Important Announcement
PubHTML5 Scheduled Server Maintenance on (GMT) Sunday, June 26th, 2:00 am - 8:00 am.
PubHTML5 site will be inoperative during the times indicated!

Home Explore IR เอกสารประกอบการสอน

IR เอกสารประกอบการสอน

Published by sulaiman.ha, 2020-07-03 22:57:37

Description: IR เอกสารประกอบการสอน

Search

Read the Text Version

2.การที่ประชาชนยอมรับในวิถีชีวิตและความหลากหลายทางวัฒนธรรมโดยไม่จากัดเชื้อชาติศาสนา เช่นการท่ีคนตะวันตกบางกลุ่มแต่งตัวแบบพวกเร็กเก้ในแถบจาไมก้าเเละคาริบเบียน การท่ีคนเราเวียดนาม แต่งตวั ตามแบบตะวันตกมากขน้ึ หรือการที่ประชาชนในกลุ่มสหภาพยโุ รปช่ืนชมในวัฒนธรรมโดยรวมของชาว ยุโรปมากกว่าวัฒนธรรมแบบฝรั่งเศษ สเปน อังกฤษโดยวัฒนธรรมประจาชาติจะค่อยค่อยถูกแทนที่ด้วย วัฒนธรรมสหภาพยุโรป เช่น การที่คนยุโรปยอมรับการใช้เงินยูโรซึ่งมีด้านหน่ึงเป็นตราประจาสหภาพยุโรป ในขณะท่ีอีกด้านหน่ึงเป็นตราสัญลักษณ์ของธาตุต่างๆดังน้ันถึงแม้ว่า ชาตินิยมจะยังมีอิทธิพลต่อการเมืองโลก แต่แนวคิดหลังชาตินิยมก็เริ่มก้าวข้ึนมามีบทบาทและท้าทายลัทธิชาตินิยมมากขึ้น ซ่ึงจะเป็นการเปล่ียนแปลง ครั้งยง่ิ ใหญข่ องโลกยคุ หลังสมัยใหม่ นอกจากทฤษฎีความสัมพันธ์ระหว่างประเทศใน 4 สานักความคิด อันได้แก่ สานักสัจนิยม สานักเสรี นิยม สานักมาร์กซิส และสานักหลังสมัยใหม่ ยังปรากฏทฤษฎีที่น่าสนใจซึ่งมีอิทธิพลต่อการมองโลกและการ กาหนดนโยบายต่างประเทศของรฐั ตา่ งๆโดยมรี ายละเอียดดงั นี้ ทฤษฎคี วามขดั แย้งทางอารยธรรม (Clash of Civilization) แนวคิดดังกล่าว ปรากฏในงานเขียนเร่ืองThe Clash of Civilization ของ เเซมวล ฮันติงตัน (Samuel Huntington) นักรัฐศาสตร์ชาวอเมริกัน โดยมีสาระสาคัญคือ โลกยุคหลังสงครามเย็นจะเต็มไปด้วยความ ขดั แย้งทางอารยธรรม ซึ่งแบ่งออกเป็นกล่มุ อารยธรรมทาตะวันตก ละตินอเมรกิ า แอฟรกิ า พุทธ ญี่ปุ่น ขงจ้ือ อิสลาม คริสเตียน ออโธดอกซ์เเละฮินดู26 โดยกลุ่มอารยธรรมต่างๆจะมีรัฐศูนย์กลาง ที่มีอาวุธนิวเคลียร์ใน ครอบครอง ในทศั นะของฮนั ตงิ ตันสงครามระหวา่ งรัฐจะถูกแทนท่ีดว้ ยสงครามระหวา่ งอารยธรรมซึ่งเต็มไปด้วย ความสลับซับซ้อน และมีแนวรบครอบคลุมตัวแสดงหลักหลายมิติ ทั้งรัฐชาติ กลุ่มชาติพันธ์ องค์การศาสนา และกลุ่มก่อการร้ายข้ามชาติ โดยนอกจากความขัดแย้งระหว่างอารยธรรมหลักๆแล้วภายในแต่ละอารยธรรม ยังมีความขัดแย้งของอารยธรรมย่อย เช่นอิสลามแบบซีอะห์และสุหน่ี หรือ คริสต์เเบบคาทอลิกกับโปรเตส เเตนท์ อย่างไรก็ตามภาษาพูดความขัดแย้งจะพบว่า ความขัดแย้งระหว่างอะไรยะทาอเมริกันกับอารยธรรม อิสลามแบบเครง่ จารีตจะมคี วามรุนแรงที่สุด โดยตวั อย่างที่เห็นได้ชัด คือการทาสงครามระหวา่ งสหรัฐอเมริกา และกลุ่มก่อการร้ายระหวา่ งประเทศ ทฤษฎี สันตภิ าพเพอื่ ประชาธปิ ไตย (Peace for Democracy) ทฤษฎีดังกล่าวได้รับการพัฒนามาจากนักรัฐศาสตร์และนักการทหารอเมริกันโดยมีสาระสาคัญคือ ประชาธปิ ไตย คอื หนทางสาคัญท่ีนาไปสู่สันตภิ าพ ประเทศทม่ี ีการปกครองระบบประชาธิปไตยจะมีแนวโนม้ ใน การทาสงคราม น้อยกว่าประเทศท่ีมีการปกครองแบบเผด็จการหรือคอมมิวนิสต์ การผลักดันให้ประเทศต่างๆ ท่ัวโลกมีการปกครองแบบประชาธิปไตยจึงจัดเปน็ เป้าหมายสาคัญของทฤษฎีดังกล่าวแต่อยา่ งไรก็ตามหากบาง ประเทศไม่ยินยอมที่จะเปลี่ยนแปลงระบบการปกครองและมีพฤติกรรมที่อาจเป็นภัยคุกคามต่อความมั่นคง 26 Samuel P. Huntington, The clash of civilization and the Remaking of World order,(New York : Simon and Schuster,1996),pp.81-95

ระหว่างประเทศ ก็เป็นความเห็นชอบของประเทศประชาธิปไตยในการใช้กาลังทหารเข้าผักดันเพื่อให้เกิด กระบวนการประชาธิปไตยในรัฐดังกล่าว27 ดังนั้นทฤษฎีสันติภาพเพื่อประชาธิปไตยจึงได้รับการต่อต้านจาก บางประเทศเพราะเป็นเครื่องมือในการแทรกแซงและแสวงหาอานาจของสหรัฐอเมริกา การทาสงครามยึด ครองอิรักและอัฟกานิสถาน โดยนักวิเคราะห์หลายฝ่ายต่างมองว่าประชาธิปไตยในกลุ่มประเทศดังกล่าวล้วน เป็นประชาธิปไตยที่ตกอยู่ใต้อิทธิพลของสารัทธ์อเมรกิ า และไม่ได้มาจากความต้องการท่ีแท้จริงของประชาชน ในอิรักในอัฟกานิสถานการทาสงครามมีลักษณะคล้ายการลงทุนซ่ึงต้องได้รับผลกาไรตอบแทน เพราะฉะนั้น จุดหมายท่ีแท้จริงของสารัทธ์อเมริกาจึงเป็นเหตุผลเดียวกับเศรษฐกิจและความได้เปรียบทางยุทธศาสตร์ เปา้ หมายการพัฒนาประชาธปิ ไตยทีแ่ ท้จริง ทฤษฎกี ารเมอื งเก่ียวพันและทฤษฎีการตดั สนิ ใจ (Linkage Politics and Decision Making) ทฤษฎีท้ังสองประการแต่เป็นแนวคิดท่ีมีอิทธิพลต่อการกาหนดและการดาเนนิ นโยบายต่างประเทศของ รัฐต่างๆ ทฤษฎีการเมืองเก่ียวพัน ถือกาเนิดมาจากแนวคิดของเจมส์ รอสเนาว์ (James Rosenau) โดยมี สาระสาคัญคือ ความสลับซับซ้อนของระบบระหว่างประเทศ ส่งผลให้มีการติดต่อระหว่างรัฐเป็นไปอย่าง รวดเร็ว ดังนั้นระบบการเมืองภายในประเทศจึงเกิดขึ้นภายในสภาพแวดล้อมระหว่างประเทศย่อมได้รับ ผลกระทบจากสภาพแวดล้อมด้วย ขณะเดียวกันระบบการเมืองระหว่างประเทศในสภาวะแวดล้อมระหว่าง ประเทศก็จะส่งผลหรือรับผลจากสิ่งท่ีเกิดจากการเมืองภายในของรัฐด้วย กล่าวโดยสรุปคือการเมื อง ภายในประเทศเก่ยี วข้องอย่างลกึ ซ้งึ กับการเมืองระหวา่ งประเทศ เชน่ การทร่ี ะบบการเมืองพมา่ มีลักษณะเผด็จ การย่อมส่งผลกระทบต่อกลุ่มประเทศถ้าเสียในการดาเนินนโยบายต่างประเทศกับพม่าในทางมิติทางการเมือง ในขณะเดียวกันผลกระทบจากกลุ่มประเทศอาเซียนย่อมส่งผลต่อการเมืองพม่าท้ังในแงข่ องการจัดสรรอานาจ ในผนู้ าทหารหรือการเจรจากบั ชนกลุ่มน้อยและนางออง ซาน ซจู ี ทฤษฎีการตัดสินใจถือกาเนิดจากแนวคิดของ ริชาร์ด ซี ซินเดอร์ (Richard C.Snyder)ทฤษฎีการ ตัดสินใจจัดเป็นหัวใจสาคัญในการวิเคราะห์นโยบายต่างประเทศโดยเฉพาะการก่อตัวของนโยบายโดยมี สาระสาคัญคือ การจัดทานโยบายต่างประเทศจะต้องประกอบด้วยตัวแบบ(Model) อันได้แก่องค์ประกอบ ภายใน เช่น สภาวะแวดล้อมทางการเมือง เศรษฐกิจและสังคมภายในประเทศ องค์ประกอบภายนอก เช่น โครงสร้างของประเทศ และนโยบายของรัฐต่างๆโดยปัจจัยท้ังสองประการจะส่งผลต่อกระบวนการตัดสิน ใจ ของรัฐบาล เช่น ภาวะผู้นา แรงจูงใจ การแลกเปลี่ยนข่าวสาร และการรับรู้ของผู้นา โดยมีบทบาทในการ กาหนดนโยบายต่างประเทศ จะทาการประเมินสถานการณ์ที่มาจากปัจจัยภายในและปัจจัยภายนอก อัน นาไปสู่การตัดสินใจเพ่ือเลือกนโยบายต่างประเทศท่ีสอดคล้องกับผลประโยชน์แห่งชาติและส ถานการณ์ การเมืองโลก28 27 Charles W.Kegley JR. and Eugene R.Wittkopf,op.cit.,pp.416-479 28 มนฤตยพล อรุ บญุ นวลชาติ,เอกสารคาสอน วิชา 455331 ทฤษฏีการเมืองระหวา่ งประเทศ,(นครปฐม : สานกั พิมพ์ มหาวทิ ยาลยั เกษตรศาสตร์,2544), หน้า 138.

ทฤษฎีทางความสัมพันธ์ระหว่างประเทศสัตว์เป็นห่วงประกอบสาคัญในการศึกษาได้ทาความเข้าใจ ปรากฏการณ์ระหว่างประเทศ ซ่ึงการประยุกต์ใช้ทฤษฎีในการวิเคราะห์สถานการณ์ทางการเมืองย่อมมีความ แตกต่างกันไปในแต่ละสถานการณ์และความเช่ือของผู้วิเคราะห์ว่ามีการมองรูปแบบใดเช่น มองโลกในแง่ดี มองโลกในแงร่ า้ ย มองโลกดว้ ยประเดน็ ท่ีแปลกใหม่ หรืออาจมองโลกด้วยแง่มุมท่ีหลากหลาย สิ่งสาคญั ประการ หนึ่งซ่ึงเป็นหัวใจสาคัญในการศึกษาทฤษฎีและแนวความคิด คือ ทฤษฎีบางอยา่ งย่อมถกู หักล้างและแทนท่ีดว้ ย ทฤษฎีใหม่ที่มีระเบียบวิธีวิจัย ได้เหตุผลสนับสนุนที่น่าเชื่อถือมากกว่า ตลอดจนยังมีการพัฒนาได้ก่อตัวของ ทฤษฎีอย่างต่อเน่ือง ดังนั้นทฤษฎีความสมั พันธ์ระหวา่ งประเทศจึงมีความหลากหลายและถกู ปรับเปล่ียนใหเ้ ข้า กับสภาวะแวดล้อมระหว่างประเทศอย่างต่อเนื่อง อันจัดเป็นประเด็นที่น่าศึกษาสาหรับทิศทางของวิชา ความสมั พันธร์ ะหว่างประเทศในอนาคต

ภาคที่ 3 ปจั จัยตา่ งๆที่ส่งผลต่อความสัมพนั ธ์ระหว่างประเทศ บทท่ี 1 สิทธินยิ มในความสัมพันธร์ ะหว่างประเทศ 1.ลัทธชิ าตนิ ิยม (Nationalism) “ลักทธิชาตินิยม” เป็นลัทธิท่ีเน้นถึงความจงรักภักดีท่ีมีต่อชาติมากกว่าสิ่งอ่ืนใดไม่ว่าส่ิงนั้นจะเป็น ครอบครวั กลมุ่ ของคน วงศาคณาญาติ หรอื ประชาชนชาติ คาว่า “ลัทธินิยม” นั้นมักถูกนามาพูด เขียน และนามาถกเถียงกันในเรื่องเกี่ยวกับการเมืองระหว่าง ประเทศ อาจกล่าวได้ว่าลัทธิชาตินิยมมีอิทธิพลและบทบาทต่อสิ่งแวดล้อมประจาวันของมนุษย์ มนุษย์น้ันโดย ปกติแลว้ มักจะมีสิ่งผูกมัดจิตใจ ซง่ึ ทาให้เรารู้สึกว่าเขาเป็นพวกเรา หือคนละพวก ความผกู พันที่สาคัญซึ่งมัดให้ คนเรามคี วามร้สู ึกว่าเป็นเพื่อนเดียวกันนั้นมีหลายด้านกัน อาทิเช่น ความผูกพนั ทางด้านการเมือง ทางดนิ แดน ทางภาษา ทางวัฒนธรรม ทางศาสนา และเช้ือชาติ ความผูกพันต่างๆเหล่านี้ เป็นส่ิงที่ทาให้เกิดความรู้สึกอัน รว่ มกันของคนในชาติท่ีมีต่อชาตขิ องตนเอง ซ่ึงทาให้เกิดลัทธชิ าตนิ ิยมข้ึน ลัทธินี้อาจเห็นได้ในรัฐซึ่งประกอบไป ด้วยอานาจและอธิปไตยอย่างสมบูรณ์ เช่น อังกฤษ และฝร่ังเศสในสมันโบราณ และได้แผ่ขยายไปในดินแด น ต่างๆ ท่ัวโลก ความรู้สึกทางชาตินิยมน้ี ถ้ามีจุดประสงค์หรือมุ่งหมายไม่เหมือนกันก็มักก่อให้เกิดความวุ่นวาย และทาให้คนในชาติฆ่ากันเอง เช่น การรบพุ่งระหว่างคนเผ่าไอโบ (Ibo) ซ้ึงต้องการแยกแคว้นไปแอฟรา (Biafra) ออกเป็นอิสระจากไนจีเรียกับฝ่ายรัฐบาลซึ่งเป็นคนเผ่าอื่น ความรู้สึกในด้านการร่มกันและเป็นพวก เดียวกันอันเกิดจากลัทธิชาตินิยมน้ัน จะมีความเข้มแข็งก็ต่อเมื่อเกิดกรณีที่จะต้องไปชิงดีเชิงเด่นกับพวกอื่นๆ ความรูส้ ึกเหลา่ นี้จะถกู ถา่ ยทอดไปถงึ ระดบั ชาตดิ ว้ ย ความรู้สึกและการเคล่ือนไหวในชาตินิยม ไม่เพียงแต่แผ่ขยายในยุโรปเท่านั้น แต่ยังได้แผ่ไปถึงทวีป เอเซียและอาฟริการด้วย อาจสรุปได้ว่าลัทธิชาตินิยมมักพบเห็นปรากฏการณ์อยู่ในรัฐอาณานิคม ซ่ึงมี ขนบธรรมเนียมประเพณีเช่นเดียวกับอเมริกา ลาตินอเมริกา และประเทศในเครื่องจักรภพอังกฤษ รวมท้ังใน หมู่ของประชาชน ซงึ่ พยายามรวมตัวกนั เป็นกลมุ่ เช่น ชาวเยอรมนั และอิตาลีระหว่างศตวรรษท่ี 14 เป็นตน้ อิทธิของลัทธิชาตินิยม ทาให้เกิดเหตุการณ์หลายด้านด้วยกัน กล่าวคือ ทาให้คนในชาติมีมานะขยัน ขันแข็ง เพ่ือจะสร้างชาติของตัวให้ก้าวหน้ารุ่งเรือง เช่น คนเยอรมันและคนญี่ปุ่น ซึ่งแสงครามโลกครั้งท่ี 2 ไม่ นานก็รุ่งเรืองกา้ วหน้าท้ังในด้านเศรษฐกจิ สังคม และการเมืองมากกว่าประเทศบางประเทศท่ีไม่ได้แพ้สงคราม บางครั้งอิทธิพลของชาตินิยมนอกเหนือไปจากการฆ่าฟันระหว่างชนชาติเดียวกัน ยังทาให้คนในชาติเห็นแก่ตัว ชาติที่ร่ารวยที่ไม่ค่อยจะสนใจชาติที่ยากจนโดยมักโฆษณาว่า ให้ความช่วยเหลือมากว่าชาติยากจนท่ีต้องการ ความช่วยเหลือ แต่ความจริงแล้วใหค้ วามช่วยเหลือเพียงเล็กน้อยเทา่ น้ัน ท้ังนกี้ เ็ พือ่ หวังจะได้รับส่ิงตอบแทนให้ คมุ้ ค่า เช่น ครั้งหนึ่งรัสเซียเคยให้ความช่วยเหลือจีนแดงทางด้านเศรษฐกิจและการทหาร เมื่อรัสเซียเห็นว่าจีน แดงก้าวหน้าอย่างรวดเร็วก็หยุดให้ความช่วยเหลอทันที ประการสุดท้าย ลัทธิชาตินิยมบางคร้ังก่อให้เกิดความ

เปล่ียนแปลงในนโยบายของรัฐ อาทิเช่น อังกฤษ และฝรั่งเศส เคยเป็นไม้เบ่ือไม้กันมานาน แต่พอเกิด สงครามโลกคร้ังที่ 2 ก็หันมาช่วยกันรบกับฝ่ายเยอรมัน รัสเซียเคยรบเคียงบ่อเคียงไหล่กับสัมพันธมิตร แต่ หลงั จากเกิดสงครามเย็นขึ้น (Cold War) กม็ ีท่าทเี ป็นปฏปิ กั ษต์ ่อกลมุ่ ประเทศสมั พนั ธมิตร 2. ลัทธคิ อมมวิ นิสต์ (Communism) ลทั ธิคอมมิวนิสต์ หมายถึง ลัทธิมาร์กซิสต์-เลนินนิสต์ (Marxist-Leninist Doctrine) ซึ่งมีจุดมุ่งหมาย ทจี่ ะเปลี่ยนแปลงปฏิวัตสิ ังคมใหเ้ ปน็ ไปตามกระบวนการและการวิธกี ารท่ีได้กาหนด เพื่อใหบ้ รรลถุ ึงจดุ ประสงค์ ที่ลทั ธิคอมมิวนิสต์ไดว้ างไว้ ผทู้ ่ีเป็นเจา้ ตารับน้ีได้แก่ นายคาร์ล มาร์กซ์ (Karl Marx) ซ่ึงเปน็ ชาวเยอรมัน โดยได้ เขียนทฤษฎีของมาร์กซ์มาดัดแปลงใช้ให้เหมาะสมกับสภาพแวดล้อมของประเทศรัสเซีย และได้เเพร่ขยายเข้า ไปในประเทศจนี เป็นอันดับแรก และในทีส่ ุดลทั ธินี้ แบง่ ออกเป็น 2 ค่าย คอื ค่ายจีนแดงและค่ายรสั เซีย ลัทธิ 2 ค่ายนี้ ตีความหมายลัทธิคอมมิวนิสต์ไปคนละแบบ โดยต่างฝ่ายเช่ือวา่ แบบที่ตนยึดถือปฏิบัติยู่เป็นส่ิงท่ีถูกต้อง กว่าแบบอน่ื ลัทธิคอมมิวนิสต์มีผลกระทบกระเทือนต่อความสัมพันธ์ระหว่างประเทศรัสเซียและจีนแดง ในแง่ท่ีว่า อุดมการณ์ของสองค่ายไม่เหมือนกัน ซ่ึงทาให้ไม่มีความไว้วางใจซ่ึงกันและกัน จึงก่อให้เกิดความแตกแยก ระหว่างสองค่ายนี้อย่างรุนแรง ซ่ึงทาให้ไม่มีความไว้วางใจซ่ึงกันและกัน จึงก่อให้เกิดความแตกแยกระหว่าง สองค่ายนร้ี นุ แรง ถงึ ขัน้ ต่อส้ซู ึง่ กนั และกนั ระหว่างชายแดนของประเทศทัง้ สอง นอกจากน้ีแล้ว ลัทธิคอมนิวนิสต์ยังได้พยายามแผ่อิทธิพลเข้าไปในบรรดาประเทศในเอเซีย อัฟริกา และยุโรป โดยเฉพาะอย่างยิ่งประเทศบางประเทศในอัฟริกาและยุโรปตะวันตก ยึดถือหลักนโยบายสังคมนิยม ซง่ึ ใกล้เคยี งกบั หลักการของคอมมิวนิสต์อยา่ งมาก ซึ่งหลักการของคอมมวิ นสิ ต์ยึดถือหลักที่ว่ารฐั อยู่เหนือทุกส่ิง ทุกอย่าง และประชาชนท้ังหลายที่เกิดมานั้น จะต้องทาตามคาส่ังรัฐ การแพร่หลายของลัทธิคอมมิวนิสต์ ดังกล่าว ทาให้มีการจัดตั้งพรรคคอมมิวนิสต์ในประเทศต่างๆในเอเซีย แอฟริกา และยุโรปตะวันออก โดยมี จุดมุ่งหมายท่ีจะทาให้อึดมการณ์ลัทธินี้บรรลุผลซ่ึงความสาเร็จ ภายในลัทธิคอมมิวนิสต์ ธุรกิจและกิจการทุก อย่าง รวมท้ังการงานของประชาชนภายในรัฐตกเปน็ ของรัฐแต่ผู้เดียว ประชาชนไมม่ ีโอกาสไมม่ ีโอกาสแสงวหา ผลกาไรจากการดาเนนิ งานธรุ กจิ กล่าวง่ายๆ ก็คือ ใหป้ ระชาชนเป็นกรรมการ ประเทศเปน็ โรงงาน และรัฐเป็น นายจ้างตามหลักการดังกล่าว ลัทธิคอมมิวนิสต์มีวัตถุประสงค์ตรงกันข้ามกับลัทธินายทุน ซ่ึงเป็นลัทธิที่นิยม การแบ่งชนชั้นและนิยมการค้าแบบเสรี (Laissez-Faire) โดยที่พวกช้ันกลาง (Middle Class) ได้อาศัยลัทธิ นายทุนเป็นเครื่องมือยึดครองสังคม จะเห็นได้ว่าเลนินและพวกได้ล้มล้างพวกนิยมลัทธินายทุน ในปี 1914 - 1918 ในรัสเซยี โดยใช้เคร่ืองมือของรฐั ตอ่ ตา้ นและทานายพวกดงั กลา่ ว 3. ลทั ธนิ านานิยมระหว่างประเทศ (Internationalism) ลัทธินานานิยมระหว่างประเทศ เป็นที่นิยมของพวกสากลนิยม (Universalist) นักคิดพวกนี้มีความ เชื่อว่ารัฐไม่มีเสรีภาพท่ีจะทาส่ิงใดที่ใจปรารถนา เพราะการกระทาของรัฐ ถูกจากัดโดยกฎหมายระหว่าง ประเทศ ขนบธรรมเนียมประเพณี เพราะฉะน้ันเป็นการยากที่จะกล่าวว่า รฐั มีอานาจอธิปไตยอย่างแท้จริง ทุก วันน้ีรัฐดารงอยู่ได้ก็เพราะปฏิบัติตามกฎเกณฑ์ระหว่างประเทศและอยู่ภายใต้อิทธิพลของปัจจัยต่างๆเช่น ปจั จัยทางด้านภมู ศิ าสตร์และการเมอื ง ปจั จัยทางดา้ นประเพณแี ละวฒั นธรรม พวกสากลนิยมยงั มคี วามคิดเห็น ต่อไปอีกว่า รัฐจาเป็นจะต้องอยู่ร่วมกับรัฐอื่น โดยพึ่งพาอาศัยซึ่งกันและกัน ความสัมพันธ์ระหว่างรัฐจะต้องมี

ลักษณะอะลมุ้ อล่วยกัน หรอื กล่าวอีกนัยหนงึ่ คอื มีการยับยั้งการใชอ้ านาจอธิปไตยในกรณที ่ีเหน็ ว่าการใช้อานาจ ดังกล่าวจะเปน็ การละเมิดอธิปไตยของรัฐอ่ืน รัฐบาลบางรฐั อาจงดการใช้อานาจอธปิ ไตยเพื่อเอาในรฐั อน่ื รัฐได้ ตง้ั องค์การระหวา่ งประเทศเพ่ือควบคุมแกไ้ ขปัญหาการอยู่รว่ มกันระหว่างรฐั โดยการออกกฎเกณฑ์ควบคุมการ ใช้อานาจอธิปไตยของรัฐ เช่น องค์การสหประชาชาติ ดังนั้น จึงเห็นได้ว่าการมีองค์การระหว่างรัฐเป็นการ จากัดอานาจอธปิ ไตยของรัฐอีกทางหน่งึ แตจ่ ะจากัดภายใตก้ ารควบคมุ ขององค์การดังกล่าว 4. ลัทธิฟาสซิสต์ (Fascism) มสุ โสลินี ผมู้ ีอานาจของอิตาลีสมยั สงครามโลกคร้ังท่ี 2 เป็นผู้นาลทั ธิฟาสซิตม์ าใช้โดยมีความเชอื่ ถือใน หลักท่ีว่า ผู้ท่ีมีอานาจและเข้มแข็งเท่าน้ันมีสิทธิในการปกครอง ผู้อ่อนแอไม่มีสิทธิดังกล่าว และการปกครอง โดยคนกลุ่มน้อยเป็นการปกครองทีด่ ีที่สุด คนทุกคนเกิดมาเพื่อรัฐและรบั ใชร้ ัฐตลอดไป การปกครองโดยลัทธิน้ี กระทบกระเทือนจ่อรัฐอื่น เพราะลัทธิน้ีมีความเช่ือว่าความก้าวหน้าของรัฐอยู่กับการขยายดินแดนอานาจ ถ้า หากจะต้องทาสงครามกับรัฐอ่ืน เพ่ือก้าวหน้าของรัฐแล้วรัฐก็ต้องกระทาเพราะฉะนั้นสงครามในความคิดของ พวกฟราซิสต์ถอื วาเปน็ สิง่ ทช่ี อบธรรม 5. ลทั ธินาซี (Nazism) ลัทธนิ าซนี ี้ มีความเช่ือว่าประเทศจะต้องปกครองตามแบบ Nazism คือ ระบบผสมผสานระหวา่ งแบบ Facism กับหลักของเยอรมันที่ว่า โลกทจ่ี ะต้องปกครองโดยชนเผ่าเดียวแบบเผ่าอารยัน (Arayan) ฮิตเลอร์ ใน ฐานะผู้นาลัทธนาซีเชื่อว่าชนชาติอารยันเป็นผู้มีคุณสมบัติพิเศษ โดยมีลักษณะเหนือกว่าประเทศอื่นๆ ในด้าน ความฉลาดและด้านความสามารถท่ีจะทาให้ตนเป็นประโยชน์ต่อโลก ลัทธิน้ีเกือบครองโลก ถ้าหาก สหรัฐอเมริกาไม่ร่วมฝนสงครามโลก ลัทธิน้ีไม่ก่อให้เกิดสันติภาพระหว่างประเทศ เพราะลัทธินี้เชื่อว่า การ ขยายอานาจควรกระทาโดยการใช้กาลัง เพราะกาลังเป็นสิ่งดลบันดาลให้รัฐกระทาสาเร็จตามเป้าหมายท่ีได้ กาหนดไว้ เพราะฉะนนั้ ความสมั พันธร์ ะหวา่ งประเทศเยอรมัน ในสมยั สงครามโลกครงั้ ที่ 2 กบั ประเทศอ่นื ๆ จึง ใช้กาลังเป็นฐานสาคัญโดยเฉพาะอย่างยิ่งเยอรมันจะมีความสัมพันธ์กับประเทศใด ประเทศน้ันจะต้องมีกาลัง เท่าเทียมกับตน ไม่ขัดขวางจุดประสงค์และการดาเนินงานของตน ดังนั้น เยอรมันจึงมีความสัมพันธ์กับญ่ีปุ่น อย่างฉันมิตร เพราะญป่ี ุ่นมีอานาจมากในภาคพน้ื เอเชีย และมจี ดุ ประสงค์สอดคล้องกับเจตนารมณข์ องนาซี ใน เร่อื งการแผ่อานาจโดยการรุกรานแบบใช้กาลัง เช่น ญ่ีปุ่นได้แผ่อานาจในขอบเขตเอเซียโดยการรุกรานจันและ ประเทศต่างๆในภาคพ้นื เอเซียในระหวา่ งสงครามโลกคร้ังทส่ี อง เป็นตน้ 6. ลิทธจิ ักรวรรดนิ ิยม (Imperialism) ลัทธิจักรวรรดินิยมเป็นลัทธิมุ่งท่ีจะขยายอานาจและอาณาเขตเข้าไปในดินแดนส่วนต่างๆนอ กจาก ประเทศของตน อาจกลา่ วได้ว่าลัทธิจักรวรรดนิ ิยมมีสว่ นคล้ายคลงึ กัลปล์ ัทธิเผด็จการในขอ้ ที่ว่า ชอบแผ่อานาจ และอาณาเขตแม้จะต้องใช้กลังก็ตาม เช่น ลัทธินาซี ลัทธิฟาสซิสต์ และลัทธิคอมมิวนิสต์ เป็นต้น ลัทธิ คอมมิวนิสต์แตกต่างกับลัทธิฟาสซิสต์และนาซี ในแง่ที่ว่าต้องการขยายอานาจและดินแดนเพ่ือทาลายสิทธิอ่ืน ซ่ึงมีความบกพร่องให้หมด ส่วนลัทธิฟาสซิสต์และนาซีมุ่งขยายอานาจและดินแดนเพ่ือแสดงให้เห็นถึงความ ย่ิงใหญ่ของเผ่าหรือชาติของตน ลัทธิจักรวรรดินิยมเป็นลัทธิที่ฝ่ายประเทศมหาอานาจฝ่ายตะวันตกชอบใช้ อานาจ และดินแดนของตน ซึ่งบางครั้งเป็นที่เรียกกันทั่วไปว่า “จักรวรรดินิยมตะวันตก” (Western Imperialism) หรือจักรวรรดินิยมอเมริกัน (American Imperialism) ซ่ึงเรียกโดยฝ่ายคอมมิวนิสต์ จีน

คอมมิวนิสต์เห็นว่าการแกครองตนเองในแบบอื่นๆสู้การปกครองแบบคอมมิวนิสต์ไม่ได้ เพราะไม่สามารถจะ รอดพ้นจากลทั ธิจักรวรรดินิยม ลทั ธิจกั รวรรดินิยม เม่ือแพรห่ ลายไปถึงที่ใดมักจะทาให้เกิดการเปล่ียนแปลงในท่ีนั้นอยู่เสมอ เช่น การ เปลี่ยนแปลงในเร่ืองนโยบายหรือการปกครอง เป็นต้น ซึ่ง คากาโนวิช ผู้นา โซเวียตกล่าวว่า “ลัทธิจักรวรรดิ นิยมเปน็ ตัวกระต้นุ ทท่ี าให้เกิดการเปล่ยี นแปลง” สาเหตุที่ทาให้ลัทธิน้ีเกิดขึ้น เน่ืองจากมูลเหตุจูงใจทางเศรษฐกิจ (Economic Motivation) ซึ่งเป็น สาเหตุท่ีถูกนามาอ้างโดยนักวิชาการและนักการเมืองอยู่เน่ืองๆเพราะการขยายอานาจและดินแดนนั้นทาให้ ได้มาซึ่งผลประโยชน์ตา่ งๆอาทิเช่น การขยายตัวของลัทธิจักรวรรดินิยมนั้น ได้มีมานานแล้วก่อนสงครามโปเลียนซ่ึงในสมัยน้ันดินแดนใน ยุโรปได้ถูกแบ่งออกเป็นจักรวรรดินิยมต่างๆ เช่น จักรวรรดิออตตามัน (Ottaman Empire) และจักรวรรดิ ออสเตรีย-ฮังการี เป็นต้น ต่อมาในศตวรรษที่ 18 อังกฤษได้แผ่อานาจและอาณาเขตไปถึงมลายู ลังกา และ แอฟริกาใต้ ซึ่งแต่ก่อนอยู่ในความปกครองของพวกดัช (Dutch) เพื่อชดเชยดินแดนท่ีตนต้องเสียในปี ค.ศ. 1776 ในสมัยนั้นสเปญพยายามแผ่อาณาเขตแต่ก็ถูกขัดขวางโดยสหรัฐอเมริกา และอังกฤษ ซึ่งได้รับการ คุ้มครองและป้องกันจาก Holly Aliance อันมีรัสเซีย ออสเตรีย และปรัสเซียเป็นสมาชิกในปี 1823 ประธานาธิบดีมอนโร (Monroe) แห่งสหรัฐอเมริกาได้ประกาศนโยบาย ซ่ึงไม่เห็นชอบด้วยกับการยึดครอง ดินแดนโลกใหม่ คือ เอเซียและอัฟริกา แต่อังกฤษหาสนใจนโยบายดังกล่าวไม่กลับแผ่ขยายอานาจอาณาเขต ของตนทมี่ ีอยู่เดมิ โดยเขา้ ยดึ ครองประเทศอินเดยี และประเทศอนื่ ๆในภาคพืน้ เอเชยี การยึดครองดินแดนต่างๆของประเทศมหาอานาจยูโรปอันสืบเนื่องมาจากแรงกระตุ้น ของลัทธิ จักรวรรดินิยมน้ันบางครั้งนาไปสู่ความวุ่นวายไปดินแดนนั้นๆอาทิเช่นในปี ค.ศ.1857 ได้เกิดการฆ่ากันตายท่ี เมืองซีปอย (Sepoy Mutiny) อย่างขนาดใหญ่ในอินเดีย นอกจากน้ีแล้ว การที่รัฐมหาอานาจในยุโรปต่างเข้า ยึดดินแดนในยุโรปและโลกใบใหม่น้ัน บางครั้งก็มรการขัดแย้งในเรื่องผลประโยชน์ และทาให้เกิดการต่อสู้ซ่ึง กันละกันจนเป็นสงครามใหญ่โต เช่น สงครามระหว่างอเมริกากับสเปญ (American Spanish War) เป็นต้น หลังจากท่ีสงครามโลกครั้งท่ี 2 สงบลง การขยายแดนิแดนของประเทศมหาอานาจเร่ิมลดลง เพราะประเทศ ส่วนมากซ่ึงเป็นสมาชิกขององค์การสหประชาชาติต้องเคารพกฎบัตรสหประชาชาติ ที่ห้ามแสวงหาดินแดน ใหม่ๆโดยใช้ กาลังอานาจ (ดู U.N.Charter , Section II ขอ้ 4) นอกจากนั้นยังเรียกร้องใหป้ ระเทศมหาอานาจ ที่มอี าณานคิ มในดนิ แดนต่างๆยกเลิกระบบการปกครองแบบอาณานคิ มเสยี โดยให้รฐั ท่ีมอี ยู่ในอาณานิคม ไดร้ ับ อิสรภาพและปกครองตนเอง การสนับสนุนของสหประชาชาติดังกล่าวทาให้หลายประเทศหลุดจาการปกครอง แบบอาณานิคม และได้รวมตัวกันเข้าเพื่อต่อต้านลัทธิอาณานิคมและลัทธิจักรวรรดินิยม โดยพยายามมุ่งจะ ช่วยเหลือให้ชาติเพื่อนบ้านของตน ที่ยังอยู่ภายใต้อาณานิคมหลุดพ้นจากการปกครองดังกล่าว เช่น กลุ่ม ประเทศเอเซียและอัฟริกา (Afro Asian Bloc) ทาหน้าที่อย่างแข็งขัน โดยการออกเสียงสนับสนุนให้มีการเลิก ล้มลัทธิอาณานิคมหรือลัทธิจักรวรรดินิยมในท่ีประชุมใหญ่สหประชาชาติอยู่เสมอ จากความพยายามดังกล่าว ทาให้ประเทศต่างๆในอัฟริกาเกิดขึ้นใหม่อีกหลายสิบประเทศและประเทศเหล่านี้มีเอกราชและอธิปไตย สมบรูณ์ครบถ้วนเหมือนประเทศอ่ืนๆทุกประการ โดยเฉพาะอย่างยิ่งในปี ค.ศ.1960 มีประเทศอัฟริกาเกิดขึ้น ใหม่และได้ถูกยอมรับเข้าเป็นสมาชิกขององค์การสหประชาชาติ เป็นจานวนมากกว่าปีใดเท่าที่ปรากฏมา ใน

