ้ มูลในอดีตมีความผนั ผวนมาก การ ใช้ขอ้ มูลในอดีตในการ พยากรณ์อนาคตอาจจะทาใหก้ ารพยากรณ์มีโอกาสผดิ พลาดสูง ดงั น้นั ผพู้ ยากรณ์จะตอ้ งอาศยั การสังเกต ขอ้ มูลอ่ืน ๆ วา่ มีการเปล่ียนแปลงอยา่ งไร แลว้ นาผลที่ไดม้ า พยากรณ์ทิศทางของขอ้ มูลที่ตอ้ งการ ดงั น้นั ผูพ้ ยากรณ์ จะตอ้ งอาศยั วิธีการอ่ืนในการพยากรณ์โดยอาศยั ดัชนีหรือเครื่องช้ีนา (Indicators) การ พยากรณ์โดยใชด้ ชั นีช้ีวดั ถือวา่ กิจกรรมทางดา้ นเศรษฐกิจมีทิศทางที่จะปรับตวั ให้สอด- คลอ้ งกบั วงจร ธุรกิจ ดชั นีช้ีวดั แบง่ ออกไดเ้ ป็น 3 ประเภท ดงั น้ี 1. ดัชนีช้ีนาภาวะเศรษฐกิจ เป็ นตัวแปรท่ีปรับตวั ล่วงหน้าก่อน การปรับตัวของ เศรษฐกิจโดยรวม ดชั นีช้ีนาภาวะเศรษฐกิจจะทาให้สามารถพยากรณ์ไดว้ ่าเศรษฐกิจ ในอนาคตจะมี ทิศทางเป็นอยา่ งไร 2. ดชั นีช้ีภาวะเศรษฐกิจ เป็ นตวั แปรบางตวั อาจปรับตวั ไป พร้อม ๆ กบั ภาวะเศรษฐกิจ ตวั แปรเหล่าน้ีจะปรับตวั ลดลงในช่วงภาวะเศรษฐกิจหดตวั และจะ ปรับตวั สูงข้ึนในช่วงภาวะเศรษฐกิจ ฟ้ื นตวั 3. ดชั นีช้ีตามภาวะเศรษฐกิจ เป็นตวั แปรท่ีมีการปรับตวั ล่าชา้ กวา่ ภาวะเศรษฐกิจ ถา้ ดชั นีช้ีนาจานวนมากแสดงแนวโนม้ ที่จะลดลงซ่ึงเป็นเครื่องหมายวา่ เรากาลงั มาถึงจุด สูงสุด ทางดา้ นเศรษฐกิจ แตถ่ า้ ดชั นีช้ีนาจานวนมากมีแนวโนม้ ท่ีเพิม่ ข้ึน แสดงวา่ แนวโนม้ เขา้ สู่ภาวะเศรษฐกิจ ตกต่า ประสบการณ์เกี่ยวกบั ดชั นีช้ีนาน้นั ถือวา่ มีส่วนท่ีนาไปสู่ความสาเร็จในการพยากรณ์เศรษฐกิจ ใน บางคร้ังอาจจะไม่มีการเตือนจากตวั แปรหรือตัวช้ีนาเหล่าน้ี แต่บางคร้ัง ดัชนีช้ีนาอาจให้ข้อมูลท่ี ผิดพลาด ตวั อย่างเช่น ในช่วงของการขยายตวั บางคร้ังตวั แปรเหล่าน้ีก็ จะลดลงก่อนที่เศรษฐกิจจะ เพ่ิมข้ึนอยา่ งแทจ้ ริง หรือในช่วงของสภาวะเศรษฐกิจถดถอย บางคร้ังตวั แปรเหล่าน้ีก็จะเพ่ิมข้ึนในช่วง ระยะเวลาลนั ๆ ก่อนที่จะมาถึงจุดต่าที่สุด เพราะฉะน้นั เราจาเป็น จะตอ้ งพจิ ารณาทุกสิ่งทุกอยา่ งอยา่ งให้ รอบคอบ 8. โมเดลทางเศรษฐมิติ เป็ นเครื่องมือของนักวิเคราะห์ใช้ในการพยากรณ์โดยใช้เทคนิคเชิง ถดถอย (Regression) หรือการใชโ้ มเดลท่ีมีสมการหลายสมการ การใช้ วิธีดงั กล่าวจะเนน้ ในลกั ษณะ ของการสร้างและกาหนดชุดของสมการหรือระบบสมการ ซ่ึงจะ สะทอ้ นถึงผลลพั ธ์ของตวั แปรอิสระ หรือตวั แปรท่ีเราตอ้ งการจะพยากรณ์ การพยากรณ์ตวั แปรต่าง ๆ ท่ีกาหนดในโมเดลและความสัมพนั ธ์ ของตวั แปรต่าง ๆ วา่ มีผลต่อตวั แปรตามหรือไม่ โดย กาหนดตวั แปรอิสระและนาไปใส่ในสมการ ประโยชน์ของการพยากรณ์ ประโยชน์ของการพยากรณ์สามารถที่จะแยกพิจารณาไตเ้ ป็ น 2 ระดบั คือ ระดบั ส่วนรวมของ ระบบเศรษฐกิจหรือระดบั มหภาคและระดบั ส่วนย่อยหรือระดบั จุลภาค ในระดบั ส่วนรวมของระบบ

81 เศรษฐกิจ จะเป็ นการพยากรณ์ถึงสถานการณ์ทางเศรษฐกิจโดยทว่ั ไปซ่ึงหน่วยงานของรัฐบาล องคก์ าร สาธารณะหรือสมาคมมกั จะเป็ นผดู้ าเนินการ ผลของการพยากรณ์ท่ีไดจ้ ะเป็ นประโยชน์ต่อการวางแผน นโยบายทางเศรษฐกิจของประเทศ ในระดบั ส่วนย่อย การพยากรณ์จะมีประโยชน์โดยตรงต่อหน่วย ธุรกิจ ดงั พิจารณาไตจ้ ากประโยชน์ ท่ีจะมีต่อฝ่ ายต่าง ๆ ดงั ตอ่ ไปน้ี 1. ฝ่ ายการผลิต เป็ นการพยากรณ์เกี่ยวกบั จานวนสินคา้ ท่ีจะขายได้ จะเป็ นประโยชน์ต่อการ วางแผน การผลิตและปริมาณสินคา้ คงคลงั จะช่วยทาให้ฝ่ ายการผลิตผลิตสินคา้ ออกมาไตเ้ พียงพอกบั ความตอ้ งการ ของตลาดและผลิตไตใ้ นอตั ราตน้ ทุนที่ต่า นอกจากน้ีการพยากรณ์เกี่ยวกบั ความตอ้ งการ ตา้ นวตั ถุดิบ แนวโนม้ ราคาวตั ถุดิบและค่าแรงยงั จะช่วยให้ฝ่ ายการผลิตสั่งซ้ือวตั ถุดิบไตใ้ นปริมาณและ ราคาที่เหมาะสม อีกดว้ ย 2. ฝ่ ายการตลาด เป็ นการพยากรณ์ท่ีเกี่ยวกบั การตลาดไม่วา่ จะเป็ นการพยากรณ์ยอดขาย ส่วน แบ่ง ของตลาด แนวโนม้ ของราคา การพฒั นาสินคา้ ใหม่ หรือการพยากรณ์อ่ืน ๆ ลว้ นแต่เป็ นประโยชน์ ต่อการ กาหนดนโยบายตา้ นการตลาด อนั จะน่าไปใชใ้ นการวางแผนตา้ นการโฆษณาการขายโดยตรง และการ ส่งเสริมการขายอื่น 3. ฝ่ ายการเงินและบญั ชี เป็ นการพยากรณ์จะเป็ นประโยชน์ต่อการวางแผนเก่ียวกบั กระแสเงิน สด รายไดแ้ ละค่าใชจ้ ่ายของหน่วยธุรกิจใหอ้ ยใู่ นสภาพคล่องและ ดาเนินงานไดอ้ ยา่ งมีประสิทธิภาพใน การวางแผนเก่ียวกบั กระแสเงินสดดงั กล่าว โดยทว่ั ไปแลว้ จะตอ้ ง พยากรณ์ส่วนประกอบแต่ละเร่ืองที่ จาเป็ นตอ้ งใช้ในการคานวณหา กระแสเงินสดสุทธิ (Net Cash Flow) นอกจากน้ีฝ่ ายการเงินจะตอ้ ง สามารถพยากรณ์อัตราดอกเบ้ีย เพื่อช่วยในการวางแผนกาหนดระยะเวลาท่ีจะ จัดหาทุนใหม่ กาหนดเวลาที่ลูกหน้ีตอ้ งชาระคา่ สินคา้ เพ่อื ช่วยในการควบคุมลูกหน้ี เป็นตน้ 4. ฝ่ ายบุคคล เป็นการพยากรณ์เพื่อช่วยในการตดั สินใจดา้ นการวาง แผนเกี่ยวกบั จานวนคนงาน แตล่ ะประเภทท่ีจะตอ้ งจา้ งเขา้ มาทางาน และโครงการฝึกอบรมพนกั งานท่ีจะตอ้ ง เปิ ดเพิ่มข้ึน นอกจากน้ี ยงั อาจตอ้ งทราบเก่ียวกบั การเขา้ ออกของพนกั งานแต่ละประเภท การเปล่ียนแปลง ชวั่ โมงทางาน อายทุ ่ี ครบเกษียณและแนวโนม้ ต่าง ๆ ของการขาดงานและการมาทางานสายดว้ ย 5. ฝ่ ายบริหารงานทว่ั ไป เป็ นการนาการพยากรณ์ไปใชจ้ ะช่วยเป็ นพ้ืนฐานในการตดั สินใจจึงมี ความ สาคญั ย่งิ โดยเฉพาะการพยากรณ์เกี่ยวกบั ปัจจยั ต่าง ๆ ทางเศรษฐกิจจะช่วย'ให้-การตดั สินใจของ ผูบ้ ริหารระดบั สูงดีข้ึน เพราะการพยากรณ์ดงั กล่าวจะเป็ นประโยชน์ต่อ การวางแผนเก่ียวกบั ขนาดและ เวลาของการขยายกิจการตลอดจนกลยุทธ์ตา่ ง ๆ ในการดาเนินงาน นอกจาก น้ีการพยากรณ์เก่ียวกบั การ เปลี่ยนแปลงของราคา รายไดแ้ ละการเจริญเติบโตของยอดขาย จะช่วยทาให้ ผูบ้ ริหารระดบั สูงกาหนด นโยบายเก่ียวกบั ราคาสินคา้ และการขยายตลาดไดถ้ ูกตอ้ งมากยงิ่ ข้ึนดว้ ย

82 สรุป การพยากรณ์ใชใ้ นท้งั ระดบั มหภาคและระดบั จุลภาค ในระดบั ส่วนรวมของระบบเศรษฐกิจ จะ เป็นการพยากรณ์ถึงสถานการณ์ทางเศรษฐกิจโดยทว่ั ไปซ่ึงหน่วยงานของรัฐบาล มกั จะเป็นผดู้ าเนินการ ผลของการพยากรณ์ที่ไดจ้ ะเป็ นประโยชน์ต่อการวางแผนนโยบายทางเศรษฐกิจของประเทศ ในระดบั ส่วนย่อย การพยากรณ์จะมีประโยชน์โดยตรงต่อหน่วยธุรกิจ เครื่องมือที่สาคัญคือ ความยืดหยุ่น หมายถึง อตั ราการเปลี่ยนแปลงการตอบสนองของจานวนสินคา้ หน่ึงท่ีมีต่อการเปล่ียนแปลงของ ตวั กาหนดปริมาณสินคา้ น้ัน โดยความยืดหยุ่นของอุปสงคแ์ ละความยืดหยุน่ ของอุปทาน คือ การวดั เปอร์เซ็นตก์ ารเปล่ียนแปลงของปริมาณเสนอซ้ือหรือปริมาณเสนอขายต่อเปอร์เซ็นตก์ ารเปล่ียนแปลง ของตวั แปรอิสระท่ีมีอิทธิพลในการกาหนดปริมาณเสนอซ้ือหรือปริมาณเสนอขาย จากการศึกษาเน้ือหาความยืดหยุ่นและโมเดลทางคณิตศาสตร์ที่ใช้ในการพยากรณ์สามารถ นาไปประยกุ ตใ์ ชใ้ นทางเศรษฐศาสตร์เพื่อนาไปใชก้ าหนดนโยบายดา้ นเศรษฐกิจช่วยในการบริหารและ ประเมินผลนโยบายเศรษฐกิจท้งั ในส่วนของรัฐและเอกชน และในดา้ นการดาเนินธุรกิจจะช่วยกิจการ เกี่ยวกบั การต้งั ราคาสินคา้ การบริการ หรือการเปล่ียนแปลงราคาสินคา้ หรือบริการ จากการประยกุ ตใ์ ช้ ค่าความยืดหยนุ่ ในทางปฏิบตั ิถือไดค้ วามรู้เก่ียวกบั ความยดื หยุน่ นบั เป็ นหวั ใจสาคญั ในการศึกษาหลกั เศรษฐศาสตร์อยา่ งยงิ่ คาถามทบทวน 1) จงอธิบายความหมายของ ความยดื หยนุ่ 2) ความยดื หยนุ่ ของอุปสงคม์ ีก่ีประเภท อะไรบา้ ง 3) ความยดื หยนุ่ มากและความยดื หยนุ่ นอ้ ยตา่ งกนั อยา่ งไร จงยกตวั อยา่ ง 4) ความยดื หยนุ่ นาไปใชก้ าหนดนโยบายรัฐไดอ้ ยา่ งไร ยกตวั อยา่ งกรณีศึกษา 5) จงประยกุ ตใ์ ชป้ ระโยชนจ์ ากพยากรณ์ อ้างองิ ความยืดหยุ่นของอุปสงค์และอุปทาน. สืบคน้ เมื่อ 5 กรกฎาคม 2555, จาก http://www.econ.cmu.ac.th/teacher/751101/pptl-6/micro.5.pdf ความยืดหยุ่นของอปุ สงค์และอุปทาน. สืบคน้ เม่ือ วนั ที่ 5 กรกฎาคม 2555, จาก www.http://www.e- book.ram.edu/e-book/e/EC103/chapter3.pdf ความยืดหยุ่นอปุ สงค์ต่อราคา. สืบคน้ เมื่อวนั ท่ี 24 มิถุนายน 2555, จาก http://coursewares.mju.ac.th:81/e-learning49/EC373/content3_3.htm#3 ค่าความยืดหยุ่น. สืบคน้ เมื่อ 3 กรกฎาคม 2555, จาก http://school.obec.go.th/bankokwit/d5.htm

83 นราทิพย์ ชุติวงศ.์ (2550) . ทฤษฎเี ศรษฐศาสตร์จุลภาค. พมิ พค์ ร้ังท่ี 9. กรุงเทพฯ : คณะเศรษฐศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวทิ ยาลยั . ภราดร ปรีดาศกั ด์ิ. (2550) . หลกั เศรษฐศาสตร์จุลภาค. กรุงเทพฯ : มหาวทิ ยาลยั ธรรมศาสตร์. ภารดี ประเสริฐลาภ. (2542) . เศรษฐศาสตร์จุลภาค. พิมพค์ ร้ังท่ี 2. กรุงเทพฯ: มหาวทิ ยาลยั รังสิต. วนั รักษ์ มิ่งมณีนาคิน. (2552) . หลกั เศรษฐศาสตร์จุลภาค. พิมพค์ ร้ังที่ 19. กรุงเทพฯ: มหาวทิ ยาลยั ธรรมศาสตร์. วริ ุณสิริ ใจมา. (2553) . เศรษฐศาสตร์จุลภาค 1. พมิ พค์ ร้ังท่ี 3. กรุงเทพฯ: จุฬาลงกรณ์มหาวทิ ยาลยั . ศิริรักษ์ จวงทอง. (2550) . เศรษฐศาสตร์จุลภาค. กรุงเทพฯ: ภาพพมิ พ.์ สุจิตรา กุลประสิทธ์ิ. (2550) . เศรษฐศาสตร์จุลภาค. กรุงเทพฯ: ออฟเซ็ท. สุทิมา นุลกั ษณ์. (2554) . สังคมศาสตร์. พมิ พค์ ร้ังที่ 2. กรุงเทพฯ: จรัญสนิทวงศก์ ารพิมพ์ อญั ชลี อุทยั ไขฟ้า. (2542) . เศรษฐศาสตร์จุลภาค 2. จนั ทบุรี: มหาวทิ ยาลยั ราชภฏั ราไพพรรณี. อุไรวรรณ เทพเทศ. (2537) . สถติ พิ ืน้ ฐานเศรษฐศาสตร์และธุรกจิ . พมิ พค์ ร้ังท่ี 4. กรุงเทพฯ : โรงพมิ พ์ มหาวทิ ยาลยั หอการคา้ ไทย. Blank,L,P,E and Tarquin,A,P.E. (2008) . Engineering Economy. Boston: McGraw Hill Higher Education. Jeffrey M. (2010) . Microeconomics: Theory and Applications with Calculus. USA: Addison- Wesley. Pub Pindyck and Rubidfeld. (2008) . Microeconomics. USA: Prentice Hall.

