Important Announcement
PubHTML5 Scheduled Server Maintenance on (GMT) Sunday, June 26th, 2:00 am - 8:00 am.
PubHTML5 site will be inoperative during the times indicated!

Home Explore IR เอกสารประกอบการสอน

IR เอกสารประกอบการสอน

Published by sulaiman.ha, 2020-07-03 22:57:37

Description: IR เอกสารประกอบการสอน

Search

Read the Text Version

ทุกวันนี้สิ่งแวดล้อมต่างๆของรัฐเปลี่ยนแปลงไปจากเดิมมาก อาจถือได้ว่าปัจจัยทางเทคโนโลยีก่อให้เกิดการ เปลี่ยนแปลง การเปล่ยี นแปลงของสิ่งแวดล้อมของรัฐมผี ลกระทบกระเทือนต่อปฏิกิรยิ าหรือการกระทาโต้ตอบ ระหว่างรักมากกว่าน้อยซึ่งไม่อาจจะวัดได้ ผู้ตัดสินใจแห่งรัฐตลอดจนผู้มีอิทธิพลต่อผู้ตัดสิน จะต้องมีความ สามัคคีเท่าที่ทราบความคิดเห็นและการตัดสินใจของตนให้สอดคล้องและเข้ากันได้กับเหตุการณ์และ สง่ิ แวดล้อมใหมๆ่ ท่ีเกิดขึ้นรวมท้ังมีความสามารถในการติดตามขา่ วสารได้ทนั ที เพราะมิฉะน้ันแลว้ ความม่ันคง และการอย่รู อดของรฐั นน้ั กจ็ ะเป็นอันหมดไป 1.2การหมนุ เวียนได้การแลกเปลีย่ นความคิด (Floe of Ideas) การหมนุ เวียนหรือการแลกเปล่ียนความคิด เป็นส่ิงแวดล้อมอย่างหน่ึงท่ีมีอิทธิพลต่อปฏกิ ิริยาระหวา่ งรัฐ ในโลกปัจจุบันการเปล่ียนแปลงความคิดได้กระทากันอย่างกว้างขวางท้ังนี้ อาจจะเป็นเพราะความสะดวก ทางด้านคมนาคมได้การติดตอ่ การแลกเปลี่ยนความคิดกันน้นั ได้กระทากันในที่ประชุมองค์การระหว่างรัฐบาล องคก์ ารท่ไี มใ่ ช่เป็นของรฐั บาลและบรรดาผู้นาแห่งรัฐ เพื่อช่วยให้มีความเข้าใจดีข้ึน ในเรื่องการแลกเปล่ียนความคิดเห็นในฐานะเป็นส่ิงแวดล้อมของปฏิกิริยา ระหว่างรัฐ จึงได้มีการศึกษาและพิจารณาความคิดเห็นในเร่ืองวัฒนธรรมโลก(World Culture) คาว่า\" วัฒนธรรม\"น้ันอาจถือว่าเป็นความคิดร่วมกันดังนั้น การแลกเปลี่ยนความคิดต่างๆซึ่งเผอิญมีความหมายและ วตั ถปุ ระสงคเ์ ดยี วกนั ก็อาจทาใหเ้ กดิ วัฒนธรรมโลกขึ้นได้ วัฒนธรรมโลกน้นั แบ่งออกได้ 3 ประเภทคอื ก. วฒั นธรรมลกู คา้ เทคโนโลยี ข. วัฒนธรรมรูปทางสังคม และ ค. วฒั นธรรมทางดา้ นการเมืองระหวา่ งประเทศ วัฒนธรรมทั้ง 3 ประเภทนี้ ถือว่าเป็นส่วนประกอบที่สาคัญของสิ่งแวดล้อมที่มีอิทธิพลต่อปฏิกิริยา ระหว่างประเทศ ก. วัฒนธรรมรูปทางเทคโนโลย(ี World Technological Culture) วัฒนธรรมชนิดน้ี ได้แก่ วัฒนธรรมในด้านความรู้ที่จาเป็นในการให้กาเนิดและรักษาไว้ซึ่งการผลิตทางด้าน การเกษตรและอุตาสาหกรรม วัฒนธรรมในด้านการผลิตนี้ครั้งแรกรู้และแลกเปล่ียนกันแต่เพียงภายในยุโรป และอเมริกาเหนือ แต่ต่อมาได้รู้และแลกเปลี่ยนกันแพร่หลายทั่วโลกอย่างรวดเร็วจนกลายเป็นวัฒนธรรมของ โลกข้นึ ข. วฒั นธรรมโลกทางสงั คม (World Social Culture) วัฒนธรรมประเทศน้ีเก่ียวกับความคิดท่ีว่า จะต้องทาอย่างไรบ้างในการจัดตั้งสมาคมมนุษย์ขึ้น และเม่ือมีการ จดั ตั้งข้ึนแล้วจะต้องมีการจัดการภายในอย่างไร จึงจะเป็นสมาคมที่ดีได้ ศาลให้เสยี งความคิดในเรอื่ งการจัดต้ัง ในการจัดหาสมาคมมนุษย์ให้ได้ผลดีได้กระทาการโดยทั่วๆไปในที่ประชุมของการชนิดต่างๆระหว่างประชาชน ด้วยกัน ซึ่งบางครั้งก็มีการขัดแย้งในการแลกเปลี่ยนความคิด อาทิเช่น การขัดแย้งกันระหว่างความคิดของ มาร์คซิสต์(Marxist Ideas) และความคิดที่ไม่ใช่ของมาร์คซิสต์ (Non-Marxist Ideas) เกี่ยวกับการจัดการ

เกี่ยวกับองค์กรซ่ึงไม่เพียงแต่ปรากฏในองค์การระหว่างรัฐบาลแต่ยังเกิดขึ้นในระหว่างประชาชนท่ีติดต่อและ แลกเปล่ียนความคิดกัน ถึงแม้ว่าจะมีการสัตว์เลี้ยงระหว่างความคิดท้ังสองดังกล่าว ส่วนที่ความคิดท้ังสองเห็น พ้องต้องกันยังคงมีอยู่เช่น ทั้งสองความคิดต่างๆมีความเห็นต้องการในเร่ืองความจาเป็นที่จะต้องมีความเสมอ ภาคของประชาชนในเรื่องการกินอยู่และความก้าวหน้าของชีวิต อันจะเป็นหนทางนาไปสู่ความเป็นระเบียบ และความสงบสุขภายในองค์การ ค. วฒั นธรรมทางการเมืองระหว่างประเทศ วัฒนธรรมทางการเมืองระหว่างประเทศนี้ เก่ียวกับการจัดให้รัฐมีความสัมพันธ์อันดีต่อกัน นักตัดสินใจใน นโยบายต่างประเทศและผู้มีอิทธิพลต่อการสร้าง และตัดสินใจในนโยบายต่างประเทศมีความเห็นตรงกันว่า วัฒนธรรมทางการเมืองระหวา่ งประเทศเปน็ เรื่องไม่ค่อยมีความแน่นอน มีการเปล่ียนแปลงเคล่ือนไหวอยู่เสมอ เช่นเดียวกันกับวัฒนธรรมทางสังคม ความคิดในเรื่องการเมืองระหว่างประเทศได้ถูกถ่ายทอดโดยนักเดินทาง ชาวต่างประเทศ องค์การระหว่างประเทศ อย่าชวนอันเป็นสื่อกลาง อย่างไรก็ตาม แม้ว่าวัฒนธรรมทาง การเมืองระหว่างประเทศจะมีความคลุมเครือและความไม่แน่ชัดตลอดจนความแตกต่างในเร่ืองความคิด นัก ตัดสินใจในโยบายต่างประเทศและผู้มีอิทธิพลมากท่ีสุดต่อการตั้งและตัดสินใจในนโยบายต่างประเทศ ก็ยังมี ความคิดเห็นพ้องต้องกันในเร่ืองการเมืองระหว่างประเทศในข้อท่ีว่า รัฐเป็นผู้แสดงบทบาทท่ีมีอานาจ กาลัง ของรัฐเป็นเคร่ืองมือของนโยบายต่างประเทศถูกนามาใช้ในเม่ือความม่ันคงและความปลอดภัยของได้ถูก คกุ คาม ในการร่วมมือกันระหว่างประเทศโดยอาศยั องคก์ ารระหว่างรัฐบาลเป็นสื่อกลาง เป็นทางออกท่ีจาเป็น สาหรับรฐั 1.3 การหมนุ เวียนของประชาชนระหวา่ งรฐั อาจถือได้ว่าเป็นการหมุนเวียนของประชาชนระหว่างรัฐเป็นลักษณะอย่างหนึ่งของส่ิงแวดล้อมของ ปฏิกิริยาระหว่างประเทศ ทุกวันนี้ประชาชนเดินทางไปมาระหว่างประเทศด้วยเหตุนานาประการ บ้างก็ไป ประชุมระหว่างประเทศ บ้างก็เดินทางไปพักร้อนหรือทาธุรกิจ บ้างก็ถูกรัฐบาลของตนส่งไปประจารัฐอ่ืนใน ฐานะตัวแทนของรัฐบาล อย่างไรก็ตามการเดินทางไปมาของประชาชนในโลกนี้ไม่พ้นเหตุท่ีสาคัญ 3 ประการ เหตผุ ลทางสังคม ทางการเมืองเเละทางเศรษฐกิจ ปัจจัยทที่ าใหก้ ารเดินทางไปมาของประชาชนเพม่ิ มากข้ึนน้นั ไปข้ึนกบั ปจั จยั ทท่ี าให้การแลกเปล่ียนความ คิดเห็นเพิ่มขึ้น ปัจจัยเช่นว่านี้ ได้แก่ ความรวดเร็วของการขนส่งและการคมนาคมที่ทันสมัย ซึ่งเป็นผลสืบ เนื่องมาจากความก้าวหน้าทางเทคโนโลยี ปัจจัยดังกล่าวนี้ไม่เพียงแต่ทาให้ประชาชนมีความเกี่ยวข้องกันมาก ข้ึน แต่ยังทาให้ประชาชนเพิ่มความสนใจท่ีจะทาการเกี่ยวข้องติดต่อซ่ึงกันและกัน นอกจากน้ีปัจจัยดังกล่าว แล้ว การเพิ่มข้ึนของพลเมืองในรัฐส่วนมากทาให้ประชาชนอยู่กันแออัด และต่อสู้แข่งขนั กันทามาหากินเพ่ือยัง ชพี ดังนั้น ประชาชนจงึ ได้พยายามเดินทางแสวงหาท่ีอยู่และทที่ ามาหากินท่ดี ีกวา่ บ้านเมืองของตน โดยเฉพาะ อย่างย่ิงประชาชนในประเทศท่ียังไม่ได้มีการพัฒนาเต็มท่ี เมื่อจะเดินทางมาอาศัยอยู่ในประเทศที่พัฒนาแล้ว

เพ่ือนหยีสภาวะอันเเร้นเเค้น และการต่อสู้ดิ้นรนอย่างหนักภายในบ้านเมืองของตน อันเป็นผลสืบเนื่องมาจาก การเพมิ่ ขึ้นของประชากรภายในประเทศของตน โดยทั่วไปแล้วประเทศส่วนมากส่งเสริมการเดินทางไปมากกว่าประชาชนโดยเฉพาะอย่างยิ่งการเดินทาง แบบท่องเท่ียวและธุรกิจ แต่ไม่สนับสนุนในเรื่องการอพยพของคนประเทศอื่นเข้ามาอยู่ในรัฐของตนยกเว้นผู้ลี้ ภัยทางการเมืองหรือผู้ล้ภี ัยทางศาสนาเหตุผลที่ร้านส่วนมากปฏิเสธในเร่อื งดงั กล่าวก็เพราะว่า ผทู้ ี่อพยพเขา้ มา ในรัฐของตนส่วนมากแล้วเป็นผู้ที่ไม่มีการศึกษาสูง มีความชานาญเพียงพอในการประกอบอาชีพ จึงทาให้เกิด ภาวะทางเศรษฐกิจแก่รัฐท่ีรับบคุ คลจาพวกนน้ั เขา้ มา ตัวอย่างเช่น สหรัฐอเมริกาได้มีการกวาดขันอย่างมากใน เรื่องคนต่างด้าวเข้าเมือง บุคคลท่ีจะเข้ามาอาศัยอยู่ได้อย่างถาวรได้ จะต้องเป็นผู้มีความชานาญและเป็นที่ ตอ้ งการของประเทศ เชน่ นายแพทย์ นางพยาบาล นักโภชนาการ (Dietitians) ผู้เชี่ยวชาญในการทาเนย เป็น ต้น อย่างไรก็ตามมีบางประเทศท่ีสนับสนุนให้บุคคลต่างด้าวเข้าเมือง เพราะมีความขาดแคลนในด้านกรรมกร และแรงงานในการประกอบการอุตสาหกรรมและเกษตรกรรม เช่น ประเทศออสเตรเลีย เป็นต้น ปัจจุบันรัฐ ส่วนมากสนับสนุนและส่งเสริมให้นักท่องเที่ยวเข้ามาในรัฐของตนมากท่ีสุดเท่าท่ีจะทาได้ เพราะมีประโยชน์ใน การทาให้เงินตราเข้ารัฐ ซ่ึงเป็นการช่วยรักษาดุลทางการเงินของรัฐได้มากทีเดียว นอกจากน้ีรัฐยังได้ส่งเสริม การลงทุนทางเศรษฐกจิ ของชาวตา่ งประเทศอยู่บอ่ ยๆ โดยอยู่ภายในขอบเขตจากัด โดยเฉพาะอย่างย่งิ ประเทศ ด๋อยพัฒนาท่ีไม่มีทุนเพียงพอในการดาเนินธุรกิจได้ด้วยตนเอง ก็มักจะสนับสนุนการลงทุนของคนต่างชาติ ภายในประเทศโดยวางมาตรการควบคุมไวอ้ ย่างรัดกมุ อาจกล่าวได้ว่าการเคลื่อนไหวไปมาของประชาชนระหว่างรัฐ เป็นสาเหตุทาให้เกิดปฏิกิริยาหรือการ กระทาระหว่างรฐั ซึ่งอาจจะเปน็ ไปในรูปนโยบายการเจรจาหรอื การปรึกษาหารือ เปน็ ต้น เช่น นักท่องเท่ยี วที่มี เรอื่ งราวหรอื กองเรือ่ งในต่างแดนกม็ ักจะนาไปสู่การเจอกันระหว่างรัฐบาลของรฐั ทต่ี นทอ่ งเท่ียวหญิงกบั รัฐบาล ของประเทศของตนประเทศที่เป็นปฏิปักษ์ต่อกันก็มักจะห้ามหรือจากัดประชาชนไม่ให้เดินทางผ่านเข้าไปใน ประเทศที่ตนไปปฏิปักษ์ ซึ่งตรงกันข้ามกับประเทศที่เป็นมิตรต่อกัน มักจะอนุญาตหรือส่งเสริมสนับสนุนให้ ประชาชนเดนิ ทางไปมาหาสกู่ ัน การหมุนเวียนของประชาชนในแง่ของการแสวงหาท่ีอยู่อาศัย มีผลกระทบกระเทือนต่อความสัมพันธ์ระหว่าง ประเทศ เฉพาะอย่างย่ิงในช่วงระยะเวลาก่อนสงครามโลกครั้งท่ี 2 ในช่วงระยะเวลาดังกล่าวผู้ตัดสินใจใน นโยบายตา่ งประเทศได้พยายามท่ีจะให้การแผ่ขยายอาณาเขตของตน เป็นสิ่งที่ถูกต้องตามกฏหมายโดยอ้างว่า พลเมืองในรัฐของตนเพ่ิมข้ึนจึงจาเป็นต้องแสวงหาดินแดนใหม่ใหม่เพื่อระบายพลเมืองที่อยู่อย่างนั้นแน่น ภายในรัฐของตนออกไป ในปัจจุบันก็อ้างนี้ไม่ค่อยจะได้รับการสนับสนุนก็การแผ่ขยายอาณาเขตของรัฐไม่ เพียงแต่มีจุดประสงค์เพ่ือหาส่วนประโยชน์ทางการทหารและการเศรษฐกิจแต่ยังขัดกับความจริงท่ีว่ารั ฐที่ แสวงหาดินแดนใหม่ๆนั้น ยังมบี รเิ วณพนื้ ทว่ี า่ งเปลา่ มากที่จะรบั สถานการณ์ของการเพิ่มข้นึ ของพลเมืองของตน ได้ โดยไม่จาเป็นที่จะต้องหาดินแดนใหม่ เพื่อระบายพลเมือง ดังน้ันจึงมีกรณีพิพาทและการสู้สู้อยู่เน่ืองเน่ือง

ในช่วงระยะเวลาดังกล่าวซึ่งส่งผลกระทบกระเทือนต่อความสัมพันธ์ระหว่างรัฐ ในปัจจุบันอาจกล่าวได้ว่าการ เพ่ิมขึ้นของประชากรภายในรัฐ และการหมุนเวียนของประชากรระหว่างรัฐที่เพ่ิมข้ึน เนื่องจากความสะดวก รวดเร็วในด้านคมนาคมและการขนส่งในศตวรรษที่ 20 เป็นส่วนหน่ึงของส่ิงแวดล้อมท่ีมีอิทธิพลต่อนโยบาย ต่างประเทศและการกระทาระหว่างรัฐนอกจากนี้แล้ว ยังเป็นสาเหตุให้เกิดการกระทบกระเทือนกันใน ความสัมพันธ์ระหว่างประเทศเช่น รัฐหนึ่งอาจใช้นโยบายกีดกันพลเมืองของรัฐอ่ืนไม่ให้เข้ามาในรฐั ของตนมาก เกินไปจากท่ีกาหนดไว้เพราะเกรงว่าจะทาให้เกิดสภาวะทางเศรษฐกิจและสังคมเพิ่มข้ึนนโยบายดังกล่าวอา จ ก่อให้เกิดความไม่พอใจกับอน่ื ๆซ่ึงอาจนาไปสู่การเปล่ียนแปลงในนโยบายตา่ งประเทศท่ีเคยยึดถือปฏิบัตกิ ันอยู่ ดังเดมิ ระหว่างรัฐ 1.4 เศรษฐกิจระหวา่ งประเทศ (International Economic) เศรษฐกิจระหว่างประเทศเป็นส่วนหนึ่งของส่ิงแวดล้อมระหว่างประเทศท่ีมีอิทธิพลต่อการกระทาไดก้ าร ปฏิบัติโต้ตอบระหว่างรัฐ เศรษฐกจิ ระหว่างประเทศคล้ายคลึงกับเศรษฐกิจภายในประเทศในหวั ข้อที่วา่ มกี าร เกี่ยวข้องกับแบบสถาบันต่างๆท่ีมสี ่วนเกี่ยวกับการแลกเปล่ียนและการหมุนเวยี นของสินค้า การบริการในด้าน ต่างๆ และการเงินระหว่างรัฐ ข้อท่ีแตกต่างก็คือ จะได้กินระหว่างประเทศไม่มีรัฐบาลท่ีมีอานาจหน้าท่ีในการ ตัดสินใจในเรื่องท่ีมีผลต่อเศรษฐกิจระหว่างประเทศทั้งหมด เหมือนอย่างเศรษฐกิจภายในประเทศ ซ่ึงรัฐบาล แตล่ ะประเทศมีอานาจหน้าท่ีแต่ผูเ้ ดยี วในการตัดสินใจในเรอื่ งท่ีเกี่ยวกับเศรษฐกิจทง้ั หมดของประเทศ กลา่ วได้ ว่า การตัดสินใจในเร่ืองเศรษฐกิจระหว่างประเทศเป็นไปในรูปของการกระจายอานาจ (Decentralized Decision-Making) ซ่ึงส่วนใหญ่แล้วอยู่ในหน้าท่ีและความรับผิดชอบของรัฐเดียวหรือหลายรัฐที่ทาร่วมกัน จัดตั้งองค์การระหว่างรัฐบาลหรือสถาบันระหว่างประเทศ หรือกล่าวอีกนัยหนึ่งว่า ไม่มีหน่วยกลางท่ีมีอานาจ หน้าท่ีควบคุมเศรษฐกิจระหว่างประเทศ การตัดสินใจต่างๆในเร่ืองเศรษฐกิจอาจทาได้โดยรัฐเพียงฝ่ายเดียว หรือร่วมกับรัฐอ่ืนๆ ในการตัดสินใจนั้นอาจกระทากันอย่างเป็นทางการโดยอาศัยองค์การระหว่างรัฐบาลเป็น เครื่องมือ หรือโดยการรวมการกระทาฝ่ายเดียวของรัฐต่างๆเข้าด้วยกันอย่างไม่เป็นทางการ การกระทาและ การตัดสินใจที่สาคัญซ่ึงมีผลต่อเสถียรภาพและอนาคตของเศรษฐกิจระหว่างประเทศน้ัน ส่วนมากกระทาโดย รฐั บาลของรัฐแต่เพยี งฝ่ายเดียวตามลาพัง ซ่งึ โดยมากแล้วรัฐบาลนน้ั มักจะยึดสถานการณ์ทางเศรษฐกิจของตน เป็นส่วนประกอบที่สาคัญในการตัดสินใจ ส่วนองค์การระหว่างรัฐน้ันมีหน้าท่ีเพียงแต่ช่วยควบคุมเศรษฐกิจ ระหว่างประเทศเท่าน้ัน ความเคลื่อนไหวในการท่ีจะจัดต้ังองค์การหรือหน่วยงานท่ีทาหน้าท่ีควบคุมเศรษฐกิจ ระหวา่ งประเทศในปัจจุบนั ยังไม่ปรากฏออกมาเปน็ ที่แจ้งชัด เศรษฐกิจระหวา่ งประเทศโดยทว่ั ไปแลว้ เก่ยี วกับ 3 ประเภท คือ ก. ตลาดการค้าระหว่างประเทศ ข. ตลาดการทนุ ระหว่างประเทศและ ค. การเงนิ ตราระหวา่ งประเทศ

ตลาดแต่ละประเภทเกี่ยวข้องกบั ผู้ซ้ือและผู้ขาย ซ่ึงทาการติดต่อค้าขายกันระหว่างประเทศ และราคาท่ี ซื้อขายกันหากมีการกาหนดกันระหว่างผู้ซ้ือและผู้ขาย ซึ่งอาจเป็นบุคคลธรรมดา รัฐบาลหรือองค์การระหว่าง รฐั บาล อย่างไรก็ตาม แม้วา่ ในปัจจุบันจะมีการใช้เทคนิคควบคุมเศรษฐกิจระหว่างประเทศมากข้ึนกว่าแต่ก่อน กต็ าม เศรษฐกิจข้อบงั คับท่ใี ชก้ นั ในตลาดท้งั สามประเภทดงั กลา่ วมายังมไี ม่มากเท่าที่ควร ก. ตลาดการคา้ ระหวา่ งประเทศ(International Trade Market) ตลาดการค้าระหว่างประเทศส่วนมากเป็นการหมุนเวียนแลกเปลี่ยนสินค้าและบริการระหว่างประเทศ และแต่ละประเทศจะได้รับผลประโยชน์และการได้เรียกจากการค้าขายสินค้าระหว่างประเทศ ย่อมขึ้นอยู่กับ การตัดสินใจและการวางนโยบายทางเศรษฐกิจของผู้นาแต่ละประเทศตามปกติแล้วรัฐจะพยามซ้ือสินค้าจาก ต่างประเทศให้นอ้ ยที่สดุ เทา่ ทที่ าได้ และในขณะเดยี วกันก็พยายามท่ีจะขายสินค้าท่ีตนผลิตขน้ึ มาใหไ้ ด้มากทสี่ ุด เท่าที่โอกาสจะอานวย จะเห็นได้ว่า รัฐที่เป็นศัตรูต่อกัน มักจะมีการค้าระหว่างกันน้อยท่ีสุดหรือบางครั้งไม่มี เอาเลย เช่น ประเทศไทยและประเทศจีนแดงในอดีต เป็นต้น ซึ่งตรงกันข้ามกับรัฐท่ีมีสัมพันธ์ไมตรีอันดีต่อกัน มกั จะสง่ เสริมในเรือ่ งน้ีให้มีมากยงิ่ ข้นึ ในระดับการค้าระหว่างประเทศได้มีข้อตกลงทั่วไปว่าด้วยพิกัดอัตราศุลกากรและการค้าหรือท่ีเรียกว่า General Agreement on Trade and Tariffs (GATT) ซึ่งมีจุดมุ่งหมายในการที่จะลดอัตราภาษีของสินค้าขา เข้า และกาลังจัดข้อเข้มงวดอ่ืนๆในการค้าโดยเสรีระหว่างรัฐ ถึงแม้ข้อตกลงดงั กล่าวจะช่วยได้เพียงเลก็ น้อยใน การแนะนาแนวทางให้รัฐลดข้อจากัดเข้มงวดในการค้าขายกันก็ตาม แต่ก็มีผลทาให้การค้าขยายตัวทางการค้า ระหว่างประเทศหลังสงครามโลกคร้ังที่ 2 โดยเฉพาะอย่างย่ิงเป็นพลังกระตุ้นให้มีองค์การในภาคพื้นซึ่งมุ่ง สนับสนุนให้มีการค้าขายระหว่างประเทศโดยเสรี เช่น ไปยุโรป สมาคมการค้ายุโรปโดยเสรีหรือท่ีเรียกว่า European Tree Trade Association (EFTA) ไดย้ กเลิกข้อห้ามต่างๆทางการคา้ ที่ใช้โดยประเทศสมาชกิ อันมี ออสเตรีย เดนมาร์ก นอรเวย์ โปรตุเกส สวีเดน นิวซีแลนด์ ในอังกฤษในขณะเดียวกันประชาคมเศรษฐกิจแห่ง ยุโรปหรือท่ีเรียกกันว่าEmropean Economic Community (EEC) ได้ยกเลิกข้อจากัดต่างๆท่ีสมาชิกชอบใช้ ในการคา้ ขายระหวา่ งกันโดยแนะนาให้ใช้นโยบายพกิ ัดอัตราสศุลกากรรว่ มกัน นอกจากในยโุ รปแล้วในบางแห่ง เช่น ลาตินอเมริกา และแอฟริกา ได้มีความพยายามท่ีจะจัดตั้งองการชนิดต่างๆเพ่ือทาหน้าที่ส่งเสริมการค้า ระหว่างประเทศอยา่ งท่อี งค์การท้ังหลายในยุโรปกระทาอยู่ในขณะน้ี ข. ตลาดการทุนระหวา่ งประเทศ (International Capital Market) ตลาดการทนุ ระหว่างประเทศ เกีย่ วข้องกับการหมนุ เวียนของการลงทุนในต่างประเทศ ในกรณีผู้ซื้อเป็น ผู้อุดหนุนการลงทุนและผู้ขายเป็นผู้ลงทุน การลงทุนของเอกชนในต่างประเทศ ได้กระทากันมาเป็นเวลาช้า นาน ตัวอย่างเช่นชาวอังกฤษได้เข้ามาลงทุนทาการค้าขายในสารัทธ์อเมริกาเป็นจานวนมากในศตวรรษท่ี 19 ในศตวรรษที่ 20 การลงทุนของเอกชนในต่างประเทศได้แพรห่ ลายไปเกอื บทัว่ ทุกมุมโลก กอ่ นสงครามโลกครั้งที่ 2 การลงทุนในต่างประเทศมกั มีความสัมพันธ์เก่ยี วข้องใกล้ชิดกบั ลัทธิอาณานคิ ม ตัวอย่างเช่น ก่อนค.ศ. 1945 นักลงทุนชาวฝร่ังเศส โดยปกติแล้วได้ลงทุนทาการค้าขายในอาณานิคมฝรั่งเศส

ซึง่ อย่แู ถวบรเิ วณเอเชียและแอฟริกาเน่ืองจากระบบอาณานิคมได้สูญสลายตัวไปในระยะหลงั สงครามโลกครง้ั ที่ 2 ความคิดท่ีวา่ ระบบอาณานิคมมาควบคู่ไปกับการลงทุนของคนต่างชาติ ซึ่งเป็นพลเมืองของรฐั ท่มี ีอานาจนิคม ก็ค่อยๆลดลงไป แต่อย่างไรก็ดีนักลงทุนของประเทศท่ีพัฒนาแล้วอย่างลงทุนแสวงหาผลกาไรในรฐั ต่างๆท่ีเคย อยู่ภายใตอ้ าณานคิ มของประเทศตน การลงทุนในต่างประเทศได้กระทาการในลักษณะที่แตกต่างกันออกไป เช่นนักลงทุนบางคร้ังซ้ือสก๊อต และพันธบัตรต่างประเทศในตลาดการค้าระหว่างประเทศ และบ่อยครั้งท่ีธนาคารในประเทศหน่ึงให้เงนิ ยืมแก่ ธนาคาร ผู้ทาธุรกิจในอีกประเทศหน่ึงโดยเรียกดอกเบี้ย ในปัจจุบันบริษัทท่ีมีทุนมหาศาลมักจะแสวงหาการ ลงทุนโดยตั้งโรงงานในต่างประเทศเพ่ือผลิตสินค้าขายออกไม่เพียงภายในประเทศท่ีโรงงานตั้งอยู่เท่าน้ันแต่ยัง ส่งออกไปขายยังต่างประเทศอีกด้วย การหมุนเวียนในเร่ืองการลงทุนการค้าในต่างประเทศไม่ค่อยจะราบรื่น เท่าใดนักถ้าหากมีความกดดันทางการเมืองหรือสภาวะทางเศรษฐกิจของรัฐท่ีได้การลงทุนเข้ามาเก่ียวข้อง ตามปกติแล้วรัฐบาลของประเทศพัฒนาส่วนมากมาจากพยายามส่งเสริมการลงทุนในประเทศท่ีด้อย พัฒนาให้ มากท่ีสุดเท่าท่ีทาได้ เช่น ประเทศพัฒนาท้ังหลาย มีการให้ความช่วยเหลือในด้านการเงินกู้ และการช่วยเหลือ ต่างประเทศในด้านต่างๆแก่ประเทศท่ีด้อยพฒั นาโดยมีข้อแลกเปลี่ยนว่า ประเทศที่ไดร้ ับความช่วยเหลือจะตอ้ ง ป้องกันคุ้มครอง และสนับสนุนประชาชนของตนที่ทาการลงทุนค้าขายเพ่ือเป็นการตอบแทน บ่อยครั้งที่เรา ได้รับความช่วยเหลือได้ใช้นโยบายซึ่งทาให้นักลงทุนต่างประเทศ ไม่กล้าเข้ามาทาการลงทุนค้าขาย เช่น นโยบายเก็บภาษีการลงทุนในอัตราสูง หรือการยึดการทาเนินธุรกิจและการลงทุนของชาติต่างประเทศมาเป็น ของรัฐ (Nationalization) ดังเช่นที่เกิดขึ้นในประเทศยูกันดา ในปีค.ศ. 1972เป็นต้นมีบ่อยครั้งที่ประเทศ พฒั นาแล้วประเทศดอ๋ ยพัฒนาดาเนนิ โยบายซึ่งไม่ไดช้ ่วยในการสนับสนุนการลงทุนของชาวต่างชาติเลย ทัง้ ๆท่ี การลงทุนน้ันก่อให้เกิดผลดีอยา่ งมากในดา้ นเศรษฐกจิ ท้ังนีเ้ ป็นเพราะความเกรงกลัวไปวา่ อิทธพิ ลทางเศรษฐกิจ และการเมอื งภายนอกประเทศจะเข้าครอบงา นอกจากสงครามโลกครั้งที่ 2 สิ้นสุดเป็นต้นมา องค์การระหว่างรัฐบาลทั้งในระดับสากลและในระดับภูมิภาค ไปพัฒนาและขยายตัวในดา้ นให้ความช่วยเหลือในการลงทุน เช่น ธนาคารระหว่างประเทศเพ่ือการบูรณะและ พัฒนาการ (International Bank for Reconstruction and Development) องค์การพัฒ นาระหว่าง ประเทศ(International Development Agency) บางองค์การของสหประชาชาติได้จัดหาเงินและออก ธนบัตรเงินกู้ ให้แก่รัฐท่ีต้องการเงินไปทาการลงทุน นอกจากน้ี องค์การในส่วนภูมิภาคบางองค์การ เล่น ธน าค ารพั ฒ น าอเม ริกั น (Inter-American Develoment Bank) ธน าค ารแอฟ ริกั น พั ฒ น า(African Development Bank) และธนาคารเอเชียพัฒนา(Asian Development Bank) ได้ถูกจัดตั้งขึ้นเพื่อจัดหา เงินทุน ได้แก่ ประเทศที่ด้อยพัฒนา ซ่ึงอยู่ภายในส่วนภูมิภาคท่ีองค์การนั้นมีหน้าท่ีและความรับผิดชอบ สาหรับองค์การระหวา่ งรัฐบาลก็ไดม้ ีการจดั หาเงินทนุ ใหแ้ ก่ประเทศต่างๆซึ่งไมค่ ่อยจะสามารถดึงดูดความสนใจ ของชาวต่างประเทศมาลงทุนในประเทศของตน ประเทศเหล่าน้ันไม่มีหลักประกันในดา้ นการให้ความคุ้มครอง และความปลอดภัยแก่การลงทุนของชาวต่างชาติ ด้วยเหตุดังกล่าวจึงเป็นภาระทางเศรษฐกิจอย่างหน่ึงของ

