Important Announcement
PubHTML5 Scheduled Server Maintenance on (GMT) Sunday, June 26th, 2:00 am - 8:00 am.
PubHTML5 site will be inoperative during the times indicated!

Home Explore รายงานวิจัย-การลดความเหลื่อมล้ำผ่านกระบวนการยุติธรรม - อ.ไพสิฐ

รายงานวิจัย-การลดความเหลื่อมล้ำผ่านกระบวนการยุติธรรม - อ.ไพสิฐ

Published by E-books, 2021-03-02 03:53:51

Description: รายงานวิจัย-การลดความเหลื่อมล้ำผ่านกระบวนการยุติธรรม-ไพสิฐ

Search

Read the Text Version

รายงานวจิ ยั ฉบบั สมบูรณ์ “การลดความเหล่ือมลา้ ผา่ นกระบวนการยุติธรรม” สญั ญาเลขท่ี SRI58M0417 1. กระบวนกำรก่อนกำรพจิ ำรณำคดี (หรอื ชนั เจำ้ พนักงำน) 1.1. กำรจับ คมุ ขงั และตรวจคน้ ต่อบุคคล กำรจบั - กำรตรวจสอบถ่วงดลุ ภำยในองคก์ รในเรอื่ งกำรจบั ของเจ้ำพนักงำน กฎหมายก้าหนดวิธีการปฏิบัติและการด้าเนินการของเจ้าพนักงานไว้ค่อนข้างรัดกุม และเพ่ือ คุ้มครองสิทธแิ ละเสรีภาพสว่ นบุคคลจากการปฏบิ ัติของเจ้าพนักงานไว้ ให้มีการปฏิบัติอย่างเป็นขันตอน ตามท่ีกฎหมายและระเบยี บก้าหนด - กำรตรวจสอบถ่วงดุลภำยนอกองคก์ รในเร่อื งกำรจบั ของเจ้ำพนกั งำน องค์กรภายนอก คือ องค์กรศาล ซ่ึงกลไกการตรวจสอบการจับของเจ้าพนักงานนัน มีกฎหมาย ก้าหนดค่อนข้างชัดเจน ในการที่จะด้าเนินการจับกุมตัวผู้กระท้าความผิดอย่างมีประสิทธิภาพ ภายใต้ หลักความชอบด้วยกฎหมาย และมีความโปร่งใส ซ่ึงชีให้เห็นว่าการใช้ก้าลังเป็นมาตรการยกเว้นในการ จับของเจ้าพนักงาน รวมทังมีการตรวจสอบการใช้อ้านาจในการจับของเจ้าพนักงานต้ารวจ โดยองค์กร ศาล ตามหลักเกณฑ์ท่ีกฎหมายก้าหนด 1.2. กำรคุมขังบคุ คล กำรควบคุมระหว่ำงสอบสวน - กำรตรวจสอบภำยในองคก์ ร ปรากฎอยู่ในระเบียบต้ารวจเก่ียวกบั คดี - กำรตรวจสอบภำยนอกองค์กร เนื่องจากเป็นระยะเวลาที่สัน จึงไม่มีกลไกในการตรวจสอบ จากภายนอกองค์กร กำรขังระหว่ำงสอบสวน - กำรตรวจสอบภำยในองค์กร เจ้าพนักงานต้องปฏิบัติตาม ป.วิ.อ. และระเบียบการต้ารวจ เกี่ยวกบั คดี - กำรตรวจสอบภำยนอกองคก์ ร (ศำล) เจา้ พนกั งานต้องปฏบิ ตั ิตามรัฐธรรมนูญ และ ป.ว.ิ อ. 1.3. กำรคน้ ของพนักงำนสอบสวน - กำรตรวจสอบภำยในองค์กร เจ้าพนักงานต้องปฏิบัติตาม ป.วิ.อ. และระเบียบการต้ารวจ เกี่ยวกับคดี - กำรตรวจสอบภำยนอกองคก์ ร (ศำล) เจา้ พนกั งานต้องปฏบิ ัติตามรัฐธรรมนญู และ ป.ว.ิ อ. 2-69

รายงานวจิ ัยฉบบั สมบูรณ์ “การลดความเหลอ่ื มล้า ผา่ นกระบวนการยุติธรรม” สัญญาเลขที่ SRI58M0417 1.4. กำรปลอ่ ยชว่ั ครำวระหว่ำงดำเนนิ คดี - กำรตรวจสอบภำยในองค์กร การปล่อยช่ัวคราวในระหว่างด้าเนินคดีในเร่ืองท่ีเป็นดุลยพินิจ ของ พนักงานสอบสวน เจ้าพนักงานต้องปฏิบัตติ าม ป.วิ.อ. และระเบียบการต้ารวจเก่ียวกบั คดี (ระบุว่า ให้ เจ้าพนักงานใช้ดุลยพินิจหนักไปในทางให้ปล่อยชั่วคราวโดยให้มีประกันไป เว้นแต่คดีส้าคัญ ซ่ึง พนักงานสอบสวนเห็นว่า จะท้าให้เกิดความเสียหายแก่ความเป็นธรรมในคดีนัน( เห็นได้ว่ากฎหมายได้ กา้ หนดใหก้ ารใชด้ ุลยพนิ จิ ในการปลอ่ ยชว่ั คราวเป็นหลกั และการคุมขงั เป็นขอ้ ยกเว้น - กำรตรวจสอบภำยนอกองค์กร ในกรณีที่ผู้ต้องหาถูกควบคุมและยังมิได้ถูกฟ้องต่อศาล และ พนักงานสอบสวนหรือ พนักงานอัยการเป็นผู้ใช้ดุลยพินิจในการปล่อยชั่วคราวนัน ยงั ไม่มีการตรวจสอบ การใช้ดุลยพินจิ โดยองค์กรภายนอก 1.5. กำรสอบสวนผ้ตู ้องหำ - กำรตรวจสอบภำยในองค์กร เจา้ พนักงานต้องปฏิบัติตาม ป.ว.ิ อ.และระเบียบต้ารวจเกย่ี วกับ คดี - กำรตรวจสอบภำยนอกองค์กร เจ้าพนักงานต้องปฏิบัติตาม ปอ.และระเบียบต้ารวจเก่ียวกับ คดี รวมถึง รัฐธรรมนูญและ ป.วิ.อ. แต่ ป.วิ.อ.ไม่ได้ก้าหนดกลไกท่ีจะท้าให้ พนักงานสอบสวน ด้าเนินการโดยชอบ ยังคงมีบางกรณีท่ีควรมีหลักเกณฑ์ที่ชัดเจนในการสอบสวน ซึ่งเป็นกลไกการ ตรวจสอบท่คี วรเพม่ิ เติม 1.6. กำรดำเนินคดกี บั ผู้เปน็ เดก็ หรอื เยำวชน - กำรตรวจสอบภำยในองค์กร เจ้าพนักงานต้องปฏิบัติตามระเบียบการต้ารวจเกี่ยวกับคดี ก้าหนดเรื่องวิธีปฏิบัติต่อเด็กและเยาวชน รวมถึงค้าส่ัง ส้านักงานต้ารวจแห่งชาติ เพ่ือให้การปฏิบัตินัน สอดคลอ้ งกับ ป.ว.ิ อ. - กำรตรวจสอบภำยนอกองค์กร เป็นการตรวจสอบจาก นักจิตวิทยา นักสังคมสงเคราะห์ บุคคลท่ีเดก็ ร้องชอ และพนักงานอยั การ ท่ีอยดู่ ้วยในการถามปากคา้ และการชตี ัวบุคคล 1.7. กำรชันสูตรพลกิ ศพ - กำรตรวจสอบภำยในองค์กร เจ้าพนักงานต้องปฏิบัติตามระเบียบการต้ารวจเกี่ยวกับคดี กา้ หนดเรื่องการชันสตู รพลิกศพ รวมถงึ บันทกึ ขอ้ ความของ สา้ นกั งานตา้ รวจแหง่ ชาติ - กำรตรวจสอบภำยนอกองค์กร หากเป็นกรณีท่ี จนท.ของรัฐเข้าไปเก่ียวข้องไม่ว่าจะเป็นการ ตายในระหว่างถูกควบคุม หรือตายจากการกระท้าของ เจ้าพนักงานโดยตรง เจ้าพนักงานจะต้องปฏิบัติ ตามท่ี ป.วิ.อ.และระเบียบการต้ารวจเก่ยี วกับคดกี า้ หนดการตรวจสอบกรณีการชนั สูตร 2-70

รายงานวิจัยฉบบั สมบรู ณ์ “การลดความเหลอื่ มล้า ผา่ นกระบวนการยตุ ธิ รรม” สัญญาเลขท่ี SRI58M0417 1.8. กำรทำแผนประทุษกรรมและกำรตรวจสถำนท่ีเกดิ เหตุ - กำรตรวจสอบภำยในองค์กร เจ้าพนักงานต้องปฏิบัติตามระเบียบการต้ารวจเกี่ยวกับคดี รวมถึงค้าสั่งที่ 15/2506 เร่ืองการปฏิบัติหน้าท่ีและการประสานงานเก่ียวกับการตรวจสถานที่เกิดเหตุ และการถ่ายรูประหว่างพนักงานสอบสวนกับกองพิสูจน์หลักฐานเพื่อให้ พนักงานสอบสวนปฏิบัติให้ เรยี บรอ้ ยถูกตอ้ ง - กำรตรวจสอบภำยนอกองค์กร ป.วิ.อ.ไม่ได้ก้าหนดไว้ แต่ระเบียบการต้ารวจเกี่ยวกับคดีได้ กา้ หนดให้มีการใช้ดุลยพินิจในการให้หน่วยงานภายนอกมีส่วนร่วม เช่น กรณีมีการกระท้าความผิดฐาน แท้งลูก ใหน้ ายแพทยเ์ ขา้ รว่ มในการตรวจสถานที่เกดิ เหตุ 1.9. กำรส่ังคดีของพนกั งำนอยั กำร - กำรตรวจสอบภำยในองค์กร พนักงานอัยการต้องปฏิบัติตาม ป.วิ.อ.และระเบียบการด้าเนิน คดอี าญาของพนกั งานอัยการ - กำรตรวจสอบภำยนอกองค์กร ในเร่ืองการสั่งไม่ฟ้อง พนักงานอัยการจะต้องปฏิบัติตาม ป. วิ.อ.และระเบียบกรมอัยการว่าด้วยการด้าเนินคดีอาญาของ พนักงานอัยการ พ.ศ.2528 ซ่ึงเป็นการ ควบคุมค้าส่ังไม่ฟ้องของ พนักงานอัยการที่ไม่ใช่ของอธิบดีกรมอัยการ (อสส.( แม้จะมีองค์กรภายนอก คือ อธิบดีต้ารวจ (ผู้บัญชาการต้ารวจแห่งชาติ( หรือผู้ว่าราชการจังหวัด ตรวจสอบก็ตาม แต่ยังคงให้ อธบิ ดกี รมอยั การ (อสส.( เปน็ ผชู้ ีขาดในขันสดุ ทา้ ย 1.10. กำรถอนฟ้องของ พนักงำนอัยกำร - กำรตรวจสอบภำยในองคก์ ร ใหผ้ ู้บังคบั บัญชาแตล่ ะล้าดบั ชนั เป็นผ้ตู รวจสอบ - กำรตรวจสอบภำยนอกองค์กร แบ่งเป็นการตรวจสอบโดยองค์กรอื่นและองค์กรศาล การ ตรวจสอบโดยองค์กรอื่นนัน ป.วิ.อ.ก้าหนดให้มีกลไกการตรวจสอบอ้านาจของ พนักงานอัยการในกรณี จะถอนฟ้อง (เฉพาะกรณีท่ีค้าสั่งนันไม่ใช่ค้าสั่งของอัยการสูงสุด( และศาลจะเป็นผู้ตรวจสอบดุลยพินิจ ของอัยการในการขอถอนฟอ้ ง วา่ หากไม่มเี หตุอนั สมควรศาลกจ็ ะไม่อนุญาตให้ถอนฟ้อง 2. กระบวนกำรพจิ ำรณำคดี (ชันศำล) - กำรตรวจสอบภำยในองคก์ ร 2.1. ชนั ไต่สวนมูลฟอ้ ง 1). กรณีอัยกำรเป็นโจทก์ฟ้อง ถ้าเห็นสมควรศาลจะสั่งไต่สวนมูลฟ้องก็ได้ และในทางปฏิบัติ ศาลจะไม่ส่งั ให้ไตส่ วนมลู ฟอ้ ง เพราะถอื ว่าไดก้ ารมีการกลน่ั กรองโดยอัยการมาก่อนแลว้ 2). กรณีผู้เสียหำยเป็นโจทก์ฟ้อง กฎหมายก้าหนดให้ศาลไต่สวนมูลฟ้องก่อนเสมอ ซึ่งศาลมี อา้ นาจไตส่ วนมูลฟอ้ งลับหลงั จ้าเลย หากศาลเหน็ ว่าคดีไม่มีมูลศาล จะพิพากษายกฟอ้ ง 2-71

รายงานวิจัยฉบบั สมบรู ณ์ “การลดความเหล่อื มล้า ผา่ นกระบวนการยตุ ธิ รรม” สัญญาเลขท่ี SRI58M0417 ในการตรวจสอบการใชอ้ ้านาจในการไต่สวน คือ ตาม ป.วิ.อ. มาตรา167 170 2.2. ชันกำรพจิ ำรณำ-พพิ ำกษำ 1). กำรพิจำรณำคดีครบองค์คณะ ตามหลักการพิจารณาคดี ศาลต้องด้าเนินการพิจารณาคดี โดยองค์คณะผูพ้ ิพากษา ซึ่งการนงั่ พิจารณาคดีตอ้ งมีจ้านวนผู้พพิ ากษาตามที่กฎหมายกา้ หนดไว้ ดงั นนั ผู้ พิพากษาต้องนั่งพิจารณาให้ครบองค์คณะตลอดการพิจารณา ถึงแม้ว่าคู่ความจะไม่คัดค้านเรื่ององค์ คณะก็ตาม หากน่ังพิจารณาไม่ครบองค์คณะก็เป็นการพิจารณาท่ีไม่ชอบด้วยพระธรรมนูญศาล หาก ความปรากฏในศาลสูง ศาลสูงก็ต้องย้อนส้านวนไปให้ศาลชันต้นพิจารณาพิพากษาใหม่ และคู่ความ ยกขนึ เปน็ ประเดน็ ในชันอทุ ธรณ์หรือฎีกาได้ ทังนี ใน รัฐธรรมนูญ 2550 ไม่มีการบัญญัติรับรองไว้ดังเช่นในรัฐธรรมนูญปี 2540 แต่มีการ บญั ญัตริ บั รองใหเ้ ปน็ สิทธขิ ันพืนฐานในกระบวนการยตุ ิธรรม ใน ม.40(2) แทน 2). กำรพิจำรณำคดีโดยเปิดเผย แม้ ป.วิ.อ. มาตรา172 172 ทวิ จะบัญญัติเรื่องการพิจารณา คดโี ดยเปดิ เผยไว้ แต่กฎหมายกเ็ ปิดโอกาสให้ศาลสามารถด้าเนินการสบื พยานลบั หลงั จา้ เลยได้ ในกรณีของเด็กหรือเยาวชนเป็นจ้าเลยในคดีอาญา กระบวนพิจารณาคดีจะมีความแตกต่าง ออกไป กล่าวคือตอ้ งปฏิบตั ิตามที่ พรบ.จดั ตงั ศาลเยาวชนฯ กา้ หนด 3). กำรให้เหตุผลในคำพิพำกษำ ตาม ป.วิ.อ. มาตรา186 (6) 187(2) กล่าวคือ ศาลต้องให้ เหตุผลในการตัดสินทังในปัญหาข้อเท็จจริงและข้อกฎหมาย รวมถึงการให้เหตุผลในค้าสั่งระหว่าง พจิ ารณาด้วย เพือ่ ประโยชนใ์ นการตรวจสอบการพิจารณา-พิพากษาคดวี า่ เป็นไปตามกฎหมายหรือไม่ 4). กำรอุทธรณฎ์ ีกำ (กฎหมำยแกไ้ ขใหม่) - กำรตรวจสอบถ่วงดลุ ภำยนอกองคก์ ร รัฐธรรมนูญ ปี 2550 ได้ก้าหนดกลไกในการตรวจสอบถ่วงดุลการใช้อ้านาจของฝ่ายตุลาการ ในทางคดีไว้บางลักษณะเท่านัน เพื่อมิให้กระทบกระเทือนต่อหลักความเป็นอิสระของตุลาการมากเกิน สมควร ดงั นี 1). กำรถอดถอนผู้พิพำกษำหรือตุลำกำร รธน.ปี 2550 ม.270 ก้าหนดกรณีใหม้ ีการถอดถอน ผู้พิพากษาไว้ และ ตาม ม.244 ประกอบ ม.279 และ ม.280 ผู้พิพากษาหรือตุลาการยังถูกตรวจสอบ โดยองค์กรผู้ตรวจการแผ่นดินได้ โดยเฉพาะกรณีการใช้อ้านาจของตุลาการในทางบริหาร ท่ีไม่ใช่การ พจิ ารณาคดขี องศาล และการตรวจสอบจรยิ ธรรมของตลุ าการ 2). กำรตรวจสอบผ่ำนคณะกรรมกำรตุลำกำร (กต.) รธน.บัญญัติให้เลือกผู้ทรงคุณวุฒิ 2 คน ซึ่งไม่เคยเป็นหรือเคยเป็นผู้พิพากษาเข้าเป็น กต.(ถือเป็นตัวแทนประชาชนเพราะผ่านการเลือกตังจาก วุฒิสภา( เข้าไปมีส่วนร่วมในการบริหารศาลยุติธรรม มีส่วนมรการพิจารณาความดี ความชอบ หรือ ลงโทษผ้พู พิ ากษา 2-72

รายงานวจิ ัยฉบบั สมบรู ณ์ “การลดความเหลือ่ มล้า ผา่ นกระบวนการยุตธิ รรม” สัญญาเลขที่ SRI58M0417 3. กระบวนกำรบงั คบั ตำมคำพพิ ำกษำและคำสงั่ 3.1 กำรจดั ชันนกั โทษ มรี ะเบยี บกรมราชทัณฑว์ ่าดว้ ยการเล่อื นและลดชันนักโทษเดด็ ขาด โดยเป็นอ้านาจที่ขึนอยูก่ ับผู้ บัญชาการเรือนจ้าในการแต่งตังคณะกรรมการท่ีเป็นข้าราชการสังกัดเรือนจ้านันๆ ท้าการตรวจสอบ พิจารณาว่านักโทษเด็ดขาดผู้ใดควรหรือไม่ควรเลื่อนขัน เพราะเหตุใด และท้าความเห็นเสนอต่อ ผูบ้ งั คบั บัญชาการเรือนจา้ อนั ถือเปน็ การตรวจสอบการใชอ้ ้านาจระหวา่ งองค์กรเทา่ นนั 3.2. กำรลงโทษทำงวนิ ยั พรบ.ราชทัณฑ์ พ.ศ.2479 ได้ก้าหนดโทษทางวินัยแก่ผู้ต้องขงั โดย มาตรา35 ไดก้ ้าหนดให้ เจ้า พนักงานเรือนจา้ เปน็ ผู้มีหนา้ ท่ีในการพิจารณา และลงโทษทางวินัยแก่ผู้ต้องขัง ทงั นีก่อนที่จะลงโทษ กฎ กระทรวงฯ ข้อ 99 ได้กา้ หนดว่าต้องใหโ้ อกาสแก่ผู้ต้องขงั ได้ชีแจงว่าตนมขี ้อแก้ตัวอย่างใดหรอื ไม่ การลงโทษทางวินัยจึงเป็นกระบวนการจัดการภายในเรือนจ้า โดยให้พัศดีหรือสารวัตรเรือน จ้าเป็นผู้มีอ้านาจลงโทษทางวินัย โดยผู้บัญชาการเรือนจ้าไม่มีส่วนร่วมในการพิจารณาข้อเท็จจริง เกี่ยวกับการกระท้าผิดนนั ๆ 3.3. กำรพกั กำรลงโทษ พรบ.ราชทัณฑ์ พ.ศ.2479 ได้ก้าหนดหลักเกณฑ์ไว้ โดยก้าหนดให้เรือนจ้ารวบรวมเอกสารแล้ว นา้ เข้าส่กู ารพิจารณาของคณะกรรมการเรือนจา้ เพื่อใหค้ วามเห็นเสนอกรมราชทัณฑ์พิจารณาว่านกั โทษ เด็ดขาดผู้ใด สมควรได้รับการพิจารณาพักการลงโทษ ซ่ึงก่อนท่ีอธิบดีกรมราชทัณฑ์จะพิจารณา ต้องตัง คณะกรรมการพจิ ารณากล่ันกรอง เสนอความเหน็ ต่ออธิบดกี รมราชทณั ฑก์ ่อน 3.4 กำรลดวันตอ้ งโทษจำคุก พรบ.ราชทัณฑ์ (ฉบับที่ 2) พ.ศ.2520 ก้าหนดให้การพิจารณาลดวันต้องโทษจ้าคุกต้องให้ คณะกรรมการ อนั ประกอบด้วยผแู้ ทนจากหนว่ ยงาน ดังนี เปน็ ผพู้ จิ ารณาโดยมติเสยี งส่วนมาก 1). กรมราชทัณฑ์ 2). กรมตา้ รวจ 3). กรมอัยการ 4). กรมประชาสงเคราะห์ 5). จติ แพทยจ์ ากกรมการแพทย์ 2-73

รายงานวิจัยฉบบั สมบูรณ์ “การลดความเหล่ือมลา้ ผา่ นกระบวนการยตุ ิธรรม” สญั ญาเลขท่ี SRI58M0417 3.5 กำรตรวจเรอื นจำ พรบ.ราชทัณฑ์ พ.ศ.2479 ม.44 ก้าหนดให้ตังคณะกรรมการเรือนจ้า ซึ่งประกอบด้วย ข้าราชการต่างสังกัด ให้มีอ้านาจหน้าท่ีในการตรวจพิจารณากิจการของเรือนจ้า และให้ค้าแนะน้าแก่ เจ้าหน้าทีเ่ รือนจ้า 3.6 กำรอภยั โทษ เปลี่ยนโทษหนกั เป็นโทษเบำ และกำรลดโทษ กล่าวคือ เป็นการพระราชทานพระมหากรุณาธิคุณของพระมหากษัตริย์แก่ผู้ต้องโทษท่ีคดีถึง ท่ีสดุ แล้ว ให้ไดร้ บั การปล่อยตวั หรือลดโทษ แลว้ แต่กรณี โดยสรุป การตรวจสอบถ่วงดุลในกระบวนการยุติธรรมทางอาญาในชันบังคับโทษนัน โดย ส่วนมากเปน็ การด้าเนินการโดยเฉพาะ และใหม้ ีการตรวจสอบถว่ งดลุ ภายในองคก์ ร กล่ำวโดยสรุป ปัญหาที่มักเกิดขึนกับไทย คือ กฎหมายท่ีมีอยู่ในปัจจุบันมักไม่ได้รับการปฏิบัติ อย่างจริงจังในเกือบทุกองค์กร โดยมักเน้นท่ีรูปแบบมากกว่าเนือหาในการคุ้มครองสิทธิเสรีภาพของ ประชาชน นอกจากนีปัญหาเรื่องการคุ้มครองสิทธิและเสรีภาพของประชาชนเป็นปัญหาพืนฐานของ บุคลากรในกระบวนการยุติธรรมทางอาญาเกี่ยวกับ “สิทธิมนุษยชน” ซ่ึงเป็นพืนฐานของกระบวนการ ยตุ ธิ รรมทางอาญาเช่นเดียวกนั 7. รำยงำนวิจัยฉบับสมบูรณ์ โครงกำรเรื่อง “ปัญหำควำมไม่เสมอภำคในกระบวนกำรยุติธรรมที่ ประชำชนไดร้ ับ” นำงอภิรดี พิ์พร้อม และคณะ กรกฎำคม 2440 (สกว.) จากการศึกษากระบวนการยุติธรรมที่เก่ียวกับการได้รับการปฏิบัติจากรัฐ ในแต่ละขันตอน (ขันตอนให้ความช่วยเหลือทางกฎหมาย การปล่อยชั่วคราว การพิจารณาคดีอาญา การปฏิบัติต่อ ผู้ต้องขังในเรือนจ้า(พบว่า มีหลายขันตอนในกระบวนการยุติธรรมที่ยังมีการเลือกปฏิบัติ ซึ่งส่งผลให้ ประชาชนบางสว่ นได้รบั การปฏิบตั ิท่ีไมเ่ ปน็ ธรรม สามารถแบง่ ออกเป็น 5 ประเด็น คือ 1. ควำมยำกจนเป็นสำเหตุ/ปัจจัยท่ีทำให้บุคคลกระทำควำมผิดหรือไม่ และเม่ือกระทำผิด จนตอ้ งเข้ำสู่กระบวนกำรยุติธรรม บคุ คลจะได้รบั กำรปฏิบัตอิ ยำ่ งเสมอภำคและเท่ำเทียมกันหรอื ไม่ พบว่า ปัจจัยท่ีก่อให้เกิดการกระท้าความผิดทางอาญามีหลายปัจจัย และความยากจนถือเป็น ปัจจัยทางสังคมที่ส้าคัญประการหน่ึงที่ก่อให้เกิดการกระท้าความผิดทางอาญา ดังนี สิ่งท่ีผู้กระท้าผิด ต้องการเพ่ือป้องกันมิให้ตนต้องกลับไปกระท้าความผิดในคดีอาญาอีก คือ ความต้องการมีอาชีพและ รายได้ทแี่ น่นอนมากทีส่ ดุ และกระบวนการยุติธรรมในแต่ละขันตอนยังคงมีปัญหาความไม่เสมอภาค โดยเฉพาะคน ยากจนมักไดร้ บั การปฏบิ ัตแิ ตกตา่ งไปจากคนท่ีมีฐานะดที างสงั คมและเศรษฐกิจ 2-74

รายงานวิจยั ฉบบั สมบูรณ์ “การลดความเหลอื่ มลา้ ผา่ นกระบวนการยตุ ธิ รรม” สัญญาเลขท่ี SRI58M0417 2. ในเรือ่ งกำรใหค้ วำมช่วยเหลือทำงกฎหมำยแก่ประชำชนในคดแี พ่งและคดอี ำญำ พบวา่ - ในคดีอำญำ แม้ว่ากฎหมายจะก้าหนดให้ความคุ้มครองแก่สิทธิของผู้ต้องหาและจ้าเลย โดย ให้ความช่วยเหลอื ทางกฎหมาย จัดใหม้ ีทนายขอแรงก็ตาม แต่ยังพบปัญหาการจัดทนายขอแรงยังสง่ ผล ท้าให้บคุ คลได้รับการปฏบิ ัติอย่างไม่เสมอภาค (เพราะไม่ก้าหนดคุณสมบัติของทนาย ระบบการคดั เลือก และประสิทธิภาพของทนาย ค่าตอบแทน( และส้าหรับองค์กรที่ให้ความช่วยเหลือทางกฎหมายแก่ ประชาชนทีแ่ ม้มหี ลายองคก์ ร แตแ่ ต่ละองคก์ รยังขาดประสทิ ธิภาพในการท้างาน - ในคดีแพ่ง การให้ความช่วยเหลือทางกฎหมายแพ่งแก่คนยากจน มีให้เฉพาะการฟ้องหรือ ต่อสู้คดีอย่างคนอนาถา โดยการยกเว้นค่าธรรมเนียมศาลนันยังไม่เพียงพอ รัฐควรจัดให้มีการให้ความ ชว่ ยเหลือทางอืน่ รวมทังคา่ ใชจ้ ่ายอ่ืนๆ ทจ่ี ้าเป็น 3. กำรปล่อยชั่วครำว พบว่าในปัจจุบันการปล่อยชั่วคราวเน้นเรียกหลักประกันที่มีคุณค่าทาง เศรษฐกิจ สา้ หรับรับรองหรอื ประกันการปรากฏตัวของผู้ต้องหาหรอื จ้าเลย โดยไม่ค้านึงถงึ หลักกฎหมาย ที่ให้อ้านาจเจา้ หนา้ ท่รี ฐั ควบคุมตวั บคุ คลได้เฉพาะกรณีเหตุจ้าเป็นเท่านนั ทา้ ให้คนยากจนส่วนใหญ่ตอ้ ง ถูกควบคุมตัวในระหว่างการพิจารณาคดี เช่นนี ถือได้ว่าเกิดความไม่เสมอภาคส้าหรับบุคคลท่ีกระท้า ความผิดลักษณะเดียวกัน แต่แตกต่างที่ฐานะทางเศรษฐกิจ จึงส่งผลให้คนท่ีมีฐานะดีสามารถย่ืนขอ ปลอ่ ยชว่ั คราวได้ 8. กำรพิจำรณำคดีของศำล ในกรณีที่คู่ความมีฐานะยากจน โดยเฉพาะอย่างย่ิงเม่ือตกเป็น ผตู้ อ้ งหา/จ้าเลยในคดีอาญา หากการพจิ ารณาคดีของศาลไมม่ ีประสิทธิภาพเพียงพอ ท่ีจะคุ้มครองบุคคล ทไ่ี ม่สมควรถูกด้าเนินคดีอาญา ให้หลดุ พ้นจากการตกอยู่ในฐานจ้าเลย หรือกระบวนพิจารณาคดีในศาล ใช้เวลายาวนาน อาจท้าให้จ้าเลยและครอบครัวต้องประสบปัญหาในการด้ารงชีพ นอกจากนี การ ก้าหนดโทษปรับและทางปฏิบัติ ในการบังคับโทษปรับยังส่งผลกระทบต่อผู้กระท้าผิด ท่ีมีฐานะทาง เศรษฐกจิ ต่างกนั ในลักษณะท่ีไมเ่ สมอภาคกัน 4. กำรปฏิบัติต่อผู้ต้องขังในเรือนจำ ในทางปฏิบัติยังพบปัญหาการปฏิบัติต่อนักโทษท่ีไม่เท่า เทียมกัน เช่น การได้รับอภิสิทธิ์ในเรื่องอาหาร เครื่องหลับนอน เคร่ืองนุ่งห่ม หรือการได้รับการเย่ียม เยยี นจากญาติ ซึ่งเป็นผลมาจากความแตกตา่ งระหว่างคนยากจนกับคนรวย  ปญั หำจำกสังคมทอี่ ำจจะมผี ลต่อกระบวนกำรยุตธิ รรม 1. หนงั สือชุด “ปฏิรูปกระบวนกำรยุติธรรม” ลำดับที่ 8 เรอื่ ง กระบวนกำรยุติธรรมกับควำมยำกจน : ยุทธศำสตร์กำรพัฒนำกระบวนกำรยตุ ิธรรมเพอื่ คนจน ดร.กิตตพิ งษ์ กติ ยำรักษ์  ประเด็นเรื่อง “ควำมยุติธรรมกับควำมยำกจน” ในทัศนะของนำยกรัฐมนตรี พ.ตร.ท.ดร. ทักษิณ ชินวตั ร 2-75