แผนการสอนประจาบทท่ี 3 เร่ือง อุปสงค์และอุปทานสาหรับตลาด หัวข้อเนื้อหาประจาบท แนวคิดพ้ืนฐานและประเภทอุปสงคต์ ลาด กฎและปัจจยั กาหนดอุปสงค์ ตารางและสมการอุปสงค์ การคาดการณ์อุปสงค์ แนวคิดพ้ืนฐานและประเภทอุปทานตลาด กฎและปัจจยั กาหนดอุปทาน ตารางและสมการอุปทาน การคาดการณ์อุปทาน การเปล่ียนแปลงปริมาณและระดบั อุปสงคแ์ ละอุปทาน ดุลยภาพและการเปล่ียนแปลงดุลยภาพของตลาด เคร่ืองมือการจดั การราคาของรัฐ วตั ถุประสงค์เชิงพฤติกรรม เม่ือศึกษาบทน้ีแลว้ ผศู้ ึกษาสามารถ 1. เขา้ ใจความหมายของอุปสงคแ์ ละอุปทาน 2. สามารถจาแนกประเภทของอุปสงคแ์ ละประเภทของอุปทาน 3. เขา้ ใจกฎของอุปสงค์ กฎของอุปทาน ตวั กาหนดอุปสงคแ์ ละตวั กาหนดอุปทาน 4. สร้างและวเิ คราะห์ตารางอุปสงค์ ตารางอุปทาน ตวั กาหนดอุปสงคแ์ ละตวั กาหนดอุปทาน 5. สามารถวเิ คราะห์การเปลี่ยนของอุปสงค์ และการเปลี่ยนของอุปทาน 6. สามารถวเิ คราะห์ดุลยภาพของตลาด และการเปล่ียนแปลงภาวะดุลยภาพ 7. อภิปรายและตอบคาถามได้

86 วธิ ีการสอนและกจิ กรรมการเรียนการสอนประจาบท 1. แนะนาเน้ือหารายวชิ าในบท 2. แนะนาเอกสารและตาราอื่นท่ีเก่ียวขอ้ ง สาหรับอา่ นเพม่ิ เติม 3. แนะนากิจกรรมการเรียนการสอน การวดั ผลและการประเมินผล 4. บรรยายโดยใชเ้ อกสารและยกตวั อยา่ งอุปสงคแ์ ละอุปทาน 5. สร้างตารางอุปสงคแ์ ละอุปทาน และวเิ คราะห์จุดดุลยภาพโดยใชโ้ ปรแกรมคานวณสาเร็จรูป 6. ยกตวั อยา่ งสถานการณ์ในปัจจุบนั และร่วมกนั อภิปรายการเปล่ียนแปลงภาวะดุลยภาพ 7. ตอบคาถามและส่งงานคาถามทา้ ยบท 8. จดั ทารายงานคน้ ควา้ นอกช้นั เรียน พร้อมนาเสนอหนา้ ช้นั เรียน สื่อการเรียนการสอน 1. เอกสารประกอบการสอน 2. เอกสาร ตารา และบทความที่เก่ียวขอ้ ง 3. เอกสารตวั อยา่ งสถานการณ์ในปัจจุบนั 4. ชุดขอ้ มูลตวั เลข อุปสงคแ์ ละอุปทานในตลาด 5. แผน่ ใสสรุปคาบรรยาย การวดั และประเมินผล 1. สงั เกตจากเขา้ ช้นั เรียน ความสนใจในการเรียน 2. การมีส่วนร่วมในกิจกรรมในช้นั เรียน 3. การตอบคาถาม การวเิ คราะห์กรณีศึกษาในช้นั เรียน 4. การตอบคาถามทา้ ยบท 5. รายงานการคน้ ควา้ นอกช้นั เรียนและการนาเสนอ

บทท่ี 3 การวเิ คราะห์อปุ สงค์และอุปทานสาหรับตลาด แนวคิดพืน้ ฐานและประเภทอุปสงค์ตลาด แนวคิดพืน้ ฐานของอปุ สงค์ (Demand) อุปสงค์ หมายถึง ความต้องซ้ือสินค้าและบริการชนิดใดชนิดหน่ึงของผูบ้ ริโภค ร่วมกับ ความสามารถในการสนองความตอ้ งการดงั กล่าว อุปสงคจ์ ึงหมายถึง ความตอ้ งการ บวกดว้ ยอานาจซ้ือ ถา้ เป็นความตอ้ งการที่เกินกวา่ อานาจซ้ือจะไมเ่ รียกวา่ อุปสงค์ (นราทิพย์ ชุติวงศ,์ 2550) อุปสงค์ (Demand) หมายถึง ความตอ้ งการของประชาชนที่จะซ้ือสินคา้ และบริการในราคาท่ี กาหนดและสามารถซ้ือสินคา้ และบริการน้นั ๆ ได้ ท้งั น้ีข้ึนอยูก่ บั ความสามารถและกาลงั ซ้ือของแต่ละ บุคคล เช่น นายสมชายตอ้ งการจะซ้ือรถยนต์ แต่ไม่มีเงินซ้ือก็จะเป็ นเพียงความตอ้ งการท่ีไม่สามารถ เกิดข้ึนได้ แต่ถา้ นายสมชายมีเงินซ้ือรถได้ จึงจะนบั วา่ เป็ นความตอ้ งการที่แทจ้ ริงในทางเศรษฐศาสตร์ และเรียกอุปสงคท์ ี่มีประสิทธิผลวา่ อุปสงค์ (ไพรินทร์และวรรณา, 2547) อุปสงค์ หมายถึง จานวนของสินคา้ หรือบริการท่ีผูบ้ ริโภคตอ้ งการซ้ือในระยะเวลาหน่ึง ณ ระดบั ราคาตา่ ง ๆ ของสินคา้ ในระยะเวลาท่ีกาหนด (วนั รักษ์ มิ่งมณีนาคิน, 2551) จากความหมายดงั กล่าวจึงสรุปไดว้ ่า อุปสงค์ หมายถึง ความตอ้ งการซ้ือสินคา้ หรือบริการท่ี ผูบ้ ริโภคมีความเต็มใจท่ีจะซ้ือและผซู้ ้ือมีความสามารถซ้ือได้ ณ ระดบั ราคาต่าง ๆ โดยสมมติให้ปัจจยั อ่ืนคงที่ ดังน้ันจึงเรียกความต้องการของผูบ้ ริโภคว่า “อุปสงค์ (Effective Demand) ” และการท่ีจะ เรียกวา่ เป็นอุปสงคไ์ ดน้ ้นั ตอ้ งประกอบไปดว้ ย 3 องคป์ ระกอบ คือ 1. ความตอ้ งการที่จะซ้ือ (Wants) คือ ความอยากไดข้ องผบู้ ริโภคในสินคา้ หรือบริการ แต่ถา้ หากมีความตอ้ งการเพียงอยา่ งเดียวน้นั ไม่ถือวา่ เป็นอุปสงค์ 2. ความเตม็ ใจท่ีจะจา่ ย (Willingness to Pay) คือ การที่ผบู้ ริโภคมีความยนิ ดีที่จะจ่ายเงิน หรือทรัพยส์ ินที่มีอยู่ เพือ่ แลกเปลี่ยนกบั สินคา้ หรือบริการท่ีตอ้ งการเหล่าน้นั 3. ความสามารถท่ีจะซ้ือ (Purchasing Power or Ability to Pay) คือ ความเป็นไปไดข้ อง ผบู้ ริโภคในการที่จะซ้ือสินคา้ หรือบริการที่ตอ้ งการ แตถ่ า้ ปราศจากความสามารถท่ีจะซ้ือได้ จะไม่ถือวา่ เป็นอุปสงคเ์ พราะจะเป็นเพียงความตอ้ งการในการซ้ือ (Potential Demand) เทา่ น้นั ประเภทของอุปสงค์ อุปสงคส์ ามารถแบ่งไดเ้ ป็น 3 ประเภท ดงั ตอ่ ไปน้ี 1. อุปสงค์ต่อราคา (Price demand) หมายถึง ความตอ้ งการซ้ือของผูบ้ ริโภคท่ีสามารถซ้ือได้ ณ ระดบั ราคาหน่ึงในตลาดและในระยะเวลาที่กาหนด โดยกาหนดให้ปัจจยั อ่ืนคงที่ และถา้ หากวา่ ราคา

88 สินคา้ เพิ่มข้ึนจะมีผลทาใหอ้ ุปสงคต์ ่อสินคา้ น้นั ลดลง แต่ในทางตรงขา้ มกนั ถา้ ราคาสินคา้ ลดลงจะมีผล ทาใหอ้ ุปสงคต์ ่อสินคา้ น้นั เพม่ิ ข้ึน โดยอุปสงคต์ อ่ ราคาสามารถแบง่ ออกไดด้ งั น้ี (วนั รักษ์ ,2540) - อุปสงคร์ ายบุคคล (Individual Demand) คือ อุปสงคข์ องผบู้ ริโภคคนหน่ึงคนใด - อุปสงค์ของหน่วยผลิต (Firm Demand) คือ อุปสงคท์ ่ีมีต่อสินคา้ ชนิดใดชนิดหน่ึงของผูผ้ ลิต รายหน่ึง - อุปสงค์ของอุตสาหกรรมหรือตลาด (Industry or Market Demand) คืออุปสงคส์ าหรับสินคา้ ชนิดใดชนิดหน่ึงของทุกหน่วยผลิตรวมกนั - อุปสงคม์ วลรวม (Aggregate Demand) คือ อุปสงคข์ องสินคา้ รวมกนั ท้งั ระบบเศรษฐกิจ - อุปสงคจ์ ากภายนอกประเทศ (External or Foreign Demand) คือ อุปสงคข์ องประเทศอ่ืน ๆ ที่ มีตอ่ สินคา้ หรือบริการที่ผลิตข้ึนภายในประเทศ 2. อุปสงค์ต่อรายได้ (Income Demand) หมายถึง ความตอ้ งการซ้ือท่ีผบู้ ริโภคสามารถซ้ือได้ ณ ระดบั รายไดห้ น่ึง ๆ โดยกาหนดใหป้ ัจจยั อ่ืนคงท่ี ท้งั น้ีอุปสงคต์ ่อรายไดข้ องบุคคลหน่ึงที่มีต่อสินคา้ ชนิด ใดชนิดหน่ึงจะเปลี่ยนแปลงไปตามรายไดข้ องบุคคลน้นั เพียงอยา่ งเดียว 3. อุปสงค์ต่อราคาสินค้าอื่น ๆ (Cross Demand) หมายถึง ความตอ้ งการซ้ือท่ีผูบ้ ริโภคสามารถ ซ้ือสินคา้ ชนิดหน่ึงต่อราคาสินคา้ อีกชนิดหน่ึงกาหนดให้ปัจจยั อื่นคงที่ อุปสงค์ต่อราคาชนิดอื่นท่ีเป็ น สินคา้ ที่ใช้ประกอบกนั เช่น กาแฟกบั น้าตาล ปริมาณความตอ้ งการน้าตาลจะข้ึนอยูก่ บั ปริมาณการดื่ม กาแฟ ถา้ ราคากาแฟลดลง ปริมาณซ้ือกาแฟจะเพิ่มข้ึน จะส่งผลให้ซ้ือน้าตาลเพ่ิมข้ึนดว้ ย แต่ถา้ เป็ นอุป สงคต์ ่อราคาสินคา้ ชนิดอื่นท่ีเป็นสินคา้ ที่ใชท้ ดแทนกนั (Substitution goods) เช่น รถยนตอ์ ิซูซุกบั รถยนต์ โตโยต้า ถ้าราคารถยนต์อิซูซุลดลง ปริมาณความตอ้ งการรถยนต์อิซูซุเพ่ิมข้ึน ทาให้ปริมาณความ ตอ้ งการรถยนตโ์ ตโยตา้ ลดลง เป็นตน้ กฎและปัจจัยกาหนดอุปสงค์ กฎของอปุ สงค์ (Law Of Demand) กฎของอุปสงค์ คือ ความสมั พนั ธ์ระหวา่ งราคาและปริมาณของสินคา้ และบริการ โดยกฎน้ีกล่าว วา่ ปริมาณสินคา้ และบริการต่าง ๆ ท่ีผบู้ ริโภคตอ้ งการซ้ือ มีความสมั พนั ธ์ในทิทางตรงขา้ มกบั ราคาสินคา้ และบริการชนิดน้ัน (ปิ ยะพร, 2542) และ (วิรุณสิริ, 2553) ได้กล่าวว่า กฎของอุปสงค์ คือ ถ้าหาก กาหนดใหส้ ิ่งอ่ืนคงที่ โดยใหร้ าคาของสินคา้ ชนิดหน่ึงถูกลง ปริมาณซ้ือสินคา้ ก็จะมากข้ึน และในทาง กลบั กนั ถา้ ราคาสินคา้ ชนิดหน่ึงแพงข้ึนปริมาณซ้ือสินคา้ ก็จะนอ้ ยลง ซ่ึงปริมาณซ้ือสินคา้ ชนิดหน่ึงจะ แปรผกผนั กบั ราคาของสินคา้ ชนิดน้นั ดงั น้นั จึงสรุปวา่ กฎของอุปสงค์ หมายถึง เม่ือราคาสินคา้ เพิ่มข้ึน ปริมาณความตอ้ งการซ้ือจะ ลดลง แตเ่ ม่ือราคาสินคา้ ลดลง ปริมาณความตอ้ งการซ้ือจะเพิ่มข้ึน และจากกฎของอุปสงคจ์ ะทาใหท้ ราบ

89 วา่ ปริมาณของสินคา้ และบริการชนิดหน่ึงท่ีผบู้ ริโภคตอ้ งการจะแปรผกผนั (Inverse Relation) กบั ระดบั ราคาของสินคา้ และบริการชนิดน้นั ภายใตข้ อ้ สมมติวา่ ปัจจยั ตวั อ่ืนมีค่าคงท่ี จะส่งผลทาใหเ้ ส้นอุปสงค์ เป็ นเส้นที่มีความชันเป็ นลบทอดลดลงจากซ้ายไปขวา แสดงถึงการท่ีราคาลดลงปริมาณอุปสงค์จะ เพ่มิ ข้ึน แตเ่ มื่อราคาสูงข้ึนปริมาณอุปสงคจ์ ะลดลง ท้งั น้ีสาเหตุที่ทาให้กฎของอุปสงคม์ ีลกั ษณะดงั กล่าว เน่ืองจากผลทางรายได้ (Income Effect) เกิดจากการท่ีระดบั ราคาของสินคา้ หรือบริการมีการเปล่ียนแปลง แต่รายไดข้ องแต่ละบุคคลน้นั คงที่ จึง ส่งผลต่อระดบั รายไดท้ ่ีแทจ้ ริง (Real Income) ของบุคคลน้นั กล่าวคือเมื่อราคาขายสินคา้ สูงข้ึนทาให้ บุคคลหน่ึง ๆ มีรายไดแ้ ทจ้ ริงลดลงท้งั ๆ ที่รายไดท้ ่ีเป็ นจานวนเงิน (Money Income) มิไดเ้ ปลี่ยนแปลง แต่เน่ืองจากรายไดท้ ี่เป็ นจานวนเงินเท่าเดิมสามารถซ้ือสินคา้ ไดใ้ นจานวนท่ีน้อยลงในทางกลบั กนั ถา้ ราคาสินคา้ ลดลงรายได้ที่เป็ นจานวนเงินเท่าเดิม บุคคลน้นั จะสามารถซ้ือสินคา้ ไดใ้ นจานวนมากข้ึน เสมือนวา่ มีรายไดท้ ่ีแทจ้ ริงเพ่ิมข้ึน ซ่ึงรายไดท้ ี่แทจ้ ริง หาไดจ้ าก รายไดท้ ่ีเป็ นตวั เงิน (Money Income) หารดว้ ยราคาสินคา้ (Price) ยกตวั อยา่ งเช่น นาย ก. มีรายได้ 5,000 บาท ตอ้ งการซ้ือเส้ือตวั ละ 1,000 บาท จะได้ 5 ตวั แต่ถา้ ราคาเส้ือสูงข้ึนเป็ นตวั ละ 2,500 บาท นาย ก. ก็จะซ้ือไดเ้ พียง 2 ตวั แสดงว่า รายไดท้ ี่ แทจ้ ริงลดลงแต่รายไดท้ ่ีเป็ นตวั เงินคงที่ และผลทางการทดแทน (Substitution Effect) เกิดจากเมื่อราคา ของสินคา้ หรือบริการอยา่ งใดอยา่ งหน่ึงลดลงปริมาณความตอ้ งการซ้ือหรืออุปสงคใ์ นสินคา้ หรือบริการ น้นั จะเพ่ิมข้ึน เกิดการใชส้ ินคา้ ชนิดอื่น ๆ เพ่ือทดแทนสินคา้ ชนิดเดิมที่เคยบริโภคอยู่ การบริโภคสินคา้ ทดแทนอาจเกิดจากการเพิ่มข้ึนของราคาของสินคา้ ชนิดหน่ึง ทาให้ผูบ้ ริโภคตอ้ งหนั ไปบริโภคสินคา้ ชนิดอื่นท่ีสามารถทดแทนไดเ้ ช่น น้าดื่ม สินคา้ เกษตร เป็นตน้ ปัจจัยกาหนดอุปสงค์ (Demand Determinants) จากกฎของอุปสงคด์ งั กล่าว เส้นอุปสงคจ์ ะมีลกั ษณะตามกฎของอุปสงค์ซ่ึงเป็ นความสัมพนั ธ์ ระหวา่ งปริมาณความตอ้ งการซ้ือกบั ราคาของสินคา้ และบริการน้นั โดยมีการกาหนดปัจจยั อ่ืนคงที่ โดย ปกติแลว้ ราคาไม่ใช่เพียงส่ิงเดียวที่กาหนดอุปสงคแ์ ต่ยงั มีปัจจยั ตวั อ่ืนเขา้ มาเก่ียวขอ้ ง เนื่องจากปริมาณ ความตอ้ งการซ้ือสินคา้ หรือปริมาณอุปสงค์มิไดข้ ้ึนอยู่กบั ราคาของสินคา้ และบริการน้นั แต่เพียงอย่าง เดียวแตย่ งั ข้ึนอยกู่ บั ปัจจยั ท่ีเป็นตวั กาหนดอุปสงคด์ ว้ ย ปัจจยั ท่ีเป็นตวั กาหนดอุปสงค์ ไดแ้ ก่ 1. สินค้าทีใ่ ช้ทดแทน (Substitution Goods) ถา้ หากราคาของสินคา้ ท่ีใชท้ ดแทนกนั มี ราคาเพ่มิ ข้ึน จะทาใหอ้ ุปสงคใ์ นสินคา้ อา้ งอิงเพิ่มข้ึน แตถ่ า้ สินคา้ ที่ใชท้ ดแทนกนั ราคาลดลง จะทาใหอ้ ุป สงคใ์ นสินคา้ อา้ งอิงน้นั ลดลงเช่นกนั ตวั อย่างเช่น ถา้ ราคาของเน้ือไก่สูงข้ึนผูบ้ ริโภคจะหันไปบริโภค เน้ือหมูแทนเน่ืองจากราคาเน้ือหมูถูกกวา่ เน้ือไก่โดยเปรียบเทียบ ซ่ึงจะส่งผลใหอ้ ุปสงคข์ องเน้ือไก่ลดลง และอุปสงคข์ องเน้ือหมูก็จะเพ่ิมข้ึน และในตรงกนั ขา้ มถา้ ราคาเน้ือไก่ลดลงจะทาให้อุปสงคใ์ นเน้ือไก่ เพม่ิ ข้ึนและอุปสงคเ์ น้ือหมูลดลงเช่นกนั