องค์การระหว่างรัฐบาลท่ีจะต้องรับเอาไว้ และทาหน้าที่ขององค์การระหวา่ งรัฐบาลดังกล่าวจะดาเนินไปตลอด รอดฝ่ังหรือไม่นั้นข้ึนอยู่กับฐานะทางการเงินขององค์การ ซึ่งส่วนใหญ่แล้วได้รับการช่วยเหลือทางด้านการเงิน กับรฐั บาลทีเ่ ป็นสมาชิก ค. ตลาดเงนิ ตราระหว่างประเทศ (International Currency Market) ตลาดเงินตราระหว่างประเทศโดยท่ัวไปถือว่ามีบทบาทสาคัญในตลาดทั้งสองประเภทดังท่ีกล่าวมาข้างต้ การค้าขายโดยการลงทุนระหว่างประเทศก็ดี จะต้องอาศัยตลาดเงินตราต่างประเทศเป็นตัวกาหนดในเรื่อง ราคา ซ่ึงอาจจะข้ึนข้ึนๆลงๆตามความผันแปรของตลาดเงินตราต่างประเทศ ในการค้าขายระหว่างรัฐ รัฐบาล หรือประชาชนไม่สามารถใช้วิธีการแลกเปล่ียนสิ่งของต่อกันเหมือนอย่างท่ีได้กระทากันมาในสมัยดึกดาบรรพ์ ค้าระหว่างรัฐในสมัยใหม่เกี่ยวข้องกับการซ้ือขายแลกเปล่ียนสินค้า พร้อมกับการแลกเปลี่ยนเงินตราเพ่ือชาระ หนี้ เงินตราที่ใช้ในการค้าขายระหว่างรัฐต้องมีสภาพมันคงไม่เปลี่ยนแปลงไปง่ายๆ ในการค้าระหว่างประเทศ ตามปกติแล้วเงินตราของผู้ซื้อและผู้ขายมักจะแตกต่างกัน เช่น เงินตราของสหรัฐอเมริกาในรูป ดอลลาร์ แตกต่างกับเงินตราของไทยในราคา 1 บาทอย่างมาก ปัจจุบันรัฐฐบาลและตัวแทนจาหน่ายเงินตรา ถือว่า เงินดอลล่าร์เป็นเงินตราระหว่างประเทศที่มีความม่ันคง แต่อย่างไรก็ตาม ถ้าเงินดอลล่าร์และเงินปอนด์ของ อังกฤษซ่ึงมีค่าเท่ากับทองคาได้มีความม่ันคงน้อยลง ในระหว่างปีค.ศ. 1960 เงินตราท้ัง 2 ประเภทนี้ยังคงถูก ใช้แทนทองคาในตลาดเงินตราต่างประเทศ สรุปได้ว่า ตลาดเงินตราต่างประเทศเป็นตัวท่ีกาหนดราคาของ สินค้า โดยพิจารณาถึงปริมาณการผลิตของสินค้า และความต้องการของประชาชน และราคาสินค้าจะสูงหรือ ตา่ ข้ึนอยู่กบั แนวโน้มเอียงระหว่างปริมาณการผลติ สินค้า และความต้องการในท้องตลาด และการทราบการขึ้น ลงในค่าของเงินตราล่วงหน้าบางครั้งอาจศึกษาได้จากการทานายล่วงหน้าของผู้ทานาย ซึ่งอาจเป็นประชาชน ธรรมดาหรอื องคก์ ารระหวา่ งประเทศ เช่น กองเงนิ ทนุ ระหวา่ งประเทศ จากขอ้ ความท่ีไดก้ ล่าวมาขา้ งตน้ อาจสรุปได้วา่ ตลาดการค้าระหวา่ งประเทศ จัดการทนุ ระหว่างประเทศ และตลาดเงินตราระหว่างประเทศตลอดจนกิจกรรมต่างๆที่กระทาโดยองค์การระหว่างรัฐบาลและรัฐ เป็น ปัจจัยท่ีก่อให้เกิดเศรษฐกิจระหว่างประเทศซึ่งถือว่าเป็นสิ่งแวดล้อมระหว่างประเทศอย่างหน่ึงท่ีมีอิทธิพลต่อ ปฏิกริ ิยาหรือการกระทาระหว่างประเทศ ในปัจจุบันน้ีประเทศท่ีพัฒนา เช่น ต่างๆในยุโรป เช่น สหรัฐอเมริกา และญ่ีปุ่นมีบทบาทอย่างมากในตลาดทั้ง 3 ประเภท เศรษฐกิจของประเทศพัฒนาเหล่านี้ส่วนใหญ่ขึ้นอยู่กับ การค้าขายและการลงทุนในต่างประเทศ สาหรับประเทศพัฒนาในกลุ่มคอมมิวนิสต์ เช่น สหภาพโซเวียต โดยมากเกี่ยวข้องในตลาดการค้าและไม่ค่อยมีบทบาทในเร่ืองตลาดเงินตราระหว่างประเทศเท่าใดนัก เพราะ ไม่ได้เป็นสมาชิกของกองเงินทุนต่างประเทศ หรือธนาคารระหว่างประเทศเพ่ือการบูรณะและการพัฒนา (International Bank for Reconstruction and Development or IBRD) โดยเฉพาะอย่างยิ่งกองเงินทุน ตา่ งประเทศท่ีทาหน้าที่ในการรักษาดแู ลตลาดเงนิ ตราระหว่างประเทศให้มั่นคง ในด้านตลาดการลงทนุ ระหวา่ ง ประเทศในกลุ่มคอมมิวนิสต์ได้ยอมรับนักธุรกิจท่ีมาจากรัฐที่ไม่ใช่คอมมิวนิสต์ให้เข้ามาลงทุนภายในประเทศ ของตน โดยวางข้อจากัดควบคุมไว้ ส่วนประเทศท่ีด้อยพัฒนาโดยมากแล้วมักไม่ได้ประโยชน์อะไรมากนักจาก

ตลาดท้ัง 3 ประเภท เพราะว่าความต้องการสินค้าจากต่างประเทศมีมากจนกระท่ังไม่คานึงถึงว่าตนมีเงินที่จะ พอใจหรือไม่จึงทาให้ตกอยู่ใน ฐานะท่ีต้องการสินค้าจากต่างประเทศมากกว่าท่ีจะสนใจส่งสินค้าไปขายยัง ต่างประเทศ รัฐเหล่าน้ีตามปกติแล้วอยู่ในฐานะผู้ซื้อมากกว่าผู้ขาย และมักไม่ค่อยมีการลงทุนในต่างประเทศ เพราะว่าทรัพยากรที่ใช้ในการลงทุนโดยเฉพาะอย่างย่ิงเงินตรามีจานวนจากัด ประชาชนมีรายได้ไม่เพียง พอท่ีจะเหลือไว้เพื่อการลงทุนในต่างประเทศ แม้แต่การลงทุนภายในประเทศเองก็ยังมีจานวนน้อย การมี จุดอ่อนในเรื่องการค้าและการลงทุนดังกล่าว ทาให้รัฐท่ีด้อยพัฒนามีส่วนร่วมอย่างน้อยมากใน นอกจากนี้ เศรษฐกิจภายในของรัฐท่ีด้อยพัฒนาไม่คงท่ีมีการข้ึนๆลงๆหาความแน่นอนไม่ได้ โดยเหตุนี้ดังกล่าวจึงทาให้ค่า ของเงนิ ตราของรฐั เหลา่ นีไ้ ม่มคี วามม่นั คงและแน่นอนในตลาดเงินตราต่างประเทศ ระบบเศรษฐกิจระหว่างประเทศ ก่อให้เกิดการแบ่งฉันระหวา่ งรัฐ ดารัตน์พัฒนาท่ีไม่ใช่คอมมิวนิสต์ก็ถือ ว่าเป็นรัฐชั้นสูง ซ่ึงส่วนใหญ่เป็นเจ้าของและควบคุมแหล่งผลิตต่างๆ(Productive Resources) เป็นเจ้าหนี้ เงินกู้ และเป็นผู้วางกฎเกณฑ์เกี่ยวกับตลาดเงินโดยอาศัยการควบคุมกองเงินทุนระหว่างประเทศ รบั ท่ีดอยตนา ถือว่าเป็นรัฐต่ารองลงมารัฐเหล่านี้ส่วนมากต้องอาศัยการช่วยเหลือทางด้านการลงทุนและการช่วยเหลือทาง เศรษฐกิจจากต่างประเทศ วัดเค้ามีเน็ตมีฐานะระหว่างรัฐชนช้ันสูงและนัดฉันต่า หรืออาจเรียกว่าเป็นรัฐชั้น กลาง ร้ฐแห่งน้ีถึงแม้จะมีความสามารถอย่างสูงและมีเงินทุนซึ่งสามารถใช้ในการลงทุนได้อย่างเพียงพอ แต่ก็ ไม่ใช่เจ้าหนี้เงินกู้ต่างประเทศท่ีสาคัญเหมือนอย่างรัฐมหาอานาจฝ่ายตะวันตก นอกจากนี้ยังไม่มีส่วนในการ ควบคุมสถาบันทางการเงนิ ระหว่างประเทศเหมือนอยา่ งเช่นรฐั พัฒนาตะวนั ตก ถงึ แมว้ ่าองค์การระหว่างรัฐบาล ถูกจัดตั้ง และได้รับความช่วยเหลือทางการเงินโดยรฐั ท่ีมั่นคง เพอื่ มุ่งช่วยเหลือรัฐที่ยากจนในเร่ืองบางประการ ก็ตาม รักที่ยากจนก็หามมีความพึงพอใจไม่ โดยเฉพาะอย่างยิ่งในกรณีท่ีจาต้องยอมโอนอ่อนผ่อนตามในเรื่อง การค้าแกป่ ระเทศพฒั นา เพ่ือขจัดความไม่พอใจใจดังกลา่ วจึงได้มีการก่อตง้ั คณะกรรมการเพอื่ การค้า และการ พัฒนาของสหประชาชาติ หรือที่เรียกว่าUnited Nations Committee for Trade and Development (UNCTAD) โดยมีชาติท่ีม่ันคงเป็นสมาชิก และถูกควบคุมโดยชัดเจนไม่ร่ารวย อย่างไรก็ตาม UNCTAD ใน ปจั จุบนั ไม่ประสบความสาเรจ็ มากนกั ในการสรา้ งความพึงพอใจให้แก่สมาชิกท่ีมีฐานะไมม่ ั่นคง ประเทศสมาชิก ท่มี ่ันคงมากใช้การช่วยเหลือและการค้าเป็นเคร่ืองมือในการแสวงหาผลประโยชน์ทางการเมือง สั่งตอ่ ความขุ่น เคืองจากประเทศท่ียากจนอย่างมาก เพื่อขจัดความไม่พอใจของรัฐที่ยากจนดังกล่าว สารัทธ์อเมริกาและโซ เวยี ตไดพ้ ยายามรว่ มมอื กนั สรา้ งทศั นคติท่ีดีใหแ้ กร่ ฐั ท่ยี ากจนในแง่ท่ีว่าความช่วยเหลอื ต่างประเทศและการชาติ มหาอานาจ ไม่จาเป็นจะต้องมีข้อผูกพันทางการเมือง อันทาให้ชาที่ยากจนต้องเสียผลประโยชน์ทางการเมือง เสมอไป การจะเสียผลประโยชน์ทางการเมืองหรอื ไม่นัน้ ข้ึนอยกู่ ับการตดั สินใจของผู้นาของรฐั ท่ียากจนมากกว่า ที่จะโทษแต่ข้างเดียวว่าประเทศมหาอานาจมักแสวงหาผลประโยชน์ทางการเมืองจากรัฐที่ยากจนกว่า โดย อาศัยการชว่ ยเหลอื และการคา้ เปน็ เครือ่ งมือ อาจสรุปไดว้ ่า เศรษฐกจิ ระหว่างประเทศและการเมอื งระหว่างประเทศมีผลกระทบกระเทือนซ่ึงกันและ กัน ซึง่ มลี ักษณะเดียวกับความเกยี่ วข้องผูกพันกนั ระหว่างเศรษฐกิจกบั การเมืองภายในประเทศ ในปัจจุบันไม่มี

สถาบันหรือองค์การกลางทาหน้าที่ควบคุมหรือดาเนินงานสะกิดระหว่างประเทศ มีแต่ชาติท่ีร่ารวยเท่าน้ัน ท่ี ดาเนนิ กจิ การทเี่ กี่ยวขอ้ งกับเศรษฐกิจระหว่างประเทศโดยมุ่งแต่จะกอบโกยผลประโยชนข์ องตนเปน็ ทสี่ าคญั 1.5 กฎหมายระหวา่ งประเทศ (International Law) กฎหมายระหว่างประเทศเป็นองค์ประกอบอันสุดท้ายที่สาคัญของส่ิงแวดล้อมระหว่างประเทศ ท่ีมี อิทธิพลต่อปฏิกิริยาท่ีเกิดข้ึนระหว่างรัฐ เพราะเป็นปัจจัยซ่ึงเก่ียวข้องกับสถาบันและกฎเกณฑ์ท่ีมุ่งจัดระเบียบ พฤติกรรมของรัฐและองค์การระหว่างประเทศเป็นส่วนใหญ่ เน่ืองจากไม่มีสถาบันกลางหรือองค์การระหว่าง ประเทศ ทาหน้าท่ีเกยี่ วกับกระบวนการในการบัญญัตกิ ฎหมายและบญั ชาตามกฏหมายระหวา่ งประเทศ นัดจึง ต้องทาหน้าท่นี ี้แทน ซ่งึ บางครง้ั อาจกระทาตามลาพงั โดยฝ่ายเดียวหรือร่วมมือกบั รฐั อนื่ ๆดังนั้น กระบวนการใน การเก่ียวกับการใช้และการบังคับกฎหมายระหว่างประเทศของรัฐเดียวหรือหลายรัฐ จึงเป็นส่ิงแวดล้อมท่ีมี อทิ ธพิ ลต่อปฏิกรรม และปฏิกริ ิยาโต้ตอบระหว่างรัฐเนื่องจากกฎหมายระหว่างประเทศไม่ได้บัญญัติขึ้น หรือใช้ โดยสถาบันกลางเเต่เพียงผูเ้ ดยี ว จึงทาให้เกิดความแตกตา่ งในเรื่องตัวบทหรือเน้ือหาของกฎหมาย หรอื ในเร่ือง การใช้กฎหมายบังคับ เช่น ตัวบทกฏหมายระหว่างประเทศบางบทถือน่านน้าของรัฐห่างจากใช้ฟัง 3 ไมล์บาง บทถือ 6 ไมล์หรือ 7 ไมล์เป็นต้น นอกจากนี้แล้วกฎหมายระหว่างประเทศไม่มีอานาจบังคับได้ผลเต็มท่ี จึงทา ให้สามารถกล่าวได้ว่าอิทธิพลของกฎหมายระหว่างประเทศท่ีมีต่อปฏิกิริยาและพฤติกรรมที่เกิดขึ้นระหว่าง ประเทศอยู่ในระดับคอ่ นขา้ งต่า 2.ปฎกิ ริ ยิ าระหวา่ งประเทศทเ่ี กดิ ขึน้ เปน็ ประจา 2.1ลักษณะทั่วไป ปฏิกิริยาท่ีมีต่อกันระหว่างประเทศที่ถูกนามาพิจารณาใน ณ ท่ีนี้ ได้แก่ ปฏิกิริยาระหว่างประเทศซ่ึง เกดิ ข้ึนเปน็ ประจา อย่างเป็นทางการ (Routine Official Interraction) ปฏิกิริยาที่เกิดขน้ึ เป็นประจาอย่างเป็น ทางการนีอ้ าจเกิดขึ้นระหว่างประเทศที่เป็นมิตรต่อกนั หรือระหวา่ งประเทศที่เป็นศัตรูต่อกันก็ได้ เช่น ปฏิกิริยา ทจี่ ีนคอมมิวนิสต์ไม่ยอมติดตอ่ เกี่ยวข้องกับ สหรัฐอเมริกา ก่อนหน้าน้ีจะถูกยอมรับเข้าเป็นสมาชกิ ขององค์การ สหประชาชาติ ปฏิกิริยาดังกล่าว หรือว่าเกิดขึ้นระหว่างประเทศที่เป็นศัตรูกัน หลังจากท่ีจีนแดงได้เป็นสมาชิก ขององค์การสหประชาชาติ ประเทศท้ังสองกส็ ร้างสัมพันธ์ไมตรอี ันดีตอ่ กนั มีท่าทีเป็นมิตรต่อกันมากขึ้นกว่าแต่ ก่อน 2.2 การพฒั นาของปฏกิ ิรยิ าระหวา่ งประเทศ ปฏิกิริยาท่ีมีต่อกันระหว่างประเทศ ไม่ว่าจะเป็นมิตรหรือศัตรูซ่ึงเกิดข้ึนเป็นประจา มีการพัฒนาอยู่สอง ระยะ ระยะแรก ก่อนศตวรรษท่ี 20 ปฏิกิริยาระหว่างประเทศ ซึ่งเกิดขึ้นเป็นประจาถือว่าเป็นพฤติกรรมที่ ยึดถือขนบธรรมเนียมประเพณีเป็นหลัก ซ่ึงอีกในหน่ึงก็คือปฏิกิริยาระหว่างประเทศ ซ่ึงเกิดข้ึนเป็นประจานะ พฒั นามาจากขนบธรรมเนียมประเพณที ่ยี ึดถือปฏบิ ตั ิกนั มาช้านาน

ระยะที่สอง ปฏิกิริยาของประเทศที่มีต่อกันในศตวรรษท่ี 20 ส่วนใหญ่แล้วยึดถือกฎเกณฑ์ท่ีได้ตกลงกัน ไว้ เช่น สนธิสัญญาซึ่งประเทศคู่สัญญาทาข้ึนน้ัน เป็นตัวกาหนดพฤติกรรมของประเทศทลี่ งนามในสนธิสัญญา ว่าจะตอ้ งปฏิบัติ หรือมปี ฏิกริ ยิ าอย่างไร ถา้ หากมีเหตุการณ์อยา่ งหนึ่งอย่างใดเกดิ ขึ้น ปฏิกิริยาระหว่างประเทศในระยะที่สองน้ี ต้องอาศัยความตกลงซึ่งกันและกนั ระหวา่ งประเทศเป็นสาคัญ ปัจจุบันประเทศทั้งหลายเห็นความจาเป็นในการกาหนดปฏิกิริยาระหว่างประเทศซึ่งเกิดข้ึนเป็นประจาให้มี ลกั ษณะเป็นทางการโดยจัดให้มีขอ้ ตกลงอย่างชัดเจนในรูปแบบของสนธิสญั ญาระหว่างประเทศซึ่งเป็นข้อความ ที่มีความจัดเจนมากกว่าข้อตกลงที่อาศัยขนบธรรมเนียม เพราะฉะน้ันส่วนท่ีสัญญาอย่างเป็นทางการและ จานวนขององค์การระหว่างประเทศจึงมีจานวนเพ่ิมข้ึนมากกว่าแต่ก่อน นอกจากน้ีแล้วข้อตกลงระหว่าง ประเทศอย่างไม่เป็นทางการ (Infotmal Agreements) ก็พลอยเพิ่มขึ้นเป็นเงาตามตัวได้ด้วย นอกจาก ปฏิกิริยาของประเทศดังกล่าวเป็นประเทศส่วนมากยังหันหน้าเข้าหากันเพ่ือเจรจาตกลงในปัญหาที่สนธิสัญญา หรือข้อตกลงท่ีไม่สามารถจะแก้ไขได้ อย่างไรก็ตามปฏิกิริยาของประเทศท่ีมีต่อกันอาจเปลี่ยนแปลงได้ ในกรณี ท่ีมีการเปลี่ยนแปลงในนโยบายตัวอย่างเช่น การตัดสินใจของรัฐบาลเยอรมันตะวันออกท่ีอนุญาตให้ประชาชน ในเยอรมันตะวันตกมาเยี่ยมญาติพ่นี ้องในเยอรมนั ตะวนั ออกได้ ทาให้การเปลี่ยนแปลงในปฏิกิรยิ าของประเทศ เยอรมันตะวันออกที่มีต่อประเทศเยอรมันตะวันตก ในกรณีน้ีย่อมเป็นที่เข้าใจอย่างแจ่มแจ้งว่า การ เปล่ียนแปลงใดเกิดขึ้นในนโยบายต่างประเทศของประเทศเยอรมันตะวันออก กล่าวได้วา่ นโยบายต่างประเทศ เป็นตัวกาหนดวิถีทางของปฏิกิริยาท่ีรัฐมีต่อกันและปฏิกิริยาท่ีประเทศมีต่อกันอาจใช้เป็นเครื่องวัดถึงลักษณะ ของนโยบายต่างประเทศทีใ่ ชป้ ฏบิ ัตติ ่อกัน นอกจากนแ้ี ลว้ การเปล่ียนแปลงในปฏกิ ิริยาท่ีรัฐมีต่อกัน อาจเกิดขึ้น ได้จากการท่ีสภาวะแวดล้อมธรรมชาติของรฐั เปล่ียนแปลงไป ตัวอย่างเชน่ สมมตุ ิว่าประเทศ AและประเทศบB ได้ตกลงให้ประชาชนของตนมีส่วนจับปลาด้วยกันในทะเลสาบ ต่อมาปลาในทะเลสาบรถน้อยลงไป จึงทาให้ เกดิ ความจาเป็นท่ีจะตอ้ งมีการตกลงเพ่ิมเติมในการสงวนพันธ์ุปลา การตกลงเพิ่มเติมนั้นยังเปน็ ท่ีแน่ชัดว่า เป็น ข้อตกลงระหว่างประเทศซ่ึงมีนโยบายนอกเหนือไปจากนโยบายที่ทั้งสองประเทศใช้ปฏิบัติต่อกัน และเป็น ขอ้ ตกลงทที่ าให้เกิดปฏิกิรยิ าระหว่างประเทศAและประเทศBที่มีต่อกันแต่เดิมเปลยี่ นแปลงไป 2.3 ปจั จัยทีก่ ระตนุ้ ใหม้ ปี ฏกิ ิรยิ าระหว่างประเทศเกิดขึน้ ประจา ก. บทบาทของกฎหมายระหว่างประเทศ (The Role Of International Law) วิลเลียม ดี คอฟปลิน (Walliam D.Coplin) ได้กล่าวว่า กฎหมายช่วยให้ปฏิกิริยาระหว่างประเทศ เกิดข้ึนเป็นประจาอยู่หลายด้านด้วยกัน เช่น ช่วยวางกฎเกณฑ์ท่ีเก่ียวกับการหมุนเวียนของประชาชนระหว่าง ประเทศเพ่ือช่วยให้มีความสะดวกสบายและปลอดภัยในเร่ืองการเดินทางในอากาศและบนดนิ โดยอาศัยความ ร่วมมือขององค์การระหว่างประเทศ เช่น องค์การการบินพลเรือนระหว่างประเทศ (International Civil Aviation Organization or ICAO) เป็นต้น ช่วยกาหนดกฏเกณฑ์ท่ีควบคุมและคุ้มครองการเดินทางไปมา ระหว่างประเทศ รวมทั้งการควบคุมคนต่างด้าวท่ีอาศัยอยู่ในดินแดนต่างประเทศ ช่วยคุ้มครองการลงทุนใน ต่างประเทศ และประการสดุ ทา้ ยเชอื่ วา่ กฏตา่ งๆเกีย่ วกับการแลกเปลีย่ นขา้ ราชการของรัฐบาลระหว่างประเทศ

เช่น การแลกเปล่ียนคณะทูต การคุ้มกันทางการทูต เป็นต้น อาจสรุปได้ว่า ส่วนบ้านของกฎหมายระหว่าง ประเทศดังกล่าวไม่เกี่ยวแต่ช่วยสนับสนุนให้มีปฏิกิริยาเกิดขึ้นเป็นประจาระหว่างประเทศ แต่ยังช่วยจัด ปฏิกิริยาระหว่างประเทศให้มีความเป็นระเบียบเรียบร้อย ซึ่งเป็นการป้องกันไม่ให้เกิดปัญหาระหว่างประเทศ ขนึ้ ข. บทบาทของคณะทตู (The Role of The Diplomatic Mission) เป็นที่ยอมรับกันโดยท่ัวไปว่า คณะทูตมีบทบาทในการช่วยทาให้ปฏิกิริยาระหว่างประเทศ เกิดข้ึนเป็น ประจาเท่าที่จะเป็นไปได้ เช่น บทบาทในการรวบรวมขา่ วสารอันมีผลต่อความสัมพันธร์ ะหว่างประเทศที่มีการ ทตู ต่อกัน และบทบาทในการจดั การเก่ียวกับคาร้องและคารอ้ งขอ ซึ่งอาจคุกคามตอ่ ปฏิกิริยาระหว่างรัฐที่มีอยู่ เป็นประจา เมื่อไดคณะทูตไม่สามารถจัดการกับคาร้องทุกข์ของรัฐท่ีตนประจาอยู่ ปฏิกิริยาระหว่างประเทศ และคณะทูต และประเทศที่คณะทูตประจาอยู่อาจเปลี่ยนแปลงไป หรือสะดุดหยุดลงจนกลายเป็นความตึง เครียดระหว่างประเทศ อาจกล่าวได้ว่าคณะทูตมีภาระและหน้าท่ีในการป้องกันดูแลไม่ให้ปฏิกิริยาท่ีดีอันมีต่อ กันระหว่างประเทศ ต้องถูกทาลายลงไปโดยสภาวะและส่ิงแวดล้อมระหว่างประเทศ ขนาดผู้มีหน้าที่ในการ เจรจา (Negotiation) การต่อรอง(Bargaining) หรือรว่ มมือกับประเทศอืน่ เพ่อื แก้ไขปัญหาที่เกิดข้ึน นอกจากน้ี ขนาดพูดยงั เป็นผทู้ ค่ี อยสอดสอ่ งดแู ลนโยบายต่างประเทศของตนใหด้ าเนนิ ไปตามจดุ มุง่ หมายท่ตี นไดว้ างไว้ 3.แบบของปฏกิ ริ ิยาทตี่ ัดมตี ่อกนั เปน็ ประจา ทุกวันนี้ปฏิกิริยาท่ีท่านมีต่อกันเป็นประจามีอยู่หลายแบบด้วยกัน แต่ละแบบมีลักษณะแตกต่างกัน ออกไปที่ทาให้เกิดความแตกต่างกันในแบบ ของปฏิกิริยาที่รักมีต่อกันนั้นสืบเนื่องมาจากลักษณะการเป็นมิตร หรอื การเป็นศัตรูระหวา่ งรัฐ การเปน็ มติ รหรือการเปน็ ศัตรูไม่ได้เปน็ อปุ สรรคขัดขวางมีใหร้ ัฐมปี ฏกิ ิริยาต่อกันแต่ อย่างใดเลย ตัวอย่างเช่น สหรัฐอเมริกามีปฏิกิริยาต่อโซเวียต (ผู้ปรปักษ์ในสงครามเย็น) และอังกฤษอยู่เป็น ประจาในเร่ืองการท่องเที่ยว ถึงแม้ว่าจานวนนักท่องเท่ียวจากสหรัฐอเมริกาไปยังทั้งสองประเทศ และจาก ประเทศทั้งสองมายังสหรฐั จะมีขนาดแตกต่างกนั มากก็ตาม หากกล่าวไดว้ ่าระดบั ความแตกต่างในเรื่องการเป็น มิตรและการเป็นศัตรูระหว่างรัฐ เป็นปัจจัยสาคัญท่ีทาให้ปฏิกิริยาท่ีรัฐมีต่อกันมีลักษณะแตกต่างกันไปคนละ แบบ เห็นได้ว่ารฐั ท่ีเป็นมิตรต่อกนั มักมีความเกยี่ วข้องซึ่งกันและกันมากกว่ารักที่เปน็ ศัตรูกัน ความเก่ียวข้องซึ่ง กันและกันจะมากหรือน้อยอาจวัดได้จากจานวนของคณะทูตหรือข้าราชการฝ่ายต่างประเทศที่แต่ละรัฐส่งไป ประจาอยู่ท่ีรัฐอื่น หรือการเดินทางส่วนตัวของนักการทูต ตัวอย่างเช่นในปีค.ศ. 1968 สารัทธ์อเมริกาได้ส่ง เจ้าหน้าที่ฝ่ายต่างประเทศของตนไปประจาที่ประเทศอังกฤษเป็นจานวนมากถึง 161 คนและในปีเดียวกัน สหรัฐอเมริกาได้ส่งเจ้าหน้าท่ีไปประจาท่ีสาภาพโซเวียตเป็นจานวน 65 คนซ่ึงน้อยกว่าเจ้าหน้าท่ีที่ต้นส่ งไป ประจาทปี่ ระเทศองั กฤษ ดังนั้นอาจกล่าวได้ว่าความสัมพันธ์อย่างฉันมิตรระหว่างสหรัฐอเมริกาและอังกฤษมีระดับสูงกว่า ความสัมพันธ์ระหว่างสหรัฐอเมริกากับโซเวียต นอกจากนี้แล้วรัฐท่ีเป็นมิตรต่อกันมักมีการร่วมมือทางด้าน

