วารสารนิตสิ งั คมศาสตร์ มหาวิทยาลยั เชยี งใหม่ CMU Journal of Law and Social Sciences ปที ่ี 10 • ฉบบั ที่ 2 • 2560 • ISSN 1685-9723 Volume 10 • Issue 2 • 2017 • ISSN 1685-9723 ผา่ นการรบั รองคุณภาพของศูนยด์ ชั นีการอ้างองิ วารสารไทย TCI กลมุ่ ที่ 1 จนถงึ 31 ธันวาคม 2562 วตั ถุประสงค ์ 1. เพ่ือให้เปน็ วารสารวิชาการโดยเปดิ โอกาสใหน้ ักวชิ าการ นกั วิจัย นกั นิตศิ าสตร์ และผ้สู นใจท่วั ไปทัง้ ภายใน และภายนอก คณะนติ ศิ าสตรแ์ ละมหาวทิ ยาลยั มโี อกาสไดเ้ ผยแพรผ่ ลงานวชิ าการในรปู ของบทความวชิ าการ และบทปริทศั น์ 2. เพ่ือเป็นการส่งเสริมและสนับสนุนให้เกิดการเผยแพร่ความรู้ทางวิชาการในสาขานิติศาสตร์ท่ีสัมพันธ์กับ ความร้ทู างสงั คมศาสตร์ใหก้ วา้ งขวางมากยง่ิ ขึ้น ดว้ ยการจดั ตีพมิ พ์เผยแพร่สูส่ าธารณชนผู้สนใจทวั่ ไป 3. เพื่อยกระดับวารสารนิติสังคมศาสตร์มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ให้เข้าสู่ฐานข้อมูล ASEAN Citation Index (ACI) ขอบเขต วารสารนติ สิ ังคมศาสตร์ มหาวิทยาลยั เชียงใหม่ รับพิจารณาบทความวชิ าการ และบทปรทิ ัศน์ ทงั้ ภาษาไทย และภาษาองั กฤษ โดยขอบเขตเน้อื หาทางวชิ าการของวารสารนิติสงั คมศาสตร์ จะครอบคลุมเนอื้่ หาเกยี่ วกบั กฎหมายทุกสาขา เชน่ กฎหมายมหาชน กฎหมายเอกชน กฎหมายอาญา กฎหมายระหว่างประเทศ เป็นต้น ซ่งึ สมั พันธก์ ับความรูท้ างดา้ นสงั คมศาสตรใ์ นสาขาต่างๆ ก�ำหนดออกตพี มิ พเ์ ผยแพร่ วารสารนิตสิ งั คมศาสตร์ มหาวทิ ยาลัยเชยี งใหม่ เปน็ วารสารวชิ าการซงึ่ ตีพมิ พ์บทความวิชาการจากบุคคลทง้ั ภายในและภายนอกมหาวทิ ยาลัย จดั พมิ พร์ ายปี ปีละ 2 ฉบับ ฉบบั ที่ 1 เดือน มกราคม – มถิ ุนายน ฉบบั ท่ี 2 เดือน กรกฎาคม – ธันวาคม เจ้าของ คณะนติ ิศาสตร์ มหาวิทยาลยั เชียงใหม่ 1
สำ� นักงานกองบรรณาธิการ กองบรรณาธกิ ารวารสารนิติสังคมศาสตร์ คณะนติ ศิ าสตร์ มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ 239 ถนนห้วยแกว้ ต�ำบลสเุ ทพ อำ� เภอเมอื ง จงั หวัดเชียงใหม่ 50200 โทร. 053-942921 โทรสาร. 053-942914 E-mail: [email protected] Website: www.tci-thaijo.org/index.php/CMUJLSS Facebook: www.facebook.com/CMUJLSS การพิจารณาบทความ กองบรรณาธกิ ารจะทำ� หนา้ ทพ่ี จิ ารณากลนั่ กรองบทความและจะแจง้ ผลการพจิ ารณาใหผ้ สู้ ง่ บทความ ทราบภายใน 2 เดือน นับตั้งแต่วันท่ีได้รับบทความ ท้ังน้ีกองบรรณาธิการจะท�ำหน้าที่ประสานงานกับผู้ส่ง บทความในทกุ ขัน้ ตอน กองบรรณาธิการจะด�ำเนินการจัดรูปแบบของบทความให้เป็นระบบเดียวกันทุกบทความก่อนน�ำ เสนอให้ผทู้ รงคุณวฒุ ิ (peer review) พจิ ารณา จากนั้น จึงส่งบทความท่ไี ด้รับการพิจารณาในเบื้องตน้ ใหก้ ับ ผู้ทรงคณุ วฒุ ิ (peer review) จ�ำนวน 2 ท่าน เปน็ ผู้พิจารณาใหค้ วามเหน็ ชอบในการตีพมิ พเ์ ผยแพร่บทความ โดยใช้เวลาพิจารณาแต่ละบทความไม่เกิน 2 เดือน ผลการพิจารณาของผู้ทรงคุณวุฒิดังกล่าวถือเป็นสิ้นสุด จากนน้ั จึงสง่ ผลการพจิ ารณาของผ้ทู รงคุณวฒุ ใิ ห้ผู้ส่งบทความ หากมกี ารแก้ไขหรือปรับปรุงให้ผู้สง่ บทความ แกไ้ ขและน�ำส่งกองบรรณาธกิ ารภายในระยะเวลา 15 วนั นบั ตงั้ แตว่ ันทไ่ี ด้รบั ผลการพิจารณา กองบรรณาธกิ ารนำ� บทความทผ่ี า่ นการพจิ ารณาและแกไ้ ขแลว้ เขา้ สกู่ ระบวนการเรยี บเรยี งพมิ พแ์ ละ การตพี มิ พ์ โดยใชร้ ะยะเวลาด�ำเนินการประมาณ 2 เดอื น ผ้สู ง่ บทความจะได้รับ “วารสารนิตสิ งั คมศาสตร์” จำ� นวน 2 เล่มเป็นการตอบแทน ภายใน 1 เดือน นบั ตงั้ แตว่ ารสารนติ สิ งั คมศาสตรไ์ ดร้ บั การเผยแพร่ และผสู้ ง่ บทความจะไดร้ บั คา่ ตอบแทนตามความเหมาะสม 2
กองบรรณาธิการ ทป่ี รกึ ษา ผศ. ดร. พรชัย วิสุทธิศกั ดิ์ คณบดคี ณะนิตศิ าสตร์ มหาวิทยาลยั เชียงใหม่ บรรณาธิการ รศ. สมชาย ปรชี าศลิ ปกุล คณะนิติศาสตร์ มหาวิทยาลัยเชยี งใหม่ กองบรรณาธิการผทู้ รงคณุ วุฒิ ศ. ดร. วรเจตน์ ภาคีรตั น ์ รศ. ดเิ รก ควรสมาคม คณะนติ ศิ าสตร์ มหาวทิ ยาลยั ธรรมศาสตร ์ คณะนติ ศิ าสตร์ มหาวิทยาลัยพายัพ ผศ.ดร. มณทชิ า ภักดีคง ศ. ดร. อรรถจักร์ สัตยานรุ กั ษ์ คณะนิตศิ าสตร์ มหาวิทยาลยั รามคำ� แหง คณะมนุษยศาสตร์ มหาวทิ ยาลยั เชยี งใหม่ รศ. ดร. ประภาส ปิ่นตบแต่ง นายช�ำนาญ จันทร์เรอื ง คณะรฐั ศาสตร์ จุฬาลงกรณม์ หาวิทยาลยั แอมเนสตี้ อนิ เตอร์เนชัน่ แนล ประเทศไทย นายวรดลุ ย์ ตลุ ารกั ษ์ นักวจิ ัยดา้ นแรงงาน กองบรรณาธกิ าร ดร. นัทมน คงเจริญ ผศ. ดร. อษุ ณยี ์ เอมศริ านันท์ คณะนติ ศิ าสตร์ มหาวิทยาลัยเชยี งใหม ่ คณะนติ ศิ าสตร์ มหาวทิ ยาลยั เชียงใหม่ อาจารยบ์ ุญชู ณ ปอ้ มเพ็ชร คณะนิติศาสตร์ มหาวทิ ยาลัยเชียงใหม่ ฝ่ายจดั การ นายทินกฤต นตุ วงษ ์ นางสาววราลักษณ์ นาคเสน คณะนิตศิ าสตร์ มหาวทิ ยาลยั เชียงใหม่ คณะนิตศิ าสตร์ มหาวิทยาลัยเชยี งใหม่ o บทความทุกเรื่องได้รับการตรวจทางวิชาการโดยผู้ทรงคุณวุฒิจากภายในและภายนอกมหาวิทยาลัย จ�ำนวน 2 ท่าน ตอ่ 1 บทความ o ความคดิ เหน็ ใดๆ ทลี่ งตพี มิ พใ์ นวารสารนติ สิ งั คมศาสตร์ คณะนติ ศิ าสตร์ มหาวทิ ยาลยั เชยี งใหม่ เปน็ ของผเู้ ขยี น (ความคิดเห็นใดๆ ของผู้เขียนกองบรรณาธกิ ารวารสารนติ สิ งั คมศาสตร์ ไม่จ�ำเปน็ ต้องเห็นด้วย) o กองบรรณาธกิ ารวารสารนติ สิ งั คมศาสตร์ มหาวทิ ยาลยั เชยี งใหม่ ไมส่ งวนสทิ ธใ์ิ นการคดั ลอกแตใ่ หอ้ า้ งองิ แหลง่ ที่มาด้วย 3
บทบรรณาธิการ แนวความคิดของรัฐสมัยใหม่โดยเฉพาะในรัฐท่ีถือว่าเป็นรัฐฆราวาส (secular state) จะพยายามจัดวางต�ำแหน่งของอ�ำนาจรัฐและความเช่ือในทางมโนธรรมให้แยกจากกัน โดยถือว่า อำ� นาจรัฐจะมงุ่ ใหค้ วามส�ำคญั กับประเด็นทางดา้ นโลกยว์ ิสยั หรอื หมายถึงการท�ำใหผ้ ้คู นกลมุ่ ต่างๆ สามารถด�ำรงอยรู่ ว่ มกนั ไดอ้ ยา่ งสงบเรยี บรอ้ ย ส่วนแง่มุมที่เป็นทางด้านโลกุตรธรรม หรือหมายถึง แนวความคดิ ทม่ี งุ่ ไปสเู่ ปา้ หมายสงู สดุ ในชวี ติ ของแตล่ ะคนนนั้ เปน็ เรอื่ งทอ่ี ำ� นาจรฐั จะไมเ่ ขา้ ไปกำ� กบั อย่างเข้มงวด หากมีการก�ำกับอยู่บ้างก็เป็นเพียงการระมัดระวังไม่ให้ความแตกต่างทางด้าน ความเชอื่ เหลา่ นีน้ �ำไปส่คู วามรุนแรงให้บงั เกดิ ขน้ึ แมอ้ าจเปน็ หลกั การพนื้ ฐานสำ� หรบั รฐั สมยั ใหม่ แตใ่ นอกี ดา้ นหนง่ึ กม็ กี ารสรา้ งชดุ ความเชอ่ื บางด้านที่อาจถือได้ว่าเป็น “บาป/บุญ” ในรัฐสมัยใหม่ และดูราวกับว่าเป็นสิ่งท่ียากจะปฏิเสธ เช่น การเกณฑ์ทหารดว้ ยอ�ำนาจบงั คบั การบริโภคเคร่อื งดื่มท่มี ีแอลกอฮอล์ในวันส�ำคัญทางศาสนา หรือการนำ� เสนอภาพลอ่ แหลมในทางเพศ เป็นต้น ประเดน็ ตา่ งๆ เหลา่ น้ีแมอ้ าจเกยี่ วข้องกับคณุ คา่ หรอื ความดขี องแตล่ ะบคุ คล ซง่ึ โดยทว่ั ไปควรตอ้ งเปดิ ใหป้ จั เจกบคุ คลสามารถเลอื กเสน้ ทางดงั กลา่ ว ไดด้ ว้ ยตนเอง อย่างไรก็ตาม จะพบว่ารัฐสมัยใหมไ่ ด้ใชอ้ �ำนาจในการสรา้ งเกณฑ์ท่มี ผี ลต่อการบังคับ ใหบ้ คุ คลตอ้ งกระทำ� ตาม หากบคุ คลใดฝา่ ฝนื กอ็ าจตอ้ งไดร้ บั โทษ ซงึ่ นบั วนั กด็ รู าวกบั อำ� นาจของการ สร้างบาปและบุญในรัฐสมัยใหม่ได้ขยายตัวออกกว้างขวางขึ้น วารสารนิติสังคมศาสตร์ ฉบับ บาป บญุ คุณ (และ) รฐั จึงชวนใหห้ ันกลับมาพจิ ารณาให้รอบดา้ นมากข้นึ ในประเด็นต่างๆ ดงั ทีป่ รากฏอยู่ในวารสารฉบบั น้ี บรรณาธกิ าร 4
สารบญั บทบรรณาธิการ 4 บทความพเิ ศษ 7 รัฐที่ไร้ศาสนาประจ�ำชาติ A State without National Religion สมชาย ปรชี าศลิ ปกุล (Somchai Preechasinlapakun) บทความวชิ าการ “ความจริง” ในกระบวนการยตุ ิธรรมทางอาญาไทย: 23 มุมมองทางกฎหมายในวรรณกรรมเรอื่ ง รากบญุ ของ ชอ่ มณี “The Truth” in Thai Criminal Justice System: Legal Perspectives on the Literature in Chomanee’s Rak Boon จริ าภรณ์ อัจฉรยิ ะประสทิ ธ์ิ ไพบลู ย์ ชูวัฒนกิจ Jiraporn Adchariyaprasit Paiboon Chuwattanakij การเกณฑท์ หารกับการทรมาน และการละเมิดสิทธิมนษุ ยชนตอ่ ทหารเกณฑ์ 47 ในประเทศไทย: บทวิเคราะห์จากมมุ มองหนังสอื รัฐศาสตรไ์ มฆ่ ่า Military Draft: Torture and Human Rights Violations towards Draftees in Thailand: A Critique from a Non-Killing Global Political Science Perspective ศิวชั ศรีโภคางกลุ เทอดศักด์ิ ไป่จันทกึ Siwach Sripokangkul, Therdsak Paijuntuek พระพุทธศาสนากับศกั ดิศ์ รคี วามเปน็ มนษุ ย์ : ท่าทีและการปฏบิ ัตติ อ่ ทาส 81 Buddhism toward Human Dignity: Behavior and How to Treat Slave เจษฎา ทองขาว (Jesada Thongkaow) A Comprehensive Study on the Institution of 111 Amicus curiae and the Current Practice in Investor-State Arbitration Xinglong YANG 5
วารสารนิติสงั คมศาสตร์ มหาวทิ ยาลัยเชียงใหม่ ปีท่ี 10 ฉบับท่ี 2 กรกฎาคม-ธนั วาคม 2560 145 169 จึงไมม่ เี สียงครวญของมวลกรรมกร 197 The Silence of Labour ศรัณย์ จงรักษ์ Saran Jongrak วถิ ีชีวติ ในชมุ ชนอาคารชุด: กรณศี ึกษาหม่บู า้ นเอือ้ อาทร จังหวดั เชียงใหม่ Living in Condominium Community: Case Study in Government Housing Complex, Chiang Mai Province อจริ วดี เหลาออ่ น Ajirawadee Lao-on บทปริทัศน์หนงั สอื “ทนายวฒั นธรรม: ใชก้ ฎหมายเพอื่ คุม้ ครองมรดกวัฒนธรรมชุมชน” Book Review “Cultural Heritage Protection Lawyers: Using Law for the Protection of Local Cultural Heritage” ปดี เิ ทพ อยู่ยนื ยง Pedithep Youyuenyong 6