รายงานวิจัยฉบบั สมบรู ณ์ “การลดความเหลือ่ มลา้ ผา่ นกระบวนการยุตธิ รรม” สัญญาเลขท่ี SRI58M0417 “คนจนมักจะตกเป็นเหยื่อของคนจนเสมอ” เป็นข้อสรุปที่ดึท่ีสุดก่อนท่ีจะเริ่มลงไปถึงเร่ือง “ความยุติธรรมกับความยากจน” เพราะคนท่ีติดคุกทังหลายมีสัดส่วนน้อยว่า 10% เท่านันท่ีเป็นคนชน ชันกลางขึนไป แสดงใหเ้ หน็ วา่ คนท่ีอยใู่ นฐานะทพี่ อจะจับจา่ ยใชส้ อยเลียงตนเองได้ สามารถท่จี ะหนีออก จากกระบวนการยุติธรรมได้ง่าย (เช่น โอกาสในการต่อสู้คดี: สามารถหาทนายความฝีมือดี สร้าง พยานหลักฐาน การแต่งพยาน( โดยสรุป อาจกล่าวได้ว่าปัญหาของคนจนที่ส้าคัญเกิดจาก “โอกาส” ท่ีแตกต่างกัน ดังนัน กฎหมายและกระบวนการยุติธรรมจึงไม่สามารถเน้นแต่เร่ือง “ความเท่าเทียมกัน” แต่เพียงอย่างเดียว ทังนี เพราะการใช้หลัก “เปิดโอกาสให้เท่าเทียมกันส้าหรับทุกคน (equal opportunity for all(” นัน น้ามาสู่ความเสียเปรียบส้าหรับคนจนซึ่งเป็นผู้ด้อยโอกาสกว่า ท้าให้คนจนมักจะไม่ได้รับความยุติธรรม โดยเฉพาะในสังคมไทยที่เป็นสังคม ที่มีความแตกต่างทางสถานะอย่างชดั เจน ด้วยเหตุนีจึงจ้าเป็นต้องมี การ “ให้แต้มต่อ” และ “เสริมก้าลัง (empower(” ให้กับคนจนในกฎหมายและกระบวนการยุติธรรม อย่างเร่งด่วน อันจะเป็นการสอดคล้องกับแนวทางของสหประชาชาติ เรื่องการสร้างความม่ันคงของ มนุษย์ ซึ่งหัวใจส้าคัญคือ “การสร้างเสรีภาพให้กับคนจนที่จะมีโอกาสได้รับความเป็นธรรมในสังคม” นน่ั เอง  ควำมยำกจนในสงั คมไทย : ปัญหำเชงิ โครงสร้ำงและระบบ โดย ศ.นพ.ประเวศ วะสี ความยากจนในสังคมไทยเกิดจากความไม่เป็นธรรมในสังคม ไม่ใช่เร่ืองการเกิดมาจน ไม่ใช่เกิด จากวงจร “โง่-จน-เจ็บ” เพราะโง่จึงจนและเจ็บ เพราะจนจึงโง่และเจ็บ และเพราะเจ็บจึงโง่และจน แต่ เปน็ ปัญหาเชงิ โครงสร้างทีส่ ลับซบั ซ้อน โครงสรา้ งท่ีท้าให้อับจน ท้าให้คนจนและไม่หายจน ปญั หำเชิงโครงสรำ้ งทีท่ ำใหเ้ กดิ ควำมยำกจน มดี งั นี 1. โครงสร้ำงทำงทรรศนะเก่ียวกับคนจน ในสังคมไทยไม่เห็นคุณค่าและความหมายของความ เป็นคนของคนจน เป็นทัศนะที่ปลูกฝงั กันมานานและฝังลกึ อยู่ในจติ ใจของคนและส่งผลต่อการปฏบิ ัติต่อ คนยากจน เช่น ไมใ่ หเ้ กียรติ ไมใ่ ห้การต้อนรบั ดูถูก ฯลฯ 2. โครงสร้ำงกำรพัฒนำ ประเทศไทยมีโครงสร้างการพัฒนาโดยมุ่งความร่้ารวยเงินทอง มุ่ง พัฒนาประเทศด้วย GDP โดยใช้วิธีการแบบ trickle down คือ สร้างความร่้ารวยให้คนข้างบนก่อน ด้วยหวังว่าความร้่ารวยนันจะตกลงมาสู่คนข้างล่าง แต่ปรากฏว่าการพัฒนาแบบนีเป็นโครงสร้างการ พฒั นาท่ีท้าใหเ้ กดิ ความยากจนมากขึน คนรวยก็ทวคี วามรา่้ รวยมากขึนเพราะมีโอกาสและมที นุ มากขนึ 3. โครงสร้ำงทำงสังคม โครงสร้างของสังคมไทยเป็นแนวดิ่ง คือ เป็นความสัมพันธ์ระหว่างผู้มี อา้ นาจและผูไ้ ม่มีอ้านาจ ท้าให้คนมอี ้านาจเอาเปรยี บคนไม่มอี ้านาจ คนทีถ่ ูกเอาเปรียบก็หาทางออกดว้ ย การแก้แค้น เช่น การออกกฎหมายที่เอือประโยชน์ของตน คนไม่มีอ้านาจก็หาทางออก 2 ประการ คือ หนีงานและขโมยของหลวง 2-76

รายงานวิจัยฉบบั สมบรู ณ์ “การลดความเหลือ่ มลา้ ผา่ นกระบวนการยตุ ิธรรม” สญั ญาเลขท่ี SRI58M0417 8. เรอ่ื งสทิ ธชิ มุ ชน การจัดการทรพั ยากรและการท้ามาหากนิ วิถีชวี ิตของคนไทยก่อนมาปฏริ ูป กฎหมายตามแนวตะวันตกนันเป็นการจัดการทรัพยากรโดยชุมชน แต่เม่ือไทยรับเอาแนวคิดของ ตะวันตกซ่งึ ไมม่ ีแนวคิดเรอื่ งสิทธชิ มุ ชน ทรัพยากรถา้ ไม่เปน็ ของบุคคลกต็ ้องเปน็ ของรัฐเท่านนั ส่วนท่เี คย เป็นของชุมชนก็เป็นของรัฐ การอนุญาตให้ใครใช้ทรัพยากรใด ใช้อย่างไร ขึนกับข้อก้าหนดของรฐั ทังสิน ดังนันหากไม่มีการบริหารจัดการทรัพยากรอย่างเป็นธรรมและย่ังยืนจะน้าไปสู่ความขัดแย้งและการใช้ ความรุนแรงถึงขันนองเลือดได้ เรียกว่า “ความยากจนกับการแย่งชิงทรัพยากร” ซ่ึงเป็นปรากฏการณ์ท่ี เกดิ ขึนมากมายในสงั คมไทย เช่น ความขัดแย้งเร่ืองท่อแก๊ส โรงไฟฟา้ ฯลฯ ดังนัน การเร่งบริหารจัดการ ให้มีทรัพยากกรอย่างเป็นธรรมจึงเป็นเร่ืองเร่งด่วนที่ต้องด้าเนินการ เพราะการจัดการทรัพยากรที่ดีจะ ชว่ ยใหค้ นหลดุ พ้นจากความยากจนได้ 4. กำรกระจำยรำยได้อย่ำงเป็นธรรม ในขณะท่ีคนจนต้องท้างานหนักแต่สุดท้ายเขากลับแทบ ไม่ได้อะไรเลย ในญี่ปุ่นคนทุกคนไม่ว่าจะจบ ม.6 หรือมหาวิทยาลัยก็จะมีรายได้ขันต้นเท่ากันหมด เช่น หากเป็นคนขับรถขนขยะก็จะได้เงนิ เพิ่ม เพราะถือเป็นค่าความเสี่ยง ทังนีเพราะญี่ปนุ่ ไม่ถือเอาการศึกษา เป็นตัวตังแต่ใช้ความเป็นคนเป็นตัวตัง รายได้ก็เหมือนกัน เพราะเป็นรายได้ท่ีท้าให้คนทุกคนอยู่ได้ การ ทา้ เช่นนที า้ ให้คนรกั ประเทศชาติ กระบวนการยุติธรรมก็เช่นกนั ต้องเปน็ ระบบยุติธรรมที่มีหวั ใจของความเป็นมนุษย์ ไม่ใชย่ ึดเอา กฎหมายเป็นหลกั แตเ่ พยี งอย่างเดยี ว หวั ใจของความเปน็ มนุษย์คอื การให้คนแขง็ แรงชว่ ยคนท่อี ่อนแอ 6. โครงสร้ำงทำงรำชกำร ที่เอากรมเป็นตัวตังในการจัดสรรงบประมาณ เม่ือเป็นเช่นนีจึงมี งบประมาณที่เหลือจ่าย ในขณะท่ีในพืนท่ีขาดแคลนงบประมาณ เราจึงควรคิดใหม่ให้มีการจัดสรร งบประมาณโดยเอาพนื ทีเ่ ปน็ ตัวตัง  กระบวนกำรยุตธิ รรมกับปัญหำควำมยำกจนในสังคมไทย โดย จำตุรนต์ ฉำยแสง แม้ว่าการพัฒนาเศรษฐกิจสังคมท่ีผ่านมาจะมีส่วนท่ีดีอยู่มาก ให้โดยรวมแล้วคนมีชีวิตความ เป็นอยู่ท่ีดีขึน มีปัจจัยส่ีท่ีดีขึน แต่ว่าช่องว่างก็มีมากขึนเช่นกัน คือ คนท่ีมีฐานะยากจนมากๆ ก็ยังมีอยู่ โดยมีความแตกตา่ งท่ียง่ิ หา่ งกนั มากจากคนที่มีฐานะดี การเน้นอตุ สาหกรรม การเน้นการส่งออก การละเลยภาคการเกษตรและละเลยผู้ประกอบการ รายย่อย หรือคนท้ามาค้าขายท่ัวไป เหล่านีเป็นปัญหาเชิงแนวทิศทางที่รัฐเข้าไปค้าประกันเงินกู้ ต่างประเทศ โดยการประกันค่าเงินบาทและการใช้กองทุนฟื้นฟูด้าเนินการ ฯลฯ แต่เกษตรกรหรือ ผู้ประกอบการรายย่อยกู้เงินระยะสันไม่ได้ และจะกู้เงินระยะยาวก็ไม่ได้ ย่ิงท้าให้พวกหน่ึงร้่ารวยใน ขณะที่อีกพวกหนงึ่ ยากจนลง ซึง่ เป็นผลกระทบจากทศิ ทางการพฒั นา ส่วนเร่ืองของกติกาและกฎหมายก็มีสว่ นเกี่ยวข้องในการจดั กระท้าด้วย เชน่ การกา้ หนดใหม้ ีสัป ทานรายใหญ่และรายยอ่ ยในหลายเรื่องท้าให้คนจนเสียเปรยี บอย่างมากมาตลอด จะเห็นได้ว่า กฎกติกา เก่ียวกบั การใช้การเขา้ ถงึ ทรัพยากรมคี วามไมเ่ ป็นธรรมอย่มู าก 2-77

รายงานวจิ ัยฉบบั สมบูรณ์ “การลดความเหลื่อมลา้ ผา่ นกระบวนการยุตธิ รรม” สัญญาเลขที่ SRI58M0417 ในด้านการศึกษา ปรากฏว่าการศึกษากลับปิดโอกาสของคนจนมาก ระเบียบที่ระบุว่าเด็กต้อง เรียนโรงเรียนใกล้บ้านท้าให้เด็กจนๆ ในชนบทท่ีเรียนเก่ง ไม่สามารถมาเรียนในโรงเรียนดีๆ ได้ อันนียิ่ง ทา้ ให้เกดิ ชอ่ งวา่ งหา่ งกนั ไปเรือ่ ยๆ กฎหมำยและกระบวนกำรยตุ ิธรรมกบั ปัญหำควำมยำกจน 1. กฎหมำยกบั กำรเลอื กปฏิบัติ เชน่ - กฎหมายว่าด้วยการมีทนายความหรือไม่มีทนายความ มีความไม่เท่าเทียมกันในเรื่องท่ีคนมี เงนิ สามารถจา้ งทนายความได้ สว่ นคนจนหาทนายความไมไ่ ด้ - การประกันตัวหรือการปล่อยตัวช่ัวคราว ระหว่างคนจนกับคนรวยมีความแตกต่างกันมากใน เรอ่ื งมูลค่าของจ้านวนเงนิ ประกัน 2. กำรลงโทษที่แตกต่ำงกันโดยตัวกฎหมำยมิใชก่ ำรเลือกปฏบิ ัติ ค้ากล่าวท่ีว่า “ถ้ากระท้าผิดเหมือนกัน ลงโทษเท่ากัน” เป็นเร่ืองที่กฎหมายระบุไว้ แต่ในกรณี โทษปรบั การปรับ 50,000 บาท หรือปรับ 100,000 บาทเท่ากัน ใครท้าผิดก็ปรับเท่ากัน แต่เมื่อมองใน เชิงเศรษฐศาสตร์ Marginal Utilities of Money แสนนึงของคนจนกับคนรวยมีความแตกต่างกัน ดังนี จะเหน็ ไดว้ า่ เปน็ การลงโทษท่แี ตกต่างกนั มากโดยตวั กฎหมายไม่ใช่การเลือกปฏิบตั ิ เร่ืองนีน้าไปสู่เร่ืองของ “การกักขังแทนค่าปรับ” กรณีนีหมายความว่า เมื่อคนรวยท้าผิด กฎหมายก็เอาเงินส่วนหนึ่งหรือเอาทรพั ย์สินนิดหน่อยของเขาไปให้ทางราชการแล้วก็เลิกแล้วกันไป แต่ ถา้ คนจนมากก็จ้องเอาไปจา้ กัดอสิ รภาพ ทงั ๆ ทโ่ี ทษนันบางทีควรเปน็ แคโ่ ทษปรบั จึงอาจกล่าวได้ว่า โดยตัวกฎหมายไม่มีความเป็นธรรมอยู่แล้ว กฎหมายไม่มีความเท่าเทียมกัน จริงๆ เพราะแม้จะบอกว่าเม่ือท้าผิดอย่างเดียวกัน ก็ต้องรับโทษเท่ากัน เช่น ปรับเท่ากัน แต่จริงๆ แล้ว ไม่ใช่ เพราะเมื่อบังคับใช้ต่อคนที่แตกต่างกัน มันก็จะกลายเป็นความรุนแรงท่ีแตกต่างกันมาก ดังนีจะ เรยี กว่าความยตุ ิธรรมได้อย่างไร 3. กำรใช้ชอ่ งว่ำงทำงกฎหมำย การใช้ช่องว่างทางกฎหมายเป็นเรื่องที่ใครสายป่านยาวกว่ากไ็ ด้เปรียบ ถ้าเปน็ คนจน ไปตอ่ สูค้ ดี กับใครกเ็ สยี เปรยี บหมด 4. กำรยดึ ของกลำง เช่น คนขับรถเบนซ์ชนกับคนขายของหาบเร่ กฎหมายให้ยึดของกลางได้ แต่ส้าหรับคนจนของ กลางเป็นเครื่องมือส้าหรับด้ารงชพี ของเขา แต่สา้ หรับคนรวยการยดึ รถเบนซ์ไปไม่ได้ท้าให้เสียหายอะไร ดังนี การให้ยึดของกลางไว้นานๆ โดยไม่มีการใช้วิธีการไต่สวนใดๆ เพื่อให้ปล่อยของกลางไปก่อน โดย สภาพความจ้าเปน็ ของผู้เป็นเจา้ ของทีแ่ ตกต่างกัน กก็ อ่ ใหเ้ กดิ ความไม่ยุติธรรมกับคนจนเช่นกัน 2-78

รายงานวจิ ัยฉบบั สมบูรณ์ “การลดความเหลอื่ มลา้ ผา่ นกระบวนการยุตธิ รรม” สัญญาเลขที่ SRI58M0417 5. กำรไร้ประสทิ ธิภำพของกำรบงั คบั ใช้กฎหมำย กำรป้องกันปรำบปรำมอำชญำกรรม ความไม่มีประสิทธิภาพในที่นี หมายถึง ความไม่มีประสิทธิภาพของการวางระบบกลไก เช่น การไม่คุยกันระหว่างองค์กรของรัฐ อาทิ ต้ารวจ อัยการ สรรพากร ฯลฯ ท้าให้ในท้ายท่ีสุดแล้วในปีหนึ่ง มีคดีความเกิดขึนหลายร้อยคดี แต่ตัดสินได้แค่คดีสองคดี เพราะส่งไปก็เท่านัน คดีค้างอยู่ท่ีพนักงาน สอบสวนหรือท่พี นกั งานอัยการบา้ ง สดุ ท้ายกล็ งโทษใครไมไ่ ด้เลย 6. กำรเลอื กปฏิบัติในกระบวนกำรยตุ ธิ รรม อาจกล่าวได้ว่า เมื่องไทยมีเรื่องเก่ียวกับความเป็นธรรม ความเสมอภาคเท่าเทียมกันและการ เลือกปฏิบัติ ใครมีอ้านาจมีเส้นสาย มีอ้านาจกับมีเงินเป็นฝ่ายถูก เป็น “ระบบธุรกิจของการด้าเนินคดี” กล่าวคือ มีการท้าเป็นระบบธุรกิจการด้าเนินคดี หมายความว่า เขาวางไว้เป็นระบบหมด มันโยงไปถึง การตรวจสอบควบคุม เป็นปัญหาเรื่อง “อ้านาจกับเงิน” ต่อมาจึงกลายเป็น “วัฒนธรรม” ท้าให้คนจน เสยี เปรยี บตังแต่ต้น 7. คำ่ นยิ มหรอื จติ วิญญำณของผู้ปฏบิ ตั ิ ค่านิยมของผู้ปฏิบัติมี 2 แบบ แบบแรก คือ การมุ่งท้าตามหน้าท่ี เอกสารมายังไงก็ต้องว่าไป ตามนัน ท้าตามเอกสารอย่างเคร่งครัด อีกแบบหน่ึง คือ มุ่งรักษากฎหมาย แต่ไม่ได้มุ่งรักษาคว าม ยุติธรรม อันนเี ป็นเรือ่ งจิตส้านึก ความคิด และทศั นคตปิ ระกอบดว้ ย 8. กำรคอร์รปั ชนั่ การเลือกปฏิบัติเรื่อง “อ้านาจกับเงิน” จริงๆ แล้วไปโยงกับเร่ือง “คอร์รัปชั่น” กล่าวคือ พอ กระบวนการยุติธรรมีปัญหาเร่ืองเลือกปฏิบัติมากขึน กลายเปน็ การคอร์รัปช่ันได้มาก คนจนก็มีแนวโน้ม ท่จี ะไม่ไดร้ ับความเปน็ ธรรมมาก มนั ก็เป็นการซ้าเติมคนจนอยูเ่ ดมิ ทีเ่ ปน็ ผลจากปัญหาโครงสร้างสังคม จึงกล่าวได้ว่า กระบวนการยุติธรรมท่ีเป็นปัญหาไม่สามารถให้ความยุติธรรมกับคนจนได้จริง นอกจากจะซ้าเติมคนจนใหท้ ุกขจ์ ากการถกู ขัง ถูกลงโทษ ย่งิ ท้าให้คนจนตอ้ งจนหนักขึนไปอกี เพราะตก เปน็ ฝา่ ยเสยี เปรียบ ถา้ พลาดไปย่งิ แพแ้ ลว้ แพอ้ กี ตลอดกาล  กำรเสริมสิทธิคนจนในกระบวนกำรยุติธรรม โดย ผศ. จรัล ดิษฐำอภิชัย กรรมกำรสิทธิ มนุษยชนแหง่ ชำติ 1. สิทธิของคนจนในกระบวนกำรยตุ ิธรรม ปัญหาความยากจนกับสิทธิความเป็นมนุษย์หรือสิทธิมนุษยชน คนจนเป็นมนุษย์ย่อมจะมีสิทธิ ความเป็นมนุษย์เหมือนกันคนรวยทุกประการ แต่ในความเป็นจริงนอกจากสิทธคิ วามเป็นมนุษย์ของคน จนจะไม่ได้รับความเคารพค้าประกันการมีและใช้สิทธิประการต่างๆ ท่ีมนุษย์ทุกคนควรจะมีตาม มาตรฐานขนั ต้่า ทังยงั ไม่มีโอกาสเขา้ ถึงสิทธิขันพืนฐานที่รัฐคุ้มครอง ไม่ว่าจะเป็นสิทธทิ างการเมือง สิทธิ ทางการศึกษา สาธารณสุข สวัสดกิ ารสังคม ท่ีส้าคัญ คนจนในทุกสังคมจะถูกละเมดิ สิทธิความเปน็ มนษุ ย์ 2-79

รายงานวจิ ยั ฉบบั สมบูรณ์ “การลดความเหล่ือมลา้ ผา่ นกระบวนการยตุ ธิ รรม” สญั ญาเลขที่ SRI58M0417 อย่างกว้างขวางและตลอดเวลา ความยากจนจึงเป็น “การละเมิดสิทธมิ นุษยชน” อย่างส้าคัญ แลว้ ก็เป็น “ความไมย่ ตุ ธิ รรม” อยา่ งหนึง่ 2. คณะกรรมกำรสิทธมิ นษุ ยชนแหง่ ชำตกิ บั กำรส่งเสริมและคุ้มครองสิทธขิ องคนจนด้ำนยุติธรรม คณะกรรมการสทิ ธิมนุษยชนแห่งชาติ มีอ้านาจหนา้ ทีใ่ นการตรวจสอบการละเมิดสิทธิมนษุ ยชน แตใ่ นการตรวจสอบสทิ ธขิ องบคุ คล ในกระบวนการยตุ ธิ รรมที่มผี ูร้ อ้ งเรยี นมา มปี ญั หาค่อนขา้ งมาก ประกำรแรก พรบ.คณะกรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติ พ.ศ.2542 ม.22 ห้ามคณะกรรมการฯ ตรวจสอบเรื่องท่ีมีการฟ้องร้องคดีอยู่ในศาล หรือที่ศาลพิพากษาหรือมีค้าส่ังเด็ดขาดแล้ว ยกเว้นเป็น เรื่องร้องเรียนว่าเจา้ หน้าที่ต้ารวจและอัยการละเมดิ สทิ ธิ ประกำรที่สอง เนื่องจากการละเมิดสิทธิบุคคลในกระบวนการยุติธรรม ผู้ถูกกล่าวหาว่ากระท้า การจะเป็นเจ้าหน้าท่ีในกระบวนการยุติธรรม จึงมีข้อจ้ากัดทางกฎหมาย เพราะบทบัญญัติของ รธน.ว่า ด้วยสิทธิของบุคคลในกระบวนการยุติธรรม อาทิ หมวดสิทธิเสรีภาพของชนชาวไทย ม.31 32 และ 33 และในหมวดศาล เป็นสิทธิตามกฎหมายซึ่งจะมียกเว้นโดยกฎหมาย ทังยังให้เจ้าหน้าที่ในกระบวนการ ยุติธรรม ทังต้ารวจ อัยการ และศาล ใช้ดุลยพินิจว่าจะให้บุคคลที่เกี่ยวข้องในคดีใช้สิทธิอะไร มากน้อย เพียงใด ประกำรท่ีสำม ผู้ร้องเรียนไม่เฉพาะคนจน แม้แต่คนรวยส่วนใหญ่ไม่รู้กฏหมายกระบวนการ ยุติธรรม ไม่รู้สิทธิของตนเอง ทังยังมีทรรศนะท่าทีเคารพกลับเกรงเจ้าหน้าที่ต้ารวจ อัยการ ผู้พิพากษา และเจ้าหน้าท่ีราชทัณฑ์ ย่ิงเป็นผู้ต้องหา จ้าเลย และนักโทษย่ิงหวาดกลัวเพ่ิมขึน จึงบอกเล่าไม่ถูกและ ไมก่ ล้าบอกความจรงิ ท้าให้การตรวจสอบเป็นไปอยา่ งล้าบาก  ควำมยำกจน กำรเข้ำถึงควำมยุติธรรมกับกระบวนกำรยุติธรรมรำคำแพง โดย จุฑำรัตน์ เออื อำนวย ในบทความนี น้าเสนอถึง “วงจรความสัมพันธ์ระหว่างความยากจน การเข้าถึงความยุติธรรม กับกระบวนการยตุ ธิ รรม” ในบรบิ ทสังคมไทย ควำมยำกจน “ความยากจน” ถูกจัดว่าเป็นปัญหาสังคมประเภท “ปัญหาทางเศรษฐกิจ” เพราะถูกน้าไปพ่วง กับเกณฑ์ชีวัดทางเศรษฐกิจ ท่ีเรียกว่า “เส้นความยากจน (poverty line(” ซึ่งเป็นเคร่ืองมือสากลใน การพิจารณาวา่ บุคคลใดบุคคลหน่ึงเป็นคนจนหรอื ไม่ หลักการส้าคัญของเส้นความยากจน คือ การพิจารณาความจ้าเป็นพืนฐานขันต้่าในการ ด้ารงชีวิต ที่ได้คิดค้านวณจากความเพียงพอในการบริโภคโดยเฉล่ีย (ทังด้านอาหารและสินค้าอุปโภค( จากนันจึงได้มีการน้าเส้นความยากจนไปใช้ประโยชน์ในการประเมินภาวะทางเศรษฐกิจสังคมในระดับ สากลตอ่ ไป แต่ทงั นี ความยากจนยังอาจหมายรวมถึง ภาวะทโุ ภชนาการความเสื่อมโทรมแห่งสุขอนามัย 2-80

รายงานวิจัยฉบบั สมบรู ณ์ “การลดความเหลือ่ มล้า ผา่ นกระบวนการยุติธรรม” สัญญาเลขท่ี SRI58M0417 และมีการศึกษาต้่าอกี ด้วย ซึ่งยังไม่มคี วามลงตัวอย่างชดั เจนในการขดี เส้นแบ่งระหว่างการแปรเปลย่ี นไม่ คงท่ีของเครื่องชวี ัดดังกล่าวจงึ สะท้อนใหเ้ ห็นถึง “อ้านาจ” ท่อี ยู่เบืองหลังการก้าหนดว่าอยา่ งไรคือความ ยากจนหรือไมย่ ากจน ความยากจนหรือไม่ยากจน กลายเป็น “สถานภาพ” ที่ถูกก้าหนดให้โดยผู้มีอ้านาจและจาก สถานภาพดังกล่าวทา้ ให้มผี ลกระทบตอ่ การถกู เลือกปฏบิ ตั ิตามมาเป็นล้าดบั คนจน : สถำนภำพที่สงั คมกำหนดให้ หรอื ติดตัวมำตังแต่กำเนดิ กล่าวกันว่า ความยากจนเป็น “สถานภาพ” ประการหนง่ึ ท่สี ังคมก้าหนดขึนภายหลังใหแ้ ก่ผู้คน ท่ีมีลักษณะเฉพาะกลุ่มหนึ่ง เช่นเดียวกับสภานภาพการเป็นผู้กระท้าผิดกฎหมาย หรือการเป็นผู้น้า ประเทศ ซ่ึงถูกก้าหนดโดยหลักเกณฑ์กลไกทางสังคมชุดหนึ่งๆ และมีกฎระเบียบรองรับความมีอยู่จริง ของสถานภาพนนั เม่ือความยากจนมิใช่สถานภาพที่ติดตัวมาแต่ก้าเนิดแล้ว ความยากจนจึงเป็นตัวแปรที่ เปล่ียนแปลงได้ในตวั เอง ไมว่ ่าจะนา้ ไปสัมพนั ธก์ บั เหตปุ ัจจยั อน่ื ใดในสงั คมกต็ าม ควำมยำกจนกับ “วัฒนธรรมควำมยำกจน” (Culture of poverty) คา้ อธิบายท่ีตังอยู่บนฐานท่ีว่า คนยากจนมีคุณภาพของค่านิยมและวิถีชีวิตผิดแผกแตกต่างจาก ธรรมเนียมค่านิยมและวิถีชีวิตของคนชนชันอื่นๆ ในสังคม และวัฒนธรรมที่แตกต่างกันนีเรียกได้ว่าเป็น วัฒนธรรมรอง (subculture( รูปแบบหนึ่ง คือ “วัฒนธรรมความยากจน” ซึ่งเช่ือว่ามีการถ่ายทอด วฒั นธรรมความยากจนผ่านกระบวนการขัดเกลาจากบรรพบุรุษสู่ลูกหลานด้วย ลกู หลานคนจนจึงได้รับ การอบรมสั่งสอนให้รู้จักด้ารงชีพตามอัตภาพ ขณะเดียวกันก็รอคอยโชคชะตามาพลิกผันชีวิตให้แปร เปลี่ยนไป กำรเดินทำงสู่ “ควำมยุตธิ รรม” ของ “คนยำกจน” การเดินทางสู่ “ความยุติธรรม” ของ “คนยากจน” มีลกั ษณะแตกตา่ งไปจากการใช้บริการของ รัฐด้านอื่นๆ เช่น การรักษาพยาบาล หรือดา้ นการศึกษา โดยการรับบริการด้านงานยุติธรรมเป็นบริการ ที่มิใช่ความต้องการขันมูลฐานของมนุษย์ แต่มีลักษณะท่ีท้าให้ผู้รับบริการส่วนใหญ่ตกอยู่ในฐานะ “ผู้ถูกกระท้า” และตกอย่ใู นสถานภาพที่มีความเสี่ยงสูงต่อผลการพิจารณาพิพากษาคดีไปในทางใดทาง หน่ึง การเข้ารับบริการด้านยุติธรรมในมิตินีจึงเป็นเสมือน “การลดทอน” หรือ “ตัดออก” จากการเป็น สมาชิกของสังคมมนุษย์อย่างเป็นทางการและค่อนข้างถาวรมากกว่า รวมถึงการกลับคืนสชู่ ุมชนท้องถิ่น ทีพ่ ักอาศัยเดิมของตนภายหลังพ้นโทษนันก็ยังไม่มหี ลักประกันใดๆ ท่ีจะเชื่อได้ว่าเพ่ือนบ้านจะ “ยอมรับ ความมตี ัวตน” ของเขาหรอื ไม่ เพียงใด 2-81

