Important Announcement
PubHTML5 Scheduled Server Maintenance on (GMT) Sunday, June 26th, 2:00 am - 8:00 am.
PubHTML5 site will be inoperative during the times indicated!

Home Explore รายงานวิจัย-การลดความเหลื่อมล้ำผ่านกระบวนการยุติธรรม - อ.ไพสิฐ

รายงานวิจัย-การลดความเหลื่อมล้ำผ่านกระบวนการยุติธรรม - อ.ไพสิฐ

Published by E-books, 2021-03-02 03:53:51

Description: รายงานวิจัย-การลดความเหลื่อมล้ำผ่านกระบวนการยุติธรรม-ไพสิฐ

Search

Read the Text Version

รายงานวจิ ยั ฉบบั สมบูรณ์ “การลดความเหลอ่ื มล้า ผา่ นกระบวนการยตุ ิธรรม” สญั ญาเลขที่ SRI58M0417 2. มาตรการทางกฎหมายในการปรบั เปล่ียนพฤติกรรมแทนการลงโทษ สืบเน่อื งจากปัญหานักโทษล้นคุก และลักษณะของพฤติการณ์ในการกระท้าความผิดท่ี มีความหลากหลายมาก ดังนันหากคิดตามทฤษฎีในการลงโทษสมัยใหม่แล้ว มาตรการท่ีจะน้ามาใช้ เพื่อการปรับเปล่ียนพฤติกรรม จึงมีความจ้าเป็นท่ีจะต้องมีความหลากหมายกว่าการจ้าคุก ดังนัน รปู แบบวิธีการลงโทษในลักษณะแบบเดิม ท่ีใช้มาเป็นเวลานานโดยไม่แยกแยะตามพฤตกิ ารณ์ และยัง ขาดระบบที่มปี ระสิทธิภาพในการปรับเปล่ียนพฤติกรรมของผู้ต้องขังอย่างแทจ้ ริง อาจจะไม่เหมาะสม ตอ่ ไปส้าหรบั ผู้ต้องขังในบางกลุ่ม และด้วยระบบการลงโทษแบบเดมิ (ต้องค้าพิพากษาให้จ้าคุก) ก้าลัง นา้ ไปส่กู ารสร้างกลุ่มในสงั คมท่อี ยใู่ นโครงสรา้ งความเหล่ือมลา้ ขึนอกี กลมุ่ หนึ่ง โดยผลของกระบวนการ ยุติธรรมทางอาญา ทไ่ี ม่มโี อกาสกลับเข้าสู่สังคมอย่างมีศกั ดิ์ศรี ดง้ นัน นอกจากจะต้องพัฒนาวธิ ีการใน การปรับเปล่ียนพฤติกรรมแบบใหม่แล้ว จะต้องมีการทบทวนการก้าหนดความผดิ ตามกฎหมายว่าการ กระท้าความผดิ ใดควรหรอื ไมค่ วรเป็นความผดิ ทางอาญา ด้วยอีกทางหนึง่ 3. วงจรระบบการทบทวนโครงสร้างการกระท้าความผิดทางอาญาท่ีไม่ได้ค้านึงถึงความ เป็นธรรม ในประเทศท่ีระบบกฎหมายมีการพัฒนาอย่างต่อเนื่องและค้านึงถึงสิทธิเสรีภาพของ ประชาชน จะมีระบบในการศึกษาวิเคราะห์ติดตามสถานการณ์ทางสังคมต่างๆ เพื่อแก้ไขปรับปรุง กฎหมายให้ทันต่อการเปลี่ยนแปลงของสังคม และเป็นการด้าเนินการโดยเป็นความร่วมมือกันของ รฐั สภา (อา้ นาจนติ ิบญั ญตั ิ) รัฐบาล (อ้านาจบริหาร) และศาล (อา้ นาจตลุ าการ) โดยจะจดั ทา้ เป็นรายงาน ประจ้าปีเพ่ือประเมินระบบกฎหมายของประเทศ ว่าควรท่ีจะต้องมีการปรับปรุงเพ่ือแก้ไขข้อท่ีเป็น ชอ่ งว่างในทางกฎหมาย หรอื สว่ นที่บงั คับใช้แลว้ มีความไม่เป็นธรรมเกิดขึน ฯลฯ ส้าหรับ ในกรณีประเทศไทยยังไม่มีระบบการประเมินผลระบบกฎหมายอย่างเป็น กิจจะลักษณะ และในส่วนส้าคัญยังไม่มแี นวคิดทีจ่ ะท้าการทบทวนกฎหมาย ทกี่ ้าหนดความผดิ ให้มีโทษ ทางอาญา โดยเฉพาะอย่างย่ิง ความผิดในส่วนที่เป็นความผิดที่รัฐหรือกฎหมายห้ามกระท้า (Mala Prohibita) ซึ่งเป็นสาเหตุหลักประการหนึ่งท่ีท้าให้กระบวนการยุติธรรมทางอาญา ดูดและผลัก ประชาชนใหเ้ ข้าสู่และตกอยใู่ นโครงสรา้ งความเหล่ือมล้า ทงั ทางกฎหมายและทางสงั คม 4. หลักการประกนั สิทธิในแต่ละขนั ตอนของกระบวนการยุติธรรมมคี วามแตกต่างกนั แม้จะมีหลักกฎหมายทเ่ี ป็นการประกันสทิ ธิของประชาชนว่า ผู้ถูกกล่าวหาในคดีอาญา ให้สันนิษฐานไว้ก่อนว่าเป็นผู้บริสุทธ์ิ และมีสิทธิในการท่ีจะได้รับการประกันตัวได้ แต่ด้วยเหตุที่ใน การด้าเนินกระบวนวิธีพิจารณาคดีอาญามีอ้านาจของหน่วยงานของรัฐเข้ามาเกี่ยวข้องหลายหน่วยงาน เร่ิมตังแต่ ขันตอนของพนักงานสอบสวน ขันตอนของอัยการ และขันตอนของศาล ซึ่งในแต่ละช่วงมี อ้านาจตามกฎหมายท่ีแตกต่างกัน มาตรการและวิธีการต่างๆ ที่น้ามาใช้เพื่อให้ประชาชนเข้าถึงสิทธิใน การถูกปล่อยตัวมีความแตกต่างกัน และไม่มีความต่อเน่ืองกัน ดังนันจึงส่งผลให้การเข้าถึงสิทธิของ 4-7

รายงานวจิ ัยฉบบั สมบรู ณ์ “การลดความเหลอื่ มล้า ผา่ นกระบวนการยตุ ิธรรม” สญั ญาเลขที่ SRI58M0417 ประชาชน ท่ีถูกกล่าวหาว่ากระท้าความผิดในแต่ละช่วง จึงเกิดภาระท่ีจะต้องไปวิ่งหาหลักประกัน และ ถ้ายิ่งกระบวนการพิจารณาเกิดความล่าช้า ในกรณีไม่มีหลักทรัพย์และจ้าเป็นท่ีจะต้องกู้ยืมเงินมาเป็น หลักประกันก็จะยิ่งต้องเสียดอกเบียมากขึน หรือหากไม่สามารถท่ีจะหาหลักประกันได้ก็ต้องถูกต้องขัง ตอ่ ไปจนกว่าจะเสร็จสินคดี ซง่ึ จะเหน็ ไดว้ ่าจะเป็นปญั หาส้าหรบั ผู้ดอ้ ยโอกาสอยา่ งมาก หลักประกันสิทธิในแต่ละขันตอนนี ควรท่ีจะรวมถึงหลักประกันในแง่ของระยะเวลาใน กาด้าเนินคดีในแต่ละช่วงระยะเวลา ซึ่งในปัจจุบันมีอยู่เฉพาะในชันของพนักงานสอบสวน แต่ในชันของ พนักงานอัยการและศาลยังไม่มีความชัดเจน ดังนัน ในแง่ของระยะเวลาในการด้าเนินคดีในกรณีท่ี ผูด้ อ้ ยโอกาส 5. ระบบการใหค้ วามช่วยเหลือของรฐั หรือจากองคก์ รวชิ าชพี ในระบบกระบวนการยุติธรรมทางอาญา จะมีหลักประกันเพ่ือความยุติธรรมใน การต่อสู้คดีซ่ึงเป็นการด้าเนินการตามขันตอนทางกฎหมาย ซ่ึงโดยปรกติแล้วประชาชนโดยท่ัวไปจะไม่ ทราบขันตอนและไม่มีความชา้ นาญในทางปฏิบัติของกระบวนการยตุ ิธรรม ดังนนั จึงต้องมีระบบการให้ ความช่วยเหลือทางกฎหมายแก่ประชาชน ซ่ึงอาจจะจัดให้โดยรัฐหรือ โดยองค์กรวิชาชีพ โดยรัฐเป็น ผูอ้ อกค่าใช้จ่ายต่างๆ ให้ ในกรณีกระบวนการยุตธิ รรมทางอาญาของไทยกม็ ีระบบการให้ความช่วยเหลือ เช่นนี แต่ท่ีเป็นปัญหาส้าหรับผู้ใช้บริการคือ คุณภาพในเชิงความรู้ความสามารถและประสบการณ์ใน การต่อสู้คดีที่มักจะด้อยกว่าพนักงานอัยการ อีกทังข้อจ้ากัดด้านงบประมาณที่ท้าให้ไม่จูงใจในผู้ท่ีมี ความรู้ความสามารถให้เข้ามาท้าหน้าท่ีในการให้ความช่วยเหลือทางคดีต่อประชาชน ดังนัน ระบบ การให้ความชว่ ยเหลือดังกลา่ วกจ็ ะเป็นเพยี งแค่การช่วยเหลอื เบอื งต้น และไมไ่ ดม้ ปี ระสทิ ธภิ าพเทา่ ท่ีควร ซึ่งในท่สี ดุ ก็ส่งผลทางคดีตอ่ ประชาชนท่ีถกู ด้าเนินคดี 6. บทบาทของผู้อา้ นวยความยตุ ิธรรมในแตล่ ะชันของกระบวนการยตุ ิธรรม โดยระบบของการด้าเนนิ คดีทางอาญาในระบบกล่าวหา การทา้ หน้าท่ีเจา้ หน้าพนักงาน ในกระบวนการยุติธรรมจะมีการถ่วงดุล เพ่ือตรวจสอบความถูกต้องที่จะน้าไปสู่การค้นหาความจริงว่า ผู้ต้องหาที่ถูกด้าเนินคดีนัน เป็นผู้กระท้าความผิดจริงตามท่ีถูกกล่าวหาหรือไม่ จากกรณีศึกษาที่ปรากฏ เป็นข่าวในส่ือมวลชนท่ีผ่านมาเป็นระยะๆ สามารถท่ีจะสะท้อนความผิดพลาดในการท้าหน้าที่ หรือ แสดงบทบาทของเจ้าหน้าท่ีในกระบวนการยุติธรรมแต่ละขันตอนได้เป็นอย่างดี เหตุท่ีเป็นเช่นนัน อาจจะเนื่องมาจากจ้านวนคดีท่ีมากเกินไป หรืออาจะเป็นผลสืบเน่ืองมาจากระบบการโยกย้ายจึงไม่ สามารถท่ีจะทราบความเป็นมาของคดีได้ จึงปล่อยหรือว่าคดีไปตามเอกสารส้านวน หรือด้วยข้อจ้ากัด ของระยะเวลาที่จะต้องรีบด้าเนินการให้เสร็จภายในก้าหนดระยะเวลา จึงต้องปล่อยเลยตามเลยแม้จะ เห็นว่ายังเป็นท่ีสงสัย ฯลฯ และย่ิงหากเป็นกระบวนการยตุ ิธรรมในชันพนักงานตา้ รวจ การปฏิบัติหน้าที่ ให้เป็นไปตามเป้าหมายตัวชีวัดหรือนโยบายทางคดี จะมีผลอย่างมากต่อการปฏิบัติหน้าท่ีว่าเกิดความ ยุตธิ รรมหรือเกดิ ประสิทธภิ าพในการปราบปราม 4-8