ปัจจุบันลัทธิการขยายดินแดนหรืออีกนัยหน่ึง ลัทธิจักรวรรดินิยมกาลังค่อยๆสลายตัวไป เนื่องจากเหตุหลาย ประการ เช่น ลัทธิจกั รวรรดินยิ มถกู ทาลายโดยลัทธิชาตินยิ ม ประเทศมหาอานาจมศี ีลธรรมมากข้ึน หลังจากท่ี ได้รับประสบการณ์จากสงครามโลกสองครั้ง มีความเช่ือมากขึ้นทางฝ่ายตะวันตกกว่าการปกครองและ จักรวรรดินิยม เป็นวิธีที่ผิด เสียค่าใช้จ่ายสูงซ่ึงสมควรจะต้องให้หมดสิ้นไปและประการสุดท้ายองค์การ สหประชาชาติมีวัตถุประสงค์คัดค้านการแสวงหาอาณานิคมโดยใช้กาลังอานาจซ่ึงบรรดาประเทศสมาชิก จาเป็นต้องเคารพและเช่ือฟัง ถึงแม้ลัทธิจักรวรรดินิยมกาลังจะสูญส้ินไปจากโลกก็ตามแต่ก็มี “จักรวรรดินิยม ใหม่” เกิดข้ึนซ่ึงเราเรียกวา่ Neoimperialism ซึ่งมีหลกั การผิดแผกแตกต่างไปจากจักรวรรดินิยมแบบเก่าซึ่งมี การยึดอานาจ และครอบครองดินแดนโดยตรงและเปิดเผยจักรวรรดินิยมแบบใหม่น้ันเพียงแต่ใช้อิทธิพลและ อานาจเท่านนั้ ไม่มีการใชก้ าลังเข้ายึดครองดินแดนโดยตรงและเปดิ เผย แต่ใช้อานาจและอิทธิพลทางเศรษฐกิจ ทางการทหาร หรือท้ังสองอย่างเข้าครอบงาดินแดนท่ีตนต้องการผลประโยชน์ตอบแทน และรัฐท่ีอยู่อยู่ภายใต้ อิทธิพลและอานาจดังกล่าวจาเป็นต้องปฏิบัติตามคาเรียกร้อง ของประเทศมหาอานาจ ซ่ึงใช้อิทธิพลและ อานาจดังกล่าว โดยเกรงว่า ถ้าตนบิดพล้ิวอาจจะไม่ได้รับความช่วยเหลือจากประเทศมหาอานาจ การที่ ประเทศมหาอานาจใช้อิทธิพลและอานาจทาให้รัฐเล็กๆปฏิบัติตามได้มผี ลเทา่ ๆกับการใช้กาลังยึดครองรัฐเล็กๆ ซงึ่ เคยปรากฏมาแล้วในอดีตจะผิดกันกต็ รงท่ีวา่ จักรวรรดินิยมสมัยใหม่ ไม่มีการใช้กาลังเขา้ บงั คับ เพราะขัดต่อ กฎบัตรขององค์การสหประชาชาติ แต่ใช้เคร่ืองมืออย่างอ่ืนแทนการใช้กาลัง เช่น การช่วยเหลือทางการทหาร และทางเศรษฐกิจ เป็นต้น เพราะการช่วยเหลือจากตนมาก จนกระท่ังสามารถทาให้รัฐท่ีได้รับความช่วยเหลือ ปฏิบัติตามที่ตนต้องการหรือบางครั้งสามารถทาให้นโยบายต่างประเทศของรัฐท่ีได้รับความช่วยเหลือ เปลีย่ นแปลงในทางอานวยผลประโยชนใ์ หแ้ กต่ นได้

บทที่ 2 ผู้มบี ทบาทในความสมั พนั ธร์ ะหวา่ งประเทศ ผู้มีบทบาท (Actors) ในความสัมพันธ์ระหว่างประเทศมีอยู่หลายชนิดด้วยกัน ผู้ท่ีมีบทบาทใน ความสัมพันธ์ระหว่างประเทศที่สาคัญ ซ่ึงถูกนามาพิจารณา ณ ท่ีน้ี ได้แก่ รัฐ เพราะเป็นผู้ที่มีบทบาทใน ความสัมพันธ์ระหว่างประเทศที่เด่นท่ีสุด (ผู้ท่ีทาหน้าท่ีแทนรัฐ ได้แก่ ผู้นารัฐบาล เจ้าหน้าท่ีทางการทูต และ กงสุล เป็นต้น ) องค์การระหว่างรัฐบาล (Intergovernmental Organizations) และผู้ที่มีบทบาทท่ีมิใช่รัฐ (Non-State Actors) 1.รฐั (State) ทตู (Diplomat) และกงสลุ (Consul) 1.1 รัฐ เป็นคาทางรัฐศาสตร์ซ่ึงมีรากฐานมาจากคาว่า Polis ซ่ึงแปลว่า รัฐ มีผู้ให้คานิยามมากมาย และความยุ่งยากสับสนั น้นั ส่วนมากมากจากแนววธิ กี ารคิดของนักคิดตา่ งๆ เช่น นักประวตั ิศาสตร์ มกั จะถือว่า รัฐเป็นสิ่งที่จับต้องพิสูจน์ได้ (Concrete reality) ส่วนนักปราชญ์ของรัฐไปในแง่นามธรรม (abstract) ซ่ึงไม่ อาจจบั ต้องหรือพิสูจน์ได้คอื เป็นสิ่งท่ีปรากฏขึ้นในห้วงความคิดเท่าน้ัน ซึ่งสุดแล้วแต่นักปรัชญาจะจินตนาการ ไปใน รูปอย่างหนึ่งอย่างใด คาว่ารัฐนั้น มีความหมายต่างกับคาว่าชาติ (Nation) ซ่ึงหมายถึงประชาชนซึ่งส่วน ใหญ่มีเชื้อชาติ (race) เดียวกัน พูดภาษาเดียวกัน นับถือศาสนาเดียวกันและมีขนบธรรมเนียมประเพณีทาง ประวัติศาสตร์อย่างเดียวกัน ส่วนคาว่า ประเทศ (Country) หมายถึง อาณาเขตท้ังหมดของประชาชาติ (Whole territory of nation state) การใช้คาว่ารัฐหรือ State น้ันได้เร่ิมใช้ตั้งแต่สมัยกลางหรือสมัยศักดินา (Feudalism) ในทวีปยุโรป ในสมัยน้ันรัฐมีความหมายเพาะชุมชน การเมืองที่แยกตัวออกมาเป็นอิสระจาก ระบบศักดินา โดยมีกษัตริย์หรือผู้เจ้าครองนครเป็นผู้ปกครอง ในวงการรัฐศาสตร์ หมายถึง “ชุมชนทาง การเมือง” (political Community) ท่ีมีประชาชนอาศัยอยู่ในเขตที่มีการปกครองของตนเป็นระเบียบ เรียบรอ้ ยไมข่ ึ้นแก่ใคร ตามกฎหมายระหว่างประเทศ รัฐ (State) เป็นองค์การสังคมทางการเมือง (organized political society) ที่ต้ังขึ้นอย่างถาวร ซ่ึงประกอบด้วยพลเมืองท่ีอาศัยอยู่ในอาณาเขตที่แน่นอน (fixed territory) มี อานาจอธปิ ไตยในการปกครองอิสระ โดยปราศจากความควบคมุ ของรฐั อื่นภายในเขตแดนน้นั คานิยามดังกล่าวนี้ มีส่วนคล้ายคลึงกับคานิยามที่ ฮาโรลด์ ลาสเวลส์ (Harold Lasswell) ได้ให้ไว้ เกย่ี วกับรัฐ บาร์เกอร์ (Barker) กลา่ ววา่ รฐั เปน็ อธิปัตย์ที่ชอบด้วยกฎหมายโดยไมม่ ีองคกื ารนติ ิบัญญตั ิอน่ื ใดท่ีมี อานาจในทางบัญญัติเหนือองค์การนิติบัญญัติของรัฐ นายวูดโร วัลสัน (Wooddrow Wilson) ซ่ึงเคยเป็น ศาสตราจารย์ในมหาวิทยาลัยปรินสตัน (Princeton University) และเคยดารงตาแหน่งประธานาธิบดีสังกัด พรรคเดโมแครทของสหรัฐอเมริกา โดยเคยให้คานิยามเก่ียวกับรัฐว่า รัฐ คือ ประชากรที่มารวมกันเข้าเพ่ือขอ ความพิทักษ์ของกฎหมายภายในเขตแดนท่ีมีกาหนดแน่นอน 1.1 องค์ประกอบของรฐั จากคาบรรยายข้างตน้ แสดงให้เห็นวา่ สว่ นประกอบท่ีสาคญั ของรฐั ไดแ้ ก่

1.ประชากร 2.ดนิ แดนที่มีอาณาเขตแน่นอน 3.รัฐบาล 4.อานาจอธปิ ไตย ซึ่งจะได้พจิ ารณาเปน็ ขอ้ ๆไป 1.1.1 ประชากร (population) เราทราบดีแล้วว่า รัฐเป็นสถาบันการเมืองของมนุษย์ดังน้ัน รัฐจะต้องมีมนุษย์หรือประชากรจานวน หน่ึง รัฐจะเกิดขึ้นไม่ได้ถ้าไม่มีประชากรและประชาชนใดไม่มีดินแดนร่อนแร่พเนจร ถึงแม้ว่าจะมีจานวนท่ี แน่นอนก็อาจไม่ถือว่าเป็นรัฐได้ ไม่มีข้อกาหนดแน่นอนว่ารัฐจะต้องมีประชากรจานวนเท่าไหร่จึงถือว่าเป็นรัฐ เท่าท่ีปรากฏยังไม่มีใครให้จานวนท่ีแน่นอนไว้ อริสโตเติล นักปราชญ์ของนครรัฐได้ให้ความเห็นว่าพลเมือง จานวนหมื่นหรือแสนเป็นจานวนท่ีไม่เหมาะสมที่จะถือว่าเป็นรัฐ เพราะเป็นจานวนมากเกินไป รัฐที่ดีควรมี ประชาชนอยู่ประมาณ 5 พันคน (ดูคากล่าวเกี่ยวกับประชากรของรัฐใน Aristotle , Politics) อีกหลาย ศตวรรษต่อมา ได้มีความคิดเกยี่ วกับรฐั ของนักปราชญ์ชาวฝร่ังเศส ชอ่ื รูสโซ (Rousseau) ผู้ซ่งึ เห็นว่ารฐั ควรจะ มีพลเมืองหนึ่งแสนคนจึงจะเหมาะ นักปราชญ์ทั้ง 2 ท่านที่กล่าวมาเห็นว่าการที่รัฐมีพลเมืองน้อยนั้นก่อให้เกิด ผลดีต่อรัฐ ความคิดของรูสโซและอริสโตเติลที่มุ่งจะกาหนดจานวนพลเมืองของรัฐให้แน่นอนได้กลายเป็น รากฐานที่หน่วยการปกครองท้องถิ่น (Local Government) เชน่ เทศบาลนครเมืองและตาบล ได้นาเอามาใช้ ในปัจจุบัน ความคิดของปราชญ์ท้ังสองน้ัน แตกต่างกับความคิดของศาสตราจารย์ ดับเบิ้ลยู เอฟ วิลเลาบ้ี (W.F.Willoughby) ผู้ซึ่งกล่าววา่ การทีจ่ ะเป็นรัฐได้จะตอ้ งมจี านวนประชากรมารวมตัวกนั มากมาย ประชาชน พลเมืองที่อาศัยในรัฐน้ีอาจประกอบไปด้วยพลเมืองของรัฐนี้เอง (Citizen or Subject) หรือเผ่าชน (ethnic groups) ซึ่งเป็นกลุ่มชนท่ีมีวัฒนธรรมของตนเอง เช่น ชาวเขาเงาะซาไก เป็นต้น หรือประชนในดินแดนซ่ึง ข้ึนอยู่กับรัฐ (nationals) เช่น พวกปาปัว ในหมู่เกาะนิวกินีของอินโดนีเซียหรือคนต่างด้าว (aliens) และถ้า เป็นรัฐในสมัยโบราณก็มีบุคคลอาศัยอยู่ในรัฐหลายประเภทเช่น ทาสผู้รับใช้เจ้าหนี้ (peons) พวกทาสที่ดิน (serfs) ไดรับการยอมรับกันท่ัวไปว่า จานวนพลเมืองไม่เป็นข้อสาคัญในการพิจารณาว่าเป็นรัฐหรือไม่ ข้อ สาคัญก็คอื ว่า ขนาดของพลเมืองเทา่ ใดไม่สาคญั แต่ถา้ สามารถปกครองตัวเองได้ก็ถือวา่ มฐี านะเป็นรฐั แต่ก็เคย มีการไม่ยอมรับรัฐเข้ามาเป็นสมาชิกของสันนิบาตชาติ เน่ืองจากมีพลเมืองเป็นจานวนน้อย ตัวอย่างเช่น ในปี ค.ศ.1920 สันนิบาตชาติ ได้ปฏิเสธในการรับรัฐลิกแตนสไตน์เป็นสมาชิก โดยอ้างว่ามีจานวนพลเมืองไม่เพียง พอท่ีจะรักษาตนเองได้ เพราะการท่ีมีพลเมืองมากก็ย่อมมีความสามารถในการมีกองทัพที่ใหญ่ที่จะป้องกันตัง เองได้โดยไมต่ อ้ งขอความช่วยเหลือจากประเทศอ่ืน ถ้ารฐั ใดมีพลเมืองมากและมีความก้าวหน้าในทางเศรษฐกิจ สังคมและการเมืองแล้ว รัฐนั้นก็มีความมั่นคงเข้าแข็ง เช่น สหรัฐอเมริกา โซเวียต เป็นต้น ประเทศส่วนมาก สนใจในการจากัดพลเมืองให้มีจานวนพอเหมาะที่รัฐพอท่ีจะความสะดวกสบายท่ัวหน้า เพราะการมีจานวน พลเมืองมากเกินไปบางคร้ังก่อให้เกิดปัญหาสังคมตามมา เช่น ในสหรัฐอเมริกา ปัจจุบันมีคนต่างด้าวเข้าไป อาศัยอยู่ และว่างงานเป็นจานวนมากจนทาให้บางเมือง อาทิเช่นเมืองนิวยอร์ค (New York City) ประสบ ปัญหาทางด้านสังคมและเศรษฐกิจ โดยเฉพาะอย่างย่ิงการขาดดุลในด้านการเงิน กล่าวคือ รายรับไม่พอกับ รายจ่ายจนเป็นเหตุให้นิวยอร์คต้องเพิ่มภาษีเพิ่ม เพ่ือจะได้มีจานวนเงินเพ่ิมเพียงพอที่จะนาไปจ่ายเพื่ออานวย ความสะดวกสบายและความเป็นอยู่ของประชาชนท่ีอาศัยอยู่ในเมืองนั้น ด้วยเหตุดังกล่าว จึงได้มีการออก กฎหมายเพิม่ เติมเพอ่ื ควบคุมคนตา่ งดา้ วเข้าเมืองอยา่ งกวดขนั มากกวา่ แต่ก่อน

1.1.2 ดินแดน (Territory) รัฐจะเกิดขึ้นไม่ได้ ถ้าไม่มีดินแดนท่ีมีอาณาเขตแน่นอน (a fixed territory) โดยมีเส้นแบ่งเขตแดน (boundary line) ซ่ึงเป็นที่ยอมรับกันในนานาประเทศโดยข้อเท็จจริงหรือโดยสนธิสัญญา พวกท่ีมีดินแดนไม่ แน่นอนเท่าท่ีเคยปรากฏในประวัติศาสตร์ก็คือ พวก Normandic tribes พวกยิว เป็นต้น คาว่าดินแดนน้ีอาจ ถูกแบ่งเขตได้ 2 ทางคือ การแบ่งเขตแดนตามธรรมชาติ และการแบ่งโดยกาหนดขึ้นเอง คาว่าดินแดนน้ี หมายถึง พ้ืนดิน (land) และทะเล (sea) และขอบเขท้องฟ้าที่อยู่เหนือพื้นดิน (air) ตามหลักสากลถือว่า ครอบคลุมถึงทะเลชายฝั่ง (Marginal sea) ซ่ึงโดยมากมักกาหนดไว้ห่างจากฝ่ัง 3 ไมล์ (marine league) (league มีความยาวสามไมล์ อนั เป็นระยะยิงปืนใหญ่ในขณะนั้น) มหาอานาจบางประเทศ เช่น อังกฤษ สหรัฐ ได้ยอมรับหลักนี้ มีหลายประเทศอ้างสิทธิยาวกว่าน้ี เช่น รุสเซีย สิบสองไมล์ สวีดนและนอรเวย์ ส่ีไมล์ สเปญ โปรตุเกสหกไมล์ เม็กซิโกเก้าไมล์ ในการประชุมทก่ี รุงเฮก ค.ศ.1930 ก็ไม่สามารถกาหนดเขตแดนชายทะเลให้ เหมือนกันได้ ต่อมาการประชุมที่กรุงเจนีวา ค.ศ. 1950 ซึ่งไทยได้เข้าร่วมประชุมด้วยก็ปรากฏผลเช่นเดียวกับ เม่ือ ค.ศ. 1930 ในเดือนสิงหาคม ค.ศ. ภายหลังการประชุมที่เจนีวา ไอร์แลนด์และจีนแดงก็ประกาศถืออาณา เขตชายทะเลเป็นสิบสองไมล์ ทะเลนอกเขตรัฐออกไป เรียกว่าน่านน้าระหว่างประเทศ (International Waters) หรือทะเลหลวง (High Seas) บางประเทศไม่มีทะเลเปน็ ส่วนหนึง่ ของดนิ แดนของรัฐเลย เช่น ลาว ซึ่ง เรียกว่า รัฐทีมีแผ่นดินล้อมรอบ (Land-Locked State) ในบริเวณทะเลชายฝ่ังมีอธิปไตยสมบรูณ์เท่ากับทาง บก แต่มีข้อยกเว้นในการเดินเรือผ่านโดยบริสุทธิ์ (Innocent Passage) ผ่านเขตทะเลชายฝ่ังตลอดจนยอมให้ เรือหลวงและเรือเอกชนเข้าไปจอดในท่าได้ในเวลาสงครามผู้เป็นฝ่ายในสงครามจะกระทาการสู้รบในทะเล ชายฝั่งของรัฐท่ีเป็นกลางไม่ได้ และการติดตาม (Persuit) เรือศัตรูเข้าไปในน่านน้าของชาติอื่นนั้นกระทาไม่ได้ ถ้าเข้าไปในเขตสามไมล์ของน่านน้าชาติอื่น ตัวอย่างเช่น เรือ Araf Spee ว่ึงหน้ีเข้าไปในเขตน่านน้าของ Uruguay และถูกไลก่ วดตามไปทาลายนั้นเหน็ ได้ชัดว่า เปน็ การละเมดิ อธิปไตย แตอ่ ุรุวยั ไมไ่ ดป้ ระทว้ ง ส่วนอาณาเขตหรือดินแดนของรัฐ ท่ีเป็นขอบเขตท้องฟ้าเหนือฟ้ืนดินน้ัน ก็คือท้องฟ้าว่างเปล่าที่อยู่ เหนือดินแดนของรัฐท่ีเป็นพื้นดินและอยู่เหนือน่านน้าในประเทศด้วย ส่วนความสูงในท้องฟ้าไม่มีใครกาหนด ขอบเขตเอาไว้ ซึ่งยอมหมายถึงว่า ขอบเขตนั้นจะต้องขยายถึงที่เป็นอวกาศ (space) เมื่อทุกๆรัฐในปัจจุบันมี สิทธิใช้ท้องฟ้าเหนือเขตพ้ืนดินและอวกาศ จึงได้มีข้อเสนอให้มีการ่วมมือระหว่างประเทศให้มีการควบคุม ท้องฟ้าและอวกาศ แต่ความสาเร็จในเรื่องดังกล่าวมีน้อย เพราะแต่ละรัฐถือว่าตนมีอานาจและอธิปไตยเหนือ ท้องฟ้าของตน รวมทั้งท้องฟ้าอยู่เหนืออาณาเขตทะเลของรัฐด้วย ดังนั้นรัฐจังมีสิทธิที่จะห้ามการเดินอากาศ ระหว่างชาตเิ หนอื อาณาเขตของตนเม่ือใดก็ได้ ซ่งึ ข้นึ อยกู่ ับความพอใจของรัฐ ยกเวน้ ในกรณที ่ีมขี ้อตกลงสัญญา ระหว่างประเทศเป็นอย่างอื่น อย่างไรก็ตามรัฐต่างๆ ยังจ้องเล็งเห็นอันตรายจาการทดลองอาวุธนิวเคลียร์ (Test ban Treaty) เม่ือปี 1963 และ 1968 ซึ่งบรรดาประเทศมหาอานาจที่ลงนามในสนธิสัญญานี้ได้แก่ สหรัฐอเมริกา สหภาพโซเวียต อังกฤษ ยกเวน้ จนี แดงและฝร่ังเศส 1.1.3 รัฐบาล (Government) องค์ประกอบที่สาคัญอีกอย่างหน่ึงของรัฐ ได้แก่ รัฐบาลซ่ึงเป็นหน่วยท่ีมีหน้าท่ีกาหนดนโยบายและ นาไปใช้ให้ได้ผล หรืออีกนัยหน่ึงคือ รัฐบาลท่ีมีหน้าท่ีจัดระเบียบภายในรัฐเพ่ือประโยชน์ส่วนรวม การท่ีมี รัฐบาลทาให้การปกครองภายในรัฐมีระเบียบแบบแผนอันแสดงถึงความมีระเบียบเรียบร้อย มีการเคารพ

กฎหมาย และความสงบสุข (law and order) ในขณะปฏิวัติ รัฐจะไม่รัฐบาลถาวร แต่ก็เป็นการชั่วคราว เท่าน้ัน อาจกล่าวได้ว่า รัฐบาลเป็นสถาบันทางการเมือง (political institution) ซึ่งรัฐจะขาดมิได้เพราะเป็น เคร่ืองมือที่รัฐใช้เพื่อดาเนินงานตามเป้าหมายที่รัฐกาหนดไว้ รัฐถึงแม้ว่ามีดินแดนและประชากรก็ยังไม่ถือว่า เป็นรัฐ จนกว่าจะมีองค์การทางการเมืองในรูปรัฐเกิดข้ึน องค์การน้ีแตกต่างกันออกไปตามลักษณะและความ เหมาะสมของแต่ละรฐั ศาสตราจารย์สพิ สัน (Lipson) ได้ให้ความเห็นว่า รัฐคงอยไู่ ดโ้ ดยมีรัฐบาล ซงึ่ เป็นหน่วย ท่ีถอื กาหนดขึ้นจากการว่ มมอื ของประชาชนเข้าเป็นรฐั เพ่อื แสวงหาความคุม้ ครองและยอมรบั กนั วา่ รฐั บาลเป็น องค์การเดียวในรัฐท่ีมีสิทธิใช้กาลัง เพ่ือบังคับให้มีการเคารพรัฐบาล ไม่มีการใช้กาลังถ้าหากมีความยินยอม ปฏิบตั ิตามคาส่ังของรัฐบาล ทุกรัฐบาลในโลกน้ีตา่ งกใ็ ช้กาลงั ให้ไดส้ ัดส่วนกบั ความยินยอมท่ีมีขนาดแตกต่างกัน ( ดู Lipson. ใน The Great lssues of politics , pp 56-57) ศาสตราจารย์ลินด์ซี (Lindsey) มีความเห็น พ้องกนั กับเรื่องการใช้กาลงั ดังกล่าวโดยมีความเห็นวา่ การใช้กาลังของรฐั บาล เป็นสง่ิ จาเป็นเพอ่ื ให้การยนิ ยอม ปฏบิ ัติตามกฎหมายและระเบียบแบบแผน ถ้าหากพิจารณาดูความคิดของศาสตราจารย์ทั้งสองแล้วจะพบว่ามีความคิดคล้ายคลึงกันในเร่ืองที่ว่า รฐั บาล เกดิ จากการรวมตัวกันของประชาชน และรฐั บาล คือ องค์การเดียวภายในรัฐเท่านั้นที่ผกู ขาดในการใช้ กาลัง ในเร่ืองรูปของรัฐบาลนั้น มีอยู่หลายแบบซ่ึงแตกต่างกันออกไปในเร่ืองสภาพและองค์การท่ีใช้อานาจ อธิปไตย ถ้าถือเอาขอบเขตของรัฐบาลแล้วอาจกล่าวได้ว่า รัฐบาลมีอยู่ 2 รูปเท่าน้ันคือ รัฐบาลท่ีมีอานาจ กว้างขวางแต่ใช้อานาจนั้นอยู่อย่างเดียวกันกับบอดาแกครองบุตร ซึ่งเราเรียกว่า ( Paternalistic Government) และรัฐบาลที่ถูกจากัดอานาจโดยลัทธิและเสรีภาพของเอกชนเรียกว่า Individualistic Government อยา่ งไรก็ตาม นักรัฐศาสตร์สว่ นมากไม่เห็นด้วยกบั การแบง่ รปู ของรัฐดังกล่าว การแบง่ รปู ของรัฐบาลนัน้ ทนี่ ยิ มกนั มกั คานงึ ถงึ หลัก 3 ประการ คอื ก.จานวนของบุคคลผู้ร่วมใช้อานาจอธิปไตย ตามหลักการนี้ รูปของรัฐบาลอาจแบ่งออกเป็นรัฐบาล กษัตริย์ ซ่ึงกษัตริย์เป็นเจ้าของและเป็นผู้ใช้อานาจอธิปไตย รัฐบาล อภิชนาธิปไตย ซ่ึง ประกอบด้วย บุคคลเป็นจานวนน้อยเป็นเจ้าและผู้ใชอ้ านาจอธิปไตย และรฐั บาลประชาธิปไตยซึ่งประชาชนท้ัง ประเทศเปน็ เจา้ ของและเป็นผใู้ ชอ้ านาจอธิปไตย ข.การแบ่งอานาจ ได้มีการกาหนดของเขตอานาจขององค์การท่ีใช้อานาจอธิปไตย การกาหนด ดังกล่าวกระทาโดยการแบ่งอานาจออกเป็นอานาจบริหาร (Executive power) อานาจนิติบัญญัติ (Legislative power) และอานาจตุลาการ (Judicial power) อานาจแต่ละอานาจเป็นอสิ ระซ่ึงกันเละกัน ผู้ใช้ อานาจท้ัง 3 ดังกล่าวคือองค์การ ซ่ึงใช้อานาจเกินกว่าหน่ึงอานาจไม่ได้แต่ในทางปฏิบัติการแยกอานาจจะ ปรากฏออกมาในรูป “อานาจที่ออกกฎหมาย” (อานาจนิติบัญญัติ) และ “อานาจที่รักษาและใช้กฎหมาย” (อานาจบรหิ าร) รฐั บาลซึง่ มีการแบ่งอานาจดังกลา่ วมีรปู แบบคณะรัฐมนตรี (Council of Ministers) หรอื แบบ ประธานาธบิ ดี ค.การกระจายอานาจ (Division of power) เป็นเร่ืองของการกาหนดขอบเขตอานาจระหว่างรัฐบาล กลาง (Central Government) และรัฐบาลอาจมีรูปเป็นระบบเด่ียว (Unitary system of Government) หรือระบบรฐั บาลรวม (Federal System of Government) เพ่ือเขา้ ใจในรูปท่ีสาคญั ๆของรัฐบาลใหด้ ยี ่งิ ขึ้น จึงควรพจิ ารณาลกั ษณะของรัฐบาลในรปู ดงั ต่อไปน้ี

1.รัฐบาลกษัตริย์ (Monarchy) รูปดังเดิมของรัฐบาลกษัตริย์ได้แก่ รัฐบาลกษัตริย์ในรูปสมบูรณาญา สิทธิราชซึ่งเป็นรูปรัฐบาลท่ีเป็นประมุขของรัฐเข้ารับตาแหน่งโดยสิทธิมีอยู่ตามกฎหมายหรือประเพณีว่าด้วย การสิบสันตติวงศ์กษัตริย์ผู้เดียวมีอานาจสูงสุดในการปกครองของรัฐใด มีฐานะเป็นประมุขของรัฐโดยไม่มี อานาจปกครองรัฐ (nominal head of state) แต่มีบุคคลอ่ืนเป็นผู้มีอานาจปกครอง รัฐบาลรูปนี้ก็ไม่ใช้สม บูรณาญาสิทธิราชมีอยู่มากในสมัยเร่ิมแรกของวิวัฒนากรของรัฐ เช่น ปรากฏในจักรวรรดิโรมันสมัยกลางใน ทวีปเอเชีย (เช่น ไทย พม่า เป็นต้น) และทวีปอัฟริกา (เช่น เอธิโอเบีย) เมื่อได้มีการปฏิวัติเปล่ียนแปลงการ ปกครองรฐั บาลรูปนี้ไดก้ ลายเป็นรฐั บาลแบบกษัตรยิ ม์ ีอานาจจากัด (Limited Monarchy) ซ่งึ กลายเปน็ รัฐบาล แบบประชาธิปไตยไปในที่สดุ 2.รัฐบาลอภิชนาอธปิ ไตย (Aristocracy) รัฐบาลรูปน้ีมอี านาจในการปกครองซึ่งตกอย่ใู นอุ้งมือของคน กลุ่มน้อยของปวงชนภายในรัฐ คนกลุ่มนี้ส่วนมากมีอานาจปกครองโดยอาศัยวงศ์ตระกูล ความร่ารวย ความ เป็นทหารหรือผู้ถืออาวุธ อานาจทางศาสนา การศึกษาท่ีได้รับ หรือสิ่งต่างๆ เหล่าน้ีมารวมกัน รัฐบาลรูปน้ี ประชาชนส่วนมากไม่มีสิทธิเขา้ ร่วมในการปกครองประเทศ ถ้าจะกล่าวถึงหลักการปกครองรปู นี้อย่างเคร่งครัด แล้ว รัฐบาลทุกรูปมีส่วนเป็นอธิชนาอธิปไตยไม่มากก็น้อย เพราะมีปวงชนกลุ่มหนึ่งเข้าร่วมในรัฐบาลและมี ประชาชนส่วนมากไม่ได้เข้าร่วมในรัฐบาลเลย จะเห็นได้ว่าอานาจการปกครองของรัฐตกอยู่แก่บุคคลจานวน น้อย และมติมหาชนเกิดข้ึนโดยนาเพียงไม่ก่ีคนเท่าน้ัน (ดู Parkinson,ใน The Evolution of Political Thought,pp 102-110) 3.รฐั บาลประชาธิปไตย (Democracy) รัฐบาลนเี้ ปิดโอกาสให้ประชาชนทุกคนมีลทั ธเิ ข้าร่วมในการแก ครอง รฐั บาลแบบประชาธิปไตยมีอยู่ 2 รปู คือ รัฐบาลในรูปประชาธิปไตยโดยตรง (Direct democracy )และ รัฐบาลในรูปประชาธปิ ไตยโดยทางอ้อม (Indirect democracy) รฐั บาลแบบประชาธิปไตยโดยตรงน้ันปวงชน มีสิทธิเสนอร่างกฎหมายและรับรองกฎหมายโดยการออกเสียงประชามติ (Referendum) แม้แต่การแก้ไข เพิ่มเติมรัฐธรรมนูญปวงชนก็มีสิทธิในการกระทาดังกล่าว การปกครองประชาธิปไตยโดยตรงนี้ เหมาะสาหรับ ประเทศเลก็ ๆ และประชาชนมีความชานาญในการปกครองมานาน เช่น ประเทศสวิสเซอร์แลนด์ เป็นต้น ส่วน รัฐบาลแบบใช้ประชาธิปไตยโดยทางอ้อมน้ัน มักกระทาในรูปผู้แทน ปวงชนมีอานาจการปกครองตนเองโดย ออกเสียงเลอื กตั้งผู้แทนราษฎรเข้าไปเป็นผู้แทนควบคมุ รัฐบาลในรัฐสภาของรฐั ท่ีสาคัญท่ีสุดก็คือ ประชาชนมี โอกาสเลือกรัฐบาลจากบุคคลหลายคณะ หรือหลายพรรค ทุกวันน้ีรัฐบาลของรัฐสมัยใหม่มีความแตกต่างใน เร่ืองการเป็นประชาธิปไตยอยู่บ้างไม่มากก็น้อย ซ่ึงท้ังนี้ข้ึนอยู่กับสภาพความเป็นอยู่ของปวงชนในแต่ละรัฐ บางรัฐประชาชนก็ไม่ค่อยสนใจต่อการเมือง (political apathy) ซึ่งทาให้ความเป็นประชาธิปไตยไม่ประสบ ความสาเร็จเท่าท่ีควร ดังนั้น ในรฐั บาลประชาธิปไตย จึงได้มีการเน้นความสาคัญของการศึกษาอบรมทางการ เมืองและการส่งเสริมความสนใจของปวงชนตอ่ การปกครอง ถงึ แม้ว่ารัฐบาลประชาธิปไตยจะมีข้อดีอยู่มากก็ตาม แต่ก็มีข้อเสียอยู่เหมือนกัน กล่าวคือ รัฐบาลรูปนี้ เป็นรัฐบาลท่ีเลี่ยงอันตรายมาก เพราะรัฐบาลรูปน้ีส่งเสริมให้นักการเมืองที่ดีแต่พูด (Demagogue) หรือผู้ท่ีมี อานาจในการซื้อคะแนนเสียงเลือกต้ังให้สินบนแต่ผู้มีสิทธิเลือกต้ัง เลือกตนเข้ามาปกครองประเทศ นอกจากน้ี แล้วเปิดโอกาสให้นายทหารชั้นนายพลผู้มีอานาจสูงสุดในรัฐเข้าเล่นการเมืองได้ ซ่ึงนักวิชาการท่ีไม่นิยม ประชาธิปไตยยังกล้าเขียนไว้ว่า ข้าราชการทหารอาจเข้าเลน่ การเมืองโดยอ้างวา่ นกั การเมืองทาให้บ้านเมืองยุ่ง