รายงานวจิ ยั ฉบบั สมบูรณ์ “การลดความเหลอ่ื มล้า ผา่ นกระบวนการยุติธรรม” สญั ญาเลขที่ SRI58M0417 ควำมไมเ่ สมอภำคในกำรเข้ำถงึ ควำมยุตธิ รรม จากการศึกษาส้ารวจในงานวิจัยทางด้านอาชญาวิทยาหลายชินพบว่า ผู้กระท้าผิดคดีประเภท อาชญากรรมพืนฐานท่ีถูกด้าเนินคดีในศาลส่วนใหญ่เป็นคนยากจน ตกงาน หรอื ไม่ก็ประกอบอาชีพเป็น กรรมกรผู้ใช้แรงงาน ขณะเดียวกันชนชันสูงก็ประกอบอาชญากรรมอีกประเภทหน่ึงซ่ึงแตกต่างออกไป ตามระบบการจ้าแนกชนชันทางสังคม คือ อาชญากรรมคอเชิตขาว ความรู้สึกของสังคมมักจะมองว่า อาชญากรรมคอเชิตขาวและผู้มีส่วนร่วมเหล่านีไม่ได้ประกอบอาชญากรรมร้ายแรงท่ีเป็นอันตรายแก่ สงั คมเทา่ กับอาชญากรรมที่กระท้าโดยคนจน นอกจากนี เม่ือพิจารณาอย่างแท้จริง จะเห็นถึงความไม่สอดคล้องเหมาะสมของการท่ีใช้ กระบวนการยุติธรรมซึ่งมีราคาแพงไปพิจารณาคดีท่ีไม่สมควร และท้าให้นักโทษล้นคุก แทนท่ีจะ พิจารณาอาชญากรรมคอเชิตขาวเหลา่ นี ซง่ึ ยังก่อใหเ้ กิดความเสียหายมากกว่าหลายร้อยเท่า ปรากฏการณ์ทางสงั คมในวงการยุติธรรมทเ่ี กิดขึนในลักษณะนีเป็นรูปธรรมของ “ความไม่เสมอ ภาคในการเข้าถึงความยุติธรรม” ที่เกิดขึนอันเนื่องมาจากความยากจนกับความไม่ยากจน เพราะเหตุ แห่งการมีอคติของสังคมแหละบุคลากรในกระบวนการยุติธรรมในการเลือกปฏิบัติต่อคนจนในสังคม น่นั เอง กระบวนกำรยุตธิ รรมรำคำแพง แม้ว่า “กระบวนการยุติธรรม” จะเป็นสถาบันทางสังคม เป็นหลักประกันแห่งอ้านาจอธิปไตย ทังเป็น “บริการของรัฐ” รูปแบบหน่ึงก็ตาม แต่กระบวนการยุติธรรมไทยในปัจจุบันได้ช่ือว่าเป็น “กระบวนการยุตธิ รรมทมี่ ีราคาแพง” อยา่ งยิง่ กล่าวคอื 1(. เป็นกระบวนการยุติธรรมท่ีผู้รับบริการต้องเสียค่าใช้จา่ ย เช่น ค่าธรรมเนียมศาล ฯลฯ ทังๆ ท่บี างครงั เปน็ เร่อื งของการรอ้ งขอความเป็นธรรม 2(. เป็นกระบวนการยตุ ิธรรมทใี่ ชเ้ วลายาวนาน ทา้ ใหค้ ูก่ รณีตอ้ งเสยี ค่าใช้จ่ายเป็นจา้ นวนมาก 3(. คนยากจนที่ไม่มีเงินหรอื หลักทรัพย์ประกันตวั ต้องถูกขังในระหว่างพิจารณาคดี ซ่ึงมีจ้านวน มากถงึ รอ้ ยละ 40 ของผตู้ อ้ งขังในเรือนจ้าทั่วประเทศ 4(. คดีที่รัฐก้าหนดว่าเป็นความผิด (mala prohibita( เช่น ยาเสพติด การพนัน การหลบหนี เข้าเมือง ฯลฯ เข้าสู่กระบวนการยุติธรรมมากเกินไป และใช้พืนที่ส่วนใหญ่รวมทังบุคลากรและ งบประมาณกว่าคร่ึงหนึ่งของกระบวนการยุติธรรมไปกับเรื่องเหลา่ นี 5(. มีการใช้กระบวนการยุติธรรมทางอาญาจัดการกับคดีแพ่งบางประเภท เช่น คดีเช็ค ท่ีดิน ท้าใหพ้ นื ท่ีของกระบวนการยตุ ธิ รรมบางสว่ นตอ้ งเสยี ไปเพื่อประโยชนข์ องเอกชน 6(. กระบวนการยุติธรรมมีราคาแพงเฉพาะเมื่อคนยากจนมาใช้บริการ เพราะกระบวนการ ยุติธรรมมีวิธคี ิดทผ่ี กู ติดกับระบบทุนนิยม มีการน้าเอาแนวคดิ แบบทุนนยิ มมาใช้กับกระบวนการยตุ ิธรรม 2-82

รายงานวิจยั ฉบบั สมบรู ณ์ “การลดความเหล่ือมล้า ผา่ นกระบวนการยุติธรรม” สญั ญาเลขที่ SRI58M0417 คอื คิดอัตราการต้องโทษเป็นแรงงาน และเม่ือกระท้าผิดจึงต้องจ่ายคืนให้กับการประกอบอาชญากรรม ด้วยการติดคกุ คนยากจนไม่มเี งนิ ซอื ตัวเองออกมาจากการจ้าคกุ จึงตอ้ งยนิ ยอมจา่ ยคืนให้กับการกระท้า ผดิ ของตนดว้ ยการตอ้ งโทษจา้ คุกแทน ดว้ ยเหตนุ ี ต้นทนุ ในการจัดบริการด้านงานยตุ ิธรรมจงึ สงู กวา่ ที่ควรจะเป็น สง่ ผลให้กระบวนการ ยุติธรรมเหมาะสมกับการให้บริการแก่ผู้ที่สามารถจับจ่ายทรัพย์สินเงินทอง เพ่ือการนีได้มากกว่าที่จะ เปน็ กระบวนการยตุ ธิ รรมท่ี เหมาะสมกบั การเข้ารบั บริการส้าหรับคนในสงั คมทกุ ชนชัน 2. สรุปกำรสัมมนำทำงวิชำกำร หัวข้อ กระบวนกำรยุติธรรมไทย “รู้อดีต เข้ำใจปัจจุบัน เช่ือมั่น อนำคต” เป็นงานสัมมนาที่ทางสถาบันเพื่อการยุติธรรมแห่งประเทศไทย (สธท.( จัดขึน เม่ือวันที่ 26 มก ราคา 2558 โดยมีผู้ทรงคุณวฒุ ิในกระบวนการยุติธรรมไทย นักวิชาการ มาร่วมแลกเปล่ียนมมุ มองในแต่ ละมิติและห้วงเวลา เพ่ือสะท้อนแนวคิด มุมมอง ต่อการเปล่ียนแปลงและพัฒนาการของกระบวนการ ยุติธรรมในประเทศไทย ทังงานต้ารวจ อัยการ ศาลยุติธรรม ราชทัณฑ์ และกระบวนการยุติธรรม โดยรวม ตงั แต่ภายหลงั เปล่ยี นแปลงการปกครอง พ.ศ.2475 จนถึงปจั จุบัน  กำรอภิปรำยเร่ือง “นัยสำคัญทำงประวัติศำสตร์ของกระบวนกำรยุติธรรมทำงอำญำไทย ตงั แต่หลงั ปฏวิ ัติฯ พ.ศ.2475 ถงึ ก่อนรัฐธรรมนญู พ.ศ.2540” การเปลี่ยนแปลงครังใหญ่ในรัฐธรรมนูญเกิดขึนใน รัฐธรรมนูญ พ.ศ.2540 ที่แม้จะมีการแยก ศาลยุติธรรมออกจากกระทรวงยุติธรรม แต่กระบวนการยุติธรรมก็ยังไม่แยกออกจากการเมืองอย่างท่ี ควรจะเป็นตามหลกั ธรรมาภบิ าล โดยวิทยำกรได้กล่ำวถงึ ประเด็นปัญหำ รวมทงั ข้อเสนอแนะที่น่ำสนใจ ดงั ต่อไปนี ประเด็นที่ 1 องค์กรในกระบวนการยุติธรรม ไม่ปฏิบัติตามบทบัญญัติของกฎหมาย เพราะผู้ใช้ กฎหมายยงั ขาดความรู้ ความเขา้ ใจในระบบและหลักการของกฎหมาย จึงท้าใหเ้ กดิ ปัญหาในทางปฏิบตั ิ ประเด็นที่ 2 ปฏิรูปองค์กรท่ีมีอยู่ให้มีการท้างานท่ีรัดกุม มีความร่วมมือกันระหว่างหน่วยงาน ไม่ใช่มุ่งแต่สร้างองค์กรใหม่เพ่ิมขึนมา การเกิดขึนขององค์กรใหม่ๆ มีสาเหตุมาจากการวางเฉยของศาล ยตุ ิธรรม ประกอบกับความไม่เข้าใจว่าการด้าเนนิ คดีชนั เจ้าพนักงานเปน็ กระบวนการเดียวกันท่แี บง่ แยก มไิ ด้ ทา้ ให้องค์กรในชนั เจ้าพนักงานเกิดขึนมากมายแต่ไมร่ ว่ มมือกันท้างาน ประเด็นท่ี 3 ปัญหานกั โทษล้นคกุ ในปัจจบุ ันศาลต้องพจิ ารณาคดยี าเสพติดมากเปน็ อันดับหนึ่ง แม้จะมี พรบ.ฟ้ืนฟูสมรรถภาพผู้ติดยาเสพติด สมควรต้องพิจารณาว่าอัตราโทษที่บังคับใช้กับคดียาเสพ ติด โดยเฉพาะโทษท่ลี งกบั ผู้เสพที่ถกู สันนษิ ฐานว่ามไี วเ้ พื่อจ้าหนา่ ย อันเป็นมาตรการเบ่ียงเบนคดที ี่ใชอ้ ยู่ นัน มีประสทิ ธภิ าพเพียงพอแลว้ หรือไม่ 2-83

รายงานวจิ ยั ฉบบั สมบรู ณ์ “การลดความเหล่อื มล้า ผา่ นกระบวนการยุตธิ รรม” สัญญาเลขที่ SRI58M0417 ประเด็นท่ี 4 วางหลักและระบบให้ดี และจัดการเรื่องคุณภาพของคน การปฏิรูปท่ีมี ประสิทธิภาพควรจะปฏิรูปโดยเน้นการปฏิบัติตามหลักการท่ีถูกต้องทังในแง่วิชาการ กฎหมาย และ บรรทัดฐานสากล แลว้ จึงโยงไปท่ีการพัฒนาคุณภาพคน โดยเรม่ิ ทีม่ หาวิทยาลัยหรือสถาบันการศึกษา ที่ ควรสอนให้ถงึ แก่นและไม่ควรเน้นการท่องจา้ หรือจดจ้าแตแ่ นวค้าพิพากษาฎกี าเท่านนั  กำรอภิปรำยเร่ือง “พัฒนำกำร บริบท และพลวัตของกำรปฏิรูปกระบวนกำรยุคิธรรมทำง อำญำของไทย หลงั ยุครฐั ธรรมนูญ พ.ศ.2540 จนถงึ ยุครัฐธรรมนูญ พ.ศ.2550” ประเด็นที่ 1 รัฐธรรมนูญกับบทบาทใหม่ในการประกันสิทธิเสรีภาพ และการมีส่วนร่วมของ ประชาชน ในช่วงของรัฐธรรมนูญ 2540 – 2550 เป็นช่วงท่ีมีการวางโครงสร้างใหม่ โดยก้าหนดบท คุ้มครองและประกันสิทธิและเสรีภาพของประชาชนอย่างกว้างขวางและชัดเจนมากที่สุด และยังเพ่ิม บทบาทหน้าทขี่ องประชาชนในการมีส่วนรว่ มกบั ภาครัฐในด้านตา่ งๆ อกี ด้วย การปฏิรูปกระบวนการยุติธรรมทางอาญาของไทยเม่ือพิจารณาประกอบกับบทบาทของภาค ประชาชนนัน รัฐธรรมนญู ท่ีให้สทิ ธิเสรภี าพและก้าหนดบทบาทหน้าที่ของประชาชนยอ่ มเป็นเคร่ืองมือท่ี ท้าให้ประชาชนสามารถมีสว่ นรว่ มในการพฒั นาและปฏิรูปกระบวนการยุติธรรมได้มากขนึ ประเด็นท่ี 2 บริบทในการปฏิรูปกระบวนการยุติธรรมทางอาญา ประเทศไทยได้มีความ พยายามที่จะปฏิรูปโครงสร้างกระบวนการยุติธรรมทางอาญามาหลายยุคสมัย เม่ือมาถึงยุครฐั ธรรมนูญ พ.ศ.2540 ได้มีการปรับองค์กรในกระบวนการยุติธรรมทางอาญาใหม่อีกครัง ผ่านทางรัฐธรรมนูญและ ประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา ซึ่งนับเป็นการเปล่ียนแปลงครงั สา้ คญั ที่ส่งผลมาจนถึงปัจจุบัน เช่น การแยกศาลออกจากกระทรวงยุติธรรม การสร้างระบบศาลคู่ ศาลพิเศษ การแยกองค์กรอัยการ ออกจากระทรวงมหาดไทย การปรับโครงสร้างกระทรวงยุติธรรมใหม่ การย้านสังกัดกรมราชทัณฑ์ การ เพิ่มการคุ้มครองสิทธิและเสรีภาพ สถาบันนิติวิทยาศาสตร์ กรมสอบสวนคดีพิเศษ ฯลฯ ซ่ึงการ เปล่ียนแปลงดังกล่าวนีส่วนหน่ึงมาจากปัญหาความเหล่ือมล้าที่มีในอดีต เช่น ปัญหานักโทษล้นคุก การ คุ้มครองเหย่ืออาชญากรรม และพยานในคดีอาญา ระบบส้านวนและคดีความอิสระของตุลาการ ฯลฯ และรูปแบบอาชญากรรมใหม่ท่ีมีมากขึนและเปลี่ยนแปลงไปอย่างรวดเร็ว จึงจ้าเป็นต้องมีกระบวนการ สนองตอบทม่ี ีประสทิ ธิภาพเพ่อื การปอ้ งกนั และปราบปรามได้ทันท่วงที ประเด็นท่ี 3 บทบาทขององคก์ รฝา่ ยตุลาการช่วงยคุ รฐั ธรรมนูญ 2540 – 2550 เพราะภายหลัง จากที่องค์กรศาลแยกออกมาจากกระทรวงยุติธรรม ท้าให้ศาลมีความเป็นอิสระมากขึนในเชิงบริหาร และไม่ตอ้ งขึนกับรฐั มนตรหี รือฝ่ายการเมือง กระบวนการยตุ ธิ รรมทางอาญาในลักษณะท่คี วรจะเป็นต้อง เป็นการมุ่งแสวงหาข้อเท็จจริง แต่สิ่งท่ีมักเกิดขึนในสังคมไทย คือ การมุ่งแสวงหาคนมารับโทษ ซ่ึง นาย พงษ์เดช วานิชกิตติกุล ย้าว่าทัศนคติของคนไทยและคนในกระบวนการยุติธรรมของไทยส้าคัญย่ิงกว่า รปู แบบองคก์ ร 2-84

รายงานวจิ ัยฉบบั สมบูรณ์ “การลดความเหล่อื มลา้ ผา่ นกระบวนการยุตธิ รรม” สญั ญาเลขท่ี SRI58M0417 วัฒนธรรมด่วนชีผิดชีถูกโดยไม่แสวงหาข้อเท็จจริงนัน เป็นการสุ่มเส่ียงและบิดเบือนความ ยุตธิ รรมทแี่ ทจ้ ริง โดยในมมุ มองของประชาชนท่วั ไปจะให้ความเคารพผู้พิพากษาและตุลาการ ในฐานะท่ี เป็นผู้ท่ีมีความเที่ยงตรงและยุติธรรม แต่ในช่วงทศวรรษดังกล่าว มีหลายครังท่ีศาลเข้ามามีบทบาท ส้าคญั ในทางการเมอื ง เชน่ การจัดตงั ศาลฎีกาแผนกคดอี าญาของผดู้ า้ รงต้าแหนง่ ทางการเมือง การมีศาลพิเศษคู่ขนานกับศาลยุติธรรมอาจมีทังข้อดีและข้อเสีย ข้อดีคือเป็นการพิจารณาคดี เฉพาะทางซึ่งต้องการความเชี่ยวชาญเฉพาะขององค์คณะ แต่ข้อเสียคือเป็นการเพิ่มขันตอนในการ พิจารณาและในบางกรณีเขตอ้านาจศาลคาบเกี่ยวกัน ดังนี การที่ประเทศไทยรับเอารูปแบบการปฏิรูป มากจากหลายๆ ประเทศ แต่ยังไม่มีระบบพัฒนาบุคคลากรในกระบวนการยุติธรรมท่ีเหมาะสม ท้าให้ การท้างานไม่สอดคลอ้ งกนั และไม่เกดิ ประสิทธิผลเท่าท่ีควร ประเดน็ ที่ 4 ปญั หำในกระบวนกำรยุติธรรมช่วงทศวรรษ 2540 -2550 และข้อเสนอแนะ 1. ระบบราชการในประเทศไทยมีความเป็นปัจเจกมากกว่าท่ีจะประสานงานกัน การส่งต่อ ข้อมูลยังไม่ดีเท่าที่ควร แต่ละองค์กรต่างท้าหน้าท่ีของตนโดยไม่ค้านึงถึงระบบหรือกระบวนการใน ภาพรวม 2. ประเทศไทยน้าตน้ แบบของระบบหรือโครงสร้างต่างๆ มาจากต่างประเทศ แมเ้ ปน็ ระบบหรือ โครงสร้างที่ดี แต่มีปัญหาที่ตัวบุคคลท่ีขาดความพร้อม ทักษะและความรู้ ที่จะท้างานให้สอดคล้องกับ ระบบ 3. บทบาทของชุมชนยังมนี ้อย และกระบวนการยตุ ิธรรมขนึ กบั สว่ นกลางมากเกนิ ไป 4. กฎหมายบางฉบบั มคี วามลา้ หลัง อตั ราโทษไมส่ อดคล้องกบั สภาพสังคมในปัจจบุ นั 3. ควำมเหลอ่ื มลำแนวรำบ ต้นกำเนดิ ควำมรุนแรง สังคมไทยประสบปัญหาใหญ่ คือ ความอยุติธรรมหรือการถูกเลือกปฏิบัติจากโครงสร้างอ้านาจ ที่ไม่เท่าเทียม ท้าให้เกิดสภาวะความเหลื่อมล้าในทุกด้าน และเห็นว่าความเหลื่อมล้าอย่างสุดขัวใน 5 ด้าน คือ รายได้ สิทธิ โอกาส อ้านาจ และศักดิ์ศรีความเป็นมนุษย์ เป็นปัญหาเชิงโครงสร้างท่ีเป็น แกนกลางของปญั หาอนื่ แทบทงั หมดในสังคมไทย (ค้านา้ ( ความเหล่อื มล้าแนวราบ (horizontal inequality) คือ สภาพความเหลือ่ มล้าท่ีด้ารงอย่รู ะหวา่ ง กลุ่มคนต่างวัฒนธรรม และเม่ือซ้อนลงบนความแตกต่างทางเศรษฐกิจและการเมือง ความขัดแยง้ ชนิดที่ ถึงตายก็ปรากฏขึน (ค้าน้า( // ความเหลื่อมล้าแนวราบ คือ ความไม่เท่าเทียมระหว่างกลุ่มชาติพันธุ์ ต่างๆ (บทสรุปผู้บริหาร( หรือกลุ่มคนต่างๆ ซึ่งมีอัตลักษณ์ร่วมกัน โดยเป็นความเหล่ือมล้าที่มีมิติด้าน เศรษฐกจิ สังคม การเมอื ง และสถานะทางวัฒนธรรม 2-85

รายงานวิจยั ฉบบั สมบูรณ์ “การลดความเหลือ่ มลา้ ผา่ นกระบวนการยตุ ธิ รรม” สญั ญาเลขท่ี SRI58M0417 - ความเหล่ือมล้าแนวราบต่างกับความเหล่ือมล้าแนวตัง ตรงท่ี ความเหล่ือมล้าแนวตังเป็นการ วัดความเหลื่อมล้า รายบุคคล หรือรายครัวเรือน ไม่ใช่ รายกลุ่ม และการประเมนิ ความเหล่ือมล้าแนวตัง ยังมักจา้ กดั วงอยู่ที่เรอื่ งรายไดห้ รือการบริโภคเท่านนั (บทที่ 1( ความเหลื่อมล้าแนวราบมักมีจุดเริ่มต้นในยุคล่าอาณานิคม แต่ความเสียเปรียบที่กลุ่มต่างๆ เผชิญ ท้าให้ความเหลอื่ มล้ายังคงอยแู่ ม้ในปัจจบุ ัน ผลก็คอื ความเหลื่อมล้าแนวราบสามารถด้ารงอยู่ข้าม รุ่น หรือกระท่ังข้ามศตวรรษ ซ่ึงอาจเป็นความเหลื่อมล้าในด้านเศรษฐกิจ สังคม การเมือง หรือสถานะ ทางวัฒนธรรมของกลุ่ม (บทสรุปฯ( ความขัดแย้งรุนแรงในประเทศท่ีประกอบไปด้วยประชากรหลายชาติพันธ์ุและหลายศาสนา ยังคงเป็นปัญหาหลักในโลกปัจจุบัน ความขัดแย้งเหล่านีไม่เพียงแต่ท้าให้เสียชีวิจและบาดเจ็บทังก่อน หลัง และระหวา่ งการปะทะกัน แต่ยังเปน็ ต้นเหตุของความด้อยพฒั นาและความยากจนด้วย ท่ีรา้ ยท่ีสุด คือ เหตุการณ์รุนแรงที่เกิดจากความขัดแย้งดังกล่าวเกิดขึนบ่อยที่สุดในหมู่ประเทศที่ยากจนที่สุดของ โลก (บทน้า( ความขัดแย้งอันสืบเนื่องมาจากอัตลักษณ์ → ทุกวันนีการระดมมวลชนโดยอาศัยอัตลักษณ์ ของกลุ่มเป็นต้นตอส้าคัญที่สุดของความขัดแย้งรุนแรง ซ่ึงปรากฏการณ์เช่นนีน้าไปสู่ค้าถามส้าคัญว่า เพราะเหตุใดความขัดแย้งหนักหน่วงและรุนแรงจึงปะทุขึนเฉพาะในบางสังคมที่มีกลุ่มชาติพันธ์ุ หลากหลาย ขณะที่สงั คมส่วนใหญ่ผูค้ นทมี่ อี ตั ลกั ษณแ์ ตกตา่ งสามารถอยู่ร่วมกันอย่างสนั ตไิ ด้? (บทท่ี 1( สมมติฐานของ CRISE เกีย่ วกับความสัมพันธ์ระหว่างความเหล่ือมล้าแนวราบกับความขดั แยง้ ก็ คือ การปลุกระดมให้มวลชนก่อเหตุรุนแรงจะมีแนวโน้มเพ่ิมขึนเมื่อคนที่มีอัตลักษณ์เฉพาะกลุ่มหนึ่ง เผชิญกับความเหลื่อมล้าอย่างรุนแรงในรูปแบบต่างๆ เช่น เศรษฐกิจ สังคม การเมือง หรือเกี่ยวข้องกับ สถานะทางวฒั นธรรมของกลมุ่ - ด้ำนเศรษฐกิจ หมายถึง ความเหล่ือมล้าในการเข้าถึงและเป็นเจ้าของทรัพยากร (ทรัพยากร การเงิน ทรัพยากรมนุษย์ ทรัพยากรที่มาจากธรรมชาติ และทุนทางสังคม( รวมถึงความเหลื่อมล้าของ ระดบั รายได้และโอกาสในการมีงานท้า (น.24( - ด้ำนสังคม หมายถึง ความเหล่อื มล้าในการเข้าถึงบรกิ ารของรัฐประเภทต่างๆ เช่น การศึกษา สุขภาพและทีอ่ ยอู่ าศัย รวมทังสถานะทางการศกึ ษาและสขุ ภาพ (น.24( - ด้ำนกำรเมือง หมายถึง ความไม่เท่าเทียมของโอกาสในการมีส่วนร่วมทางการเมืองและการ เข้าสู่อ้านาจของคนกลุ่มต่างๆ รวมถึงการผูกขาดอ้านาจทางการเมืองส้าคัญๆ รวมไปถึงความไม่เท่า เทยี มของประชาชนในการมสี ว่ นรว่ มทางการเมอื งและแสดงออกถงึ ความต้องการของตน (น.24( - ด้ำนสถำนะทำงวัฒนธรรม หมายถึง การท่ีกลุ่มคนท่ีมีความแตกต่างทางภาษา ประเพณี จารตี และธรรมเนยี มปฏบิ ัติ ไมไ่ ดร้ ับการยอมรบั และการรับรองสถานะภาพเช่นกลุ่มอืน่ (น.24( 2-86

รายงานวจิ ัยฉบบั สมบูรณ์ “การลดความเหลื่อมลา้ ผา่ นกระบวนการยตุ ิธรรม” สญั ญาเลขท่ี SRI58M0417 แม้ว่าความเหล่ือมล้าแนวราบ ไม่ว่าด้านใดก็ตาม สามารถเป็นเหตุให้เกิดการปลุกระดมทาง การเมืองได้ แต่ความเหล่ือมล้าทางการเมือง (โดยเฉพาะการกีดกันทางการเมือง( มีแนวโน้มจะเป็นเหตุ ให้ผู้น้ากลุ่มปลุกระดมให้เกิดการชุมนุมต่อต้านรัฐ ในทางตรงกันข้าม ความเหลื่อมล้าทางเศรษฐกิจและ สังคม มีแนวโน้มจะก่อให้เกิดปฏิกิริยาในหมู่มวลชน ขณะที่ความเหลื่อมล้าด้านสถานะทางวัฒนธรรมมี แนวโน้มจะท้าให้เกิดความยึดโยงของกลุ่ม ท้าให้ความแตกต่างทางอัตลักษณ์ของกลุ่มย่ิงชัดเจนขึน (น. 25( ความเหล่ือมล้าด้านใดจะน้าไปสู่ความขัดแย้งรุนแรงหรือไม่ก็ขึนอยู่กับว่าความเหล่ือมล้า ดังกล่าวส่งผลต่อรายได้หรือความเป็นอยู่ดีของคนในสังคมหรือไม่ (น.25( ความเหลื่อมล้าในแต่ละด้าน ก่อให้เกิดปัญหาโดยตัวของมันเอง แต่โดยมากมักส่งผลในวงกว้างและไปกระทบความเหล่ือมล้าด้านอ่ืน ด้วย เช่น ความไม่เท่าเทียมของอ้านาจการต่อรองทางการเมืองมักน้าไปสู่ความเหล่ือมล้าทางสังคมและ เศรษฐกิจด้วย เช่นเดียวกับที่โอกาสในการเข้ารับการศึกษากับรายได้ก็มีความเกี่ยวพันกัน การขาด โอกาสท่ีจะได้รับการศึกษาท้าให้บุคคลด้วยโอกาสทางเศรษฐกิจ และการมีรายได้ต่้าก็ส่งผลให้โอกาสใน การไดร้ ับการศึกษาและการประสบความสา้ เรจ็ ดา้ นอ่นื ลดลง เป็นวงจรช่วั ร้าย (น.25-26( ข้อค้นพบ 10 ประกำร จำกโครงกำรวิจัยของ CRISE 1. โอกำสที่จะเกิดควำมขัดแย้งมีสูงขึนในสังคมที่มีควำมเหลื่อมลำแนวรำบด้ำนเศรษฐกิจและสังคม มำกๆ โดยท่ัวไป ความเหลื่อมล้าแนวราบด้านเศรษฐกิจจะประเมินจากสินทรัพย์เฉลี่ยในครัวเรือน และความเหล่อื มล้าแนวราบด้านสงั คมประเมินจากระยะเวลาเฉลยี่ ของการเข้ารับการศกึ ษา (น.30) - ความเหล่ือมล้าแนวราบเป็นปัจจัยพืนฐานของความขัดแย้ง (น.33) ส่ิงท่ี CRISE ค้นพบคือ โอกาสของการเกิดความขัดแย้งท่ีจะเพิ่มขึน เม่ือความเหลื่อมล้าทวีความรุนแรงขึน แต่ก็ไม่ใช่ทุกกรณี (น.34) 2. โอกำสของกำรเกิดควำมขัดแย้งมแี นวโน้มสูงขึนในพืนทีท่ ่ีมคี วำมเหลือ่ มลำแนวรำบด้ำนกำรเมือง เศรษฐกิจ และสังคม อย่างต่อเน่ืองยาวนาน โอกาสของการเกิดความขัดแย้งมีแนวโน้มลดลงเมื่อกลุ่ม คนท่เี สียเปรยี บ เสียเปรยี บในบางด้าน แตไ่ ด้เปรยี บในบางด้าน ในสังคมที่มีความเหล่ือมล้าแนวราบด้านการเมือง เศรษฐกิจ และสังคมอย่างรุนแรงและ ต่อเน่ือง ความเหล่ือมล้าแนวราบจะเป็นแรงจูงใจให้ทังผู้น้าและมวลชนซ่ึงเป็นสมาชิกของกลุ่มท่ี เสยี เปรียบมารวมตัวกัน แรงจูงใจของผู้น้าคือการถูกกีดกนั ทางการเมือง ส่วนมวลชนก็จะถูกกระตุ้นจาก การถูกกีดกันด้านเศรษฐกิจและสังคม ซ่ึงผู้น้าสามารถใช้ความเหล่ือมล้าเหล่านีในการระดมมวลชน (น. 34) 2-87