รายงานวิจัยฉบบั สมบูรณ์ “การลดความเหล่อื มลา้ ผา่ นกระบวนการยตุ ธิ รรม” สัญญาเลขที่ SRI58M0417 7. ทศั นะคติของผอู้ า้ นวยความยุตธิ รรม การสังเคราะห์ในส่วนนี จะมีความเช่ือมโยงกับส่วนที่ว่าด้วยบทบาทของผู้อ้านวย ความยุติธรรมในแต่ละชันของกระบวนการยตุ ิธรรม แต่ทัศนะคติในส่วนนจี ะเกยี่ วขอ้ งกบั ระบบงานวา่ จะ ปฏิบัติหน้าท่ีอย่างไร ทังนีเน่ืองจาก ระบบงานของกระบวนการยุติธรรมจะเป็นระบบงานท่ีมีการส่งต่อ กันเป็นล้าดับชันในรูปแบบส้านวนคดี ดังนัน ในการปฏิบัติหน้าท่ีของเจ้าหน้าท่ีในฐานะที่เป็นผู้อ้านวย ความยตุ ธิ รรมท่ี ต้องผกู โยงกับระบบส้านวนคดีจึงมีธรรมชาติของการท้างานในสองลกั ษณะคือ 7.1 มุ่งท้าตามหน้าท่ีของตนเท่านัน โดยให้ความส้าคัญกับข้อเท็จจริงที่ปรากฏ เฉพาะแต่ในเอกสารเทา่ นัน และ 7.2 มุ่งรักษากฎหมายโดยดูว่าจากส้านวนคดีมีการฝ่าฝืนกฎหมายใดบ้าง ก็จะ ด้าเนินคดีชีขาดตัดสินไปตามฐานความผิดต่างๆ ท่ีมีการกระท้าฝ่าฝืนบทบัญญัติในทางกฎหมาย (แต่ อาจจะไม่ไดผ้ ดงุ ความยุติธรรม) 8. การบิดเบือนกระบวนการยุติธรรมเพื่อแสวงหาประโยชน์ทังโดยชอบด้วยกฎหมาย และโดยมิชอบด้วยกฎหมาย ระบบกระบวนการยุติธรรมถูกออกแบบมาเพ่ือแสวงหาความจริงในทางคดี ว่าเกิด การกระท้าที่เป็นการฝ่าฝืนกฎหมายที่เป็นความผิดหรือไม่ ใครเป็นผู้ที่เข้ามาเก่ียวข้อง ใครเป็นผู้กระท้า กระท้าอย่างไร เพื่อจะนา้ ไปสู่การพจิ ารณาการลงโทษที่เหมาะสม แต่อย่างไรก็ตาม ดว้ ยความเชี่ยวชาญ เทคนิคในทางคดี ก็มักจะใช้ประโยชน์จากกระบวนการยุติธรรมทางอาญา มาแสวงหาประโยชน์ใน การบีบบังคับคู่กรณีอีกฝ่ายหน่ึง จะต้องด้าเนินการหรือจ้ายอมในท่ีสุด ซ่ึงการจะใช้กลวิธีดังกล่าวได้ก็ มักจะไมใ่ ชผ้ ู้ดอ้ ยโอกาส ประเด็นท่ี สี่ งานท่ีสะท้อนใหเ้ หน็ ปญั หาทางสงั คมทอ่ี าจจะมีผลตอ่ กระบวนการยตุ ิธรรม บทสังเคราะห์ในส่วนนีเป็นการสังเคราะห์จากงานศึกษาที่มิใช้งานในทางกฎหมายโดยตรงหาก เป็นงานท่ีไปศึกษาจากกรณีผลกระทบท่ีเกิดกับประชาชนท่ีถูกด้าเนินคดี ดังนันงานในส่วนนี ต้องการท่ี จะวิเคราะห์ให้เห็นว่า ด้วยชุดความคิดแบบเดิมของกระบวนการยุติธรรม (ท่ีเป็นอ้านาจของพนักงาน สอบสวน พนักงานอยั การ และศาล ซึ่งหมายถึง ศาลรฐั ธรรมนูญ ศาลยตุ ิธรรม และ ศาลปกครอง) ทีท่ ้า หน้าท่ีในการระงบั ความขดั แย้งหรือข้อพิพาททงั หลาย ซ่ึงจะให้ความส้าคัญต่อการแก้ปญั หาท่ีปลายเหตุ กล่าวคือต้องรอให้เกิดความขัดแย้งหรอื เกิดการฝ่าฝนื กฎหมายกอ่ น จึงจะสามารถที่จะเข้าไปด้าเนินการ เอาตัวผู้กระท้าความผิดมาลงโทษ และเมื่อมีการลงโทษแล้วกระบวนการยุติกรรมก็ไม่ได้ กลับไป วิเคราะห์ถึงสาเหตุของการกระท้าความผิด อันเป็นต้นต่อของการกระท้าความผิดหรือความขัดแย้ง ดังนัน เราจะเห็นได้ว่า ส่ิงท่ีกระบวนการยุติธรรมและระบบกฎหมายจะช่วยแก้ปัญหา หรือลดความ เหล่ือมล้าลงได้นัน ควรท่ีจะให้ความส้าคัญกับการป้องกันและการจัดการความขัดแย้ง ที่มิใช่การน้าเอา มาตรการการลงโทษทางอาญา มาเป็นเพียงเคร่ืองมือเดียวเพ่ือแก้ปัญหาความขัดแย้งแล้วยุติบทบาท 4-9

รายงานวิจัยฉบบั สมบรู ณ์ “การลดความเหลอื่ มล้า ผา่ นกระบวนการยุติธรรม” สญั ญาเลขที่ SRI58M0417 ของกระบวนการยุติธรรมลง เพียงเพราะได้ใช้อ้านาจในการลงโทษผกู้ ระท้าความผิดแล้วเท่านัน ซึ่งจาก งานทศ่ี ึกษาทา้ ให้เห็นขอ้ จ้ากดั และผลกระทบ จากการออกแบบระบบกระบวนการยตุ ิธรรมดงั ต่อไปนี 1. ด้วยเหตุที่ระบบกระบวนการยุติธรรมแต่เดิมออกแบบเพ่ือด้าเนินการลงโทษผู้กระท้า ความผิด จากบทบัญญัติที่ก้าหนดโทษทางอาญาไว้ และพระราชบัญญัติส่วนใหญ่ของประเทศไทยก็ มักจะก้าหนดโทษทางอาญาไว้ จากการประมาณการโดยคร่าวๆ น่าจะ 95% ของพระราชบัญญัติท่ี ออกมาบังคับใช้ที่ก้าหนดโทษทางอาญาไว้ และด้วยเหตุเช่นนีจึงท้าให้กระบวนการยุติธรรมจึงเป็น ลักษณะของการใชอ้ ้านาจในการจัดการกับผู้กระทา้ ความผดิ เป็นรายๆ (หรือบางลกั ษณะอาจจะเป็นกลุ่ม ผู้กระท้าความผิด) และไม่มีโอกาสท่ีจะท้าให้เกิดการลงไปแก้ปัญหาเกี่ยวกับตัวผู้กระท้าความผิด ใน ลักษณะที่เปน็ การแก้ปัญหาการกระทา้ ความผิดในเชงิ โครงสรา้ งได้ เช่น ตวั อย่างกรณี คดกี ารบุกรุกพืนที่ป่าไม้ ซงึ่ ในกระบวนการยตุ ิธรรมมิได้ท้าการวิเคราะห์ถึงสาเหตุ โครงสร้าง และพฤติการณ์ ของการกระท้าความผิดของประชาชน ท่ีอยู่อาศัยบนที่ดินของรัฐซึ่งมีข้อ พิพาทอยู่ว่า ชมุ ชนอยู่ก่อนการประกาศเขตปา่ หรือชมุ ชนมาอยหู่ ลังการประกาศเขตป่า ทังนสี าเหตุของ ปัญหาเกิดจากกระบวนการในการประกาศเขตป่า ซึ่งเจ้าหนา้ ท่ีอ้างวา่ ปฏิบัติตามกฎหมาย แต่กฎหมายท่ี เจ้าหน้าท่ีอ้างกลับเป็นกฎหมายที่ไม่เป็นธรรม ทังในแง่ของหลักความยุติธรรมของกฎหมาย เช่น บทสันนิฐานในทางกฎหมาย ในกรณีป่า ได้แก่บทสันนิฐานท่ีว่าท่ีดินที่ไม่มีเอกสารสิทธิ (โฉนด นส. 3) ให้ถอื ว่าเป็นที่ป่า หรือหลักให้สันนิฐานว่า ถ้าไม่ไปแจง้ แสดงสทิ ธิในท่ีดินให้ถือว่าสละสิทธิ ที่บังคับใช้กับ ประชาชนที่อยู่ห่างไกล ไม่รู้หนังสือ การสัญจรเดินทางเป็นไปอย่างยากล้าบาก แต่ข้อสันนิษฐานกับให้ ถือว่าเจ้าของที่ดินผู้ครอบครองสละสิทธิ เป็นต้น ซ่ึงจะตรงกันข้ามกันอย่างสินเชิงกับกรณีการฟ้องคดี แบบกลุ่ม (Class Action) ซ่ึงเป็นลักษณะของการแก้ปัญหาการได้รับความเสียงหาย อันเป็นผลมาจาก โครงสร้าง (ของระบบการค้าการประกอบธุรกิจภายใต้ระบบอุตสาหกรรม โครงสร้างของปัญหาที่ ก่อให้เกิดผลกระทบต่อประชาชนในวงกว้าง) ซ่ึงเป็นพัฒนาการของระบบกระบวนการยุติธรรมใน ประเทศแบบคอมมอนลอว์ ท่ีท้าการพัฒนาวธิ ีอา้ นวยความยุติธรรมแกป่ ระชาชน ซึ่งสอดคล้องกับสภาพ การเปล่ียนแปลงทางสังคม เศรษฐกิจ วัฒนธรรม (แต่ในเวลาเดียวกัน วิธีการเดียวกันนีเมื่อน้าเข้ามาใช้ ในประเทศไทยแล้ว กลับส่งผลในลักษณะตรงกันข้าม คือ แทนที่จะมีจ้าเลยมาฟ้องคดีเพื่อน้าผลของค้า พิพากษาไปสู่การบงั คับใช้ในคดีอ่ืนๆ ท่ีผู้เสียหายได้รับจากจ้าเลย กลับกลายเป็นผู้ประกอบการมาขอใช้ กระบวนการพิจารณาคดีฟ้องผู้บริโภคแทน ทังนีสืบเนื่องมาจากขันตอนในชนั การบัญญัติกฎหมาย ที่ไม่ เข้าใจโครงสร้างการใช้สิทธิในกระบวนการยุติธรรม และข้อจ้ากัดของกระบวนการยุติธรรม จึงท้าให้ มาตรการท่นี า้ มาใชใ้ นสังคมไทยกลับเกดิ ผลในทางตรงกนั ข้าม) 2. กรณีตัวอยา่ งของผตู้ ้องขังทอี่ ยู่ในระหว่างการพิจารณาคดแี ละกรณที ่เี ป็นผู้พน้ โทษ บนระบบกระบวนการยุติธรรมทางอาญาที่เป็นอยู่ในขณะนี โอกาสที่จะเข้าสู่กระบวนการ ยุติธรรมทางอาญาในฐานะท่ีเป็นจ้าเลยของรัฐสงู และง่ายมากเนอ่ื งจาก ดว้ ยเหตุท่ีกฎหมายสว่ นใหญ่ของ ประเทศเป็นกฎหายที่มีโทษทางอาญาเป็นหลัก และการมีกลไกของระบบการด้าเนินคดีในชันของ พนักงานต้ารวจ และของพนกั งานสอบสวนทเี่ กิดขึนได้อยา่ งงา่ ยดาย เน่ืองจากมีอา้ นาจเตม็ ตามกฎหมาย 4-10

รายงานวิจยั ฉบบั สมบูรณ์ “การลดความเหลอ่ื มลา้ ผา่ นกระบวนการยุติธรรม” สัญญาเลขที่ SRI58M0417 และมีอิทธิพลในทางสังคม แม้จะมีข้อสันนิษฐานในทางกฎหมายอาญาไว้ว่า ผู้ต้องหาหรือจ้าเลย ให้ สันนิษฐานไว้ก่อนว่าเป็นผู้บริสุทธิ์จนกว่าศาลจะพิพากษา แต่เจ้าหน้าท่ีในกระบวนการยุติธรรม แม้จะ ยึดถือหลักดังกล่าว แต่ก็ต้องด้าเนินการเอาผู้ที่ถูกกล่าวหาเข้าสู่ระบบกระบวนการยุติธรรมไว้ก่อน เพื่อ ประโยชน์ในด้านการตอบสนองนโยบายการปราบปรามอาชญากรรม และโยนหน้าที่การอ้านวยความ ยุติธรรมทางอาญาไปสู่พนักงานสอบสวน พนักงานอัยการ และศาล ซ่ึงในระหว่างท่ีศาลยังไม่พิพากษา ผ้ทู อี่ ยู่ในฐานะผ้ตู ้องขังหรอื จ้าเลยตอ้ งสูญเสียอิสรภาพ ซึ่งโดยระบบทเ่ี ป็นอยใู่ นปจั จุบนั เพ่ือตอ้ งการทจ่ี ะ สามารถออกมาจากการถกู คุมขังในระหว่างการพิจารณาคดไี ดน้ ัน ต้องใช้ระบบการประกันตัว ซึ่งอาจจะ เป็นกรณีของการใช้หลักทรัพย์ในการประกัน ใช้เงินสด หรือ ใช้ต้าแหน่งหน้าที่ตามท่ีกฎหมายก้าหนด ในการประกันตัวออกมาจากการควบคุมกุมขัง ซึ่งเป็นประเด็นที่สามารถให้เห็นถึงความเหล่ือมล้าอย่าง ชัดเจนภายใต้ระบบกระบวนการยุติธรรมทางอาญาคือ เฉพาะผู้มีเท่านันท่ีสามารถซืออิสรภาพชั่วคราว ได้ แต่ถ้าเป็นคนจนกลับไมม่ โี อกาสซืออสิ รภาพได้ และส้าหรับผู้ที่ถูกศาลพิพากษาตัดสินลงโทษและได้รับโทษแล้ว แม้ในระบบราชทัณฑ์จะมี การเตรียมความพร้อมให้กับผู้ต้องขัง เพ่ือจะมีอาชีพหรือสามารถท่ีจะมีงานท้าเพ่ือจะได้ไม่กระท้า ความผิดซา้ แตป่ ระเด็นปัญหาของกระบวนการยุติธรรมทางอาญาในส่วน ท่ีเกี่ยวกับการส่งต่อผู้ต้องขังที่ ผา่ นการถูกลงโทษแลว้ ไม่สามารถกลับเข้าสู่สังคมได้ ซึ่งในส่วนนียงั ไมม่ ีการดา้ เนินการอย่างใดๆ ท่ีจะท้า ใหส้ งั คมเปิดรับเปล่ียนความคิดเกี่ยวกับผูต้ ้องขัง ซง่ึ เปน็ ประเด็นที่กระบวนการยุติธรรมอาจจะตอ้ งน้ามา สู่การทบทวนบทบาทใหม่ ของกระบวนการยุติธรรมต่อสงั คมท่ขี ้ามพ้นเรื่องการใช้อ้านาจ เพ่ือท้าให้เกิด ความเกรงกลัวกฎหมายไปสกู่ ารสร้างความเปน็ ธรรมลดความเหลอ่ื มลา้ จากข้อสรุปท่ีสังเคราะห์เกี่ยวกับปัญหาจากกระบวนการยุติธรรมท่ีสร้างความเหล่ือมล้าให้กับ คนในสังคม โดยเฉพาะกับคนในระดับล่าง และในที่สุดก็น้ามาสู่การสร้างปัญหาให้กับกระบวนการ ยุติธรรมเอง ดังจะเห็นได้จาก “คดีล้นศาล คนล้นคุก” ซึ่งส่งผลโดยรวมต่อประสิทธิภาพของ กระบวนการยุติธรรม และในความรู้สึกของชาวบ้านคนในระดับล่างจะมีความรู้สึกว่ากระบวนการ ยุติธรรมล้าเอียง มุ่งเอาผิดและด้าเนินการอย่างเต็มท่ีกับชาวบ้านท่ีไม่มีหนทางต่อสู้ แต่ส้าหรับคดีใหญ่ หรือของผู้ท่ีมีฐานะหรือมีอิทธิพลกระบวนการยุติธรรมนอกจากจะไม่สามารถเอาผิดได้แล้ว ในหลายๆ กรณีทา้ ให้เกิดความรู้สึกเหมือนกระบวนการยุติธรรมให้ความช่วยเหลือชีช่องทาง หรือบางครังกลับช่วย ฟอกให้การกระท้าความผดิ ที่เห็นได้อยา่ งชัดเจน กลายเป็นการกระท้าท่ถี กู กฎหมายไปในท่สี ุด 3. นอกจากงานศึกษาในเชิงคดีและผลกระทบท่ีเกิดขึนกับประชาชนในระดับล่างแล้ว ยังมีงาน ท่ีศึกษาเก่ียวกับความเหล่ือมล้ากับปัญหาความขัดแย้ง ซึ่งในท่ีสุดก็จะส่งผลต่อกระบวนการยุติธรรมที่ จะต้องเข้ามาเกี่ยวข้องแก้ปัญหา โดยกรณีความเป็นไม่เปน็ ธรรมท่ีน้าไปสู่ปัญหาความขัดแย้งท่ีกระบวน การยุตธิ รรมควรทีจ่ ะต้องเตรยี มการให้ความส้าคัญ เชน่ 3.1 ความไม่เท่าเทียมกันของแรงงานในระบบและนอกระบบ (ความไม่เป็นธรรมด้าน การจ้างงานและระบบสวัสดิการต่างๆ) รวมถึงแรงงานข้ามชาติ 3.2 ความไม่เป็นธรรมทางสขุ ภาพท่ีเกดิ ขนึ กับผดู้ ้อยโอกาสกลมุ่ ต่างๆ 4-11