เหยิง นอกจากข้อเสียดังกล่าวนี้แล้ว รัฐบาลรูปน้ียังเป็นรัฐบาลพรรคการเมืองท่ีมุ่งหวังรวมอานาจให้นานที่สุด เท่าท่ีจะนานได้ทาให้เป็นรัฐบาลที่ไม่ใช้เป็นของปวงชนหรือรัฐบาลโดยผู้แทนที่ปวงชนเลือกซึ่งเป็นการขัดต่อ หลักการของประชาธิปไตย นอกจากนั้นรัฐบาลในรูปน้ียงั เปิดโอกาสให้มีการโกงกิน (Corruptions) มากกว่าท่ี ปรากฏในรัฐบาลกษัตรยิ แ์ ละรัฐบาลอภชิ นาอธปิ ไตย 4.รัฐบาลเผด็จการ (Dictatorship) ในระหว่างสงครามโลกครั้งที่ 1 (1914-1918) การปกครองมี แนวโน้มไปในรูปรัฐบาลประชาธิปไตย สงครามโลกคร้ังท่ี 1 เป็นการต่อสู้ระหว่างประชาธิปไตยและเผด็จการ ซึ่งในที่สุดฝ่ายประชาธิปไตยเป็นฝ่ายชนะ และได้มาการเซ็นสนธิสัญญาแวร์ซายซึ่งมีวัตถุประสงค์ป้องกันมิให้ ประเทศฝ่ายประชาธิปไตยถูกรุกรานอีกต่อไป ประเทศที่ไม่ได้เซ็นสัญญาในคร้ังน้ีได้แก่ รัสเซีย เพราะใน ขณะน้ันมีการปฏิวัติเกิดข้ึนในรัสเซีย และรัสเซียได้เซ็นสัญญาสงบศึกกับเยอรมันเป็นพิเศษต่างหากจาก สนธสิ ญั ญาแวร์ซาย การปฏวัติในรสั เซยี คร้ังน้ีได้เป็นหนทางนาไปสู่การกอ่ ต้ังสหภาพโซเวยี ตขึ้นโดยอานาจ การ ปกครองของประเทศท้ังหมดตกอยู่แก่พรรคคอมมิวนิสต์ ส่วนเยอรมันหลังจากฮิตเลอร์เข้ายึดอานาจการ ปกครองในเยอรมนั ก็มีการจัดต้ังพรรคนาซี ซ่งึ เป็นพรรคเดียวทีม่ ีอานาจการปกครองในอิตาลี มสุ โสลินี ก็ได้จัด ให้มรี ะบบเผด็จการฟาสซิศต์ ในปี 1949 ผืนแผ่นดินใหญ่ของประเทศจีน ก็ได้มีการจัดต้งั รฐั บาลเผด็จการแบบ คอมมิวนิสต์ขึ้นปกครองชาวจีน หลังจากท่ีพรรคคอมมิวนิสต์รบชนะรัฐบาลจีนชาติภายใต้การนาของเจียงไค เช็ค ในปัจจุบันรัฐบาลเผด็จการแบบคอมมิวนิสต์มีอยู่ในยุโรปและเอเซียหลายประเทศ เช่น รูมาเนีย บุลการ เรีย โปแลนด์ สาธารณรัฐประชาชนจีน เยอรมันตะวันออก เกาหลีเหนือและเวียดนามเหนือ เม่ือเกิด สงครามโลกครั้งที่ 2 ก็เป็นการต่อสู้อย่างเช่นเคย ระหว่างค่ายประชาธิปไตยและค่ายเผด็จการ เมื่อสงคราม ส้ินสุดลงรัฐบาลเผดจ็ การนาซแี ละเผด็จการฟาสซสิ ตถ์ ูกทาลายไป ส่วนรฐั บาลเผด็จการคอมมวิ นิสตย์ งั คงอยู่ ในปัจจุบัน ถึงแม้ว่ารัฐบาลเผด็จการนาซีและฟาสซิสต์จะหมดไปแล้วก็ตามโลกก็ยังคงเผชิญกับภัย คุกคามของฝ่ายคอมมิวนิสต์ซ่ึงมีรัฐบาลแบบเผด็จการและปกครอง พลเมืองของโลกประมาณคร่ึงหน่ึงอยู่ และ รัฐบาลเผด็จการคอมมิวนิสต์น้ีกาลังหาทางขยายตัวมากข้ึน โดยเฉพาะในดินแดนที่ล้าหลัง และด้วยพัฒนา (underdeveloped areas) เช่นในเอเชียและอัฟริกา โลกปัจจุบันแบ่งออกเป็น 2 ค่ายคือ ค่ายเสรี ประชาธิปไตยและคา่ ยคอมมิวนิสต์ ซึ่งทง้ั สองค่ายต่างฝ่ายต่างก็เปน็ ปฏิปักษ์ตอ่ กัน ถ้าหากจะมสี งครามโลกเกิด อีกครงั้ หน่ึงก็คงจะเป็นการต่อสรู่ ะหว่างฝ่ายประชาธิปไตยและฝ่ายคอมมิวนิสต์ สว่ นฝ่ายไหนจะเป็นผู้ชนะหรือ ผ้แู พ้น้นั ไม่อาจจะทานายได้ แต่กม็ ีความหวงั วา่ ประวัติศาสตรค์ งจะซ้ารอย น้ันก็คือ ฝ่ายประชาธิปไตยจะเปน็ ผู้ กาชัยชนะเหมือนกับสงครามโลกครั้งท่ี 2 ท่ีผ่านมา เมื่อใดฝ่ายประชาธิปไตยเป็นฝ่ายชนะประชาชนประมาณ คร่ึงหน่ึงของโลกท่ีอยู่ภายใต้การปกครองของรัฐบาลเผด็จการคอมมิวนิสต์ ก็จะมีโอกาสได้พบกับการปกครอง ประชาธปิ ไตยอกี คร้ังหน่ึง 1.1.4 อานาจอธิปไตย สว่ นประกอบท่สี าคัญที่สี่ของรัฐ ไดแ้ ก่ อธิปไตย ซึ่งถอื วา่ เปน็ อานาจสูงสุด (Supreme Power) ในการ ปกครองประเทศ กล่าวอย่างง่ายๆก็คือ การท่ีรัฐมีอานาจอธิปไตยทาให้รัฐสามารถดาเนินงานทั้งภายในและ ภายนอกของตนอยา่ งเป็นอสิ ระโดยปราศจากการควบคุมของรัฐอืน่ ๆอานาจอธิปไตยหรอื อานาจสงู สุดนี้รัฐมอบ ให้รัฐบาลเป็นผู้ใช้ รัฐบาลจึงมีอานาจสูงสุดในประเทศในการปกครองทุกอย่าง รัฐมีอานาจอธิปไตยก็คือ รัฐก็ เป็นอิสระหรือเอกราช (Independence) คาวา่ อธิปไตยอาจใหน้ ิยมว่า “เป็นสภาพบุคคลของรัฐที่มเี อกราชใน

ความสัมพันธ์กับสมาชิกอื่นๆในสังคมนานาชาติ” เพราะฉะนั้นกฎบัตรสหประชาชาติมาตรา 2 จึงกล่าวว่า “องค์การย่อมถือหลักแห่งความเสมอภาคในอธิปไตยของสมาชิกทั้งมวลเป็นมูลฐาน” แอมเมส เอ เฮอร์ชี (Ames A.Hershey) กล่าวว่ารัฐจะได้รับรองจากนานาประเทศว่าเป็นสมาชิกท่ีเสมอภาคในการติดต่อสัมพันธ์ และในองค์การระหว่างประเทศได้ อธิปไตยของรัฐเป็นส่วนประกอบที่ขาดมิได้ในการกระทาให้รัฐมีสภาพเป็น บุคคลระหว่างประเทศ (international person) ข้อที่น่าสงสัยอีกอย่างหน่ึงก็คือในสมัยโบราณเมื่อรัฐมี อธิปไตยก็เช่ือว่ารัฐมีเอกราชหรอื อสิ รภาพอย่างสมบรูณ์ แตใ่ นปัจจุบันเปน็ การยากท่รี ัฐมีอธิปไตยจะดาเนนิ การ ท้งั ภายในและภายนอกประเทศได้โดยอสิ ระ เพราะรฐั ไมอ่ ยู่เหนือกฎหมายแต่อยู่ภายใต้การบงั คับของกฎหมาย ซึ่งเร่ืองน้ีใช่จะเกิดข้ึนกับรัฐเล็กๆเท่านั้นแต่ยังเกิดข้ึนกับรัฐใหญ่ๆอีกด้วย ถึงแม้ว่ารัฐมีอิสระท่ีจะปกครอง พลเมืองของตนได้อย่างไรก็จริงอยู่แต่ยังต้องคานึงถึงข้อที่ว่าตนยังคงอยู่ภายใต้บังคับของกฎหมายระหว่าง ประเทศหรือกฎบัตรสหประชาชาติว่าด้วยการปกครองพลเมืองตัวอย่างเช่น ทุกวันนี้สหประชาชาติรับรู้ความ จาเปน็ ในการสง่ เสริมสทิ ธิมนุษยชนและเสรภี าพของมนุษย์ ดังนนั้ เม่อื มีเรื่องเกดิ ข้นึ เกี่ยวกับนโยบายรังเกียจผิว (Apartheid Policy) ในสหภาพอัฟริกาใต้ สหประชาชาตจิ งึ ยนื่ มือเขา้ มาเก่ยี วข้อง 1.2 ระบบของรัฐ (State System) ต้ังแต่อดีตจนถึงปัจจุบัน ระบบของรัฐแบ่งออกเป็น 6 แบบด้วยกัน ซึ่งระบบของรัฐบางระบบยังมีอยู่ ในโลก และบางระบบได้สลายไป บางสมัยก็มกี ารนาเอาระบบเก่าๆมาใช้และระบบรัฐบางระบบที่คล้ายคลึงกัน บางครั้งก็เกดิ ขน้ึ ในสถานท่ีและเวลาทีแ่ ตกต่างกนั 1..2.1 ระบบรฐั แบบเผ่า (Tribal State) ต้ังแต่แรกเร่ิม รัฐทั้งหลายเกิดขึ้นในระบบหมู่ชน (Tribal System) รัฐเหล่านี้มีลักษณะบางอย่าง คล้ายคลึงและบางอยา่ งแตกตา่ งกัน ลักษณะของรัฐเปน็ รฐั เล็กๆ มีหัวหนา้ เปน็ ผปู้ กครอง ซึง่ มักจะมีที่ปรกึ ษาใน รูปคณะมนตรีหรือสภาท่ีปรึกษา (Advisory Councils) หมู่ชนที่ประกอบขึ้น ซ่ึงเราเรียกรัฐน้ีว่า บางหมู่ก็ เร่ร่อนทามาหากินไม่เป็นหลักแหล่งบางหมู่ก็ต้ังหลักแหล่งถาวร ความสัมพันธ์ของรัฐระบบนี้ กับรัฐอ่ืนๆ ตลอดจนขอบเขตของอานาจทางการเมืองของรัฐในระบบน้ีเป็นไปลักษณะแคบๆหัวหน้าของรัฐหมู่ชนน้ี บาง คนก็เป็นทรราช (Tyranny) บางคนก็มีศีลธรรมในการปกครอง สมาชิกในรัฐของระบบน้ี มักจะรักษา ขนบธรรมเนียมประเพณีอย่างดี ไม่ยอมให้บุตรหลานของพวกตนไปแต่งงานกับชนหมู่อ่ืน ในบางครั้งหมู่ชนนี้ รวมกันเข้าไปในรูปสหพันธรัฐ (Confederal state) โดยไม่มีข้อสัญญาผูกพันซ่ึงกันและกัน ระบบรัฐหมู่ชนน้ี เป็นระบบที่ปรากฏอยู่ในประวตั ิศาสตร์ของโลกตลอดมา ในปัจจุบัน บางส่วนของโลกในเอเชียและอัฟริกา ยังปรากฏมีรัฐหมู่ชนอยู่โดยมีลักษณะเป็นรัฐของชน หมูน่ ้อย หรือคนโบราณ หรือหมู่ชนทีร่ วมกนั เขา้ เปน็ รฐั ท่กี าเนดิ ขนึ้ ใหม่ในอฟั รกิ า 1.2.2 ระบบรฐั แบบจักรภพ (State Empires) รฐั แบบจักรภพนี้ เกิดขึ้นในทางตะวันออกแถบลุ่มแม่นา้ ในที่อุดมสมบูรณ์ รวมท้ังแม่น้ายูเฟรตีส แมน่ ้า คงคา แม่น้าแยงซี ซ่ึงเรียกกันว่าอู่ของความเจริญ (Cradles of Civilization) จักรภพที่เกิดขึ้นบริเวณท่ีกล่าว มา ไดแ้ กอ่ ยี ิปต์ แอสซเี รีย อนิ เดีย และจีน จกั รภพเหลา่ น้ีเกิดจากการรวมเอาพลเมอื งหลายเผา่ เข้าดว้ ยกัน โดย มีเผ่าหน่ึงแข็งแรงและรบชนะอีกเผ่าหน่ึง ได้เอาเผ่าที่แพ้สงครามเข้ามารวมกับเผ่าของตน และจัดต้ังเป็นจักร ภพ (Empire) ข้ึนในดนิ แดนที่อดุ มสมบรู ณ์ดังท่ีได้กล่าวมา จกั รภพเหลา่ น้ีไมไ่ ดม้ กี ารรวมอานาจไว้กบั ส่วนกลาง

(Centralization) อย่างเต็มท่ี แต่มีหน่วยการเมืองต่างๆอยู่ภายใต้การบังคับบัญชาของส่วนกลาง หน่วย การเมืองเหลา่ น้ีถึงแมว้ า่ มีอานาจในการปกครองภายในของตนเองกต็ าม กย็ ังมีพันธะท่ีจะต้องเกณฑ์ทหาร และ ส่งเครือ่ งราชบรรณาการไปใหแ้ กร่ ฐั ส่วนกลางอกี ภายในจักรภพเหล่าน้ี มีการแบ่งช้ันวรรณะในสังคม พิธีการศาสนามีอิทธิพลสูงกว่าพิธีการใน ครอบครัว กษัตริย์ถูกยกย่องเป็นหน่ึงในสังคม ประชาชนถูกปล่อยให้รับผิดชอบชีวิตของตนเอง เพราะการ ให้บริการอย่างท่ัวถึงทาไม่ได้ ชนชั้นนักปกครอง นักการทหาร และพระ เป็นพวกที่มีส่วนในการปกครองรัฐ กษัตริยบ์ างองค์ขยายอาณาเขตโดยวิธีการรุกรานและเม่ือมีรัฐอื่นมาอย่ใู ต้อานาจปกครองก็เกดิ มีการตัดตั้งจักร ภพข้ึนระบบรฐั ตามแบบจักรภพนน้ั มีปัญหาหลายประการ อาทิเชน่ การรวบรวมอานาจให้อยู่กับสว่ นกลางนั้น ไม่อาจทาได้ผล เพราะการคมนาคมไม่สะดวกจึงทาให้หัวหน้าของท้องถิ่นท่ีมีอานาจมากเป็นกบฏต่อส่วนกลาง อยูเ่ สมอๆจงึ อาจกล่าวไดว้ า่ จกั รภพเปน็ รฐั ท่รี วบรวมอานาจไมเ่ ดด็ ขาด เพราะเป็นการรวบรวมรฐั ที่หละหลวม ลักษณะที่คลายคลึงกันของจักรภพทางตะวันออกก็คือ พลเมืองที่อาศัยอยู่ในจักรภพส่วนใหญ่ที่มี อาชีพทางเกษตรกรรม และจักรภพนั้นตั้งอยู่บนผืนแผ่นดินใหญ่ จักรภพเหล่านี้ถือว่า ทะเลเป็นเคร่ืองกีดขวาง ในการคมนาคม ศูนย์กลางของอารยธรรมของจักรภพเหล่าน้ีอยู่ในลุ่มน้าแทนที่จะเป็นฝ่ังทะเล จักรภพต่างๆ เหล่าน้ตี อ่ มาได้สลายตัวลง เพราะสงครามและความยุ่งเหยงิ ภายในจกั รภพ 1.2.3 ระบบนครรฐั กรีก (Greek City-Steta) ระบบนครรัฐกรีก ได้เกิดขึ้นในสมัยกรีกโบราณประมาณ 700 ปีก่อนพระเยซูประสูติและดารงคงอยู่ จนกระท่ังจักรวรรดิโรมันเสื่อม ในศริสต์ศักราชท่ี 5 กรีกได้เจริญถึงขีดสุดในอารยธรรมของรัฐรูปนี้(ดู Field , Government in Modern Society ,pp. 45-47,57-58) นครรัฐกรีกประกอบด้วย นครรัฐหลายร้อยนครรัฐ ด้วยกัน ซ่ึงยากต่อการรวมกันเพราะธรรมชาติ เช่น ภูเขาเเละทะเลเป็นเคร่ืองกีดขวาง จึงทาให้เเต่ละเมืองมี สภาพเเตกต่างไปจากเมอื งอื่นๆนอกจากน้ี เเม้พวกกรีกในสมัยนน้ั นับถือศาสนาเดียวกนั คือ การนบั ถือพระเจ้า Zeus หรือพระพฤหัสบดีร่วมกัน พูดภาษาเดียวกัน เเต่ก็ไม่ยอมรวมกัน ความสัมพันธ์ระหว่างสายเลือด (Kinship) ก็ลดน้อยลงไป เกิดมีความรู้สึกรักเมืองของตนเข้ามาเเทนที่ อย่างไรก็ดี เเม้นครรัฐเเต่ละรัฐไม่ยอม รวมกัน เเต่ก็ยังมคี วามรสู้ ึกวา่ เปน็ เผ่าเดียวกัน การรบพุง่ ระหว่างรัฐ นครรัฐมีอยเู่ ป็นประจา ในนครรัฐกรีก ศาสนา มีอิทธิพลเหนือรัฐเพียงเล็กน้อยเเละไม่เคยมีอานาจเด็ดขาด เมืองหรือ Polis ของกรีกมีความหมายด้ังเดิมว่าเป็นสถานที่มีความม่ันคงเเข็งเเรงเป็นท่ีประชาชนทุกวยั ทุกอาชีพมาพบปะหรือ ทางานรว่ มกัน เเละเป็นสถานทที่ ม่ี รี ะบบปอ้ งกันการรุกรานได้เป็นอย่างดี ประชาชนในเมืองมคี วามสนใจในการ ปกครองมากเเละได้มีการเปิดโอกาสมห้ประชาชนได้ซักถามหรือสนใจปัญหากฎหมายเเละการปกครองเมื่อ ต่างๆในนครรัฐกรีกมีประชาธิปไตยโดยเเท้จริง ประชาชนทีเสรีภาพ เเละศูนย์กลางของชีวิตการเมืองของนคร เอเธนส์ได้เเก่ อโครโปลิศ (Acropolis) ซ่ึงแปลว่า \"เมืองสูง\" (High Polis) ซึ่งต้ังอยู่บนยอดสูงกลางนคร ซึ่ง ปรากฏอยู่จนทุกวนั นี้ ขอ้ ท่ีน่าสังเกตก็คือส่ามีการเเข่งขันชิงดีชิงเด่นกันระหว่างเมืองต่างๆเเละในเมืองก็มรการ เเบ่งเเยกออกเป็นพวก (Factions) คล้ายกับพรรคการเมืองในปัจจุบัน การเเข่งขันดังกล่าวทาให้ไม่สามารถ รวมกันเปน็ แระเทศกรกี ข้ึนมาได้ เมืองต่างๆบางเมืองกถ็ ือว่าเมืองอืน่ เป็นศัตรผู ลเสยี ของระบบนครรัฐของกรกี ก็ คือ ไม่มีความเป็นอันหนึ่งอันเดียวกัน (Lack of Unity)ซึ่งต่อมาได้ถูกทาลายโดยพระเจ้าอเล็กซานเดอร์มหา ราชในที่สดุ

ถึงเเม้ว่านครรัฐกรีกจะทีความอ่อนเเอในด้านกาลังทหารเเต่ก็มีรัฐบาลปกครองตกเองอยู่อย่างมีระเบียบ เรียบร้อยทส่ี าคัญทส่ี ุดก็คือ ประชาชนมสี ิทธิเสรีภาพสงิ่ เหลา่ น้ีเเหละเป็นรากฐานของอารยธรรมที่ชนรุน่ หลังได้ ศึกษาค้นควา้ ในเวลาต่อมา 1.2.4ระบบจกั รภพโรมัน (Roman Empire) หลังจากที่นครรัฐกรีกถูกทาลายโดยน้ามือของพระเจ้าอเล็กซานเดอร์มหาราชในศตวรรษท่ี 4 ก่อนศ รสิ ต์ศักราช พระองค์ได้นาเอาระบบเผด็จการตะวันออก (Oriental Despotism) มาใช้ชั่วคราว จักรวรรดิของ พระเจ้าอเล็กซานเดอร์สลายตัวลงเมื่อพระองค์สวรรคตเเละได้กลายเป็นนครรัฐเล็กๆต่อไปอีก จากนี้ไป วิวัฒนาการทางการเมืองท่ีสาคัญส่วนมากได้เกิดขึ้นในกรุงโรมซ่ึงถือกาเนิดประมาณ 300 -400 ปีก่อน คริสต์ศักราชโดยมีลักษณะเหมือนอย่างนครรัฐในกรีก ต่อมาโรมสามารถเอานครรัฐอื่นๆในดินเเดนซ่ึงใน ปัจจุบันเรียกว่า อิตาลีมาขึ้นกับตนท้ังหมด ซ่ึงทาให้โรมมีกาลงั มากขึ้นจนสามารถแผ่จักรวรรดิออกไปจนได้ดิน เเดนท้ังหมดในคาบมหาสมุทรเมดิเตอร์เรเนียนภายในโรมมีชนหลายเผ่ารวมกันอยู่ มีความก้าวหน้าทาง วัฒนธรรมเป็นอย่างดี สาพภายในนครรัฐโรมนี้มีลักษณะอย่างเดียวกันกับนครรัฐของกรีกกล่าวคือ กษัตริย์ คณะมนตรีเเละสภา ซ่ึงเกิดขึ้นจากองค์การครอบครัวเเละกลุ่มชน ต่อมากม็ ีพวกขุนนางซ่ึงมีอทิ ธิพลจากการสืบ เชื้อสายจากบรรพบุรุษท่ีมีอิทธิพล เเละตากความม่ันคงเข้ามาปกครองประเทศดดืนกษัตริย์ สมาชิกมีอานาจ ขยายเพิ่มขึ้น มีการให้สิทธิต่างๆเเก่ประชาชนมากขึ้น ผู้ปกครองรัฐโรมเชื่อว่า นครรัฐกรีกสูฐสลายเพราะเกิด การเเตกเเยกภายใน ดังนั้นชนช้ันปกครองของกรุงโรมจึงให้สัญชาติหรือความเป็นพลเมืองเเก่คนจานวนมาก ท่ีสุดเท่าท่ีจะมากได้ปลจากการให้สัญชาติทาให้เกิดความม่ันคงเเละความสามัคคี เพราะประชาชนต่างก็มี ความรูส้ กึ ว่าเปน็ ชนชาติเดียวกนั จงึ เป็นวิธกี ารท่ดี อี ย่างหนึ่งในการปอ้ งกันการเเตกเเยกภายในนครรัฐโรม นครรัฐโรมได้ทาสงครามแผ่ขยายอานาจ เเละได้รวมเอานครรัฐอื่นเข้ามาไว้ในอาณาจักรโรม ในศตวรรษท่ี 3 กอ่ นคริสตศ์ ักราช จักรวรรดทิ างตะวนั ออกของพระเจ้าอเล็กซานเดอร์กลายเปน็ ดินเเดนสว่ นหนง่ึ ของอาณาจกั ร โรม โรมได้พัฒนารูปแบบของรัฐเเละรูปของรัฐบาลใหม่ รัฐธรรมนูญเเละกฏหมายท่ีใช้ในระบบนครรัฐใช้ไม่ ได้ผลเมื่อนาม่ใช้กับจักรวรรดิที่มีอาณาจักรกว้างใหญ่ไพศาล การทาสงคามเป็นประจาทาให้ระบบรัฐบาลโรม ตกอยภู่ ายใต้อานาจผู้นาทางทหาร ซ่ึงเรียกวา่ Imperator หรือ Commander ซ่ึงต่อมาได้กลายเป็นคาที่เรียก กันว่าจัดรวรรดิ (Emperor) โรมมีความเชื่อว่า \"ถ้าต้องการมีสันติภาพเเล้ว ต้องเตรียมตัวทาสงครามไว้ให้ พร้อม\"ประชาธิปไตยของโรมก็สลายตัวไปโดยมีการปกครองเเบบทรราชย์เข้ามาเเทนท่ีโดยมีข้าราชการพล เรือนเเละระบบราชการเป็นเครื่องมือ ประชาชนถูกบังคับให้กราบไหว้จักรวรรดิ มีการรวมอานาจไว้ใน ส่วนกลางโดยกฏหมายฉบับเดียว การกระทาท้ังหมดที่กล่าวมานั้นผู้ปกครองจักรวรรดิโรมันเชื่อว่า เป็นพลัง สาคัญท่ีสดุ ในการรวมจักรวรรดโิ รมนั ใหเ้ ปน็ ปึกแผน่ ได้ การปกครองจักรวรรดโิ รมันได้ผลดีมาก เพราะจะเหน็ ได้ ว่ามีอายุถึง 5 ศตวรรษ สาหรับจักรวรรดิทางตะวันออก มีอายุถึง 15 ศตวรรษ อย่างไรก็ตาม จักรวรรดิโรมัน อนั กวา้ งขวางก็มีผลเสียอยเู่ หมือนกันกล่าวคือ ตั้งเเต่สมัยซีซาร์ (Cesar) เป็นตน้ มา ถึงเเม้ว่าประชาชนพลเมือง ท่ีมีสัญชาติเดียวกันมีจานวนเพ่ิมมากข้ึนเเต่ไม่มีสิทธิร่วมในการปกครอง สิทธิเสรีภาพของประชาชนเร่ิมเลือน หายไป การปกครองส่วนท้องถิ่นเร่ิมมีน้อยลง โดยมีการรวมอานาจในส่วนกลางมากขึ้น สภาพจักรวรรดิโรมัน กับนครรัฐกรีกเเตกต่างกันในข้อท่ีว่า นครรัฐกรีกมีประชาธิปไตย เเต่ไม่มีความเป็นอันหน่ึงอันเดียว กัน (Democracy Without Unity) ถึงเเม้ว่าจะมีผลเสียดังกล่าวก็ตาม โรมยังข้ึนช่ือว่าเป็นเเหล่งที่ทาให้เกิด

รากฐานในการจัดระเบียบทางการเมืองของรัฐ เป็นต้นว่าการจัด งค์การของรัฐ ความเป็นอันหนึ่งอันเดียวกัน ของรัฐซ่ึงคล้ายกับระบบรัฐเดี่ยว (Unitary Steta) ท่ีปรากฏอยู่ในปัจจุบัน อาทิเช่น ประเทศไทยเเละประเทศ องั กฤษ เป็นต้น นอกจากน้ีโรมยังได้ให้บทเรียนท่สี าคัญในเรื่องประมาลกฏหมายอัยเดียวกนั ของรฐั ซึง่ เรยี กเป็ย คาลสตินวา่ Jus Gentium เเละในเรือ่ งสันติภาพของโลก (Pax Romana) ซึ่งจัดได้วา่ เป็นปัจจัยสาคัญในระยะ เรมิ่ กอ่ ตง้ั รฐั จักรวรรดิโรมันในขณะนั้นอยู่ได้เพราะกาลังทหารเเละนโยบายปราบปราม ซึ่งประมุขเเห่งจักรวรรดิ เชื่อว่าเป็นสิ่งท่ีทาให้เกิดการรวมกันอย่างสันติสุข ต่อมากรุงโรมไม่อาจต่อต้านการรุกรานของพวกติวโตนิค (Tutonic)ซึ่งโรมเคยปกครองมาก่อน เพราะเกิดความไม่เป็นอันหนึ่งอันเดียวกันภายในจักรวรรดิโรมัน ในราว ครสิ ต์ศตวรรษท่ี 5 จักรวรรดิโรมนั ทางตะวนั ตกก็ เเยกออกตากกันเป็นดินเเดนต่างๆ ภายใต้การควบคุมของพวกติวโตนิคส่วนตัวโตนิคดินเเดนบายเเซนติน (Byzantine)ทตี่ ้ังอยู่ทางตะวันออกของจกั รวรรดยิ ังอยู่ภายใต้อิทธพิ ลโรมัน ต้อมาพลเมืองโรมรวมกับพวกติวโต นิคเเละสถาบนั ของท้ังสองฝ่ายก็รวมเข้าดว้ ยกนั เมื่อถงึ สมยั Renaissance อนั เป็นสมยั ฟื้นฟวู ัฒนธรรมยุโรปใน ศตวรรษท่ี 15 เเนวความคิดทางการเมืองกับสถาบันเก่าๆ ได้ถูกพวกติวโตนิคนามาดัดแปลงให้เป็นผลดีต่อรัฐ ซงึ่ ทาใหเ้ กิดอารยธรรมแผนใหม่ (Moderm Civilization) รวมท้ังทาให้เกิดรฐั ในรูปซึ่งเราเรยี กกันว่า รัฐเจา้ ขุน มลู นาย (Feudal Steta) 1.2.5รัฐเจ้าขนุ มูลนาย (Feudal Steta) ระบบรัฐเจ้าขุนมูลนายหรือขุนนาง ซึ่งเกิดข้ึนในสมัยกลางน้ีถือว่าสิทธิเด็ดขาดเหนือพื้นดิน เจ้าของ ท่ีดินเป็นเจ้าขุนมูลนายซึ่งอาจได้กรรมสิทธิ์ในท่ีดินมาโดยกษัตริย์มอบให้ในฐานะเป็นผู้รบชนะโรมัน หรือใน กรณีท่ีกษัตริย์ผู้มอบกรรมสิทธิ์ที่ดินให้เเก่ ขุนนางช้ันผู้ใหญ่ (Great Lords) โดยหวังที่จะได้รับการช่วยเหลือ เเละสนับสนุนจากพวกขุนนางเหล่าน้ัน เเละขุนนางชั้นผู้ใหญ่ท่ีจะมอบสิทธิในการใช้ที่ดินน้ันได้เเก่ ขุนนางช้ัน ผนู้ ้อย (Lesser Lord) เพื่อวา่ ขนุ นางผู้น้อยจะได้ช่วยเหลือตนในด้านทรพั ย์สนิ เเละกาลังคนเมื่อมีความต้องการ ในรัฐเจ้าขุนมูลนายน้ีมีความสัมพันธ์ระหว่างเจ้าของท่ีตนหรือเจ้าขุนมูลนาย (Lord) กับผู้อยู่ใต้อิทธิพลท่ี เรียกว่า Vassal เเละปรากฏว่าไม่มีความสามัคคีเเละเสรีภาพในรัฐนี้เลย สิ่งเดียวท่ีสามารถรักษาความสามัคคี เเละความเป็นอันหนึ่งอันเดียวกันไว้ได้ ก็คือ ศาสนาคริสเตียน (Christian Church) ในสมัยต่อมามีการจัดกัน ในเร่อื งอานาจการปกครองวา่ จะเป็นของรฐั (Steta) หรอื จะเป็นของศาสนา (Church) ซึ่งหมายถงึ ฝา่ ยพระ ในสมัยกลางน้ีรูปของรัฐไม่ได้ปรากฏให้เห็นชัด คงมีเเต่รูปของสถาบันทางการเมืองการกระจายอานาจไม่มี หลักเกณฑ์เเน่นอน กฏหมายก็เเตกต่างกันออกไป มีการจงรักภักดีต่อองค์การหลายองค์การ การรวมกันของ รัฐบาลเเละศาสนา เเละมีการรวมกันของผู้มีกรรมสิทธิเหนือพ้ืนดิน ซ่ึงได้เเก่ พวกเจ้าขุนมูลนาย ข้อท่ีน่าคิด ก็ คือ เเนวความคิดปัจจุบันในด้านการเมืองได้เกิดจากระบบการเมืองสมัยกลาง เช่น หลักของการเป็นตัวเเทน (Representation)หลักของการจากัดอานาจของรัฐบาล (Limited Government) หลักเเห่งกฏหมาย(The Rule of Law)เเละหลักที่ถือว่ารัฐบาลควรจะเกิดขึ้นจากความยินยอมของประชาชนระบบรัฐเจ้าขุนมูลนาย เกิดข้ึนในยุโรปตะวันตกระหว่างคริสต์ศตวรรษท่ี5เเละศตวรรษท่ี15 ในตอนต้นของยุคกลางไม่มีใครทราบเเท้ จรงิ เกี่ยวกับโครงร่าง เเละระบบทางการเมอื ง เเละการปกครองทร่ี ู้เเนช่ ัด ก็คือ ระบบขันนาง (Feudalism) มน ตอนปลายสมัยกลางมีความเจริญทางด้านการค้าขายเกิดมีเมืองท่ีเป็นศูนย์การค้าเพ่ิมขึ้นในอิตาลีเเละเยอรมัน

พวกท่ีค้าขายไม่ค่อยลงรอยกับพวกเจ้าของท่ีดินเเละไม่สนับสนุนระบบเจ้าขุนมูลนายเเละพยายามไม่ขึ้นกับ พวกเจ้าของที่ดิน ผลเเห่งการไม่ลงรอยกันทาให้เกิดนครรัฐข้ึนใหม่หลายเมือง ซึ่งภายในเมืองมีความพยายามที่ จะมีประชาธิปไตยเเบบกรีก ซ่ึงตอ่ มามกี ารเปลี่ยนแปลงอย่างช้าๆเเตม่ ั่นคงจากระบบขุนนางม่สู่รัฐสมยั ใหม่โดย ที่ประชาชนไมค่ ่อยมคี วามรู้สึกในการเปลย่ี นแปลงที่บังเกิดขน้ึ 1.2.6 ระบบรัฐใหม่(National State or Modern Stare หลังจากระบบรัฐขุนนางได้สูญสลายไปเเล้วได้เกอดการเปลยี่ นแปลงทางการเมืองที่สาคญั น้ันก็คือ รัฐ กับศาสนาเกิดไม่ลงรอยกันมนปัญหาหลายเรื่อง ในศาสนาเองก็มีการเเตกเเยก เพราะมีพวกพระที่สนใจใน การปฎิรูปทางศาสนา (Reformation) ไม่พอใจในลักษณะเดิมของศาสนาท่ีใช้อยู่ในขณะนั้น ประชาชนท่ีตั้ง หลกั ฐานเปน็ หลักเเหล่งเกดิ มีความรบั ผิดชอบเเละมีผลประโยชน์ร่วมกันข้ึน ซึ่งส่งผลให้เกิดทคี วามต้องการของ ประชาชนที่จะมีรัฐชนิดใหม่ข้ึน ดังน้ัน จึงมีการรวมดินเเดนต่าๆเข้าเป็นประเทศหลายแระเทศในยุโรป เช่น ฝร่ังเศส สเปญ อังกฤษ สวิสเซอร์เเลนด์ เนเธอร์เเลนด์ รัสเซีย เยอรมันกับอิตาลี การเเยกออกเป็นประเทศ ตา่ งๆน้ีทาให้เกิดมีความนึกคิดของเเต่ละประเทศซึ่งทคี ามเเตกต่างกันออกไป จึงเป็นหนทางทาใหเ้ กิดกฎหมาย ระหว่างประเทศเพ่ือควบคุมความคิดเเละการกระทาที่เเตกต่างของรัฐ รัฐมีความเข้มเเข็งกว่าเดิมมาก จนกระทั่งทาให้ผู้ครองนครเล็กต่างๆที่อยู่ในเขตอานาจของรัฐหมดความสาคัญลง กษัตริย์ของรัฐรูปใหม่นี้มี ความเข้มเเข็ง อาทิเช่น พระเจ้าเฟอร์ดินัน กับพระนางไอซาเเบลลา เเห่งสเปญ การอภิเษกสมรสของสอง พระองค์น้ีทาให้สเปญมีฐานะเป็นรัฐเเห่งชาติ ในปี ค.ศ.1462 เเละในปี ค.ศ.1485 การสมรสระหว่างพระเจ้า เฮนรี่ที่ 8 กับพระนางเจ้าเอลิซาเบธเเหง่ ยอร์คทาให่เกิดราชวงศ์ทิวดอร์ท่เี ขม้ เเข็งทาให้อานาจของศาสนาลดลง ไปมาก นอกจากนี้อานาจของรัฐเเละอานาจของศาสนาก็เเยกออกจากกัน เเละกว่าจะเเยกกันได้ก็เกิดสงคราม กลางเมืองเเละสงครามระหว่างประเทศหลายครั้ง ระบบกษัตริย์เเละประชาธิปไตยเริ่มเเพร่หลายออกไผ การ ปกครองรูประบบราชวงศก์ ษตั ริย์ (Dynastic System)นัน้ มีสองชนิด คือแบบสมบูรณาญาสิทธิราช (Aboslute Monarchy)เเละระบบประชาธิปไตย (Limited or Domocraric Monarchy) โดยทั่วไปเเล้วการปกครองใน ระบบประชาธปิ ไตย ไม่ว่าในแบบมีกษัตรยิ ์หรือมปี ระธานาธิบดตี ่างมีการใชร้ ะบบการปกครองประชาธิปไตยใน ปัจจุบันอาจเเบ่งออกเป็น 2 กลุ่มคือ กลุ่มประเทศประชาธิปไตยท่ีมั้นคง (Stable Democracy) เเละกลุ่ม ประเทศที่มีประชาธิปไตยไม่ม่ันคง (Unstable Democracy)ซึ่งได้เเก่ ประเทศที่กาลังพัฒนาในอัฟริกา เอเซีย เเละลาตินอเมรกิ า จากระบบต่างๆของรัฐที่กล่าวมานั้น ไม่มีระบบใดท่ีพอจะพูดได้ว่าเป็นระบบดีท่ีสุด ระบบรัฐใดดีที่สุด นั้นเป็นปัญหาถกเถียงกันในหมู่นักปราชญ์มานานเเล้ว มีการถกเถียงอย่างไม่มีที่ส้ินสุดว่าอานาจการปกครอง ของรัฐควรจะอยู่กับบุคคลเดียว บุคคลสองสามคนท่ีเป็นขุนนางหรือควรจะอยู่กับประชาชนส่วนมาก อาทิเช่น พวกนักปราชญ์ชาวกรีกอยากให้พวกอภิชน (Aristocracy) มีอานาจปกครอง เป็นต้น หลักจากก่อต้ังจักรวรรดิ โรมันเเล้วหันมานิยมสมบูรณาญาสิทธิราชมากท่ีสุด ในปัจจุบันรัฐในระบบประชาธิปไตย (Democratic Government) ถอื ว่าทนั สมยั ที่สดุ ในบรรดาระบบการปกครองของรฐั 1.3 อานาจของรัฐ (National Power) ได้มีนักเขียนผู้มีช่ือเสียงที่จะสร้างทฤษฎีเกี่ยวกับการเมืองโดยเฉพาะอย่างยิ่งทฤษฎีเกี่ยวกับ ความสัมพันธ์ระหว่างประเทศ โดยอาศัยหลักในเร่ืองอานาจเป็นส่วนใหญ่อาทิเช่น นิคโคโล เเมคเคียเวลลี่