วารสารนติ ิสงั คมศาสตร์ มหาวิทยาลัยเชยี งใหม่ ปีที่ 10 ฉบับท่ี 2 กรกฎาคม-ธันวาคม 2560 https://www.tci-thaijo.org/index.php/CMUJLSS รัฐทไี่ ร้ศาสนาประจ�ำชาติ A State without National Religion สมชาย ปรชี าศลิ ปกุล Somchai Preechasinlapakun คณะนติ ศิ าสตร์ มหาวิทยาลัยเชยี งใหม่ ถ.หว้ ยแกว้ ต.สเุ ทพ อ.เมือง จ.เชียงใหม่ 50200 Faculty of Law, Chiang Mai University 239 Huay Kaew Road, Muang District, Chiang Mai, Thailand, 50200 เมลต์ ิดตอ่ : [email protected] E-mail: [email protected] บทคดั ยอ่ รฐั ธรรมนญู สหรฐั ฯ ไดก้ ำ� หนดหา้ มมใิ หม้ ศี าสนาประจำ� ชาตหิ รอื หา้ มมใิ หร้ ฐั ใหก้ ารสนบั สนนุ ตอ่ ศาสนาใดศาสนาหนงึ่ เปน็ พเิ ศษ การเกดิ ขนึ้ และการดำ� รงอยขู่ องลทั ธคิ วามเชอื่ ตา่ งๆ จงึ ตอ้ งดำ� เนนิ ไปดว้ ยการอาศยั ทรพั ยากรของตนเอง สภาวะเชน่ นที้ ำ� ใหเ้ กดิ “พหนุ ยิ มทางศาสนา” โดยไมม่ ศี าสนา ใดจะได้รับอภิสิทธ์ิต่างจากศาสนาอ่ืน และองค์กรของลัทธิความเชื่อ/ศาสนาต่างต้องแข่งขันกันใน การแสวงหาทรพั ยากรเพอ่ื สนับสนุนกจิ กรรมของตน บทบัญญัติเร่ืองพหุนิยมทางศาสนาในสหรัฐฯ มีผลกระทบอย่างส�ำคัญต่อกิจกรรมทาง ศาสนาขององคก์ รดา้ นศาสนา ศาสนาทจี่ ะดำ� รงอยไู่ ดจ้ ำ� เปน็ ตอ้ งทำ� ใหผ้ คู้ นเหน็ ดว้ ยและเขา้ รว่ มกบั ศาสนาของตน ในขณะเดียวกนั การมสี ว่ นร่วมในศาสนาตา่ งๆ ก็เป็นตน้ ทุนทางสังคมประเภทหน่ึง ที่เป็นประโยชน์ต่อการปกครองในระบอบประชาธิปไตย ท้ังยังเป็นพื้นที่ส�ำหรับการเรียนรู้ของ ประชาชนในระบอบประชาธิปไตยได้อกี ดว้ ย คำ� สำ� คัญ: พหนุ ยิ มทางศาสนา, รฐั และศาสนา 7
วารสารนิติสังคมศาสตร์ มหาวทิ ยาลัยเชยี งใหม่ ปีที่ 10 ฉบับที่ 2 กรกฎาคม-ธนั วาคม 2560 Abstract Constitution of the United States prohibits the establishment of religion or the privilege status to any religion. The establishment and existence of all kind of cults must depend on own resources. This leads to the “religious pluralism” which no religion is superior to the others. Religious organization must compete to gain the social support themselves. The provision of religious pluralism in the US Constitution effects significantly to religious activities. Support and participation from followers are essential to their existence. Meanwhile, religious participation becomes the social capital which is useful to democratic system as well as learning space for people. Keywords: religions pluralism, state and religion 1. สภาวะ “กงึ่ ศาสนาประจ�ำชาต”ิ ในรฐั ธรรมนูญ พ.ศ. 2560 ความเปลยี่ นแปลงสำ� คญั ประการหนง่ึ ในรฐั ธรรมนญู พ.ศ. 2560 ซงึ่ อาจไมไ่ ดม้ กี ารพจิ ารณา กันอยา่ งกวา้ งขวางกค็ ือ บทบัญญตั ิในส่วนของอ�ำนาจรฐั ท่ีเกยี่ วขอ้ งกับศาสนา ทงั้ น้ี บทบญั ญตั ิใน รฐั ธรรมนูญท่ผี ่านมักจะไมไ่ ดม้ ีการบัญญัติเก่ียวกบั ศาสนาประจำ� ชาตไิ ว้อย่างชดั เจน โดยจะมีเพยี ง ในส่วนทีเ่ กี่ยวกบั พระมหากษตั รยิ ์ ด้วยการกำ� หนดให้ “พระมหากษตั ริยท์ รงเป็นพุทธมามกะ และ ทรงเปน็ อคั รศาสนปู ถมั ภก”1 แตส่ �ำหรับรัฐธรรมนูญ พ.ศ. 2560 นอกจากการบญั ญตั ิขอ้ ความในลักษณะดงั กลา่ วไว้แล้ว กย็ งั ไดม้ กี ารบญั ญตั ถิ งึ บทบาทของรฐั ในการใหค้ วามสำ� คญั กบั พทุ ธศาสนาไวเ้ ปน็ พเิ ศษในหมวดแนว นโยบายแห่งรัฐ ดังน้ี “มาตรา 67 รฐั พงึ อปุ ถมั ภ์และคุ้มครองพระพทุ ธศาสนาและศาสนาอนื่ ” 1 แม้จะไม่ได้มีบทบัญญัติให้พุทธศาสนาเป็นศาสนาประจ�ำชาติ แต่ไพโรจน์ ชัยนาม มีความเห็นว่าบทบัญญัติใน ลกั ษณะนก้ี ถ็ อื วา่ เปน็ การกำ� หนดใหเ้ ปน็ ศาสนาประจำ� ชาติ ดรู ายละเอยี ดใน ไพโรจน์ ชยั นาม, คำ� อธบิ ายกฎหมาย รัฐธรรมนูญเปรียบเทียบ เล่ม 1 ข้อความเบ้ืองต้นและหลักทั่วไปของกฎหมายรัฐธรรมนูญ (มหาวิทยาลัย ธรรมศาสตร,์ 2497) หนา้ 459. 8
รฐั ทไี่ ร้ศาสนาประจำ�ชาติ “ในการอุปถัมภ์และคุ้มครองพระพุทธศาสนาอันเป็นศาสนาที่ประชาชนชาวไทย ส่วนใหญ่นับถือมาช้านาน รัฐพึงส่งเสริมและสนับสนุนการศึกษาและการเผยแผ่ หลักธรรมของพระพุทธศาสนาเถรวาท เพื่อให้เกิดการพัฒนาจิตใจและปัญญา และต้องมีมาตรการและกลไกในการป้องกันมิให้มีการบ่อนท�ำลาย พระพุทธศาสนา ไมว่ า่ ในรปู แบบใด และพงึ สง่ เสรมิ ใหพ้ ทุ ธศาสนกิ ชนมสี ว่ นรว่ มในการดำ� เนนิ มาตรการ หรือกลไกดงั กล่าวด้วย” แม้จะไม่ได้มีการก�ำหนดให้ศาสนาพุทธเป็นศาสนาประจ�ำชาติ แต่บทบัญญัติในมาตรานี้ ได้สะท้อนให้เห็นถึงการจัดวางสถานะของพุทธศาสนาให้มีความส�ำคัญท่ีรัฐจะต้องส่งเสริมและ สนับสนุนท้ังในเชิงนโยบายและการสร้างมาตรการต่างๆ อันที่จริงสถานะของพุทธศาสนาก็มี ความส�ำคัญมาอย่างต่อเน่ืองภายใต้การบริหารจัดการของรัฐไทยมาอย่างต่อเนื่อง ดังสามารถ พจิ ารณาไดจ้ ากการจดั ตงั้ หนว่ ยงาน งบประมาณ หรอื การออกประกาศ ระเบยี บของทางราชการ ทอ่ี า้ งองิ อยกู่ บั พทุ ธศาสนา เชน่ การประกาศวนั หยดุ ราชการ หรอื การหา้ มขายเครอื่ งดม่ื แอลกอฮอล์ ในวนั ส�ำคญั ทางพุทธศาสนา2 เป็นต้น ขณะท่วี ันสำ� คญั ของศาสนาอืน่ ๆ ไม่ได้รับการให้ความส�ำคัญ ในลกั ษณะเดียวกัน ในอดีตท่ผี ่านมา ได้เคยมีการเคล่ือนไหวทจี่ ะให้รัฐธรรมนูญรับรองพทุ ธศาสนาเป็นศาสนา ประจำ� ชาตเิ กดิ ขนึ้ หลายครง้ั แตค่ วามพยายามดงั กลา่ วกไ็ มป่ ระสบความสำ� เรจ็ แตอ่ ยา่ งใด บทบญั ญตั ิ ทเี่ กดิ ข้ึนในรฐั ธรรมนญู จงึ ไม่ได้ให้การรบั รองพทุ ธศาสนาเปน็ ศาสนาประจำ� ชาติ แตก่ ส็ ามารถกลา่ ว ได้ว่าบทบัญญัติเช่นน้ีเป็นการรับรองพุทธศาสนาอย่างไม่เป็นทางการให้เป็นศาสนาส�ำคัญมากกว่า ศาสนาอ่นื ๆ การผลักดันให้เกิดบทบัญญัติที่ให้ความส�ำคัญกับพุทธศาสนาเช่นนี้ ส่วนหนึ่งมาจากความ เขา้ ใจวา่ หากไมม่ กี ารบญั ญตั ริ บั รองพทุ ธศาสนาอยา่ งชดั เจนแลว้ กจ็ ะสง่ ผลในดา้ นลบตอ่ ความมนั่ คง ความเจรญิ กา้ วหนา้ ของพทุ ธศาสนา จงึ จำ� เปน็ ตอ้ งมกี ารรบั รองไวใ้ หช้ ดั เจน อยา่ งไรกต็ าม รฐั ฆราวาส (secular state) ภายใต้ระบอบเสรปี ระชาธิปไตย มกี ารจดั วางสถานะของศาสนาในหลายรูปแบบ ดังการรับรองให้ศาสนาใดศาสนาหนึ่งเป็นศาสนาของรัฐ การก�ำหนดให้บางศาสนามีสถานะพิเศษ กว่าศาสนาอื่น หรือการแยกศาสนาออกจากรัฐอันท�ำให้ศาสนาแต่ละศาสนาต่างด�ำรงอยู่อย่างเท่า เทียมกัน3 ซ่ึงมีรัฐจ�ำนวนไม่น้อยได้หลีกเล่ียงท่ีจะก�ำหนดให้มีศาสนาประจ�ำชาติขึ้น และการไม่มี 2 ประกาศส�ำนกั นายกรฐั มนตรี เร่ือง กำ� หนดวนั หา้ มขายเครอ่ื งด่ืมแอลกอฮอล์ (ฉบับที่ 3) พ.ศ. 2558 ขอ้ 2 หา้ ม ผู้ใดขายเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ในวันมาฆบูชา วันวิสาขบูชา วันอาสาฬหบูชา วันเข้าพรรษาและวันออกพรรษา ยกเวน้ การขายเฉพาะรา้ นค้าปลอดอากรภายในอาคารท่าอากาศยานนานาชาติ 3 ไพโรจน์ ชัยนาม, ค�ำอธิบายกฎหมายรัฐธรรมนูญเปรียบเทียบ เล่ม 1 ข้อความเบ้ืองต้นและหลักทั่วไป ของกฎหมายรฐั ธรรมนญู (มหาวทิ ยาลยั ธรรมศาสตร์, 2497) หนา้ 459 – 460. 9
วารสารนติ ิสงั คมศาสตร์ มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ ปีที่ 10 ฉบับท่ี 2 กรกฎาคม-ธนั วาคม 2560 บทบญั ญัติดงั กลา่ วก็ไมไ่ ด้เป็นผลใหเ้ กิดความตกต�่ำข้นึ กบั ศาสนาแต่อย่างใด บทความนี้ต้องการท�ำความเข้าใจกับการจัดวางสถานะศาสนาในรัฐธรรมนูญของ สหรัฐอเมริกา เน่ืองจากเป็นรัฐธรรมนูญที่มิได้มีบทบัญญัติในเร่ืองศาสนาประจ�ำชาติ รวมถึงจะ พิจารณาถึงผลกระทบในบางแง่มุมท่ีมีต่อระบอบการเมือง เพ่ือให้เห็นว่าการจัดวางความสัมพันธ์ ระหว่างศาสนาและรัฐเป็นส่ิงที่สามารถแตกต่างออกไปได้ในหลากหลายแง่มุม ซ่ึงก็อาจท�ำให้เกิด ความเจริญงอกงามแก่สถาบันศาสนาและระบอบประชาธิปไตยควบคู่กันไป โดยไม่จ�ำเป็นต้องใช้ อำ� นาจแห่งรัฐมาประกันการด�ำรงอยูข่ องศาสนาแตอ่ ยา่ งใด 2. ศาสนาในรัฐธรรมนญู สหรัฐฯ แมว้ า่ นกั รณรงคด์ า้ นสิทธิทางศาสนาและนักเทศนท์ างโทรทศั น์มักจะกลา่ วอ้างบ่อยครั้งว่า สหรัฐฯ ถูกกอ่ ตัง้ มาใหเ้ ป็นรฐั คริสเตยี น (Christian Nation)4 ซงึ่ อาจมปี ระชาชนบางคนกเ็ ขา้ ใจไป ในลกั ษณะดงั กลา่ ว อยา่ งไรก็ตาม การกลา่ วว่าสหรฐั ฯ มีประชาชนเปน็ ครสิ เตียนมีความหมายแตก ต่างไปจากการก�ำหนดให้เป็นรัฐคริสเตียนอย่างมาก เพราะหากกลายเป็นรัฐคริสเตียนก็ย่อม หมายความถึงการต้องน�ำหลักค�ำสอนทางศาสนามาบังคับใช้ในฐานะท่ีเป็นกฎหมายประเภทหน่ึง หรืออาจตอ้ งให้สถานะอันเปน็ พิเศษแก่ครสิ ต์ศาสนาเอาไว้ แต่เม่ือพิจารณาจากบทบัญญัติของรัฐธรรมนูญแล้วจะพบว่ามิได้เป็นเช่นนั้นแต่อย่างใด รฐั ธรรมนญู ของสหรัฐฯ แสดงใหเ้ ห็นถงึ ความเปน็ รฐั ฆราวาส (secular state) โดยไมม่ กี ารบญั ญตั ิ ถึงความเป็นคริสเตียน (Christianity) หรือพระเยซู (Jesus Christ) หรือกล่าวให้ชัดเจนมากข้ึน รฐั ธรรมนญู สหรฐั ฯ มกี ารบญั ญตั ถิ งึ ศาสนาไวเ้ พยี ง 2 แหง่ เทา่ นน้ั โดยในการแกไ้ ขเพมิ่ เตมิ รฐั ธรรมนญู คร้งั ที่ 1 (First Amendment) ได้มขี ้อความวา่ “สภาคองเกรสตอ้ งไม่ออกกฎหมายทเ่ี กยี่ วกบั การ กำ� หนดศาสนาประจำ� ชาติ (establishment of religion) หรือหา้ มไมใ่ หม้ กี ารด�ำเนินการห้ามเสรี ภาพใดๆ (prohibiting the free exercise thereof…)” และอกี แห่งปรากฏในมาตรา 6 (article VI) ซ่ึงหา้ มการตรวจสอบความเชือ่ ทางศาสนา (religious test) ของบคุ คลในการเขา้ รบั ตำ� แหนง่ สาธารณะต่างๆ ทัง้ น้ี บทบญั ญตั ิส�ำคัญที่สดุ ในรัฐธรรมนูญในประเดน็ ท่ีเก่ียวกบั ศาสนากค็ อื บทบญั ญตั อิ ยู่ ในการแก้ไขเพิ่มเติมครั้งที่ 1 ซึ่งต่อมาภายหลังถูกเรียกว่าบทบัญญัติว่าด้วยสิทธิพลเมือง (Bill of Rights) ซ่ึงเร่ิมต้นด้วยการก�ำหนดขอบเขตของรัฐบาลในเร่ืองท่ีเก่ียวกับศาสนา ท�ำให้มีการเรียก เสรีภาพทางศาสนาวา่ เปน็ “เสรภี าพอนั ดบั แรก” (the first freedom) 4 “Is America A Christian Nation? Religion, Government and Religious Freedom” สืบค้นออนไลน์ https://www.au.org/resources/publications/is-america-a-christian-nation 10