รายงานวจิ ยั ฉบบั สมบูรณ์ “การลดความเหลื่อมล้า ผา่ นกระบวนการยตุ ธิ รรม” สญั ญาเลขท่ี SRI58M0417 การเสียเปรียบในเชิงสังคมและเศรษฐกิจมีแนวโน้มท่ีจะก่อความคับแค้นในหมู่ประชาชน และ เปิดโอกาสให้มีการปลุกระดมมวลชนเพื่อต่อต้านหรือก่อเหตุรุนแรงได้ แต่การปลุกระดมจะประสบผล หรือไม่ตอ้ งขนึ อยู่กับทงั ผนู้ า้ และการเขา้ รว่ มของมวลชนด้วย (น.36) 3. รัฐบำลที่มีตัวแทนจำกคนหลำยกลุ่ม (กระจำยอำนำจ) มีแนวโน้มที่จะลดโอกาสของการเกิดความ ขดั แย้งได้ ในสังคมท่ีมีการแบ่งปันอ้านาจท้าให้มีความเหลื่อมล้าแนวราบด้านการเมืองต้่า ประชาชนมี แนวโน้มท่ีจะอยู่ร่วมกันอย่างสันติ แม้ว่าสังคมนันจะมีความเหลื่อมล้าแนวราบด้านเศรษฐกิจและสังคม อย่างรุนแรงก็ตาม เพราะเม่ือมีการแบ่งปันอ้านาจกันอย่างแท้จริง จะไม่มีกลุ่มใดท่ีผูกขาดอ้านาจ และ ทุกกลุม่ (หลัก( จะรสู้ ึกว่าตนได้มสี ่วนร่วมในรฐั บาลจริงๆ (น.39) 4. ควำมเปน็ พลเมอื งอำจเป็นต้นตอของกำรกดี กันทำงกำรเมอื งและเศรษฐกจิ ความเป็นพลเมือง (citizenship) มาพร้อมกับสิทธิทางเศรษฐกิจและการเมืองรูปแบบต่างๆ ไม่ เพียงแต่การมีส่วนร่วมทางการเมืองท่ีขึนอยู่กับความเป็นพลเมือง แต่รวมไปถึงสิทธิประโยชน์ในด้าน ต่างๆ ทังทางเศรษฐกิจและสังคมด้วย การกีดกันไม่ให้สิทธิพลเมืองจึงเป็นรูปแบบหน่ึงของความเหล่ือม ลา้ แนวราบโดยตวั มนั เอง และยังเป็นตน้ ตอของความไม่เท่าเทยี มในด้านอืน่ เช่น สิทธิในการท้างาน การ เข้าถึงบริการของรัฐ หรือการถือครองท่ีดิน (น.41) ดังนีการกีดกันไม่ให้สมาชิกของสังคมเป็นพลเมือง ก็ อาจเป็นสาเหตุส้าคญั ท่ีทา้ ให้เกดิ ความเหล่ือมล้าแนวราบดา้ นเศรษฐกิจและสังคมด้วย (น.43) 5. กำรไม่ยอมรับสิทธิของกลุ่มวัฒนธรรมต่ำงๆ อย่ำงเท่ำเทียมกัน เป็นอีกปัจจัยหน่ึงที่ทำให้เกิด ควำมขัดแย้งและ “เหตกุ ำรณ์” ทำงวฒั นธรรมอำจจดุ ชนวนให้เกดิ ควำมขัดแยง้ ได้ โดยพืนฐานแล้ว “วัฒนธรรม” (ชาติพันธุ์หรือศาสนา( โดยตัวเองมักเป็นปัจจัยที่เช่ือมโยงผู้คน เข้าเป็นกลุ่ม และยิ่งวัฒนธรรมมีความส้าคัญต่อวิธีท่ีคนมองตัวเองและคนอ่ืน แนวโน้มที่พวกเขาจะ รวมกลมุ่ โดยเส้นแบ่งทางวฒั นธรรมกย็ ิ่งมีมากขนึ ด้วย ดังนี ความเหล่อื มล้าของสถานะทางวฒั นธรรมจึง สามารถขบั เน้นให้อัตลักษณข์ องกล่มุ เด่นชดั ขึน สถำนะทำงวฒั นธรรม มอี งคป์ ระกอบสำคัญ 3 ประกำร คอื 1). การปฏิบตั ติ อ่ ศาสนาและศาสนกิจของผอู้ นื่ ด้วยความเคารพ 2). การยอมรบั ภาษาและการใชภ้ าษาของคนกลุ่มอืน่ 3). การให้ความเคารพตอ่ วิถปี ฏบิ ตั ิทางชาติพันธ์ุ-ศาสนาของผู้อ่นื (น.43) ความไม่เท่าเทยี มด้านที่เกิดจากความเหลอื่ มลา้ ทางวัฒนธรรม ท้าให้เกดิ ความเหลอื่ มลา้ ด้านอื่น (เศรษฐกิจ, สังคม, การเมือง( กลายเป็นแรงผลักดันให้เกิดการระดมมวลชนท่ีมีพลังขึน นอกจากนีการ กีดกันทางวัฒนธรรมยังลดทอนความสามารถทางการเมืองและเศรษฐกิจ ท้าให้ความไม่เท่าเทียมกันย่ิง เด่นชดั และท้าให้ผ้ทู ี่เสียเปรียบอยแู่ ลว้ ยิง่ เสียเปรียบมากขึน (น.44) 2-88

รายงานวิจัยฉบบั สมบรู ณ์ “การลดความเหลอื่ มล้า ผา่ นกระบวนการยุติธรรม” สัญญาเลขท่ี SRI58M0417 6. กำรตระหนักถึงควำมเหลอื่ มลำแนวรำบ ส่งผลตอ่ แนวโนม้ กำรเกิดควำมขัดแย้ง ผู้น้า ส่ือ และสถาบันการศึกษาอาจมีอิทธิพลต่อการรับรู้เร่ืองความเหลื่อมล้า แม้ในขณะที่ สภาพการณท์ เ่ี ปน็ จริงจะยงั ไม่เปล่ยี นแปลงไปกต็ าม (น.45) ความส้าคัญของการรับรู้ของประชาชนท่ีมีต่อการถูกกระตุ้นให้เกิดการเคลื่อนไหว กล่าวคือ ผู้น้า สถาบัน และนโยบายท่ีมีอิทธิพลต่อการรับรู้เหล่านี ย่อมส่งผลต่อแนวโน้มของการปลุกระดมทาง การเมอื ง (น.46) มาตรการต่างๆ ล้วนส่งผลต่อการรับรู้ แม้มาตรการ/โครงการช่วยเหลือต่างๆ ของรัฐนันจะไม่ สามารถท้าให้ช่องว่างทางเศรษฐกิจหายไปได้ แต่มาตรการเหล่านีก็ท้าให้ประชาชนเช่ือว่ารัฐบาลได้ พยายามกระจายทรัพยากรให้เป็นธรรมมากขึน และได้เปลี่ยน “การรับรู้” เก่ียวกับความเหล่ือมล้าของ ผู้คน โครงการชว่ ยเหลื่อทา้ ใหค้ นสว่ นใหญ่คดิ วา่ พวกเขากเ็ ป็นส่วนหนงึ่ ของสงั คม (น.47) 7. เหตุที่ทรัพยำกรธรรมชำติที่มีค่ำนำไปสู่ควำมขัดแย้ง ก็เพรำะทรัพยำกรธรรมเหล่ำนีก่อให้เกิด ควำมเหลอ่ื มลำแนวรำบสงู ทรัพยากรธรรมชาติที่มีค่ากระตุ้นให้ชนชันน้าแขง่ ขันกันมากขึนเพ่ือเข้ามามีอ้านาจ (เพราะการ อยู่ในอ้านาจให้ผลประโยชน์เพิ่มมากขึน( แต่งานของ CRISE เสนอว่าโอกาสที่ทรัพยากรธรรมชาติจะ ก่อให้เกิดความขัดแย้งยังขึนอยู่กับผลกระทบของทรัพยากรเหล่านีต่อความเหล่ือมล้าแนวราบ ซึ่งอาจ นา้ ไปสูก่ ารแบง่ แยกดนิ แดน หรือเป็นความขัดแย้งระดบั ท้องถ่ิน การค้นพบทรัพยากรธรรมชาติยังอาจเพ่ิมความเหล่ือมล้าระหว่างภมู ิภาคอยา่ งมากได้ และหาก ทรัพยากรอยู่ในบริเวณท่ีมีกลุ่มชาติพันธุ์หรือกลุ่มทางศาสนาอาศัยอยู่ ก็อาจน้าไปสู่ความขัดแย้งเพ่ือ แบง่ แยกดนิ แดน (น.47) นอกจากนี ทรัพยากรธรรมชาตยิ งั มกั สัมพนั ธ์กับความขัดแยง้ ในระดับท้องถิ่น (น.49) 8. ธรรมชำติของรฐั เป็นปจั จยั ชขี ำดว่ำควำมขดั แยง้ รนุ แรงจะประทุขนึ และคงอย่หู รือไม่ บทบาทของรัฐต่อความขัดแย้งไม่ไดอ้ ยู่ท่ีการเปิดโอกาสให้ชนกลุ่มน้อยเขา้ มามสี ่วนรว่ มทางการ เมอื งหรือไม่เท่านัน หวั ใจอยู่ที่ปฏิกิริยาของรัฐตอ่ ความขัดแย้งในประเทศ แม้ว่าระบอบการปกครองท่ีใช้ อ้านาจปรามประชาชนอย่างรุนแรงจะสามารถป้องกันความขัดแย้งได้ แต่รัฐท่ีก้าวร้านก็สามารถเติม เชือเพลงิ และทา้ ใหค้ วามขัดแยง้ รนุ แรงคกุ กรุ่นต่อไป (น.49) 9. ควำมเหลื่อมลำแนวรำบบำงดำ้ นยำกจะยุติ กระทัง่ อำจอยู่ยืนยงนำนนับศตวรรษ ความเหลอื่ มล้าแนวราบมกั มตี น้ กา้ เนิดมาจากยุคอาณานิคมที่ให้อภสิ ิทธิ์กบั คนบางกลมุ่ หรือบาง ภมู ิภาค (หรอื ทังสอง( และดา้ รงอยตู่ อ่ เนอ่ื งมาดว้ ยหลายปัจจยั 2-89

รายงานวจิ ยั ฉบบั สมบรู ณ์ “การลดความเหลือ่ มลา้ ผา่ นกระบวนการยตุ ธิ รรม” สญั ญาเลขที่ SRI58M0417 ในแอฟริกาตะวันตก ความเหล่ือมล้าในภูมิภาคส่วนหนึ่งเกิดจากความแตกต่างของสภาพภูมิ ประเทศและภูมิอากาศ แต่ก็ถูกซ้าเติมด้วยนโยบายเศรษฐกิจในยุคอาณานิคมท่ีเอือประโยชน์ในแง่ของ โครงสร้างพนื ฐานทางเศรษฐกิจและสังคมกับคนทางภาคใตข้ องประเทศมากกวา่ (น.53) 10. แม้แตล่ ะประเทศจะเหน็ ควำมร้ำยแรงและเร่งด่วนของปัญหำควำมเหล่ือมลำแนวรำบ แตป่ ญั หำ นีมักไม่ปรำกฏในนโยบำยระหวำ่ งประเทศและข้อมลู เชงิ สถิติ นโยบายส่งเสริมการเติบโตทางเศรษฐกิจซ่ึงได้รับการสนับสนุนจากทั่วโลก ประกอบด้วย นโยบายมหภาคที่ออกแบบเพ่ือรักษาเสถียรภาพทางเศรษฐกิจและเปิดกว้างทางการค้า นโยบาย ระดับกลางท่ีมุ่งสนับสนุนการสร้างโครงสร้างพืนฐานทางเศรษฐกิจและเสริมการท้างานของระบบตลาด เพ่ือเพ่ิมประสิทธิภาพ นโยบายลดระดับความยากจนส่วนใหญ่มีท่ีมาจากรายงานยุทธศาสตร์การลด ระดับความยากจน (Poverty Reduction Strategy Papers — PRSPs) ซ่ึงเน้นการใช้จ่ายในภาค สงั คมและโครงการพเิ ศษเพ่ือชว่ ยคนยากจน (น.55) ในทางการเมือง รัฐบาลตะวันตกหลายประเทศต่างเห็นความส้าคัญของการส่งเสริม ประชาธิปไตยแบบหลายพรรค แต่ก็มักจะละเลยปัญหาความเหลื่อมล้าแนวราบทางการเมือง โดยทว่ั ไป มหาอ้านาจมักไม่สนใจเร่ืองระบอบการเมืองการปกครองโดยตรง แต่จะเน้นท่ีระบบประชาธิปไตยแบบ หลายพรรคและการปฏิรูปการบริหารงานให้มีธรรมาภิบาล เช่น ความโปร่งใส ตรวจสอบได้ แต่ในทาง ปฏิบัติ ระบบประชาธิปไตยแบบหลายพรรคในสังคมพหุชาติพันธุ์ก็อาจน้าไปสู่การเมืองแบบกีดกันคน บางกลมุ่ ได้ (น.57) ในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ มาเลเซียเป็นประเทศตัวอย่างของความพยายามแก้ปัญหาความ เหล่ือมแนวราบด้านเศรษฐกิจและสังคมอย่างเป็นระบบและมีประสิทธิภาพ การท่ีรัฐบาลแห่งชาติมี ตวั แทนจากกลมุ่ ต่างๆ ในสังคม ก็ชว่ ยใหค้ วามเหลื่อมล้าแนวราบด้านการเมืองถูกควบคุมได้บางส่วน (น. 60) ขอ้ ค้นพบนโยบำย ข้อสรุปหลักของโครงการวิจัยของ CRISE ก็คือ ความเหล่ือมล้าแนวราบท้าให้ความเสี่ยงท่ีจะ เกิดความขัดแย้งรุนแรงขึน โดยเฉพาะอย่างยิ่งถ้าความเหล่ือมล้าแนวราบเกิดขึนพร้อมๆ กันทังด้าน เศรษฐกิจ สังคม การเมือง และสถานภาพทางวัฒนธรรม ข้อสรุปท่ีตามมาก็คือสังคมท่ีประกอบด้วย ประชากรหลายกล่มุ ชาติพนั ธุ์ และมีความเหลื่อมลา้ แนวราบอยา่ งรุนแรง ควรใหค้ วามสา้ คญั กับนโยบาย ขจัดความเหลือ่ มลา้ เป็นอนั ดับแรกๆ (น.61) 2-90

รายงานวจิ ัยฉบบั สมบรู ณ์ “การลดความเหลือ่ มล้า ผา่ นกระบวนการยตุ ิธรรม” สัญญาเลขที่ SRI58M0417 มำตรกำรรปู ธรรมบำงประกำรท่อี ำจละควำมเหลอื่ มลำแนวรำบด้ำนตำ่ งๆ ได้ 1. นโยบำยต่อปัญหำควำมเหลื่อมลำแนวรำบด้ำนเศรษฐกิจและสังคม แบ่งเป็น นโยบำยทำงตรง และนโยบำยทำงอ้อม นโยบายทางอ้อมที่อาจน้าไปสู่การลดความเหลื่อมล้าทางอ้อม เช่น นโยบายการจัดเก็บภาษี แบบก้าวหน้า และโครงการขจัดความยากจนโดยท่ัวไป ซึ่งจะเป็นประโยชน์แก่กลุ่มคนท่ีเสียเปรียบ มากกว่าอภิสิทธิ์ชน หรือใช้ระบบกฎหมายในการลดความเหลื่อมล้า เช่น เพื่อสร้างการยอมรับ แล ะ เพ่ือให้เกิดการยอมรับสทิ ธิมนุษยชน ในทางเศรษฐกิจและสงั คมของชนกลุ่มน้อย และเพื่อต่อต้านกีดกัน คนเหลา่ นีในพืนท่ีท่ีมคี วามไมเ่ ท่าเทียมในทางภมู ิภาค ควบคู่ไปกับความเหล่ือมลา้ ของกล่มุ อัตลกั ษณ์ (น. 67) 2. นโยบำยต่อปัญหำควำมเหลื่อมลำแนวรำบด้ำนกำรเมอื ง สิง่ ส้าคัญท่ีต้องให้ความสนใจในการแก้ปัญหาความเหลื่อมล้าแนวราบด้านการเมือง ได้แก่ การ นยิ ามความเป็นพลเมือง การออกแบบระบบการเลือกตังและกติกาในการเลือกตัง รวมถึงการมีส่วนร่วม ของคนกลุ่มต่างๆ ในสถาบันการเมืองส้าคัญๆ ทังในภาครฐั และไม่ใช่ภาครัฐ (รัฐบาลทังส่วนกลาง ส่วน ทอ้ งถิน่ รฐั สภา ศาล พรรคการเมือง กองก้าลงั รกั ษาความมนั่ คงแห่งชาติ และระบบราชการ( (น.68) กลไกการเลอื กตังที่ออกแบบเพื่อให้ตัวแทนจากกลุ่มตา่ งๆ เข้าสู่รัฐสภา รัฐบาล และฝ่ายบริหาร อย่างสมดุล เป็นปัจจัยส้าคัญต่อการลดความเหล่ือมล้าแนวราบด้านการเมือง (น.69) การกระจาย อ้านาจโดยการปกครองระบอบสหพันธรัฐ และการกระจายอ้านาจจากส่วนกลาง อาจเป็นอีกกลไก สา้ คัญในการแก้ปญั หาความเหลอื่ มลา้ แนวราบดา้ นการเมือง (น.72) 3. นโยบำยตอ่ ปัญหำควำมเหลอื่ มลำด้ำนสถำนะทำงวัฒนธรรม นโยบายท่เี กย่ี วกับสถานะทางวฒั นธรรม มี 3 เร่อื งหลัก คอื - แนวปฏิบัตทิ างศาสนา - นโยบายดา้ นภาษา - แนวปฏบิ ตั ิทางชาติพันธุ์-วัฒนธรรม (น.73) โดยทั่วไป ความเท่าเทียมท่ีสมบูรณ์ไม่มีทางเป็นไปได้ หากรัฐให้การยอมรับเฉพาะศาสนา ประจ้าชาติ แต่ถึงแม้จะมีเง่ือนไขดังกล่าว ประเทศต่างๆ ก็สามารถท้าให้สถานภาพของศาสนาต่างๆ มี ความเท่าเทียมกันได้มากขึน เช่น ให้ทุกศาสนามีโอกาสท่ีเท่าเทียมกันในการสร้างสถานที่ประกอบ ศาสนกจิ และท่ีฝงั ศพ ฯลฯ (น.73) ดา้ นภาษา การส่งเสริมให้เกิดความเท่าเทียมของสถานะทางวฒั นธรรม ในประเทศท่ีประชาชน ใช้หลายภาษา ต้องท้าผ่านการจัดระบบการศึกษาที่ใช้มากกว่าหน่ึงภาษา แม้การเรียนการส อนท่ีใช้ 2-91

รายงานวจิ ยั ฉบบั สมบรู ณ์ “การลดความเหลอื่ มลา้ ผา่ นกระบวนการยตุ ิธรรม” สญั ญาเลขท่ี SRI58M0417 มากกว่าหน่ึงภาษาจะก่อให้เกิดค่าเสียโอกาส แต่งานวิจัยพบว่าผลการเรียนของนักเรียนท่ีใช้ภาษาแม่ใน ห้องเรียนและเรียนภาษากลางทีเ่ ป็นภาษาแหง่ ชาติด้วย ดีกวา่ เมอื่ เรียนภาษาเดียว (น.74) 4. หนังสือเร่ือง “คู่มือเข้ำใจชนชันวรรณะควำมเหล่ือมลำ” โดย เจเรมี ซีบรุก แปลโดย ทองสุก เก ตโุ ณจน์ และสำยพิณ ศพุ ุทธมงคล การศึกษาเร่ืองความเหลื่อมล้าไม่สามารถที่จะละเลยมิติการศึกษาชนชันในทางสังคมได้ ฉะนัน จงึ ต้องมกี ารศึกษาประวัตศิ าสตร์เรอ่ื งชนชัน อันเป็นแนวคดิ ท่ีเร่ิมต้นในประเทศอังกฤษและอเมริกา ทีไ่ ล่ เรียงตังแต่การเกิดชนชนั แรงงาน ชนชันกลาง และชนชนั สูง ในสังคมสมัยใหม่ภายใต้หลังยุคปฏิวัติอุตสาหกรรม ท้าให้เกิดชนชันใหม่ที่ถูกผลักดันด้วยลัทธิ ทุนนิยม ที่เลื่อนขึนมากจากชนชันแรงงานนันคือชนชันกลาง ต่อมาชนชันนีได้กลายเป็นชนชันน้าที่ไม่ จ้าเป็นต้องมาจากสายเลือกวงศ์ตระกูลอีกต่อไป แต่ก้าวขึนมามีบทบาทส้าคัญในโลกปัจจุบัน การเกิด ขึนมาของชนชันใหม่เป็นการตอกย้าเรื่องความเหลื่อมล้า ท่ีเกิดจากการเปลี่ยนผ่านชนชัน แต่ชนชัน แรงงานไม่ได้หายไปไหน พวกเขาไม่ได้ถูกเรียกว่าชนชันแรงงานอีกต่อไปในยุคสมัยใหม่ แต่ชนชัน แรงงานเหล่านีกลับกลายเป็นภาพสะท้อนของความเหล่ือมล้าในทางสังคมสมัยใหม่ ที่ไม่สามารถเข้าถึง สิทธิการศึกษาที่เท่าเทียม การท้างาน สาธารณูปโภคของรัฐ เนื่องจากถูกนโยบายการพัฒนาของรัฐท่ี ละเลยกลุ่มคนเหล่านแี ละเน้นแต่ความเป็นสมัยใหม่ โดยการสง่ เสริมดา้ นธรุ กิจกระแสหลกั หนังสอื เล่มนี ได้เสนอแนวทางสู้กับความเหล่ือมล้า โดยการยกตัวอย่างขบวนการประชาชนเม็กซิโก เกษตรกรอินเดีย หรือการสร้างเครอื ข่ายเกษตรอินทรยี ์เพ่ือต่อต้านลัทธิบริโภคนิยม ท่ีเป็นการสร้างวาทกรรมของตนเพื่อ ตอ่ สู้กบั แนวคดิ การพัฒนากระแสหลัก และความเหลอ่ื มลา้ 5. หนังสือชุด ถมช่องว่ำงทำงสงั คมลำดบั ที่ 8 โดย อญั จิรำ อศั วนนท์ หนังสือเล่มนีได้กล่าวถึงความไม่เป็นธรรมท่ีเกิดขึนในผู้ใช้แรงงาน โดยเปรียบเปรยว่า ปัญหา เร่ืองของความไม่เป็นธรรมในผู้ใช้แรงงานคือ เรื่องที่เป็นเรื่อง “นอกสายตา” ที่ไม่มีคนให้ความส้าคัญ ผู้เขียนจึงได้เขียนหนังสือเล่มนี เพ่ือตีแผ่ถึงปัญหาความไม่เป็นธรรมในกระบวนการแรงงานไม่ให้เป็น เรือ่ งท่ีนอกสายตาอีกตอ่ ไป ผู้เขียนได้เสนอความไม่เป็นธรรมอันน้ามาซึ่งความเหล่ือมล้าในประเด็นทางสุขภาพของผู้ใช้ แรงงานใน โดยเสนอผ่านเร่ืองราวของกรณีศึกษา ทังแรงงานในระบบและแรงงานนอกระบบ ซ่ึงตีแผ่ ความจริงเกยี่ วกบั สถานการณ์แรงงานไทยในปจั จุบนั เชน่ ส่วนที่ 1 แรงงำนในระบบ ได้แก่ กรณีศึกษาเหตุการณ์โศกนาฏกรรมของโรงงานผลิตตุ๊กตาเคเดอร์ ที่เกิดเหตุเพลิงไหม้ ภายในโรงงานและโรงงานถล่มลงมาเป็นเหตุให้มีผู้เสียชีวิต บาดเจ็บ หลายคน หลังจากสอบถามผู้ท่ีอยู่ ในเหตุการณ์ซ่ึงเป็นพนักงานของโรงงานแห่งนีพบว่า เหตุท่ีมีผู้เสียชีวิตจ้านวนมาก เนื่องจาก หัวหน้า 2-92

รายงานวิจัยฉบบั สมบูรณ์ “การลดความเหลอื่ มลา้ ผา่ นกระบวนการยุตธิ รรม” สญั ญาเลขที่ SRI58M0417 คนงานได้ส่ังให้ปิดประตูทางออกเน่ืองจากป้องกันของสูญหาย จึงท้าให้ทางออกแค่ทางเดียว อีกทัง โครงสร้างของตึกโรงงานไม่มีมาตรฐานทา้ ให้ตึกถลม่ ลงมา และยังพบวา่ เหตกุ ารณ์เชน่ นีไมไ่ ด้เกิดขึนเป็น ครังแรก น้ามาซ่ึงความสูญเสียไม่เพียงแต่สูญเสียพนักงานโรงงานเท่านัน แต่ยังน้ามาซ่ึงความสูญเสียแก่ ครอบครัว คนรอบข้างของผู้ประสบภัยหลายคน เช่น กรณีของชาญ ทองแป้น (หน้า 17( ท่ีไม่เพียง สญู เสียภรรยาจากเหตุการณ์ครังนัน แต่ยังสูญเสียแม่ของลูก และ น้ามาซ่ึงปญั หาเรอื รัง ลูกชายของเขา กลายเป็นคนเงียบขรึม และตัวเขาต้องท้างานหนักมากขึน หรือ ครอบครัวของสัมพันธ์ พนักงาน โรงงานเคเดอร์ ซ่ึงกลายเป็นผู้พิการเน่ืองจากกระโดดลงมาจากตึกในเหตุการณ์ครังนัน ท้าให้เขา กลายเปน็ ผู้พิการและภาระตกอยู่แกค่ รอบครวั ของเขา หรือ ครอบครัวที่ตอ้ งสญู เสียลูกสาว 2 คนท้าให้ผู้ เปน็ แม่ตอ้ งรับภาระดูแลหลาน และนา้ มาซึ่งโรคภัยไข้เจบ็ เน่อื งจากไดร้ ับความกระทบกระเทือนต่อจิตใจ และเกดิ ความเครยี ดอันเป็นผลพวงมาจากเหตกุ ารณ์ครังนัน ผู้เขียนได้อธิบายและเสนอมุมมองว่า คุณภาพชีวิตของคนในโรงงานนันเลวร้ายมาก ไม่ว่าจะ เป็น ค่าจ้างที่ต่้ามาก หรือ สวัสดิการ ส่ิงแวดล้อมในการท้างานล้วนย่้าแย่ เม่ือเกิดความรุนแรงขึน คน ส่วนใหญ่มักคิดถึงปัญหาเฉพาะหน้าที่ได้รับผลกระทบทางกายภาพ เช่น ความเจ็บป่วยทางร่างกาย เท่านัน แต่ผลกระทบต่อจิตใจ ครอบครัวและอ่ืน ๆไม่ได้มีการกล่าวถึงและให้การเยียวยา และมีอีก หลายโรงงานท่ีเป็นในลักษณะ ทางแก้ คือ ควรจะแก้ปัญหาที่ต้นเหตุ คือ แก้ท่ีความปลอดภัยในโรงงาน ที่ท้าให้เกิดปัญหา (หน้า 30( และกรณีศึกษานีถือเป็นบทเรียนท่ีทุกฝ่ายไม่ว่า จะเป็นรัฐหรือ ผู้ประกอบการ แรงงาน ควรมีส่วนร่วมเพื่อแก้ไขปัญหาในเรื่องความปลอดภัยอย่างเป็นระบบ และมี ประสิทธิภาพ อีกหนึ่งกรณีของแรงงานในระบบคือ นายอักษร อรรคติ ท่ีมีอาการเจ็บป่วยเรือรัง จากการ ท้างานยกของหนัก ปัญหาที่พบคือ อาการเจ็บป่วยท่ีเรือรังสะสมมานานท้าให้เขาไม่สามารถท้างานยก ของได้เหมือนเดิม และร่างกายมีความผิดปกติไม่สามารถกลับมาเป็นอย่างเดิมได้ และเม่ือเข้ารับการ รักษาก็ใชส้ ิทธไิ ด้เพียงจากประกันสังคม (หน้า 35( เนอื่ งจากนายจ้างไม่ได้มองว่า การเจ็บปว่ ยของเขามา จากการท้างาน จึงไม่มีสิทธิได้รับเงินทดแทนซึ่งจะเป็นผลดีกับเขามากกว่า เพราะกองทุนเงินทดแทนให้ สิทธิประโยชน์ที่ลกู จ้างพึงจะได้รับมากกวา่ กองทุนประกันสังคมมาก หรือ กรณีศึกษาของ นางสมบุญ สี ค้าดอกแค ซึ่งได้รับผลกระทบจากการท้างาน โดยได้รับความเจ็บป่วยจากการสูดดมฝุ่นฝ้ายเป็น เวลานาน ท้าให้ปอดไม่สามารถใช้งานได้เป็นปกติตลอดชีวิต และเม่ือรู้สึกไม่ได้รับความเป็นธรรม จึง ฟ้องร้องเป็นคดีแก่นายจ้าง ปรากฏว่ากว่าที่สมบุญจะได้รับค่าเสียหายต้องใช้เวลาถึง 15 ปีและเงินท่ี ได้รับนัน ก็ไม่เพียงพอเยียวยาต่อความสูญเสีย และน้าไปสู่การจัดตัง “สภาเครือข่ายกลุ่มผู้ป่วยจากการ ทา้ งานและส่ิงแวดล้อมแห่งประเทศไทย” เพ่ือเรียกรอ้ งสิทธแิ ก่แรงงานท่ีเจ็บป่วยจากการท้างาน โดยสม บุญได้ให้ข้อสังเกตว่า สาเหตุที่ท้าให้ลูกจ้างเจ็บป่วยเน่ืองจากสภาพแวดล้อมทางเศรษฐกิจ เน่ืองจาก นายจ้างต้องการเพ่ิมก้าลังการผลิต วิธีการท่ีนายจ้างใช้คือ ให้ลูกจ้างท้างานล่วงเวลา โรคที่พบมากท่ีสุด ของลกู จ้าง คือ โรคเกย่ี วกับกระดูก และกล้ามเนอื ซงึ่ เปน็ โรคทไ่ี มได้เกิดโดยฉับพลนั ทันที ท้าให้นายจ้าง 2-93