(Niccolo Machiavelli)โธมัส ฮอบส์ (Thomas Hobs) ฮันส์ เจ มอเกนทอ (Hans J.Morganthau)เเละเฟรด เดอริค เเอล ชูเเมน (Frederick L.Schuman)เรื่องอานาจรัฐท่ีเป็นท่ีนิยมใช้กันมากในเม่ือมีการพูดถึงเร่ือง \"การเมืองระหว่างประเทศ\" เพราะเป็นปัจจัยท่ีมีบทบาทสาคัญในการเมืองระหว่างประเทศ เเละเป็นกุญเเจ สาคัญทจ่ี ะนาไปสู่การเข้าใจในเร่อื งกรรเมืองเเละความสัมพันธร์ ะหวา่ งประเทศ คาว่า\"อานาจ\"ถ้ากล่าวอย่างง่ายๆก็หมายถึง \"ความสามารถในการเอาชนะอุปสรรคต่างๆ\"ก่อนหน้า ปฏิวัติเลนินได้เน้นต่อหน้าพรรคพวกว่า อานาจเป็นปัญหาที่เกี่ยวข้องกับการเมือง 2 ประการ คือ ใครเป็นผู้ใช้ อานาจเเละใครเป็นผู้อย่ใู ตอ้ านาจเเละในระหว่างปี ค.ศ.1932 ท่ีภาวะเศรษฐกิจตกต่าไปทั่วโลก ชาวเยอรมันได้ ร้องเพลงประท้วงว่า \"พวกตนต้องการเป็นฆ้อนไม่ใช่เป็นเเท่งเหล็กที่ถูกฆ้อนตี\" โดยท่ัวไปเเล้วคาว่า \"อานาจ\" หมายถึงความสามารถในการทาให้ผอู้ ่นื ทาตามหรือยอมตามสง่ิ ที่ตนปราถนา อานาจของรัฐประกอบด้วยอานาจภายในเเละภายนอก อานาจภายในรัฐน้ัน เเมค ไอเวอร์ (Mac IVER)ได้เเบ่งออกเป็น 3 ชนิด ตามเเบบของรูปปิระมิด คือ การเเบ่งอานาจตามช้ันวรรณะ (Cast Pyramid) การเเบ่งอานาจตามอานาจทางการเมืองเเละเศรษฐกิจหรือเรียกว่าการเเบ่งอานาจในรูปคณ าธิปไตย (Oligarchical Pyramid) เเละการเเบง่ อานาจเเบบประชาธิปไตย (Democratic Pyramid) องค์ประกอบของความคิดเกี่ยวกบั อานาจนั้น ได้เเก่ อิทธิพล (Influence) เม่ือพดู ถึงอานาจของรัฐเรา มักจะพูดถึงอิทธิพลของรัฐด้วย อาจกล่าวได้ว่า รัฐมีอานาจมากย่อมมีอิทธิพลมาก เเละสามารถทาให้รัฐอ่ืน ปฏิบัติในส่ิงท่ีตนต้องการ \"อิทธิพล\" (Influence)น้ันถือว่าได้ว่า \"เป็นส่วนประกอบอันดับเเรกของความคิด เกยี่ วกบั อานาจ\"การกระทาระหวา่ งรฐั ทม่ี ีอานาจเเละอิทธิพลมากกบั รฐั ท่ีทีอานาจเเละอิทธิพลด้อยกว่า 1.3.2 ความสามารถ (Capabilities) องค์ประกอบอันที่สองของความคิดในเร่ืองอานาจ ได้เเก่ ความสามารถของรัฐในการใช้อิทธิพล เป็น การยากที่จะเข้าใจว่ารัฐใช้อิทธิพลมากเท่าใดถ้าหากไม่ทราบเกี่ยวกับความสามารถของรัฐ เป็นที่เห็นได้ชัดว่า รัฐเเต่ละรัฐมีอิทธิพลไม่เท่าเทียมกัน บางรัฐก็มีออทธิพลมาก บางรัฐก็มีอิทธิพลน้อย รัฐที่มีอิทธิพลมากมักจะ เรียกว่า รัฐมหาอานาจ (Great powers) รัฐที่มีอิทธิพลน้อยก็มักเป็นรัฐท่ีมีอานาจน้อย (Small powers) ความแตกต่างระหว่างรัฐท้ังสองประเภทดังกล่าว อาจคาดคะเนได้จากการดูความสามารถของรัฐ สาหรับ การเมอื งภายในรฐั (Domestic Politics) ปจั จัยท่ีกอ่ ใหเ้ กดิ ความสามารถในการ ใช้อิทธพิ ลเหนือผูอ้ ่ืน ตามท่โี ร เบิร์ต เอ ดาล (Robert A.Dahl)ได้กล่าวไว้มีหลายอย่างด้วยกัน อาทิเช่น เงินตรา ความมั่นคง ข่าว เวลา ตาแหน่ง ข้าราชการ เป็นต้น อะไรก็ตามบุคคลซ่ึงมีปัจจัยต่างๆที่ทาให้ตนมีความสามารถนั้นก็ไม่ใช่ว่าจะมี อทิ ธิพลเหนือประชาชน หรือสง่ั ให้คนอื่นปฏิบตั ิสงิ่ ที่ตนต้องการไดเ้ สมอไป บุคคลจะมีอิทธิพลเหนือบุคคลอื่นได้ จะต้องมีความชานาญ รวบรวมความสามารถตา่ งๆ ที่ตนมีอยู่สนับสนุนการใช้อิทธิพลของตน กล่าวอย่างงา่ ยๆ ก็คือว่าบุคคลถึงแม้จะมีอิทธิพลแต่ถ้าไม่มีความสามารถในการใช้อิทธิพลแล้ว อิทธิพลที่ตนมีอยู่ก็ไม่มี ความหมายอะไรมากนกั ในด้านการเมืองระหว่างประเทศ ความสามารถของรัฐเป็นได้ทั้งส่ิงที่มองเห็น (Tangible Factors) และส่ิงท่ีมองไม่เห็น (Intangible Factors) ตัวอย่างของความสามารถของรัฐที่แลเห็น ได้แก่ ผลผลิตของชาติ ของการพัฒนาในด้านอุตสาหกรรม ระบบอาวุธท่ีทันสมัย จานวนประชากร เปน็ ต้น อาจกล่าวไดว้ ่า ประเทศท่ี มีผลผลิตสูง ระดับการพัฒนาอุตสาหสกรรมสูง ระดับอาวุธท่ีทันสมัย และจานวนประชากรมาก มี

ความสามารถมากกว่าประเทศที่ด้อยพัฒนาท่ีมีจานวนประชากรน้อยและอาวุธท่ีล้าสมัย ส่วนความสามารถท่ี ไม่มีตวั ตนหรือมองไมเ่ หน็ ไดแ้ ก่ ศีลธรรมธรรมชาติ ความย่ิงใหญข่ องผู้นา เปน็ ต้น 1.4 ส่วนประกอบของอานาจรฐั ส่วนประกอบท่ีสาคัญท่ีทาให้ชาตหิ น่ึงมีอานาจข้ึนมาได้ คือ ดิน ฟ้า อากาศ สภาพภูมิศาสตร์ นโยบาย ทรัพยากรธรรมชาติ อานาจทางการทหาร และความสามารถทางดา้ นเทคโนโลยี 1.4.1 ดินฟา้ อากาศ (Cilmate) อาจกล่าวได้ว่า ดินฟ้าอากาศมีอิทธิพลสาคัญเหนือรัฐและประชาชนของรัฐอย่างมาก หลักท่ัวไปใน เร่ืองนี้มีอยู่ว่า ประเทศที่อยู่ในเขตอบอุ่น (Temperate Zone) มักมีวิวัฒนาการทางการเมืองอากาศ ที่ร้อน และที่หนาวมีอิทธิพลเหนือสภาพร่างกายและจิตใจของประชาชนตลอดจนเหนือ ทรัพยากรธรรมชาติของ ประเทศด้วย เช่น ในเขตอาร์คติค ประชาชนต้องต่อสู้เลี้ยงชีพมากเกินไป จนเเทบไม่มีเวลาสนใจเร่ืองทาง การเมือง ส่วนประชาชนท่ีอาศัยในเขตศูนย์สูตรหรือเขตร้อนมีส่ิงจาเป็นต่อการเล้ียงชีพอย่างสมบูรณ์ ทาให้ ประชาชนไม่ต้องต่อสู้เพื่อเล้ียงชพี เหมือนอยา่ งในเขตอารค์ ติค ประชาชนในเขตร้อนมากเป็นคนขยันขันแข็งเอา การงาน และสนใจในการใช้ธรรมชาติให้เป็นประโยชน์แก่ตนเอง แม้ว่าในเขตร้อนสุดและเขตหนาวสุด มี การศึกษาดี และความพยายามที่จะเอาชนะธรรมชาติอยู่ก็ตาม ก็ยังปรากฏว่าประเทศที่อยู่ในอาณาบริเวณ ของทง้ั สองเขตดงั กลา่ ว มีความก้าวหน้าชา้ กว่าประเทศทอ่ี ย่ใู นบริเวณเขตอบอนุ่ 1.4.2 สภาพทางภูมศิ าสตร์ (Geography) สภาพทางภูมิศาสตร์มคี วามสาคัญเกยี่ วกับเขตของรัฐมาก และยังเก่ยี วกบั นสิ ัยบุคลิกของประชาชนอีก ด้วย เป็นท่ีทราบกันดีแล้วว่า พรมแดนของรัฐมีเคร่ืองก้ันตามธรรมชาติ เป็นต้นว่า ทะเล แม่น้า และเทือกเขา สภาพทางภูมิศาสตร์ มีผลต่อนโยบายทางการเมืองของประเทศ เช่น ดินแดนท่ีอยู่ในเขตใต้ทะเลมักจะมี นโยบายการเมือง 2 อย่าง คือ การรักษาอานาจหรืออิทธิพล หรือขยายอานาจหรืออิทธิพล ในด้านอุปสรรค ทะเลเป็นปราการป้องกันตามธรรมชาติ ทาให้ฝ่ายตรงข้ามไม่สามารถรุกรานได้ง่าย และทาให้อานาจของรัฐ มัน่ คง เช่น ประเทศสหรัฐอเมริกาและอังกฤษเปน็ ประเทศท่รี ักษาอานาจของตน ได้อย่างดี เพราะมีเขตแดนติด กับทะเลนอกจากนี้ยังใช้ทะเลเป็นเคร่ืองขยายอานาจของตนท้ังสองประเทศมีกองทัพเรือ กองทัพอากาศที่ เข้มแขง็ ทั้งนเี้ พือ่ พิทักษ์รกั ษาชายฝง่ั ทะเลของตนเองและเรือสนิ ค้าของตนในน่านน้าทะเลหลวง ประเทศซึ่งมีอาณาเขตทางบกกว้างขวางมากสามารถป้องกันตนเอง และขยายอานาจของตนเองได้ ดีกว่าประเทศท่ีมีอาณาเขตทางบกเล็กๆ เช่น รุสเซีย มีอาณาเขตทางบกกว้างใหญ่ จึงสามารถใช้ดินแดน ป้องกันตนเองให้ผลจากการรุกราน ในด้านการขยายอานาจ รัสเซียก็ใช้การปฏิบัติงานภายในแผ่อานาจเข้าไป ในเอเชียยุโรปและแอฟริกาส่วนประเทศท่ีมีอาณาเขตทางบกแต่ไม่มีแนวป้องกันธรรมชาติเอาเสียเลย ได้แก่ ประเทศเยอรมัน ซึ่งมีที่ต้ังล้อมรอบไปด้วยรัฐสาคัญทั้งสามด้าน ดังนั้นเยอรมันจึงมักกลายเป็นรัฐทหาร (Military State) เพราะกลัวว่าประเทศเพื่อนบา้ นจะรกุ รานเอา แนวคิดเช่นน้ีของเยอรมัน ทาให้ประเทศเพื่อน บ้านตอ้ งสะสมกาลังอาวธุ ยทุ โธปกรณ์ เพื่อป้องกนั ตนเองในกรณที ีเ่ ยอรมันก่อการรกุ ราน อาจสรุปได้ว่า ประเทศท่ีมีแนวป้องกันธรรมชาติ ส่วนในประเทศ น้ันมักจะใช้แรงงานไปในทาง สันติภาพไม่ใช่สงคราม แนวป้องกันธรรมชาติที่ดีที่สุด ได้แก่ ทะเลและเทือกเขา แต่ในปัจจุบันกาลังอาวุธ

ปรมาณูอันมีอานุภาพอันร้ายแรงกาลงั แพรห่ ลายทะเลและเทอื กเขาซ่งึ เปน็ แนวธรรมชาติก็มีความหมายน้อยลง ไปในทางปอ้ งกัน 1.4.3 ทรัพยากร (Resources) ส่วนประกอบท่ีสาคัญของรัฐ ได้แก่ ทรัพยากรธรรมชาติ (natural resources) และทรัพยากร กาลังคน (human resources) ทรัพยากรทั้งสองดังกล่าวมีความสาคัญต่อรัฐมากเพราะรักจะมี กาลังทาง ทหารและทางเศรษฐกิจก็ต่อเมื่อรัฐมีทรัพยากรที่จาเป็นในทางอุตสาหกรรมและการค้า รวมท้ังทรัพยากรที่ จาเป็นในการใช้พัฒนาและสร้างอาวุธท่ีทันสมัย ประเทศใด มีทรัพยากรภายในท่ีม่ันคงและสมบูรณ์ ประเทศ นน้ั ก็มักมีมาตรฐาน ของความเป็นอยู่ของ พลเมือง และมเี ศรษฐกจิ ของประเทศในระดับสงู ประเภทท่ขี าดแคน ทรัพยากรเป็นประเทศที่ล้าหลังในทางเศรษฐกิจและในทางการได้วันละเป็นถู ในทางเศรษฐกิจและในทาง การเมือง ถ้าหากทรัพยากรของรัฐได้ถูกใช้หมดไปคนในร้านนั้นก็หาทางอพยพไปสู่ดินแดนอื่นที่มีทรัพยากร สมบูรณ์กว่า หรืบางคร้ังรัฐ ก็ทาสงครามเพ่ือช่วงชิงดินแดนท่ีมีทรัพยากรสมบูรณ์ ในบางคร้ังการท่ีรัฐมี ทรพั ยากรมากก็ไม่ค่อยจะสูป้ ลอดภยั นัก โดยเฉพาะอย่างยง่ิ ในสมยั โบราณ ทรัพยากรกาลังคน หมายถึง ประชาชนท่ีมีสุขภาพและอนามยั ดี การศกึ ษาดี มีความขยนั ขันแข็ง อายุ ยืนยาวพอสมควร อัตราการเกิดสูง อัตราการตายต่า ประชาชนไม่ตกงานมาก ได้เข้าใจสิทธิหน้าที่ของตนเอง เป็นอย่างดี เป็นต้น ประเทศใดมีทรัพยากรกาลังคนเช่นน้ีย่อมได้เปรียบกว่าประเทศท่ีมีลักษณะตรงข้ามกัน ประเทศใดขาดทรพั ยากรธรรมชาติแต่มีทรพั ยากรกาลังคนมากมาย ประเทศนั้นก็ใช้นโยบายการเมืองค่อนข้าง รุนแรง อาจกล่าวไดว้ ่า ทรพั ยากรเปน็ ปัจจัยสาคญั ทอ่ี าจกอ่ ใหเ้ กิดอุปสรรคและปัญหาทางการเมืองได้ 1.4.4 อานาจทางการทหาร (Military Power) อานาจทางการทหาร ถือว่าเป็นส่วนประกอบอย่างหน่ึงของอานาจของรัฐ และ เป็นเคร่ืองวัดความ เข้มแข็งและมีอานาจของชาติ ในสมัยโบราณใช้ขนาดของกองทัพเป็นเคร่ืองวัดอานาจทางการทหารของรัฐ ใน ปัจจุบันไม่ใช่แต่เพียงวัดด้วยขนาดกองทัพเท่านั้น แต่ยังวัดอานาจทางการทหารของรัฐด้วยกาลังคนและอาวุธ ท้ังทางด้านกองทัพบก กองทัพเรือ กองทัพอากาศ โดยเฉพาะอย่างย่ิงชาติใด มีอาวุธนิวเคลียร์ชาตินั้นก็มี อานาจทางด้านการทหารมากกวา่ ชาติทีไ่ ม่มอี าวธุ ดังกล่าว ถ้าพี่มีอาวุธปรมาณูหรอื อาวุธนิวเคลยี ร์ เห็นได้ชัดใน ปัจจุบันกค็ ือ โซเวยี อเมรกิ า จนี แดง ฝรัง่ เศส และอังกฤษ การทม่ี ีอาวุธนวิ เคลยี รน์ ้ันทว่ั โลกยอมรับกนั วา่ เป็นสิ่ง ที่มีอันตรายต่อสันติภาพ และความม่ันคงของชาติโดยวิตกว่า ไม่วันหนึ่งวันใด การต่อสู้ด้วยอาวุธนิวเคลียร์ ระหว่างประเทศจะอุบัติข้ึน ซ่ึงอาจเกิด ขึ้นโดยอบุ ัติเหตุหรือโดยเจตนาด้วยเหตุดังกล่าวจงึ ได้มีการเจรจาตกลง ให้มีการลดกาลังอาวุธนิวเคลียร์ (Nuclear Disarmament) และห้ามการแข่งขันในการผลิตอาวุธนิวเคลียร์ ตา่ งๆ 1.4.5นโยบาย (policy) ส่วนประกอบท่ีทาให้รัฐมีอานาจข้ึนมาได้น้ัน ได้แก่ นโยบายของรัฐซ่ึงเป็นเครื่องกาหนดอานาจของรัฐ ได้เหมือนกัน ผู้ปกครองรัฐบางคนอาจมีนโยบาย แบบทะเยอทะยานท่ีต้องการขยายอาณาเขตโดยใช้วิธีการทา สงคราม สญั ญา การคุ้มครอง การยึดครองรัฐอ่ืนเป็นผู้รับเคราะห์ นอกจากนี้บางรฐั มีนโยบายขยายอาณาเขต เพื่อแสวงหาทรัพยากรธรรมชาติ รวบรวมบุคคลสัญชาติ และเช้ือสายเดียวกันที่อยู่ในการปกครองของรัฐอ่ื น

เพื่อสร้างจักรวรรดิขึ้นมาก็มี อาจกล่าวได้ว่า นโยบายของรัฐมี บทบาทอย่างมากในเวทีการเมืองระหว่าง ประเทศ 1.4.6 เทคโนโลยี(Technology) เทคโนโลยีหรือเรียกอีกอย่างหน่ึงว่า วิทยาการ มีผลเก่ียวพันกับอานาจของรัฐท้ังน้ีก็เพราะว่า ความสามารถทางเทคนิคหรือความก้าวหน้าทางวิทยาศาสตร์เป็นพ้ืนฐาน สาคัญของอานาจรัฐ จะเห็นได้ว่า ประเทศท่ีพัฒนามักมีวิทยาการสูง ส่วนประเทศที่ด้อยพัฒนามากมีวิทยาการต่า อาจกล่าวได้วา่ วทิ ยาการเป็น ปัจจัยสาคัญในการวางระดับฐานะของรัฐว่าอยู่ในระดับไหน ในสมัยใหม่ประเทศใดท่ีมีความสมบูรณ์ใน ทรัพยากรธรรมชาติและมีความเจริญทางด้านวิชาการแล้ว ก็มักสร้างพ้ืนฐานของมหาอานาจได้ในเวลา อันรวดเร็วกว่าชาติอื่นๆ ตัวอย่างเช่น สหรัฐอเมริกามีความอุดมสมบูรณ์ในแร่ธาตุ ในทรัพยากรต่างๆ รวมท้ัง ความก้าวหน้าทางวิทยาการในด้านเศรษฐกิจ ทางการเมือง และการทหาร ซึ่งทาให้สามารถสร้างพื้นฐานของ ความเป็นมหาอานาจได้ในเวลาไม่ก่ี 10 ปีทางด้านตะวันตกนั้นสารัทธ์อเมริกามีความก้าวหน้าอย่างสูงใน เทคโนโลยี ส่วนในทางเอเชีย ญ่ีปุ่นเปน็ ตัวอย่างที่ดีในเรื่องน้ี อาจสรปุ ได้วา่ วทิ ยาการหรือเทคโนโลยี เป็นปจั จัย อนั สาคัญที่ทาให้รฐั มคี วามเจริญ โดยเฉพาะอยา่ งยง่ิ ในด้านอตุ สาหกรรม รักท่ีมีความเจริญในดา้ นการษากัมนั้น มกั เปน็ รัฐทีม่ ีอานาจ เพราะวิทยาการทาให้รฐั มีความเจริญทัง้ ในดา้ นการเมือง การเศรษฐกิจและการทหาร 1.5 ผลประโยชนข์ องชาติ (National Interest) คาวา่ \"ผลประโยชน์ของชาติ\" นม้ี ีผู้ให้ความหมายอยูห่ ลายท่าน วลิ เล่ียม ไรทเ์ ซล (William Reitzell) ได้กล่าวว่า ผลประโยชน์ของชาติหรืออีกนัยหน่ึงผลประโยชน์ของรัฐ หมายถึง\" สิ่งที่ผู้ทาการตัดสินใจของ ประเทศถือว่ามีความหมายต่อเอกราช ความม่ันคง ความอยู่ดีกินดี และเกียรติภูมิของประเทศ\" ฮันส์ เจ มอร์ เกนทอ (Hans J.Morgenthau) ยังได้ให้ความหมายต่อไปอีกว่า ส่ิงแวดล้อมหรือสภาพแวดล้อมระหว่าง ประเทศท่ีรัฐมีความสัมพันธ์เก่ียวข้องน้ันเปรียบเสมือนผลประโยชน์ของชาติ ซ่ึงควรถูกนามาพิจารณาด้วย ใน กรณีที่มีการกาหนดนโยบายต่างประเทศ จะเห็นได้ว่านักวิชาการคนแรกถึงสิ่งใดก็ตามมีความสาคัญต่อ ประเทศชาติแล้ว สิ่งน้ันเป็นผลประโยชน์ของชาติท่ีควรจะปกป้องเอาไว้ ส่วนนักวิชาการคนหลังมอง ผลประโยชน์ของชาติไปในรูปของสิ่งแวดล้อมระหว่างรัฐซึ่งรัฐจาเป็นต้องเก่ียวข้อง คาว่าสภาพส่ิงแวดล้อม ระหว่างรัฐมีความหมายว่างมากเพราะครอบคลุมถึงกิจการ นโยบาย พฤติกรรม เขตแดน อะไรอื่นๆอีกหลาย อย่างจึงอาจกล่าวได้ว่า ผลประโยชน์ของชาติตามความหมายท่ี ฮันส์ เจ มอร์เกนทอ ให้ไว้มีความหมายกว้าง กว่า อย่างไรก็ตาม ความหมายของผลประโยชน์ของชาติตามท่ีมอร์เกนทอ ให้ไว้มีความคลุมเครือมาก จนกระทั่งไม่อาจทราบได้ว่า ส่ิงสาคัญอะไรท่ีถือหรือยอมรับกันท่ัวไปว่าเป็นผลประโยชน์ของชาติ นอกจากนี้ แล้ว มอร์เกนทอ ยังได้ตีความหมายผลประโยชน์โดยใช้ความคิดอรรถนิยม (realist concept) ไปในแง่ของ อานาจ โดยถือว่าผลประโยชน์ของชาตินั้นจะดารงอยู่ไดก้ ็ตอ้ งอาศยั อานาจเปน็ เครื่องคมุ้ ครองป้องกันรักษา แต่ บางครั้งผลประโยชน์ของชาติก็จาเป็นต้องเปิดทางให้แกผ่ ลประโยชนข์ ององค์การระหว่างประเทศ ซ่ึงถอื ว่าเป็น ผลประโยชน์ของโลกร่วมกัน หรือที่เรียกว่า Supra-Mational Interrest ซ่ึงรัฐจาเป็นต้องยอมโดยสละ ผลประโยชน์ของตนไป อย่างไรก็ดี นักวิชาการบางท่าน เช่นเเสตนเลย์ ฮอกเเมน (Stanley Hoffman) ได้ให้

ความเห็นว่า ความหมายของผลประโยชน์ของชาติในแง่ของอานาจที่ มอร์เกนทอ ได้ให้ไว้น้ันยังไม่มีความ สมบูรณ์เพียงพอ 1.5.1 ผลประโยชน์ของชาตแิ ละผ้ตู ดั สนิ ใจ ผู้ตัดสินใจ (Decison-Maker) ในท่ีนี้หมายถึง ผู้นาของรัฐซ่ึงอาจประกอบไปด้วยคณะบุคคล ซึ่งมี อานาจและหน้าที่ในการตัดสินใจในเรื่องใดๆ อันเกี่ยวกับผลประโยชน์ของชาติ ตามปกติแล้วผู้ที่ทาหน้าที่ ตัดสินใจมกั จะถือวา่ เป็นประโยชน์ของชาติโดยส่งิ ทีเ่ หนือกวา่ ผลประโยชน์ของสว่ นตวั และในการสร้างนโยบาย ต่างประเทศ ผู้ตัดสินใจมักจะนาเร่ืองผลประโยชน์ของชาติมาพิจารณาประกอบด้วยเป็นสาคัญ แต่อย่างไรก็ ตาม กรณีผู้สร้างนโยบายต่างประเทศบางคน กระทาส่ิงทข่ี ัดต่อผลประโยชนข์ องชาติ เพราะว่าส่วนไดเ้ สยี หรือ ผลประโยชน์ของตนขัดแย้งกับผลประโยชน์ของชาติ ทาดังกล่าวบางครั้งถูกผู้นาสูงสุดของรัฐใช้อานาจยับย้ัง หรือลงโทษ โดยให้เหตุผลว่าการกระทาเช่นนั้นเป็นการกระทาที่ผิดต่อศีลธรรม เพราะผลประโยชน์ของชาติ เป็นส่ิงที่ต้องห้าม ซึ่งประเทศจะต้องรักษาไว้ไม่ให้ถูกรบกวนหรือทาลาย ที่น่าสงสัยก็คือว่าในบรรดา ผลประโยชน์ของชาติหลายอย่างท่ีผู้ทาการตัดสินใจหรือรัฐบาลของประเทศอาจ ให้ความสาคัญกับส่ิงท่ีถือว่า เปน็ ผลประโยชนข์ องชาติ อนั ควรรักษาไว้แตกต่างกัน เชน่ รัฐบาลของประเทศในสมยั หน่งึ อาจถอื สิ่งใดสิ่งหน่ึง เป็นผลประโยชน์ของชาติที่สาคัญที่สุด ซ่ึงควรรักษาไว้ แต่ต่อมาอีกสมัยหนึ่งรัฐบาลของประเทศน้ันซ่ึงอาจเป็น ชุดเดียวกันหรือคนละชุดกับรัฐบาลสมัยก่อน อาจถือว่าเรื่องนั้นไม่มีความสาคัญอีกต่อไป หรือถือว่าเรื่องอื่นมี ความสาคญั ตอ่ ประเทศมากกว่า ถ้าพิจารณาโดยรู้ซ้ึงแล้ว ผลประโยชน์ของชาติเป็นตัวกาหนดนโยบายของประเทศ กล่าวคือ ผู้ ตัดสินใจเหน็ ส่งิ ใดเป็นผลประโยชน์ของชาตทิ สี่ าคญั ที่สดุ กเ็ กดิ ความคิด ความเช่ือถือขน้ึ มาวา่ นโยบายต่างประเทศท่ีดีน้ันจะต้องมุ่งรักษาผลประโยชน์ของชาติท่ีสาคัญมากที่สุด ดังนั้นความสาคัญ ของผลประโยชน์ของชาติบวกกับความเชื่อถือ ความคิด นิสัยส่วนตัว คติและบุคลิกลักษณะประจาตัวของผู้ ตดั สนิ ใจรวมทัง้ อิทธิพลของปัจจยั ภายนอกผูต้ ัดสินใจเป็นปัจจัยท่ีผลักดันให้มีการสร้างนโยบายซึง่ รัฐจาเป็นตอ้ ง ปฏิบัติตามเพ่ือปกป้องคุ้มครองผลประโยชน์ของชาติที่สาคัญท่ีสุดไม่ให้สูญเสียไป ด้วยเหตุดังกล่าว เมื่อมี การศึกษาถึงปัจจัยที่ผลักดันให้รัฐบาลปฏิบัติอย่างใดอย่างหน่ึงในความสัมพันธ์ระหว่างประเทศ นอกจากจะ ศึกษาถึงปัจจัยอ่ืนๆท่ีมีอิทธิพลต่อผู้ตัดสินใจแล้ว จะต้องศึกษาถึงลักษณะส่วนตัวของผู้ ตัดสินใจ นอกเหนือไปจากการศึกษาถึงผลประโยชน์ของชาติ เช่น มีการศึกษาถึงประวัติส่วนตัว ความคิด ความเชื่อถือ ทัศนคติ และอาชีพหลัก เป็นต้น การท่ีศึกษาในเร่ืองลักษณะส่วนตัวของผู้ตัดสินใจดังกล่าวก็เพราะมีความเชื่อ ว่าส่ิงต่างๆอันเป็นส่วนประกอบของลักษณะส่วนตัวของผู้ตัดสินใจนั้น มีส่วนช่วยผลักดันให้ผู้ทาการตัดสินใจ รัฐบาลกระทาการอย่างใดอย่างหน่ึงลงไป ส่วนการกระทาน้ันจะขัดแย้งต่อผลประโยชน์ของรัฐอ่ืนๆหรือไม่ จะ ไดก้ ล่าวในหวั ข้อลาดับตอ่ ไป 1.5.2 ผลประโยชนร์ ว่ มกันและการขัดแย้งกนั ระหวา่ งรัฐ เป็นที่ทราบกันโดยทั่วไปแล้วว่า รัฐแต่ละรัฐก็ต่างก็มีผลประโยชน์ร่วมกันทั้งน้ันซ่ึงผลประโยชน์น้ีเป็น สง่ิ ท่ีรักปรารถนาท่ีจะได้มาสงวนไว ผลประโยชน์ที่รัฐต้องการมีหลายอย่าง อาทิเช่น ผลประโยชน์ในดินแดนที่ อุดมสมบูรณด์ ้วยน้ามันหรือแร่ธาตุและเสรีภาพในท้องทะเลเปน็ ต้น รัฐตา่ งๆอาจมีผลประโยชนห์ รอื ส่วนได้สว่ น

เสียกันหรือมปี ระโยชน์ทีข่ ดั กันหรอื ผลประโยชน์ซึง่ ไม่เกย่ี วข้องกนั ตามปกติแลว้ รฐั จะมีผลประโยชนห์ ลายอย่าง ซึง่ อาจเปน็ ผลประโยชน์ ร่วมกันหรอื ขัดกันก็ได้ ในความสัมพันธ์ระหว่างประเทศ ประเทศหน่ึงอาจมีผลประโยชน์ขัดกับรัฐอีกรัฐหน่ึง หรืออาจมี ผลประโยชน์ร่วมกันกับอีกรัฐหนึ่ง หรือมีท้ังสองอย่าง อาจกล่าวได้ว่า โดยปกติแล้วรัฐก็เป็นศัตรูกันมากไม่มี ผลประโยชน์ร่วมกัน และรัฐท่ีมีมิตรภาพต่อกันไม่ค่อยจะมีการขัดแย้งกันในเรื่องผลประโยชน์ เพราะการ ขัดแย้งกันเป็นหนทางนาไปสู่การส้ินสุดของมิตรภาพ เม่ือใดก็ตามรัฐมีผลประโยชน์ขัดแย้งซ่ึงกันและกัน รัฐบาลจะหาทางปรับปรุงแก้ไขพฤติกรรมของตนให้มีความสามารถในการแก้ไขปัญหาขัดเเย้ง โดยอาจใช้ วิธีการต่อรองซ่ึงกล่าวไว้ในภาคท่ี 3 2. ทตู (Diplomat) ทูตและความสัมพันธ์ทางการทูตได้มมี าตัง้ แต่โบราณกาล อาจกล่าวไดว้ ่าคงเริ่มมมี าตั้งแต่มนุษย์เริม่ อยู่ กันเป็นหมู่เป็นพวก การมีทูตประจาเพิ่งจะเริ่มมีใน ศตวรรษท่ี 13 โดยรัฐในอิตาลีเล่นนครเวนิซได้เร่ิมขึ้นก่อน โดยแต่งต้ังผู้แทนของตนให้ประจาอยู่ในนครของอีกฝา่ ยหนึ่ง ตอ่ มาในศตวรรษท่ี 15 รัฐเหล่าน้ีจงึ เร่ิมแต่งตั้งทูต ของตนไปประจาในประเทศสเปน เยอรมัน ฝร่ังเศส อังกฤษ หลังจากน้ัน นัดอื่นๆจึงได้เอาอย่างกันบ้าง และ เม่ือถึงครั้งหลังศตวรรษที่ 17 การมีทูตประจาจึงได้กลายเป็นส่ิงที่ปฏิบัติกันโดยทั่วไปและสืบเน่ืองกันจนถึง สมัยปัจจุบัน ดังเช่นจะเห็นว่ามีบุคคลคณะหนึ่งเรียกว่า คณะทูต (Diplomatic Corps) ประจาอยู่ทุกเมือง หลวงในหลวงทุกวันน้ี 2.1 บทบาทและหนา้ ที่ของทตู ทตู หรือ Diplomat เป็นผ้ทู ่ีมีบทบาทสาคัญในการดาเนินความสัมพันธ์พันธ์ุระหว่างประเทศอยา่ งเป็น ทางการ กล่าวอีกนัยหนึ่ง พูดเป็นตวั แทนของประเทศในการติดต่อกับประเทศอ่ืน ปกติเมอ่ื รฐั ใหมไ่ ด้เข้าร่วมใน ครอบครัวโลก มีท่าต่างๆเป็นสมาชิกสิ่งแรกที่จะต้องกระทาก็คือ การแลกเปลี่ยนคณะทูตกับชาติอ่ืนๆคณะทูต (Diplomatic Mission) น้ันมีหัวหน้า ซึ่งเปรียบเสมือนตัวแทนประมขุ ของรัฐ นอกจากนี้ยังมบี รรดาบุคคลอ่ืนๆ ซึ่งเป็นเจ้าหน้าท่ีที่คอยช่วยเหลือหัวหน้าคณะทูต โดยปกติแล้วหัวหน้าคณะทูตมาประจาอยู่ในประเทศท่ีตน ได้รับมอบหมายมาให้ปฎิบัติหน้าท่ี และจะต้องเป็นบุคคลที่รับต้นประจาอยู่ รองรับและยอมรับ จึงจะปฎิบัติ หน้าท่ีอยู่ได้ กรณีที่ไม่ได้รับการรับรองจากรัฐที่ตนประจาอยู่ หัวหน้าคณะทูตไม่อยู่ในฐานะที่จะดารงตาแหน่ง ได้ (persona Non-Grata) และจะต้องถกู เรยี กตวั กลับยังประเทศของตน เม่ือทูตไปประจาในประเทศใดประเทศหน่ึงแล้ว มีหน้าที่จะต้องปฏิบัติอยู่หลายประการด้วยกัน ใน อนสุ ัญญากรงุ เวียนนา (Convention of Vienna) ในค.ศ.1961 ข้อ 3 ไดก้ ลา่ วเพียง 5 ประการเทา่ นน้ั (1)เปน็ ตวั แทนหน้าทแี่ ต่งต้ัง (2) ปอ้ งกันผลประโยชนข์ องรัฐและชนชาตขิ องตน (3) เจรจากับรัฐทีต่ นประจาอยู่ (4) หน้าทห่ี าข่าวและรายงาน (5) หน้าท่ีสง่ เสรมิ ความสมั พนั ธ์ไมตรีตลอดจนความสมั พนั ธ์ทางเศรษฐกิจ วัฒนธรรมและวิทยาศาสตร์ ในอดีตเอกอัครราชทูตเป็นผู้กาหนดนโยบายระหว่างประเทศ ในปัจจุบันมีหน้าที่รับนโยบายของรัฐบาลตนมา ปฏิบตั ิ ซ่ึงเปน็ เรอ่ื งการตดั สินใจของรัฐบาลมากกว่าเปน็ เรื่องในการรับผดิ ชอบของเอกอัครราชทูต