รัฐทไ่ี รศ้ าสนาประจ�ำ ชาติ ในการแก้ไขเพ่ิมเติมคร้ังท่ี 1 ข้อความท่ีเก่ียวข้องกับประเด็นดังกล่าวนี้ได้ระบุว่า “สภาคองเกรสตอ้ งไม่ออกกฎหมายทเ่ี ก่ยี วกับการกำ� หนดศาสนาประจ�ำชาติ (establishment of religion) หรือห้ามไม่ให้มีการด�ำเนินการห้ามเสรีภาพใดๆ (prohibiting the free exercise thereof…)”5 บทบญั ญตั ทิ งั้ สองประการในมาตราขา้ งตน้ เรยี กวา่ “Establishment Clause” และ “Free Exercise Clause” ตามล�ำดับ แม้ความหมายและความสัมพันธ์ที่แน่ชัดของข้อบัญญัติ ท้ังสองน้ันยังเป็นที่ถกเถียงกัน แต่หากพิจารณาเฉพาะบทบัญญัติในแง่มุมที่เก่ียวกับทางศาสนา บทบัญญัติว่าด้วยการห้ามก�ำหนดศาสนาประจ�ำชาติและเสรีภาพในการด�ำเนินการทางศาสนา มคี วามหมายโดยรวมว่าการดำ� เนินชีวิตของประชาชนในสหรฐั ฯ ในประเดน็ ทางด้านศาสนาจะตอ้ ง ไม่ถกู ควบคมุ หรือถกู กีดกนั จากรฐั บาล บทบัญญัติท่ีว่าด้วยการห้ามก�ำหนดศาสนาประจ�ำชาติ มีความหมายในระดับต่�ำที่สุดว่า รัฐบาลไม่สามารถที่จะให้การสนับสนุนทางด้านวัตถุหรือให้การรับรองศาสนาใดเป็นการเฉพาะ รวมถึงไม่สามารถให้การสนับสนุนกับองค์กรที่มีความเก่ียวข้องกับศาสนาใดศาสนาหน่ึงเป็นการ เฉพาะได้ แมร้ ฐั บาลอาจจะสามารถใหก้ ารสนบั สนนุ กจิ กรรมขององคก์ รศาสนา เชน่ ธนาคารอาหาร การให้ที่พักแก่คนไร้บ้าน และกิจกรรมอื่นๆ ในท�ำนองเดียวกัน โดยกิจกรรมเหล่านี้จะต้องไม่ใช่ กิจกรรมขององค์กรในประเภทท่ีเก่ียวกับพิธีสักการบูชา หรือการเผยแพร่ศาสนาเพ่ือดึงให้คน มารว่ มทางศาสนา นอกจากนี้ ในมาตรา 6 (article VI)6 ซึ่งก�ำหนดการห้ามการตรวจสอบเรื่องศาสนา 5 First Amendment of United States Constitution “Congress shall make no law respecting an establishment of religion, or prohibiting the free exercise thereof; or abridging the freedom of speech, or of the press; or the right of the people peaceably to assemble, and to petition the Government for a redress of grievances.” 6 United States Constitution, Article VI “All Debts contracted and Engagements entered into, before the Adoption of this Consti- tution, shall be as valid against the United States under this Constitution, as under the Con- federation. This Constitution, and the Laws of the United States which shall be made in Pursuance thereof; and all Treaties made, or which shall be made, under the Authority of the United States, shall be the supreme Law of the Land; and the Judges in every State shall be bound thereby, any Thing in the Constitution or Laws of any State to the Contrary notwithstanding. The Senators and Representatives before mentioned, and the Members of the several State Legislatures, and all executive and judicial Officers, both of the United States and of the several States, shall be bound by Oath or Affirmation, to support this Constitution; but no religious Test shall ever be required as a Qualification to any Office or public Trust under the United States.” 11
วารสารนิตสิ ังคมศาสตร์ มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ ปที ่ี 10 ฉบับท่ี 2 กรกฎาคม-ธนั วาคม 2560 บทบญั ญตั ิมาตรานี้เปน็ สงิ่ ที่มคี วามส�ำคญั ในทางปฏบิ ัติและเป็นสิ่งท่ีมีนยั ส�ำคัญ ดว้ ยเหตุผลว่าเป็น วัตถุประสงค์ที่ต้องการแยกความเป็นสาวกแห่งศาสนาออกจากหน้าที่ของการเป็นพลเมืองตาม ระบอบประชาธิปไตย ซึ่งนอกจากจะห้ามการตรวจสอบเร่ืองศาสนากับผู้ที่เข้ารับราชการแล้ว ใน มาตรานย้ี งั แสดงใหเ้ หน็ ถงึ ความสำ� คญั ของการวางตวั เปน็ กลางของรฐั บาลในเรอ่ื งทเ่ี กยี่ วกบั ศาสนา การห้ามตรวจสอบเร่ืองเก่ียวกับศาสนาของบุคคล ได้แสดงให้เห็นว่าผู้ที่วางกรอบรัฐธรรมนูญได้ พยายามท่ีจะไม่โยงประเด็นท่ีแสดงความเป็นพลเมืองของประเทศเข้ากับความเช่ือทางศาสนาใด เป็นการเฉพาะหรอื เปน็ การทั่วไป การท่ีรัฐธรรมนูญของสหรัฐฯ ไม่อนุญาตให้มีการก�ำหนดศาสนาประจ�ำชาติท�ำให้มีความ แตกต่างกับหลายประเทศในยุโรป ซึ่งประเทศเหล่านี้มักจะมีการก�ำหนดศาสนาประจ�ำชาติไว้เป็น กฎหมาย หรอื ไมก่ เ็ ปน็ ประเทศทส่ี ามารถใหก้ ารสนบั สนนุ องคก์ รทางศาสนาในรปู แบบตา่ งๆ ได้ ขอ้ กำ� หนดดงั กลา่ วจงึ ทำ� ใหก้ ารจดั วางสถานะของศาสนาในสงั คมของสหรฐั ฯ ถกู เรยี กวา่ เปน็ “พหนุ ยิ ม ทางศาสนา” (religious pluralism) การหา้ มกำ� หนดศาสนาประจำ� ชาตใิ นสหรฐั ฯ ซง่ึ ทำ� ใหร้ ฐั ไมส่ ามารถจดั สรรงบประมาณหรอื ให้การอุดหนุนแก่ศาสนาใดศาสนาหน่ึงได้ ก็ย่อมมีความหมายว่าองค์กรทางศาสนา เช่น นิกาย (denomination) หรอื กลมุ่ ผรู้ ว่ มพธิ ใี นโบสถต์ า่ งๆ (congregations) ตอ้ งอาศยั ทรพั ยากรของตนเอง ในการก่อตั้งหรือเพ่ือให้สามารถด�ำเนินองค์กรอยู่ได้ต่อไป ดังนั้น องค์กรศาสนาจึงจะต้องสร้าง แรงดึงดูดสมาชิกจากกลุ่มคนท่ีมีศักยภาพซึ่งอาจจะอยู่ในนิกายอื่น หรืออาจเป็นกลุ่มบุคคลที่ไม่ได้ เคยเขา้ รว่ มเปน็ สมาชกิ กบั องคก์ รทางศาสนาแหง่ ใดแหง่ หนงึ่ มาเขา้ รว่ ม องคก์ รศาสนาจงึ จำ� เปน็ ตอ้ ง มหี ลกั การ ประสบการณ์ และทรัพยากรท่ีสามารถดึงดูดบุคคลใหม้ าเขา้ รว่ มเป็นสมาชกิ ได้ หากพิจารณาในแง่นี้ ก็สามารถกล่าวได้ว่าองค์กรทางศาสนาก็ต้องใช้แนวทางการบริหาร จดั การจากดา้ นอุปทาน (supply – side approach) ในการเขา้ หาสมาชิกและการมสี ่วนรว่ มทาง ศาสนา ซง่ึ ทำ� ใหเ้ กดิ ลกั ษณะของการแขง่ ขนั ระหวา่ งองคก์ รศาสนาตา่ งๆ มคี วามเชอ่ื กนั วา่ การแขง่ ขนั เช่นน้ีจะท�ำให้ฆราวาสมีแนวโน้มที่จะเข้าร่วมองค์กรศาสนามากข้ึน รวมทั้งมีการเสนอว่า ประสบการณ์ของสหรัฐฯ ซ่ึงมีความเป็นพหุนิยมทางศาสนาในระดับสูง รวมท้ังเรื่องของความเช่ือ และศาสนกจิ จะเปน็ ตวั อยา่ งทแี่ สดงใหเ้ หน็ อยา่ งชดั เจนวา่ ศาสนากบั สงั คมในสหรฐั ฯ มคี วามสมั พนั ธ์ อย่างเปน็ ธรรมชาติมากกวา่ ประเทศในแถบยุโรป อาจกลา่ วได้วา่ บทบญั ญัติ Free Exercise Clause มสี ่วนสง่ เสริมลักษณะทางศาสนาทมี่ ี ความโดดเดน่ ในวฒั นธรรมทางการเมอื งและสงั คมของคนอเมรกิ นั ตงั้ แตก่ ลางศตวรรษท่ี 20 เปน็ ตน้ มา ศาลยุติธรรมในสหรัฐฯ มีแนวโน้มจะให้การยอมรับกับสิทธิเสรีภาพในการนับถือศาสนาของ กลุ่มศาสนานอกกระแส หรอื กลุม่ ศาสนานิกายต่างๆ ถึงแมว้ ่าในบางคดคี ำ� ตัดสนิ ของศาลสงู อาจจะ 12
รฐั ทีไ่ รศ้ าสนาประจ�ำ ชาติ เปน็ การจำ� กดั ขอบเขตของบทบญั ญตั ิ Free Exercise Clause เชน่ ในคดี Employment Division v Smith (ค.ศ. 1990)7 แตโ่ ดยทว่ั ไปแล้ว การควบคุมการเคลอ่ื นไหวทางศาสนาอยา่ งเปิดเผยเป็น เรื่องท่ขี ดั รัฐธรรมนญู ดงั จะเห็นไดว้ า่ กลมุ่ ลัทธนิ กิ ายตา่ งๆ เชน่ นกิ ายมอร์มอน (Mormons), นกิ าย พระยะโฮวาห์ (Jehovah’s Witnesses), ลัทธิมนู ิ (Moonie) และศาสนาของชาวอเมริกันพนื้ เมือง (Native American) ลว้ นไดร้ บั การคมุ้ ครองทางรฐั ธรรมนญู ตามบทบญั ญตั ิ Free Exercise Clause ถงึ แม้วา่ สถานะของลัทธิเหลา่ นจี้ ะเปน็ เพียงกลุ่มศาสนาเล็กๆ กต็ าม เป็นการงา่ ยท่ีจะกลา่ ววา่ บทบัญญตั ิ Free Exercise Clause มคี วามสำ� คัญกบั ลกั ษณะพหุ นิยมทางศาสนา โดยเหตทุ ี่กจิ กรรมทางศาสนาต้องอาศัยวธิ ีการจดั การด้านอุปทานจงึ ทำ� ใหอ้ งค์กร ศาสนาต้องทำ� การแขง่ ขันระหว่างกัน ดงั นนั้ การสรา้ ง “ความแตกต่างของสนิ ค้า” จึงเป็นเรอื่ งที่มี ความจ�ำเป็น องคก์ รศาสนาท่ีตอ้ งแขง่ กนั หาสมาชิกหรือผสู้ นบั สนุน ก็ต้องพยายามท�ำใหต้ ัวเองแตก ตา่ งจากคแู่ ขง่ ในเรอ่ื งของหลกั การหรอื พธิ กี รรมทางศาสนา บางครงั้ การแขง่ ขนั ขององคก์ รศาสนาก็ ดเู หมือนจะมีการแขง่ ขันภายในศาสนาหรือกลุ่มนกิ ายเดียวกัน แน่นอนว่าสาเหตุท่ีนิกายความเชื่อต่างๆ จะสามารถสร้างความแตกต่างในเรื่องหลักการ ความเช่ือหรือภารกิจได้มากแค่ไหนขึ้นอยู่กับทางเลือกว่ามีอยู่มากน้อยเพียงใด ดังนั้น จึงไม่ใช่แค่ จำ� นวนศาสนาทมี่ กี ารนบั ถอื กนั เฉพาะในดนิ แดนแหง่ หนงึ่ แหง่ ใดเทา่ นนั้ ทแี่ สดงใหเ้ หน็ ถงึ ความหลาก หลายของศาสนาต่างๆ เหล่านั้น แตย่ ังมีความหลากหลายของหลักคำ� สอนและการประพฤตปิ ฏิบตั ิ อีกดว้ ย ซ่ึงสามารถเห็นได้จากความหลากหลายของศาสนาท่มี ีอยู่ในประเทศสหรฐั ฯ แมค้ วามแตกตา่ งของศาสนาในสหรฐั ฯ ยงั เปน็ เรอื่ งทม่ี กี ารถกเถยี งกนั อยู่ อาจจะมผี โู้ ตแ้ ยง้ วา่ ศาสนาของชาวอเมรกิ นั ทดี่ เู หมอื นจะมคี วามหลากหลายนน้ั ถกู จำ� กดั ดว้ ยความเชอื่ ทางทฤษฎหี รอื การปฏบิ ตั ศิ าสนกจิ ในขอบเขตทแี่ คบมาก รวมถงึ การโตแ้ ยง้ วา่ เหตผุ ลทก่ี ลา่ วมากไ็ มม่ คี วามสอดคลอ้ ง ตรงกันกับแนวทางการจัดการด้านอุปทาน เน่ืองจากศาสนาท่ีมีความแตกต่างกันอย่างแท้จริงก็ไม่ ควรต้องแข่งกันหาสาวกหรือผู้เลื่อมใส เช่น ผู้น�ำศาสนาฮินดูในอินเดียก็ไม่ต้องกังวลว่าสาวกของ ศาสนาตนจะเปลย่ี นไปนบั ถอื ศาสนาอสิ ลาม ในทำ� นองเดยี วกนั กไ็ มค่ วรเปน็ ขอ้ วติ กกงั วลของนกั บวช ของนกิ ายโรมนั คาธอลกิ ในฝรง่ั เศสหรอื เบลเยยี่ ม ซง่ึ จะตอ้ งเปน็ หว่ งวา่ สาวกของของตนเองจะเปลยี่ น ไปเปน็ สาวกของศาสนาอิสลาม บทบญั ญตั ขิ อง Free Exercise Clause เปดิ ทางใหส้ มาชกิ ของกลมุ่ ศาสนา/ความเชอื่ ยอ่ ยๆ สามารถใช้เสรีภาพในการนับถอื ศาสนาและสามารถเข้าสงั กดั ศาสนาไดม้ ากกว่าศาสนาซึ่งถูกยดึ ถอื เป็นหลักในสังคม แต่การบังคับใช้บทบัญญัติน้ีอาจท�ำให้เกิดความไม่สะดวกแก่ศาสนาทางเลือก 7 Employment Division v. Smith (1990), เปน็ คำ� ตดั สนิ ของศาลสงู ในคดซี ง่ึ ยนื ยนั วา่ รฐั สามารถปฏเิ สธการจา้ ง งานอันเป็นผลมาจากการละเมิดต่อกฎเกณฑ์ของรัฐในการใช้พืชบางประเภทท่ีมีผลทางจิต แม้ว่าจะเป็นการใช้ ในสว่ นหนึ่งของพิธกี รรมทางศาสนากต็ าม 13