90 2. สินค้าทใี่ ช้ประกอบกนั (Complementary Goods) ถา้ หากราคาของที่ใชป้ ระกอบกนั เพ่มิ ข้ึน จะทาใหอ้ ุปสงคใ์ นสินคา้ อีกชนิดหน่ึงลดลง และในทางตรงกนั ขา้ ม ถา้ ราคาสินคา้ ที่ใชป้ ระกอบ กนั ลดลง จะทาใหอ้ ุปสงคใ์ นสินคา้ อีกชนิดหน่ึงเพิ่มข้ึน เช่น ถา้ ราคาของกาแฟสูงข้ึน อุปสงคใ์ นกาแฟจะ ลดลงทาให้อุปสงคข์ องน้าตาลลดลง ในทางกลบั กนั ถา้ ราคาของกาแฟลดลง อุปสงคใ์ นกาแฟจะเพม่ิ ข้ึน ส่งผลใหอ้ ุปสงคข์ องน้าตาลเพิ่มข้ึนเช่นกนั ตวั อยา่ ง สินคา้ ที่ใชป้ ระกอบกนั เช่น สมุดกบั ดินสอ รถยนต์ กบั น้ามนั เป็นตน้ 3. ระดับรายได้ (Income) ระดบั รายไดเ้ ป็ นตวั กาหนดศกั ยภาพในการซ้ือ ผบู้ ริโภคท่ีมี รายได้มากจะมีแนวโน้มในการบริโภคเพ่ิมข้ึน ในทางตรงกนั ขา้ มถา้ มีรายได้ต่าก็จะมีแนวโน้มการ บริโภคลดลง ระดบั ของรายไดจ้ ึงมีความสัมพนั ธ์ในทิศทางเดียวกนั กบั อุปสงคข์ องสินคา้ ปกติ 4. รสนิยม (Taste) รสนิยมของผูบ้ ริโภคมีความสัมพนั ธ์กบั อุปสงค์ของสินคา้ โดย ข้ึนอยกู่ บั ความสะดวกสบาย ยคุ สมยั แฟชน่ั วยั เพศ ระดบั การศึกษา ความชอบ ฯลฯ ซ่ึงจะเป็นลกั ษณะ ของแต่ละบุคคล ตวั อยา่ งเช่นอุปสงคข์ องเส้ือผา้ แฟชนั่ ในกลุ่มวยั รุ่นจะมีมากกวา่ ในกลุ่มของผูใ้ หญ่อุป สงคข์ องเครื่องสาอางของกลุ่มผูช้ ายจะนอ้ ยกวา่ ของกลุ่มผูห้ ญิง อุปสงคค์ อมพวิ เตอร์รุ่นใหม่จะมีมากใน กลุ่มผทู้ ่ีตอ้ งการความทนั สมยั เป็นตน้ 5. การกระจายรายได้ (Income Distribution) ประเทศท่ีมีการกระจายรายไดเ้ หล่ือมล้า กนั มาก โดยมีประชากรกลุ่มท่ีมีรายไดส้ ูงมาก และรายไดต้ ่ามาก รายไดส้ ่วนใหญ่จะอยูใ่ นมือของคน กลุ่มหน่ึงทาใหพ้ ฤติกรรมในการบริโภคสินคา้ และบริการของคนท้งั สองกลุ่มแตกต่างกนั เช่น ประเทศที่ มีบ่อน้ามนั นอกจากปัจจยั ท่ีกล่าวมาแลว้ ยงั มีปัจจยั อื่นที่เป็ นตวั กาหนดอุปสงค์อีกมาก จึงกล่าวได้ว่า ปัจจยั ที่มีอิทธิพลต่ออุปสงค์ เรียกไดว้ า่ เป็นตวั กาหนดอุปสงค์ 6. จานวนประชากร (Population) หมายถึง จานวนคนที่อาศยั อยู่ในพ้ืนท่ีที่มีความ ตอ้ งการบริโภคสินค้า จานวนประชากรจะเปลี่ยนแปลงไปในทิศทางเดียวกนั กบั อุปสงค์สินคา้ ถ้า ประชากรเพ่ิมข้ึน ความตอ้ งการสินคา้ และบริการก็จะเพิ่มข้ึน แต่ในทางตรงกนั ขา้ มถา้ ประชากรลดลง ความตอ้ งการในสินคา้ และบริการก็จะลดลง เช่น หากประชากรเพิม่ ข้ึน ความตอ้ งการอาหารยอ่ มเพ่ิมข้ึน 7. สภาพเศรษฐกิจ ภาวะเศรษฐกิจมีผลต่อกาลงั ซ้ือของผูใ้ ช้หรือผูบ้ ริโภคโดยตรง มี ความสัมพนั ธ์ในทิศทางเดียวกบั ความตอ้ งการซ้ือสินคา้ โดยเฉพาะสินคา้ เกษตร ถ้าภาวะเศรษฐกิจ ขยายตวั ความตอ้ งการสินคา้ เกษตรจะมีเพิม่ มากข้ึน เช่น นม เน้ือสตั ว์ และผลไม้ เป็นตน้ 8. ฤดูกาล (Season) ฤดูกาลเป็ นอิทธิพลท่ีเกิดจาก ลม ฟ้า อากาศ ท่ีไม่สามารถกาหนด ได้ มีผลต่ออุปสงค์และระดบั ราคาของสินคา้ หน่ึง ๆ เช่น ถา้ ผลไมไ้ ม่อยู่ในฤดูกาลจะมีราคาสูง แต่ถา้ ผลไมช้ นิดน้นั เขา้ สู่ฤดูกาลปกติจะมีราคาลดลดลงไดอ้ ุปสงคข์ องเคร่ืองทาน้าอุน่ จะมีนอ้ ยลงส่วนอุปสงค์ ของเคร่ืองปรับอากาศจะมีเพิ่มข้ึนในฤดูร้อน อุปสงคใ์ นครีมกนั แดดจะมีมากในฤดูร้อน และอุปสงคข์ อง ร่มจะเพิม่ ข้ึนในฤดูฝน เป็นตน้

91 9. วัฒนธรรมและประเพณคี วามเชื่อ แต่ละทอ้ งถิ่นไม่เหมือนกนั ยอ่ มมีผลกบั อุปสงค์ ของคนในพ้ืนที่ เช่น ผบู้ ริโภคที่นบั ถือศาสนาอิสลามจะไม่มีความตอ้ งการบริโภคเน้ือหมูหรือผูบ้ ริโภค ชาวจีนมกั จะนิยมการบริโภคส่ิงของท่ีเป็นสีแดง เป็นตน้ ตารางและสมการอุปสงค์ ตารางอปุ สงค์ (Demand Schedule) ตารางอุปสงค์เป็ นการอธิบายกฎของอุปสงค์ ซ่ึงตารางอุปสงค์น้ันจะแสดงถึงความสัมพนั ธ์ ระหว่างปริมาณอุปสงคข์ องสินคา้ ณ ระดบั ราคาสินคา้ ต่าง ๆ โดยกาหนดให้ราคาสินคา้ เปลี่ยนแปลง อยา่ งเดียวและกาหนดให้ปัจจยั อ่ืนคงที่ เช่น รายได้ รสนิยม ราคาสินคา้ อื่นที่เก่ียวขอ้ ง ตารางอุปสงค์ สามารถแบ่งออกไดเ้ ป็น 2 ประเภท ดงั ต่อไปน้ี 1. ตารางอุปสงค์ส่ วนบุคคล (Individual Demand Schedule) คือ ตารางท่ีแสดงถึง ปริมาณอุปสงคส์ ินคา้ ของบุคคลใดบุคคลหน่ึง ณ ระดบั ราคาต่าง ๆ โดยกาหนดใหป้ ัจจยั อ่ืนคงที่ และเม่ือ นาคู่อนั ดบั อุปสงคส์ ินคา้ และราคาสินคา้ มาวาดกราฟ จะไดเ้ ส้นอุปสงคใ์ นลกั ษณะเส้นทอดลงจากซ้าย ไปขวา โดยจะทาใหอ้ ุปสงคส์ ่วนบุคคล (Individual Demand Curve) มีความชนั เป็นลบ ยกตวั อยา่ ง อุปสงคก์ ารซ้ือเน้ือไก่ของนาย ก. ตารางท่ี 3.1 ตารางอุปสงคก์ ารซ้ือเน้ือไก่ของนาย ก. ราคา (บาท) ปริมาณอุปสงค์ (กิโลกรัม) 70 1 60 2 50 3 40 4 จากขอ้ มูลในตารางนามาวาดกราฟไดด้ งั น้ี

92 ราคา 70 60 50 40 0 ปริมาณ 12 34 ภาพแสดงที่ 3.1 เส้นอุปสงคใ์ นการซ้ือเน้ือไก่ของนาย ก. 2. ตารางอุปสงค์รวม (Total Demand Schedule) คือ ตารางท่ีแสดงปริมาณอุปสงค์ สินคา้ ของตลาด เน่ืองจากการรวมอุปสงค์ของแต่ละบุคคลท้งั หมดเขา้ ดว้ ยกนั ในระดบั ราคาต่าง ๆ ซ่ึง เป็ นการพิจารณาความสัมพนั ธ์ระหวา่ งราคาสินคา้ กบั ปริมาณสินคา้ ที่ผบู้ ริโภคตอ้ งการท้งั หมดในตลาด หน่ึง ๆ และเมื่อนาคู่อนั ดบั ของราคาสินคา้ และอุปสงคส์ ินคา้ มาวาดกราฟ จะไดเ้ ส้นอุปสงคใ์ นลกั ษณะ เส้นทอดลงจากซา้ ยไปขวา และทาใหอ้ ุปสงคร์ วมของตลาด (Total Demand Curve) หรืออุปสงคต์ ลาดมี ความชนั เป็นลบ ตวั อยา่ งเช่น ตารางท่ี 3.2 ตารางอุปสงคร์ วม ราคาเน้ือไก่ ปริมาณการซ้ือ ปริมาณอุปสงคร์ วม (บาท) นาย ก. นาย ข. 70 1+2 = 3 60 12 2+4 = 6 50 24 3+6 = 9 40 36 4+8 = 12 48 จากตารางที่ 3.2 ความตอ้ งการซ้ือของนาย ก. และนาย ข. ณ ระดบั ราคา 70 บาท นาย ก. ซ้ือ 1 กิโลกรัม ส่วนนาย ข. ซ้ือ 2 กิโลกรัม ดงั น้นั อุปสงคส์ ่วนบุคคลของนาย ก. คือ 1 กิโลกรัม และอุปสงค์ ส่วนบุคคลของนาย ข. คือ 2 กิโลกรัมส่วนอุปสงคข์ องตลาด คือ 1 + 2 = 3 กิโลกรัม ดงั ภาพแสดงที่ 3.2

93 ราคา ราคา ราคา 70 นาย ก. 70 นาย ข. 70 ตลาด 60 60 60 50 50 50 40 40 40 0 1 2 3 4 0 2 4 6 8 0 3 6 9 12 ภาพแสดงท่ี 3.2 อุปสงคข์ องนายก. นาย ข. และอุปสงคต์ ลาด สมการอปุ สงค์ (Function of Demand) สมการอุปสงค์ หมายถึง รูปแบบของสมการท่ีแสดงความสัมพนั ธ์ระหวา่ งปริมาณของสินคา้ ท่ี ผูบ้ ริโภคตอ้ งการ โดยปริมาณของสินคา้ ที่ผูบ้ ริโภคตอ้ งการน้นั เป็ นตวั แปรตามและระดบั ราคาต่าง ๆ ของสินคา้ น้นั เป็ นตวั แปรอิสระ และกาหนดให้ปัจจยั อ่ืนท่ีมีผลต่ออุปสงคค์ งท่ี ซ่ึงจะไดส้ มการอุปสงค์ คือ สมการอุปสงค์ Qx = f (Px , Y , Py , T , PoP , Sea) โดยท่ี Qx = ปริมาณเสนอซ้ือสินคา้ X Px = ราคาสินคา้ x Py = ราคาสินคา้ Y ท่ีเกี่ยวขอ้ งกบั สินคา้ X Y = รายไดข้ องผบู้ ริโภค T = รสนิยมของผบู้ ริโภค Pop = จานวนประชากร Sea = ฤดูกาล 1. สมการอุปสงค์ต่อราคา (Price Demand) สมการอุปสงคต์ ่อราคามีรูปแบบสมการ คือ Qdx = f (Px) และมีความสมั พนั ธ์แบบแปรผกผนั กนั ถา้ หาก Px เพ่ิมจะทาให้ Qx ลดลง และถา้ หาก Px ลดลงจะทาให้ Qx เพิ่มข้ึน ซ่ึงสามารถเขียนเป็นสมการเชิงเส้นไดด้ งั น้ี Qx = a-bPx

94 จากสมการดงั กล่าวทาให้เส้นอุปสงคน์ ้นั มีลกั ษณะเส้นลาดลงจากซา้ ยไปขวา และจะเห็นไดว้ า่ ราคากบั ปริมาณการซ้ือมีความสัมพนั ธ์แบบผกผนั (Inverse) จึงทาใหก้ ราฟมีความชนั เป็ นลบ แสดงดงั ภาพแสดงท่ี 3.3 ราคา P1 P0 D Q1 Q0 ปริมาณ ภาพแสดงท่ี 3.3 ลกั ษณะทวั่ ไปเส้นอุปสงค์ ดงั น้นั จึงสรุปไดว้ า่ สมการอุปสงคต์ ่อราคาน้นั มีความสัมพนั ธ์กนั ระหวา่ งราคาและปริมาณการ ซ้ือ โดยในมุมมองของผูซ้ ้ือเม่ือราคาสูงข้ึนความตอ้ งการซ้ือจะมีในปริมาณท่ีนอ้ ยลง แต่ในทางตรงกนั ขา้ มเม่ือราคาลดลงความตอ้ งการซ้ือกจ็ ะมีมากข้ึนนนั่ เอง 2. สมการอุปสงค์ต่อรายได้ (Income Demand) สมการอุปสงค์ต่อรายได้มีรูปแบบ สมการ คือ Qa = f (I) ซ่ึงเป็นสมการท่ีอธิบายถึงความสัมพนั ธ์ระหวา่ งรายไดก้ บั ปริมาณการซ้ือสินคา้ น้นั จะข้ึนอยกู่ บั ลกั ษณะของสินคา้ 3. สมการอุปสงค์ต่อราคาสินค้าชนิดอื่น รูปแบบสมการ คือ Qdy = f (Py) ซ่ึงเป็นสมการ ท่ีอธิบายถึงความสัมพนั ธ์เก่ียวกบั ลกั ษณะสินคา้ วา่ เก่ียวขอ้ งกนั อยา่ งไร เมื่อเทียบอุปสงคข์ องสินคา้ ชนิด หน่ึงกบั ราคาสินคา้ อีกชนิดหน่ึง การคาดการณ์อปุ สงค์ เม่ือตวั กาหนดอุปสงคเ์ ปล่ียนหรือปัจจยั ท่ีส่งอิทธิพลต่อปริมาณอุปสงคเ์ ปลี่ยน จะทาใหเ้ กิดการ เปลี่ยนแปลงของอุปสงค์ ซ่ึงการเปล่ียนแปลงของอุปสงคม์ ี 2 ประเภท ดงั น้ี 1. การเปลย่ี นแปลงตามปริมาณอุปสงค์ (Chang in Quantity Demand) เป็นการเปล่ียนแปลงที่ เกิดจากราคาของสินคา้ เปล่ียน โดยการเปลี่ยนแปลงตามปริมาณอุปสงคน์ ้ันจะเป็ นไปตามกฎของอุป สงค์ และปริมาณอุปสงคจ์ ะมีความสัมพนั ธ์ในทางตรงกนั ขา้ มกบั การเปล่ียนแปลงของราคาเม่ือราคา ของสินคา้ สูงข้ึนปริมาณอุปสงคจ์ ะลดลง แต่เมื่อราคาของสินคา้ ลดลงปริมาณอุปสงคจ์ ะเพิ่มข้ึน จึงสรุป

95 ไดว้ า่ การเปล่ียนแปลงของปริมาณเสนอซ้ือหรือการเปลี่ยนแปลงอุปสงคห์ มายถึง การเปลี่ยนแปลงอนั เน่ืองจากการเปลี่ยนแปลงในราคาสินคา้ จึงทาใหป้ ริมาณเสนอซ้ือเปลี่ยนในลกั ษณะเคลื่อนไปตามเส้น อุปสงคเ์ ดิม และการเปล่ียนแปลงของอุปสงคป์ ระเภทน้ีทาใหเ้ ส้นอุปสงคเ์ คลื่อนไหวอยภู่ ายในเส้นเดิม เพยี งแต่มีการเคล่ือนจากจุดหน่ึงไปยงั อีกจุดหน่ึงเทา่ น้นั แสดงดงั ภาพท่ี 2.4 ราคา P0 A P1 B Q0 Q1 ปริมาณ ภาพแสดงที่ 3.4 การเปล่ียนแปลงปริมาณอุปสงคใ์ นสินคา้ จากภาพแสดงที่ 3.4 น้นั เดิมราคาสินคา้ อยู่ ณ ระดบั P0ปริมาณซ้ือจะเท่ากบั Q0 จากน้นั ราคา สินคา้ ลดลงอยูท่ ่ี P1ปริมาณซ้ือจะเพ่ิมข้ึนเป็ น Q1 โดยจะเห็นไดจ้ ากการเคลื่อนยา้ ยจากจุด A ไปยงั จุด B บนเส้นอุปสงคเ์ ดียวกนั

