Important Announcement
PubHTML5 Scheduled Server Maintenance on (GMT) Sunday, June 26th, 2:00 am - 8:00 am.
PubHTML5 site will be inoperative during the times indicated!

Home Explore IR เอกสารประกอบการสอน

IR เอกสารประกอบการสอน

Published by sulaiman.ha, 2020-07-03 22:57:37

Description: IR เอกสารประกอบการสอน

Search

Read the Text Version

1.1.1 ประชากร (population) เราทราบดีแล้วว่า รัฐเป็นสถาบันการเมืองของมนุษย์ดังน้ัน รัฐจะต้องมีมนุษย์หรือประชากรจานวน หนึ่ง รัฐจะเกิดข้ึนไม่ได้ถ้าไม่มีประชากรและประชาชนใดไม่มีดินแดนร่อนแร่พเนจร ถึงแม้ว่าจะมีจานวนท่ี แน่นอนก็อาจไม่ถือว่าเป็นรัฐได้ ไม่มีข้อกาหนดแน่นอนว่ารัฐจะต้องมีประชากรจานวนเท่าไหร่จึงถือว่าเป็นรัฐ เท่าที่ปรากฏยังไม่มีใครให้จานวนที่แน่นอนไว้ อริสโตเติล นักปราชญ์ของนครรัฐได้ให้ความเห็นว่าพลเมือง จานวนหม่ืนหรือแสนเป็นจานวนที่ไม่เหมาะสมท่ีจะถือว่าเป็นรัฐ เพราะเป็นจานวนมากเกินไป รัฐท่ีดีควรมี ประชาชนอยู่ประมาณ 5 พันคน (ดูคากล่าวเก่ียวกับประชากรของรัฐใน Aristotle , Politics) อีกหลาย ศตวรรษต่อมา ไดม้ ีความคิดเกีย่ วกบั รัฐของนักปราชญ์ชาวฝรงั่ เศส ชื่อ รูสโซ (Rousseau) ผู้ซ่ึงเหน็ วา่ รัฐควรจะ มีพลเมืองหนึ่งแสนคนจึงจะเหมาะ นักปราชญ์ท้ัง 2 ท่านที่กล่าวมาเห็นว่าการที่รัฐมีพลเมืองน้อยน้ันก่อให้เกิด ผลดีต่อรัฐ ความคิดของรูสโซและอริสโตเติลท่ีมุ่งจะกาหนดจานวนพลเมืองของรัฐให้แน่นอนได้กลายเป็น รากฐานท่ีหน่วยการปกครองท้องถิ่น (Local Government) เช่น เทศบาลนครเมืองและตาบล ได้นาเอามาใช้ ในปัจจุบัน ความคิดของปราชญ์ท้ังสองนั้น แตกต่างกับความคิดของศาสตราจารย์ ดับเบ้ิลยู เอฟ วิลเลาบ้ี (W.F.Willoughby) ผู้ซ่ึงกล่าวว่า การทีจ่ ะเป็นรัฐได้จะต้องมจี านวนประชากรมารวมตัวกันมากมาย ประชาชน พลเมืองท่ีอาศัยในรัฐน้ีอาจประกอบไปด้วยพลเมืองของรัฐน้ีเอง (Citizen or Subject) หรือเผ่าชน (ethnic groups) ซึ่งเป็นกลุ่มชนท่ีมีวัฒนธรรมของตนเอง เช่น ชาวเขาเงาะซาไก เป็นต้น หรือประชนในดินแดนซ่ึง ขึ้นอยู่กับรัฐ (nationals) เช่น พวกปาปัว ในหมู่เกาะนิวกินีของอินโดนีเซียหรือคนต่างด้าว (aliens) และถ้า เป็นรัฐในสมัยโบราณก็มีบุคคลอาศัยอยู่ในรัฐหลายประเภทเช่น ทาสผู้รับใช้เจ้าหนี้ (peons) พวกทาสที่ดิน (serfs) ไดรับการยอมรับกันท่ัวไปว่า จานวนพลเมืองไม่เป็นข้อสาคัญในการพิจารณาว่าเป็นรัฐหรือไม่ ข้อ สาคัญก็คือว่า ขนาดของพลเมืองเทา่ ใดไม่สาคัญ แต่ถ้าสามารถปกครองตัวเองได้ก็ถือวา่ มีฐานะเปน็ รฐั แตก่ ็เคย มีการไม่ยอมรับรัฐเข้ามาเป็นสมาชิกของสันนิบาตชาติ เน่ืองจากมีพลเมืองเป็นจานวนน้อย ตัวอย่างเช่น ในปี ค.ศ.1920 สันนิบาตชาติ ได้ปฏิเสธในการรับรัฐลิกแตนสไตน์เป็นสมาชิก โดยอ้างว่ามีจานวนพลเมืองไม่เพียง พอที่จะรักษาตนเองได้ เพราะการท่ีมีพลเมืองมากก็ย่อมมีความสามารถในการมีกองทัพที่ใหญ่ที่จะป้องกันตัง เองได้โดยไมต่ อ้ งขอความชว่ ยเหลือจากประเทศอ่ืน ถ้ารัฐใดมีพลเมอื งมากและมีความกา้ วหน้าในทางเศรษฐกิจ สังคมและการเมืองแล้ว รัฐน้ันก็มีความมั่นคงเข้าแข็ง เช่น สหรัฐอเมริกา โซเวียต เป็นต้น ประเทศส่วนมาก สนใจในการจากัดพลเมืองให้มีจานวนพอเหมาะท่ีรัฐพอที่จะความสะดวกสบายท่ัวหน้า เพราะการมีจานวน พลเมืองมากเกินไปบางคร้ังก่อให้เกิดปัญหาสังคมตามมา เช่น ในสหรัฐอเมริกา ปัจจุบันมีคนต่างด้าวเข้าไป อาศัยอยู่ และว่างงานเป็นจานวนมากจนทาให้บางเมือง อาทิเช่นเมืองนิวยอร์ค (New York City) ประสบ ปัญหาทางด้านสังคมและเศรษฐกิจ โดยเฉพาะอย่างย่ิงการขาดดุลในด้านการเงิน กล่าวคือ รายรับไม่พอกับ รายจ่ายจนเป็นเหตุให้นิวยอร์คต้องเพิ่มภาษีเพิ่ม เพ่ือจะได้มีจานวนเงินเพ่ิมเพียงพอที่จะนาไปจ่ายเพื่ออานวย ความสะดวกสบายและความเป็นอยู่ของประชาชนท่ีอาศัยอยู่ในเมืองนั้น ด้วยเหตุดังกล่าว จึงได้มีการออก กฎหมายเพ่ิมเติมเพื่อควบคมุ คนตา่ งดา้ วเข้าเมืองอยา่ งกวดขันมากกวา่ แตก่ ่อน 1.1.2 ดินแดน (Territory)

รัฐจะเกิดขึ้นไม่ได้ ถ้าไม่มีดินแดนที่มีอาณาเขตแน่นอน (a fixed territory) โดยมีเส้นแบ่งเขตแดน (boundary line) ซึ่งเป็นท่ียอมรับกันในนานาประเทศโดยข้อเท็จจริงหรือโดยสนธิสัญญา พวกที่มีดินแดนไม่ แน่นอนเท่าที่เคยปรากฏในประวัติศาสตร์ก็คือ พวก Normandic tribes พวกยิว เป็นต้น คาว่าดินแดนน้ีอาจ ถูกแบ่งเขตได้ 2 ทางคือ การแบ่งเขตแดนตามธรรมชาติ และการแบ่งโดยกาหนดขึ้นเอง คาว่าดินแดนนี้ หมายถึง พ้ืนดิน (land) และทะเล (sea) และขอบเขท้องฟ้าท่ีอยู่เหนือพ้ืนดิน (air) ตามหลักสากลถือว่า ครอบคลุมถึงทะเลชายฝั่ง (Marginal sea) ซ่ึงโดยมากมักกาหนดไว้ห่างจากฝั่ง 3 ไมล์ (marine league) (league มีความยาวสามไมล์ อนั เป็นระยะยิงปนื ใหญ่ในขณะนั้น) มหาอานาจบางประเทศ เช่น อังกฤษ สหรัฐ ได้ยอมรับหลักน้ี มีหลายประเทศอ้างสิทธิยาวกว่านี้ เช่น รุสเซีย สิบสองไมล์ สวีดนและนอรเวย์ สี่ไมล์ สเปญ โปรตุเกสหกไมล์ เม็กซิโกเก้าไมล์ ในการประชุมทกี่ รุงเฮก ค.ศ.1930 ก็ไม่สามารถกาหนดเขตแดนชายทะเลให้ เหมือนกันได้ ต่อมาการประชุมที่กรุงเจนีวา ค.ศ. 1950 ซึ่งไทยได้เข้าร่วมประชุมด้วยก็ปรากฏผลเช่นเดียวกับ เม่ือ ค.ศ. 1930 ในเดือนสิงหาคม ค.ศ. ภายหลังการประชุมท่ีเจนีวา ไอร์แลนด์และจีนแดงก็ประกาศถืออาณา เขตชายทะเลเป็นสิบสองไมล์ ทะเลนอกเขตรัฐออกไป เรียกว่าน่านน้าระหว่างประเทศ (International Waters) หรือทะเลหลวง (High Seas) บางประเทศไม่มีทะเลเปน็ ส่วนหนงึ่ ของดนิ แดนของรฐั เลย เชน่ ลาว ซ่ึง เรียกว่า รัฐทีมีแผ่นดินล้อมรอบ (Land-Locked State) ในบริเวณทะเลชายฝ่ังมีอธิปไตยสมบรูณ์เท่ากับทาง บก แต่มีข้อยกเว้นในการเดินเรือผ่านโดยบริสุทธ์ิ (Innocent Passage) ผ่านเขตทะเลชายฝั่งตลอดจนยอมให้ เรือหลวงและเรือเอกชนเข้าไปจอดในท่าได้ในเวลาสงครามผู้เป็นฝ่ายในสงครามจะกระทาการสู้รบในทะเล ชายฝ่ังของรัฐที่เป็นกลางไม่ได้ และการติดตาม (Persuit) เรือศัตรูเข้าไปในน่านน้าของชาติอื่นนั้นกระทาไม่ได้ ถ้าเข้าไปในเขตสามไมล์ของน่านน้าชาติอ่ืน ตัวอย่างเช่น เรือ Araf Spee วึ่งหน้ีเข้าไปในเขตน่านน้าของ Uruguay และถูกไลก่ วดตามไปทาลายนั้นเห็นได้ชดั วา่ เป็นการละเมดิ อธิปไตย แตอ่ รุ ุวัยไมไ่ ด้ประท้วง ส่วนอาณาเขตหรือดินแดนของรัฐ ท่ีเป็นขอบเขตท้องฟ้าเหนือฟื้นดินนั้น ก็คือท้องฟ้าว่างเปล่าที่อยู่ เหนือดินแดนของรัฐที่เป็นพื้นดินและอยู่เหนือน่านน้าในประเทศด้วย ส่วนความสูงในท้องฟ้าไม่มีใครกาหนด ขอบเขตเอาไว้ ซ่ึงยอมหมายถึงว่า ขอบเขตน้ันจะต้องขยายถึงที่เป็นอวกาศ (space) เม่ือทุกๆรัฐในปัจจุบันมี สิทธิใช้ท้องฟ้าเหนือเขตพ้ืนดินและอวกาศ จึงได้มีข้อเสนอให้มีการ่วมมือระหว่างประเทศให้มีการควบคุม ท้องฟ้าและอวกาศ แต่ความสาเร็จในเรื่องดังกล่าวมีน้อย เพราะแต่ละรัฐถือว่าตนมีอานาจและอธิปไตยเหนือ ท้องฟ้าของตน รวมทั้งท้องฟ้าอยู่เหนืออาณาเขตทะเลของรัฐด้วย ดังน้ันรัฐจังมีสิทธิที่จะห้ามการเดินอากาศ ระหว่างชาตเิ หนืออาณาเขตของตนเมอ่ื ใดก็ได้ ซ่ึงข้ึนอยู่กบั ความพอใจของรัฐ ยกเว้นในกรณที ่ีมขี ้อตกลงสัญญา ระหว่างประเทศเป็นอย่างอื่น อย่างไรก็ตามรัฐต่างๆ ยังจ้องเล็งเห็นอันตรายจาการทดลองอาวุธนิวเคลียร์ (Test ban Treaty) เมื่อปี 1963 และ 1968 ซึ่งบรรดาประเทศมหาอานาจที่ลงนามในสนธิสัญญาน้ีได้แก่ สหรัฐอเมรกิ า สหภาพโซเวยี ต อังกฤษ ยกเวน้ จนี แดงและฝร่ังเศส 1.1.3 รัฐบาล (Government) องค์ประกอบที่สาคัญอีกอย่างหนึ่งของรัฐ ได้แก่ รัฐบาลซ่ึงเป็นหน่วยท่ีมีหน้าท่ีกาหนดนโยบายและ นาไปใช้ให้ได้ผล หรืออีกนัยหน่ึงคือ รัฐบาลที่มีหน้าที่จัดระเบียบภายในรัฐเพื่อประโยชน์ส่วนรวม การที่มี รัฐบาลทาให้การปกครองภายในรัฐมีระเบียบแบบแผนอันแสดงถึงความมีระเบียบเรียบร้อย มีการเคารพ กฎหมาย และความสงบสุข (law and order) ในขณะปฏิวัติ รัฐจะไม่รัฐบาลถาวร แต่ก็เป็นการชั่วคราว

เท่าน้ัน อาจกล่าวได้ว่า รัฐบาลเป็นสถาบันทางการเมือง (political institution) ซึ่งรัฐจะขาดมิได้เพราะเป็น เคร่ืองมือที่รัฐใช้เพื่อดาเนินงานตามเป้าหมายที่รัฐกาหนดไว้ รัฐถึงแม้ว่ามีดินแดนและประชากรก็ยังไม่ถือว่า เป็นรัฐ จนกว่าจะมีองค์การทางการเมืองในรูปรัฐเกิดขึ้น องค์การน้ีแตกต่างกันออกไปตามลักษณะและความ เหมาะสมของแตล่ ะรฐั ศาสตราจารย์สพิ สัน (Lipson) ได้ให้ความเห็นว่า รัฐคงอยไู่ ดโ้ ดยมีรฐั บาล ซึ่งเป็นหน่วย ทถี่ อื กาหนดข้ึนจากการ่วมมือของประชาชนเข้าเปน็ รฐั เพ่ือแสวงหาความคุ้มครองและยอมรบั กันวา่ รฐั บาลเป็น องค์การเดียวในรัฐที่มีสิทธิใช้กาลัง เพ่ือบังคับให้มีการเคารพรัฐบาล ไม่มีการใช้กาลังถ้าหากมีความยินยอม ปฏิบัติตามคาส่งั ของรัฐบาล ทุกรัฐบาลในโลกน้ีตา่ งกใ็ ช้กาลังให้ได้สัดส่วนกับความยินยอมทมี่ ีขนาดแตกตา่ งกัน ( ดู Lipson. ใน The Great lssues of politics , pp 56-57) ศาสตราจารย์ลินด์ซี (Lindsey) มีความเห็น พอ้ งกันกับเร่ืองการใช้กาลังดังกล่าวโดยมีความเห็นวา่ การใช้กาลังของรฐั บาล เป็นสง่ิ จาเป็นเพื่อใหก้ ารยนิ ยอม ปฏิบตั ติ ามกฎหมายและระเบียบแบบแผน ถ้าหากพิจารณาดูความคิดของศาสตราจารย์ท้ังสองแล้วจะพบว่ามีความคิดคล้ายคลึงกันในเร่ืองที่ว่า รัฐบาล เกิดจากการรวมตวั กันของประชาชน และรัฐบาล คือ องค์การเดียวภายในรัฐเท่านั้นที่ผกู ขาดในการใช้ กาลัง ในเร่ืองรูปของรัฐบาลนั้น มีอยู่หลายแบบซึ่งแตกต่างกันออกไปในเรื่องสภาพและองค์การท่ีใช้อานาจ อธิปไตย ถ้าถือเอาขอบเขตของรัฐบาลแล้วอาจกล่าวได้ว่า รัฐบาลมีอยู่ 2 รูปเท่านั้นคือ รัฐบาลที่มีอานาจ กว้างขวางแต่ใช้อานาจน้ันอยู่อย่างเดียวกันกับบอ ดาแกครองบุตร ซึ่งเราเรียกว่า (Paternalistic Government) และรัฐบาลท่ีถูกจากัดอานาจโดยลัทธิและเสรีภาพของเอกชนเรียกว่า Individualistic Government อยา่ งไรกต็ าม นักรัฐศาสตรส์ ่วนมากไมเ่ หน็ ด้วยกบั การแบ่งรปู ของรัฐดังกลา่ ว การแบง่ รปู ของรฐั บาลนั้น ท่นี ิยมกนั มักคานึงถงึ หลัก 3 ประการ คอื ก.จานวนของบุคคลผู้ร่วมใช้อานาจอธิปไตย ตามหลักการน้ี รูปของรัฐบาลอาจแบ่งออกเป็นรัฐบาล กษัตริย์ ซ่ึงกษัตริย์เป็นเจ้าของและเป็นผู้ใช้อานาจอธิปไตย รัฐบาล อภิชนาธิปไตย ซ่ึง ประกอบดว้ ย บุคคลเป็นจานวนน้อยเป็นเจ้าและผใู้ ช้อานาจอธิปไตย และรัฐบาลประชาธิปไตยซ่ึงประชาชนทั้ง ประเทศเปน็ เจา้ ของและเป็นผใู้ ชอ้ านาจอธปิ ไตย ข.การแบ่งอานาจ ได้มีการกาหนดของเขตอานาจขององค์การท่ีใช้อานาจอธิปไตย การกาหนด ดังกล่าวกระทาโดยการแบ่งอานาจออกเป็นอานาจบริหาร (Executive power) อานาจนิติบัญญัติ (Legislative power) และอานาจตุลาการ (Judicial power) อานาจแต่ละอานาจเป็นอิสระซึ่งกันเละกัน ผู้ใช้ อานาจทั้ง 3 ดังกล่าวคือองค์การ ซึ่งใช้อานาจเกินกว่าหนึ่งอานาจไม่ได้แต่ในทางปฏิบัติการแยกอานาจจะ ปรากฏออกมาในรูป “อานาจที่ออกกฎหมาย” (อานาจนิติบัญญัติ) และ “อานาจที่รักษาและใช้กฎหมาย” (อานาจบรหิ าร) รัฐบาลซ่ึงมีการแบ่งอานาจดังกลา่ วมีรปู แบบคณะรัฐมนตรี (Council of Ministers) หรอื แบบ ประธานาธิบดี ค.การกระจายอานาจ (Division of power) เป็นเร่ืองของการกาหนดขอบเขตอานาจระหว่างรัฐบาล กลาง (Central Government) และรัฐบาลอาจมีรูปเป็นระบบเด่ียว (Unitary system of Government) หรอื ระบบรัฐบาลรวม (Federal System of Government) เพ่ือเขา้ ใจในรปู ทสี่ าคญั ๆของรัฐบาลใหด้ ีย่งิ ขึ้น จงึ ควรพิจารณาลักษณะของรฐั บาลในรปู ดังตอ่ ไปนี้

1.รัฐบาลกษัตริย์ (Monarchy) รูปดังเดิมของรัฐบาลกษัตริย์ได้แก่ รัฐบาลกษัตริย์ในรูปสมบูรณาญา สิทธิราชซึ่งเป็นรูปรัฐบาลที่เป็นประมุขของรัฐเข้ารับตาแหน่งโดยสิทธิมีอยู่ตามกฎหมายหรือประเพณีว่าด้วย การสิบสันตติวงศ์กษัตริย์ผู้เดียวมีอานาจสูงสุดในการปกครองของรัฐใด มีฐานะเป็นประมุขของรัฐโดยไม่มี อานาจปกครองรัฐ (nominal head of state) แต่มีบุคคลอ่ืนเป็นผู้มีอานาจปกครอง รัฐบาลรูปน้ีก็ไม่ใช้สม บูรณาญาสิทธิราชมีอยู่มากในสมัยเร่ิมแรกของวิวัฒนากรของรัฐ เช่น ปรากฏในจักรวรรดิโรมันสมัยกลางใน ทวีปเอเชีย (เช่น ไทย พม่า เป็นต้น) และทวีปอัฟริกา (เช่น เอธิโอเบีย) เม่ือได้มีการปฏิวัติเปล่ียนแปลงการ ปกครองรฐั บาลรูปน้ไี ด้กลายเป็นรัฐบาลแบบกษัตรยิ ม์ ีอานาจจากดั (Limited Monarchy) ซึง่ กลายเปน็ รัฐบาล แบบประชาธิปไตยไปในท่ีสดุ 2.รัฐบาลอภิชนาอธิปไตย (Aristocracy) รัฐบาลรูปนี้มอี านาจในการปกครองซ่ึงตกอยู่ในอุ้งมอื ของคน กลุ่มน้อยของปวงชนภายในรัฐ คนกลุ่มนี้ส่วนมากมีอานาจปกครองโดยอาศัยวงศ์ตระกูล ความร่ารวย ความ เป็นทหารหรือผู้ถืออาวุธ อานาจทางศาสนา การศึกษาท่ีได้รับ หรือส่ิงต่างๆ เหล่านี้มารวมกัน รัฐบาลรูปน้ี ประชาชนสว่ นมากไม่มสี ิทธิเขา้ รว่ มในการปกครองประเทศ ถ้าจะกล่าวถึงหลักการปกครองรูปนอ้ี ย่างเคร่งครัด แล้ว รัฐบาลทุกรูปมีส่วนเป็นอธิชนาอธิปไตยไม่มากก็น้อย เพราะมีปวงชนกลุ่มหนึ่งเข้าร่วมในรัฐบาลและมี ประชาชนส่วนมากไม่ได้เข้าร่วมในรัฐบาลเลย จะเห็นได้ว่าอานาจการปกครองของรัฐตกอยู่แก่บุคคลจานวน น้อย และมติมหาชนเกิดขึ้นโดยนาเพียงไม่ก่ีคนเท่าน้ัน (ดู Parkinson,ใน The Evolution of Political Thought,pp 102-110) 3.รฐั บาลประชาธิปไตย (Democracy) รัฐบาลนเ้ี ปิดโอกาสให้ประชาชนทุกคนมลี ทั ธิเข้ารว่ มในการแก ครอง รัฐบาลแบบประชาธิปไตยมีอยู่ 2 รูปคือ รัฐบาลในรูปประชาธิปไตยโดยตรง (Direct democracy )และ รัฐบาลในรูปประชาธิปไตยโดยทางอ้อม (Indirect democracy) รัฐบาลแบบประชาธิปไตยโดยตรงน้ันปวงชน มีสิทธิเสนอร่างกฎหมายและรับรองกฎหมายโดยการออกเสียงประชามติ (Referendum) แม้แต่การแก้ไข เพ่ิมเติมรัฐธรรมนูญปวงชนก็มีสิทธิในการกระทาดังกล่าว การปกครองประชาธิปไตยโดยตรงนี้ เหมาะสาหรับ ประเทศเลก็ ๆ และประชาชนมีความชานาญในการปกครองมานาน เช่น ประเทศสวิสเซอร์แลนด์ เปน็ ต้น ส่วน รัฐบาลแบบใช้ประชาธิปไตยโดยทางอ้อมน้ัน มักกระทาในรูปผู้แทน ปวงชนมีอานาจการปกครองตนเองโดย ออกเสียงเลอื กตั้งผู้แทนราษฎรเข้าไปเป็นผู้แทนควบคมุ รัฐบาลในรัฐสภาของรัฐ ท่ีสาคญั ที่สุดก็คือ ประชาชนมี โอกาสเลือกรัฐบาลจากบุคคลหลายคณะ หรือหลายพรรค ทุกวันนี้รัฐบาลของรัฐสมัยใหม่มีความแตกต่างใน เร่ืองการเป็นประชาธิปไตยอยู่บ้างไม่มากก็น้อย ซ่ึงท้ังน้ีข้ึนอยู่กับสภาพความเป็นอยู่ของปวงชนในแต่ละรัฐ บางรัฐประชาชนก็ไม่ค่อยสนใจต่อการเมือง (political apathy) ซ่ึงทาให้ความเป็นประชาธิปไตยไม่ประสบ ความสาเร็จเท่าท่ีควร ดังนั้น ในรฐั บาลประชาธิปไตย จึงได้มีการเน้นความสาคัญของการศึกษาอบรมทางการ เมืองและการสง่ เสรมิ ความสนใจของปวงชนตอ่ การปกครอง ถึงแม้ว่ารัฐบาลประชาธิปไตยจะมีข้อดีอยู่มากก็ตาม แต่ก็มีข้อเสยี อยู่เหมือนกัน กล่าวคือ รัฐบาลรูปน้ี เป็นรัฐบาลที่เล่ียงอันตรายมาก เพราะรัฐบาลรูปน้ีส่งเสริมให้นักการเมืองท่ีดีแต่พูด (Demagogue) หรือผู้ที่มี อานาจในการซ้ือคะแนนเสียงเลือกตั้งให้สินบนแต่ผู้มีสิทธิเลือกต้ัง เลือกตนเข้ามาปกครองประเทศ นอกจากน้ี แล้วเปิดโอกาสให้นายทหารช้ันนายพลผู้มีอานาจสูงสุดในรัฐเข้าเล่นการเมืองได้ ซึ่งนักวิชาการท่ีไม่นิยม ประชาธิปไตยยังกล้าเขียนไว้ว่า ข้าราชการทหารอาจเข้าเล่นการเมืองโดยอ้างวา่ นกั การเมืองทาให้บ้านเมืองยุ่ง

เหยิง นอกจากข้อเสียดังกล่าวน้ีแล้ว รฐั บาลรูปนี้ยังเป็นรัฐบาลพรรคการเมืองที่มุ่งหวังรวมอานาจให้นานท่ีสุด เท่าท่ีจะนานได้ทาให้เป็นรัฐบาลท่ีไม่ใช้เป็นของปวงชนหรือรัฐบาลโดยผู้แทนท่ีปวงชนเลือกซึ่งเป็นการขัดต่อ หลักการของประชาธิปไตย นอกจากนนั้ รัฐบาลในรูปน้ียงั เปิดโอกาสให้มีการโกงกิน (Corruptions) มากกว่าท่ี ปรากฏในรัฐบาลกษัตริยแ์ ละรัฐบาลอภิชนาอธปิ ไตย 4.รัฐบาลเผด็จการ (Dictatorship) ในระหว่างสงครามโลกครั้งที่ 1 (1914-1918) การปกครองมี แนวโน้มไปในรูปรัฐบาลประชาธิปไตย สงครามโลกคร้ังที่ 1 เป็นการต่อสู้ระหว่างประชาธิปไตยและเผด็จการ ซึ่งในที่สุดฝ่ายประชาธิปไตยเป็นฝ่ายชนะ และได้มาการเซ็นสนธิสัญญาแวร์ซายซ่ึงมีวัตถุประสงค์ป้องกันมิให้ ประเทศฝ่ายประชาธิปไตยถูกรุกรานอีกต่อไป ประเทศท่ีไม่ได้เซ็นสัญญาในครั้งน้ีได้แก่ รัสเซีย เพราะใน ขณะน้ันมีการปฏิวัติเกิดขึ้นในรัสเซีย และรัสเซียได้เซ็นสัญญาสงบศึกกับเยอรมันเป็นพิเศษต่างหากจาก สนธสิ ญั ญาแวรซ์ าย การปฏวัติในรสั เซยี คร้งั น้ีไดเ้ ป็นหนทางนาไปสกู่ ารก่อตัง้ สหภาพโซเวียตข้นึ โดยอานาจ การ ปกครองของประเทศท้ังหมดตกอยู่แก่พรรคคอมมิวนิสต์ ส่วนเยอรมันหลังจากฮิตเลอร์เข้ายึดอานาจการ ปกครองในเยอรมนั ก็มีการจัดต้ังพรรคนาซี ซึง่ เป็นพรรคเดียวที่มีอานาจการปกครองในอิตาลี มุสโสลนิ ี ก็ได้จัด ให้มรี ะบบเผด็จการฟาสซิศต์ ในปี 1949 ผนื แผ่นดินใหญ่ของประเทศจีน ก็ได้มีการจัดตั้งรัฐบาลเผด็จการแบบ คอมมิวนิสต์ขึ้นปกครองชาวจีน หลังจากท่ีพรรคคอมมิวนิสต์รบชนะรัฐบาลจีนชาติภายใต้การนาของเจียงไค เช็ค ในปัจจุบันรัฐบาลเผด็จการแบบคอมมิวนิสต์มีอยู่ในยุโรปและเอเซียหลายประเทศ เช่น รูมาเนีย บุลการ เรีย โปแลนด์ สาธารณรัฐประชาชนจีน เยอรมันตะวันออก เกาหลีเหนือและเวียดนามเหนือ เม่ือเกิด สงครามโลกครั้งที่ 2 ก็เป็นการต่อสู้อย่างเช่นเคย ระหว่างค่ายประชาธิปไตยและค่ายเผด็จการ เม่ือสงคราม ส้ินสุดลงรัฐบาลเผดจ็ การนาซีและเผดจ็ การฟาสซิสต์ถกู ทาลายไป สว่ นรฐั บาลเผด็จการคอมมิวนิสต์ยังคงอยู่ ในปัจจุบัน ถึงแม้ว่ารัฐบาลเผด็จการนาซีและฟาสซิสต์จะหมดไปแล้วก็ตามโลกก็ยังคงเผชิญกับภัย คุกคามของฝ่ายคอมมิวนสิ ต์ซึ่งมีรัฐบาลแบบเผด็จการและปกครอง พลเมืองของโลกประมาณครึ่งหนึ่งอยู่ และ รัฐบาลเผด็จการคอมมิวนิสต์น้ีกาลังหาทางขยายตัวมากข้ึน โดยเฉพาะในดินแดนที่ล้าหลัง และด้วยพัฒนา (underdeveloped areas) เช่นในเอเชียและอัฟริกา โลกปัจจุบันแบ่งออกเป็น 2 ค่ายคือ ค่ายเสรี ประชาธิปไตยและคา่ ยคอมมวิ นิสต์ ซงึ่ ทงั้ สองค่ายต่างฝ่ายต่างก็เปน็ ปฏิปักษ์ต่อกัน ถ้าหากจะมีสงครามโลกเกิด อีกครงั้ หน่ึงก็คงจะเป็นการต่อสู่ระหว่างฝ่ายประชาธิปไตยและฝ่ายคอมมิวนิสต์ สว่ นฝ่ายไหนจะเป็นผชู้ นะหรือ ผ้แู พ้น้นั ไม่อาจจะทานายได้ แต่กม็ ีความหวงั วา่ ประวตั ิศาสตร์คงจะซ้ารอย น้ันก็คือ ฝ่ายประชาธปิ ไตยจะเปน็ ผู้ กาชัยชนะเหมือนกับสงครามโลกคร้ังท่ี 2 ท่ีผ่านมา เม่ือใดฝ่ายประชาธิปไตยเป็นฝ่ายชนะประชาชนประมาณ คร่ึงหน่ึงของโลกท่ีอยู่ภายใต้การปกครองของรัฐบาลเผด็จการคอมมิวนิสต์ ก็จะมีโอกาสได้พบกับการปกครอง ประชาธปิ ไตยอกี คร้ังหน่ึง 1.1.4 อานาจอธิปไตย สว่ นประกอบท่สี าคญั ท่ีส่ีของรัฐ ไดแ้ ก่ อธิปไตย ซึ่งถอื ว่าเปน็ อานาจสงู สุด (Supreme Power) ในการ ปกครองประเทศ กล่าวอย่างง่ายๆก็คือ การท่ีรัฐมีอานาจอธิปไตยทาให้รัฐสามารถดาเนินงานท้ังภายในและ ภายนอกของตนอยา่ งเป็นอิสระโดยปราศจากการควบคมุ ของรัฐอน่ื ๆอานาจอธิปไตยหรอื อานาจสูงสุดน้รี ัฐมอบ ให้รัฐบาลเป็นผู้ใช้ รัฐบาลจึงมีอานาจสูงสุดในประเทศในการปกครองทุกอย่าง รัฐมีอานาจอธิปไตยก็คือ รัฐก็ เป็นอิสระหรือเอกราช (Independence) คาว่า อธปิ ไตยอาจให้นิยมว่า “เป็นสภาพบุคคลของรัฐท่มี เี อกราชใน

ความสัมพันธ์กับสมาชิกอ่ืนๆในสังคมนานาชาติ” เพราะฉะน้ันกฎบัตรสหประชาชาติมาตรา 2 จึงกล่าวว่า “องค์การย่อมถือหลักแห่งความเสมอภาคในอธิปไตยของสมาชิกทั้งมวลเป็นมูลฐาน” แอมเมส เอ เฮอร์ชี (Ames A.Hershey) กล่าวว่ารัฐจะได้รับรองจากนานาประเทศว่าเป็นสมาชิกท่ีเสมอภาคในการติดต่อสัมพันธ์ และในองค์การระหว่างประเทศได้ อธิปไตยของรัฐเป็นส่วนประกอบท่ีขาดมิได้ในการกระทาให้รัฐมีสภาพเป็น บุคคลระหว่างประเทศ (international person) ข้อท่ีน่าสงสัยอีกอย่างหน่ึงก็คือในสมัยโบราณเมื่อรัฐมี อธปิ ไตยกเ็ ช่อื ว่ารัฐมีเอกราชหรอื อิสรภาพอยา่ งสมบรูณ์ แตใ่ นปัจจบุ ันเปน็ การยากที่รัฐมีอธิปไตยจะดาเนินการ ทงั้ ภายในและภายนอกประเทศได้โดยอสิ ระ เพราะรัฐไมอ่ ยู่เหนอื กฎหมายแต่อยู่ภายใตก้ ารบงั คับของกฎหมาย ซ่ึงเรื่องน้ีใช่จะเกิดข้ึนกับรัฐเล็กๆเท่านั้นแต่ยังเกิดข้ึนกับรัฐใหญ่ๆอีกด้วย ถึงแม้ว่ารัฐมีอิสระท่ีจะปกครอง พลเมืองของตนได้อย่างไรก็จริงอยู่แต่ยังต้องคานึงถึงข้อท่ีว่าตนยังคงอยู่ภายใต้บังคับของกฎหมายระหว่าง ประเทศหรือกฎบัตรสหประชาชาติว่าด้วยการปกครองพลเมืองตัวอย่างเช่น ทุกวันน้ีสหประชาชาติรับรู้ความ จาเป็นในการสง่ เสริมสทิ ธิมนุษยชนและเสรภี าพของมนษุ ย์ ดังนน้ั เมื่อมีเรอื่ งเกดิ ขึ้นเก่ียวกับนโยบายรังเกียจผิว (Apartheid Policy) ในสหภาพอัฟริกาใต้ สหประชาชาติจงึ ยื่นมอื เข้ามาเกีย่ วข้อง 1.2 ระบบของรัฐ (State System) ตั้งแต่อดีตจนถึงปัจจุบัน ระบบของรัฐแบ่งออกเป็น 6 แบบด้วยกัน ซ่ึงระบบของรัฐบางระบบยังมีอยู่ ในโลก และบางระบบได้สลายไป บางสมัยก็มกี ารนาเอาระบบเก่าๆมาใช้และระบบรัฐบางระบบท่ีคล้ายคลึงกัน บางครงั้ กเ็ กดิ ขึน้ ในสถานทแี่ ละเวลาทีแ่ ตกต่างกนั 1..2.1 ระบบรัฐแบบเผ่า (Tribal State) ต้ังแต่แรกเริ่ม รัฐท้ังหลายเกิดขึ้นในระบบหมู่ชน (Tribal System) รัฐเหล่าน้ีมีลักษณะบางอย่าง คลา้ ยคลงึ และบางอย่างแตกตา่ งกนั ลักษณะของรัฐเปน็ รฐั เล็กๆ มหี ัวหนา้ เป็นผ้ปู กครอง ซงึ่ มกั จะมีท่ีปรกึ ษาใน รูปคณะมนตรีหรือสภาที่ปรึกษา (Advisory Councils) หมู่ชนที่ประกอบขึ้น ซ่ึงเราเรียกรัฐนี้ว่า บางหมู่ก็ เร่ร่อนทามาหากินไม่เป็นหลักแหล่งบางหมู่ก็ตั้งหลักแหล่งถาวร ความสัมพันธ์ของรัฐระบบนี้กับรัฐอื่นๆ ตลอดจนขอบเขตของอานาจทางการเมืองของรัฐในระบบน้ีเป็นไปลักษณะแคบๆหัวหน้าของรัฐหมู่ชนน้ี บาง คนก็เป็นทรราช (Tyranny) บางคนก็มีศีลธรรมในการปกครอง สมาชิกในรัฐของระบบน้ี มักจะรักษา ขนบธรรมเนียมประเพณีอย่างดี ไม่ยอมให้บุตรหลานของพวกตนไปแต่งงานกับชนหมู่อ่ืน ในบางคร้ังหมู่ชนนี้ รวมกันเข้าไปในรูปสหพันธรัฐ (Confederal state) โดยไม่มีข้อสัญญาผูกพันซ่ึงกันและกัน ระบบรัฐหมู่ชนน้ี เปน็ ระบบท่ีปรากฏอยู่ในประวตั ิศาสตรข์ องโลกตลอดมา ในปัจจบุ ัน บางส่วนของโลกในเอเชียและอัฟริกา ยังปรากฏมีรัฐหมู่ชนอยู่โดยมีลักษณะเป็นรัฐของชน หมู่น้อย หรอื คนโบราณ หรอื หมูช่ นที่รวมกนั เข้าเป็นรัฐทกี่ าเนิดขึ้นใหม่ในอฟั รกิ า 1.2.2 ระบบรฐั แบบจักรภพ (State Empires) รฐั แบบจักรภพน้ี เกิดขึ้นในทางตะวันออกแถบลุม่ แม่น้าในท่ีอดุ มสมบูรณ์ รวมท้ังแมน่ ้ายูเฟรตีส แมน่ ้า คงคา แม่น้าแยงซี ซ่ึงเรียกกันว่าอู่ของความเจริญ (Cradles of Civilization) จักรภพที่เกิดขึ้นบริเวณที่กล่าว