วารสารนิตสิ งั คมศาสตร์ มหาวทิ ยาลยั เชียงใหม่ ปที ่ี 10 ฉบบั ที่ 2 กรกฎาคม-ธันวาคม 2560 มากกวา่ ศาสนาหลกั อยา่ งไรกต็ าม ศาสนาใหมห่ ลายแหง่ ดเู หมอื นจะพยายามหาสมาชกิ ใหมโ่ ดยมงุ่ ที่กลุ่มคนหนุ่มสาว ซึ่งเป็นกลุ่มที่อาจจะยึดม่ันกับหลักการความเชื่อทางศาสนาใดเป็นการเฉพาะ นอ้ ยกวา่ กลมุ่ อนื่ การมศี าสนาทางเลอื กใหมด่ งั กลา่ วอาจเปน็ การทำ� ใหเ้ หน็ จดุ เดน่ ของแตล่ ะศาสนา ชัดข้ึนในเรือ่ งเกีย่ วกับหนา้ ท่ีความรับผิดชอบ และยังเป็นการท�ำใหร้ ูปแบบของกิจกรรมทางศาสนา มีมาตรฐานเพิ่มขน้ึ บทบัญญัติ Free Exercise Clause ซ่ึงทำ� ใหศ้ าสนาในสหรฐั ฯ มคี วามแข็งขนั ก็อาจเป็น สว่ นเตมิ เตม็ อยา่ งดใี หก้ บั บทบญั ญตั ิ Establishment Clause แมว้ า่ บทบญั ญตั นิ จ้ี ะชว่ ยปอ้ งกนั เรอ่ื ง ที่ศาสนาจ�ำนวนไม่กี่ศาสนาท่ีได้รับความนิยมหรือเป็นที่ชื่นชอบมาก่อนจะเข้ามาถือสิทธิเพ่ือครอบ ครองพนื้ ทส่ี าธารณะทางศาสนาก่อนศาสนาอน่ื แต่ Free Exercise Clause กป็ ระกนั วา่ พลเมอื ง จะสามารถเข้าถงึ ศาสนาทางเลือกได้อยา่ งแนน่ อน ดงั นนั้ บทบญั ญตั ทิ เี่ กยี่ วกบั เรอื่ งศาสนาใน First Amendment จงึ ทำ� หนา้ ทเ่ี สมอื นเปน็ การ ส่งเสริมให้ศาสนามีความหลากหลายและมีชีวิตชีวามากข้ึน มีเหตุผลยืนยันได้ว่าบทบัญญัติ Establishment Clause ท�ำใหศ้ าสนาต่างๆ ต้องหาความสนบั สนนุ จากสมาชกิ ทม่ี คี วามสามารถ เนื่องจากกฎหมายน้ีไม่ยอมให้องค์กรศาสนาขอรับการสนับสนุนด้วยการให้รัฐบาลใช้อ�ำนาจบังคับ และ Free Exercise Clause ก็สามารถคุ้มครองสิทธิของผู้นับถือลัทธิความเช่ือจากอ�ำนาจของ ศาสนาหลักท่ีได้รับความนิยม อันเป็นการท�ำให้คนอเมริกันมีศาสนาทางเลือกท่ีหลากหลาย รฐั ธรรมนูญของสหรฐั ฯ ช่วยใหเ้ กิดตลาดทางศาสนา (religious market) ทอ่ี งค์กรศาสนาจะไม่ได้ รับการสนับสนุนและไม่ถูกควบคุม และด้วยการผสมผสานของบทบัญญัติทางรัฐธรรมนูญดังกล่าว จึงเป็นการส่งเสริมความเปน็ พหนุ ิยมทางศาสนาในสหรฐั ฯ ใหบ้ งั เกิดขนึ้ 8 3. พหนุ ยิ มทางศาสนาและการเมืองในระบอบประชาธิปไตย ลักษณะพหุนิยมทางศาสนาในสหรัฐฯ มีความสัมพันธ์และส่งผลต่อการมีบทบาททางการ เมอื งของประชาชนในระบอบประชาธปิ ไตยอยา่ งไร ไดม้ งี านวชิ าการทที่ ำ� การศกึ ษาและเสนอความ เหน็ ถึงประเดน็ ดงั กล่าว ดงั น9้ี 8 Ted G. Jelen, “The Constitutional Basis of Religious Pluralism in the United States: Causes and Consequences” สืบค้นระบบออนไลน์ http://journals.sagepub.com/doi/ abs/10.1177/0002716207301176 9 Ted G. Jelen, “The Constitutional Basis of Religious Pluralism in the United States: Causes and Consequences” สืบค้นระบบออนไลน์ http://journals.sagepub.com/doi/ abs/10.1177/0002716207301176 14
รฐั ทไ่ี ร้ศาสนาประจำ�ชาติ ประการแรก ศาสนามผี ลกระทบกบั นโยบายสาธารณะ การทำ� ความเขา้ ใจกลไกทเ่ี ปน็ ความ สัมพันธ์ระหว่างศาสนากับนโยบายสาธารณะไม่ใช่เรื่องท่ีสลับซับซ้อน ถึงแม้ว่าลักษณะของความ สัมพันธ์ระหว่างมติมหาชนกับนโยบายสาธารณะจะเป็นเร่ืองยาก แต่ก็ปฏิเสธไม่ได้ว่าการตัดสินใจ ของผู้ก�ำหนดนโยบาย (โดยเฉพาะผู้ที่มาจากการเลือกต้ัง) ย่อมได้รับอิทธิพลมาจากมติมหาชน เน่ืองจากค่านิยมและความรู้สึกนึกคิดของชาวอเมริกันส่วนหน่ึงถูกก�ำหนดด้วยปัจจัยทางศาสนา เพราะฉะนนั้ จึงหลีกเล่ียงไม่ไดท้ ีศ่ าสนาจะสง่ ผลกระทบกบั เนอ้ื หาสาระในนโยบายของรฐั บาล ตัวอย่างที่แสดงถึงอิทธิพลของศาสนากับการด�ำเนินนโยบายของรัฐบาลมีอยู่เป็นจ�ำนวน มาก ในชว่ งปลายศตวรรษท่ี 20 และต้นศตวรรษท่ี 21 แนวคดิ เคล่ือนไหวทางการเมืองเชิงศาสนา (religious political activism) เชือ่ มโยงกบั สทิ ธิทางการเมอื ง กลุ่มอนุรกั ษ์นยิ มทางศาสนาถอื ว่า เปน็ กลุม่ หน่ึงท่ีเป็นคะแนนเสยี งสำ� คัญซึ่งมีอทิ ธิพลในพรรครีพับลกิ ัน กลุ่มดังกลา่ วมักจะถูกมองวา่ ได้รับแรงกระตุ้นจาก “ประเด็นสังคม” (อันเป็นประเด็นท่ีเก่ียวกับศีลธรรมส่วนบุคคล) เช่น สิทธิการทำ� แท้ง สิทธขิ องกลุ่มคนรกั รว่ มเพศ และบทบาทที่เหมาะสมทางสังคมของผูห้ ญงิ ความส�ำคัญของศาสนาและกลุ่มนักเคลื่อนไหวทางศาสนาท่ีเก่ียวข้องกับประเด็นขัดแย้ง ต่างๆ เชน่ การเคลื่อนไหวของผทู้ ีส่ นบั สนุนการทำ� แทง้ ในกลางศตวรรษที่ 19, การเคล่ือนไหวเพ่ือ เรียกร้องสิทธิพลเมืองและต่อต้านสงครามในทศวรรษที่ 1950 และ 1960 และในการเลือกต้ัง ประธานาธิบดีของสหรัฐ ค.ศ. 2008 พวกกลุ่มหัวก้าวหน้าทางศาสนาก็ก�ำลังพยายามอ้างเหตุผล ตามหลักศาสนาเพือ่ ใชส้ นับสนนุ นโยบายต่างๆ ทีส่ ว่ นใหญเ่ ก่ยี วขอ้ งประเด็นทางการเมือง ไม่ว่าจะเห็นด้วยหรือไม่ก็ตาม แต่นโยบายต่างๆ ก็ขึ้นอยู่กับค่านิยมที่เป็นการผสมผสาน ระหว่างเรื่องทางโลกและทางศาสนาอย่างเห็นได้ชัด เช่น ในช่วงทศวรรษแรกของศตวรรษที่ 21 กลุ่มอนุรักษ์นิยมทางศาสนา ได้พยายามผลักดันให้แนวความคิดท่ีอธิบายก�ำเนิดของจักรวาล และมนษุ ยชาตทิ เี่ รยี กกนั วา่ “การสรา้ งสรรคด์ ว้ ยปญั ญา” (intelligent design)10 ใหไ้ ดร้ บั การบรรจุ ไว้ในหลักสูตรวิชาวิทยาศาสตร์ในโรงเรียนของรัฐ และได้พยายามผลักดันให้มีการควบคุมการวิจัย ทางการแพทย์ในเรือ่ งเกี่ยวกบั สเต็มเซลล์ (stem cell) ประเด็นทางการเมืองที่เป็นข้อถกเถียงเหล่านี้เป็นเรื่องระหว่างศาสนากับวิทยาศาสตร์ ซึ่งอาจถูกมองว่าเป็นการขัดขวางความก้าวหน้าทางความรู้ของมนุษย์ ดังในกรณีการวิจัยเร่ือง สเตม็ เซลลก์ ็ไดถ้ กู เรยี กว่าเป็นการขัดขวางการช่วยเหลือมนุษยจ์ ากความเจบ็ ปว่ ย หรืออาจเป็นการ ตอกย้�ำให้สาธารณชนทราบถึงความส�ำคัญของส่ิงศักดิ์สิทธิ์ที่ก�ำลังให้ความส�ำคัญกับประเด็นทาง โลกย์มากข้ึน แต่สิ่งท่ีไม่อาจโต้แย้งก็คือการมีส่วนร่วมของพลเมืองท่ีอ้างความเชื่อตามหลักศาสนา 10 ประเด็นดังกล่าวเป็นข้อขัดแย้งที่ยังหาข้อยุติไม่ได้ในการอธิบายถึงก�ำเนิดของจักรวาลและมนุษยชาติระหว่าง แนวคิดว่าพระเจ้า (God) เป็นผู้สร้างสรรพส่ิงตามแนวความคิดของคริสต์ศาสนากับแนวความคิดตามทฤษฎี ววิ ฒั นาการซงึ่ อธิบายวา่ มนุษย์ในหว้ งเวลาปัจจบุ ันเป็นผลมาจากวิวัฒนาการของมนุษย์ 15
วารสารนติ ิสังคมศาสตร์ มหาวทิ ยาลยั เชยี งใหม่ ปที ี่ 10 ฉบบั ท่ี 2 กรกฎาคม-ธันวาคม 2560 รวมท้ังการแสดงให้เห็นถึงความส�ำคัญของศาสนาอย่างชัดเจนว่ามีผลกระทบอย่างมากกับปัญหา สาธารณะท่เี ป็นประเดน็ ขัดแย้งกัน ประการที่สอง ศาสนามักจะถูกมองว่าเป็นแหล่งทุนทางสังคม สมมติฐานว่าด้วยการ มสี ว่ นรว่ มไดแ้ สดงใหเ้ หน็ วา่ การเขา้ เปน็ สมาชกิ และการมสี ว่ นรว่ มในองคก์ รอาสาสมคั รตา่ งๆ ซงึ่ อา้ ง วา่ ไมม่ คี วามเกยี่ วขอ้ งกบั การเมอื ง ไดช้ ว่ ยสรา้ งทกั ษะทางการเมอื งทสี่ ามารถนำ� ไปใชก้ บั การเขา้ รว่ ม ทำ� งานทางการเมอื งโดยตรงมากขนึ้ ศาสนาในสหรฐั ฯ เปน็ พน้ื ทที่ างสงั คมทสี่ ามารถมโี อกาสพฒั นา ได้อย่างกว้างขวาง การเข้าร่วมองค์กรทางศาสนาอาจถือได้ว่าเป็นประโยชน์ โดยเฉพาะอย่างยิ่ง เป็นการช่วยพัฒนาทักษะทางการเมืองเนื่องจากการมีส่วนร่วมทางศาสนาในสหรัฐค่อนข้างเป็นไป อย่างแพร่หลาย การเป็นสมาชิกในองค์กรศาสนา (เช่น ศาสนานิกายต่างๆ หรือกลุ่มผู้เข้าร่วมพิธี ในโบสถ์ตามท้องถิ่น) เป็นเร่ืองปกติท่ัวไปท่ีชาวอเมริกันท�ำกันมากกว่าการสมัครใจเข้าร่วมองค์กร ในรปู แบบอน่ื ในองค์กรศาสนา เชน่ การเข้ารว่ มพิธใี นโบสถ์หรือรว่ มกิจกรรมอ่ืนๆ ทเ่ี กีย่ วขอ้ งกับศาสนา ประชาชนสามารถเรียนรู้เรื่องเก่ียวกับการจัดประชุม การหาข้อยุติเมื่อเกิดกรณีท่ีเกิดความเห็น ขัดแยง้ หรอื การจดั ทำ� เอกสารประชาสัมพันธ์ หรือการตดิ ต่อส่อื สารกับบคุ คลภายนอก ความเปน็ พหุนิยมทางศาสนาจึงท�ำให้มีการเข้าร่วมศาสนามากข้ึน และการเข้าร่วมศาสนาก็เป็นการเพ่ิมทุน หรือทรัพยากรทางเมอื งซ่ึงสามารถเรยี กโดยรวมได้ว่าเปน็ “ทนุ ทางสงั คม” การเข้าเป็นสมาชิกและการมีส่วนร่วมทางศาสนาอย่างแพร่หลาย อันเป็นลักษณะเฉพาะ ของสหรฐั ฯ ชว่ ยท�ำใหก้ ล่มุ คนทข่ี าดโอกาสทางการเมืองทางด้านอน่ื ๆ ได้มที รัพยากรทางการเมือง ดังที่กล่าวมา ถ้าระบอบประชาธิปไตยมีความหมายถึงการสนับสนุนความเสมอภาคทางการเมือง แลว้ การมสี ่วนร่วมในองคก์ รศาสนากแ็ สดงถึงขอ้ ไดเ้ ปรยี บอีกประการหนงึ่ อย่างชดั เจน ประการท่ีสาม ศาสนาสามารถรักษาแนวโน้มของวัฒนธรรมทางการเมืองในระบอบ ประชาธิปไตยไม่ให้เปน็ ไปในทางท่ีแยล่ ง เมอื่ เกอื บสองศตวรรษทผี่ า่ นมา Alexis de Tocqueville ได้กล่าวถึงวัฒนธรรมทางการเมืองในระบอบประชาธิปไตยว่าผู้คนมีแนวโน้มท่ีจะปฏิบัติตามกันไป ในแนวทางเดียวกัน เนื่องจากในสังคมมีแรงกดดันมหาศาลท�ำให้ผู้คนต้องท�ำตัวให้สอดคล้องกับ กระแสความคดิ ณ หว้ งเวลานัน้ 11 11 อเล็กซิส เดอะ ตอ๊ กเกอะวิลล์, ประชาธปิ ไตยในอเมรกิ า เล่ม1 (วิภาวรรณ ตุวยานนท์ แปล), (กรุงเทพฯ: มูลนธิ ิ โครงการตำ� ราสงั คมศาสตร์มนษุ ยศาสตร์, 2522) หน้า 311 ปรากฏการณน์ ้ีไดถ้ กู เรียกในภายหลังวา่ “การแพร่ กระจายของความเงียบ” (the spiral of silence) อันเป็นแนวความคิดท่ีเสนอโดยนักรัฐศาสตร์ชาวเยอรมัน Elisabeth Noelle – Neumann ซ่ึงยืนยันว่าบุคคลมีแนวโน้มท่ีจะไม่แสดงความเห็นของตนเองถ้าบุคคลน้ัน รู้สึกว่าตนเองเป็นเสียงข้างน้อยเพราะเกรงว่าจะถูกโดดเดี่ยวจากเสียงข้างมาก ดูรายละเอียดได้ใน Elisabeth Noelle – Neumann, The Spiral of Silence A Theory of Public Opinion สบื ค้นออนไลน์ http:// 16
รฐั ทไี่ ร้ศาสนาประจำ�ชาติ แตศ่ าสนาทำ� ใหก้ ารแสดงความคดิ เหน็ ตามระบอบประชาธปิ ไตยเปน็ เรอื่ งของความเชอื่ และ ยงั ทำ� ใหค้ นสว่ นนอ้ ยสามารถแสดงความคดิ เหน็ ได้ ซง่ึ เปน็ หนา้ ทส่ี ำ� คญั อนั หนง่ึ ในระบบการปกครอง ท่ีมติมหาชนเป็นส่ิงส�ำคัญข้ันพื้นฐาน เน่ืองจากการเสนอมุมมองท่ีแตกต่างมักเป็นการช่วยส่งเสริม กระบวนการการอภปิ รายทางการเมอื ง การทศ่ี าสนาตา่ งๆ มหี ลกั การอยบู่ นฐานความเชอ่ื ทไี่ มไ่ ดข้ นึ้ กบั เหตกุ ารณเ์ ฉพาะหนา้ ท้ังทางสังคมและทางการเมือง ทำ� ใหห้ ลักความเชื่อดังกลา่ วเป็นแหลง่ รวม ของการวพิ ากษ์วจิ ารณ์ทม่ี คี วามอสิ ระเมื่ออยู่ในบรรยากาศการเมอื งท่ีเกดิ เหตกุ ารณ์ส�ำคญั เช่น ในช่วงแรกท่ี โรนลั ด์ เรแกน (Ronald Reagan) เขา้ ดำ� รงต�ำแหนง่ ประธานาธิบดขี อง สหรฐั ฯ (ค.