รายงานวิจัยฉบบั สมบรู ณ์ “การลดความเหลอื่ มลา้ ผา่ นกระบวนการยตุ ิธรรม” สญั ญาเลขท่ี SRI58M0417 ไม่ยอมรับว่า โรคที่เกิดขึนเป็นโรคที่เกิดจากการท้างาน (หน้า 45( และน้ามาซึ่งการเสียสิทธิที่จะได้รับ เงนิ ทดแทน ในสว่ นมุมมองของนายจ้าง ที่ตกเป็นผู้รา้ ยของคดี นาย อุกฤษณ์ กาญจนเกตุ กล่าวว่า นายจ้าง กไ็ มไ่ ดอ้ ยากให้เกิดความเสยี หาย เนอ่ื งจากสง่ ผลตอ่ สายการผลติ และขวญั กา้ ลงั ใจของลกู จ้างคนอืน่ ดว้ ย ผู้เขียนจึงเสนอมุมมองว่า ทางแก้คือ แก้ที่ต้นเหตุ คือ เพิ่มความปลอดภัยในการท้างานแก่ ลูกจ้าง แต่ปัญหาที่พบนัน แม้จะมีมาตรการออกมาหลายอย่างแต่ก็ไม่ประสบความส้าเร็จเนื่องจาก ตัว ลูกจา้ ง เชน่ การท้างานกับสารเคมีแม้โรงงานจะจัดอุปกรณ์เพื่อป้องกันอันตราย แต่ตัวลกู จา้ งเองไมย่ อม สวมใส่อุปกรณ์ เนื่องจากไม่คุ้นชินและรู้สึกร้าคาญ และ ตัวนายจ้างเองท่ีไม่ได้บอกข้อมูลความอันตราย แก่ลูกจ้างเนื่องจาก กลัวว่าเมื่อลูกจ้างทราบข้อเท็จจริงจะท้างานได้ไม่เต็มท่ี หรือ ปัญหาจากหน่วยงาน ของรัฐเองทมี่ บี ุคลากรไม่เพียงพอต่อการด้าเนินการเพอื่ ความปลอดภยั สว่ นท่ี 2 แรงงำนนอกระบบ แรงงานนอกระบบนัน โชคร้ายกว่าแรงงานในระบบมาก เน่ืองจาก ไม่ได้รับความคุ้มครองตาม กฎหมายแรงงานเลย เม่ือเกิดการเจ็บป่วยสามารถใช้สิทธิประกันสุขภาพถ้วนหน้า 30 บาทได้เท่านัน สวัสดิการคุ้มครองเฉพาะด้านอาชีวอนามัยอย่างแรงงานในระบบไม่ได้รับการคุ้มครองเลย เช่น กรณศี ึกษาของ วันเพ็ญ บาทชาลี ทีท่ า้ อาชีพขายพวงมาลยั การท้างานในลกั ษณะทีน่ ่ังนานๆวันละหลาย ชั่วโมง ติดต่อกันเป็นเวลานานท้าให้ร่างกายของวันเพ็ญอาการเจ็บป่วย คือ ปวดหลัง ปวดเข่า หรือ ป้า ยุพิน โรจนวิภาต ซึ่งท้างานรับจ้างแยกถุงพลาสติกโดยบ่อยครังได้รับสารเคมีจากถุงพลาสติกท้าให้ป้ามี อาการของโรคผิวหนังที่รุนแรง ทังสองกรณีนี เม่ือเจ็บป่วยสามารถใช้สิทธริ ักษาพยาบาลประกนั สุขภาพ ถ้วนหน้า แต่ค่าชดเชยจากการที่ขาดงานเน่ืองจากเจ็บป่วย ไม่ได้รับอย่างแรงงานในระบบท่ีแม้จะหยุด งานเมื่อป่วยก็ยังได้รับเงินเดือนอยู่ แต่แรงงานนอกระบบนัน หากวันใดที่ต้องหยุดงานเพ่ือไปพบแพทย์ เท่ากับว่า วันนันจะไม่ได้เงิน (หน้า 99( ทังๆท่ีความเสี่ยงของแรงงานนอกระบบมีพอๆกับแรงงานใน ระบบ แต่ไม่มีนายจ้างหรือ หน่วยงานใดมาดูแล และ แรงงานเหล่านีสนในแต่เร่ืองปากท้องของตน มากกว่า สนใจในสุขภาพของตนเอง ย่ิงไม่ตอ้ งพูดถึงแรงงานข้ามชาตทิ ี่แทบไมม่ ีสิทธิอะไรเลย หากไม่ได้ มกี ารประกนั ตนขึนทะเบยี นแรงงาน อีกประเด็นคือ ระบบประกันสุขภาพถ้วนหน้าท่ีเป็นท่ีพึ่งของแรงงานนอกระบบกลับมีกลไกที่ บกพร่อง โดยมีปัญหาหลักคือ เรื่องของงบประมาณท่ีมีการจัดสรรอย่างไม่มีประสิทธิภาพ และปัญหา ของตัวบุคลากรทางการแพทยท์ ่ไี ม่เข้าใจบรบิ ทของแรงงาน บทสรุป ผู้เขียนได้ให้มุมมองว่า แม้ว่าปัญหาบางเรื่องจะยังไม่ได้รับการแก้ไข หรือ ก้าลัง ด้าเนินการแก้ไข แต่กระนัน สถานการณ์ของแรงงานดีขึนกว่าในอดีตมากแบบค่อยเป็นค่อยไป และจะ นา้ ไปส่กู ารพฒั นาคณุ ภาพชีวิตของแรงงานให้ดขี ึนกว่าเดิมในอนาคต 2-94

รายงานวิจยั ฉบบั สมบูรณ์ “การลดความเหลอื่ มลา้ ผา่ นกระบวนการยุตธิ รรม” สญั ญาเลขที่ SRI58M0417 6. รำยงำนสถำนกำรณ์ควำมไม่เป็นธรรมทำงสุขภำพ พ.ศ. 2444: ช่องว่ำงระหว่ำงมนุษย์ โดย เครอื ขำ่ ยถมช่องวำ่ งทำงสงั คม รายงานฉบับนีได้เสนอว่า ประเด็นเรื่องความไม่เป็นธรรมทางสังคม ซึ่งเป็นประเด็นที่ส่งผล กระทบตอ่ ปัจเจก กลุ่มคน และสังคม และสอดคล้องกบั ความไม่เป็นธรรมทางสขุ ภาพ เนื่องจากความไม่ เป็นธรรมอันเนื่องมาจากปัจจัยหลายๆอย่างนัน ส่งผลโดยตรงต่อความไม่เป็นธรรมทางสุขภาพของคน และมีผลต่อสขุ ภาพของคน ดงั นี การก้าหนดหลักฐานเชงิ ประจักษ์วิธีการวัดระดับความไมเ่ ท่าเทียมกันทางสังคมและระเบยี บวิธี วจิ ัย โดยใช้แนวคิดเรื่องคนชายขอบ โดยให้ความหมายว่า คือ ผู้ไร้อ้านาจ ซึ่งความเป็นชายขอบ เสมือนเปน็ พืนท่ีสเี ทา ทีค่ นกลมุ่ หนง่ึ มโี อกาสได้รบั การยอมรบั และขับออกจากกลุม่ ใหญ่ในสังคมเท่าๆกัน กลุ่มคนชายขอบจึงเป็นกลมุ่ ตวั อยา่ งท่ีดีโดยอนุมานว่า หากคนท่ีอย่ลู ้าดับต่้าสุดทางสังคมได้รับความเท่า เทยี มแลว้ คนท่อี ยู่ล้าดับเหนือขึนไปในโครงสรา้ งกจ็ ะไดรบั ความเท่าเทยี ม ครอบครวั : กำรเลียงลูกด้วยนมแม่ โดย น.พ ขวญั ประชำ เชียงไชยสกลุ ไทย และ ปรวรรณ ทรงบณั ฑติ ย ประเด็นสถานการณ์เลยี งลูกด้วยนมแม่ แสดงถงึ ความเหลื่อมล้า คืออัตราการเลยี งลกู ด้วยตวั แม่ เอง มคี วามแตกต่างกันขึนอยู่กบั อาชพี และสิทธิตามกฎหมายท่ีบคุ คลเหลา่ นีได้รบั เช่น สิทธิลาคลอดของ คนกลุ่มอาชีพต่างๆ ขา้ ราชการ พนกั งานเอกชน พนกั งานรัฐวิสาหกิจ อาชพี อิสระ ท่ีมีการคลอดบุตร อีก ทัง อีกปัจจัยที่ท้าให้เกิดความเหลื่อมล้า คือ บรรยากาศการท้างานท่ีไม่เอือต่อการที่แม่จะเลียงลูกด้วย นมแม่ เช่น ไม่มีสถานท่ีเหมาะสมเพื่อป้ัมนมแม่ หรือ ไม่มีที่เก็บนมแม่หลังจากป๊ัมเสร็จ ส่วนในกลุ่ม แรงงานขา้ มชาตพิ บว่า แรงงานขา้ มชาติสว่ นใหญเ่ ลียงลกู ดว้ ยนมแม่ แตไ่ ม่มีความตอ่ เนอ่ื ง กำรศึกษำ : ควำมเหลอื่ มลำทำงโอกำสกำรลงทนุ ทำงทรพั ยำกรและผลลัพธ์ โดย แบง๊ ค์ งำม อรุณโชติ และ ถิรภำพ ฟักทอง ได้เสนอควำมเหลอื่ มลำโดยชีวัดจำกกำรเข้ำถงึ กำรศึกษำ มติ ิท่ี 1 วัดโดยจ้านวนปีที่ได้เรียน พบว่า โดยภาพรวมโอกาสทางการศึกษาของคนไทยมีมากขึน แต่เมื่อ ลงรายละเอยี ดพบว่า เพศหญงิ มโี อกาสท่จี ะได้รับการศกึ ษายาวนานกว่าเพศชาย มิติที่ 2 วัดโดยทรัพยากรท่ีรัฐลงทุน พบว่า ทรัพยากรถูกน้าไปใช้ในระดับอุดมศึกษา และ สนับสนุนผู้ท่ี เรียนสายสามัญมากกวา่ สายอาชพี มิติที่ 3 วัดจากผลลัพธ์ทางการศึกษา พบว่า มีความแตกต่างกันมากในพืนท่ีทางการศึกษาในและนอก เทศบาล สะทอ้ นผ่านคะแนนการสอบมาตรฐาน 2-95

รายงานวจิ ัยฉบบั สมบูรณ์ “การลดความเหลอื่ มล้า ผา่ นกระบวนการยตุ ธิ รรม” สญั ญาเลขที่ SRI58M0417 และในส่วนของผู้พิการนัน ส่วนใหญ่เข้าถึงการศึกษาในระดับประถมศึกษาเท่านัน มีพวกส่วน น้อยที่มโี อกาสเรยี นสงู ขึนไป งำน : ค่ำตอบแทนท่ีเป็นธรรม ค่ำตอบแทนที่เหมำะสม ใช่หรือไม่ กับค่ำตอบแทนท่ยี ุติธรรม ทต่ี อ้ งไดร้ บั ของแรงงำน พบว่า มีความเหลื่อมล้าในระบบการจ้างงานอย่างชัดเจน โดยแรงงานนอกระบบได้รับค่าจ้าง น้อยกว่าในขณะท่ีท้างานมากกว่า ทังในภาคเกษตรกรและนอกภาคเกษตรกร และ แรงงานส่วนใหญ่มี รายได้ไมเ่ พียงพอต่อการด้ารงชีพ และต้องท้างานเพิ่มวันละ 10-14 ชั่วโมงเพ่ือให้ได้รบั ค่าจ้างท่ีเพียงพอ ต่อการด้ารงชีวิต น้าไปสู่ภาวะเป็นหนี ขาดการออม และความสัมพันธ์ในครอบครัวลดลงน้าไปสู่ปัญหา สังคม นอกจากนัน เกิดปัญหาสุขภาพจากการท้างานหนักซึ่งเกี่ยวพันไปสู่ปัญหาระบบสวัสดิการ โดยเฉพาะดา้ นสุขภาพต่อไป กำรกระจำยทุน : ควำมเหล่อื มลำของระบบภำษี โดย ภทั ชำ ดว้ งกลดั พบว่า ระบบภาษีของประเทศไทยโดยรวมมีลักษณะความเป็นธรรมในแนวนอน แต่ไม่มีความ เป็นธรรมในแนวด่ิง ไม่มีการประยุกต์ใช้ภาษีในลักษณะอัตราก้าวหน้า อัตราการจัดเก็บภาษีที่แท้จริงไม่ เติบโตขึนตามการปรับตัวเพ่ิมของประชากร ภาษีเงินได้บุคคลธรรมดา ท่ีเป็นสัญลักษณ์ในการจัดการ ปัญหาความเหลื่อมล้ามีการจัดการท่ีไม่มีประสิทธิภาพ เนื่องจากสาเหตุหลายประการ เช่น ผู้มีงานท้า จา้ นวนมากไม่อยู่ในระบบภาษแี ละ ไม่มสี ่วนรว่ มในการรับภาระทางภาษี ภาระทางภาษีสว่ นใหญ่ตกแก่ผู้ ที่มีรายได้สูง เน่ืองจาก ฐานภาษีเงินได้บุคคลธรรมดามีเกณฑ์ขันต่้าสูง คนจ้านวนจึงไม่อยู่ในระบบภาษี อกี ทังการลดหย่อนภาษมี ากมายหลายช่องทาง กำรกระจำยทรัพยำกร : โครงสรำ้ งกำรจัดกำรท่ีดนิ โดย กฤษฎำ บญุ ชยั พบว่า ความไม่เป็นธรรมในโครงสร้างการจัดการที่ดินส่งผลต่อสุขภาพของคน คือ การยึดถือ ครองที่ดินในประเทศไทย รัฐ ถือครอง 50% ขณะที่ เอกชนถือครอง 40% และเป็นเกษตรถือครอง 10% การถือครองที่ดินในสัดส่วนดังกล่าวท้าให้มีผลต่อรายได้ สุขภาพ และสถานพยาบาลที่ท้าการ รักษา มาตรการท่ีออกโดยรัฐไม่ได้แก้ปัญหาความไม่เป็นธรรม เนื่องจาก รัฐไม่ได้ใช้นโยบายเพ่อื ให้มกี าร กระจายท่ีดินที่กระจุกตัวโดยภาคเอกชน แต่ รัฐเพยี งใชส้ ิทธิตามกฎหมายแก่เกษตรกรทค่ี รอบครองในที่ ของรัฐ โดยให้สิทธิแก่ผู้ที่อยู่อาศัยก่อนเขตป่าอนุรักษ์เท่านัน ท้าให้เกษตรกรจ้านวนมากไร้ที่ดินท้ากิน ส่งผลต่อการเข้าถึงทรัพยากรที่จ้าเป็นต่อการด้ารงชีวิต เช่น ท่ีดิน ส่งผลกระทบต่อรายได้ เศรษฐานะ ของครัวเรือน และส่งผลต่อพฤติกรรมสุขภาพ ดังเช่น ข้อมูลการใบริการผู้ป่วยนอกและผู้ป่วยใน พบว่า ครัวเรือนท่ีมีฐานะดีมีแนวโน้มและโอกาสเข้ารับบริการที่สถานบริการเอกชนมากกว่า ขณะท่ีครัวเรือน ยากจนจะไปรับบรกิ ารทีส่ ถานพยาบาลของรัฐทเ่ี ล็กท่สี ดท่ใี หบ้ รกิ ารบุคคลในครวั เรอื นได้ 2-96

รายงานวิจยั ฉบบั สมบรู ณ์ “การลดความเหล่อื มล้า ผา่ นกระบวนการยุติธรรม” สัญญาเลขท่ี SRI58M0417 กำรกระจำยอำนำจ : กำรเมอื งภำคประชำชนและคนชำยขอบ โดยประเวศ วะสี เสนอว่า ความเหลื่อมล้าทางการเมืองประชาชนส่วนใหญ่ไม่มีส่วนร่วมในการก้าหนดนโยบาย ของรัฐ ท้าให้ตกอยู่ในโครงสร้างที่ไม่เอือต่อคุณภาพชีวิตและสุขภาวะ หากต้องการเปล่ียนแปลง การ กระจายอ้านาจการตัดสินใจและการมีส่วนร่วมปรึกษาหารือในระดับท้องถิ่น สามารถสร้างความเป็น ธรรมในสังคมและสุขภาพมากขึน เพราะการเมืองภาคประชาชน มีความศักยภาพในการก้าหนด เจตจา้ นงของตนเอง ภาวะถดถอยของการเมืองภาคประชาชนนา้ มาซง่ึ ความเหลอ่ื มล้า วัฒนธรรมกรอบแนวคดิ : กำรมองขำ้ ม ละเลย และลดทอนคุณคำ่ เสนอว่า สาเหตุหลกั ทีท่ ้าให้เกิดความไมเ่ ป็นธรรมของกล่มุ ชายขอบทางวฒั นธรรมเกดิ จาก กลุ่ม คนเหลา่ นนั ถกู มองข้าม ลดทอนคณุ ค่า ถูกละเลย ความเป็นมนุษย์ วัฒนธรรมชมุ ชน โดยวาทกรรมหลัก 3 ประการ คือ วาทกรรมรัฐชาติและความมั่นคงของรัฐ ทลี่ ดทอนคุณค่าชุมชนและวฒั นธรรมท้องถ่ิน ท้า ให้คนชายขอบไม่ได้รับการยอมรับในฐานะพลเมือง วาทกรรมเสรีนิยมใหม่ ท่ีลดทอนคุณค่า จิตใจ จิต วิญญาณ และ วาทกรรมปัจเจกนิยม ท่ีลดทอนคุณค่าชุมชน,ความสัมพันธ์ของคน ที่มุ่งการแข่งขันและ เพกิ เฉยต่อความไมเ่ ป็นธรรม ส่ิงแวดลอ้ ม : อำกำศสกปรก ต้นทุนท่ไี มม่ ที ำงเลือก โดย กฤติกำ เลิศสวสั ด์ิ เสนอว่า คุณภาพส่ิงแวดล้อมท่ีดี ถือเป็นองค์ประกอบส้าคัญของการด้ารงอยู่ของสิ่งมีชีวิตทุก ชีวิตอย่างพ่ึงพากนั และกัน และได้รับความสนใจในสังคมไทยในชว่ ง 30 ปีท่ีผ่านมา ประเทศไทยพบว่ามี ปัญหาในเร่ืองหมอกควัน โดยเฉพาะภาคเหนือของประเทศ เผชิญกับปัญหาหมอกควันมากที่สุดโดยมี สาเหตุมาจากการเผาเพื่อแพ้วถางที่ดินเพ่ือเตรียมการเพาะปลูกของเกษตรและ ไฟป่า ซึ่งปัญหาหมอก ควันจะเร่ิมขึนในเดือนมกราคมและสินสุดในเดือนเมษายน และสถานการณ์ทวีความรุนแรงขึนทุกๆปี นอกจากนันแล้ว ปัญหาฝุ่นควันยังน้ามาซึ่งโรคภัยไข้เจ็บแก่ประชาชนเนื่องจากพบฝุ่นละอองขนาดเล็ก และเปน็ อนั ตรายกวา่ ค่ามาตรฐาน เช่น โรคเกย่ี วกับทางเดินหายใจ โรคผิวหนัง ซึง่ มีแนวโน้มมีผู้ป่วยเพ่ิม มากขึน ทางออกของปัญหาคือ การอาศัยความร่วมมือจากทุกภาคส่วนไม่ว่าจะเป็นรัฐหรือ ประชาชน ในการแกไ้ ขปัญหาอย่างเป็นรูปธรรม โลกำภิวตั น์ : กรณีอุตสำหกรรมยำ โดยนิธิ เนอื่ งจำนง ในยุคโลกาภิวัตน์ที่มีการพัฒนาเทคโนโลยีและอุตสาหกรรม ยาคือผลิตภัณฑ์ประเภทหนึ่งท่ี ได้รับการพัฒนาเช่นเดียวกัน แต่กระนัน ในประเทศที่พัฒนาแล้ว บริษัทผลิตยา พบว่า จะพัฒนาและ ผลิตเฉพาะยาประเภททีท่ ้ากา้ ไร แตย่ าเพ่ือรักษาโรคท่ีถกู ละเลย อนั เป็นโรคท่ีเกดิ จากความยากจน ไม่ได้ รับการให้ความสนใจ อีกทัง การคุ้มครองสิทธิบัตรนอกจากจะไม่ได้ท้าให้เกิดการขยายตัวของการวิจัย และพัฒนาเภสัชภัณฑ์ใหม่ๆ ส้าหรับประชากรส่วนมากในโลกแล้วยังส่งผลท้าให้ประชากรยากจน ต้อง รับภาระคา่ ใชจ้ ่ายเร่อื งยาเพม่ิ มากขึน ซ่ึงขา้ มาซ่ึงความเหล่ือมลา้ ในสุขภาวะ 2-97

รายงานวจิ ยั ฉบบั สมบูรณ์ “การลดความเหลือ่ มล้า ผา่ นกระบวนการยุตธิ รรม” สัญญาเลขท่ี SRI58M0417 ภำคผนวก บทสัมภำษณ์จำกนกั วชิ ำกำรหลำกหลำยสำขำ สมบัติ บุญงำมอนงค์ ได้ให้ความหมายว่า ความเหล่ือมล้า คือ โอกาสในการเข้าถึงทรัพยากร โอกาสในการท่ีจะด้ารงชีวิตอย่างมีมาตรฐาน เราควรมีมาตรฐานและ ถ้ามีคนที่ต้่ากว่าเส้นมาตรฐานลง มา แสดงถึง ความเหลื่อมล้าของสังคม ดังนัน สังคมที่สมดุล คือ ความเป็นคนท่ียืนอยู่ระนาบเดียวกัน การแกป้ ัญหาคือ ในทางนโยบายต้องประกาศมาตรฐานทุกเรื่อง ทังสิทธิพืนฐาน สิทธิมนุษยชน จะต้องมี เส้นคงที่มีระดับมาตรฐาน และสังคมและรัฐจะต้องพยายามท้าให้คนที่อยู่ต่้ากว่ามาตรฐานเข้ามาแตะ มาตรฐานนใี หไ้ ด้ นธิ ิ เอยี วศรวี งศ์ เสนอมุมมองวา่ ความเหลื่อมล้าทางการเมอื งเปน็ เร่อื งใหญม่ าก เรามองเห็นได้ ชัดเวลามีการเลือกผ้แู ทน จากเรือ่ งทค่ี นระดับล่าง เขาเลอื กไดม้ ากทส่ี ุดก็จรงิ แต่พอหลังจากการเลือกตัง เขาแทบไม่มีสิทธิมเี สยี งอะไรอีกเลย ทีเ่ ก่ยี วกับการกา้ หนดนโยบายของรัฐ ดงั นันหัวใจของการแกป้ ัญหา ความเหลอ่ื มล้าคือ ใหค้ วามยุตธิ รรมทางการเมอื ง เรื่องเร่งด่วนคือ เร่ืองของการเข้าถึงบริการของรัฐ เช่น เร่ืองของบุคลากรและเคร่ืองมือแพทย์ ชนบทในต่างจังหวัด ในอ้าเภอที่อยู่ห่างไกล ทุรกันดารนันไม่เพียงพอ เรื่องของความไม่เป็นธรรมเราทุก คนตอ้ งช่วยกันทา้ ใหล้ ดลง นวลน้อย ตรีรัตน์ เสนอว่า ปัญหาความเหล่ือมล้าหรือ ปัญหาความไม่เป็นธรรม เกิดจากเร่ือง โครงสร้างอ้านาจ ซ่ึงไม่ได้สะท้อนออกมาเรื่องรายได้ หรือเศรษฐกิจเท่านัน แท้ที่จริง เรื่องความเหล่ือม ล้าปรากฏไดใ้ นทุกๆส่งิ ตราบใดทีโ่ ครงสร้างอ้านาจมคี วามไม่เท่าเทยี มกนั ดงั นนั ความเหลื่อมล้าท่มี าจาก โครงสร้างเชิงอ้านาจตอ้ งแก้ไขดว้ ยสงั คมประชาธปิ ไตย ชลิดำภรณ์ ส่งสมั พนั ธ์ ได้เสนอมมุ มองความเหลอื่ มล้าผา่ นทางแนวคดิ แนวสตรีนิยมว่า ผูห้ ญิง เป็นทุกข์เพราะถูกบังคับให้เป็นแม่ แล้วมีกี่คนได้รับผลกระทบนี เราไม่มีทางทราบนอกจากว่าจะลงไป รว่ มสมั ผัสกบั เขาอยา่ งจริงจัง ขึนอยูก่ ับว่าสังคมไทยสนใจความเหล่ือมล้าในเรอ่ื งอะไร เพราะสนใจ เราก็ เลยเห็น แต่ถ้าไม่สนใจ ความเหล่ือมล้าในเร่ืองอัตลักษณ์ทางเพศ วิถีชีวิตทางเพศเราก็ไม่เห็นว่ามันเป็น ปัญหา ดังนันหากเรามองความเหล่ือมลา้ โดยเอาตนเองเป็นที่ตงั เราก็จะมองไมเ่ ห็นคนอนื่ กิตติศักด์ิ ปกติ เสนอว่า เราต้องพูดถึงความยุติธรรม หรือ สภาวะที่ควรจะเป็นก่อน เพราะมัน เป็นสภาวะที่ทุกคนได้รับ หมายความว่า พืนฐานที่สุด คือ ใครท้า ใครได้ หรือใครที่ลงทุนลงแรง ก็ควร จะได้รับผลตอบแทนคุ้มค่ากับงานที่ตัวเองท้า การแก้ความเหล่ือมล้าด้วยกลไกของสังคมคือ สร้าง เครือขา่ ยของคนมคี ุณธรรมท่ีดี ชัยวัฒน์ ถิระพันธ์ุ เสนอว่า หากจะสู้กับเรื่องความไม่เป็นธรรม เราต้องสู้ในเรื่องโครงสร้าง อย่างที่กล่าวไปว่า โครงสร้างท่ีมีพลวัตร โดยเฉพาะอย่างย่ิง โครงสร้างเทคโนโลยีท่ีมันเอือให้คน ไดเ้ ปรียบอยู่แล้วยิ่งได้เปรียบเพ่ิมขึน เราตอ้ งดูดว้ ยว่า ท่ีเขาไดเ้ ปรยี บอยู่เปน็ ด้านไหน เราต้องลดช่องวา่ ง ความไมเ่ ปน็ ธรรมด้วยพลังของเครอื ขา่ ย 2-98

รายงานวจิ ยั ฉบบั สมบรู ณ์ “การลดความเหลื่อมล้า ผา่ นกระบวนการยตุ ิธรรม” สัญญาเลขที่ SRI58M0417 สฤณี อำชวำนันทกุล กล่าวว่า ความเหลื่อมลา้ เป็นประเด็นท่ีชัดเจนในส่ิงท่ีเราเช่ือม่ันวา่ ทกุ คน ควรจะได้รับสิทธิเท่าเทียมกัน เช่น กระบวนการยุติธรรม หากใครเข้าถึงได้ไม่เท่ากัน นี่คือ ความเหล่ือม ลา้ ซึ่งปัญหาใหญ่ของความเหลือ่ มลา้ คอื ทา้ ให้คนรสู้ กึ สนิ หวังในโอกาส ณำตยำ แวววีรคุปต์ กล่าวว่า เพราะเราใชเ้ งนิ เปน็ ตัววัดคุณค่าของคนในสงั คม ความเหล่อื มล้า ในแง่เศรษฐกิจช่องทางต่างกันมาก จึงท้าให้คนมีโอกาสในการใช้ชีวิตที่ไม่เท่าเทียมกัน ซ่ึงอาจจะ หมายถึงความไม่เป็นธรรมก็ได้ ดังนัน ปัญหาความเหล่ือมล้าต้องแก้ที่คนจน และ กระบวนการของ สงั คมต้องขบั เคลื่อนความเป็นธรรม จันทจิรำ เอยี่ มมยุรำ เสนอมุมมองว่า หากจะแก้ไขความเหลื่อมล้าก็ตอ้ งตอบแบบก้าปั้นทบุ ดิน คือ จะต้องคืนประชาธิปไตยให้กับประชาชน ให้กลไกประชาธิปไตยปกติสามารถด้าเนินไปได้ตาม ธรรมชาติ 7. กำรประชุมวิชำกำรสังคมศำสตร์สุขภำพ ครังที่ 1 เรื่องควำมไม่เป็นธรรมทำงสุขภำพและปัจจัย สังคมกำหนดสุขภำพ ในหวั ขอ้ โลกำภิวัตน์และควำมไม่เป็นธรรมทำงสขุ ภำพ ความไม่เป็นธรรมทางสุขภาพและปัจจัยสังคมก้าหนดสุขภาพ มุมมองทางสังคมวิทยา โดย รศ. ดร.สุพจน์ เด่นดวง ได้เสนอบทความ ช่ือ “ปัจจัยสังคมก้าหนดความไม่เป็นธรรมทางสุขภาพเน้นหนักที่ โลกาภิวัตน”์ แนวคิดและองค์ประกอบหลักของตัวก้าหนดสุขภาพเชิงสังคม คือ ความไม่เป็นธรรมทาง สุขภาพท่ีถูกก้าหนดโดยความสัมพันธ์ทางสังคมท่ีไม่เป็นธรรมซึ่งบิดเบือนท้าให้เกิดการกระจาย ทรพั ยากร เงนิ และ อ้านาจอย่างไม่เป็นธรรมผ่านโครงสร้างหรือสถาบันทางสงั คมรวมทังสถาบันสุขภาพ ที่ไม่เป็นธรรมด้วย ความไม่เป็นธรรมนีเกิดจากการท่ีสังคมได้มีการกระท้าที่เป็นระบบ จนท้าให้คนกลุ่ม หน่ึงอยู่ในฐานะท่ีเสียเปรียบและความเสียเปรียบนีท้าให้ประชาชนหรือ ผู้ป่วยไม่ได้รับสิ่งท่ีจ้าเป็นกับ ความต้องการของการด้าเนินชีวิต ผลทตี่ ามมาคือ พวกเขาเหล่านันมีสุขภาพที่ด้อยกวา่ คนอ่ืน น่นั คือ ส่ิง ท่ีไม่เป็นธรรม ซึ่งเป็นเรื่องของความต้องการพืนฐานหรือจ้าเป็น และ แนวคิดในเรื่องของความจ้าเป็น หรือส่ิงที่มนุษย์ควรได้นัน ได้แก่ การพัฒนาศกั ยภาพมนษุ ย์ คือ การวัดการพัฒนานนั ต้องวัดที่การพฒั นา มนุษย์หรือการพัฒนาศักยภาพของมนุษย์ไม่ใช่วัดที่ตัวเงินหรือตัววัดทางเศรษฐกิจ ซ่ึงตัววัดที่ดีคือ สุขภาพและคุณภาพชีวติ ในยุคโลกาภิวัตน์ท่ีมีพลังทางสังคมของระบบทุนนิยม โลกถูกบีบให้แคบลงและขับเคลื่อนตัวเองเข้าหา ผลประโยชน์ ประเทศท่ีมีทุนและอ้านาจเยอะย่อมได้เปรียบจากการค้าเสรีทังในประเทศและ ต่างประเทศ ผลก็คือ ประชาชนในประเทศท่ีมีทุนและอ้านาจด้อยกว่าได้รับผลประโยชน์น้อยท่ีสุดและ ป่วยทีส่ ุดซ่งึ เปน็ ความไมเ่ ปน็ ธรรมทางสขุ ภาพท่ีควรได้รบั การแก้ไข 2-99