ทหารมากกว่ารัฐที่เป็นศัตรูกัน เช่น มีการเปล่ียนเจ้าหน้าท่ีทางการทหาร หรือทาสนธิสัญญาทางการทหาร รว่ มกนั เปน็ ตน้ นอกเหนือไปจากการเป็นมิตรและการเป็นศัตรูของรัฐ ยังมีปัจจัยอ่ืนๆที่เป็นตัวทาให้รัฐมีการเกี่ยวข้อง ตอ่ กันในแบบต่างๆกนั เชน่ ทต่ี งั้ ทางภมู ศิ าสตร์ สมั พันธภาพทางเศรษฐกจิ และความผกู พนั ทางประวตั ศิ าสตร์ ก. ท่ีต้งั ทางภูมศิ าสตร์ มสี ่วนสาคัญอย่างมากในการทาให้รัฐตอ้ งเก่ยี วข้องซงึ่ กันและกัน เช่น รฐั ท่ีมีพรมแดนหรอื นา่ นน้ารว่ มกัน มักจะเกยี่ วข้องซ่งึ กันและกนั เป็นประจา โดยอาจมขี ้อตกลงหรือสนธสิ ัญญาควบคมุ ปฏกิ ิริยาและความสัมพนั ธ์ที่ ดีต่อกัน แม้แต่รัฐที่เป็นปฏิปักษ์ต่อกัน เช่น ประเทศเยอรมันตะวันตก และประเทศเยอรมันตะวันออก ยัง จาเป็นต้องเก่ียวข้องมีความสัมพันธ์ติดต่อกันเป็นประจา เพราะท้ังสองประเทศมีพรมแดนติดต่อร่วมกัน NOT ที่มีท่ีตั้งทางภูมิศาสตร์ไม่ติดต่อกันหรือร่วมกันความสัมพันธ์หรือการเก่ียวข้องกันอย่างใกล้ชิดมาก ไม่ค่อยจะ ปรากฏ ข.ความสมั พนั ธภาพทางเศรษฐกจิ ระหวา่ งรฐั มีส่วนช่วยทาให้รัฐมีปฏิกิริยาต่อกันในลักษณะที่แตกต่างกัน การที่เราทาการค้าขายการทาให้รัฐ จาเป็นต้องกาหนดนโยบายซ่ึงจะนาไปสู่ความเจริญก้าวหน้าทางการค้าโดยให้มีปัญหาน้อยท่ีสุด นอกจากน้ีรัฐ จะต้องอาศัยเคร่ืองมือต่างๆเพ่ือเป็นส่ือให้สภาวะทางเศรษฐกิจระหว่างรัฐดาเนินไปด้วยดี ตัวอย่างเช่น รัฐท่ี ด้อยพัฒนาใช้คณะทูตเป็นเคร่ืองมือในการชักจูงให้ประเทศพัฒนา ทาการลงทุนในประเทศของตนหรือเป็น เครอื่ งมือในการเจรจาหาทางใหก้ บั สนิ ค้าออกของตน ซ่งึ เปน็ การพัฒนาเศรษฐกิจของรัฐอกี ทางหน่งึ ค. ความผกู พนั ทางประวตั ิศาสตร์ทีร่ ัฐมตี อ่ กนั มีส่วนช่วยให้รัฐบาลมีความสัมพันธ์เก่ียวข้องต่อกัน ตัวอย่างเช่น ความผูกพันทางอาณานิคมในอดีตทา ให้รัฐท่ีเคยตกอยู่ภายใต้อาณานิคมของอังกฤษและฝร่ังเศสมีความสัมพันธ์เกี่ยวข้องเป็นประจาประเทศ มหาอานาจทง้ั สอง ความเก่ยี วข้องตอ่ กันนั้นอาจเป็นไปในรูปทางด้านการค้า การช่วยเหลือทางด้านทหาร และ เศรษฐกจิ การแลกเปลี่ยนผูแ้ ทนทางการทตู เป็นตน้ ปัจจัยท่ีนอกเหนือไปจากท่ีกล่าวมา ซ่ึงทาให้ปริมาณของการติดต่อของรัฐแตกต่างกันออกไปก็คือ ทรัพยากรทางเศรษฐกิจซ่ึงรัฐมีอยู่ เห็นได้ว่าบางรัฐยากจน บางรัฐก็ร่ารวย ซึ่งท้ังน้ีขึ้นอยู่ว่ารัฐมีทรัพยากรทาง เศรษฐกิจมากน้อยขนาดไหนมีหลายรัฐท่ีไม่สามารถต้ังสถานทูตไปในประเทศต่างๆท่ัวโลกได้ เพราะเนื่องจาก ตอ้ งใช้เงินเป็นจานวนมาก นายแอลเกอร์เเละบรัมส์ ว่ามี 50 ชาติที่ส่งผู้แทนทางการทูตของตนไปประจาเพียง 50 ถึง 59 ประเทศเท่านั้นนอกจากนี้บางประเทศใช้นักการทูตของตนทาหน้าที่เป็นผู้แทนในทางการพูด มากกว่าหน่ึงประเทศข้ึนไป ทั้งน้ีเพ่ือประหยัดค่าใช้จ่ายหรือบางคร้ังใช้ข้าราชการของรัฐอื่นทาหน้าที่แทนตน เชน่ ประเทศในแอฟรกิ าหลายประเทศได้ใชอ้ ัครราชทูตอเมริกันทาหน้าที่เป็นผู้แทนตนในองการสหประชาชาติ ดงั นน้ั ปรมิ าณของการเก่ียวขอ้ งระหว่างรัฐในรปู ของการทตู หรอื ผูแ้ ทนจะมีมากน้อยเพียงใดขึน้ อยู่กับฐานะทาง เศรษฐกิจของรัฐ เนื่องจากการเกี่ยวข้องกันระหว่างรัฐในรูปของการรัฐต้องใช้จ่ายอย่างสูง รักจึงได้หาทางออก

โดยจัดตั้งองค์การระหว่างรัฐข้ึนมาเพื่อรัจะได้ส่งผู้แทนของตนไปทาหน้าท่ีชั่วคราวในกรณีท่ีมีปัญหาหรือ เร่ืองราวท่ีตอ้ งหารอื รว่ มกันซงึ่ เปน็ การประหยดั คา่ ใช้จ่ายไดด้ ีกว่าทส่ี ่งพนักพูดไปทาหนา้ ที่ดังกล่าว

บทที่ 3 การต่อรองระหวา่ งประเทศ การตอ่ รองระหว่างประเทศ (International Bargaining) หรอื การต่อรองระหวา่ งรฐั ไดแ้ ก่ กระบวนการ (Process) ที่รักสองรัฐหรือมากกว่านั้นขึ้นไปพยายามใช้อิทธิพลต่อกันเพ่ือให้จุดประสงค์ที่ตนมุ่งไว้บรรลุผลซ่ึง ความสาเร็จ การต่อรองระหว่างรัฐมักเกิดขึ้นในกรณีท่ีรัฐสองรัฐ หรือมากกว่านั้นขึ้นไปมีข้อขัดแย้งกันในเรื่อง หรือปญั หาบางประการซึ่งอาจจะตกลงกันได้โดยใช้วิธีการต่อรองเพื่อทาความเข้าใจในเร่ืองการต่อรองระหว่าง รัฐว่ามีกระบวนการอย่างไร สภาวะท่ีแวดล้อมการต่อรองระหว่างประเทศและวิธีการต่างๆที่รัฐนามาใช้ในการ ต่อรองจะถูกนามาพิจารณาเป็นลาดบั 1.สภาวะทีแ่ วดลอ้ มการต่อรองระหวา่ งรัฐ สภาพทางเศรษฐกิจ สังคม กดหมาย เป็นปัจจัยที่แวดล้อมและมีอิทธิพลต่อการต่อรองระหว่างรัฐ สภาพแวดล้อมดังกล่าวแตกต่างกับสภาพทางเศรษฐกิจ สังคมและกฎหมายภายในรัฐ ซ่ึงมีอิทธิพลต่อ พฤติกรรมของผู้ซ้ือและผู้ขายที่ทาการต่อรองกนั ในเรือ่ งราคา ในสถานการณ์ของการต่อรองภายในรฐั ผู้ซอ้ื และ ผู้ขายมุ่งแต่ประเด็นในเร่ืองราคาของท่ีจะซื้อขายกัน แต่ในสถานการณ์ของการต่อรองระหว่างรัฐเร่ืองหรือ ปัญหาที่รักต่อรองการไม่ระบุค่าหรือราคาไว้เหมือนอย่างการต่อรองภายในรัฐ ดังน้ัน การต่อรองระหว่างรัฐจึง เป็นเร่ืองยุ่งยากและสลับซับซ้อนมากกว่าการต่อรองแบบธรรมดาภายในรัฐเพราะมีเรื่องการเมืองอิทธิพลของ สิ่งแวดล้อมเข้ามาเก่ียวข้องด้วยการต่อรองภายในรัฐน้ันหากคู่กรณีไม่อาจตกลงกันได้ก็มีการใช้ศาลเป็นเคร่ือง ตัดสิน แต่การต่อรองระหว่างรัฐนั้นไม่มีสถาบันหรือองค์การกลางเข้ามาเก่ียวข้องด้วยในการต่อรอง ยกเว้นใน กรณีท่ีรัฐมนตรคี วามม่ันคงแห่งสหประชาชาติได้กาหนดเง่ือนไขสาหรับท่ีจะทาการต่อรองกัน แต่กรณีเช่นว่าน้ี ไม่ค่อยจะปรากฏ เพราะสมาชิกส่วนมากของคณะรัฐมนตรีความม่ันคงแห่งสหประชาชาติไม่ยินยอมเห็นด้วย กับการกระทาเช่นน้ี องค์การระหว่างประเทศเค้าจะเอาไปแทรกแฟงในเรื่องการต่อรองระหว่างรัฐได้ก็ต่อเม่ือ คู่กรณีในการต่อรองมคี วามยินยอมในการกระทาดังกลา่ วขององค์การระหว่างประเทศ เราจะเหน็ ได้ว่าศาลโลก ไม่มีอานาจบังคับให้ผู้กรณีพิพาทนาคดีข้ึนสู่ศาล ซ่ึงโดยมากแล้วรัฐท่ีเป็นคู่กรณีในข้อพิพาทสาจะไม่ใช้ศาล แต่ ใช้วิธีการต่อรองระหว่างกันเอง มีน้อยค่ะดีมากที่ถูกนามาพิจารณาท่ีศาลโลกอย่างไรก็ตามองค์การระหว่าง ประเทศกย็ งั มีประโยชน์ในดา้ นเป็นสถานทส่ี าหรบั รัฐการต่อรองและติดตอ่ กันอย่างไม่เปน็ ทางการ ตวั อย่างเช่น การติดต่ออย่างไม่เป็นทางการเกิดขึ้นเม่ือข้าราชการโซเวียตแจ้งให้ข้าราชการสหรัฐอเมริกาทราบเป็นการส่วน ตัวอย่างไม่เป็นทางการท่ีองค์การสหประชาชาติ โซเวียตพร้อมท่ีจะพิจารณายกเลิกการปิดล้อมเบอร์ลิน นอกจากนี้แล้วองค์การระหว่างรัฐบาลในฐานะท่ีเป็นส่ิงแวดล้อมบางครั้งเข้ามาแทรกแซงในกรณีการต่อรอง ระหว่างรัฐ เช่น เลขาธิการของสหประชาชาติได้มีบทบาทบ่อยครั้งในการไกล่เกลี่ยข้อพิพาทศาลระหว่าง ประเทศโดยทาหน้าที่เป็นส่ือกลาง นอ่ี ยู่บ่อยๆที่รัฐเข้ามาเกยี่ วขอ้ งกับการต่อรองทั้งทางท่ตี นไม่ได้เป็นคู่กรณีใน ข้อพิพาท ทั้งน้ีเพราะเกรงว่าตนไม่เข้ายุ่งเก่ียวกับการต่อรอง โดยชักชวนให้รัฐที่เป็นคู่กรณีในข้อพิพาทหันมา

ปรองดองตกลงกันด้วยดีแล้ว สงครามและการต่อสู้ระหว่างรัฐภูมิภาคอาจเกิดข้ึน ซ่ึงอาจกระทบกระเทือนต่อ ความม่ันคงของตนเอง ด้วยเหตุดังกล่าวจึงได้มีการพยายามสักตัวหรือคัดค้านไม่ให้รัฐผู้กรณีพิพาทใช้กาลงั ต่อสู้ ซ่งึ กนั และกัน 2.วิธีท่ีใช้ในการตอ่ รองระหว่างรัฐ กระบวนการของการต่อรองระหว่างรัฐท่ีมีหลายวิธี นับตั้งแต่การโต้เถียง การข่มขู่ การให้คามั่นสัญญา จนถึงการใช้กาลังบังคับ การต่อรองระหว่างรัฐอาจประสบความสาเร็จได้วิธีใดวิธีหนึ่งก็ได้ เร่ืองสุดแล้วแต่ เหตุการณแ์ ละสงิ่ แวดลอ้ มทีป่ รากฏอยใู่ นขณะนัน้ 2.1 การเจรจาโต้ตอบ (Argument) ในขณะท่ีรัฐเจรจาโต้เถียงกัน สองฝ่ายต่างก็พยายามที่จะใช้อิทธิพลต่อกันอยู่บ่อยๆและส่วนใหญ่ผู้นา ของรฐั ท่ีโตเ้ ถียงให้รฐั อกี ฝา่ ยยอมตกลงในประเด็นทีโ่ ต้เถียงกัน โดยอ้างว่าเธอเห็นแก่สันตภิ าพและบางคร้ังรฐั ไม่ อาจยอมตกลงในกรณีท่ีส่วนจะต้องเสียผลประโยชน์ของตนไปท้ังๆท่ีการไม่ตกลงนั้ นรัฐเล็งเห็นแล้วว่าอาจ กระทบกระเทือนต่อสันติภาพของโลกได้ เน่ืองจากรัฐท่ีโต้เถียงกันมักจะลืมหรือออกนอกประเด็นท่ีโต้เถียงกัน บ่อยๆรวมทั้งไม่ค่อยจะฟังความคิดเห็นหรือข้อเสนอของอีกฝ่ายหน่ึง ตลอดจนคิดถึงผลเสียท่ีอาจเกิดขึ้นจาก การไม่ตกลงกัน จึงทาให้การโต้เถียงหรือโต้แย้งกันระหว่างรัฐเป็นเคร่ืองมือซ่ึงใช้ไม่ค่อยได้ผลเท่าใดนักในการ ตอ่ รอง เช่น การล้มเหลวการต่อรองเจรจาท่ีกรุงปารีสระหว่างสหรัฐอเมริกากับเวยี ดนามเหนือในประเด็นที่จะ ยตุ สิ งครามในเวียดนามใตเ้ ป็นต้น 2.2 การให้คาม่ันสัญญา (Promises) คาม่ันสัญญามีความสาคัญมากในกระบวนการต่อรองระหว่างประเทศ เพราะเป็นปัจจัยท่ีนาไปสู่การ ประนีประนอมระหว่างรัฐ คาม่ันสัญญาที่รัฐให้ต่อกันอาจเป็นทางการและไม่เป็นทางการ คาม่ันสัญญาซ่ึงมี ลกั ษณะเป็นทางการโดยมากมักเปน็ ไปในรูปสนธสิ ัญญาหรือขอ้ ตกลงที่เป็นทางการ มีบอ่ ยครั้งท่ีมีสภาพเหมอื น เศษกระดาษชิ้นหนึ่งเหมือนกับอถปมาอุปมัยท่ีโทมัส ฮอบส์ กล่าวไว้ว่า \"อนุสัญญาหรือข้อตกลงเป็นแต่เพียง คาพูดไม่มีอานาจบังคับแต่อย่างใด\" อย่างไรก็ตามรฐั ที่ไม่ชอบรกั ษาคามั่นสญั ญามากไม่อาจใช้คามั่นสัญญาของ ตนเปน็ เครอื่ งมือในการต่อรองได้อกี ตอ่ ไปในอนาคต การให้คามั่นสัญญาน้ัน อาจเป็นการให้คามั่นว่าจะให้ความช่วยเหลือและสนับสนุนทางด้านเศรษฐกิจ รา้ นอาหาร และทางด้านการเมือง หรือให้คามั่นว่าจะยอมตกลงด้วยในกรณีข้อพิพาท ถ้าการให้คามั่นสัญญามี ลักษณะเป็นทางการก็มักจะเป็นไปในรูปสนธิสัญญาหรือข้อตกลงระหว่างประเทศ ซึ่งเรียกช่ือต่างๆกันว่า เช่น Convention General Treaty เป็นตน้ ในปัจจุบันมีสนธิสัญญาเป็นจานวนมากที่ได้จดทะเบียนไว้กับองค์การ สหประชาชาติ (ดูช่ือต่างๆของเค้าตกลงระหว่างประเทศในภาคที่ 4 หัวข้อสนธิสัญญา) แต่ส่วนมากแล้วผู้ ตัดสินใจในนโยบายต่างประเทศของรัฐมักจะให้คามั่นสัญญาตกลงเป็นการ ส่วนตัวเพ่ือป้องกันการให้ผู้อ่ืนรู้ โดยเฉพาะอย่างย่ิงผู้มีอิทธิพลต่อการตัดสินใจในนโยบายต่างประเทศ เพราะถ้าหากผู้มีอิทธิพลดังกล่าวรู้แล้ว

อาจใช้สิทธ์ิก่อกวนผู้ตัดสินใจในนโยบายต่างประเทศได้ดังนั้น การให้คามั่นสัญญาระหว่างผู้นาของรัฐมักจะ กระทากันเป็นส่วนตัว ตัวอย่างเช่น การให้คามั่นสัญญาระหว่างประธานาธิบดีเคนเนด้ีแห่งสหรัฐอเมริกาและ ครุชเชฟ แห่งสหภาพโซเวียต เพ่ือตกลงในปัญหาเก่ียวกับวิกฤตการณ์ในคิวบาในปีค.ศ. 1962 (สหรัฐอเมริกา ได้ส่ังให้โซเวียตถอนฐานทัพจรวดออกจากครูบา) ได้กระทาเป็นการส่วนตัวโดยเฉพาะระหว่างผู้นาของชาติทั้ง สอง การให้คาม่ันสัญญานั้น อาจจะกระทากันได้โดยไม่ต้องอาศัยการเจรจา (Negotiation) หรือการ ปรึกษาหารือกันเป็นทางการ บางคร้ังคามัน่ สญั ญาอาจเกิดขึน้ ได้ ท่ีรกั ค่กู รณีแต่ละฝ่ายตีความหมายและเจตนา ของการกระทาและคาพูดของอกี ฝา่ ยหน่ึงแลว้ ตดั สินใจใหค้ าม่ันสัญญาตกลงกนั ในปญั หาที่ทั้งสองฝ่ายไดเ้ ผชิญ อยู่ อย่างเช่น ในระหว่างสงครามเกาหลี สหรัฐอเมรกิ าและจีนแดง ได้ให้คามัน่ สัญญาตกลงกันโดยปริยายว่าจะ ไมโ่ จมตบี รเิ วณพืน้ ท่ที ่ีได้กาหนดไว้ ไม่ได้มีการกล่าวอย่างชัดเจนโดยฝา่ ยใดฝ่ายหนึ่งในเรื่องดังกล่าวแต่ประการ ใด อาศยั การตีความหมายหรอื การกระทาและคาพูด ทั้งสองฝา่ ยจะทากันจนเป็นท่ีตกลงแน่นอนวา่ ทงั้ สองฝ่าย ต่างกม็ ีจุดประสงค์อนั เดียวกันคือ ต้องการโจมตพี ้ืนทที่ ่ีได้ระบุไว้ นอกจากน้ี อยากให้คามนั่ สัญญาอาจเกิดข้นึ ใน ลักษณะท่ีมีการแลกเปล่ียนกันเช่นในช่วงระหว่างปีค.ศ. 1930 และค.ศ. 1940 ประเทศฝรั่งเศสและอังกฤษได้ ทาการตกลงยินยอมให้ Rhineland ฟ้ืนฟูกาลังทหารได้ทาการแบ่งดินแดนของประเทศเช็คโกสโลวาเกียออก จากกนั เพ่ือเป็นการแลกเปลี่ยนกับความยนิ ยอมดงั กล่าวฮิตเลอร์ผู้นาเยอรมันได้ใหค้ ามั่นสญั ญาอยากคุมเครือ ว่าตูนจะไม่กระทาการใดใดอันเป็นทาลายเสรีภาพและความสงบสุขของโลก คามั่นสัญญาซึ่งแลกเปล่ียนกับ ความยินยอมดังกล่าวไม่ก่อให้เกิดประโยชน์แต่อย่างใดนอกจากอันนาไปสู่สงครามเร็วขึ้น เพราะถ้าหากฮิต เลอรม์ ีจุดประสงค์ต้องการรักษาสันติภาพของโลกจริงแลว้ คงไม่ให้คามั่นสัญญาอยากคลมุ เครือซึ่งเป็นทางออก อย่างดีสาหรับการแก้ตัวในวนั ข้างหน้าถ้าหากฮติ เลอร์จะกอ่ สงครามขึ้นอาจกล่าวได้ว่าคามั่นสัญญาท่ีใช้ในการ ต่อรองระหว่างประเทศนั้น จะมีผลจริงจังหรือไม่นั้นขึ้นอยู่กับหน้าที่ให้คามั่นสัญญาว่าจะปฏิบัติตามคาม่ัน สัญญาที่ให้ไวห้ รอื ไม่ ซึ่งจะเห็นว่าเป็นส่ิงท่ีไม่แน่นอนและอาจเปล่ียนแปลงได้ เพราะไม่มีส่ิงใดหรือกฎหมายใด มาบังคับใหร้ ฐั จาเปน็ ต้องปฏิบตั ติ ามคามน่ั สัญญาทีต่ นไดใ้ ห้ไวเ้ สมอไป 2.3 การคุกคามและข่มขู่ (Threats) การคุกคามและการขม่ ขู่มคี วามสาคญั อยา่ งมากในกระบวนการจัดการต่อรองระหวา่ งประเทศ เนื่องจาก ไม่มีระบบกฎหมายควบคมุ รัฐในการใช้อานาจข่มขู่รฐั อื่น เพราะการข่มขู่ในกระบวนการต่อรองระหวา่ งรฐั จึงมัก ปรากฏอยู่อย่างกว้างขวาง การท่ีกฎหมายระหว่างประเทศไม่ได้ระบุไวอ้ ย่างไรจึงจะถือวา่ เป็นการข่มขู่แบบผิด กฎหมาย อย่างเช่นกฎหมายภายในประเทศระบุไว้อย่างชัดเจน ตลอดจนการไม่มีประสิทธิภาพของกฎหมาย ระหว่างประเทศในการใชบ้ ังคับ ทาให้รฐั ชอบใชว้ ิธกี ารขม่ ขวู่ า่ จะใชก้ าลงั ในกระบวนการต่อรองอยู่บ่อยๆ การข่มขู่ว่าจะใช้กาลังนั้นไม่ต้องสิ้นเปลืองและมีอันตรายเหมือนการใช้กาลังโดยตรง ดังน้ัน หน้าตึงชอบใช้ วิธีการข่มขู่ว่าจะใช้กาลังมากกว่าวิธีอ่ืน การข่มขู่นั้นอาจกระทาโดย วาจา หรือคากล่าว เช่น คาปราศรัยของ ประธานาธิปดเี คนเนด้ี เเละครชุ เชฟ ผู้นาโซเวียต ซึง่ มีลกั ษณะขม่ ขู่ ต่อกันในเรื่องวกิ ฤตการณ์เกย่ี วกับการถอน

จรวดออกจากคิวบา ปล่อยครั้งที่การผมพูมักปรากฏในองค์การระหว่างประเทศ และชาติท่ีมีอานาจมาก ทางด้านการทหารและการเศรษฐกิจมักจะมีอานาจในการคุกคามข่มขู่มากกว่าชาติที่ด้อยในเร่ืองอานาจ ถ้ารัฐ ประสบความล้มเหลวในการขม่ ขู่ รัฐท่ีขุ่มขู่อาจหยดุ การข่มขู่หรืออาจใช้วิธกี ารคุกคามและข่มขรู่ ุนแรงข้ึนไปอีก ตัวอย่างเช่น ความล้มเหลวของสหรัฐอเมริกาท่ีเข้าไปสู่เวียดนามเหนือไม่ให้เข้าไปยุ่งเกี่ยว และสนับสนุน สงครามเวยี ดนามทาให้สหรัฐอเมริกาเพิ่มความรุนแรงในการข่มขู่มากยิ่งขึ้น โดยเพิ่มการท้ิงระเบิดในเวียดนาม เหนือในระหว่างปีค.ศ. 1965 และ 1968 การข่มขู่น้ันรัฐอาจใช้เพื่อยับย้ังการกระทาของอีกรัฐหน่ึงหรือบังคับ ให้รัฐอีกฝ่ายหน่ึงทาส่ิงที่ตนต้องการ เช่น นโยบายต่างประเทศของสหรัฐอเมริกาใช้วิธีการข่มขู่ในการต่อรอง ระหว่างประเทศ อาทิเช่น การข่มขู่ของสหรัฐอเมริกาในวิกฤตการณ์เกี่ยวกับจรวดในคิวบา และการข่มขู่เพ่ือ บงั คับเวียดนามเหนือให้ยุติการแทรกแซงและสนับสนุนสงครามเวียดนาม เป็นตัวอย่างท่ีดีในเร่ืองนี้ ในปัจจุบัน รฐั ถอื ว่าการขม่ ขู่เป็นสง่ิ จาเป็นของนโยบายต่างประเทศส่วนหนึ่ง ซ่ึงบางรัฐจาเป็นที่จะตอ้ งใช้เพ่ือใหส้ ุดทีต่ นต้ัง ไว้บรรลุซ่ึงความสาเร็จ หรือเพ่ือป้องกันยับย้ังไม่ให้รัฐอีกฝ่ายหนึ่งกระทาการอย่างหนึ่งอย่างใด อันนาไปสู่การ ทาลายจดุ ประสงค์หรือผลประโยชน์ของตน 2.3 การคุกคามและขม่ ขู่ (Threats) การคุกคามและการขม่ ขูม่ ีความสาคญั อยา่ งมากในกระบวนการจัดการต่อรองระหวา่ งประเทศ เน่ืองจาก ไมม่ ีระบบกฎหมายควบคมุ รัฐในการใชอ้ านาจขม่ ขู่รัฐอ่นื เพราะการข่มขู่ในกระบวนการต่อรองระหวา่ งรฐั จงึ มัก ปรากฏอยู่อย่างกว้างขวาง การที่กฎหมายระหว่างประเทศไม่ได้ระบุไวอ้ ย่างไรจึงจะถือว่าเป็นการข่มขู่แบบผิด กฎหมาย อย่างเช่นกฎหมายภายในประเทศระบุไว้อย่างชัดเจน ตลอดจนการไม่มีประสิทธิภาพของกฎหมาย ระหว่างประเทศในการใชบ้ ังคับ ทาใหร้ ัฐชอบใชว้ ธิ กี ารข่มขวู่ ่าจะใชก้ าลังในกระบวนการตอ่ รองอยูบ่ ่อยๆ การข่มขู่ว่าจะใชก้ าลังน้ันไม่ตอ้ งส้ินเปลอื งและมีอนั ตรายเหมือนการใช้กาลังโดยตรง ดังนั้น หน้าตึงชอบ ใช้วิธกี ารข่มขวู่ ่าจะใชก้ าลงั มากกว่าวธิ อี น่ื การขม่ ขู่นัน้ อาจกระทาโดย วาจา หรือคากล่าว เชน่ คาปราศรัยของ ประธานาธปิ ดีเคนเนด้ี เเละครุชเชฟ ผู้นาโซเวยี ต ซง่ึ มีลกั ษณะขม่ ขู่ ต่อกันในเร่ืองวิกฤตการณ์เก่ียวกับการถอน จรวดออกจากคิวบา ปล่อยคร้ังที่การผมพูมักปรากฏในองค์การระหว่างประเทศ และชาติท่ีมีอานาจมาก ทางด้านการทหารและการเศรษฐกิจมักจะมีอานาจในการคุกคามข่มขู่มากกว่าชาติท่ีด้อยในเร่ืองอานาจ ถ้ารัฐ ประสบความล้มเหลวในการข่มขู่ รัฐท่ีขุ่มขู่อาจหยุดการข่มข่หู รืออาจใช้วิธีการคุกคามและข่มข่รู ุนแรงข้ึนไปอีก ตัวอย่างเช่น ความล้มเหลวของสหรัฐอเมริกาที่เข้าไปสู่เวียดนามเหนือไม่ให้เข้าไปยุ่งเก่ียว และสนับสนุน สงครามเวยี ดนามทาให้สหรัฐอเมริกาเพ่ิมความรุนแรงในการข่มขู่มากย่ิงข้ึน โดยเพิม่ การทิ้งระเบิดในเวียดนาม เหนือในระหว่างปีค.ศ. 1965 และ 1968 การข่มขู่น้ันรัฐอาจใช้เพื่อยับยั้งการกระทาของอีกรัฐหน่ึงหรือบังคับ ให้รัฐอีกฝ่ายหนึ่งทาส่ิงท่ีตนต้องการ เช่น นโยบายต่างประเทศของสหรัฐอเมริกาใช้วิธีการข่มขู่ในการต่อรอง ระหว่างประเทศ อาทิเช่น การข่มขู่ของสหรัฐอเมริกาในวิกฤตการณ์เกี่ยวกับจรวดในคิวบา และการข่มขู่เพ่ือ บงั คับเวียดนามเหนือให้ยุติการแทรกแซงและสนับสนุนสงครามเวียดนาม เป็นตัวอย่างท่ีดีในเรื่องนี้ ในปัจจุบัน รฐั ถอื ว่าการข่มขู่เป็นสิง่ จาเป็นของนโยบายต่างประเทศส่วนหนึ่ง ซึง่ บางรฐั จาเป็นที่จะตอ้ งใช้เพื่อให้สุดทต่ี นตั้ง

ไว้บรรลุซึ่งความสาเร็จ หรือเพื่อป้องกันยับยั้งไม่ให้รัฐอีกฝ่ายหน่ึงกระทาการอย่างหน่ึงอย่างใด อันนาไปสู่การ ทาลายจุดประสงคห์ รอื ผลประโยชนข์ องตน 2.4 การใชก้ าลังบังคับ (Coercion) การใช้กาลังบังคับเป็นวิธีการข้ันสุดท้ายที่ใช้ในกระบวนการการต่อรองระหว่างรัฐในกรณีท่ี วิธีการข้ันที่ 1,2เเละ3ตามท่ีกล่าวมาแล้วข้างต้นใช้ไม่ได้ผล อย่างไรก็ตาม การใช้กาลังบังคับเป็นการกระทาที่ผิดต่อ กฏหมายระหว่างประเทศ เว้นแตใ่ นกรณีป้องกันตัว (ดูกดบัตรประชาชาติมาตรา 51 ประกอบ) รฐั ส่วนมากมัก ยดึ ถือนโยบายที่ว่า สันติภาพเป็นส่ิงสาคัญต่อมวลมนุษย์ซึ่งควรรักษาไว้ และการใช้กาลงั จะนามาใช้กต็ ่อเม่อื ไม่ มีทางเลือก ดังนั้นรัฐมักจะใช้วิธีข่มขู่มากกว่าการใช้กาลังบังคับ เพราะไม่เกิดความกระทบกระเทือนต่อ สันติภาพของโลกเหมือนอย่างการใช้กาลัง การใช้กาลังของรัฐนั้นอาจเป็นไปได้สองแบบ แบบป้องกันตัวจาก การโจมตีของรัฐอ่ืนหรือตอบแทนแก้แค้น (Retaliation) และแบบมุ่งหมายท่ีจะเอาสีเหลืองสิ่งใดหรือบังคับให้ รัฐปฏบิ ัตสิ ง่ิ หน่ึงสิง่ ใดท่ีทาให้ จดุ ประสงค์ทต่ี นต้ังเอาไว้บรรลซุ ่ึงความสาเร็จเนื่องจากการใชก้ าลังบังคบั เป็นการ กระทาท่ีต้องห้ามตามกฏหมาย และศีลธรรมอันดีระหว่างประเทศ รัฐท้ังหลายจึงไม่ค่อยนิยมใช้กัน นอกจาก ในกรณีจาเป็นจริงๆส่วนมากแล้วรัฐชอบใช้วิธีการข่มขู่มากกว่าการใช้กาลัง เพราะไม่ขัดต่อกฎหมายระหว่าง ประเทศหรือสิ้นเปลืองในด้านกาลังคนและอาวุธเหมือนกับการใช้กาลัง อาจสรุปได้ว่า รัฐบาลจะใช้วิธีการใช้ กาลังบังคับในการต่อรองระหว่างประเทศก็ต่อเมื่อรัฐไม่ประสบความสาเร็จในการใช้วิธีการ 1,2เเละ3 ซึ่งเป็น วิธที ่ีรัฐนิยมใชก้ ันมากกว่าวธิ ีสุดท้าย เมอ่ื รฐั ตัดสินใจใช้กาลงั แล้วมักจะไมค่ ่อยคานึงวา่ การใช้กาลงั ของตนผิดต่อ กฎหมายหรือสินะธรรมอันดีระหว่างประเทศ เพราะนัในยามนั้นอาจถือว่าตนใช้กาลังเพ่ือป้องกันตัวเองหรือ เพอื่ บังคบั ให้รัฐอน่ื ยินยอมตามตนโดยไม่ผิดต่อกฎหมายแต่อย่างใดตวั อยา่ งเช่น การท่ปี ระธานาธิบดสี หรัฐสัง่ ให้ ท้ิงระเบิดในเวยี ดนามเหนอื ให้มากขึน้ เพราะเวียดนามเหนือไม่เลกิ ยุ่งเก่ยี วข้องในสงครามเวียดนามนั้น จะเห็น ได้ว่าถ้าพิจารณาตามเนื้อแท้แล้วโดยคานึงถึงหลักกฏหมายระหว่างประเทศกฎบัตรสหประชาชาติแล้ว การ กระทาดังกล่าวของสหรัฐเป็นการกระทาท่ีผิดต่อกฎหมายระหว่างประเทศ แต่เนื่องจากสหรัฐอเมริกาเป็น ประเทศมหาอานาจ ซ่ึงเปน็ ผ้อู ุปถมั ภ์รายใหญ่ขององค์การสหประชาชาติ การกระทาของสหรัฐอเมริกาดังกลา่ ว จึงไม่มีใครหยิบยกข้ึนมาพิจารณาอย่างจริงจัง ดังนั้นจึงดูคล้ายประหน่ึงว่ากฎหมายหรือข้อบังคับระหว่าง ประเทศนนั้ จากมีผลใช้บังคับได้อย่างจริงจังก็ แต่เฉพาะประเทศเล็กๆเทา่ น้ันและโดยอาศัยกาลงั สนับสนุนจาก ประเทศมหาอานาจ ส่วนประเทศมหาอานาจดเู หมอื นอยู่เหนือกฎหมายทั้งปวง ด้วยเหตุดังกล่าวความยุติธรรม จงึ ยากทจี่ ะปรากฏในเวทีการเมอื งระหว่างประเทศ 3.สรปุ กระบวนการต่อรองระหวา่ งรัฐ ก่อนท่ีจะจบคาอธิบายในบทน้ี เห็นเป็นการสมควรท่ีจะพิจารณากระบวนการต่อรองระหว่างรัฐอย่าง ย่อๆซ่ึงจะช่วยทาให้มีความเข้าใจในเรื่องการเมืองระหว่างประเทศในปัจจุบันได้ดีขึ้น อ่านสรุปอย่างย่อได้ว่า พฤติกรรมในกระบวนการต่อรองระหวา่ งรฐั น้ันมีอยู่ 3 ข้นั ตอนคอื ข้ันแรก ไดแ้ ก่ มีข้อตกลงกนั (Resolution)