96 ยกตวั อยา่ ง การเปลี่ยนแปลงปริมาณอุปสงคข์ องทุเรียนในตลาดแห่งหน่ึงมีดงั น้ี ราคา 100 A 80 B 60 C 0 200 300 400 ปริมาณ ซ้ือ ภาพแสดงท่ี 3.5 การเปล่ียนแปลงปริมาณซ้ือ จากภาพแสดงที่ 3.5 จะแสดงใหเ้ ห็นวา่ เส้นอุปสงคข์ องตลาดน้นั เดิมราคาทุเรียนกิโลกรัมละ 80 บาท ปริมาณซ้ือท้งั ตลาดจะเท่ากบั 300 กิโลกรัม ท่ีจุด B เมื่อราคาลดลงเหลือกิโลกรัมละ 60 บาท ปริมาณซ้ือจะเพ่มิ ข้ึนเป็ น 400 กิโลกรัม ท่ีจุด C เมื่อราคาเพิ่มข้ึนเป็ นกิโลกรัมละ 100 บาท ปริมาณซ้ือจะ ลดลงเหลือ 200 กิโลกรัม ท่ีจุด A ซ่ึงเป็นการเปลี่ยนแปลงปริมาณซ้ือท่ีมีผลมาจากการเปล่ียนแปลงราคา จากจุดหน่ึงไปยงั อีกจุดหน่ึงบนเส้นอุปสงคเ์ ดิม โดยจะไม่มีเคล่ือนยา้ ยตาแหน่งหรือการขยบั ที่เส้นอุป สงคด์ งั กล่าว 2. การเปลยี่ นแปลงตามระดับอุปสงค์ (Change In Demand) การเปล่ียนแปลงระดบั อุปสงค์ คือ การเปล่ียนแปลงในปัจจยั ท่ีกาหนดอุปสงคอ์ ่ืน ๆ นอกเหนือจากราคา ขณะท่ีราคาของสินคา้ ยงั คงเดิม แต่ จะส่งผลให้ราคาสินคา้ ท่ีผูบ้ ริโภคตอ้ งการซ้ือเปล่ียนแปลงไป ทาให้มีการเปลี่ยนแปลงจานวนซ้ือจาก ปัจจยั น้นั การเปลี่ยนแปลงระดบั อุปสงคเ์ กิดจากปัจจยั ตวั อื่นท่ีไม่ใช่ราคาของสินคา้ ซ่ึงเกิดจากปัจจยั ที่ เป็ นตวั กาหนดอุปสงค์โดยออ้ ม มีผลทาให้ปริมาณการซ้ือเพ่ิมข้ึน หรือลดลง ณ ระดบั ราคาเดิม เช่น รายไดข้ องผูบ้ ริโภค ราคาสินคา้ ชนิดอื่น เป็ นตน้ และการเปลี่ยนแปลงอุปสงค์ในกรณีน้ีจะเป็ นการ เปลี่ยนแปลงลกั ษณะการเคล่ือนยา้ ยเส้นอุปสงคไ์ ปท้งั เส้น จากเส้นเดิมไปสู่เส้นใหม่โดยถา้ เส้นอุปสงค์ เคล่ือนยา้ ยไปทางขวาของเส้นเดิมแสดงวา่ อุปสงคเ์ พ่ิมข้ึน แต่ถา้ หากเส้นอุปสงคเ์ คลื่อนยา้ ยไปทางซ้าย แสดงวา่ อุปสงคล์ ดลง ดงั ภาพแสดงท่ี 3.6 น้ี

97 ราคา P D1 D2 D3 ปริมาณ ภาพแสดงท่ี 3.6 การเปล่ียนแปลงปริมาณอุปสงคใ์ นสินคา้ จากภาพแสดงที่ 3.6 จะเห็นไดว้ า่ เส้น D2 เป็ นเส้นอุปสงคเ์ ดิมก่อนการเปล่ียนแปลง โดยสมมติ ใหม้ ีการเปลี่ยนแปลงระดบั รายไดข้ องผบู้ ริโภค ถา้ ผบู้ ริโภคมีรายไดเ้ พิม่ ข้ึน เส้นอุปสงคจ์ ะเคลื่อนยา้ ยไป ทางขวามือของเส้นอุปสงคเ์ ดิม คือ จากเส้น D2เป็ นเส้น D1 แต่ถา้ ผูบ้ ริโภคมีรายไดล้ ดลง เส้นอุปสงคจ์ ะ เคลื่อนยา้ ยไปทางซ้ายมือของเส้นอุปสงค์เดิม คือ จากเส้น D2 เป็ นเส้น D3 ดงั น้ัน การเปล่ียนแปลง ลกั ษณะน้ีจะทาให้ราคาของสินคา้ ไม่เปล่ียนแปลงแต่อุปสงค์เปล่ียนแปลง เน่ืองจากการเปล่ียนแปลง ระดบั อุปสงค์จากปัจจยั อ่ืน ดงั น้นั เส้นอุปสงค์จะไม่ใช่การเคล่ือนที่ภายในเส้นเหมือนกรณีแรกแต่เป็ น ลกั ษณะที่มีการยา้ ยของเส้นนนั่ เอง

ราคา 98 100 E 80 A 60 F B G C D1 D2 2,000 3,000 4,000 5,000 ปริมาณ ภาพแสดงที่ 3.7 การเปล่ียนแปลงอุปสงค์ จากภาพแสดงท่ี 3.7 เส้น D1เป็ นเส้นอุปสงค์ของทุเรียน จุด A จุด B และจุด C เป็ นจุดที่แสดง ความสัมพนั ธ์ระหวา่ งปริมาณซ้ือ ณ ระดบั ราคา 100 บาท 80 บาท และ 60 บาท เมื่อจานวนผูบ้ ริโภค เพ่ิมข้ึนจะทาให้ความตอ้ งการซ้ือเพิ่มข้ึนทุกระดบั ราคา จึงเกิดเส้นอุปสงค์เส้นใหม่ คือ D2จุด E จุด F และจุด G เป็นจุดที่แสดงความสัมพนั ธ์ระหวา่ งปริมาณซ้ือใหม่กบั ระดบั ราคา 100 บาท 80 บาท 60 บาท ตามลาดบั อุปสงคท์ ่ีเพม่ิ ข้ึน ดงั น้นั การเปล่ียนแปลงของอุปสงคจ์ ึงสามารถสรุปได้ ดงั น้ี 1. การลดลงของปริมาณอุปสงค์หากราคาสินคา้ ชนิดหน่ึงเพิ่มข้ึน เมื่อปัจจยั อ่ืนคงที่ ปริมาณอุปสงคจ์ ะลดลง เกิดการเคลื่อนตวั ข้ึนไปตามเส้นอุปสงค์ D 2. การลดลงของระดบั อุปสงค์ อุปสงคล์ ดลงโดยที่เส้นอุปสงค์เคลื่อนไปทางซ้ายของ เส้นเดิม เมื่อราคาของสินคา้ ทดแทนกนั ไดใ้ นการผลิตลดลง ราคาของสินคา้ ท่ีประกอบกนั เพ่มิ ข้ึน คาดวา่ ราคาของสินคา้ ชนิดน้นั จะลดลงหรือคาดวา่ รายไดจ้ ะลดลงในอนาคต รายไดล้ ดลงจานวนผซู้ ้ือลดลงเป็ น ตน้ 3. การเพ่ิมข้ึนของราคาอุปสงค์ หากราคาสินคา้ ชนิดหน่ึงลดลง เมื่อปัจจยั อ่ืนคงท่ี ปริมาณอุปสงคจ์ ะเพม่ิ ข้ึน เกิดการเคลื่อนตวั ลงไปตามเส้นอุปสงค์ 4. การเพิ่มข้ึนของระดบั อุปสงค์อุปสงคจ์ ะเพ่ิมข้ึนทุกระดบั ราคา และเส้นอุปสงค์จะ เคล่ือนไปทางขวาของเส้นเดิมเมื่อราคาของสินคา้ ใชท้ ดแทนกนั ไดเ้ พ่มิ ข้ึน ราคาของสินคา้ ท่ีใชป้ ระกอบ กนั ลดลง คาดวา่ ราคาของสินคา้ ชนิดน้นั จะเพ่ิมข้ึนหรือคาดวา่ รายไดจ้ ะเพ่ิมข้ึนในอนาคตรายไดเ้ พ่ิมข้ึน จานวนผซู้ ้ือเพม่ิ ข้ึนเป็นตน้ ท้งั น้ี ปัจจยั ที่กาหนดการเปล่ียนแปลงของอุปสงคด์ งั กล่าว ไดแ้ ก่

99 1. ราคาของสินคา้ เม่ือราคาสินคา้ แพงข้ึนความตอ้ งการจะลดลง 2. รายไดข้ องผบู้ ริโภคในกรณีที่เป็นสินคา้ ปกติ (Normal Goods) เม่ือผบู้ ริโภคมีรายได้ เพ่ิมข้ึน จะบริโภคเพิ่มข้ึน ถา้ รายไดเ้ พ่ิมข้ึน แต่ผูบ้ ริโภคซ้ือสินคา้ น้นั ลดลง แสดงวา่ สินคา้ น้นั เป็นสินคา้ ดอ้ ยคุณภาพ (Inferior Goods) เช่น บะหม่ีก่ึงสาเร็จรูป ซ่ึงไม่ได้หมายถึง คุณภาพของสินคา้ จริง ๆ ว่า บะหม่ีก่ึงสาเร็จรูปไมด่ ีแตเ่ ป็นเรื่องของการรับรู้ของผบู้ ริโภคแตล่ ะคนท่ีอาจมีมุมมองแตกต่างกนั ไป เช่น ถา้ รวยข้ึนก็ไม่อยากกินบะหมี่ก่ึงสาเร็จรูป อาจหนั ไปกินอยา่ งอ่ืนแทน เช่น ไก่ทอด เป็นตน้ 3. ราคาสินคา้ อ่ืน ๆ ท่ีเก่ียวขอ้ งซ่ึงอาจแบ่งไดเ้ ป็ น 2 ประเภท คือสินคา้ ที่ใชท้ ดแทนกนั เช่น กรณีเมื่อหมูราคาแพงข้ึนผูบ้ ริโภคจะบริโภคหมูลดลง ขณะเดียวกนั ผบู้ ริโภคก็อาจจะหนั ไปบริโภค ไก่หรือปลาหรือสัตวน์ ้าอื่น แทนและสินคา้ ท่ีใชป้ ระกอบกนั เช่น กรณีราคาน้ามนั แพงข้ึนความตอ้ งการ ซ้ือรถยนตก์ ็จะลดนอ้ ยลงดว้ ย เป็นตน้ 4. รสนิยมของผบู้ ริโภค เช่น หากรสนิยมในการบริโภคเปลี่ยนแปลงไปจะทาใหค้ วาม ตอ้ งการสินคา้ ท่ีเคยใชอ้ ยเู่ ปล่ียนแปลงไป 5. การคาดการณ์รายไดใ้ นอนาคต เช่น หากผบู้ ริโภครู้วา่ จะไดม้ ีการปรับข้ึนเงินเดือนก็ จะบริโภคล่วงหนา้ ไปก่อนทาใหค้ วามตอ้ งการบริโภคสินคา้ สูงข้ึน 6. ปัจจยั อื่น ๆ เช่น ฤดูกาล จานวนประชากร ฯลฯ แนวคดิ พืน้ ฐานและประเภทอปุ ทานตลาด แนวคิดพืน้ ฐานอปุ ทาน (Supply) อุปทาน หมายถึง ปริมาณสินคา้ ชนิดใดชนิดหน่ึงท่ีผผู้ ลิตเตม็ ใจจะขายในตลาดภายในระยะเวลา ใดเวลาหน่ึง ณ ระดบั ราคาต่าง ๆ กนั ของสินคา้ ชนิดน้นั (รัตนา สายคณิต และชลลดา จามรกลุ , 2549) อุปทาน หมายถึง จานวนสินคา้ หรือบริการท่ีผูผ้ ลิตมีความเต็มใจท่ีจะผลิตและนาออกขาย ณ ระดบั ราคาต่าง ๆ ภายในระยะเวลาที่กาหนด (วนั รักษ,์ 2551) อุปทาน หมายถึง ปริมาณของสินคา้ และบริการที่ผูผ้ ลิตหรือผูข้ ายนาออกมาขายในตลาดตาม ราคาท่ีกาหนด อุปทานของสินคา้ และบริการชนิดหน่ึงจะมีมากหรือนอ้ ย ข้ึนอยกู่ บั ปัจจยั หลายประการ ไม่วา่ เป็ นราคาของสินคา้ ที่ทาใหผ้ ผู้ ลิตพอใจท่ีจะนาออกมาขาย ปัจจยั การผลิตทุกประเภท สภาพอากาศ หรือการเปลี่ยนแปลงของราคาสินคา้ อ่ืนโดยผผู้ ลิตจะพิจารณาปัจจยั เหล่าน้ี วา่ จะมีผลกระทบต่อการผลิต หรือการนาออกมาจาหน่ายหรือไมเ่ พียงใด (ไพรินทร์ และวรรณา, 2547) จากความหมายของอุปทานดังกล่าวจึงสรุปไดว้ า่ อุปทาน คือ ปริมาณความตอ้ งการเสนอขาย สินคา้ หรือบริการของผผู้ ลิต ที่มีความเตม็ ใจที่จะเสนอขาย ณ ระดบั ราคาต่าง ๆ โดยสมมติให้ปัจจยั อื่น คงที่และอุปทานประกอบดว้ ย 2 ส่วนที่สาคญั คือ 1. ความเต็มใจที่จะเสนอขาย (Willingness) คือ ความยินดีหรือเต็มใจท่ีจะเสนอขาย สินคา้ เพอ่ื สนองตามความตอ้ งการของผบู้ ริโภค ณ ระดบั ราคาต่าง ๆ

100 2. ความสามารถในการขาย (Ability to Sell) คือ ความสามารถในการผลิตและจาหน่าย สินคา้ ต่อความตอ้ งการของผูบ้ ริโภค ณ ระดับราคาหน่ึง ๆ ซ่ึงจะถูกกาหนดโดยความตอ้ งการของ ผบู้ ริโภคเป็นหลกั ประเภทของอปุ ทาน อุปทานมีเพียงประเภทเดียว คือ อุปทานต่อราคา ซ่ึงอุปทานต่อราคา คือ จานวนต่าง ๆ ของ สินคา้ ชนิดใดชนิดหน่ึงที่ผูผ้ ลิตพร้อมที่จะผลิตออกขาย ณ ระดบั ราคาต่าง ๆ ภายในระยะเวลาที่กาหนด (ประพนั ธ์, 2554) และ (วิรุณสิริ, 2553) กล่าวว่า อุปทานต่อราคา หมายถึง ปริมาณสินคา้ ชนิดใดชนิด หน่ึงท่ีผูผ้ ลิตหรือผูข้ ายมีความตอ้ งการเสนอขาย ณ ระดบั ราคาต่างกนั ของสินคา้ ชนิดน้นั ในช่วงเวลาใด เวลาหน่ึง ท้งั น้ี อุปทานภายในตลาด มี 2 ชนิด คือ 1. อุปทานส่วนบุคคล คือ ปริมาณสินคา้ และบริการต่าง ๆ ที่ผูผ้ ลิตหรือผูข้ าย แตล่ ะรายนาออกมาขายในระดบั ราคาตา่ ง ๆ ในช่วงระยะเวลาหน่ึง 2. อุปทานรวม คือ ปริมาณสินคา้ และบริการท่ีผผู้ ลิตหรือผขู้ ายรวมท้งั ตลาดนา ออกมาจาหน่ายในตลาดแห่งใดแห่งหน่ึง ในระดบั ราคาตา่ ง ๆ ของช่วงเวลาใดเวลาหน่ึง กฎและปัจจัยกาหนดอุปทาน กฎของอปุ ทาน (Law Of Supply) กฎของอุปทาน หมายถึง ความสัมพนั ธ์ระหวา่ งปริมาณการเสนอขายสินคา้ กบั ราคาของสินคา้ โดยท่ีปริมาณสินค้าและบริการชนิดใดชนิดหน่ึง ที่ผูผ้ ลิตหรือผูข้ ายต้องการจะนาเสนอขายจะมี ความสัมพนั ธ์ในทิศทางเดียวกนั กบั ราคาของสินคา้ และบริการชนิดน้นั จากกฎของอุปทาน สรุปไดว้ า่ ถา้ ราคาสินคา้ เพ่ิมข้ึน ปริมาณการเสนอขายจะเพิ่มข้ึน ถา้ ราคาสินคา้ ลดลง ปริมาณการเสนอขายก็จะ ลดลงเช่นเดียวกนั (ปิ ยะพร, 2542) และ (วิรุณสิริ, 2553) กล่าวถึง กฎของอุปทานวา่ เม่ือกาหนดให้ปัจจยั อื่นคงที่ ถ้าราคาสินคา้ ชนิดหน่ึงถูกลงปริมาณของสินคา้ น้ันก็จะน้อยลง และในทางกลบั กนั ถ้าราคา สินคา้ ชนิดหน่ึงแพงข้ึน ปริมาณสินคา้ ก็จะมากข้ึนดว้ ย ซ่ึงจะพบว่าปริมาณขายสินคา้ ชนิดหน่ึงจะแปร ผนั ตรงตามราคาสินคา้ ชนิดน้นั จากความหมายดงั กล่าวจึงสรุปว่า กฎของอุปทาน หมายถึงปริมาณของสินคา้ หรือบริการท่ี ตอ้ งการขายซ่ึงจะแปรผนั โดยตรงกบั ระดบั ราคาของสินคา้ หรือบริการชนิดน้นั ภายใตข้ อ้ สมมติที่ว่า ปัจจยั อื่นคงที่ ทาใหป้ ริมาณอุปทานของสินคา้ จะเปล่ียนแปลงไปในทิศทางเดียวกนั กบั ราคาของสินคา้ เมื่อราคาสินคา้ สูงข้ึนปริมาณอุปทานก็จะเพิ่มข้ึนเน่ืองจากผูผ้ ลิตมีความตอ้ งการที่จะเสนอขายมากข้ึน เพราะกาไรท่ีไดส้ ูงข้ึน แต่เม่ือราคาสินคา้ ลดลง ปริมาณอุปทานก็จะลดลง เนื่องจากกาไรที่ไดล้ ดลง ลกั ษณะทว่ั ไปของเส้นอุปทานจึงเป็ นเส้นท่ีมีความชนั เป็ นบวก เอียงข้ึนจากซา้ ยไปขวา และจากกฎของ อุปทานน้ีแสดงวา่ เมื่อราคาเพิ่มข้ึนปริมาณความตอ้ งการขายก็จะเพิ่มข้ึน ในทางกลบั กนั หากราคาลดลง ปริมาณความตอ้ งการขายกจ็ ะลดลงที่เป็นเช่นน้ีเพราะตวั กาหนดอุปทาน