มา ไดแ้ กอ่ ียปิ ต์ แอสซีเรยี อนิ เดยี และจนี จักรภพเหล่าน้เี กิดจากการรวมเอาพลเมืองหลายเผ่าเข้าดว้ ยกัน โดย มีเผ่าหน่ึงแข็งแรงและรบชนะอีกเผ่าหน่ึง ได้เอาเผ่าท่ีแพ้สงครามเข้ามารวมกับเผ่าของตน และจัดตั้งเป็นจักร ภพ (Empire) ขึ้นในดินแดนที่อดุ มสมบรู ณ์ดังท่ีได้กล่าวมา จักรภพเหลา่ นี้ไมไ่ ดม้ ีการรวมอานาจไวก้ ับส่วนกลาง (Centralization) อย่างเต็มที่ แต่มีหน่วยการเมืองต่างๆอยู่ภายใต้การบังคับบัญชาของส่วนกลาง หน่วย การเมืองเหล่านี้ถงึ แมว้ ่ามีอานาจในการปกครองภายในของตนเองกต็ าม กย็ ังมีพันธะทจ่ี ะต้องเกณฑ์ทหาร และ สง่ เครอ่ื งราชบรรณาการไปให้แก่รฐั ส่วนกลางอกี ภายในจักรภพเหล่าน้ี มีการแบ่งช้ันวรรณะในสังคม พิธีการศาสนามีอิทธิพลสูงกว่าพิธีการใน ครอบครัว กษัตริย์ถูกยกย่องเป็นหนึ่งในสังคม ประชาชนถูกปล่อยให้รับผิดชอบชีวิตของตนเอง เพราะการ ให้บริการอย่างท่ัวถึงทาไม่ได้ ชนชั้นนักปกครอง นักการทหาร และพระ เป็นพวกท่ีมีส่วนในการปกครองรัฐ กษัตริย์บางองค์ขยายอาณาเขตโดยวิธีการรุกรานและเมื่อมรี ัฐอนื่ มาอยู่ใต้อานาจปกครองกเ็ กิดมีการตัดต้งั จักร ภพข้ึนระบบรฐั ตามแบบจกั รภพน้นั มีปัญหาหลายประการ อาทิเช่น การรวบรวมอานาจให้อยู่กับสว่ นกลางนั้น ไม่อาจทาได้ผล เพราะการคมนาคมไม่สะดวกจึงทาให้หัวหน้าของท้องถ่ินที่มีอานาจมากเป็นกบฏต่อส่วนกลาง อยู่เสมอๆจงึ อาจกลา่ วไดว้ ่า จักรภพเปน็ รฐั ที่รวบรวมอานาจไมเ่ ด็ดขาด เพราะเปน็ การรวบรวมรัฐทห่ี ละหลวม ลักษณะที่คลายคลึงกันของจักรภพทางตะวันออกก็คือ พลเมืองท่ีอาศัยอยู่ในจักรภพส่วนใหญ่ที่มี อาชีพทางเกษตรกรรม และจักรภพนั้นตั้งอยู่บนผืนแผ่นดินใหญ่ จักรภพเหล่าน้ีถือว่า ทะเลเป็นเครื่องกีดขวาง ในการคมนาคม ศูนย์กลางของอารยธรรมของจักรภพเหล่าน้ีอยู่ในลุ่มน้าแทนท่ีจะเป็นฝั่งทะเล จักรภพต่างๆ เหลา่ น้ีต่อมาไดส้ ลายตวั ลง เพราะสงครามและความยงุ่ เหยิงภายในจกั รภพ 1.2.3 ระบบนครรฐั กรีก (Greek City-Steta) ระบบนครรัฐกรีก ได้เกิดขึ้นในสมัยกรีกโบราณประมาณ 700 ปีก่อนพระเยซูประสูติและดารงคงอยู่ จนกระท่ังจักรวรรดิโรมันเสื่อม ในศริสต์ศักราชที่ 5 กรีกได้เจริญถึงขีดสุดในอารยธรรมของรัฐรูปนี้(ดู Field , Government in Modern Society ,pp. 45-47,57-58) นครรัฐกรีกประกอบด้วย นครรัฐหลายร้อยนครรัฐ ด้วยกัน ซ่ึงยากต่อการรวมกันเพราะธรรมชาติ เช่น ภูเขาเเละทะเลเป็นเคร่ืองกีดขวาง จึงทาให้เเต่ละเมืองมี สภาพเเตกต่างไปจากเมืองอื่นๆนอกจากนี้ เเม้พวกกรีกในสมยั นนั้ นบั ถือศาสนาเดียวกนั คือ การนบั ถือพระเจ้า Zeus หรือพระพฤหัสบดีร่วมกัน พูดภาษาเดียวกัน เเต่ก็ไม่ยอมรวมกัน ความสัมพันธ์ระหว่างสายเลือด (Kinship) ก็ลดน้อยลงไป เกิดมีความรู้สึกรักเมืองของตนเข้ามาเเทนท่ี อย่างไรก็ดี เเม้นครรัฐเเต่ละรัฐไม่ยอม รวมกัน เเตก่ ็ยงั มีความรสู้ กึ ว่าเป็นเผ่าเดียวกนั การรบพุ่งระหว่างรฐั นครรฐั มอี ยู่เป็นประจา ในนครรัฐกรีก ศาสนา มีอิทธิพลเหนือรัฐเพียงเล็กน้อยเเละไม่เคยมีอานาจเด็ดขาด เมืองหรือ Polis ของกรีกมีความหมายดั้งเดิมว่าเป็นสถานที่มีความม่ันคงเเข็งเเรงเป็นท่ีประชาชนทุกวัยทุกอาชีพมาพบปะหรือ ทางานรว่ มกนั เเละเปน็ สถานทท่ี ีม่ รี ะบบปอ้ งกันการรกุ รานไดเ้ ป็นอยา่ งดี ประชาชนในเมืองมีความสนใจในการ ปกครองมากเเละได้มีการเปิดโอกาสมห้ประชาชนได้ซักถามหรือสนใจปัญหากฎหมายเเละการปกครองเมื่อ ต่างๆในนครรัฐกรีกมีประชาธิปไตยโดยเเท้จริง ประชาชนทีเสรีภาพ เเละศูนย์กลางของชีวิตการเมืองของนคร เอเธนส์ได้เเก่ อโครโปลิศ (Acropolis) ซึ่งแปลว่า \"เมืองสูง\" (High Polis) ซ่ึงต้ังอยู่บนยอดสูงกลางนคร ซ่ึง ปรากฏอยู่จนทุกวันน้ี ขอ้ ที่น่าสังเกตก็คือส่ามีการเเข่งขันชงิ ดีชิงเด่นกันระหว่างเมืองต่างๆเเละในเมืองก็มรการ เเบ่งเเยกออกเป็นพวก (Factions) คล้ายกับพรรคการเมืองในปัจจุบัน การเเข่งขันดังกล่าวทาให้ไม่สามารถ

รวมกันเปน็ แระเทศกรกี ขึน้ มาได้ เมืองตา่ งๆบางเมอื งกถ็ ือว่าเมอื งอื่นเปน็ ศัตรผู ลเสียของระบบนครรัฐของกรกี ก็ คือ ไม่มีความเป็นอันหนึ่งอันเดียวกัน (Lack of Unity)ซึ่งต่อมาได้ถูกทาลายโดยพระเจ้าอเล็กซานเดอร์มหา ราชในทสี่ ดุ ถึงเเม้ว่าน ครรัฐกรีกจะทีความอ่ อนเเอใน ด้าน กาลังทห ารเเต่ก็ มีรัฐบ าล ปกครองต กเองอยู่อย่ างมีระเบีย บ เรยี บร้อยท่สี าคัญทส่ี ุดก็คอื ประชาชนมีสิทธิเสรภี าพสง่ิ เหลา่ นเี้ เหละเปน็ รากฐานของอารยธรรมที่ชนร่นุ หลังได้ ศึกษาคน้ คว้าในเวลาตอ่ มา 1.2.4ระบบจักรภพโรมนั (Roman Empire) หลังจากท่ีนครรัฐกรีกถูกทาลายโดยน้ามือของพระเจ้าอเล็กซานเดอร์มหาราชในศตวรรษที่ 4 ก่อนศ รสิ ต์ศักราช พระองค์ได้นาเอาระบบเผด็จการตะวันออก (Oriental Despotism) มาใช้ช่ัวคราว จกั รวรรดิของ พระเจ้าอเล็กซานเดอร์สลายตัวลงเมื่อพระองค์สวรรคตเเละได้กลายเป็นนครรัฐเล็กๆต่อไปอีก จากน้ีไป วิวัฒนาการทางการเมืองที่สาคัญส่วนมากได้เกิดข้ึนในกรุงโรมซึ่งถือกาเนิดประมาณ 300-400 ปีก่อน คริสต์ศักราชโดยมีลักษณะเหมือนอย่างนครรัฐในกรีก ต่อมาโรมสามารถเอานครรัฐอ่ืนๆในดินเเดนซ่ึงใน ปัจจุบันเรียกวา่ อิตาลีมาขึ้นกับตนทั้งหมด ซึ่งทาให้โรมมีกาลังมากขึ้นจนสามารถแผ่จักรวรรดิออกไปจนได้ดิน เเดนทั้งหมดในคาบมหาสมุทรเมดิเตอร์เรเนียนภายในโรมมีชนหลายเผ่ารวมกันอยู่ มีความก้าวหน้าทาง วัฒนธรรมเป็นอย่างดี สาพภายในนครรัฐโรมน้ีมีลักษณะอย่างเดียวกันกับนครรัฐของกรีกกล่าวคือ กษัตริย์ คณะมนตรีเเละสภา ซ่ึงเกิดขึ้นจากองค์การครอบครัวเเละกลุ่มชน ต่อมาก็มีพวกขุนนางซึ่งมีอทิ ธิพลจากการสืบ เช้ือสายจากบรรพบุรุษที่มีอิทธิพล เเละตากความม่ันคงเข้ามาปกครองประเทศดดืนกษัตริย์ สมาชิกมีอานาจ ขยายเพิ่มขึ้น มีการให้สิทธิต่างๆเเก่ประชาชนมากข้ึน ผู้ปกครองรัฐโรมเชื่อว่า นครรัฐกรีกสูฐสลายเพราะเกิด การเเตกเเยกภายใน ดังนั้นชนชั้นปกครองของกรุงโรมจึงให้สัญชาติหรือความเป็นพลเมืองเเก่คนจานวนมาก ที่สุดเท่าที่จะมากได้ปลจากการให้สัญชาติทาให้เกิดความมั่นคงเเละความสามัคคี เพราะประชาชนต่างก็มี ความรสู้ ึกว่าเปน็ ชนชาติเดยี วกนั จงึ เป็นวิธีการท่ดี ีอย่างหน่ึงในการป้องกนั การเเตกเเยกภายในนครรัฐโรม นครรัฐโรมได้ทาสงครามแผ่ขยายอานาจ เเละได้รวมเอานครรัฐอ่ืนเข้ามาไว้ในอาณาจักรโรม ในศตวรรษท่ี 3 กอ่ นคริสตศ์ ักราช จกั รวรรดทิ างตะวันออกของพระเจา้ อเลก็ ซานเดอรก์ ลายเป็นดินเเดนส่วนหนึง่ ของอาณาจกั ร โรม โรมได้พัฒนารูปแบบของรัฐเเละรูปของรัฐบาลใหม่ รัฐธรรมนูญเเละกฏหมายที่ใช้ในระบบนครรัฐใช้ไม่ ได้ผลเมื่อนาม่ใช้กับจักรวรรดิท่ีมีอาณาจักรกว้างใหญ่ไพศาล การทาสงคามเป็นประจาทาให้ระบบรัฐบาลโรม ตกอยู่ภายใต้อานาจผู้นาทางทหาร ซ่ึงเรยี กว่า Imperator หรือ Commander ซ่ึงตอ่ มาไดก้ ลายเป็นคาท่ีเรียก กันว่าจัดรวรรดิ (Emperor) โรมมีความเช่ือว่า \"ถ้าต้องการมีสันติภาพเเล้ว ต้องเตรียมตัวทาสงครามไว้ให้ พร้อม\"ประชาธิปไตยของโรมก็สลายตัวไปโดยมีการปกครองเเบบทรราชย์เข้ามาเเทนที่โดยมีข้าราชการพล เรือนเเละระบบราชการเป็นเคร่ืองมือ ประชาชนถูกบังคับให้กราบไหว้จักรวรรดิ มีการรวมอานาจไว้ใน ส่วนกลางโดยกฏหมายฉบับเดียว การกระทาท้ังหมดท่ีกล่าวมาน้ันผู้ปกครองจักรวรรดิโรมันเช่ือว่า เป็นพลัง สาคัญท่ีสดุ ในการรวมจักรวรรดโิ รมันใหเ้ ปน็ ปกึ แผ่นได้ การปกครองจกั รวรรดิโรมันได้ผลดมี าก เพราะจะเหน็ ได้ ว่ามีอายุถึง 5 ศตวรรษ สาหรับจักรวรรดิทางตะวันออก มีอายุถึง 15 ศตวรรษ อย่างไรก็ตาม จักรวรรดิโรมัน อนั กว้างขวางก็มีผลเสียอย่เู หมือนกันกล่าวคือ ต้ังเเต่สมัยซีซาร์ (Cesar) เป็นต้นมา ถึงเเม้ว่าประชาชนพลเมือง ท่ีมีสัญชาติเดียวกันมีจานวนเพ่ิมมากข้ึนเเต่ไม่มีสิทธิร่วมในการปกครอง สิทธิเสรีภาพของประชาชนเริ่มเลือน

หายไป การปกครองส่วนท้องถ่ินเร่ิมมีน้อยลง โดยมีการรวมอานาจในส่วนกลางมากข้ึน สภาพจักรวรรดิโรมัน กับนครรัฐกรีกเเตกต่างกันในข้อท่ีว่า นครรัฐกรีกมีประชาธิปไตย เเต่ไม่มีความเป็นอันหน่ึงอันเดียวกัน (Democracy Without Unity) ถึงเเม้ว่าจะมีผลเสียดังกล่าวก็ตาม โรมยังขึ้นช่ือว่าเป็นเเหล่งที่ทาให้เกิด รากฐานในการจัดระเบียบทางการเมืองของรัฐ เป็นต้นว่าการจัด งค์การของรัฐ ความเป็นอันหนึ่งอันเดียวกัน ของรัฐซ่ึงคล้ายกับระบบรัฐเดี่ยว (Unitary Steta) ที่ปรากฏอยู่ในปัจจุบัน อาทิเช่น ประเทศไทยเเละประเทศ อังกฤษ เป็นต้น นอกจากนี้โรมยังไดใ้ หบ้ ทเรียนท่สี าคัญในเรื่องประมาลกฏหมายอัยเดียวกันของรัฐซ่ึงเรียกเป็ย คาลสตินวา่ Jus Gentium เเละในเร่ืองสันติภาพของโลก (Pax Romana) ซ่ึงจัดได้วา่ เป็นปัจจัยสาคัญในระยะ เร่มิ ก่อต้งั รฐั จักรวรรดิโรมันในขณะน้ันอยู่ได้เพราะกาลังทหารเเละนโยบายปราบปราม ซ่ึงประมุขเเห่งจักรวรรดิ เชื่อว่าเป็นสิ่งท่ีทาให้เกิดการรวมกันอย่างสันติสุข ต่อมากรุงโรมไม่อาจต่อต้านการรุกรานของพวกติวโตนิค (Tutonic)ซึ่งโรมเคยปกครองมาก่อน เพราะเกิดความไม่เป็นอันหน่ึงอันเดียวกันภายในจักรวรรดิโรมัน ในราว ครสิ ตศ์ ตวรรษท่ี 5 จกั รวรรดิโรมนั ทางตะวันตกก็ เเยกออกตากกันเป็นดินเเดนต่างๆ ภายใต้การควบคุมของพวกติวโตนิคส่วนตัวโตนิคดินเเดนบายเเซนติน (Byzantine)ท่ีตั้งอยู่ทางตะวนั ออกของจกั รวรรดิยังอยู่ภายใต้อทิ ธิพลโรมัน ต้อมาพลเมืองโรมรวมกับพวกติวโต นิคเเละสถาบันของทั้งสองฝ่ายกร็ วมเข้าดว้ ยกัน เม่ือถงึ สมัย Renaissance อันเป็นสมยั ฟื้นฟูวัฒนธรรมยุโรปใน ศตวรรษที่ 15 เเนวความคิดทางการเมืองกับสถาบันเก่าๆ ได้ถูกพวกติวโตนิคนามาดัดแปลงให้เป็นผลดีต่อรัฐ ซึง่ ทาให้เกิดอารยธรรมแผนใหม่ (Moderm Civilization) รวมท้ังทาให้เกิดรัฐในรูปซึง่ เราเรียกกันว่า รัฐเจา้ ขุน มลู นาย (Feudal Steta) 1.2.5รฐั เจา้ ขนุ มลู นาย (Feudal Steta) ระบบรัฐเจ้าขุนมูลนายหรือขุนนาง ซ่ึงเกิดข้ึนในสมัยกลางนี้ถือว่าสิทธิเด็ดขาดเหนือพื้นดิน เจ้าของ ที่ดินเป็นเจ้าขุนมูลนายซ่ึงอาจได้กรรมสิทธ์ิในที่ดินมาโดยกษัตริย์มอบให้ในฐานะเป็นผู้รบชนะโรมัน หรือใน กรณีที่กษัตริย์ผู้มอบกรรมสิทธ์ิท่ีดินให้เเก่ ขุนนางชั้นผู้ใหญ่ (Great Lords) โดยหวังท่ีจะได้รับการช่วยเหลือ เเละสนับสนุนจากพวกขุนนางเหล่าน้ัน เเละขุนนางชั้นผู้ใหญ่ท่ีจะมอบสิทธิในการใช้ที่ดินนั้นได้เเก่ ขุนนางชั้น ผู้น้อย (Lesser Lord) เพ่ือวา่ ขุนนางผู้นอ้ ยจะได้ชว่ ยเหลือตนในด้านทรัพย์สินเเละกาลังคนเม่ือมีความตอ้ งการ ในรัฐเจ้าขุนมูลนายนี้มีความสัมพันธ์ระหว่างเจ้าของที่ตนหรือเจ้าขุนมูลนาย (Lord) กับผู้อยู่ใต้อิทธิพลที่ เรียกว่า Vassal เเละปรากฏว่าไม่มีความสามัคคีเเละเสรีภาพในรัฐนี้เลย สิ่งเดียวท่ีสามารถรักษาความสามัคคี เเละความเป็นอันหน่ึงอันเดียวกันไว้ได้ ก็คือ ศาสนาคริสเตียน (Christian Church) ในสมัยต่อมามีการจัดกัน ในเร่อื งอานาจการปกครองวา่ จะเป็นของรัฐ (Steta) หรือจะเป็นของศาสนา (Church) ซ่ึงหมายถึง ฝ่ายพระ ในสมัยกลางนี้รูปของรัฐไม่ได้ปรากฏให้เห็นชัด คงมีเเต่รูปของสถาบันทางการเมืองการกระจายอานาจไม่มี หลักเกณฑ์เเน่นอน กฏหมายก็เเตกต่างกันออกไป มีการจงรักภักดีต่อองค์การหลายองค์การ การรวมกันของ รัฐบาลเเละศาสนา เเละมีการรวมกันของผู้มีกรรมสิทธเิ หนือพ้ืนดิน ซึ่งได้เเก่ พวกเจ้าขุนมูลนาย ข้อที่น่าคิด ก็ คือ เเนวความคิดปัจจุบันในด้านการเมืองได้เกิดจากระบบการเมืองสมัยกลาง เช่น หลักของการเป็นตัวเเทน (Representation)หลักของการจากัดอานาจของรัฐบาล (Limited Government) หลักเเห่งกฏหมาย(The Rule of Law)เเละหลักที่ถือว่ารัฐบาลควรจะเกิดขึ้นจากความยินยอมของประชาชนระบบรัฐเจ้าขุนมูลนาย

เกิดขึ้นในยุโรปตะวันตกระหว่างคริสต์ศตวรรษที่5เเละศตวรรษท่ี15 ในตอนต้นของยุคกลางไม่มีใครทราบเเท้ จรงิ เกี่ยวกับโครงร่าง เเละระบบทางการเมอื ง เเละการปกครองท่รี ู้เเนช่ ัด ก็คือ ระบบขันนาง (Feudalism) มน ตอนปลายสมัยกลางมีความเจริญทางด้านการค้าขายเกิดมีเมืองท่ีเป็นศูนย์การค้าเพิ่มขึ้นในอิตาลีเเละเยอรมัน พวกท่ีค้าขายไม่ค่อยลงรอยกับพวกเจ้าของที่ดินเเละไม่สนับสนุนระบบเจ้าขุนมูลนายเเละพยายามไม่ข้ึนกับ พวกเจ้าของท่ีดิน ผลเเห่งการไม่ลงรอยกนั ทาให้เกิดนครรัฐขึ้นใหม่หลายเมือง ซ่ึงภายในเมืองมีความพยายามท่ี จะมีประชาธปิ ไตยเเบบกรกี ซ่ึงตอ่ มามกี ารเปล่ียนแปลงอย่างช้าๆเเต่มั่นคงจากระบบขุนนางม่สรู่ ัฐสมยั ใหม่โดย ทีป่ ระชาชนไมค่ ่อยมคี วามรู้สกึ ในการเปล่ียนแปลงทีบ่ ังเกิดข้ึน 1.2.6 ระบบรัฐใหม่(National State or Modern Stare หลังจากระบบรัฐขนุ นางไดส้ ูญสลายไปเเล้วได้เกอดการเปลย่ี นแปลงทางการเมืองที่สาคัญ น้ันก็คอื รัฐ กับศาสนาเกิดไม่ลงรอยกันมนปัญหาหลายเรื่อง ในศาสนาเองก็มีการเเตกเเยก เพราะมีพวกพระที่สนใจใน การปฎิรูปทางศาสนา (Reformation) ไม่พอใจในลักษณะเดิมของศาสนาที่ใช้อยู่ในขณะนั้น ประชาชนที่ตั้ง หลกั ฐานเป็นหลักเเหล่งเกิดมีความรบั ผดิ ชอบเเละมผี ลประโยชนร์ ่วมกันขึ้น ซ่ึงสง่ ผลให้เกิดทีความตอ้ งการของ ประชาชนที่จะมีรัฐชนิดใหม่ข้ึน ดังน้ัน จึงมีการรวมดินเเดนต่าๆเข้าเป็นประเทศหลายแระเทศในยุโรป เช่น ฝรั่งเศส สเปญ อังกฤษ สวิสเซอร์เเลนด์ เนเธอร์เเลนด์ รัสเซีย เยอรมันกับอิตาลี การเเยกออกเป็นประเทศ ตา่ งๆนี้ทาให้เกดิ มีความนึกคดิ ของเเต่ละประเทศซึ่งทคี ามเเตกตา่ งกันออกไป จึงเป็นหนทางทาใหเ้ กิดกฎหมาย ระหว่างประเทศเพื่อควบคุมความคิดเเละการกระทาท่ีเเตกต่างของรัฐ รัฐมีความเข้มเเข็งกว่าเดิมมาก จนกระทั่งทาให้ผู้ครองนครเล็กต่างๆท่ีอยู่ในเขตอานาจของรัฐหมดความสาคัญลง กษัตริย์ของรัฐรูปใหม่น้ีมี ความเข้มเเข็ง อาทิเช่น พระเจ้าเฟอร์ดินัน กับพระนางไอซาเเบลลา เเห่งสเปญ การอภิเษกสมรสของสอง พระองค์น้ีทาให้สเปญมีฐานะเป็นรัฐเเห่งชาติ ในปี ค.ศ.1462 เเละในปี ค.ศ.1485 การสมรสระหว่างพระเจ้า เฮนร่ีที่ 8 กับพระนางเจ้าเอลิซาเบธเเหง่ ยอร์คทาให่เกดิ ราชวงศ์ทิวดอร์ทีเ่ ขม้ เเข็งทาให้อานาจของศาสนาลดลง ไปมาก นอกจากน้ีอานาจของรัฐเเละอานาจของศาสนาก็เเยกออกจากกัน เเละกว่าจะเเยกกันได้ก็เกิดสงคราม กลางเมืองเเละสงครามระหว่างประเทศหลายครั้ง ระบบกษัตริย์เเละประชาธิปไตยเริ่มเเพร่หลายออกไผ การ ปกครองรปู ระบบราชวงศก์ ษตั รยิ ์ (Dynastic System)นนั้ มีสองชนิด คอื แบบสมบูรณาญาสิทธิราช (Aboslute Monarchy)เเละระบบประชาธิปไตย (Limited or Domocraric Monarchy) โดยทั่วไปเเล้วการปกครองใน ระบบประชาธปิ ไตย ไม่วา่ ในแบบมีกษัตริย์หรือมีประธานาธบิ ดีต่างมีการใชร้ ะบบการปกครองประชาธิปไตยใน ปัจจุบันอาจเเบ่งออกเป็น 2 กลุ่มคือ กลุ่มประเทศประชาธิปไตยที่มั้นคง (Stable Democracy) เเละกลุ่ม ประเทศท่ีมีประชาธิปไตยไม่มั่นคง (Unstable Democracy)ซึ่งได้เเก่ ประเทศที่กาลังพัฒนาในอัฟริกา เอเซีย เเละลาตนิ อเมรกิ า จากระบบต่างๆของรัฐที่กล่าวมาน้ัน ไม่มีระบบใดท่ีพอจะพูดได้ว่าเป็นระบบดีที่สุด ระบบรัฐใดดีท่ีสุด น้ันเป็นปัญหาถกเถียงกันในหมู่นักปราชญ์มานานเเล้ว มีการถกเถียงอย่างไม่มีท่ีสิ้นสุดว่าอานาจการปกครอง ของรัฐควรจะอยู่กับบุคคลเดียว บุคคลสองสามคนท่ีเป็นขุนนางหรือควรจะอยู่กับประชาชนส่วนมาก อาทิเช่น พวกนักปราชญ์ชาวกรีกอยากให้พวกอภิชน (Aristocracy) มีอานาจปกครอง เป็นต้น หลักจากก่อต้ังจักรวรรดิ โรมันเเล้วหันมานิยมสมบูรณาญาสิทธิราชมากท่ีสุด ในปัจจุบันรัฐในระบบประชาธิปไตย (Democratic Government) ถือว่าทนั สมัยทส่ี ดุ ในบรรดาระบบการปกครองของรัฐ

1.3 อานาจของรฐั (National Power) ได้ มี นั ก เขี ย น ผู้ มี ช่ื อ เสี ย งท่ี จ ะส ร้า งท ฤ ษ ฎี เก่ี ย ว กั บ ก าร เมื อ งโด ย เฉ พ าะอ ย่ างย่ิ งท ฤ ษ ฎี เก่ี ย ว กั บ ความสัมพันธ์ระหว่างประเทศ โดยอาศัยหลักในเร่ืองอานาจเป็นส่วนใหญ่อาทิเช่น นิคโคโล เเมคเคียเวลลี่ (Niccolo Machiavelli)โธมัส ฮอบส์ (Thomas Hobs) ฮันส์ เจ มอเกนทอ (Hans J.Morganthau)เเละเฟรด เดอริค เเอล ชูเเมน (Frederick L.Schuman)เรื่องอานาจรัฐท่ีเป็นท่ีนิยมใช้กันมากในเม่ือมีการพูดถึงเร่ือง \"การเมืองระหว่างประเทศ\" เพราะเป็นปัจจัยที่มีบทบาทสาคัญในการเมืองระหว่างประเทศ เเละเป็นกุญเเจ สาคัญที่จะนาไปส่กู ารเขา้ ใจในเรื่องกรรเมืองเเละความสมั พนั ธร์ ะหว่างประเทศ คาว่า\"อานาจ\"ถ้ากล่าวอย่างง่ายๆก็หมายถึง \"ความสามารถในการเอาชนะอุปสรรคต่างๆ\"ก่อนหน้า ปฏิวัติเลนินได้เน้นต่อหน้าพรรคพวกว่า อานาจเป็นปัญหาท่ีเกี่ยวข้องกับการเมือง 2 ประการ คือ ใครเป็นผู้ใช้ อานาจเเละใครเป็นผูอ้ ยใู่ ตอ้ านาจเเละในระหว่างปี ค.ศ.1932 ท่ีภาวะเศรษฐกิจตกต่าไปทั่วโลก ชาวเยอรมันได้ ร้องเพลงประท้วงว่า \"พวกตนต้องการเป็นฆ้อนไม่ใช่เป็นเเท่งเหล็กท่ีถูกฆ้อนตี\" โดยท่ัวไปเเล้วคาว่า \"อานาจ\" หมายถงึ ความสามารถในการทาใหผ้ ู้อ่ืนทาตามหรือยอมตามส่งิ ที่ตนปราถนา อานาจของรัฐประกอบด้วยอานาจภายในเเละภายนอก อานาจภายในรัฐน้ัน เเมค ไอเวอร์ (Mac IVER)ได้เเบ่งออกเป็น 3 ชนิด ตามเเบบของรูปปิระมิด คือ การเเบ่งอานาจตามช้ันวรรณะ (Cast Pyramid) การเเบ่งอานาจตามอานาจทางการเมืองเเละเศรษฐกิจหรือเรียกว่าการเเบ่งอานาจในรูปคณาธิปไตย (Oligarchical Pyramid) เเละการเเบ่งอานาจเเบบประชาธปิ ไตย (Democratic Pyramid) องคป์ ระกอบของความคิดเก่ียวกบั อานาจนั้น ไดเ้ เก่ อิทธพิ ล (Influence) เมื่อพูดถึงอานาจของรัฐเรา มักจะพูดถึงอิทธิพลของรัฐด้วย อาจกล่าวได้ว่า รัฐมีอานาจมากย่อมมีอิทธิพลมาก เเละสามารถทาให้รัฐอื่น ปฏิบัติในส่ิงท่ีตนต้องการ \"อิทธิพล\" (Influence)นั้นถือว่าได้ว่า \"เป็นส่วนประกอบอันดับเเรกของความคิด เกย่ี วกับอานาจ\"การกระทาระหว่างรฐั ท่มี อี านาจเเละอิทธิพลมากกบั รัฐท่ที ีอานาจเเละอทิ ธิพลดอ้ ยกว่า 1.3.2 ความสามารถ (Capabilities) องค์ประกอบอันท่ีสองของความคิดในเรื่องอานาจ ได้เเก่ ความสามารถของรัฐในการใช้อิทธิพล เป็น การยากที่จะเข้าใจว่ารัฐใช้อิทธิพลมากเท่าใดถ้าหากไม่ทราบเก่ียวกับความสามารถของรัฐ เป็นท่ีเห็นได้ชัดว่า รัฐเเต่ละรัฐมีอิทธิพลไม่เท่าเทียมกัน บางรัฐก็มีออทธิพลมาก บางรัฐก็มีอิทธิพลน้อย รัฐที่มีอิทธิพลมากมักจะ เรียกว่า รัฐมหาอานาจ (Great powers) รัฐท่ีมีอิทธิพลน้อยก็มักเป็นรัฐท่ีมีอานาจน้อย (Small powers) ความแตกต่างระหว่างรัฐทั้งสองประเภทดังกล่าว อาจคาดคะเนได้จากการดูความสามารถของรัฐ สาหรับ การเมอื งภายในรฐั (Domestic Politics) ปจั จยั ท่ีก่อให้เกิดความสามารถในการ ใช้อิทธพิ ลเหนือผู้อ่ืน ตามทีโ่ ร เบิร์ต เอ ดาล (Robert A.Dahl)ได้กล่าวไว้มีหลายอย่างด้วยกัน อาทิเช่น เงินตรา ความมั่นคง ข่าว เวลา ตาแหน่ง ข้าราชการ เป็นต้น อะไรก็ตามบุคคลซ่ึงมีปัจจัยต่างๆที่ทาให้ตนมีความสามารถน้ันก็ไม่ใช่ว่าจะมี อิทธิพลเหนือประชาชน หรือสง่ั ใหค้ นอื่นปฏิบตั ิสงิ่ ท่ีตนตอ้ งการไดเ้ สมอไป บุคคลจะมีอิทธิพลเหนอื บคุ คลอื่นได้ จะต้องมีความชานาญ รวบรวมความสามารถตา่ งๆ ที่ตนมีอยู่สนับสนุนการใช้อิทธิพลของตน กล่าวอย่างง่ายๆ ก็คือว่าบุคคลถึงแม้จะมีอิทธิพลแต่ถ้าไม่มีความสามารถในการใช้อิทธิพลแล้ว อิทธิพลท่ีตนมีอยู่ก็ไม่มี ความหมายอะไรมากนัก

ในด้านการเมืองระหว่างประเทศ ความสามารถของรัฐเป็นได้ทั้งส่ิงท่ีมองเห็น (Tangible Factors) และส่ิงที่มองไม่เห็น (Intangible Factors) ตัวอย่างของความสามารถของรัฐที่แลเห็น ได้แก่ ผลผลิตของชาติ ของการพัฒนาในด้านอุตสาหกรรม ระบบอาวุธท่ที ันสมัย จานวนประชากร เป็นต้น อาจกล่าวได้ว่า ประเทศท่ี มีผลผลิตสูง ระดับการพัฒนาอุตสาหสกรรมสูง ระดับอาวุธที่ทันสมัย และจานวนประชากรมาก มี ความสามารถมากกว่าประเทศที่ด้อยพัฒนาท่ีมีจานวนประชากรน้อยและอาวุธที่ล้าสมัย ส่วนความสามารถท่ี ไมม่ ีตัวตนหรอื มองไม่เหน็ ไดแ้ ก่ ศลี ธรรมธรรมชาติ ความย่งิ ใหญ่ของผู้นา เป็นต้น 1.4 สว่ นประกอบของอานาจรัฐ ส่วนประกอบท่ีสาคัญทีท่ าให้ชาติหนึ่งมีอานาจข้ึนมาได้ คือ ดนิ ฟ้า อากาศ สภาพภูมิศาสตร์ นโยบาย ทรพั ยากรธรรมชาติ อานาจทางการทหาร และความสามารถทางดา้ นเทคโนโลยี 1.4.1 ดนิ ฟ้าอากาศ (Cilmate) อาจกล่าวได้ว่า ดินฟ้าอากาศมีอิทธิพลสาคัญเหนือรัฐและประชาชนของรัฐอย่างมาก หลักท่ัวไปใน เร่ืองน้ีมีอยู่ว่า ประเทศท่ีอยู่ในเขตอบอุ่น (Temperate Zone) มักมีวิวัฒนาการทางการเมืองอากาศ ที่ร้อน และที่หนาวมีอิทธิพลเหนือสภาพร่างกายและจิตใจของประชาชนตลอดจนเหนือ ทรัพยากรธรรมชาติของ ประเทศด้วย เช่น ในเขตอาร์คติค ประชาชนต้องต่อสู้เล้ียงชีพมากเกินไป จนเเทบไม่มีเวลาสนใจเร่ืองทาง การเมือง ส่วนประชาชนท่ีอาศัยในเขตศูนย์สูตรหรือเขตร้อนมีส่ิงจาเป็นต่อการเลี้ยงชีพอย่างสมบูรณ์ ทาให้ ประชาชนไม่ต้องตอ่ สู้เพื่อเล้ียงชีพเหมือนอยา่ งในเขตอาร์คติค ประชาชนในเขตร้อนมากเปน็ คนขยันขันแข็งเอา การงาน และสนใจในการใช้ธรรมชาติให้เป็นประโยชน์แก่ตนเอง แม้ว่าในเขตร้อนสุดและเขตหนาวสุด มี การศึกษาดี และความพยายามท่ีจะเอาชนะธรรมชาติอยู่ก็ตาม ก็ยังปรากฏว่าประเทศที่อยู่ในอาณาบริเวณ ของท้ังสองเขตดังกลา่ ว มีความกา้ วหน้าชา้ กว่าประเทศที่อยู่ในบริเวณเขตอบอุน่ 1.4.2 สภาพทางภูมิศาสตร์ (Geography) สภาพทางภูมิศาสตร์มีความสาคัญเก่ยี วกับเขตของรัฐมาก และยังเก่ียวกับนสิ ัยบคุ ลิกของประชาชนอีก ด้วย เป็นท่ีทราบกันดีแล้วว่า พรมแดนของรัฐมีเครื่องก้ันตามธรรมชาติ เป็นต้นว่า ทะเล แม่น้า และเทือกเขา สภาพทางภูมิศาสตร์ มีผลต่อนโยบายทางการเมืองของประเทศ เช่น ดินแดนท่ีอยู่ในเขตใต้ทะเลมักจะมี นโยบายการเมือง 2 อย่าง คือ การรักษาอานาจหรืออิทธิพล หรือขยายอานาจหรืออิทธิพล ในด้านอุปสรรค ทะเลเป็นปราการป้องกันตามธรรมชาติ ทาให้ฝ่ายตรงข้ามไม่สามารถรุกรานได้ง่าย และทาให้อานาจของรัฐ ม่ันคง เช่น ประเทศสหรฐั อเมริกาและอังกฤษเปน็ ประเทศทีร่ ักษาอานาจของตน ได้อยา่ งดี เพราะมีเขตแดนติด กับทะเลนอกจากนี้ยังใช้ทะเลเป็นเครื่องขยายอานาจของตนทั้งสองประเทศมีกองทัพเรือ กองทัพอากาศท่ี เขม้ แข็ง ทัง้ น้เี พอื่ พิทกั ษร์ ักษาชายฝ่งั ทะเลของตนเองและเรือสินคา้ ของตนในนา่ นน้าทะเลหลวง ประเทศซ่ึงมีอาณาเขตทางบกกว้างขวางมากสามารถป้องกันตนเอง และขยายอานาจของตนเองได้ ดีกว่าประเทศที่มีอาณาเขตทางบกเล็กๆ เช่น รุสเซีย มีอาณาเขตทางบกกว้างใหญ่ จึงสามารถใช้ดินแดน ป้องกันตนเองให้ผลจากการรุกราน ในด้านการขยายอานาจ รัสเซียก็ใช้การปฏิบัติงานภายในแผ่อานาจเข้าไป ในเอเชียยุโรปและแอฟริกาส่วนประเทศท่ีมีอาณาเขตทางบกแต่ไม่มีแนวป้องกันธรรมชาติเอาเสียเลย ได้แก่ ประเทศเยอรมัน ซ่ึงมีที่ตั้งล้อมรอบไปด้วยรัฐสาคัญทั้งสามด้าน ดังน้ันเยอรมันจึงมักกลายเป็นรัฐทหาร