รายงานวิจยั ฉบบั สมบรู ณ์ “การลดความเหล่ือมลา้ ผา่ นกระบวนการยตุ ธิ รรม” สญั ญาเลขท่ี SRI58M0417 3.3 ความไมเ่ ปน็ ธรรมในการเข้าถงึ ทรัพยากรธรรมชาติ ท่ดี ิน แหลง่ นา้ 3.4 ความไม่เป็นธรรมในการเข้าถึงบริการพืนฐานด้านต่างๆ เช่น ที่อยู่อาศัย ท่ีดินท้ากิน ความไม่เปน็ ธรรมจากการพัฒนาของรัฐและผลกระทบจากโครงการขนาดใหญข่ องรฐั ทังหลาย ประเด็นที่ ห้า งานที่เสนอทางแก้หรือทางออกปัญหาของกระบวนการยุติธรรม และควรจะ เป็นทางออกในการลดความเหลื่อมลาผ่านทางระบบความยุติธรรม ตามคาถามข้อ ข. ควรจะเป็น อย่างไร ส้ า ห รั บ ข้ อ เ ส น อ เ พื่ อ ก า ร ป ฎิ รู ป ก ร ะ บ ว น ก า ร ยุ ติ ธ ร ร ม ใ ห้ เ ป็ น ท า ง อ อ ก ห น่ึ ง ข อ ง ปั ญ ห า ความเหล่ือมลา้ มีขอ้ เสนอจากงานต่างๆ ที่เก่ียวขอ้ งดงั นี 1. มีการเสนอให้มีการจัดท้ายุทธศาสตร์การพัฒนากระบวนการยุติธรรมเพื่อคนจน ซ่ึงประกอบด้วยการขยายโอกาสการเข้าถึงความยุติธรรมส้าหรับคนจน ในรูปแบบต่างๆ เช่น การให้ ความรู้ความเข้าใจในสิทธิต่างๆ การพัฒนากระบวนการยุติธรรมในระดบั ชุมชนเพื่อระงบั ข้อพิพาทเล็กๆ นอ้ ยๆ ในชุมชน 2. การเสริมสร้างความเสมอภาคในกระบวนการยุติธรรม เชน่ การพฒั นาระบบการปลอ่ ย ตวั ช่ัวคราวที่ไม่ยึดติดอยทู่ ี่หลกั ประกันท่เี ป็นทรัพย์สินเงินทอง การมีทนายความที่มีคุณภาพ การจัดสรร งบประมาณในรูปของ “กองทุนเพื่อการช่วยเหลือและสงเคราะห์ผู้ต้องหา จ้าเลย และผู้เสียหายใน คดีอาญา”ทีเ่ พียงพอและง่ายต่อการเขา้ ถงึ และแม้จะมีงานท่ีศึกษาปัญหาและข้อเสนอที่เป็นการปฏิรูปกระบวนการยุติธรรมเพื่อให้ คนจนสามารถเข้าถึงได้ ดังท่ีกล่าวมาข้างต้นก็ตาม แต่หากต้องการที่จะท้าให้กระบวนการยุติธรรม เป็น ทางออกหรือเข้ามาเป็นส่วนหนึ่งของการลดความเหล่ือมล้า การมียุทธศาสตร์การพัฒนากระบวนการ ยุตธิ รรมเพื่อคนจน และ การเสริมสร้างความเสมอภาคในกระบวนการยุตธิ รรม ยงั ไมเ่ พียงพอ ยังจะต้อง ดา้ เนินการท่ีส้าคญั ส้าหรบั บุคลากรในกระบวนการยตุ ิธรรมดงั ต่อไปนีด้วย ประการแรก จะท้าให้เกิดการเปลี่ยนกรอบความคิดภายใต้ความรู้ในทางกฎหมาย แบบเดิมๆ ไปสู่โลกทศั น์ กรอบความคิดในมิตใิ หมๆ่ ทางกฎหมายท่ีเช่ือมโยงอยู่กบั ปัญหาพืนฐานในทาง สงั คมได้อย่างไร ประการท่ีสอง จะท้าให้เกิดการเปล่ียนแปลงทัศนะ (mind set) ของบุคลากรที่อยู่ใน ระบบกระบวนการยุติธรรมซ่ึงถูกก้าหนดบทบาทหน้าที่ เป้าหมาย ไว้โดยกฎระเบียบต่างๆ ที่ยังไม่ สามารถนา้ ไปสู่การแกป้ ญั หาเรอ่ื งความเหล่ือมลา้ ไดโ้ ดยตรงได้อย่างไร 4-12

รายงานวจิ ยั ฉบบั สมบรู ณ์ “การลดความเหล่ือมล้า ผา่ นกระบวนการยุตธิ รรม” สญั ญาเลขท่ี SRI58M0417 ประการที่สาม จะต้องพัฒนาแนวคิดของระบบกฎหมายใหม่ๆ ให้เห็นความเชื่อมโยง ระหว่างเป้าหมายของกฎหมาย หน้าที่ของนักกฎหมาย และกลไกของกระบวนการยุตธิ รรมว่ามีหน้าทีใ่ น การสร้างความเป็นธรรมให้เกิดขึนในสังคม ความเป็นธรรมจะเกิดขึนได้ต้องมีโครงสร้างทางสังคม เศรษฐกิจ การเมือง วัฒนธรรม และกฎหมายที่ให้ความส้าคัญกับการขจัดความเหลื่อมล้าในทุกรูปแบบ ได้อย่างไร ประการท่ีสี่ จะท้าให้ทัศนะเดิมๆ ในทางกฎหมายที่ครอบง้าแวดวงวิชาการกฎหมาย ครอบง้าสถาบันต่างๆ ในทางกฎหมาย และครอบง้านักกฎหมาย คล่ีคลายลงและร่วมกันในการพัฒนา ทศั นะคติใหมๆ่ ท่ีให้ความส้าคญั กับปญั หาเชิงโครงสรา้ งทนี่ ้าไปสู่ความเหลื่อมล้าในมิติต่างๆ ท่ีเกิดขนึ กับ บคุ คลตา่ งๆ ไดอ้ ย่างไร ส่วนที่ 2 การสังเคราะห์ชุดแนวคิดในทางกฎหมายเพื่อวิเคราะห์และประเมินกระบวนการยุติธรรม เพอ่ื ลดความเหลอ่ื มลา และทางออกของปญั หาความเหล่ือมที่เกดิ จากกระบวนการยุตธิ รรม จากข้อเสนอแนะและคาแนะนาของผู้ทรงคุณวฒุ ิที่ตรงประเด็นและทรงคุณค่าในทางวิชาการ ทา้ ใหม้ ีการด้าเนินการเพ่มิ เตมิ ตามข้อเสนอแนะจากผูท้ รงคุณวุฒดิ ังต่อไปนี 1. โดยสรุปจากผ้ทู รงคณุ วุฒมิ ีขอ้ เสนอแนะวา่ 1.1 จากการ review งานทังที่เป็นเอกสารงานวิชาการ เอกสารสรุปงานวิจัย และ เอกสารสรุปงานสัมมนา ควรที่จะมีการน้าเอาแนวคิดทฤษฎีที่เกี่ยวข้องกับความยุติธรรมมาวิเคราะห์ หรือประเมินเพ่ือให้เห็นถึงช่องว่างระหว่างความเป็นจริงกับสภาวะอุดมคติตามทฤษฎี ซึ่งแนวคิดที่ เกี่ยวกับความยุติธรรมท่ีสามารถน้ามาใช้ในการประเมินช่องว่างดังกล่าวมีอยู่หลากหลายแนวคิด อาทิ เช่น ความยุติธรรมตามแนวคิดของพลาโต ความยุติธรรมตามแนวคิดของส้านักอรรถประโยชน์ หรือ แนวคดิ ความยตุ ธิ รรมตามแนวคิดของจอห์น ลอว์ เปน็ ต้น 1.2 น้าเอาแนวคิดดังกล่าวมาประเมินให้เห็นว่าแนวคิดว่าด้วยความยุติธรรมที่ใช้อยู่ใน ระบบกฎหมายและกระบวนการยตุ ิธรรมในอดีตทผ่ี ่านมาจนถงึ ปัจจุบันนี มขี ้อจา้ กัดหรือมีความบกพรอ่ ง อย่างไรบา้ ง 2. พัฒนาการของระบบคิดเพอื่ พัฒนาโครงการการลดความเหล่ือมลา้ ผ่านกระบวนการยตุ ธิ รรม เริ่มต้นด้วยค้าถามท่ีมีทุนเดิมทางด้านการศึกษาวิจัยที่มีอยู่แล้วใน สกว.โดยเฉพาะอย่างย่ิงในชุด โครงการวจิ ยั ภายใตก้ ารสนับสนนุ การวจิ ยั ของฝา่ ย 4. เพอ่ื ประเมนิ และตรวจสอบข้อมูลผา่ นทางงานวิจัย ต่างๆ เท่าท่ีได้ด้าเนินการมาเป็นเบืองต้นว่างานวิจัยต่างๆเหล่านันสามารถท่จี ะช่วยท้าให้เห็นแนวทางที่ จะลดความเหลื่อมล้าผ่านกระบวนการยุตธิ รรมได้หรือไม่ อย่างไร 4-13