ข้ันที่สอง ได้แก่ ขั้นท่ีไม่สามารถมีข้อตกลงกันได้ซ่ึงอาจมีผลไปสู่การสู่ต่อรองโดยใช้วิธีการข่มขู่โดยการ ใช้กาลงั บงั คับ ขนั้ ที่สองน้ีอาจเรียกได้ว่าเป็นข้ันท่ีอาจเลื่อนนาไปสู่ (Escalation) การใช้วิธีการข่มขู่ หรือการใช้ กาลังบังคบั ขั้นท่ีสาม ได้แก่ ข้ันการรักษาสภาพเดิมของการต่อรองซึ่งตกลงกันไม่ได้ให้อยู่คงที่หรือที่เรียกว่าขั้น Freezing เพอื่ มีใหเ้ คล่ือนไปสกู่ ารใช้วธิ กี ารอันรนุ แรง เชน่ การใชก้ าลงั เขา้ บงั คบั ส่วนใหญ่ของสถานการณ์การต่อรองระหว่างรัฐน้ัน จะรุร่วงไปด้วยดีก็ต่อเม่ือท้ังสองฝ่ายพอใจตกลงกัน ตัวอย่างเช่นการต่อรองในเร่ืองการจัดต้ังกฏบัตรสหประชาชาติข้ึนน้ันเก่ียวข้องกับสถานการณ์ต่อรองหลาย อย่าง และในท่ีสุดก็ตกลงประนีประนอมกันได้โดยทุกฝา่ ยมีความพึงพอใจในผลประโยชน์ที่ตนจะได้รับจากการ จัดตั้งกฏบัตรดังกล่าวตัวอย่างอีกอันนึงก็คือ ต่อไปลองระหว่างสหรัฐอเมริกาและประเทศปานามา เก่ียวกับ ฐานะของคลองปานามา ซึ่งได้กระทากันหลายครั้งหลายคราจนในท่ีสุดก็มีการตกลงกันไปด้วยดี ตัวอย่างใน การต่อรองระหว่างรัฐซ่ึงนับว่าสาคัญอย่างยิ่งในประวัติศาสตร์ ได้แก่ การต่อรองระหว่างสหรัฐอเมริกาและ สภาพโซเวียต เก่ียวกับการถอนฐานทัพจรวดของโซเวียตออกมาจากคิวบา ในการต่อรองนี้ทั้งสองฝ่ายตกลงกัน ได้ก็เพราะว่าทั้งสองฝ่ายเต็มใจที่จะแก้ไขปัญหาที่ขัดแย้งกัน และสหรัฐอเมริกาไม่ได้ทาให้โซเวียตต้องเสียหน้า ในการถอดจรวดออกจากควิ บา ในกรณีที่รัฐไม่สามารถต่อรองตกลงกันได้ในปัญหา รัฐก็มักจะใช้วิธีการนับต้ังแต่การให้คาสัญญาจนถึง การข่มขู่และใช้กาลัง อย่างไรก็ตาม แม้วา่ รฐั ไม่สามารถตกลงกันได้ก็มิได้หมายความว่าจะต้องมีสงครามเกิดข้ึน ทกุ คร้ังไป เพราะว่าในบางกรณีรัฐอาจจะประวิงการต่อรองต่อไปอีก โดยรักษาสถานภาพเดิมของการต่อรองไว้ จนกว่าจะพบข้อตกลงซ่ึงทั้งสองฝ่ายพอใจ การไม่ตกลงกันระหว่างสหรัฐอเมริกาและสหภาพโซเวียตในเร่ือง การแบง่ แยกยโุ รปตอนกลางเป็นตัวอยา่ งทดี่ ีในเร่ืองน้ี

บทท่ี 4 ความเปน็ กลาง ความเป็นกลาง หรือ Neutality ของรัฐ เป็นพฤติกรรมของรัฐอย่างหนึ่งท่ีปรากฏในความสาพันธ์ ระหว่างประเทศมาช้านานแล้ว คุณประโยชน์ของความเป็นกลางมีนานาประการ อาทิเช่น ช่วยลดความตึง เครียด การตอ่ สู้ การแข่งขัน ขจัดการขดั แยง้ ทางการเมืองระหว่างประเทศ นาสันติภาพมาสโู่ ลก เป็นต้น ความ เป็นกลางอาจเกิดข้ึนได้จากอุดมการและกระบวนการทางการเมือง ซ่ึงปรากฏออกมาในรูปนโยบายทาง การเมืองของประเทศ ในปัจจุบันหลายประเทศในโลกยึดถือเอาความเป็นกลางเป็นรากฐานของนโยบาย ตา่ งประเทศของตน 1.ลกั ษณะความเป็นกลางกอ่ นสงครามโลกครง้ั ที่ 2 ไดแ้ ก่ ความเป็นกลางซึ่งประเทศท้ังหลายรองรับตามข้อตกลงอย่างเป็นทางการหรือตามในแห่งธรรมเนียม ระหว่างประเทศหรือเรียกกันวา่ Neutrylity ซ่ึงรัฐคู่สงครามไม่มสี ิทธ์ิลว่ งละเมิดอธิปไตยของรัฐที่เป็นกลางตาม ลักษณะน้ี และรัฐท่ีเป็นกลางมีหน้าที่ท่ีจะต้องวางเฉยต่อสงครามท่ีเกิดขึ้นโดยไม่เข้าไปยุ่งเกี่ยวแต่ประการใด ความเป็นกลางในลักษณะดังกล่าวอาจแบ่งได้ออกเป็น 3 ประเภทใหญ่ๆดังน้ี คือ 1.1ความเป็นกลางแบบ ชั่วคราวไมถ่ าวร(Ad hoc Neutrality) รัฐที่เป็นกลางแบบไม่ถาวรน้ี สว่ นใหญ่แลว้ เป็นรัฐเล็กทไี่ มม่ ีอานาจทางด้านการทหารมากเหมือนรัฐใหญ่ๆ และ ความเป็นกลางถูกทาลายไปเนื่องจากการรุกรานของคู่สงคราม เช่น เนเธอร์แลนด์ เดนมาร์ค นอร์เวย์ เป็นต้น ส่วนรัฐหมายท่ีเคยมีความเป็นกลางตามลักษณะน้ี ได้แก่ อังกฤษซึ่งถือนโยบายเป็นกลางวางเฉยต่อสงครามที่ เกิดขนึ้ ระหวา่ งฝรง่ั เศสและปรสั เซีย(Franco-Prussian War) ในปีค.ศ. 1870 1.1 ความเป็นกลางแบบชัว่ คราวไม่ถาวร (Ad hoc Neutrality) รัฐเป็นกลางแบบไม่ถาวรนี้ ส่วนใหญ่เป็นรัฐเล็กๆ ที่ไม่มีอานาจทางด้านการทหารเหมือนรัฐใหญ่ใหญ่ และความเป็นกลางถูกทาลายไปเนือ่ งจากการรุกรานของคู่สงคราม เชน่ เนเธอร์แลนด์ เดนมาร์ก นอยเวย์ เป็น ต้นส่วนรัฐใหม่ๆท่ีเคยมีเป็นกลางตามลักษณะน้ี ได้แก่ อังกฤษซ่ึงถือนโยบายความเป็นกลางวางเฉยต่อ สงครามโลกทีเ่ กิดขน้ึ ระหว่างฝรัง่ เศสและรสั เซีย 1.2 ความเป็นกลางแบบถาวรและม่ันคง (Insitutionlized Neutraliy) รัฐท่ีมีความเป็นกลางแบบถาวรและม่ันคงน้ีมีอยู่เพียงไม่ก่ีประเทศ เช่น สวิตเซอร์แลนด์(ในวันที่ 3 มีนาคม คศ. 2002 ประเทศสวิตเซอร์แลนด์ได้มีการลงนามประชามติ(Referendum) สนับสนุนให้ประเทศ สวสิ เซอร์แลนด์ เข้าร่วมเปน็ สมาชิกสหประชาชาติ ซึง่ มีการวิพากษ์วจิ ารณก์ ันว่า การกระทาดังกล่าวจะมีผลทา ให้สถานภาพความเป็นกลางต้องสูญเสียไป) สวีเดน เป็นต้น ความเป็นกลางชนิดนี้เกิดขึ้นเนื่องจากรัฐมีความ เป็นกลางมันคงอยู่เป็นเวลานานจนกระท่ังเป็นท่ียอมรับกันในนานาประเทศซึ่งยอมรับความเป็นกลางแบบนี้ ของนานาประเทศ มักเป็นไปในรูปข้อตกลงรับรองอย่างเป็นทางการ หรือสนธิสัญญา(Neutrality by

Agreement) เช่น เบลเย่ียม ก่อนหน้าสงครามโลกครั้งที่ 1 จะเกิดข้ึน ประเทศมหาอานาจได้ทาสนธิสัญญา รองรับความเป็นกลางในปีค.ศ. 1839 เป็นต้น แม้กระทั่งก็ตามก็ยังไม่รอดพ้นจากการถูกรุกรานจากฝ่ายอักษะ ในสงครามโลก 1.3 ความเปน็ กลางแบบโดดเดยี ว (Isolated Neutrylity) รัฐท่ีเคยมีความเป็นกลางตามลักษณะน้ี ได้แก่ สหรัฐอเมริกา ซ่ึงคร้ังหนึ่งในสมัยประธานาธิบดี มอนโร ได้ยึดถือลัทธิมอนโร(Monroe Doctrine) โดยไม่ยุ่งเก่ียวกับใครๆท้ังในยามสงบและในยามสงคราม และใน ขณะเดียวกนั กแ็ สวงหาดินแดนใหมๆ่ เชน่ ดินแดนออกไปในทวปี อเมรกิ า เป็นต้น อย่างไรก็ตาม การท่ีรักถือนโยบายเป็นกลางแบบ Neutrality นี้ ก็ไม่ได้เป็นหลักประกันว่าตนจะไม่ถูก รุกรานและแทรกแซงจากรัฐอื่น กล่าวคือ ถ้ารัฐเป็นกลางเป็นรัฐเล็กๆท่ีไม่มีอานาจทางด้านทหารท่ีเข้มแข็งก็ อาจถูกรุกรานได้ อาทิเช่น เนเธอร์แลนด์ นอรเวย์ เดนมาร์ค ถูกฝ่ายอักษะ รุกรานและสงครามโลกครั้งที่ 2 เป็นต้น 2.ลกั ษณะความเป็นกลางหลงั สงครามโลกคร้ังท่ี 2 ความกลางหลังสงครามโลกครั้งที่ 2 นี้ มีลักษณะไปในทางที่นาตัวเข้าไปผูกพันกับกลุ่มประเทศใดๆ โดยเฉพาะอย่างยิ่งความผูกพันด้านในการเมืองซ่ึง ฮะนส์ เจ มอร์เกนทอ ต้ังข้อสังเกตว่าเป็นการหลีกเล่ียงหนี ปัญหาระหว่างประเทศอันอาจเกิดข้ึนจากการท่ีเข้าไปมีส่วนผูกพัน การไม่เข้าไปผูกพันกับกลุ่มๆใด หรอื Non- Alignment หมายถึง การไม่เข้าไปฝักใฝ่ฝ่านหน่ึงฝ่ายใดท่ีทาสงครามเย็นแต่เพียงฝ่ายเดียว คือ กลุ่ม คอมมิวนิสต์และฝ่ายเสรีประชาธิปไตย ความเป็นกลางหลังสงครามโลกครัง้ ที่ 2 น้ี ผิดไปจากความเป็นกลางใน รูปเดิมอยา่ งมาก กล่าวคือ ความเป็นกลางในรูปเดิมน้ันเน้นการอยู่อย่างสันติโดยไม่เข้าไปยุ่งเกี่ยวกับสงครามที่ ชาติอื่นก่อขึ้น หรืออีกนัยหนึ่งเน้นถึงพฤติกรรมของรัฐท่ีวางเฉยเป็นกลางในสภาวะสงครามเป็นเกณฑ์ ส่วน ความเป็นกลางของรัฐในปัจจุบันอาจกล่าวได้ว่า เป็นกลางที่มลี ักษณะไม่ค่อยแท้จริง เพราะรัฐที่ประกาศตนว่า เป็นกลางน้ัน บางทีเข้าไปผูกพันทางการเมืองหรือไม่ก็เข้าไปผูกพันกับการกระทาใดใดของฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งใน สงครามเย็น เช่น กัมพูชาผูกพันกับจีนแดงในสมัยท่ีนโรดมสีอฝหนุเป็นผู้ครองอานาจท้ังๆท่ีได้ประกาศความ เป็นกลางออกมา ดังน้ันความเป็นกลางที่แท้จริงหลังสงครามโลกคร้ังที่ 2 จึงควรจะต้องเป็นไปในรูปท่ีว่า รัฐท่ี เป็นกลางน้ันจะต้องวางเฉยตอ่ ประเทศมหาอานาจและไม่ผูกพันกับประเทศมหาอานาจในกจิ การทางการเมือง ส่วนมากการรับความช่วยเหลือจากประเทศมหาอานาจดึกกลุ่มประเทศไม่ถือว่าเป็นการกระทาให้เสียความ เป็นกลางไป การผูกพันทางด้านการเมืองนั้นโดยมากเป็นไปในรูปการผูกพันในรูปสนธสิ ัญญาทางการทหาร ซึ่ง บางครั้งอาจกระทากันอย่างรับรับจนไม่อาจจะนามาตีแผ่ล้าง สถานะความเป็นกลางได้ เน่ืองจากนโยบายเป็น กลางก่อประโยชน์บางประการให้แก่รัฐที่เป็นกลาง ดังนั้นรัฐท่ีเคยเป็นกลางมาแล้วในอดีตจึงนิยมที่จะรักษา ความเปน็ กลางของตนต่อไป เช่น สวิตเซอรแ์ ลนด์ สวเี ดน และไอรแ์ ลนด์ เปน็ ตน้

มีเหตุผลหลายประการท่ีรัฐวางตัวเป็นกลางในรูป Non-Alignment เหตุผลท่ีสาคัญก็คือว่า รัฐบางรัฐ เคยอยู่ภายใต้อาณานิคมของประเทศตะวันตกมาก่อน ประชาชนของรัฐน้ันจึงไม่มีความไว้วางใจในพวกคนผิว ขาว ซึ่งเป็นผู้ปกครองควบคุมตนมา จึงทาให้เกิดความเช่ือว่า การเข้าไปร่วมหรือเข้าไปผูกพันกับกลุ่มชาวผิว อาจทาให้ถูกปกคลุมจากชาติผิวขาวได้อีก ซ่ึงเป็นการเส่ียงต่อความปลอดภัยของตนเอง ดงั นั้นจงึ ได้วางตัวเป็น กลางแต่บางรัฐอาจเข้าไปผูกพันทางด้านการเมืองกับรัสเซียอย่างไม่เปิดเผยก็ได้ เพราะโซเวียตต่อต้าน จักรวรรดินิยมตะวันตกซึ่งตนไม่ชอบอยู่แล้ว จึงทาให้ชาติเป็นกลางอาจสนับสนุนโซเวียตได้ นอกจากนี้รัฐบาล บางรัฐถือว่าอานาจน้อยและไม่ต้องการเข้าไปผูกพันกับรัฐใหม่ เพราะเกรงว่าจะกลายเป็นบริวารของรัฐ มหาอานาจไปซ่ึงเป็นการทาลายศกั ด์ิศรีของตนเองและการเขา้ ไปผูกพันกับรัฐมหาอานาจอาจทาให้ไม่มีอานาจ อิสระในการดาเนินนโยบายต่างประเทศ จึงทาให้รัฐน้ันตัดสินใจวางตัวเป็นกลาง อย่างไรก็ตาม ถึงแม้ว่ารัฐ เหล่าน้ีจะวางตัวเป็นกลางก็ตามก็ปรากฏอยู่บ่อยๆว่าอยู่ภายใต้อิทธิพลของรัฐมหาอานาจ ซึ่งเป็นผู้ให้ความ ช่วยเหลือต่างประเทศโดยเฉพาะอย่างยิ่งในด้านธุรกิจ การช่วยเหลือดังกล่าวมักจะมีข้อผูมัดทางด้านการเมือง (Foreign Aid with the Political String-Attached) ซึ่งรัฐมีอานาจน้อยต้องอยู่ในภาวะจายอมอย่าง หลีกเล่ียงไม่ได้ เหตุผลท่ีสาคัญประการสุดท้ายก็คือ การเป็นกลางทาให้ตนไม่ต้องพะวงกับการใช้จ่ายทางด้าน การทหาร เพราะการรวมกลุ่มกับประเทศอ่ืนอาจทาให้ต้องใช้จ่ายในทางการทหารเพิ่มมากขึ้น ทั้งนี้ก็เพ่ือเพ่ิม กาลังคุ้มครองป้องกันประเทศของตนจากการรุกรานหรอื โจมตีจากฝ่ายตรงข้าม ดังน้ันรฐั ที่เป็นกลางจงึ มีทางที่ จะพัฒนาเศรษฐกิจของตนได้อย่างเต็มท่ี ไปตัดงบประมาณทางการทหารมาใช้พัฒนาประเทศ ด้วยเหตุผล ดงั กล่าว รัฐหลย่ รัฐจงึ วางตัวเปน็ กลาง ฮาโรลด์ เเละ มากาเร็ต สเปร้าท์ ได้กล่าวว่า เมื่อพิจารณาทางด้านภูมิศาสตร์แล้วรัฐท่ีเป็นกลางทั้งหมด ในโลกครอบครองดินแดนประมาณ 50 ถึง 60 เปอร์เซ็นต์ของดินแดนของโลกท้ังหมด โดยมีประชากร ประมาณ 30 เปอร์เซ็นต์ของโลกท้ังหมดและมีรฐั ท่ีเป็นกลางบางรัฐเคยอยูภ่ ายใต้อาณานิคม ฝรั่งเศส อังกฤษ อิตาลี ดัชท์ และเบลเย่ียม มาก่อน ดังน้ันประเทศที่ยึดถือนโยบายไม่ฝักใฝ่ฝ่ายใดฝ่ายหนึ่ง (Non-Alignment) ในทวปี อัฟริกา เปน็ ต้น 3.พฤติกรรมของชาติเปน็ กลาง พฤติกรรมของชาติเป็นกลางอาจแยกพจิ ารณาออกได้เป็น 2 พวก คือ พฤติกรรมของชาติท่ีเป็นกลางรุ่น เก่า (ซึ่งได้แก่ สวิตเซอร์แลนด์ สวีเดน ออสเตรีย ฟินแลนด์ ไอร์เเลนด์และยูโกสลาเวีย) พฤติกรรมของชาติท่ี เป็นกลางรนุ่ ใหม่ (ซึ่งได้แก่ ประเทศในเอเชียและแอฟริกา)ในปัจจุบันรัฐท่ีเป็นกลางสองประเภทน้ีมีพฤติกรรม ทรรศนะและถ้าที่แตกต่างกัน ท้ังนี้อาจสืบเนื่องมาจากความแตกต่างกันในความเป็นมาทางประวัติศาสตร์ ส่ิงแวดล้อม และปัจจัยทางเศรษฐกิจ สังคมและการเมือง รัฐที่เป็นกลางมาแต่เก่า ไม่ค่อยมีพฤตกิ รรมอะไรเด่น นักจึงไม่ได้มีการพูดถึง รัฐที่เกิดข้ึนใหม่ซ่ึงหลุดพ้นมาจากระบบอาณานิคมตะวันตกและได้วางตัวเป็นกลางน้ัน ส่วนใหญ่แล้วมักมีท่าทีเป็นปฏิปักษ์ต่อประเทศฝ่ายตะวันตก ซ่ึงเคยใช้ระบบการปกครองแบบกดขี่ต่อ ประชาชนที่อาศัยอยู่ในอาณานิคม รัฐเหล่านี้พยายามวางตัวเป็นกลางโดยเช่ือว่าอาจทาให้ตัวเด่นข้ึนมา

นอกจากน้ียังมีความเชื่อต่อไปอีกว่า ถ้าต้นต่อต้านตะวันตกต้นก็คงจะได้รับความสนใจจากโซเวียต หรือฝ่าย คอมมิวนิสต์อย่างแน่นอน รัฐเป็นกลางในปัจจุบันโดยมากร่วมมือกับฝ่ายตะวันตก เฉพาะในเร่ืองเศรษฐกิจ เท่านน้ั เร่ืองการทหารและการเมืองรัฐเหล่าน้ีมากไม่ยุ่งเกี่ยวเพราะไม่ไวใ้ จชาติตะวันตกชาติเป็นกลางในเอเชีย และแอฟริกาได้ร่วมกลุ่มขึ้นเพ่ือให้เกิดกลุ่มการเมืองที่สามในการเมืองของโลกขึ้น เพ่ือมุ่งที่จะบังคับให้กลุ่ม ตา่ งๆยอมทาตามความตอ้ งการของตนและเปน็ การทวงอานาจระหวา่ งค่ายเสรแี ละค่ายคอมมิวนิสต์ อยา่ งไรก็ดี การรวมกลุ่มของรัฐดังกล่าวยังไม่ถาวรและมั่นคงพอที่จะทาให้กลุ่มอานาจได้ (Bloc of Powers) ท้ังน้ีก็เป็น การยากที่จะรวมรัฐในเอเชียและแอฟริกาเป็นกลุ่มเดียวกัน เพราะแต่ละรัฐมีนโยบายไม่เหมือนกัน ทางลัด สนับสนุนค่ายคอมมิวนสิ ตจ์ ึงทาให้เกิดมกี ารขัดกนั ในเร่อื งนโยบายนอกจากนแี้ ต่ละรฐั มักคิดถึงผลประโยชนข์ อง ตนสาคัญกว่าผลประโยชน์ส่วนรวม และส่วนใหญ่มีความเห็นว่าการรวมกลุ่มอย่างแท้จริงไม่อาจเกิดข้ึนได้ ดังนั้น จงึ เป็นอุปสรรคต่อการรวมกลุ่มของรัฐดังกล่าว ถึงแมว้ ่าจะมีการรวมกลุ่มกันอย่างไม่มั่นคงและถาวร แต่ ละรัฐท่ีวางตัวเป็นกลางก็ไม่ได้น่ิงนอนใจในการพัฒนาประเทศ ได้มีการเร่งรัดพัฒนาประเทศโดยอาศัยความ ช่วยเหลือทางเศรษฐกิจจากท้ัง2 ฝ่ายในสงครามเย็นบ่อยๆ ทั้งนี้เพราะท้ังสหรัฐอเมริกาและโซเวียต ต่างก็ แข่งขันกันในด้านให้ความช่วยเหลือในทางเศรษฐกิจแก่ชาติท่ีเป็นกลาง โดยเฉพาะอย่างย่ิงในอัฟริกา ด้วย มุ่งหวังท่ีจะดึงเอาชาติที่เป็นกลางมาเป็นพวกตนตามความเป็นจริงแล้วสารัทธ์อเมริกาได้เปรียบกว่ารัสเซียใน ด้านการได้รับความสนับสนนุ จากรัฐในอัฟริกาท่ีเป็นกลาง เพราะว่าสหรัฐอเมริกาสร้างสนั ถวไมตรีกับรัฐเหล่านี้ โดยการให้ความช่วยเหลือด้วยอานาจเงินอย่างมหาศาล และมีความผูกพันกันหลายอย่างในด้านภาษา การศึกษา สถาบัน วัฒนธรรมรัสเซียจะชนะในเร่ืองการให้การสนับสนุนจากรัฐท่ีเป็นกลางในแอฟริกาได้ก็แต่ เฉพาะในกรณีท่ีสหรัฐอเมริกาวางท่าหย่ิงจองหอง และเห็นแก่ตัวไม่ยอมให้ความช่วยเหลือต่อรัฐท่ีเป็นกลาง เหลา่ นน้ั อกี ตอ่ ไป ชาตทิ ่ีเป็นกลางในรูป Non-Alignment ส่วนมากมุ่งที่จะสรา้ งอานาจทางการเมืองเพราะมคี วามเสี่ยงว่า อานาจทางการเมือง ช่วยให้ตนมีอานาจในการท่ีจะทาสิ่งใดได้โดยสะดวกรวดเร็วและได้ผล เพราะฉะนั้น ประเทศเหล่านี้จึงได้รวมการเข้าเป็นกลุ่ม เช่น การต้ังกลุ่ม อโฟร-เอเช่ียน (Afro-Asian Bloc) ในปี 1950 ใน องคก์ ารสหประชาชาติประสิทธิภาพของอานาจทางการเมืองของชาติที่เป็นกลาง ปรากฏให้เห็นจากการท่ีผู้นา ของชาติที่เป็นกลาง อาทเิ ช่น ซูการโ์ น จอมพลตีโต้ เอ็นครูมา นสั เซอร์ เเละเนรูห์ ได้ประสบความสาเร็จในการ ไกล่เกล่ีย สหรัฐอเมริกาและโซเวียต ให้ร่วมประชุมยุตติปัญหาระหว่างประเทศทั้งสองได้บางประการในปีค.ศ. 1960 อย่างไรก็ดี ชาตทิ ี่เป็นกลางชนิดไมฝ่ ักใฝ่ฝ่ายใดฝ่ายหนึ่ง มักประสบปัญหายุ่งยากในการสร้างอานาจทาง การเมืองของตน เพราะชาติท่ีเป็นกลางส่วนมากแล้วไม่มีการเมืองภายในท่ีมั่นคง การต่อสู้แย่งชิงอานาจกัน ภายในประเทศเพ่อื ตาแหนง่ ผู้นา การเมืองของประเทศเหล่านขี้ น้ึ อย่กู ับบุคลิกของผู้นากลมุ่ น้อย และผนู้ าสงู สุด ของประเทศ เพราะฉะน้ันเมื่อขาดผู้นาเมื่อใด โดยเฉพาะอย่างยิ่งผู้นาท่ีมีความสามารถประเทศก็อ่อนแอลง อย่างเห็นได้ชัด เนื่องจากประเทศเป็นกลางส่วนมากมีการปกครองท่ีข้ึนอยู่กับอานาจและความสามารถของ ผู้นาและชนช้ันกลุ่มผู้น้อย ดังนั้นการเมืองของประเทศเหล่านี้จึงไม่ค่อยมีความแน่นอน (Changeble) ถ้าหาก

สังเกตพฤติกรรมของชาติที่เป็นกลางให้ดีแล้ว พอจะสรุปได้ว่าชาติท่ีเป็นกลางในรูป Non-Alignment มักมี พฤติกรรม ไปในลักษณะไม่คงเส้นคงวา (Inconsistent) มีการเปล่ียนแปลงอยู่บ่อยๆ (Changeable) รุนแรง (Aggressive) รักท่ีจะอยู่ร่วมกันอย่างสันติภาพ (Peaceful coexstence) อะลุ่มอล่วยต่อกัน (Concilliatory) และบางครงั้ ก็เหน็ แกต่ วั (Self-Centered) อาจสรุปไดว้ า่ สภาพความเป็นกลางในปัจจบุ ันมีอยู่ 2 ชนิด ชนิดแรกได้แก่ความเปน็ กลางในแง่กฎหมาย ระหว่างประเทศหรือท่ีเรียกว่า Neutrality ซึ่งได้แก่ความเป็นกลางสลิปที่ไม่ยุ่งหรือเกี่ยวข้องกับสงคราม และ คูก่ รณีในสงครามจะต้องรับรู้สภาพความเป็นกลางน้ัน โดยไม่กระทาการใดๆอันเป็นการละเมิดอธิปไตยของรัฐ ท่ีเป็นกลาง ความเป็นกลางชนิดท่ีสอง ได้แก่ ความเป็นกลางที่ถูกเรียกว่า ลัทธินิยมความเป็นกลาง (Neutralism)แบบไม่ฝักใฝ่ฝ่ายหนึ่งฝ่ายใด (Non-Alignment) ท่ีทาสงครามเย็นกันอยู่ในปัจจุบันความเป็น กลางแบบ Neutralism น้ีมีอยู่ 2 ลักษณะด้วยกัน คือ แบบเชิงบวก (Positive Neutralism)แบบเชิงลบ (Negative Neutralism) ประเทศที่ยึดถือนโยบายแบบ Positive Neutralism เป็นประเทศซึ่งถือนโยบายไม่ ฝักใฝ่ฝ่ายตะวันตก และฝ่ายตะวันออกที่ทาสงครามเย็นและในเวลาเดียวกันมักจะเข้าไปทาหน้าท่ีเป็นตัวกลาง ไกล่เกล่ียข้อขัดแย้ง หรอื ก็รณีพิพาทให้คล่ีคลายไปในทางท่ีดี โดยถอื ว่า เปน็ ภาระหนา้ ทขี่ องตนที่จะตอ้ งทาเพ่ือ ลดความตงึ เครียดระหว่างประเทศ สาหรับประเทศทถ่ี อื นโยบายแบบ Negative Neutralism จะไม่ผูกพันหรือ ฝักใฝ่ฝ่ายหน่ึงฝ่ายใด และจะไม่เข้าไปยุ่งเก่ียวกับการขัดแย้งใดๆ เน่ืองจากประเทศท่ีถือนโยบายดังกล่าวมี ภาระหนา้ ที่อย่างมากท่ีจะต้องดูแลรบั ผิดชอบประเทศของตน ซึ่งส่วนใหญ่แล้วเป็นประเทศท่กี าลังพัฒนา และ มีฐานะยากจน ส่ิงที่คล้ายคร่ึงกันของประเทศท่ียึดถือนโยบายเป็นกลาง แบบเชิงบวกและเชิงลบน้ัน คือความ ต้องการความช่วยเหลือจากต่างประเทศ ท้ังจากประเทศฝา่ ยตะวันตกและฝ่ายตะวันออกถึงแมค้ วามเป็นกลาง ท้ัง 2 ชนิดน้ี จะไม่สามารถแก้ปัญหาทางการเมือง ความตึงเครียดหรือการขัดแย้งได้อย่างเต็มท่ี แต่ก็มี ความหวังว่าการร่วมการของชาติท่ีเป็นกลางอย่างปึกแผ่นในการรักษาสันติภาพของโลกจะเป็นพลังที่สาคัญใน การขัดขวางป้องกันไม่ให้การต่อสู้ระหว่างชาติเกิดข้ึน นอกจากน้ียังเป็นพลังในด้านการถ่วงดุลของท้ังสองฝ่าย ในสงครามเย็น ซ่ึงมักจะมเี ร่ืองการขดั แย้งอยู่เสมอ ดังนั้นความสาเร็จของชาตทิ ี่เป็นกลางในการรกั ษาสันติภาพ ย่อมขึ้นอยู่กับลักษณะการร่วมกันของชาติท่ีเป็นกลางว่า มีความมั่นคงและมีอานาจทางการเมืองขนาดไหนถึง จะทาใหป้ ระเทศมหาอานาจทัง้ 2 ฝ่ายในสงครามเยน็ ตอ้ งรบั ฟงั และปฏบิ ตั ิตามคารอ้ งของตน