101 ปัจจัยกาหนดอุปทาน (Supply Determinants) ตวั กาหนดอุปทาน หมายถึง ส่ิงที่มีผลต่อความตอ้ งการในการขายสินคา้ หรือบริการ ณ เวลาใด เวลาหน่ึง โดยปกติราคาของสินคา้ หรือบริการน้ันจะเป็ นตวั กาหนดอุปทานซ่ึงปัจจยั ท่ีมีผลกาหนด อุปทานน้นั จะมีลกั ษณะเดียวกบั ตวั กาหนดอุปสงค์ และราคาของสินคา้ หรือบริการน้นั จะเป็ นสาเหตุจูง ใจผูผ้ ลิตรายใหม่ใหเ้ ขา้ สู่ตลาดมากข้ึน เน่ืองจากระดบั ราคาสินคา้ ที่สูงส่งผลถึงผลกาไรท่ีผขู้ ายจะไดร้ ับ แต่ปริมาณความตอ้ งการขายสินคา้ หรืออุปทานก็ไม่ไดข้ ้ึนอยู่กบั ราคาของสินคา้ เพียงอยา่ งเดียวแต่ยงั ข้ึนอยกู่ บั ปัจจยั อ่ืน ๆ ท่ีเป็นตวั กาหนดอุปทานดว้ ย ปัจจยั ที่เป็นตวั กาหนดอุปทาน มีดงั ตอ่ ไปน้ี 1. ราคาของปัจจัยทใ่ี ช้ผลติ (Resource Price) ราคาปัจจยั การผลิตเป็นตวั กาหนดตน้ ทุนการผลิต ของสินคา้ หรือบริการ ถา้ ราคาของปัจจยั การผลิตสูงข้ึนจะทาให้ตน้ ทุนการผลิตสินคา้ น้ันสูงข้ึนดว้ ย ผขู้ ายจะตอ้ งขายสินคา้ ในราคาที่สูงข้ึน เพอื่ รักษาระดบั ของกาไร ส่งผลใหป้ ริมาณความตอ้ งการขายหรือ อุปทานลดลงไดแ้ ต่ถา้ ราคาของปัจจยั การผลิตลดลงจะทาใหต้ น้ ทุนการผลิตสินคา้ ลดลงดว้ ย มีผลทาให้ อุปทานเพม่ิ ข้ึนเช่นกนั 2. ราคาสินค้าท่ีทดแทนกันได้ (Substitution) หมายถึง สินคา้ ชนิดหน่ึงที่ผูบ้ ริโภคมองว่า สามารถทดแทนด้วยสินค้าอีกชนิดหน่ึงได้ การเปลี่ยนแปลงของราคาสินค้าท่ีทดแทนกันได้จึงมี ผลกระทบต่ออุปทานของสินคา้ อีกชนิดหน่ึงไดส้ ่งผลให้มีการลดปริมาณการผลิตลง เช่น ถา้ ราคามนั สาปะหลงั ลดลง ชาวสวนอาจหนั ไปปลูกออ้ ยแทน ทาให้ปริมาณความตอ้ งการขายมนั สาปะหลงั ลดลง แต่อุปทานของออ้ ยจะเพ่มิ ข้ึน 3. ต้นทุนการผลิต (Cost) ปริมาณความตอ้ งการเสนอขายจะเปลี่ยนแปลงไปในทิศทางตรงกนั ขา้ มกบั ตน้ ทุนการผลิตถา้ ตน้ ทุนการผลิตของสินคา้ หรือบริการสูงข้ึนอุปทานจะมีน้อยลงแต่ถา้ ตน้ ทุน การผลิตลดลงอุปทานจะมีมากข้ึนเพราะตน้ ทุนการผลิตที่ต่าจะทาใหผ้ ูผ้ ลิตไดก้ าไรมาก ส่วนตน้ ทุนการ ผลิตท่ีสูงจะทาให้ผูผ้ ลิตไดก้ าไรน้อย ทาให้อุปทานน้อยเทคนิคผลิต (Technology) ความกา้ วหน้าทาง เทคโนโลยีที่ใชใ้ นการผลิตเป็ นตวั กาหนดอุปทานที่มีความสาคญั มากในปัจจุบนั โดยเฉพาะเทคโนโลยี สมยั ใหม่ รวมไปถึงประสบการณ์และความเช่ียวชาญของผผู้ ลิตแต่ละราย เทคนิคการผลิตท่ีดีจะทาให้ ตน้ ทุนการผลิตต่อหน่วยลดลง ใชป้ ัจจยั การผลิตเท่าเดิมแต่ผลิตสินคา้ ไดม้ ากข้ึนทาให้อุปทานของสินคา้ ของผผู้ ลิตรายน้นั มีมากข้ึน 4. จานวนผู้ผลติ (Number of Sellers) จานวนผผู้ ลิตส่งผลต่อระดบั ของอุปทาน โดยอุปทานจะ เปล่ียนแปลงในทิศทางตรงกนั ขา้ มกบั จานวนผผู้ ลิต สินคา้ ท่ีมีผูผ้ ลิตจานวนมากย่อมมีการแข่งขนั กนั ที่ สูง กาไรนอ้ ย และมีส่วนแบ่งทางการตลาดท่ีน้อยลงตามลาดบั ทาให้มีอุปทานนอ้ ย แต่ถา้ สินคา้ น้นั มี ผผู้ ลิตจานวนนอ้ ย มีการแข่งขนั กนั ต่า ทาให้มีกาไรมากและมีส่วนแบ่งทางการตลาดที่สูง ทาใหอ้ ุปทาน มากเช่นกนั

102 5. จุดมุ่งหมายของธุรกจิ (Objective) เป้าหมายธุรกิจนบั เป็ นอุปทานท่ีสาคญั ตวั หน่ึงของบริษทั เช่น เป้าหมายของบริษทั ใหญต่ อ้ งขายใหไ้ ดม้ ากที่สุด 6. การคาดการณ์ราคาสินค้าในอนาคต (Expectation) การคาดการณ์ราคาสินคา้ ในอนาคตจะ ส่งผลทางจิตวทิ ยาต่อผผู้ ลิต ถา้ ผผู้ ลิตคาดการณ์วา่ ราคาสินคา้ ในอนาคตจะสูงข้ึนผผู้ ลิตจะลดปริมาณการ ผลิตลง เพื่อจะนาไวข้ ายในอนาคตทาให้อุปทานลดลง ในทางกลบั กนั ถา้ ผูผ้ ลิตคาดว่าราคาสินคา้ ใน อนาคตจะลดลงผผู้ ลิตจะเร่งผลิต ปริมาณการขายในปัจจุบนั มากข้ึน เพอ่ื ท่ีจะรีบระบายสินคา้ ออก ทาให้ อุปทานเพ่ิมข้ึน จะเห็นได้ว่ามีปัจจยั ต่าง ๆ ที่มีอิทธิพลต่อปริมาณความตอ้ งการขายหรืออุปทานของ สินคา้ และบริการ ซ่ึงปัจจยั ใดที่มีอิทธิพลต่อปริมาณความตอ้ งการขายหรืออุปทาน จะถูกเรียกวา่ เป็ น ตวั กาหนดอุปทาน 7. ภาษีท่ีรัฐเก็บ (Tax) ถา้ รัฐเก็บภาษีเพิ่มข้ึน ตน้ ทุนการผลิตก็จะสูงข้ึน กาไรนอ้ ยลง ผผู้ ลิตก็จะ ทาการผลิตนอ้ ยลง อุปทานจะลดลง 8. สภาพดินฟ้าอากาศและฤดูกาล (Season) สภาพอากาศมีผลต่อปริมาณผลผลิตของสินคา้ เกษตร เช่น ถา้ สภาพอากาศปกติทาให้อุปทานมาก ผลผลิตทางการเกษตรจะมีมาก และในทางกลบั กนั ถา้ อากาศไม่ปกติทาใหอ้ ุปทานนอ้ ย ผลผลิตทางการเกษตรก็นอ้ ยเช่นกนั ตารางและสมการอุปทาน ตารางอปุ ทาน (Supply Schedule) ตารางอุปทาน หมายถึง ตารางท่ีแสดงความสมั พนั ธ์ระหวา่ งปริมาณอุปทานของสินคา้ ณ ระดบั ราคาสินคา้ ตา่ ง ๆ ซ่ึงเป็นไปตามกฎของอุปทานโดยมีหลกั การเดียวกบั อุปสงค์ ตารางอุปทานแบ่งออกเป็น 2 ประเภท ไดแ้ ก่ 1. ตารางอุปทานส่วนบุคคล (Individual Supply Schedule) จะมีลกั ษณะเช่นเดียวกบั กรณีของอุปสงค์ คือ เป็นตารางท่ีแสดงปริมาณอุปทานของสินคา้ ของบุคคลใดบุคคลหน่ึง ณ ระดบั ราคา ตา่ ง ๆ เมื่อนาคู่อนั ดบั ราคาสินคา้ และอุปทานสินคา้ มาวาดกราฟเส้นอุปทานจะมีลกั ษณะเอียงข้ึนจากซ้าย ไปขวา และไดเ้ ส้นอุปทานส่วนบุคคล (Individual Supply Curve) ท่ีมีความชนั เป็นบวก

ตารางท่ี 3.3 อุปทานของร้านคา้ ก. 103 ราคา (บาท) 2 ปริมาณอุปทาน (กิโลกรัม) 4 10 6 20 8 30 40 ราคา 8 6 4 2 0 ปริมาณ 10 20 30 40 ภาพแสดงที่ 3.8 เส้นอุปทานของร้านคา้ ก. 2. ตารางอุปทานรวม (Total Supply Schedule) เป็ นตารางปริมาณอุปทานของสินคา้ ในตลาดที่ไดจ้ ากการรวมอุปทานของแต่ละบุคคลท้งั หมดเขา้ ดว้ ยกนั ในแต่ละระดบั ราคา เม่ือนาคู่อนั ดบั ราคาสินคา้ และอุปทานสินคา้ มาวาดกราฟเส้นอุปทานจะมีลกั ษณะเส้นเอียงข้ึนซา้ ยไปขวา และไดเ้ ส้น อุปทานรวมของตลาด (Total Supply Curve) หรืออุปทานตลาดท่ีมีความชนั เป็นบวก ตารางท่ี 3.4 ปริมาณอุปทานของร้านคา้ และอุปทานตลาด ราคา (บาท) อุปทานร้านคา้ ก อุปทานร้านคา้ ข. อุปทานตลาด (กิโลกรัม) (กิโลกรัม) (กิโลกรัม) 2 10 20 4 20 30 10 + 20 = 30 6 30 40 20 + 30 = 50 8 40 50 30 + 40 = 70 40 + 50 = 90

104 ราคา ราคา ราคา นาย ก. นาย ข. ตลาด 8 8 8 6 6 6 4 4 4 2 2 2 0 10 20 30 40 0 20 30 40 50 0 30 50 70 90 ปริมาณ ปริมาณ ปริมาณ ภาพแสดงที่ 3.9 อุปทานร้านคา้ ก. อุปทานร้านคา้ ข. และอุปทานของตลาด สมการอปุ ทาน (Function of Supply) สมการอุปทานเป็ นรูปแบบสมการที่แสดงความสัมพนั ธ์ระหวา่ งปริมาณของสินคา้ ท่ีผผู้ ลิตเตม็ ใจผลิตออกขายท่ีเป็ นตวั แปรตาม กบั ระดบั ราคาตา่ ง ๆ ของสินคา้ น้นั ท่ีเป็ นตวั แปรอิสระ โดยกาหนดให้ ปัจจยั อ่ืนที่มีผลตอ่ อุปทานคงที่ สมการอุปทานต่อราคามีรูปแบบสมการคือ Qx = f (Px) โดยที่ Qx = ปริมาณเสนอขายของสินคา้ Px = ราคาของสินคา้ จากสมการ จะเห็นว่าราคากับปริมาณการขายมีความสัมพนั ธ์แบบแปรผนั ในทางเดียวกนั (Linear) จึงทาใหก้ ราฟมีความชนั เป็นบวก ลกั ษณะเส้นเอียงข้ึนจากซา้ ยไปขวา ดงั ภาพแสดงที่ 3.10 ราคา S 0 ปริมาณ ภาพแสดงที่ 3.10 เส้นอุปทาน

105 ยกตวั อยา่ ง สมการของอุปทานกบั ปัจจยั ชนิดต่าง ๆ ท่ีเป็ นตวั กาหนดปริมาณเสนอขายสินคา้ และบริการชนิดน้นั เช่น Qs = f (Px , C , Py , T , S) โดยท่ี Qs = ปริมาณเสนอขายสินคา้ และบริการของสินคา้ Px = ราคาของสินคา้ ท่ีเสนอขาย C = ตน้ ทุนการผลิต Py = ราคาของสินคา้ ชนิดอ่ืนท่ีเกี่ยวขอ้ งกบั ปริมาณสินคา้ ที่เสนอขาย T = เทคนิคการผลิต S = ฤดูกาล เป็นตน้ การคาดการณ์อปุ ทาน การเปลี่ยนแปลงอุปทานคือ การเปลี่ยนแปลงเมื่อมีตวั กาหนดอุปทานเปล่ียนหรือปัจจยั ท่ีมี อิทธิพลต่อปริมาณอุปทานเปล่ียน ซ่ึงการเปล่ียนแปลงของอุปทานน้ันจะมีลกั ษณะเช่นเดียวกบั การ เปลี่ยนแปลงของอุปสงค์ การเปลี่ยนแปลงของอุปทานมี 2 ประเภท ดงั ตอ่ ไปน้ี 1. การเปลย่ี นแปลงปริมาณอุปทาน (Change in Quantity Supply) เกิดจากราคาของสินคา้ น้นั เปลี่ยน โดยการเปล่ียนแปลงน้ีเป็ นไปตามกฎของอุปทาน คือ ปริมาณอุปทานจะมีความสัมพนั ธ์ในทาง เดียวกนั กบั การเปล่ียนแปลงของราคาเม่ือราคาสินคา้ ชนิดหน่ึงเปลี่ยนแปลงปริมาณขายของสินคา้ ชนิด น้นั จะเปลี่ยนแปลงไปในทิศทางเดียวกบั ระดบั ราคา เช่น เม่ือราคาสูงข้ึนสินคา้ ตอ้ งการเสนอขายจะ เพ่ิมข้ึนดว้ ย ในทางตรงกนั ขา้ ม เม่ือราคาสินคา้ ชนิดน้นั ลดลงจานวนสินคา้ ที่ผผู้ ลิตตอ้ งการเสนอขายจะ ลดลงดว้ ยเช่นกนั เรียกการเปลี่ยนแปลงน้ีวา่ การเปล่ียนแปลงปริมาณขาย การเปลี่ยนแปลงในกรณีน้ีเป็ น การเปล่ียนแปลงจากจุดหน่ึงไปยงั อีกจุดหน่ึงบนเส้นอุปทานเดียวกนั เปรียบเสมือนกบั ผผู้ ลิตปรับเปลี่ยน การขายของตนเองเสียใหม่ ตามการเปล่ียนแปลงราคาของสินคา้ ดงั ภาพแสดงที่ 3.11 ราคา S P1 P0 0 Q0 Q1 ปริมาณ ภาพแสดงที่ 3.11 การเปล่ียนแปลงปริมาณอุปทานในสินคา้

106 จากภาพแสดงท่ี 3.11 เม่ือราคาสินคา้ เพ่มิ จาก P0 เป็น P1 ปริมาณการเสนอขายสินคา้ ก็จะเพิ่มข้ึน ตามกฎของอุปทาน คือ จาก Q0 เป็น Q1 นนั่ เอง 2. การเปลี่ยนแปลงระดับอุปทาน (Change in Supply) การเปลี่ยนแปลงระดบั อุปทานเกิดจาก ปัจจยั ท่ีเป็นตวั กาหนดอุปทานโดยออ้ ม ซ่ึงเป็นปัจจยั ตวั อ่ืน ๆ ที่ไม่ใช่ราคาของสินคา้ มีผลทาใหป้ ริมาณ การซ้ือเพิ่มข้ึนหรือลดลง ณ ระดบั ราคาเดิม เช่น ตน้ ทุนการผลิต เทคนิคการผลิต การคาดการณ์ราคา สินคา้ ในอนาคต ฤดูกาลเป็ นต้น การเปลี่ยนแปลงอุปทานกรณีน้ี เป็ นการเปล่ียนแปลงลกั ษณะการ เคลื่อนยา้ ยเส้นอุปทานไปท้งั เส้นจากเส้นเดิมไปสู่เส้นใหม่โดยถา้ เส้นอุปทานเคลื่อนยา้ ยไปทางขวาของ เส้นเดิม แสดงวา่ อุปทานเพิ่มข้ึนถา้ เคล่ือนยา้ ยไปทางซา้ ยแสดงวา่ อุปทานลดลง ดงั ภาพน้ี ราคา S2 S0 S1 ลด เพม่ิ P 0 Q2 Q0 Q1 ภาพแสดงท่ี 3.12 การเปลี่ยนแปลงอุปทาน จากภาพแสดงที่ 3.12 เส้น S0 คือ เส้นอุปทานเดิมก่อนการเปลี่ยนแปลง โดยสมมติวา่ มีการปรับ ค่าจา้ งแรงงานข้นั ต่าเพม่ิ ข้ึน จึงทาใหผ้ ผู้ ลิตมีตน้ ทุนท่ีสูงข้ึน และเส้นอุปทานจะเคล่ือนยา้ ยไปทางซ้ายมือ ของเส้นอุปทานเดิม คือ จากเส้น S0เป็ นเส้น S2 แต่ถา้ มีการปรับอตั ราค่าจา้ งแรงงานข้นั ต่าลดลง เส้น อุปทานจะเคล่ือนย้ายไปทางขวามือของเส้นอุปสงค์เดิม คือ จากเส้น S0เป็ นเส้น S1ดังน้ัน การ เปล่ียนแปลงลกั ษณะน้ีเป็นการเปลี่ยนแปลงระดบั อุปทานโดยการยา้ ยของเส้น โดยราคาของสินคา้ ไม่ได้ มีการเปล่ียนแปลงแตอ่ ุปทานเปล่ียนแปลงเนื่องจากการเปล่ียนแปลงจากปัจจยั อ่ืน ๆ