รายงานวจิ ัยฉบบั สมบูรณ์ “การลดความเหลอื่ มลา้ ผา่ นกระบวนการยุติธรรม” สญั ญาเลขท่ี SRI58M0417 จากการรวบรวมงานตา่ งๆ (ทังในส่วนทีเ่ ป็นงานวิจัยของสกว.เองและในภายหลังได้น้าเอางานที่ สะท้อนถึงความเหลื่อมล้าในมิติต่างๆ มาร่วมในการขันการประเมินและสังเคราะห์ด้วย) พบว่า ภายใต้ ร่มใหญ่ของค้าว่า “ความเหลื่อมล้า” มีงานศึกษาอยู่มากพอสมควร และครอบคลุมในมิติท่ีหลากหลาย มาก ซ่ึงหากจะน้าเอาแนวคิดทฤษฎีท่ีเก่ียวข้องกับความยุติธรรมมาประเมินวิเคราะห์ให้เห็นช่องว่าง ระหว่างความเป็นจริงและสภาวะในเชิงอุดมคติ รวมถึงชีให้เห็นข้อจ้ากัดต่างๆของระบบกฎหมายและ กระบวนการยุติธรรม (ตามข้อเสนอแนะของผู้ทรงคุณวุฒิ) ดังที่กล่าวมาสามารถท่ีจะสะท้อนให้เห็น แงม่ ุมทงั ในเชงิ ขอ้ เทจ็ จริงและแงม่ ุมในเชงิ แนวคิดทางวชิ าการ ดงั ต่อไปนี ส่วนท่ี 1 ข้อเท็จจริงเกี่ยวกับสถานการณ์ความเหลื่อมลา และข้อเท็จจริงเก่ียวกับ ความยตุ ธิ รรม วัตถุประสงค์ดังเดิมในการรวบรวมเอกสารภายใต้ชุดโครงการนี ต้องการท่ีจะส้ารวจขอบเขต ของขอ้ มูลในเชิงเอกสารทเี่ ก่ยี วขอ้ งกบั กระบวนการยุติธรรมกับความเหลอ่ื มลา้ วา่ มีปริมาณอยู่ก่ีมากนอ้ ย เน้นหนักไปในทางด้านใดบ้าง ด้านหน่ึงเพื่อต้องการส้ารวจความเข้าใจของกระบวนการยุติธรรมต่อ ความเหล่ือมลา้ วา่ มลี ักษณะสนั ฐานของความเข้าใจเป็นอย่างไร ซึ่งจากการรว บรว มงานศึกษาในลักษณะต่างๆพบว่ามีข้อเ ท็จจริงเก่ียว กับส ถานการณ์ทัง “ความเหล่ือมล้า” และสถานการณ์ “ความยุติธรรม” ของสังคมไทย ท่ีอยู่ในรูปเอกสารงานศึกษาวิจัย และงานเอกสารวชิ าการท่ัวไปท่ีมีการหยิบยกขนึ มาน้าเสนอถกเถียงกันเป็นระยะ แต่เป็นในลักษณะที่ไม่ ค่อยจะมีความเช่ือมโยงกันเท่าท่ีควรด้วยเหตุเพราะปัญหามาจากกรงครอบความรู้ท่ีอ้างความชอบธรรม จาก “ความเชี่ยวชาญเฉพาะดา้ นในความรู้” โดยเฉพาะอยา่ งย่ิงความรู้เชงิ เทคนิคในแวดวงทางกฎหมาย และกระบวนการยุติธรรม ในขณะท่ีเนือหาความเข้าใจเก่ียวกับ “ความเหลื่อมล้า” โดยส่วนใหญ่ทัง นา้ หนกั และประเดน็ ข้อถกเถยี งมีเนือหาทคี่ ่อนไปในมติ ิทางเศรษฐศาสตรเ์ ป็นส้าคัญ Thomas Piketty ซึ่งศึกษาข้อมูลในเชิงประวัติศาสตร์ความเหลื่อมล้าของประเทศต่างๆ ใน ยโุ รปท่ีเกดิ ขึนในช่วงปลายศตวรรษที่ 19 ถึงศตวรรษที่ 20 ว่าเกิดการลดลงของความเหลื่อมล้าได้เพราะ เหตุใด และการจะแก้ปัญหาเรื่องความเหลื่อมลาท่ีเกิดขึนในแต่ละประเทศล้วนมีประวัติศาสตร์ที่ ความไม่เท่าเทียมที่ขึนอยู่กับเงื่อนไขและปัจจัยต่างๆในทางเศรษฐกิจ สังคม วัฒนธรรม การเมือง การปกครอง กฎหมาย และสิ่งแวดล้อมที่แตกต่างกัน ดังนัน เพ่ือให้ทราบถึงพัฒนาการของความ เหลื่อมลา ความไม่เท่าเทียม ความไม่เสมอภาค จึงจาเป็นอย่างยิ่งท่ีจะต้องมีการศึกษาอย่างเป็น ระบบและต่อเนื่อง เพ่ือความเข้าใจและติดตามสถานการณ์ความเหลื่อมลา โดยต้องศึกษาถึงจุด กาเนดิ การศกึ ษาความเหลื่อมลาในเชิงการเมอื ง การศึกษาในเชงิ วชิ าการ และการศึกษาในเชงิ ภาค ปฎิบัติการเพ่ือแกป้ ัญหาความเหล่ือมลา1 1 Thomas Piketty เปน็ นักเศรษฐศาสตรช์ าวฝร่งั เศสที่ทา้ การเก็บข้อมูลและศึกษาวิวัฒนาการการกระจายรายรับและ ทรพั ยส์ ินในยโุ รป และ ยังมี Sir Anthony Atkinson นักเศรษฐศาสตร์ชาวองั กฤษ ท่ีจดั ตงั ระบบฐานข้อมูล “ World wealth and income Data base ” เ พ่ื อ ติ ด ต า ม ส ถ า น ก า ร ณ์ ค ว า ม ย า ก จ น ข อ ง โ ล ก อ้ า ง อิ ง จ า ก http://mediamonitor.in.th/archives/25124 4-14

รายงานวิจัยฉบบั สมบรู ณ์ “การลดความเหลอ่ื มลา้ ผา่ นกระบวนการยตุ ธิ รรม” สัญญาเลขท่ี SRI58M0417 และส้าหรับในส่วนที่เก่ียวกับกระบวนการยุติธรรม กม็ ีงานศกึ ษาความสัมพันธ์ระหวา่ งหลักการ ส้าคัญในทางการเมืองการปกครอง คือ หลักการ Rule of Law ท่ีเป็นแกนกลางในการใช้อ้านาจของรัฐ ในการปกครองประเทศ ว่ามีความสัมพันธ์เกี่ยวข้องส่งผลกับความเจริญเติบโตทางเศรษฐกิจของ ประเทศต่างๆอย่างไรบ้าง ซ่ึงก็พบความสัมพันธ์ในแง่ที่เสริมกันและกันในท้านองท่ีว่า หากการปกครอง ของประเทศนนั ๆใชห้ ลัก Rule of Law ความเจริญเติบโตทางเศรษฐกิจก็จะดีไปด้วย ส้าหรับข้อเท็จจริงที่เกี่ยวกับประเด็นปัญหาความยุติธรรมในกรณีประเทศไทยเท่าท่ีได้รวบรวม ส่วนใหญ่ก็จะเป็นข้อเท็จจริงในเชิงประจักษ์ท่ีเป็นปัญหาอันเกิดจากกระบวนการยุติธรรม โดยอาจจัด กลุ่ม (อีกวิธีการหนึ่งท่ีแตกต่างไปจากการจัดกลุ่มเพ่ือการศึกษาข้อมูลในขันต้นของการรวบรวม) เพ่ือ ประโยชน์ในการสังเคราะห์หรือการสะท้อนให้เห็นส่วนท่ีขาดหายไปขององค์ความรู้พืนท่ีฐานที่จ้าเป็น จะต้องมี หากต้องใช้ความรู้นันเพื่อตอบโจทย์เร่ืองกระบวนการยุติธรรมเพื่อลดความเหลื่อมล้า ซ่ึง อาจจะสามารถใช้แนวคิดในการจัดกลุ่มของงานที่ได้รวบรวมมาเพื่อสะท้อนให้เห็นข้อมูลหรือความรู้ที่มี อยแู่ ละทขี่ าดหายไป ได้ดังต่อไปนี 1. งานท่ีว่าด้วย ปัญหาของกระบวนการยุติธรรมในด้านต่างๆซึ่งมีงานศึกษาอยู่เป็น จ้านวนมาก ซ่ึงเป็นงานศึกษาทังในภาพกว้างๆ และงานที่ศึกษาเจาะลึกในรายละเอียดของขันตอน ในทางปฎิบัติซง่ึ ส่วนใหญ่จะเป็นปัญหาภายในของระบบกระบวนการยุตธิ รรมในทางอาญาเป็นส่วนใหญ่ แต่ในด้านท่ีอาจจะยังมีไม่มากนักแต่มีความจ้าเป็นท่ีจะต้องมี คือ ปัญหาอันเกิดจากระบบและ กระบวนการยุติธรรมท่ีเป็นอยู่ณ.ขณะนีตอ่ ระบบเศรษฐกิจ ระบบการเมือง ต่อสงั คม ต่อวัฒนธรรม และ ตอ่ ระบบนเิ วศน์และสิง่ แวดลอ้ ม และตอ่ ระบบกฎหมายอย่างไร 2. งานท่ีว่าด้วย สิทธิและการเข้าไม่ถึงสิทธิในกระบวนการยตุ ิธรรม แตก่ ็ยังมีลักษณะ ท่ัวไปโดยใช้เกณฑ์ของสิทธิตามตัวบทกฎหมายเช่น บทบัญญัติรัฐธรรมนูญ สิทธิตามกฎหมายวิธี พิจารณาคดี หรอื สิทธติ ามหลกั สทิ ธมิ นษุ ยชนสากล 3. งานที่ว่าด้วย เหย่ือของกระบวนการยุติธรรม และผลกระทบท่ีเกิดจากความ ผดิ พลาดของกระบวนการยตุ ิธรรม ซึ่งแม้จะมีไม่มากนักเมื่อเปรยี บเทยี บกบั ข้อมูลจ้านวนมากท่เี ป็นเสยี ง สะท้อนผ่านส่ือต่างๆ แต่ก็สามารถที่จะบ่งชีให้เห็นถึงประสิทธิภาพและข้อจ้ากัดต่างๆท่ีน้าไปสู่ ความผิดพลาดของระบบและกระบวนการในขันต่างๆของกระบวนการยุติธรรม จนในที่สุดจะต้องมี กฎหมายเพอ่ื มาเยียวยาความเสยี หายใหก้ บั เหยื่อในกระบวนการยุตธิ รรม 4. งานที่ว่าด้วยทิศทางและการปฎิรูประบบกระบวนการยุติธรรม ซ่ึงเป็นการ ด้าเนินการโดยกระทรวงยุติธรรมในฐานะของฝ่ายบริหาร ซึ่งมีขอบเขตความรับผิดชอบในบางส่วนของ กระบวนการยุติธรรมกล่าวคือ ภารกจิ ทีเ่ ก่ียวกับการจัดท้าแผนพัฒนากระบวนการยุติธรรม การสง่ เสริม เผยแพร่ความรู้ในทางกฎหมายให้กับประชาชน การคุ้มครองสิทธิเสรีภาพ การจัดหาทนายความเพ่ือ ชว่ ยเหลือประชาชนทางกฎหมาย การจดั หาล่าม การเยียวยาความเสยี หายให้กับจา้ เลยท่ีศาลพพิ ากษา วา่ เป็นผู้บริสุทธ์และเหย่ือผู้ท่ีได้รับความเสียหายจากการกระท้าความผิดทางอาญา งานเก่ียวกับการคุม ประพฤติ งานเกีย่ วกบั ราชทัณฑ์ งานปอ้ งกันและปราบปรามอาชญากรรมที่มลี ักษณะพิเศษเฉพาะ งาน 4-15

รายงานวิจัยฉบบั สมบรู ณ์ “การลดความเหลอื่ มลา้ ผา่ นกระบวนการยตุ ิธรรม” สญั ญาเลขที่ SRI58M0417 นิติวิทยาศาสตร์ ฯลฯ แต่ไม่สามารถที่จะเข้าไปด้าเนินการปฎิรูปในส่วนของภารกิจในกระบวนการ ยุติธรรมในทางอาญา ในชันของพนักงานสอบสวน ซึ่งถือเป็นขันตอนแรกของกระบวนการยุติธรรมทาง อาญาที่มีผลต่อความยุติธรรม แม้กระทังในชันของพนักงานอัยการ และในชันของศาลยุติธรรม ซ่ึงเป็น ส่วนส้าคัญที่จะอ้านวยความยุติธรรมให้เกิดขึน ซึ่งจากการรวบรวมเอกสารส่วนใหญ่แล้วจะเป็นแผนใน ระยะต่างๆของหน่วยงาน ซ่ึงมีข้อมูลส่วนหนึ่งท่ีสะท้อนปัญหาของกระบวนการยุติธรรม แต่ก็ยังคงใช้ วิธีการแกป้ ญั หาภายใตก้ ลไกของระบบราชการปรกติ จากลักษณะของข้อมูลท่ีรวบรวมจากงานเอกสาร งานที่เป็นผลสรุปจากการสัมมนา หรืองานที่ เป็นเอกสารเกี่ยวกับแผนงานของหน่วยบางหน่วยงานที่เก่ียวข้องกับกระบวนการยุติธ รรมและน้ามา จัดเป็น 4 กลุ่มดังท่ีกล่าวมาข้างต้นแล้ว สามารถที่จะช่วยท้าให้เกิดความเข้าใจหรือความเช่ือมโยงเพื่อ อธิบายหรือตอบค้าถามที่ว่า “ระบบกระบวนการยุติธรรมจะช่วยลดความเหล่ือมล้าหรือเป็นทางออก ของปัญหาความเหลอ่ื มล้าที่เกิดจากกระบวนการยตุ ธิ รรม” ไดห้ รือไม่ อย่างไร 1. ข้อมูลเท่าที่มีอยู่ท้าให้เกิดความเข้าใจปัญหาภายในของกระบวนการยุติธรรมเสียเป็นส่วน ใหญ่ แม้จะมีงานศึกษาในลักษณะงานวิจัยอยู่เป็นจ้านวนมาก แต่งานต่างๆเหล่านัน มักจะเป็นงานที่ จัดท้าข้อเสนอเพื่อปรับปรุงระบบกระบวนการยุติธรรมโดยเฉพาะอย่างย่ิงกระบวนการยุติธรร มทางแพ่ง และอาญาเสียเป็นส่วนใหญ่ เน่ืองจากปัญหาความล่าช้าในการพิจารณาคดี จนน้าไปสู่การเสนอแนว ทางการเบ่ียงคดีเพ่ือไม่ให้คดีเข้าไปสู่กระบวนวิธีพิจารณาในชันศาลมากจนเกินไป แต่ก็ยังไม่ได้ไปแก้ที่ ปญั หาพนื ฐานของกระบวนการยุติธรรมอน่ื ๆ ดังเช่น 2 ตัวอยา่ งของปัญหาพืนฐานท่ีจะสัมพันธ์กับปัญหา ความเหลื่อมล้า กล่าวคือ ปัญหาเร่ืองการ Decriminalization โดยจะต้องมีระบบท่ีท้าการทบทวนกันอย่างต่อเนื่อง เก่ียวกับความเหมาะสมว่า พฤติกรรมหรือการกระท้าใดที่ควรจะปลดออกจากการเป็นความผิดท่ีมีโทษ ทางอาญา และการกระทา้ ใดที่เป็นการกระทา้ หรือพฤติกรรมทไ่ี ม่เป็นการกระท้าท่เี ป็นความผิดทางอาญา ควรจะก้าหนดให้เป็นความผิดทางอาญา ทังนีเท่าท่ีผ่านมามีข้อสังเกตว่าตามโครงสร้างของกฎหมาย อาญาในปัจจุบันผู้ที่จะเป็นผู้กระท้าความผิดอาญาและมีการใช้อ้านาจในการด้าเนินคดีมักจะเป็นผู้ที่ไม่มี ฐานะทางเศรษฐกจิ หรือฐานะทางสังคม จงึ ทา้ ให้เกิดปรากฎการณ์ “คุกมีไว้ขงั คนจน” ปัญหาเรื่องการใช้กฎหมายอาญาและกระบวนการยุติธรรมทางอาญาอย่างบิดเบือน ( Abuse of Criminal Justices )โดยเฉพาะอย่างยิ่งกับผู้ที่ปกป้องทรัพยากรธรรมชาติและส่ิงแวดล้อมของชุมชน หรือผู้ที่ปกป้องผลประโยชน์สาธารณะ จากปัญหาผลกระทบที่เกิดจากการจัดสรรทรัพยากรโดยรัฐท่ีไม่ เปน็ ธรรม หรือจากผลกระทบที่สบื เนือ่ งมาจากการทุจริตคอรัปชั่นของหนว่ ยงานของรัฐ เปน็ ตน้ 4-16