บทท่ี 5 การขดั แย้ง การรกุ ราน และสงคราม การที่พิจารณาการขัดแย้ง การรุกราน และสงครามในบทน้ีด้วยกันก็เน่ืองจากเหตุท่ีว่า แต่ละเร่ืองมี ความเก่ียวเนื่องสัมพันธ์กันอย่างใกล้ชิดในข้อท่ีว่า การขัดแย้งอาจนาไปสู่การรุกรานและสงครามได้ในกรณีที่ รัฐท่ีอาจจะต่อรองตกลงกันได้ไม่ว่าจะใช้วิธีขั้นที่ 1,2 เเละ 3 ตามท่ีกล่าวมาแล้วในบทท่ี 3 จึงทาให้รัฐบางครั้ง ตัดสินใจใช้วิธีข้ันท่ี 4 คือ การใช้กาลังรุกรานรัฐอีกฝ่ายหน่ึง และรัฐที่ถูกรุกรานน้ันใช้กาลังเข้าตอบโต้เพ่ือ ป้องกันตนเอง ซ่ึงในท่ีสุดกลายเป็นสงครามต่อสู้กันระหว่างรฐั เพื่อทาความเข้าใจในเร่ืองน้ีให้ดีข้ึน จึงเห็นเป็น การสมควรพิจารณาการขัดแย้ง การรุกราน และสงคราม ออกเป็นหัวข้อ โดยพิจารณาเรื่องการขัดแย้งเป็น ลาดับแรก เพราะเป็นปัจจัยทสี่ ามารถนาไปสูส่ งครามและการรุกราน 1.การขัดแยง้ ระหว่างประเทศ( International Conflicts) จากการวิจัยค้นควา้ ของ ศาสตราจารย์ ควินซี่ ไร้ท (Quincy Wright) ปรากฏวา่ นับตั้งแต่ศตวรรษท่ี 16 เรือ่ ยมาจนถึงศตวรรษท่ี 20 มีการขัดแย้งเกิดขนึ้ ระหวา่ งประเทศโดยเฉลย่ี แล้ว 278 ครงั้ สาหรบั มลู เหตทุ ีน่ าไปสูก่ ารขัดแย้งระหวา่ งประเทศมีอยู่หลายประการท่ีนบั วา่ สาคญั ไดแ้ ก่ 1 ผลประโยชนข์ องชาตขิ ดั กัน 2 อดุ มการของรัฐขดั กนั 3 ความเขา้ ใจผดิ ซึ่งกันและกัน 4 ความทอ้ แท้ผดิ หวังต่อสภาพภายในอนั ไม่เปน็ ทพ่ี ึงพอใจของบางประเทศ (ตัวอย่างเช่น การที่จีนแดงเกิดขัดแยง้ กับอนิ เดียอย่างรนุ แรงในปีค.ศ. 1962น่าจะถือได้ว่าเกดิ จากการทีจ่ ีนแดง ประสบความผิดหวังในการพัฒนาอู่ตะษากัมระหว่างปีค.ศ. 1958 ถึง 1961 ซึ่งเป็นยุคก้าวกระโดด (Leap Year)ทจ่ี ีนแดงไกก้ าหนดเอาไว)้ และ 5.การไม่มั่นใจในระบบการรักษาความปลอดภัยและความมั่นคงร่วมกัน (Collective Security System) ขององค์การสหประชาชาติ ตัวอย่างเช่น ประเทศสมาชิกแห่งสหประชาชาติไม่ค่อยจะมั่นใจว่า องค์การสหประชาชาติจะรักษาความม่ันคงร่วมกันของสมาชิกท้ังมวลได้อย่างมีประสิทธิภาพ จึงได้พยายามหา วิธีรับประกันความมั่นคงของตนเองโดยการขยายกาลังอานาจ และอิทธิพลของตนออกไป ซ่ึงเป็นชนวนสาคัญ ท่ีนาไปสู่การขดั แย้งระหว่างประเทศอยเู่ สมอในอดตี และคาดว่าจะเปน็ ตอ่ ไปในอกี อนาคต การขัดแย้งระหว่างประเทศในอดีตหรืออีกนัยหนึ่งก่อนยุคนิวเคลียร์ (Nuclear Age) น้ันมีลักษณะที่ แตกต่างกับการขัดแย้งระหว่างประเทศในยุคนิวเคลียร์ปัจจุบัน กล่าวคือการขัดแย้งก่อนยุคนิวเคลียร์นั้น เกิดขน้ึ น้อยคร้ังกวา่ (เช่น เกิดขึ้นในบางแห่งเท่าน้นั เล่น เล่นตะวนั ออกไกล (Far East) บรเิ วณแหลมบอลข่าน และแอฟริกาเหนือ) แต่มีความรุนแรงมากกว่า ดังจะเห็นได้จากมีสงครามโลกเกิดข้ึนท้ังสองคร้ัง สาหรับการ ขัดแย้งระหว่างประเทศในยุคนิวเคลียร์นั้น เกิดขึ้นมากคร้ังกว่ากัน และแทบจะกล่าวได้ว่าเกิดข้ึนแทบจะทุก

ส่วนภูมิภาคในโลก แต่มีลักษณะที่รุนแรงน้อยกว่า เพราะไม่เคยปรากฏมีสงคราม เบ็ดเสร็จ (Total Warfare) เกิดขน้ึ แต่ประการใด ทีม่ ีลักษณะแตกต่างกนั ดงั กล่าวอาจเน่ืองมาจากสาเหตุ 2 ประการคอื ก. ดินแดนที่ประเทศมหาอานาจท่ีจะเข้าไปแย่งกันในสมัยก่อนมีอยู่น้อยมากโอกาสที่จะขัดแย้งและ ปะทะกันจึงมีน้อย แต่ในยุคปรมาณูประเทศเอกราชเป็นจานวนมาก ซ่ึงประเทศมหาอานาจมีความปรารถนา ต้องการแพอิทธิพลของตนเข้าไปในประเทศเหล่านี้ ก็ย่อมเป็นท่ีแน่นอนว่าก่อให้เกิดการขัดแย้งขึ้นในประเทศ เหลา่ น้ี รวมท้งั ในสว่ นภมู ิภาคทม่ี ีความสาคัญในทางยุทธศาสตร์อย่บู ่อยๆ ข. การขัดแย้งกันระหว่างประเทศมหาอานาจ ทางด้านอุดมการทางการเมืองในยุคปรมาณูมีส่วนทาให้ เกิดการขัดแย้งระหว่างประเทศบ่อยครงั้ การขัดแย้งระหว่างประเทศในยุคนิวเคลียร์ เท่าที่ปรากฏมาแล้วและท่ีกาลังเป็นอยู่ในยุคปัจจุบันอาจแบ่งได้ ออกเป็น 3 ประเภทคอื ก. การขัดแย้งระหว่างประเทศมหาอานาจโดยตรง เช่น สงครามเย็นระหว่างประเทศมหาอานาจใน ปจั จุบนั เปน็ ตน้ ข. การขัดแย้งระหวา่ งประเทศในภูมิภาคหนง่ึ ภูมิภาคใด ซ่ึงประเทศมหาอานาจได้เข้าไปมีส่วนเกยี่ วข้อง เช่น ตะวันออกกลาง เป็นต้น ค. การขัดแย้งระหว่างกลุ่มการเมืองภายในประเทศหนึ่งประเทศใด ซ่ึงประเทศมหาอานาจเข้าไปมีส่วน เก่ียวขอ้ ง เช่น กร็ ณีเวียดนาม แองโกลา่ ในทวปี แอฟรกิ า เป็นต้น ในกรณีการขัดแย้งเกิดขึ้นระหว่างประเทศ รักท่ีเป็นคู่กรณีพิพาทอาจมอบเรื่องให้องค์การระหว่าง ประเทศพิจารณาหาทางระงับ หรืออาจใช้วิธีการต่อรองระหว่างประเทศ (International Bargaining) ดังที่ กล่าวมาแล้วในบทท่ี 3 ซ่งึ มี 4 ขั้นมาใช้ คือ 1.ขนั้ เจรจาตอ่ รองโตเ้ ถยี ง 2.ขนั้ การให้คามั่นสญั ญา 3.ขน้ั การใช้วธิ คี ุกคามขม่ ขู่ และ 4.ขั้นวิธีใช้กาลังเข้าบังคับ และถึงแม้ว่ามาตรา2อนุ4 แห่งกฏบัตรสหประชาชาติจะได้ห้ามีให้รัฐทาการ ข่มขู่วา่ จะใช้กาลงั หรือใช้กาลงั ละเมิดบูรณภาพดินแดนและเอกราชทางการเมืองก็ตาม แต่กไ็ ม่คอ่ ยไดร้ ับความ เคารพจากประเทศสมาชิกมากเท่าใดนัก ดังนั้นจึงมักปรากฏอยู่บ่อยๆว่า ประเทศสมาชกิ บางประเทศก็ทาการ ในขั้นท่ี 3 และบางคร้ังอาจเลยไปถึงขั้นท่ี 4 โดยท่ีองค์การสหประชาชาติไม่อาจที่จะกระทาการยับยัง หรือ ระงับได้แต่ประการใด 2.การรกุ ราน (Aggression) คาว่า\"รุกราน\"ของรัฐมีความหมายสองนัย กล่าวคือ พิจารณาตามตัวอักษรแล้วก็มักเก่ียวกบั ท่าทีทางจติ ใจของ มนุษย์ เช่น จิตใจชอบก้าวร้าวรุกราน (Aggressive Mind) หรือเก่ียวกับการกระทาของรัฐท่ีไม่มีความรู้สึกผิด ชอบในการสู้รบ คาวา่ \"รกุ ราน\"ตามความรู้สึกโดยท่ัวไปแล้วมีมูลฐานมาจากความอยุติธรรม เช่น ลูกตาลเข้าไป

โจมตีข่มเหง (Unprovoked Attack) อย่างไรก็ตาม การรุกรานน้ีอาจสืบเน่ืองมาจากความเป็นธรรมก็ได้ เหมือนกัน ดังนั้นจึงเป็นการไม่ง่ายนักท่ีจะวินิจฉัยว่า การกระทาอย่างไรจึงจะเข้าอยู่ในความหมายของคาว่า \"รุกราน\" นักประวตั ิศาสตร์และนักนิติศาสตร์ได้ถูกเถียงกันมากเกี่ยวกับคาว่า รุกราน แต่ก็ไม่สามารถจะลงเอยได้ ว่ามีความหมายเพียงใด การรุกรานเป็นคากว้างยากท่ีจะจากัดขอบเขตและทั้งการพิจารณานโยบายของรัฐ ประกอบด้วยแม้จะสามารถจากัดความลงได้ก็ยังคงมีปัญหาต่อไปอีกว่าคาจากดั ความนี้ที่มีอยนู่ ้ันไมส่ ามารถจะ ครอบคลุมถึงวธิ ีการลกู ตาลแบบอน่ื ๆที่เกิดขึน้ ในอนาคต ในเดือนพฤษภาคมค.ศ. 1933 คานิยามท่ีเกยี่ วกับการรุกรานได้ถูกกาหนดขนึ้ โดยคณะกรรมการรถอาวุธ ดังตอ่ ไปนคี้ ือ รกั ที่ลงมือกระทาอย่างหนงึ่ อยา่ งใดดงั ต่อไปนถ้ี ือวา่ เปน็ การรุกราน 1.ประกาศสงครามกับรัฐอน่ื ๆ 2.ใช้อาวุธบกุ เข้าไปในดนิ แดนของรัฐอื่นไม่วา่ จะประกาศสงครามหรือไมก่ ็ตาม 3.โจมตีดินแดน เรือ หรือ อากาศยานของรฐั อ่นื ๆ 4.ทาการปิดฝัง่ ทะเลหรือท่าเรอื ของรัฐอ่นื นอกจากน้ีแล้วยังมีนักวิชาการหลายท่าน เช่น ควินซ่ี ไรท์ ได้พยายามให้คานิยามและความเห็นว่า \"รัฐ ไม่จาเปน็ จะตอ้ งใช้กาลงั รุกรานกนั รัฐอาจใช้วธิ อี ืน่ ในการแกไ้ ขป้องกนั โดยมิต้องใชก้ าลัง\" ได้มกี ารพยายามท่จี ะตงั้ คานยิ ามของการรุกรานขึ้นภายหลังสงครามโลกครง้ั ท่ี 2 ตามมาตรา 39 เหน็ กฎ บัตรสหประชาชาติหมวดท่ี 7 ว่าด้วยการดาเนินการเกี่ยวกับการคุกคามต่อสันติภาพ การละเมิดสิทธิและการ กระทาการรุกราน ได้ให้อานาจอย่างกว้างขวางแก่คณะรัฐมนตรีความมั่นคง (Security Council) ในการ พิจารณาว่าการกระทาอันใดเป็นการกระทาท่ีรุกราน การรุกราน และเมื่อพิจารณาแล้วเห็นว่ามีการรุกราน เกิดข้ึน คณะมนตรีความมั่นคงมีอานาจให้คาปรึกษาในการใช้มาตรการท่ีระบุไว้ในมาตรา 41 และ 42 ต่อ ประเทศท่ีรุกรานหรือคุกคามต่อสันติภาพ ทั้งนี้เพ่ือรักษาไว้ซึ่งสันติภาพและความม่ันคงระหว่างประเทศ เพราะฉะน้ัน จาเป็นที่จะต้องมีคานิยามเก่ียวกับการทารุณ ให้ลงโทษผู้ทาสงครามรุกรานได้ถูกต้องย่ิงข้ึน คณะกรรมการกฎหมายระหว่างประเทศประเชิญกับปัญหาในการนิยามคาว่า รุกราน ว่าควรนิยามให้เป็น ถ้อยคาท่ัวๆไปหรือควรระบุถึงการกระทาด้วย ที่สุดก็ได้ให้คานิยามว่า \"การรุกรานให้รวมถึงการกระทา บางอย่างซ่ึงอาจมีการโต้แย้งได้\" เช่น การคุกคามว่าจะทาการรุกราน การเตรียมการใช้กาลังอาวุธหรือการก่อ ความวุ่นวายให้แก่รัฐอ่ืนๆยกเว้นการป้องกันตัวโดยส่วนรวมหรือการกระทาโดยมติของสหประชาชาติไม่ถือว่า เป็นการรุกราน ในปีค.ศ. 1950 โซเวียตได้เสนอให้มีการต้ังคาจากัดความเกี่ยวกับคานิยามของคาว่า\"รุกราน\" ข้ึน แต่เนื่องจากการสร้างคาจากัดความในเรื่องดังกล่าวมีความยุ่งยากสลับซับซ้อน สมัชชาใหญ่แห่ง สหประชาชาติจึงได้มอบภาระในการสร้างค่ะจากัดความให้แก่คณะกรรมการพิเศษ (Special Committee) แต่ปรากฏว่าล้มเหลว ประมาณในปีค.ศ. 1967 โซเวียตได้ริเร่ิมขอร้องให้สมัชชาใหญ่แห่งสหประชาชาติจัดต้ัง คณะกรรมการพิเศษใหม่อีกคร้ังหนึ่ง เพ่ือทาการพิจารณาตั้งคาจากัดความของคาว่า\"รุกราน\"ข้ึน

คณะกรรมการชุดนี้ประกอบด้วยสมาชิก 35 ประเทศ เรื่องอยู่ตามบริเวณภูมิภาคต่างๆท่ัวโลก ท้ังน้ีได้มีการ โต้เถียงเป็นเวลา 7 ปี คณะกรรมการได้จัดตั้งคานิยามเก่ียวกับการรุกรานข้ึนด้วยความเห็นชอบของประเทศ สมาชิกอย่างเป็นเอกฉันท์คานิยามดังกล่าวได้ถูกนามาใช้โดยสมัชชาใหญ่แห่งสหประชาชาติในปีค.ศ. 1974 ดว้ ยความเห็นชอบของประเทศสมาชิกสหประชาชาติ 138 ประเทศโดยเฉพาะมาตรา 3 ไดก้ าหนดการกระทา ท่ีถือว่าเป็นการรุกรานไว้หลายอย่าง อาทิเช่น การรุกราน การโจมตี การยึดครองทางด้านการทหารการใช้ อาวุธใดๆต่อรัฐหรือดินแดนอื่นๆการปิดล้อมเมืองท่าหรือชายฝ่ัง เป็นต้น อย่างไรก็ตาม บัตรสหประชาชาติใน ปัจจุบัน ก็คงมอบอานาจอย่างกวา้ งขวางในการใช้ดุลพินิจในการพิจารณาและวินิจฉัยว่าการกระทาอย่างไรจึง จะเขา้ ข่ายในความหมายของการรกุ ราน 3.สงคราม (War) 3.1 คานยิ าม คาว่า \"สงคราม\" มีผู้ให้คานิยามอยู่หลายท่านด้วยกัน ซึ่งส่วนใหญ่มักหมายถึงการต่อสู้ด้วยกาลังอาวุธ ระหว่างท้ังสองฝ่าย อาทิเช่น ควินซ่ี ไรท์ กล่าวว่า \"สงคราม คือการต่อสู้ระหว่างรัฐคู่ปรปักษ์\" อย่างไรถึงจะ เรียกว่าสงครามนั้นกย็ ังเป็นปัญหาอยู่เพราะไมม่ ีความนิยามกาหนดลักษณะไปโดยเฉพาะการต่อสู้ขนาดไหนถึง จะเรียกว่าสงคราม นักวิชาการส่วนใหญ่มักมีความคิดเห็นว่า ต่อสู้น้ันจะต้องมีลักษณะรุนแรงดังเช่น คาร์ล วอน เคลาส์วิทซ์ นักวิชาการชาวเยอรมันได้ให้คานิยามว่า \"สงคราม ได้แก่การกระทาชนิดรุนแรง ซ่ึงมุ่งบังคับ คปู่ รปักษใ์ หก้ ระทาตามเจตจานงของตน\" คาวา่ สงครามนีอ้ าจให้คานิยามงา่ ยๆวา่ เปน็ การต่อส้กู ันระหว่างรัฐส่ง ไฟล์ โดยฝ่ายหนึ่งต้องบังคับอีกฝ่ายหน่ึงด้วยกาลังอาวุธให้กระทาตามส่ิงท่ีตนประสงค์ ซึ่งจะเห็นได้ว่าความมุ่ง หมายในการทาสงครามคือ ต่างฝ่ายต่างพยายามที่จะเอาชนะด้วยกาลังคน กาลังอาวุธเเละกิจกรรมแห่ง สงคราม เช่น การโฆษณาชวนเชื่อ การสืบราชการลับ เป็นต้น ก่อนสงครามโลกครั้งที่ 2 สงครามไม่มีขอบเขต จากัดตราบเท่าท่ีสงครามน้ันดาเนินไปตามหลักกฏหมายระหว่างประเทศและแม้แต่กติกาสันนิบาตชาติก็ไม่ได้ ห้ามสงครามไว้อย่างเด็ดขาด ในปัจจุบันการทาสงครามได้ถูกห้ามโดยกฎบัตรสหประชาชาติมาตรา 2 วรรค 3 และ 4 ยกเว้นการใช้กาลังอาวุธเพื่อประโยชน์ร่วมกันในการ รักษาสันติภาพ และความม่ันคงระหว่างประเทศ เท่าท่ีกฎบัตรสหประชาชาติอนุญาต (ดูกฎบัตรสหประชาชาติมาตรา 42 เเละ51) จะเห็นได้ว่า การใช้กาลัง อาวุธเพ่ือประโยชนร์ ่วมกันในนามขององคก์ ารสหประชาชาติเป็นการทาสงครามตามกฏบัตรสหประชาชาติ ซึ่ง ถือว่าเป็นการกระทาท่ีชอบด้วยกฎหมาย นอกจากน้ีแล้วกฎบัตรสหประชาชาติยังอนุญาตให้รัฐใช้กาลังอาวุธ ป้องกันสิทธิของตนได้ในกรณีจาเป็นและถ้าจะใช้สิทธิดังกล่าวก็ต้องแจ้งให้คณะมนตรีความมั่นคงแห่ง สหประชาชาติทราบทันที (รู้เรื่องการใช้สิทธิป้องกันตัวตามมาตรา 51 แห่งกฏบัตรสหประชาชาติ) ฉะน้ัน องค์การสหประชาชาติจึงเปรียบเสมือนเป็นตัวควบคุมการทาสงคราม หรือกล่าวอีกนัยหนึ่งกฎบัตร สหประชาชาติถ้าไม่ให้รัฐใช้สงครามเป็นเคร่ืองมือในการดาเนินนโยบายซึ่งจะนาไปสู่การทาลายสันติภาพและ ความสงบสขุ ของโลก ในกรณีท่ีจาเป็นจริงๆเท่านนั้ ที่องค์การสหประชาชาติเห็นชอบด้วยการทาสงคราม ท้ังน้ีก็

เพ่ือรักษาสันติภาพและความมั่นคงระหว่างประเทศให้ยืนยาวไม่ดับสลายไปเหมือนสมัยสงครามโลกครั้งท่ี 1 และ 2 ทลี่ ูกได้ประสบมา 3.2 ววิ ฒั นาการของสงคราม ถา้ พจิ ารณาทางด้านประวัติศาสตร์จะเห็นวา่ การรบพุ่งต่อสู้กันเปน็ ของธรรมดาของมนษุ ย์ต้ังแต่สมัยดึก ดาบรรพ์ จากหลักฐานท่ีว่ารักโบราณคดีขุดค้นพบ ซ่ึงเป็นรูปทหารสมหมวกเหล็กถือหอก ถือโล่ เป็นหลักฐาน อย่างเพียงพอท่ีจะสันนิษฐานได้ว่า สง่ ข้อความหรือการต่อสู้ระหว่างมนุษย์ได้มีมานานแลว้ หลาย 100 1000 ปี ต้งั แตส่ มัยคนป่ามาจนถึงสมัยปัจจุบันและแต่ละสมัยไม่ว่าจะเป็นสมัยคนปา่ สมัยนครรัฐกรีก โรมัน ฟวิ ดัล หรือ ในปัจจุบันต่างก็มีกฎเกณฑ์ข้อบังคับเก่ียวกับการทาสงครามไว้ท้ังสิ้น (ดูด็อกเตอร์ดิเรก ชัยนาม ประวัติความ เก่ียวพันระหว่างประเทศหน้า 1-4)ในสมัยโบราณการทาสงครามเป็นต่อสู้กันเพื่อแย่งชิงอานาจหรืออีกในหน่ึง เพื่อแสวงหาอานาจลักษณะดังกลา่ วมีลักษณะคล้ายคลึงกับความคิดเห็นของ ฮาโรลด์ เเละ มากาเร็ต สเปร้าท์ ซึ่งมีความเห็นว่า \"สงครามเป็นเทคนิคที่ผู้นาของรัฐชอบใช้ในการแสวงหาอานาจ\" จากภัยพิบัติของสงคราม จากสถติ ิการรพพงุ่ ท่ีถือวา่ เป็นสงคราม นับตัง้ แตพ่ .ศ. 2288 (ค.ศ. 1745) จนถึงพ.ศ. 2488 (ค.ศ. 1945)ซ่ึงเป็น ปีที่สงครามโลกครั้งท่ี 2 ส้ินสุดลง มีสงครามเกิดขึ้นเป็นจานวนมาก ซ่ึงสงครามดังกล่าวบ้างก็ทาเพ่ือรักษา ดลุ อานาจ เรากอ็ ยู่ในรถสงครามกลางเมืองเพื่อขอเอกราชบ้างก็เป็นไปในรูปสงครามจักรวรรดิเพื่อขยายอานาจ อิทธิพลและดินแดน บ้างก็เป็นสงครามในแบบป้องกันตัว ในจานวนนี้มีสงครามท่ีสาคัญๆพอจะแยกได้ ตามลาดบั ดังต่อไปนค้ี อื 1.สงครามฟอนเตนอย ระหว่าง องั กฤษ ฮอลแลนด์ และรัสเซีย ในค.ศ. 1745 2.สงครามเจ็ดปีระหวา่ ง รสั เซีย อังกฤษ กับ ออสเตรีย ฝร่ังเศส และรสั เซยี ค.ศ. 1756-1763 3.สงครามโรสแบค ระหวา่ ง รสั เซีย กบั ฝรัง่ เศสค.ศ. 1757 4.สงครามวาลมี ระหว่าง ฝร่ังเศส กับ รัสเซยี ค.ศ. 1792 5.สงครามลิพซกิ ระหว่าง ฝรั่งเศส กับ กลุม่ ประเทศผสม ค.ศ. 1813 6.สงครามโปเลยี น ค.ศ. 1803-1815 7.สงครามท่อี ่าวนาวาริโน ระหวา่ ง องั กฤษ และฝร่งั เศส กับ ตุรกี และอียปิ ต์ ค.ศ. 1827 8.สงครามระหว่าง รสั เซีย และ ตรุ กี ค.ศ. 1828 9.สงครามระหวา่ ง ตรุ กี และ อยี ปิ ต์ ค.ศ. 1839 10.สงครามไครเมยี ระหว่าง องั กฤษ และ ฝรงั่ เศสกับ รัสเซีย ค.ศ. 1854-1856 11.สงครามระหว่าง ฝร่ังเศส และ ออสเตรีย ค.ศ. 1859 12.สงครามระหวา่ ง ออสเตรยี และ รสั เซีย ค.ศ. 1866 13.สงครามระหว่าง ฝรั่งเศส และ รัสเซีย ค.ศ. 1870-1871 14.สงครามโลกครงั้ ท่ี 1 ค.ศ. 1914 ถึง 1920 15.สงครามโลกครง้ั ที่ 2 ค.ศ. 1939 ถงึ 1945

16.สงครามเกาหลี ค.ศ. 1950-1953 17.สงครามสุเอซระหว่าง อังกฤษ ฝรง่ั เศสอสิ ราเอล และ อยี ิปต์ ค.ศ. 1957 18.สงครามเวยี ดนามระหวา่ ง เวยี ดนามใต้สหรฐั อเมรกิ า กบั เวียดนามเหนือ ค.ศ.1960-1976 3.4 สมมติฐานของสงคราม (ก)สาเหตุทางจิตใจ (ข)สาเหตุทางเศรษฐกจิ (ค)สาเหตุทางการเมอื ง (ง)สาเหตทุ างสงั คม (ก)สาเหตุทางจิตใจ จิตใจของมนุษยส์ ามารถทาให้เกิดสงครามไดโ้ ดยเฉพาะอยา่ งย่ิงจติ ใจของชนชัน้ ผนู้ าประเทศ จติ ใจท่อี าจ กอ่ ใหเ้ กดิ สงครามนั้นขน้ึ มีอยู่หลายลกั ษณะด้วยกัน คอื ลักษณะประการแรก ไดแ้ ก่ การท่ีมีจติ ใจหวาดกลัวไปวา่ ชาติของตนไม่ปลอดภัยบ้าง หรอื กลัววา่ ชาตอิ ื่น จะยกกองทพั เขา้ มาตบี ้าง เด๋ยี วนีเ้ ปน็ ต้น ลักษณะประการที่สอง ได้แก่ การที่มีจิตใจขีร้ ะแวงสงสัย ลักษณะประการที่สาม ได้แก่ มีจิตใจละโมบ อยากได้ของคนอื่นเขาอันไม่ชอบด้วยเหตุผล (Irrational Nature) ซ่งึ ในลักษณะดงั กลา่ วตรงกบั ที่ ยอร์ช เคนเเนน ไดก้ ลา่ วไว้ ลกั ษณะประการที่ส่ี ได้แก่ การที่มจี ิตใจกระหายในอานาจ พยาบาท เกลยี ดชงั การมีจติ รษิ ยากลวั วา่ ชาติอ่ืนจะ ดกี ว่าตน เป็นต้น (ข) สาเหตทุ างเศรษฐกิจ สงครามที่เกิดขึ้นจากสาเหตุทางเศรษฐกิจมักได้แก่ การท่ีพวกจักรวรรดินิยมทาการรุกรานเพ่ือแสวงหา ดินแดนใหม่ๆ อันจะเป็นประโยชน์แก่ตนในทางเศรษฐกิจเช่น เยอรมันโจมตีประเทศต่างๆในยุโรปใน สงครามโลกคร้ังที่สองก็เพ่ือหาทางขยายดินแดนของตนออกไป ซึ่งประเทศที่ถูกโจมตีก็ต้องต่อสู้ป้องกันเพ่ือ รักษาดินแดน บางทีชาติ 2 ชาติก็ทาสงครามกันเพื่อแย่งชิงดินแดนของประเทศที่สาม ตัวอย่างเช่น รัสเซียกับ ญี่ปุ่นทาสงครามเมื่อค.ศ. 1904 เพื่อแย่งเกาหลี หรือ อังกฤษรบกับฝร่ังเศสเพื่อแย่งชิงประเทศอินเดีย เป็นต้น บางคร้ังการแข่งขันแก่งแย่งกันเพื่อหาตลาด แหล่งทรัพยากรหรือพลังงานตลอดจนวัตถุดิบท่ีสาคัญอาจทาให้ เกดิ สงครามขน้ึ ได้ (ค) สาเหตุทางการเมือง สงครามท่เี กิดขึ้นจากสาเหตทุ างการเมือง มักจะเก่ียวข้องกบั เรื่องความพยายามที่จะรักษาซ่ึงดลุ อานาจ การทา สนธิสัญญาลับ การทาสนธิสัญญาไมเ่ ป็นธรรม การละเมิดสนธิสญั ญา การไม่คานึงถงึ สิทธขิ องชนหมนู่ ้อย ซึ่งทา ให้เกิดสงครามกกลางเมืองหลายครั้งในอดีต การจัดเตรียมองค์การภายในรัฐเพื่อทาสงครามและกลไกทางการ