107 ยกตวั อยา่ ง การเปลี่ยนแปลงเทคโนโลยกี ารผลิต ราคา S2 S0 S1 P 0 Q2 Q0 Q1 ปริมาณ ภาพแสดงที่ 3.13 การเปลี่ยนแปลงเส้นอุปทานเนื่องจากเทคโนโลยกี ารผลิต จากภาพแสดงที่ 3.13 ระดบั ราคาเดิมคือ P ปริมาณขายจะอยทู่ ี่ Q0 แต่ถา้ หากมีการเปลี่ยนแปลง เทคโนโลยีทาให้ปริมาณการผลิตเพ่ิมข้ึนเป็ น Q1 ซ่ึงจะแสดงให้เห็นถึง “อุปทานเพิ่ม (Increase in Supply) ” คือการทาให้เส้นอุปทานเปล่ียนแปลงไปจากเส้น S0 เป็ น S1และ “อุปทานลด (Decrease in Supply) ” ณ ระดับราคา P ถ้าการเปลี่ยนแปลงปริมาณการผลิตลดลงเป็ น Q2 ทาให้เส้นอุปทาน เปล่ียนแปลงไปจากเส้น S0 เป็น S2 ดงั น้นั การเปลี่ยนแปลงของอุปทานจึงสรุปได้ ดงั น้ี 1. การลดลงของปริมาณอุปทาน หากราคาสินคา้ ชนิดหน่ึงลดลง เมื่อปัจจยั อื่นคงท่ี ปริมาณ อุปทานจะลดลง เกิดการเคลื่อนตวั ลงไปตามเส้นอุปทาน 2. การลดลงของระดบั อุปทานอุปทานจะลดลงทุกระดบั ราคาและเส้นอุปทานจะเคล่ือนไป ทางซ้ายของเส้นเดิม เช่นราคาของสินคา้ ท่ีใช้ทดแทนกนั ไดใ้ นการผลิตเพิ่มข้ึน ราคาของสินคา้ ท่ีใช้ ประกอบกนั ในการผลิตลดลง ราคาของปัจจยั การผลิตหรือวตั ถุดิบอื่น ๆ เพิ่มข้ึน การคาดการณ์วา่ ราคา ของสินคา้ ชนิดน้นั จะเพิม่ ข้ึน จานวนผขู้ ายลดลงผลิตภาพลดลง เป็นตน้ 3. การเพิ่มข้ึนของปริมาณอุปทานหากราคาสินคา้ ชนิดหน่ึงเพ่ิมข้ึนเมื่อปัจจยั อ่ืนคงที่ปริมาณ อุปทานจะเพ่มิ ข้ึน เกิดจากการเคลื่อนตวั ข้ึนไปตามเส้นอุปทาน 4. การเพ่ิมข้ึนของระดบั อุปทานอุปทาน จะเพ่ิมข้ึนทุกระดบั ราคาและเส้นอุปทานจะเคลื่อนไป ทางขวาของเส้นเดิม (จากS0 เป็ น S2) เช่น ราคาของสินคา้ ที่ใชท้ ดแทนกนั ไดใ้ นการผลิตลดลง ราคาของ

108 สินคา้ ท่ีใชป้ ระกอบกนั ในการผลิตเพิ่มข้ึน ราคาของปัจจยั การผลิตหรือวตั ถุดิบลดลง การคาดการณ์ว่า ราคาของสินคา้ ชนิดน้นั จะลดลง จานวนผขู้ ายเพิ่มข้ึนผลิตภาพเพม่ิ ข้ึน เป็นตน้ ท้งั น้ี ปัจจยั ท่ีกาหนดการเปลี่ยนแปลงในอุปทาน ไดแ้ ก่ 1. ราคาของสินคา้ เม่ือราคาแพงข้ึนความตอ้ งการขายก็มากข้ึนดว้ ย 2. ราคาของปัจจยั การผลิตหรือตน้ ทุนการผลิต เช่น หากตน้ ทุนค่าขนส่งแพงข้ึนเพราะราคา น้ามนั แพงข้ึนแต่ราคาสินคา้ ท่ีนาไปวางขายไม่เปลี่ยนแปลง จะทาให้ผูผ้ ลิตอยากขายสินคา้ ในปริมาณที่ นอ้ ยลง เพราะไดก้ าไรนอ้ ย 3. ราคาสินคา้ อื่นท่ีเก่ียวขอ้ ง เช่น กรณีท่ีราคาสินคา้ แพงข้ึน มีผลทาให้อุปทานของสินคา้ ชนิดท่ี ผลิตอยลู่ ดลง ตวั อยา่ งท่ีเห็นไดช้ ดั เช่นเมื่อราคาขา้ วโพดแพงข้ึนคนท่ีเคยปลูกมนั สาปะหลงั อยอู่ าจหนั ไป ปลูกขา้ วโพดแทนและลดการปลูกมนั สาปะหลงั ซ่ึงผลทาให้อุปทานของมนั สาปะหลงั สูงข้ึนขณะท่ี อุปทานของขา้ วโพดลดลงเป็นตน้ 4. เทคโนโลยีในการผลิตสินคา้ เช่น หากมีการคิดคน้ เทคโนโลยีที่ดีข้ึน ทาให้ผลิตไดป้ ริมาณ สินคา้ ที่มากข้ึนดว้ ยตน้ ทุนที่เทา่ เดิมจะทาใหป้ ริมาณการเสนอขายสินคา้ เพม่ิ ข้ึนได้ 5. การคาดการณ์ในอนาคต เช่น หากผูผ้ ลิตผขู้ ายคาดวา่ เศรษฐกิจจะขยายตวั ก็เสนอขายสินคา้ ในปริมาณที่เพ่มิ ข้ึนเป็นตน้ 6. ปัจจยั อ่ืน เช่น ฤดูกาล ภาษีและเงินอุดหนุน จานวนผขู้ าย และโครงสร้างตลาดสินคา้ ฯลฯ การเปลยี่ นแปลงปริมาณและระดบั อปุ สงค์และอปุ ทาน การเปลี่ยนแปลงปริมาณอุปสงคแ์ ละการเปลี่ยนแปลงปริมาณอุปทานมีสาเหตุเหมือนกนั คือ ถา้ ราคาสินคา้ เปล่ียนแปลง แต่ปัจจยั อ่ืนคงที่ ทาใหเ้ ส้นอุปสงคแ์ ละอุปทานคงเดิม เป็นการเปล่ียนแปลงตาม กฎของอุปสงคแ์ ละกฎของอุปทาน ส่วนการเปลี่ยนแปลงระดบั ของอุปสงคแ์ ละการเปลี่ยนแปลงของ ระดบั อุปทานน้นั มีลกั ษณะทานองเดียวกนั คือ ปริมาณสินคา้ เปลี่ยนแปลง เน่ืองจากราคาสินคา้ คงที่ แต่ ปัจจยั อ่ืนเปลี่ยนแปลง ทาให้เส้นอุปสงค์และเส้นอุปทานยา้ ยไปจากเดิม สามารถสรุปเปรียบเทียบการ เปลี่ยนแปลงปริมาณและการเปล่ียนแปลงระดบั อุปสงคแ์ ละอุปทาน (สุจิตรา, 2550) ดงั ตารางแสดงท่ี 3.5

109 ตารางท่ี 3.5 เปรียบเทียบการเปลี่ยนแปลงอุปสงคแ์ ละอุปทาน อุปสงค์ อุปทาน P D1 P D2 D0 S2 S0 S1 0 Q0 Q การเปล่ียนแปลงปริมาณอุปสงค์ กรณีเส้นอุป การเปล่ียนแปลงปริ มาณอุปทาน กรณีเส้น สงค์คงที่ แต่ปริมาณซ้ือเปลี่ยนแปลง เนื่องจาก อุปทานคงท่ี แต่ปริ มาณขายเปล่ียนแปลง ราคาสินคา้ เปลี่ยนแปลง แต่ปัจจยั อ่ืนคงท่ี โดยท่ี เนื่องจากราคาสินคา้ เปล่ียนแปลง แต่ปัจจยั อื่น ราคาเพ่ิมอุปสงค์จะลด แต่ถา้ ราคาลดอุปสงคจ์ ะ คงที่ โดยที่ราคาเพ่ิมอุปทานจะเพิ่ม แต่ถ้าราคา เพม่ิ ลดอุปทานกจ็ ะลดลง P PS Q Q 00 การเปล่ียนแปลงระดบั อุปสงค์ กรณีที่เส้นอุป การเปลี่ยนแปลงระดับอุปทาน กรณีท่ีเส้น สงคแ์ ละปริมาณซ้ือเปลี่ยนแปลง เนื่องจากราคา อุปทานและปริมาณขายเปล่ียนแปลง เน่ืองจาก สินคา้ คงท่ี แต่ปัจจยั อ่ืนเปล่ียน เช่น รายได้ การ ราคาสินคา้ คงท่ี แต่ปัจจยั อ่ืนเปลี่ยน เช่น ราคา โฆษณา รสนิยม ประชากร ราคาสินค้าอื่นท่ี วตั ถุดิบ ความก้าวหน้าทางเทคโนโลยี ตน้ ทุน เกี่ยวขอ้ ง เป็นตน้ การผลิต การเก็บภาษี เป็นตน้

110 ดุลยภาพและการเปลยี่ นแปลงดุลยภาพของตลาด การกาหนดราคาของสินค้าและบริการน้ันถูกกาหนดโดยอุปสงค์และอุปทานของตลาด ที่ เรียกวา่ กลไกราคา (Price Mechanism) ซ่ึงอุปสงคแ์ สดงถึงจานวนความตอ้ งการของผบู้ ริโภคในการซ้ือ สินคา้ ชนิดหน่ึงในแต่ละระดบั ราคา และอุปทานแสดงถึงจานวนความตอ้ งการของผูผ้ ลิตในการผลิต สินคา้ ชนิดน้นั ในแต่ละระดบั ราคา แต่ในความเป็ นจริงปริมาณความตอ้ งการซ้ือสินคา้ จะไม่เท่ากบั ปริมาณความตอ้ งการขายของสินคา้ ในช่วงเวลาใดเวลาหน่ึง จึงเรียกวา่ อุปสงคไ์ ม่เท่ากบั อุปทานตลาด จึงมีการเปล่ียนแปลงของราคาสินคา้ ให้อุปสงคม์ ีจานวนใกลเ้ คียงกบั อุปทานมากที่สุดตามกฎของอุป สงคแ์ ละอุปทาน เพื่อให้อุปสงค์เท่ากบั อุปทานและให้อุปสงคเ์ ท่ากบั อุปทาน และถา้ หากอุปสงคข์ อง สินคา้ มีมากกวา่ อุปทานของสินคา้ ราคาสินคา้ จะมีแนวโนม้ สูงข้ึน เม่ือราคาสินคา้ สูงข้ึนจะทาใหอ้ ุปทาน เพ่ิมข้ึนและอุปสงคจ์ ะลดลง ในทางตรงขา้ มถา้ อุปสงคม์ ีนอ้ ยกวา่ อุปทานราคาสินคา้ น้นั จะมีแนวโนม้ ลดลง เมื่อราคาสินคา้ ลดลงจะทาใหอ้ ุปทานลดลงและอุปสงคเ์ พิ่มข้ึน การเปล่ียนแปลงของอุปสงค์และอุปทานของสินคา้ จะเคล่ือนไหวสลบั กนั ไปมา จนเขา้ สู่จุดท่ี อุปสงคเ์ ท่ากบั อุปทานเรียกวา่ “จุดดุลยภาพ (Equilibrium Point) ” และ ณ จุดดุลยภาพน้นั จะมี ราคา ดุลยภาพ (Equilibrium Price) และปริมาณดุลยภาพเกิดข้ึน (Equilibrium Quality) ซ่ึงจุดดุลยภาพน้นั จะ เกิดเส้นอุปสงค์และอุปทานตดั กนั โดยดุลยภาพน้ีจะไม่เปล่ียนแปลงตราบเท่าท่ีปัจจยั กาหนดอุปสงค์ และอุปทานไม่เปล่ียนแปลง ดงั ภาพแสดงท่ี 3.14 ราคา S E P D 0 ปริมาณ Q ภาพแสดงที่ 3.14 จุดดุลยภาพ ระดบั ราคาและปริมาณดุลยภาพ จะเห็นไดว้ า่ จุดดุลยภาพเกิดจากเส้นอุปสงคข์ องผซู้ ้ือและเส้นอุปทานของผูข้ าย ซ่ึงจุดท่ีเส้นอุป สงคแ์ ละเส้นอุปทานตดั กนั ที่จุดดุลยภาพน้นั แสดงถึงระดบั ราคาสินคา้ และปริมาณการซ้ือและการขายท่ี ผซู้ ้ือและผขู้ ายพอใจท้งั สองฝ่ าย ส่วนระดบั ราคาท่ีอยู่เหนือราคาดุลยภาพเป็ นระดบั ราคาท่ีสูงกวา่ ความ

111 เป็ นจริงทาให้ผูผ้ ลิตมีความตอ้ งการท่ีจะเสนอขายมากแต่ผูบ้ ริโภคกลบั มีความตอ้ งการซ้ือนอ้ ยจึงเกิด ความไม่สมดุล ส่งผลให้ใหเ้ กิดภาวะสินคา้ ลน้ ตลาด (Excess Supply or Surplus) ดงั น้นั ผูผ้ ลิตจึงตอ้ งลด ราคาลงเพอ่ื กระตุน้ ผบู้ ริโภคใหม้ ีความตอ้ งการซ้ือมากข้ึนทาใหร้ าคาลดลงจากเดิมจนเขา้ สู่ราคาดุลยภาพ แต่ในทางตรงขา้ มถา้ ราคาอยตู่ ่ากวา่ ราคาดุลยภาพซ่ึงเป็ นราคาที่ต่ากวา่ ความเป็ นจริงทาใหผ้ ูผ้ ลิตมีความ ตอ้ งการขายนอ้ ย แต่ผบู้ ริโภคมีความตอ้ งการซ้ือมากจึงเกิดความไม่สมดุลส่งผลให้เกิดภาวะสินคา้ ขาด ตลาด (Excess Demand or Shortage) จึงทาให้ผูบ้ ริโภคมีความตอ้ งการซ้ือมากราคาสินคา้ น้นั จะสูงข้ึน และมีผผู้ ลิตขายสินคา้ มากข้ึนราคาก็จะมีแนวโนม้ กลบั เขา้ สู่ราคาดุลยภาพ ดงั น้ัน การท่ีระดบั ราคาอยู่สูงกว่าหรือต่ากว่าราคาดุลยภาพน้ันจะเป็ นระดบั ราคาท่ีไม่สมดุล เนื่องจากราคาที่อยสู่ ูงกวา่ ราคาดุลยภาพจะทาใหผ้ บู้ ริโภคลดลง ราคาสินคา้ จะลดลง แต่ในส่วนราคาท่ีอยู่ ต่ากวา่ ราคาดุลยภาพจะทาใหผ้ บู้ ริโภคมากข้ึนราคาสินคา้ จะสูงข้ึนเขา้ สู่ดุลยภาพของตลาด แต่ถา้ เม่ือใดที่ ราคาและปริมาณซ้ือขายไม่ไดอ้ ยู่ในระดบั ดุลยภาพ จะทาให้เกิดแรงผลกั ดนั จากฝ่ ายผูบ้ ริโภคและฝ่ าย ผูผ้ ลิตจนกระทง่ั ราคาและปริมาณซ้ือขายเขา้ สู่ดุลยภาพของตลาด จากการเปล่ียนแปลงภาวะดุลยภาพ ดงั กล่าวเมื่อเกิดข้ึนแลว้ จะมีแนวโน้มท่ีจะหยุดนิ่งและจะอยู่ไดน้ าน จนกว่าท่ีจะมีปัจจยั บางอย่างมา กระทบใหอ้ ุปสงคแ์ ละอุปทานเปล่ียนแปลงไป เช่น ตารางที่ 3.6 อุปสงคอ์ ุปทานของเงาะในตลาดแห่งหน่ึง ราคา (บาท / กก.) ปริมาณซื้อ (Qd) (กก. / วนั ) ปริมาณขาย (Qs) (กก. / วนั ) 10 19 10 20 15 11 30 12 12 40 10 13 จากตารางท่ี 3.6 จะเห็นไดว้ า่ ราคาเงาะ กิโลกรัม ละ 30 บาท จะทาใหป้ ริมาณเสนอซ้ือเท่ากบั ปริมาณเสนอขายพอดี คือ เท่ากบั 12 กิโลกรัม ดงั น้นั ราคาดุลยภาพของเงาะเทา่ กบั กิโลกรัมละ 30 บาท และปริมาณดุลยภาพเทา่ กบั จานวน 12 กิโลกรัม

P (บาท) 112 D E 30 12 Q (กก.) ภาพแสดงที่ 3.15 ราคาดุลยภาพและปริมาณดุลยภาพ ตารางที่ 3.7 อุปสงค์ อุปทาน ของลาไยและสภาวะตลาดในแต่ละระดบั ราคา ราคาลาไย ปริมาณซ้ือ ปริมาณขาย สภาวะในตลาด (อุปทานส่วนเกิน = 40 กิโลกรัม) 50 70 110 (อุปทานส่วนเกิน = 20 กิโลกรัม) 40 80 100 (อุปทานส่วนซ้ือ = ปริมาณขาย) 30 90 90 (อุปสงคส์ ่วนเกิน = 20 กิโลกรัม) 20 100 80 (อุปสงคส์ ่วนเกิน = 40 กิโลกรัม) 10 110 70 จากตารางท่ี 3.7 แสดงปริมาณซ้ือและปริมาณขายในแต่ละระดบั ราคาที่เป็ นไปได้ โดยท่ี ราคา 30 บาท ปริมาณซ้ือและปริมาณขายเท่ากนั ท่ี 90 กิโลกรัม ดงั น้นั ตลาดลาไยจะอยูภ่ าวะดุลยภาพ ราคา ดุลยภาพ (PE) เท่ากบั 30 บาท และปริมาณดุลยภาพเท่ากบั 90 กิโลกรัมแต่ท่ีระดบั ราคาอ่ืนอุปสงคจ์ ะไม่ เท่ากบั อุปทาน ทาใหเ้ กิดสภาวะอุปสงคส์ ่วนเกินหรืออุปทานส่วนเกิน ดงั ภาพแสดงท่ี 3.16