รายงานวจิ ัยฉบบั สมบูรณ์ “การลดความเหล่อื มล้า ผา่ นกระบวนการยตุ ธิ รรม” สญั ญาเลขท่ี SRI58M0417 เหตุผลท่ีทาให้แนวทางการแก้ไขปัญหาภายใต้ปัญหาของกระบวนการยุติธรรมจากัดอยู่ เฉพาะการแก้ปัญหาเฉพาะหน้า ยังไม่ไปถึงปัญหาพืนฐานก็เพราะว่า ไม่มีการศึกษาอย่างจริงจังและ เป็นระบบอย่างต่อเน่ือง ทังในเชิงวิชาการใหม่ๆในทางนิติศาสตร์ ไม่มีระบบการจัดทาระบบ ฐานข้อมูลที่จะสามารถสะท้อนให้เห็นโครงสร้างหรือสถานการณ์ความไม่เป็นธรรมในมิติต่างๆ ท่ี กระบวนการยุติธรรมมีหน้าที่จะต้องเข้าไปแกแ้ ละปอ้ งกันไม่ให้เกิดขึน ซ่ึงเทา่ ท่ีผ่านมายังไม่มีงานเชิง วิเคราะห์ทางกฎหมายทังในทางข้อเท็จจริงข้อกฎหมาย และทฤษฎีใหม่ๆ ทางนิติศาสตร์อย่างจริงจัง ต่อเนื่อง หรอื อาจจะกล่าวได้ว่ายังไมค่ ่อยจะมีงานที่เป็นการศึกษาในเชิงเชงิ สังคมวิทยามานุษยวิทยา ทางกฎหมาย หรอื ในเชิงจิตวิทยาทางสังคม หรอื ในเชงิ นิติ-เศรษฐศาสตร์ ฯลฯ ดังนัน จึงอาจท่ีจะกล่าวสรุปในเบืองต้นส้าหรับประเด็นเรื่องความเข้าใจใน “ข้อเท็จจริง” ของ ความเหล่ือมล้า และ “ข้อเท็จจริง” ของกระบวนการยุตธิ รรมยังไม่มีระบบหรือกลไกใดๆ ท้าหน้าท่ีอย่าง จริงจัง ที่จะท้าการศึกษาอย่างเป็นระบบและต่อเนื่อง เพ่ือท้าความเข้าใจและติดตามสถานการณ์ความ เก่ียวข้องสัมพันธ์ระหว่างกระบวนการยุติธรรมในทุกๆ ด้าน (ทังทางแพ่ง ทางอาญา ทางปกครอง ทาง รัฐธรรมนูญ ทางสิ่งแวดล้อม ทางสทิ ธิมนุษยชน) กับผลที่จะน้าไปสู่การเพ่ิมขึนหรือลดความเหล่ือมล้าใน ดา้ นตา่ งๆ ลง (ไม่เฉพาะแต่ในทางด้านเศรษฐกิจเท่านัน แตร่ วมไปถึงความเหล่ือมล้าในมิติอืน่ ๆ ด้วย อาทิ เช่น ความเหลื่อมล้าในทางสังคม ความเหลื่อมล้าในทางด้านศักด์ศรีความเป็นมนุษย์ ความเหล่ือมล้าใน ด้านสวัสดิการต่างๆ ความเหลื่อมล้าทางวัฒนธรรม เป็นต้น) โดยจะต้องศึกษาทังในเชิงวิชาการ และท่ี ส้าคัญคือ การศึกษาในเชิงภาคปฎิบัติการเพ่ือแก้ปัญหาความเหลื่อมล้า ดังข้อเสนอของ Thomas Piketty กล่าวโดยสรุปก็คือว่า ในส่วนที่ว่าด้วยข้อเท็จจริงเกี่ยวกับสถานการณ์ความเหลื่อมลา และ ข้อเท็จจริงเก่ียวกับความยุติธรรมทาอย่างไรท่ีจะต้องพัฒนาหรือสร้างวิธีการที่จะต้องทาให้มี ข้อเท็จจริงในเชิงของข้อมูลที่รอบด้าน ทันสมัยอยู่เสมอ และสามารถสะท้อนให้ทราบถึงสถานการณ์ ความไม่เป็นธรรมในเชิงโครงสร้างของกระบวนการยุตธิ รรมที่สมั พนั ธ์กบั โครงสรา้ งความเหลื่อมลา และในส่วนท่ีจะเช่ือมโยงต่อไปกับกระบวนการสร้างความรู้เพ่ือลดความเหลื่อมลาซ่ึงจะ กล่าวต่อไปในการสังเคราะห์ความรู้ในทางกฎหมาย (ที่จะกล่าวถึงในส่วนท่ี 2) ต่อไป นอกจากการ พัฒนาระบบฐานข้อมูลท่ีรอบด้านแล้ว จะต้องทาให้เกิดการยกระดับไปสู่ การสร้าง Public Knowledge ด้วยกระบวนการวิจัยเพื่อนาความรู้ไปใช้ โดยเฉพาะอย่างย่ิงในมิติหรือพืนที่ทาง กฎหมาย กลา่ วคือ จะต้องทาใหเ้ กิดการนาเอา People Research มาดาเนินการในระดับปฎิบัตติ าม 4-17

รายงานวิจัยฉบบั สมบรู ณ์ “การลดความเหล่อื มลา้ ผา่ นกระบวนการยตุ ิธรรม” สัญญาเลขท่ี SRI58M0417 หลักนิติธรรมภายใต้เป้าหมายการพัฒนาที่ย่ังยืน2 เพื่อสร้างความรู้และเปล่ียน Exclusive Legal Process ไปสู่ Inclusive Legal Process3 ซ่ึงภายใต้การสนับสนุนทุนวิจัยของ สกว. ก็มีตัวอย่างของงานวิจัยที่นาเอาความรู้ในทาง กฎหมาย กระบวนการยตุ ิธรรม และความเป็นธรรมในทางสงั คมไปส่กู ารใช้ในชีวิตประจาวนั ซง่ึ ได้แก่ โครงการวิจัยยุติธรรมชุมชนในพืนทนี่ าร่อง 13 จงั หวดั โดยเฉพาะอยา่ งยง่ิ ในกรณีพืนทีจ่ ังหวัดตรังซ่ึง สามารถท่ีจะใช้สะท้อนภาพตัวแทนของปัญหาความเหลื่อมลาและการนาเอากระบวนการยุติธรรม เชิงสมานฉันท์ไปใชล้ ดและขจัดความขัดแย้งในระดับชุมชนได้เปน็ อย่างดี และนอกจากกรณีตัวอย่าง 2 เป้าหมายการพัฒนาท่ีย่ังยืนเป้าหมายที่ 16 การส่งเสริมให้สังคมมีความเป็นปกติสุข ไม่แบ่งแยกเพ่ือการพัฒนาท่ี ยัง่ ยืน มีการเข้าถึงความยุติธรรมโดยถ้วนหนา้ และสรา้ งให้เกดิ สถาบันอันเป็นท่พี ึ่งของสว่ นรวมมปี ระสทิ ธิผล และเป็นที่ ยอมรับในทกุ ระดับนนั มีเปา้ หมายยอ่ ยที่ 16 3. ได้ก้าหนดให้มีการส่งเสริมนิติธรรมทังในระดับชาติและระหว่างประเทศ และสร้างหลักประกันว่าจะมีการเข้าถึง ความยุติธรรมอย่างเท่าเทียมแก่ทุกคน (Promote the rule of law at the national and international levels and ensure equal access to justice for all) ดร. กิตติพงษ์ กิตยารักษ์ “ความรู้เบืองต้นเก่ียวกับหลัก นิ ติ ธ ร ร ม แ ล ะ ก า ร พั ฒ น า ท่ี ย่ั ง ยื น ” (Introduction to the Rule of Law and Its Pathway to Sustainable Development) สื บ ค้ น จ า ก http://tijrold.org/upload/fileagenda/8 / 0 2 . 1 % 2 0 Summary% 20KK%20%20011216.pdf วนั ที่ 9 เมษายน 2561 3 หากยืมแนวคิดทีว่ า่ ด้วย เปา้ หมายของการพฒั นาที่ยงั่ ยืน (Sustainable Development Goals หรอื ตวั ย่อว่า SDGs) ที่เสนอแนวทางการพัฒนาสังคมแนวใหม่เพ่ือให้เกิดการบรรลุเป้าหมายในการพัฒนาที่มีความย่ังยืนว่าควรเป็นการ พฒั นาแบบ Inclusive development แทนการพัฒนาที่ผ่านๆมาซึ่งเป็นการพัฒนาแบบ Exclusive development ซ่ึงเป็นการพัฒนาที่ย่ิงพัฒนาก็ย่ิงเกิดช่องว่างหรือความเหล่ือมล้า และแม้ 1 ใน 17 เป้าหมายของการพัฒนาท่ียั่งยืน จะต้องตังอยู่บนหลักนิติธรรม ( Rule of Law) อยู่ด้วยแล้วก็ตาม แต่เมื่อพิจารณาประกอบกับระบบกฎหมายและ กระบวนการยุติธรรมของประเทศไทยก็มีแนวคิด มีบทบัญญัติของกฎหมาย และมีกลไกในทางกฎหมายที่เป็นไป ตามแนวคิดสากลปรากฎอยู่ในบทบัญญัติรัฐธรรมนูญ มีกฎหมายในระดับพระราชบัญญัติท่ีกาหนดหลักการ ขอบเขต กระบวนการ องคก์ ร มาตรการตา่ งๆทีส่ อดคล้องกบั หลักการของหลักนิติธรรมแทบจะทุกๆมติ ิ แต่ก็ยัง เกิดความไม่เป็นธรรมขึน ยังไม่มคี วามสอดคล้องกันในความรับรู้ ความเข้าใจระหว่างความยุติธรรมตามกฎหมาย กับความยุติธรรมในทางสังคม ( ช่องว่างนีสะท้อนถึงความเหล่ือมลาของความเป็นธรรมของสังคม ) อะไรคือ สาเหตขุ องปญั หาดังกลา่ ว คาตอบทไ่ี ด้จากการสงั เคราะหก์ ็คอื หลักนิติธรรมตามท่ีปรากฎอยู่ในระบบกฎหมายและ กระบวนการยุติธรรมของประเทศไทยอยู่ภายใต้การครองงาของระบบราชการแบบรวมศูนย์และระบบการเมือง แบบผู้แทน และแม้จะมีกฎหมายจานวนหนึ่งที่ให้อานาจแก่กล่มุ ประชาชนโดยตรงแต่ก็เกิดความขัดแยง้ ระหว่าง กลุ่มประชาชนท่ีราชการสนับสนุนกับกลุ่มประชาชนอื่นๆท่ีอยู่นอกสังกัดของทางราชการ จึงทาให้แม้จะเป็นการ กระทาท่ีเป็นการใช้อานาจที่ชอบด้วยกฎหมายแต่ก็ไม่มีความเป็นธรรมในการใช้อานาจ ด้วยเหตุดังนัน เพื่อทาให้ ระบบกฎหมายและกระบวนการยุติธรรมมีความรับรู้ต่อสถานการณ์ความเหล่ือมลา และเป็นกลไกท่ีจะช่วยลด ความเหล่ือมลาลงได้ ต้องทาให้สังคมเกิดความเข้าใจเกี่ยวกับระบบกฎหมายและกระบวนการยุติธรรมเสียใหม่ โดยสังคมต้องช่วยกันทาให้กระบวนการต่างๆของระบบกฎหมายเปลี่ยนแปลง จากExclusive Legal Process ไปสู่ Inclusive Legal Process กล่าวอีกนัยหน่ึงก็คือ สังคมต้องขับเคลื่อนหลักนิติธรรม แทนที่จะให้ระบบ ราชการขับเคลื่อนหลักนิตธิ รรมแตเ่ พียงฝา่ ยเดยี ว 4-18