ศ. 1981 – 1989) การดำ� เนนิ นโยบายตา่ งๆ เชน่ การลดอาวธุ นวิ เคลยี ร์ และการใหค้ วาม ชว่ ยเหลือคนยากจนไม่เป็นประเด็นที่อยใู่ นความสนใจของสาธารณชน แต่ National Council of Catholic Bishops12 ไดเ้ ขียนจดหมายเปดิ ผนกึ ตำ� หนิการท�ำสงครามนิวเคลยี รว์ า่ เป็นเรอ่ื งทผี่ ิดศีล ธรรม และยนื ยนั ถงึ ภาระหนา้ ทท่ี างศาสนาในการใหค้ วามชว่ ยเหลอื คนยากจน พลงั ทางปญั ญาและ จติ วญิ ญาณทางศาสนาของชาวอเมรกิ นั ชว่ ยทำ� ใหแ้ นวคดิ อนรุ กั ษน์ ยิ มทเ่ี กยี่ วกบั นโยบายเศรษฐกจิ และนโยบายต่างประเทศมีความสมดุล กล่าวให้กว้างขึ้นคือมีความเป็นไปได้ว่าความเช่ือมั่นทาง ศาสนาช่วยท�ำให้แนวความคิดของคนส่วนน้อยสามารถแสดงออกได้อย่างมีพลังทั้งในทางปัญญา และทางจิตวิญญาณ แน่นอนว่าไม่มีอะไรแปลกใหม่เป็นพิเศษเก่ียวกับเรื่องน้ี ซ่ึง Alexis de Tocqueville ได้ระบุว่าศาสนาเป็นหนึ่งในปัจจัยส�ำคัญท่ีสุดซึ่งช่วยลดพลังอ�ำนาจของเสียงส่วนใหญ1่ 3 ในฐานะ ท่เี ปน็ แหลง่ รวมหลักการต่างๆ ทอ่ี ยเู่ หนอื จากโลกแห่งวตั ถุ โดยมีภาระหนา้ ทที่ างศีลธรรมมากมาย ในเร่ืองที่เกี่ยวกับนโยบายสาธารณะ ศาสนาซ่ึงมีหลักการคนละแนวทางกับระบบการปกครอง ที่เป็นอยู่ แต่ก็ท�ำหน้าท่ีเหน่ียวร้ังวัฒนธรรมที่มีแนวโน้มไปในทางคล้อยตามกันในระบอบ ประชาธปิ ไตย ประการทสี่ ี่ ความหลากหลายทางศาสนาในสหรฐั ฯ มผี ลกบั การนบั ถอื ศาสนาของผคู้ นทวั่ ไป แม้อาจมีเสนอความเห็นว่าวัฒนธรรมที่มีลักษณะทางโลกย์มากข้ึนของคนอเมริกัน ท�ำให้พื้นที่ สาธารณะท่ีผคู้ นทใี่ ชช้ ีวิตทางสงั คมและทางการเมอื ง ตอ้ งปราศจากหรือขาดความรสู้ กึ รว่ มกนั ทาง ศาสนาและศีลธรรม ความเป็นพหุนิยมอาจจะส่งผลกระทบให้แต่ละศาสนาซึ่งมีหลักการและหลัก dx.doi.org/10.1111/j.1460-2466.1974.tb00367.x 12 The Challenge of Peace: God’s Promise and Our Response A Pastoral Letter on War and Peace by the National Conference of Catholic Bishops May 3, 1983 สืบค้นระบบออนไลน์ http://www.usccb.org/upload/challenge-peace-gods-promise-our-response-1983.pdf 13 อเลก็ ซสิ เดอะ ต๊อกเกอะวิลล,์ ประชาธปิ ไตยในอเมริกา เลม่ 1 (วิภาวรรณ ตวุ ยานนท์ แปล), (กรงุ เทพฯ: มูลนิธิ โครงการต�ำราสงั คมศาสตรม์ นุษยศาสตร,์ 2522) หนา้ 353 – 358. 17
วารสารนิตสิ งั คมศาสตร์ มหาวิทยาลยั เชียงใหม่ ปที ี่ 10 ฉบบั ที่ 2 กรกฎาคม-ธนั วาคม 2560 จริยธรรมที่แตกต่างกันเป็นอุปสรรคต่อการแสดงความคิดเห็นทางการเมืองในการที่จะอ้างอิงเป็น หลักท่ัวไปในการด�ำเนินการทางการเมอื ง แต่ Alexis de Tocqueville เห็นว่าศาสนาคริสต์ช่วยลดพลังอ�ำนาจของเสียงส่วนใหญ่ และดว้ ยพ้ืนทที่ างศาสนาซ่ึงสามารถมีการถกเถยี งกันในเรือ่ งทางดา้ นศลี ธรรม ในประเดน็ เรอื่ งครู่ ัก เพศเดยี วกนั การมเี พศสมั พนั ธน์ อกสถาบนั การสมรส ปญั หาเศรษฐกจิ และการทำ� สงคราม โดยเปน็ เสมือนองคป์ ระกอบหนึง่ ทางดา้ นศีลธรรมของประเทศ เนอ่ื งจากการขาดมมุ มองรว่ มกนั ทางศาสนา ทำ� ใหผ้ เู้ ลอ่ื มใสทางศาสนาทตี่ อ้ งการใหม้ มุ มอง ดา้ นศาสนาปรากฏต่อสาธารณชนต้องตกอยูใ่ นสภาพอับจนทางยุทธวธิ ี การด�ำรงอย่ขู องความเป็น พหนุ ยิ มทางศาสนาในสหรฐั ฯ จงึ ทำ� ใหเ้ กดิ ความจำ� เปน็ ทจี่ ะตอ้ งใชเ้ หตผุ ลทางโลกยใ์ นการแสดงความ คดิ เหน็ ทางการเมอื งโดยมเี ปา้ หมายทางศาสนา นกั เคลอื่ นไหวทางการเมอื งทม่ี เี ปา้ หมายทางศาสนา ต้องแสดงความคิดเห็นด้วยการใช้ศัพท์ในทางโลกย์ที่สาธารณชนสามารถเข้าถึงได้ ถ้าต้องการจะ ใหก้ ารแสดงความคดิ เหน็ ทางการเมอื งไดผ้ ลในการเมอื งอเมรกิ นั รว่ มสมยั กจ็ ำ� เปน็ ตอ้ งมกี ารใชเ้ หตผุ ล ประกอบที่เปน็ หลกั การทางโลกยซ์ ึ่งเป็นทย่ี อมรับมากขนึ้ ดงั การศกึ ษาในประเดน็ โตแ้ ยง้ เกยี่ วกบั การทำ� แทง้ ในสหรฐั ฯ ซง่ึ ไดม้ กี ารแสดงขอ้ มลู ใหเ้ หน็ วา่ การถกเถยี งเรอื่ งการทำ� แทง้ ไดเ้ รมิ่ มกี ารใชเ้ หตผุ ลทางศาสนานอ้ ยลงกวา่ เหตผุ ลทางวทิ ยาศาสตร์14 การอา้ งอิงกฎธรรมชาตหิ รือจากขอ้ ความใน Bible ถกู แทนทด่ี ว้ ยเหตุผลทางชีววิทยาหรือเรื่องของ พันธุศาสตร์ เพ่ือใช้ยืนยันความเป็นมนุษย์ของทารกที่ยังอยู่ในครรภ์ หรือจากการศึกษาวิจัยเรื่อง ทัศนะทางการเมืองของนักบวช ก็มักจะพบกับการให้เหตุผลเชิงวิทยาศาสตร์ในการต่อต้านการ ทำ� แทง้ เชน่ นกั บวชคาทอลกิ รปู หนงึ่ ในรฐั อนิ เดยี นาตอนกลาง ไดใ้ หท้ ศั นะไวอ้ นั มหี ลายแงม่ มุ ทเี่ ปน็ ไปตามแบบฉบับดังกล่าว คอื “ทารกในครรภ์ย่อมเปน็ บุคคลคนหนงึ่ จะเป็นอย่างอืน่ ไปไดอ้ ย่างไร ทารกนนั้ มีดเี อน็ เอเฉพาะ มกี รปุ๊ เลือดทไ่ี ม่จำ� เปน็ ตอ้ งเหมือนกับกรปุ๊ เลอื ดของพอ่ แม่ และทารกนนั้ มีหวั ใจท่เี ต้นไดเ้ อง”15 ในท�ำนองเดียวกนั สำ� หรับประเด็นเรอ่ื งการจดั หลกั สตู รในโรงเรยี นในเรือ่ งเกยี่ วกับแนวคิด วิวัฒนาการ ซ่ึงยังเป็นปัญหาท่ีมีการถกเถียงกันอยู่น้ัน ในบางคร้ังฝ่ายท่ีสนับสนุนความเชื่อท่ีว่า 14 Laura Grindstaff, “Abortion and the popular press: mapping media discourse from Roe to Webster”, Abortion Politics in the United States and Canada studies in public opinion, (edited by Ted G. Jelen and Marthe A. Chandler. Westport), (Connecticut: Praeger, 1994) pp. 57 – 88 15 Ted G. Jelen, “The Constitutional Basis of Religious Pluralism in the United States: Causes and Consequences” สืบค้นระบบออนไลน์ http://journals.sagepub.com/doi/abs/ 10.1177/0002716207301176 18
รัฐทีไ่ รศ้ าสนาประจำ�ชาติ พระเจ้าเป็นผู้สร้างทุกสรรพสิ่ง (Creationism) ก็ยังพยายามหาเหตุผลมาโต้แย้งด้วยการใช้ภาษา เชิงวทิ ยาศาสตร์ร่วมสมยั การทก่ี ลมุ่ Creationist มกี ารนำ� เสนอในรูปแบบใหม่ในระยะหลัง ท�ำให้ ไดร้ บั ความสนใจและไดร้ บั การสนบั สนนุ จากสาธารณะ แนวคดิ scientific creationism หรอื แนวคดิ intelligent design มักจะโต้แย้งด้วยการให้ความส�ำคัญกับประเด็นซึ่งเป็นท่ีถกเถียงกันในสอง แงม่ มุ ประการแรก ทฤษฎวี วิ ฒั นาการมคี ำ� อธบิ ายทไี่ มส่ มบรู ณ์ (มนั เปน็ เพยี งทฤษฎ)ี แตเ่ หตผุ ลเรอื่ ง intelligent design หรือความเชื่อเรื่องพระเจ้าสร้างโลกน้ันมีความน่าเช่ือถือมากกว่า ประการที่ สองก็คือเร่ืองของความเข้าใจที่ถูกต้องและความเป็นกลางทางวิชาการ ข้อเสนอท่ีพอจะได้รับการ ยอมรับก็คือควรมกี ารนำ� เสนอเหตุผลของทงั้ สองฝ่ายและให้ผูเ้ รียนได้ “ตัดสนิ ใจดว้ ยตัวเอง” ประเดน็ ส�ำคัญก็คอื ค�ำอธบิ ายใน Bible เรื่องการสร้างโลกน้นั อาจไมเ่ ปน็ ทย่ี อมรบั ในสังคม ร่วมสมัยของสหรัฐฯ และขณะเดียวกันก็ไม่อยู่ในวัฒนธรรมท่ีมีการขัดขวางอ�ำนาจของ Bible แต่ส�ำหรับผู้ที่ต้องการจะน�ำข้อความบางอย่างในคัมภีร์ไปใช้เป็นเหตุผลในการแสดงความคิดเห็น สาธารณะ กอ็ าจรู้สกึ ว่าจ�ำเป็นตอ้ งหาเหตุผลทม่ี คี วามเป็นไปได้เพอื่ สนบั สนุนด้วยเหตุผลทางโลกย์ ซึ่งเป็นที่ยอมรบั ของคนทัว่ ไปมากกวา่ 4. จากรฐั ทไี่ รศ้ าสนาสู่รฐั สภาวะกง่ึ ศาสนาประจำ� ชาติ จากประสบการณข์ องลกั ษณะพหนุ ยิ มทางศาสนาทเี่ กดิ ขนึ้ ในการเมอื งและรฐั ธรรมนญู ของ สหรัฐฯ สะทอ้ นให้เห็นบทเรยี นสำ� คัญเกยี่ วกบั การจดั วางศาสนาภายในรัฐได้ใน 2 ประเด็น คือ ประเด็นแรก ลักษณะความเป็นพหุนิยมทางศาสนามีพ้ืนฐานมาจากการเมืองและ รฐั ธรรมนญู ของสหรฐั ฯ บทบญั ญตั ทิ วี่ า่ ดว้ ย Establishment Clause และ Free Exercise Clause ใน First Amendment ท�ำให้แต่ละศาสนาต้องมีการแข่งขันและสามารถเจริญเติบโตได้ในสภาพ แวดลอ้ มทางการเมืองและกฎหมายท่ีแยกระหวา่ งรัฐและศาสนาออกจากกัน ประเด็นที่สอง ความเป็นพหุนิยมทางศาสนาและความนิยมในการนับถือศาสนาของคน อเมรกิ นั มผี ลสำ� คญั กบั การเมอื งในทางศาสนา (religious politics) นอกจากศาสนาจะมผี ลกระทบ กบั นโยบายสาธารณะในบางแงม่ มุ แลว้ ยงั ดรู าวกบั วา่ ศาสนาเปน็ เหมอื นแหลง่ อำ� นาจทที่ ำ� ใหพ้ ลเมอื ง ชายขอบสามารถมีพลังทางการเมือง และช่วยให้ความคิดเห็นบางอย่างท่ีไม่ได้รับความนิยมได้มี โอกาสในการแสดงออก ความเปน็ พหนุ ยิ มทางศาสนายงั ทำ� ใหก้ ารแสดงความคดิ เหน็ ทางศาสนาใน แบบสาธารณะอนั มลี กั ษณะเปน็ เรอื่ งทางโลกย์ เนอ่ื งจากนกั เคลอื่ นไหวทางการเมอื งทอ่ี า้ งความเชอ่ื ทางศาสนาไม่สามารถอาศัยข้อสมมติฐานเชิงเทวนิยมหรือศีลธรรมมาใช้ในการสนทนาในแบบ ประชาธปิ ไตยไดอ้ ยา่ งเตม็ ที่ 19
วารสารนิติสังคมศาสตร์ มหาวิทยาลยั เชียงใหม่ ปีที่ 10 ฉบบั ท่ี 2 กรกฎาคม-ธนั วาคม 2560 จากบทเรยี นท่ีเกิดข้นึ ในสหรัฐฯ จึงเปน็ สิ่งทแ่ี สดงใหเ้ หน็ ว่าการปราศจาก “ศาสนาประจำ� ชาติ” มิได้เป็นผลในด้านลบแก่การด�ำรงอยู่หรือความมั่นคงของศาสนาแต่อย่างใด ตรงกันข้าม โดยเหตุท่ีมีลักษณะแบบพหุนิยมทางศาสนากลับเป็นเงื่อนไขท่ีท�ำให้ศาสนาสามารถด�ำรงอยู่ได้ อย่างมีชีวิตชีวา อันเนื่องมาจากความจ�ำเป็นท่ีจะต้องอรรถาธิบายหลักค�ำสอนในแนวความเช่ือ ของตนให้แก่สาธารณชนให้เกิดความเล่ือมใส รวมถึงการให้การสนับสนุนทางด้านทรัพยากรแก่ องคก์ รที่ท�ำหน้าทีเ่ ผยแผ่แนวความคดิ ของกลุ่มนนั้ ๆ ใหส้ ามารถดำ� รงอยู่ได้ ทง้ั หมดยอ่ มนำ� มาสคู่ ำ� ถามวา่ การสรา้ งสภาวะกงึ่ ศาสนาประจำ� ชาตขิ องพทุ ธศาสนาดงั ทไี่ ด้ ระบุไว้ในรัฐธรรมนญู พ.ศ. 2560 และกำ� หนดให้ตอ้ งมกี ารสนบั สนนุ ส่งเสริมและรวมถงึ การสร้าง กลไกในการป้องกันพุทธศาสนาด้วยอ�ำนาจรัฐน้ัน จะสามารถน�ำมาซึ่งความม่ันคงและความเจริญ ก้าวหน้าของพุทธศาสนาได้อย่างไร อ�ำนาจรัฐสามารถเป็นเคร่ืองมือในการสร้างความเฟื่องฟูและ ความมีชีวิตชีวาให้กับศาสนาได้จริงหรือไม่ ในสภาวะท่ีดูราวกับว่าการด�ำรงอยู่ของพุทธศาสนาใน สงั คมไทยตอ้ งเผชญิ กบั คำ� ถามในหลากหลายแงม่ มุ ทงั้ ในดา้ นของการครอบงำ� ของระบบพทุ ธพาณชิ ย์ การแอบอิงกบั อำ� นาจในทางโลกย์ การทุจรติ คอรัปชัน่ ท่ีไมแ่ ตกตา่ งไปจากแวดวงฆราวาส ฯลฯ คำ� ถามนคี้ งมไิ ดจ้ ำ� กดั ไวเ้ ฉพาะเพยี งกบั พทุ ธศาสนาในสงั คมไทยเทา่ นนั้ หากรวมถงึ การดำ� รง อยู่และการจดั วางความสมั พนั ธร์ ะหว่างศาสนากับอำ� นาจรฐั ในสังคมอ่นื ๆ ดว้ ยเช่นกัน 20