นบั ตัง้ แตป่ ีค.ศ. 1945 เป็นต้นไป ได้มีการใช้คณะทูตพิเศษ หรอื ที่เรียกกนั ว่า Special Emissaries ทา หน้าท่ีในการต่อรอง และแก้ไขปัญหาระหว่างประเทศเป็นครั้งคราวตัวอย่างเช่น ประธานาธิบดี วู้ดโร วิลสัน แตง่ ตัง้ ให้พันเอก เฮ้าส์ เป็นทูตพิเศษ ประธานาธบิ ดี เเฟรงคลนิ ดี โรสเวลท์ ให้เเฮร่ี ฮอพกินส์ ทาหน้าทีเ่ ป็นทูต พิเศษ การให้ทูตพิเศษดังกล่าวนี้มีทั้งข้อดีและข้อเสีย ของการใช้ธูปพิเศษ หลายประการท่ีสาคัญก็คือการ ทางานของผู้พิเศษนี้มคี วามรวดเรว็ และมีประสิทธภิ าพดกี ว่าคณะทูตธรรมดา ก็มีลกั ษณะเป็นทางการน้อยกว่า ความไว้วางใจจากรัฐบาลประเทศอย่างเต็มที่ ซึ่งทาให้ได้รับความสะดวกและความเช่ือถือจากประเทศท่ีตนไป ติดต่อส่วนข้อเสียนั้นก็คือ การใช้ทูตพิเศษน้ัน บางครั้งก่อให้เกิดผลเสียหายในกรณีที่ถูกพิเศษบางคนมี ประสบการณ์และความชานาญไมเ่ พยี งพอ และได้ไปตกลงในส่ิงท่ีอาจจะกอ่ ใหเ้ กิดข้อบกพร่องขึ้นใหม่ได้ อย่าง น้ีการมีทูตพิเศษอาจทาให้คณะทูตถาวรเกิดความท้อถอยในการงาน ก็เห็นพูดพิเศษได้มาทางานในเวลาอันสั้น ตดิ ตอ่ กับประมขุ ของประเทศไดโ้ ดยตรง โดยไมต่ ้องอาศัยความช่วยเหลือของคณะทตู ถาวร 2.2 การแต่งตงั้ ทูต การแต่งต้งั ทตู กระทาได้ 2 แบบคอื 1. การแต่งตง้ั พูดคนเดยี วประจาหลายประเทศหรือประเทศเดยี ว 2. รัฐหลายรัฐแตง่ ต้ังทูตคนเดยี วกัน การแต่งต้ังพูดตามข้อแรกนั้น ทาได้โดยแจง้ ให้รกั ที่จะรบั พูดทราบก่อน ซึ่งรฐั ท่ีจะรับพูดอาจปฏิเสธไม่ ยอมรับก็ได้ หลักวิธีการนี้ได้ปฏิบัติกันมานานแล้ว โดยเฉพาะอย่างยิ่งในบรรดาประเทศเล็กๆเช่นประเทศไทย ไม่ยอมรับพูดของกัมพูชามาเป็นทูตประจาประเทศไทย หรือ ประเทศอาหรับไม่ยอมให้ทูตอิสราเอลมาประจา ประเทศตน เป็นต้น สาหรับการแต่งต้ังทูตตามข้อสองน้ัน นับว่าเป็นหลักใหญ่ท่ีบัญญัติไว้ในอนุสัญญากรุงเวียนนาค.ศ. 1851 ท่ียอมให้รัฐหลายรัฐแต่งต้ังบุคคลคนเดียวกันเป็นทูตประจาประเทศใดก็ได้ เว้นแต่ประเทศท่ีจะรับทูต คัดค้าน หลักน้ีได้ถกู เสนอให้นามาใช้โดยพูดแทนสเปน เนเธอร์แลนด์ ซ่ึงได้รับการสนับสนุนจากประเทศเล็กๆ เป็นพิเศษ เพราะเชื่อว่าจะมีประโยชน์ในเมื่อมีการรวมกันแบบสหพันธ์ (Federation) ในส่วนต่างๆของโลกใน วนั ขา้ งหนา้ 2.3 เอกสิทธิ์และความคมุ้ กนั ทางทตู ตามท่ีระบุไว้ในอนุสัญญากรุงเวียนนาค.ศ. 1815 เอกสิทธ์ิและความคุ้มกันทางการทูต ให้ใช้กับท่ีทา การสถานทูตและเอกสารราชการ การปฏิบัตงิ านของสถานทูต และบุคคลซึง่ เป็นตวั แทนทางการทตู สาหรับสถานทูต และเอกสารราชการ ใครจะกระทาละเมิดมิได้ ทาการทูตได้รับการยกเว้นจากภาษี อากรของท้องถิ่น หรอื ของเทศบาล เวน้ แต่จะเปน็ ค่าบรกิ ารเฉพาะอย่างไป ใครจะเข้าไปบุกรกุ ล่วงล้าสถานทูต หรือนาเอาเอกสารของสถานทูตหาได้ไม่เพราะถือว่าการกระทาดงั กล่าวไม่เพียงแต่ละเมิดเอกสิทธิแ์ ละความคุ้ม กันทางการทูตเท่านั้นแต่ยังถือว่าเป็นการกระทาโดยตรงต่อประเทศท่ีสถานทูตนั้นสังกัดอยู่ตามกฎหมาย ระหว่างประเทศ ในเร่ืองการปฎิบัติงานของคณะทูตนั้น รัฐที่รับทูตเข้ามาประจาในประเทศของตนต้องให้เอกสิทธิ์และ ความคุ้มกันทางการทูตอย่างเต็มท่ี โดยอานวยความสะดวกให้เสรีภาพแก่การเดินทางไปมาในดินแดนของตน เว้นแต่จะมีกฎหมายหรือระเบียบข้อบังคับห้ามมีให้เข้าเขตใดเขต จะรักษาไว้ซ่ึงความม่ันคงของชาติ และให้

เสรภี าพในการติดต่อตลอดจนห้ามมิใหบ้ คุ คลใดกระทาละเมิดตอ่ หนงั สอื ราชการ เลน่ ถุงเมลท์ างการทตู จะเปิด หรือกับไวไ้ มไ่ ด้ เป็นตน้ ส่วนในเร่ืองเอกสิทธิ์ของทูตและการให้ความคุ้ม กัสทูตน้ัน ทุกประเทศได้ยอมรับกันโดยท่ัวไปว่า บุคคลในคณะทูตใครจะไปละเมิดมิได้ รัฐมีทูตประเทศอื่นประจาอยู่จะต้องปฏิบัติต่อบุคคลเหล่านั้นด้วยความ เคารพตามสมควร บุคคลในคณะทูตได้รับความคุ้มครองทั้งในทางอาญา และทางแพร่ง สาหรับทางแพ่งและ ทางปกครองนั้น มีข้อยกเว้นบางอย่าง เช่น ไมาคลุมถึงการประกอบอาชีพหรือธุรกิจการค้าเป็นการส่วนตัว สาหรับภาษีอากรนั้น พูดได้รับการยกเว้นจากการเก็บภาษี นอกจากผู้แทนทางการทูตแล้ว บรรดาสมาชิกใน ครอบครัวของคณะทูตตลอดจนคนใช้ ถ้าไม่ใช่คนในสัญชาติของรัฐท่ีรับพูดแล้วก็ได้รับเอกสิทธิ์และความ คุ้มครองทางทูตบางประการเหมือนกัน แต่ไม่เท่ากับผู้แทนทางการพูด ซึ่งสุดแล้วแต่ว่าหน้าท่ีที่ตนปฏิบัติใน สถานทตู นน้ั มีความสาคัญมากเพียงไร 2.4 การสนิ้ สุดหนา้ ทข่ี องผู้แทนทางการทูต หนา้ ท่ีของผู้แทนทางการทตู อาจสิ้นสุดลงในกรณี ดงั นีค้ ือ (1) เมอื่ ทูตได้รับแจง้ จากรัฐตนว่าหน้าทขี่ องตนส้ินสุดลงแลว้ (2) เม่ือรฐั ท่ีรับผแู้ จ้งต่อรัฐทแี่ ตง่ ตัง้ พดู ว่า ตนไมย่ อมรบั ทูตผู้น้นั เพราะเปน็ บุคคลไมพ่ ึงปรารถนา (3) ประกาศสงคราม (4) การตัดสัมพันธ์ทางการทูต เช่น ประเทศไทยกับประเทศเขมร ตดั ความสัมพันธ์ทางการทูตมาแล้ว ครง้ั หนงึ่ ในสมยั พระเจ้านโรดมสหี นุเป็นผ้นู าเขมร (5) การมรณกรรมของหัวหนา้ คณะทูต ในกรณีที่มีการรบพุ่งกันภายในรัฐด้วยอาวุธ รัฐท่ีรับพูดจะต้องอานวยความสะดวกให้แก่เจ้าหน้าท่ีใน คณะทูตและครอบครัว ได้มีการพิจารณากันมาตั้งแต่สมัยโบราณ Siriไทยทางการทูตเป็นสิทธิ์ท่ีของสถาน เอกอัครราชทูต หรือ สถานอัครราชทูต ที่จะให้ที่พักอาศัยชั่วคราวแก่บุคคลใดใดท่ีทางการท้องถิ่นต้องการตัว ในข้อหากระทาความผิดทางการเมือง สิทธิดังกล่าวนี้ได้เป็นท่ียอมรับนับถือกันมาโดยขนบธรรมเนียมประเพณี ซึง่ มีนักวิชาการบางคนเห็นว่าเป็นการใช้เอกสิทธิ์ทางการทูตในทางที่ผดิ ๆ การเคารพในสิทธิเช่นว่านี้เห็นได้ชัด จากการท่ีคณะปฏิวัติของสาธารรัฐโดมินิกันใช้อาวุธก่อการกบฏต่อรัฐบาลแต่ปราชัย ขอล้ีภัยในสถาน เอกอัครราชทูตบราซิลในต้นปี ค.ศ. 1960 เจ้าหน้าที่ท้องถิ่นมิได้ให้ความพยายามจับตัวผู้ล้ีภัยเหล่าน้ีแต่ ประการใด ท่ีสุดได้มีการเจรจาตกลงให้พวกลี้ภัยทางการเมืองเหล่าน้ีออกไปจากโดมินิกัน แต่ต้องไปอยู่เฉพาะ ประเทศบราซิล โดยไม่อนุญาตให้มีส่วนร่วมในกิจกรรมทางการเมืองของประเทศบราซิล ประเทศอ่ืนๆท่ียึดถือ หลักไม่ละเมิดต่ออีกสถานเอกอัครราชทูตมีอยู่หลายประเทศ อาทิเช่น ตุรกี เกาหลีใต้ อัฟริกา และบรรดา ประเทศคอมมิวนิสต์ เป็นต้น มีบางกรณีที่เจ้าหน้าที่แห่งท้องถ่ินอาจขอให้สถานทูตปล่อยผู้กระทาผิด ไม่ว่า ทางด้านการเมอื งหรือทางคดสี ามญั ให้ผลจากการอารกั ขาของสถานทตู ได้ ตัวอย่างเช่น ในปีค.ศ. 1896 รฐั บาล องั กฤษได้ขอให้ปล่อยตัว Dr.Sun Yat-Sen ผู้ให้กาเนิดก๊กมินตัง และบิดาขององการปฏวิ ัติของจนี ซึ่งถูกกับตัว อยู่ในสถานทูตจีนในลอนดอนได้เป็นผลสาเร็จ น่ีฉะนั้นแล้วต้องถูกส่งตัวกลับไปประเทศจีน ซึ่งจะต้องถูก ประหารชีวติ อยา่ งไม่ต้องสงสัย

ต่อมาได้มีนักการทูตขอลี้ภัยในประเทศท่ีตนประจาอยู่ด้วยเหตุผลบางประการจึงทาให้เกิดมีท่ีล้ีภัย สาหรับนักการทูต (Asylum for Diplomats) ขึ้นในระยะ 35 ปีที่ผ่านมา มีกรณีดังกล่าวเกิดมากข้ึน เพราะมี นักการทูตเป็นจานวนมากที่ไม่กลับประเทศของตนเมื่อระยะการเป็นผู้สิ้นสุดลง ส่วนมากมาขอสิทธิ ลี้ภัยทาง การเมืองนับต้ังแต่คนรับใช้ของทูตข้ึนไปจนถึงตัวทูตเอง ในบรรดาธุลีภัยเหล่านี้ ส่วนมากมักได้แก่ ผู้ที่มาจาก ประเทศคอมมิวนิสต์ ซ่ึงขอล้ีภัยในประเทศโลกเสรี หรือกล่าวอีกนัยหน่ึง นวลพูดจากโลกเสรีท่ีไปขอรีบ ภายในประเทศกลุ่มคอมมวิ นสิ ตม์ นี อ้ ยมาก สาหรับท่าทีของสหรัฐอเมริกาในเร่ืองที่ล้ีภัยทางการเมืองนั้น แตกต่างจากกลุ่มประเทศละตินอเมริกา กล่าวคือ สหรัฐอเมริกาไม่สนับสนุนในการให้ท่ีลี้ภัยทางการทูตยกเว้นในกรณีเกี่ยวกับเหตุผลทางมนุษยธรรม หรืออาจได้รับอันตรายถึงชีวิต ถา้ หากไม่ให้ล้ีภัยทางการเมือง ดงั นั้น สถานทูตสหรัฐอเมริกาท่ีต้ังอยู่ในประเทศ ต่างๆจึงไม่ยอมให้คนในสัญชาติของประเทศท่ีสถานทูตต้ังอยู่เข้ามาขอรีบภายในสถานทูตของตน เว้นแต่ใน กรณีท่ีจะมีภัยอย่างร้ายแรง และรีบด่วนเกิดแก่บุคคลนั้น ตรงกันข้ามกับประเทศลาตินอเมริกาซึ่งส่วนมาก ยอมรับผู้ท่ีเข้ามาขอลี้ภัยในสถานทูตตนอยู่เป็นประจา เพราะยอมรับสิทธ์ิของผู้ลี้ภัยว่า เป็นสิทธิ์ท่ีชอบด้วย กฎหมาย ถึงแมว้ า่ คนในสัญชาติตน้ จะไปหลบลี้ภัยทางการเมืองในสถานทตู ตา่ งประเทศที่ตงั้ อย่ใู นประเทศตนก็ ตาม รัฐบาลของกลมุ่ ประเทศละตินอเมริกาก็ไม่เคยเข้าไปทาการจับกุมเลย สทิ ธิ์เช่นว่านี้ได้เร่มิ ยอมรับเป็นครั้ง แรก เม่ือวันที่ 15 พฤศจิกายนค.ศ. 1930 ภายหลังจากการท่ีเกิดความไม่สงบในประเทศบราซิล ปรากฏว่ามี บรรดานักวิชาการเมืองหลายคนได้หลบหนีเข้าไปอยู่ในสถานทูตของต่างประเทศเป็นจานวนมาก รัฐมนตรี ต่างประเทศของบราซิลได้ประกาศยอมรับว่า ที่นักการเมืองท้ังหลายเข้าไปล้ีภัยทางการเมืองในสถานทูตของ ต่างประเทศน้ัน เป็นสิทธ์ิโดยชอบธรรมอันถูกต้องตามกฏหมายระหว่างประเทศ แต่ผู้ล้ีภัยเหล่าน้ีจะต้อง เดินทางออกไปนอกประเทศโดยไม่ไปแวะอาศัยในประเทศใกล้เคียง ปรากฏว่ารัฐบาลบราซิลแม่ได้ให้สิทธิ์เข้า ไปทาการจับกุมพวกนักการเมืองเหล่านี้เลย เป็นแต่เพียงให้ความสะดวกในการส่งตัวพวกนักการเมืองดังกล่าว ออกนอกประเทศ การปฏิวตั ิของรัฐบาลบราซลิ ครัง้ นไ้ี ด้กลายเป็นขอ้ กาหนดในอนสุ ัญญาท่ีเรยี กวา่ The Pan American Conference at Havana ซ่ึงได้มีการลงนามเป็นอนุสัญญา เม่ือวันท่ี 20 กุมภา 1928 ได้วางหลักเกณฑ์ เกย่ี วกบั ผู้ลภี้ ยั ดงั นี้คอื มาตรา 1 ถ้าบุคคลที่ขอล้ีภัยน้ันเป็นผู้กระทาความผิดทางอาญาหรือได้หลบหนีราชการทหาร มีให้รัฐ ต่างๆยอมให้สิทธ์ิแก่ผู้ลี้ภัยเข้าไปล้ีภัยในสถานทูต เรือรบ ค่ายทหาร เครื่องบินทหาร ถ้าพบตัวต้องจับส่งให้แก่ เจา้ หนา้ ทขี่ องบ้านเมอื ง ถา้ เจา้ หนา้ ท่ีบา้ นเมอื งไดร้ ้องขอ มาตรา 2 ในกรณีทย่ี อมให้นักการเมืองเขา้ ล้ีภยั ในสถานทูต เรือรบ ค่ายทหาร หรือเคร่ืองบินทหาร ผู้ล้ี ภัยนนั้ จะต้องปฏบิ ัติตามกฏหมายของประเทศเจ้าของสถานทตู น้ันนนั้ และจะต้องปฏิบตั ดิ งั นี้คอื (1) การล้ีภัยนั้นอาจจะไม่อนุญาตก็ได้ เว้นแต่ในกรณีรีบด่วน และในกรณีที่มีเวลาอันจากัดสาหรับผู้ล้ี ภัย และในกรณีเพ่อื ความปลอดภัย ให้แก่ผลู้ ีภ้ ัย (2) เมือ่ ได้รบั ผู้ล้ีภัยแล้วให้หวั หนา้ ของสถานทูตรบั ผู้ลีภ้ ัยนั้นรายงานข้อเท็จจริงใหร้ ัฐมนตรตี ่างประเทศ ของประเทศนัน้ รับทราบ

(3) ผู้รับลี้ภยั ทางการเมืองจะต้องสง่ ผู้ล้ีภัยออกนอกประเทศโดยด่วน ถา้ รฐั บาลแหง่ ทอ้ งถิ่นร้องขอและ ผรู้ ับลภี้ ัยอาจขอคามั่นจากรฐั เจ้าของท้องที่ในการใหค้ วามปลอดภยั ในการเดินทางออกนอกประเทศ (4) จะตอ้ งไมม่ ีการสง่ ผลู้ ภี้ ยั ข้นึ ณ จดุ ใดๆของประเทศนั้นหรือใกล้กับประเทศนน้ั จนเกินไป (5) เม่ือผู้ล้ีภัยได้เท่าหลบภัยในสถานที่ใดๆแล้วผู้ล้ีภัยจะต้องไม่กระทาการใดคันขัดต่อสันติของ สาธารณะ (6) ค่าใช้จ่ายที่สาธารณะผู้ต้องเสยี ไปเพราะ รับผู้ลภี้ ัยเข้ามานนั้ รฐั เเหง่ ท้องถ่นิ มีสิทธ์ิทจี่ ะไมย่ อมรบั รู้ กล่าวได้ว่า การที่บุคคลใดจะเข้าไปขอลี้ภัยทางการเมืองได้ประเทศไทยก็ควรที่จะทราบถึงนโยบาย ของประเทศนั้น ป้าปฏิบัติเคร่งครัดอย่างไรบ้างในเร่ืองนี้ และต้องทราบให้แน่นอนว่าประเทศที่ตนเข้าไปลี้ภัย นนั้ มขี ้อตกลงเก่ยี วกับการส่งผู้ร้ายข้ามแดนกับประเทศตนหรือเปล่า เพราะประเทศที่มีข้อตกลงดังกลา่ วอาจส่ง ตัวคืนโดยยกข้อหาอ่ืนๆข้ึนมาเพื่อให้เขา้ ในข่ายการสง่ ผู้รา้ ยข้ามแดนได้ ดังน้ัน การขอล้ีภัยทางการเมืองจงึ ต้อง มีการตรวจสอบให้แน่นอนเสียก่อนจึงจะปลอดภัย และหัวหน้าคณะทูตเมื่อประสบกับปัญหาผู้ล้ีภัยทาง การเมืองแล้วก็อาจต้องมีความลาบากอยู่บ้างในการตัดสินใจ เพราะยังไม่มีแนวบรรทัดฐานเกี่ยวกับเร่ืองนี้ อัน เป็นท่ียอมรับโดยรัฐท้ังหลายในโลก แม้กระท่ังการประชุมท่ีกรุงเวียนนาก็ยังไม่อาจแก้ไขเก่ียวกับผู้ลี้ภัยทาง การเมืองได้โดยเดด็ ขาด 3.กงสุล (Consul) คาว่า \"กงสุล\" มีสวัสด์ิมาต้ังแต่โบราณ กล่าวคือ ในสมัยโรมันโบราณ เม่ือได้ทาการขับไล่ผู้ครอง นคร ออกจากบัลลังก์แล้ว ก็ต้ังบุคคลสองคนขึ้นมาคุมอานาจสูงสุดของประเทศ บุคคลท้ังสองน้ีเลือกตั้งจากผู้ พิพากษาให้ตกลงแบ่งงานกันตามถนัด เช่น เป็นแม่ทัพ ศาลยุติธรรม การคลัง การปกครอง ประกาศสมัย ประชุมสภา การแต่งต้ังการเข้าประจาตาแหนง่ การประกาศใช้กฎหมาย เป็นตน้ ตาแหน่งท่ีบุคคลทั้งสองดารง น้ี เรยี กว่า \"กงสลุ \" ในสมัยกลาง กงสุล หมายถึง \"ศาลนคร\" (City-Court) ของเมืองนั้น ผู้พิพากษาซ่ึงประกอบเป็นษาน้ี เลือกจากพ่อค้าและนักธุรกิจ มีหน้าที่ปรับคดีพาณิชย์ ครั้นต่อมาได้ขนานนามขึ้นใหม่เรียกว่า ศาลกงสุล (Judges Consuls) หลังจากน้ันไม่นาน ศาลร้ัได้เปล่ียนชื่อใหม่เรียกว่า Tribunaux de Commerce (ศาล พาณิชย์) ระบบศาลดังกล่าวได้ใช้ในบางมณฑลทางภาคใต้ของฝร่ังเศสในสมัยกลาง เมื่อเกิดปฏิวัติในปีค.ศ. 1789 ถ้ามีการเลิกใช้ศาลนคร ศาลกงสุล ศาลพาณิชย์ โดยให้มีสภาเทศบาล (Conseillers Municipaux) ขึ้น แทน ซ่ึงไม่มีความหมายเดิมของคาว่ากงสุลเหลืออยู่เลย และผู้ที่เป็น Conseiller นี้ ก็ไม่ใช่มาจากตาแหน่ง กงสลุ ในปัจจุบัน เม่ือกฎหมายระหว่างประเทศมีบทบาทมากขึ้น คาว่า \"กงสุล\"น้ีมีความหมายในอีกอย่าง หนึ่ง คือ หมายถึงผู้ท่ีได้รับมอบหมายให้อยู่คุ้มครองป้องกันรักษาและส่งเสริมผลประโยชน์ของคนสังกัดชาติ เดียวกันในต่างเมืองหรือต่างแดนโดยเฉพาะในด้านการพาณิชย์ การเดินเรือ การอุตสาหกรรม ให้ได้ผลดีมาก เท่าท่ีจะทาได้โดยไม่ขัดต่อกฎหมายและระเบียบประเพณีของบ้านเมือง กงสุลมิได้เป็นตัวแทนประมุขของรัฐ หากเป็นเจา้ หนา้ ท่ีผูร้ กั ษาผลประโยชน์ทางการค้าของประเทศตนในต่างประเทศ กงสลุ น้นั ประกอบดว้ ยหวั หน้า คณะกงสุล (Consular Mission) และเจ้าหน้าท่ีอื่นๆ ซ่ึงมีหน้าท่ีช่วยหัวหน้ากงสุล หน้าท่ีของกงสุลในปัจจุบัน

อาจสรุปได้คือ ช่วยดาเนินความสัมพันธ์ทางการค้าและเศรษฐกิจระหว่างประเทศ ให้ข่าวสารแก่ประเทศของ ตนเองและประเทศที่ตนประจาอยู่ และพยายามให้ความช่วยเหลอื แกบ่ คุ คลซึ่งประกอบธุรกิจกับประชาชนของ ประเทศตน ในทางปฏิบัติแล้ว คณะกงสุลจะร่วมมือกับคณะทูตก็เฉพาะแต่ในเร่ืองท่ีเป็นทางการหรือในด้าน ความรับผิดชอบ ซ่ึงตามปกติแล้วเจ้าหน้าที่ 2 ขณะน้ีไม่มีความเกี่ยวข้องซึ่งกันและกันเลย ในปัจจุบัน สนธิสญั ญาระหวา่ งประเทศท่ีได้วางระเบียบปฏิบัติเก่ยี วกับงานและหนา้ ที่ของกงสุลไวโ้ ดยเฉพาะคือ อนุสญั ญา กรุงเวียนนาวา่ ด้วยความสมั พนั ธท์ างกงสุล ค.ศ. 1963 2.องคก์ ารระหวา่ งรัฐบาล (Intergovernmental Organization) ในระยะเร่ิมต้นศตวรรษท่ี 20 ชาติรัฐ (Nation-States) ทั้งหลายได้เข้ามาร่วมในเวทีระหว่างประเทศ โดยอาศัยองค์การระหว่างประเทศ (IGO) เป็นศูนย์กลางซ่ึงองค์การระหว่างรัฐบาลเหล่านี้มักถูกเรียกว่า องค์การระหว่างประเทศ องค์การระหว่างรัฐบาลนี้อ่านแบ่งออกเป็น 2 ประเภทคือ องค์การระดับโลก (Global Organizations) เช่น สันนิบาตชาติ(League of Nations) และสหประชาชาติ (United Nations) และองค์การระดับภูมิภาค (Regional Organiztions) ได้แก่ องค์การสนธิสัญญาแอทแลนติกเหนือ หรือ NATO (north Atlantic Treaty Organization) องค์การสนธิสัญญาวอร์ซอร์ (Warsaw Pact) องค์การตลาด ร่วมยโุ รป (The European Common Market) เปน็ ต้น 3 ผมู้ ีบทบาทท่ีมิใช่รฐั (Non-State Actor) หลังสงครามโลกคร้ังที่สองผู้มีบทบาทท่ีไม่ใช่รัฐ เริ่มมีบทบาทในการเข้าไปมีส่วนร่วมในการกาหนด นโยบายของประเทศตน หรือประเทศอื่นๆที่กลุ่มตนมีผลประโยชน์เก่ียวข้อง นอกจากน้ียังได้มีบทบาทในเวที การเมืองระหว่างประเทศ โดยเฉพาะในช่วงทศวรรษของปีค.ศ. 1970 ซ่ึงมีวิกฤตการณ์เก่ียวกับพลังงานน้ามัน ผ้มู ีบทบาทดังกลา่ วแบ่งไดอ้ อกเปน็ 3 ประเภทคือ 1.ธุรกิจข้ามชาติหรือธุรกิจหลายชาติ(Multinational Enterprises) ซึ่งมีชื่อย่อว่า MNES ได้แก่ บรรษัทข้ามชาติ (Multinational Companies) เช่น Exon,Gulf,Texaco,ITT (Interriational Telephone and Telegraph) เปน็ ต้น 2.ผู้ก่อการร้าย (Terrorist Groups) ได้แก่ พวกกลุ่ม IRA (Irish Republican Army) ในไอร์เเลนด์ เหนือ กองทัพแดงญี่ปุ่น (Japannese Red Army) ในญ่ีปุ่น กลุ่มบาเดอร์มานิฮอฟ (Baader Meinhof Gang) ในเยอรมันตะวันตก กองพลน้อยแดง (Red Brigade) ในอิตาลี องค์การปลดปล่อยปาเลสไตน์หรือ PLO (Palestine Liberation Organization) เปน็ ต้น 3.กลุ่มเช้ือชาติ (Ethnic Groups) ได้เเก่ พวกเคิร์ด (Kurds) ในอีรัคและอีหร่าน กลุ่มสวาโป (SWAPO) ในดนิ แดนเเนมมิเบีย (Nammibia) ในแอฟริกาใต้ เปน็ ตน้

บทท่ี 4 นโยบายตา่ งประเทศในฐานะเปน็ ปจั จัยทีเ่ กยี่ วข้องกับความสมั พันธ์ระหวา่ งประเทศ 1 ความหมาย ในความสัมพันธ์ระหว่างประเทศ นโยบายต่างประเทศของรัฐมีบทบาทอย่างมากในการแสดงให้เห็นถึง แนวทางของความสัมพันธ์และการปฏิบัติท่ีรักต่างๆมีต่อกันไม่ว่ารักจะใหญ่หรือเล็กมีอานาจน้อยหรือมีอานาจ มาก ต่างก็มีความจาเป็นที่จะต้องติดต่อกับรัฐภายนอก ซึ่งในการติดต่อดังกล่าวน้ัน รัฐจะต้องกาหนดนโยบาย ของตนข้ึนมาเพื่อให้ประเทศภายนอกได้เห็นว่าตนมีนโยบาย (policy) วิธีการ (means)หลักการ (principles)วัตถุประสงค์ (objectives)ผลประโยชน์ (interests)และจุดมุ่งหมายปลายทาง (ends) อะไรบ้าง ในการติดต่อเกี่ยวข้องกับโลกภายนอกน้ัน ส่ิงต่างๆที่กล่าวมาถือได้ว่าเป็นส่วนประกอบที่สาคัญของนโยบาย ต่างประเทศ โดยปกติแล้ว รัฐแต่ละรัฐจะต้องตดั สินใจด้วยตนเองว่าจะใช้นโยบายอะไรที่ให้ผลประโยชน์แก่ตน มากทีส่ ุด ในสภาวการณ์ปัจจุบนั ซ่งึ เรยี กว่าสงครามเย็น บางรัฐเลอื กใช้นโยบายผกู พันกับประเทศมหาอานาจท่ี กาลังแข่งขันต่อสู้กันในสงครามเย็น ซ่ึงอาจเป็นฝ่ายตะวันตกหรือฝ่ายตะวันออก และบางรฐั ใช้ในโยบายไม่เข้า กับฝ่ายใดฝ่ายหน่ึงในสงครามดังกล่าว โดยวางตัวเป็นกลาง อาจกล่าวได้ว่าสงครามเย็นปัจจุบันแต่ละรัฐต่างก็ พยายามแสดงให้รา้ นอน่ื เห็นว่าตนมนี โยบายอย่างไรตอ่ สภาวการณป์ ัจจุบนั อย่างไรก็ตาม นโยบายต่างประเทศ ทร่ี ัฐนามาใช้ส่วนมากถอื ผลประโยชนข์ องชาตเิ ปน็ สาคญั นั่นก็คือความปลอดภัยของชาติ (National Security) ความเจริญของชาติ การขยายอานาจของชาติและเกียรติของชาตินโยบายท่ีรัฐเลือกมาปฏิบัติ จะนาผลดีมาสู่ ประเทศชาติได้ก็ต่อเม่ือนโยบายนั้นถือผลประโยชน์ของชาติ และสอดคล้องกับสภาพความเป็นจริงของ การเมืองระหว่างประเทศ อาจสรุปได้ว่า นโยบายต่างประเทศ ได้แก่ นโยบายท่ีเก่ียวข้องกับประเทศอ่ืน ซ่ึง ผนู้ าของประเทศได้กาหนดไว้ โดยคานงึ ถงึ ผลประโยชน์ของประเทศเปน็ หลักสาคัญ 2.จุดประสงคข์ องนโยบายตา่ งประเทศ ในการกาหนดนโยบายตา่ งประเทศ ผูก้ าหนดหรือผ้วู างนโยบายจะต้องคานึงถึงผลประโยชน์ของชาติเป็น ส่ิงแรก เพราะประเทศจะล่มจมหรือไม่น้ันขึ้นอยู่กับความสามารถของนโยบายที่นามาใช้ว่าจะปกป้องคุ้มครอง และขยายผลประโยชน์ของชาติได้เพียงใด ฉะน้ัน นโยบายต่างประเทศจึงมีจุดประสงค์เป็นไปในลักษณะที่มุ่ง คุ้มครอง ต้องการผลประโยชน์ของชาติที่ซึ่งคณะบุคคลผู้มีอานาจตัดสินใจในนโยบายต่างประเทศหรือรัฐบาล ถือว่ามีความสาคัญต่อเอกราช ความมั่นคง ความอยู่ดีกินดีของประชาชนและเกียรติภูมิของประเทศ Percy Corbett ได้กล่าวถึงสิ่งที่ถือว่าเป็นประโยชน์ของชาติเพ่ิมเติมไปอีกว่าผลประโยชน์ของชาติน้ันจะให้ความ หมายถึง เอกภาพในดินแดน เอกราชทางการเมือง นายสปิคเเมน (Spykman) ได้กล่าวว่า การปรับปรุง \"ฐานะในเรอื่ งอานาจ\"เป็นจุดประสงค์ของนโยบายต่างประเทศอย่างหนึ่งซ่ึงทุกประเทศจาเป็นต้องกระทาและ ประเทศใดจะทาสาเร็จได้แค่ไหนขึ้นอยู่กับความสามารถของประเทศน้ันน้ัน ข้อความที่กล่าวมาทั้งหมดจึง พอจะจาแนกจุดประสงคข์ องนโยบายต่างประเทศไดด้ งั นี้คอื (ก) รักษาไวซ้ ่งึ เอกราช ความมนั่ คงและความปลอดภัยของชาติ

(ข) ติดตามและคุ้มครองผลประโยชน์ของชาติในทางเศรษฐกิจ จุดประสงค์ดังกล่าวท้ัง 2 ข้อ มีลักษณะ อย่างเดยี วกับ Karl W. Deutsch ไดเ้ เบง่ เเยกไว้ 2.1 การรบั สายราษฎรแ์ ละความมัน่ คงปลอดภัยของชาติ นโยบายต่างประเทศโดยท่ัวไปแล้ว จุดประสงค์ในการรักษาเอกราชและความม่ันคง ปลอดภัยของชาติ ซ่ึงถือว่าเป็นสิ่งสาคัญเหนือส่ิงอื่นใด ตัวอย่างเช่น รัสเซียบุกเข้ายึดประเทศเชคโกสโลวาเกีย ซึ่งเอาใจออกจาก เมื่อเดือนสิงหาคมค.ศ. 1968 ก็เพราะเร่ืองความปลอดภัยของรัสเซียเอง ซ่ึงได้ทาการป้องกันไว้ก่อนการที่ ประเทศไทยทาการผูกมิตรกับประเทศฝรั่งเศสในสมัยพระนารายณ์มหาราชนั้ ก็เพื่อป้องกันเอกราชของตน ให้ผลจากการคุกคามด้วยกาลังทหารของฝ่ายฮอลันดา การท่ีประเทศไทยเป็นมิตรกับประเทศฝรั่งเศส อาศัย ความช่วยเหลือของฟอลคอน ทาให้ฮอลันดาไม่กล้าที่จะมาคุกคามประเทศไทย ซึ่งการกระทาดังกล่าวเป็นการ ถว่ งดุลอานาจของฮอลันดา 2.2 ตดิ ตามดแู ลและป้องกันผลประโยชนใ์ นทางเศรษฐกิจ เพ่ือให้เศรษฐกิจมีความก้าวหน้าไปด้วยดี นโยบายต่างประเทศจาเป็นท่ีจะต้องดูแลและป้องกันไว้ไม่ให้ ได้รับความเสียหาย เช่น สหรัฐฯมีประชาชนไปทาการลงทุนค้าขายตั้งบริษัทอยู่ในต่างประเทศเป็นจานวนมาก เช่น ลาตินอเมริกา ลิเดีย ซาอุดิอาระเบีย อิหร่าน และประเทศอ่ืนๆอีกหลายประเทศ จึงทาให้รัฐบาล สหรัฐอเมริกาต้องย่ืนมือเข้ามาคุ้มครองป้องกันในรูปข้อตกลง หรือสนธิสัญญาระหว่างประเทศผลประโยชน์ ในทางเศรษฐกิจมักจะเกี่ยวข้องกับผลประโยชน์ทางการเมืองอยู่เสมอเช่นสหรัฐอเมริกา เคยทาการส่งสินค้า จาพวกพ่อไปยังคิวบาก่อนหน้สที่หิเดลคาสโตรขึ้นครองอานาจ และคิวบารับซ้ือสินค้าผ้านี้ไว้เป็นจานวนมาก ทั้งทั้งท่ีสินค้าภาคของประเทศญ่ีปุ่นมีราคาถูกกว่า ท้ังนี้ก็เพราะคิวบาต้องการอดโดยสินค้าของสหรัฐอเมริกา เพื่อหวังท่ีจะได้รับความช่วยเหลือจากสหรัฐในด้านอ่ืนๆ เม่ือคาสโตรขึ้นครองอานาจ คิวบาเลิกการติดต่อกับ สหรัฐอเมริกาโดยหันไปติดต่อกับสหภาพโซเวียต ซึ่งเป็นคู่แข่งตัวสาคัญของสหรัฐอเมริกาในสงครามเย็น ซ่ึง สหภาพโซเวียตได้ให้ความช่วยเหลือแก่คิวบาอย่างเต็มที่ ทั้งในด้านทางทหารและทางเศรษฐกิจ จะเห็นได้ว่า นโยบายต่างประเทศบางครั้งต้องมีอันเปลี่ยนแปลงไปให้เหมาะสมกับสภาวการณ์ทางการเมือง มิฉะน้ันจะ ก่อใหเ้ กดิ ผลรา้ ยตอ่ ประเทศชาติในที่สดุ จุดประสงค์ย่อยๆ ของนโยบายต่างประเทศก็ได้แก่ การขยายอานาจของชาติ การขยายอานาจของ ชาติปรากฏข้ึนอย่างแพร่หลายในสมัยอาณานิคม เพราะการขยายอานาจของชาตินั้นไม่เพียงแต่ทาให้ได้มาซ่ึง ความปลอดภัย โดยไม่มีใครกล้าลูกตาลเท่าน้ันแต่ยังได้ผลประโยชน์ในทางเศรษฐกิจอีกด้วย อังกฤษได้อินเดีย เป็นเมืองขึ้นเพราะอินเดียมีทรัพยากรธรรมชาติหลายอย่างที่เป็นประโยชน์ในทางอุตสาหกรรม อาทิเช่น ถ่าน หนิ เหล็ก และแร่เเมงกานสิ ซ่ึงแร่เหล่านี้ โดยเฉพาะอย่างย่ิงแมงกานิส อนิ เดียมมี ากท่ีสดุ ในโลกรองจากรัสเซีย องั กฤษจงึ ได้เเร่เเมงกานิส ใช้ผสมเหล็กกล้าเป็นจานวนมากจากอินเดียซึ่งเป็นปัจจัยท่ีเสริมพลังอานาจของชาติ ให้มากขน้ึ นอกเหนือไปจากสง่ ผลดใี นทางเศรษฐกจิ ทุกวันน้ีนโยบายต่างประเทศของรัฐต่างๆมีลักษณะไม่เหมือนกันและที่มีการขัดแย้งกันระหว่างในเร่ือง ทางเศรษฐกิจ ทางทหาร และทางการเมือง ก็เพราะมีการขัดกันในจุดประสงค์ต่างๆท่ีกล่าวมา ซ่ึงรวมเรียกได้ วา่ ผลประโยชนข์ องชาติ แต่ละชาติมผี ลประโยชน์ด้วยกันทง้ั นั้น และผลประโยชน์ของชาตหิ นงึ่ กม็ ักจะแตกตา่ ง กับผลประโยชน์ของอีกชาติหนึ่ง ฉะน้ัน แม้โลกจะมีความก้าวหน้าเพียงใดก็ตาม โลกก็ยังคงมีการขัดแย้งกัน