รายงานวจิ ัยฉบบั สมบรู ณ์ “การลดความเหลอ่ื มลา้ ผา่ นกระบวนการยตุ ธิ รรม” สญั ญาเลขที่ SRI58M0417 ของพืนที่จังหวัดตรังแล้ว ยังมีกรณีอื่นๆ อีกท่ีชุมชนนาเอาการวิจัยไปสร้างปฎิบัติการในพืนท่ีเพื่อ แก้ปัญหาในมิติต่างๆ ของชุมชน ที่ประสบความสาเร็จในระดับต่างๆ ซ่ึงสะท้อนให้เห็นถึงนัยการมี ส่วนร่วมในการกาหนดวาระหรือประเด็นร่วม ท่ีมีลักษณะเป็น Inclusive Public Issues ซึ่งไปสู่ การแก้ปัญหาพืนฐานของตนได้ อาทิ เช่น การแก้ปัญหาความขัดแย้งในการใช้ทรัพยากร การจัดระบบสวัสดิการภายในชุมชน การจัดกลไกภายในชุมชนเพ่ือสร้างระบบการจัดการร่วม (Co-management) กบั หน่วนงานภาครฐั เปน็ ต้น จากท่ีกล่าวมาท้าให้เห็นถึงที่มาของความรู้และกระบวนการสร้างข้อมูล และการสร้างความรู้ เกี่ยวกับกฎหมาย กระบวนการยุติธรรม ความเป็นธรรม ถูกครอบง้าและชีน้าโดยนักกฎหมายภายใต้ ระบบกฎหมายภาครัฐเป็นหลักมาเป็นเวลานาน จนเกิดการครอบครองพืนท่ีทางความคิดและจ้ากัด พรมแดนของความรู้เกี่ยวกับกฎหมาย กระบวนการยุติธรรม และความเป็นธรรมท่ีตีบแคบลงทุกขณะ แต่ในขณะเดียวกันความรู้เก่ียวกับความเหล่ือมล้าทังหลาย ส่วนใหญ่แล้วจะเป็นความรู้ท่ีพัฒนามาจาก งานในทางวชิ าการจากภายนอกประเทศเป็นสว่ นใหญ่ และยังจ้ากัดอย่เู ฉพาะในมิติทางด้านเศรษฐศาสตร์ กระแสรองเป็นส่วนใหญ่ ด้วยเหตุดังนัน เคร่ืองมือและกลไกในการพัฒนาความรู้ การสารวจพรมแดน ความร้ทู ่ีเก่ียวข้องกับความเหลอื่ มลาของสังคมไทย และรวมถงึ ทางออกหรือทางแก้สถานการณ์ความ เหลื่อมลาท่ีมีพลวัตรอยู่ตลอดเวลา มีความขัดแย้งเป็นข้อบ่งชี มีสาเหตุของปัญหาท่ีมาได้จาก หลากหลายปัจจัย และมีความยากที่จะเห็นได้ก่อนเกิดปัญหาเพ่ือจะหาทางป้องกันหรือแก้ไข ผลกระทบ ควรจะเป็นเครื่องมือและกลไกอย่างไร ซ่ึงจากการ review งานในส่วนนีจะพบว่า มีงานอยู่ กลุ่มหนง่ึ ที่เป็นวิจยั เพื่อการเปล่ียนแปลงซึ่งผู้ท่ีเป็นเจ้าของปัญหาอยากจะแก้ปัญหาของตนเอง ได้พฒั นา เครื่องมือเพ่ือแก้ปัญหาของตนเอง โดยตนเองเป็นผู้ลงมือด้าเนินการ ซ่ึงน่าจะเป็นแนวทางที่น้ามาใช้ใน การท้าความเข้าใจมิติต่างๆของความเหล่ือมล้าท่ีมาจากทัศนะของผู้ที่ตกอยู่ในสถานะการณ์ความไม่เป็น ธรรมในด้านต่างๆซ่งึ เป็นมิติหนงึ่ หรือวิธกี ารในการเข้าสู่พรมแดนความรู้ที่จะทา้ ให้เกิดความเข้าใจจากมุม อ่ืนๆทีม่ ใิ ช่จากมุมในทางวิชาการ หรอื อาจจะกล่าวอีกนัยหน่งึ ไดว้ ่า 1. การใช้เครื่องมือการวิจัยเพื่อสะท้อนให้เห็นโครงสร้าง และวงจรของความ เหล่ือมลา เพ่ือสามารถท่ีจะวิเคราะห์ให้เห็นถึงความสัมพันธ์เชิงอานาจ และประเมินโครงสร้างและ ความสัมพันธเ์ ชิงอานาจดงั กล่าววา่ มีสว่ นเก่ียวข้องกับความไมเ่ ป็นธรรมและความเหล่ือมลาอย่างไร หรอื ไม่ 2. เมื่อความรู้จากวิชาการในสถาบันท่ีเป็นทางการในปัจจุบันไม่สามารถท่ีจะ สะท้อนสถานการณ์ความเป็นจริงของความเหลื่อมลาและความไม่เป็นธรรมได้ทังหมด เคร่ืองมือ การวิจัยนีจะทาให้ผู้ท่ีตกอยู่ในสถานะการณ์ความไม่เป็นธรรมในด้านต่างๆ จะช่วยสะท้อนเพื่อ ตรวจสอบกับข้อมูลชุดต่างๆ ท่ีถูกนามาใช้และนาไปสู่การออกแบบกลไก และมาตราการใน การแกไ้ ขปญั หาความเหลือ่ มลาที่ตรงจดุ และถกู ตอ้ งไดอ้ ยา่ งไร 4-19

รายงานวจิ ัยฉบบั สมบรู ณ์ “การลดความเหล่อื มลา้ ผา่ นกระบวนการยุตธิ รรม” สญั ญาเลขที่ SRI58M0417 3.เครื่องมือการวิจัยที่จะนาไปสู่การพัฒนาความรู้ท่ีเหมาะสมพอเหมาะกับ สถานการณ์และทันการณ์ท่ีเป็นความรู้สาธารณะในการทาให้เกิด Inclusive social process เพื่อ การขบั เคลื่อนนอกสถาบันและกลไกที่เปน็ ทางการได้อยา่ งไร สว่ นท่ี 2 กรอบแนวคิดกระบวนการยตุ ิธรรมกบั พัฒนาการของแนวคดิ ความเหลื่อมลา โดยความตังใจเดิมท่ีท้าการ review กรอบความคิดเพ่ือต้องการท่จี ะตรวจสอบว่ามีแนวคิดของ แตล่ ะส่วน (กระบวนการยุตธิ รรม, ความเหลอื่ มลา้ ) อยู่อย่างไรบ้างและมีส่วนเกย่ี วข้องกันหรือไมอ่ ย่างไร จนนา้ ไปสู่การมคี ้าถามพืนฐานทเ่ี กิดขึนจากการ review ในครังนี ด้วยความพยายามท่ีจะตังค้าถามและ จัดกลุ่มงานโดยพิจารณาประกอบกับงานในรูปแบบต่างๆ เท่าท่ีได้รวบรวมมา ซึ่งประกอบด้วยค้าถาม และจัดกลุ่มงานที่เก่ียวขอ้ ง ดังต่อไปนี 1. กระบวนการยตุ ธิ รรมแก้ไขความเหลือ่ มล้าอยา่ งไร 2. กระบวนการยตุ ิธรรมมีหน้าทใ่ี นการลดความเหลอ่ื มล้า หรอื ไม่ อยา่ งไร 3. งานท่สี ะท้อนใหเ้ ห็นปัญหาทเ่ี กิดจากกระบวนการยตุ ิธรรม 4. งานทีส่ ะท้อนให้เห็นปญั หาทางสงั คมทอี่ าจจะมีผลต่อกระบวนการยตุ ิธรรม 5. งานทเี่ สนอทางแก้หรอื ทางออกของปญั หา จากการวิเคราะห์กลุ่มงานและตอบค้าถามดังท่ีกล่าวมาสามารถที่จะสังเคราะห์ในเชิง แนวคิดพืนฐานในทางกฎหมายท่ีท้าให้เกิดเป็น “องค์ความรู้” และ “ความรับรู้ ” เกี่ยวกับกระบวนการ ยตุ ธิ รรม และ ความเหลอื่ มล้า ดังทเี่ ป็นอยู่ ดงั นี 1. ในเชิงญาณวิทยา (Epistemological) ซึ่งในท่ีนีมุ่งท่ีจะหมายถึง บริบทในทางสังคม อนั เป็นที่มาของการพัฒนาความร้,ู แหล่งทม่ี าของความรู้ และ ธรรมชาติของความรู้ จะพบว่าการพัฒนา ของตัวองค์ความรู้ และ ความรับรู้ ถกู พฒั นาขึนมาจากกระบวนทัศน์ที่ครอบงา้ (Dominant paradigm) ดงั ตอ่ ไปนี 1.1 กระบวนทัศน์ที่ว่าด้วย “ความยุติธรรมภายใต้กฎหมายโดยรัฐ” (Justice under the law and state) ภายใต้กระบวนทัศน์นีทาให้เกิดการครอบงาและชีนาให้เกิดความรับรู้ผ่าน กระบวนการทางสังคมและนาไปสู่การครอบงาของความรู้ โดยการผกู ขาดการสร้างความหมายของ ความยุติธรรมผ่านทางกระบวนการยุติธรรมของรัฐ และในทางกฎหมายของรัฐเม่ือกล่าวถึง กระบวนการยุติธรรมมักจะหมายถึงกระบวนการยุติธรรมในความหมายอย่างแคบคือ กระบวนการ ทางศาล โดยเฉพาะอย่างยงิ่ กระบวนการยตุ ธิ รรมทางแพง่ และทางอาญา วิธีการที่กระบวนการยุติธรรมถูกผูกขาดความหมายภายใต้กฎหมายโดยรัฐเกิด ขึนได้ โดย 1. การพัฒนาระบบราชการแบบรวมศูนย์ให้ครอบคลุมกระจายไปในทุกๆ ด้าน 2. การสร้างนัก กฎหมาย และ 3. การพัฒนาเกณฑม์ าตรฐานความยตุ ธิ รรมภายใต้กฎหมายโดยรัฐ 4-20