เมืองภายในทางานไม่เป็นผลหรือเจออุปสรรค จึงทาให้ประชาชนส่วนมากเกิดความไม่พอใจ จึงทาให้เกิดการ ต่อสเู้ พอ่ื ลม้ ล้างรฐั บาลโดยหวังท่ีจะจดั ตง้ั กลไกทางการเมืองภายในขน้ึ มา (ง) สาเหตุทางสังคม สงครามซ่ึงเกิดจากสาเหตุทางสังคมนั้นอาจจะเข้าใจยากเพ่ือง่ายต่อการเข้าใจจึงขอแยกสาเหตุทางสังคม ออกไปเป็นส่วนย่อยๆว่าหมายถึงอะไรบ้าง สาเหตุทางสังคมที่นับว่าเป็นสิ่งสาคัญท่ีนาไปสู่สงคราม ได้แก่ การ หลงชาติ (เช่น ฮิตเลอร์ ลงชนชาติของตนว่าเหนือกว่าชนชาติอื่นใด และมีความคิดเห็นว่าชนชาติของเยอรมัน เปรียบเสมือนชนชาติอารยันซึ่งมีวัฒนธรรมและความเจริญก้าวหน้ามากกว่าใครๆและชาติ ของตนเท่านั้น เหมาะสมที่จะเป็นผู้ครองโลก) การแข่งขนั สะสมอาวุธ(เชน่ สหรัฐอเมรกิ ากบั สภาพโซเวยี ตต่างก็แข่งขนั กันผลิต อาวุธนิวเคลียร์ ซ่ึงในท่ีสุดต่างก็พยายามที่จะหาทางตกลงกันในเรื่องการลดกาลังอาวุธแต่ก็ล้มเหลว)การเป็น ปรปกั ษต์ อ่ กนั ในทางศาสนาและเชอ้ื ชาตใิ นการไม่สนใจในความทุกขร์ ้อนของชาตอิ นื่ เปน็ ต้น จะเหน็ ได้วา่ สาเหตุท่ีนาไปสูส่ งครามมีมากและสงครามคร้ังหน่ึงๆ อันสืบเน่ืองมาจากสาเหตุหลายสาเหตุ ในเวลาเดียวกัน ส่วนใหญ่แล้วสงครามเกิดข้ึนเน่ืองจากประเทศทั้งสองฝ่ายมีความเห็นเดิมมีส่วนได้เสียขัดกัน อย่างรนุ แรง จนไม่อาจตกลงกันได้โดยสันติวิธี แม้ว่าจะใช้วิธกี ารต่อรองหลายอย่างก็ตาม เพ่ือแก้ปัญหามูลเหตุ ตา่ งๆดังท่ีกลา่ วมาน้ีผู้ร่างกฏบัตรสหประชาชาติจึงไดพ้ ยายามร่างกฎบัตรโดยมุ่งขจัดสาเหตตุ ่างๆ ท่ีอาจนาไปสู่ สงครามให้มากท่ีสุดเท่าที่จะทาได้ ดังจะเห็นจากคาปรารภของกฎบัตรและความประสงค์ในหลักการตาม มาตรา1 และมาตรา2 ในโลกปจั จบุ นั ปญั หาทส่ี าคญั ซึง่ ปรากฏอยูแ่ ละไม่อาจแก้ไขได้ก็คือ การแขง่ ขนั กันในลทั ธิ ระหว่างรัฐที่คอมมิวนิสต์และลัทธิเสรีประชาธิปไตยซ่ึงต่างฝ่ายต่างก็ทาสงครามทางการเมืองกันอยู่เป็นประจา เช่น การโฆษณาชวนเช่ือและการก่อกวน และการบ่อนทาลาย เป็นต้น ค่าส่งอาจจะเกิดข้ึนในอนาคตน่ันก็ หมายความว่าเป็นสงครามระหว่างค่ายเสรีประชาธิปไตยและค่ากาเหน็จ ซ่ึงเป็นเรอ่ื งที่จะตอ้ งค่อยๆดูกันต่อไป แต่อย่างไรก็ตามมนุษย์ก็ไม่อยากที่จะให้สงครามเกิดขึ้น จึงได้จัดตั้งองค์การสหประชาชาติขึ้น ควบคุม พฤติกรรมของชนชาตติ ่างๆให้อยู่ในกรอบแหง่ ความชอบธรรม ผลของการทางานขององค์การสหประชาชาตใิ น การรักษาไว้ซ่ึงสันติภาพและความม่ันคงของโลกจะสาเร็จแค่ไหนนั้น สงครามเวียดนามเป็นคาตอบที่ดีท่ีสุดใน เร่อื งนี้ 3.5 ผลของสงคราม สงครามก่อให้เกิดความเสียหายหลายอย่าง นับต้ังแต่ทรัพย์สินข้ึนไปจนถึงชีวิตมนุษย์ นอกจากนี้ยังมี การเสียหายอื่นๆอีกหลายอย่างซ่ึงไม่อาจคานวณได้ถ้าพิจารณาโดยทั่วไปแล้วสงครามขอให้เกิดผลเสียหาย 4 ประการด้วยกันคือ (ก)ผลเสียหายในทางเศรษฐกจิ (ข)ผลเสียหายทางสงั คม (ค)ผลเสยี หายทางดา้ นชวี วิทยา (ง)ผลเสียหายทางดา้ นศีลธรรม

(ก)ผลเสยี หายในทางเศรษฐกจิ ผลเสียหายทีป่ รากฏในดา้ นเศรษฐกิจอนั เน่อื งจากภัยพิบัตขิ องสงครามนั้นมีอยหู่ ลายอย่างดว้ ยกนั ประการแรก สงครามทาลายชวี ิตมนุษย์เป็นจานวนมาก ฉันสงครามโลกครัง้ ท่ี 1 มีทหารของท้ังสองฝ่าย เสียชีวิตประมาณ 8,600,000 คนและสงครามโลกครั้งที่ 2สหภาพโซเวียตมีทหารตาย 7,500,000 คนและ พลเมืองตายเพราะอดอาหารเป็นโรคและถูกฆ่าตายประมาณ 25,000,000 คนจีนตาย 2,000,000 คนญี่ปุ่น ตาย 140,000 คนอังกฤษตาย 300,000 คนสารทั ธอ์ เมรกิ าไป 300,000 คนอิสเตอร่ี 300,000 คนและฝรัง่ เศส ตาย 200,000 คนจานวนที่กล่าวมาเป็นเพียงจานวนท่ีประมาณเอา ส่วนค่าเสียหายในทางเงินทองนั้นปรากฏ ว่าในสงครามโลกครั้งที่ 1 นั้น ค่าเสียหายทั้งหมดของทุกฝ่ายมีประมาณ 200,000,000,000 เหรียญอเมริกัน สาหรับสงครามโลกคร้ังท่ี 2 น้ัน มีความเสียหายมากกว่าสงครามโลกครั้งท่ี1 ประมาณ 5 เท่า จะเห็นได้ว่า สงครามก่อให้เกิดผลเสียหายทั้งในด้านชีวิตมนุษย์และเงินทองอย่างมากมาย ซึ่งถ้าหากเอาเงินจานวนดงั กล่าว มาใช้ในการเลี้ยงพลเมืองของโลกแล้ว ปัญหาเรื่องความอดอยาก ความหิว ความล้าหลังต่างๆซึ่งปรากฏอยู่ใน ปัจจุบันจะรถนอ้ ยลงไปอย่างมากทีเดยี ว ประการท่ีสอง สงครามทาลายทรัพยากรธรรมชาติ เช่น ถ่านหิน บ่อน้ามัน ซ่ึงเม่ือถูกทาลายไปแลว้ ยาก ที่จะหาสิ่งอ่ืนมาทดแทนกันได้ว่าทรัพยากรธรรมชาติถูกทาลายเหลือน้อยลง ราคาของทรัพยากรธรรมชาติก็ ย่อมจะสงู ขน้ึ ผลกค็ ือ ทาใหค้ ่าของชพี สงู ข้ึนเป็นเงาตามตวั ไปดว้ ย ประการที่สามสงครามมีผลทาให้เศรษฐกิจของประเทศเกิดความป่ันป่วนภายในประเทศ รัฐบาลต้อง เก็บภาษีสูงเพื่อนเพราะต้องหาเงินมาใช้ การวา่ งานเพ่ิมขึ้นซ่ึงเหตุการณ์ต่างๆเหล่านี้เกิดข้ึนในแทบทุกประเทศ ประเทศท่ีมีรายได้จากการค้าประเทศสงครามทาให้การค้าชงักลง รายจ่ายของประเทศจะเพ่ิมขึ้นมากจนใน ท่ีสุดรัฐบาล เอาธนบัตรจาเลยออกมามากขึ้น ราคาของเงินก็ตกต่าลง ของแพงขึ้น ตัวอย่างเช่น ประเทศที่แพ้ สงครามธนบตั รของประเทศน้ันแทบไม่มีราคาเลย ความมีค่าของเงนิ มารเ์ ยอรมันหลังสงครามโลกคร้งั ที่ 1 และ ครัง้ ท่ี 2 เป็นอทุ าหรณท์ ด่ี ใี นเรื่องน้ี และผลแหง่ การทคี่ ่าเงนิ ตกตา่ ลงมาทาให้ผู้คนล้มจมไปเปน็ จานวนมาก (ข) ผลเสียหายทางสังคม ผลเสียหายในทางสังคม ซงึ่ เกิดขึ้นจากสงครามที่เหน็ ได้ง่าย คือ มนษุ ย์มใี จร้ายมากข้ึนโดยเห็นชวี ติ เพือ่ น มนุษย์เป็นส่ิงที่ไม่มีค่า ทหารที่ถูกปลดจากประจาการกลับเอาไปแล้วความโมโหโกรธาใครก็พากันไปทาไรกัน ง่ายๆ ดังมีตัวอย่างมากมายในยุโรป ท้ังน้ีก็เพราะพวกอาหารท่ีถูกปลดจากประจาการเราน้ันมีความเคยชินใน การฆ่ามนุษย์ในสนามรถโจทก์เห็นว่าการฆ่าเป็นส่ิงธรรมดาเสียเหลือเกิน นอกจากนี้แล้วผมคงส่งภาพในทาง สังคมอีกประการหน่ึงก็คือสงครามทาให้รัฐบาลของประเทศไม่คิดทานุบารุงบ้านเมือง เพราะมัวแต่ยุ่งกับการ กระทาทุกๆอย่างเพ่ือให้ประเทศของตนชนะสงคราม เพราะฉะน้ัน ถ้าหากประเทศน้ันเกิดแพ้สงครามฐานะ ของประเทศกต็ กต่าลงอย่างมากภาวะเศรษฐกจิ และสังคมทรุดโทรม เพราะไม่ได้มกี ารทะนุบารุงกันในระหว่าง สงคราม (ค) ผลเสียหายในทางชวี วิทยา

สงครามทาให้เกิดผลเสียหายในทางชีววิทยาหลายด้านด้วยกัน ที่เห็นได้ชัดได้แก่การทาให้อนามัยของ มนุษยเ์ สื่อมลงเพราะชายฉกรรจ์ท่เี หลือจากสงครามเกิดมาเป็นพวกทอ่ี ยูใ่ นเขตหลัง ไม่ได้ออกไปรบแต่เป็นพวก ท่ีมีร่างกายไม่สมบูรณ์ เดิมไม่ได้ขนาดชายฉกรรจ์ท่ีแข็งแรงออกมารคน่าจะเสียชีวิตท่ีรอดมีเป็นส่วนน้อยฉะนั้น คนท่ีเกิดมันยุคหลงั ๆสว่ นมากมีรา่ งกายอนามัยไม่สมบูรณ์เต็มท่ีอ่อนแอเพราะสืบพันธุ์จากบิดาท่ีไม่แข็งแรง ผล ทางชีววิทยาอีกอย่างหน่ึงก็คือ สงครามมักจะทาลายเชื้อโรคต่างๆให้สูญสิ้นไป เพราะต่างฝ่ายต่างค้นหาวิธีที่ พสิ ดารมาทาลายล้างผลาญกัน เช่น สงครามโลกคร้ังที่ 1 ได้มกี ารใช้ไอพิษกัน เป็นตน้ สงครามโลกครั้งท่ี 2 ได้ มีการใช้ระเบิดปรมาณู และเป็นท่ีคาดหมายกันว่าในสงครามโลกคร้ังที่ 3 สงกานจะเป็นไปในสงฆ์ทาแบบ เบ็ดเสร็จโดยใช้อาวุธนิวเคลียร์ซึ่งมีอานาจทาลายสูงต่อสู้กัน และน่ันก็ย่อมหมายถึงว่าชีวิตมนุษย์จะต้องถูก ทาลายมากกว่าสงครามคร้งั ก่อนๆหลายสบิ เทา่ ทีเดยี ว (ง)ผลเสยี หายทางดา้ นศลี ธรรม สงครามทาให้ทหารไม่อยากสมรสหรอื ต้ังครอบครัวเพราะเมื่อมีครอบครัวแล้วจะเอาครอบครัวไปอยู่ใน กองทัพทหารไม่ได้ ผู้เป็นทหารเม่ือรู้ตัวว่าจะถูกเกณฑ์ไปรพมักจะไม่ค่อยอยากที่จะสมรสชอบใช้ชีวิตสนุกไป วนั ๆ หน่ึงเป็นส่วนใหญ่ นอกจากนีส้ งครามยังทาให้ประชาชนของแต่ละรฐั ทที่ าสงครามกนั มคี วามเกลยี ดชังต่อ กัน เพราะรัฐบาลแต่ละฝ่ายต่างสตูลให้ราษฎรของตนแผลจังอีกฝ่ายหน่ึง ถึงแม้สงครามจะสิ้นสุดลงแล้วก็ตาม ความเกลียดชังระหวา่ งประชาชนทง้ั สองก็ยังมีอยู่ ซ่ึงบางคร้ังก็แสดงให้เหน็ โจ่งแจง้ และบางคร้งั แอบแฝงอยใู่ น ความรู้สึกซ่ึงไม่ได้แสดงออกมาโดยเปิดเผยเท่าน้ัน ประการสุดท้าย สงครามยังเป็นต้นเหตุที่ทาลายสีลทาของ มนุษย์ให้เส่อื มลง เช่น ทาใหท้ หารซง่ึ แตก่ ่อน สุรา นารี บุหรี่ ไมเ่ คยแตะต้องพอเห็นเพ่ือนๆสนุกกับส่งิ เราน้กี ็พอ สนุกตามอย่างไปกันกับเขาด้วย ทาให้ศีลธรรมประจาใจของมนุษย์เสื่อมลง เพราะฉะนั้น จึงอาจกล่าวได้ว่า สงครามไม่เพียงแต่ทาลายชีวิตและทรัพย์สินของมนุษย์เท่าน้ันแต่ยังทาลายศีลธรรมอันดีงามหลายอย่างของ มนุษย์อกี ดว้ ย อาจสรปุ ไดว้ ่าการทาสงครามเป็นปรากฏการณ์ที่เป็นลักษณะเฉพาะของสงั คมมนษุ ย์ แต่ไม่ใช่ลักษณะ ท่วั ไปของมนุษย์แล้วกไ็ มใ่ ช่ สัญชาตญาณของมนุษย์ เพราะมนุษย์บางเผ่า เช่น ชนเผา่ เอสกิโม ไมร่ ู้จากสงคราม และพรุ่งนี้ถือว่าสงครามเป็นของเหลวไหลและเหลือเชื่อ เป็นเวลาช้านานท่ีพวที่นิยมศีลธรรมระหว่างประเทศ ประณามการใช้กาลังแต่สงครามก็เพ่ิมความรุนแรงข้ึนเร่ือยๆในแง่การเมือง สงครามเป็นเรื่องของการขยาย อานาจอิทธิพล ในแง่เศรษฐกิจ สงครามทาให้เกิดการสูญเสียท้ังในด้านทรัพยากร กาลังคน และวัตถุ ในแง่ ศลี ธรรม สงครามเป็นเรอ่ื งของความบ้าข้างอันขัดต่อคุณงามความดีและคุณธรรมท้ังปวงแต่ก็เป็นส่ิงท่ีน่าสงสัย ว่าเหตุใดมนุษย์จึงทาสงครามกันทั้งๆท่ีเป็นสิ่งท่ีเลวร้ายและทาลายตัวมนุษย์เอง ในด้านความสัมพันธ์ระหว่าง ประเทศยังไม่ปรากฏว่ามีหนทางใดท่ีมีประสิทธิภาพ และเป็นที่นิยมเพียงพอท่ีประเทศท้ังหลายนามาใช้แทน การใช้กาลังหรือทาสงคราม กรณีที่มีปัญหาหรือขัดแย้งเกิดขึ้น อย่างไรก็ตาม ตราบใดที่ประเทศท้ังหลายต่าง เช่ือมั่นว่าตนมีอธิปไตยในการดาเนินการทุกอย่างได้โดยเสรีโดยไม่มีขอบเขตจากัด ตราบน้ันประเทศท้ังหลาย

อาจใช้สงครามเป็นเครื่องมือในการแก้ปญั หาระหวา่ งประเทศ ด้วยเหตุดังกล่าวจงึ ควรมีสถาบันท่ีมอี านาจแก้ไข ปัญหา ซ่ึงคู่กรณีพิพาทไม่สามารถตกลงกันได้โดยสันติวิธี ซึ่งเป็นการป้องกันมิให้สงครามเกิดข้ึนได้อย่างง่ายๆ แต่ก็เป็นที่น่าเสียดายท่ีในขณะนี้ยังไม่มีองค์การทางการเมืองระหว่างประเทศท่ีจะใช้หลักประกันในการระงับ หรือยับยัง้ สงครามได้ ฉะนั้นหน้าที่ในการยับย้ังหรือป้องกันสงครามจึงตกอยู่แก่ฝ่ายรัฐแต่เพียงฝ่ายเดียวเพราะ รฐั เปน็ ผู้เดียวเท่านั้นที่จะทาใหส้ งครามเกิดหรือไม่เกิดขึ้น ถา้ หากรฐั ทั้งหลายมคี วามเชือ่ ว่า สงครามไม่ก่อใหเ้ กิด ประโยชน์แต่อย่างใดทาลายตัวเองแล้ว สงครามก็อยากท่ีจะเกิดข้ึนเพราะอย่างน้อยก่อนท่ีรัฐจะลงมือกระทา สงครามก็ต้องคิดว่า การทาสงครามก็เท่ากับรัฐทาลายตัวเองแต่ก็เป็นเรื่องยากท่ีรัฐทั้งหลายจะมีความเชื่อใน เร่ืองเดียวกัน เพราะรัฐบาลบางครั้งคลั่งไคล้ หรือลุ่มหลงในการทาสงครามและยังไม่มีวิธีการใดป้องกันคนซึ่ง ชอบทาสงคราม โดยเฉพาะอย่างยิ่งผู้ปกครองประเทศ เนื่องจากพฤติกรรมของรัฐไม่แน่นอนและเปลี่ยนแปลง ได้ทุกเวลา จึงยากที่จะควบคุมพฤติกรรมของรัฐไปให้ดาเนินไปตามกรอบแห่งกฎหมาย ถึงแม้ว่าจะยังไม่มี องค์การหรือสถาบันใดท่ีมีอานาจเด็ดขาดจัดการกับเร่ืองนี้ มนุษย์ก็ยังมีที่พ่ึงอันสุดท้าย มันก็คือ องค์การ สหประชาชาติ ซ่ึงทาหน้าท่ีคอยดูแลความประพฤติของนานาประเทศให้ดาเนินไปตามที่ชอบที่ควรโดยมีกฎ บตั รสหประชาชาตวิ างกฎเกณฑ์ควบคุมพฤติกรรมของรัฐต่างๆอีกช้นั หน่ึง

ภาคที่ 5 การศึกษาความสมั พนั ธร์ ะหวา่ งไทยกับอาเซียน บทที่ 1 การรวมกลุ่มทางเศรษฐกิจในภมู ิภาคตา่ งๆ 1. สมาคมประชาชาติเอเชยี ตะวนั ออกเฉยี งใต้ Association of Southeast Asian Nations : ASEAN 1.1 ประวตั กิ ารก่อต้งั เนอ่ื งจากประเทศในภูมภิ าคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ 5 ประเทศ คือ ไทย ฟิลิปปินส์ สงิ คโปร์ มาเลเซีย และอินโดนีเซีย ต้องการจะสร้างสันติภาพและความม่ันคงให้แก่ประเทศในภูมิภาคน้ี ซ่ึงจะต้องใช้ความ พยายามร่วมกันขจัดปัญหาความแตกต่างทางการเมือง และการร่วมมือช่วยเหลือกันในการพัฒนาเศรษฐกิจ สงั คมและวัฒนธรรม จึงได้คดิ ก่อต้ังสมาคมขึ้น โดยไม่มีประเทศมหาอานาจอยู่เบ้ืองหลัง และใช้ช่ือสมาคมน้ีว่า สมาคมประชาชาติเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ (อาเซียน) เมื่อ พ.ศ. 2510 ต่อมาได้ประเทศอื่นๆ เข้าเป็นสมาชิก ตามลาดับดงั น้ี เดือนมกราคม พ.ศ.2527 รบั ประเทศบรูไนเขา้ เปน็ สมาชกิ เดือนกรกฎาคม พ.ศ.2538 รับประเทศเวียดนามเขา้ เป็นสมาชิก พ.ศ. 2540 รับประเทศพม่า และลาว และวันที่ 30 เมษายน พ.ศ.2542 รับประเทศกัมพูชา เป็นสมาชิกประเทศสุดทา้ ย รวมประเทศสมาชิกทัง้ หมด 10 ประเทศ มสี านกั งานใหญ่อยูท่ ก่ี รุงจาการ์ตา ประเทศอินโดนเี ซยี 1.2 วัตถปุ ระสงค์ในการก่อตง้ั 1. เพื่อร่วมมือชว่ ยเหลือกันในการเร่งรัดพัฒนาความเจริญเติบโตทางเศรษฐกิจและความกว้าหน้าทาง สงั คม วฒั นธรรมของประเทศสมาชิก 2. เพือ่ สง่ เสรมิ สนั ตภิ าพและความมน่ั คงให้แกภ่ ูมภิ าคเอเชียตะวนั ออกเฉียงใต้ 3. เพือ่ ใหค้ วามร่วมมอื ในการส่งเสรมิ ดา้ นเกษตรกรรม อตุ สาหกรรม การค้าและการคมนาคมขนสง่ 4. เพ่อื ชว่ ยเหลอื ซึ่งกันและกันทางด้านการศึกษา วิทยาการ อาชีพ และการบรหิ าร ผลการปฏบิ ตั ิงาน จากความร่วมมือระหว่างประเทศสมาชิกของอาเซียน ต้ังแต่เร่ิมมีการก่อตั้งจนถึงปัจจุบัน อาเซียนได้ ปฏิบัตงิ านตามโครงการเพ่อื สนองวัตถุประสงค์ โดยจดั ใหม้ ีโครงการดาเนินการผลติ สินคา้ ทางอตุ สาหกรรมเพ่ือ จาหน่าย ซ่ึงแบ่งการรับผิดชอบออกเป็นประเทศ เช่น การผลิตปุ๋ยยูเรียเป็นโครงการของประเทศอินโดนีเซีย และมาเลเซีย การผลติ เวชภัณฑเ์ ป็นโครงการของประเทศสงิ คโปร์ เป็นตน้

มีการจัดต้ังหน่วยงานสารองข้าวยามฉุกเฉินในประเทศสมาชิก เพื่อเตรียมรับภัยพิบัติท่ีอาจเกิดจาก ธรรมชาติ เช่น อุทกภัย ภัยแล้ง เป็นต้น นอกจากน้ียังมีโครงการความร่วมมือทางด้านสังคม เช่น ด้านความ ร่วมมือของสตรี อาเซียนได้จัดตั้งโครงการสตรีอาเซียนขึ้น เพ่ือให้สตรีอาเซียนได้มีโอกาสพบปะแลกเปลี่ยน ความคิดเห็นต่างๆ เก่ียวกับบทบาทของสตรีต่อการพัฒนาสังคม สาธารณสุข และโภชนาการ เพ่ือเสริมสร้าง พลานามัย และให้ความรู้ด้านต่างๆ เกี่ยวกับเยาวชน เพื่อส่งเสริมและพัฒนาความร่วมมือระหว่างเยาวชนของ ประเทศสมาชิก โดยจัดทาโครงการต่างๆ เช่น โครงการมหกรรมเยาวชนอาเเซียน โครงการมิตรภาพ โครงการ เรือเยาวชนอาเซียน เปน็ ตน้ อาเซียนได้จัดความร่วมมือในด้านวัฒนธรรมและสนเทศ เพ่ือรักษามรดกทางวัฒนธรรม และ ขนบธรรมเนียมประเพณีเก่าๆ ไว้หลายโครงการ เช่น ด้านภาพยนตร์ จัดให้มีงานมหกรรมภาพยนตร์ประจาปี อาเซียน ด้านดนตรี มีการสัมมนาเชิงปฏิบัติการทางดนตรีสาหรับเยาวชนอาเซียน ด้านศิลปะการแสดงมีการ แลกเปลี่ยนนักแสดง และการแสดงวัฒนธรรมของประเทศสมาชิกตามโครงการแลกเปล่ียนศิลปิน จัดเป็นงาน มหากรรมนาฏศิลป์อาเซียนและงานมหกรรมดนตรีอาเซียน ด้านการต่อต้านยาเสพติด โดยการลงนามใน ปฏญิ ญาอาเซยี นวา่ ดว้ ยหลกั ในการตอ่ ต้านการใช้ยาเสพติด 1.3 ความสมั พนั ธ์ระหว่างไทยกบั สมาคมประชาชาตเิ อเชยี ตะวันออกเฉียงใต้ การท่ีประเทศไทยเข้าร่วมเป็นสมาชิกของอาเซียน นับว่าเป็นผลดีต่อนโยบายด้านเศรษฐกิจของ ประเทศเป็นอย่างมาก เน่ืองจากสามารถต่อรองทางด้านทางการค้ากับประเทศสมาชิก นอกจากนี้การค้า ระหว่างประเทศสมาชิกด้วยกัน ได้ยดึ หลกั ความถนัดในการผลิต หรอื การแบ่งประเภทอุตสาหกรรมให้ประเทศ สมาชิกทาการผลิตโดยไม่มีการผลิตแข่งขันกัน ประเทศไทยได้รับประโยชน์จากการเป็นสมาชิกกลุ่มอาเซียน ดงั นี้ 1. ดา้ นการคา้ ได้รบั สทิ ธิพิเศษทางด้านการค้าดว้ ยการไดล้ ดหยอ่ นอัตราภาษีศุลกากร หรือยกเว้นภาษี ท่ีประเทศไทยส่งไปขายยังประเทศสมาชิกสาหรับสินค้าบางประเภท เช่นเดียวกับที่ประเทศสมาชิกได้รับจาก ประเทศไทย ภายใต้ขอ้ ตกลงของเขตการคา้ เสรอี าเซียน หรือ อาฟตา (AFTA : ASEAN Free Trade Area) 2. ด้านอุตสาหกรรม ได้ร่วมกับอาเซียนในการจัดต้ังโครงการอุตสาหกรรมเพ่ือผลิตสินค้าสาหรับ ทดแทนสินค้าที่นาเข้าจากต่างประเทศ อาเซียนได้เลือกอุตสาหกรรมหลักให้ประเทศสมาชิกเลือกทาการผลิต คือ ประเทศไทยผลิตเกลือหินและโซดาแอช อินโดนีเซียและมาเลเซียผลิตปุ๋ยยูเรีย สิงคโปร์ผลิตเคร่ืองยนต์ ดีเซล และฟิลิปปินส์ผลิตปุ๋ยฟอสเฟต โครงการนี้ภายหลังมีการเปล่ียนแปลง คือ ไทยเปลี่ยนเป็นผลิตแร่โพ แทช สิงคโปร์ยกเลิกโครงการ ฟิลิปปินส์เปล่ียนเป็นผลิตทองแดงแปรรูป ส่วนอินโดนีเซียและมาเลเซีย ยังคงผลิตปุ๋ยยูเรียตามเดิม ซึ่งการร่วมมือน้ีเป็นการร่วมมือระดับรัฐบาล ส่วนภาคเอกชนก็มีการร่วมมือกันใน อุตสาหกรรมรถยนต์ โดยการแบ่งการผลิตช้ินส่วนรถยนต์ตามความถนัดของแต่ละประเทศ และต่อมามี โครงการแบ่งผลิตสินค้าอุตสาหกรรม โดยผู้ผลิตจะต้องเป็นบริษัทเอกชนอย่างน้อย 2 บริษัท จากประเทศ สมาชิกอยา่ งนอ้ ย 2ประเทศ

3. ดา้ นการคลงั และการธนาคาร นโยบายด้านการคลังและการธนาคาร ประเทศสมาชกิ ได้ตกลง รว่ มมอื กันในดา้ นการจดั ต้ังตลาดตว๋ั เงนิ ทธ่ี นาคารรบั รอง จดั ตั้งบรรษทั การเงินอาเซยี น จัดต้งั คณะกรรมาธิการ ว่าด้วยการประกันภยั แห่งอาเซียน จดั ตัง้ กลไกยกเว้นการเก็บภาษแี ละป้องกนั การเก็บภาษีซ้าซ้อน และรว่ มมือ กบั ประชาคมยโุ รปในการจัดตั้งกองทุนรว่ มเพ่ือการพัฒนาระหว่างอาเซียนกบั อีอีซี 4. ด้านการเกษตร อาเซียนได้มีการร่วมมือกันทางด้านการเกษตรท่ีเป็นประโยชน์ต่อประเทศสมาชิก นโยบายด้านการเกษตรได้ดาเนินการไปหลายโครงการ เช่น โครงการการสารองอาหารเพ่ือช่วยเหลือซึ่งกัน และกันในยามขาดแคลนในเวลาฉุกเฉิน โครงการจัดตั้งศูนย์วางแผนพัฒนาการเกษตรของอาเซียน โครงการ จัดการเกี่ยวกับอาหารภายใต้ความร่วมมือของอาเซียน-ออสเตรเลีย โครงการเทคโนโลยีการประมงภายใต้ ความร่วมมือของอาเซียน-แคนาดา โครงการเพาะเล้ียงสัตว์น้าภายใต้ความร่วมมือของอาเซียน-อีซี โครงการ จัดตั้งด่านกักกันโรคพืชและสัตว์ในภูมิภาคอาเซียน โครงการตั้งศูนย์เมล็ดพันธ์ุไม้ป่า โครงการอนุรักษ์และ จดั การต้นน้าลาธาร โครงการปลูกป่า และโครงการตลาดของทรัพยากรป่าไม้ นอกจากนี้ยังมีโครงการอ่ืนที่อยู่ ใ น ร ะ ห ว่ า ง ก า ร เ จ ร จ า ต ก ล ง อี ก ม า ก 5. ด้านการขนส่งและคมนาคม เป็นนโยบายที่มีประโยชน์อย่างยิ่งต่อการวางนโยบายทางเศรษฐกิจ ของประเทศไทย โดยเฉพาะทางด้านการขนส่งทางบก การเดินเรือและการท่าเรือ การบินพลเรือน การ ไปรษณียแ์ ละโทรคมนาคม 6. ด้านการเมอื ง ความสามัคคีระหว่างประเทศสมาชิกของอาเซียนในการแก้ปัญหาอินโดจีน ทาให้ทั่ว โลกหันมาสนใจและช่วยเหลืออินโดจีนมากขึ้น และยังช่วยแบ่งเบาภาระของประเทศไทยเก่ียวกับปัญหาผู้ อพยพอีกดว้ ย 7. ด้านวัฒนธรรม ความร่วมมือกันอย่างใกล้ชิด ทาให้เกิดโครงการแลกเปลี่ยนวัฒนธรรมระหว่าง ประเทศสมาชกิ ซึง่ เปน็ การส่งเสรมิ ความเขา้ ใจอนั ดตี ่อกนั มากขึน้ 2. การขยายความร่วมมือและการพฒั นาในภมู ภิ าคอาเซียน 2.1 การพฒั นาส่กู ารจดั ตั้งประชาคมอาเซียน (ASEAN Community: AC) \"ประชาคมอาเซียน\" ที่เกิดขึ้นในปลายเดือนธันวาคมนี้ คือ การเพ่ิมระดับของความใกล้ชิดของ ประเทศสมาชิกแห่ง \"สมาคมประชาชาติแห่งเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ (The Association of Southeast Asian Nations : ASEAN)\" ให้มีความสนิมสนมแนบแน่นกัน มากข้ึน ท้ังในทางด้านการเมืองความม่ันคง เศรษฐกจิ ลังคม และวัฒนธรรม ดังนั้นประชาคมอาเซยี น (ASEAN Community : AC) เกดิ ข้นึ จากการประชุม สุดยอดผู้น่า อาเซียน ครั้งท่ี ๙ ที่เมืองบาหลี ประเทศอินโดนีเซีย เมื่อระว่างวันที่ 7 - 8 ตุลาคม พ.ศ. 2546 ผู้ น่าอาเซียนได้ร่วมกันลงนามในปฏิญญาว่าด้วยความร่วมมือในอาเซียน ฉบับที่ 2 (Declaration of ASEAN Concord II หรือ Bali Concord II) เพ่ือแสดงเจตนารมณ์ที่จะน่าอาเซียนไปสู่การเป็น ประชาคมอาเซียน (ASEAN Community) ภายในปี พ.ศ. 2563 (ค.ศ. 2020) จากนั้นในการประชุมสุดยอดอาเซียน ครง้ั ที่ ๑๒ ท่ี เมืองเซบู ประเทศฟิลิปปินส์ เม่ือปี พ.ศ. 2550 ได้มีการประกาศเลื่อนเป้าหมายการรวมตัวให้เร็วเข้ามาเป็น ภายในปี พ.ศ. 2558 (ค.ศ. 2015) และในการประชุมสุดยอดผู้น่าอาเซียน ครั้งที่ 14 ที่ชะอา ประเทศไทย ผูน้ ่า