มากกว่าการร่วมมือกันระหว่างรัฐ และนัทกเ็ คยเป็นมิตรกันก็อาจเป็นศัตรูกันได้ ในเม่ือมีผลประโยชน์ทางด้าน การเมืองขัดกัน ตัวอย่างเช่น รัสเซียและสหรัฐอเมริกา เคยเป็นพวกเดียวกันโดยรบกับเยอรมันในสงครามโลก ครั้งที่สอง หลังจากสงครามสงบลงท้ังสองประเทศก็เป็นศัตรูกัน เพราะมีการขัดแย้งกันในเรื่องการแบ่งเขตยึด ครองในยโุ รปตอนกลางซึ่งรวมทง้ั ประเทศเยอรมันทั้งหมด ผลกค็ อื ทาให้เกิดสงครามเย็นเรอ่ื ยมาจนถงึ ปจั จบุ นั 3.วิธีการกาหนดนโยบายต่างประเทศ วิธกี ารกาหนดนโยบายต่างประเทศของประเทศตา่ งๆมคี วามแตกต่างกนั ออกไปตามระบอบการปกครอง ของประเทศหรือตามลักษณะของอุดมการณ์แห่งชาติ ระบอบการปกครองของประเทศในโลกนี้ แบ่งออกเป็น สองประเภทใหญ่ใหญ่คือการปกครองแบบเสรปี ระชาธิปไตยและการปกครองแบบคอมมิวนิสต์ ในประเทศที่มีการปกครองแบบเสรีประชาธิปไตย วิธีการกาหนดนโยบายต่างประเทศว่าจะต้องทา อย่างไรน้ัน ได้ถกู กล่าวไว้ในรัฐธรรมนญู เป็นประเทศท่ีใช้ระบบรฐั สภาแบบอังกฤษ เช่น ประเทศไทย ประเทศ มาเลเซีย ฯลฯ คณะรัฐมนตรีเป็นผู้มีบทบาทในการกาหนดนโยบายต่างประเทศ โดยมีรัฐมนตรีกลาโหมและ รฐั มนตรีต่างประเทศในบางกรณีเป็นผรู้ ับผิดชอบในการรวบรวมข้อมูลต่างๆอันจะเป็นประโยชนใ์ นการกาหนด นโยบายต่างประเทศเสนอพร้อมกับความคิดเห็นของตนต่อคณะรัฐมนตรีเพื่อประกอบการพิจารณาในการ กาหนดนโยบาย รัสภาจะเห็นชอบด้วยในนโยบายท่ีคณะรัฐมนตรีตัดสินใจเลือกก่อนแต่เฉพาะในกรณีที่ คณะรัฐมนตรีสามารถควบคุมคะแนนเสียงข้างมากในรัฐสภา ดังน้ันถ้ามองอีกแง่หนึ่งก็จะเห็นว่า รัฐสภามี บทบาทมากขึ้นในการกาหนดนโยบายต่างประเทศในกรณีท่ีคณะรัฐมนตรีขาดเสียงข้างมากในสภา บางคร้ัง คณะรัฐมนตรีอาจจะต้องลาออกไป เน่ืองจากรัฐสภาไม่สนับสนุนนโยบายท่ีได้ตกลงเลือกเอาไว้ ตัวอย่างเช่นใน ปีค.ศ. 1951 คณะรัฐมนตรีฝรั่งเศสต้องลาออกเน่ืองจากรัฐสภาไม่อนุมัติข้อตกลงที่คณะรัฐมนตรีฝร่ังเศสได้ทา ไว้กับประเทศต่างๆในยุโรป อันเก่ียวกับการจัดตั้งกองบัญชาการป้องกันยุโรป เป็นต้น ส่วนในประเทศที่ใช้ ระบบประธานาธบิ ดแี บบสหรัฐอเมรกิ า ประธานาธิบดีเปน็ ผู้มีบทบาทสาคัญในการกาหนดนโยบายต่างประเทศ ไดร้ ับความช่วยเหลอื จากคณะรัฐมนตรีวา่ การกระทรวงตา่ งประเทศ หรือกลา่ วอกี นัยหน่ึงก็คือวา่ อานาจในการ กาหนดนโยบายต่างประเทศของสหรัฐอเมริกาไม่ได้ตกอยู่แก่สภาคองเกรส แต่ตกอยู่กบั ประธานาธบิ ดี ซ่ึงเมื่อ ตัดสินใจเลือกแนวนโยบายอย่างหน่ึงอย่างใดไปแล้ว ก็สามารถปฏิบัติตามนโยบายนั้นไปได้เลย ยกเว้นแต่ใน กรณีที่ต้องของงบประมาณพิเศษเท่านั้น ท่ีประธานาธิบดีจะต้องขออนุมัติงบประมาณนั้นจากรฐั สภาคองเกรส และตรงจุดนี้ท่ีรัฐสภาคองเกรส เข้ามามีบทบาทในการกาหนดนโยบายต่างประเทศ นอกจากรัฐสภายังมีกลุ่ม ผลประโยชน์ (Interest Groups) และบรรดาสื่อมวลชนต่างๆท่ีมีอิทธิพลต่อการกาหนดนโยบายต่างประเทศ และบางครั้งพวกเราน้ีใช้อิทธิพลชักจูงค่อนข้างจะรุนแรง ซ่ึงส่วนมากเป็นไปในรูปเดินขบวนหรือเดินประท้วง เป็นต้น ดังจะเห็นได้จากการท่ีนักศึกษาและประชาชนอเมริกันเดินประท้วงนโยบายของสหรัฐในสงคราม เวียดนาม ซ่ึงรฐั บาลไม่ได้ใหค้ วามสนใจในการเดินขบวนประท้วงดังกล่าวเลย เพราะเชื่อว่าการกระทาดังกล่าว เกดิ จากความไมเ่ ขา้ ใจหรอื เขา้ ใจไปอย่างผดิ ๆ ย่อมเป็นที่เห็นได้ว่าการกาหนดนโยบายต่างประเทศในประเทศเสรีประชาธิปไตยต้องเผชิญอุปสรรค ต่างๆและบางทีก็เกิดความล่าช้ากว่าจะเลือกแนวนโยบายมาใช้ได้ ท้ังน้ีก็เพราะว่าเสรีภาพและประชาธิปไตย เปิดโอกาสให้สถาบันต่างๆตลอดจนบุคคลและกลุ่มบุคคลเข้ามามีบทบาทในการกาหนดนโยบายต่างประเทศ ซ่งึ บางครง้ั การขัดแยง้ กันระหวา่ งพวกดงั กลา่ วก่อใหเ้ กดิ ความลา่ ช้าในการกาหนดนโยบายตา่ งประเทศ

ลกั ษณะของการกาหนดนโยบายต่างประเทศดังกล่าว แตกต่างกบั วิธกี ารกาหนดนโยบายต่างประเทศใน ประเทศคอมมิวนิสต์ ซึ่งไม่มบี ุคคลหลายฝ่ายเขา้ มาเกี่ยวขอ้ งมีแต่พรรคคอมมิวนิสต์ พรรคเดียวที่ผูกขาดในการ ใช้อานาจในการกาหนดนโยบายต่างประเทศและการปกครองประเทศ โดยไม่ยอมให้มีใครมาคัดค้าน คณะรัฐมนตรีและรัฐสภาซ่ึงมีอานาจในการกาหนดนโยบายต่างประเทศ ในประเทศเสรีประชาธิปไตย ไม่มี อานาจอย่างหน่ึงอย่างใดท่ีจะไปเก่ียวข้องกับการกาหนดนโยบาย ได้แต่เพียงค่อยรับทราบการตัดสินใจต่างๆ ของคณะกรรมการกลางของพรรคคอมมิวนิสต์เท่าน้ัน ในบางคร้ังถ้าหากเลขาธิการของพรรคมีอิทธิพลมากใน อานาจมาก อานาจในการกาหนดนโยบายจะตกอยู่ในมือของเลขาธิการแต่เพียงผู้เดียว สมาชิกช้ันนาอื่นๆของ พรรคไม่อาจโต้แย้งได้ เช่น สตาลิน คร่ันเป็นเลขาธิการพรรคคอมมิวนิสต์ เป็นต้น ดังน้ัน จะเห็นได้ว่าการ กาหนดนโยบายต่างประเทศของประเทศคอมมวิ นสิ ตม์ ีความเด็ดขาดและรวดเร็วประเทศเสรีประชาธิปไตย แต่ ก็ไม่มีการยอมรับกันทั่วไปว่า การกาหนดนโยบายอย่างรวดเร็วของประเทศคอมมิวนิสต์ดังกล่าวนาผลดีมาสู่ ประเทศได้มากกว่าวิธีการกาหนดนโยบายโดยเปิดเผยท่ีใช้ในประเทศเสรีประชาธิปไตย อย่างไรก็ตามทั้งสอง ฝ่ายต่างก็ทุ่มเถียงกันว่าระบบของตนท่ีใช้อยู่นั้นเป็นระบบที่ดีโดยอ้างเหตุผลนานาประการมาสนับสนุน ใน ปจั จบุ ันยังไมม่ ีใครกล้าตดั สินใจชี้ขาดลงไปวา่ ระบบใดดกี ว่า 4. ปจั จยั ท่ีมอี ทิ ธพิ ลต่อการตัดสนิ ใจเลือกนโยบาย ในการตัดสินใจเลือกนโยบายน้ัน ตามปกติผู้ตัดสินใจมักเลือกนโยบายท่ีทาให้ผลประโยชน์ต่อประเทศ มากท่ีสุดและง่ายต่อการปฎิบัติ ในการตัดสินใจน้ันผู้ตัดสินใจมักตกอยู่ภายใต้อิทธพิ ลของปัจจัยหลายอย่าง ซ่ึง อิทธิพลน้ันอาจมีมากบ้างและน้อยบ้าง ซ่ึงสุดแล้วแต่ลักษณะของความสาคัญของปัจจัย ปัจจัยสาคัญท่ีมี อิทธิพลต่อการตัดสินใจเลือกแนวนโยบายของผู้นาหรือคณะผู้นาของรัฐ ซ่ึงนามากล่าวใน ณ ท่ีนี่ ได้แก่ พล พรรคการเมือง พวกข้าราชการ กลุ่มผลประโยชน์ หรือผู้มีส่วนได้เสีย พวกประชาชน ปัจจัยทางทหาร ปัจจัย ทางเศรษฐกิจ ประสบการณ์ทางประวตั ิศาสตร์ และแรงกระตุ้นหรือพลังภายนอก (External Forces) สาหรับ บุคลิกลักษณะ (Personally) ของผู้นาที่มีอิทธิพลของการตัดสินใจจะไม่นามากล่าวอีกเพราะได้กล่าวมาบ้าง แล้วในหัวข้อท่ี 1.5ที่ว่าด้วยผลประโยชน์ของชาติ ผลของปัจจัยดังกล่าวท่ีมีต่อผู้ตัดสินใจในนโยบาย ตา่ งประเทศ ก่อนท่ีจะพจิ ารณาถงึ อิทธพิ ลของปัจจัยแตล่ ะอยา่ งท่ีมีต่อผู้ตัดสินใจในนโยบายต่างประเทศ ระบบ ท่ีแสดงให้เห็นถึงอิทธิพลที่มีต่อผู้ตัดสินใจในนโยบาย (policy-Influence System)จะถูกนามาพิจารณาอย่าง ยอ่ ๆเพอ่ื สร้างความเข้าใจเร่ืองน้ีให้ดขี น้ึ โดยทั่วไปแล้ว ผู้ตัดสินใจเลือกแนวนโยบายมีความสัมพันธ์กับผู้มีอิทธิพลต่อการกาหนดนโยบายใน ลักษณะถ้อยทีถ้อยปฏิบัติต่อกัน โดยผู้ตัดสินใจในนโยบายก็มีความต้องการความสนับสนุนจากผู้มีอิทธิพลต่อ การสร้างนโยบายในนโยบายที่ตนเห็นชอบเพ่ือให้นโยบายดาเนินลุล่วงไปด้วยดี โดยไม่มีข้อขัดค้าน หรือกล่าว อีกนัยหน่ึงก็คือ ฝ่ายต่างต้องพ่ึงพาซึ่งกันและกันในเรื่องการให้ความสนับสนุนในนโยบายท่ีจะนามาใช้ลักษณะ เช่นว่าน้ี มักปรากฏในรัฐประชาธิปไตยมากกว่าในรัฐเผด็จการ แต่น่ันก็ไม่ได้หมายความว่า ผู้นาของรัฐเผด็จ การ ไม่ต้องการความสนบั สนนุ ของประชาชนในนโยบายท่ีตนนามาใช้ อยา่ งน้อยนโยบายท่ีนามาใช้น้ัน จะต้อง สร้างความพึงพอใจแก่ประชาชนเป็นส่วนใหญ่ มิฉะน้ันแล้วประชาชนอาจจะลุกฮือขึ้นคัดค้านในนโยบายท่ีตน ไม่เห็นชอบและถ้ากาลังของประชาชนเข้มแข็งมาก ผู้นาของรัฐเผด็จการอาจถูกถอดออกจากตาแหน่งหรือถูก กาจัดเสีย ดังน้ัน การปฏิวัติในฝร่ังเศสในปีค.ศ. 1789 เป็นต้น ในกรณีนโยบายภายในประเทศ ผู้มีอิทธิพลต่อ

การเลือกนโยบายมักชอบเรียกร้องให้ผู้นาของรัฐสนใจในการทะนุบารุงบ้านเมืองและสวัสดิการ รวมทั้งความ เป็นอยู่ของประชาชน ในกรณีนโยบายต่างประเทศนั้น ผู้มีอิทธิพลต่อนโยบายอาจได้ร้องให้ผู้นาของตนเคารพ สิทธิและเอกราชของรัฐอื่น และคุ้มครองผลประโยชน์ของประชาชนท่ีได้ลงทุนในต่างประเทศ ถ้าหากข้อ เรียกร้องนี้ได้รบั การเพิกเฉยจากผู้นาของรัฐ ผู้มีผลตอ่ นโยบายอาจไม่ให้การสนบั สนุนหรือสนบั สนุนนโยบายท่ีผู้ นามาใช้แต่เพียงบางส่วนก็ได้ ในรัฐประชาธิปไตย ข้อเรียกร้องของประชาชนแสดงออกมาในรูปของการออก เสียง ส่วนในรัฐเผด็จการ ข้อเรยี กร้องของประชาชนเป็นการต้องห้าม หรือถูกจากัดอย่างเข้มงวด อาจกลา่ วได้ ว่า ปฏิกิริยากระทบกระทั่งกันระหว่างผู้ตัดสินใจในนโยบายของรัฐกับผู้มีอิทธพิ ลต่อนโยบายมักเกิดท่ัวไปในรัฐ ทงั้ หลายในรัฐประชาธิปไตย ผู้มีอทิ ธิพลต่อนโยบายของประเทศ ไดแ้ ก่ ผมู้ ีสทิ ธอิ์ อกเสียงลงคะแนน ซ่ึงมจี านวน มาก ส่วนรัฐที่เป็นเผด็จการผู้มีอิทธิพลต่อนโยบายของประเทศ มีจานวนไม่มากเหมือนในรัฐประชาธิปไตย สว่ นมากแล้วไดแ้ ก่ ผู้มอี านาจควบคมุ องคก์ ารของรัฐที่สาคัญ อาทเิ ช่น กองทัพบก เรือ อากาศ เป็นต้น ในสมัยฟิวดัล พระเจ้าแผ่นดินเป็นผู้ตัดสินใจเลือกนโยบาย ส่วนพวกขุนนางน้ันเป็นผู้มีอิทธิพลต่อการ ตดั สินใจในการเลอื กนโยบายของพระเจ้าแผ่นดิน อย่างไรก็ตาม ในระหว่างสมัยฟิวดัลบางครั้งพระเจ้าแผ่นดิน อ่อนแอ และพวกขุนนางมีอิทธิพลและเข้มแข็งกว่าทาให้ฐานะของพระเจ้าแผ่นดินลดลงไปเป็นผู้มีอิทธิพลต่อ นโยบาย ฉะน้ัน การตัดสินใจเลือกนโยบายต่างประเทศจึงกระทาโดยได้มีความเห็นชอบโดยพร้อมเพรียงกัน จากพระเจ้าแผน่ ดิน และพวกขุนนางท้ังหลาย อาจสรุปได้ว่าในสมัยฟิวดัล ทาไมที่ท่ีมีผู้อิทธิพลต่อนโยบายเป็น ผู้มีบทบาทอย่างมากในการสร้าง และตัดสินใจเลือกนโยบายต่างประเทศ หรือท่ีเรียกว่าสมัย Policy Influence Dominant ต่อมาหลังสมัยระบบฟิวดัล พระเจ้าแผ่นดินมีอานาจมากข้ึนในการตัดสินใจเลือก นโยบายต่างประเทศ โดยเฉพาะอย่างยิ่งในสมัยระหว่างศตวรรษท่ี 16 และศตวรรษท่ี 19 ผู้มีอิทธิพลต่อ นโยบายไม่คอ่ ยมีบทบาทมากนักในการเลือกนโยบายต่างประเทศ พระเจ้าแผน่ ดินเปน็ ผตู้ ัดสนิ ใจเลือกนโยบาย ต่างประเทศแต่เพียงผู้เดียว สมัยนี้อาจเรียกได้ว่า เป็นสมัยหรือยุคสมบูรณาญาสิทธิราชย์ หรือที่นัก ประวัติศาสตร์เรียกว่า The Age of Absolution ต่อมาในศตวรรษที่ 20 อานาจของผู้นารัฐในการตัดสินใจ เลือกนโยบายต่างประเทศแต่เพียงผู้เดียวลดน้อยลงไป เพราะจานวนและความสัมพันธ์ของกลุ่มที่มีอิทธิพลต่อ นโยบายได้เพมิ่ ข้นึ อย่างมาก ดังนั้น ในกระบวนการตดั สินใจเลอื กแนวนโยบายตา่ งประเทศจงึ มบี คุ คลหลายฝ่าย และหลายกลุม่ เข้ามาเกี่ยวขอ้ งด้วย ซ่งึ เรียกว่า Pluralization of the Policy-Making Process อย่างไรก็ตาม ผนู้ าของรัฐก็ยังคงมีอานาจในการตัดสินใจเลือกนโยบายต่างประเทศแต่เพียงฝ่ายเดียวอยู่ทั้งทั้งที่มีผู้อิทธิพลต่อ การสร้างนโยบายมีจานวนมากขึ้น ผู้มีอิทธิพลต่อการสร้างนโยบายดังกล่าวโดยมากแล้วเป็นผู้ให้ความคิดเห็น และคาปรึกษาต่อผู้นารัฐบาล และถ้าตนไม่พอใจในนโยบายท่ีผู้นามาใช้ก็อาจโต้แย้งหรือคัดค้านได้ ซึ่งกรณี เช่นน้ีมักจะกระทากันในรัฐประชาธิปไตย ส่วนในรัฐเผด็จการ การคัดค้านหรือโต้แย้งนโยบายที่ผู้นาของรัฐ นามาใชไ้ ม่อาจจะกระทาได้โดยเปดิ เผย จะกระทาไดก้ แ็ ตโ่ ดยวธิ ลี ับๆเท่านน้ั ซึ่งไม่ค่อยจะเกิดผลเทา่ ใดนัก ปจั จยั ที่มีอทิ ธิพลต่อการตัดสนิ ใจเลอื กนโยบายต่างประเทศ แบง่ ออกเป็นได้เปน็ 2 พวก พวกแรก ได้แก่ บคุ คลประเภทต่างๆทมี่ ีอทิ ธิพล พวกท่ีสอง ได้แก่ ปจั จัยทางดา้ นเศรษฐกิจ ทหาร และ พวกที่สาม ได้แก่ ประสบการณทางภมู ิศาสตร์ และแรงกระตุน้ ทางภายนอก

1.บคุ คลอทิ ธิพลประเภทต่างๆ บุคคลประเภทต่างๆที่มีอิทธิพลต่อการตัดสินใจของผู้นาของรัฐในการเลือกนโยบาย ได้แก่ พวกพรรค การเมือง พวกข้าราชการ พวกกลุ่มประโยชน์ และพวกประชาชน ไปรับพวกต่างก็มีบทบาทอิทธิพลใน กระบวนการสร้างนโยบายต่างประเทศแตกต่างกันออกไปตามระบบการเมืองแบบเปิดและแบบปิดส่วนลาดับ การใช้อทิ ธิพลของพวกดงั กลา่ วตอ่ นโยบายต่างๆนนั้ มรี ะดับแตกตา่ งกันออกไปตามระบบการเมือง ก. พวกข้าราชการ (Bureaucatic Influencers) ในรัฐสมัยใหม่ พวกข้าราชการเป็นพวกหนึ่งที่มีอิทธพิ ลต่อการสร้างนโยบายต่างประเทศ พวกราชการนี้ ได้แก่ ว่าพัฒนาการฝ่ายบริหารซ่ึงมีหน้าที่เก่ียวข้องในการสร้างนโยบายท้ังภายในและภายนอกประเทศ โดย ปกติแล้วพวกข้าราชการฝ่ายบริหารมีหน้าที่ช่วยดูแลผู้ตัดสินใจเลือกแนวนโยบายต่างประเทศ (ได้แก่ผู้นาของ รัฐหรือกลุ่มของผู้นาของรัฐ) ในด้านการสร้างและดาเนินนโยบายต่างประเทศ นอกจากนี้ พวกข้าราชการฝ่าย บริหารบางคน ยังมีส่วนร่วมในการตัดสินใจเลือกแนวนโยบายต่างประเทศ ซ่ึงทาให้เป็นการยากในการที่จะ ตัดสินใจเด็ดขาดออกมาว่าข้าราชการฝ่ายบริหารเป็นผู้มีอิทธิพลต่อการสร้างนโยบาย หรือเป็นผู้ตัดสินใจใน นโยบายต่างประเทศ ว่าข้าราชการประเภทน้ีอยู่ใกล้ชิดผู้ตัดสินใจในนโยบายมากกว่าพวกอื่นๆเพราะมีหน้าท่ี ช่วยเหลือผู้ตัดสินใจในนโยบาย ในการสร้างและดาเนินนโยบาย ในบางกรณีพวกข้าราชการฝ่ายบริหารที่ ใกล้ชิดกับผู้นาของรัฐ อ่านไม่เห็นพ้องด้วยกับนโยบายท่ีผู้นาของเราจะนามาใช้ ทางออกที่ข้าราชการพรุ่งน้ีจะ ไปทาก็คือ ใช้อิทธิพลต่อสมาชิกของกลุ่มท่ีมีหน้าที่ตัดสินใจเลือกนโยบายเป็นการส่วนตัว หรือปล่อยขอให้เจอ หนังสือพิมพ์ ซงึ่ ทาหน้าท่ีกระตุ้นให้ประชาชนท่วั ไปทาการคัดคา้ นนโยบายท่ีจะนามาใช้ อยา่ งไรก็ดี ขา้ ราชการ ฝ่ายบริหารมักจะไม่คัดค้านอย่างเปิดเผย ยกเวน้ ในบางกรณี เช่น รัฐบาลขาดเสถยี รภาพ เป็นต้น ในระบบทาง การเมอื งแบบเปิดและแบบปดิ พวกข้าราชการฝ่ายบรหิ าร มีบทบาทในกระบวนการสร้างนโยบายตา่ งประเทศ ไมแ่ ตกต่างกันมากนัก ซ่ึงบ่อยคร้ังเพราะขา้ ราชการดังกล่าวมักจะปฏิบตั กิ ารณ์เบ้อื งหลงั ฉากโดยให้ขา่ วคราวอัน เป็นประโยชน์ในการสร้างนโยบายต่างประเทศ ตลอดจนให้การสนับสนุนในนโยบายน้ันน้ันว่าข้าราชการฝ่าย บริหารจะใช้อิทธพิ ลมากหรือน้อยที่สุดแล้วแต่ว่าผู้นาสูงสุดของรัฐเป็นผู้นาที่น่าไว้ใจได้ขนาดไหน ถ้าผู้นาสูงสุด ของรัฐทาตนเป็นที่น่าไว้วางใจ พวกข้าราชการฝ่ายบริหารก็มักจะไม่ค่อยขัดค้านในนโยบายท่ีผู้นาของรัฐ นามาใช้ ในทานองกลับกันถ้าผู้นาดังกล่าวมีท่าทีหรือพฤติกรรมไม่น่าไว้วางใจ พวกข้าราชการฝ่ายบริหารก็จะ พยายามเข้าไปมสี ว่ นในการตดั สินใจในนโยบายใหม้ ากท่ีสดุ เท่าทจ่ี ะทาได้ ซ่ึงทงั้ นร้ี วมถึงการใช้อิทธิพลด้วย ข. พวกพลพรรคการเมืองท่ีมอี ิทธิพล (Influenced Partisan) พวกพรรคการเมืองนี้ เป็นตวั แทนในการแสดงออกถึงส่วนได้สว่ นเสยี ของประชาชนอนั เป็นผลประโยชน์ สว่ นรวม และมักใชอ้ ิทธิพลต่อการตดั สินใจในนโยบายของผู้นารัฐโดยมงุ่ หมายจะให้ผนู้ าของรฐั เลือกใชน้ โยบาย ซ่ึงก่อให้เกิดผลดีแก่ประชาชนอันเป็นส่วนรวม พวกพลพรรคน้ีจะใช้อิทธิพลต่อผู้ ตัดสินใจในนโยบาย ตา่ งประเทศก็ตอ่ เมื่อนโยบายนน้ั มีสว่ นกระทบกระเทือนหรือพัวพนั เกยี่ วกบั นโยบายภายในประเทศ

ในระบบการเมืองแบบปิดพลพรรคการเมืองอาจเป็นไปได้ท้ังกลุ่มการเมืองนอกกฎหมาย หรือเป็นส่วน หน่ึงของระบบพรรคเดียว ในรัฐเผด็จการที่มีเสถียรภาพมากมีพรรคเดียวเท่านั้น พัดอื่นๆถ้าหากจะมีก็ต้อง เป็นไปอย่างรับรับเพราะเป็นการผิดต่อกฎหมายในการมีพรรคการเมืองอ่ืนๆนอกเหนือไปจากพรรคของ การเมอื งของรัฐ ดังนั้นภายในรฐั เผด็จการจึงไม่เปิดให้มีการโตเ้ ถียง จะมีขึน้ ไดก้ แ็ ต่ภายในพรรคการเมืองของรัฐ เท่านั้น ภายในพรรคการเมืองมีการแบ่งออกเป็นพวกตา่ งๆ ซ่ึงต่างกม็ ีผลประโยชน์และอดุ มการณ์ท่ีแตกตา่ งกัน ออกไป นอกจากนี้ กฎของพรรคการเมืองยังห้ามการออกเสยี งคัดค้านในนโยบายของพรรค ถ้าหากจะมีการคัด คันก็ต้องกระทาก่อนที่ผู้นาของรัฐจะตัดสินใจเลือกนโยบายโดยการใช้อิทธิพลต่อสมาชิกของกลุ่มที่ทาหน้าที่ ตัดสินใจในนโยบาย ถ้าหากทาการคัดค้านนโยบายหลังจากที่ผู้นาของเราใช้แล้ว ก็ถือว่าเป็นการไม่สนับสนุน นโยบายของรัฐซ่งึ เปน็ ข้อกลา่ วหาทมี่ โี ทษรุนแรงในรัฐเผดจ็ การ ในระบบการเมอื งแบบเปดิ เช่น รฐั เสรีประชาธิปไตย จานวนพลพรรคการเมืองมมี ากกวา่ ระบบการเมือง แบบปดิ เพราะการจัดตั้งพรรคการเมืองกระทาได้งา่ ยกวา่ ในรัฐเผด็จการ ดังนนั้ พรรคการเมืองและสมาชิกของ พรรคจึงมีเป็นจานวนมาก พรรคการเมืองท่ีถูกจัดตั้งตามระเบียบกฎเกณฑ์ ถือว่าเป็นพรรคการเมืองท่ีถูกต้อง ตามกฎหมาย ถึงแม้ว่าจะมีจานวนมาก แต่อิทธิพลของพลพรรคการเมืองที่มีต่อการตัดสินใจเรื่องแนวนโยบาย ต่างประเทศของผู้นารัฐค่อนข้างจะจากัด เจมส์ รอบบินสัน (Jame Robinson) ได้พบว่าในจานวนท่ี 12 นโยบายต่างประเทศทีถ่ ูกนามาใช้ปฏบิ ัติระหวา่ งปีค.ศ. 1930 ถงึ 1940 และ 1961 มีเพียงสามนโยบายเท่านั้น ท่ีพลพรรคการเมืองในสภาคองเกรซได้เป็นผู้ตัดสินใจเลือกมาใช้ ซึ่งทั้งสามนโยบายเป็นนโยบายท่ีไม่มี ความสาคัญมากเท่ากับนโยบายท่ีเก่ียวกับการพัฒนาเกี่ยวกับระเบิดปรมาณูและสงครามเกาหลี เป็นต้น ในรัฐ ประชาธิปไตยที่มเี สถียรภาพ เช่น สหรัฐอเมริกาพลพรรคการเมืองที่มีอิทธิพลตอ่ การสรา้ งนโยบายตา่ งประเทศ ไม่ค่อยมีบทบาทมากนักในการอนุมัติหรือปฏิเสธนโยบายต่างประเทศซึ่งตัดสินใจเลือกโดยผู้นาของรัฐ ทั้งนี้ เป็นเพราะพวกพลพรรคการเมืองส่วนมากแล้วยุ่งเกี่ยวกับเร่ืองการเมืองภายในประเทศมากกว่าเร่ืองการเมือง ระหว่างประเทศ พวกฝ่ายบริหารมักจะอ้างว่านโยบายต่างประเทศน้ันไม่สมควรจะนามาอภิปรายกันอย่าง เปิดเผยและไม่สมควรท่ีจะมีการคัดค้าน เพราะเป็นเรื่องเก่ียวกับความม่ันคงของชาติ ด้วยเหตุน้ี พวกพล การเมืองจึงไม่ค่อยอยากจะเข้าไปเกี่ยวข้อง เพราะเป็นว่าความลับจะรว่ั ไหลเลิกกลวั ว่าจะละเมิดต่อการรักษาไว้ ซ่ึงความลับของประเทศชาติ นอกจากนี้แล้วการสร้างนโยบายต่างประเทศมักจะต้องการแนวความคิดและ พิจารณาจากผู้มีความเชี่ยวชาญมากกวา่ คนการเมืองดังน้ัน พวกพลพรรคการเมืองส่วนมากจึงมักไม่ค่อยเข้าไป ยงุ่ เกี่ยวในการสร้างนโยบายตา่ งประเทศ และมักจะไม่คัดค้านหรอื โตแ้ ย้งในนโยบายต่างประเทศท่ีมผี นู้ าของรัฐ ตัดสินใจเลือกนามาใช้ ถ้าจะมีการคดั ค้านก็เป็นแต่เพียงส่วนน้อยเท่านั้น ตัวอย่างเช่น วุฒิสมาชิกสภาฟุลไบร๊ท์ คัดค้านนโยบายการช่วยเหลือของสหรัฐอเมริกาท่ีมีต่อประเทศไทย เป็นต้น เร่ืองการคัดคันน้ีไม่ค่อยจะได้ผล เท่าไหร่นัก สว่ นมากแล้วนโยบายต่างประเทศซ่ึงพลพรรคการเมืองเขา้ ไปเก่ียวข้องมากท่ีสุด ได้แก่นโยบายที่ไม่ เกี่ยวข้องกับความม่ันคงแห่งชาติ เช่น นโยบายท่ีเกี่ยวกับการอพยพของคนต่างด้าว และการช่วยเหลือ ตา่ งประเทศ เปน็ ตน้ ค. ผ้มู ีผลประโยชน์ท่มี ีอทิ ธิพล (Interest Influencers) ผ้มู ีอิทธิพลตอ่ การสร้างและตัดสินใจในนโยบายตา่ งประเทศอันดับท่ีสามได้แก่ผ้มู ีผลประโยชนซ์ ึ่งรวมกัน เข้าเป็นกลุ่มโดยมีผลประโยชน์ผูกพันร่วมกัน ผลประโยชน์ส่วนมาก ได้แก่ผลประโยชน์ทางเศรษฐกิจ ซึ่งจูงใจ