รายงานวิจัยฉบบั สมบรู ณ์ “การลดความเหลือ่ มลา้ ผา่ นกระบวนการยุตธิ รรม” สัญญาเลขที่ SRI58M0417 และด้วยกระบวนทัศน์ท่ีครอบง้าเช่นนี จึงส่งผลท่ีส้าคัญในเชิงองค์ความรู้และ ความรบั รเู้ ก่ียวกับความยุติธรรม ดังนี 1. ท้าให้เกิดความเข้าใจในกระบวนการยุติธรรมในความหมายอย่างแคบ ซึ่งเท่ากับว่า เฉพาะรัฐราชการเท่านันที่มีอ้านาจ และโดยตัวบทกฎหมายท้าให้รัฐราชการสามารถที่จะอ้างว่ารัฐมี หนา้ ท่ี (และรวมถึงปฎิเสธว่ารัฐไม่มีหน้าทโ่ี ดยขา้ ราชการทใ่ี ช้อ้านาจตามกฎหมาย) ส่วนอน่ื ๆ หรือบุคคล อื่นๆ ท่ีมิใช่รัฐไม่มีอ้านาจมาเก่ียวข้องกับความยุติธรรม และจะเกิดความยุติธรรมได้ก็ต้องด้าเนินการ ตามทีก่ ฎหมายกา้ หนด ดว้ ยวธิ ีการขันตอนตามกฎหมาย และบนเกณฑม์ าตรฐานของกฎหมายเท่านนั และยิ่งไปกว่าความเข้าใจและความรับรู้ หรือหากจะกล่าวในเชิง “ญาณวิทยา” ที่มา ของความเข้าใจเกี่ยวกับขอบเขตของกระบวนการยุติธรรมถูกสร้างให้ เข้าใจว่านอกจากองค์กรท่ีเป็น ทางการตามกฎหมายแล้ว องค์กรดังกล่าวหมายถึงเฉพาะศาลเท่านันท่ีเป็นผู้มีอ้านาจ ความเข้าใจและ ความรับรู้ในขอบเขตเก่ียวกับความยุติธรรมในความหมายที่แคบเช่นนี จึงย่ิงส่งผลให้ขอบเขตของ ความหมายของความยุติธรรมตังอยู่เฉพาะประเด็นของความขัดแย้งท่ีเป็นคดีท่ีเข้ามาสู่ศาลเท่านัน ในขณะท่ีนอกจากความขัดแย้งท่ีเข้ามาสู่ศาลแล้วยังมีความขัดแย้งนอกเขตอ้านาจศาลและประเด็น ปัญหาท่ีเป็นสาเหตุต่างๆ อันเป็นที่มาของความเหล่ือมล้าก็ไม่มีการให้ความส้าคัญ หรือถูกกล่าวถึงใน ระบบคิดของกระบวนการยุติธรรมเลย 2. ในปัจจุบันความคิดเก่ียวกับการใช้อ้านาจรัฐ มีการพัฒนาแนวคิดเร่ือง “นิติรัฐ” ขึนมาเพ่ือต้องการท่ีจะแก้ไขระบบรวมศูนย์อ้านาจของระบบราชการ แต่แนวคิดนิติรัฐท่ีน้ามาใช้ไม่มี การพัฒนาต่อยอด ไม่ได้เตรียมความพร้อมหรือปฎิรูประบบราชการมาก่อน และในประการส้าคัญไม่ได้ ด้าเนินการปฎิรูปตัวบทกฎหมายอย่างจริงจังและต่อเน่ือง จึงท้าให้การผูกขาดการใช้อ้านาจย่ิงมีความ สลับซับซ้อนและแกไ้ ขไดย้ ากย่ิงขึนเน่อื งจากกลไกของกฎหมายได้ให้อ้านาจแก่ระบบราชการท่ีจะไปออก กฎหมายล้าดับรองท่ใี หอ้ ้านาจแก่ตนเองและกา้ หนดแนวปฎิบัติใหก้ บั ประชาชนตอ้ งปฎบิ ตั ิ 3. ด้วยเหตุดังนัน ไม่ว่าจะน้าแนวคิดพืนฐานท่ีส้าคัญๆและเป็นรากฐานของ ความยุติธรรมตามมาตรฐานสากลใดๆ มาใช้เพ่ือขับเคล่ือนในประเด็นความเป็นธรรม ประเด็นความ เหล่ือมล้า อาทิ เช่น แนวคิดเร่ืองสิทธิ-หน้าท่ี แนวคิดขันพืนฐานที่ว่าด้วยทุกคนเสมอภาคเท่าเทียมกัน ภายใต้กฎหมาย แนวคิดว่าด้วยการเข้าถึงกระบวนการยุติธรรม แนวคิดรัฐธรรมนูญนิยม แนวคิดการมี ส่วนร่วมของประชาชนในด้านต่างๆ แนวคิดธรรมาภิบาล หรือ แนวคิดว่าด้วยการพัฒนาที่ย่ังยืน (SDGs)4 ที่เป็นแนวคิดซึ่งมีบทบาทท่ีสาคัญ ณ เวลานี และเป็นแนวคิดที่ให้ความสาคัญกับปัญหา และสถานการณ์ความเหลือ่ มลา แต่ดังที่กล่าวไว้ตงั แต่ต้นวา่ “กระบวนการยุติธรรมภายใต้กฎหมาย โดยรัฐ” ไม่ได้มีความคิดเรื่องความเหลื่อมลาเลย มีแต่ความเร่ืองมีหรือไม่มีอานาจตามกฎหมาย ทังนียังไม่ต้องกล่าวถึงเรื่อง “ความยุติธรรม” และ “ความเป็นธรรม” ที่แม้จะไม่ใช่สิ่งเดียวกันกับ 4 ในขณะที่ประเทศต้นแบบที่พัฒนาแนวคิดท่ีส้าคญั ๆในทางกฎหมายมหาชนดังกล่าว อาทิเช่น แนวคิดสิทธิมนุษยชน แนวคิด นิติรัฐ แนวคิดรัฐธรรมนูญนิยม แนวคิดหลักนิติธรรม ฯลฯ แม้จะไม่มีบทบัญญัติที่ว่าด้วยการแก้ไข ความเหล่อื มลา้ โดยตรง หากแต่โดยเนือหา 4-21

รายงานวจิ ัยฉบบั สมบรู ณ์ “การลดความเหล่อื มลา้ ผา่ นกระบวนการยุติธรรม” สัญญาเลขท่ี SRI58M0417 “ความเหลื่อมลา” แต่ก็เป็นพืนฐานความคิดท่ี สาคัญอันจะนาพาให้ระบบกฎหมาย (อันประกอบด้วย ระบบแนวคิดในทางกฎหมาย ตัวบทกฎหมาย และกลไกเชิงสถาบันในทาง กฎหมาย) รับรู้และเข้าใจความจริงของสถานการณ์ความเหล่ือมลาทางสังคมท่ีกฎหมายและ กระบวนการยุติธรรมมสี ่วนสนับสนนุ ให้เกิดขนึ และดารงอยู่ แต่ด้วยเหตทุ ี่ไม่ได้มีความคิดเร่ืองความ เหล่ือมลามาก่อนเลยในระดับของระบบกฎหมายและกระบวนการยุติธรรมจึงไม่สามารถที่จะทาให้ แนวความคดิ พนื ฐานของความเปน็ ธรรมเป็นจริงได้ ข้อความคิดที่เกิดจากสังเคราะห์ดังที่ชีให้เห็นดังท่ีกล่าวมา สามารถท่ีจะนามา ตรวจสอบได้ ทังจาก หน่ึง ปรากฎการณ์ท่ีเกิดขึนจริงดังจะเห็นได้จากงานวิจัยเชิงปฎิบัติการทังหลายที่ สะท้อนให้เห็นรูปธรรมและความเป็นจริงของความเหลื่อมลาท่ีปรากฎอยู่ทังในอดีตที่ผ่านมา ทังท่ี เป็นอยใู่ นขณะนี และแนวโน้มทจี่ ะเกิดขนึ และ สอง จากช่องว่างระหวา่ ง ความเป็นธรรมในรูปของหลักการท่ปี รากฎในบทบัญญัติ กฎหมายกบั ความเปน็ จริงของความไมเ่ ป็นธรรมทเ่ี กดิ ขึนในสงั คม ดังจะเห็นไดจ้ าก หน่ึง ช่องว่างระหว่างความคิด (เก่ียวกับกฎหมายกับปัญหาสถานการณ์ ความเหลื่อมลา) ในระดับแนวคิด กับโอกาสท่ีจะแปรไปสู่บทบัญญัติในทางกฎหมายผ่าน กระบวนการนิติบัญญัติในกฎหมายในระดับ พระราชบัญญัติ และกระบวนการตรากฎหมายลาดับ รองของฝา่ ยบริหารทงั หลาย สอง ช่องว่างเม่ือมีกฎหมาย (ที่จะเป็นเครื่องมือหรือกลไกในการแก้ปัญหา ความเหลอ่ื มลา) กบั ความเป็นจรงิ หรอื การบรรลุเป้าหมายตามเจตนารมณข์ องกฎหมาย สาม ช่องว่างเม่ือจะต้องวินิจฉัยชีขาด ทังในด้านข้อเท็จจริงและข้อ กฎหมายซึ่งถูกตีกรอบด้วยบทบัญญัติในทางกฎหมาย (ท่ียังไม่มีความรับรู้เกี่ยวกับปัญหา สถานการณ์ความเหล่ือมลา) และข้อจากัดของวิธีพิจารณาคดีในการนาข้อเท็จจริงเข้าสู่การ พิจารณาขององค์กรที่ทาหน้าที่ในการชีขาด และด้วยข้อจากัดของสถานะของข้อมูล องค์ความรู้ และกระบวนการสร้างความรับรู้และความตระหนักเก่ียวกับความเหลื่อมลาท่ียังไม่มากถึงระดับที่ เปน็ ประเด็นสาธารณะในทางสงั คม จงึ ทาให้เกดิ ผลการใชอ้ านาจวินิจฉัย 1.2 กระบวนทัศน์ท่ีว่าด้วย “ความเหลื่อมลา” ตามแนวคิดและวิธีการมองแนว เศรษฐศาสตรก์ ระแสหลัก การวัดความเหล่ือมล้าโดยวิธีการตามแนวของเศรษฐศาสตร์กระแสหลักหรือแนวคิด ทุนนิยมเสรี ซ่ึงมีความเชื่อในเร่ืองปัจเจกบุคคล ดังนัน การวัดความเหล่ือมล้าจึงไปวัดท่ีการมีรายได้ต้่า กว่าหรือสูงกว่าเกณฑ์ โดยนัยดังกล่าวหมายความว่าทัศนะในการมองเรื่องความเหลื่อมล้าไม่ได้ค้านึงถึง ความสัมพันธ์กับมิติอ่ืนๆ อาทิเช่น โครงสร้างทางสังคม โอกาสทังในทางเศรษฐกิจ ทางสังคม ทาง วฒั นธรรม ในเรือ่ งนโยบายสาธารณะ ในทางการเมือง ทางส่ิงแวดลอ้ ม หรอื ในทางกฎหมาย 4-22

รายงานวิจยั ฉบบั สมบูรณ์ “การลดความเหลอ่ื มลา้ ผา่ นกระบวนการยุตธิ รรม” สญั ญาเลขที่ SRI58M0417 กระบวนทัศน์ที่ใช้ในการวัดความเหล่ือมล้าที่ตังอยู่บนความเป็นปจั เจก และเช่ือม่ันใน ความมีเหตุผลของปัจเจก จึงท้าให้ข้อเสนอ นโยบาย วิธีการท่ีจะน้าไปใช้ในการแก้ไขความเหลื่อมล้า รวมถึงความรู้ทน่ี ้ามาใชก้ ็จะตังอยู่บนฐานคิดท่ีตังอยู่บนความเปน็ ปัจเจกเท่านัน และด้วยกระบวนทัศน์ เช่นนีจึงไปด้วยกันได้กับกระบวนการยุติธรรมกระแสหลักท่ีให้ความสาคัญกับความเป็นปัจเจกใน ฐานะของการเป็นผู้ทรงสิทธิในทางกฎหมายซึ่งหมายถึงว่า กระบวนการยุติธรรมให้ความเสมอภาค กับปัจเจกบุคคลทุกคนท่ีเข้ามาอยู่ในกระบวนการใช้อานาจของศาล ซึ่งเป็นคนละมิติกับเรื่องความ เหลอ่ื มลา ดังนัน อาจจะกล่าวได้ว่าด้วยเหตุที่มีกระบวนทัศน์ท่ีครอบง้ากระบวนการในการสร้าง ความรู้ความเข้าใจเกี่ยวกับความเหลื่อมล้าและความยุติธรรม อยู่สองชุดความคิดจึงท้าให้เป็นข้อจ้ากัด ในการพัฒนาระบบความคิด วิธีการในการมองปัญหา และการวิเคราะห์แบบองค์รวมและเช่ือมโยงกับ ปจั จยั ตา่ งๆทเ่ี ก่ียวข้องสัมพันธก์ นั ระหว่าง ความยุติธรรม ความเสมอภาค และ ความเหล่อื มลา้ อย่างไรก็ตาม ในช่วงระยะ 2-3 ปี ก่อนท่ีจะมีการตรารัฐธรรมนูญฉบับปัจจุบันท่ี ประกาศใช้เม่ือ เมษายน 2560 ในเวทีสาธารณะมีการกล่าวถึงสถานการณ์ความเหล่ือมล้ากันมากขึน ทงั ในเชิงวิชาการและตัวอย่างกรณศี ึกษาความเหล่อื มล้าในรปู แบบต่างๆ ทม่ี ิไดจ้ ้ากัดอยู่แตเ่ ฉพาะมิติทาง เศรษฐกิจแต่เพียงอย่างเดียว รวมถึงเป็นส่วนหนึ่งของข้อเรยี กรอ้ งให้มีการปฎิรูปทางการเมืองก่อนท่ีจะมี การรัฐประหาร และเป็นพันธะกรณีระหว่างประเทศท่ีประเทศไทยได้รับเอาหลักการเป้าหมายของการ พฒั นาท่ียงั่ ยืน (SDGs) มาปฎบิ ตั ิตามพนั ธะกรณดี ังกลา่ ว จงึ ท้าให้ประเด็นเร่อื งความเหลอ่ื มล้าถกู บัญญัติ ไว้ในรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พ.ศ. 2560 โดยบรรจุไว้ในกลไกการปฎิรูปประเทศซ่ึงมี เป้าหมายที่สา้ คัญประการหน่ึงคือ ตอ้ งการท่จี ะลดความเหลอื่ มล้า นบั เป็นรัฐธรรมนูญฉบับแรกที่บญั ญัติ ประเด็นเรอื่ งความเหล่ือมล้าและท่ีส้าคัญอย่างย่ิงได้ระบุปญั หาท่เี ป็นสาเหตขุ องความเหล่ือมลา้ คอื ระบุ ว่าจะต้องแก้ปัญหาเร่ืองความเหล่ือมล้าด้วยกลไกและวิธีการใด5 ซ่ึงในทางกฎหมายถือว่ามีนัยส้าคัญ 5 รฐั ธรรมนญู แห่งราชอาณาจกั รไทย พ.ศ. 2560 หมวด 16 การปฏริ ูปประเทศ มาตรา 257 การปฏิรปู ประเทศตามหมวดนีตอ้ งด้าเนนิ การเพ่อื บรรลเุ ปา้ หมาย ดงั ตอ่ ไปนี (1) ประเทศชาติมีความสงบเรียบร้อย มีความสามัคคีปรองดอง มีการพัฒนาอย่างยั่งยืนตามหลักปรัชญาของ เศรษฐกจิ พอเพยี ง และมคี วามสมดลุ ระหวา่ งการพัฒนาดา้ นวัตถุกบั การพัฒนาดา้ นจติ ใจ (2) สงั คมมีความสงบสุข เป็นธรรม และมีโอกาสอนั ทดั เทยี มกนั เพือ่ ขจดั ความเหล่อื มลา (3) ประชาชนมีความสุข มีคุณภาพชีวิตที่ดี และมีส่วนร่วมในการพัฒนาประเทศและการปกครองในระบอบ ประชาธปิ ไตยอันมพี ระมหากษัตรยิ ท์ รงเป็นประมขุ มาตรา มาตรา 258 ใหด้ ้าเนนิ การปฏิรูปประเทศอยา่ งน้อยในดา้ นตา่ ง ๆ ให้เกดิ ผล ดังต่อไปนี ง. ดา้ นกระบวนการยตุ ิธรรม (1) ให้มีการก้าหนดระยะเวลาด้าเนินงานในทุกขันตอนของกระบวนการยุติธรรมท่ีชัดเจนเพ่ือให้ประชาชนได้รับ ความยุตธิ รรมโดยไม่ลา่ ชา้ และมีกลไกช่วยเหลือประชาชนผู้ขาดแคลนทนุ ทรัพย์ให้เข้าถึงกระบวนการยตุ ิธรรมได้ รวม 4-23