(Military State) เพราะกลัวว่าประเทศเพ่ือนบา้ นจะรุกรานเอา แนวคิดเช่นน้ีของเยอรมัน ทาให้ประเทศเพ่ือน บา้ นต้องสะสมกาลังอาวธุ ยทุ โธปกรณ์ เพอ่ื ปอ้ งกนั ตนเองในกรณีท่ีเยอรมนั ก่อการรกุ ราน อาจสรุปได้ว่า ประเทศที่มีแนวป้องกันธรรมชาติ ส่วนในประเทศ น้ันมักจะใช้แรงงานไปในทาง สันติภาพไม่ใช่สงคราม แนวป้องกันธรรมชาติที่ดีที่สุด ได้แก่ ทะเลและเทือกเขา แต่ในปัจจุบันกาลังอาวุธ ปรมาณูอนั มีอานุภาพอันรา้ ยแรงกาลังแพร่หลายทะเลและเทือกเขาซึ่งเป็นแนวธรรมชาตกิ ็มีความหมายน้อยลง ไปในทางป้องกนั 1.4.3 ทรัพยากร (Resources) ส่วนประกอบที่สาคัญของรัฐ ได้แก่ ทรัพยากรธรรมชาติ (natural resources) และทรัพยากร กาลังคน (human resources) ทรัพยากรทั้งสองดังกล่าวมีความสาคัญต่อรัฐมากเพราะรักจะมี กาลังทาง ทหารและทางเศรษฐกิจก็ต่อเม่ือรัฐมีทรัพยากรท่ีจาเป็นในทางอุตสาหกรรมและการค้า รวมท้ังทรัพยากรท่ี จาเป็นในการใช้พัฒนาและสร้างอาวุธท่ีทันสมัย ประเทศใด มีทรัพยากรภายในท่ีมั่นคงและสมบูรณ์ ประเทศ นนั้ ก็มักมีมาตรฐาน ของความเป็นอยู่ของ พลเมอื ง และมเี ศรษฐกิจของประเทศในระดับสงู ประเภททข่ี าดแคน ทรัพยากรเป็นประเทศที่ล้าหลังในทางเศรษฐกิจและในทางการได้วันละเป็นถู ในทางเศรษฐกิจและในทาง การเมือง ถ้าหากทรัพยากรของรัฐได้ถูกใช้หมดไปคนในร้านนั้นก็หาทางอพยพไปสู่ดินแดนอื่นที่มีทรัพยากร สมบูรณ์กว่า หรืบางคร้ังรัฐ ก็ทาสงครามเพื่อช่วงชิงดินแดนท่ีมีทรัพยากรสมบูรณ์ ในบางคร้ังการท่ีรัฐมี ทรพั ยากรมากก็ไม่คอ่ ยจะสปู้ ลอดภยั นัก โดยเฉพาะอย่างยงิ่ ในสมัยโบราณ ทรัพยากรกาลังคน หมายถึง ประชาชนทม่ี ีสุขภาพและอนามยั ดี การศกึ ษาดี มีความขยันขันแข็ง อายุ ยืนยาวพอสมควร อัตราการเกิดสูง อัตราการตายต่า ประชาชนไม่ตกงานมาก ได้เข้าใจสิทธิหน้าท่ีของตนเอง เป็นอย่างดี เป็นต้น ประเทศใดมีทรัพยากรกาลังคนเช่นน้ีย่อมได้เปรียบกว่าประเทศท่ีมีลักษณะตรงข้ามกัน ประเทศใดขาดทรพั ยากรธรรมชาติแต่มีทรพั ยากรกาลังคนมากมาย ประเทศนั้นก็ใชน้ โยบายการเมืองค่อนข้าง รนุ แรง อาจกล่าวไดว้ ่า ทรพั ยากรเป็นปจั จยั สาคัญทอ่ี าจก่อใหเ้ กดิ อปุ สรรคและปัญหาทางการเมืองได้ 1.4.4 อานาจทางการทหาร (Military Power) อานาจทางการทหาร ถือว่าเป็นส่วนประกอบอย่างหนึ่งของอานาจของรัฐ และ เป็นเครื่องวัดความ เข้มแข็งและมีอานาจของชาติ ในสมัยโบราณใช้ขนาดของกองทัพเป็นเคร่ืองวัดอานาจทางการทหารของรัฐ ใน ปัจจุบันไม่ใช่แต่เพียงวัดด้วยขนาดกองทัพเท่านั้น แต่ยังวัดอานาจทางการทหารของรัฐด้วยกาลังคนและอาวุธ ท้ังทางด้านกองทัพบก กองทัพเรือ กองทัพอากาศ โดยเฉพาะอย่างย่ิงชาติใด มีอาวุธนิวเคลียร์ชาตินั้นก็มี อานาจทางด้านการทหารมากกว่าชาติทไี่ ม่มีอาวุธดังกล่าว ถ้าพี่มอี าวุธปรมาณหู รืออาวธุ นิวเคลียร์ เห็นได้ชดั ใน ปัจจุบันก็คือ โซเวีย อเมรกิ า จนี แดง ฝรง่ั เศส และอังกฤษ การที่มีอาวุธนิวเคลยี รน์ ้ันทว่ั โลกยอมรับกนั ว่าเป็นสิ่ง ที่มีอันตรายต่อสันติภาพ และความมั่นคงของชาติโดยวิตกว่า ไม่วันหนึ่งวันใด การต่อสู้ด้วยอาวุธนิวเคลียร์ ระหว่างประเทศจะอุบัติข้ึน ซึ่งอาจเกิด ขึ้นโดยอุบัติเหตุหรือโดยเจตนาด้วยเหตุดังกล่าวจงึ ได้มีการเจรจาตกลง ให้มีการลดกาลังอาวุธนิวเคลียร์ (Nuclear Disarmament) และห้ามการแข่งขันในการผลิตอาวุธนิวเคลียร์ ต่างๆ

1.4.5นโยบาย (policy) ส่วนประกอบท่ีทาให้รัฐมีอานาจขึ้นมาได้นั้น ได้แก่ นโยบายของรัฐซึ่งเป็นเครื่องกาหนดอานาจของรัฐ ได้เหมือนกัน ผู้ปกครองรัฐบางคนอาจมีนโยบาย แบบทะเยอทะยานที่ต้องการขยายอาณาเขตโดยใช้วิธีการทา สงคราม สญั ญา การคุ้มครอง การยึดครองรัฐอ่ืนเป็นผู้รบั เคราะห์ นอกจากนี้บางรฐั มีนโยบายขยายอาณาเขต เพ่ือแสวงหาทรัพยากรธรรมชาติ รวบรวมบุคคลสัญชาติ และเช้ือสายเดียวกันที่อยู่ในการปกครองของรัฐอ่ืน เพื่อสร้างจักรวรรดิขึ้นมาก็มี อาจกล่าวได้ว่า นโยบายของรัฐมี บทบาทอย่างมากในเวทีการเมืองระหว่าง ประเทศ 1.4.6 เทคโนโลย(ี Technology) เทคโนโลยีหรือเรียกอีกอย่างหน่ึงว่า วิทยาการ มีผลเกี่ยวพันกับอานาจของรัฐท้ังน้ีก็เพราะว่า ความสามารถทางเทคนิคหรือความก้าวหน้าทางวิทยาศาสตร์เป็นพื้นฐาน สาคัญของอานาจรัฐ จะเห็นได้ว่า ประเทศท่ีพัฒนามักมีวทิ ยาการสูง ส่วนประเทศที่ด้อยพัฒนามากมีวิทยาการต่า อาจกล่าวได้วา่ วิทยาการเป็น ปัจจัยสาคัญในการวางระดับฐานะของรัฐว่าอยู่ในระดับไหน ในสมัยใหม่ประเทศใดท่ีมีความสมบูรณ์ใน ทรัพยากรธรรมชาติและมีความเจริญทางด้านวิชาการแล้ว ก็มักสร้างพ้ืนฐานของมหาอานาจได้ในเวลา อันรวดเร็วกว่าชาติอื่นๆ ตัวอย่างเช่น สหรัฐอเมริกามีความอุดมสมบูรณ์ในแร่ธาตุ ในทรัพยากรต่างๆ รวมท้ัง ความก้าวหน้าทางวิทยาการในด้านเศรษฐกิจ ทางการเมือง และการทหาร ซ่ึงทาให้สามารถสร้างพ้ืนฐานของ ความเป็นมหาอานาจได้ในเวลาไม่ก่ี 10 ปีทางด้านตะวันตกนั้นสารัทธ์อเมริกามีความก้าวหน้าอย่ างสูงใน เทคโนโลยี ส่วนในทางเอเชยี ญ่ีปุ่นเป็นตัวอยา่ งที่ดีในเรือ่ งนี้ อาจสรปุ ได้ว่าวิทยาการหรือเทคโนโลยี เป็นปัจจัย อันสาคัญท่ีทาให้รฐั มคี วามเจริญ โดยเฉพาะอยา่ งยง่ิ ในด้านอตุ สาหกรรม รักที่มีความเจริญในดา้ นการษากัมนั้น มกั เปน็ รัฐทม่ี อี านาจ เพราะวิทยาการทาใหร้ ฐั มคี วามเจรญิ ทงั้ ในดา้ นการเมือง การเศรษฐกจิ และการทหาร 1.5 ผลประโยชนข์ องชาติ (National Interest) คาว่า \"ผลประโยชน์ของชาติ\" น้มี ีผู้ให้ความหมายอยู่หลายท่าน วิลเล่ียม ไรท์เซล (William Reitzell) ได้กล่าวว่า ผลประโยชน์ของชาติหรืออีกนัยหน่ึงผลประโยชน์ของรัฐ หมายถึง\" สิ่งท่ีผู้ทาการตัดสินใจของ ประเทศถือว่ามีความหมายต่อเอกราช ความมั่นคง ความอยู่ดีกินดี และเกียรติภูมิของประเทศ\" ฮันส์ เจ มอร์ เกนทอ (Hans J.Morgenthau) ยังได้ให้ความหมายต่อไปอีกว่า สิ่งแวดล้อมหรือสภาพแวดล้อมระหว่าง ประเทศท่ีรัฐมีความสัมพันธ์เก่ียวข้องน้ันเปรียบเสมือนผลประโยชน์ของชาติ ซ่ึงควรถูกนามาพิจารณาด้วย ใน กรณีที่มีการกาหนดนโยบายต่างประเทศ จะเห็นได้ว่านักวิชาการคนแรกถึงสิ่งใดก็ตามมีความสาคัญต่อ ประเทศชาติแล้ว สิ่งน้ันเป็นผลประโยชน์ของชาติที่ควรจะปกป้องเอาไว้ ส่วนนักวิชาการคนหลังมอง ผลประโยชน์ของชาติไปในรูปของส่ิงแวดล้อมระหว่างรัฐซ่ึงรัฐจาเป็นต้องเกี่ยวข้อง คาว่าสภาพส่ิงแวดล้อม ระหว่างรัฐมีความหมายว่างมากเพราะครอบคลุมถึงกิจการ นโยบาย พฤติกรรม เขตแดน อะไรอ่ืนๆอีกหลาย อย่างจึงอาจกล่าวได้ว่า ผลประโยชน์ของชาติตามความหมายท่ี ฮันส์ เจ มอร์เกนทอ ให้ไว้มีความหมายกว้าง กว่า อย่างไรก็ตาม ความหมายของผลประโยชน์ของชาติตามที่มอร์เกนทอ ให้ไว้มีความคลุมเครือมาก จนกระทั่งไม่อาจทราบได้ว่า สิ่งสาคัญอะไรท่ีถือหรือยอมรับกันท่ัวไปว่าเป็นผลประโยชน์ของชาติ นอกจากนี้ แล้ว มอร์เกนทอ ยังได้ตีความหมายผลประโยชน์โดยใช้ความคิดอรรถนิยม (realist concept) ไปในแง่ของ

อานาจ โดยถือว่าผลประโยชน์ของชาตินัน้ จะดารงอยู่ได้ก็ตอ้ งอาศยั อานาจเปน็ เคร่อื งคมุ้ ครองป้องกันรักษา แต่ บางคร้ังผลประโยชน์ของชาติก็จาเป็นตอ้ งเปดิ ทางให้แก่ผลประโยชน์ขององค์การระหว่างประเทศ ซ่งึ ถือวา่ เป็น ผลประโยชน์ของโลกร่วมกัน หรือท่ีเรียกว่า Supra-Mational Interrest ซ่ึงรัฐจาเป็นต้องยอมโดยสละ ผลประโยชน์ของตนไป อย่างไรก็ดี นักวิชาการบางท่าน เช่นเเสตนเลย์ ฮอกเเมน (Stanley Hoffman) ได้ให้ ความเห็นว่า ความหมายของผลประโยชน์ของชาติในแง่ของอานาจที่ มอร์เกนทอ ได้ให้ไว้น้ันยังไม่มีความ สมบูรณ์เพียงพอ 1.5.1 ผลประโยชน์ของชาติและผูต้ ัดสนิ ใจ ผู้ตัดสินใจ (Decison-Maker) ในที่น้ีหมายถึง ผู้นาของรัฐซ่ึงอาจประกอบไปด้วยคณะบุคคล ซ่ึงมี อานาจและหน้าที่ในการตัดสินใจในเร่ืองใดๆ อันเก่ียวกับผลประโยชน์ของชาติ ตามปกติแล้วผู้ท่ีทาหน้าท่ี ตดั สินใจมกั จะถอื วา่ เป็นประโยชน์ของชาติโดยสงิ่ ทเ่ี หนือกวา่ ผลประโยชนข์ องส่วนตวั และในการสร้างนโยบาย ต่างประเทศ ผู้ตัดสินใจมักจะนาเร่ืองผลประโยชน์ของชาติมาพิจารณาประกอบด้วยเป็นสาคัญ แต่อย่างไรก็ ตาม กรณีผู้สรา้ งนโยบายต่างประเทศบางคน กระทาสิ่งท่ีขัดต่อผลประโยชนข์ องชาติ เพราะวา่ ส่วนได้เสียหรือ ผลประโยชน์ของตนขัดแย้งกับผลประโยชน์ของชาติ ทาดังกล่าวบางครั้งถูกผู้นาสูงสุดของรัฐใช้อานาจยับยั้ง หรือลงโทษ โดยให้เหตุผลว่าการกระทาเช่นน้ันเป็นการกระทาท่ีผิดต่อศีลธรรม เพราะผลประโยชน์ของชาติ เป็นสิ่งท่ีต้องห้าม ซ่ึงประเทศจะต้องรักษาไว้ไม่ให้ถูกรบกวนหรือทาลาย ท่ีน่าสงสัยก็คือว่าในบรรดา ผลประโยชน์ของชาติหลายอย่างท่ีผู้ทาการตัดสินใจหรือรัฐบาลของประเทศอาจ ให้ความสาคัญกับส่ิงท่ีถือว่า เป็นผลประโยชนข์ องชาติ อันควรรักษาไว้แตกต่างกนั เช่น รัฐบาลของประเทศในสมยั หนง่ึ อาจถอื ส่ิงใดส่ิงหน่ึง เป็นผลประโยชน์ของชาติที่สาคัญท่ีสุด ซ่ึงควรรักษาไว้ แตต่ ่อมาอีกสมยั หนึ่งรัฐบาลของประเทศนั้นซึ่งอาจเป็น ชุดเดียวกันหรือคนละชุดกับรัฐบาลสมัยก่อน อาจถือว่าเรื่องน้ันไม่มีความสาคัญอีกต่อไป หรือถือว่าเร่ืองอื่นมี ความสาคัญตอ่ ประเทศมากกวา่ ถ้าพิจารณาโดยรู้ซึ้งแล้ว ผลประโยชน์ของชาติเป็นตัวกาหนดนโยบายของประเทศ กล่าวคือ ผู้ ตดั สนิ ใจเห็นสิ่งใดเปน็ ผลประโยชนข์ องชาติทสี่ าคญั ท่ีสุดก็เกิดความคดิ ความเช่ือถือขึ้นมาวา่ นโยบายต่างประเทศที่ดีน้ันจะต้องมุ่งรักษาผลประโยชน์ของชาติที่สาคัญมากที่สุด ดังน้ันความสาคัญ ของผลประโยชน์ของชาติบวกกับความเชื่อถือ ความคิด นิสัยส่วนตัว คติและบุคลิกลักษณะประจาตัวของผู้ ตัดสนิ ใจรวมท้ังอิทธพิ ลของปัจจยั ภายนอกผ้ตู ัดสนิ ใจเปน็ ปัจจยั ที่ผลักดนั ให้มีการสร้างนโยบายซึ่งรัฐจาเป็นต้อง ปฏิบัติตามเพ่ือปกป้องคุ้มครองผลประโยชน์ของชาติที่สาคัญที่สุดไม่ให้สูญเสียไป ด้วยเหตุดังกล่าว เม่ือมี การศึกษาถึงปัจจัยท่ีผลักดันให้รัฐบาลปฏิบัติอย่างใดอย่างหนึ่งในความสัมพันธ์ระหว่างประเทศ นอกจากจะ ศึกษาถึงปัจจัยอ่ืนๆที่มีอิทธิพลต่อผู้ตัดสินใจแล้ว จะต้องศึกษาถึงลักษณะส่วนตัวของผู้ตัดสินใจ นอกเหนือไปจากการศึกษาถึงผลประโยชน์ของชาติ เช่น มีการศึกษาถึงประวัติส่วนตัว ความคิด ความเช่ือถือ ทัศนคติ และอาชีพหลัก เป็นต้น การท่ีศึกษาในเร่ืองลักษณะส่วนตัวของผู้ตัดสินใจดังกล่าวก็เพราะมีความเชื่อ ว่าส่ิงต่างๆอันเป็นส่วนประกอบของลักษณะส่วนตัวของผู้ตัดสินใจนั้น มีส่วนช่วยผลักดันให้ผู้ทาการตัดสินใจ รฐั บาลกระทาการอย่างใดอย่างหนึ่งลงไป ส่วนการกระทาน้ันจะขัดแย้งต่อผลประโยชน์ของรัฐอ่ืนๆหรือไม่ จะ ได้กลา่ วในหวั ข้อลาดับตอ่ ไป

1.5.2 ผลประโยชนร์ ่วมกนั และการขัดแย้งกันระหวา่ งรัฐ เป็นที่ทราบกันโดยทั่วไปแล้วว่า รัฐแต่ละรัฐก็ต่างก็มีผลประโยชน์ร่วมกันท้ังนั้นซึ่งผลประโยชน์นี้เป็น สง่ิ ที่รักปรารถนาที่จะได้มาสงวนไว ผลประโยชน์ที่รัฐต้องการมีหลายอย่าง อาทิเช่น ผลประโยชน์ในดินแดนที่ อุดมสมบูรณด์ ้วยน้ามนั หรือแร่ธาตแุ ละเสรีภาพในท้องทะเลเป็นตน้ รัฐต่างๆอาจมผี ลประโยชน์หรอื ส่วนได้สว่ น เสียกันหรือมีประโยชน์ท่ีขดั กนั หรือผลประโยชน์ซงึ่ ไม่เกี่ยวข้องกันตามปกติแล้วรฐั จะมีผลประโยชน์หลายอย่าง ซึง่ อาจเป็นผลประโยชน์ รว่ มกนั หรอื ขัดกันกไ็ ด้ ในความสัมพันธ์ระหว่างประเทศ ประเทศหนึ่งอาจมีผลประโยชน์ขัดกับรัฐอีกรัฐหนึ่ง หรืออาจมี ผลประโยชน์ร่วมกันกับอีกรัฐหน่ึง หรือมีทั้งสองอย่าง อาจกล่าวได้ว่า โดยปกติแล้วรัฐก็เป็นศัตรูกันมากไม่มี ผลประโยชน์ร่วมกัน และรัฐที่มีมิตรภาพต่อกันไม่ค่อยจะมีการขัดแย้งกันในเรื่องผลประโยชน์ เพราะการ ขัดแย้งกันเป็นหนทางนาไปสู่การส้ินสุดของมิตรภาพ เม่ือใดก็ตามรัฐมีผลประโยชน์ขัดแย้งซ่ึงกันและกัน รัฐบาลจะหาทางปรับปรุงแก้ไขพฤติกรรมของตนให้มีความสามารถในการแก้ไขปัญหาขัดเเย้ง โดยอาจใช้ วธิ กี ารตอ่ รองซ่งึ กล่าวไวใ้ นภาคท่ี 3 2. ทูต (Diplomat) ทูตและความสมั พันธ์ทางการทูตได้มมี าตงั้ แต่โบราณกาล อาจกล่าวไดว้ ่าคงเริม่ มีมาตงั้ แต่มนุษย์เรม่ิ อยู่ กันเป็นหมู่เป็นพวก การมีทูตประจาเพ่ิงจะเริ่มมีใน ศตวรรษที่ 13 โดยรัฐในอิตาลีเล่นนครเวนิซได้เร่ิมขึ้นก่อน โดยแต่งต้ังผู้แทนของตนใหป้ ระจาอยู่ในนครของอีกฝ่ายหนึ่ง ตอ่ มาในศตวรรษท่ี 15 รัฐเหล่านี้จงึ เร่ิมแต่งต้ังทูต ของตนไปประจาในประเทศสเปน เยอรมัน ฝร่ังเศส อังกฤษ หลังจากน้ัน นัดอื่นๆจึงได้เอาอย่างกันบ้าง และ เม่ือถึงครั้งหลังศตวรรษที่ 17 การมีทูตประจาจึงได้กลายเป็นสิ่งท่ีปฏิบัติกันโดยทั่วไปและสืบเนื่องกันจนถึง สมัยปัจจุบัน ดังเช่นจะเห็นว่ามีบุคคลคณะหน่ึงเรียกว่า คณะทูต (Diplomatic Corps) ประจาอยู่ทุกเมือง หลวงในหลวงทุกวันน้ี 2.1 บทบาทและหนา้ ที่ของทูต ทูตหรอื Diplomat เป็นผ้ทู ่ีมีบทบาทสาคญั ในการดาเนินความสัมพันธ์พันธุ์ระหว่างประเทศอยา่ งเป็น ทางการ กลา่ วอีกนัยหน่ึง พดู เปน็ ตวั แทนของประเทศในการติดต่อกับประเทศอื่น ปกติเมอ่ื รัฐใหม่ได้เข้าร่วมใน ครอบครัวโลก มีท่าต่างๆเป็นสมาชิกสิ่งแรกท่ีจะต้องกระทาก็คือ การแลกเปลี่ยนคณะทูตกับชาติอ่ืนๆคณะทูต (Diplomatic Mission) นั้นมีหัวหน้า ซึ่งเปรียบเสมือนตวั แทนประมุขของรัฐ นอกจากนี้ยังมบี รรดาบุคคลอ่ืนๆ ซ่ึงเป็นเจ้าหน้าท่ีที่คอยช่วยเหลือหัวหน้าคณะทูต โดยปกติแล้วหัวหน้าคณะทูตมาประจาอยู่ในประเทศท่ีตน ได้รับมอบหมายมาให้ปฎิบัติหน้าที่ และจะต้องเป็นบุคคลที่รับต้นประจาอยู่ รองรับและยอมรับ จึงจะปฎิบัติ หน้าที่อยู่ได้ กรณีที่ไม่ได้รับการรับรองจากรัฐท่ีตนประจาอยู่ หัวหน้าคณะทูตไม่อยู่ในฐานะที่จะดารงตาแหน่ง ได้ (persona Non-Grata) และจะต้องถูกเรยี กตวั กลบั ยังประเทศของตน เมื่อทูตไปประจาในประเทศใดประเทศหน่ึงแล้ว มีหน้าที่จะต้องปฏิบัติอยู่หลายประการด้วยกัน ใน อนุสญั ญากรุงเวียนนา (Convention of Vienna) ในค.ศ.1961 ข้อ 3 ได้กล่าวเพียง 5 ประการเทา่ นัน้ (1)เปน็ ตวั แทนหน้าท่แี ตง่ ตง้ั (2) ป้องกนั ผลประโยชน์ของรฐั และชนชาติของตน (3) เจรจากับรฐั ท่ตี นประจาอยู่

(4) หนา้ ท่หี าขา่ วและรายงาน (5) หนา้ ที่สง่ เสรมิ ความสัมพนั ธไ์ มตรตี ลอดจนความสัมพนั ธ์ทางเศรษฐกิจ วัฒนธรรมและวิทยาศาสตร์ ในอดีตเอกอัครราชทูตเป็นผู้กาหนดนโยบายระหว่างประเทศ ในปัจจุบันมีหน้าที่รับนโยบายของรัฐบาลตนมา ปฏบิ ตั ิ ซึง่ เปน็ เรื่องการตดั สนิ ใจของรัฐบาลมากกว่าเป็นเรือ่ งในการรับผิดชอบของเอกอัครราชทูต นบั ตงั้ แต่ปีค.ศ. 1945 เป็นต้นไป ได้มีการใช้คณะทูตพิเศษ หรอื ท่ีเรียกกนั ว่า Special Emissaries ทา หน้าที่ในการต่อรอง และแก้ไขปัญหาระหว่างประเทศเป็นครั้งคราวตัวอย่างเช่น ประธานาธิบดี วู้ดโร วิลสัน แตง่ ตง้ั ให้พันเอก เฮ้าส์ เปน็ ทูตพิเศษ ประธานาธบิ ดี เเฟรงคลิน ดี โรสเวลท์ ให้เเฮรี่ ฮอพกินส์ ทาหน้าท่เี ป็นทูต พิเศษ การให้ทูตพิเศษดังกล่าวน้ีมีทั้งข้อดีและข้อเสีย ของการใช้ธูปพิเศษ หลายประการที่สาคัญก็คือการ ทางานของผู้พิเศษน้ีมีความรวดเร็วและมีประสิทธภิ าพดกี ว่าคณะทูตธรรมดา ก็มีลักษณะเป็นทางการน้อยกว่า ความไว้วางใจจากรัฐบาลประเทศอย่างเต็มท่ี ซึ่งทาให้ได้รับความสะดวกและความเชื่อถือจากประเทศท่ีตนไป ติดต่อส่วนข้อเสียนั้นก็คือ การใช้ทูตพิเศษน้ัน บางครั้งก่อให้เกิดผลเสียหายในกรณีที่ถูกพิเศษบางคนมี ประสบการณแ์ ละความชานาญไม่เพยี งพอ และได้ไปตกลงในส่ิงที่อาจจะกอ่ ให้เกิดข้อบกพร่องขึ้นใหม่ได้ อย่าง น้ีการมีทูตพิเศษอาจทาให้คณะทูตถาวรเกิดความท้อถอยในการงาน ก็เห็นพูดพิเศษได้มาทางานในเวลาอันสั้น ติดต่อกับประมุขของประเทศไดโ้ ดยตรง โดยไมต่ ้องอาศัยความชว่ ยเหลอื ของคณะทูตถาวร 2.2 การแตง่ ตง้ั ทตู การแต่งตั้งทูต กระทาได้ 2 แบบคอื 1. การแต่งต้งั พูดคนเดียวประจาหลายประเทศหรอื ประเทศเดยี ว 2. รฐั หลายรฐั แตง่ ตง้ั ทตู คนเดยี วกนั การแต่งตั้งพูดตามขอ้ แรกนน้ั ทาได้โดยแจง้ ให้รกั ท่ีจะรบั พูดทราบก่อน ซ่ึงรัฐที่จะรับพูดอาจปฏิเสธไม่ ยอมรับก็ได้ หลักวิธีการน้ีได้ปฏิบัติกันมานานแล้ว โดยเฉพาะอย่างยิ่งในบรรดาประเทศเล็กๆเช่นประเทศไทย ไม่ยอมรับพูดของกัมพูชามาเป็นทูตประจาประเทศไทย หรือ ประเทศอาหรับไม่ยอมให้ทูตอิสราเอลมาประจา ประเทศตน เป็นตน้ สาหรับการแต่งต้ังทูตตามข้อสองนั้น นับว่าเป็นหลักใหญ่ท่ีบัญญัติไว้ในอนุสัญญากรุงเวียนนาค.ศ. 1851 ท่ียอมให้รัฐหลายรัฐแต่งตั้งบุคคลคนเดียวกันเป็นทูตประจาประเทศใดก็ได้ เว้นแต่ประเทศท่ีจะรับทูต คดั ค้าน หลักนี้ได้ถกู เสนอให้นามาใช้โดยพูดแทนสเปน เนเธอร์แลนด์ ซ่ึงได้รับการสนับสนุนจากประเทศเล็กๆ เป็นพิเศษ เพราะเช่ือว่าจะมีประโยชน์ในเม่ือมีการรวมกันแบบสหพันธ์ (Federation) ในส่วนต่างๆของโลกใน วันข้างหน้า 2.3 เอกสิทธแ์ิ ละความคุ้มกนั ทางทตู ตามท่ีระบุไว้ในอนุสัญญากรุงเวียนนาค.ศ. 1815 เอกสิทธ์ิและความคุ้มกันทางการทูต ให้ใช้กับท่ีทา การสถานทตู และเอกสารราชการ การปฏบิ ตั งิ านของสถานทตู และบคุ คลซ่ึงเปน็ ตวั แทนทางการทตู สาหรับสถานทูต และเอกสารราชการ ใครจะกระทาละเมิดมิได้ ทาการทูตได้รับการยกเว้นจากภาษี อากรของท้องถ่ิน หรือของเทศบาล เวน้ แต่จะเป็นค่าบริการเฉพาะอย่างไป ใครจะเข้าไปบุกรุกล่วงล้าสถานทูต หรอื นาเอาเอกสารของสถานทูตหาได้ไม่เพราะถือวา่ การกระทาดงั กล่าวไม่เพียงแต่ละเมิดเอกสิทธ์ิและความคุ้ม

กันทางการทูตเท่านั้นแต่ยังถือว่าเป็นการกระทาโดยตรงต่อประเทศท่ีสถานทูตน้ันสังกัดอยู่ตามกฎหมาย ระหว่างประเทศ ในเรื่องการปฎิบัติงานของคณะทูตน้ัน รัฐที่รับทูตเข้ามาประจาในประเทศของตนต้องให้เอกสิทธิ์และ ความคุ้มกันทางการทูตอย่างเต็มที่ โดยอานวยความสะดวกให้เสรีภาพแก่การเดินทางไปมาในดินแดนของตน เว้นแต่จะมีกฎหมายหรือระเบียบข้อบังคับห้ามมีให้เข้าเขตใดเขต จะรักษาไว้ซึ่งความม่ันคงของชาติ และให้ เสรภี าพในการติดต่อตลอดจนห้ามมใิ หบ้ คุ คลใดกระทาละเมิดตอ่ หนังสอื ราชการ เลน่ ถุงเมล์ทางการทตู จะเปิด หรือกบั ไว้ไม่ได้ เป็นตน้ ส่วนในเรื่องเอกสิทธิ์ของทูตและการให้ความคุ้ม กัสทูตน้ัน ทุกประเทศได้ยอมรับกันโดยทั่วไปว่า บุคคลในคณะทูตใครจะไปละเมิดมิได้ รัฐมีทูตประเทศอื่นประจาอยู่จะต้องปฏิบัติต่อบุคคลเหล่านั้นด้วยความ เคารพตามสมควร บุคคลในคณะทูตได้รับความคุ้มครองทั้งในทางอาญา และทางแพร่ง สาหรับทางแพ่งและ ทางปกครองนั้น มีข้อยกเว้นบางอย่าง เช่น ไมาคลุมถึงการประกอบอาชีพหรือธุรกิจการค้าเป็นการส่วนตัว สาหรับภาษีอากรน้ัน พูดได้รับการยกเว้นจากการเก็บภาษี นอกจากผู้แทนทางการทูตแล้ว บรรดาสมาชิกใน ครอบครัวของคณะทูตตลอดจนคนใช้ ถ้าไม่ใช่คนในสัญชาติของรัฐท่ีรับพูดแล้วก็ได้รับเอกสิทธ์ิและความ คุ้มครองทางทูตบางประการเหมือนกัน แต่ไม่เท่ากับผู้แทนทางการพูด ซึ่งสุดแล้วแต่ว่าหน้าที่ท่ีตนปฏิบัติใน สถานทูตน้ันมีความสาคญั มากเพียงไร 2.4 การสนิ้ สดุ หนา้ ทขี่ องผู้แทนทางการทูต หน้าทีข่ องผ้แู ทนทางการทูตอาจส้ินสดุ ลงในกรณี ดงั นค้ี อื (1) เม่ือทูตได้รบั แจง้ จากรฐั ตนว่าหน้าทขี่ องตนสิน้ สุดลงแล้ว (2) เมอ่ื รัฐทรี่ ับผแู้ จ้งต่อรฐั ท่แี ต่งตัง้ พดู ว่า ตนไม่ยอมรับทตู ผูน้ ้ัน เพราะเป็นบคุ คลไม่พงึ ปรารถนา (3) ประกาศสงคราม (4) การตัดสมั พันธ์ทางการทูต เช่น ประเทศไทยกับประเทศเขมร ตดั ความสัมพันธ์ทางการทูตมาแล้ว คร้งั หนง่ึ ในสมัยพระเจา้ นโรดมสีหนเุ ปน็ ผ้นู าเขมร (5) การมรณกรรมของหวั หนา้ คณะทตู ในกรณีที่มีการรบพุ่งกันภายในรัฐด้วยอาวุธ รัฐท่ีรับพูดจะต้องอานวยความสะดวกให้แก่เจ้าหน้าที่ใน คณะทูตและครอบครัว ได้มีการพิจารณากันมาต้ังแต่สมัยโบราณ Siriไทยทางการทูตเป็นสิทธ์ิท่ีของสถาน เอกอัครราชทูต หรือ สถานอัครราชทูต ที่จะให้ท่ีพักอาศัยชั่วคราวแก่บุคคลใดใดที่ทางการท้องถิ่นต้องการตัว ในข้อหากระทาความผิดทางการเมือง สิทธิดงั กล่าวนี้ได้เป็นที่ยอมรับนับถือกันมาโดยขนบธรรมเนียมประเพณี ซึง่ มีนักวิชาการบางคนเห็นว่าเป็นการใช้เอกสิทธ์ิทางการทูตในทางท่ีผิดๆ การเคารพในสิทธิเช่นว่าน้ีเห็นได้ชัด จากการที่คณะปฏิวัติของสาธารรัฐโดมินิกันใช้อาวุธก่อการกบฏต่อรัฐบาลแต่ปราชัย ขอลี้ภัยในสถาน เอกอัครราชทูตบราซิลในต้นปี ค.ศ. 1960 เจ้าหน้าที่ท้องถ่ินมิได้ให้ความพยายามจับตัวผู้ลี้ภัยเหล่าน้ีแต่ ประการใด ที่สุดได้มีการเจรจาตกลงให้พวกลี้ภัยทางการเมืองเหล่าน้ีออกไปจากโดมินิกัน แต่ต้องไปอยู่เฉพาะ ประเทศบราซิล โดยไม่อนุญาตให้มีส่วนรว่ มในกิจกรรมทางการเมืองของประเทศบราซิล ประเทศอ่ืนๆที่ยึดถือ หลักไม่ละเมิดต่ออีกสถานเอกอัครราชทูตมีอยู่หลายประเทศ อาทิเช่น ตุรกี เกาหลีใต้ อัฟริกา และบรรดา ประเทศคอมมิวนิสต์ เป็นต้น มีบางกรณีท่ีเจ้าหน้าที่แห่งท้องถิ่นอาจขอให้สถานทูตปล่อยผู้กระทาผิด ไม่ว่า