รัฐทีไ่ ร้ศาสนาประจำ�ชาติ บรรณานกุ รม ไพโรจน์ ชยั นาม.(2497). ค�ำอธบิ ายกฎหมายรัฐธรรมนญู เปรียบเทียบ เลม่ 1 ข้อความเบ้ืองตน้ และหลกั ทวั่ ไปของกฎหมายรัฐธรรมนญู . มหาวิทยาลยั ธรรมศาสตร์. อเล็กซิส เดอะ ต๊อกเกอะวิลล์. (2522). ประชาธปิ ไตยในอเมริกา เล่ม 1. แปลโดย วิภาวรรณ ตุ วยานนท์. กรงุ เทพฯ: มูลนธิ โิ ครงการตำ� ราสงั คมศาสตรม์ นุษยศาสตร์. Americans United for Separation of Church and State. (N.d.). Is America A Christian Na- tion? Religion, Government and Religious Freedom. Retrieved October 1,2017, from https://www.au.org/resources/publications/is-america-a-christian-nation Ted G. Jelen. (2007). The Constitutional Basis of Religious Pluralism in the United States: Causes and Consequences. Retrieved October 1,2017, from http://journals.sagepub.com/doi/abs/10.1177/0002716207301176 Ted G. Jelen and Marthe A. Chandler. Westport (edi). (1994). Abortion Politics in the United States and Canada studies in public opinion. Connecticut: Praeger. The National Conference of Catholic Bishops. (1983). The Challenge of Peace: God’s Promise and Our Response A Pastoral Letter on War and Peace. Retrieved October 1,2017, from http://www.usccb.org/upload/challenge-peace-gods- promise-our-response-1983.pdf Translated Thai References Jayanama Pairoj. (1954). Textbook on Comparative constitution Volume I: Introduction and General Principle of Constitutional Law. Thammasart University. Alexis de Tocqueville. (1979). Democracy in America Volume I (translated by Vipawan Tuwayanont). Bangkok: The Foundation for the Promotion of So- cial Sciences and Humanities Textbooks Project. ______________________________________________________________________ หน่วยงานผแู้ ตง่ : คณะนติ ิศาสตร์ มหาวิทยาลยั เชยี งใหม่ ถ.หว้ ยแกว้ ต.สเุ ทพ อ.เมือง จ.เชียงใหม่ 50200 เมล์ติดต่อ: [email protected] Affiliation: Faculty of Law, Chiang Mai University 239 Huay Kaew Road, Muang District, Chiang Mai, Thailand, 50200 E-mail: [email protected] 21
วารสารนิติสังคมศาสตร์ มหาวิทยาลัยเชยี งใหม่ ปีท่ี 10 ฉบบั ท่ี 2 กรกฎาคม-ธนั วาคม 2560 22
วารสารนติ ิสงั คมศาสตร์ มหาวิทยาลยั เชียงใหม่ ปที ่ี 10 ฉบับท่ี 2 กรกฎาคม-ธันวาคม 2560 https://www.tci-thaijo.org/index.php/CMUJLSS “ความจริง” ในกระบวนการยตุ ธิ รรมทางอาญาไทย: มมุ มองทางกฎหมายใน วรรณกรรมเร่อื ง รากบุญ ของ ชอ่ มณ1ี ”The Truth” in Thai Criminal Justice System: Legal Perspectives on the Literature in Chomanee’s Rak Boon จิราภรณ์ อัจฉรยิ ะประสทิ ธa์ิ ไพบลู ย์ ชูวฒั นกจิ b Jiraporn Adchariyaprasita Paiboon Chuwattanakijb abคณะมนษุ ยศาสตรแ์ ละสงั คมศาสตร์ มหาวิทยาลยั ราชภฏั สวนสุนนั ทา เลขที่ 1 ถนนอู่ทองนอก แขวงดุสิต เขตดุสิต กรุงเทพมหานคร 10300 Faculty of Humanities and Social Sciences, Suan Sunandha Rajabhat University, 1 U-Thong nok Road, Dusit, Bangkok 10300 Thailand ผ้เู ขียนหลกั . เมล์ตดิ ต่อ: [email protected] Corresponding author E-mail: [email protected] บทคดั ยอ่ กระบวนการยตุ ิธรรมทางอาญาไทยให้ความสำ� คัญกบั “ความจรงิ ” อยา่ งมาก เพราะเชื่อ วา่ ทำ� ใหเ้ กดิ ความเปน็ ธรรมแก่สงั คม ผู้เสยี หาย รวมถงึ จำ� เลยได้ การสบื สวนสอบสวนหรือพจิ ารณา คดีของศาลจึงด�ำเนินไปเพ่ือให้ความจริงปรากฏ บทความน้ีจะศึกษากฎหมายผ่านงานวรรณกรรม โดยใช้มุมมองเชิงวิพากษ์และนิติศาสตร์แนวสตรีนิยมวิเคราะห์ความหมายและการสืบหา “ความจรงิ ” ในกระบวนการยตุ ธิ รรมทางอาญาไทย ในนวนยิ ายเรอ่ื ง รากบญุ ของ ชอ่ มณี เพอ่ื เปดิ เผยใหเ้ หน็ ความคดิ ความเชอื่ ทแี่ ฝงอยใู่ นกระบวนการสบื หาความจรงิ นน้ั จากการศกึ พบวา่ นวนยิ าย สอ่ื ใหเ้ หน็ “ความจรงิ ” ทางกฎหมายในหลายมติ ิ โดยความจรงิ มคี วามสำ� คญั ตอ่ ผเู้ สยี หายและการพสิ จู น์ ความผดิ การสบื หาความจรงิ ยงั ชว่ ยเปดิ เผยใหเ้ หน็ ชวี ติ จติ ใจและตวั ตนของผเู้ สยี หาย รวมถงึ สะทอ้ น ระบบคดิ ของสงั คมทเ่ี กยี่ วกบั กฎหมายอนั เปน็ ความจรงิ ในอกี มติ ทิ มี่ กั ไมป่ รากฏใหเ้ หน็ เปน็ รปู ธรรม ใน วรรณกรรม ตวั ละครหญงิ ถกู สรา้ งใหม้ บี ทบาทสำ� คญั ในการคลค่ี ลายคดแี ละชว่ ยเปดิ เผยความจรงิ ดว้ ย วธิ สี บื แบบเฉพาะ เสยี งของคนตายทเี่ ปลง่ ใหน้ างเอกไดย้ นิ สะทอ้ นการเรยี กรอ้ งความเปน็ ธรรมและ ความตอ้ งการใหค้ วามจรงิ ปรากฏ ขณะเดยี วกนั กส็ อ่ื ใหเ้ หน็ ความขาดพรอ่ งเวา้ แหวง่ ของกระบวนการ ยตุ ธิ รรมทางอาญาไทยบางประการและการถกู เอารดั เอาเปรยี บของคนชายขอบในสงั คมดว้ ย ค�ำส�ำคญั : “ความจริง” ในกฎหมาย, กฎหมายกบั วรรณกรรม, วรรณกรรมสบื สวนสอบสวน 1 บทความนี้เปน็ สว่ นหนึง่ ของงานวจิ ยั เร่อื ง ภาพเสนอกฎหมายในนวนยิ ายของมณีรัตน์ อัศวิศราภรณ์ ไดร้ บั ทุน สนับสนุนงานวิจัยจากสถาบนั วจิ ัยและพัฒนา มหาวทิ ยาลยั ราชภฏั สวนสนุ ันทา ประจ�ำปี 2559 23
วารสารนติ สิ ังคมศาสตร์ มหาวิทยาลัยเชยี งใหม่ ปีที่ 10 ฉบบั ท่ี 2 กรกฎาคม-ธนั วาคม 2560 Abstract The “truth” in Thai criminal justice system is very important because it is what we believe that it provides fairness to the society, victims, including defendants. In this case, the investigation or court’s hearings are conducted in order to allow the truth to be appeared. In this article, it analyzes the definition and the investiga- tion on “truth” in the novel titled Rak Boon of Chomanee by using a critical and Feminist Legal Theory to reveal the ideas, beliefs, or prejudices that lie behind the process of the truth investigation appeared in the novel. From the study, it was found in the novel presented that the truth was important to the victim and the proof of crime. The appeared truth had a complex meaning, both in terms of prov- ing the offence and in terms of revealing life, mind, and reality behind the scenes that were not usually appeared in legal. The female characters were created to play an important role in solving the case and help revealing the truth through specific methods. The voice of the dead that was uttered to the main female character reflected the claim of fairness and the need for the truth to appear; whereas, it il- lustrated the lack of some points of the Thai criminal justice system and the action of taking advantages of marginalized people in Thai society. Keywords: The truth in law, law and literature, investigative literature 1. บทนำ� นวนิยายเรือ่ ง รากบุญ2 ผลงานของ ชอ่ มณี หรือ มณีรตั น์ อัศวิศรากรณ์ ได้รับการตีพมิ พ์ เปน็ ตอนๆ ในนิตยสารภาพยนตรบ์ ันเทิง ตั้งแต่เดือนพฤษภาคม พ.ศ.2549 จากน้นั จงึ พิมพ์รวมเลม่ คร้ังแรกในปี 2554 นวนิยายเรื่องนไ้ี ด้รบั ความนยิ มอยา่ งมาก พมิ พเ์ ป็นตอนๆ เพียงไม่กี่เดือนก็ได้ รับคัดเลือกจากแฟนนวนิยายท่ัวประเทศให้เป็นนวนิยายยอดนิยม ประจ�ำปี พ.ศ. 25493 ต่อมา ในปี 2555 บริษัททีวีซีน แอนด์ พิกเจอร์ สร้างเป็นละครแนวแฟนตาซีก่ึงสืบสวนสอบสวน 2 ชอ่ มณี. รากบุญ (กรงุ เทพฯ : แสงดาว), 2554. 3 เรื่องเดยี วกนั , หน้า ค�ำน�ำผู้เขียน. 24
“ความจรงิ ” ในกระบวนการยตุ ิธรรมทางอาญาไทย: มุมมองทางกฎหมายในวรรณกรรมเรอื่ ง รากบุญ ของ ช่อมณี ออกอากาศทางชอ่ ง 3 ซึง่ ไดร้ บั การตอบรับจากผูช้ มอย่างดี และมภี าค 2 ในปี พ.ศ. 2557 ท่ีรจู้ ักใน ช่ือว่า รากบญุ 2 ตอน รอยรกั แรงมาร เรอื่ ง รากบุญ เปน็ เรอื่ งเกี่ยวกบั การคลคี่ ลายคดีฆาตกรรม มี เจตยิ า หญงิ สาวนักศกึ ษา กฎหมายเป็นตัวละครเอกช่วยต�ำรวจคล่ีคลายคดี เจติยามีฐานะยากจนต้องท�ำงานตบแต่งศพเพ่ือ หารายไดพ้ เิ ศษและจุนเจือครอบครัว การทำ� งานนท้ี �ำให้เธอไดร้ ับกลอ่ งรากบญุ จากลุงทวเี พ่ือนร่วม งาน กล่องรากบุญน้ีท�ำให้เจติยามีพลังพิเศษโดยมองเห็นภาพเหตุการณ์สุดท้ายของผู้ตายได้ โดยหากเจ้าของกล่องคลี่คลายคดีของผู้ตายที่เป็นวิญญาณซึ่งมาเรียกร้องให้ “บอกความจริง” ว่าตนตายได้อย่างไรได้ส�ำเร็จ 3 คร้ัง เธอจะสามารถขอความปรารถนาต่อกล่องได้หนึ่งสิ่ง เจติยา คลคี่ ลายคดไี ดแ้ ละขอใหแ้ มห่ ายปว่ ย ตอ่ มาเจตยิ าตอ้ งการทำ� ลายกลอ่ งรากบญุ เพราะเหน็ วา่ เปน็ สะสม ของกเิ ลส โดยเธอยอมสละชวี ติ ของตนเพอื่ แลกกบั ชวี ติ ของแมแ่ ละนอ้ งชายและการทำ� ลายกลอ่ งราก บญุ ซงึ่ ในทสี่ ดุ เธอสามารถทำ� ลายกลอ่ งได้ จากนน้ั วญิ ญาณของเจตยิ าเดนิ ทางไปพบมจั จรุ าช อยา่ งไร กด็ ี ดว้ ยความดแี ละความเสยี สละของเจตยิ าทำ� ใหม้ จั จรุ าชใหเ้ ธอกลบั ไปมชี วี ติ อกี ครงั้ ช่อมณสี รา้ งโครงเรื่องรากบญุ ใหม้ ีลักษณะผสมผสาน โดยใชเ้ ร่อื งแนวสบื สวนสอบสวนเปน็ โครงเร่ืองหลักผสมผสานกับเร่ืองวิญญาณคนตายในคดีฆาตกรรมและเรื่องรักระหว่างพระเอกกับ นางเอกเปน็ โครงเรอ่ื งรอง การผสมผสานรปู แบบการประพนั ธเ์ ปดิ โอกาสใหช้ อ่ มณใี สเ่ รอื่ งราวเกย่ี ว กบั กฎหมาย ซึง่ เปน็ เรอื่ งท่ีไม่สามารถกลา่ วไดโ้ ดยงา่ ยหรอื กลา่ วถึงได้ ดงั จะเหน็ วา่ สงั คมไทยไม่มอง กฎหมายอยา่ งจรงิ จงั วา่ ตวั เนอ้ื หากฎหมายเปน็ ธรรมหรอื ไม่ แตม่ กั มองวา่ คนในกระบวนการยตุ ธิ รรม ใหค้ วามเปน็ ธรรมกบั เขาไดห้ รอื ไมแ่ ทน การใสโ่ ครงเรอื่ งรกั และเรอื่ งผผี สมผสานไปกบั การฆาตกรรม จงึ เปดิ โอกาสเรอื่ งราวเหลา่ นถ้ี กู ถา่ ยทอดออกมา และยงั สามารถวพิ ากษว์ จิ ารณก์ ระบวนการยตุ ธิ รรม ไดโ้ ดยไม่ถกู เพง่ เล็ง ใน รากบุญ ช่อมณีใช้ผู้เล่าแบบผู้รู้แจ้ง (Omniscient narrator) ในการเล่าเรื่อง ท�ำให้ ผู้อ่านล่วงรู้เหตุการณ์และความรู้สึกนึกคิดของตัวละครได้หมด กลวิธีดังกล่าวเปิดโอกาสให้ช่อมณี นำ� เสนอเรื่องราวของบุคคลในเรือ่ งท้งั เจติยา ผเู้ สยี หาย ผู้กระท�ำผดิ ตำ� รวจ หรือผ้เู กย่ี วขอ้ งอน่ื ๆ ไดอ้ ยา่ งรอบดา้ น ทำ� ใหเ้ หน็ ภาพของคดแี ละความรสู้ กึ นกึ คดิ ของตวั ละครในเรอื่ งปรากฏไดโ้ ดยตรง โดยไมผ่ า่ นปากหรอื สายตาของใครเปน็ การเฉพาะ กลวธิ กี ารเลา่ เชน่ นยี้ งั สอดคลอ้ งกบั การนำ� เสนอ เร่ืองราวความไม่เป็นธรรมท่ีเกิดขึ้นกับผู้ตายหรือผู้เสียหายในคดีความต่าง ๆ ในเร่ือง เพราะเปิด โอกาสให้ตัวละครทุกตัวได้น�ำเสนอภาพเหตุการณ์หรืออารมณ์ความรู้สึกนึกคิดได้อย่างเท่าเทียม และให้ผู้อ่านเป็นผู้ตัดสินความผิดชอบชั่วดีของตัวละครในเรื่องเอง กลวิธีดังกล่าวยังท�ำให้ผู้อ่าน สัมผัสถึงเหตุการณ์และความรู้สึกต่าง ๆ ได้ง่าย อันเป็นการขยายกรอบการรับรู้เกี่ยวกับคดีความ และบคุ คลในคดใี หก้ วา้ งขวางขึน้ 25