113 ราคา S D อุปทานส่วนเกิน 30 E อุปสงคส์ ่วนเกิน ปริมาณ 90 ภาพแสดงท่ี 3.16 ราคาดุลยภาพและปริมาณดุลยภาพ การเปล่ยี นแปลงภาวะดุลยภาพ (Change In Equilibrium) เกิดจากการเปลี่ยนแปลงของเส้น อุปสงคแ์ ละเส้นอุปทาน ทาใหร้ าคาหรือปริมาณดุลยภาพเปลี่ยนไป ทาใหภ้ าวะดุลยภาพเปล่ียน โดยการ เปล่ียนแปลงภาวะดุลยภาพเกิดข้ึนได้ 3 กรณี คือ 1. กรณอี ุปทานไม่เปลยี่ น แต่อปุ สงค์เปลย่ี น ราคา S E0 P0 D0 E1 P1 Q1 D1 ปริมาณ Q0 ภาพแสดงท่ี 3.17 การเปล่ียนแปลงภาวะดุลยภาพกรณีอุปทานไมเ่ ปล่ียนแต่อุปสงคเ์ ปล่ียน

114 จากภาพแสดงที่ 3.17 จะเห็นไดว้ ่าจุดดุลยภาพจะเปล่ียนจากจุด E0มาเป็ นจุด E1ทาให้ท้งั ราคา และปริมาณดุลยภาพใหม่ลดลงเป็ น P1และ Q1 เมื่อเส้นอุปสงคเ์ กิดการเปล่ียนแปลงโดยเปล่ียนจากเส้น D0 มาเป็นเส้น D1แสดงวา่ อุปสงคม์ ีการลดลงนนั่ เอง ตวั อยา่ งเช่น การเปล่ียนแปลงของเส้นอุปสงค์ ในกรณีที่รายไดส้ ูงข้ึนเส้นอุปสงคจ์ ะเลื่อนสูงข้ึน ไปทางขวามือจุดดุลยภาพจะเลื่อนจากจุด E1มาเป็ นจุด E0 หรือ หากมีปัจจยั ที่กาหนดอุปสงค์บางตวั เปล่ียนแปลงไป เช่น ค่าใชจ้ ่ายในการลงโฆษณาลดลง รายไดล้ ดลงหรือรสนิยมลดลงเส้นอุปสงคอ์ าจ เลื่อนลดลงมาทางซา้ ยมือได้ ทาใหเ้ ส้นอุปสงคล์ ดลงจากเส้น D0 มาเป็ น D1จุดดุลยภาพจะเปล่ียนเป็ นจุด E1ราคาและปริมาณดุลยภาพเปล่ียนเป็นจุด P1และ Q1 ตามลาดบั 2. กรณอี ปุ สงค์ไม่เปลย่ี น แต่อปุ ทานเปลยี่ น ราคา S1 S0 E1 P1 P0 E0 D 0 Q1 Q0 ปริมาณ ภาพแสดงที่ 3.18 การเปลี่ยนแปลงภาวะดุลยภาพกรณีอุปสงคไ์ ม่เปลี่ยนแตอ่ ุปทานเปล่ียน จากภาพแสดงที่ 3.18 จะเห็นไดว้ า่ จุดดุลยภาพเปล่ียนจากจุด E0มาเป็ นจุด E1ทาให้ท้งั ราคาดุลย ภาพใหมเ่ พม่ิ ข้ึนแต่ปริมาณดุลยภาพใหม่ลดลงซ่ึงจะทาใหอ้ ุปทานลดลงไปดว้ ย เนื่องจากเส้นอุปทานน้นั เกิดการเปล่ียนแปลงจากเส้น S0 มาเป็นเส้น S1 ยกตวั อย่าง ถา้ มีการคน้ พบเทคโนโลยใี หม่ท่ีทาให้สามารถผลิตสินคา้ ไดค้ ุณภาพดีข้ึน มีผลให้ เส้นอุปทานเปลี่ยนจากเส้น S1 มาเป็ นเส้น S0 จุดดุลภาพจะเปลี่ยนจากจุด E1มาเป็ นจุด E0 ราคาและ ปริมาณดุลยภาพเปลี่ยนมาเป็ น P0 และ Q0 ตามลาดบั หรือกรณีเกิดภยั ธรรมชาติทาใหป้ ริมาณผลผลิตทาง การเกษตรลดลงมีผลทาให้เส้นอุปทานอาจเล่ือนไปทางซา้ ยมือท้งั เส้นได้ เส้นอุปทานเลื่อนจากเส้น S0

115 เป็ น S1 จุดดุลยภาพเปล่ียนจากจุด E0และ E1ราคาดุลยภาพ และปริมาณดุลยภาพเปลี่ยนเป็ น P1และ Q1 ตามลาดบั 3. กรณอี ุปสงค์และอุปทานเปลย่ี นแปลงไปท้งั คู่ ราคา S1 E1 S0 P1 D1 E0 P0 D0 0 ปริมาณ Q1 Q0 ภาพแสดงที่ 3.19 ดุลยภาพในกรณีท่ีอุปสงคแ์ ละอุปทานเปลี่ยนแปลงท้งั คู่ จากภาพแสดงท่ี 3.19 เส้นอุปสงคแ์ ละเส้นอุปทานน้นั เปล่ียนแปลง จากเส้น D0 และ S0ไปเป็ น เส้น D1และ S1 โดยจุดดุลยภาพเปลี่ยนจากจุด E0มาเป็ นจุด E1 ส่งผลให้ท้งั ราคาดุลยภาพใหม่ลดลงและ ปริมาณดุลยภาพใหมเ่ พิม่ ข้ึน เคร่ืองมือการจัดการราคาของรัฐ ในภาวะทวั่ ไปของตลาดความตอ้ งการซ้ือยอ่ มไม่เท่ากบั ความตอ้ งการขาย รัฐจึงจาเป็ นตอ้ งเขา้ แทรกแซงกลไกตลาดซ่ึงเรียกวธิ ีการน้ีวา่ “การควบคุมราคา” ซ่ึงการควบคุมราคาเป็ นเครื่องมือของรัฐที่ ให้ความช่วยเหลือผ่านทางกลไกตลาด เพ่ือทาให้ราคาสินคา้ มีเสถียรภาพสินคา้ มีปริมาณเพียงพอต่อ ความตอ้ งการของตลาด โดยการทาใหร้ าคาสินคา้ เปล่ียนแปลงไปซ่ึงอาจจะสูงหรือต่ากวา่ ราคาดุลยภาพ โดยเฉพาะกิจการท่ีมีผลต่อความเป็นอยขู่ องประชาชน เช่น ไฟฟ้า ประปา โทรศพั ท์ หรือกิจการประเภท ที่ปล่อยให้ระบบราคาทาหน้าที่ตามลาพงั อาจส่งผลให้สินคา้ หรือบริการและปัจจยั การผลิตบางอย่าง ราคาแพงหรือต่าเกินไปเพ่อื ใหค้ วามช่วยเหลือท้งั ผบู้ ริโภคและผผู้ ลิต ที่อาจจะสร้างความเดือดร้อนใหแ้ ก่ ผบู้ ริโภคหรือผผู้ ลิตได้ ฉะน้นั รัฐจึงตอ้ งเขา้ ไปแทรกแซง เป็ นผกู้ าหนดราคาใหม่เพื่อช่วยเหลือท้งั ผผู้ ลิต และผบู้ ริโภค ซ่ึงวธิ ีท่ีรัฐบาลใชแ้ ทรกแซงราคาของสินคา้ มี 2 วธิ ี ดงั น้ี

116 1. การกาหนดราคาข้ันสูง (Maximum Control) การกาหนดราคาข้นั สูงเป็ นการควบคุมราคา เพอ่ื ใหค้ วามช่วยเหลือผบู้ ริโภค ที่ไดร้ ับความเดือดร้อนจากราคาสินคา้ ที่จาเป็นแก่การดารงชีวิตท่ีมีราคา สูงเกินไป ใชเ้ ป็ นมาตรการทางเศรษฐกิจในการแกป้ ัญหาเงินเฟ้อ ใชเ้ ป็ นเคร่ืองมือในการกระจายรายได้ ตลอดท้งั ในยามสงครามที่เกิดภาวะสินคา้ ขาดแคลน หรือราคาของปัจจยั การผลิตและสินคา้ ทุกประเภท มีแนวโน้มสูงข้ึนรัฐจะทาการควบคุมราคาข้นั สูงโดยการกาหนดราคาขายสูงสุดของสินคา้ น้นั ไวแ้ ละ หา้ มผใู้ ดขายสินคา้ เกินกวา่ ราคาที่รัฐบาลกาหนดซ่ึงปริมาณความตอ้ งการซ้ือที่มีมากกวา่ ปริมาณการผลิต ทาให้เกิดการขาดแคลนอยา่ งมาก ราคาสินคา้ และบริการต่าง ๆ จะสูงข้ึนอยา่ งรวดเร็วจนอาจกลายเป็ น เงินเฟ้ออยา่ งรุนแรงได้ ราคา S P0 E P1 อุปสงคส์ ่วนเกิน D 0 Q1 Q0 Q2 ปริมาณ ภาพแสดงที่ 3.20 อุปสงคส์ ่วนเกินเนื่องจากการกาหนดราคาข้นั สูง จากภาพแสดงท่ี 3.20 จะเห็นไดว้ า่ ระดบั ราคา ณ จุดดุลยภาพท่ี P0 น้นั เป็นราคาท่ีทาใหผ้ บู้ ริโภค เดือดร้อนรัฐจาเป็นตอ้ งกาหนดใหผ้ ขู้ ายขายสินคา้ ในระดบั ราคาเพียง P1เมื่อราคาลดลงเหลือ P1จะทาให้ ผขู้ ายมีความตอ้ งการขายลดนอ้ ยลงคือ Q1 แต่ผูซ้ ้ือตอ้ งการซ้ือสินคา้ น้นั เพ่ิมข้ึนเป็ น Q2 ทาให้สินคา้ ขาด ตลาดหรือไมเ่ พยี งพอแก่การจาหน่ายเทา่ กบั Q2 – Q1 เม่ือเกิดสินคา้ ขาดตลาด รัฐบาลตอ้ งดาเนินมาตรการ การใชว้ ธิ ีการปันส่วนสินคา้ (Rationing) การปันส่วนสินคา้ น้ีจะช่วยให้ผูบ้ ริโภคไดร้ ับสินคา้ ไปบริโภค อยา่ งทว่ั ถึงกนั หรือรัฐบาลอาจดาเนินมาตรการจดั หาสินคา้ มาจาหน่ายเพิ่มเติมโดยการส่ังซ้ือสินคา้ จาก ต่างประเทศหรือที่อื่นใดเพ่ือชดเชยส่วนที่ขาดแคลน การกาหนดราคาข้นั สูงมกั ก่อให้เกิดปัญหาการปัน ส่วนและปัญหาตลาดมืด (Black Market) เกิดข้ึนโดยเฉพาะสินคา้ ราคาพิเศษท่ีมีการจากดั ปริมาณการ บริโภคของประชาชน เช่น น้าตาล ขา้ วสาร น้ามนั พืช เป็นตน้ 2. การควบคุมราคาข้ันต่า (Minimum Price Control) การควบคุมราคาข้นั ต่าเป็นการช่วยเหลือ ผูผ้ ลิตไม่ให้ไดร้ ับความเดือดร้อน จากราคาสินคา้ ท่ีผลิตไดต้ ่าเกินไป การควบคุมราคาข้นั ต่ารัฐบาลจะ

117 กาหนดราคาซ้ือขายสินคา้ ไม่ให้ต่ากวา่ ที่รัฐบาลกาหนดทาให้เกิดอุปทานส่วนเกินเนื่องจากการกาหนด ราคาข้นั ต่า ดงั ภาพประกอบท่ี 2.21 ราคา อุปทานส่วนเกิน P1 P0 D 0 Q1 Q0 Q2 ปริมาณ ภาพแสดงท่ี 3.21 อุปทานส่วนเกินเน่ืองจากการกาหนดราคาข้นั ต่า จากภาพแสดงท่ี 3.21 จะเห็นได้ว่า ราคา ณ จุดดุลภาพที่ระดบั ราคา P0 เป็ นราคาที่ต่าเกินไป ส่งผลใหผ้ ผู้ ลิตเดือดร้อนรัฐจึงประกาศใหผ้ รู้ ับซ้ือสินคา้ รับซ้ือสินคา้ ในราคา P1ซ่ึงเมื่อราคาอยทู่ ี่ P1จะทา ใหค้ วามตอ้ งการซ้ือสินคา้ ลดลงจาก Q0 เป็ น Q1 และความตอ้ งการขายสูงข้ึนจาก Q0 เป็ น Q2ดงั น้นั จึงทา ให้สินค้าล้นตลาดเท่ากับ Q2 - Q1เมื่อสินค้าล้นตลาดรัฐบาลจึงต้องดาเนินมาตรการรับซ้ือสินค้า (Purchase Policy) ในส่วนท่ีขายไม่หมด โดยการระบายไปขายต่างประเทศหรือซ้ือเก็บไวแ้ ลว้ ค่อยนา ออกจาหน่ายเม่ือสินคา้ ขาดตลาดในเวลาต่อไปการประกนั ราคาข้นั ต่านิยมใชส้ าหรับราคาสินคา้ ท่ีเป็ น ผลผลิตทางเกษตรกรรม ซ่ึงอุปสงคม์ กั มีความยืดหยนุ่ นอ้ ย ในขณะท่ีอุปทานควบคุมไดย้ ากเพราะส่วน หน่ึงข้ึนอยูก่ บั สภาพดินฟ้าอากาศ เช่น ถา้ ปี ใดดินฟ้าอากาศดีก็จะผลิตไดม้ าก ทาใหผ้ ลผลิตออกสู่ตลาด มากเกินไปทาให้ราคาผลผลิตจะตกลดลงอย่างมากกระทบต่อรายไดข้ องชาวไร่ชาวนาซ่ึงส่วนใหญ่ ยากจน ดงั น้นั รัฐบาลจึงตอ้ งเขา้ ช่วยเหลือโดยใชว้ ธิ ีการกาหนดราคาข้ึนต่า การกาหนดราคาข้ึนต่า สามารถแบง่ ได้ 2 วธิ ี ดงั น้ี 1. การกาหนดราคาข้นั ต่าโดยรัฐบาลรับซ้ืออุปทานส่วนเกิน การกาหนดราคาข้นั ต่าเป็ นวิธีที่ รัฐบาลประกาศราคาประกนั และกฎหมายบงั คบั ให้ผซู้ ้ือทุกรายซ้ือสินคา้ น้นั ในราคาประกนั มิฉะน้นั จะ มีความผดิ ตามกฎหมายส่วนอุปทานส่วนเกินท่ีเหลือรัฐจะรับซ้ือไวท้ ้งั หมด

118 2. การกาหนดราคาข้นั ต่าโดยท่ีรัฐบาลจ่ายเงินอุดหนุนให้แก่เกษตรกร การประกนั ราคาข้นั ต่า โดยที่รัฐบาลจ่ายเงินอุดหนุนให้แก่เกษตรกรเป็ นวธิ ีที่รัฐบาลจ่ายเงินอุดหนุนใหแ้ ก่ผูผ้ ลิตสินคา้ บางชนิด รัฐบาลจะกาหนดราคาประกนั ข้นั ต่าไว้ แต่ปล่อยให้มีการซ้ือขายตามกลไกราคาตลาด และรัฐบาล จ่ายเงินชดเชยเท่ากบั ส่วนต่างระหว่างราคาประกนั กบั ราคาตลาดให้แก่เกษตรกร นโยบายน้ีเป็ นการ ประกนั ราคาข้นั ต่า หรือเรียกวา่ นโยบายการพยงุ ราคามีลกั ษณะคลา้ ยกบั การกาหนดอตั ราค่าจา้ งแรงงาน ข้นั ต่าของแรงงานภายในประเทศ เช่น เมื่อรัฐบาลกาหนดอตั ราค่าจา้ งข้นั ต่าจะเกินส่วนเกินของอุปทาน แรงงาน ดงั น้นั เม่ือรัฐบาลกาหนดอตั ราค่าจา้ งข้นั ต่า จะเกิดการว่างงานข้ึนในสังคม รัฐบาลจะตอ้ งหา มาตรการอื่น ๆ เขา้ มาช่วย เช่น การพฒั นาแรงงานส่วนเกินใหม้ ีประสิทธิภาพมากข้ึน โดยให้การศึกษา ฝึกอบรม และหามาตรการส่งเสริมการลงทุนเพอื่ ใหม้ ีการจา้ งแรงงานมากข้ึน เป็นตน้ สรุป อุปสงค์ คือ ความตอ้ งการของผบู้ ริโภค ซ่ึงประกอบดว้ ย ความตอ้ งการซ้ือ ความเตม็ ใจท่ีจะจ่าย ความสามารถที่จะซ้ือ ณ ระดบั ราคาหน่ึง อุปสงคส์ ามารถแบ่งได้ 3 ประเภท คืออุปสงคต์ ่อราคาอุปสงค์ ต่อรายได้ และอุปสงคต์ ่อราคาอ่ืน ๆ และการเปล่ียนแปลงของอุปสงคม์ ี 2 ประเภท คือ การเปล่ียนแปลง ตามปริมาณของอุปสงคเ์ ป็ นการเปล่ียนแปลงท่ีเกิดจากราคาสินคา้ และการเปลี่ยนแปลงตามระดบั อุป สงคใ์ นกรณีท่ีราคาของสินคา้ คงเดิม และการเปลี่ยนแปลงในปัจจยั ที่กาหนดอุปสงคอ์ ื่น ๆ นอกเหนือจาก ราคา อุปทาน คือ ปริมาณความตอ้ งการเสนอขายสินคา้ หรือบริการของผูผ้ ลิตท่ีมีความเต็มใจท่ีจะ เสนอขาย ณ ระดบั ราคาต่าง ๆ โดยสมมติให้ปัจจยั อ่ืนคงที่ ซ่ึงอุปทานสามารถแบ่งออกได้ 2 ส่วน คือ ความเตม็ ใจที่จะเสนอขายคือ ความยนิ ดีหรือการเตม็ ใจที่จะเสนอขายสินคา้ เพื่อสนองตามความตอ้ งการ ของผูบ้ ริโภค ณ ระดบั ราคาต่าง ๆ และ ความสามารถในการผลิตและจาหน่ายสินคา้ ต่อความตอ้ งการ ของผบู้ ริโภค ณ ระดบั ราคาหน่ึง ๆ อุปทานสามารถแบ่งออกเป็ น 2 ประเภทคือ อุปทานของส่วนบุคคล และอุปทานรวม ส่วนการเปลี่ยนแปลงของอุปทานสามารถแบ่งออกเป็ น 2 ประเภท คือ การเปล่ียนแปลงปริมาณ ของอุปทาน และการเปล่ียนแปลงระดบั อุปทาน สาหรับดุลยภาพของตลาดเกิดจากการเปลี่ยนแปลงของ อุปสงค์และอุปทานของสินคา้ ที่มีการเคล่ือนไหวสลบั กนั ไปมา จนเขา้ สู่จุดที่อุปสงค์เท่ากบั อุปทาน เรียกว่า จุดดุลยภาพ แต่สาเหตุท่ีจะเกิดการเปลี่ยนแปลงภาวะดุลยภาพน้ันสามารถเกิดได้ 3 กรณี คือ กรณีอุปทานไมเ่ ปลี่ยน แต่อุปสงคเ์ ปล่ียนกรณีอุปสงคไ์ ม่เปลี่ยน แตอ่ ุปทานเปล่ียน และกรณีอุปสงคแ์ ละ อุปทานเปล่ียนแปลงไปท้งั คู่