รายงานวจิ ัยฉบบั สมบูรณ์ “การลดความเหลื่อมล้า ผา่ นกระบวนการยุติธรรม” สัญญาเลขท่ี SRI58M0417 ควำมไม่เป็ น ธรรมท ำงสุขภ ำพ มุม มองท ำงจิตวิท ยำ โดย ผศ .ดร.วีณ ำ ศิริสุข มหำวทิ ยำลยั มหิดล เสนอว่า ความไม่เป็นธรรมทางสุขภาพ เก่ียวข้องกับความเสียเปรียบทางสังคม โดยเกิดขึนกับ กลุ่มท่ีเสียเปรียบทางสังคมอยู่แล้ว จนท้าให้เสียเปรียบย่ิงขึน และจากศาสตร์ทางสังคมศาสตร์ท้าให้มี เหตุผลท่ีเชื่อได้ว่า ไม่วา่ จะเป็นเหตุทางตรงหรือทางออ้ มตัวก้าหนดทางสังคมที่น้าไปสู่สุขภาพมีหลายมิติ โดยมิติท่ีส้าคัญๆที่ท้าให้เกิดความไม่เป็นธรรมทางสุขภาพได้แก่ สถานท่ีพักอาศัย เชือชาติ อาชีพ เพศ ศาสนา การศึกษา สถานภาพทางเศรษฐกิจและสังคม ทุนทางสังคม และมีข้อสมมุติฐานว่า หากมีการ ด้าเนินการใดๆ ให้กลุ่มย่อยๆให้ในแต่ละมิติไม่ได้เปรียบหรือเสียเปรียบกันมากนัก ความเป็นธรรมทาง สุขภาพย่อมเกิดขึน แต่ตัวก้าหนดทางสังคมท่ีน้าไปสู่สุขภาพข้างต้น ล้วนเป็นตัวแปรท่ีศาสตร์ทาง จิตวิทยาไม่ได้สนใจศึกษาโดยตรง เพราะจิตวิทยาเป็นศาสตร์ที่ศึกษาพฤติกรรม และประสบการณ์ของ มนุษย์ในระดบั ปัจเจก และศึกษาพฤติกรรมท่ีคนแสดงออกมาเท่านัน เพยี งแต่ว่า เม่ือน้าศาสตร์จิตวทิ ยา ไปประยุกต์ใช้กับความไม่เป็นธรรมทางสุขภาพแล้ว ก็อาจจะเกี่ยวข้องกับจิตวิทยาสุขภาพ ที่มีบทบาท อย่างมากในการเสริมสร้างความเป็นธรรมทางสุขภาพ โดยจิตนัน จะมีกระบวนการทางความคิดและ กระบวนการทางอารมณ์ ท่ีปัจเจกตอบสนองต่อความไม่เป็นธรรมหรือเป็นธรรมในเรื่องต่างๆของสังคม ดังนัน ศาสตร์ของจิตวิทยาจะช่วยวิเคราะห์และปรับปรุงระบบบริการสุขภาพ และนโยบายเกี่ยวกับ สขุ ภาพ หัวข้อควำมไม่เป็นธรรมทำงสุขภำพของแรงงำนข้ำมชำติและโลกำภวิ ัตน์ กรณีศึกษำ ควำม รุนแรงในชีวิตของแรงงำนหญิงข้ำมชำติเมียนมำร์ในประเทศไทย โดย รศ.นำถฤดี เด่นดว ง มหำวทิ ยำลัย มหิดล ในโลกาภิวัตน์และอิทธิพลของทุนนิยม ท้าให้ประเทศไทยเป็นศูนย์กลางในการข้ามชาติของ แรงงานจากประเทศเพื่อนบ้าน โดยบทความนีได้มุ่งน้าเสนอถึงความรุนแรงท่ีเกิดแก่แรงงานหญิงข้าม ชาติเมียนมาร์ ในด้านตา่ งๆไมว่ ่าจะเปน็ ร่างกาย จติ ใจ และความรนุ แรงทางเพศ การเป็นหญิงแรงงานข้ามชาติ หมายถึง การถูกกดและเอาเปรียบซ่ึงซ้าซ้อนอยู่ถึงสามสถานะ (ความเป็นหญิง ความเป็นแรงงาน และความเป็นชาติพันธุ์อ่ืน( ท้าให้ได้รับความรุนแรงในหลายมิติ ทัง ในครอบครัว ที่ท้างานและชุมชนโดยรูปแบบของความรุนแรง 5 อันดับแรงได้แก่ การถูกด่าว่าด้วย ถอ้ ยคา้ เสียหาย รุนแรง การถกู หยามเกยี รติว่าเป็นหญิงตา่ งด้าว การท้ารา้ ยร่างกาย เช่น ตี เตะ ตบ ต่อย การล้อเลียนชอ่ื ทา้ ให้อบั อาย และพดู จาแทะโลม ลามก ท้าให้ไม่พอใจ หัวข้อควำมไม่เป็นธรรมทำงสุขภำพของคนชำยของและโลกำภิวัตน์ โดย ผศ.ดร. เพ็ญ จันทร์ เชอร์เรอร์ มหำวทิ ยำลยั มหิดล ระบบเศรษฐกิจไทยภายใต้กระแสทุนนิยมในยุคโลกาภิวัตน์ ที่มกี ารเพ่ิมการแข่งขนั มากขึนและ รนุ แรงขนึ เป็นล้าดบั วิกฤตเศรษฐกิจ สง่ ผลใหต้ ลาดแรงงานตึงตวั และมีการปรับโครงสรา้ งทางเศรษฐกิจ 2-100

รายงานวจิ ัยฉบบั สมบรู ณ์ “การลดความเหล่ือมล้า ผา่ นกระบวนการยตุ ิธรรม” สัญญาเลขท่ี SRI58M0417 ลดขนาดสถานประกอบการ เกิดการเคลือ่ นย้ายของแรงงาน โดยเฉพาะแรงงานนอกระบบ จากรายงาน วิจัยฉบับนีได้เก็บข้อมูลตัวอย่างของแรงงานนอกระบบท่ีได้รับผลกระทบจากเศรษฐกิจ พบว่าในปัญหา สุขภาพ แรงงานไม่ได้ให้ความสนใจเร่ืองความเจ็บป่วยของตนเอง หรือมีความส้าคัญเป็นล้าดับท้ายๆ เร่ืองของปากท้องต้องมาก่อน เมื่อเกิดความเจ็บป่วย ในการเลือกใช้สถานพยาบาลนัน แรงงานจะต้อง คิดถึงความคุ้มค่าในการเลือกเข้ารับบริการเมื่อเทียบกับเวลาท่ีสูญเสียไปก่อน จากการศึกษาพบว่า แรงงานมักเลอื กวิธีการรักษาโดยซือยากินเอง หรือ คลินิกเอกชน เพื่อท่ีจะได้ไม่เสียเวลา อีกตัวอย่างคือ แรงงานต่างด้าว ในด้านสุขภาพ แรงงานต้องเผชิญกับความทุกข์กาย ทุกข์ใจจากสิ่งแวดล้อมรอบข้าง เน่ืองจากการต้องระหกระเหินจากบ้านเกิดเมืองนอนมาอยู่สถานท่ีที่ไม่คุ้นชิน เมื่อเกิดความเจ็บป่วย พบว่า ปัญหาเร่ืองนีเป็นปัญหาที่แรงงานต่างด้าววิตกกังวลน้อยกว่าการครุ่นคิดว่าจะใช้ชีวิตอย่างไร รปู แบบการดูแลสุขภาพของแรงงานตา่ งด้าว จึงเป็นลกั ษณะการดูแลตนเอง 8. บทควำม ควำมเหล่ือมลำ ช่องว่ำงปัญหำเด็กและสตรี ผลสำรวจสถำนกำรณ์เด็กและสตรีใน ประเทศไทยท่สี ำคญั พ.ศ.2555 บทควำมนีได้รวบรวมสถิตขิ องสถำนกำรณ์เด็กและสตรใี นประเทศไทยในเร่ืองตำ่ งๆ สรปุ ได้ ดงั นี 1.โภชนำกำรของเด็ก พบว่า เด็กอายุต่้ากว่า 5 ปี 1 ใน 6 เตียแคระแกร็น และ 34.1% ของ เด็กแคระแกร็นเกิดจากแมท่ ไี่ ม่ได้รับการศกึ ษา ภาคตะวันออกเฉียงเหนอื คือ ภาคท่มี ีเด็กแคระแกร็นมาก ที่สุด น้อยท่ีสุดคือ ภาคกลาง ขณะที่ในภาวะอ้วน พบว่า เด็กอายุต่้ากว่า 5 ปี 1 ใน 10 มีภาวะอ้วน โดยมากเปน็ เดก็ ที่เกิดในครอบครวั ฐานะดี 2.กำรเลียงลูกด้วยนมแม่ พบว่า ทารกส่วนมากได้กินนมแม่เป็นส่วนใหญ่ในช่วงหกเดือนแรก เท่านนั มีเพียง12.3% เท่านันมีกินนมแม่อย่างเดียวในช่วงหกเดือนแรกหลังคลอด ภูมิภาคที่ทารกได้กิน นมแม่อย่างเดียวมากท่ีสุด คือ ภาคเหนือ และ น้อยที่สุดคือ กรุงเทพมหานคร และการเลียงลูกด้วยนม แม่อย่างเดียวพบมากในกลุ่มครัวเรือนที่ยากจนมาก ขณะท่ีในกลุ่มครัวเรือนที่ร้่ารวยมากพบว่ามีการ เลยี งลูกดว้ ยนมแม่อยา่ งเดียวนอ้ ยกวา่ กล่มุ ครวั เรอื นทย่ี ากจนมากกวา่ คร่ึง 3.กำรจดทะเบียนเกดิ เดก็ ทั่วประเทศกวา่ 99.4% มีใบสตู บิ ัตร 8.กำรบริโภคเกลือส่งเสริมไอโอดีน พบว่า มีครัวเรือนเพียง 70.9% เท่านันที่บริโภคไอโอดีน อยา่ ง เพียงพอ ภูมิภาคท่ีบริโภคไอโอดีนอย่างเพียงพอมากที่สุดคือ กรุงเทพมหานคร น้อยท่ีสุด คือ ภาค ตะวันออกเฉยี งเหนือ 4.กำรศึกษำปฐมวัย พบว่า ภูมิภาคทอ่ี ัตราของเดก็ อายุ 3-5 ปีเข้าเรียนในหลักสูตรปฐมวัยมาก ทีส่ ุดได้แก่ ภาคตะวันออกเฉยี งเหนอื น้อยทีส่ ดุ คอื กรุงเทพมหานคร 2-101

รายงานวจิ ัยฉบบั สมบูรณ์ “การลดความเหลอ่ื มลา้ ผา่ นกระบวนการยุติธรรม” สัญญาเลขที่ SRI58M0417 6.กำรเข้ำเรียนในโรงเรียนระดับประถมศึกษำตำมเกณฑ์อำยุ พบว่า ภูมิภาคท่ีมีเด็กเข้าเรยี น ชันประถมศึกษาปีที่ 1 ตามเกณฑ์อายุมากที่สุดได้แก่ กรุงเทพมหานคร น้อยที่สุดคือ ภาค ตะวันออกเฉียงเหนือ ทั่วทังประเทศมีเพียง 75.3% เท่านันที่เด็กเข้าเรียนชัน ป.1 ตามเกณฑ์ โดย 65.3% มาจากครวั เรือนที่ยากจนมาก และ 81.6% มาจากครอบครวั ทีร่ ้า่ รวยมาก 7.กำรตังครรภ์ในวัยรุ่น ภูมิภาคที่มีอัตราการตังครรภ์ในวัยรุ่น (15-19 ปี(มากท่ีสุด คือ ภาค ตะวันออกเฉียงเหนอื น้อยท่ีสุดคอื กรุงเทพมหานคร โดยทั่วทงั ประเทศอัตราการตงั ครรภ์ของหญิงวยั รุ่น อยู่ท่ี 1000 : 60 โดย 85% มาจากครอบครัวท่ียากจนมากและ 16% มาจากครอบครัวท่ีร้่ารวยมาก โดยหญิงทจ่ี บการศึกษาเพียงชนั ประถม มีอตั ราการตังครรภส์ ูงกว่าหญิงท่จี บการศึกษาชันมธั ยม .กำรตีตรำและเลือกปฏิบัติต่อผู้ที่ติดเชือเอช ไอ วี พบว่า สตรีกว่า 97.2 % มีทัศนคติที่ ยอมรับผูต้ ดิ เชอื เอชไอวี 9.กำรยอมรับควำมรนุ แรงในครอบครัว พบว่า ภูมภิ าคทีย่ อมรบั ความรุนแรงในครอบครวั มาก ท่สี ุด คือ ภาคตะวันออกเฉียงเหนอื นอ้ ยทส่ี ุด คอื กรงุ เทพมหานคร 10.เด็กท่ีไม่ได้อยู่กบั พ่อแม่ พบว่า เด็ก 1 ใน 5 ไม่ได้อยกู่ บั พอ่ แม่ โดย 31% มาจากครวั เรือนท่ี ยากจนมาก และ 8.2% มาจากครัวเรือนท่ีร้่ารวยมาก ภูมภิ าคท่มี ีเด็กไม่ไดอ้ ยู่กบั พ่อแม่มากท่ีสดุ คือ ภาค ตะวันออกเฉยี งเหนอื น้อยที่สุดคอื ภาคใต้ สถำบันอนำคตไทยศึกษำ ซีรีย์งำนศึกษำเร่ืองควำมเหลื่อมลำ เร่ือง ข้อเท็จจริงควำมเหลื่อมลำใน ไทย ศึกษาเร่ืองความเหล่ือมล้าโดยแบ่งกลุ่มประชากรตามครัวเรือนออกเป็น 10 ครัวเรือนตังแต่จน มากอยู่ครัวเรือนท่ี 1 จนรวยมากอยคู่ รัวเรอื นท่ี 10 พบวา่ ข้อเท็จจริง 1 ปญั หาความเหล่ือมลา้ ในประเทศไทยไม่ได้ดขี ึนเลย ในชว่ ง 30 ปีท่ีผ่านมา ขอ้ เท็จจรงิ 2 กลุ่มครอบครัวท่ียากจนทส่ี ดุ ครวั เรือนที่ 1 มีหัวหนา้ ครอบครัวเป็นคนชรา ข้อเท็จจรงิ 3 เกอื บคร่ึงหน่งึ ของครอบครวั ไทยมรี ายได้ต้า่ กวา่ 15000 บาทต่อเดือน ข้อเทจ็ จรงิ 4 ความเหล่อื มล้าในความเปน็ จรงิ นนั แยก่ วา่ ที่รายงานทวั่ ไปอย่างน้อย 25% ขอ้ เท็จจริง 5 ความเหลื่อมล้าดา้ นความม่ังคัง่ ไทยอยู่อนั ดบั ท้ายๆของโลก ขอ้ เทจ็ จรงิ 6 ทรพั ยส์ นิ เฉล่ียของครอบครัว สส. รวยกว่าอกี 99.999% ของครอบครวั ไทย ข้อเท็จจริง 7 นอกจากรายได้และทรัพย์สินยังมีความเหลื่อมล้าด้านอ่ืนๆ เช่น การศึกษา สาธารณสุข ข้อเทจ็ จริง 8 ความเหลอ่ื มล้าทส่ี า้ คัญทส่ี ดุ ทคี่ วรแก้คือ ความเหลอื่ มลา้ ดา้ นโอกาสๆ 2-102

รายงานวิจยั ฉบบั สมบรู ณ์ “การลดความเหลอื่ มลา้ ผา่ นกระบวนการยุติธรรม” สญั ญาเลขที่ SRI58M0417 บทควำมเรื่อง ควำมไม่เป็นธรรมในกำรจ้ำงงำนและกรณีศึกษำควำมไม่เป็นธรรมของแรงงำนข้ำม ชำติและผูม้ ีสถำนะบุคคล โดย นภำพร อติวำนิชพงศ์ และ บุษยรตั น์ กำญจนดษิ ฐ์ กำรศกึ ษำควำมไม่เปน็ ธรรมของกลมุ่ แรงงำน มีดงั นี 1.รูปแบบกำรจ้ำงงำนที่ไม่เป็นธรรม โดยเฉพาะในเร่ืองหลักประกันความม่ันคงในการท้างาน สภาพการจ้างงานและสวัสดิการและค่าตอบแทนจากการท้างาน รูปแบบการจ้างงานท่ีไม่เป็นธรรม คือ ไมไ่ ดร้ ับความคุ้มครองจากกฎหมายแรงงานและกฎหมายประกันสงั คม ได้แก่ การจ้างแรงงานนอกระบบ ของผู้รบั งานไปท้าทบี่ ้าน หรือ คนท้างานบ้านหรอื คนรับใชใ้ นบา้ น ไม่ว่าจะเป็นแรงงานไทยหรือ แรงงาน ขา้ มชาติ 2.กำรเข้ำถึงสิทธแิ ละสวสั ดิกำรของแรงงำน คือ เกดิ การเข้าถงึ สทิ ธิไดไ้ มเ่ ท่าเทียมกนั ระหวา่ ง แรงงานในระบบและแรงงานนอกระบบ และแรงงานข้ามชาติ 3.ระบบค่ำจำ้ ง เปน็ ตัวบ่งชที ่ีสา้ คัญมากในการพิจารณาความเปน็ ธรรม หรือ ความไมเ่ ป็นธรรม แรงงานนอกระบบไม่ได้รับเงินค่าจา้ งอย่างเปน็ ธรรม ซึ่งควรองิ กับคา่ จ้างขันต้่า หรือ กรณีผู้รับงานไปท้า ท่ีบ้านซึง่ ตอ้ งรบั ภาระคา่ นา้ คา่ ไฟ ค่าอุปกรณ์ ก็ต้องคดิ ค่าจ้างอยา่ งเหมาะสมและเป็นธรรม 8.อำนำจกำรต่อรอง กรณีแรงงานไทย นอกจากจะต้องต่อรองกับรัฐแล้วยังต้องต่อรองกับ นายจา้ งอกี เพ่ือให้ได้รบั คา่ จ้าง สภาพการจา้ งและสวสั ดกิ ารที่เปน็ ธรรม ซง่ึ ขบวนการแรงงานไทยไม่ได้มี อา้ นาจต่อรองมากนกั เมื่อเทยี บกบั กลุ่มที่มอี ้านาจทางเศรษฐกจิ และการเมือง กรณีศึกษำ ควำมไมเ่ ป็นธรรมของแรงงำนข้ำมชำติ ด้ำนสุขภำพ พบว่า หลักประกันสุขภาพถ้วนหน้าในปัจจุบัน ครอบคลุมคน 3 กลุ่มเท่านัน คือ คนไทยที่มีเอกสารแสดงตน บุคคลที่มีปัญหาสถานะและสิทธิตามมติครม 23 มีนาคม 2553 และ แรงงานข้ามชาติที่ขึนทะเบียนเพื่อขอรับใบอนุญาตท้างาน โดยกลุ่มแรงงานข้ามชาตนิ ันจะถูกก้าหนดให้ ตอ้ งซอื หลกั ประกันสขุ ภาพ นอกเหนือจากนนั ไมไ่ ดร้ บั ความคุ้มครองอยา่ งใดเลย ด้ำนกำรศึกษำ เด็กและเยาวชน ซึ่งเป็นชนกลุ่มน้อยและประชากรต่างชาติจากประเทศเพื่อน บ้านท่ีอาศัยอยู่ในประเทศไทยมีโอกาสเข้าถึงการศึกษาน้อยมากเน่ืองจากสาเหตุหลายประการ เช่น โรงเรยี นปฏเิ สธเด็กท่ไี ม่มีสญั ชาติเขา้ เรียน และเดก็ ไม่มคี วามพร้อมในการปรบั ตวั เพ่ือเข้าเรยี น ด้ำนสถำนะบุคคล แรงงานข้ามชาติมีปัญหาเร่ืองสถานะทางทะเบียน เช่น ไม่มีสถานะ หรือ มี สถานะทางทะเบียนท่ีไม่ถูกต้อง หรือ ตกส้ารวจ ซ่ึงการมีปัญหาเรื่องสถานะทางทะเบียนท้าให้แรงงาน ขา้ มชาตเิ สยี สทิ ธหิ ลายประการ ดำ้ นกำรค้มุ ครองและเขำ้ ถึงสิทธิแรงงำน แรงงานข้ามชาติถูกแสวงหาผลประโยชน์จากลูกจา้ ง ทีไ่ มย่ อมปฏบิ ตั ติ ามกฎหมายแรงงาน และแรงงานขา้ มชาติก็ไมท่ ราบถึงสิทธิที่ตนเองมี 2-103

รายงานวิจัยฉบบั สมบรู ณ์ “การลดความเหลือ่ มลา้ ผา่ นกระบวนการยตุ ธิ รรม” สัญญาเลขท่ี SRI58M0417 9. หนังสือควำมเหล่ือมลำและควำมไม่เป็นธรรมในกำรเข้ำถึงทรัพยำกรและบริกำรพืนฐำนของ ประเทศไทย หนังสอื เล่มนีรวมบทความด้านวชิ าการและนโยบายทีเ่ กย่ี วขอ้ งกับความเหลื่อมลา้ และความไม่ เป็นธรรมของประเทศไทย โดยเป็นหวั ข้อเก่ียวกับความเหลื่อมล้าในการเข้าถึงทรัพยากรธรรมชาติ ด้าน ท่ีดิน น้า ความเหลื่อมล้าด้านบริการพืนฐานด้านต่าง ๆ ได้แก่ ที่อยู่ อาศัย สาธารณสุข การศึกษา พลังงาน การคมนาคมขนส่ง สารสนเทศ และกระบวนการยุตธิ รรม 1. บทควำมเรอ่ื ง ภำพรวมควำมเหลื่อมลำกบั ควำมขดั แยง้ โดย ผำสุก พงษไ์ พจิตร ปัญหาจากการมีนโยบายแบบรวมศูนย์ ภายใต้แนวคิดประชาธิปไตยที่ภาครัฐเน้นการส่งเสริม ธรุ กจิ ดึงดูดการลงทุนจากต่างประเทศ แต่กลับละเลยการส่งเสริมศักยภาพการผลติ ภายในประเทศ และ มีนโยบายปราบปรามแรงงาน หรอื กระบวนการประชาชนท่ลี ุกขึนมาปกปอ้ งสิทธิของตน ทังไม่สนับสนุน นโยบายรัฐสวัสดิการ ท่ีดูแลคนในประเทศ มีช่องว่างระหว่างคนรวยและคนใช้แรงงานอย่างมาก ส่ิง เหล่านยี อ่ มทา้ ใหเ้ กดิ ความเหลื่อมลา้ ในสงั คมทสี่ ูง ปัจจัยส้าคัญที่ท้าให้เกิดความขัดแย้งส่วนหน่ึงมาจากการที่พลวัตรในทางสังคมเปล่ียน คนใช้ แรงงาน คนชันชนลา่ งเปล่ียนวิธีการจากการประท้วงมาเป็นการเลือกใชร้ ะบบการเลือกตังเพ่อื ท้าใช้เป็น ข้อตอ่ รองให้กลุม่ ของตนไดร้ ับประโยชนม์ ากขนึ ระบบ 1 เสยี ง 1 ตวั แทน ท้าใหป้ ระชาชนมคี วามเปน็ อยู่ ท่ีดีขึน การเปล่ียนแปลงนีเร่ิมต้นตังแต่หลัง พ.ศ. 2540 ภายใต้การน้าของทักษิณ ชินวัตร มีนโยบายท่ี ส่งเสริมคุณภาพความเป็นอยู่ของประชาชนมากขึน แต่ขณะเดียวกันก็ท้าทายระบบราชการ ท้าให้เกิด ความขัดแย้งกันระหวา่ งชนชันน้าและเกิดการรฐั ประหารตามมา แต่ครังนีความขัดแยง้ ดงั กลา่ วมีมวลชน เข้าร่วมด้วย เพราะเขาเลือกท่ีจะอยากมีส่วนร่วม ในกระบวนการทางการเมืองเพื่อความเป็นอยู่ที่ดี บทความนีจงึ เป็นเสมือนจดุ เรม่ิ ตน้ ของความขดั แย้งทางการเมืองของไทย ทม่ี ีจุดริเร่ิมจากความขดั แย้ง 2. ควำมเหลื่อมลำและควำมไมเ่ ป็นธรรมดำ้ นท่ดี ินและปำ่ ไม้ โดย โสภณ ชมชำญ บทความนีนา้ เสนอปัญหาความเหลื่อมลา้ และความไม่เป็นธรรมในการเข้าสทู่ ี่ดินและป่าไม้ โดย มีลักษณะ 2 ประการ คือ การกระจายการถือครองที่ดินไม่เป็นธรรม และความขัดแย้งกับการใช้ที่ดิน ของรัฐและป่าไม้ เป็นความขัดแย้งระหว่างประชาชนและรัฐ ที่เกิดจากการไม่มีแรงจูงใจในการจัดสรร ที่ดินของรัฐอย่างแท้จริง ละเลยการจัดการท่ีเอกชนถือครองท่ีดิน แม้ว่ารัฐจะสามารถใช้กฎหมายเป็น เครื่องมือ ในการบังคับใชไ้ ด้แต่ก็ได้ละเลยไป เช่น กฎหมายที่ดนิ หรือภาษีบา้ รุงท้องท่ี รวมถึงการละเมิด สิทธิชุมชนของรัฐ ไม่เปิดโอกาสให้ประชาชนเข้ามีส่วนร่วม ในการบริหารจัดการท่ีดินและป่าไม้ แนว ทางการแก้ไขปัญหาคือ ปฏิรูประบบตรวจสอบการถือครองท่ีดินของประชาชนในที่ดินของรัฐ ปฏิรูป โครงสรา้ งการบรหิ ารจดั การทีด่ ินและปา่ ไม้ และปฏิรูปกฎหมาย 2-104

รายงานวจิ ัยฉบบั สมบูรณ์ “การลดความเหลอื่ มล้า ผา่ นกระบวนการยตุ ธิ รรม” สญั ญาเลขที่ SRI58M0417 3. ควำมเหลื่อมลำและควำมไม่เปน็ ธรรมด้ำนทรพั ยำกรนำ โดย รอยล จิตรดอน เน้นความเหลื่อมล้าเชิงด้านทรัพยากรน้า ท่ีมีการสร้างโครงสร้างพืนฐานด้านน้าอยู่ท่ีภาคเหนือ ตอนบนและภาคกลาง แต่การเปลีย่ นผันของสภาพภูมิอากาศท้าให้ฝนมกี ารเปล่ียนแปลงทิศทาง โดนไป ตกที่ภาคเหนือตอนล่างและภาคอีสานมากขึน จึงท้าให้เกิดปัญหาน้าท่วม จึงเสนอให้ภาครัฐมีการ กระจายการลงทุน เกี่ยวกับโครงสร้างพืนฐานด้านน้าให้ทั่วทุกพืนท่ีประเทศไทย และเพื่อให้เกิดความ เท่าเทียมในการบริหารจัดการน้า แต่ทังนีต้องไม่ละเลยภูมิปัญญาชาวบ้านและลักษณะของระบบนิเวศ ธรรมชาตทิ ่ีมอี ยแู่ ต่เดมิ 8. ควำมเหลื่อมลำและควำมไม่เป็นธรรมด้ำนทอ่ี ยู่อำศัย โดย สมสขุ บุญญะบญั ชำ บทความเก่ียวกับปัญหาความเหล่ือมล้าและความไม่เป็นธรรม ของท่ีอยู่อาศัยของคนยากจน เช่น ชุมชนแออัดของผู้ท่ียากจนมีลักษณะกระจัดกระจายอยู่ตามซอก พืนที่ด้านหลังอาคาร หรือริมคู คลองขนาดเล็ก ปัญหาคนเร่ร่อน ปัญหาห้องเช่า บ้านเช่าราคาถูกที่ไม่ได้มาตรฐาน ปัญหากลุ่มคนที่ อาศัยอยู่ตามชานเมืองหรือชนบท ที่ขาดสาธารณูปโภคและบริการอย่างทั่วถึง เป็นพืนที่ที่ได้รับผลกระ บทจากการกลายเปน็ เมือง เชน่ ปญั หาน้าทว่ มขังจากการตดั ถนนใหม่ทถี่ มสูง ปัญหาชมุ ชนชาวประมง ที่ ไม่มีท่ีดินอยอู่ าศยั ท่ีมั่นคง และไม่ได้รบั การยอมรับอย่างถูกตอ้ งตามกฎหมาย ปัญหาเหล่านีล้วนเกิดจาก นโยบายของรัฐที่ไม่มีนโยบายเกี่ยวกับที่อยู่อาศัยของประชาชน การรวมศูนย์การบริหารจัดการพัฒนา เมอื ง ท่ีดินและทอ่ี ยู่อาศัยโดยหน่วยงานส่วนกลาง ปัญหาความยากจน ผลกระทบจากการพฒั นาเมืองท่ี ไม่มีแบบแผนและก้าหนดทิศทาง ปัญหาการจัดการเรื่องท่ีอยู่อาศัยให้กลายเป็นมิติด้านสินค้า เป็นต้น นอกจากนีในภาคชนบท ยังพบกับปัญหาท่ีอยู่อาศัยคับแคบ ทรุดโทรม การอยู่ท่ามกลางส่ิงแวดล้อมที่ เป็นพิษ เช่น การปล่อยน้าเสียจากโรงงาน หรือความเสี่ยงต่อการเผชิญภัยพิบัติ ปัญหาเงินกู้นอกระบบ ปัญหาที่เกิดจากระบบการพัฒนาและการจัดการที่ดินของรัฐ เช่น ระบบการจัดการที่ดินของรัฐมี ลักษณะแบบรวมศูนย์ นโยบายของรัฐที่ออกมามีความขัดแย้งกับพืนท่ีโดยรอบของชุมชน นอกจากนี ปัญหาที่เกิดจากหน่วยงานของรัฐคือการท้าหน้าที่ซ้าซ้อน ไม่ประสานงานกัน เป็นต้น จึงเสนอให้มีการ กระจายบทบาทการพัฒนาท่ีอยู่อาศัย โดยการสร้างความเข็มแข็งให้กับชุมชนท้องถิ่นโดยการสร้าง บทบาทความรบั ผิดชอบและการพัฒนาร่วมกันระหว่างองคก์ รท้องถิ่น และองค์กรชุมชนในท้องถิ่น และ กระจายการจัดการท่ีดินส่ทู ้องถิ่นใหม้ ากทสี่ ุด 4. ควำมเหล่อื มลำและควำมไม่เปน็ ธรรมด้ำนกำรศกึ ษำ โดย ไพฑูรย์ สนิ ลำรตั น์ ปัญหาความเหล่ือมลา้ และความไม่เป็นธรรมในบทความนีแบง่ ออกเป็น 6 หัวข้อ คอื - การเข้าถึงระบบโรงเรียน : ปัญหาประเทศไทยขณะนมี ีจา้ นวนเด็กที่เข้าเรียนลดน้อยลงเรื่อยๆ และปัญหาเรื่องท่ีนักเรียนออกจากโรงเรียนกลางคัน ก็มีจ้านวนเพ่ิมขึนเร่ือยๆ ซึ่งจะท้าให้กลายเป็น ปญั หาทรพั ยากรบคุ คลท่มี คี ณุ ภาพในอนาคต 2-105