วารสารนิติสงั คมศาสตร์ มหาวทิ ยาลยั เชยี งใหม่ ปที ่ี 10 ฉบบั ท่ี 2 กรกฎาคม-ธนั วาคม 2560 วรรณกรรมของชอ่ มณสี ว่ นใหญม่ กั เกยี่ วกบั กฎหมายหรอื การสบื สวนสอบสวน สว่ นหนงึ่ นา่ จะมาจากทช่ี อ่ มณสี ำ� เรจ็ การศกึ ษาดา้ นกฎหมาย โดยมอี าชพี เปน็ นกั เขยี นและทปี่ รกึ ษาดา้ นกฎหมาย ดังทีช่ อ่ มณีให้สมั ภาษณถ์ ึงการเขียนนวนิยายของเธอไว้อยา่ งน่าสนใจว่า “มหี ลายเรื่องทนี่ ำ� ความรทู้ างกฎหมายเขา้ ไปสอดแทรกในนยิ าย เพอ่ื เสรมิ ความรู้ให้ กบั ผอู้ า่ นวา่ มเี รอ่ื งแบบนเี้ กดิ ขนึ้ ในสงั คมดว้ ยเชน่ กนั ตวั ละครแสดงใหเ้ หน็ ความทกุ ข์ จากการทำ� ผดิ กฎหมาย ตัวเอกกเ็ ลา่ ถึงทางแก้ไขซง่ึ มที ั้งยากและงา่ ยผสมกัน มันเป็น เรื่องรอบตัวที่บางคนอาจไม่เคยเจอ แต่มันมีในสังคมจริง ๆ ตัวเองจึงมักน�ำ ประสบการณ์และความผิดพลาดของคู่คดีในศาลมาเขียนผ่านนิยาย เสริมความรู้ให้ คนอา่ นเข้าใจง่ายผา่ นตัวละคร ซ่งึ นยิ ายจะท�ำใหค้ นอา่ นเข้าใจความผิดพลาดของคน อน่ื ไดง้ ่ายและจำ� เปน็ บทเรียนได้เรว็ ”4 ค�ำสัมภาษณ์ของช่อมณีสะท้อนให้เห็นการน�ำประสบการณ์ส่วนตัว อารมณ์ความรู้สึก ท่ีมตี อ่ ผู้คนในคดีมาผสานกบั ประสบการณร์ ่วมทางสงั คม ซงึ่ ช่วยเชื่อมโยงผ้คู นใหไ้ ด้เรียนรเู้ รือ่ งราว เกยี่ วกบั กฎหมาย ประสบการณ์ ความรสู้ กึ นกึ คดิ ของคนในคดแี ละตอ้ งการใหเ้ ปน็ บทเรยี นแกส่ งั คม งานเขยี นของช่อมณจี งึ มีนัยส�ำคญั มากกวา่ นวนยิ ายแนวสบื สวนสอบเพื่อความบันเทิงทว่ั ไป นวนิยายไทยแนวสืบสวนสอบสวนจ�ำนวนมากมักใช้โครงเรื่องรักเข้าไปประกอบหรือใช้ โครงเรอื่ งรกั เปน็ โครงเรอ่ื งหลกั เรอ่ื งสบื สวนสอบสวนกลายเปน็ เครอื่ งเรา้ ความสนใจผอู้ า่ น และอาจ ปฏเิ สธไมไ่ ดว้ า่ มมุ มองของนกั อา่ นไทยตอ่ เรอื่ งแนวสบื สวนสอบสวนนน้ั มกั มองวา่ มเี นอื้ หาหนกั ทำ� ให้ นกั อา่ นมเี ฉพาะกลมุ่ ทส่ี นใจเทา่ นนั้ และยงั สง่ ผลตอ่ การสรา้ งวรรณกรรมมนี อ้ ยดว้ ย ดงั ทช่ี อ่ มณกี ลา่ ว สะทอ้ นการเขยี นงานวรรณกรรมประเภทสบื สวนสอบสวนวา่ มนี อ้ ยไวว้ า่ “คดิ วา่ คนไทยนา่ จะไดอ้ า่ น แนวนบ้ี า้ งจงึ เรม่ิ ลงมอื เขยี น โดยเฉพาะการนำ� ขอ้ กฎหมายไปสอดแทรกกบั เนอื้ หา เพอื่ ใหส้ าระกลาย มาเป็นความสนุกส�ำหรับผู้อ่าน หรอื การต่อสทู้ เ่ี น้นการใช้ปัญญาหรอื ไหวพริบเปน็ หลกั ”5 ค�ำกล่าว ของช่อมณีสื่อให้เห็นสภาวะของการเขียนและการอ่านวรรณกรรมท่ีเก่ียวกับกฎหมายและการ สืบสวนสอบสวนท่ีมีไม่มากนัก อีกทั้งยังส่ือให้เห็นความพยายามเปลี่ยนแปลงโครงสร้างของ วรรณกรรมแนวนใี้ หม้ ที ง้ั สาระและความสนกุ สนานผสมผสานกนั ไป ซงึ่ นา่ จะชว่ ยใหผ้ อู้ า่ นสนใจอา่ น มากขน้ึ ความน่าสนใจในงานวรรณกรรมของช่อมณีอยู่ที่การน�ำเสนอเรื่องกฎหมาย การสืบสวน สอบสวนและใหภ้ าพของผทู้ เ่ี กย่ี วขอ้ งในคดใี นมมุ มองใหม่ โดยเปดิ เผยใหเ้ หน็ ความจรงิ ในมติ ติ า่ ง ๆ 4 ยุทธชัย สว่างสมทุ รชยั . (17 ตลุ าคม 2555). นดั พบนักเขยี น: งานเขียนสะท้อนสงั คมผา่ นปลายปากกา ‘ช่อ มณี’. สบื ค้นเม่ือ 31 กรกฎาคม 2560 จาก www.all-magazine.com. 5 เรอื่ งเดยี วกนั . 26
“ความจริง” ในกระบวนการยตุ ธิ รรมทางอาญาไทย: มมุ มองทางกฎหมายในวรรณกรรมเรื่อง รากบุญ ของ ชอ่ มณี ทั้งด้านการคลี่คลายคดีและ “ความจริง” ในหลายมิติ อันได้แก่ความจริงท่ีเกี่ยวกับวิถีชีวิต จิตใจ และผลกระทบของผู้เก่ยี วขอ้ ง รวมถงึ ท�ำให้ได้รับรู้ความไม่เป็นธรรมทีเ่ กิดขึ้นในสังคม วรรณกรรม เป็นหนทางหนึ่งท่ีท�ำให้คนที่ไม่ได้รับความเป็นธรรมได้เล่าเร่ืองของตนหรือเป็นปากเสียงถ่ายทอด เรื่องราวของผู้อน่ื โดยไม่ถกู ตัง้ ค�ำถามเพราะถกู มองเปน็ เรือ่ งแต่ง 2. ความจริงทางกฎหมายกบั ความจรงิ ของปัจเจก ประเด็นเรื่อง “ความจริง” ในทางกฎหมายมีความส�ำคญั เนือ่ งจากมผี ลต่อการพิสูจนก์ าร กระท�ำความผิด ซ่งึ มหี ลกั ในการพสิ ูจนว์ ่า “ผู้ใดกล่าวอ้างผูน้ ัน้ ตอ้ งพสิ จู น”์ 6 ผู้ทีก่ ลา่ วอ้างจึงมีหนา้ ท่ีน�ำสืบให้ได้ตามที่อ้างน้ัน พยานหลักฐานจึงเป็นส่ิงส�ำคัญในการสนับสนุนค�ำกล่าวอ้างของตน ความจรงิ ในทางกฎหมายปรากฏจากการสบื สวนสอบสวนโดยการรวบรวมพยานหลกั ฐาน โดยการ สืบสวนตามประมวลกฎหมายวธิ พี ิจารณาความอาญา มาตรา 2 (10) หมายถึง “การแสวงหาขอ้ เท็จจริงและพยานหลักฐาน ซึ่งพนักงานฝ่ายปกครองหรือต�ำรวจได้ปฏิบัติไปตามอ�ำนาจหน้าที่ เพอื่ รกั ษาความสงบเรยี บรอ้ ยของประชาชนและเพอ่ื ทจี่ ะทราบรายละเอยี ดแหง่ ความผดิ ”7 สว่ นการ สอบสวนตามประมวลกฎหมายวธิ พี จิ ารณาความอาญา มาตรา 2 (11) หมายถงึ “การรวบรวมพยาน หลักฐานซง่ึ อาจจะเปน็ พยานบคุ คล พยานวตั ถุ พยานเอกสาร”8 จากความหมายจะเห็นว่า ท้ังการ สบื สวนสอบสวนมงุ่ กระท�ำไปเพ่ือหาและรวบรวมพยานหลกั ฐาน ทงั้ น้ี การรวบรวมพยานหลักฐาน นั้นด�ำเนินไปเพื่อ “จะทราบข้อเท็จจริงหรือพิสูจน์ความผิด และเพื่อจะเอาตัวผู้กระท�ำผิดมาฟ้อง ลงโทษ”9 ค�ำกล่าวน้ี สะท้อนความส�ำคัญของการสืบสวนสอบสวนเพราะน�ำไปสู่การค้นพบพยาน หลักฐานท่ีจะใช้พิสูจน์ความผิด ซ่ึงจะมีผลต่อทั้งผู้เสียหายและผู้ต้องหาต้ังแต่ข้ันสอบสวน ถ้าไม่ ปรากฏวา่ ผใู้ ดเปน็ ผกู้ ระทำ� ความผดิ พนกั งานสอบสวนจะงดการสอบสวน แตถ่ า้ ปรากฏตวั ผกู้ ระทำ� ความผิด พนักงานสอบสวนจะท�ำความเห็นควรส่ังฟ้องต่อศาล พร้อมส่งส�ำนวนการสอบสวน แก่พนักงานอัยการ ฉะนั้น การสืบสวนสอบสวนเพ่ือหาพยานหลักฐานจึงมีความส�ำคัญอย่างย่ิง แนวคิดเก่ียวกับการสืบสวนสอบสวนน้ีมีผลต่อการสร้างโครงเรื่อง รากบุญ ที่เน้นการหาหลักฐาน เพอ่ื พิสจู น์ความผิด “ความจรงิ ” ทปี่ รากฏในการสบื สวนสอบสวนเนน้ ความจรงิ ทเี่ ปน็ รปู ธรรม เปน็ เหตเุ ปน็ ผล 6 สมชาย ปรีชาศลิ ปกุล, นติ ศิ าสตร์ไทยเชิงวพิ ากษ์ (กรงุ เทพฯ : วญิ ญชู น, 2549), หน้า 171. 7 สวุ ณั ชยั ใจหาญ. ค�ำอธบิ ายประมวลกฎหมายวธิ พี ิจารณาความอาญา (กรงุ เทพ ฯ : มิตรนราการพิมพ,์ 2530), หน้า 105. 8 เกยี รติขจร วัจนะสวสั ดิ.์ ค�ำอธิบาย หลกั กฎหมายวธิ ีพจิ ารณาความอาญา วา่ ด้วยการด�ำเนินคดีในข้ันตอน ก่อนการพิจารณา. กรงุ เทพ ฯ: พลสยาม, 2553, หน้า 473. 9 เร่ืองเดียวกัน, หนา้ 473. 27
วารสารนติ สิ ังคมศาสตร์ มหาวทิ ยาลยั เชยี งใหม่ ปีท่ี 10 ฉบับที่ 2 กรกฎาคม-ธนั วาคม 2560 พิสจู นไ์ ด้ ซ่ึงสะท้อนความเป็นภาวะวิสยั ดังจะเห็นวา่ มีการน�ำนติ ิวิทยาศาสตรเ์ ข้ามาพสิ ูจน์ความ ผดิ หรือการสรปุ สำ� นวนคดีของต�ำรวจท่เี นน้ ขอ้ เท็จจรงิ ทางคดเี พื่อพจิ ารณาวา่ เป็นความผิดหรือไม่ ฐานใด สะท้อนให้เห็นการประกอบสร้างความจริงขึ้นมา ความจริงท่ีปรากฏจึงเป็น “ระบอบของ ความจรงิ ” ทถ่ี กู สถาปนาขน้ึ จากผมู้ อี ำ� นาจ ซงึ่ อาจกลา่ วไดว้ า่ เปน็ “วาทกรรม” แบบหนง่ึ ความจรงิ จึงไม่มีความจริงแท้หรือมีความจริงเพียงรูปแบบเดียว ดังท่ี มิแช็ล ฟูโก (Michel Foucault) กลา่ วถงึ วาทกรรมกบั ความจรงิ วา่ “แนวคดิ เรอ่ื งวาทกรรมนำ� ไปสขู่ อ้ สรปุ ทวี่ า่ “ความจรงิ ในอดุ มคต”ิ หรือ “ความจริงสัมบูรณ์” นั้นไม่ได้มีอยู่จริง หากแต่ความจริงเป็นสิ่งท่ีขึ้นอยู่กับบริบทและสาย สมั พนั ธร์ ะหวา่ งความรกู้ บั อำ� นาจ”10 ความจรงิ ทถ่ี กู ประกอบสรา้ งยงั มอี ทิ ธพิ ลตอ่ การกำ� หนดกรอบ การรบั รแู้ ละความคดิ ของคนในสงั คมและมอี ทิ ธพิ ลตอ่ การกำ� หนดนยิ ามตวั ตนและบทบาทของบคุ คล ดังจะเห็นว่า ประสบการณ์ อารมณ์ความรู้สึกและตัวตนเชิงปัจเจกของบุคคลในคดีมักถูกมองข้าม หรือท�ำให้กลายเปน็ วตั ถุทีถ่ ูกขีดเขยี นให้เข้าตามขนบทาง กฎหมายท่เี น้นความเปน็ ภาวะวิสัย “ความจรงิ ” เปน็ แกน่ เรอ่ื งหลกั ของ รากบญุ โดยเรอ่ื งราวทง้ั หมดดำ� เนนิ ไปเพอ่ื ใหค้ วามจรงิ ในคดีคลี่คลาย การน�ำเสนอความจริงใน รากบุญ มีความน่าสนใจมาก เพราะสะท้อนให้เห็น ความส�ำคัญของการสืบสวนสอบสวนและการหาพยานหลักฐาน โดยพยานหลักฐานต้องน่าเชื่อถือ ดังจะเห็นวา่ แม้เจตยิ าจะมพี ลงั ลึกลับมองเหน็ เหตกุ ารณส์ ดุ ท้ายของผู้ตาย ทำ� ให้ล่วงร้วู ่าผูต้ ายตาย ไดอ้ ยา่ งไร ใครเปน็ ฆาตกร หากแตเ่ ธอไมส่ ามารถเปน็ ประจกั ษพ์ ยานได้ เพราะกระบวนการยตุ ธิ รรม ไมย่ อมรบั สิง่ ทีไ่ มส่ ามารถพิสจู นไ์ ดห้ รือเป็นเพยี งพยานบอกเล่า11 เพราะไม่น่าเชอ่ื ถือ เจติยาจงึ ต้อง สืบหาหลักฐานท่ีสามารถพิสูจน์การกระท�ำความผิด ซึ่งสะท้อนการยอมรับการเข้าสู่กระบวนการ ยุติธรรม อยา่ งไรก็ดี รากบญุ เปดิ เผยใหเ้ หน็ มุมมองความจรงิ ทางคดใี นมิติท่ีหลากหลายโดยเฉพาะ ด้านจติ ใจ ประสบการณห์ รืออารมณค์ วามรู้สึก ทงั้ ก่อนและหลังคดี ทั้งของผู้เกย่ี วขอ้ งโดยตรง อาทิ ผตู้ าย ผกู้ ระทำ� ผดิ ตำ� รวจ และไมม่ สี ว่ นเกย่ี วขอ้ งอนื่ ๆ ซง่ึ เปดิ เผยใหเ้ หน็ ตวั ตนเชงิ ปจั เจก และทำ� ให้ ผมู้ สี ่วนเกี่ยวขอ้ งในคดีมโี อกาสในการใหเ้ หตผุ ลในการกระทำ� หรือเรยี กรอ้ งความเปน็ ธรรม ในขณะ 10 Michael Foucault. “Truth and Power”, ใน สุรเดช โชติอดุ มพนั ธ์. ทฤษฎวี รรณคดวี จิ ารณ์ตะวนั ตกใน คริสต์ศตวรรษที่ 20 (กรงุ เทพ ฯ : ส�ำนกั พิมพ์แห่งจฬุ าลงกรณ์มหาวิทยาลัย, 2559), หน้า 109-110. 11 ประมลกฎหมายวิธพี ิจารณาความ มาตรา 226/3 วรรคสอง บญั ญตั วิ า่ “ห้ามมิให้ศาลรับฟังพยานบอกเลา่ เวน้ แต่ (1) ตามสภาพ ลักษณะ แหล่งที่มา และข้อเท็จจริงแวดล้อมของพยานบอกเล่าน้ันน่าเช่ือว่าจะพิสูจน์ ความจรงิ ได้ หรือ (2) มเี หตจุ ำ� เปน็ เนอื่ งจากไมส่ ามารถนำ� บคุ คลซง่ึ เปน็ ผทู้ ไี่ ดเ้ หน็ ไดย้ นิ หรอื ทราบขอ้ ความเกย่ี วในเรอ่ื งทจ่ี ะใหก้ าร เปน็ พยานนน้ั ดว้ ยตนเองโดยตรงมาเปน็ พยานได้ และมเี หตผุ ลสมควรเพอ่ื ประโยชนแ์ หง่ ความยตุ ธิ รรมทจ่ี ะรบั ฟงั พยานบอกเล่าน้นั ”. 28