ให้มนุษย์ร่วมกันกระทาอย่างหน่ึงอย่างใดอันก่อให้เกิดประโยชน์ร่วมกัน พวกกลุ่มผลประโยชน์น้ีมักจะใช้ อทิ ธิพลตอ่ นักการเมืองชนั้ ผู้นาใหก้ ระทาการอย่างหนึ่งอย่างใด เชน่ การเลอื กใช้นโยบายอันจะปกป้องคุ้มครอง ผลประโยชน์ของตนไมใ่ หต้ ้องสญู เสยี ไป ในระบบการเมอื งแบบปิดพวกกลุ่มผลประโยชน์ ทแ่ี ตกต่างจากผลประโยชน์จะใช้อิทธพิ ลหลังฉากอย่าง ลับๆโดยเฉพาะอย่างย่ิงในรัฐท่ีมีพรรคการเมืองพรรคเดียว ซึ่งเป็นพรรครัฐบาล ทั้งนี้ก็เพราะว่า รัฐมิให้บุคคล หรือพรรคการเมืองใดมปี ระโยชนท์ ่แี ตกตา่ งจากผลประโยชน์ของรัฐ ในระบบการเมอื งแบบเปดิ เช่น ในประเทศเสรีประชาธิปไตยมีพวกกลุ่มผลประโยชนอ์ ยูเ่ ป็นจานวนมาก ซ่ึงมีบางกลุ่มมีอิทธิพลทางการเงินมากจนกระทั่งสามารถใช้อิทธิพลดังกล่าวต่อผู้ออกเสียงและพลพร รค การเมืองให้สนับสนุนในนโยบายซ่ึงมีประโยชน์แก่ตน ตัวอย่างเช่น ในสหรัฐอเมริกาพวกกลุ่มยิวหรือที่เรียกว่า Zionist Groups มีบทบาทอย่างมากในการใช้อิทธิพลต่อนโยบายต่างประเทศของสหรัฐอเมริกา ซ่ึงก่อให้เกิด ผลประโยชน์อย่างมากต่อประเทศอิสราเอล พวกกลุ่มผลประโยชน์ในประเทศเสรีประชาธิปไตยโดยมากแล้ว ชอบใชว้ ธิ กี ารหว่าน เงินเอาใจหัวหน้าพรรคการเมอื งที่มีอิทธพิ ลต่อการตดั สนิ ใจของผู้นาของรัฐในนโยบายต่างประเทศ บางคร้งั เงิน สามารถทาให้ผู้มีหน้าที่ในการตัดสินใจนโยบายต่างประเทศตกอยู่ภายใต้อานาจของผู้ใช้เงินหว่านได้ และใน บางกรณีอาจเลยเถิดกลายเป็นเรื่องคอรัปช่ันไปก็ได้ อาจกล่าวได้ว่า กลุ่มผลประโยชน์มีบทบาทพอสมควรใน กระบวนการสร้างนโยบายต่างประเทศ โดยเฉพาะอย่างยิ่งกลุ่มผลประโยชน์ที่มีอานาจทางการเงิน แต่น่ันก็ ไม่ได้หมายความว่ากลุ่มผลประโยชน์ท่ีมีเงินจะมีอานาจบงการผู้ตัดสินใจเลือกนโยบายหรือดาเนินนโยบายไป ตามที่ตนประสงค์ได้ทุกอย่างกลุ่มผลประโยชน์เป็น แต่เพียงใช้อิทธิพลและอานาจทางการเงินต่อผู้ตัดสินใจใน นโยบายต่างประเทศให้เลือกแนวนโยบายอันก่อให้เกดิ ผลประโยชน์มากทส่ี ุดแกต่ น ซ่ึงผตู้ ัดสินใจในนโยบายจะ เรื่องนโยบายอันใดแล้วแต่ดุลพินิจของตน ฉะน้ัน ความสาเร็จในการใช้อิทธิพลต่อการสร้างนโยบาย ต่างประเทศของกลุ่มผลประโยชน์จึงไม่ค่อยจะแน่ใจเท่าใดนัก ซ่ึงทั้งน้ีและท้ังน้ันขึ้นอยู่กับความพอใจของผู้ ตดั สนิ ใจเลือกนโยบายอนั เป็นเรอ่ื งทคี่ าดคะเนการได้ยาก ง. พวกประชาชนทม่ี ีอทิ ธิพล (Mass Influencers) ความคิดเห็นของพวกประชาชนโดยทั่วไปเป็นปัจจัยที่สาคัญอย่างหน่ึงท่ีผู้ตัดสินใจในนโยบาย ต่างประเทศมักจะรับฟังโดยเฉพาะอย่างยิ่งในระบบการเมืองแบบเปิดแล้วผู้นาของรัฐจะต้องสร้างนโยบาย ต่างประเทศให้เป็นที่พอใจแก่ประชาชนท้ังหลายดังน้ัน ผู้นาของรัฐจะต้องสดับตลับฟังความคิดเห็นของ ประชาชนโดยทั่วไปก่อนจะตัดสินใจเลือกแนวนโยบายอย่างหน่ึงอย่างใดลงไป เพราะมิเช่นน้ันแล้วนโยบายน้ัน จะสร้างความไม่พอใจกับประชาชน และอาจนาไปสู่การคัดค้านและโต้แย้งอย่างรุนแรงกไ็ ด้ นอกจากนี้แล้วอาจ ทาให้ผู้นาของรัฐไม่ได้รับการเลอื กจากประชาชนในการเลือกตั้งคราวหน้า ด้วยเหตุดังกล่าว ผู้นาของรัฐจะต้อง ระมัดระวังอย่างมากในการตัดสินใจเลือกนโยบาย โดยปกติแล้วผู้นาของรัฐมักจะเลือกเอานโยบายซ่ึงไม่ เพียงแตส่ ร้างความพงึ พอใจใหแ้ ก่ประชาชนส่วนรวม แตย่ งั มีความสะดวกและงา่ ยต่อการปฏบิ ัติ ในระบบการเมืองแบบเปิด ประชาชนมีอิทธิพลน้อยมากในกระบวนการสร้างนโยบายต่างประเทศ โดย ปกติแล้วผู้นาของรัฐเป็นผู้มีอานาจสูงสุดในการตัดสินใจเลือกแนวนโยบายต่างประเทศ ซึ่งมักจะปรากฏในรัฐ เผด็จการแบบเด็ดขาด เช่น ประเทศเยอรมันภายใต้การปกครองของฮิตเลอร์ ส่วนมากประชาชนมักจะเห็น

คล้อยตามความคิดของผู้นาเพราะการมีความคิดเห็นที่ขัดกับผู้นาโดยเฉพาะอย่างย่ิงในเร่ืองที่เก่ียวกับรัฐแล้ว มักมีโทษรุนแรง การแสดงความคิดเห็นโดยเปิดเผยไม่ว่าจะโดยวิธีหนงั สอื พิมพ์ หรอื วทิ ยุกระจายเสียงถูกจากัด อย่างเข้มงวด กล่าวอย่างง่ายง่ายก็คือว่า ประชาชนมีโอกาสในการแสดงความคิดเห็นท่ีขัดต่อนโยบายของรัฐ นอ้ ยมาก ถา้ หากจะมีก็ต้องกระทากันอยา่ งลบั ๆ เพราะมิฉะน้นั แลว้ อาจได้รบั โทษถึงแกช่ ีวติ อาจสรุปได้ว่า ประชาชนในรัฐเสรีประชาธิปไตย ที่มีระบบการเมืองแบบเปิดมีบทบาทในกระบวนการสร้าง นโยบายต่างประเทศมากกว่าประชาชนท่อี าศยั อยู่ในรัฐทใี่ ชร้ ะบบการเมืองแบบปิด และเร่อื งนี้อาจเปรียบเทยี บ ได้จากข้อเท็จจริงทป่ี รากฏในประเทศฝ่ายตะวนั ตก และประเทศฝ่ายตะวันออก เช่น สหรัฐอเมริกา สหภาพโซ เวียต เปน็ ต้น 2.ปจั จัยทางดา้ นเศรษฐกิจ และการทหาร (Economic and Military Influencers) ในการสร้างนโยบายต่างประเทศ คณะผู้นาของประเทศจาเป็นต้องคานึงถึงกาลงั ทางด้านเศรษฐกิจและ การทหารของชาติว่ามีอยเู่ พียงใด และกาลังท่ีมีอยู่น้ันสามารถทาให้ประเทศเลือกนโยบายอย่างหน่งึ อย่างใดได้ หรอื ไม่ การท่ีคณะผู้นาของประเทศต้องคานึงถึงกาลังปัจจัยดังกล่าวก็เพราะความสาเรจ็ ในการปฏิบัตินโยบาย ข้ึนอยู่กับขีดความสามารถของประเทศ ถ้านโยบายใดอยู่เหนือขีดความสามารถของประเทศก็จะปฏิบัติให้ได้ เปน็ ผลสาเร็จแล้ว นโยบายน้ันจะนาผลร้ายมาสู่ประเทศชาติได้ในท่ีสุด ตวั อยา่ งเช่น ถา้ หากประเทศไทยภายใต้ การนาของหลวงพิบูลสงครามไม่ตัดสินใจใช้นโยบายร่วมมือกับญี่ปุ่นในสงครามโลกครั้งที่สอง โดยเช่ือว่ามี ความสามารถพอท่ีจะทาสงครามกับญี่ป่นุ แล้วประเทศไทยอาจได้รบั ความเสียหายอย่างใหญ่หลวงจากนโยบาย ท่ีไม่ร่วมมือกับญี่ปุ่นก็ได้ถึงแม้ว่านโยบายท่ีรัฐบาลนามาใช้ในขนาดนั้นทาให้ประเทศต้องเสียเปรียบไปมากใน ตอนต้นๆก็ตาม แตก่ ็นาผลดีมาสู่ประเทศชาตไิ ดใ้ นตอนหลงั ในประเทศดอ้ ยพัฒนาที่กาลงั ดา้ นเศรษฐกิจและการทหารไมเ่ ขม้ แขง็ กม็ ักใช้นโยบายเป็นมติ รกบั ประเทศ มหาอานาจ เพ่ือประโยชนใ์ นด้านการได้รบั ความชว่ ยเหลือทางด้านการทหารและทางเศรษฐกิจสงครามเยน็ ใน ปจั จุบันระหว่างฝ่ายตะวนั ตกและฝ่ายตะวันออก ซึ่งเป็นไปในลักษณะของการแข่งขันในการให้ความช่วยเหลือ แก่ประเทศท่ีด้อยพัฒนาและประเทศที่เกิดขึ้นใหมใ่ หม่เพื่อหวงั ที่จะดึงประเทศเหล่านี้มาเป็นพรรคพวกของตน ทาให้ประเทศดอ๋ ยพฒั นาหรือประเทศท่ีเกดิ ใหม่ โดยเฉพาะอย่างย่ิงประเทศที่เป็นกลางไดร้ บั ผลประโยชน์อย่าง มากจากทั้งสองฝ่าย ประเทศที่ยังไม่เข้มแข็งในด้านเศรษฐกิจและด้านกาลังทหารว่าจะใช้นโยบายร่วมมือกับ ประเทศมหาอานาจที่มีอุดมการเหมือนกับต้น และเมื่อมีความเข้มแข็งเพียงพอก็มักมีนโยบายเปล่ียนแปลงไป จากเดิม ในรูปท่ีไม่ต้องการจะพึ่งใคร เช่น จีนแดงแต่ก่อนต้องพึ่งพาอาศัยสาภาพโซเวียตทั้งในด้านการทหาร และเศรษฐกิจ ต่อมาจีนแดนผลิตระเบิดปรมาณูขึ้นมาได้ก็มีท่าทีไม่ยอมอ่อนข้อต่อสหภาพโซเวียตเหมือนคร้ัง ก่อนๆ มีการแตกแยกในเรื่องอุดมการณ์การท้าทายและประณามซึ่งกันและกัน จนบางคร้ังมีการต่อสู้กัน ระหว่างชายแดนของประเทศทั้งสอง จากสถานการณ์เช่นน้ีก็พอกล่าวได้ว่า จีนแดงเช่ือว่าตนมีความสามารถ เพยี งพอในด้านการเศรษฐกิจและกาลังทหารในการเป็นชาติมหาอานาจ จึงใชน้ โยบายต่างประเทศในลักษณะที่ เป็นของตนเองโดยไม่ต้องอาศัยต้องช่วยเหลือจากใคร และไม่ให้ใครมีอิทธิพลเหนือนโยบายของตน ซึ่งผิดกับ ประเทศท่ียังไม่เข้มแข็งในด้านกาลังทางเศรษฐกิจและกองทหาร ซ่ึงมักใช้นโยบายต่างประเทศท่ีคล้อยตามไป กับนโยบายของประเทศมหาอานาจ ท้ังน้ีก็เพราะต้องเอาใจประเทศมหาอานาจเพื่อประโยชน์ที่ตนจะได้รับ ตอบแทนจากประเทศมหาอานาจซ่งึ อาจจะเปน็ ไปในรูปแบบการช่วยเหลือทางเศรษฐกจิ และทางทหาร

อาจสรุปได้ว่า ปัจจัยทางด้านเศรษฐกิจและการทหารของประเทศมีบทบาทในการสร้างและเรื่อง นโยบายต่างประเทศอย่างมากในโลกการเมืองปัจจุบันเพราะไม่ว่าจะเป็นประเทศใหญ่หรือเล็กต่างก็ต้อง คานึงถึงกาลังและขีดความสามารถของตนในด้านเศรษฐกิจและในด้านอาหารก่อนที่จะตัดสินใจเลือกนโยบาย ต่างประเทศอย่างหน่ึงอย่างใดมาปฏิบัติ เพราะไม่ว่าจะเป็นประเทศใหญ่หรือเล็กต่างก็ต้องคานึงถึงกาลังและ ขีดความสามารถของตนในด้านเศรษฐกิจและในด้านอาหารก่อนที่จะตัดสินใจเลือกนโยบายต่างประเทศอย่าง หน่ึงอย่างใดมาปฏิบัติ การสาคัญผิดในเร่ืองความสามารถหรือการประเมินความสามารถของตนอย่างผิดๆอาจ ทาให้คณะผู้นาประเทศเลือกนโยบาย ซึ่งส่งผลเสียให้แก่ประเทศชาติของตนได้มากท่ีสุด เหตุการณ์ต่างๆใน อดีตเป็นประจักษ์พยานอย่างดวี ่าประเทศที่สาคัญตนผิดมีความสามารถเพียงพอในการทาสงครามกับประเทศ อื่นมักจะสูญเสียเอกลักษณ์ของประเทศ ได้รับความเสียหายอย่างใหญ่หลวงในท้ายท่ีสุด เช่นประเทศเยอรมัน ประเทศญป่ี ุ่น เป็นตน้ 3.ประสบการณ์ทางประวัติศาสตร์และแรงกระตนุ้ ภายนอก ประสบการณ์ทางประวัติศาสตร์และแรงกระตุ้นภายนอก มีส่วนจูงใจให้รัฐมีปฏิกิริยาต่อต่างประเทศ หรือเลือกแนวนโยบายต่างประเทศอย่างหนึ่งอย่างใดมาใช้ ดังท่ี เจมส์ เอ็น โรสเนาว์ (James N. Rosenau) ได้กล่าวไว้ในบทความเรื่อง \"The External Environment as a Variable in Foreign Polis Analysis\" ใน หนังสือชื่อ \"The Analysisi of International Politics\" กล่าวคือ โดยท่ัวไปแล้วคนมักมีความรู้สึกว่า เหตุการณ์ในประวัติศาสตร์เป็นตัวกาหนดเหตุการณ์ในปัจจุบัน และแรงกระตุ้นภายนอกซึ่งอาจเป็นเหตุการณ์ นอกประเทศอ่านบีบบังคับให้รัฐเลือกใช้นโยบายอย่างหนึ่งอย่างใด หรือมีปฏิกิริยาอย่างหนึ่งอย่างใดออกไป สาหรับแรงกระตุ้นภายนอกน้ีเป็นรากฐานสาคัญของทฤษฎีเกม (Game Theory) ซึ่งอธบิ ายว่าเม่ือประเชิญกับ แรงกระตุ้นหรือแรงบังคับจากภายนอกผู้นาหรือรัฐบาลจะเลือกแสดงปฏิกิริยาตอบโต้ในวิธีทางที่ตนคิดว่า อานวยผลประโยชน์หรือส่งผลดใี ห้ หรือไม่เชน่ น้ันกจ็ ะเลอื กการกระทาท่ีสง่ ผลไดเ้ ลยใหแ้ ก่ตนน้อยท่สี ดุ 5.การปฏิบัตแิ ละการดาเนนิ นโยบายตา่ งประเทศ เมื่อประธานาธิบดี หรือ คณะรัฐมนตรีได้ตัดสินใจเลือกใช้นโยบายต่างประเทศอย่างหนึ่งอย่างใดแล้ว นโยบายนัน้ ก็อาจจะกลายเปน็ นโยบายประเทศซึ่งเจ้าหน้าท่ีท่ีเกยี่ วข้องทุกฝา่ ยจะตอ้ งปฏิบัติตามอย่างเครง่ ครัด ได้ว่าตนจะเห็นด้วยหรือไม่ก็ตาม เพราะมิฉะนั้นแล้วนโยบายจะไม่บรรลุผลสาเร็จตามจุดมุ่งหมายท่ีวางไว้ ข้อ สาคัญก็คือ หน้าที่จะต้องเข้าใจในนโยบายเป็นอย่างดีก่อนท่ีจะลงมือปฏิบัติ เราจะต้องปฏิบัติด้วยความเต็มใจ ฉันนอนแล้วอาจจะเกิดผลร้ายต่อประเทศชาติได้ ศาลที่จะทาให้เจ้าหน้าที่เข้าใจในนโยบายนั้นได้เพราะต้องใช้ วิธีการฝึกอบรมเจ้าหน้าที่น้ันนั้นให้มีความเข้าใจในเหตุผล และเป้าหมายของนโยบายที่ตนจะต้องปฏิบัติ อย่างไรก็ตามอุปสรรคในการปฏิบัติได้โยบายต่างประเทศมิใช่เกิดจากเจ้าหน้าที่แต่เพียงฝ่ายเดียว แต่อาจเกิด จากการกระทาของบคุ คลสาคัญในคณะรัฐบาลกไ็ ด้ บคุ คลดังกลา่ วอา่ นให้สมั ภาษณบ์ างอยา่ งอนั เป็นการทาร้าย จิตใจและกาลังใจของเจ้าหน้าท่ีปฏิบัติตามนโยบายต่างประเทศซึ่งอาจจะก่อให้เกิดผลเสียหายในบั้นปลายได้ เพราะฉะน้ันงานในการปฎิบัติตามนโยบายต่างประเทศจึงต้องอาศัยการร่วมมือและสนับสนุนของบุคคลทุกๆ ฝา่ ยท่ีเก่ียวข้อง เพราะฉะน้ันเป็นนโยบายของประเทศอันเป็นสว่ นรวม ซึ่งทุกคนโดยเฉพาะอย่างย่ิงเจ้าหน้าที่ท่ี มสี ว่ นเกย่ี วขอ้ งควรใหค้ วามรว่ มมือและการสนับสนนุ อยา่ งเต็มที่

เมื่อพูดถึงการปฏิบัตินโยบายต่างประเทศของเจ้าหน้าท่ีประจาอยู่ท้ังภายในและภายนอกประเทศแล้ว จึงควรหันมาพิจารณาถึงการดาเนินนโยบายต่างประเทศของคณะต่างประเทศว่าอาศัยเคร่ืองมืออะไรบ้างใน การดาเนินนโยบาย ทุกวันนี้ประเทศทั้งหลายต่างก็ดาเนินนโยบายกับโลกภายนอกด้วยกันท้ังนั้น โดยนา เคร่ืองมือต่างๆท่ีตนมีอยู่มาใช้เพ่ือให้จุดประสงค์ของนโยบายทาประเทศที่วางไว้บรรลุผลซึ่งความสาเร็จ เครื่องมือต่างๆที่นิยมใช้กันก็มีอยู่ 4 อย่างด้วยกันก็คือ เครื่องมือทางการเมืองและการทูต เครื่องมือทาง จิตวิทยา เคร่ืองมอื ทางการทหารและเศรษฐกจิ ซ่งึ จะได้กลา่ วเปน็ ลาดบั ไป ก. เครือ่ งมือทางการเมืองและการทูต (Diplomatic and Political Instrument) ทุกประเทศอยู่ในฐานะที่จะใช้เคร่ืองมือทางการเมืองและการทูตได้อย่างเท่าเทียมกัน แต่ผลท่ีแต่ละ ประเทศจะได้รับนั้นย่อมไม่เหมือนกัน เพราะว่าการใช้เคร่ืองมือดังกล่าวต้องอาศัยศิลป์และความชานาญ ประสบการณ์รวมท้ังการสนับสนุนจากเครื่องมืออ่ืนๆซึ่งแต่ละประเทศมีไม่เหมือนกัน เครื่องมือทางการเมือง และการทูตปกติจะถูกนามาใช้ก็ต่อเม่ือในกรณีทม่ี ีปัญหาขัดแยง้ เกดิ ขึน้ ระหว่างประเทศ ซึ่งฝ่ายใดฝา่ ยหนงึ่ หรือ ทั้งสองฝ่ายอาจใช้เคร่ืองมือดังกล่าวทาให้ฝ่ายตรงกันข้ามยินยอมตามท่ีตนต้องการหรือประนีประนอมยอม ความโดยไมถ่ ึงกับต้องมีการใช้กาลังบงั คับกัน การที่จะใหม้ ีการยินยอมตกลงกันก็ตอ้ งอาศัยวิธีการเจรจาซึง่ เป็น วธิ ีทางการทูตท่ีนิยมใช้แพร่หลายกันมากอย่างไรก็ตาม การเจรจาจะสาเร็จหรือไม่น้ันเป็นเร่ืองที่คาดคะเนยาก แต่ถ้าหากว่าคกู่ รณีพิพาทเต็มใจที่จะระงบั ข้อขัดแย้งระหวา่ งกนั โดยหันหน้าเข้าหากันโดยวิธีจรจัแล้วการเจรจา นั้นอาจสาเร็จได้ง่ายและรวดเร็วกว่าการที่คู่กรณีพิพาทไม่มีความเต็มใจ ในการเจรจากับประเทศคู่กรณีพิพาท อาจใช้วิธีการใช้โน้มน้าวจูงใจ (Peruasion of Inducement) ฝ่ายตรงข้ามกัน บีบบังคับ (Coercion) หรือใช้ วิธีตบตา (Bluff) เพ่ือให้อีกฝ่ายหนึ่งเห็นด้วยหรือประนีประนอมยอมความกับฝ่ายตน ในปัจจุบันวิธีการบีบ บังคับไม่อาจนามาใช้ได้ เพราะขัดต่อกฎบัตรสหประชาชาติซึ่งบัญญัติให้บังคับข้อพิพาทโดยสันติวิธี(ดูกฎบัตร สหประชาชาติมาตรา 33) ดงั น้ันประเทศที่มีกาลังน้อยจงึ สามารถเจรจากบั ประเทศท่มี ีกาลังมากกว่าในฐานะท่ี ทัดเทียมกันโดยไม่ต้องกลัวว่าตนจะถูกบีบบังคับ แต่ถ้าประเทศที่มีกาลังมากกว่าพยายามท่ีจะใช้วิธีบีบบังคับ ประเทศที่มีกาลังน้อยกว่าก็อาจจะเลือกวิธีการเจรจาโดยร้องเรียนไปยังองการสหประชาชาติ ซึ่งเป็นองค์การ กลางให้ชว่ ยปล่อยเกลยี และตัดสินใจในกรณีข้อพิพาทสา ซ่ึงทาให้ประเทศท่ีมีกาลังมากกว่าหมดหนทางท่จี ะใช้ วธิ ีบีบบังคับประเทศที่ดอ้ ยกาลังกว่าตนไดอ้ ย่างเต็มท่ี นับไดว้ า่ กฎบัตรสหประชาชาติเปน็ มาตรการทีร่ ักษาไว้ซึ่ง ความยุติธรรมโดยป้องกนั ไมใ่ ห้ประเทศมหาอานาจเอาเปรยี บประเทศที่เล็กกวา่ ข.เครอ่ื งมอื ทางจิตวทิ ยา (Psychological Instrument) ประเทศท่ีใช้เคร่ืองมือทางจิตวิทยาในการดาเนินความสัมพันธ์ระหว่างประเทศส่วนมากได้แก่ประเทศ ใหญ่ใหญ่ท่ีมที ุนรอนมากมาย เพราะการใช้เครอ่ื งมือดังกล่าวสิ้นเปลืองค่าใช้จ่ายสงู ดงั นั้นทุกประเทศจงึ ไมอ่ าจ ใช้เครื่องมือทางจิตวิทยาในฐานะเท่าเทียมกัน ประเทศเล็กๆท่ีมีทุนน้อยเกือบจะไม่ได้ใช้หรือไม่ได้ใช้เครื่องมือ ดังกล่าวนั้นเลยก็ว่าได้ จุดมุ่งหมายในการใช้เคร่อื งมือ ทางจิตวิทยาคือ ตอ้ งการสร้างความนิยมและทัศนคติท่ีดี เก่ียวกับประเทศของตนให้เกิดขึ้นในหมู่ประชาชนตลอดจนกลุ่มผู้นาในประเทศต่างๆโดยการให้ข่าวสารที่ ถูกต้องและน่าเชื่อถือได้ว่า ประเทศของตนนั้นเป็นประเทศที่เราสันติภาพและยุติธรรม กล่าวได้ว่าประเทศใด ประสบความสาเร็จในการกระทาดังกล่าวประเทศนั้นก็สามารถที่จะโน้มน้าวและจูงใจประเทศอื่นๆให้เช่ือฟัง ตนได้โดยไม่ยากนักในเวลาสงครามไม่ว่าจะเป็นสงครามที่มีการต่อสู้กันหรือสงครามเย็น หรือสงครามทาง

การเมือง การใชเ้ ครื่องมอื ทางจติ วิทยาของรฐั บาลจะมบี ทบาทสาคญั อย่างมากในการใหป้ ระชาชนท่ีอาศัยอยใู่ น ประเทศท่ีเปน็ มิตรและประเทศที่เป็นกลางมีความรูส้ ึกเป็นปฏิปักษ์ต่อประเทศทเี่ ปน็ ศัตรซู ่ึงถูกประณามว่าเป็น ผู้ชอบการรุกรานและอาจมีบทบาท ทาให้ประชาชนในประเทศท่ีเป็นศัตรูมีความเห็นคล้ายตามคาชักจูงว่า ประเทศของตนเป็นประเทศท่ีกระหายสงครามชอบการรุกรานประเทศอ่ืนอย่างไม่มีเหตุผล ในยุคสงครามเย็น ทางฝ่ายเสรีประชาธิปไตย และฝ่ายคอมมิวนิสต์ต่างก็ใช้เครื่องมือทางจิตทยาในการโฆษณาชวนเช่ือ ซึ่งเรา มักจะได้ยินจากวิทยุปักก่ิง หรือวิทยุกระจายเสียงของประชาชนแห่งประเทศไทย โจมตีประเทศไทยว่าเป็น บริวารของพวกอเมริกันจักรวรรดินิยม (American Inperrialism) เป็นต้นซึ่งทาให้รัฐบาลไทยต้องแก้ข้อ กล่าวหาของพวกคอมมิวนิสต์อยู่เนอื่ งๆ ทุกวันน้ีประเทศท่ีใช้เคร่ืองมือทางจิตวิทยาในการดาเนินนโยบายต่างประเทศมากที่สุด ได้แก่ สหรัฐอเมริกาและสาภาพโซเวยี ต ซ่งึ ตา่ งฝ่ายต่างก็ทาสงครามจิตวทิ ยาต่อกนั นับต้งั แต่สงครามโลกครั้งท่สี องยุติ เป็นต้นมา ส่วนจีนคอมมิวนิสต์ก็เริ่มใช้เคร่ืองมือดังกล่าวนี้ทาสงครามกับสารัทธ์ต้ังแต่ปีค.ศ. 1949 เร่ือยมา จนถึงสมัยปัจจุบัน เร่มิ เป็นท่ีน่าสังเกตว่าประเทศมหาอานาจในปัจจุบันนยิ มใช้วิธีช่วยเหลือทางเศรษฐกิจ และ ทางการทหาร ซ่ึงก่อให้เกิดผลดที างดา้ นจิตวิทยามากกว่าการใช้เครอ่ื งมือทางจิตวิทยาโดยตรงเสียอีก ทั้งน้ีเป็น เพราะว่าการช่วยเหลือนั้นช่วยทาให้ประเทศที่ได้รับการช่วยเหลือเกิดความรู้สึกนิยมชอบประเทศที่ให้ความ ช่วยเหลือไม่มากก็น้อยอย่างไม่ต้องสงสัยนอกจากน้ียังก่อให้เกิดความรู้สึกแก่บรรดาประเทศท่ีได้รับความ ช่วยเหลือวา่ ประเทศทีห่ ยบิ ย่นื ใหค้ วามชว่ ยเหลือตัวนนั้ ออกคบหาสมาคมและพ่งึ พาได้ในยามยาก ค. เครอ่ื งมอื ทางทหาร (military Instrument) ในเวทีการเมืองระหว่างประเทศปัจจุบัน เคร่ืองมือที่ใช้ในการดาเนินนโยบายต่างประเทศท่ีสาคัญอีก อยา่ งหนึ่งได้แก่ เคร่ืองมือทางทหาร เพราะเป็นเคร่ืองมอื อันสดุ ทา้ ยที่ใช้ในการตัดสนิ ขอ้ ขัดแย้งระหว่างประเทศ และรักษาผลประโยชน์ของตนในเมื่อไม่สามารถจะตกลงกันได้โดยวิธีทางการทูต หรือกล่าวอีกนัยหนึ่งก็คือว่า อา่ นมีกาลังทหารเป็นเคร่ืองมือสาคัญในการดาเนินนโยบายต่างประเทศในด้านชว่ ยป้องกันการรุกรานและการ รักษาไว้ซึ่งภาพ อย่างไรก็ดีการใช้เครื่องมือทางทหารบางคร้ังอ่านดาผมร้ายมาสู่ได้ เช่น กาลังทหารอาจนา ความพินาศมาสู่ประเทศได้ ถ้าหาไม่พิจารณาดูให้ดีเสียก่อนดังเช่น เยอรมันและญ่ีปุ่น เป็นต้น ส่วน สหรัฐอเมริกาซ่ึงเป็นประเทศที่ใหญ่ เครื่องมือทางทหารจึงจาเป็นอย่างย่ิงสาหรับสหรัฐอเมริกา ไม่เพียงแต่ใน ด้านอารักขาตนเองเท่าน้ันแต่ยังจาเป็นในการป้องกันไม่ให้ประเทศอ่ืนทเ่ี ป็นมติ รและเป็นกลางตกเป็นเหย่ือของ ฝา่ ยคอมมิวนิสต์ สหรัฐอเมริกาเชื่อว่าคอมมิวนิสต์ต้องการจะครองโลก เพราะเลนินได้กล่าวว่าตราบใดท่ีโลกมี การปกครองสองแบบ คือ แบบลัทธินายทุนและแบบลัทธิสังคมนิยมในรูปคอมมิวนิสต์เราจะไม่มีวันสันติสุข และทกุ ครั้งท่ผี ู้นาของโซเวยี ตแสดงความเคลอ่ื นไหวก็มาจากแสดงใหเ้ หน็ ว่าโซเวียตตอ้ งการทีจ่ ะของโลก ในการป้องกันประเทศอ่ืนมีให้ตกเป็นเหยื่อของพวกคอมมิวนิสต์น้ัน สหรัฐอเมริกาได้ใช้เครื่องมือทาง ทหารในรูปของการให้ความชว่ ยเหลือท้ังในด้านอาวุธและการฝึกอบรม เพราะสารัทธ์อเมริกามีความเห็นวา่ แม้ ตนจะมีกาลังมหาศาลก็ตาม ถ้าประเทศอื่นมีความอ่อนแอ ผลท่ีเกิดข้ึนไม่ใช่เพียงแต่ประเทศที่อ่อนแอเท่านั้น ตกเป็นเหยื่อของพวกคอมมิวนิสต์ แต่ต้นอาจจะได้รบั ภัยอันตรายซงึ่ อาจหมายถงึ ตัวในวันใดวนั หนึ่งก็ได้ ดังนั้น สาระอเมริกาในปัจจบุ ันจึงต้องใช้งบประมาณความช่วยเหลือทางด้านการทหารปีหนึ่งเป็นจานวนมหาศาลเช่น ในปีค.ศ. 1969สหรัฐอเมริกาได้ให้การช่วยเหลือทานอาหารต่อประเทศต่างๆในรูปเงินกู้และเงินให้เปล่าเป็น

จานวนถึง 2532 ล้านบาทและ 2668 ล้านบาทตามลาดับและในปีค.ศ. 1969 ถึงปีค.ศ. 1970 ประเทศ ท้ังหลายแห่งโลกที่สาม (Third World) ได้รับความช่วยเหลือทางด้านอาวุธประเภทต่างๆจากบรรดาประเทศ มหาอานาจตามตารางขา้ งลา่ งนี้เปน็ จานวนมาก ในทานองเดียวกันฝ่ายสหภาพโซเวียตก็กระทาการเช่นเดียวกับสารัทธ์อเมริกาท้ั งน้ีเพ่ือป้องกันไม่ให้ ประเทศบรวิ ารของตนเอาใจออกหา่ งหรือไปเขา้ กับพวกไปลทั ธิเสรีประชาธิปไตย ในภาวะสงครามเย็นในปัจจุบัน กาลังทหารเป็นส่ิงจาเป็นสาหรับในการดาเนินนโยบายต่างประเทศ เพราะการมีกาลังทหารท่ีเข้มแข็งไม่เพยี งแต่ช่วยป้องกันการรกุ รานเท่านั้นแต่ยงั ช่วยให้ชาตอิ ื่นมีความเคารพยา เกรงนับถือในอานาจทางการทหารที่ตนมีอยู่ อย่างไรก็ดี รัฐบาลของประเทศจะต้องคานึงถึงเสมอว่า การใช้ จ่ายในด้านการอาหารมีระดับสูงและจะต้องเหมาะสมกับขีดความสามารถทางเศรษฐกิจของประเทศ เพราะ ไม่เชน่ นน้ั แล้วจะทาให้ประเทศนัน้ ประสบความยุ่งยากในทางเศรษฐกิจทนั ที ดงั น้นั ประธานาธิบดีซูการโ์ น แห่ง อินโดนีเซียได้เคยประสบมาแล้วในปีค.ศ. 1965ประเทศที่ฉลาดมักจะใช้เครื่องมือทานอาหารควบคู่ไปกับ เคร่ืองมือทางการทูต โดยนาเครื่องมือทางการทูตมาใช้ก่อนสิ่งอ่ืนในกรณีท่ีมีปัญหาและข้อขัดแย้งเกิดข้ึน และ เคร่ืองมือทางการอาหารจะถูกนามาใช้ก็ต่อเม่ือไม่มีทางเลือก ตัวอยา่ งเช่น ประธานาธบิ ดีนิกสัน สหรฐั อเมริกา ได้กล่าวเน้นว่า สารัทธ์อเมริกาไม่เพียงแต่รักษากาลังด่านให้เข้มแข็งเพ่ือเป็นหลักประกันสันติภาพของโลก เท่านั้น แต่จะใช้เคร่อื งมือทางการทตู ก่อนส่ิงอนื่ ในการแก้ไขปัญหาที่สารทั ธ์มีอยู่กบั ประเทศอ่นื ๆใหห้ มดไป ในปัจจุบันประเทศที่ใช้เคร่ืองมือทางทหารในการดาเนินนโยบายต่างประเทศส่วนมากได้แก่ ประเทศ มหาอานาจซึ่งมีฐานะร่ารวย โดยเฉพาะอย่างยิ่งสหรัฐอเมริกาและสาภาพโซเวียต ซึ่งต่างก็เป็นหัวหน้าของแต่ ละฝ่ายในสงครามเย็น ส่วนใครจะเป็นผู้ประสบความสาเร็จในการใช้เครื่องมือทางทหารในการดาเนินนโยบาย ตา่ งประเทศมากกว่าการนั้นเป็นเร่ืองท่ีไม่อาจตัดสินลงไปเห็นได้โดยเด็ดขาด ท้ังนี้ก็เพราะไม่มีวิธีการอันใดท่ีใช้ วัดความสาเร็จในเรอ่ื งนอี้ ย่างเห็นได้ชดั ในปัจจบุ ัน ง. เครือ่ งมือทางเศรษฐกิจ (Economic Instrument) ในการดาเนินนโยบายต่างประเทศนั้น จะต้องอาศัยเครื่องมือทางทหารหรือกาลังทหารน้ันไม่เพียงพอ จะต้องมีกาลังทางเศรษฐกิจไว้ด้วย มิฉะน้ันแล้วก็เท่ากับมีปืนแต่ไม่มีลูกกระสุนสาหรับหญิง เน่ืองจากประเทศ ต่างๆบ้างก็รวยบางคนจน ฉะน้ันประเทศทั้งหลายจึงไม่อยู่ในฐานะท่ีจะใช้เคร่ืองมือทางเศรษฐกิจได้อย่างเท่า เทียมกัน ประเทศท่ีมีฐานะทางเศรษฐกิจดีย่อมสามารถเอาประโยชน์จากการใช้เครื่องมือนี้ในการดาเนิน นโยบายต่างประเทศได้มากกว่าประเทศท่ียากจน นอกจากน้ีแล้วประเทศท่ีมีฐานะร่ารวยยังสามารถใช้ เศรษฐกจิ เป็นเคร่อื งมอื สตลู ให้ประเทศที่อ่อนแอในด้านเศรษฐกิจไม่เป็นมติ รได้อกี ด้วย ในปัจจบุ นั เครือ่ งมอื ทางเศรษฐกิจทปี่ ระเทศร่ารวยนิยมใชก้ ันอย่บู ่อยๆ มกั เป็นในรูปการคา้ ขาย และการ ให้ความช่วยเหลือทางดา้ นเศรษฐกิจ บางคร้ังฉันมกี ารใชว้ ธิ ีการทง้ั สองอย่างพรอ้ มพร้อมกันไปเลยทเี ดียวการค้า ขายดูเหมือนจะเป็นวิธีท่ีให้ประโยชน์แก่ประเทศที่ใช้เคร่ืองมือน้ีมากกว่าใช้วิธีอ่ืนๆเพราะการค้าขายไม่ทาให้ ประเทศต้องเสียผลประโยชน์ทางเศรษฐกิจไปเหมือนกันให้ความช่วยเหลือในรูปเงินให้เปล่า (Grant in-Aid) นอกจากนี้ยังทาให้ประเทศที่ค้าขายด้วยไม่มีความสงสัยในเจตนาท่ีแท้จริงที่ตนแอบแฝงอยู่ เพราะการให้แบบ เราเปล่าน้ันโดยปกติแล้วผู้รับมัดจามีความสงสัยในเจตนาของผู้ให้มีเจตนาดีหรือร้ายอย่างไร่ อย่างไรก็ตาม ประเทศท่ีมีฐานะทางเศรษฐกิจม่ันคง เช่น สหรัฐอเมริกาและสภาพโซเวียต ก็มักจะให้ความช่วยเหลือทางด้าน