รายงานวิจยั ฉบบั สมบรู ณ์ “การลดความเหล่ือมล้า ผา่ นกระบวนการยตุ ิธรรม” สญั ญาเลขที่ SRI58M0417 - การเข้าถึงคุณภาพในโรงเรียน : ประเทศไทยเน้นให้การศึกษาแบบรวมศูนย์ โดยในจังหวัด ใหญ่ๆ หรือจังหวัดหลัก ซ่ึงวัดจากผลการประเมินของแต่ละโรงเรียน จะมีนักเรียนที่เก่งจ้านวนมาก สะท้อนถงึ การกระจายคุณภาพในการศกึ ษาที่อยใู่ นระดับต้า่ - การเข้าถึงคุณภาพอุดมศึกษา : การส้ารวจนีวัดจากวุฒิการศึกษาของอาจารย์ใน สถาบันอุดมศึกษา พบว่า อาจารย์ที่มีวุฒิปริญญาเอก กระจายตัวอยู่ในมหาวิทยาลัยที่มีช่ือเสียงอันดับ ต้น ๆ ของประเทศที่เป็นมหาวิทยาลัยของรัฐ และวุฒิการศึกษาของอาจารย์กลับลดหล่ันลงมาเรื่อยๆ ตามช่ือเสียงของมหาวทิ ยาลยั รวมถึงปัญหาความเหลอ่ื มล้าระหวา่ งมหาวิทยาลยั รฐั และเอกชน - ความไม่เป็นธรรมในงบประมาณ : การกระจายตัวของงบประมาณท่ีภาครัฐให้การสนับสนุน แก่มหาวิทยาลัย พบว่า มหาวิทยาลัยชันน้าของไทย มีงบประมาณที่สูงมาก และงบประมาณกลับ ลดหลั่นลงมาตามคุณภาพของมหาวทิ ยาลยั - คุณภาพแตกต่างชีวิตก็แตกต่าง : การเข้าถึงสถาบันการศึกษาระดับอุดมศึกษา กลับมีส่วน ส้าคัญท่ีส่งผลต่อชีวิตของนักศึกษาท่ีจบมาท้างาน เพราะช่ือเสียงของแต่ละมหาวิทยาลัยมักเป็น ตัวกา้ หนดคณุ ภาพชีวิตของนักศกึ ษาในอนาคตเช่นเดียวกัน - ก้าวให้พ้นวิธีแบบอาณานิคม : การบริหารจัดการของรัฐมักจะใช้แนวทางในการก้าหนด ทิศทางการศึกษาโดยเริ่มจากรัฐเป็นศูนย์กลาง เช่น ระบบการแจกจ่ายงบประมาณเป็นต้น ฉะนัน แนว ทางแก้ไขคือ ควรจะท้าให้เกิดความเป็นธรรมแก่สถาบันศึกษาในทุกระดับเพื่อลดความเหลื่อมล้าใน คณุ ภาพการศึกษา และเนน้ การกระจายอา้ นาจ ฉะนันหากไม่เปลี่ยนระบบการศึกษาหรือกระบวนทัศน์ของการศึกษา ท่ีมีลักษณะดึงดูดคนเก่ง ท้างานสู่ส่วนกลางเรื่อยๆ คนท่ีมีความสามารถน้อยก็จะถูกระบบคัดออก ย่ิงท้าให้เขาเหล่านันมีโอกาส ดา้ นการศึกษาและการประกอบอาชีพท่ีลดน้อยลง 6. ควำมเหลอ่ื มลำและควำมไม่เปน็ ธรรมด้ำนสำธำรณสขุ โดย วิชยั โชคววิ ัฒน ความเหล่ือมลา้ ด้านนมี ี 3 ประการ คอื - ความเหลื่อมล้าและความไม่เป็นธรรมระหว่างเมืองหลวง-เมืองใหญ่-ชนบท สามารถสะท้อน ได้จากสัดส่วนทางการแพทย์ ต่อประชากรในแต่ละภูมิภาค และภาระงานของแพทย์ชนบทเปรียบเทียบ กบั ภาระงานของแพทย์ในเมอื งหลวง - ปัญหาความเหล่ือมล้าและความไม่เป็นธรรมระหว่างระบบบริการสาธารณสุข 3 ระบบ คือ ระบบการรักษาข้าราชการ ระบบบัตรทองและระบบประกันสังคม อันมีประเด็นจากสิทธิรักษาที่ไม่เท่า เทียมกัน นอกจากนีในแต่ละระบบยังเปิดให้แพทย์ สามารถใช้ดุลยพินิจในการเบกิ จ่ายยานอก หรือยาท่ี มีราคาแพงได้เอง ภายใต้สิทธิการรักษาของแต่ละระบบ รวมถึงงบประมาณของรัฐท่ีสนับสนุนสิทธิการ 2-106

รายงานวจิ ยั ฉบบั สมบรู ณ์ “การลดความเหลอื่ มลา้ ผา่ นกระบวนการยุติธรรม” สัญญาเลขที่ SRI58M0417 รักษาของแต่ละระบบ มีความไม่เท่าเทียมกัน เช่น ระบบบัตรทองท่ีประชาชนส่วนใหญ่ของชาติใช้ บริการ กลบั เปน็ ระบบทไ่ี ดร้ บั การสนบั สนนุ จากภาครฐั นอ้ ยทส่ี ุด - ปัญหาความเหล่ือมล้าและความไม่เป็นธรรมระหว่างวิชาชีพกับประชาชน เกิดจากความไม่ เท่าเทียมของข้อมูลขา่ วสารทางการแพทย์ ทป่ี ระชาชนเข้าไม่ถึง ปญั หาจรรยาบรรณทางการแพทย์ เช่น องค์กรแพทยสภาไดก้ ลายสภาพเป็น “สหภาพแรงงานแพทย์” ละทงิ อุดมการณ์ที่ปกป้องประชาชนตาม เจตนารมณ์ของกฎหมาย การพิจารณาตัดสินคดีด้านจริยธรรมของแพทย์ มีแนวโน้มเอนเอียงเข้าข้าง แพทย์ การสง่ แพทยผ์ เู้ ชยี่ วชาญไปเป็นพยานให้แพทย์ แทนทจ่ี ะเปน็ พยานให้แกป่ ระชาชน เป็นตน้ - ข้อเสนอ ให้มีการกระจายอ้านาจจากส่วนกลาง เพ่ิมอ้านาจส่วนท้องถ่ิน ปฏิรูปโครงสร้าง กระทรวงสาธารณสุข ชะลอการลงทุนในเมืองใหญ่ เพิ่มการลงทนในชนบท ส่งเสริมการกระจาย บุคลากรสู่ภูมิภาคและชนบท ไม่สนับสนุนนโยบายหรือให้สิทธิพิเศษทางภาษีแก่การลงทุนในศูนย์กลาง สุขภาพนานาชาติ แก้ปัญหาระบบสวัสดิการด้านการรักษาพยาบาลของข้าราชการ ระบบประกันสังคม และเสริมสร้างความเข็มแข็งของภาคประชาชน เน้นระบบให้ประชาชนสามารถดูแลตัวเอได้มากขึน พร้อมกบั ปฏิรูปโครงสร้างแพทยสภาใหม้ ปี ระชาชนเปน็ กรรมการครึ่งต่อครงึ่ 7. ควำมเหลอื่ มลำและควำมไม่เปน็ ธรรมดำ้ นพลงั งำน โดย ประสำท มแี ต้ม ปัญหาการละเลยมิติความไม่เป็นธรรมด้านพลงั งาน ท่ีก่อให้เกิดปัญหาการรวมศูนย์และผูกขาด น้ามัน โดยรัฐ บริษัทพลังงาน ปัญหาการผูกขาดราคาน้ามัน หรือการผลิตน้ามันภายในประเทศที่ไม่ สามารถน้ามาใช้ภายในประเทศได้ หรือปัญหาสัดส่วนการใช้ไฟฟ้าในแต่ละจังหวัดที่ ไม่เท่าเทียมกัน นา้ มาส่ปู ัญหาความเหล่ือมล้าในภาคของผู้ใช้ไฟฟ้า ที่โครงการการผลิตกระแสไฟฟ้ามักป้อนกระแสไฟฟ้า ให้แก่ภาคอุตสาหกรรม แต่กลับขาดแนวทางนโยบายจากรัฐ ในการใช้พลังงานหมุนเวียน แต่กลับ ส่งเสรมิ การใช้พลังงานนวิ เคลียร์ทีม่ ผี ลเสียมากกว่า ข้อเสนอ ต้องเป็นอิสระด้านพลังงาน ไม่ถูกผูกขาดโดยบริษัทใดบริษัทหนึ่ง, ผลักดันให้มี กฎหมาย “Feed-in tariff law” ที่อนุญาตให้ผผู้ ลิตไฟฟา้ ด้วยพลังงานหมุนเวียน ลดการใชพ้ ลังงานงาน ฟอสซลิ สาเหตุของปญั หาโลกร้อน เป็นตน้ . ควำมเหลื่อมลำและควำมไมเ่ ป็นธรรมดำ้ นคมนำคมขนส่ง โดย ศักดิ์สิทธ์ิ เฉลิมพงศ์ เกิดจากนโยบายของรัฐที่สร้างความเหลื่อมล้า เช่น นโยบายการลงทุนเก่ียวกับถนน เช่น กรุงเทพมหานครมีความซ้าซ้อนอย่างมาก และมีงบประมาณในการลงทุนจ้านวนมาก การสร้างระบบ ขนส่งอื่นๆ ที่นอกเหนือจากถนน เช่น การสร้างท่าอาศยานที่ไม่คุ้มค่าต่อการเดินทาง แต่รัฐกลับละเลย การส่งเสรมิ นโยบายการบรกิ ารสาธารณะ ปัญหาระบบคมนาคมและขนส่งในเมือง เช่น การลงทุนสร้าง สะพานลอยให้เมืองใหญ่ที่ไม่คุ้มค่า เนื่องจากไม่สามารถให้บริการให้กับคนทุกเพศทุกวัยได้ ทังส่งผลให้ รถบางประเภทไม่สามารถท่ีจะลอดผ่านสะพานลอยได้ ทังท่ีมีแนวทางที่ประหยัดกว่านันคือ การสร้าง ทางม้าลาย ปัญหาการสร้างระบบขนส่งมวลชนรถรางในเขตเมือง ท่ีใช้งบประมาณการลงทุนที่สูงแต่ 2-107

รายงานวิจยั ฉบบั สมบรู ณ์ “การลดความเหลอื่ มล้า ผา่ นกระบวนการยุติธรรม” สัญญาเลขที่ SRI58M0417 กลับมีระยะทางท่ีสัน และคนท่ีสามารถใช้บริการได้ก็มีจ้านวนน้อย เมื่อเทียบกับประชากรส่วนใหญ่ของ ประเทศ และปัญหาท่ีส้าคัญท่ีสุด คือการท่ีรัฐขาดการก้าหนดนโยบายด้านการบริการขนส่งสาธารณะ ให้แก่ประชาชน เช่น การโดยสารรถเมล์ รัฐกลับผลักภาระให้แก่บริษัทเอกชน ซ่ึงย่อมส่งผลต่อ ประชาชนในการใช้บริการ และปัญหาความไม่สอดคล้องกับโครงสร้างพืนฐาน และไม่มีการเช่ือมต่อ รูปแบบการขนส่งอย่างเป็นระบบ นอกจากนียังมีปัญหานโยบายเกี่ยวกับทางเท้า การจอดรถ ผังเมือง รวมถึงค่าใช้จ่ายในการเดินทางของประชาชน ปัญหาความเหล่ือมล้าด้านบริการสาธารณะในแต่ละ ภมู ิภาค เปน็ ตน้ จึงเสนอ นโยบายท่ีช่วยลดปัญหาความเหล่ือมล้า คือ ให้มีการลงทุนที่สร้างความสมดุลกับการ บริการสาธารณะ เร่งพัฒนาระบบขนส่งสาธารณะ ทังนีต้องค้านึงถึงความสมดุลระหว่างพืนท่ีเมืองและ ชนบท กระจายอา้ นาจในการบรหิ ารจัดการดา้ นคมนาคมใหแ้ ก่ภูมิภาค ท้องถิ่น 9. ควำมเหลอ่ื มลำและควำมไมเ่ ป็นธรรมดำ้ นสำรสนเทศ โดย โปรดปรำน บุณยพุกกนะ ความเหลื่อมล้าจากการท่ีรัฐไม่สามรถกระจายการใช้เทคโนโลยี เพ่ือประชาชนในพืนท่ีชนบท และประชาชนระดับรากหญ้า และประชาชนที่พิการให้สามารถเข้าถึงเทคโนโลยีสารสนเทศ ที่เป็น บริการของภาครัฐ และข้อมูลการพัฒนาตนเองอยู่ในระดับที่ต้่า เช่น การไม่สามารถให้บริการ อินเทอร์เน็ตให้ครอบคลุมทุกพืนท่ีได้ และประชาชนทุกคนได้ ซ่ึงสื่ออินเทอร์เน็ตนันเป็นส่ือที่ส้าคัญ เพราะเป็นการกระจายความรู้ด้านการศึกษา หรือองค์ความรู้ในการใช้ชีวิตให้แก่ประชาชนทุกคน และ ควรเป็นบริการขันพืนฐานของรัฐท่ีสามารถให้ประชาชนทุกคนสามารถเข้าถึงได้โดยไม่ต้องเสีย ค่าธรรมเนียม นอกจากนีควรให้ภาคเอกชนมีส่วนร่วม ในการใช้งบประมาณความรับผิดชอบทางสังคม ของธุรกิจ (CSR) ท่ีส่งเสริม สนับสนุน การผลิตองค์ความรู้ในด้านต่างๆ ทังความรู้หรือบันเทิง เพ่ือเป็น แนวทางการกระจายความเป็นธรรมด้านนใี ห้แกป่ ระชาชน 10. ควำมเหล่ือมลำและควำมไมเ่ ป็นธรรมด้ำนกระบวนกำรยตุ ธิ รรม โดย จฑุ ำรัตน์ เอืออำนวย การเกิดปัญหาของกระบวนการยุติธรรม ท่ีเหล่ือมล้ามาจากความไม่เท่าเทียมกันระหว่างผู้ที่มี โอกาส กับผู้ท่ีขาดโอกาส (คนชายขอบ( ในการเข้าถึงกระบวนการยุติธรรม ไม่ว่าจะเป็นการทราบถึงข้อ กฎหมาย กระบวนการยุติธรรมที่มีราคาแพง เช่น ทนายความ ความล่าช้าในการพิจารณาคดี ค่าใช้จ่าย ระหว่างการพิจารณาคดี กระบวนการในการไต่สวน รวมถึงหลักการในการพิสูจน์ความเป็นผู้เสียหาย ของผู้เสียหาย ซงึ่ ล้วนเป็นสาเหตทุ ่ีท้าให้คนชายขอบ หรอื คนจนเขา้ ไม่ถึงกระบวนการยตุ ิธรรม หรือการ ท่ีภาระที่ล้นเกินของศาล ปัญหาการเลือกปฏิบัติระหว่างผู้ท่ีมีความรู้ กับคนยากจน หรือชาวบ้านที่ไม่มี ความรู้ ปัญหาการลงโทษ ท่ีมักจะสามารถเอาผิดกับคนจนได้ แต่ไม่สามารถท่ีจะเอาผิดกับคนรวยได้ หรือปัญหาการผูกขาดระบบความยุติธรรมไว้ที่ศาล โดยไม่กระจายความยุติธรรมผ่านองค์กรอ่ืน หรือ วธิ กี ารอ่นื เพอ่ื แบง่ เบาคดคี วามทล่ี น้ เกินของศาล โดยแนวทางยุติธรรมชมุ ชน 2-108

รายงานวิจยั ฉบบั สมบรู ณ์ “การลดความเหลอ่ื มลา้ ผา่ นกระบวนการยตุ ธิ รรม” สัญญาเลขที่ SRI58M0417 ข้อเสนอ ควรปรับวิธีการเขียนกฎหมายเพื่อท่ีจะสามารถส่ือสารกับคนชายขอบได้ ควรก้าหนด นโยบายการลงโทษทางอาญาและการบริหารงานยุติธรรมเพื่อลดความเหลื่อมล้า เน้นการให้ความรู้ เบืองต้นเก่ียวกับสิทธิหน้าท่ีให้แก่ประชาชน ใช้แนวทางการพัฒนาองค์กรระดับชุมชนเพื่อเสริมพลัง ชว่ ยเหลือคนยากจนในคดี 10. รำยงำนฉบับสมบูรณ์ โครงกำรวิจัย “กำรพัฒนำระบบฐำนข้อมูลเชิงพืนที่ด้วยกำรมีส่วนร่วม ของชุมชนเพ่ือกำหนดแนวทำงกำรแก้ไขปัญหำสิทธิที่ดินทำกิน แผนพัฒนำชุมชนและกำรจัดกำร ทรัพยำกรป่ำไม้ จ.แม่ฮ่องสอน” ถำวร อ่อนประไพ และคณะ (สกว.) (14 พ.ย 2441 – 18 พ.ย. 2442) กมุ ภำพนั ธ์ 2443 จ.แม่ฮ่องสอน เป็นจังหวัดท่ีมีปัญหาเรื่องสิทธิท่ีดินท้ากิน ที่เป็นสาเหตุส้าคัญในการสร้างความ ขัดแย้งระหว่างภาคประชาชนกับหน่วยงานราชการ งานวิจัยฉบับนีศึกษาและวิเคราะห์กระบวนการใน การจัดการ ดูแล และปอ้ งกนั ทรพั ยากรป่าไม้ ผลกำรศกึ ษำ (1) กำรศกึ ษำและวเิ ครำะหก์ ระบวนกำรในกำรจัดกำร ดูแล และป้องกนั ทรพั ยำกรปำ่ ไม้ ส่วนนีเป็นการศึกษาหากลไกการขับเคลื่อนในกระบวนการมีส่วนร่วมของชุมชน การท้าความ เข้าใจ และการประสานความร่วมมือระหวา่ งภาคประชาชน ภาคราชการ และภาควิชาการ ในเรื่องการ จัดการ ดแู ล และป้องกนั ทรัพยากรป่าไม้ที่มีประเด็นเก่ียวขอ้ งกบั เรื่องสิทธิที่ดนิ ทา้ กิน ซ่ึงสำมำรถสรปุ ปัญหำและแนวทำงกำรแก้ไขปัญหำออกเป็น 3 ประเดน็ หลัก ได้แก่ 1). ปญั หำที่ดนิ ทำกนิ ทอ่ี ย่ใู นพืนทปี่ ำ่ ไมใ้ น จ.แม่ฮ่องสอน มแี นวทำงกำรแก้ปญั หำ คอื - การจัดท้าแนวเขตที่ดินท้ากินของราษฎรกับพืนที่ป่าให้ชัดเจน โดยจัดระบบให้สิทธิถือครอง ทด่ี นิ ใหแ้ ก่ราษฎรทีย่ ากจน ที่อยู่อาศยั ในเขตปา่ โดยไมใ่ หเ้ กิดผลกระทบกับระบบนเิ วศและสง่ิ แวดลอ้ ม - การยา้ ยราษฎรทอี่ าศยั อยูใ่ นพืนทอี่ ทุ ยาน อยา่ งผิดกฎหมายออกนอกพนื ท่ี - การด้าเนินการตามกฎหมายอย่างเข้มงวดแก่ผู้กระท้าผิดโดยใช้เทคโนโลยีท่ีทันสมัย ช่วยใน การพิสูจน์ข้อเท็จจริง และการด้าเนินการพิสูจน์สิทธิท่ีดินท้ากินตามมติ ครม.30 มิ.ย.2541 ให้เสร็จ เรียบร้อยโดยเร็ว เพ่ือสร้างความมั่นใจให้กับราษฎรในการท้ากินในพืนที่ ลดความขัดแย้งระหว่าง เจา้ หนา้ ทีก่ บั ราษฎร เป็นตน้ 2). ปัญหำกำรทำไร่หมุนเวยี น มีแนวทำงกำรแก้ปญั หำ เช่น - การก้าหนดเขตพืนท่ีพิเศษเฉพาะ และให้สิทธิท้ากินในไร่หมุนเวียนได้ครอบครัวละ 1 แปลง โดยให้ทา้ ซ้าในพืนท่เี ดมิ และหา้ มขยายเพิ่มพืนทีใ่ หม่ 2-109

รายงานวิจัยฉบบั สมบรู ณ์ “การลดความเหลือ่ มล้า ผา่ นกระบวนการยตุ ิธรรม” สญั ญาเลขท่ี SRI58M0417 - การส้ารวจพืนที่แนวเขตท่ีดินท้ากินให้ชัดเจน และจัดท้าแผนท่ีแสดงที่ดินท้ากินทุกแปลงใน พืนท่ีรับผิดชอบ - การลดรอบปีไรห่ มนุ ให้เหลือ 3 ปี (ครอบครวั ละ 3 แปลง( - การพัฒนาคุณภาพของดินตามหลักวิชาการ และเพิ่มโอกาสด้านการตลาดและราคาพืชผล และการสง่ เสรมิ การปลูกพืชเศรษฐกิจและปรับปรุงสภาพของดนิ ใหม้ ีคุณภาพ - ประชาสัมพันธ์สร้างความเข้าใจกับราษฎร มิให้มีการบุกรุกแผ้วถางป่าเพ่ือขยายที่ดินท้ากิน เพ่ิม 3). ปัญหำด้ำนประสิทธภิ ำพกำรทำงำนของเจำ้ หน้ำท่ที ุกภำคส่วน มแี นวทำงแก้ปญั หำ เชน่ - นโยบายการท้างานต้องชัดเจน งบประมาณเพียงพอ ความร่วมมือของทุกภาคส่วนเป็นไปใน แนวทางเดยี วกัน ต้องเปน็ การท้างานแบบบรู ณาการ ฯลฯ ขอ้ เสนอแนะ ดำ้ นกำรจัดกำรพืนท่ี ได้แก่ - การก้าหน ดแนวทางที่ชัดเจน และให้ทุ กภ าคส่วน มีส่วนร่วมใน การดูแลรักษ า ทรัพยากรธรรมชาตแิ ละมีโอกาสตดั สนิ ใจ - การสร้างเครือข่ายอนุรกั ษ์ในพนื ทีช่ ุมชน โดยท้าให้ประชาชนท่อี าศัยอยู่ในพืนท่ีมีคุณภาพชวี ิต ท่ดี ีขนึ และได้รับประโยชนต์ อบแทนจากการอนุรกั ษ์และดูแลทรพั ยากรธรรมชาติ - การออกกฎหมายป่าชุมชนให้เกิดความชัดเจน การสนับสนุนให้ชุมชนได้บริหารจัดการป่า ชุมชนของตนเอง โดยให้อยู่ในความดแู ลและค้าแนะน้าของเจา้ หน้าท่ี - การประกาศให้พืนท่ปี ่าไม้ทังหมด เป็นพืนที่อนุรักษ์ตามกฎหมายเช่นเดยี วกับอุทยานแหง่ ชาติ และเขตรักษาพนั ธ์สตั ว์ป่า (2) กำรพัฒนำฐำนขอ้ มูลตำแหนง่ ท่อี ยูอ่ ำศยั และขอบเขตแปลงทด่ี นิ ทำกินในเชงิ พืนที่ ต้องการให้ฐานข้อมูลเชิงพืนท่ีสามารถแสดงพืนท่ีท้ากินทังหมด และต้าแหน่งที่อยู่อาศัยอย่าง ชัดเจนและถูกต้อง ทังในแง่ เทคนิค วิธีการ และได้รับการยอมรับจากหน่วยงานต่างๆ ที่เกี่ยวข้อง ให้ สามารถน้าข้อมูลไปใช้เป็นเคร่ืองมือในการยุติปัญหา ข้อขัดแย้ง และการบุกรุกท่ีดินในเขตพืนที่ป่า อนุรกั ษ์และป่าสงวนแหง่ ชาติได้ ทังนี เนื่องจากอุปสรรคด้านพืนท่ี งบประมาณ และก้าลังคน ท้าให้มีหน่วยงานองค์กรปกครอง ส่วนท้องถ่ิน เพยี ง 3 หน่วยงานเทา่ นัน (จากทงั หมด 12) ท่สี ามารถสา้ รวจ และพฒั นาข้อมูลในเบอื งต้น 2-110

รายงานวิจยั ฉบบั สมบรู ณ์ “การลดความเหลื่อมลา้ ผา่ นกระบวนการยตุ ิธรรม” สญั ญาเลขท่ี SRI58M0417 (3) กำรสำรวจข้อมูลเศรษฐกิจ สังคม ข้อมูลทรัพยำกรท้องถิ่น และกำรพัฒนำโปรแกรมฐำนข้อมูล ทรัพยำกรชุมชนเพื่อจัดทำแผนพฒั นำชมุ ชน สรุปผลการส้ารวจข้อมูลในช่วง 1 ปี ของโครงการวิจัยฯ ท่ีผ่านมานัน ด้าเนินการได้ 90% ตาม แผนงานท่กี า้ หนดไว้ ซึง่ ในบางพนื ที่ไม่สามารถดา้ เนนิ การได้ เนือ่ งจากอปุ สรรคในด้านต่างๆ 11. โครงกำรสถำบนั ศึกษำนโยบำยทดี่ ิน รำยงำนฉบับสมบูรณ์ ควำมเส่ือมโทรมของชำยฝ่ังทะเลภำคใต้ : ปัญหำ สำเหตุ และบทเรียนกำร จัดกำร (สกว.) 1 ก.ย 2551 – 28 ก.พ.2552 เนื่องจากอัตราการกัดเซาะชายฝ่ัง ได้ขยายตัวและมีความรุนแรงขึนในหลายพืนท่ี โดยเป็น ปัญหาในระดับรุนแรง (5 เมตรต่อปี( เกิดขึนในทุกจังหวัดภาคใต้ตอนล่างฝั่งอ่าวไทย ดังนันจึงมีความ จา้ เป็นเรง่ ด่วนท่ีจะต้องวิเคราะห์ถงึ สาเหตุที่แทจ้ ริงของปัญหา สภำพทัว่ ไปของพนื ที่และสถำนกำรณค์ วำมเส่อื มโทรมของชำยฝ่ังทะเลกรณอี ่ำวไทยตอนลำ่ ง โดยทั่วไปเป็นชายทะเลที่เกิดขึนจากการท่ีเปลือกโลกยกตัวขึน จึงมลี ักษณะเป็นแนวหาดทราย เรียบตรง ไม่เว้าแหว่งมาก มีทางเปิดออกสู่ทะเลเป็นช่วงๆ ในรูปของปากแม่น้าหรือปากคลอง และ ทะเลสาบเปิด ลักษณะเด่นทางธรรมชาติของชายฝ่ังอ่าวไทยด้านตะวันตก ในบริเวณนีคือการเป็นแนว หาดทรายเรียบทอดยาวสดุ สายตา ซงึ่ ตา่ งจากฝงั่ อันดามันทม่ี หี าดทรายเปน็ ชว่ งสนั ๆ พืนท่ีชายฝั่งทะเลภาคใต้ตอนล่างฝ่ังตะวันตกของอ่าวไทยท่ี จ.นครศรีธรรมราช สงขลา และ ปัตตานี ส่วนใหญ่ใช้ประโยชน์ในการท้าการเกษตร และการเพาะเลียงสัตว์น้าชายฝั่งถึงกว่าร้อยละ 70 ของพืนที่ชายทะเล โดย จ.นครศรีธรรมราชมีการใช้พืนท่ีไปเพ่ือการเพาะเลียงสัตว์น้าชายฝั่งมากที่สุด คือ ร้อยละ 13.3 รองลงมา คือ ท่ี จ.สงขลา และปัตตานี และเป็นที่น่าสังเกตว่า จ.นราธิวาสมีการใช้ ประโยชน์พืนทชี่ ายฝ่งั น้อยกว่าจังหวดั ข้างเคียง สำเหตุหลักของปัญหำกำรกัดเซำะชำยฝ่ัง เกิดเน่ืองจากกิจกรรมต่างๆ ของมนุษย์ท่ีส่งผลต่อ ความสมดลุ ของตะกอนทราย ไดแ้ ก่ - การกระทา้ ทีม่ ผี ลใหค้ ล่นื เปลีย่ นทิศทาง เช่น สิ่งกอ่ สร้างรุกล้าแนวชายหาด - การยับยังการเคลื่อนท่ีของทรายตามแนวชายฝั่ง เช่น คันดักทราย การถมดินบริเวณชายฝ่ัง ทะเล - การเคล่ือนย้ายตะกอนดินและทรายออกจากชายฝง่ั เช่น การขุดลอกสนั ดอนและร่องน้าปาก แมน่ า้ การลกั ลอบขดุ ทรายออกจากชายหาด 2-111