รายงานวจิ ัยฉบบั สมบรู ณ์ “การลดความเหลอื่ มลา้ ผา่ นกระบวนการยตุ ิธรรม” สัญญาเลขท่ี SRI58M0417 อย่างมากในทางกฎหมายในฐานะที่รัฐธรรมนูญเป็นกฎหมายสูงสุด หรือกฎหมายพืนฐานของทุกๆเร่ือง ในทางกฎหมาย แต่อย่างไรก็ตาม แม้ในระบบกฎหมายจะเริ่มที่จะมีแนวคิดเร่ือง “ความเหล่ือมล้า” ปรากฏขึนก็ตาม และแม้จะมีการก้าหนดกลไกไว้ในรัฐธรรมนูญ จากบทเรียนในทางรัฐธรรมนูญของ สงั คมไทยซ่ึงให้ความส้าคัญกับกลไกภาครัฐและการเมอื งทีเ่ ปน็ ทางการมากกว่า กลไกทางสังคมและการ มีส่วนรว่ มของสังคมหรอื การเมืองภาคประชาชน ดังนัน จึงทา้ ใหป้ ระเด็นส้าคัญๆในเชิงแนวคิด อาทเิ ช่น แนวคดิ สทิ ธิมนุษยชน แนวคิดสิทธิและหลกั ประกันเสรีภาพขันพืนฐานของประชาชน แนวคิดเรื่องหน้าที่ และแนวนโยบายพืนฐานของรัฐ ฯลฯ จึงไม่เป็นจริงในทางปฎิบัติหรือเป็นไปตามที่กฎหมายบัญญัติแต่ เพยี งรูปแบบเท่านนั แต่โดยเนือหา หรือ ในระดับส้านกึ ยงั ไม่เกิดขึนในระดับทจ่ี ะเปล่ียนแปลงโครงสรา้ ง ความไม่เปน็ ธรรม หรอื โครงสร้างความเหลอ่ื มลา้ ในมิตติ ่างๆ ได้ ค้าถามท่ีน่าสนใจเป็นอย่างยิ่งส้าหรับงานวิจัยเพ่ือการเปล่ียนแปลง ซ่ึงในท่ีนี คือ เพราะเหตใุ ดทหี่ ลักการของแนวคดิ ดีๆ ในทางกฎหมาย กับการปฎบิ ัติ ไม่ไปด้วยกัน ไม่สอดคล้องกัน และ จะทาอย่างไรท่ีจะเชื่อมโยงในเชิงการอธิบาย การประเมิน และการคาดการณ์ โดยใช้พืนฐาน ความคิดในทางกฎหมายท่ีมีอยู่อันประกอบด้วย แนวคิด ทฤษฎี และความเช่ือท่ีนามาปฎิบัติอยู่ใน สงั คมไทยโดยเช่อื มโยงเพ่ืออธิบายกับ ชุดข้อมูลปรากฎการณ์เชิงประจักษใ์ นฐานะที่เป็นตัวแทนของ สภาพความไม่เป็นธรรม ความเหล่ือมลาในมิติต่างๆซ่ึงกระจายไปในทุกพืนที่และทุกๆ มิติของ สังคมไทยได้อย่างชดั เจน ในเบืองต้นจากการรวบรวมงานท่ีเก่ียวข้อง สามารถที่จะสังเคราะห์โดยใช้กรอบคิด ของระบบกฎหมายและสถานการณ์ปัญหาเท่าที่จะด้าเนินการได้ภายในระยะเวลาจ้ากัดของโครงการ เพ่ืออธิบายช่องว่างระหว่างแนวคิดในทางกฎหมายและผลการน้าเอาแนวคิดห ลักการทางกฎหมายไปสู่ ทางปฎิบัติ ในเบืองต้นไดด้ ังต่อไปนี 1. เพราะเหตุใดสังคมจึงมีความรู้สึกหรือมีความเห็นว่า ระบบกฎหมายไทยไม่รับรู้ ความเป็นจริงของสังคม ค้าถามนีเป็นค้าถามท่ีต้องการจะอธิบายว่าช่องว่างระหว่างแนวคิดกับหลักการ ในทางกฎหมายเกิดขึนได้เพราะเหตุใด จากการส้ารวจและสังเคราะห์ความรู้ความเข้าใจสามารถที่จะ อธบิ ายถึงสาเหตุทสี่ า้ คญั ไดว้ ่า เกดิ ขึนมาจาก 1.1 เพราะความไม่รู้ เนื่องจากไม่มีระบบการติดตามการเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึน ใหม่ๆ ในทางสังคมเลย เพราะระบบกฎหมายท่ีพัฒนาขึนอิงอยู่กับตัวระบบราชการที่มีความไวต่อ ตลอดทังการสร้างกลไกเพ่ือให้มีการบังคับการตามกฎหมายอย่างเคร่งครัดเพื่อลดความเหลื่อมลาและความไม่เป็น ธรรมในสงั คม ฉ. ด้านเศรษฐกิจ (3) ปรับปรุงระบบภาษีอากรให้มีความเป็นธรรม ลดความเหลื่อมลา เพิ่มพูนรายได้ของรัฐด้านต่าง ๆ อย่างมี ประสิทธภิ าพ และปรับปรุงระบบการจัดท้าและการใชจ้ า่ ยงบประมาณให้มีประสิทธภิ าพและสมั ฤทธผิ ล 4-24

รายงานวิจยั ฉบบั สมบูรณ์ “การลดความเหล่ือมล้า ผา่ นกระบวนการยตุ ิธรรม” สญั ญาเลขท่ี SRI58M0417 การเปลี่ยนแปลงท่ีช้ามากๆจนกระทังสังคมรู้สึกว่าล้าหลัง ดังนันระบบกฎหมายท่ีผูกขาดอ้านาจโดย กลไกระบบราชการจึงล้าสมัย 1.2 เพราะนักกฎหมายส่วนใหญ่มีความคิดเห็นว่า กฎหมายเป็นใหญ่ (มิใช่ความ เป็นธรรม หรือ ความยตุ ธิ รรม เปน็ ใหญ)่ ดังนัน สังคมต้องเป็นไปตามท่ีกฎหมายบัญญัติ 1.3 เพราะนักกฎหมายภายใต้ระบบกฎหมายตามข้อ 1.1 เห็นว่าเป็นปัญหา ขอ้ เท็จจรงิ มใิ ช่ปญั หาในทางกฎหมาย 1.4 เพราะนักกฎหมายส่วนใหญ่ถูกครอบง้าด้วยระบบคิดใดระบบคิดหนึ่งเพียง แนวคิดเดยี ว เชน่ เช่อื วา่ ระบบทนุ นิยมเสรี หรือ กลไกตลาดเสรดี ีทีส่ ดุ หรอื ระบบอา้ นาจเบ็ดเสรจ็ ดีท่ีสุด หรือ เสรีนยิ มสดุ โต่งดีที่สดุ จงึ ท้าใหไ้ มย่ อมรบั เอาแนวคิดใหมไ่ ปปรบั ใช่กบั ระบบกฎหมาย ดังนัน แมจ้ ะมี แนวคิดใหม่ๆท่ีแก้ไขปัญหาข้อบกพร่องของแนวคิดเดิมๆท่ีเคยเสนอมาเพ่ือแก้ปัญหาในอดีต ซ่ึงหาก สถานการณ์ทางสังคมหรือของปัญหาเปลี่ยนแปลงไปแล้วก็จ้าเป็นต้องปรับเปล่ียนแนวคิดใหม่มาปรับใช้ กบั การใหเ้ หตุผลภายใต้หลกั กฎหมายด้วย แต่นกั กฎหมายสว่ นใหญไ่ มร่ บั เอาวิธีการเช่นนี 1.5 เพราะนักกฎหมายส่วนใหญ่ยึดติดอยู่กับประเพณี แนวปฎิบัติต่างๆในทาง กฎหมายมากเกินไปทังๆท่ีไม่ก่อให้เกิดประโยชน์ใดๆ ซ่ึงในกรณีเช่นนี มักจะเกิดมาจากระเบียบปฎิบัติ ของทางราชการ หรือวิธีปฎิบัติท่ีท้าตามกันมาจนท้าให้คิดว่าเป็นส่ิงที่ถูกต้องเป็นธรรม และเป็นปัญหา ของระบบกฎหมายที่ท้าให้เกิดสภาพ กฎหมายล้าดับรองมีล้าดับศักดิ์ท่ีสูงกว่ากฎหมายพืนฐานหรือ กฎหมายรัฐธรรมนูญท่ีเป็นกฎหมายสูงสุด และที่ถือตามกันมาท้าตามกันมาเป็นเพราะไม่มีความกล้า หาญท่ีจะโตแ้ ยง้ กับประเพณเี ดิมๆและหักล้างดว้ ยเหตผุ ลท่ีดกี ว่า 1.6 เพราะโดยตัวระบบกฎหมายเองไม่มีหน่วยท่ีท้าหน้าที่ในการทบทวนและ ปรับปรุงระบบกฎหมายให้ทันหรือล้าหน้าการเปล่ียนแปลงที่มีประสิทธิภาพ ระบบกฎหมายจึงล้าสมัย และตามหลังการเปลี่ยนแปลง และไม่สามารถที่จะแก้ปัญหาหรือตอบโจทย์หรือปัญหาใหม่ทางสังคมท่ี เกดิ ขึนไดเ้ ลย เข้าท้านองท่วี า่ “คิดจะกนั กแ็ ย่ คิดจะแกก้ ไ็ มท่ ัน” 1.7 เพราะระบบการใช้อ้านาจของรัฐตามกฎหมายตังอยู่บนหลักการแบ่งแยก อ้านาจ มีการจัดองค์กรและก้าหนดรูปแบบวิธีการใช้อ้านาจอธิปไตยในแต่ละด้านตามหลักความ เช่ียวชาญเฉพาะด้านเป็นการใช้อ้านาจ ในทางนิติบัญญัติ อ้านาจบริการ และอ้านาจตุลาการ แต่ในแต่ ละอ้านาจและระหว่างอ้านาจของฝ่ายต่างๆ ขาดภาพความเป็นธรรมหรือความยุติธรรมของสังคม รวมกัน ขาดระบบการบูรณาการที่จะท้าให้เห็นและเข้าใจแกนกลางของปัญหาความไม่เป็นธรรม ความเหลอ่ื มล้าทมี่ าจากระบบกฎหมายและระบบสงั คมรว่ มกันหรือเป็นภาพเดียวกนั 1.8 เพราะโดยการออกแบบของระบบและวธิ ีการของกฎหมายเป็นระบบการพิสูจน์ ความผิดเป็นหลัก แต่ไม่มีกลไกทางกฎหมายท่ีจะพิสูจน์หรือประเมินว่าระบบกฎหมายผิด หรือ ไม่ เหมาะสม 4-25

รายงานวจิ ัยฉบบั สมบูรณ์ “การลดความเหลือ่ มลา้ ผา่ นกระบวนการยตุ ิธรรม” สัญญาเลขที่ SRI58M0417 แต่กลับไปประเมินการท้างานของหน่วยงานต่างๆแทน จึงท้าให้เกิดสภาพ status qua ท่ีต้องการคง ความส้าคัญและจ้าเป็นของหน่วยงานต่างๆไว้และการที่จะคงหน่วยงานไว้ให้ได้ก็ต้องคง กฎหมายที่ให้ อ้านาจไว้ให้ได้ 2. จากสาเหตุต่างๆตาม 1.1 – 1.8 เป็นปัญหาพืนฐาน และท่ีน่าสนใจเป็นอย่างยิ่งหาก ต้องการที่จะท้าใหร้ ะบบกฎหมายรับรู้และเข้าใจการเปลย่ี นแปลงของสังคม ตระหนักและเข้าใจบทบาท ของระบบกฎหมายของนักกฎหมายว่ามิใช่ท้าหน้าที่รักษาตัวบทกฎหมาย แต่ต้องท้าหน้าที่ในการท้าให้ เกิดความเป็นธรรมหรือความยุติธรรมในสังคม ท่ีสะท้อนมาในรูปแบบของปรากฎการณ์ความไม่เป็น ธรรมในลักษณะต่างๆซ่ึงรวมถึงสถานการณ์ความเหล่ือมล้าก็เป็นรูปแบบหน่ึงของปัญหา ซ่ึงจะต้อง กลับไปเร่ิมต้นท่ีระบบข้อมูลพืนฐานท่ีจะต้องน้ามาใช้ในการท้าความเข้าใจปรากฎการณ์ของสังคมไทย แต่กย็ งั ไม่มีหน่วยงานใดทจี่ ะสามารถเป็นแหลง่ ของข้อมูลดังกล่าวท่ีครบถ้วนทสี่ ุด 4-26