119 คาถามทบทวน 1) อุปสงคต์ ลาดและอุปทานตลาด มีความแตกตา่ งกนั อยา่ งไร 2) ฟังก์ชันของอุปสงค์และอุปทานคืออะไร ตวั กาหนดฟังก์ชันอุปสงค์และอุปทานได้แก่ อะไรบา้ ง 3) ปัจจยั ที่กาหนดการเปล่ียนแปลงในอุปสงคแ์ ละอุปทานไดแ้ ก่อะไรบา้ ง จงอธิบาย 4) การกาหนดราคาข้นั สูงและ การกาหนดราคาข้นั ต่าแตกตา่ งกนั อยา่ งไร จงยกตวั อยา่ ง 5) การประกนั ราคาข้นั ต่าใช้สาหรับสินคา้ ท่ีเป็ นผลิตผลทางการเกษตร รัฐสามารถใชว้ ิธีการ กาหนดราคาข้นั ต่าไดก้ ี่วธิ ี อะไรบา้ ง จงอธิบาย อ้างองิ กิตติศกั ด์ิ ทรงคุณชยั . (2552) . เศรษฐศาสตร์จุลภาค 2. กรุงเทพฯ: มหาวทิ ยาลยั ธรรมศาสตร์. นราทิพย์ ชุติวงศ.์ (2550) . ทฤษฎเี ศรษฐศาสตร์จุลภาค. พมิ พค์ ร้ังท่ี 9. กรุงเทพฯ : คณะเศรษฐศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวทิ ยาลยั . เบด โรบิน, ไมเคิล ปาร์กิ้น, จุฑามาศ ทวไี พบูลยว์ งษ.์ (2550) . เศรษฐศาสตร์จุลภาค. กรุงเทพฯ: เพยี ร์ สนั เอน็ ดูเคชนั่ อินโดไซ. ประพนั ธ์ เศวตนนั ท์ และไพศาล เลก็ อุทยั . (2554) . อปุ ทานและอปุ สงค์. กรุงเทพฯ: จุฬาลงกรณ์ มหาวทิ ยาลยั . ปิ ยะพร บุญเพญ็ . (2542) . เศรษฐศาสตร์จลุ ภาค 1. พิมพลกั ษณ์, นครปฐม : คณะวทิ ยาการจดั การ สถาบนั ราชภฏั นครปฐม. ไพรินทร์ แยม้ จินดา และวรรณา ทองเจริญศิริกุล. (2547) . เศรษฐศาสตร์เบื้องต้น. กรุงเทพฯ: เอม พนั ธ์ รัตนา สายคณิต และชลลดา จามรกลุ . (2549) . เศรษฐศาสตร์เบือ้ งต้น. พิมพค์ ร้ังที่ 4. กรุงเทพฯ : โรง พิมพแ์ ห่งจุฬาลงกรณ์มหาวทิ ยาลยั . วนั รักษ์ มิ่งมณีนาคิน. (2551) . เศรษฐศาสตร์เบื้องต้น : เศรษฐศาสตร์สาหรับบุคคลทวั่ ไป. พิมพค์ ร้ังท่ี 9. กรุงเทพมหานคร: มหาวทิ ยาลยั ธรรมศาสตร์. วริ ุณสิริ ใจมา. (2553) . เศรษฐศาสตร์จุลภาค 1. พมิ พค์ ร้ังท่ี 2. กรุงเทพฯ: จุฬาลงกรณ์มหาวทิ ยาลยั . สินค้าทใ่ี ช้ทดแทนกนั . สืบคน้ เม่ือ 18 มิถุนายน 2554, จาก http://cyberclass.msu.ac.th/ cyberclass/ cyberclass-uploabs/libs/html/50664/learn6_10.html สุจิตรา กลุ ประสิทธ์ิ. (2550) . เศรษฐศาสตร์จุลภาค. กรุงเทพฯ: ออฟเซ็ท. Case,karl E.,and Ray C.fair., (2004) . Principles of Economics, 7th edition. USA: Pearson Education.Inc.

120 Chaiang. Alpha C. (1974) . Fundamental Methods of Mathematical Economics. 2nded. New York: McGraw-Hill Book Company Geoffrey A. Jehle and Philip J. Reny. (2011) . Advanced Microeconomic Theory. USA: Prentice Hall. Pindyck, R.S. & Rubinfeid, D.L. (2005) . Microeconomics. 6th ed. The United States of America: Pearson Prentice-Hall.

แผนการสอนประจาบทท่ี 4 เร่ือง การสารวจตลาดและผ้บู ริโภค หัวข้อเนื้อหาประจาบท แนวคิดพ้ืนฐานตลาดผบู้ ริโภค ปัจจยั กาหนดและกระบวนการตดั สินใจของผบู้ ริโภค ทฤษฎีอรรถประโยชน์ การวเิ คราะห์อรรถประโยชนเ์ พิ่มและอรรถประโยชน์รวม กฎการลดนอ้ ยถอยลงของอรรถประโยชน์เพม่ิ ทฤษฎีเส้นความพึงพอใจเทา่ กนั อตั ราส่วนเพิ่มของการทดแทนกนั ของสินคา้ เส้นราคาหรือเส้นงบประมาณ การวเิ คราะห์ดุลยภาพผบู้ ริโภค การเปลี่ยนแปลงดุลยภาพของผบู้ ริโภค วตั ถุประสงค์เชิงพฤติกรรม เมื่อศึกษาบทน้ีแลว้ ผศู้ ึกษาสามารถ 1. อธิบายพฤติกรรมตลาดผบู้ ริโภค 2. เขา้ ใจหลกั ทฤษฎีอรรถประโยชน์ 3. สามารถพจิ ารณาอรรถประโยชน์เพิม่ และอรรถประโยชนร์ วม 4. เขา้ ใจกฎการลดนอ้ ยถอยลงของอรรถประโยชนเ์ พิม่ 5. สามารถวเิ คราะห์ทฤษฎีเส้นความพงึ พอใจเทา่ กนั และทฤษฎีเส้นราคาหรือเส้นงบประมาณ 6. สามารถวเิ คราะห์ดุลยภาพผบู้ ริโภค 7. อภิปรายและตอบคาถามได้ วธิ ีการสอนและกจิ กรรมการเรียนการสอนประจาบท 1. แนะนาเน้ือหารายวชิ าในบท 2. แนะนาเอกสารและตาราอ่ืนที่เกี่ยวขอ้ ง สาหรับอ่านเพม่ิ เติม 3. แนะนากิจกรรมการเรียนการสอน การวดั ผลและการประเมินผล 4. บรรยายโดยใชเ้ อกสารและยกตวั อยา่ งเพอื่ อภิปรายพฤติกรรมผบู้ ริโภค 5. ยกตวั อยา่ งกรณีศึกษา และร่วมกนั วเิ คราะห์พฤติกรรมผบู้ ริโภคโดยใชท้ ฤษฎีตา่ ง ๆ

122 6. ตอบคาถามและส่งงานคาถามทา้ ยบท 7. จดั ทารายงานคน้ ควา้ นอกช้นั เรียน พร้อมนาเสนอหนา้ ช้นั เรียน สื่อการเรียนการสอน 1. เอกสารประกอบการสอน 2. เอกสาร ตารา และบทความที่เกี่ยวขอ้ ง 3. เอกสารตวั อยา่ งกรณีศึกษาในปัจจุบนั 4. ชุดแผน่ ใสสรุปคาบรรยาย การวดั และประเมินผล 1. สังเกตจากเขา้ ช้นั เรียน ความสนใจในการเรียน 2. การมีส่วนร่วมในกิจกรรมในช้นั เรียน 3. การตอบคาถาม การวเิ คราะห์กรณีศึกษาในช้นั เรียน 4. การตอบคาถามทา้ ยบท 5. รายงานการคน้ ควา้ นอกช้นั เรียนและการนาเสนอ

บทที่ 4 การสารวจตลาดและผู้บริโภค แนวคิดพืน้ ฐานตลาดผู้บริโภค ความหมายของการบริโภค การบริโภค หมายถึง การใช้ประโยชน์จากสินค้าหรือบริการ เพื่อตอบสนองความตอ้ งการ ส่วนตวั หรือครัวเรือน เป็ นกระบวนการที่ศึกษาไดจ้ ากทฤษฎีพฤติกรรม ซ่ึงจะทาให้ทราบความตอ้ งการ ซ้ือหรืออุปสงคข์ องผบู้ ริโภค (ศิริวรรณ, 2553) การบริโภคทางเศรษฐศาสตร์ หมายถึง การใช้ประโยชน์จากสินคา้ และบริการเพ่ือตอบสนอง ความตอ้ งการของมนุษย์ การนาสินคา้ และบริการมาใชป้ ระโยชน์ เพ่ือการผลิตเป็ นสินคา้ และบริการอ่ืน การบริโภคไม่ได้หมายถึงการรับประทานอาหารเพียงอย่างเดียว แต่รวมถึงการใช้สินคา้ หรือการใช้ บริการ เช่น การไปพบแพทยเ์ ม่ือยามเจ็บป่ วย การพกั โรงแรม การท่องเที่ยว การขนส่ง การประกนั ภยั เป็ นตน้ (ณรงค์, 2549) และ (จิรศกั ด์ิ, 2550) ไดก้ ล่าววา่ การบริโภคทางเศรษฐศาสตร์ หมายถึง การใช้ ประโยชน์จากสินคา้ หรือบริการ เพือ่ ตอบสนองความตอ้ งการของมนุษย์ รวมถึงการนาสินคา้ หรือบริการ มาใชป้ ระโยชน์เพ่ือการผลิตเป็ นสินคา้ หรือบริการอ่ืน การบริโภคในทางเศรษฐศาสตร์จึงหมายถึงการ อุปโภคดว้ ย เช่น การท่องเท่ียว การขนส่ง การประกนั ภยั เป็ นตน้ กล่าวไดว้ า่ การกระทาที่ทาให้สินคา้ หรือบริการอย่างใดอย่างหน่ึงสิ้นเปลืองไป เพื่อเป็ นประโยชน์แก่มนุษย์ ไม่ว่าจะโดยทางตรงหรือ ทางออ้ ม ถือเป็นการบริโภคท้งั สิ้น ดงั น้นั การบริโภค จึงหมายถึง การใชป้ ระโยชน์จากสินคา้ หรือบริการ เพ่ือสนองความตอ้ งการ ของมนุษย์ รวมถึงการนาสินคา้ หรือบริการมาใช้ประโยชน์ เพ่ือการผลิตเป็ นสินคา้ หรือบริการอ่ืน ซ่ึง นกั จิตวิทยาไดก้ าหนดความตอ้ งการพ้ืนฐานของมนุษยไ์ ว้ 5 ระดบั โดยการจดั ลาดบั ความตอ้ งการจาก ระดบั ต่าไปยงั ระดบั สูง ดงั น้ี 1. ความสาเร็จส่วนตวั 2. ความตอ้ งการความเคารพนบั ถือ 3. ความตอ้ งการดา้ นสังคม 4. ความตอ้ งการความปลอดภยั 5. ความตอ้ งการของร่างกาย ความตอ้ งการพ้ืนฐานของมนุษยน์ บั ไดว้ ่าเป็ นรูปแบบการบริโภคข้นั พ้ืนฐานของมนุษย์ เช่น นางสาวดาเป็ นสาวโรงงาน ทางานหนกั มีความตอ้ งการอาหารมาก นางสาวดาตอ้ งจ่ายค่าอาหารก่อน เป็นอนั ดบั แรก เงินท่ีเหลือจึงจะบริโภคส่ิงอ่ืน เวลาตอ่ มานางสาวดาไดร้ ับการเล่ือนตาแหน่งเป็นหวั หนา้

124 คนงาน มีรายได้เพ่ิมข้ึน จึงเลือกบริโภคอาหารท่ีมีคุณค่าทางอาหารเพ่ิมมากข้ึน เช่น อาหารประเภท โปรตีน เน้ือสัตว์ นมเนย ผลไม้ (ซ่ึงแต่เดิมบริโภคอาหารที่มีแป้งมาก) ค่าใชจ้ ่ายสาหรับอาหารจึงลดลง เมื่อเทียบตามอตั ราส่วนของรายได้ แต่นางสาวดานารายไดเ้ พ่ิมเป็ นคา่ พกั ผอ่ นหยอ่ นใจมากข้ึน และเมื่อ นางสาวดามีรายไดเ้ พ่มิ ข้ึนอีก ค่าใชจ้ ่ายเกี่ยวกบั อาหารก็จะลดลงอีกแต่จะใชจ้ ่ายไปกบั ของฟ่ ุมเฟื อยมาก ยง่ิ ข้ึน เป็นตน้ ประเภทของการบริโภค ในทางเศรษฐศาสตร์การบริโภคสามารถน้นั สามารถแบ่งตามลกั ษณะของสินคา้ ได้ 2 ประเภท คือ การบริโภคสินคา้ คงทนและการบริโภคสินคา้ ไมค่ งทน ซ่ึงมีรายละเอียดดงั ตอ่ ไปน้ี 1. การบริโภคสินคา้ คงทน (Durable goods consumption) คือ เม่ือผบู้ ริโภคซ้ือสินคา้ ชนิดน้นั ไป แลว้ ผบู้ ริโภคสามารถบริโภคสินคา้ น้นั ไดอ้ ีก การบริโภคลกั ษณะน้ีเรียกวา่ Diminution ซ่ึงสินคา้ คงทน เหล่าน้ีจะมีอายุการใชง้ านตามประเภทสินคา้ โดยผูบ้ ริโภคจะบริโภคสินคา้ จนสินคา้ มีการเส่ือมสภาพ จนไม่สามารถใชง้ านได้ เช่น บา้ นพกั อาศยั รถยนต์ รถจกั รยานยนต์ โทรทศั น์ เป็นตน้ 2. การบริโภคสินคา้ ไม่คงทน (Nondurable goods consumption) คือ เม่ือผบู้ ริโภคซ้ือสินคา้ ชนิด น้นั ไปแลว้ ผูบ้ ริโภคจะไม่สามารถบริโภคสินคา้ น้นั ไดอ้ ีก การบริโภคลกั ษณะน้ีเรียกวา่ Destruction ซ่ึง สินคา้ ส่วนใหญ่จะเป็ นสินคา้ สิ้นเปลือง เช่น อาหาร น้าด่ืม ยารักษาโรค ก๊าซหุงตม้ เช้ือเพลิง พลงั งาน ไฟฟ้า เป็นตน้ พฤติกรรมตลาดผู้บริโภค พฤติกรรมตลาดผูบ้ ริโภค หมายถึง การตดั สินใจซ้ือสินคา้ หรือบริการซ่ึงมีความสามารถในการ ซ้ือ ผบู้ ริโภคจะตอ้ งมีความเตม็ ใจในการซ้ือสินคา้ หรือบริการดว้ ย ซ้ือสินคา้ ไปเพื่อใชป้ ระโยชนส์ ่วนตวั และซ้ือไปเพ่ือขายตอ่ หรือใชใ้ นการผลิตอีกดว้ ย (อดุลย,์ 2550) และ (อศั น์อุไร, 2549) กล่าววา่ พฤติกรรม ผบู้ ริโภค หมายถึง พฤติกรรมการแลกเปลี่ยนต่าง ๆ ที่เกิดข้ึนในชีวติ ของมนุษย์ ซ่ึงดาเนินไปภายใตผ้ ล สะทอ้ นที่เกิดจากภาวะแวดลอ้ ม พฤติกรรม ความรู้สึกนึกคิด และความรู้ความเขา้ ใจของมนุษย์ ซ่ึงมีการ เปล่ียนแปรอยเู่ สมอ จึงสรุปไดว้ า่ พฤติกรรมของผูบ้ ริโภค หมายถึง การตดั สินใจเลือกซ้ือสินคา้ หรือบริการ และ กระบวนการในการตดั สินใจที่มีผลตอ่ การบริโภคสินคา้ หรือบริการของผบู้ ริโภค ภายใตง้ บประมาณที่มี อยอู่ ยา่ งจากดั ท้งั น้ี (บงั อร, 2542) ไดก้ ล่าวถึง ทฤษฎีวา่ ดว้ ยพฤติกรรมผบู้ ริโภคสามารถแบ่งส่วนการวเิ คราะห์ ออกไดเ้ ป็น 2 ส่วน คือ Cardinal Approach : ความพึงพอใจสามารถวดั ออกมาเป็นหน่วยได้ และ Ordinal Approach : วดั เป็ นลาดับของความพึงพอใจ เช่นชอบสีแดงมากกว่าสีน้าเงิน ซ่ึงการพิจารณาเร่ือง พฤติกรรมของผูบ้ ริโภค จะเป็ นไปตามกฎของอุปสงคท์ ่ีกล่าวว่า ปริมาณและราคามีความสัมพนั ธ์กนั แบบแปรผกผนั กนั ดงั น้นั ในการศึกษาพฤติกรรมของผบู้ ริโภคน้นั จึงต้งั อยบู่ นขอ้ สมมุติฐานดงั น้ี


Like this book? You can publish your book online for free in a few minutes!
Create your own flipbook