ทางด้านการเมอื งหรือทางคดสี ามญั ให้ผลจากการอารักขาของสถานทตู ได้ ตัวอย่างเช่น ในปคี .ศ. 1896 รฐั บาล อังกฤษได้ขอให้ปล่อยตัว Dr.Sun Yat-Sen ผู้ให้กาเนิดก๊กมนิ ตัง และบิดาขององการปฏิวัติของจีน ซึ่งถูกกับตัว อยู่ในสถานทูตจีนในลอนดอนได้เป็นผลสาเร็จ นี่ฉะนั้นแล้วต้องถูกส่งตัวกลับไปประเทศจีน ซึ่งจะต้องถูก ประหารชีวติ อย่างไม่ตอ้ งสงสัย ต่อมาได้มีนักการทูตขอลี้ภัยในประเทศที่ตนประจาอยู่ด้วยเหตุผลบางประการจึงทาให้เกิดมีที่ล้ีภัย สาหรับนักการทูต (Asylum for Diplomats) ขึ้นในระยะ 35 ปีที่ผ่านมา มีกรณีดังกล่าวเกิดมากขึ้น เพราะมี นักการทูตเป็นจานวนมากท่ีไม่กลับประเทศของตนเมื่อระยะการเป็นผู้สิ้นสุดลง ส่วนมากมาขอสิทธิ ล้ีภัยทาง การเมืองนับตั้งแต่คนรับใช้ของทูตข้ึนไปจนถึงตัวทูตเอง ในบรรดาธุลีภัยเหล่านี้ ส่วนมากมักได้แก่ ผู้ที่มาจาก ประเทศคอมมิวนิสต์ ซ่ึงขอลี้ภัยในประเทศโลกเสรี หรือกล่าวอีกนัยหนึ่ง นวลพูดจากโลกเสรีที่ไปขอรีบ ภายในประเทศกล่มุ คอมมวิ นสิ ต์มีนอ้ ยมาก สาหรับท่าทีของสหรัฐอเมริกาในเร่ืองท่ีลี้ภัยทางการเมืองน้ัน แตกต่างจากกลุ่มประเทศละตินอเมริกา กล่าวคือ สหรัฐอเมริกาไม่สนับสนุนในการให้ท่ีล้ีภัยทางการทูตยกเว้นในกรณีเกี่ยวกับเหตุผลทางมนุษยธรรม หรืออาจได้รับอันตรายถงึ ชีวิต ถ้าหากไม่ให้ลภี้ ัยทางการเมือง ดังนั้น สถานทูตสหรัฐอเมริกาท่ีต้ังอยู่ในประเทศ ต่างๆจึงไม่ยอมให้คนในสัญชาติของประเทศท่ีสถานทูตต้ังอยู่เข้ามาขอรีบภายในสถานทูตของตน เว้นแต่ใน กรณีท่ีจะมีภัยอย่างร้ายแรง และรีบด่วนเกิดแก่บุคคลนั้น ตรงกันข้ามกับประเทศลาตินอเมริกาซึ่งส่วนมาก ยอมรับผู้ท่ีเข้ามาขอลี้ภัยในสถานทูตตนอยู่เป็นประจา เพราะยอมรับสิทธ์ิของผู้ล้ีภัยว่า เป็นสิทธิ์ที่ชอบด้วย กฎหมาย ถึงแม้วา่ คนในสัญชาติตน้ จะไปหลบลี้ภยั ทางการเมืองในสถานทูตตา่ งประเทศท่ีตั้งอยู่ในประเทศตนก็ ตาม รัฐบาลของกลมุ่ ประเทศละตินอเมริกาก็ไม่เคยเข้าไปทาการจับกุมเลย สทิ ธ์ิเช่นว่านี้ได้เรม่ิ ยอมรับเป็นคร้ัง แรก เม่ือวันท่ี 15 พฤศจิกายนค.ศ. 1930 ภายหลังจากการท่ีเกิดความไม่สงบในประเทศบราซิล ปรากฏว่ามี บรรดานักวิชาการเมืองหลายคนได้หลบหนีเข้าไปอยู่ในสถานทูตของต่างประเทศเป็นจานวนมาก รัฐมนตรี ต่างประเทศของบราซิลได้ประกาศยอมรับว่า ที่นักการเมืองท้ังหลายเข้าไปลี้ภัยทางการเมืองในสถานทูตของ ต่างประเทศนั้น เป็นสิทธ์ิโดยชอบธรรมอันถูกต้องตามกฏหมายระหว่างประเทศ แต่ผู้ลี้ภัยเหล่าน้ีจะต้อง เดินทางออกไปนอกประเทศโดยไม่ไปแวะอาศัยในประเทศใกล้เคียง ปรากฏว่ารัฐบาลบราซิลแม่ได้ให้สิทธ์ิเข้า ไปทาการจับกุมพวกนักการเมืองเหล่าน้ีเลย เป็นแต่เพียงให้ความสะดวกในการส่งตัวพวกนักการเมืองดังกล่าว ออกนอกประเทศ การปฏิวัตขิ องรัฐบาลบราซลิ ครงั้ น้ไี ด้กลายเปน็ ขอ้ กาหนดในอนสุ ัญญาท่ีเรียกวา่ The Pan American Conference at Havana ซ่ึงได้มีการลงนามเป็นอนุสัญญา เมื่อวันที่ 20 กุมภา 1928 ได้วางหลักเกณฑ์ เก่ียวกบั ผลู้ ้ภี ยั ดงั นค้ี ือ มาตรา 1 ถ้าบุคคลท่ีขอล้ีภัยน้ันเป็นผู้กระทาความผิดทางอาญาหรือได้หลบหนีราชการทหาร มีให้รัฐ ต่างๆยอมให้สิทธ์ิแก่ผู้ลี้ภัยเข้าไปลี้ภัยในสถานทูต เรือรบ ค่ายทหาร เครื่องบินทหาร ถ้าพบตัวต้องจับส่งให้แก่ เจ้าหน้าทีข่ องบ้านเมอื ง ถ้าเจา้ หนา้ ท่ีบา้ นเมอื งได้ร้องขอ มาตรา 2 ในกรณีท่ยี อมให้นักการเมืองเข้าล้ีภัยในสถานทตู เรือรบ ค่ายทหาร หรอื เครื่องบินทหาร ผู้ล้ี ภยั น้นั จะตอ้ งปฏบิ ตั ติ ามกฏหมายของประเทศเจา้ ของสถานทตู นนั้ นน้ั และจะต้องปฏบิ ตั ิดังนี้คือ

(1) การล้ีภัยน้ันอาจจะไม่อนุญาตก็ได้ เว้นแต่ในกรณีรีบด่วน และในกรณีที่มีเวลาอันจากัดสาหรับผู้ล้ี ภยั และในกรณีเพอื่ ความปลอดภยั ใหแ้ กผ่ ้ลู ้ีภยั (2) เมอื่ ไดร้ บั ผู้ล้ภี ยั แล้วให้หัวหน้าของสถานทตู รบั ผู้ลภ้ี ยั น้ันรายงานข้อเท็จจริงให้รัฐมนตรีต่างประเทศ ของประเทศนน้ั รบั ทราบ (3) ผู้รับล้ีภยั ทางการเมืองจะต้องสง่ ผู้ลภ้ี ัยออกนอกประเทศโดยด่วน ถ้ารฐั บาลแหง่ ท้องถ่ินร้องขอและ ผ้รู ับล้ภี ัยอาจขอคาม่ันจากรฐั เจา้ ของท้องทีใ่ นการให้ความปลอดภยั ในการเดินทางออกนอกประเทศ (4) จะตอ้ งไมม่ ีการสง่ ผลู้ ภ้ี ยั ขนึ้ ณ จุดใดๆของประเทศนัน้ หรอื ใกลก้ บั ประเทศนนั้ จนเกินไป (5) เมื่อผู้ล้ีภัยได้เท่าหลบภัยในสถานท่ีใดๆแล้วผู้ล้ีภัยจะต้องไม่กระทาการใดคันขัดต่อสันติของ สาธารณะ (6) คา่ ใช้จ่ายที่สาธารณะผตู้ อ้ งเสยี ไปเพราะ รบั ผลู้ ีภ้ ัยเขา้ มานน้ั รฐั เเหง่ ท้องถ่ินมีสิทธิท์ จ่ี ะไม่ยอมรับรู้ กล่าวได้ว่า การที่บุคคลใดจะเข้าไปขอลี้ภัยทางการเมืองได้ประเทศไทยก็ควรท่ีจะทราบถึงนโยบาย ของประเทศน้ัน ป้าปฏิบัติเคร่งครัดอย่างไรบ้างในเร่ืองนี้ และต้องทราบให้แน่นอนว่าประเทศท่ีตนเข้าไปลี้ภัย น้นั มีขอ้ ตกลงเกยี่ วกับการส่งผู้ร้ายข้ามแดนกับประเทศตนหรือเปล่า เพราะประเทศทมี่ ีขอ้ ตกลงดังกล่าวอาจส่ง ตัวคืนโดยยกข้อหาอื่นๆข้ึนมาเพื่อให้เข้าในข่ายการสง่ ผู้รา้ ยข้ามแดนได้ ดังนัน้ การขอลี้ภัยทางการเมืองจงึ ต้อง มีการตรวจสอบให้แน่นอนเสียก่อนจึงจะปลอดภัย และหัวหน้าคณะทูตเมื่อประสบกับปัญหาผู้ลี้ภัยทาง การเมืองแล้วก็อาจต้องมีความลาบากอยู่บ้างในการตัดสินใจ เพราะยังไม่มีแนวบรรทัดฐานเกี่ยวกับเรื่องน้ี อัน เป็นท่ียอมรับโดยรัฐท้ังหลายในโลก แม้กระทั่งการประชุมที่กรุงเวียนนาก็ยังไม่อาจแก้ไขเกี่ยวกับผู้ลี้ ภัยทาง การเมอื งไดโ้ ดยเด็ดขาด 3.กงสุล (Consul) คาว่า \"กงสุล\" มีสวัสด์ิมาต้ังแต่โบราณ กล่าวคือ ในสมัยโรมันโบราณ เมื่อได้ทาการขับไล่ผู้ครอง นคร ออกจากบัลลังก์แล้ว ก็ตั้งบุคคลสองคนขึ้นมาคุมอานาจสูงสุดของประเทศ บุคคลท้ังสองนี้เลือกต้ังจากผู้ พิพากษาให้ตกลงแบ่งงานกันตามถนัด เช่น เป็นแม่ทัพ ศาลยุติธรรม การคลัง การปกครอง ประกาศสมัย ประชุมสภา การแต่งต้ังการเข้าประจาตาแหน่ง การประกาศใช้กฎหมาย เป็นตน้ ตาแหน่งทีบ่ ุคคลท้ังสองดารง น้ี เรียกวา่ \"กงสุล\" ในสมัยกลาง กงสุล หมายถึง \"ศาลนคร\" (City-Court) ของเมืองนั้น ผู้พิพากษาซึ่งประกอบเป็นษาน้ี เลือกจากพ่อค้าและนักธุรกิจ มีหน้าที่ปรับคดีพาณิชย์ คร้ันต่อมาได้ขนานนามข้ึนใหม่เรียกว่า ศาลกงสุล (Judges Consuls) หลังจากนั้นไม่นาน ศาลรั้ได้เปลี่ยนช่ือใหม่เรียกว่า Tribunaux de Commerce (ศาล พาณิชย์) ระบบศาลดังกล่าวได้ใช้ในบางมณฑลทางภาคใต้ของฝรั่งเศสในสมัยกลาง เมื่อเกิดปฏิวัติในปีค.ศ. 1789 ถ้ามีการเลิกใช้ศาลนคร ศาลกงสุล ศาลพาณิชย์ โดยให้มีสภาเทศบาล (Conseillers Municipaux) ข้ึน แทน ซึ่งไม่มีความหมายเดิมของคาว่ากงสุลเหลืออยู่เลย และผู้ที่เป็น Conseiller นี้ ก็ไม่ใช่มาจากตาแหน่ง กงสุล

ในปัจจุบัน เม่ือกฎหมายระหว่างประเทศมีบทบาทมากขึ้น คาว่า \"กงสุล\"นี้มีความหมายในอีกอย่าง หนึ่ง คือ หมายถึงผู้ท่ีได้รับมอบหมายให้อยู่คุ้มครองป้องกันรักษาและส่งเสริมผลประโยชน์ของคนสังกัดชาติ เดียวกันในต่างเมืองหรือต่างแดนโดยเฉพาะในด้านการพาณิชย์ การเดินเรือ การอุตสาหกรรม ให้ได้ผลดีมาก เท่าท่ีจะทาได้โดยไม่ขัดต่อกฎหมายและระเบียบประเพณีของบ้านเมือง กงสุลมิได้เป็นตัวแทนประมุขของรัฐ หากเป็นเจา้ หนา้ ท่ีผูร้ กั ษาผลประโยชน์ทางการค้าของประเทศตนในต่างประเทศ กงสุลน้ันประกอบด้วยหัวหน้า คณะกงสุล (Consular Mission) และเจ้าหน้าที่อื่นๆ ซึ่งมีหน้าที่ช่วยหัวหน้ากงสุล หน้าท่ีของกงสุลในปัจจุบัน อาจสรุปได้คือ ช่วยดาเนินความสัมพันธ์ทางการค้าและเศรษฐกิจระหว่างประเทศ ให้ข่าวสารแก่ประเทศของ ตนเองและประเทศทีต่ นประจาอยู่ และพยายามใหค้ วามช่วยเหลอื แก่บคุ คลซึ่งประกอบธรุ กิจกบั ประชาชนของ ประเทศตน ในทางปฏิบัติแล้ว คณะกงสุลจะร่วมมือกับคณะทูตก็เฉพาะแต่ในเร่ืองที่เป็นทางการหรือในด้าน ความรับผิดชอบ ซึ่งตามปกติแล้วเจ้าหน้าท่ี 2 ขณะนี้ไม่มีความเกี่ยวข้องซ่ึงกันและกันเลย ในปัจจุบัน สนธสิ ัญญาระหว่างประเทศท่ีได้วางระเบียบปฏิบตั ิเกี่ยวกับงานและหน้าทขี่ องกงสุลไวโ้ ดยเฉพาะคือ อนุสญั ญา กรงุ เวียนนาว่าด้วยความสมั พันธท์ างกงสลุ ค.ศ. 1963 2.องค์การระหวา่ งรัฐบาล (Intergovernmental Organization) ในระยะเร่ิมต้นศตวรรษที่ 20 ชาติรัฐ (Nation-States) ท้ังหลายได้เข้ามาร่วมในเวทีระหว่างประเทศ โดยอาศัยองค์การระหว่างประเทศ (IGO) เป็นศูนย์กลางซ่ึงองค์การระหว่างรัฐบาลเหล่านี้มักถูกเรียกว่า องค์การระหว่างประเทศ องค์การระหว่างรัฐบาลนี้อ่านแบ่งออกเป็น 2 ประเภทคือ องค์การระดับโลก (Global Organizations) เช่น สันนิบาตชาติ(League of Nations) และสหประชาชาติ (United Nations) และองค์การระดับภูมิภาค (Regional Organiztions) ได้แก่ องค์การสนธิสัญญาแอทแลนติกเหนือ หรือ NATO (north Atlantic Treaty Organization) องค์การสนธิสัญญาวอร์ซอร์ (Warsaw Pact) องค์การตลาด รว่ มยโุ รป (The European Common Market) เป็นต้น 3 ผู้มบี ทบาททีม่ ใิ ช่รัฐ (Non-State Actor) หลังสงครามโลกครั้งท่ีสองผู้มีบทบาทท่ีไม่ใช่รัฐ เริ่มมีบทบาทในการเข้าไปมีส่วนร่วมในการกาหนด นโยบายของประเทศตน หรือประเทศอ่ืนๆท่ีกลุ่มตนมีผลประโยชน์เก่ียวข้อง นอกจากน้ียังได้มีบทบาทในเวที การเมืองระหว่างประเทศ โดยเฉพาะในช่วงทศวรรษของปีค.ศ. 1970 ซึ่งมีวิกฤตการณ์เกี่ยวกับพลังงานน้ามัน ผมู้ ีบทบาทดงั กลา่ วแบ่งได้ออกเปน็ 3 ประเภทคือ 1.ธุรกิจข้ามชาติหรือธุรกิจหลายชาติ(Multinational Enterprises) ซ่ึงมีช่ือย่อว่า MNES ได้แก่ บรรษัทข้ามชาติ (Multinational Companies) เช่น Exon,Gulf,Texaco,ITT (Interriational Telephone and Telegraph) เป็นตน้ 2.ผู้ก่อการร้าย (Terrorist Groups) ได้แก่ พวกกลุ่ม IRA (Irish Republican Army) ในไอร์เเลนด์ เหนือ กองทัพแดงญี่ปุ่น (Japannese Red Army) ในญ่ีปุ่น กลุ่มบาเดอร์มานิฮอฟ (Baader Meinhof Gang) ในเยอรมันตะวันตก กองพลน้อยแดง (Red Brigade) ในอิตาลี องค์การปลดปล่อยปาเลสไตน์หรือ PLO (Palestine Liberation Organization) เปน็ ตน้ 3.กลุ่มเช้ือชาติ (Ethnic Groups) ได้เเก่ พวกเคิร์ด (Kurds) ในอีรัคและอีหร่าน กลุ่มสวาโป (SWAPO) ในดินแดนเเนมมิเบีย (Nammibia) ในแอฟรกิ าใต้ เปน็ ตน้

บทท่ี 4 นโยบายต่างประเทศในฐานะเป็นปจั จยั ทีเ่ ก่ยี วข้องกับความสมั พนั ธ์ระหวา่ งประเทศ 1 ความหมาย ในความสัมพันธ์ระหว่างประเทศ นโยบายต่างประเทศของรัฐมีบทบาทอย่างมากในการแสดงให้เห็นถึง แนวทางของความสัมพันธ์และการปฏิบัติท่ีรักต่างๆมีต่อกันไม่ว่ารักจะใหญ่หรือเล็กมีอานาจน้อยหรือมีอา นาจ มาก ต่างก็มีความจาเป็นท่ีจะต้องติดต่อกับรัฐภายนอก ซึ่งในการติดต่อดังกล่าวน้ัน รัฐจะต้องกาหนดนโยบาย ของตนขึ้นมาเพื่อให้ประเทศภายนอกได้เห็นว่าตนมีนโยบาย (policy) วิธีการ (means)หลักการ (principles)วัตถุประสงค์ (objectives)ผลประโยชน์ (interests)และจุดมุ่งหมายปลายทาง (ends) อะไรบ้าง ในการติดต่อเกี่ยวข้องกับโลกภายนอกน้ัน ส่ิงต่างๆที่กล่าวมาถือได้ว่าเป็นส่วนประกอบท่ีสาคัญของนโยบาย ตา่ งประเทศ โดยปกติแล้ว รัฐแต่ละรัฐจะต้องตัดสินใจด้วยตนเองว่าจะใช้นโยบายอะไรท่ีให้ผลประโยชน์แก่ตน มากทีส่ ุด ในสภาวการณ์ปัจจบุ ัน ซง่ึ เรียกว่าสงครามเยน็ บางรัฐเลอื กใช้นโยบายผกู พนั กับประเทศมหาอานาจที่ กาลังแข่งขันต่อสู้กันในสงครามเย็น ซ่ึงอาจเป็นฝ่ายตะวันตกหรือฝ่ายตะวันออก และบางรฐั ใช้ในโยบายไม่เข้า กับฝ่ายใดฝ่ายหน่ึงในสงครามดังกล่าว โดยวางตัวเป็นกลาง อาจกล่าวได้ว่าสงครามเย็นปัจจุบันแต่ละรัฐต่างก็ พยายามแสดงให้ร้านอ่นื เหน็ ว่าตนมีนโยบายอย่างไรต่อสภาวการณป์ จั จุบนั อย่างไรกต็ าม นโยบายต่างประเทศ ที่รฐั นามาใชส้ ่วนมากถอื ผลประโยชน์ของชาตเิ ป็นสาคญั นนั่ ก็คือความปลอดภัยของชาติ (National Security) ความเจริญของชาติ การขยายอานาจของชาติและเกียรติของชาตินโยบายท่ีรัฐเลือกมาปฏิบัติ จะนาผลดีมาสู่ ประเทศชาติได้ก็ต่อเมื่อนโยบายน้ันถือผลประโยชน์ของชาติ และสอดคล้องกับสภาพความเป็นจริงของ การเมืองระหว่างประเทศ อาจสรุปได้ว่า นโยบายต่างประเทศ ได้แก่ นโยบายที่เก่ียวข้องกับประเทศอ่ืน ซึ่ง ผนู้ าของประเทศไดก้ าหนดไว้ โดยคานึงถึงผลประโยชน์ของประเทศเป็นหลักสาคญั 2.จดุ ประสงคข์ องนโยบายตา่ งประเทศ ในการกาหนดนโยบายตา่ งประเทศ ผกู้ าหนดหรือผู้วางนโยบายจะต้องคานงึ ถึงผลประโยชนข์ องชาติเป็น สงิ่ แรก เพราะประเทศจะล่มจมหรือไม่น้ันข้ึนอยู่กับความสามารถของนโยบายที่นามาใช้ว่าจะปกป้องคุ้มครอง และขยายผลประโยชน์ของชาติได้เพียงใด ฉะนั้น นโยบายต่างประเทศจึงมีจุดประสงค์เป็นไปในลักษณะท่ีมุ่ง คุ้มครอง ต้องการผลประโยชน์ของชาติที่ซึ่งคณะบุคคลผู้มีอานาจตัดสินใจในนโยบายต่างประเทศหรือรัฐบาล ถือว่ามีความสาคัญต่อเอกราช ความม่ันคง ความอยู่ดีกินดีของประชาชนและเกียรติภูมิของประเทศ Percy Corbett ได้กล่าวถึงส่ิงท่ีถือว่าเป็นประโยชน์ของชาติเพ่ิมเติมไปอีกว่าผลประโยชน์ของชาติน้ันจะให้ความ หมายถึง เอกภาพในดินแดน เอกราชทางการเมือง นายสปิคเเมน (Spykman) ได้กล่าวว่า การปรับปรุง \"ฐานะในเรื่องอานาจ\"เป็นจุดประสงค์ของนโยบายต่างประเทศอย่างหน่ึงซ่ึงทุกประเทศจาเป็นต้องกระทาและ ประเทศใดจะทาสาเร็จได้แค่ไหนขึ้นอยู่กับความสามารถของประเทศน้ันน้ัน ข้อความท่ีกล่าวมาท้ังหมดจึง พอจะจาแนกจดุ ประสงค์ของนโยบายตา่ งประเทศไดด้ งั นี้คือ

(ก) รกั ษาไว้ซ่งึ เอกราช ความม่นั คงและความปลอดภัยของชาติ (ข) ติดตามและคุ้มครองผลประโยชน์ของชาติในทางเศรษฐกิจ จุดประสงค์ดังกล่าวทั้ง 2 ข้อ มีลักษณะ อย่างเดยี วกบั Karl W. Deutsch ได้เเบง่ เเยกไว้ 2.1 การรบั สายราษฎร์และความม่นั คงปลอดภยั ของชาติ นโยบายต่างประเทศโดยทั่วไปแล้ว จุดประสงค์ในการรักษาเอกราชและความมั่นคง ปลอดภัยของชาติ ซ่ึงถือว่าเป็นส่ิงสาคัญเหนือสิ่งอ่ืนใด ตัวอย่างเช่น รัสเซียบุกเข้ายึดประเทศเชคโกสโลวาเกีย ซึ่งเอาใจออกจาก เม่ือเดือนสิงหาคมค.ศ. 1968 ก็เพราะเรื่องความปลอดภัยของรัสเซียเอง ซ่ึงได้ทาการป้องกันไว้ก่อนการท่ี ประเทศไทยทาการผูกมิตรกับประเทศฝรั่งเศสในสมัยพระนารายณ์มหาราชน้ั ก็เพื่อป้องกันเอกราชของตน ให้ผลจากการคุกคามด้วยกาลังทหารของฝ่ายฮอลันดา การที่ประเทศไทยเป็นมิตรกับประเทศฝร่ังเศส อาศัย ความชว่ ยเหลือของฟอลคอน ทาให้ฮอลันดาไม่กล้าท่ีจะมาคุกคามประเทศไทย ซึ่งการกระทาดังกลา่ วเป็นการ ถว่ งดุลอานาจของฮอลนั ดา 2.2 ติดตามดูแลและป้องกันผลประโยชน์ในทางเศรษฐกิจ เพ่ือให้เศรษฐกิจมีความก้าวหน้าไปด้วยดี นโยบายต่างประเทศจาเป็นท่ีจะต้องดูแลและป้องกันไว้ไม่ให้ ได้รับความเสียหาย เช่น สหรัฐฯมีประชาชนไปทาการลงทุนค้าขายต้ังบริษัทอยู่ในต่างประเทศเป็นจานวนมาก เช่น ลาตินอเมริกา ลิเดีย ซาอุดิอาระเบีย อิหร่าน และประเทศอื่นๆอีกหลายประเทศ จึงทาให้รัฐบาล สหรัฐอเมริกาต้องย่ืนมือเข้ามาคุ้มครองป้องกันในรูปข้อตกลง หรือสนธิสัญญาระหว่างประเทศผลประโยชน์ ในทางเศรษฐกิจมักจะเก่ียวข้องกับผลประโยชน์ทางการเมืองอยู่เสมอเช่นสหรัฐอเมริกา เคยทาการส่งสินค้า จาพวกพ่อไปยังคิวบาก่อนหน้สที่หิเดลคาสโตรขึ้นครองอานาจ และคิวบารับซ้ือสินค้าผ้าน้ีไว้เป็นจานวนมาก ทั้งท้ังท่ีสินค้าภาคของประเทศญ่ีปุ่นมีราคาถูกกว่า ทั้งน้ีก็เพราะคิวบาต้องการอดโดยสินค้าของสหรัฐอเมริกา เพื่อหวังที่จะได้รับความช่วยเหลือจากสหรัฐในด้านอื่นๆ เมื่อคาสโตรขึ้นครองอานาจ คิวบาเลิกการติดต่อกับ สหรัฐอเมริกาโดยหันไปติดต่อกับสหภาพโซเวียต ซึ่งเป็นคู่แข่งตัวสาคัญของสหรัฐอเมริกาในสงครามเย็น ซึ่ง สหภาพโซเวียตได้ให้ความช่วยเหลือแก่คิวบาอย่างเต็มท่ี ท้ังในด้านทางทหารและทางเศรษฐกิจ จะเห็นได้ว่า นโยบายต่างประเทศบางคร้ังต้องมีอันเปลี่ยนแปลงไปให้เหมาะสมกับสภาวการณ์ทางการเมือง มิฉะนั้นจะ ก่อใหเ้ กดิ ผลรา้ ยต่อประเทศชาติในท่สี ุด จุดประสงค์ย่อยๆ ของนโยบายต่างประเทศก็ได้แก่ การขยายอานาจของชาติ การขยายอานาจของ ชาติปรากฏขึ้นอย่างแพร่หลายในสมัยอาณานิคม เพราะการขยายอานาจของชาติน้ันไม่เพียงแต่ทาให้ได้มาซึ่ง ความปลอดภัย โดยไม่มีใครกล้าลูกตาลเท่านั้นแต่ยังได้ผลประโยชน์ในทางเศรษฐกิจอีกด้วย อังกฤษได้อินเดีย เป็นเมืองขึ้นเพราะอินเดียมีทรัพยากรธรรมชาติหลายอย่างท่ีเป็นประโยชน์ในทางอุตสาหกรรม อาทิเช่น ถ่าน หิน เหล็ก และแร่เเมงกานสิ ซงึ่ แร่เหล่าน้ี โดยเฉพาะอย่างย่ิงแมงกานสิ อนิ เดียมมี ากท่ีสดุ ในโลกรองจากรัสเซีย องั กฤษจงึ ได้เเร่เเมงกานิส ใช้ผสมเหล็กกล้าเป็นจานวนมากจากอนิ เดียซงึ่ เป็นปัจจัยที่เสริมพลังอานาจของชาติ ใหม้ ากขึ้นนอกเหนือไปจากสง่ ผลดใี นทางเศรษฐกิจ ทุกวันน้ีนโยบายต่างประเทศของรัฐต่างๆมีลักษณะไม่เหมือนกันและท่ีมีการขัดแย้งกันระหว่างในเร่ือง ทางเศรษฐกิจ ทางทหาร และทางการเมือง ก็เพราะมีการขัดกันในจุดประสงค์ต่างๆท่ีกล่าวมา ซ่ึงรวมเรียกได้ วา่ ผลประโยชน์ของชาติ แตล่ ะชาติมีผลประโยชน์ด้วยกันทั้งน้ัน และผลประโยชน์ของชาติหนงึ่ ก็มักจะแตกตา่ ง

กับผลประโยชน์ของอีกชาติหนึ่ง ฉะนั้น แม้โลกจะมีความก้าวหน้าเพียงใดก็ตาม โลกก็ยังคงมีการขัดแย้งกัน มากกว่าการร่วมมือกันระหวา่ งรัฐ และนัทก็เคยเป็นมิตรกันก็อาจเป็นศัตรูกันได้ ในเมื่อมีผลประโยชน์ทางด้าน การเมืองขัดกัน ตัวอย่างเช่น รัสเซียและสหรัฐอเมริกา เคยเป็นพวกเดียวกันโดยรบกับเยอรมันในสงครามโลก คร้ังท่ีสอง หลังจากสงครามสงบลงท้ังสองประเทศก็เป็นศัตรูกัน เพราะมีการขัดแย้งกันในเรื่องการแบ่งเขตยึด ครองในยุโรปตอนกลางซึง่ รวมทัง้ ประเทศเยอรมันทัง้ หมด ผลกค็ ือ ทาให้เกดิ สงครามเย็นเรือ่ ยมาจนถงึ ปัจจุบนั 3.วธิ ีการกาหนดนโยบายตา่ งประเทศ วธิ กี ารกาหนดนโยบายต่างประเทศของประเทศตา่ งๆมีความแตกต่างกันออกไปตามระบอบการปกครอง ของประเทศหรือตามลักษณะของอุดมการณ์แห่งชาติ ระบอบการปกครองของประเทศในโลกนี้ แบ่งออกเป็น สองประเภทใหญใ่ หญค่ ือการปกครองแบบเสรีประชาธปิ ไตยและการปกครองแบบคอมมิวนสิ ต์ ในประเทศท่ีมีการปกครองแบบเสรีประชาธิปไตย วิธีการกาหนดนโยบายต่างประเทศว่าจะต้องทา อยา่ งไรนัน้ ได้ถูกกล่าวไว้ในรัฐธรรมนญู เป็นประเทศทใี่ ช้ระบบรฐั สภาแบบอังกฤษ เช่น ประเทศไทย ประเทศ มาเลเซีย ฯลฯ คณะรัฐมนตรีเป็นผู้มีบทบาทในการกาหนดนโยบายต่างประเทศ โดยมีรัฐมนตรีกลาโหมและ รัฐมนตรตี ่างประเทศในบางกรณีเป็นผรู้ ับผิดชอบในการรวบรวมข้อมูลตา่ งๆอันจะเป็นประโยชนใ์ นการกาหนด นโยบายต่างประเทศเสนอพร้อมกับความคิดเห็นของตนต่อคณะรัฐมนตรีเพื่อประกอบการพิจารณาในการ กาหนดนโยบาย รัสภาจะเห็นชอบด้วยในนโยบายที่คณะรัฐมนตรีตัดสินใจเลือกก่อนแต่เฉพาะในกรณีที่ คณะรัฐมนตรีสามารถควบคุมคะแนนเสียงข้างมากในรัฐสภา ดังนั้นถ้ามองอีกแง่หนึ่งก็จะเห็นว่า รัฐสภามี บทบาทมากข้ึนในการกาหนดนโยบายต่างประเทศในกรณีท่ีคณะรัฐมนตรีขาดเสียงข้างมากในสภา บางครั้ง คณะรัฐมนตรีอาจจะต้องลาออกไป เน่ืองจากรัฐสภาไมส่ นับสนุนนโยบายท่ีได้ตกลงเลือกเอาไว้ ตัวอย่างเช่นใน ปีค.ศ. 1951 คณะรัฐมนตรีฝรั่งเศสต้องลาออกเนื่องจากรัฐสภาไม่อนุมัติข้อตกลงที่คณะรัฐมนตรีฝรั่งเศสได้ทา ไว้กับประเทศต่างๆในยุโรป อันเกี่ยวกับการจัดต้ังกองบัญชาการป้องกันยุโรป เป็นต้น ส่วนในประเทศท่ีใช้ ระบบประธานาธบิ ดีแบบสหรัฐอเมรกิ า ประธานาธิบดเี ปน็ ผูม้ บี ทบาทสาคัญในการกาหนดนโยบายต่างประเทศ ไดร้ บั ความช่วยเหลอื จากคณะรฐั มนตรีวา่ การกระทรวงต่างประเทศ หรือกล่าวอีกนัยหน่ึงกค็ อื ว่า อานาจในการ กาหนดนโยบายต่างประเทศของสหรัฐอเมริกาไม่ได้ตกอยู่แก่สภาคองเกรส แต่ตกอยู่กับประธานาธบิ ดี ซ่ึงเม่ือ ตัดสินใจเลือกแนวนโยบายอย่างหนึ่งอย่างใดไปแล้ว ก็สามารถปฏิบัติตามนโยบายนั้นไปได้เลย ยกเว้นแต่ใน กรณีที่ต้องของงบประมาณพิเศษเท่าน้ัน ที่ประธานาธิบดีจะต้องขออนุมัติงบประมาณน้ันจากรัฐสภาคองเกรส และตรงจุดน้ีที่รัฐสภาคองเกรส เข้ามามีบทบาทในการกาหนดนโยบายต่างประเทศ นอกจากรัฐสภายังมีกลุ่ม ผลประโยชน์ (Interest Groups) และบรรดาส่ือมวลชนต่างๆที่มีอิทธิพลต่อการกาหนดนโยบายต่างประเทศ และบางครั้งพวกเรานี้ใช้อิทธิพลชักจูงค่อนข้างจะรุนแรง ซ่ึงส่วนมากเป็นไปในรูปเดินขบวนหรือเดินประท้วง เป็นต้น ดังจะเห็นได้จากการท่ีนักศึกษาและประชาชนอเมริกันเดินประท้วงนโยบายของสหรัฐในสงคราม เวียดนาม ซึ่งรฐั บาลไม่ได้ให้ความสนใจในการเดินขบวนประท้วงดังกล่าวเลย เพราะเชื่อว่าการกระทาดังกล่าว เกดิ จากความไม่เข้าใจหรอื เข้าใจไปอย่างผดิ ๆ ย่อมเป็นที่เห็นได้ว่าการกาหนดนโยบายต่างประเทศในประเทศเสรีประชาธิปไตยต้องเผชิญอุปสรรค ต่างๆและบางทีก็เกิดความล่าช้ากว่าจะเลือกแนวนโยบายมาใช้ได้ ท้ังนี้ก็เพราะว่าเสรีภาพและประชาธิปไตย