รายงานวจิ ยั ฉบบั สมบูรณ์ “การลดความเหล่อื มล้า ผา่ นกระบวนการยุตธิ รรม” สญั ญาเลขที่ SRI58M0417 - การกระท้าที่ส่งผลให้ตะกอนทรายที่ไปหล่อเลียงชายฝ่ังลดลง เช่น การสูบทรายจากแม่น้าไป ใชใ้ นอุตสาหกรม - การกระทา้ ที่ไม่ค้านึงผลต่อการกัดเซาะ เช่น การระบายน้าฝนและน้าทังลงสู่ชายหาดโดยตรง การกอ่ สรา้ งต่างๆ การกระท้าต่างๆ ข้างต้นเป็นสาเหตุส้าคัญของการกัดเซาะ ท้าให้ความกว้างชายหาดหดสันลง และขาดเสถยี รภาพในทีส่ ุด เมือ่ หาดทรายที่เปน็ แนวปอ้ งกนั หายไป ชายฝ่งั ก็ถกู กดั เซาะตามมา ด้ำนผลกระทบต่อชุมชน เน่ืองจากประชนส่วนใหญ่เป็นชาวประมงพืนบ้าน ที่มีวิถีชีวิตพ่ึงพิง ทรัพยากรจากทะเลเปน็ หลัก ดังนันเม่ือกายภาพของทรัพยากรชายฝ่ังเปล่ียนแปลงไป ย่อมส่งผลกระทบ ตอ่ ชุมชน แต่ในปัจจุบันยังไม่มีรายงานการศึกษา ถึงผลกระทบของปัญหาการกัดเซาะต่อชุมชนอย่างเป็น ทางการ กำรจัดกำรชำยฝงั่ ของประเทศไทย ผู้อ้านวยการกองธรณีวิทยา กรมทรัพยากรธรณี (วรวุฒิ ตันติวณิช, 2548( ได้ให้ความเห็นว่า หน่วยงานต่างๆ ของไทยที่เก่ียวข้องกับการควบคุมดูแลและการใช้ประโยชน์ชายฝ่ัง ซ้าซ้อนกันถึง 42 หนว่ ยงาน และหน่วยงานท่มี ีบทบาทเก่ียวข้องกบั ชายฝัง่ มากทส่ี ุด คือ กรมการขนส่งทางน้าและพาณิชย์ นาวี กระทรวงคมนาคม มำตรกำรทำงกฎหมำยในกำรดูแลและกำรใชป้ ระโยชนช์ ำยฝง่ั 1). กฎหมำยทีเ่ กีย่ วข้องกับกำรอนุรกั ษ์ มติคณะรัฐมนตรี 15 ธันวามคม 2530 เร่ืองเขตอนุรักษ์ หมายถึง พืนที่ (ป่าชายเลน( ที่ห้าม ไม่ให้มีการเปล่ียนแปลงใดๆ นอกจากปล่อยให้เป็นธรรมชาติ เพื่อรักษาไว้ซ่ึงสภาพแวดล้อม และระบบ นิเวศน์ พนื ท่ีดังกลา่ ว มี 5 ลกั ษณะ ได้แก่ - พนื ทแี่ หลง่ รกั ษาพันธุ์พืชและสตั วน์ า้ ท่มี ีค่าทางเศรษฐกิจ - พืนทแี่ หง่ เพาะพนั ธ์ุพืชและสัตว์นา้ - พืนที่ง่ายต่อการถูกท้างายและการพังทลายของดิน เช่น หาดทราย สันทราย หาดเลน เลน งอก ทรายงอก เกาะ ถา้ และแนวปะการงั - พืนทที่ ี่มคี วามส้าคญั ทางประวตั ิศาสตร์และโบราณคดี - สถานทท่ี เี่ ปน็ เอกลักษณเ์ ฉพาะของท้องถิ่น ส่วนพนื ทท่ี ่ียังมิไดถ้ ูกประกาศกา้ หนดให้เป็นเขตอนรุ ักษ์ กรณีท่ีปรากฏว่าเป็นพืนที่ต้นนา้ ลา้ ธาร หรือมีระบบนิเวศตามธรรมชาติที่แตกต่างจากพืนที่อื่นท่ัวไป หรือมีระบบนิเวศตามธรรมชาติที่อาจถูก ท้าลาย หรืออาจได้รับผลกระทบจากกิจกรรมต่างๆ ของมนุษย์ได้โดยง่าย หรือเป็นพืนท่ีที่มีคุณค่าทาง 2-112

รายงานวิจัยฉบบั สมบรู ณ์ “การลดความเหลื่อมลา้ ผา่ นกระบวนการยุตธิ รรม” สญั ญาเลขท่ี SRI58M0417 ธรรมชาติ หรอื มีศิลปกรรมอันควรแกก่ ารอนรุ ักษ์ ก้าหนดให้รัฐมนตรโี ดยค้าแนะน้าของคณะกรรมกการ สิ่งแวดล้อมแห่งชาติ มีอ้านาจออกกฎกระทรวงก้าหนดพืนท่ีนันเป็นเขตพืนที่คุ้มครองสิ่งแวดล้อม (ตาม พรบ.ส่งเสริมและรักษาคุณภาพสิ่งแวดล้อมแห่งชาติ ปี 2535 ม.43( 2). กฎหมำยทเ่ี กี่ยวขอ้ งกบั ขอ้ หำ้ ม - การห้ามสร้างเข่ือนริมทะเล แต่เป็นท่ีน่าสังเกตว่าเขื่อนริมทะเลเกิดขึนทั่วไปตามแนวชายฝั่ง ทะเลของไทย - การหา้ มการปลกู สรา้ งอาคารหรอื สงิ่ อ่นื ใดล่วงล้า 3). กฎหมำยทีเ่ ก่ียวขอ้ งกบั กำรปลกู สรำ้ งใดๆ ทล่ี ่วงลำเข้ำไปในนำ การปลกู สรา้ งทส่ี ามารถล่วงลา้ เข้าไปในนา้ ไดต้ ามที่กฎหมายก้าหนดไว้ มี 8 ชนดิ ดงั นี - ท่าเทียบเรือ สะพานปรับระดับ โป๊ะเทียบเรือ สะพานข้ามแม่น้า หรือสะพานข้ามคลอง ท่อ หรือสายเคเบิล เขื่อนกันน้าเซาะ คานเรอื และโรงสูบน้า โดยการก่อสร้างต้องด้าเนินการตามข้อก้าหนด ท่ีระบุไว้ส้าหรับโครงสร้างแต่ละชนิด 8). กฎหมำยท่เี กี่ยวข้องกบั มำตรกำรลงโทษ ผู้ท่ีท้าลาย หรือท้าให้สูญหาย หรือเสียหายแก่ทรัพยากรธรรมชาติ ซึ่งเป็นของรัฐหรือเป็นสา ธารณ สมบัติของแผ่นดิน ต้องรับผิดชอบชดใช้ค่าเสียหายให้แก่รัฐตามมูลค่าทังหมดของ ทรัพยากรธรรมชาติที่ถูกท้าลาย สูญหาย หรือเสียหายไปนัน (พรบ.ส่งเสริมและรักษาคุณภาพ สง่ิ แวดลอ้ มแห่งชาติ พ.ศ.2535 ม.97( การดูแลรักษาขุดลอกร่องน้า และทางเดินเรือ ฯลฯ เป็นหน้าที่ของกรมเจ้าท่า ห้ามมิให้ผู้ใดขุด ลอก แกไ้ ข หรือท้าด้วยประการใดๆ ที่เป็นการเปลยี่ นแปลงร่องน้า ทางเดินเรอื เว้นแต่จะได้รับอนุญาต จากกรมเจ้าท่า ผู้ใดฝ่าฝืนต้องระวางโทษปรับตังแต่ 5,000 บาท ถึง 50,000 บาท และต้องหยุดการ กระท้าดังกล่าว (พรบ.การเดนิ เรอื ในนา่ นนา้ ไทย พ.ศ.2456 ม.120( ปญั หำดำ้ นกำรจดั กำรชำยฝั่งทะเลของไทย กฎเกณฑ์การควบคุมดูแล และการใช้ประโยชน์ทรัพยากรชายฝ่ังของไทย เป็นการก้าหนด ไว้กว่งๆ รวมอยู่กับทรัพยากรน้าประเภทอ่ืนๆ จึงขาดความชัดเจนเพียงพอ และไม่มีมาตรการท่ีชัดเจน ส้าหรับการอนุรักษ์และการใชป้ ระโยชนท์ รัพยากรชายฝั่งสา้ คญั ที่มีความบอกบาง นอกจากนียังไม่มีการก้าหนดขอบเขตท่ีอยู่ในอิทธิพลของชายฝ่ัง หรือแนวถอยร่นชายฝั่งอย่าง ชัดเจน ท้าให้มีการใช้ประโยชน์โดยกิจกรรมจากรัฐบาล และประชาชนรุกล้าแนวชายฝั่งอยู่เสมอ ประกอบกับการแก้ปัญหาที่เกิดขึน เป็นการแก้ไขโดยพิจารณาเฉพาะจุด และไม่ได้ให้ความส้าคัญกับ 2-113

รายงานวิจัยฉบบั สมบูรณ์ “การลดความเหลอ่ื มลา้ ผา่ นกระบวนการยุตธิ รรม” สัญญาเลขท่ี SRI58M0417 กระบวนการของธรรมชาติ อยา่ งเป็นระบและเป็นวิชาการเพียงพอ ท้าให้วิธีการแก้ปัญหาที่ผ่านมากลับ กระตนุ้ ให้เกิดการกัดเซาะลกุ ลามเปน็ ลูกโซ่ รำยงำนฉบับสมบูรณ์ โครงกำรศึกษำเพื่อทบทวนเครื่องมือในกำรบริหำรจัดกำรท่ีดินของประเทศ ไทยและตำ่ งประเทศ (1 ก.ย.2441 ถงึ 2 ก.พ.2442) (สกว.) การบริหารจัดการที่ดินของไทยด้าเนินการโดยภาครัฐซึ่งสังกัดในกระทรวงต่างๆ โดยใช้อ้านาจ ตามกฎหมายในการบริหารจัดการที่ดินเปน็ หลัก ทด่ี ินในไทยแบ่งตามการถือครองท่ดี นิ ออกเป็น 2 ส่วน คือ ทดี่ ินของรัฐ และทีด่ ินเอกชน หนว่ ยงำนทเี่ ก่ียวขอ้ งกับกำรบรหิ ำรจัดกำรท่ดี ิน ได้แก่ 1. กรมทีด่ นิ 2. ส้านักงานการปฏิรูปที่ดินเพ่ือเกษตรกรรม 3. กรมส่งเสริมสหกรณ์ 4. กรมพฒั นาสงั คมและสวัสดิการ 5. กรมปา่ ไม้ 6. กรมอทุ ยานแห่งชาติ สตั ว์ป่า และพนั ธุพ์ ืช 7. กรมทรพั ยากรทางทะเลและชายฝ่ัง 8. กรมพฒั นาที่ดนิ 9. ส้านักงานจัดรปู ที่ดนิ กลาง กรมชลประทาน 10. กรมธนานรุ ักษ์ 11. กรมโยธาธกิ ารและผงั เมอื ง 12. ส้านักงานพระพทุ ธศาสนาแห่งชาติ กฎหมายทเ่ี กยี่ วข้องกับการบริหารจดั การท่ดี ิน 1. พ.ร.บ.อทุ ยานแห่งชาติ พ.ศ.2504 2. พ.ร.บ.ป่าสงวนแห่งชาติ พ.ศ.2507 3. พ.ร.บ.สงวนและค้มุ ครองสตั ว์ป่า พ.ศ.2535 4. ประมวลกฎหมายทีด่ นิ 5. พ.ร.บ.จดั ทีด่ นิ เพอื่ การครองชีพ พ.ศ.2511 2-114

รายงานวิจัยฉบบั สมบูรณ์ “การลดความเหลือ่ มลา้ ผา่ นกระบวนการยตุ ธิ รรม” สญั ญาเลขที่ SRI58M0417 6. พ.ร.บ.การปฏริ ูปทด่ี นิ เพ่ือเกษตรกรรม พ.ศ.2518 7. พ.ร.บ.การผงั เมือง พ.ศ.2518 8. พ.ร.บ.จดั รปู ที่ดนิ เพื่อเกษตรกรรม พ.ศ.2517 9. พ.ร.บ.จัดรูปที่ดินเพ่อื พัฒนาพนื ที่ พ.ศ.2547 10. พ.ร.บ.พัฒนาทดี่ นิ พ.ศ.2526 11. พ.ร.บ.ทรี่ าชพัศดุ พ.ศ.2518 12. พ.ร.บ.ควบคมุ อาคาร พ.ศ.2522 13. พ.ร.บ.สง่ เสรมิ และรักษาคณุ ภาพส่ิงแวดลอ้ มแห่งชาติ พ.ศ.2535 14. พ.ร.บ.คณะสงฆ์ พ.ศ.2505 มาตรการของรัฐทเ่ี กี่ยวกบั การบริหารจดั การท่ีดิน 1. นโยบายการใชแ้ ละกรรมสิทธ์ิท่ีดนิ 2. การก้าหนดชันคุณภาพลมุ่ นา้ 3. การกา้ หนดนโยบายป่าไม้แหง่ ชาติ 4. การจา้ แนกเขตประโยชนก์ ารใช้ท่ีดนิ ในพนื ท่ีป่าชายเลน 5. การก้าหนดพืนทชี่ ุม่ นา้ 6. การก้าหนดมาตรการด้านการผังเมือง 7. การบรหิ ารจัดการเพ่อื แกไ้ ขปัญหาการกัดเซาะพนื ที่ชายฝั่งทะเลอยา่ งย่ังยืน 8. การปรบั ปรงุ แนวเขตท่ีดนิ ของรฐั 9. การก้าหนดมาตรฐานระวางแผนที่และแผนทรี่ ปู แปลงท่ีดนิ ในท่ีดนิ ของรัฐ การเปรียบเทียบเคร่ืองมือในการบริหารจัดการท่ีดินของไทยและต่างประเทศ แบ่งเป็น 3 ประเด็นหลัก คือ การควบคุมการถือครองท่ีดิน การพัฒนาท่ีดิน และเคร่ืองมือการจัดการด้าน เศรษฐศาสตร์ กำรควบคุมกำรถือครองทด่ี ิน แบง่ เป็น 1. กำรจำแนกประเภทกำรใช้ประโยชน์ทดี่ ิน ทังไทยและตา่ งประเทศมีความคล้ายคลึงกัน โดย จ้าแนกท่ีดินตามสภาพการใช้ท่ีดินหรือตามสมรรถนะการใช้ที่ดิน เพื่อควบคุมและพัฒนาท่ีดินให้ เหมาะสม แต่มีความแตกต่างในด้านความละเอียดในการจ้าแนกที่ดิน และความแม่นย้าของข้อมูล รวมถงึ การจดั แบง่ ประเภทการใชป้ ระโยชน์ทีด่ นิ 2-115

รายงานวจิ ัยฉบบั สมบูรณ์ “การลดความเหลือ่ มล้า ผา่ นกระบวนการยตุ ิธรรม” สญั ญาเลขท่ี SRI58M0417 2. กำรกำหนดเขตกำรใช้ประโยชน์ที่ดิน (Zoning) ทังไทยและต่างประเทศมีลักษณะท่ีไม่ แตกต่างกันมากนัก กล่าวคือ มีการก้าหนดเขตที่ดินที่ใช้ประโยชน์เป็นเกณฑ์ โดยแบ่งออกเป็น 3 เขต หลัก คือ เขตทอ่ี ยู่อาศัย เขตการพาณชิ ย์ และเขตอุตสาหกรรม 3. กำรกำจดั ขนำดกำรถือครองทีด่ ิน เพื่อแก้ไขปัญหาการกระจายการถือครองที่ดนิ ในกลุ่มคน บางกลุ่ม ซ่ึงในอินเดียและในไทยประสบปัญหาการกระจุกตัวของการถือครองท่ีดินในกลุ่มคนบางกลุ่ม และการซือที่ดินเพ่ือเก็งก้าไรเช่นเดียวกัน ในไทยไม่มีการจ้ากัดการถือครองที่ดินของเอกชน ซ่ึงประสบ ปัญหาการกระจายสิทธิการถือครองท่ีดินไปสู่ผู้ต้องการใช้ท่ีดินอย่างเหมาะสม ท้าให้การใช้ที่ดินไม่มี ประสิทธภิ าพ แต่มีการจ้ากัดขนาดการถือครองในพืนที่เฉพาะ คือ การจ้ากัดการถือครองในพืนท่ีปฏิรูป ท่ีดนิ เพอ่ื การเกษตร ใหเ้ กษตรกรสามารถถอื ครองทดี่ นิ ได้ไม่เกนิ 50 ไร่ 8. กำรควบคุมกำรแบ่งแปลงที่ดิน ไทยยงั ไม่มมี าตรการควบคุมการแบง่ แปลงท่ีดิน เพ่อื ให้การ ใชท้ ด่ี นิ สอดคล้องตามแผนพัฒนาชุมชนอยา่ งชัดเจน โดยแนวทางการควบคุมการแบ่งแปลงท่ีดินของไทย นัน เป็นเพียงการจ้ากัดการแบ่งแยกที่ดินออกเป็นผืนเล็กผืนน้อยเท่านัน ยังไม่ครอบคลุมถึงการก้าหนด คุณภาพของระบบสาธารณูปโภค และการจัดหาแหล่งเงินทุนเพ่ือพัฒนาท่ีดินหลังการแบ่งแปลง ซึ่ง มาตรการที่ใกล้เคียงกับการควบคุมการแบ่งแปลงที่ดิน ได้แก่ กฎหมายการจัดรูปท่ีดินเพื่อพัฒนาพืนท่ี พ.ศ.2547 ที่บัญญัติเก่ียวกับการวางผังจัดรูปท่ีดินใหม่จากที่ดินหลายแปลง และให้ภาครัฐและเอกชนมี สว่ นรว่ มในการปรบั ปรงุ หรอื จัดสร้างโครงสรา้ งพนื ฐานเพ่ือพัฒนาท่ีดิน 4. กำรควบคุมกำรขยำยพืนทต่ี ำมแนวรอยต่อเมืองและชนบท เมืองใหญ่ของไทย โดยเฉพาะ กทม. ยังไม่มีมาตรการเพ่ือการควบคุมการขยายตัวของเมืองอยา่ งเป็นรูปธรรม ท้าให้มีการขยายตัวของ เมืองออกไปเรื่อยๆ จนเกิดปัญหาต่างๆ ตามมา ภาครัฐพยายามแก้ปัญหาด้วยการสร้างโครงสร้าง พนื ฐาน และก้าหนดพืนท่สี ีเขียวตามหลงั การขยายตัวของการตังถ่ินฐานของประชากร ในขณะที่อังกฤษ ค่อนข้างให้ความส้าคัญ ในการป้องกันไม่ให้เมืองขยายตัวไปท้าลายพืนท่ีชนบท และเพื่อให้คนเมือง สามารถใช้พืนท่ีโล่งหรือพืนท่ีสีเขียว ในการพักผ่อนและสันทนาการได้โดยไม่จ้าเป็นต้องเสียเวลาเดิน ทางไกล 6. กำรควบคุมพืนที่ปนเปื้อนมลพิษ ในไทยเป็นไปตาม พรบ.ส่งเสริมและรักษาคุณภาพ สิ่งแวดล้อมแห่งชาติ พ.ศ.2535 ในการก้าหนดค่ามาตรฐาน สารพิษต่างๆ ในสิ่งแวดล้อม เพื่อเฝ้าระวัง ปัญหามลพิษ และให้อ้านาจกรมควบคุมมลพิษในการก้าหนดพืนที่ควบคุมมลพิษเพ่ือสร้างความ ตระหนักและควบคุมดูแลอย่างเหมาะสม ในอังกฤษออกมาตรการควบคุมพืนท่ีปนเป้ือนในปี 2549 (Contaminated Land Regulations 2006( ในการควบคุมการใช้ประโยชน์ในท่ีดินท่ีมีการปนเปื้อน มลพิษ เพือ่ น้าไปสู่การบริหารจดั การที่ดินอยา่ งยัง่ ยืน โดยก้าหนดพืนท่ีปนเปื้อนใหเ้ ปน็ พนื ทพี่ เิ ศษ 2-116

รายงานวจิ ัยฉบบั สมบูรณ์ “การลดความเหลื่อมลา้ ผา่ นกระบวนการยุตธิ รรม” สัญญาเลขที่ SRI58M0417 กำรพฒั นำทดี่ นิ การพัฒนาท่ีดินและสร้างมูลค่าเพ่ิมให้กับที่ดิน เช่น การจัดผังแปลงใหม่ และการพัฒนา โครงสรา้ งพนื ฐาน ฯลฯ ได้แก่ 1. กำรจัดรูปท่ีดิน ในไทยด้าเนินการจัดรูปที่ดินเพื่อการเกษตร มีเพื่อส่งเสริมการเกษตร เพิ่ม รายได้ให้เกษตรกร และให้มีท่ีดินท้ากินเป็นของตนเอง มีการออกกฎหมายการจัดรูปที่ดินเพ่ือ เกษตรกรรม เพื่อพฒั นาท่ีดินเกษตร โดยการรวมที่ดินวางผังท่ีดินใหม่ การจัดระบบชลประทานและการ ระบายน้า การสร้างถนน การบ้ารุงทดี่ ิน การปรับปรุงพืนที่ การผลติ และจ้าหน่ายผลผลติ ทางการเกษตร รวมถงึ การโอนสิทธิในทีด่ นิ การจัดรูปที่ดินในเมือง ในไทยมีการออก พรบ.จัดรูปท่ีดินเพ่ือพัฒนาพืนที่ พ.ศ.2547 โดยรัฐ สามารถพัฒนาท่ีดินร่วมกับเอกชนในการวางผังจัดรูปที่ดินใหม่ ปรับปรุง และพัฒนาโครงสร้างพืนฐาน เพ่ือพฒั นาสภาพแวดลอ้ มของเมอื งท่เี สื่อมโทรม 2. กำรฟ้ืนฟูเมือง เป็นการจัดรูปท่ีดินในเขตเมือง ในไทยมีการด้าเนินการโดยอาศัยตาม พรบ. จัดรปู ท่ดี นิ เพอ่ื พัฒนาพนื ที่ พ.ศ.2547 ข้างต้น 3. กำรปฏิรูปที่ดิน เป็นการจัดการที่ดินเพื่อกระจายการถือครองที่ดินให้มีความเท่าเทียม และ แก้ไขปัญหาการไร้ที่ดินท้ากิน ในไทยซึ่งประสบปัญหาการไร้ท่ีดินท้ากินเนื่องการจากสูญเสียท่ีดินและ กลายเป็นผเู้ ชา่ ที่ดิน จึงออก พรบ.การปฏริ ูปที่ดิน พ.ศ.2518 เพ่ือใหเ้ กษตรกรมีทีด่ ินท้ากิน และใหม้ ีการ ใช้ประโยชน์ในท่ีดินอย่างมีประสิทธิภาพ โดยการน้าที่ดินของรัฐ หรือการจัดซือท่ีดินมาจัดให้เกษตรกร ท้ากิน ซึ่งการปฏิรูปที่ดินของไทยยังไม่ประสบความส้าเร็จเท่าที่ควร เน่ืองจากยังพบปัญหาการบุกรุกที่ ป่าเพอื่ ท้าประโยชน์ในหลายพนื ที่ เคร่อื งมือกำรจัดกำรด้ำนเศรษฐศำสตร์ 1. กำรใชม้ ำตรกำรทำงภำษี ในไทย ยงั ไม่มีแนวทางการเกบ็ ภาษีท่ีสร้างแรงจูงใจในการใชท้ ่ดี ิน ให้มีประสิทธิภาพมากขึน มีเพียงการเก็บภาษีธุรกิจเมื่อมีการโอนท่ีดินในบางกรณี เพ่ือป้องกันการเก็ง กา้ ไรจากราคาที่ดนิ ที่สูงขนึ เทา่ นัน 2. กำรอนุรักษ์พืนที่ท่ีมีควำมเปรำะบำง และมีความส้าคัญทางด้านประวัติศาสตร์และ วัฒนธรรม ในไทยยังไม่มีการน้าเครื่องมือทางเศรษฐศาสตร์มาประยุกต์เหมือนในอังกฤษหรือ ออสเตรเลีย ท่ีมกี ารใช้เงินสนับสนุนจากรฐั ในการสร้างแรงจูงใจ เพ่ือให้เจ้าของท่ีดินท้าการอนุรักษ์ท่ีดิน ในพืนที่ท่ีมีความเปราะบางทางสิ่งแวดล้อม และไทยยังไม่มีกฎหมายเฉพาะส้าหรับการอนุรักษ์พืนท่ีท่ีมี ความส้าคัญด้านประวัติศาสตร์ แต่จะบังคับตาม พรบ.โบราณสถาน โบราณวัตถุ ศิลปวัตถุ และ พิพิธภณั ฑส์ ถานแหง่ ชาติ พ.ศ.2504 2-117

รายงานวิจยั ฉบบั สมบรู ณ์ “การลดความเหล่ือมลา้ ผา่ นกระบวนการยตุ ธิ รรม” สญั ญาเลขท่ี SRI58M0417 รำยงำนวิจัยฉบบั สมบรู ณ์ โครงกำรศึกษำนโยบำยภำษที ่ีดนิ (สกว.) มกรำคม 2552 การจัดเก็บภาษีอากร นอกจากเพื่อประโยชน์ในการสร้างรายได้ให้กับภาครัฐแล้ว ยังเป็น เครื่องมือท่ีรัฐบาลใช้เพ่ือให้บรรลุเป้าหมายทางเศรษฐกิจ ซึ่งปัญหาทางเศรษฐกิจท่ีส้าคัญประการหน่ึง คือ การลดช่องว่างระหว่างคนรวยและคนยากจน ซึ่งการลดช่องว่างให้ได้ผลจ้าเป็นต้องเปลี่ยนแปลง โครงร่างของภาษีอากร โดยการเก็บภาษีทางตรงให้มากขึน และเก็บภาษีทางอ้อมให้น้อยลง เพราะภาษี ทางออ้ มเปน็ ภาษีที่ผลักภาระไดง้ า่ ย ภาระขันสดุ ท้ายจึงมักไปตกแกค่ นชนั กลางและผู้ท่ีมรี ายไดน้ อ้ ย แม้ไทยจะมีการจัดเก็บภาษีเงินได้ในอัตราก้าวหนา้ ซ่ึงถือวา่ เป็นเครอ่ื งมือในการกระจายรายได้ แต่เครื่องมือในการกระจายความม่ังคั่งยังไม่มี เพราะการเก็บภาษีดังกล่าวไม่ได้ช่วยในเรื่องของการ กระจายทรัพย์สินของประชาชน โดยเฉพาะที่ดินซ่ึงเป็นทรัพย์สินที่สามารถก่อให้เกิดรายได้ให้แก่ผู้ถือ ครอง ในการจัดกลุ่มภาษีและลักษณะของการจัดเก็บภาษี โดยเฉพาะที่เก่ียวข้องกับอสังหา แบ่งออก ได้เป็น ภาษีที่จัดเก็บในขณะที่ถือครอง (Tax on Holding) และภาษีท่ีจัดเก็บในช่วงท่ีโอนเปลี่ยนมือ (Tax on Tranfer) โดยภาษีท่ีเก็บในขณะที่ถือครองนัน ควรเป็นภาษีที่มีบทบาทในการช่วยกระจาย รายได้ ผู้มีอสังหาริมทรัพย์มากและมีมูลค่าสูงควรเสียภาษีท่ีสูงกว่า และทดแทนประโยชน์ท่ีได้รับจาก ท้องถิ่นที่จัดบริการสาธารณะต่างๆ ให้ท้าหน้าท่ีจัดสรรการใช้ทรัพยากร เน่ืองจากเป็นค่าใช้จ่ายท่ีผู้ถือ ครองจะต้องเสียแต่ละปี ภาษีจึงเป็นตัวบีบให้เจ้าของใช้ประโยชน์อสังหาริมทรัพย์ ให้คุ้มกับภาษีท่ีต้อง เสียแทนการถือไว้เฉยๆ เพ่อื เก็งกา้ ไร ดงั นัน การปรบั ปรงุ ควรเปน็ ไปในลกั ษณะของการให้เป็นภาษที เ่ี ก็บ บนฐานมูลค่าทรัพยส์ ิน สว่ นภาษีที่จัดเก็บในช่วงท่ีโอนเปลีย่ นมือนัน ควรมีบทบาทในการเรียกคืนภาระค่าใช้จ่ายในการ ลงทุนที่รัฐจดั ให้มีสาธารณูปโภคตา่ งๆ อันก่อให้เกิดประโยชน์แกเ่ จ้าของอสังหาริมทรัพย์ในการกระจาย ประโยชนส์ ่วนเพ่ิม ซ่ึงเกดิ แก่เจ้าของอสังหารมิ ทรัพย์ หรือทด่ี ินและสิง่ ปลกู สร้างจากผลการลงทุนของรัฐ และในการลดโอกาสความไม่เท่าเทียมกันระหว่างบุคคล โดยการเรียกเก็บภาษีจากผู้ครอบครองทีดิน และสง่ิ ปลกู สรา้ งนนั กำรจดั เกบ็ ภำษที เ่ี ก่ยี วขอ้ งกบั ท่ดี นิ ในไทย ในปจั จบุ ันการจดั เก็บภาษีทเ่ี ก่ียวกบั ทด่ี ินทังทางตรงและทางอ้อม ประกอบดว้ ย 1. ภาษีเงนิ ได้บุคคลธรรมดาและภาษเี งนิ ได้นติ ิบุคคล 2. ภาษีธุรกิจเฉพาะ 3. ภาษโี รงเรือนและท่ดี นิ 4. ภาษีบ้ารงุ ทอ้ งท่ี 5. คา่ ธรรมเนยี มการโอนและการจ้านองที่ดนิ 2-118