อาเซียนกไิ ด้ ร่วมลงนามในเอกสาร \"Roadmap for an ASEAN Community 2009 - 2015\" ซ่ึงเป็นการรวม พิมพ์เซียวหรือแผนงานการสร้างประชาคมทั้ง 3 เสาหลัก โดยจะสนับสนุนการรวมตัวและความร่วมมือ อย่าง รอบด้าน ดังนั้น แผนงานการสร้างประชาคมอาเซียน (ASEAN Community) จึงประกอบด้วย 3 เสาหลัก ได้แก่ ประชาคมการเมืองและความมั่นคงอาเซียน (ASEAN Political and Security Community – APSC) ประชาคมการเมืองและความมั่นคงอาเซยี น ถือวา่ เป็นเสาหลักทสี่ าคัญอย่างหน่ึงในการสร้างประชาคม อาเซียน โดยมีเป้าหมายคือทาให้ประเทศสมาชิกอาเซียนนั้น เป็นสังคมท่ีมีความไว้เนื้อเชื่อใจซ่ึงกันและกัน มี เสถียรภาพ มีสันติภาพ และมีความปลอดภัยมากข้ึนในชีวิตและทรัพย์สิน อันเป็นพื้นท่ีฐานท่ีจะส่งเสริมการ พฒั นาด้านต่าง ๆ โดยมวี ัตถุประสงค์หลัก คือ 1. สร้างค่านิยมและแนวปฏิบัติร่วมกันของอาเซียนในด้านต่าง ๆ ครอบคลุมถึงกิจกรรมต่าง ๆ ที่จะ ร่วมกันทาเพ่ือสร้างความเข้าใจในระบบสังคม วัฒนธรรม และประวัติศาสตร์ท่ีแตกต่างของประเท ศสมาชิก ส่งเสริมพัฒนาการทางการเมืองไปในทิศทางเดียวกัน เช่น หลักการประชาธิปไตย การส่งเสริมและคุ้มครอง สิทธิมนุษยชน การสนับสนุนการมีส่วนร่วมของภาคประชาสังคม การต่อต้านการทุจริต การส่งเสริมหลักนิติ ธรรมและธรรมาภิบาล การไมใ่ ช้อาวธุ นิวเคลียร์ เป็นตน้ 2. ส่งเสริมความสงบสุขและรบั ผิดชอบร่วมกัน ในการรักษาความม่ันคงสาหรับประชาชนที่ครอบคลุม ในทกุ ด้านครอบคลุมความรว่ มมอื เพ่ือเสรมิ สรา้ งความม่นั คงในรูปแบบเดิม และมาตรการสร้างความไว้เนื้อเชื่อ ใจและการระงบั ข้อพิพาทโดยสนั ติ ทัง้ นี้ เพอ่ื ปอ้ งกันสงครามและให้ประเทศสมาชกิ อาเซียนอยู่ด้วยกันโดยสงบ สุข โดยไม่มีความหวาดระแวง อีกท้ังเป็นการขยายความร่วมมือเพื่อต่อต้านภัยคุกคามรูปแบบใหม่ เช่น การ ต่อต้านการก่อการร้าย อาชญากรรมข้ามชาติต่าง ๆ อาทิ ยาเสพติด การค้ามนุษย์ตลอดจนการเตรียมความ พร้อมเพ่ือปอ้ งกันและจดั การภยั พิบตั แิ ละภัยธรรมชาติ 3. ส่งเสริมให้ประชาคมอาเซียนมีความสัมพันธ์ท่ีแน่นแฟ้นและสร้างสรรค์กับประชาคมโลก โดยให้ อาเซียนมีบทบาทนาในภูมิภาค มีพลวัตและปฏิสัมพันธ์กับโลกภายนอก เพ่ือเสริมสรา้ งบทบาทของอาเซียนใน ความรว่ มมือระดับภมู ิภาค เช่น กรอบอาเซียน+3 กับจีน ญ่ีปุ่น สาธารณรัฐเกาหลี (เกาหลีใต้) และการประชุม สุดยอดเอเชียตะวันออกตลอดจนความสัมพันธ์ท่ีเข้มแข็งกับมิตรประเทศ และองค์การระหว่างประเทศ เช่น สหประชาชาติ ประชาคมเศรษฐกิจอาเซียน (Asean Economics Community – AEC) ประชาคมเศรษฐกิจอาเซียน ( AEC ) คือ อะไร หลายคนอาจจะสงสัย สาหรับ ประชาคม เศรษฐกิจอาเซียน หรือ AEC คือ เป้าหมายการรวมตัวกันของประเทศสมาชิกอาเซียน 10 ประเทศ ประกอบด้วย ไทย พม่า ลาว เวียดนาม มาเลเซีย สิงคโปร์ อินโดนีเซีย ฟิลิปปินส์ กัมพูชา และ บรูไน เพื่อ ก่อให้เกิดความสะดวกในการติดต่อค้าขายระหว่างกัน อันจะทาให้ภูมิภาคมีความเจริญมั่งค่ัง และสามารถ แข่งขนั กับภมู ิภาคอืน่ ๆ ได้ เพอื่ ความอยดู่ ีกนิ ดีของประชาชนในประเทศอาเซียน นอกจากนี้ ยงั สามารถอานาจ ต่อรองด้านต่าง ๆ กับคู่ค้าได้มากข้ึน และการนาเข้า ส่งออกของชาติในอาเซียนก็จะเสรี ยกเว้นสนิ ค้าบางชนิด ทีแ่ ต่ละประเทศอาจจะขอไว้ไม่ลดภาษีนาเข้า (เรียกวา่ สินค้าอ่อนไหว) สว่ นแตล่ ะประเทศอาเซียนก็จะมีจดุ เด่น ใน ประชาคมเศรษฐกิจอาเซียน หรือ AEC แตกต่างกันไป อาทิ ประเทศพม่า เด่นเร่ืองการเกษตรและประมง, ประเทศมาเลเซีย เด่นเรื่องผลิตภัณฑ์ยาง และผ้าทอ, ประเทศอินโดนีเซีย เด่นเร่ืองการผลิตภาพยนต์ และ ผลิตภัณฑ์ไม้, ประเทศฟิลิปปินส์ เด่นเร่ืองอิเล็กทรอนิกส์, ประเทศสิงคโปร์ เด่นเรื่องเทคโนโลยี และสุขภาพ ส่วนประเทศไทย เด่นเรื่องการท่องเท่ียว และสายการบิน โดยประเทศไทยเป็นประเทศที่อยู่ตรงกลางอาเซียน

พอดี สาหรับการเปล่ียนแปลงของประเทศไทยที่คาดว่าจะเห็นได้ชัดเจน หลังจากเข้าสู่ ประชาคมเศรษฐกิจ อาเซียน หรือ AEC ยกตวั อยา่ ง เช่น ... การลงทุนจะเสรีมาก ประเทศใดจะลงทุนท่ีไหนก็ได้ ฉะน้ันประเทศไหนท่ีมีระบบการศึกษาดี ๆ หากมาเปดิ โรงเรียนในประเทศไทย ก็ทาให้นกั เรยี นมีโอกาสไดเ้ รียนโรงเรยี นท่ีมคี ณุ ภาพมากขึ้น ประเทศไทยจะเป็นศูนย์กลางการท่องเที่ยว และศูนย์กลางการบิน เน่ืองจากประเทศของเราอยู่ ตรงกลางอาเซียนพอดี และประเทศไทยยังเด่นเร่ืองการจัดประชุมต่าง ๆ การแสดงนิทรรศการ ศูนย์กระจาย สินค้า รวมถึงยังเด่นเรื่องการคมนาคมอีกด้วย นอกจากน้ี ยังคาดว่าการบริการทางด้านการแพทย์และการ สาธารณสุขจะเติบโตมากข้ึน เนื่องจากมีช่องทางท่ีจะผสมผสานส่งเสริมกับอุตสาหกรรมการท่องเที่ยว และ ค่าบริการทางการแพทยข์ องประเทศอ่นื ๆ ยังมีราคาสงู มาก การค้าขายจะขยายตัวอย่างน้อย 25% ในส่วนของอุตสาหกรรมบางอย่าง เช่น รถยนต์, การ ท่องเที่ยว, การคมนาคม แต่ท้ังนี้ อุตสาหกรรมที่น่าเป็นห่วงของไทยนั้น ได้แก่ อุตสาหกรรมท่ีใช้แรงงานเป็น หลัก เช่น ภาคการเกษตร, ก่อสร้าง, อุตสาหกรรรมส่ิงทอ อาจจะได้รับผลกระทบ เน่ืองจากฐานการผลิตอาจ ย้ายไปประเทศท่ีผลิตสินค้าทดแทนได้ เช่น อุตสาหกรรมสิ่งทอ โดยผู้ลงทุนอาจย้ายฐานการผลิตจากประเทศ ไทยไปยังประเทศท่ีมคี า่ แรงถูกกวา่ เนือ่ งดว้ ยบางธรุ กิจไม่จาเป็นตอ้ งใชท้ ักษะมากนัก เพราะฉะนั้นคา่ แรงจึงถกู เรื่องภาษาอังกฤษจะเป็นส่ิงที่สาคัญอย่างมาก เน่ืองจากจะมีคนอาเซียน เข้ามาอยู่ในไทยเป็น จานวนมาก และมักจะพูดภาษาไทยไม่ค่อยได้ แต่จะใช้ภาษาอังกฤษ (AEC มีมาตรฐานแจ้งว่าจะใช้ ภาษาอังกฤษเป็นภาษากลางใน AEC) ส่วนส่ิงแวดล้อมน้ัน ป้ายต่าง ๆ หนังสือพิมพ์, สื่อต่าง ๆ จะมี ภาษาองั กฤษมากขนึ้ และจะมโี รงเรียนสอนภาษามากมาย หลากหลายหลกั สตู ร การคา้ ขายบริเวณชายแดนจะคึกคักอย่างมากมาย เนื่องจากด่านศุลกากรชายแดนอาจมีบทบาท นอ้ ยลงมาก แตจ่ ะมีปญั หาเร่ืองยาเสพติด และปัญหาสังคมตามมาด้วย ประเทศไทยจะไม่ขาดแรงงานต่างชาติ อาทิ แรงงานชาวพม่า, ลาว, กัมพูชา, แต่ทั้งนี้แรงงาน ต่างชาติดงั กล่าวอาจจะสง่ ผลกระทบตอ่ แรงงานไทย โดยการแย่งงานคนไทยบางส่วน และอาจจะมีปัญหาเรื่อง สังคม, อาชญากรรม ตามมาดว้ ย ทางรฐั บาลควรมีมาตรการรองรับปัญหาดังกลา่ ว อุตสาหกรรมโรงแรม, การท่องเที่ยว, ร้านอาหาร, รถเช่า บริเวณชายแดนจะคึกคักมากข้ึน เน่ืองจากจะมีการสัญจรมากขึ้น และเมืองตามชายแดนจะพัฒนามากขึ้นเร่ือย ๆ เน่ืองจากเป็นจุดขนส่ง กรุงเทพฯ จะแออัดเพมิ่ มากขึ้น เนื่องจากมีตาแหน่งเปน็ ตรงกลางของอาเซียนและเป็นเมืองหลวงของไทย โดย เมืองหลวง ทอ่ี าจจะมีสานักงานของต่างชาตมิ าตั้งมากขน้ึ ซึง่ จะสง่ ผลใหก้ ารจราจรติดขัดมากขึ้น และสนามบิน สวุ รรณภมู ิจะแออัดมากขนึ้ เชน่ กนั ไทยจะเป็นศูนย์กลางอาหารโลกในการผลิตอาหาร เนื่องจากบริษัทอาหารในไทยน้ันมีชื่อเสียง และแข็งแกรง่ ประกอบทาเลทต่ี ้ังเหมาะสมอยา่ งมาก ซง่ึ กถ็ อื เป็นธุรกิจของคนไทยท่ีชานาญอยู่แลว้ ประชาคมสังคมและวัฒนธรรมอาเซียน (Asean Socio-Cultural Community – ASCC) กลุ่มอาเซียนมุ่งหวงั ประโยชน์จากการรวมตัวกันเปน็ ประชาคมสงั คมและวฒั นธรรมอาเซยี นเพ่ือให้ ประชาชนมีความอยู่ดีกินดี ปราศจากโรคภัยไข้เจ็บ มีส่ิงแวดล้อมที่ดีและมีความรู้สึกเป็นหนึ่งเดียวกันโดยเน้น การส่งเสริมความรู้ ความเข้าใจระหว่างประเทศสมาชิกในด้านความเช่ือมโยงทางประวัติศาสตร์ มรดกทาง วฒั นธรรมและอัตลกั ษณ์ระดบั ภูมิภาคร่วมกนั 1. การพฒั นาทรัพยากรมนุษย์ (Human Development) 2. การคมุ้ ครองและสวสั ดกิ ารสังคม (Social Welfare and Protection) 3. สิทธแิ ละความยุติธรรมทางสงั คม (Social Justice and Rights)

4. ความย่งั ยนื ดา้ นส่ิงแวดล้อม (Ensuring Environmental Sustainability) 5. การสร้างอตั ลักษณอ์ าเซียน (Building ASEAN Identity) 6. การลดช่องว่างทางการพัฒนา (Narrowing the Development Gap) 2.2 อาเซยี น+๓ (ASEAN+๓) เป็นกรอบความร่วมมือระหว่างประเทศสมาชิกอาเซียน กับประเทศนอกกลุ่ม 3 ประเทศ คือ จีน ญ่ีปุ่น และเกาหลีใต้ เพ่ือส่งเสริมความร่วมมือในระดับ อนุภูมิภาคเอเชียตะวันออก และเพื่อนาไปสู่การจัดตั้ง ชุมชนเอเชียตะวันออก (East Asian Community) โดยให้อาเซียนและกระบวนการต่างๆ ภายใต้กรอบความ รว่ มมืออาเซียน+3เป็นกลไก สาคัญในการผลักดันให้บรรลุเป้าหมาย โดยมุ่งเน้นการส่งเสริมความร่วมมือใน 5 ด้าน ไดแ้ ก่ 1) ดา้ นการเมืองและความมนั่ คง 2) ด้านความรว่ มมอื ทางเศรษฐกจิ และการเงิน 3) ด้านพลังงาน สิง่ แวดลอ้ ม การเปล่ียนแปลงของสภาวะอากาศโลกและการ พฒั นาอย่างยั่งยืน 4) ดา้ นสงั คม วัฒนธรรม 5) การพัฒนาด้านการสง่ เสริมกรอบการดาเนินงานในดา้ นต่างๆ และกลไก ต่างๆ ในการติดตามผล ความเปน็ มา กรอบความร่วมมืออาเซียน+3 เป็นกรอบความร่วมมือระหว่างประเทศสมาชิก อาเซียนท้ัง 10 ประเทศ กับ จีน ญ่ีปุ่น และเกาหลีใต้ ซ่ึงเป็นสามประเทศท่ีตั้งอยู่ในภูมิภาคเอเชีย ตะวันออก โดยกรอบความ ร่วมมืออาเซียน+3 ได้ถือกาหนดขึ้นเมื่อปี พ.ศ. 2540 ในช่วงท่ีเกิด วิกฤตการณ์ทางการเงินในภูมิภาคเอเชีย ตะวันออกโดยผู้นาของประเทศสมาชิกอาเซียนและผู้นาของทั้ง สามประเทศได้พบหารือกันครั้งแรกท่ี กรุง กัวลาลัมเปอรใ์ นเดือนธันวาคมปีนั้น ในเรื่องความรว่ มมือใน การรักษาเสถียรภาพทางเศรษฐกิจในภูมิภาคและ ลู่ทางของภูมิภาคเอเซียนตะวันออกในศตวรรษที่ ๒๑ และในปีต่อมาผู้นาของประเทศสมาชิกอาเซียนและผู้นา จนี ญี่ปุ่น และเกาหลใี ต้ กไิ ด้พบหารือกนั อกี ครง้ั ท่ีประเทศเจียดนาม โดยมีการหารอื กันใน 2 ประเด็นหลกั คือ - ความรว่ มมอื ในการฟนื ฟเู ศรษฐกิจในภูมภิ าค - ความรว่ มมือสู่ศตวรรษท่ี 21 ในการรักษา สง่ เสรมิ สันตภิ าพ และความ ม่นั คง ความมีเสถียรภาพ และการพฒั นา นับแต่นั้นเป็นต้นมา การประประชุมสุดยอดอาเซียน+๓ (ASEAN+๓ Summit) กิได้จัดขึ้นเป็น ประจาทกุ ปี ในชว่ งเดียวกบั การประชมุ สุดยอดอาเซยี น (ASEAN Summit) กรอบความรว่ มมืออาเซียน+3 เรมิ่ เป็นรูปเป็นรา่ งมากขึ้นภายหลังจากการออก แถลงการณ์ร่วมว่า ด้วยความร่วมมือเอเชียตะวันออก (Joint Statement On East Asia Cooperation) และการจัดตั้ง East Asian Vision Group : EAVG) ในปี พ.ศ. 2452 ซ่ึง EAVG น้ี จะประกอบไปด้วยนักวิชาการและผู้ทรงคุณวุฒิ จากประเทศอาเซียน+๓ ซึ่งจะร่วมกันระดมความคิด และแสวงหาวิธีการขยายความร่วมมือในด้านต่างๆของ ประเทศในภูมภิ าคเอเชียตะวันออก (วางวสิ ัยทัศน์ความร่วมมือในเอเชียตะวันออก) ตอ่ มา EAVG ได้มกี ารเสนอ แนวคิดในการจัดตั้ง ประชาคมเอเชียตะวันออก (East Asian Community : EAC) รวมถึงการจัดการประชุม สุดยอดเอเชีย ตะวันออก (East Asian Summit : EAS) ด้วย และการประชุมสุดยอดอาเซียน+3 คร้ังท่ี 9 ณ กรุงกัวลาลัมเปอร์ เม่ือปี พ.ศ. 2548 ผู้นาได้ลงนามในปฏิญญากัวลาลัมเปอร์กาหนดให้การจัดต้ัง ประชาคม

เอเชียตะวันออกเป็นเป้าหมายระยะยาวและให้กรอบอาเซียน+3 เป็นกลไกหลักในการนาไปสู่ เป้าหมายด้ง กลา่ ว การรวมกลุ่มระหว่างอาเซียน และจีน ญ่ีปุ่น เกาหลีใต้ เพื่อนาไปสู่การจัดตั้ง ประชาคม เอเชียตะวันออก (East Asian Community : EAC) มีวัตคุประสงค์เพื่อจะเป็นเขตความ ร่วมมือทางความ มั่นคงและการเมืองทไ่ี ม่ใช้ความรุนแรง โดยความร่วมมือมีความจาเป็นมากข้ึนหลังวิกฤตการณ์ทางการเงินและ วิกฤตในภูมิภาค อาทิ การแพร่ระบาดของโรคซาร์และไข้หวัดนก รวมถึง ภัยคุกคามจากการก่อการร้าย อีกท้ัง จะช่วยส่งสัญญาต่อประชาคมโลกถงึ การร่วมมือและความเช่ือม่ัน ระดับลึกซ้ึงที่เกิดขึน้ ในภูมิภาค ภายใต้กรอบ ความรว่ มมอื สาคญั 6 ดา้ น ทเ่ี ร่งผลกั ดัน ได้แก่ - การรว่ มกันกาหนดกฎระเบียบในภมู ิภาค - การตัง้ เขตการค้าเสรี - ขอ้ ตกลงความร่วมมอื ทางการเงินและการคลัง - เขตความร่วมมอื และมิตรภาพเพอ่ื หลีกเลย่ี งการสะสมอาวธุ - การคมนาคมและเครือข่ายการส่ือสาร - ด้านสทิ ธิมนษุ ยชนและพันธะกรณตี า่ งๆ ซ่งึ กรอบความรว่ มมอื ต่างๆ เหลา่ นีจ้ ะเปน็ กลไกสาคญั ในการผลกั ดันให้เกิด ประชาคมเอเชีย ตะวันออกได้อย่างแท้จริง อย่างไรกิตามประเทศต่างๆ จะต้องร่วมมือและแก่ไขปัญหาที่ ส่งผลกระทบต่อ ภูมภิ าคอย่างเร่งดว่ น อาทิ ปญั หาการก่อการร้ายและการอ้างสิทธเิ หนือดินแดนทีพ่ ับ ซอ้ นกันโดยเฉพาะในแถบ ทะเลจนี ใต้ เพ่อื ไมใ่ ห้ปัญหาดง้ กลา่ วเปน็ อปุ สรรคต่อการสรา้ งประชาคมเอเชยี ตะวันออก 3. เขตการค้าเสรอี าเซยี น FTA FTAเป็นความตกลงระหว่าง 2 ประเทศขึ้นไป โดยมีวัตถุประสงค์เพ่ือจะลดอุปสรรคทางการค้า ระหว่างกันให้เหลือน้อยท่ีสุดเพ่ือให้เกิดการค้าเสรีระหว่างกัน และปัจจุบันประเทศต่างๆ ก็ได้ขยายขอบเขต ของ FTA ให้ครอบคลุมการค้าด้านบริการ อาทิ บริการท่องเท่ียว การรักษา พยาบาล การส่ือสาร การขนส่ง ฯลฯ พร้อมกับความร่วมมือในด้านต่างๆ เช่น การลงทุน การคุ้มครองทรัพย์สินทางปัญญา และการอานวย ความสะดวกทางการคา้ ดว้ ย 3.1 วัตถปุ ระสงคข์ อง FTA FTA สะท้อนแนวคิดสาคัญทางเศรษฐศาสตร์ท่ีว่า \"ประโยชน์จากการค้าระหว่างประเทศจะ เกิดขึ้นสูงสุดเม่ือประเทศต่างๆ ผลิตสินค้าท่ีตนมีต้นทุนในการผลิตต่าที่สุดเมื่อเปรียบ เทียบกับประเทศอ่ืนๆ แล้วนาสินค้าเหล่าน้ันมาค้าขายแลกเปล่ียนกัน\" ซึ่งในโลกแห่งความเป็นจริงน้ัน ประโยชน์สูงสุดดังกล่าวจะไม่ เกิดขึ้น หากยังมีการเก็บภาษีขาเข้าและมีการใช้มาตรการกีดกันทางการค้าต่างๆ ซ่ึงส่งผลบิดเบือนราคาที่ แท้จรงิ ของสินค้า และทาให้การคา้ ขายไม่เปน็ ไปอย่างเสรแี ละมปี ระสิทธิภาพ พร้อมกันน้ี FTA ถือเป็นเครื่องมือทางการค้าสาคัญที่ประเทศต่างๆ สามารถใช้เพื่อขยาย โอกาสในการค้า สรา้ งพันธมิตรทางเศรษฐกจิ พร้อมๆ กับเพิ่มความสามารถในการแข่งขนั ด้านราคาให้แก่สนิ ค้า ของตน เนื่องจากสินค้าที่ผลิตใน FTA จะถูกเก็บภาษีขาเข้าในอัตราที่ต่ากว่าสินค้าท่ีผลิตในประเทศอื่นๆ ท่ี ไมใ่ ชส่ มาชิก FTA จงึ ทาใหส้ ินคา้ ทผ่ี ลติ ภายในกลมุ่ ได้ เปรยี บในดา้ นราคากวา่ สินค้าจากประเทศนอกกลุ่ม

3.2 ลักษณะสาคัญของ FTA FTA จะมีรูปแบบเป็นอย่างไรน้ันก็ขึ้นอยู่กับประเทศคู่สัญญา FTA จะตกลงกัน ไม่มีกฎเกณฑ์ กาหนดตายตัววา่ FTA จะตอ้ งมีลักษณะอย่างไร แตถ่ ึงกระนัน้ ก็ดี ทกุ FTA จะมีลกั ษณะพ้ืนฐานท่ีเหมือนกันอยู่ 3 ประการ คอื 1) มีวัตถุประสงค์เพื่ออานวยความสะดวกทางการคา้ และไม่สร้างอุปสรรคทางการค้าเพิ่มต่อประเทศ อน่ื ๆ ทีไ่ มใ่ ช่สมาชิก (No fortress effects) 2) ครอบคลุมการค้าระหว่างประเทศมากพอ (Substantial coverage) ซ่ึงเป็นกติกาท่ี WTO กาหนด ไว้เพอื่ ปกป้องและปอ้ งกนั ผลกระทบของ FTA ทีจ่ ะมตี ่อประเทศอื่นๆ ทีไ่ ม่ใช่สมาชิกของ FTA น้นั ๆ 3) มีตารางการลดภาษีหรือเปิดเสรีท่ีประเทศคู่สัญญา FTA เจรจากันว่าจะลดภาษีให้แก่กันในสินค้า ใดบ้าง จะลดอยา่ งไร และจะใชร้ ะยะเวลายาวนานเท่าไรในการลด 3.3 หลักเกณฑ์ในการทา FTA ของไทย ไทยมหี ลักเกณฑ์ในการจดั ทา FTA ดังน้ี 1) การจัดทาความตกลง FTA ควรทาในกรอบกว้าง (Comprehensive) ครอบคลุมการเปิดเสรีท้ัง ดา้ นการคา้ สนิ ค้า บริการ และการลงทนุ รวมท้ังมาตรการทางการค้าอ่ืนๆ ที่ไม่ใช่ภาษี (Non-Tariff Measure: NTM) เช่น การกาหนดมาตรฐานสินค้านาเข้า และมาตรการโควต้า และการขยายความร่วมมือทางเศรษฐกิจ อื่นๆ 2) การจัดทาความตกลง FTA ต้องสอดคล้องกับกฎของ WTO ซึ่งมีเงื่อนไขให้การเปิดเสรีต้อง ครอบคลุมการค้าสินค้าและบริการอย่างมากพอ (Substantial coverage) มี ความโปร่งใส และเปิดใหส้ มาชิก อน่ื ๆ ตรวจสอบความตกลงได้ 3) การจัดทาความตกลง FTA ต้องมีความยืดหยุ่น (Flexibility) สอดคล้องกับระดับการพัฒนาของ ประเทศคู่เจรจาเพ่ือให้ได้รับผลประโยชน์ท้ังสองฝ่าย พร้อมกับยึดหลักการแลกเปล่ียนผลประโยชน์ (Reciprocity) และเก้ือกูลซึ่งกันและกัน โดยคานึงถึงสถานะของไทยท่ีเป็นประเทศกาลังพัฒนา เพื่อให้มีเวลา ในการปรบั ตวั นานกว่า หรือมีภาระผกู พนั นอ้ ยกวา่ 4) การจัดทาความตกลง FTA ควรมีมาตรการป้องกันผลกระทบของการเปิดเสรีต่ออุตสาหกรรม ภายใน เช่น มาตรการต่อต้านการทุ่มตลาด (Anti-dumping Measures: AD) มาตรการต่อต้านการอุดหนุน (Counter-vailing Duties: CVD) มาตรการปกป้อง (Safeguards) รวมทั้งกาหนดกลไกการยุติข้อพิพาททาง การค้าอยา่ งเปน็ ธรรม

3.4 การเจรจา FTA ของไทย ปัจจุบัน ไทยทา FTA กับ 8 ประเทศ ได้แก่ จีน นิวซีแลนด์ บาห์เรน ญี่ปุ่น เปรู สหรัฐฯ อินเดีย และ ออสเตรเลีย และกับ 1 กลุ่มเศรษฐกิจ BIMST-EC โดยเหตุผลสาคัญเพื่อรักษาสถานภาพและศักยภาพในการ สง่ ออกของไทยโดยการขยายโอกาสในการสง่ ออก และเพิม่ ความสามารถในการแข่งขนั ด้านราคาของสนิ ค้าไทย ทั้งในตลาดสาคัญในปัจจุบัน (เช่น สหรัฐฯ ญี่ปุ่น อาเซียน) และตลาดใหม่ๆ ท่ีมีศักยภาพ (เช่น จีน อินเดีย ออสเตรเลีย BIMST-EC) นอกจากนี้ ไทยยังจดั ทา FTA กับประเทศท่ีจะเป็นประตูการค้าสูภ่ ูมิภาค (Gateway) อ่ืนๆ ของโลก (เช่น บาห์เรน เปรู) และอยู่ระหว่างการศึกษาเพ่ือเตรียมความพร้อมในการเจรจา FTA กับ สมาคมการค้าเสรแี ห่งยุโรป (European Free Trade Association: EFTA) เม็กซิโก เกาหลีและกลุ่มประเทศ Mercosur 3.5 สาระสาคญั ของ FTA ที่ไทยดาเนนิ การอยู่ในปัจจบุ นั มีดังน้ี ไทยกับจีน ได้ลงนามกรอบความตกลง FTA แล้ว ภายใต้ในกรอบความตกลง ASEAN -จีน โดย ดาเนินการร่วมกับจีนยกเลิกภาษีระหว่างกันก่อน (Early Harvest) ในสินค้าในพิกัด 07-08 (ผักและผลไม้) ต้ังแต่เดือนตุลาคม 2546 และร่วมกับประเทศ ASEANและจีนที่จะลดภาษีสินค้าในพิกัด 01-08 (ได้แก่ สัตว์มี ชีวิต ประมง ธัญพืช ผักและผลไม้) ให้เหลือ 0% ในปี 2547-2549 ตั้งแต่เดือนมกราคม 2547 ส่วนสินค้าท่ี เหลอื รวมท้ังการค้าบริการ การลงทุน และกฎระเบียบต่างๆ จะเจรจาให้เสร็จภายในสิ้นปี 2547 เพื่อท่ีจะเป็น FTA โดยสมบูรณภ์ ายในปี 2553 ไทยกับนิวซีแลนด์ จากผลของการศึกษาร่วมกันท่ีช้ีให้เห็นว่าไทยกับนิวซีแลนด์จะได้รับผลประโยชน์ จากการจัดทา FTA ทั้งสองฝ่ายจึงได้เร่ิมการเจรจาเมื่อเดือนมิถุนายน 2547 ณ ประเทศนิวซีแลนด์ โดย สามารถกาหนดกรอบและขอบเขตการเจรจาได้ในหลายเรื่อง และคาดว่าจะสามารถสรุปผลการเจรจาให้แล้ว เสร็จภายในในเดอื นพฤศจิกายน 2547 ไทยกับบาห์เรน ได้ลงนามกรอบความตกลงเม่อื เดอื นธันวาคม 2545 ทค่ี รอบคลุมการค้าสินคา้ บริการ การลงทุน โดยในช้ันนี้ไดม้ ีความตกลง Early Harvest ใน 626 รายการ ที่จะลดภาษีเหลือ 0% ภายในปี 2005 สาหรับสนิ คา้ ท่เี หลอื คาดว่าจะเจรจาให้แลว้ เสร็จภายในปี 2547 เพอื่ ท่จี ะลดภาษีให้เหลอื 0% ภายในปี 2010 ไทยกับญี่ปุ่น หลังจากที่ไทยกับญี่ปุ่น ได้ศึกษาหารือความเป็นไปได้ในการทา FTA มาต้ังแต่ปี 2545 ทั้งสองฝ่ายได้เริ่มการเจรจาในต้นปี 2547 ท่ีครอบคลุมท้ังการเปิดเสรีการค้าสินค้า บริการ การลงทุน และ ความร่วมมือในสาขาต่างๆ และจะยึดรูปแบบความตกลงว่าดว้ ยหุ้นสว่ นเศรษฐกจิ ระหว่างญป่ี ุ่นกบั สงิ คโปร์เป็น ตัวอย่างในการทาความตกลง และพจิ ารณาสาขาท่เี ปน็ ปญั หานอ้ ยทส่ี ดุ ก่อน ไทยและเปรู ได้ลงนามกรอบความตกลงการเป็นหุ้นส่วนทางเศรษฐกจิ ที่ใกลช้ ิดย่ิงข้ึน ซ่ึงครอบคลุมถึง การจัดทา FTA เม่ือตุลาคม 2546 โดยคาดว่าการเจรจาจะแล้วเสร็จภายใน 2547 เพ่ือท่ีจะสามารถเป็น FTA ไดภ้ ายในปี 2558