เปิดโอกาสให้สถาบันต่างๆตลอดจนบุคคลและกลุ่มบุคคลเข้ามามีบทบาทในการกาหนดนโยบายต่างประเทศ ซ่งึ บางครัง้ การขัดแย้งกนั ระหวา่ งพวกดงั กล่าวก่อให้เกิดความลา่ ชา้ ในการกาหนดนโยบายต่างประเทศ ลักษณะของการกาหนดนโยบายต่างประเทศดังกล่าว แตกต่างกับวธิ กี ารกาหนดนโยบายต่างประเทศใน ประเทศคอมมวิ นิสต์ ซ่ึงไม่มบี ุคคลหลายฝ่ายเข้ามาเกี่ยวขอ้ งมีแต่พรรคคอมมวิ นสิ ต์ พรรคเดยี วท่ีผูกขาดในการ ใช้อานาจในการกาหนดนโยบายต่างประเทศและการปกครองประเทศ โดยไม่ยอมให้มีใครมาคั ดค้าน คณะรัฐมนตรีและรัฐสภาซ่ึงมีอานาจในการกาหนดนโยบายต่างประเทศ ในประเทศเสรีประชาธิปไตย ไม่มี อานาจอย่างหนึ่งอย่างใดที่จะไปเกี่ยวข้องกับการกาหนดนโยบาย ได้แต่เพียงค่อยรับทราบการตัดสินใจต่างๆ ของคณะกรรมการกลางของพรรคคอมมิวนิสต์เท่านั้น ในบางครั้งถ้าหากเลขาธิการของพรรคมีอิทธิพลมากใน อานาจมาก อานาจในการกาหนดนโยบายจะตกอยู่ในมือของเลขาธิการแต่เพียงผู้เดียว สมาชิกชั้นนาอ่ืนๆของ พรรคไม่อาจโต้แย้งได้ เช่น สตาลิน ครั่นเป็นเลขาธิการพรรคคอมมิวนิสต์ เป็นต้น ดังน้ัน จะเห็นได้ว่าการ กาหนดนโยบายตา่ งประเทศของประเทศคอมมวิ นสิ ต์มีความเด็ดขาดและรวดเรว็ ประเทศเสรปี ระชาธิปไตย แต่ ก็ไม่มีการยอมรับกันท่ัวไปว่า การกาหนดนโยบายอย่างรวดเร็วของประเทศคอมมิวนิสต์ดังกล่าวนาผลดีมาสู่ ประเทศได้มากกว่าวิธีการกาหนดนโยบายโดยเปิดเผยที่ใช้ในประเทศเสรีประชาธิปไตย อย่างไรก็ตามทั้งสอง ฝ่ายต่างก็ทุ่มเถียงกันว่าระบบของตนท่ีใช้อยู่น้ันเป็นระบบที่ดีโดยอ้างเหตุผลนานาประการมาสนับสนุน ใน ปจั จุบนั ยงั ไมม่ ใี ครกลา้ ตัดสนิ ใจช้ีขาดลงไปว่าระบบใดดีกวา่ 4. ปจั จยั ที่มอี ิทธพิ ลต่อการตดั สินใจเลือกนโยบาย ในการตัดสินใจเลือกนโยบายนั้น ตามปกติผู้ตัดสินใจมักเลือกนโยบายท่ีทาให้ผลประโยชน์ต่อประเทศ มากที่สุดและง่ายต่อการปฎิบัติ ในการตัดสินใจน้ันผู้ตัดสินใจมักตกอยู่ภายใต้อิทธิพลของปัจจัยหลายอย่าง ซึ่ง อิทธิพลนั้นอาจมีมากบ้างและน้อยบ้าง ซึ่งสุดแล้วแต่ลักษณะของความสาคัญของปัจจัย ปัจจัยสาคัญที่มี อิทธิพลต่อการตัดสินใจเลือกแนวนโยบายของผู้นาหรือคณะผู้นาของรัฐ ซ่ึงนามากล่าวใน ณ ที่นี่ ได้แก่ พล พรรคการเมือง พวกข้าราชการ กลุ่มผลประโยชน์ หรือผู้มีส่วนได้เสีย พวกประชาชน ปัจจัยทางทหาร ปัจจัย ทางเศรษฐกิจ ประสบการณ์ทางประวัติศาสตร์ และแรงกระตุ้นหรือพลังภายนอก (External Forces) สาหรับ บุคลิกลักษณะ (Personally) ของผู้นาท่ีมีอิทธิพลของการตัดสินใจจะไม่นามากล่าวอีกเพราะได้กล่าวมาบ้าง แล้วในหัวข้อท่ี 1.5ที่ว่าด้วยผลประโยชน์ของชาติ ผลของปัจจัยดังกล่าวที่มีต่อผู้ตัดสินใจในนโยบาย ตา่ งประเทศ ก่อนท่ีจะพิจารณาถงึ อทิ ธิพลของปัจจัยแต่ละอยา่ งท่ีมีต่อผู้ตัดสินใจในนโยบายต่างประเทศ ระบบ ที่แสดงให้เห็นถึงอิทธิพลที่มีต่อผู้ตัดสินใจในนโยบาย (policy-Influence System)จะถูกนามาพิจารณาอย่าง ยอ่ ๆเพอ่ื สร้างความเขา้ ใจเรือ่ งน้ใี หด้ ขี ึน้ โดยท่ัวไปแล้ว ผู้ตัดสินใจเลือกแนวนโยบายมีความสัมพันธ์กับผู้มีอิทธิพลต่อการกาหนดนโยบายใน ลักษณะถ้อยทีถ้อยปฏิบัติต่อกัน โดยผู้ตัดสินใจในนโยบายก็มีความต้องการความสนับสนุนจากผู้มีอิทธิพลต่อ การสร้างนโยบายในนโยบายที่ตนเห็นชอบเพื่อให้นโยบายดาเนินลุล่วงไปด้วยดี โดยไม่มีข้อขัดค้าน หรือกล่าว อีกนัยหนึ่งก็คือ ฝ่ายต่างต้องพ่ึงพาซ่ึงกันและกันในเรื่องการให้ความสนับสนุนในนโยบายท่ีจะนามาใช้ลักษณะ เช่นว่านี้ มักปรากฏในรัฐประชาธิปไตยมากกว่าในรัฐเผด็จการ แต่น่ันก็ไม่ได้หมายความว่า ผู้นาของรัฐเผด็จ การ ไมต่ ้องการความสนบั สนนุ ของประชาชนในนโยบายท่ีตนนามาใช้ อย่างน้อยนโยบายท่ีนามาใช้นั้น จะต้อง สร้างความพึงพอใจแก่ประชาชนเป็นส่วนใหญ่ มิฉะนั้นแล้วประชาชนอาจจะลุกฮือข้ึนคัดค้านในนโยบายที่ตน

ไม่เห็นชอบและถ้ากาลังของประชาชนเข้มแข็งมาก ผู้นาของรัฐเผด็จการอาจถูกถอดออกจากตาแหน่งหรือถูก กาจัดเสีย ดังนั้น การปฏิวัติในฝรั่งเศสในปีค.ศ. 1789 เป็นต้น ในกรณีนโยบายภายในประเทศ ผู้มีอิทธิพลต่อ การเลือกนโยบายมักชอบเรียกร้องให้ผู้นาของรัฐสนใจในการทะนุบารุงบ้านเมืองและสวัสดิการ รวมทั้งความ เป็นอยู่ของประชาชน ในกรณีนโยบายต่างประเทศน้ัน ผู้มีอิทธิพลต่อนโยบายอาจได้ร้องให้ผู้นาของตนเคารพ สิทธิและเอกราชของรัฐอ่ืน และคุ้มครองผลประโยชน์ของประชาชนท่ีได้ลงทุนในต่างประเทศ ถ้าหากข้ อ เรยี กร้องนี้ไดร้ บั การเพิกเฉยจากผู้นาของรฐั ผู้มผี ลต่อนโยบายอาจไม่ให้การสนับสนุนหรือสนับสนุนนโยบายที่ผู้ นามาใช้แต่เพียงบางส่วนก็ได้ ในรัฐประชาธิปไตย ข้อเรียกร้องของประชาชนแสดงออกมาในรูปของการออก เสียง ส่วนในรัฐเผด็จการ ข้อเรียกร้องของประชาชนเป็นการต้องห้าม หรือถูกจากัดอย่างเขม้ งวด อาจกลา่ วได้ วา่ ปฏิกิริยากระทบกระทั่งกันระหว่างผู้ตัดสินใจในนโยบายของรัฐกับผู้มีอิทธพิ ลต่อนโยบายมักเกดิ ทั่วไปในรัฐ ท้ังหลายในรฐั ประชาธิปไตย ผู้มีอทิ ธิพลต่อนโยบายของประเทศ ได้แก่ ผูม้ ีสทิ ธ์ิออกเสยี งลงคะแนน ซึ่งมจี านวน มาก ส่วนรัฐท่ีเป็นเผด็จการผู้มีอิทธิพลต่อนโยบายของประเทศ มีจานวนไม่มากเหมือนในรัฐประชาธิปไตย สว่ นมากแล้วได้แก่ ผูม้ ีอานาจควบคุมองคก์ ารของรฐั ที่สาคัญ อาทเิ ช่น กองทัพบก เรอื อากาศ เป็นต้น ในสมัยฟิวดัล พระเจ้าแผ่นดินเป็นผู้ตัดสินใจเลือกนโยบาย ส่วนพวกขุนนางนั้นเป็นผู้มีอิทธิพลต่อการ ตัดสินใจในการเลอื กนโยบายของพระเจ้าแผ่นดิน อย่างไรก็ตาม ในระหว่างสมัยฟิวดัลบางครั้งพระเจ้าแผ่นดิน อ่อนแอ และพวกขุนนางมีอิทธิพลและเข้มแข็งกว่าทาให้ฐานะของพระเจ้าแผ่นดินลดลงไปเป็นผู้มีอิทธิพลต่อ นโยบาย ฉะนั้น การตัดสินใจเลือกนโยบายต่างประเทศจึงกระทาโดยได้มีความเห็นชอบโดยพร้อมเพรียงกัน จากพระเจ้าแผ่นดิน และพวกขุนนางทงั้ หลาย อาจสรุปได้ว่าในสมัยฟิวดัล ทาไมท่ีที่มีผอู้ ิทธิพลต่อนโยบายเป็น ผู้มีบทบาทอย่างมากในการสร้าง และตัดสินใจเลือกนโยบายต่างประเทศ หรือท่ีเรียกว่าสมัย Policy Influence Dominant ต่อมาหลังสมัยระบบฟิวดัล พระเจ้าแผ่นดินมีอานาจมากขึ้นในการตัดสินใจเลือก นโยบายต่างประเทศ โดยเฉพาะอย่างย่ิงในสมัยระหว่างศตวรรษท่ี 16 และศตวรรษที่ 19 ผู้มีอิทธิพลต่อ นโยบายไม่คอ่ ยมีบทบาทมากนักในการเลือกนโยบายต่างประเทศ พระเจ้าแผน่ ดินเปน็ ผู้ตัดสนิ ใจเลือกนโยบาย ต่างประเทศแต่เพียงผู้เดียว สมัยน้ีอาจเรียกได้ว่า เป็นสมัยหรือยุคสมบูรณาญาสิทธิราชย์ หรือท่ีนัก ประวัติศาสตร์เรียกว่า The Age of Absolution ต่อมาในศตวรรษที่ 20 อานาจของผู้นารัฐในการตัดสินใจ เลือกนโยบายต่างประเทศแต่เพียงผู้เดียวลดน้อยลงไป เพราะจานวนและความสัมพันธ์ของกลุ่มที่มีอิทธิพลต่อ นโยบายได้เพมิ่ ข้ึนอย่างมาก ดังนั้น ในกระบวนการตัดสนิ ใจเลอื กแนวนโยบายตา่ งประเทศจึงมบี ุคคลหลายฝ่าย และหลายกลมุ่ เข้ามาเกี่ยวขอ้ งด้วย ซง่ึ เรียกว่า Pluralization of the Policy-Making Process อย่างไรก็ตาม ผ้นู าของรัฐก็ยังคงมีอานาจในการตดั สินใจเลือกนโยบายต่างประเทศแต่เพียงฝ่ายเดียวอยู่ท้ังท้ังทม่ี ีผู้อิทธิพลต่อ การสร้างนโยบายมีจานวนมากข้ึน ผู้มีอิทธิพลต่อการสร้างนโยบายดังกล่าวโดยมากแล้วเป็นผู้ให้ความคิดเห็น และคาปรึกษาต่อผู้นารัฐบาล และถ้าตนไม่พอใจในนโยบายท่ีผู้นามาใช้ก็อาจโต้แย้งหรือคัดค้านได้ ซึ่งกรณี เช่นน้ีมักจะกระทากันในรัฐประชาธิปไตย ส่วนในรัฐเผด็จการ การคัดค้านหรือโต้แย้งนโยบายที่ผู้นาของรัฐ นามาใชไ้ ม่อาจจะกระทาไดโ้ ดยเปิดเผย จะกระทาไดก้ ็แตโ่ ดยวธิ ีลบั ๆเทา่ นน้ั ซึง่ ไมค่ อ่ ยจะเกิดผลเท่าใดนัก ปจั จัยท่มี ีอิทธพิ ลต่อการตัดสินใจเลอื กนโยบายตา่ งประเทศ แบ่งออกเป็นได้เปน็ 2 พวก พวกแรก ไดแ้ ก่ บุคคลประเภทตา่ งๆท่มี อี ทิ ธิพล พวกทีส่ อง ได้แก่ ปัจจัยทางด้านเศรษฐกจิ ทหาร และ

พวกทีส่ าม ได้แก่ ประสบการณทางภมู ิศาสตร์ และแรงกระต้นุ ทางภายนอก 1.บุคคลอทิ ธิพลประเภทต่างๆ บุคคลประเภทต่างๆท่ีมีอิทธิพลต่อการตัดสินใจของผู้นาของรัฐในการเลือกนโยบาย ได้แก่ พวกพรรค การเมือง พวกข้าราชการ พวกกลุ่มประโยชน์ และพวกประชาชน ไปรับพวกต่างก็มีบทบาทอิทธิพลใน กระบวนการสร้างนโยบายต่างประเทศแตกต่างกันออกไปตามระบบการเมืองแบบเปิดและแบบปิดส่วนลาดับ การใช้อิทธพิ ลของพวกดงั กล่าวต่อนโยบายต่างๆนัน้ มรี ะดบั แตกตา่ งกนั ออกไปตามระบบการเมือง ก. พวกข้าราชการ (Bureaucatic Influencers) ในรัฐสมัยใหม่ พวกข้าราชการเป็นพวกหน่ึงท่ีมีอิทธพิ ลต่อการสร้างนโยบายต่างประเทศ พวกราชการน้ี ได้แก่ ว่าพัฒนาการฝ่ายบริหารซ่ึงมีหน้าที่เก่ียวข้องในการสร้างนโยบายทั้งภายในและภายนอกประเทศ โดย ปกติแล้วพวกข้าราชการฝ่ายบริหารมีหน้าท่ีช่วยดูแลผู้ตัดสินใจเลือกแนวนโยบายต่างประเทศ (ได้แก่ผู้นาของ รัฐหรือกลุ่มของผู้นาของรัฐ) ในด้านการสร้างและดาเนินนโยบายต่างประเทศ นอกจากนี้ พวกข้าราชการฝ่าย บริหารบางคน ยังมีส่วนร่วมในการตัดสินใจเลือกแนวนโยบายต่างประเทศ ซ่ึงทาให้เป็นการยากในการท่ีจะ ตัดสินใจเด็ดขาดออกมาว่าข้าราชการฝ่ายบริหารเป็นผู้มีอิทธิพลต่อการสร้างนโยบาย หรือเป็นผู้ตัดสินใจใน นโยบายต่างประเทศ ว่าข้าราชการประเภทน้ีอยู่ใกล้ชิดผู้ตัดสินใจในนโยบายมากกว่าพวกอ่ืนๆเพราะมีหน้าท่ี ช่วยเหลือผู้ตัดสินใจในนโยบาย ในการสร้างและดาเนินนโยบาย ในบางกรณีพวกข้าราชการฝ่ายบริหารที่ ใกล้ชิดกับผู้นาของรัฐ อ่านไม่เห็นพ้องด้วยกับนโยบายที่ผู้นาของเราจะนามาใช้ ทางออกท่ีข้าราชการพรุ่งน้ีจะ ไปทาก็คือ ใช้อิทธิพลต่อสมาชิกของกลุ่มท่ีมีหน้าที่ตัดสินใจเลือกนโยบายเป็นการส่วนตัว หรือปล่อยขอให้เจอ หนังสือพิมพ์ ซงึ่ ทาหน้าที่กระตุ้นใหป้ ระชาชนทั่วไปทาการคดั ค้านนโยบายที่จะนามาใช้ อย่างไรก็ดี ขา้ ราชการ ฝา่ ยบริหารมักจะไม่คัดค้านอย่างเปิดเผย ยกเวน้ ในบางกรณี เช่น รัฐบาลขาดเสถียรภาพ เป็นต้น ในระบบทาง การเมอื งแบบเปิดและแบบปดิ พวกข้าราชการฝ่ายบรหิ าร มบี ทบาทในกระบวนการสร้างนโยบายต่างประเทศ ไมแ่ ตกต่างกนั มากนกั ซง่ึ บ่อยครง้ั เพราะขา้ ราชการดงั กลา่ วมกั จะปฏิบตั กิ ารณ์เบอ้ื งหลงั ฉากโดยให้ขา่ วคราวอัน เป็นประโยชน์ในการสร้างนโยบายต่างประเทศ ตลอดจนให้การสนับสนุนในนโยบายนั้นน้ันว่าข้าราชการฝ่าย บริหารจะใช้อิทธพิ ลมากหรือน้อยที่สุดแล้วแต่ว่าผู้นาสูงสุดของรัฐเป็นผู้นาที่น่าไว้ใจไดข้ นาดไหน ถ้าผู้นาสูงสุด ของรัฐทาตนเป็นที่น่าไว้วางใจ พวกข้าราชการฝ่ายบริหารก็มักจะไม่ค่อยขัดค้านในนโยบายท่ีผู้นาของรัฐ นามาใช้ ในทานองกลับกันถ้าผู้นาดังกล่าวมีท่าทีหรือพฤติกรรมไม่น่าไว้วางใจ พวกข้าราชการฝ่ายบริหารก็จะ พยายามเขา้ ไปมีส่วนในการตดั สนิ ใจในนโยบายให้มากท่สี ดุ เท่าท่จี ะทาได้ ซึง่ ทง้ั นร้ี วมถงึ การใช้อิทธพิ ลดว้ ย ข. พวกพลพรรคการเมอื งที่มอี ทิ ธพิ ล (Influenced Partisan) พวกพรรคการเมืองน้ี เปน็ ตัวแทนในการแสดงออกถึงส่วนได้ส่วนเสียของประชาชนอนั เป็นผลประโยชน์ สว่ นรวม และมักใชอ้ ิทธิพลต่อการตัดสินใจในนโยบายของผู้นารฐั โดยมุ่งหมายจะให้ผนู้ าของรัฐเลือกใช้นโยบาย ซึ่งก่อให้เกิดผลดีแก่ประชาชนอันเป็นส่วนรวม พวกพลพรรคนี้จะใช้อิทธิพลต่อผู้ตัดสินใจในนโยบาย ต่างประเทศก็ต่อเมื่อนโยบายนน้ั มสี ว่ นกระทบกระเทือนหรือพวั พนั เก่ียวกับนโยบายภายในประเทศ

ในระบบการเมืองแบบปิดพลพรรคการเมืองอาจเป็นไปได้ทั้งกลุ่มการเมืองนอกกฎหมาย หรือเป็นส่วน หน่ึงของระบบพรรคเดียว ในรัฐเผด็จการที่มีเสถียรภาพมากมีพรรคเดียวเท่านั้น พัดอ่ืนๆถ้าหากจะมีก็ต้อง เป็น ไปอย่างรับ รับ เพราะเป็ นการผิ ดต่อกฎห มายในการมีพรรคการเมือง อ่ืน ๆน อกเห นื อไปจากพรรคของ การเมอื งของรัฐ ดังน้ันภายในรัฐเผดจ็ การจึงไม่เปิดใหม้ ีการโต้เถียง จะมีข้นึ ไดก้ แ็ ต่ภายในพรรคการเมืองของรัฐ เท่าน้ัน ภายในพรรคการเมืองมีการแบ่งออกเปน็ พวกต่างๆ ซึ่งต่างกม็ ีผลประโยชน์และอุดมการณ์ท่ีแตกต่างกัน ออกไป นอกจากน้ี กฎของพรรคการเมืองยังห้ามการออกเสยี งคัดค้านในนโยบายของพรรค ถา้ หากจะมีการคัด คันก็ต้องกระทาก่อนที่ผู้นาของรัฐจะตัดสินใจเลือกนโยบายโดยการใช้อิทธิพลต่อสมาชิกของกลุ่มท่ีทาหน้าที่ ตัดสินใจในนโยบาย ถ้าหากทาการคัดค้านนโยบายหลังจากท่ีผู้นาของเราใช้แล้ว ก็ถือว่าเป็นการไม่สนับสนุน นโยบายของรัฐซง่ึ เปน็ ข้อกล่าวหาที่มีโทษรนุ แรงในรฐั เผด็จการ ในระบบการเมอื งแบบเปิด เช่น รัฐเสรีประชาธิปไตย จานวนพลพรรคการเมอื งมีมากกว่าระบบการเมือง แบบปดิ เพราะการจัดตงั้ พรรคการเมืองกระทาได้งา่ ยกว่าในรัฐเผด็จการ ดังน้ัน พรรคการเมืองและสมาชิกของ พรรคจึงมีเป็นจานวนมาก พรรคการเมืองท่ีถูกจัดตั้งตามระเบียบกฎเกณฑ์ ถือว่าเป็นพรรคการเมืองที่ถูกต้อง ตามกฎหมาย ถึงแม้ว่าจะมีจานวนมาก แต่อิทธิพลของพลพรรคการเมืองที่มีต่อการตัดสินใจเรื่องแนวนโยบาย ต่างประเทศของผู้นารัฐค่อนข้างจะจากัด เจมส์ รอบบินสัน (Jame Robinson) ได้พบว่าในจานวนที่ 12 นโยบายต่างประเทศท่ถี ูกนามาใช้ปฏิบัตริ ะหวา่ งปีค.ศ. 1930 ถงึ 1940 และ 1961 มีเพยี งสามนโยบายเท่านั้น ที่พลพรรคการเมืองในสภาคองเกรซได้เป็นผู้ตัดสินใจเลือกมาใช้ ซึ่งทั้งสามนโยบายเป็นนโยบายท่ีไม่มี ความสาคัญมากเท่ากับนโยบายท่ีเกี่ยวกับการพัฒนาเกี่ยวกับระเบิดปรมาณูและสงครามเกาหลี เป็นต้น ในรัฐ ประชาธิปไตยท่ีมเี สถียรภาพ เชน่ สหรัฐอเมริกาพลพรรคการเมืองท่ีมีอิทธิพลตอ่ การสร้างนโยบายต่างประเทศ ไม่ค่อยมีบทบาทมากนักในการอนุมัติหรือปฏิเสธนโยบายต่างประเทศซ่ึงตัดสินใจเลือกโดยผู้นาของรัฐ ท้ังนี้ เป็นเพราะพวกพลพรรคการเมืองส่วนมากแล้วยุ่งเกี่ยวกับเรื่องการเมืองภายในประเทศมากกว่าเร่ืองการเมือง ระหว่างประเทศ พวกฝ่ายบริหารมักจะอ้างว่านโยบายต่างประเทศน้ันไม่สมควรจะนามาอภิปรายกันอย่าง เปิดเผยและไม่สมควรที่จะมีการคัดค้าน เพราะเป็นเรื่องเกี่ยวกับความมั่นคงของชาติ ด้วยเหตุน้ี พวกพล การเมืองจึงไมค่ ่อยอยากจะเขา้ ไปเกย่ี วขอ้ ง เพราะเป็นว่าความลับจะรวั่ ไหลเลกิ กลัววา่ จะละเมิดตอ่ การรกั ษาไว้ ซึ่งความลับของประเทศชาติ นอกจากน้ีแล้วการสร้างนโยบายต่างประเทศมักจะต้องการแนวความคิดและ พิจารณาจากผู้มีความเชี่ยวชาญมากกว่าคนการเมอื งดังนัน้ พวกพลพรรคการเมืองส่วนมากจึงมักไม่คอ่ ยเข้าไป ยุ่งเก่ียวในการสร้างนโยบายต่างประเทศ และมักจะไม่คัดค้านหรอื โต้แย้งในนโยบายต่างประเทศท่ีมผี นู้ าของรัฐ ตัดสินใจเลือกนามาใช้ ถ้าจะมีการคัดค้านก็เป็นแต่เพียงส่วนน้อยเท่านั้น ตัวอย่างเช่น วุฒิสมาชิกสภาฟุลไบร๊ท์ คัดค้านนโยบายการช่วยเหลือของสหรัฐอเมริกาที่มีต่อประเทศไทย เป็นต้น เร่ืองการคัดคันน้ีไม่ค่อยจะได้ผล เท่าไหร่นัก ส่วนมากแล้วนโยบายต่างประเทศซึ่งพลพรรคการเมืองเข้าไปเก่ียวข้องมากท่ีสดุ ไดแ้ ก่นโยบายท่ีไม่ เก่ียวข้องกับความม่ันคงแห่งชาติ เช่น นโยบายที่เกี่ยวกับการอพยพของคนต่างด้าว และการช่วยเหลือ ต่างประเทศ เป็นต้น ค. ผ้มู ีผลประโยชนท์ ี่มอี ิทธพิ ล (Interest Influencers) ผู้มอี ิทธิพลตอ่ การสรา้ งและตัดสินใจในนโยบายตา่ งประเทศอันดับท่ีสามได้แก่ผู้มีผลประโยชน์ซ่ึงรวมกัน เข้าเป็นกลุ่มโดยมีผลประโยชน์ผูกพันร่วมกัน ผลประโยชน์ส่วนมาก ได้แก่ผลประโยชน์ทางเศรษฐกิจ ซ่ึงจูงใจ

ให้มนุษย์ร่วมกันกระทาอย่างหน่ึงอย่างใดอันก่อให้เกิดประโยชน์ร่วมกัน พวกกลุ่มผลประโยชน์นี้มักจะใช้ อทิ ธิพลตอ่ นักการเมอื งชนั้ ผ้นู าให้กระทาการอย่างหน่ึงอย่างใด เชน่ การเลือกใชน้ โยบายอนั จะปกปอ้ งคุ้มครอง ผลประโยชน์ของตนไมใ่ ห้ตอ้ งสูญเสียไป ในระบบการเมอื งแบบปิดพวกกลุ่มผลประโยชน์ ท่ีแตกต่างจากผลประโยชนจ์ ะใช้อิทธิพลหลังฉากอย่าง ลับๆโดยเฉพาะอย่างยิ่งในรัฐที่มีพรรคการเมืองพรรคเดียว ซ่ึงเป็นพรรครัฐบาล ทั้งน้ีก็เพราะว่า รัฐมิให้บุคคล หรือพรรคการเมืองใดมปี ระโยชนท์ แ่ี ตกต่างจากผลประโยชน์ของรฐั ในระบบการเมืองแบบเปดิ เช่น ในประเทศเสรีประชาธปิ ไตยมีพวกกลุ่มผลประโยชน์อย่เู ป็นจานวนมาก ซ่ึงมีบางกลุ่มมีอิทธิพลทางการเงินมากจนกระท่ังสามารถใช้อิทธิพลดังกล่าวต่อผู้ออกเสียงและพลพรรค การเมืองให้สนับสนุนในนโยบายซ่ึงมีประโยชน์แก่ตน ตัวอย่างเช่น ในสหรัฐอเมริกาพวกกลุ่มยิวหรือท่ีเรียกว่า Zionist Groups มีบทบาทอย่างมากในการใช้อิทธิพลต่อนโยบายต่างประเทศของสหรัฐอเมริกา ซึ่งก่อให้เกิด ผลประโยชน์อย่างมากต่อประเทศอิสราเอล พวกกลุ่มผลประโยชน์ในประเทศเสรีประชาธิปไตยโดยมากแล้ว ชอบใชว้ ธิ กี ารหวา่ น เงินเอาใจหวั หน้าพรรคการเมอื งที่มีอทิ ธพิ ลต่อการตดั สนิ ใจของผนู้ าของรัฐในนโยบายตา่ งประเทศ บางคร้งั เงิน สามารถทาให้ผู้มีหน้าที่ในการตัดสินใจนโยบายต่างประเทศตกอยู่ภายใต้อานาจของผู้ใช้เงินหว่านได้ และใน บางกรณีอาจเลยเถิดกลายเป็นเร่ืองคอรัปช่ันไปก็ได้ อาจกล่าวได้ว่า กลุ่มผลประโยชน์มีบทบาทพอสมควรใน กระบวนการสร้างนโยบายต่างประเทศ โดยเฉพาะอย่างย่ิงกลุ่มผลประโยชน์ท่ีมีอานาจทางการเงิน แต่นั่นก็ ไม่ได้หมายความว่ากลุ่มผลประโยชน์ท่ีมีเงินจะมีอานาจบงการผู้ตัดสินใจเลือกนโยบายหรือดาเนินนโยบายไป ตามที่ตนประสงค์ได้ทุกอย่างกลุ่มผลประโยชน์เป็น แต่เพียงใช้อิทธิพลและอานาจทางการเงินต่อผู้ตัดสินใจใน นโยบายต่างประเทศให้เลือกแนวนโยบายอันกอ่ ให้เกิดผลประโยชน์มากท่สี ุดแกต่ น ซ่ึงผ้ตู ัดสินใจในนโยบายจะ เรื่องนโยบายอันใดแล้วแต่ดุลพินิจของตน ฉะนั้น ความสาเร็จในการใช้อิทธิพลต่อการสร้างนโยบาย ต่างประเทศของกลุ่มผลประโยชน์จึงไม่ค่อยจะแน่ใจเท่าใดนัก ซึ่งทั้งน้ีและท้ังนั้นขึ้นอยู่กับความพอใจของผู้ ตดั สนิ ใจเลือกนโยบายอันเป็นเรื่องทคี่ าดคะเนการไดย้ าก ง. พวกประชาชนทีม่ อี ิทธิพล (Mass Influencers) ความคิดเห็นของพวกประชาชนโดยทั่วไปเป็นปัจจัยที่สาคัญอย่างหน่ึงที่ผู้ตัดสินใจในนโยบาย ต่างประเทศมักจะรับฟังโดยเฉพาะอย่างย่ิงในระบบการเมืองแบบเปิดแล้วผู้นาของรัฐจะต้องสร้างนโยบาย ต่างประเทศให้เป็นที่พอใจแก่ประชาชนทั้งหลายดังนั้น ผู้นาของรัฐจะต้องสดับตลับฟังความคิดเห็นของ ประชาชนโดยท่ัวไปกอ่ นจะตัดสินใจเลือกแนวนโยบายอย่างหนึ่งอย่างใดลงไป เพราะมิเช่นน้ันแล้วนโยบายนั้น จะสร้างความไม่พอใจกับประชาชน และอาจนาไปสู่การคัดคา้ นและโต้แย้งอยา่ งรนุ แรงก็ได้ นอกจากน้ีแลว้ อาจ ทาให้ผู้นาของรัฐไม่ได้รับการเลอื กจากประชาชนในการเลือกต้ังคราวหน้า ด้วยเหตุดังกล่าว ผู้นาของรัฐจะต้อง ระมัดระวังอย่างมากในการตัดสินใจเลือกนโยบาย โดยปกติแล้วผู้นาของรัฐมักจะเลือกเอานโยบายซึ่งไม่ เพียงแตส่ รา้ งความพึงพอใจใหแ้ กป่ ระชาชนส่วนรวม แต่ยงั มีความสะดวกและงา่ ยต่อการปฏบิ ตั ิ ในระบบการเมืองแบบเปิด ประชาชนมีอิทธิพลน้อยมากในกระบวนการสร้างนโยบายต่างประเทศ โดย ปกติแล้วผู้นาของรัฐเป็นผู้มีอานาจสูงสุดในการตัดสินใจเลือกแนวนโยบายต่างประเทศ ซ่ึงมักจะปรากฏในรัฐ เผด็จการแบบเด็ดขาด เช่น ประเทศเยอรมันภายใต้การปกครองของฮิตเลอร์ ส่วนมากประชาชนมักจะเห็น

คล้อยตามความคิดของผู้นาเพราะการมีความคิดเห็นท่ีขัดกับผู้นาโดยเฉพาะอย่างย่ิงในเร่ืองท่ีเก่ียวกับรัฐแล้ว มักมีโทษรนุ แรง การแสดงความคิดเห็นโดยเปิดเผยไมว่ ่าจะโดยวิธีหนังสือพิมพ์ หรอื วิทยุกระจายเสียงถูกจากัด อย่างเข้มงวด กล่าวอย่างง่ายง่ายก็คือว่า ประชาชนมีโอกาสในการแสดงความคิดเห็นท่ีขัดต่อนโยบายของรัฐ นอ้ ยมาก ถา้ หากจะมกี ต็ อ้ งกระทากนั อยา่ งลบั ๆ เพราะมฉิ ะนน้ั แลว้ อาจไดร้ บั โทษถงึ แกช่ ีวติ อาจสรุปได้ว่า ประชาชนในรัฐเสรีประชาธิปไตย ที่มีระบบการเมืองแบบเปิดมีบทบาทในกระบวนการสร้าง นโยบายตา่ งประเทศมากกวา่ ประชาชนที่อาศัยอยใู่ นรฐั ท่ใี ชร้ ะบบการเมืองแบบปิด และเร่อื งน้ีอาจเปรียบเทียบ ได้จากข้อเท็จจริงที่ปรากฏในประเทศฝ่ายตะวนั ตก และประเทศฝ่ายตะวนั ออก เช่น สหรัฐอเมริกา สหภาพโซ เวียต เป็นต้น 2.ปจั จยั ทางดา้ นเศรษฐกจิ และการทหาร (Economic and Military Influencers) ในการสร้างนโยบายตา่ งประเทศ คณะผู้นาของประเทศจาเป็นต้องคานึงถึงกาลงั ทางด้านเศรษฐกิจและ การทหารของชาติว่ามีอยู่เพียงใด และกาลังท่ีมอี ยู่น้ันสามารถทาให้ประเทศเลือกนโยบายอย่างหนง่ึ อย่างใดได้ หรอื ไม่ การที่คณะผู้นาของประเทศต้องคานึงถึงกาลังปัจจัยดังกล่าวก็เพราะความสาเร็จในการปฏิบัตินโยบาย ข้ึนอยู่กับขีดความสามารถของประเทศ ถ้านโยบายใดอยู่เหนือขีดความสามารถของประเทศก็จะปฏิบัติให้ได้ เปน็ ผลสาเร็จแล้ว นโยบายน้ันจะนาผลรา้ ยมาสู่ประเทศชาติได้ในที่สุด ตวั อยา่ งเช่น ถ้าหากประเทศไทยภายใต้ การนาของหลวงพิบูลสงครามไม่ตัดสินใจใช้นโยบายร่วมมือกับญี่ปุ่นในสงครามโลกคร้ังท่ีสอง โดยเชื่อว่ามี ความสามารถพอท่ีจะทาสงครามกับญ่ีปุน่ แล้วประเทศไทยอาจได้รับความเสียหายอยา่ งใหญ่หลวงจากนโยบาย ท่ีไม่ร่วมมือกับญ่ีปุ่นก็ได้ถึงแม้ว่านโยบายที่รัฐบาลนามาใช้ในขนาดนั้นทาให้ประเทศต้องเสียเปรียบไปมากใน ตอนตน้ ๆก็ตาม แตก่ ็นาผลดมี าส่ปู ระเทศชาติไดใ้ นตอนหลัง ในประเทศดอ้ ยพฒั นาทีก่ าลังดา้ นเศรษฐกจิ และการทหารไม่เข้มแข็งก็มักใชน้ โยบายเป็นมติ รกับประเทศ มหาอานาจ เพ่ือประโยชน์ในดา้ นการได้รบั ความช่วยเหลอื ทางด้านการทหารและทางเศรษฐกิจสงครามเยน็ ใน ปจั จุบันระหว่างฝ่ายตะวันตกและฝ่ายตะวันออก ซึ่งเป็นไปในลักษณะของการแข่งขันในการให้ความช่วยเหลือ แก่ประเทศท่ีดอ้ ยพัฒนาและประเทศท่ีเกิดข้ึนใหมใ่ หม่เพ่ือหวงั ที่จะดึงประเทศเหล่าน้ีมาเป็นพรรคพวกของตน ทาให้ประเทศดอ๋ ยพัฒนาหรือประเทศที่เกดิ ใหม่ โดยเฉพาะอยา่ งย่ิงประเทศที่เปน็ กลางได้รับผลประโยชน์อยา่ ง มากจากทั้งสองฝ่าย ประเทศที่ยังไม่เข้มแข็งในด้านเศรษฐกิจและด้านกาลังทหารว่าจะใช้นโยบายร่วมมือกับ ประเทศมหาอานาจที่มีอุดมการเหมือนกับต้น และเมื่อมีความเข้มแข็งเพียงพอก็มักมีนโยบายเปล่ียนแปลงไป จากเดิม ในรูปที่ไม่ต้องการจะพ่ึงใคร เช่น จีนแดงแต่ก่อนต้องพ่ึงพาอาศัยสาภาพโซเวียตท้ังในด้านการทหาร และเศรษฐกิจ ต่อมาจีนแดนผลิตระเบิดปรมาณูขึ้นมาได้ก็มีท่าทีไม่ยอมอ่อนข้อต่อสหภาพโซเวียตเหมือนครั้ง ก่อนๆ มีการแตกแยกในเร่ืองอุดมการณ์การท้าทายและประณามซ่ึงกันและกัน จนบางครั้งมีการต่อสู้กัน ระหว่างชายแดนของประเทศทั้งสอง จากสถานการณ์เช่นน้ีก็พอกล่าวได้ว่า จีนแดงเช่ือว่าตนมีความสามารถ เพยี งพอในด้านการเศรษฐกิจและกาลังทหารในการเปน็ ชาติมหาอานาจ จึงใชน้ โยบายตา่ งประเทศในลักษณะที่ เป็นของตนเองโดยไม่ต้องอาศัยต้องช่วยเหลือจากใคร และไม่ให้ใครมีอิทธิพลเหนือนโยบายของตน ซึ่งผิดกับ ประเทศท่ียังไม่เข้มแข็งในด้านกาลังทางเศรษฐกิจและกองทหาร ซ่ึงมักใช้นโยบายต่างประเทศที่คล้อยตามไป กับนโยบายของประเทศมหาอานาจ ท้ังนี้ก็เพราะต้องเอาใจประเทศมหาอานาจเพ่ือประโยชน์ที่ตนจะได้รับ ตอบแทนจากประเทศมหาอานาจซึง่ อาจจะเปน็ ไปในรูปแบบการชว่ ยเหลอื ทางเศรษฐกจิ และทางทหาร