เงินทองพอๆกับการค้าขาย ทั้งนี้ก็เพราะท้ังสองประเทศไม่ได้หวังผลในทางเศรษฐกิจ แต่หวังผลในการท่ีจะจูง ใจหรือดงึ ประเทศที่ได้รบั การช่วยเหลือเข้ามาเปน็ พรรคพวกของตน ซงึ่ เป็นการขยายอิทธพิ ลของตนโดยปรยิ าย หรอื กลา่ วอกี นยั หน่ึงกค็ อื ประเทศมหาอานาจทงั้ สองใช้วธิ ีการคา้ ขาย เพ่อื ผลประโยชนท์ างการเมอื งนน่ั เอง ในปัจจุบันทุกประเทศต่างก็พยายามที่จะใช้เคร่ืองมือทั้ง 4 อย่างดังกล่าวให้ได้ผลประโยชน์และเป็นผลสาเร็จ ตามเป้าหมายมากทส่ี ุดปัจจยั ท่มี ีกาลงั อานาจมากมากใชเ้ คร่ืองมือท้ัง 4 อย่างพรอ้ มกันเลยทีเดียว ส่วนประเทศ ที่มีกาลังน้อยไม่สามารถที่จะใช้เคร่ืองมือทั้ง 4 ได้อย่างครบถ้วน เช่น ประเทศไทย เป็นต้น ส่วนมากแล้ว ประเทศที่มีอานาจน้อยใช้เคร่ืองมือทางการทูตแต่เพียงอย่างเดียว เพราะถ่านหน้าท่ีโดยทางเศรษฐกิจได้ปิด โอกาสของประเทศดังกล่าวในการใช้เคร่ืองมือทางจติ วิทยา เครื่องมือทางเศรษฐกิจ และเครื่องมือทางทหารได้ อย่างเต็มท่ี อย่างไรก็ตามประเทศเล็กๆท่ีมีอานาจน้อยก็เคยได้รับผลสาเร็จมาแล้วในการใช้เครื่องมือทางการ ทูตในการดาเนินนโยบายต่างประเทศ เช่น ประเทศไทย ได้ใช้วิธีทางการทูตช่วยให้หลุดพ้นจากการตกเป็น อาณานิคมของประเทศอังกฤษและฝร่ังเศสในสมัยโบราณ ดังน้ันจึงอาจกล่าวได้ว่าความสาเร็จในการดาเนิน นโยบายต่างประเทศไม่จาเป็นต้องอาศัยเคร่อื งมอื ทง้ั 4 อยา่ ง การใช้เครือ่ งมืออย่างใดอย่างหนึ่งใน 4 อย่างโดย สขุ มุ และรอบคอบแลว้ ก็สามารถนามาซ่ึงผลแห่งความสาเรจ็ ในการดาเนินนโยบายต่างประเทศได้

ภาคท่ี 3 ปจั จยั ตา่ งๆท่ีส่งผลต่อความสัมพนั ธร์ ะหวา่ งประเทศ บทที่ 1 สทิ ธินยิ มในความสมั พันธร์ ะหว่างประเทศ 1.ลัทธชิ าตินิยม (Nationalism) “ลักทธิชาตินิยม” เป็นลัทธิที่เน้นถึงความจงรักภักดีท่ีมีต่อชาติมากกว่าสิ่งอ่ืนใดไม่ว่าส่ิงน้ันจะเป็น ครอบครัว กลุ่มของคน วงศาคณาญาติ หรือประชาชนชาติ คาว่า “ลัทธินิยม” น้ันมักถูกนามาพูด เขียน และนามาถกเถียงกันในเร่ืองเกี่ยวกับการเมืองระหว่าง ประเทศ อาจกล่าวได้ว่าลัทธิชาตินิยมมีอิทธิพลและบทบาทต่อส่ิงแวดล้อมประจาวันของมนุษย์ มนุษย์น้ันโดย ปกติแลว้ มักจะมีสิ่งผูกมัดจิตใจ ซง่ึ ทาให้เรารู้สึกวา่ เขาเป็นพวกเรา หือคนละพวก ความผูกพันท่ีสาคัญซ่ึงมัดให้ คนเรามคี วามรู้สึกว่าเป็นเพื่อนเดียวกันนั้นมีหลายด้านกัน อาทเิ ชน่ ความผูกพันทางด้านการเมือง ทางดนิ แดน ทางภาษา ทางวัฒนธรรม ทางศาสนา และเชื้อชาติ ความผูกพันต่างๆเหล่านี้ เป็นสิ่งที่ทาให้เกิดความรู้สึกอัน ร่วมกันของคนในชาติที่มีต่อชาติของตนเอง ซง่ึ ทาให้เกิดลทั ธิชาตนิ ิยมข้ึน ลัทธินี้อาจเห็นไดใ้ นรัฐซึ่งประกอบไป ด้วยอานาจและอธิปไตยอย่างสมบูรณ์ เช่น อังกฤษ และฝร่ังเศสในสมันโบราณ และได้แผ่ขยายไปในดินแดน ต่างๆ ทั่วโลก ความรู้สึกทางชาตินิยมน้ี ถ้ามีจุดประสงค์หรือมุ่งหมายไม่เหมือนกันก็มักก่อให้เกิดความวุ่นวาย และทาให้คนในชาติฆ่ากันเอง เช่น การรบพุ่งระหว่างคนเผ่าไอโบ (Ibo) ซึ้งต้องการแยกแคว้นไปแอฟรา (Biafra) ออกเป็นอิสระจากไนจีเรียกับฝ่ายรัฐบาลซ่ึงเป็นคนเผ่าอื่น ความรู้สึกในด้านการร่มกันและเป็นพวก เดียวกันอันเกิดจากลัทธิชาตินิยมน้ัน จะมีความเข้มแข็งก็ต่อเมื่อเกิดกรณีที่จะต้องไปชิงดีเชิงเด่นกับพวกอ่ืนๆ ความรสู้ ึกเหล่านี้จะถูกถา่ ยทอดไปถึงระดบั ชาตดิ ้วย ความรู้สึกและการเคล่ือนไหวในชาตินิยม ไม่เพียงแต่แผ่ขยายในยุโรปเท่าน้ัน แต่ยังได้แผ่ไปถึงทวีป เอเซียและอาฟริการด้วย อาจสรุปได้ว่าลัทธิชาตินิยมมักพบเห็นปรากฏการณ์อยู่ในรัฐอาณานิคม ซึ่งมี ขนบธรรมเนียมประเพณีเช่นเดียวกับอเมริกา ลาตินอเมริกา และประเทศในเคร่ืองจักรภพอังกฤษ รวมทั้งใน หมู่ของประชาชน ซึง่ พยายามรวมตวั กนั เปน็ กลุม่ เช่น ชาวเยอรมนั และอติ าลรี ะหวา่ งศตวรรษที่ 14 เปน็ ต้น อิทธิของลัทธิชาตินิยม ทาให้เกิดเหตุการณ์หลายด้านด้วยกัน กล่าวคือ ทาให้คนในชาติมีมานะขยัน ขันแข็ง เพื่อจะสร้างชาติของตัวให้ก้าวหน้ารุ่งเรือง เช่น คนเยอรมันและคนญี่ปุ่น ซึ่งแสงครามโลกครั้งที่ 2 ไม่ นานกร็ ุ่งเรืองกา้ วหน้าท้ังในด้านเศรษฐกิจ สังคม และการเมืองมากกวา่ ประเทศบางประเทศที่ไม่ได้แพ้สงคราม บางครั้งอิทธิพลของชาตินิยมนอกเหนือไปจากการฆ่าฟันระหว่างชนชาติเดียวกัน ยังทาให้คนในชาติเห็นแก่ตัว ชาติท่ีร่ารวยท่ีไม่ค่อยจะสนใจชาติท่ียากจนโดยมักโฆษณาว่า ให้ความช่วยเหลือมากว่าชาติยากจนท่ีต้องการ ความช่วยเหลือ แตค่ วามจริงแลว้ ให้ความช่วยเหลือเพียงเล็กน้อยเท่าน้ัน ทงั้ นกี้ ็เพอื่ หวังจะได้รับส่ิงตอบแทนให้ คุ้มค่า เช่น ครั้งหนึ่งรัสเซียเคยให้ความช่วยเหลือจีนแดงทางดา้ นเศรษฐกิจและการทหาร เม่ือรัสเซียเห็นว่าจีน แดงก้าวหน้าอย่างรวดเร็วก็หยุดให้ความช่วยเหลอทันที ประการสดุ ท้าย ลัทธิชาตินิยมบางครั้งก่อให้เกิดความ

เปลี่ยนแปลงในนโยบายของรัฐ อาทิเช่น อังกฤษ และฝรั่งเศส เคยเป็นไม้เบ่ือไม้กันมานาน แต่พอเกิด สงครามโลกคร้ังท่ี 2 ก็หันมาช่วยกันรบกับฝ่ายเยอรมัน รัสเซียเคยรบเคียงบ่อเคียงไหล่กับสัมพันธมิตร แต่ หลังจากเกิดสงครามเยน็ ข้ึน (Cold War) กม็ ที า่ ทเี ป็นปฏปิ กั ษต์ ่อกล่มุ ประเทศสมั พันธมติ ร 2. ลทั ธิคอมมวิ นสิ ต์ (Communism) ลทั ธิคอมมิวนิสต์ หมายถึง ลัทธิมาร์กซิสต์-เลนินนิสต์ (Marxist-Leninist Doctrine) ซึ่งมีจุดมุ่งหมาย ทจี่ ะเปล่ียนแปลงปฏิวตั ิสังคมให้เป็นไปตามกระบวนการและการวิธีการที่ได้กาหนด เพื่อใหบ้ รรลุถึงจดุ ประสงค์ ท่ีลัทธคิ อมมวิ นิสตไ์ ดว้ างไว้ ผู้ที่เป็นเจ้าตารบั นี้ได้แก่ นายคาร์ล มาร์กซ์ (Karl Marx) ซ่งึ เปน็ ชาวเยอรมัน โดยได้ เขียนทฤษฎีของมาร์กซ์มาดัดแปลงใช้ให้เหมาะสมกับสภาพแวดล้อมของประเทศรัสเซีย และได้เเพร่ขยายเข้า ไปในประเทศจนี เป็นอันดบั แรก และในท่ีสุดลัทธิน้ี แบ่งออกเปน็ 2 คา่ ย คอื ค่ายจีนแดงและค่ายรสั เซยี ลัทธิ 2 ค่ายน้ี ตีความหมายลัทธิคอมมิวนิสต์ไปคนละแบบ โดยต่างฝ่ายเช่ือว่าแบบท่ีตนยึดถือปฏิบัติยู่เป็นสิ่งท่ีถูกต้อง กว่าแบบอ่ืน ลัทธิคอมมิวนิสต์มีผลกระทบกระเทือนต่อความสัมพันธ์ระหว่างประเทศรัสเซียและจีนแดง ในแง่ท่ีว่า อุดมการณ์ของสองค่ายไม่เหมือนกัน ซ่ึงทาให้ไม่มีความไว้วางใจซ่ึงกันและกัน จึงก่อให้เกิดความแตกแยก ระหว่างสองค่ายน้ีอย่างรุนแรง ซ่ึงทาให้ไม่มีความไว้วางใจซ่ึงกันและกัน จึงก่อให้เกิดความแตกแยกระหว่าง สองคา่ ยนรี้ นุ แรง ถึงขัน้ ตอ่ สู้ซ่งึ กนั และกนั ระหว่างชายแดนของประเทศท้ังสอง นอกจากนี้แล้ว ลัทธิคอมนิวนิสต์ยังได้พยายามแผ่อิทธิพลเข้าไปในบรรดาประเทศในเอเซีย อัฟริกา และยุโรป โดยเฉพาะอย่างย่ิงประเทศบางประเทศในอัฟริกาและยุโรปตะวันตก ยึดถือหลักนโยบายสังคมนิยม ซงึ่ ใกล้เคียงกบั หลักการของคอมมิวนิสต์อยา่ งมาก ซงึ่ หลักการของคอมมวิ นสิ ตย์ ึดถือหลักท่ีว่ารฐั อยเู่ หนือทุกสิ่ง ทุกอย่าง และประชาชนท้ังหลายท่ีเกิดมานั้น จะต้องทาตามคาส่ังรัฐ การแพร่หลายของลัทธิคอมมิวนิสต์ ดังกล่าว ทาให้มีการจัดต้ังพรรคคอมมิวนิสต์ในประเทศต่างๆในเอเซีย แอฟริกา และยุโรปตะวันออก โดยมี จุดมุ่งหมายที่จะทาให้อึดมการณ์ลัทธินี้บรรลุผลซึ่งความสาเร็จ ภายในลัทธิคอมมิวนิสต์ ธุรกิจและกิจการทุก อย่าง รวมท้ังการงานของประชาชนภายในรัฐตกเป็นของรัฐแต่ผู้เดียว ประชาชนไมม่ ีโอกาสไมม่ ีโอกาสแสงวหา ผลกาไรจากการดาเนินงานธรุ กิจ กล่าวง่ายๆ กค็ ือ ใหป้ ระชาชนเป็นกรรมการ ประเทศเปน็ โรงงาน และรัฐเป็น นายจ้างตามหลักการดังกล่าว ลัทธิคอมมิวนิสต์มีวัตถุประสงค์ตรงกันข้ามกับลัทธินายทุน ซึ่งเป็นลัทธิที่นิยม การแบ่งชนช้ันและนิยมการค้าแบบเสรี (Laissez-Faire) โดยท่ีพวกช้ันกลาง (Middle Class) ได้อาศัยลัทธิ นายทุนเป็นเครื่องมือยึดครองสังคม จะเห็นได้ว่าเลนินและพวกได้ล้มล้างพวกนิยมลัทธินายทุน ในปี 1914 - 1918 ในรสั เซียโดยใชเ้ ครอื่ งมอื ของรฐั ต่อต้านและทานายพวกดังกล่าว 3. ลัทธินานานิยมระหว่างประเทศ (Internationalism) ลัทธินานานิยมระหว่างประเทศ เป็นท่ีนิยมของพวกสากลนิยม (Universalist) นักคิดพวกนี้มีความ เชื่อว่ารัฐไม่มีเสรีภาพท่ีจะทาสิ่งใดที่ใจปรารถนา เพราะการกระทาของรัฐ ถูกจากัดโดยกฎหมายระหว่าง ประเทศ ขนบธรรมเนียมประเพณี เพราะฉะน้ันเป็นการยากที่จะกล่าวว่า รัฐมีอานาจอธิปไตยอย่างแทจ้ ริง ทุก วันนี้รัฐดารงอยู่ได้ก็เพราะปฏิบัติตามกฎเกณฑ์ระหว่างประเทศและอยู่ภายใต้อิทธิพลของปัจจัยต่างๆเช่น ปัจจัยทางดา้ นภมู ศิ าสตรแ์ ละการเมือง ปจั จัยทางด้านประเพณแี ละวัฒนธรรม พวกสากลนิยมยังมคี วามคิดเห็น ต่อไปอีกว่า รัฐจาเป็นจะต้องอยู่ร่วมกับรัฐอื่น โดยพึ่งพาอาศัยซ่ึงกันและกัน ความสัมพันธ์ระหว่างรัฐจะต้องมี

ลกั ษณะอะล้มุ อล่วยกัน หรือกล่าวอีกนยั หน่ึงคอื มีการยับย้งั การใช้อานาจอธิปไตยในกรณที ี่เห็นว่าการใช้อานาจ ดงั กล่าวจะเปน็ การละเมิดอธิปไตยของรัฐอ่ืน รัฐบาลบางรัฐอาจงดการใช้อานาจอธิปไตยเพ่ือเอาในรฐั อ่ืน รัฐได้ ตง้ั องค์การระหว่างประเทศเพื่อควบคมุ แก้ไขปัญหาการอยู่รว่ มกันระหว่างรฐั โดยการออกกฎเกณฑ์ควบคุมการ ใช้อานาจอธิปไตยของรัฐ เช่น องค์การสหประชาชาติ ดังน้ัน จึงเห็นได้ว่าการมีองค์การระหว่างรัฐเป็นการ จากัดอานาจอธิปไตยของรฐั อีกทางหน่งึ แตจ่ ะจากัดภายใตก้ ารควบคมุ ขององค์การดงั กล่าว 4. ลทั ธิฟาสซสิ ต์ (Fascism) มสุ โสลนิ ี ผูม้ อี านาจของอิตาลีสมัยสงครามโลกคร้ังท่ี 2 เป็นผนู้ าลัทธฟิ าสซิต์มาใช้โดยมีความเชื่อถือใน หลักท่ีว่า ผู้ที่มีอานาจและเข้มแข็งเท่าน้ันมีสิทธิในการปกครอง ผู้อ่อนแอไม่มีสิทธิดังกล่าว และการปกครอง โดยคนกลุ่มน้อยเป็นการปกครองทีด่ ีที่สดุ คนทุกคนเกิดมาเพ่ือรัฐและรบั ใชร้ ัฐตลอดไป การปกครองโดยลัทธินี้ กระทบกระเทือนจ่อรัฐอ่ืน เพราะลัทธินี้มีความเช่ือว่าความก้าวหน้าของรัฐอยู่กับการขยายดินแดนอานาจ ถ้า หากจะต้องทาสงครามกับรัฐอ่ืน เพ่ือก้าวหน้าของรัฐแล้วรัฐก็ต้องกระทาเพราะฉะนั้นสงครามในความคิดของ พวกฟราซสิ ต์ถอื วาเปน็ ส่ิงทีช่ อบธรรม 5. ลทั ธนิ าซี (Nazism) ลัทธนิ าซนี ี้ มคี วามเชื่อว่าประเทศจะต้องปกครองตามแบบ Nazism คือ ระบบผสมผสานระหวา่ งแบบ Facism กับหลักของเยอรมันท่ีว่า โลกทจ่ี ะต้องปกครองโดยชนเผ่าเดียวแบบเผ่าอารยัน (Arayan) ฮิตเลอร์ ใน ฐานะผู้นาลัทธนาซีเช่ือว่าชนชาติอารยันเป็นผู้มีคุณสมบัติพิเศษ โดยมีลักษณะเหนือกว่าประเทศอื่นๆ ในด้าน ความฉลาดและด้านความสามารถที่จะทาให้ตนเป็นประโยชน์ต่อโลก ลัทธินี้เกือบครองโลก ถ้าหาก สหรัฐอเมริกาไม่ร่วมฝนสงครามโลก ลัทธินี้ไม่ก่อให้เกิดสันติภาพระหว่างประเทศ เพราะลัทธิน้ีเช่ือว่า การ ขยายอานาจควรกระทาโดยการใช้กาลัง เพราะกาลังเป็นสิ่งดลบันดาลให้รัฐกระทาสาเร็จตามเป้าหมายท่ีได้ กาหนดไว้ เพราะฉะนัน้ ความสมั พันธร์ ะหวา่ งประเทศเยอรมัน ในสมัยสงครามโลกคร้ังที่ 2 กับประเทศอ่นื ๆ จึง ใช้กาลังเป็นฐานสาคัญโดยเฉพาะอย่างย่ิงเยอรมันจะมีความสัมพันธ์กับประเทศใด ประเทศน้ันจะต้องมีกาลัง เท่าเทียมกับตน ไม่ขัดขวางจุดประสงค์และการดาเนินงานของตน ดังนั้น เยอรมันจึงมีความสัมพันธ์กับญ่ีปุ่น อย่างฉันมิตร เพราะญป่ี ุ่นมีอานาจมากในภาคพนื้ เอเชีย และมีจุดประสงค์สอดคลอ้ งกับเจตนารมณข์ องนาซี ใน เรอื่ งการแผ่อานาจโดยการรุกรานแบบใช้กาลัง เช่น ญี่ปุ่นได้แผ่อานาจในขอบเขตเอเซียโดยการรุกรานจนั และ ประเทศต่างๆในภาคพน้ื เอเซยี ในระหวา่ งสงครามโลกครง้ั ท่สี อง เป็นต้น 6. ลทิ ธิจกั รวรรดนิ ิยม (Imperialism) ลัทธิจักรวรรดินิยมเป็นลัทธิมุ่งท่ีจะขยายอานาจและอาณาเขตเข้าไปในดินแดนส่วนต่างๆนอกจาก ประเทศของตน อาจกลา่ วไดว้ ่าลัทธิจักรวรรดินิยมมีสว่ นคล้ายคลึงกัลป์ลัทธิเผด็จการในขอ้ ท่ีวา่ ชอบแผ่อานาจ และอาณาเขตแม้จะต้องใช้กลังก็ตาม เช่น ลัทธินาซี ลัทธิฟาสซิสต์ และลัทธิคอมมิวนิสต์ เป็นต้น ลัทธิ คอมมิวนิสต์แตกต่างกับลัทธิฟาสซิสต์และนาซี ในแง่ท่ีว่าต้องการขยายอานาจและดินแดนเพ่ือทาลายสิทธิอ่ืน ซ่ึงมีความบกพร่องให้หมด ส่วนลัทธิฟาสซิสต์และนาซีมุ่งขยายอานาจและดินแดนเพ่ือแสดงให้เห็นถึงความ ยิ่งใหญ่ของเผ่าหรือชาติของตน ลัทธิจักรวรรดินิยมเป็นลัทธิที่ฝ่ายประเทศมหาอานาจฝ่ายตะวันตกชอบใช้ อานาจ และดินแดนของตน ซึ่งบางคร้ังเป็นท่ีเรียกกันทั่วไปว่า “จักรวรรดินิยมตะวันตก” (Western Imperialism) หรือจักรวรรดินิยมอเมริกัน (American Imperialism) ซึ่งเรียกโดยฝ่ายคอมมิวนิสต์ จีน

คอมมิวนิสต์เห็นว่าการแกครองตนเองในแบบอื่นๆสู้การปกครองแบบคอมมิวนิสต์ไม่ได้ เพราะไม่สามารถจะ รอดพ้นจากลทั ธิจักรวรรดนิ ยิ ม ลทั ธิจกั รวรรดนิ ิยม เมื่อแพร่หลายไปถึงท่ีใดมักจะทาใหเ้ กิดการเปลี่ยนแปลงในท่นี ้ันอยเู่ สมอ เช่น การ เปลี่ยนแปลงในเร่ืองนโยบายหรือการปกครอง เป็นต้น ซ่ึง คากาโนวิช ผู้นา โซเวียตกล่าวว่า “ลัทธิจักรวรรดิ นิยมเปน็ ตัวกระต้นุ ที่ทาใหเ้ กิดการเปลีย่ นแปลง” สาเหตุที่ทาให้ลัทธิน้ีเกิดข้ึน เนื่องจากมูลเหตุจูงใจทางเศรษฐกิจ (Economic Motivation) ซ่ึงเป็น สาเหตุท่ีถูกนามาอ้างโดยนักวิชาการและนักการเมืองอยู่เน่ืองๆเพราะการขยายอานาจและดินแดนนั้นทาให้ ได้มาซ่ึงผลประโยชน์ตา่ งๆอาทิเชน่ การขยายตัวของลัทธิจักรวรรดินิยมน้ัน ได้มีมานานแล้วก่อนสงครามโปเลียนซึ่งในสมัยน้ันดินแดนใน ยุโรปได้ถูกแบ่งออกเป็นจักรวรรดินิยมต่างๆ เช่น จักรวรรดิออตตามัน (Ottaman Empire) และจักรวรรดิ ออสเตรีย-ฮังการี เป็นต้น ต่อมาในศตวรรษที่ 18 อังกฤษได้แผ่อานาจและอาณาเขตไปถึงมลายู ลังกา และ แอฟริกาใต้ ซึ่งแต่ก่อนอยู่ในความปกครองของพวกดัช (Dutch) เพ่ือชดเชยดินแดนที่ตนต้องเสียในปี ค.ศ. 1776 ในสมัยนั้นสเปญพยายามแผ่อาณาเขตแต่ก็ถูกขัดขวางโดยสหรัฐอเมริกา และอังกฤษ ซึ่งได้รับการ คุ้มครองและป้องกันจาก Holly Aliance อันมีรัสเซีย ออสเตรีย และปรัสเซียเป็นสมาชิกในปี 1823 ประธานาธิบดีมอนโร (Monroe) แห่งสหรัฐอเมริกาได้ประกาศนโยบาย ซึ่งไม่เห็นชอบด้วยกับการยึดครอง ดินแดนโลกใหม่ คือ เอเซียและอัฟริกา แต่อังกฤษหาสนใจนโยบายดังกล่าวไม่กลับแผ่ขยายอานาจอาณาเขต ของตนทมี่ ีอยู่เดิม โดยเขา้ ยึดครองประเทศอนิ เดยี และประเทศอน่ื ๆในภาคพน้ื เอเชีย การยึดครองดินแดนต่างๆของประเทศมหาอานาจยูโรปอันสืบเน่ืองมาจากแรงกระตุ้น ของลัทธิ จักรวรรดินิยมน้ันบางครั้งนาไปสู่ความวุ่นวายไปดินแดนน้ันๆอาทิเช่นในปี ค.ศ.1857 ได้เกิดการฆ่ากันตายที่ เมืองซีปอย (Sepoy Mutiny) อย่างขนาดใหญ่ในอินเดีย นอกจากน้ีแล้ว การที่รัฐมหาอานาจในยุโรปต่างเข้า ยึดดินแดนในยุโรปและโลกใบใหม่น้ัน บางคร้ังก็มรการขัดแย้งในเรื่องผลประโยชน์ และทาให้เกิดการต่อสู้ซึ่ง กันละกันจนเป็นสงครามใหญ่โต เช่น สงครามระหว่างอเมริกากับสเปญ (American Spanish War) เป็นต้น หลังจากท่ีสงครามโลกคร้ังท่ี 2 สงบลง การขยายแดนิแดนของประเทศมหาอานาจเริ่มลดลง เพราะประเทศ ส่วนมากซ่ึงเป็นสมาชิกขององค์การสหประชาชาติต้องเคารพกฎบัตรสหประชาชาติ ที่ห้ามแสวงหาดินแดน ใหม่ๆโดยใช้ กาลังอานาจ (ดู U.N.Charter , Section II ขอ้ 4) นอกจากน้ันยังเรียกร้องใหป้ ระเทศมหาอานาจ ที่มอี าณานคิ มในดินแดนต่างๆยกเลิกระบบการปกครองแบบอาณานิคมเสยี โดยให้รฐั ที่มีอยู่ในอาณานิคม ได้รับ อิสรภาพและปกครองตนเอง การสนับสนนุ ของสหประชาชาติดังกล่าวทาให้หลายประเทศหลดุ จาการปกครอง แบบอาณานิคม และได้รวมตัวกันเข้าเพ่ือต่อต้านลัทธิอาณานิคมและลัทธิจักรวรรดินิยม โดยพยายามมุ่งจะ ช่วยเหลือให้ชาติเพ่ือนบ้านของตน ท่ียังอยู่ภายใต้อาณานิคมหลุดพ้นจากการปกครองดังกล่าว เช่น กลุ่ม ประเทศเอเซียและอัฟริกา (Afro Asian Bloc) ทาหน้าที่อย่างแข็งขัน โดยการออกเสียงสนับสนุนให้มีการเลิก ล้มลัทธิอาณานิคมหรือลัทธิจักรวรรดินิยมในท่ีประชุมใหญ่สหประชาชาติอยู่เสมอ จากความพยายามดังกล่าว ทาให้ประเทศต่างๆในอัฟริกาเกิดขึ้นใหม่อีกหลายสิบประเทศและประเทศเหล่านี้มีเอกราชและอธิปไตย สมบรูณ์ครบถ้วนเหมือนประเทศอื่นๆทุกประการ โดยเฉพาะอย่างย่ิงในปี ค.ศ.1960 มีประเทศอัฟริกาเกิดข้ึน ใหม่และได้ถูกยอมรับเข้าเป็นสมาชิกขององค์การสหประชาชาติ เป็นจานวนมากกว่าปีใดเท่าท่ีปรากฏมา ใน

ปัจจุบันลัทธิการขยายดินแดนหรืออีกนัยหน่ึง ลัทธิจักรวรรดินิยมกาลังค่อยๆสลายตัวไป เนื่องจากเหตุหลาย ประการ เช่น ลัทธิจกั รวรรดินยิ มถกู ทาลายโดยลัทธิชาตินยิ ม ประเทศมหาอานาจมศี ีลธรรมมากข้นึ หลงั จากที่ ได้รับประสบการณ์จากสงครามโลกสองครั้ง มีความเชื่อมากขึ้นทางฝ่ายตะวันตกกว่าการปกครองและ จักรวรรดินิยม เป็นวิธีท่ีผิด เสียค่าใช้จ่ายสูงซึ่งสมควรจะต้องให้หมดส้ินไปและประการสุดท้ายองค์การ สหประชาชาติมีวัตถุประสงค์คัดค้านการแสวงหาอาณานิคมโดยใช้กาลังอานาจซึ่งบรรดาประเทศสมาชิก จาเป็นต้องเคารพและเชื่อฟัง ถึงแม้ลัทธิจักรวรรดินิยมกาลังจะสูญส้ินไปจากโลกก็ตามแต่ก็มี “จักรวรรดินิยม ใหม่” เกิดข้ึนซึ่งเราเรยี กว่า Neoimperialism ซ่ึงมีหลักการผิดแผกแตกต่างไปจากจักรวรรดินิยมแบบเก่าซึ่งมี การยึดอานาจ และครอบครองดินแดนโดยตรงและเปิดเผยจักรวรรดินิยมแบบใหม่นั้นเพียงแต่ใช้อิทธิพลและ อานาจเท่านั้น ไม่มีการใช้กาลังเข้ายดึ ครองดนิ แดนโดยตรงและเปิดเผย แต่ใช้อานาจและอิทธิพลทางเศรษฐกิจ ทางการทหาร หรือทั้งสองอย่างเข้าครอบงาดินแดนท่ีตนต้องการผลประโยชน์ตอบแทน และรัฐทอี่ ยู่อยู่ภายใต้ อิทธิพลและอานาจดังกล่าวจาเป็นต้องปฏิบัติตามคาเรียกร้อง ของประเทศมหาอานาจ ซึ่งใช้อิทธิพลและ อานาจดังกล่าว โดยเกรงว่า ถ้าตนบิดพล้ิวอาจจะไม่ได้รับความช่วยเหลือจากประเทศมหาอานาจ การที่ ประเทศมหาอานาจใชอ้ ิทธิพลและอานาจทาให้รัฐเล็กๆปฏิบัติตามได้มผี ลเท่าๆกับการใช้กาลงั ยึดครองรัฐเล็กๆ ซงึ่ เคยปรากฏมาแล้วในอดีตจะผิดกันกต็ รงที่ว่าจักรวรรดินิยมสมยั ใหม่ ไมม่ ีการใช้กาลังเข้าบังคับ เพราะขดั ต่อ กฎบัตรขององค์การสหประชาชาติ แต่ใช้เคร่ืองมืออย่างอื่นแทนการใช้กาลัง เช่น การช่วยเหลือทางการทหาร และทางเศรษฐกิจ เป็นต้น เพราะการช่วยเหลือจากตนมาก จนกระทั่งสามารถทาให้รัฐท่ีได้รับความช่วยเหลือ ปฏิบัติตามท่ีตนต้องการหรือบางคร้ังสามารถทาให้นโยบายต่างประเทศของรัฐที่ได้รับความช่วยเหลือ เปลีย่ นแปลงในทางอานวยผลประโยชนใ์ ห้แก่ตนได้

บทท่ี 2 ผูม้ ีบทบาทในความสมั พันธ์ระหว่างประเทศ ผู้มีบทบาท (Actors) ในความสัมพันธ์ระหว่างประเทศมีอยู่หลายชนิดด้วยกัน ผู้ท่ีมีบทบาทใน ความสัมพันธ์ระหว่างประเทศที่สาคัญ ซึ่งถูกนามาพิจารณา ณ ท่ีน้ี ได้แก่ รัฐ เพราะเป็นผู้ท่ีมีบทบาทใน ความสัมพันธ์ระหว่างประเทศที่เด่นท่ีสุด (ผู้ท่ีทาหน้าที่แทนรัฐ ได้แก่ ผู้นารัฐบาล เจ้าหน้าที่ทางการทูต และ กงสุล เป็นต้น ) องค์การระหว่างรัฐบาล (Intergovernmental Organizations) และผู้ท่ีมีบทบาทท่ีมิใช่รัฐ (Non-State Actors) 1.รัฐ (State) ทูต (Diplomat) และกงสลุ (Consul) 1.1 รัฐ เป็นคาทางรัฐศาสตร์ซ่ึงมีรากฐานมาจากคาว่า Polis ซึ่งแปลว่า รัฐ มีผู้ให้คานิยามมากมาย และความยุ่งยากสบั สันน้ัน สว่ นมากมากจากแนววธิ ีการคิดของนักคิดตา่ งๆ เชน่ นักประวตั ิศาสตร์ มกั จะถือว่า รัฐเป็นสิ่งท่ีจับต้องพิสูจน์ได้ (Concrete reality) ส่วนนักปราชญ์ของรัฐไปในแง่นามธรรม (abstract) ซึ่งไม่ อาจจับต้องหรือพิสูจน์ได้คอื เป็นสิ่งท่ีปรากฏขึ้นในห้วงความคิดเท่านั้น ซึ่งสุดแล้วแต่นักปรัชญาจะจินตนาการ ไปใน รูปอย่างหน่ึงอย่างใด คาว่ารัฐนั้น มีความหมายต่างกับคาวา่ ชาติ (Nation) ซ่ึงหมายถึงประชาชนซึ่งส่วน ใหญ่มีเชื้อชาติ (race) เดียวกัน พูดภาษาเดียวกัน นับถือศาสนาเดียวกันและมีขนบธรรมเนียมประเพณีทาง ประวัติศาสตร์อย่างเดียวกัน ส่วนคาว่า ประเทศ (Country) หมายถึง อาณาเขตท้ังหมดของประชาชาติ (Whole territory of nation state) การใช้คาว่ารัฐหรือ State นั้นได้เริ่มใช้ตั้งแต่สมัยกลางหรือสมัยศักดินา (Feudalism) ในทวีปยุโรป ในสมัยน้ันรัฐมีความหมายเพาะชุมชน การเมืองท่ีแยกตัวออกมาเป็นอิสระจาก ระบบศักดินา โดยมีกษัตริย์หรือผู้เจ้าครองนครเป็นผู้ปกครอง ในวงการรัฐศาสตร์ หมายถึง “ชุมชนทาง การเมือง” (political Community) ที่มีประชาชนอาศัยอยู่ในเขตท่ีมีการปกครองของตนเป็นระเบียบ เรยี บร้อยไม่ขน้ึ แก่ใคร ตามกฎหมายระหว่างประเทศ รัฐ (State) เป็นองค์การสังคมทางการเมือง (organized political society) ที่ตั้งขึ้นอย่างถาวร ซ่ึงประกอบด้วยพลเมืองที่อาศัยอยู่ในอาณาเขตที่แน่นอน (fixed territory) มี อานาจอธปิ ไตยในการปกครองอิสระ โดยปราศจากความควบคมุ ของรัฐอน่ื ภายในเขตแดนนน้ั คานิยามดังกล่าวนี้ มีส่วนคล้ายคลึงกับคานิยามที่ ฮาโรลด์ ลาสเวลส์ (Harold Lasswell) ได้ให้ไว้ เกยี่ วกับรฐั บาร์เกอร์ (Barker) กลา่ วว่า รฐั เป็นอธิปัตย์ทีช่ อบด้วยกฎหมายโดยไม่มีองคกื ารนติ ิบัญญตั ิอ่ืนใดท่ีมี อานาจในทางบัญญัติเหนือองค์การนิติบัญญัติของรัฐ นายวูดโร วัลสัน (Wooddrow Wilson) ซึ่งเคยเป็น ศาสตราจารย์ในมหาวิทยาลัยปรินสตัน (Princeton University) และเคยดารงตาแหน่งประธานาธิบดีสังกัด พรรคเดโมแครทของสหรัฐอเมริกา โดยเคยให้คานิยามเกี่ยวกับรัฐว่า รัฐ คือ ประชากรที่มารวมกันเข้าเพ่ือขอ ความพทิ กั ษข์ องกฎหมายภายในเขตแดนท่ีมีกาหนดแน่นอน 1.1 องค์ประกอบของรัฐ จากคาบรรยายข้างตน้ แสดงให้เหน็ ว่าสว่ นประกอบทสี่ าคัญของรฐั ไดแ้ ก่ 1.ประชากร 2.ดินแดนท่มี อี าณาเขตแนน่ อน 3.รัฐบาล 4.อานาจอธิปไตย ซึง่ จะได้พจิ ารณาเปน็ ขอ้ ๆไป


Like this book? You can publish your book online for free in a few minutes!
Create your own flipbook