ไทยและสหรัฐฯ ได้ตกลงการจัดทา FTA เมื่อเดือนตุลาคม 2546 และได้มีการเจรจารอบแรกเม่ือส้ิน เดอื นมถิ ุนายน 2547 ณ มลรัฐฮาวาย โดยเป็นการแลกเปลี่ยนขอ้ มูลเบือ้ งต้นในเร่ืองต่างๆ ทัง้ น้ี คาดวา่ จะมีการ เจรจา 6-8 ครง้ั เพอื่ ท่จี ะใหก้ ารเจรจาเสรจ็ ส้ิน ภายในปลายปี 2548 หรือตน้ ปี 2549 ไทยกับอินเดีย ได้ลงนามกรอบความตกลง ไทย-อินเดีย เม่ือ 9 ตุลาคม 2546 ซึ่งครอบคลุมการเปิด เสรีการค้าสินค้า บริการ การลงทุน และการลดอุปสรรค โดยท้ังสองฝ่ายได้ตกลงที่จะลดภาษีล่วงหน้า (Early Harvest) ใน 82 รายการสินค้าก่อน ตั้งแต่เดือนกันยายน 2547 ให้เหลือ 0% ในปี 2549 และดาเนินการ เจรจาลดภาษีรายการอ่ืนๆ ตอ่ ไป โดยคาดวา่ จะสามารถเป็น FTA ได้ภายในปี 2010 ไทยกับออสเตรเลีย ทั้งสองฝ่ายได้ลงนามความตกลง FTA แล้วเม่ือวันที่ 5 กรกฎาคม 2004 ณ ประเทศออสเตรเลีย และความตกลงนจ้ี ะมผี ลบงั คบั ใชต้ ้งั แต่วนั ที่ 1 มกราคม 2005 เปน็ ต้นไป BIMSTEC ประเทศสมาชิก BIMST-EC ได้ ลงนามกรอบความตกลงเขตการค้าเสรีเมื่อเดือนกมุ ภาพันธ์ 2547 ณ จังหวัดภูเกต็ ซึ่งครอบคลุมการคา้ สนิ ค้า บริการ การลงทุน และความร่วมมือทางเศรษฐกิจต่างๆ โดย มีเปา้ หมายทีจ่ ะลดภาษเี หลอื 0% ภายในปี 2015 4. แปซิฟิก : เอเปค (APEC) (APEC – Asia-Pacific Economic Cooperation) องค์กรความร่วมมอื ทางเศรษฐกจิ แห่งเอเชียและแปซฟิ กิ หรือ เอเปก เอเปก เป็นการรวมกลุ่มระหว่างประเทศท่ีก่อต้ังข้ึนจากการ ประชุมระดับรัฐมนตรีของประเทศในภูมิภาคเอเชีย-แปซิฟิก เมื่อเดือน พฤศจกิ ายน พ.ศ. 2532 ณ กรงุ แคนเบอร์รา ประเทศออสเตรเลยี วัตถปุ ระสงค์ ของการต่อตั้งเอเปก คือ 1.เพือ่ สนับสนุนการขยายตัวทางเศรษฐกิจและการคา้ ของภมู ิภาคและของโลก 2. เพ่อื พฒั นาและสง่ เสรมิ ระบบการค้าในระดบั พหภุ าคี (การค้าหลายฝ่าย) 3. เพ่ือส่งเสริมการเปิดเสรีทางการค้าในภูมิภาค ในลักษณะที่ไม่ใช้การรวมกลุ่มทางการค้าท่ีกีดกัน ประเทศนอกกลุม่ 4. เพ่ือลดอปุ สรรคและอานวยความสะดวกด้านการค้าสนิ คา้ บริการ และการลงทุนระหว่างสมาชิกให้ เป็นไปโดยเสรี สอดคล้องกับกฎเกณฑ์ของแกตต์ (GATT) ที่ปัจจุบันพัฒนามาเป็นองค์การการค้าโลก (World Trade Organization – WTO) เปา้ หมาย เอเปกมีเป้าหมายหลัก คือ การร่วมกันทางเศรษฐกจิ เพ่ือสรา้ งความเจริญเติบโตอยา่ งย่ังยืน ให้กบั ภูมภิ าคและโลก สมาชิก เอเปกมีสมาชิก 21 เขตเศรษฐกิจ ได้แก่ ทวีปอเมริกาเหนือมีสหรัฐอเมริกา แคนาดา และ เม็กซิโก ทวีปอเมริกาใต้มีชิลี และเปรู ทวีปออสเตรเลียมีออสเตรเลีย นิวซีแลนด์ และปาปัวนิวกินี และทวีป เอเชียมีญี่ปุ่น เกาหลีใต้ จีน สิงคโปร์ อินโดนีเซีย มาเลเซีย บรูไน ฟิลิปปินส์ ฮ่องกง ไต้หวัน เวียดนาม รัสเซีย และไทย

จะเห็นไดว้ ่าเอเปกเป็นการรวมกลุ่มระหว่างประเทศท่ีเน้นในเรื่องของเศรษฐกิจเป็นหลักโดยมีสมาชิก กระจายอยู่ในทวีป ต่าง ๆ ถึง 4 ทวีป คือ เอเชีย อเมริกาเหนือ อเมริกาใต้ และออสเตรเลีย ซ่ึงมีตาแหน่งที่ ตงั้ อยู่ในยา่ นมหาสมุทรแปซิฟิก ดังนัน้ ในเร่ืองของการติดต่อค้าขายระหว่างประเทศกลมุ่ สมาชกิ จึงใช้ประโยชน์ จากการคมนาคมทางน้าควบคู่กบั ทางอากาศเป็นหลกั 5. สมาคมประชาชาตแิ หง่ เอเชียตะวนั ออกเฉยี งใต้ (ASEAN – Association of South East Asia Nations) อาเซียน ก่อตั้งขึ้นเมื่อวันท่ี 8 สิงหาคม พ.ศ. 2510 ปัจจุบันมีสมาชิก 10 ประเทศ ได้แก่ พม่า ไทย ลาว กัมพูชา เวียดนาม มาเลเซีย สิงคโปร์ อินโดนีเซีย บรูไน และฟิลิปปินส์ มีวัตถุประสงค์หลักเพื่อส่งเสริม ความรว่ มมอื ด้านการเมือง เศรษฐกิจ สงั คม และวฒั นธรรม 6. กลุม่ ประเทศผสู้ ่งน้ามันดิบเป็นสนิ คา้ ออก (OPEC – Organisation of Petroleum Exporting Countries) โอเปก ก่อตั้งข้ึนเมื่อวันที่ 14 กันยายน พ.ศ. 2503 ปัจจุบันมีสมาชิก 13 ประเทศ ในทวีปเอเชียมี คูเวต อิรัก อิหร่าน ซาอุดีอาระเบีย สหรัฐอาหรับ เอมิเรตส์ กาตาร์ และอินโดนีเซีย ทวีปแอฟริกามี ลิเบีย แอลจีเรีย กาบอง และไนจเี รยี และทวปี อเมริกาใต้มี เวเนซุเอลา และเอกวาดอร์ มีสานกั งานใหญอ่ ยทู่ ีเมืองเจนี วา ประเทศสวิตเซอร์แลนด์ มีวัตถุประสงค์หลักเพื่อปรึกษาหารือ และการประสานกันเก่ียวกับนโยบายน้ามัน ของประเทศสมาชกิ 7. สนั นิบาตอาหรับ (Arab League) สันนิบาตอาหรับ เป็นการรวมกลุ่มระหว่างประเทศในภูมิภาคเอเชียตะวันตกเฉียงใต้ และแอฟริกา ตอนเหนือ ก่อตั้งขึ้นเม่ือวันที่ 22 มีนาคม พ.ศ. 2488 ปัจจุบันมีสมาชิก 20 ประเทศ ได้แก่ ซีเรีย เลบานอน อิรัก จอร์แดน ซาอุดีอาระเบีย เยเมน ลิเบีย ซูดาน ตูนิเซีย โมร็อกโก คูเวต แอลจิเรีย บาห์เรน โอมาน กาตาร์ สหรัฐอาหรับเอมิเรตส์ เอธิโอเปีย โซมาเลีย ปาเลสไตน์ และจิบูตี มีวัตถุประสงค์เพื่อรักษาความม่ันคง ร่วมมือ กันทางการเมือง เศรษฐกิจ และสังคมวัฒนธรรม รวมทั้งในเรื่องของน้ามัน การศึกษาวัฒนธรรมและ วทิ ยาศาสตร์ 8. กลมุ่ ในเครอื รฐั อสิ ระ (CIS – Commonwealth of Independent States) กลุ่มในเครอื รฐั อิสระ เป็นกลุม่ การรวมกลุ่มของประเทศท่ีแยกตวั ออกมาจากอดีตประเทศสหภาพโซ เวียต มีสมาชิก 16 ประเทศ ได้แก่ รัสเซีย คาซัคสถาน อุซเบกิสถาน เติร์กเมนิสถาน ทาจิกิสถาน คีร์กีซ จอร์เจีย อาร์เมเนีย อาเซอร์ไบจาน ยูเครน เบลารุส ลิทัวเนีย ลัตเวีย เอสโตเนีย แอลเบเนีย และมอลโดวา มี

วัตถุประสงค์เพ่ือส่งเสริมการพัฒนาความก้าวหน้าทางเศรษฐกิจและเทคโนโลยีของประเทศอดีตสหภาพโซ เวียต คาว่า ภูมิภาค (region) คือ พื้นท่ีใดพื้นท่ีหน่ึงซึ่งมีลักษณะอย่างใดอย่างหนึ่งหรือหลายอย่างที่ คล้ายคลึงกัน และสามารถแบ่งแยกออกจากพ้ืนท่ีโดยรอบได้ เช่น มีลักษณะภูมิประเทศคล้ายกัน อาทิ ภาคเหนือของประเทศไทยมีภูมิประเทศหลักเป็นเทือกเขาสูงแทรกสลับด้วยแอ่งที่ราบเหมือนกันทั้ง 9 จังหวัด หรือภาคกลางมีภูมิประเทศหลักเป็นท่ีราบเหมือนกันท้ัง 22 จังหวัด เป็นต้น ดังนั้นแบ่งภูมิภาคจึงแบง่ ได้หลาย ลักษณะข้ึนอยู่กับวัตถปุ ระสงค์และเกณฑ์ท่ใี ช้แบง่ นอกจากนี้ภมู ิภาคยงั มีขนาดพ้ืนท่ีหรือขอบเขตที่แตกตา่ งกัน ไป ในทวีปเอเชียจาแนกภูมิภาคทางภูมิศาสตร์ออกได้เป็น 6 ภูมิภาค โดยใช้สภาพทางภูมิศาสตร์เป็นตัว แบ่ง ซ่ึงพิจารณาจากระบบธรรมชาติ เช่น เรื่องของภูมิประเทศ ภูมิอากาศ เป็นต้นระบบมนุษย์ เช่น เรอื่ งของ รปู ร่างหน้าตา สีผวิ เปน็ ต้น และเร่อื งของระบบวัฒนธรรม เชน่ ภาษา ศาสนา กิจกรรม เศรษฐกจิ เป็นตน้ ภมู ิภาคของทวีปเอเชียมี 6 ภูมิภาค ดังน้ี 1. ภูมิภาคเอเชียตะวันออก ประกอบด้วยประเทศจีน ญี่ปุ่น เกาหลีใต้ เกาหลีเหนือ มองโกเลีย และ ไตห้ วนั 2. ภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉยี งใต้ ประกอบด้วย ประเทศพม่า ไทย ลาว เวียดนาม กัมพูชา มาเลเซีย อนิ โดนีเซีย ตมิ อร-์ เลสเต (ติมอรต์ ะวนั ออก) สงิ คโปร์ บรไู น และฟิลิปปินส์ 3. ภูมิภาคเอเชียใต้ ประกอบด้วย ประเทศ อินเดีย ศรีลังกา มัลดีฟส์ ปากีสถาน เนปาล ภูฎาน และ บังกลาเทศ 4. ภูมิภาคเอเชียตะวันตกเฉียงใต้ ประกอบด้วย ประเทศอัฟกานิสถาน อิหร่าน อิรัก ซีเรีย ตุรกี ซาอุดีอาระเบีย โอมาน เยเมน สหรัฐอาหรับเอมิเรตส์ บาหร์เรน กาตาร์ เลบานอน คูเวต จอร์แดน ไซปรัส และอสิ ราเอล 5. ภูมิภาคเอเชียกลาง ประกอบด้วย ประเทศคาซัคสถาน อุซเบกิสถาน เติร์กเมนิสถาน อาร์เมเนีย จอรเ์ จีย อาเซอรไ์ บจาน ทาจิกสิ ถาน และคีรก์ ซี 6. ภูมิภาคเอเชียเหนือ ได้แก่ ประเทศรัสเซีย ในส่วนที่อยู่ทวีปเอเชีย โดยใช้แนวของเทือกเขาอูราล เป็นแนวแบง่ เขตแยกออกจากทวีปยุโรป ความสัมพันธ์ระหว่างประเทศต่าง ๆ ในทวีปเอเชียกับประเทศไทย หรือระหว่างประเทศกับประเทศ ต่าง ๆ ในทวีปเอเชียมีอยู่หลาย ๆ ด้าน หลายรูปแบบและหลายระดับ โดยจะปรากฏเด่นชัดเป็นทางการใน รูปแบบทางการทตู สถานกงสุล ความสมั พันธ์ ดังกล่าว เช่น ด้านการเมือง การปกครอง เศรษฐกิจ การคมนาคมขนส่งเทคโนโลยี เป็นต้น โดย ความสัมพันธ์ด้านเศรษฐกิจโดยเฉพาะการค้าขายจะเด่นชัด และสาคัญท่ีสุดประเทศคู่ค้าท่ีสาคัญของไทยใน ทวีปเอเชีย ได้แก่ ญี่ปุ่น สิงคโปร์ ฮ่องกง (จีน) จีน ไต้หวัน และมาเลเซีย รวมทั้งประเทศเพ่ือนบ้านท้ัง ลาว กัมพูชา และพม่า ก็มีการค้าขายตามแนวชายแดน เนื่องจากการค้าขายระหว่างประเทศเป็นกิจกรรมหลักของ

ระบบเศรษฐกิจทาให้ระบบเศรษฐกิจขับเคล่ือนไปได้ ท้ายที่สุดส่งผลต่อระดับการพัฒนาประเทศ การเรียนรู้ ประเทศต่าง ๆ ในทวีปเอเชย ทั้งทางลักษณะธรรมชาติ ประชากร และระบบวัฒนธรรมน่าจะช่วยให้เข้าใจ สภาพท่ีเป็นจริงของประเทศน้ัน ๆ สามารถท่ีจะคาดคะเนหรือประเมินสถานการณ์ในการดาเนินความสัมพันธ์ ไดอ้ ยา่ งเหมาะสมและเกิดประโยชนก์ บั ประเทศไทยได้มาก 9. ขอ้ ตกลงการค้าเสรอี เมริกาเหนอื NAFTA 9.1 ความเปน็ มา ข้อตกลงการค้าเสรีอเมริกาเหนือ เป็นข้อตกลงเพ่ือเปิดการค้า เส รี ระหว่างสหรัฐอเมริกา แคนาดา และเม็กซิโก โดยมีพ้ืนฐานมาจากเขตการค้าเสรีสหรัฐฯ-แคนาดา (U.S.- Canada Free Trade Area : FTA) ท่ีมีผลใช้บังคับตั้งแต่วันที่ 1 มกราคม 2532 และความร่วมมือทางการค้า และการลงทนุ ระหวา่ งสหรฐั ฯ และเมก็ ซิโก ซึ่งไดเ้ รม่ิ ต้ังแตป่ ี 2530 ต่อมาได้มีการเจรจาเขตการค้าเสรีอเมริกาเหนือ โดยเร่ิมเจรจาสาระของเขตการค้าเสรีฯ ในเดือน มิถุนายน 2534 และผู้นาทั้งสามชาติได้ร่วมลงนามรับรองเขตการค้าเสรี เม่ือวันที่ 17 ธันวาคม 2535 ซ่ึง NAFTA เร่มิ มีผลบงั คบั ใช้ตัง้ แตว่ นั ที่ 1 มกราคม 2537 9.2 สหรฐั ฯ แคนาดา และเม็กซโิ ก ตา่ งใหก้ ารสนับสนนุ NAFTA ดว้ ยเหตผุ ลดงั นี้ 1) สหรฐั ฯ - เพื่อลดปัญหาชายแดนสหรัฐฯ-เม็กซิโก ปัญหายาเสพติด ปัญหามลภาวะ และปัญหา ลักลอบ เขา้ มาทางานอยา่ งไมถ่ กู กฏหมายของชาวเม็กซโิ กตามรัฐชายแดนภาคใตข้ องสหรฐั ฯ - มุง่ ใช้ NAFTA เปน็ ฐานการคา้ หลกั แก้ไขปัญหาการขาดดลุ การค้าภายในประเทศ - สหรัฐฯ ต้องการให้ NAFTA เป็นฐานต่อรองทางการค้ากับกลุ่มการค้าต่างๆ เช่น เขตการค้าเสรี อาเซียน (AFTA) และสหภาพยโุ รป (EU) 2) แคนาดา - แคนาดาจะมีศักยภาพการแข่งขันในระยะยาวมากข้ึน เนื่องจากบริษัทต่างๆ ของแคนาดาจะ ปรบั ปรุงโครงสรา้ งการผลิต เพม่ิ ประสทิ ธิภาพการทางานเพ่ือรบั มือภาวะถดถอยของ แคนาดาในระยะแรก - NAFTA จะช่วยให้เศรษฐกิจของเม็กซิโกดีข้ึน เม็กซิโกจะเป็นตลาดการค้าที่ใหญ่ท่ีสุดใน ลาติน อเมริกาสาหรับแคนาดา 3) เม็กซิโก - NAFTA จะทาให้เม็กซิโกได้รับประโยชน์จากการตึงดูดเงินทุนและเทคโนโลยีจากต่างประเทศ เป็น ผลให้เม็กซโิ กสามารถแขง่ ขนั กบั กลุม่ การคา้ ต่างๆ ได้มากขน้ึ - เม็กซิโกสามารถเพิ่มศกั ยภาพการลงทนุ ในประเทศมากย่ิงขึ้น เนือ่ งจากอัตราค่าจ้างต่าและเปน็ เขต ปลอดภาษีศลุ กากร 9.3 วตั ถปุ ระสงคข์ อง NAFTA

1. เพ่ือขจัดอุปสรรคทางการค้าและบริการระหว่างประเทศภาคีด้วยการยกเลิกภาษีศุลกากรและ มาตรการที่มิใช่ภาษีศุลกากรให้แก่กันและกัน NAFTA ได้แบ่งสินค้าออกเป็น 4 กลุ่ม คือ กลุ่ม A ลกเลิกภาษี ต้ังแต่วันที่ 1 มกราคม 2537 กลุ่ม B ลดภาษีร้อยละ 20 ต่อปี ภายใน 5 ปี กลุ่ม C ลดภาษีร้อยละ 10 ต่อปี ภายใน 10 ปี และกลมุ่ D ซง่ึ เป็นกลุม่ สดุ ท้าย เปน็ สินคา้ ท่มี คี วามอ่อนไหวมาก จะยกเลกิ ภาษภี ายใน 15 ปี 2. ส่งเสริมการแขง่ ขันที่เป็นธรรมในเขตการค้าเสรี 3. ขยายโอกาสการลงทุนในดนิ แดนของประเทศภาคี 4. ค้มุ ครองสิทธิในทรัพยส์ ินทางปัญญาอยา่ งเพยี งพอและให้มีการใช้บังคบั อยา่ งจริงจงั 5. แก้ไขขอ้ พพิ าททางการค้า 6. ส่งเสริมความร่วมมือในระดับต่างๆ คือ ไตรภาคี พหุภาคี และความร่วมมือในภูมิภาค เพ่ือขยาย และเพ่มิ พูนผลประโยชน์ของเขตการค้าเสรีนี้ 9.4 ความสาคัญต่อเศรษฐกิจโลก 1. NAFTA มีผลต่อเศรษฐกจิ การค้าโลกในแงท่ ่ี NAFTA หรือสมาชกิ NAFTA ไปทาความตกลงการค้า เสรีกับประเทศที่มีความสาคัญทางด้านเศรษฐกิจการค้า หรือเพิ่มสมาชิกหรือขยายเขตการค้าเสรีให้ใหญ่ใน ทวปี อเมริกา เชน่ 1) ปัจจุบันสหภาพยุโรปได้จัดทาเขตการค้าเสรีกับเม็กซิโก ซึ่งมีการลงนามเมื่อวันท่ี 26 มีนาคม 2543 และเร่ิมผลบังคับต้ังแต่วันที่ 1 กรกฎาคม 2543 เป็นความตกลงจัดทาเขตการค้าเสรีครั้งแรกใน ประว้ติศาสตร์ระหว่างสหภาพยุโรปกับประเทศในลาตินอเมริกา ซึ่งจะมีผลสาคัญต่อการค้าโลก เนื่องจากเป็น ครั้งแรกท่ีมีการเช่ือมโยงการค้าเสรีระหว่างประเทศกลุ่ม NAFTA (3 ประเทศ) กับสหภาพยุโรป โดยความตก ลงดงั กล่าวเกดิ ขนึ้ จากความต้องการและการผลกั ดนั และการผลกั ดนั อยา่ งมากของสหภาพยุโรป 2) สหรัฐฯ กาลังศึกษาผลกระทบเก่ียวกับการจัดทาความตกลงทางการค้าระหว่างกลุ่มประเทศ สมาชิก NAFTA กับสหราชอาณาจักร การจัดทาความตกลงน้ี เป็นก้าวสาคัญในการเสริมสร้างความสัมพันธ์ ทางการคา้ ระหวา่ งสหรฐั ฯ กบั สมาชกิ สหภาพยโุ รปดีข้ึน ซง่ึ ความตกลงน้จี ะทาให้เกิดผลบวกต่อการคา้ เชน่ จะ มีการปรับลดอัตราภาษีสนิ ค้าระหว่างสหรัฐฯ กบั สมาชิกสหภาพยุโรปดขี ึ้น ซึ่งความตกลงนี้จะทาให้เกิดผลบวก ต่อการค้า เช่น จะมีการปรับลดอัตราภาษีสินค้าระหว่างสหรัฐฯ กับสหราชอาณาจักรมากข้ึน NAFTA จะ สง่ ออกและนาเขา้ สนิ ค้าจากสหราชอาณาจกั รเพ่ิมมากข้ึน 2. NAFTA เป็นตัวอย่างในการใช้กระบวนการแบบพหุภาคีและแบบภูมิภาคร่วมกัน เพื่อส่งเสริม การคา้ อย่างโปร่งใส การพัฒนานโยบายของ NAFTA เป็นการเสริมความพยายามของ WTO ท่ีจะเพ่ิมความโปร่งใสด้าน นโยบายเกษตรและลดผลท่ีจะเกิดจากความบิดเบือนทางการค้า สมาชิก NAFTA เองได้ใช้แผนงานเกษตรที่มี ความบิดเบือนด้านการค้าน้อยอยู่แล้ว เพาะความกดดันด้านงบประมาณของแต่ละประเทศ นโยบายให้มีการ เปิดตลาดมากข้ึน และมีการแทรกแซงจากรัฐบาลน้อยลง รวมทั้งปริมาณการค้าท่ีเพ่ิมขึ้นของ NAFTA เองได้ กดดันให้ประเทศสมาชิกต้องแก้ปัญหาความขัดแย้งในด้านกฎระเบียบและการอุดหนุนทางด้านเกษตรของแ ต่ ละประเทศ จะเห็นได้ว่า NAFTA ได้เริ่มพิจารณาข้อปัญหาซึ่งจะมีการพูดถึงในการเจรจาแบบพหุภาคีของ WTO ในปี 1999 บ้างแล้ว ในขณะเดียวกัน WTO เองเป็นเวทีสาหรับขจัดข้อขัดแย้งใน NAFTA ได้ แสดงให้

เห็นว่า กระยวนการแบบพหุภาคีและแบบภูมิภาคสามารถดาเนินการร่วมกันอย่างมีประสิทธิภาพในการแก้ไข ปัญหาการค้าระหวา่ งประเทศ 3. NAFTA มีอิทธิพลต่อการรวมกลุ่มและการทาความตกลงการค้าเสรีอื่นๆ เช่น การประชุมสุดยอด ทวีปอเมริกา ครั้งที่ 3 ท่ีประเทศแคนาดา เม่ือเดือนเมษายน 2544 ได้มีการหารือในเร่ืองของการจัดตั้งเขต การค้าเสรีแห่งทวีปอเมริกา แต่ได้มีการคัดค้านจากหลายประเทศในเร่ืองของสิ่งแวดล้อมและแรงงาน โดยท่ี เร่ืองดังกล่าวมีกรอบการเจรจาเดียวกันกับ NAFTA ซึ่งเป็นอิทธิพลในการตัดสินใจของกลุ่มประเทศท่ีกาลัง พัฒนา เช่น บราซิล อาร์เจนตินา ปารากวัย แลอุรุกวัย นอกจากนี้ ประชาชนสหรัฐฯ และ NGOs ยังได้ชู ประเด็นตัวอย่างของ NAFTA กรณีการย้ายถ่ินฐานการผลิตไปยังประเทศที่มีแรงงานถูก ทาให้อัตราการ ว่างงานของชาวสหรัฐฯ เพ่ิมขึ้น เป็นการสร้างแรงงานคัดค้านเพ่ิมข้ึน อย่างไรก็ตาม การจัดต้ังเขตการค้าเสรี แหง่ ทวปี อเมริกา มแี ผนท่ีจะใช้แนวทางและกรอบเหมอื นกบั การจัดต้ัง NAFTA 9.5 ความสาคัญต่อไทย NAFTA เป็นตลาดสาคัญของไทย ปี 2537 ไทยส่งออกไป NAFTA ประมาณร้อยละ 22.5 ของมูลค่า ส่งออกรวม สินค้าสาคัญท่ีไทยส่งออกไปตลาด NAFTA เช่น เส้ือผ้าสาเร็จรูป เครื่องคอมพิวเตอร์อุปกรณ์และ ส่วนประกอบ กุ้งสดแช่เย็นแช่แข็ง อาหารทะเลกระป๋อง แผงวงจรไฟฟ้า อัญมณีและเคร่ืองประดับ รองเท้า และชิน้ ส่วน และเครอื่ งรับวิทยโุ ทรทัศนแ์ ละสว่ นประกอบ แม้ NAFTA จะมีภาคีสมาชิกเพียงสามประเทศ แต่เป็นกลุ่มที่มีความสาคัญต่อเศรษฐกิจการค้าโลก รายได้ประชาชาติของทั้งสามประเทศรวมกันมากกว่า 7 ล้านล้านเหรียญสหรัฐ มีประชากรถึง 370 ล้านคน มูลค่าการค้ารวมกันประมาณ 1,700 พันล้านเหรีบญสหรัฐ ในระยะสั้น ผลกระทบค่อนข้างมีจากัด ท้ังนี้ เนื่องจากเม็กซิโกยังมีปัญหาในเรื่องการพัฒนาโครงสร้างพ้ืนฐาน ฝีมือแรงงานและความพร้อม ในระยะยาว คาดวา่ NAFTA จะส่งผลกระทบต่อไทย โดยเม็กซโิ กอาจมีความไดท้ างการแขง่ ขันมากขึน้ การขยายตัวของการลงทุนของต่างชาติในเม็กซิโก อาจส่งผลให้การลงทุนต่างประเทศในไทยลดลง นอกจากน้ีการขยายตัวการลงทุน จะทาให้มีการถ่ายทอดเทคโนโลยี และเพ่ิมคุณภาพให้กับสินค้าของเม็กซิโก ด้วย ประเทศไทยเป็นฝ่ายได้เปรียบทุกดุลการค้าต่อเขตการค้าเสรีอเมริกาเหนือ ซึ่งเป็นตลาดสาคัญอันดับ 2 ของไทยรองจากญ่ีปุ่น ในปี ค.ศ. 1996 ไทยส่งออกประมาณร้อยละ 19.2 ของมูลค่าส่งออกรวม โดยมีสนิ ค้า สาคัญ คือ เสื้อผ้าสาเร็จรูป เครื่องคอมพิวเตอร์ และ ส่วนประกอบแผงวงจรไฟฟ้า อาหารกระป๋อง กุ้งแช่แข็ง อัญมณี และ เคร่ืองประดบั รองเท้า และ ช้นิ ส่วน ตลอดจนเครื่องรบั วทิ ยุ และ สว่ นประกอบ

บทท่ี 2 การรวมกลุ่มทางเศรษฐกจิ ในภมู ภิ าคต่างๆ (ตอ่ ) 1. ธนาคารโลก (World Bank) ธนาคารโลก หรือเรยี กว่า ธนาคารเพ่ือการบูรณะและพฒั นาระหว่างประเทศ (อังกฤษ: International Bank for Reconstruction and Development; IBRD) เป็นองค์กรระหว่างประเทศที่ได้จัดต้ังข้ึนมาหลัง สงครามโลกคร้ังท่ีสอง โดยประเทศมหาอานาจในทวีปอเมริกาเหนือและทวีปยุโรป โดยมีจุดมุ่งหมายเพื่อช่วย ให้ประเทศสมาชิกได้ทาการฟื้นฟูประเทศหลังสงครามโลกคร้ังท่ีสอง โดยมุ่งเน้นการลงทุนเพ่ือเพ่ิม ประสิทธิภาพการผลิตและเร่งรัดการเจริญเติบโตทางเศรษฐกิจ เป็นองค์กรอยู่ในสังกัดขององค์การ สหประชาชาติ มีสานักงานใหญ่ต้ังที่กรงุ วอชิงตัน ดีซี ประเทศสหรัฐอเมริกา ปัจจุบันมีประเทศสมาชิกท้ังหมด 187 ประเทศ เงินทุนของธนาคารโลกได้มาจากการจาหน่ายพันธบัตรในตลาดการเงินสาคัญของโลก ค่าบารุง จากประเทศสมาชกิ และเงินคา่ หนุ้ ของประเทศสมาชิก 1.1 วตั ถุประสงค์ เพ่ือช่วยเหลือประเทศสมาชิกที่ได้รับความเสียหายจากสงครามโลกคร้ังที่สอง โดยให้สมาชิกกู้ยืมไป เพื่อบูรณะซ่อมแซมและพัฒนาประเทศ ต่อมาได้ขยายขอบเขตของการบริการออกไปเป็นการสนับสนุนการ ลงทุนเพ่ือการพัฒนาและเพิ่มผลผลิตในประเทศที่กาลังพัฒนา เพ่ือยกระดับชีวิตและความเป็นอยู่ของ ประชาชนในประเทศสมาชิก ตามลักษณะกิจการท่ีจะลงทุนและตามความจาเป็นและยังช่วยเหลือสมาชิกด้วย การใหบ้ ริการดา้ นความรู้และคาแนะนาเก่ยี วกบั การวางแผนการลงทนุ และบริหารการเงิน 1.2 ประวตั กิ ารก่อตง้ั จากการประชุมของกลุ่มประเทศมหาอานาจ ที่เบร็ตตันวูดส์ รัฐนิวแฮมป์เชียร์ ประเทศสหรัฐอเมรกิ า เม่ือเดือนกรกฎาคม พ.ศ. 2487 ในการประชุมคร้ังนี้ได้มีการร่างกฎบัตรข้ึนมาสองฉบับเพื่อจัดตั้งธนาคาร ระหว่างประเทศเพ่ือการบูรณะและพัฒนา และกองทุนการเงินระหว่างประเทศ โดยทั้งสองสถาบันมีการแบ่ง ความรับผิดชอบกันอย่างชัดเจน กองทุนการเงินระหว่างประเทศจะให้การสนับสนุนทางการเงินระยะสั้น เพื่อ ช่วยประเทศต่าง ๆ แก้ปัญหาดุลการชาระเงินในขณะท่ีธนาคารโลกจะให้ทุนสนับสนุนการพัฒนาระยะกลาง และระยะยาวในรูปแบบเงินกู้ยืม โครงการพัฒนาที่เน้นเฉพาะเป็นโครงการไป แต่เม่ือเวลาผ่านไปความ แตกตา่ งนี้ก็ลดน้อยลงไปช่วงที่โลกเกิดวิกฤตการณ์การเงินในช่วงปี พ.ศ. 2513 - พ.ศ. 2523 ธนาคารโลกก็เริ่ม ปลอ่ ยเงินกรู้ ะยะส้ัน เพอ่ื การปรับปรุงเชิงโครงสรา้ งประสานกบั กองทุนดว้ ยเช่นกัน


Like this book? You can publish your book online for free in a few minutes!
Create your own flipbook