อาจสรุปได้ว่า ปัจจัยทางด้านเศรษฐกิจและการทหารของประเทศมีบทบาทในการสร้างและเรื่อง นโยบายต่างประเทศอย่างมากในโลกการเมืองปัจจุบันเพราะไม่ว่าจะเป็นประเทศใหญ่หรือเล็ก ต่างก็ต้อง คานึงถึงกาลังและขีดความสามารถของตนในด้านเศรษฐกิจและในด้านอาหารก่อนท่ีจะตัดสินใจเลือกนโยบาย ต่างประเทศอย่างหน่ึงอย่างใดมาปฏิบัติ เพราะไม่ว่าจะเป็นประเทศใหญ่หรือเล็กต่างก็ต้องคานึงถึงกาลังและ ขีดความสามารถของตนในด้านเศรษฐกิจและในด้านอาหารก่อนที่จะตัดสินใจเลือกนโยบายต่างประเทศอย่าง หน่ึงอย่างใดมาปฏิบัติ การสาคัญผิดในเรื่องความสามารถหรือการประเมินความสามารถของตนอย่างผิดๆอาจ ทาให้คณะผู้นาประเทศเลือกนโยบาย ซึ่งส่งผลเสียให้แก่ประเทศชาติของตนได้มากที่สุด เหตุการณ์ต่างๆใน อดีตเป็นประจักษ์พยานอย่างดีว่าประเทศที่สาคัญตนผิดมีความสามารถเพียงพอในการทาสงครามกับประเทศ อื่นมักจะสูญเสียเอกลักษณ์ของประเทศ ได้รับความเสียหายอย่างใหญ่หลวงในท้ายที่สุด เช่นประเทศเยอรมัน ประเทศญปี่ ่นุ เปน็ ต้น 3.ประสบการณท์ างประวัตศิ าสตรแ์ ละแรงกระตนุ้ ภายนอก ประสบการณ์ทางประวัติศาสตร์และแรงกระตุ้นภายนอก มีส่วนจูงใจให้รัฐมีปฏิกิริยาต่อต่างประเทศ หรือเลือกแนวนโยบายต่างประเทศอย่างหนึ่งอย่างใดมาใช้ ดังท่ี เจมส์ เอ็น โรสเนาว์ (James N. Rosenau) ได้กล่าวไว้ในบทความเรื่อง \"The External Environment as a Variable in Foreign Polis Analysis\" ใน หนังสือชื่อ \"The Analysisi of International Politics\" กล่าวคือ โดยทั่วไปแล้วคนมักมีความรู้สึกว่า เหตุการณ์ในประวัติศาสตร์เป็นตัวกาหนดเหตุการณ์ในปัจจุบัน และแรงกระตุ้นภายนอกซึ่งอาจเป็นเหตุการณ์ นอกประเทศอ่านบีบบังคับให้รัฐเลือกใช้นโยบายอย่างหนึ่งอย่างใด หรือมีปฏิกิริยาอย่างหน่ึงอย่างใดออกไป สาหรับแรงกระตนุ้ ภายนอกน้ีเป็นรากฐานสาคญั ของทฤษฎีเกม (Game Theory) ซึ่งอธบิ ายว่าเม่ือประเชญิ กับ แรงกระตุ้นหรือแรงบังคับจากภายนอกผู้นาหรือรัฐบาลจะเลือกแสดงปฏิกิริยาตอบโต้ในวิธีทางท่ีตนคิดว่า อานวยผลประโยชนห์ รอื ส่งผลดใี ห้ หรอื ไม่เชน่ นน้ั ก็จะเลอื กการกระทาทีส่ ่งผลได้เลยใหแ้ ก่ตนน้อยที่สดุ 5.การปฏิบัตแิ ละการดาเนนิ นโยบายตา่ งประเทศ เมื่อประธานาธิบดี หรือ คณะรัฐมนตรีได้ตัดสินใจเลือกใช้นโยบายต่างประเทศอย่างหน่ึงอย่างใดแล้ว นโยบายนัน้ ก็อาจจะกลายเป็นนโยบายประเทศซึ่งเจ้าหนา้ ที่ทเี่ กยี่ วข้องทุกฝ่ายจะต้องปฏิบัติตามอย่างเคร่งครัด ได้ว่าตนจะเห็นด้วยหรือไม่ก็ตาม เพราะมิฉะน้ันแล้วนโยบายจะไม่บรรลุผลสาเร็จตามจุดมุ่งหมายท่ีวางไว้ ข้อ สาคัญก็คือ หน้าที่จะต้องเข้าใจในนโยบายเป็นอย่างดีก่อนท่ีจะลงมือปฏิบัติ เราจะต้องปฏิบัติด้วยความเต็มใจ ฉันนอนแล้วอาจจะเกิดผลร้ายต่อประเทศชาติได้ ศาลท่ีจะทาให้เจ้าหน้าท่ีเข้าใจในนโยบายน้ันได้เพราะต้องใช้ วิธีการฝึกอบรมเจ้าหน้าที่น้ันน้ันให้มีความเข้าใจในเหตุผล และเป้าหมายของนโยบายท่ีตนจะต้องปฏิบัติ อย่างไรก็ตามอุปสรรคในการปฏิบัติได้โยบายต่างประเทศมิใช่เกิดจากเจ้าหน้าที่แต่เพียงฝ่ายเดียว แต่อาจเกิด จากการกระทาของบุคคลสาคัญในคณะรัฐบาลก็ได้ บุคคลดังกล่าวอา่ นให้สัมภาษณ์บางอย่างอันเป็นการทาร้าย จิตใจและกาลังใจของเจ้าหน้าท่ีปฏิบัติตามนโยบายต่างประเทศซึ่งอาจจะก่อให้เกิดผลเสียหายในบ้ันปลายได้ เพราะฉะน้ันงานในการปฎิบัติตามนโยบายต่างประเทศจึงต้องอาศัยการร่วมมือและสนับสนุนของบุคคลทุกๆ ฝา่ ยท่ีเก่ียวข้อง เพราะฉะน้ันเป็นนโยบายของประเทศอันเป็นส่วนรวม ซึ่งทุกคนโดยเฉพาะอย่างย่ิงเจ้าหน้าที่ท่ี มสี ว่ นเกย่ี วขอ้ งควรใหค้ วามร่วมมอื และการสนับสนนุ อยา่ งเตม็ ท่ี

เมื่อพูดถึงการปฏิบัตินโยบายต่างประเทศของเจ้าหน้าที่ประจาอยู่ท้ังภายในและภายนอกประเทศแล้ว จึงควรหันมาพิจารณาถึงการดาเนินนโยบายต่างประเทศของคณะต่างประเทศว่าอาศัยเครื่องมืออะไรบ้างใน การดาเนินนโยบาย ทุกวันน้ีประเทศทั้งหลายต่างก็ดาเนินนโยบายกับโลกภายนอกด้วยกันท้ังน้ัน โดยนา เคร่ืองมือต่างๆท่ีตนมีอยู่มาใช้เพื่อให้จุดประสงค์ของนโยบายทาประเทศท่ีวางไว้บรรลุผลซึ่งความสาเร็จ เคร่ืองมือต่างๆที่นิยมใช้กันก็มีอยู่ 4 อย่างด้วยกันก็คือ เคร่ืองมือทางการเมืองและการทูต เคร่ืองมือทาง จิตวิทยา เคร่อื งมอื ทางการทหารและเศรษฐกิจ ซงึ่ จะได้กล่าวเป็นลาดับไป ก. เคร่อื งมือทางการเมืองและการทตู (Diplomatic and Political Instrument) ทุกประเทศอยู่ในฐานะที่จะใช้เครื่องมือทางการเมืองและการทูตได้อย่างเท่าเทียมกัน แต่ผลท่ีแต่ละ ประเทศจะได้รับนั้นย่อมไม่เหมือนกัน เพราะว่าการใช้เครื่องมือดังกล่าวต้องอาศัยศิลป์และความชานาญ ประสบการณ์รวมทั้งการสนับสนุนจากเคร่ืองมืออื่นๆซ่ึงแต่ละประเทศมีไม่เหมือนกัน เคร่ืองมือทางการเมือง และการทูตปกติจะถกู นามาใช้กต็ ่อเมื่อในกรณีทม่ี ีปัญหาขัดแย้งเกิดขน้ึ ระหว่างประเทศ ซ่ึงฝ่ายใดฝา่ ยหนงึ่ หรือ ทั้งสองฝ่ายอาจใช้เคร่ืองมือดังกล่าวทาให้ฝ่ายตรงกันข้ามยินยอมตามท่ีตนต้องการหรือประนีประนอมย อม ความโดยไม่ถึงกับต้องมีการใช้กาลงั บงั คับกนั การท่ีจะให้มีการยินยอมตกลงกันก็ต้องอาศยั วธิ ีการเจรจาซึ่งเป็น วธิ ีทางการทูตที่นิยมใช้แพร่หลายกันมากอย่างไรก็ตาม การเจรจาจะสาเร็จหรือไม่นั้นเป็นเรื่องท่ีคาดคะเนยาก แต่ถ้าหากว่าคกู่ รณีพิพาทเต็มใจท่ีจะระงับขอ้ ขัดแย้งระหวา่ งกนั โดยหันหน้าเข้าหากันโดยวิธีจรจัแล้วการเจรจา นั้นอาจสาเร็จได้ง่ายและรวดเร็วกว่าการที่คู่กรณีพิพาทไม่มีความเต็มใจ ในการเจรจากับประเทศคู่กรณีพิพาท อาจใช้วิธีการใช้โน้มน้าวจูงใจ (Peruasion of Inducement) ฝ่ายตรงข้ามกัน บีบบังคับ (Coercion) หรือใช้ วิธีตบตา (Bluff) เพ่ือให้อีกฝ่ายหนึ่งเห็นด้วยหรือประนีประนอมยอมความกับฝ่ายตน ในปัจจุบันวิธีการบีบ บังคับไม่อาจนามาใช้ได้ เพราะขัดต่อกฎบัตรสหประชาชาติซ่ึงบัญญัติให้บังคับข้อพิพาทโดยสันติวิธี(ดูกฎบัตร สหประชาชาติมาตรา 33) ดังนัน้ ประเทศที่มีกาลังน้อยจงึ สามารถเจรจากับประเทศท่ีมีกาลังมากกว่าในฐานะที่ ทัดเทียมกันโดยไม่ต้องกลัวว่าตนจะถูกบีบบังคับ แต่ถ้าประเทศท่ีมีกาลังมากกว่าพยายามท่ีจะใช้วิธีบีบบังคับ ประเทศที่มีกาลังน้อยกว่าก็อาจจะเลือกวิธีการเจรจาโดยร้องเรียนไปยังองการสหประชาชาติ ซ่ึงเป็นองค์การ กลางให้ชว่ ยปลอ่ ยเกลียและตัดสินใจในกรณขี ้อพิพาทสา ซึ่งทาให้ประเทศทม่ี ีกาลังมากกว่าหมดหนทางท่ีจะใช้ วธิ ีบีบบังคับประเทศท่ีดอ้ ยกาลังกวา่ ตนไดอ้ ย่างเต็มที่ นับไดว้ ่ากฎบัตรสหประชาชาติเปน็ มาตรการทีร่ ักษาไวซ้ ่ึง ความยุติธรรมโดยป้องกันไมใ่ หป้ ระเทศมหาอานาจเอาเปรยี บประเทศทีเ่ ลก็ กว่า ข.เครอื่ งมอื ทางจติ วทิ ยา (Psychological Instrument) ประเทศท่ีใช้เคร่ืองมือทางจิตวิทยาในการดาเนินความสัมพันธ์ระหว่างประเทศส่วนมากได้แก่ประเทศ ใหญ่ใหญ่ที่มีทุนรอนมากมาย เพราะการใช้เครื่องมือดังกลา่ วส้ินเปลืองค่าใช้จ่ายสงู ดงั นั้นทุกประเทศจึงไม่อาจ ใช้เครื่องมือทางจิตวิทยาในฐานะเท่าเทียมกัน ประเทศเล็กๆท่ีมีทุนน้อยเกือบจะไม่ได้ใช้หรือไม่ได้ใช้เครื่องมือ ดังกล่าวนั้นเลยก็ว่าได้ จดุ มุ่งหมายในการใช้เคร่ืองมอื ทางจิตวิทยาคือ ตอ้ งการสร้างความนิยมและทัศนคติที่ดี เก่ียวกับประเทศของตนให้เกิดข้ึนในหมู่ประชาชนตลอดจนกลุ่มผู้นาในประเทศ ต่างๆโดยการให้ข่าวสารที่ ถูกต้องและน่าเชื่อถือได้ว่า ประเทศของตนน้ันเป็นประเทศที่เราสันติภาพและยุติธรรม กล่าวได้ว่าประเทศใด ประสบความสาเร็จในการกระทาดังกล่าวประเทศนั้นก็สามารถที่จะโน้มน้าวและจูงใจประเทศอื่นๆให้เชื่อฟัง ตนได้โดยไม่ยากนักในเวลาสงครามไม่ว่าจะเป็นสงครามที่มีการต่อสู้กันหรือสงครามเย็น หรือสงครามทาง

การเมือง การใชเ้ ครื่องมอื ทางจิตวิทยาของรัฐบาลจะมบี ทบาทสาคญั อย่างมากในการใหป้ ระชาชนท่ีอาศัยอยใู่ น ประเทศที่เป็นมิตรและประเทศที่เป็นกลางมีความรสู้ ึกเป็นปฏิปักษ์ต่อประเทศท่ีเปน็ ศัตรซู ึ่งถูกประณามว่าเป็น ผู้ชอบการรุกรานและอาจมีบทบาท ทาให้ประชาชนในประเทศท่ีเป็นศัตรูมีความเห็นคล้ายตามคาชักจูงว่า ประเทศของตนเป็นประเทศท่ีกระหายสงครามชอบการรกุ รานประเทศอ่ืนอย่างไม่มีเหตุผล ในยุคสงครามเย็น ทางฝ่ายเสรีประชาธิปไตย และฝ่ายคอมมิวนิสต์ต่างก็ใช้เคร่ืองมือทางจิตทยาในการโฆษณาชวนเชื่อ ซ่ึงเรา มักจะได้ยินจากวิทยุปักกิ่ง หรือวิทยุกระจายเสียงของประชาชนแห่งประเทศไทย โจมตีประเทศไทยว่าเป็น บริวารของพวกอเมริกันจักรวรรดินิยม (American Inperrialism) เป็นต้นซึ่งทาให้รัฐบาลไทยต้องแก้ข้อ กลา่ วหาของพวกคอมมิวนิสต์อยู่เน่ืองๆ ทุกวันน้ีประเทศท่ีใช้เครื่องมือทางจิตวิทยาในการดาเนินนโยบายต่างประเทศมากที่สุด ได้แก่ สหรัฐอเมรกิ าและสาภาพโซเวียต ซึ่งต่างฝ่ายต่างก็ทาสงครามจติ วิทยาตอ่ กนั นับตงั้ แตส่ งครามโลกคร้ังทสี่ องยุติ เป็นต้นมา ส่วนจีนคอมมิวนิสต์ก็เริ่มใช้เครื่องมือดังกล่าวน้ีทาสงครามกับสารัทธ์ตั้งแต่ปีค.ศ. 1949 เรื่อยมา จนถึงสมัยปัจจุบัน เริ่มเป็นที่น่าสังเกตวา่ ประเทศมหาอานาจในปจั จุบันนยิ มใช้วิธีช่วยเหลือทางเศรษฐกิจ และ ทางการทหาร ซึ่งก่อให้เกิดผลดีทางด้านจิตวิทยามากกวา่ การใช้เครือ่ งมือทางจิตวิทยาโดยตรงเสียอีก ทั้งน้ีเป็น เพราะว่าการช่วยเหลือนั้นช่วยทาให้ประเทศท่ีได้รับการช่วยเหลือเกิดความรู้สึกนิยมชอบประเทศที่ให้ความ ช่วยเหลือไม่มากก็น้อยอย่างไม่ต้องสงสัยนอกจากน้ียังก่อให้เกิดความรู้สึกแก่บรรดาประเทศที่ได้รับความ ช่วยเหลือวา่ ประเทศทีห่ ยิบยื่นให้ความช่วยเหลือตัวนน้ั ออกคบหาสมาคมและพงึ่ พาได้ในยามยาก ค. เครื่องมอื ทางทหาร (military Instrument) ในเวทีการเมืองระหว่างประเทศปัจจุบัน เคร่ืองมือท่ีใช้ในการดาเนินนโยบายต่างประเทศที่สาคัญอีก อย่างหน่ึงได้แก่ เครือ่ งมือทางทหาร เพราะเปน็ เครอ่ื งมืออันสุดท้ายที่ใช้ในการตัดสนิ ขอ้ ขัดแย้งระหว่างประเทศ และรักษาผลประโยชน์ของตนในเมื่อไม่สามารถจะตกลงกันได้โดยวิธีทางการทูต หรือกล่าวอีกนัยหน่ึงก็คือว่า อา่ นมกี าลังทหารเปน็ เครื่องมือสาคัญในการดาเนินนโยบายต่างประเทศในด้านชว่ ยป้องกันการรุกรานและการ รักษาไว้ซ่ึงภาพ อย่างไรก็ดีการใช้เคร่ืองมือทางทหารบางครั้งอ่านดาผมร้ายมาสู่ได้ เช่น กาลังทหารอ าจนา ความพินาศมาสู่ประเทศได้ ถ้าหาไม่พิจารณาดูให้ดีเสียก่อนดังเช่น เยอรมันและญี่ปุ่น เป็นต้น ส่วน สหรัฐอเมริกาซึ่งเป็นประเทศที่ใหญ่ เครื่องมือทางทหารจึงจาเป็นอย่างย่ิงสาหรับสหรัฐอเมริกา ไม่เพียงแต่ใน ดา้ นอารกั ขาตนเองเท่านนั้ แตย่ ังจาเป็นในการป้องกนั ไมใ่ ห้ประเทศอ่ืนทเ่ี ป็นมติ รและเป็นกลางตกเป็นเหย่ือของ ฝ่ายคอมมิวนิสต์ สหรัฐอเมริกาเช่ือว่าคอมมิวนิสต์ต้องการจะครองโลก เพราะเลนินได้กล่าวว่าตราบใดท่ีโลกมี การปกครองสองแบบ คือ แบบลัทธินายทุนและแบบลัทธิสังคมนิยมในรูปคอมมิวนิสต์เราจะไม่มีวันสันติสุข และทกุ ครงั้ ที่ผนู้ าของโซเวียตแสดงความเคลอ่ื นไหวก็มาจากแสดงให้เห็นว่าโซเวียตตอ้ งการท่ีจะของโลก ในการป้องกันประเทศอ่ืนมีให้ตกเป็นเหยื่อของพวกคอมมิวนิสต์นั้น สหรัฐอเมริกาได้ใช้เครื่องมือทาง ทหารในรูปของการให้ความช่วยเหลือทั้งในด้านอาวุธและการฝึกอบรม เพราะสารัทธอ์ เมริกามีความเห็นว่าแม้ ตนจะมีกาลังมหาศาลก็ตาม ถ้าประเทศอ่ืนมีความอ่อนแอ ผลที่เกิดข้ึนไม่ใช่เพียงแต่ประเทศท่ีอ่อนแอเท่าน้ัน ตกเป็นเหยื่อของพวกคอมมวิ นิสต์ แต่ต้นอาจจะได้รบั ภัยอันตรายซ่ึงอาจหมายถึงตวั ในวันใดวันหนึ่งก็ได้ ดังน้ัน สาระอเมริกาในปัจจบุ ันจึงต้องใช้งบประมาณความช่วยเหลือทางด้านการทหารปีหนึ่งเป็นจานวนมหาศาลเช่น ในปีค.ศ. 1969สหรัฐอเมริกาได้ให้การช่วยเหลือทานอาหารต่อประเทศต่างๆในรูปเงินกู้และเงินให้เปล่าเป็น

จานวนถึง 2532 ล้านบาทและ 2668 ล้านบาทตามลาดับและในปีค.ศ. 1969 ถึงปีค.ศ. 1970 ประเทศ ท้ังหลายแห่งโลกที่สาม (Third World) ได้รับความช่วยเหลือทางด้านอาวุธประเภทต่างๆจากบรรดาประเทศ มหาอานาจตามตารางขา้ งล่างนเี้ ป็นจานวนมาก ในทานองเดียวกันฝ่ายสหภาพโซเวียตก็กระทาการเช่นเดียวกับสารัทธ์อเมริกาท้ังนี้เพื่อป้องกันไม่ให้ ประเทศบรวิ ารของตนเอาใจออกหา่ งหรือไปเขา้ กับพวกไปลัทธเิ สรปี ระชาธปิ ไตย ในภาวะสงครามเย็นในปัจจุบัน กาลังทหารเป็นส่ิงจาเป็นสาหรับในการดาเนินนโยบายต่างประเทศ เพราะการมีกาลังทหารที่เข้มแขง็ ไม่เพียงแต่ช่วยป้องกันการรกุ รานเท่านั้นแต่ยังช่วยให้ชาตอิ ื่นมีความเคารพยา เกรงนับถือในอานาจทางการทหารท่ีตนมีอยู่ อย่างไรก็ดี รัฐบาลของประเทศจะต้องคานึงถึงเสมอว่า การใช้ จ่ายในด้านการอาหารมีระดับสูงและจะต้องเหมาะสมกับขีดความสามารถทางเศรษฐกิจของประเทศ เพราะ ไม่เช่นนน้ั แล้วจะทาให้ประเทศน้ันประสบความยุ่งยากในทางเศรษฐกิจทนั ที ดงั น้นั ประธานาธิบดีซูการโ์ น แห่ง อินโดนีเซียได้เคยประสบมาแล้วในปีค.ศ. 1965ประเทศที่ฉลาดมักจะใช้เครื่องมือทานอาหารควบคู่ไปกับ เคร่ืองมือทางการทูต โดยนาเครื่องมือทางการทูตมาใช้ก่อนส่ิงอ่ืนในกรณีท่ีมีปัญหาและข้อขัดแย้งเกิดข้ึน และ เคร่ืองมือทางการอาหารจะถูกนามาใช้ก็ต่อเม่ือไม่มีทางเลือก ตัวอยา่ งเช่น ประธานาธบิ ดีนิกสนั สหรฐั อเมริกา ได้กล่าวเน้นว่า สารัทธ์อเมริกาไม่เพียงแต่รักษากาลังด่านให้เข้มแข็งเพื่อเป็นหลักประกันสันติภาพของโลก เท่านั้น แตจ่ ะใชเ้ ครอ่ื งมอื ทางการทูตก่อนสิ่งอ่ืนในการแก้ไขปญั หาทสี่ ารัทธม์ ีอย่กู บั ประเทศอนื่ ๆให้หมดไป ในปัจจุบันประเทศท่ีใช้เครื่องมือทางทหารในการดาเนินนโยบายต่างประเทศส่วนมากได้แก่ ประเทศ มหาอานาจซึ่งมีฐานะร่ารวย โดยเฉพาะอย่างยิ่งสหรัฐอเมริกาและสาภาพโซเวียต ซ่ึงต่างก็เป็นหัวหน้าของแต่ ละฝ่ายในสงครามเย็น ส่วนใครจะเป็นผู้ประสบความสาเร็จในการใช้เคร่ืองมือทางทหารในการดาเนินนโยบาย ตา่ งประเทศมากกวา่ การนั้นเป็นเรื่องที่ไม่อาจตัดสินลงไปเห็นไดโ้ ดยเด็ดขาด ทั้งน้ีก็เพราะไม่มีวิธีการอันใดที่ใช้ วัดความสาเร็จในเร่ืองน้ีอย่างเหน็ ไดช้ ดั ในปัจจบุ นั ง. เครือ่ งมือทางเศรษฐกิจ (Economic Instrument) ในการดาเนินนโยบายต่างประเทศนั้น จะต้องอาศัยเคร่ืองมือทางทหารหรือกาลังทหารน้ันไม่เพียงพอ จะต้องมีกาลังทางเศรษฐกิจไว้ด้วย มิฉะน้ันแล้วก็เท่ากับมีปืนแต่ไม่มีลูกกระสุนสาหรับหญิง เน่ืองจากประเทศ ต่างๆบ้างก็รวยบางคนจน ฉะน้ันประเทศท้ังหลายจึงไม่อยู่ในฐานะท่ีจะใช้เครื่องมือทางเศรษฐกิจได้อย่างเท่า เทียมกัน ประเทศที่มีฐานะทางเศรษฐกิจดีย่อมสามารถเอาประโยชน์จากการใช้เคร่ืองมือนี้ในการดาเนิน นโยบายต่างประเทศได้มากกว่าประเทศท่ียากจน นอกจากน้ีแล้วประเทศที่มีฐานะร่ารวยยังสามารถใช้ เศรษฐกจิ เปน็ เคร่ืองมือสตลู ให้ประเทศทอี่ ่อนแอในดา้ นเศรษฐกจิ ไม่เป็นมิตรได้อีกดว้ ย ในปัจจบุ นั เครื่องมือทางเศรษฐกิจท่ปี ระเทศรา่ รวยนิยมใช้กนั อยบู่ ่อยๆ มักเป็นในรูปการค้าขาย และการ ให้ความช่วยเหลอื ทางด้านเศรษฐกิจ บางครง้ั ฉันมกี ารใช้วธิ ีการท้งั สองอย่างพรอ้ มพร้อมกนั ไปเลยทีเดียวการค้า ขายดูเหมือนจะเป็นวิธีท่ีให้ประโยชน์แก่ประเทศที่ใช้เครื่องมือน้ีมากกว่าใช้วิธีอ่ืนๆเพราะการค้าขายไม่ทาให้ ประเทศต้องเสียผลประโยชน์ทางเศรษฐกิจไปเหมือนกันให้ความช่วยเหลือในรูปเงินให้เปล่า (Grant in-Aid) นอกจากน้ียังทาให้ประเทศที่ค้าขายด้วยไม่มีความสงสัยในเจตนาท่ีแท้จริงที่ตนแอบแฝงอยู่ เพราะการให้แบบ เราเปล่านั้นโดยปกติแล้วผู้รับมัดจามีความสงสัยในเจตนาของผู้ให้มีเจตนาดีหรือร้ายอย่างไร่ อย่างไรก็ตาม ประเทศที่มีฐานะทางเศรษฐกิจม่ันคง เช่น สหรัฐอเมริกาและสภาพโซเวียต ก็มักจะให้ความช่วยเหลือทางด้าน

เงินทองพอๆกับการค้าขาย ทั้งนี้ก็เพราะทั้งสองประเทศไม่ได้หวังผลในทางเศรษฐกิจ แต่หวังผลในการท่ีจะจูง ใจหรือดงึ ประเทศที่ได้รบั การช่วยเหลือเข้ามาเป็นพรรคพวกของตน ซึง่ เป็นการขยายอิทธพิ ลของตนโดยปรยิ าย หรอื กลา่ วอกี นยั หน่ึงกค็ อื ประเทศมหาอานาจท้ังสองใชว้ ธิ ีการค้าขาย เพื่อผลประโยชน์ทางการเมอื งนัน่ เอง ในปัจจุบันทุกประเทศต่างก็พยายามท่ีจะใช้เครื่องมือทั้ง 4 อย่างดังกล่าวให้ได้ผลประโยชน์และเป็นผลสาเร็จ ตามเป้าหมายมากทส่ี ุดปัจจยั ท่มี ีกาลงั อานาจมากมากใช้เครือ่ งมือทั้ง 4 อย่างพรอ้ มกันเลยทีเดยี ว ส่วนประเทศ ที่มีกาลังน้อยไม่สามารถที่จะใช้เคร่ืองมือทั้ง 4 ได้อย่างครบถ้วน เช่น ประเทศไทย เป็นต้น ส่วนมากแล้ว ประเทศที่มีอานาจน้อยใช้เคร่ืองมือทางการทูตแต่เพียงอย่างเดียว เพราะถ่านหน้าท่ีโดยทางเศรษฐกิจได้ปิด โอกาสของประเทศดังกล่าวในการใช้เครื่องมือทางจิตวิทยา เคร่ืองมือทางเศรษฐกิจ และเคร่ืองมือทางทหารได้ อย่างเต็มท่ี อย่างไรก็ตามประเทศเล็กๆที่มีอานาจน้อยก็เคยได้รับผลสาเร็จมาแล้วในการใช้เครื่องมือทางการ ทูตในการดาเนินนโยบายต่างประเทศ เช่น ประเทศไทย ได้ใช้วิธีทางการทูตช่วยให้หลุดพ้นจากการตกเป็น อาณานิคมของประเทศอังกฤษและฝร่ังเศสในสมัยโบราณ ดังนั้นจึงอาจกล่าวได้ว่าความสาเร็จในการดาเนิน นโยบายต่างประเทศไม่จาเป็นต้องอาศัยเครอ่ื งมอื ทัง้ 4 อย่าง การใช้เคร่อื งมอื อยา่ งใดอย่างหนึง่ ใน 4 อย่างโดย สขุ มุ และรอบคอบแลว้ ก็สามารถนามาซ่งึ ผลแหง่ ความสาเร็จในการดาเนินนโยบายตา่ งประเทศได้

ภาคที่ 4 พฤตกิ รรมระหวา่ งประเทศ บทท่ี 1 การร่วมมือระหว่างประเทศ 1.ขอบเขต การรว่ มมือระหว่างประเทศมีขอบเขตกวา้ งขวางมาก จนกระทง่ั ไม่อาจจะนามากล่าวไดห้ มดอยา่ ง ละเอียดใน ณ ท่นี ้ี เพื่อให้การศึกษาเรื่องนง้ี ่ายตอ่ การเข้าใจ จึงได้พยายามสรุปการร่วมมอื ระหวา่ งประเทศ ออกเป็นหัวขอ้ ใหญๆ่ 3 ข้อคือ (1) การรว่ มมือกนั ในดา้ นเศรษฐกิจ (2) การร่วมมอื กันในดา้ นสงั คม และ (3) การร่วมมือกันในด้านการเมือง 1.1 การรว่ มมอื ในดา้ นสงั คม ในระดบั โลกและในระดับสว่ นภูมิภาค องค์การระหวา่ งประเทศท้ังสองระดบั พยายามทจี่ ะจัดการ เก่ยี วกบั ปญั หาสังคมต่างๆโดยอาศยั ความร่วมมือระหว่างประเทศ องค์การเหล่านีท้ าหน้าท่ีและปฏบิ ัตกิ ารณ์ ในด้านอนามยั การศึกษาและการวิจยั การขนสง่ และการคมนาคม สวสั ดกิ ารทางสงั คม การให้คาปรึกษาใน ด้านกฎหมาย ในการบงั คับตามกฎหมาย องคก์ ารระหว่างประเทศทเี่ กย่ี วข้องกบั งานในด้านตา่ งๆท่ีกลา่ วมา 1.2 การร่วมมือในดา้ นเศรษฐกิจ เช่นเดียวกับการร่วมมือทางด้านสังคม การร่วมมือทางด้านเศรษฐกิจเกิดข้ึนท้ังในระดับโลกและระดับ ภูมิภาค องค์การระหว่างรัฐได้พยายามท่ีจะส่งเสริมการพัฒนาทางเศรษฐกิจภายในรัฐ และการร่วมมือทาง เศรษฐกิจระหว่าง นอกจากน้ีองค์การระหว่างรัฐยังทาหน้าท่ีเกี่ยวกับการค้า กาหนดข้อบังคับตลสดสินค้า รักษาสภาวะทางการเงินระหว่างประเทศ และส่งเสริมการรวมตัวในด้านเศรษฐกิจซ่ึงมีความสาคัญและ ความหมายอย่างยิ่ง ตัวอย่างเช่น องค์การระหว่างประเทศที่มีส่วนช่วยในด้านการรวมตัวทางเศรษฐกิจของ ยุโรป ได้แก่ European Coal and Steel Community และ European Economic Community ถ้า พิจารณาดูให้ดีแล้วจะเห็นว่า การรว่ มมือทางเศรษฐกิจเป็นท่ีปรากฏอยู่ทั่วไปโดยส่วนต่างๆของโลกโดยเฉพาะ อย่างยิ่งการร่วมมือกันทางด้านเศรษฐกิจของบรรดาประเทศ หลายในยุโรปตะวันตก เริ่มปรากฏเห็นเด่นชัด หลังจากสงครามโลกคร้ังที่สองสงบลง เป็นต้นมา กล่าวคือ ในปีค.ศ. 1947 เบลเย่ียม เนเธอร์เเลนด์ เเละลุก เซมเบอร์ ได้รวมตัวกันทางด้านเศรษฐกิจโดยจัดต้ัง BENELUX ข้ึน ตอ่ มาในปีค.ศ. 1948 ชาติยุโรปได้จัดต้ังอง การร่วมมือกันทางเศรษฐกิจระหว่างประเทศยุโรปขึ้น มีชื่อยว่า OEEC (Organization for European Economic Community) โดยมี 17 ประเทศเป็นสมาชิก สารัทธ์อเมริกา และแคนาดาได้เข้ามาเป็นสมาชิก

ขององการนี้ในปีค.ศ. 1960 ซ่ึงมีผลทาให้มีการเปล่ียนช่ือย่อเป็น OECD (Organization for Economic Cooperration and Development) และในปัจจบุ ันมีสมาชกิ จานวน 23 ประเทศในปคี .ศ. 1950 นาย โรเบิร์ ชเู เมน (Robert Schuman) รฐั มนตรตี ่างประเทศฝรั่งเศส ได้เสนอการร่วมมอื กันระหว่างฝรั่งเศสและเยอรมัน ในการผลิตถ่านหินและเหล็กกล้า ดูได้ร่วมกันจัดต้ังสมาคมทานทีไรเหล็กกล้าแห่งยุโรปข้ึนในปคี .ศ. 1951 จึงมี ชื่อยว่า ECSC (European Coal and Steel Community) โดยมีอิตาลีและสมาชิกของ BENELUX เข้าร่วม เป็นสมาชิกด้วย จึงทาให้จานวนสมาชิกเพ่ิมข้ึนเป็น 6 ประเทศในปีค.ศ. 1958 สมาชิกท้ังหกประเทศดังกล่าว ได้ร่วมกันจัดตั้งสมาคมเศรษฐกิจแห่งยุโรปซ่ึงมีช่ือย่อว่า EEC (European Economic Community) หรือที่ เรียกกันโดยทั่วไปว่าตลาดร่วมแหง่ ยุโรป (Common Market) และในปคี .ศ. 1959 อังกฤษกบั ประเทศยุโรป 6 ประเทศ ได้จัดตั้งสมาคมการค้าเสรีแห่งยุโรปข้ึน โดยมีช่ือย่อว่ า EFTA ( European Free Trade Associations ) เน่ืองจากชาติยุโรปมีความตระหนักถึงความแตกแยก ซ่ึงอาจจะเกิดขึ้นระหว่างบรรดาสมาชิก ของ EEC เเละ EFTA จึงได้วางกฎเกณฑ์เช่ือมโยงประเทศสมาชิก 2 องค์การเข้าด้วยกัน โดยอนุญาตให้ ประเทศสมาชิกไปเป็นสมาชิกขององค์การอีกอันหนึ่งได้ นอกจากน้ี ยังได้กาหนดให้ OECD ทาหน้าท่ีประสาน นโยบายขององคก์ ารท้ังสอง ทง้ั น้ี เพือ่ ให้การรวมตวั ทางเศรษฐกจิ ของยโุ รปดาเนินไปดว้ ยดี สรปุ ไดว้ ่า องค์การดังทไี่ ด้กล่าวมาถูกจัดตงั้ ขึน้ เพอื่ ทาหนา้ ท่ีประสานนโยบายทางเศรษฐกิจของประเทศ ต่างๆในยโุ รป มึงที่จะเพิ่มการคา้ ระหวา่ งประเทศในยโุ รป และปรบั ปรุงสภาพทางเศรษฐกิจของประเทศสมาชิก โดยยกระดบั ของผลผลิตและการจ้างแรงงานองค์การระหวา่ งประเทศทท่ี าหน้าท่ีดังกลา่ วมา 1.3 การรว่ มมือกนั ในด้านการเมอื ง การร่วมมือกันระหว่างประเทศในด้านการเมอื งนั้นมีน้อยกว่าในด้านสองคมและเศรษฐกิจ ผู้ตัดสินใจใน นโยบายต่างประเทศของรถไม่ค่อยจะร่วมมือกันในการมอบหมาย ปัญหาทางการเมืองให้องการระหว่าง ประเทศพิจารณาและตัดสินใจ ทั้งนี้เป็นเพราะไม่เช่ือว่าองค์การนั้นจะตัดสินด้วยความยุติธรรม อาจตัดสินได้ โดยถูกอิทธิพลของรัฐอ่ืนฝ่ายหนึ่งดีบ้างครับโดยเฉพาะอยา่ งย่ิงรัฐมหาอานาจ โดยปกติแล้วเราจะร่วมมือกันใน การมอบปัญหาทางการเมืองให้องค์การระหว่างประเทศพิจารณา ก็เฉพาะแต่ในปัญหาเก่ียวกับการขอเป็นเอก ราชของตนเอง (Self-Determination and Self-Government) และปญั หาสทิ ธิมนษุ ยชน (Human Rights) การขอปกครองตัวเองเธอการขอเป็นเอกราชของรัฐ สืบเนื่องมาจากปัญหาอาณานิคม (Colonialism) ซ่ึงเป็นปัญหาที่เกิดขึ้นหลังสงครามโลกครั้งท่ี 1 เรื่อยมาจนกระท่ัง ถึงปีค.ศ. 1960 อันเป็นปีที่ดินแดนท่ีอยู่ ภายใต้ระบบการปกครองแบบอาณานิคมได้รับเอกราชเป็นจานวนมาก เช่น ดินแดนในทวีปแอฟริกา เป็นต้น การท่ีดินแดนหรือรั ภายใต้อาณานิคมได้รับเอกราชนั้นก็เพราะว่าประชาชนให้อยู่ในดินแดนน้ันไม่ยอมรับการ ปกครองแบบอาณานิคม ซึ่งการไม่เป็นท่ีนิยมของรัฐมหาอานาจบางรัฐ รักที่ปกครองและรัฐที่อยู่ภายใต้การ ปกครองแบบอาณานิคมส่วนใหญ่ ต่างก็ตกลงกนั ดว้ ยดีในเร่ืองปัญหาอาณานคิ มและมีการจัดตั้งสถาบนั ระหว่าง ประเทศข้นึ เพ่อื จดั การกบั ปัญหาดงั กลา่ ว ภายในองค์การสันนิบาตชาติ ระบบอาณัติ หรือ Mandate System ได้ถูกจัดให้มีการข้ึนไม่ใช่เพ่ือ จุดประสงค์ที่จะลดการแสวงหาดินแดนอ่ืนไม่อยู่ภายใต้ระบบอาณานิคมแต่เพียงอย่างเดียว แต่ยังมุ่งในการท่ี จะปลดปล่อยรัฐอาณานิคมของประเทศมหาอานาจฝ่ายสัมพันธมิตรที่ยึดมาจากตุรกีและเยอรมันในสมัย

สงครามโลกคร้ังท่ี 1 ให้เป็นอิสระ เราโดยทั่วๆไปแล้ว ระบบอาณัตติ ามมาตรา 22 แห่งกติกาสันนบิ าตชาติม่งุ ที่ จะดูแลอาณานิคมและดินแดน ซึ่งผลจากอานาจการปกครองของรัฐอธิปไตย แต่ยังไม่สามารถจะปกครอง ตนเองได้ พรอ้ มความผาสุขเเละการพัฒนาของประชาชน ดินแดนเหล่านมี้ ีสามประเภทคอื ประเภทแรก ข้ึนอยู่กับตุรกี เช่น ซีเรีย เข้ามาอยู่ในอาณัติเม่ือปีค.ศ. 1920 และสันติบาทชาติ ยืนยัน รบั รอง เมอื่ ปคี .ศ. 1922 และได้แบ่งออกเปน็ สาธารณรัฐเลบานอนต่อมา ในปคี .ศ. 1923 ฝร่ังเศสเเละซีเรยี เข้า มาเป็นสมาชกิ สันนิบาตชาติ อังกฤษมีอาณัติเหลอื อีรคั (Mesopotamia) ซ่ึงต่อมาไดถ้ ูกยกเลิก ในปีค.ศ. 1926 แต่อังกฤษก็ยังมีอานาจโดยตรงต่อมาอีก 20 ปี นอกจากน้ี ปาเลสไตน์ เเละ Trasjordan อยู่ในอานาจของ องั กฤษและได้เขา้ มาเป็นสมาชิกสันนบิ าตชาติในฐานะรฐั เอกราชเมื่อปีค.ศ. 1928 ประเภททีส่ อง ไดแ้ ก่ อาณานิคมของประเทศเยอรมนี ซ่งึ มรี ะบบการปกครองแยกเป็นอสิ ระ ประเภทท่ีสาม ถือว่าดินแดนน้ันๆ เป็นส่วนของอาณาเขตท่ีไม่มีฐานะทางกิจการระหว่างประเทศแต่ อย่างใด เช่น ดนิ แดนทีเ่ ปน็ เกาะในมหาสมทุ รแปซิฟคิ ทางใต้เปน็ ตน้ ถึงแม้ว่ามีหลายชาติจะต้องรวบรวมดินแดนเหล่านี้เข้าด้วยกัน แต่ประธานาธิบดี วูดโร วิลสัน ก็ยังยืน กรานท่ีจะกาจัดลัทธิอาณานิคมให้สูญส้ินไปจากโลก ความตั้งใจของประธานาธิบดี วูลโร วิลสัน ดังกล่าว ผสมผสานกับความเป็นกลางของประเทศอังกฤษทาให้เกิดระบบดินแดนในอาณัติขึ้นมา ในความคิดของ ประธานาธิบดีสหรัฐอเมริกาในสมัยนั้นถือว่า ระบบดินแดนในอาณัติก็ไม่แตกต่างกับระบบดินแดนอาณานิคม เท่าใดนักเพราะมาตรา 22 ของกติกาสันนิบาตชาติได้กล่าววา่ การกินอยู่และการพัฒนาของประชาชนอาศัยใน อาณานิคมของเยอรมนี และตุรกีอาจจะสงวนและรักษาไว้โดยมอบให้ชาติท่ีมีความรุ่งเรืองก้าวหน้าเป็น ผูป้ กครองอนาบริเวณดังกล่าว อย่างไรก็ตาม จับโอนของสันนิบาตชาติในการทีจ่ ะกระตุ้นหรือบังคับให้ประเทศ มหาอานาจที่เป็นเจ้าของดินแดนในอาณัติ ปฏิบัติตามกฎของระบบดินแดนท่ีอยู่ภายใต้อาณัติยังมีจุดอ่อนมาก ทางนี้ก็เป็นเพราะว่าทั้ง\"คณะกรรมการผู้เชี่ยวชาญ\" (Committee of Experts) เเละ \"สภาสันนิบาตชาติ\" (League of Nations Council) ไม่มีอานาจหน้าที่ท่ีจะบังคับให้ประเทศมหาอานาจที่เป็นเจ้าของดินแดน ภายใต้อาณัติปฏิบัติตามท่ีตนแนะนา ถึงแม้ว่าองค์การสันนิบาตชาติจะมีความสาคัญในด้านการช่วยแก้ไข ปัญหาทางการเมืองก็ตาม แต่ก็ไม่ช่วยในเร่ืองท่ีรฐั ภายใต้อาณานคิ มของเป็นเอกราชเท่าใดนัก โดยเฉพาะอย่าง ยิ่งรัฐที่อยู่ภายใต้อาณานิคมของชาติมหาอานาจซ่ึงชนะสงครามสันนิบาตชาติไม่ค่อยจะเข้าไปยุ่งเกี่ยวด้วย ถ้า เข้าไปยุ่งเก่ียวมาก องค์การสันนิบาตชาติอาจจะล้มลงได้จากการที่รัฐมหาอานาจของตัวจากการเป็นสมาชิก หลังจากท่ีองค์การสหประชาชาติได้ถูกจัดตั้งขึ้นระบบอาณัติก็ส้ินสุดลง โดยจัดให้มีระบบภาวะทรัสตีของ สหประชาชาติขึ้นเเทน ดินแดนในอาณัติตามกติกาสันนิบาตชาติ ได้โอนมาอยู่ในระบบภาวะทรัสตีระหว่าง ประเทศ ตามกฏบัตรสหประชาชาติ โดยมีคณะมนตรีภาวะทรัสตีเหนือดินเเดนญ่ีปุ่นเคยยึดครอง และดินแดน ท่ีเคยอยู่ในระบบอาณัติได้รับเอกราชหลังจากสงครามโลกคร้ังที่ 2 สิ้นสุดลง มีเป็นจานวนมาก ส่วนที่เหลือโดย โอนมาอยู่ในระบบทรัสตีของสหประชาชาติ ยกเว้น South West Africa หรือนามีเบีย (Namibia) ซึ่งรัฐบาล แอฟริกาใต้เป็นผู้ปฏิเสธที่จะให้อยู่ในระบบทรัสตีของสหประชาชาติ ออตาลีในฐานะผู้แพ้สงครามโลกคร้ังท่ี 2 ก็จาเป็นต้องโอนดินแดนซอมมาลิเเลนด์(Sommaliland) ให้มันอยู่ในระบบทรัสตี ส่วนประเทศมหาอานาจอื่น ซง่ึ เป็นผู้ชนะสงครามโลกไม่ยอมโอนดินแดนท่ีตน ปกครองให้มาอยใู่ นระบบดังกล่าว ทั้งท้ังที่มีการเรียกร้องว่า เป็นหนทางเดียวเท่าน้ันที่จะนาไปสู่การได้มาซึ่งเอกราชในที่สุด จะเห็นได้ว่าระบบทรัสตีของสหประชาชาติใน

ระยะต้นๆ มีข้ึนเพื่อจัดการกับปัญหาการยึดครองดินแดนอนานิคมของรัฐผู้เป็นฝ่ายแพ้สงคราม และปัญหา ต่างๆท่ีเกิดข้ึนในดินแดนภายใต้ระบบทรัสตี แต่ไม่ได้มีข้ึนเพ่ือสนับสนุนให้มีการร่วมมือระหว่างประเทศในการ ลดปล่อยรัฐที่อยู่ภายใต้อาณานิคมให้เป็นเอกลักษณ์แต่อย่างใด ประเทศท่ีดื้อดึงไม่ยอมร่วมมือกับระบบทรัสตี ในขณะนัน้ ได้แก่ ประเทศแอฟริกาใต้ การร่วมมือระหว่างประเทศในด้านการเมืองอีกเร่ืองหน่ึง ก็คือ การร่วมมือในการส่งเสริมและสนับสนุน การคุ้มครองสิทธิมนุษยชน เนื่องจากประชาชนได้มีความรู้สึกหวาดกลัว ซึ่งเป็นความรู้สึกท่ีสืบเน่ืองมาจาก ความกลัวต่อความทารุณโหดรา้ ยของพวกนาซีในครั้งสงครามโลกคร้ังที่ 2 จึงไดร้ ่วมกันจัดตเั งปฏิญญาสากลว่า ด้วยสิทธมิ นุษย์เพ่ือคุ้มครองสิทธิมนุษยชนท้ัวโลก ความพยายามที่จะส่งเสริมสิทธิมนุษยชนได้ปรากฏในระดับ สากล และระดบั ส่วนภูมภิ าคของโลก ในระดับสากล ปฏิญญาสากลว่าดว้ ยสิทธิมนษุ ยชนซึง่ ได้ประกาศใชใ้ นปคี .ศ. 1947 ไดว้ างเกณฑ์ที่รัฐควร ปฏิบัติต่อประชาชนที่อาศัยอยู่ในรัฐ และความสาเร็จของปฏิสัญญาสากลในการคุ้มครองสิทธิมนุษยชนจะ เกดิ ข้ึนหรือไม่น้ันขึ้นอยกู่ ับความสมัครใจของรัฐที่จะปฏบิ ัตติ าม บางรัฐไดพ้ ยายามใชอ้ งคก์ ารสาคญั (Principal Organs) ของสหประชาชาติอาทิเช่น สมัชชาสหประชาชาติ (General Assembly) หรือคณะมนตรีความ มนั่ คง (Security Council) เป็นเครื่องมือจัดการปญั หาท่ีเก่ยี วกบั สทิ ธมิ นุษยชน ตัวอยา่ งเชน่ ประเทศแอฟรกิ า บางประเทศได้ขอร้องให้องค์การดังกล่าวของสหประชาชาติ จัดการกับปัญหาสิทธิมนุษยชนซึ่งเกิดจากการ กระทาของรัฐบาลโรดีเซีย รัฐบาลแอฟริกาใต้และรัฐบาลโปรตุเกส อย่างไรก็ตามความสาเร็จของการขอร้อง ดงั กล่าวมีน้อยมากเนื่องจากรัฐมหาอานาจบางประเทศไม่ยินยอมหรือเห็นด้วยกับการกระทาเช่นน้ี เพราะเป็น การแทรกแซงกิจการภายในของรัฐอันเป็นส่ิงต้องห้ามตามท่ีระบุไว้ในกฎบัตรสหประชาชาติ ในปัจจุบัน ปฏิญญาสากลว่าด้วยสิทธิมนุษยชนยังคงถูกละเลย ในช่วงปีค.ศ. 1976 มีกว่า 100 ประเทศท่ัวโลกท่ีจับกลุ่ม กรงขังประชาชนเปรี้ยวสาเหตุท่ีสืบเนื่องมาจากความเช่ือทางความคิดทางการเมืองทแ่ี ตกต่างกัน โดยปฏิเสธที่ จะให้มีการพิจารณาสอบสวนอย่างยุติธรรม มีการใช้วิธีทรมานและวิธีการอื่นๆท่ีเป็นการละเมิดสิทธมิ นุษย์เสีย ชนอย่างรุนแรง ทุกวันน้ีบทบาทของคณะกรรมการธิการว่าด้วยสิทธิมนุษยชน ยังไม่ปล่อยจากภาวะความ กดดันทางการเมืองเนื่องจากรัฐบาลหลายประเทศไม่ค่อยยินยอมรับการควบคุมอย่างมีประสิทธิภาพของ องค์การระดับสากลในดา้ นทีเ่ กี่ยวกบั การปฎบิ ัติการของรฐั บาลต่อสิทธิมนุษยชน ในระดับภูมิภาคก็มีอนุสัญญาว่าด้วยสทิ ธิมนุษยชนแหง่ ยโุ รป ซง่ึ มปี ระเทศยุโรป 15 ประเทศเป็นสมาชิก และไดม้ กี ารลงนามในปคี .ศ. 1950 และใช้บงั คับในปีค.ศ. 1953 ประเทศเหลา่ นี้ได้ตกลงกันทีจ่ ะเสนอขอ้ พิพาท ระหว่างประเทศ ในกรณีที่เกี่ยวกับปัญหาสิทธิมนุษยชนต่อคณะกรรมาธิการสิทธิมนุษยชน (Human Rights Commission) ซึ่งถูกจัดขึ้นโดยอนุสัญญาน้ี เป็นผู้ตัดสินชี้ขาด รวมทั้งหาทางท่ีจะให้ผู้ร้องทุกข์ได้รับค่าชดเชย จากการกระทาอันไม่ถูกต้องของอีกฝ่าย ถ้าหากค่าชดเชยไม่เป็นท่ีพอใจของผู้ร้องทุกข์หรืออีกฝ่ายหน่ึงปฏิเสธ ไม่ยอมจ่ายค่าชดเชย ผู้ร้องทุกข์จะต้องเสนอคดีต่อศาลสิทธิมนุษยชนแห่งยุโรป (European Court of Human Rights) ถึงแม้ว่าจะมีข่าวดีเก่ียวกับสิทธมิ นุษยชนไม่มากนัก แต่การมีศาลดังกล่าวเป็นสิ่งจาเป็นอย่าง ยิง่ เพราะเป็นหลักประกนั ท่ีม่ันคงในการคุ้มครองสิทธิมนุษยชน ในปัจจุบัน บรเิ วณอ่ืนๆทางโลกระวังตก มีการ ปฏวิ ตั ิการเก่ียวกบั การคมุ้ ครองสิทธมิ นุษย์เสียชนยงั ไมไ่ ดร้ ับผลเปน็ ทนี่ ่าพอใจเหมอื นกับยโุ รปในขนาดนี้

ความร่วมมือระหว่างประเทศในด้านการเมืองอันดับสุดท้าย ซ่ึงจะกล่าวใน ณ ที่น้ี ได้แก่ การร่วมมือ ระหว่างประเทศในการคุ้มครองป้องกัน และปรับปรุงมาตรฐานการครองชีพของกรรมกรท่ัวโลก โดยมีการ จัดต้ังองค์การกรรมกรระหว่างประเทศ (International Labour Organization) หรือมีชื่อย่อว่า I.L.O ขึ้น เพ่ือทาหน้าที่ดังกล่าว องค์การกรรมกรระหว่างประเทศไม่เพียงแต่วางหลักเกณฑ์ในการปฏิบัติต่อชนชั้น กรรมกร แต่ตงั้ จักรกลขององค์การทาหนา้ ทตี่ ัดสินว่า รฐั รกั ษามาตรฐานของกรรมกรในระดับอนั สมควรหรือไม่ คณะกรรมการผู้เชี่ยวชาญ (Committee of Experts) ขององค์การกรรมกรระหว่างประเทศ จะเป็นผู้ วิเคราะห์ระดับมาตรฐานของกรรมกรที่เป็นอยู่จากรายงานของประเทศสมาชิก พิมพ์ออกสู่สายตาโลกเป็น ประจาทุกปี การปฏิบัติงานของคณะกรรมการผู้เชี่ยวชาญน้ี บางครั้งอาจพบในเร่ืองการสนับสนนุ โครงการของ สิทธมิ นุษยชนทัว่ โลกแตม่ ีลกั ษณะคอ่ นข้างจากัด สรุปได้ว่า การร่วมมือกันระหว่างรัฐทั้งในระดับสากลระดับภูมิภาค ในด้านการเมืองในปัจจุบันไม่ค่อย จากกว้างขวางเหมือนกับการร่วมมือในทางด้านเศรษฐกิจและสังคมท้ังน้ีอาจจะเป็น เพราะว่ารัฐไม่ประสงค์ท่ี จะให้ประเทศอื่น หรือองค์การใดใดมายุ่งเกี่ยวกับปัญหาทางการเมืองท่ีมีความสาคัญต่อเอกราช และการอยู่ รอดของตนปัญหาทางการเมืองทเี่ ราจะมอบใหอ้ งคก์ ารระหวา่ งประเทศชว่ ยตัดสินใจช้ขี าดหรือร่วมมอื กับรฐั อื่น น้ันมักจะเป็นเร่ืองที่ไม่เก่ียวข้องกับความมั่นคงและความปลอดภัยของชาติ เช่น เร่ืองสิทธิมนุษยชน การ ค้มุ ครองกรรมกร และเรื่องการปกครองดินแดนในภาวะทรัสจี เป็นท่ีหวงั กันว่าการรว่ มมือระหว่างประเทศใน ด้านการเมืองจะเพ่ิมขึ้น ถ้าหากมีการไว้วางใจองค์การระหว่างประเทศ และมีการไว้เน้ือเชื่อใจซึ่งกันและกัน ระหว่างรัฐ เพราะตราบใดการไว้วางใจและการเชื่อใจดังกล่าวไม่เกิดข้ึน ตราบน้ันจากร่วมมือในด้านการเมือง ไม่ว่าในแง่ใดยอ่ มเป็นไปในลกั ษณะแคบๆโดยไมม่ วี นั ที่จะกว้างขวางข้ึนมาได้เลย 2.การรว่ มมอื กนั ในการแกป้ ัญหาทางเศรษฐกิจ สังคม และการเมอื ง การร่วมมือกันในการแก้ไขปัญหาท่ีเผชิญอยู่ อาจแบ่งการกระทาระหว่าง 2 ประเทศ (Bilateral Cooperation) หรือการกระทาระหว่างหลายประเทศด้วยกัน เพ่ือให้การศึกษาในเร่ืองน้ีง่ายต่อการเข้าใจจึง จาเป็นที่จะต้องพิจารณาถึงกาเนิดของการแก้ไขปัญหาร่วมกันระหว่างประเทศ การร่วมมือกันสองฝ่ายหรือ หลายฝา่ ย และบทบาททางการเมอื งของการแก้ปัญหาร่วมกันระหว่างประเทศ 2.1 ท่ีมาของการแกไ้ ขปัญหารว่ มกนั ระหว่างประเทศ การแก้ไขร่วมกันระหว่างประเทศ เป็นพฤติกรรมอย่างหนึ่งที่เกิดขึ้นในความสัมพันธ์ระหว่างประเทศ การแก้ไขปัญหาร่วมกันดังกล่าวจะเกิดข้ึนต่อเมื่อมีปัญหาเกิดข้ึนและปัญหาน้ันไม่อาจแก้ไขได้ถ้าหาไม่มีการ ร่วมมือระหว่างประเทศ โดยทั่วไปแล้วประเทศทั้งหลายมักจะพยายามจัดการกับปัญหาประเภท ซึ่งเกี่ยวกับ เศรษฐกิจ สังคม และการเมอื ง อันเป็นปัญหาข้นั รกั ฐานโดยอาศัยความร่วมมอื ระหวา่ งประเทศ ปัญหาดังกลา่ ว มี 2 ประเภท คอื ปัญหาประเภทแรกเก่ียวกับสภาพต่างๆในสภาวะแวดล้อมระหว่างประเทศซ่ึงถ้าปล่อยไว้โดยไม่จัดให้มี ระเบียบกฏเกณฑ์ เกี่ยวกับสภาพต่างๆในสภาวะแวดล้อมระหว่างประเทศซึ่งถ้าปล่อยไว้โดยไม่จัดให้มีระเบียบ กฎเกณฑ์ อาจก่อให้เกิดอันตรายต่อประเทศที่เก่ียวข้องการตรวจสอบตราในน่านน้าติดต่อกัน หรือการช่วยใน การจับกุมผู้ร้ายหลบหนีข้ามแดน ย่อมเป็นการกระตุ้นปฏิกิริยาร่วมกันระหว่างประเทศ ส่วนในกรณีท่ีมีหลาย

ประเทศเข้ามาเกี่ยวข้อง เช่น การค้ายาเสพติด ถ้าไม่ได้รับการร่วมมือจากประเทศทั้งหลายในโลกแล้วก็ไม่มี ทางที่จะปราบปรามลงได้อย่างเด็ดขาด เพราะการตกลงรว่ มมือระหว่างสองประเทศ ไม่ก่อให้เกิดประโยชน์อัน ใดในการ กาจัดหรือปราบปรามการค้ายาเสพติด ความพยายามในการร่วมมือกนั ระหว่างประเทศตงั้ แต่แรกเริ่ม จะเห็นได้ว่า การร่วมมือกันในเร่ืองการเดินทางในท้องทะเลหลวง ไปรษณีย์และโทรเลขระหว่างประเทศ เป็น ตน้ ปัญหาประเภทที่สอง นั้นเกี่ยวกับสภาพต่างๆภายในประเทศท่ีเกี่ยวข้องกับเศรษฐกิจ สังคม และ การเมือง ซงึ่ รัฐอ่ืนเห็นว่าเป็นปญั หาร่วมกันระหว่างประเทศ ท่ีต้องรว่ มกันแก้ไข ซึ่งปัญหาท่ีเกี่ยวกับสภาพทาง สงั คม ได้แกจ่ านวนผู้ท่ีรู้หนงั สอื มีระดบั หรือเปอรเ์ ซน็ ตต์ ่า หรอื อนามยั ภายในประเทศยังไม่ถงึ ขั้นมาตรฐาน เป็น ตน้ ปัญหาทางเศรษฐกิจก็ได้แก่ ปัญหาการลงทุนในการพัฒนาประเทศและปัญหาทางการเมือง อาทิเช่น ปัญหาเก่ียวกับสทิ ธมิ นษุ ยชน ซง่ึ อาศัยหลักประกนั จากการร่วมมือระหว่างประเทศ เป็นตน้ บางคร้งั การร่วมมือ กันในการแก้ไขปัญหาดังกล่าวเป็นเรื่องระหว่างรัฐต่อรัฐ แต่บ่อยคร้ังก็เป็นเร่ืองที่หลายรัฐต้องร่วมมือกันแก้ไข ถึงแม้ว่าการร่วมมือกันระหว่างประเทศในการแก้ไขปรับปรุงสภาพภายในประเทศ ไม่ค่อยจะได้ผลเท่าไหร่นัก ในปัจจุบันแต่สภาพภายในประเทศท่ีเกี่ยวข้องกับเศรษฐกิจ สังคม และการเมืองได้กลายเป็นเป้าหมายท่ีมี ความสาคัญระหว่างการร่วมมือกันระหว่างประเทศมากขึ้นกว่าแต่กอ่ น เพราะวา่ สภาพภายในประเทศดังกล่าว มสี ่วนเก่ียวพันกบั การอยู่รอดของประเทศ มลู เหตทุ ี่ก่อให้เกดิ ความร่วมมอื ระหว่างประเทศมีอยู่ 2 ประการ ประการแรก ประเทศทั้งหลายมีความคิดท่ีว่า การแก้ปัญหาไม่อาจจะสาเร็จลุล่วงไปได้ ถ้าไม่มีการ ร่วมมือกันระหว่างประเทศ จากความคิดดังกล่าวจึงทาให้ประเทศต่างๆหันน่ามาร่วมมือกันแก้ไขปัญหาท่ีต้อง ประเชิญอยู่ ตัวอย่างเช่น การร่วมมือกันสองฝ่ายย่อมเห็นได้จากข้อตกลงระหว่างประเทศสหรัฐอเมริกาและ ประเทศแคนาดา (Canndian-American-Agreements) ในเร่ืองการหาปลาและการล่าสัตว์ในแปซิฟิกตอน เหนือซ่ึงชว่ ยแก้ปญั หาอนั อาจจะเกดิ ขึน้ ระหวา่ งประเทศทั้งสองได้เป็นอย่างดีส่วนการร่วมมือกันหลายฝ่าย เช่น การเดินทางในการคมนาคมระหว่างประเทศนั้น ไม่อาจเกิดขึ้น ถ้าไม่มีข้อตกลงกันปัญหาในเรื่องดังกล่าว อาทิ เช่น ทาอย่างไรจึงจะควบคุมโรคติดต่อระหว่างรัฐได้น้ันถ้าหากไม่ได้มีข้อตกลงระหว่างประเทศแล้ว ก็เป็นเร่ือง ยากทีจ่ ะควบคมุ ประการที่สอง ในการขาดทรัพยากรที่สาคัญต่อการพัฒนาประเทศน้ันเป็นปัจจยั ทท่ี าให้ประเทศต้องหัน หน้าเข้าหากัน การมีทรัพยากรไม่เพียงพอไม่ว่าจะเป็นผู้เช่ียวชาญในด้านอุตสาหกรรม หรือในด้านการศึกษา ทุนหรือวัตถุดิบก่อให้เกิดปัญหาหลายประการซึ่งไม่อาจสามารถแก้ไขได้ ถ้าไม่มีการร่วมมือกัน การร่วมมือกัน ดังกล่าว ส่วนมากกระทาการกันในรูปจัดตั้งองค์การระหว่างรัฐบาล เพ่ือช่วยเหลือประเทศท่ีซึ่งต้องการความ ช่วยเหลือ ในปัจจุบันการร่วมมือกันในการช่วยเหลือประเทศท่ีล้าหลังในด้านการพัฒนากาลังขยายตัวออกไป ซึ่งสามารถกระทาโดยใช้องค์การประเทศเป็นเครอื่ งมือ การที่ประเทศใดจะเข้าร่วมมือกับประเทศอน่ื ในการแกป้ ัญหาเศรษฐกิจ สังคม และการเมอื ง หรือไมน่ ้ัน ข้ึนอยู่กับผู้ตัดสินใจของประเทศนั้นที่จะพิจารณาว่า เป็นปัญหาท่ีตนควรจะร่วมมือด้วยหรือไม่ บางครั้งผู้

ตัดสนิ ใจของประเทศเห็นว่าปญั หานั้นไม่สาคัญแต่เนื่องจากถูกอิทธิพลของกลุ่มผลประโยชน์ภายในประเทศผัก ดัน อาจจะตัดสินใจเข้าร่วมกับประเทศอื่นๆเพ่ือแก้ไขปัญหานั้น ผู้มีบทบาทและอิทธิพลทาให้ผู้นาของชาติ ตัดสินใจร่วมกับประเทศอื่นๆ ในการแก้ปัญหาท่ีตนและประเทศอื่นๆเผชิญอยู่มีอยู่หลายพวก เช่น พวก ข้าราชการ พวกกลุ่มผลประโยชน์ที่มีส่วนได้เสีย พวกพรรคการเมืองและพวกประชาชนทั่วไป พวกเราน้ีมี บทบาทในกระบวนการตัดสินใจในนโยบายต่างประเทศซึ่งอาจแสดงได้เป็นแบบ หรือ model ง่ายๆในหน้า ถดั ไป การศึกษาถึงการกระทาและการร่วมมือกันระหว่างประเทศ ในการแก้ไขปัญหาที่เผชิญร่วมกันน้ัน ไม่ อาจจะกระทาได้โดยแต่เพียงศึกษาสนธิสัญญาหรือข้อตกลงระหว่างประเทศที่จะร่วมกันแก้ไขปัญหา หรือ เพียงแต่ศึกษาจากการแก้ไขปัญหาร่วมกันขององค์การระหว่างรัฐบาลเพราะการกระทาเกี่ยวกับการแก้ไข ปญั หาร่วมกนั มีขอบเขตกวา้ งขวางมากจนไม่อาจจะทราบได้จากการศึกษาแต่เพียงแง่เดียว เพื่อให้การศึกษาใน ด้านน้ีสมบูรณ์ข้ึนจึงจาเป็นจะต้องพิจารณาดูการร่วมมือกันในการแก้ปัญหาจากสองด้าน คือ ด้านการทา ข้อตกลงหรือทาสนธิสัญญาระหว่างประเทศ และด้านองค์การระหว่างรัฐบาล การศึกษาแต่เพียงด้านเดียวไม่ อาจทาให้เราเข้าใจในเร่ืองการแกไ้ ขปัญหารว่ มกันระหวา่ งประเทศได้ดพี อ 2.2 แบบของการแกป้ ญั หารว่ มกันระหว่างประเทศ พฤติกรรมของประเทศในการร่วมมือกันแก้ปัญหาทางเศรษฐกิจ สังคมและการเมืองนั้น อาจกลา่ วได้ว่า มอี ยู่ 3 เเบบด้วยกัน แบบแรก ปัญหาจะถูกหยิบข้ึนมาพิจารณาโดยประเทศท่ีเก่ียวข้อง โดยใช้มาตรการที่มีวัตถุประสงค์ โดยเฉพาะเป็นเครอ่ื งมอื ตดั สนิ ช้ีขาดในปญั หาน้ัน แบบท่ีสอง ถ้าหากว่าการดังกล่าว ไม่ประสบความสาเร็จในการแก้ปัญหาก็มักจะมีการจัดต้ังองค์การ ระหว่างรัฐบาลขึน้ มาเพือ่ แก้ไขปญั หา แบบที่สาม ถ้าปัญหาน้ัน มีความยุ่งยากมากและจะต้องมีองค์การระหว่างรัฐบาลมาเก่ียวข้องอยู่หลาย องค์การ ประเทศท้ังหลายกจ็ ะพยายามเชื่อมโยงกิจกรรมและหนา้ ที่ขององค์การระหวา่ งรฐั ทมี่ ีส่วนเก่ียวขอ้ งให้ มกี ารประสานงานข้ึน เพื่อเปน็ ทางนาไปสู่ความสาเร็จในการแกป้ ญั หาทป่ี ระเทศทั้งหลายไปซอื้ ร่วมกัน พฤติกรรมทั้ง 3 แบบนี้ มีความเก่ียวข้องซึ่งกนั และกันอย่างมาก พฤตกิ รรมขั้นที่ 1 จะนาไปสู่พฤติกรรม ข้นั ที่ 2 หรือขั้นที่ 2 สู่ ขั้นที่ 3 ตามลาดบั ประเทศต่างๆได้พยายามแสวงหาทางออกของปัญหาท่ีตนเผชญิ อยู่ ร่วมกันตลอดเวลา ต้ังแต่อดตี จนถึงปัจจุบัน ปัญหาบางประเภทอาจตกลงกันได้โดยอาศัยความร่วมมือระหว่าง ประเทศโดยเฉพาะ เช่น ปัญหาอนามัย การควบคุม การดาเนินธุรกิจ และการใช้กฎหมายภายใต้ประเทศ ปญั หาการร่วมมือทางการทหาร และปัญหาเกียรติยศของชาติเป็นต้น ประเทศที่มีเขตแดนติดต่อซึง่ กันและกัน บางครั้งกม็ ีปญั หาซึ่งเก่ียวพันกบั ต้นบางครั้งก็สามารถตกลงกันได้โดยอาศัยข้อตกลงระหว่างประเทศ ซ่ึงอาจจะ เป็นไปในรูปสนธิสัญญาหรืออนุสัญญา เป็นต้น โดยท่ัวไปแล้วประเทศต่างๆร่วมมือกันแก้ไขปัญหาท่ีตนเผชิญ ร่วมกันอยู่ โดยทางขนมธรรมเนียมประเพณี ส่วนที่สัญญาและข้อตกลงท่ีเป็นลายลักษณ์อักษร ในกรณีท่ี ประสบอุปสรรคในการแกไ้ ขปัญหาร่วมกนั ก็มักจะใช้องค์การระหว่างรัฐบาลมาช่วย เพ่ือทาใหก้ ารแก้ไขปญั หา ระหว่างประเทศมีความสะดวกและได้ผลมากขึ้น องค์การระหว่างประเทศน้ันมีอยู่หลายประเภทด้วยกัน

นับตั้งแต่องค์การที่จัดต้ังขึ้นโดยมีวัตถุประสงค์เเต่เพียงอย่างเดีย ว เช่น Mexican-American Claims Commissions ซง่ึ ใหจ้ ดั ตง้ั ข้ึนในปคี .ศ. 1930 เพอื่ จดั การเกย่ี วกับทรัพย์สินของชาวอเมริกันในประเทศเม็กซิโก จนถึงองคก์ ารท่มี วี ัตถุประสงค์หลายอยา่ ง เช่นองคก์ ารสหประชาชาติ เป็นต้น องคก์ ารระหวา่ งรฐั บาลน้ัน คุณประโยชน์ในการแก้ไขปัญหาอย่หู ลายอย่างดว้ ยกันซึง่ พอสรปุ ไดด้ งั น้ี คือ ประการแรก ประเทศทั้งหลายมักจะร่วมกันจัดต้ังองค์การระหว่างรัฐบาลขึ้นเพ่ือศึกษาและจัดการกับ ปัญหา โดยมีการตกลงระหว่างประเทศเกี่ยวกับทางออกของปัญหานั้น ประเทศท้ังหลายผลักหน้าท่ีในการหา ทางออกของปัญหา ให้เเก่ องค์การระหว่างประเทศท่ีตนได้เข้าร่วมการจัดต้ังขึ้น โดยมีความหวังว่าองค์การนี้ จะชว่ ยหาขอ้ แก้ปญั หา ซงึ่ รฐั สมาชกิ ขององคก์ ารเหน็ ชอบด้วย ประการที่สอง องค์การระหวา่ งรัฐบาลชว่ ยแกไ้ ขปัญหาต่างๆท่ีประเทศสมาชิกมีสว่ นเกี่ยวข้อง ซงึ่ ปญั หา เหล่าน้ันไม่อาจจะแก้ไขได้โดยอาศัยแต่เพียงการออกกฏหมาย อาจกล่าวได้ว่าองค์การระหว่างรัฐบาลเป็น องค์การท่ีเหมาะสม ในการที่ต้องเผชิญและแก้ไขปัญหากับสภาวะท่ีมีการเปลี่ยนแปลงอยู่บ่อยๆตัวอย่างเช่น International Monetary Fund (IMF) ซง่ึ ช่วยรกั ษาระบบเศรษฐกิจระหวา่ งประเทศใหม้ ่ันคงโดยไม่ใช้วิธอี อก กฎเกณฑ์ ควบคุมพฤติกรรมรัฐ แต่โดยการใช้วิธีปฏิบัติในเวลาท่ีเหมาะสมในการรักษาฐานะและสภาพของ เงินตราให้มนั ทุกวนั นี้องค์การระหว่างรัฐบาลเป็นหน่วยที่เหมาะสมที่สุดในการที่จะตัดสินใจในเรื่องปัญหาที่ถูก หยบิ ยกขนึ้ มาพจิ ารณาโดยประเทศทเ่ี ปน็ สมาชกิ ประการท่ีสาม องค์การระหว่างปัจจุบันนั้น สามารถจัดการกับปัญหาซึ่งอาจเปลี่ยนแปลงไปได้ใน รูปแบบหนึ่งได้ เพราะองค์การระหว่างรัฐบาลมี \"กรรมการติดตามข่าวความเคลื่อนไหว\" (Continuous Search Committee) ซึ่งมีหน้าที่เสนอข่าวหรือ สภาพที่เกิดขึ้นใหม่ใหม่ซ่ึงมีส่วนเกี่ยวข้องกับปัญหา ตัวอย่างเช่นสหภาพโทรมนาคมระหว่างประเทศ(International Telecommunication Union) ซ่ึงแตแ่ รกถูก จัดต้ังข้ึนในปีค.ศ. 1865 เพ่ือจัดการแกไ้ ขปัญหาท่ีเก่ียวกบั โทรเลข แต่มาบดั น้ีมีหน้าที่จัดการกับปัญหาต่างๆซ่ึง เกดิ ขนึ้ นอกเหนือไปจากการใชโ้ ทรศัพท์และวิทยุ ประการสุดท้าย องค์การระหว่างรัฐบาลมีประสิทธิภาพในการแก้ไขปัญหาต่างๆได้ดีกว่าการทา สนธสิ ัญญากนั ระหว่างประเทศ ท้ังนี้กเ็ พราะว่าองคก์ ารระหว่างรัฐบาลน้ี มหี น้าที่และกฎบังคับอย่างกว้างขวาง ซ่งึ ทาใหส้ ามารถแก้ไขปัญหา ซ่ึงสนธิสัญญาระหว่างประเทศไมอ่ าจแก้ไขได้ ตัวอย่างเช่นกิจการของอนามยั โลก (World Health Organization) ครอบคลุมถงึ งานด้านบรกิ ารอนั เก่ยี วกับการส่งเสริมอนามัยทั่วโลก ดังนั้น จึง มีผลทาให้องค์การน้ีมีความสามารถในการแก้ไขปัญหาอนามัยของทุกๆประเทศได้อย่างกว้างขวางกว่า สนธิสัญญาเกี่ยวกับการส่งเสรมิ อนามัยซ่ึงทาข้ึนระหว่างประเทศ อาจกล่าวได้ว่าองค์การระหว่างรัฐบาลมีส่วน กระตนุ้ บรรดารัฐต่างๆในบรเิ วณท่ีมปี ัญหาให้หนั มาร่วมมอื กันแก้ไขปญั หาท่ีตนเผชญิ อยูใ่ นระดบั โลก และระดับ ภูมิภาค ประเทศทั้งหลายได้ร่วมมือกันในองค์การระหว่างรัฐบาลศึกษาถึงปัญหาทางเศรษฐกิจ สังคม และ การเมืองท่ีตนเผชิญอยู่ เน่ืองจากรัฐต่างๆต้องการท่ีจะทาให้มีการร่วมมือกันระหว่างรัฐได้กระทาไปอย่าง กว้างขวาง จึงทาให้มีการจัดต้ังองค์การระหว่างรัฐบาลขึ้นมาเป็นจานวนมากในปัจจุบัน องค์การดังกล่าวน้ันมี ท้ังองค์การแบบสากล ((Universal Organization) และองค์การส่วนภูมิภาค(Regional Organization)

เน่ืองจากในองค์การระหว่างรัฐบาลอยู่เป็นจานวนมาก จึงเป็นการยากที่จะป้องกันไม่ให้มีการดาเนินงานท่ี ซ้าซ้อนกัน(Overlapping Function) การดาเนินงานหรือการปฎิบัติหน้าที่ที่ซ้าซ้อนกันนั้นบางคร้ังอาจทาให้ องค์การระหวา่ งรัฐบาลบางองการหมดความพยายามทจ่ี ะปฏิบตั ิหน้าท่ีของตนหรือไม่เช่นนน้ั ก็ปฎิบัติหน้าทขี่ อง ตนไปยงั แกนแกนโดยไม่มจี ุดมุ่งหมายแต่ประการใด การขัดแย้งระหว่างองค์การระหว่างรัฐบาลในระดับภาคพ้ืน และองค์การระหว่างรัฐบาลในระดับสากล อาจเกิดขึน้ ไดใ้ นบริเวณที่องค์การท้ังสองประเภทปฎิบตั ิหน้าที่คลา้ ยคลึงกัน ตวั อย่างเช่น การทาหนา้ ท่ีติดตาม การพัฒนาทางเศรษฐกิจของนานาประเทศ โดยองค์การของสหประชาชาติไม่ค่อยลงรอยกับนโยบายการ พัฒนาเศรษฐกิจขององค์การเเห่งภาคพื้น นอกจากนี้แล้วเป็นการยากที่จะให้การปฏิบัติหน้าท่ีขององค์การแต่ ละประเภทประสานงานซ่ึงกันและกันเพราะทั้งสององค์การสากลและองค์การแห่งภูมิภาค ได้รับทุนอุดหนุน จากแรงและสมาชกิ ที่ไมเ่ หมือนกัน ถึงแม้ว่ากฎบัตรขององค์การแห่งภาคพื้นจะได้ระบุถึงวัตถุประสงค์ที่จะให้มี การรว่ มมือกันกับองค์การระหว่างรัฐบาลอ่ืนๆกต็ าม แต่กย็ ังขาดหน่วยกลางทีท่ าหน้าทชี่ ่วยเหลือในด้านการเงิน และคอยควบคุมดูแลสอดส่องการร่วมมือระหว่างองค์การต่างๆผลก็คือ ทาให้เกิดปัญหาในด้านการปฎิบัติงาน ขององค์การ การขัดแย้งกันระหว่างองค์การเหล่านี้ ยังอาจเกิดข้ึนได้ในกรณีท่ีองค์การมีจุดมุ่งหมายและขอบเขตของ งานในด้านภูมิศาสตร์ในทานองเดียวกัน ตัวอย่างเช่นองค์การอาหารและการเกษตร(Food and Agricultural Organzation) และองค์การกรรมกรสากล(International Labour Organzition) ได้ทาหน้าที่อย่างเดียวกัน ในเรื่อง การศึกษาการปฏิรูปที่ดิน(Land Reform) ทั้งสององค์การนี้ได้มีรายงานในปีค.ศ. 1960 เกี่ยวกับ ผลงานในเร่ืองท่ีคล้ายคลึงกัน ดงั นั้นจึงทาให้เกิดขอ้ ขัดแย้งกันบ่อยบ่อยในเรื่องของนโยบายระหว่างองค์การท้ัง สองระดับ คือ ระดับสากลและภูมิภาค องค์การระหว่างรัฐบาลไม่ว่าในระดับสากลระดับภูมิภาคต่างก็มีความ อิจฉาริษยาแก่งแย่งชิงดีสิ่งเด่นกัน และแต่ละฝ่ายต่างก็จะปกป้องความรับผิดชอบ ความเป็นอิสระและ งบประมาณในการใช้จ่ายของก่อน และในขณะเดียวกันแต่ละองค์การ ต่างก็หาทางจะขยายขอบเขตของการ ปฎิบัติงานของตนออกไป พฤติกรรมดังกล่าวนี้มีผลทาให้เกิดการขัดแย้งระหว่างองค์การระหว่างรัฐบาล ซ่ึงมี ลักษณะคลา้ ยคลงึ กบั การขัดแย้งของพวกราชการในองค์การใหญ่ๆ เนื่องจากมีการขัดแย้งระหว่างองค์การระหว่างรัฐบาล ในด้านการปฎิบัติงานอยู่บ่อยๆ จึงได้มีการจัดต้ัง สถาบันเพ่ือทาหน้าท่ีในการจัดกิจการต่างๆขององค์การระหว่างรัฐบาลให้เป็นระเบียบโดยไม่ก้าวก่ายกัน เพ่ือ เป็นการขจัดการทางานซ้อนกันและการแขง่ ขันอันเป็นการเสียเวลา ตวั อย่างเช่น สภาเศรษฐกิจและสังคมแห่ง สหประชาชาติ (Economic and Social Council of the United Nations) ในฐานะสถาบันได้พยายามที่จะ จัดกิจการขององค์การสากลและองค์การส่วนภูมิภาคให้มีความสัมพันธ์กันอย่างเป็นระเบียบนอกจากน้ีสภา ดังกล่าวยังมีอานาจแนะนาจัดระเบียบในกิจการของทบวงชานัญพิเศษ (Specialized Agencies) ขอ สหประชาชาติและองค์การอ่ืนๆภายใต้กฏบัตรของสหประชาชาติมาตรา 57 และ 63 โดยอาศัยแรงงานจาก องค์การอื่นๆที่เสนอมาเป็นระยะๆ เนอื่ งจากสภาเศรษฐกจิ และสงั คมของสหประชาชาติมอี านาจหนา้ ที่แต่เพียง ให้คาแนะนา ความสาเร็จของสภาในเรื่องดังกลา่ วขึ้นอยู่กับผู้นาขององคก์ ารต่างๆท่จี ะร่วมมือ ด้วยหรือไม่

สาหรับสภาเศรษฐกิจและสังคมของสหประชาชาติน้ัน ได้ถูกจัดตั้งขึ้นเพื่อจัดกิจการต่างๆท่ีปฏิบัติโดย องค์การในภูมิภาคให้มีความสมั พันธ์สอดคล้องกัน โดยอาศัยความช่วยเหลือจากคณะกรรมการแห่งภาคพ้ืนใน ยุโรป เอเชยี ตะวนั ออกไกล ละตินอเมริกา แอฟริกา คณะกรรมการแห่งภาคพ้ืนต่างๆเหลา่ นีข้ น้ึ โดยตรงตอ่ สภา และมีหน้าที่ในการให้คาแนะนาในด้านเทคนิค และบางคร้ังจัดหาแหล่งทางการเงิน ให้แก่ องค์การระหว่าง รัฐบาลท่ีตั้งอยู่ในภูมิภาคต่างๆในขณะเดียวกันคณะกรรมการแห่งภาคพื้นยังมุ่งที่จะส่งเสริมการใช้องค์การ ระหว่างรัฐบาล เป็นเครื่องมือในการเรียกร้องให้มีการแก้ไขปัญหาร่วมกันระหว่างประเทศ ตามปกติแล้ว องค์การระหว่างรัฐบาลในภาพพ้ืนบางองค์การชอบแสวงหาความร่วมมือจากองค์การอ่ืนๆ และบางก็ทาหน้าที่ เป็นตัวเช่ือม (Coordinator) ความสัมพันธ์ระหว่างองค์การต่างๆที่อยู่ในบริเวณเดียวกัน เช่น องค์การรัฐ อเมริกัน(Organization of American Atates) สหภาพยุโรป (Council of Europe) สันนิบาตอาหรับใน ตะวันออกกลาง(Arab League in the Middle East) และองค์การเอกภาพแอฟริกา(Organization of African Unity) เปน็ ตน้ ในขณะที่องค์การระหว่างรัฐบาลมีจานวนเพิ่มมากข้ึน ความยุ่งยากในการท่ีจะเชื่อมกิจการท้ังหลายที่ปฏิบัติ โดยองค์การต่างๆให้มีความสัมพันธ์กันอย่างเป็นระเบียบนับวันน้ีแต่จะเพิ่มมากข้ึน กิจการต่างๆท่ีปฏิบัติโดย องค์การระหว่างรัฐบาลทั้งในระดับภูมิภาคและระดับสากล มีการสอนการและทาให้เปลืองแรงงานโดยใช่เหตุ และนับเป็นสาเหตุที่เกิดขึ้นหลังจากท่ีสงครามโลกคร้ังที่ 2 ส้ินสุดลงเป็นต้นมา การปฏิบัติหน้าที่ขององค์การ ระหว่างรัฐบาลไม่สัมพันธ์กันอย่างเป็นระเบียบ แต่ละองค์การต่างปฎิบัติหน้าที่ของตนไป โดยได้คานึงถึงไม่ว่า การปฎิบัติหน้าท่ีของตนน้ันไปสอนเด็กแข่งกับองค์การอื่นใดบ้าง ท้ังน้ีก็เป็นเพราะว่าไม่มี สภาประธานาธิบดี หรือตัวบทกฎหมายใดบังคับให้องค์การระหว่างรัฐบาลคานึงถึงเรือ่ งดังกล่าว เพราะฉะน้ัน การสอนการมีเร่ือง การปฏบิ ัติงานขององค์การระหวา่ งรฐั บาล การแข่งขันระหว่างองค์การต่างๆ ในดา้ นการขยายขอบเขตของงาน และการสญู เสยี เปลา่ ในเร่ืองเวลาและค่าใช้จ่าย จงึ เปน็ ปรากฏการณ์ทเี่ กดิ ข้ึนอย่างหลีกเลีย่ งไม่ได้ในปจั จบุ ัน 2.3 บทบาทของการเมอื งในการแก้ไขปัญหาร่วมกนั ระหว่างประเทศ เน่ืองจากการแก้ไขปัญหาร่วมกันระหว่างประเทศ ต้องอาศัยความร่วมมือระหว่างรัฐบาลเป็นส่วนใหญ่ กิจกรรมหรือการกระทาต่างๆที่เกี่ยวข้องเน่ืองกับการร่วมมือกันระหว่างรัฐบาลในการแก้ไขปัญหา จึงเป็นเร่ือง ท่ีเก่ียวข้องกับการเมือง ลักษณะการเมืองมีปรากฏอยู่ทั่วไปไม่เพียงแต่เฉพาะในเร่ืองการร่วมมือระหว่าง ประเทศเท่านั้น แต่ยังปรากฏในเร่ืองสวัสดิการทางสังคม การศึกษา นโยบายทางด้านการเงิน และอื่นๆอีก มากมาย การเมืองของความร่วมมือระหว่างประเทศมีลักษณะเดียวกันกับการเมืองในระบบราชการและระบบ ปกครอง กล่าวคือมักจะเก่ียวข้องกับปัญหาที่ว่า เจ้าหน้าท่ีประจาในองค์การระหว่างรัฐบาล ปฏิบัติต่อกัน อย่างไร แต่ผู้มีบทบาทท่ีอยู่ภายนอกองค์การ ซ่ึงอาจเป็นรัฐหรือองค์กรณ์ที่ไม่ใช่องค์การรัฐบาล (Non- Government Organization) เก่ียวข้องกับเจ้าหน้าที่ประจาองค์การ อย่างไรบ้าง ถ้าหากนาคาจากัดความที่ ฮาโรลด์ ลาสเวลล์ (Harold Lasswell) ได้ให้ไว้เก่ียวกับ\"การเมือง\"ซึ่งเก่ียวกับการวินิจฉัยว่าใครได้รับอะไร เมื่อไหร่ และอย่างไร มาใช้ในเรื่องน้ีแล้ว ปฏิกิริยาที่นาไปสู่การแก้ไขปัญหาร่วมกันระหว่างรัฐบาลนั้นจะมี ลักษณะทางการเมืองว่าการเมืองนั้นได้แก่วิถีทางที่ประเทศต่างๆเก่ียวข้องซึ่งกันและกันในกรณีท่ีมีการแก้ไข ปัญหาร่วมกัน ในการร่วมกันแก้ไขปัญหานั้น ก็มิได้หมายความว่า จะไม่มีการขัดแย้งกันในเร่ืองส่วนได้เสีย ระหว่างประเทศ ถ้าหาทางแกไ้ ขปัญหาน้ันได้กระทาการโดยมีการตกลงในรปู ของสนธสิ ัญญาหรือข้อตกลงแบบ

น้วี ตั ถปุ ระสงคโ์ ดยเฉพาะอย่างย่ิง (ad hoc agreement) แลว้ ก็จะต้องมีการเก่ียวข้องกับกระบวนการทางการ เมือง(Political Process) ก่อนมีรูปร่างสนธิสัญญาหรือข้อตกลงจะปรากฏออกมา ถ้าการแก้ไขปัญหานั้น เก่ียวขอ้ งกบั การจัดต้ังองค์การระหว่างรัฐบาลข้ึน การขัดแยง้ ในเรอื่ งผลประโยชน์และส่วนไดส้ ่วนเสยี ตลอดจน ความแตกต่างในด้านความคิดในการก่อต้ังตัวบทกฏหมายใดใดประจาองค์การย่อมเกิดขึ้น ถ้าหากมีองค์การ ระหว่างรัฐบาลอยู่แล้ว กระบวนการที่เก่ียวข้องกับการตัดสินใจ เช่น กระบวนการการใช้อิทธิพลต่อผู้ตัดสินใจ และปฏิกิริยาโตต้ อบระหว่างผตู้ ดั สินใจและผู้ใช้อิทธิพล ย่อมจะเกิดขึ้นอยา่ งไมต่ อ้ งสงสัย ไม่วา่ ในสถานการณ์ใด ใดกต็ ามการแกไ้ ขปัญหาร่วมกนั ระหว่างประเทศ มคั จะหนีไม่พ้นในเร่ืองการขัดกนั ในเรอื่ งของผลประโยชน์และ การแข่งขันในการต่อรอง(Competitive Bargainning) ระหว่างรัฐ ซึ่งมีลักษณะเก่ียวข้องกับการเมือง อย่างไร ก็ตาม การร่วมมือกันในการแก้ปัญหาระหว่างรัฐมักจะปรากฏในบรรดารฐั ท่ีเป็นมิตรมากกว่าบรรดาประเทศที่ เป็นปฏิปักษ์กัน เช่น รัฐสมาชิกของกลุ่มคอมมิวนิสต์ ยกเว้นประเทศยูโกสลาเวีย ไม่ยอมเข้าร่วมในองค์การ ระหว่างประเทศในระดับสากลอยู่หลายองค์การ โดยเฉพาะอย่างย่ิงองค์กรที่เก่ียวข้องกับเศรษฐกิจ อาทิเช่น กองทุนระหวา่ งประเทศ International Monetary Fund (I.M.F) เปน็ ตน้ นอกจากน้รี ฐั ยงั ใชอ้ งค์การระหว่างรัฐบาลให้เปน็ ประโยชนต์ ่อนโยบายของตน เชน่ สหรฐั อเมรกิ าได้เข้า รว่ มกับรัฐอื่นจดั ต้งั องค์การ NATI, SEATO เเละ OECD เพื่อทาหน้าท่ีประสานงานในดา้ นการรว่ มมอื ระหวา่ ง ประเทศและจดั ให้มกี ารประชุมระหว่างรัฐบาลของประเทศตะวนั ตกขึน้ เพือ่ หาวิธีการท่ีจะให้การช่วยเหลือของ สารทั ธอ์ เมริกามผี ลสาเรจ็ อย่างจรงิ จัง ประเทศองั กฤษได้กระทาในเร่ืองนเี้ ช่นเดยี วกัน โดยใชแ้ ผนการโคลมั โบ (Colombo Plan) ซ่งึ มีจดุ มุง่ หมายช่วยประเทศทเ่ี คยถูกภายใต้อาณานคิ มของอังกฤษรวมท้ังบรรดาประเทศที่ ด้อยพฒั นาในด้านการพัฒนาทางเศรษฐกิจ สารทั ธ์อเมริกาได้ก่อตั้งองค์การรว่ มมือทางเศรษฐกจิ แหง่ ยโุ รป (OEEC) เพ่อื ชว่ ยเหลอื ในการดาเนินงานของโครงการมาเเชล(์ Marshall Plan) ในปลายปีค.ศ. 1940 องค์การที่ สหรฐั อเมรกิ าจัดตง้ั ขึน้ เหล่าน้ี มสี ว่ นช่วยแกไ้ ขปัญหาทางเศรษฐกิจ สังคม และการเมือง อาศยั การกระทา รว่ มกนั ระหวา่ งรัฐทเี่ ป็นสมาชิก ในทานองเดียวกันสหประชาชาติก็ได้ใช้องค์การระหว่างรัฐบาลเช่นCOMECON (The Councill for Mutual Economic Assistance) เปน็ เคร่ืองมอื ในการเรียกร้องให้ประเทศคอมมิวนสิ ต์ใน ยโุ รปตะวนั ออกรว่ มมือกนั ในด้านเศรษฐกิจ แต่กป็ ระสบกับความยุ่งยากเน่ืองจากอลั บาเนยี เเละรูมาเนีย ไม่เห็น พอ้ งด้วยและไดถ้ อนตัวจากการเป็นสมาชิก การจดั ต้งั องค์การระหวา่ งรฐั บาลนั้นไม่ใช่กระทาขนึ้ โดยประเทศ พัฒนาแตเ่ พียงฝา่ ยเดยี ว ประเทศโดยพัฒนากส็ ามารถท่ีจะจัดตงั้ องคก์ ารขน้ึ มาดว้ ยเหมือนกนั รัฐทดี่ ้อยพฒั นา จัดตั้งองคก์ ารระหว่างประเทศข้นึ เพ่ือประโยชนใ์ นการแก้ไขปญั หาทต่ี นเผชญิ อยตู่ ลอดจนใชเ้ ทคนคิ การเมือง ขอความช่วยเหลอื การสนับสนุนจากรัฐพัฒนา เชน่ ประเทศโดยพัฒนาได้จัดต้ังคณะกรรมการการคา้ และการ พัฒนาแห่งสหประชาชาติข้ึน(United Nations Committee for Trade and Development or UNCTAD) เป็นผลสาเรจ็ ทั้งทั้งที่ประเทศมหาอานาจไม่เหน็ ชอบด้วยถึงแม้วา่ ประเทศด้อยพัฒนาจะมีความเห็นว่า ประโยชนท์ ่ไี ดร้ บั จากการตง้ั สถานบันดงั กล่าวมีไม่มากนัก แต่กม็ คี วามคิดและความหวังว่า สถาบนั น้ีใช้เป็นสอื่ ในการใชบ้ งั คบั หรือชักจงู ให้ประเทศพัฒนาให้ความชว่ ยเหลือแกป่ ระเทศโดยพฒั นาในด้านเศรษฐกิจ

จากข้อความข้างตน้ ที่กลา่ วมา จะเหน็ ได้ว่าการร่วมมือกนั ระหวา่ งประเทศในการแก้ไขปญั หาที่ตนมีสว่ น เผชญิ อย่ดู ว้ ยเก่ียวกบั การเมอื งอย่างหลีกเล่ยี งไม่ได้ ดงั นน้ั การศกึ ษาพฤติกรรมของประเทศในการแก้ปัญหา รว่ มกัน นบั ไดว้ ่าเปน็ สว่ นสาคัญในการศึกษาการเมืองระหว่างประเทศ เพราะพฤติกรรมดังกล่าวมสี ่วน เกยี่ วข้องกับการเมืองไม่มากก็น้อย อาจกลา่ วไดว้ ่า พ่ีกรรมของประเทศในการร่วมมือแกป้ ัญหามขี อบเขต กวา้ งขวางมากขน้ึ เทา่ ใด การเก่ียวข้องของการเมืองกับพฤติกรรมดงั กล่าว กจ็ ะมลี ักษณะเพิ่มขนึ้ เปน็ เงาตามตัว มากเทา่ น้ัน

บทที่ 2 ปฏกิ ิริยาระหวา่ งประเทศ ผู้มีบทบาททาให้เกิดปฏิกิริยากระทบกระท่ังกันระหว่างประเทศ (International Interaction) ได้แก่ รัฐ ปฏิกิริยาระหว่างประเทศไม่อาจเกิดขึ้นได้ ถ้าหากรัฐไม่มีการเกี่ยวข้องหรือมีความสัมพันธ์กัน การท่ีจะ เข้าใจในเร่ืองลักษณะของปฏิกิริยาระหว่างรัฐได้ดีนั้น จาจะต้องมีการวิเคราะห์เปรียบเทียบแบบ และ ตัวกาหนดของพฤติกรรมในการสร้างนโยบายต่างประเทศของรัฐและกระบวนการตัดสินใจภายในองค์การ ระหว่างรัฐ กล่าวอย่างง่ายๆก็คือว่า จะต้องมีการศึกษาถึงพฤติกรรมท้ังหมดท่ีเกิดขึ้นภายใน และภายนอก องค์การระหว่างประเทศ จึงจะทาให้เกิดความเข้าใจในเรื่องลักษณะของปฏิกิริยาโต้ตอบระหว่างประเทศได้ดี ขึ้น อาจกล่าวได้ว่า องค์การระหว่างประเทศเป็นสถานท่ีท่ีปฏิกิริยาระหว่างประเทศเกิดขึ้น ปฏิกิริยาระหว่าง ประเทศอาจแบง่ ออกไดเ้ ป็น 3 ประเภท ประเภทแรก ได้แก่ \"ปฏิกิริยาระหว่างประเทศเกิดข้ึนประจาอย่างเป็นทางการ\" (Routiie official Interactions) ประการท่ีสอง ได้แก่ ปฏิกิริยาระหว่างประเทศท่ีเป็นไปในรูป \"การแก้ปัญหาร่วมกัน\" (Collective Problem Solving) ระหว่างรฐั ซึ่งได้กลา่ วมาแลว้ ในบทท่ี 1 ประเภทท่ีสาม ได้แก่ \"การต่อรองระหว่างประเทศในรูปการแข่งขัน\" (Competitive Bargaining) ซ่งึ จะ ไดก้ ล่าวโดยละเอียดในบทตอ่ ไป ปฏิกิรยิ าระหว่างประเทศท้ัง 3 ประการนี้ มีการเก่ียวขอ้ งกันประดุจลูกโซ่ ตัวอย่างเช่นบางครั้งมีปัญหา ซึ่งไม่อาจแก้ไขได้โดยอาศัยปฏิกิริยาที่เกิดข้ึนเป็นประจาของรัฐและปัญหาน้ันอาจเกิดข้ึนจากเหตุการณ์หรือ การกระทาที่รฐั ได้วางแผนไว้ ลักษณะของสภาพทางเปล่า ทาให้รฐั เกิดมีความจาเปน็ ทจี่ ะต้องมีการแก้ไขปญั หา ร่วมกันระหว่างรัฐหรือมีการต่อรองระหว่างรัฐ เพ่ือขจัดปัญหาท่ีเกิดขึ้นให้หมดไป ในทานองเดียวกัน ถ้าการ แก้ไขปัญหาการระหว่างรัฐล้มเหลว ช่างตอนต่อไปท่ีเราต้องทาให้ปัญหาหมดไป ก็คือ รักจะต้องใช้วิธีการ ตอ่ รองกนั โดยใชก้ ลวิธีของการต่อรอง(Bargaining Tactics) หลายอยา่ งมาใช้ซ่งึ จะไดไ้ ปเอาในบทที่ 3 ต่อไป ก่อนศึกษาถึงปฏิกิริยาท่ีเกิดขึ้นระหว่างประเทศ ควรพิจารณาถึงสิ่งแวดล้อมต่างๆท่ีมีอิทธิพลต่อปฏิกิริยา ดังกล่าว อาจกล่าวได้ว่าปฏิกิริยาระหว่างประเทศ ไม่อาจเกิดขึ้นได้ในที่ว่างเปล่า ซ่ึงไม่มีอะไรเลย จะต้องมี ปัจจัยและสภาพแวดล้อมอ่ืนๆประกอบด้วย ซ่ึงเป็นแรงพลังกระตุ้นผักดันหรือเปลี่ยนแปลงปฏิกิริยาโต้ตอบ ระหว่างประเทศ 1.สิ่งแวดล้อมของปฏกิ ิรยิ าระหว่างประเทศ ทุกวันนี้ประเทศท้ังหลายมีความสัมพันธ์และมีปฏิกิริยาต่อกันในลักษณะที่เป็นทางการและไม่ เป็น ทางการ ในขณะที่ประเทศมีปฏิกิริยาต่อกันในระดับรฐั บาลอย่างเป็นทางการ ประชาชนที่อยู่ในแต่ละประเทศ ต่างกเ็ ก่ยี วข้อง และมปี ฏิกิริยาโต้ตอบซึ่งกันและกนั อย่างไม่เปน็ ทางการนบั ต้ังแต่เรือ่ งธรุ กจิ การค้าเรอื่ ยไปจนถึง

การแต่งงานกัน ปฏิกิริยาของประเทศท้ังที่เป็นทางการและไม่เป็นทางการน้ัน มักปรากฏควบคู่กันไปอยู่เสมอ ในความสัมพันธ์ระหว่างประเทศ และไม่อาจมีผลอิทธิพลของส่ิงแวดล้อมต่างๆซ่ึงอาจเป็นสิ่งแวดล้อมภายใน หรือสิ่งแวดล้อมภายนอกประเทศ สิ่งแวดล้อมของปฏิกิริยาระหว่างประเทศที่จะนามาพิจารณาใน ณ ท่ีน้ี ได้แก่ \"สิ่งแวดล้อมระหว่างประเทศ\" (International Environments) ซ่ึงมีอิทธิพลต่อปฏิกิริยาระหว่าง ประเทศท่ีเกิดข้ึน ข้ึนเป็นประจาอย่างเป็นทางการ ส่ิงแวดล้อมระหว่างประเทศนี้อาจจาแนกออกได้เป็น 5 ประเภทคอื ประเภทแรก ไดแ้ ก่ ทต่ี ง้ั ทางภมู ิศาสตร์ของรัฐ ประเภทท่สี อง ได้แก่ การหมนุ เวยี นและการเคลอื่ นไหวของประชาชน ประเภททส่ี าม ไดแ้ ก่ การหมนุ เวยี นของความคิดต่างๆ ประเภทท่สี ่ี ได้แก่ เศรษฐกิจระหวา่ งประเทศ ประเภทท่ีห้า ไดแ้ ก่ กฎหมายระหว่างประเทศ 1.1 ท่ตี ้ังทางภมู ศิ าสตรข์ องรัฐ เป็นท่ียอมรับกันว่า นับเป็นองค์การทางการเมืองที่มีดินแดนเป็นของตนเองและที่ตั้งดินแดนของรัฐนี้ไม่ เพียงแต่มีอิทธิพลต่อพฤติกรรมและนโยบายต่างประเทศของรัฐเท่าน้ัน แต่ยังก่อให้เกิดการเปล่ียนแปลงหรือ การรักสารูปเดิมของความสมั พนั ธร์ ะหวา่ งรัฐอีกด้วย รสั เซท ( Russett)ได้กล่าวไว้ในการศึกษาของเค้าในแบบปริมาณ(Quantitative Study) ว่า\"แบบต่างๆทางการค้า ระหว่างสมาชิกภาพในองค์การระหว่างรัฐบาล เหตุการณ์ต่างๆที่เกี่ยวกับการขัดแย้งและการออกเสียงในท่ี ประชุมสมัชชาใหญ่แห่งสหประชาชาตลิ ้วนแตม่ สี ว่ นเกย่ี วพันกับทต่ี งั้ ของรัฐ\" กล่าวอย่างง่ายๆก็คือว่า ที่ตั้งภูมิศาสตร์ของรัฐเป็นปัจจัยส่วนหน่ึงท่ีทาให้เกิดการเปล่ียนแปลงหรือการ รักสารูปเดิมของความสัมพันธ์ระหว่างรัฐ ไม่ได้กรรมหรือนโยบายแห่งรัฐ ผู้ท่ีเน้นถึงอิทธิพลของที่ตั้งทาง ภมู ิศาสตร์อีกท่านหน่ึงได้แก่ ซอล บี โคเฮน (Saul B. Cohen) นักภูมิศาสตร์ทางการเมืองซ่ึงกล่าวว่า ท่ีตั้งทาง ภูมิศาสตร์มีอิทธิพลต่อนโยบายต่างประเทศ โดยได้เปรียบเทียบทต่ี ั้งภูมศิ าสตร์ของสหรัฐอเมริกาและสาภาพโซ เวียตในข้อทว่ี ่า ทง้ั สหรัฐอเมริกาและสาภาพโซเวียต ต่างก็เปน็ ประเทศมหาอานาจซ่ึงอยู่ห่างไกลกันดังนน้ั การ ท่สี งครามเย็นระหวา่ งประเทศมหาอานาจทั้งสองนี้จะกลายเป็นสงครามตอ่ สกู้ ันดว้ ยพละกาลังน้ันเปน็ เร่ืองยาก นอกจากน้ี สหภาพโซเวียตยังมีดินแดนติดต่อกับรัฐเพ่ือนบ้านเพลงไม่มีประเทศ โดยสภาพทางภูมิศาสตร์ ดังกล่าวสหภาพโซเวียตพยายามที่จะสร้างความสัมพันธ์ทางการทหารกับรัฐเพ่ือนบ้าน โดยถือว่าการมี ความสัมพันธ์ทางด้านการทหารกับประเทศเพ่ือนบ้านเป็นส่ิงสาคัญต่อความมั่นคงและความปลอดภัยของตน ในขณะเดียวกันสหรัฐอเมริกาถือว่า ความม่ันคงและความปลอดภัยของตนน้ันไม่อาจอาศัยการมีอานาจทาง การทหารของตนเหนือรัฐเพ่ือนบ้านแต่เพียงอยา่ งเดียว ต้องอาศัยการรว่ มมือทางทหารซึ่งตนได้มีไว้กับรัฐอ่ืนๆ นอกเหนอื ไปจากเพอ่ื นบา้ นของตน

นอกจากน่าจะมีดินแดนแล้วยังมีทรัพยากรธรรมชาติ (Natural Resources) และทรัพยากรมนุษย์ (Human Resources) เช่น จานวนพลเมืองระดับการศึกษาของประชาชนและความชานาญของประชาชน เป็นต้น ทรัพยากรที่กล่าวมานี้ล้วนแต่มีอิทธิพลต่อพฤติกรรมของรัฐที่ปฏิบัติต่อกัน ในปัจจุบันความก้าวหน้า ทางเทคโนโลยีได้เข้ามามีบทบาทในชีวิตมนุษย์และความสัมพันธ์ระหว่างรัฐ การคมนาคมการขนส่งมีความ สะดวกรวดเร็วขึ้นทาให้รัฐและประชาชนของเราต้องปรับตัวให้เข้ากับสิ่งแวดล้อม ซึ่งเปลี่ยนแปลงไปโดย ความก้าวหน้าทางเทคโนโลยี อาทิเช่น ในสมัยก่อนแล้วถือว่าการมีอานาจควบคุมทางทะเลเป็นสิ่งท่ีสาคัญทา ให้รัฐมีอานาจ แต่ในปัจจุบันความก้าวหน้าทางเทคโนโลยีซ่ึงนาไปสู่การประดิษฐ์อาวุธที่ทันสมัยซ่ึงสามารถ ทาลายกองทัพเรอื ได้ในพริบตาทาให้รัฐมคี วามเชื่อว่า การมอี านาจทางการทหารน้ันจะอาศัยแตเ่ พียงมอี านาจ ทางถนนอย่างเดียวหาได้ไม่จาเป็นต้องอาศัยการมีอานาจในด้านอื่นๆเช่น อานาจทางบก ทางอากาศหรือ อวกาศเป็นต้น ตัวอย่างที่ดีมีอีกหน่ึงก็คือนโยบายต่างประเทศของสหรัฐอเมริกาได้ผันแปรเปล่ียนแปลงไปแล้ว เพราะอทิ ธพิ ลของทต่ี ้ังทางภูมิศาสตร์ กลา่ วคือสหรฐั อเมริกาตัง้ อยใู่ นทวีตทแ่ี วดล้อมไป ด้วยมหาสมทุ รแปซิฟิค และมหาสมุทรแอนตฝเเลนติก ทางฝั่งตะวันตกและตะวันออกตามลาดับ ด้วยเหตุนี้นโยบายต่างประเทศของ สหรัฐอเมริกาก่อนสงครามโลกคร้ังท่ี 1 จึงถือนโยบายไม่ยุ่งเกี่ยวกับทางยุโรปในด้านการทหารโดยถือว่า มหาสมุทรที่แวดล้อมตนนั้นเป็นเคร่ืองกีดขวางการทารุณของข้าศึกเป็นอย่างดี จึงทาให้ไม่มีความจาเป็นท่ี จะต้องทาสัญญาร่วมมือหรือยุ่งเก่ียวกับประเทศอื่นๆทางดา้ นทหารหลังจากสงครามโลกคร้ังท่ี 2 ความก้าวหน้า ทางเทคโนโลยี และวิทยาศาสตร์ทาให้สารัทธ์อเมริกาไม่อาจถือได้โยบายดังกล่าวเพราะมหาสมุทรไม่อาจสกัด กั้นอาวุธปรมานูญ หรือขีปนาวุธ ซึ่งเป็นผลผลิตของความก้าวหน้าทางเทคโนโลยี สหรัฐอเมริกาหลัง สงครามโลกคร้ังท่ี 2 ได้หันมาใช้นโยบายร่วมมือกันท้ังในด้านเศรษฐกิจและสังคม ทางการทหาร และด้าน การเมืองเพ่ือเพิ่มความลาดับและความก้าวหน้าทางเทคโนโลยีทาให้การติดตอ่ และการคมนาคม ตลอดจนการ ร่วมมือกันระหว่างรัฐทั้งในด้านทางทหาร การเมือง และการเศรษฐกิจ มีความสะดวกรวดเร็ว และมี ประสิทธิภาพมากข้นึ กว่าแต่กอ่ น ความก้าวหน้าทางเทคโนโลยี ซ่ึงเป็นส่วนประกอบของสิ่งแวดล้อมของรัฐก่อให้เกิดผลประโยชน์หลาย อย่างต่อมนุษย์และรัฐ เช่น มีการค้นพบแร่ธาตุใหม่ๆ ซึ่งมีประโยชน์ต่อมนุษย์และส่งเสริมอานาจของรัฐ อาทิ เช่น แรย่ เู รเนยี ม เป็นตน้ มกี ารใช้ความชานิชานาญและการศึกษาของมนุษย์ให้เป็นประโยชน์ตอ่ ความกา้ วหน้า ทางษากมั ถ้าสังเกตุให้ดแี ลว้ จะเหน็ วา่ สภาพเดิมของสิง่ แวดล้อมทั้หลายของรัฐ ไดเ้ ปล่ียนแปลงไปอยา่ งมากโดย อิทธิพลของความก้าวหน้าทางเทคโนโลยี บางครั้งรัฐไม่อาจจับปรับสภาพของตนทางเศรษฐกิจและทางทหาร ให้เข้ากับส่ิงแวดล้อม ซึ่งเปล่ียนแปลงไปโดยอิทธิพลของเทคโนโลยีได้ทันท่วงที ตัวอย่างเช่น ประเทศฝร่ังเศส ก่อนสงครามโลกครั้งที่ 2 เข้าใจว่าสภาพทางการทหารไม่ว่าในด้านอาวุธยุทโธปกรณ์ หรือด้านกาลังทหาร มี ลักษณะเช่นเดียวกับสงครามโลกคร้ังที่ 1 จึงไม่ได้สนใจปรับปรุงกองทัพของตน คงรักษาสภาพเดิมของกาลัง กองทัพของตนไว้ ดังนั้น กองทัพของฝร่ังเศสจึงไม่อาจต้านทานกาลังกองทัพของฝ่ายนาซีเยอรมันใน สงครามโลกครง้ั ที่ 2 ซง่ึ เป็นกองทพั ที่มอี านภุ าพมากความกา้ วหนา้ ทางเทคโนโลยี


Like this book? You can publish your book online for free in a few minutes!
Create your own flipbook