“ความจริง” ในกระบวนการยุติธรรมทางอาญาไทย: มมุ มองทางกฎหมายในวรรณกรรมเรอ่ื ง รากบุญ ของ ชอ่ มณี ทผ่ี อู้ า่ นกส็ ามารถมองเหน็ ทม่ี าทไ่ี ปของเหตกุ ารณแ์ ละเขา้ ใจภาพเหตกุ ารณท์ ง้ั หมดโดยไมด่ ว่ นตดั สนิ ไปกอ่ น ดงั จะเหน็ วา่ ใน รากบญุ ชอ่ มณสี รา้ งใหผ้ ตู้ ายเปลง่ เสยี งใหบ้ อกความจรงิ ซงึ่ สะทอ้ นใหเ้ หน็ ความตายของผู้ท่ีไม่ได้รับความเป็นธรรมและต้องการให้ความจริงเปิดเผย วิญญาณคนตายท่ี เปล่งเสียงออกมาน้ีส่วนใหญ่เป็นกลุ่มคนชายขอบ ซ่ึงสื่อให้เห็นปัญหาเร่ืองความไม่เป็นธรรมท่ี มกั เกิดกับคนท่ีไม่มีอ�ำนาจ ไมม่ ีสิทธิมเี สียง คดคี วามตา่ ง ๆ มักถกู ทำ� ใหเ้ งียบไปหรือสรุปคดีงา่ ย ๆ ดังท่ี เจตยิ ากลา่ วว่า “เพราะความจนจงึ สรุปให้ปิดคดีง่าย ๆ ฉนั อยากทวงความยตุ ิธรรมให้ลุงสมิธ และเมียของเขา”12 ข้อวิพากษ์น้ีเป็นความจริงท่ีไม่ถูกกล่าวถึงอย่างเปิดเผย แต่สะท้อนได้ใน วรรณกรรม การน�ำเสนอความจริงใน รากบุญ ยังเชื่อมโยงกับเรื่องเพศด้วย จะเห็นว่า ใน รากบุญ ช่อมณีเลือกให้ตัวละครหญิงมีบทบาทในการคล่ีคลายคดีแม้จะไม่ได้เป็นต�ำรวจ เจติยาถูกสร้างให้ เปน็ ตวั ละครผรู้ กั ความยตุ ธิ รรม ฉลาด ชา่ งสงั เกตและเสยี สละเพอื่ สว่ นรวม อกี ทงั้ ยงั มบี ทบาทในการ คลค่ี ลายคดมี ากกวา่ ตำ� รวจ ซง่ึ ดจู ะขดั แยง้ กบั นวนยิ ายแนวสบื สวนสอบสวนตามขนบ ทตี่ วั ละครเอก มักเป็นผู้ชาย ตัวละครหญิงมักเป็นเหยื่อหรือตัวประกอบ ฝ่ายชายยังถูกฉายภาพให้เป็นผู้ปกป้อง คุ้มครองหรือผดุงความยุติธรรม ส่วนฝ่ายหญิงเป็นผู้ต้องได้รับการปกป้องและอ่อนแอ การปรับ เปลย่ี นใหต้ วั ละครหลกั เปน็ ผหู้ ญงิ สง่ ผลใหค้ วามจรงิ ถกู นำ� เสนอในลกั ษณะทแี่ ตกตา่ งจากวรรณกรรม สบื สวนสอบสวนตามขนบ อีกท้ังยังเห็นวิธีการสบื สวนสอบสวนในแบบเฉพาะ เป็นการเปิดพืน้ ท่ีให้ ผหู้ ญิงเข้าไปมีบทบาทในพน้ื ท่ีของผชู้ าย วรรณกรรมทคี่ ดั สรรมาน้มี ีลักษณะแตกตา่ งจากวรรณกรรมสืบสวนสอบสวนตามขนบ ตัว ละครหญิงมีบทบาทส�ำคัญในเรื่อง และยังมีตัวละครผีเข้ามาประกอบ ซึ่งอาจสื่อให้เห็นถึงความ พยายามของผู้เขียนที่จะน�ำเสนอภาพแทนกฎหมายและบทบาทผู้หญิงในกระบวนการยุติธรรมใน มุมมองใหม่ การน�ำเสนอภาพแทนดังกล่าวยังเปิดเผยให้เห็นความจริงอีกแง่มุมหนึ่งที่เกี่ยวกับ กฎหมายและการท�ำงานของบุคลากรในกระบวนการยุติธรรม เห็นตวั ตนและการต่อสู้ ตอ่ รองของ ผู้หญิง และเห็นความตายอย่างไม่ได้รับความเป็นธรรมจากเสียงของผู้ตายที่ส่วนใหญ่เป็นคนชาย ขอบในมิติที่หลากหลาย การศึกษากฎหมายผ่านวรรณกรรมเป็นช่องทางให้ผู้อ่านได้เข้าไปสัมผัส และรับรู้ตัวตนของปัจเจกบุคคลไม่ว่าจะเป็นคนชายขอบ ผู้หญิง ผู้ตายหรือผู้ท่ีอยู่ในกระบวนการ ยุติธรรม บทความนี้จะศึกษากฎหมายและกระบวนการยุติธรรมผ่านวรรณกรรม โดยมุ่งวิเคราะห์ ความหมายและการสบื หาความจรงิ ในกระบวนการยตุ ธิ รรมทางอาญาไทย โดยใชม้ มุ มองเชงิ วพิ ากษ์ และนิติศาสตรแ์ นวสตรนี ยิ มเปน็ กรอบความคดิ เพ่ือใหเ้ กดิ ความเข้าใจและขยายมมุ มองท่เี กยี่ วกบั “ความจริง” ในกระบวนการยุตธิ รรมออกไป 12 ช่อมณ.ี รากบุญ, หน้า 268. 29
วารสารนิตสิ ังคมศาสตร์ มหาวิทยาลัยเชยี งใหม่ ปที ี่ 10 ฉบับที่ 2 กรกฎาคม-ธนั วาคม 2560 3. ผหู้ ญงิ กับบทบาทการสบื หาความจรงิ ประเด็นเร่ืองเพศถกู มองวา่ ปรากฏอยูใ่ นกฎหมายและกระบวนการยตุ ธิ รรม นกั นติ ศิ าสตร์ แนวสตรนี ยิ มเชอ่ื วา่ กฎหมายและบทบาทของกฎหมายทดี่ ำ� รงอยนู่ น้ั สะทอ้ นผลประโยชนข์ องมนษุ ย์ เพศชายมากกว่าเพศหญิง ประหนึ่งมีธรรมชาติความเป็นชายในตัวกฎหมาย13 นักสตรีนิยมยังตั้ง ค�ำถามกับกฎหมายว่า “กฎหมายได้ละเลยหรือเพิกเฉยต่อประสบการณ์และค่านิยมที่ดูเหมือนว่า เป็นของผู้หญงิ มากกวา่ ผู้ชายอย่างไร มาตรฐานและแนวคดิ ทางกฎหมายไดท้ ำ� ใหผ้ หู้ ญิงเสียเปรียบ อย่างไร ค�ำถามเหล่านี้มีนัยว่ากฎหมายน้ัน นอกจากจะไม่มีความเป็นกลางทางเพศแล้ว ยังเป็น “ผชู้ าย” อกี ดว้ ย”14 ซง่ึ ทง้ั หมดอยใู่ นกรอบโครงสรา้ งทางสงั คมกรอบใหญค่ อื ปติ าธปิ ไตย สงั คมปติ า ธิปไตยสร้างและสืบทอดมายาคติเกี่ยวกับธรรมชาติของเพศในแบบทวิลักษณะ กล่าวคือ สร้างให้ ผู้ชายสัมพันธ์กับความเป็นเหตุเป็นผล ความเป็นระเบียบ เข้มแข็ง ส่วนผู้หญิงสัมพันธ์กับอารมณ์ ความรสู้ ึก ความไรร้ ะเบียบ และออ่ นแอ ซึง่ เอ้ือให้อำ� นาจกับผู้ชายมากกว่า มายาคตดิ ังกล่าวทำ� ให้ ผู้ชายมีบทบาทในกระบวนการยุติธรรมมากกว่าผู้หญิง ดังจะเห็นว่า การเขียนกฎหมาย บุคลากร หรือกระบวนการสืบสวนสอบสวนล้วนถูกสร้างหรือเป็นพ้ืนท่ีของผู้ชายเกือบทั้งสิ้น กฎหมายจึงมี นัยเปน็ “การเมอื งเร่ืองเพศ” อยา่ งหนงึ่ อิทธิพลของมายาคติทางเพศท่ีส่งผลต่อบทบาทหญิงชายในกระบวนการยุติธรรมสะท้อน ใหเ้ หน็ ไดจ้ ากขนบการเขยี นวรรณกรรมแนวสบื สวนสอบสวนทตี่ วั ละครเอกมกั จะเปน็ ชาย การใชต้ วั ละครชายเป็นตัวละครหลักเป็นท่ีนิยมและเป็นขนบหลักของการแต่งเร่ืองแนวนี้มาอย่างต่อเน่ือง ตัวละครหญิงที่ปรากฏมักเป็นตัวละครประกอบ เป็นเหย่ือหรือเป็นตัวเสริมบทบาทให้กับตัวละคร ชายเสียมากกว่า การสร้างตัวละครในลักษณะดังกล่าวดูจะสร้างภาพแทนให้ผู้หญิงห่างไกลจาก ตัวบทกฎหมาย ไมม่ คี วามรู้ กลายเปน็ ฝ่ายถูกกระทำ� ซ่ึงเปน็ การลดทอนคุณคา่ ตัวตน และความรู้ ความสามารถของผูห้ ญิงไป ชอ่ มณสี รา้ งสรรคน์ วนิยาย โดยน�ำความร้ทู างด้านกฎหมายใสไ่ ปในเน้ือหาและใหต้ วั ละคร หลกั เปน็ ผหู้ ญงิ โดยเธอมองวา่ การเขยี นนวนยิ ายมอี ทิ ธพิ ลตอ่ ความคดิ จติ ใจของผอู้ า่ นเปน็ อยา่ งมาก โดยเฉพาะผู้หญิงซ่ึงเป็นกลุ่มผู้อ่านส่วนใหญ่ ในบทสัมภาษณ์ ช่อมณีกล่าวถึงประเด็นการอ่าน นวนยิ ายของผู้หญงิ ไวอ้ ยา่ งนา่ สนใจว่า “ผูห้ ญงิ จึงมกั ชอบอ่านนยิ าย แตม่ ีความร้ทู างดา้ นกฎหมาย น้อยเหลือเกิน ตัวเองเลยสอดแทรกความร้ตู รงนเี้ ข้าไปในนิยาย รวมถึงอยากสง่ เสรมิ ใหผ้ หู้ ญิงรู้จกั คณุ คา่ ของตัวเองมากขน้ึ วา่ ตวั เองนน้ั สามารถยืนหยดั เขม้ แข็ง และปกปอ้ งตวั เองได้”15 คำ� กลา่ ว 13 จรัญ โฆษณานันท.์ นติ ิปรัชญาแนววพิ ากษ์ (กรงุ เทพ ฯ : นิตธิ รรม, 2555), หน้า 80. 14 Katherine Bartlett. Feminism Legal Methods. อา้ งใน พรรณรายรตั น์ ศรไี ชยรตั น,์ “Feminist Legal Theory”, ดุลพาห, 46(2), หน้า 93. 15 ยทุ ธชยั สวา่ งสมทุ รชยั . (17 ตลุ าคม 2555). นดั พบนกั เขยี น: งานเขยี นสะทอ้ นสงั คมผา่ นปลายปากกา ‘ชอ่ มณ’ี . 30
“ความจรงิ ” ในกระบวนการยุตธิ รรมทางอาญาไทย: มุมมองทางกฎหมายในวรรณกรรมเรอื่ ง รากบุญ ของ ช่อมณี ของช่อมณีสะท้อนให้เห็นพันธกิจของนักเขียนหญิงที่มีต่อผู้หญิงและสังคม และช่วยเช่ือมโยง กฎหมายเข้ากบั ผ้หู ญิง อีกทัง้ ยงั สะทอ้ นให้เห็นวา่ กิจกรรมการอา่ นของผูห้ ญิงไม่ใชเ่ ปน็ กจิ กรรมฆา่ เวลาหรอื เปน็ เรอ่ื งทเี่ ปลา่ ประโยชนซ์ ำ�้ ซาก หากแตเ่ ปน็ กจิ กรรมทช่ี ว่ ยประเทอื งความรู้ ประสบการณ์ และสามารถสร้างจิตส�ำนึกใหม่ในการปกป้องหรือตระหนักถึงคุณค่าของตนได้ จากแนวคิดของ ช่อมณีดังกลา่ ว ทำ� ใหป้ ฏิเสธไมไ่ ดว้ ่า การสรา้ งสรรค์ตัวละครเอกใหเ้ ป็นผ้หู ญงิ และมีบทบาทในทาง กฎหมายน่าจะเป็นความจงใจ ซึง่ สือ่ นยั ยะทางเพศอยา่ งส�ำคญั ใน รากบญุ ชอ่ มณเี ปดิ พน้ื ทใ่ี หผ้ หู้ ญงิ ไดเ้ ขา้ ไปโลดแลน่ แสดงความสามารถในทางกฎหมาย โดยสร้างตัวละครเอกให้เป็นผู้หญิงและมีบทบาทในการคลี่คลายคดี และมีส่วนร่วมในการสืบสวน สอบสวน อยา่ งไรกด็ ี ชอ่ มณไี มไ่ ดส้ รา้ งใหเ้ จตยิ าเปน็ ตำ� รวจ หากแตเ่ ปน็ นกั ศกึ ษากฎหมาย ซง่ึ สะทอ้ น ให้เห็นความส�ำคัญของการมีความรู้ด้านกฎหมายและมีจิตส�ำนึกแห่งความยุติธรรมและเสียสละ ซง่ึ ชว่ ยนำ� พาใหเ้ ธอเขา้ ไปในโลกของผชู้ ายและมบี ทบาทในกระบวนการยตุ ธิ รรมไมแ่ พผ้ ชู้ าย ชอ่ มณี สอ่ื ใหเ้ หน็ วา่ บคุ คลทจ่ี ะคลคี่ ลายคดยี งั ไมจ่ ำ� เปน็ ตอ้ งเปน็ ผทู้ มี่ บี ทบาทหนา้ ทใ่ี นกระบวนการยตุ ธิ รรม เสมอไป หากแตเ่ ปน็ ผูท้ ี่รักในความยตุ ิธรรมและเสยี สละดว้ ย ใน รากบญุ เจตยิ าถกู สรา้ งใหเ้ ปน็ หญงิ ชา่ งสงั เกต เกง่ กลา้ รกั ความยตุ ธิ รรมและเสยี สละ แมเ้ จ ติยาจะไม่ใช่ต�ำรวจแต่เธอเป็นตัวหลักในการคล่ีคลายคดี อย่างไรก็ตาม การคล่ีคลายคดีของ เจติยาไม่ได้ท�ำไปตามวิธีการตามขนบของต�ำรวจ หากแต่ท�ำตามวิธีการแบบเฉพาะของเธอเอง บางครง้ั เจตยิ าทำ� ตวั เปน็ นกั สบื นกั สงั คมสงเคราะห์ นกั นติ วิ ทิ ยาศาสตร์ และนกั กฎหมาย วธิ กี ารดงั กลา่ วเปดิ โอกาสใหเ้ จตยิ าสามารถเขา้ ไปสบื คน้ หาหลกั ฐานไดง้ า่ ยและรวดเรว็ กวา่ ดงั เชน่ ตอนท่ี เจตยิ า สบื หาความจรงิ คดขี องเอยี ด เธอทำ� ตวั คลา้ ยนกั สบื ชา่ งสงั เกต กลา้ หาญและมคี วามรเู้ รอ่ื งยาเสพตดิ “โชคดที ่ีประตูห้องพักของพทิ ยาก�ำลังรอแม่บ้านมาปิดล็อก เจตยิ าเข้าไปในห้องแล้ว มองส�ำรวจหอ้ งอยา่ งละเอียด พลางสดู ดมกลิน่ แปลก ๆ ในหอ้ ง ข้าวของหลายชน้ิ วาง อยู่บนพื้น เมื่อเดินไปท่ีโต๊ะญี่ปุ่นข้างเตียง จึงเห็นคราบผงสีขาวท่ีเจ้าหน้าเก็บไป ไม่หมด ท�ำให้หล่อนคาดเดาว่ากลิ่นแปลก ๆ นั้นมาจากผงสีขาวท่ีน่าจะมีการเผา เพือ่ สูดดม “ยาเสพติด!” หล่อนพึมพ�ำ หลังจากสูดดมใกล้ ๆ แล้วยืนมองเตียงนอนซึ่งไม่มี รอยย่น มันแสดงว่ายงั ไมม่ กี ารนอนบนเตียงเลย เจติยาเหลือบไปเห็นสรอ้ ยขอ้ มือเส้นหนง่ึ ตกในซอกต้โู ชวซ์ งึ่ มโี ทรทัศน์ต้งั อยู่ จงึ หยบิ กลอ้ งดจิ ติ ลั ออกมาจากเปท้ ห่ี ลงั เพอ่ื ถา่ ยภาพเกบ็ ไว้ แลว้ จงึ ลว้ งมอื เขา้ ไปหยบิ มนั ออก มามองพินิจดว้ ยหัวใจเต้นระทึก”16 16 ชอ่ มณี. รากบุญ, หนา้ 139. 31
วารสารนติ ิสงั คมศาสตร์ มหาวทิ ยาลัยเชียงใหม่ ปที ่ี 10 ฉบับท่ี 2 กรกฎาคม-ธนั วาคม 2560 วิธีการสืบสวนของเจติยายังสามารถสร้างปฏิสัมพันธ์กับบุคคลท่ีเกี่ยวข้องได้ง่าย และ สามารถเข้าไปสืบข้อมูลได้โดยไม่จ�ำเป็นต้องมีคดีเกิดขึ้นหรือมีการแจ้งความก่อน ซึ่งสะท้อนการ ทำ� งานเชิงรกุ ดังเช่น กรณีชายชราในบ้านสงเคราะหห์ ายตัวไป เจติยาเขา้ ไปสบื หาหลักฐานจนพบ ว่าเจ้าของสถานสงเคราะห์เป็นฆาตกร โดยเข้าไปในบ้านพักคนชราในฐานะนักสังคมสงเคราะห์ พร้อมเพ่ือนของเธอ ด้วยภาพลักษณ์ท่ีเป็นมิตร จริงใจของเจติยาท�ำให้เธอได้รับข้อมูลที่ส�ำคัญ จากคนชรา และเธอยงั กลายเปน็ ความหวงั และทพี่ ง่ึ สดุ ทา้ ยของกลมุ่ คนชราดว้ ย หรอื ในกรณขี องกงิ่ เดก็ เรร่ อนทขี่ ายบรกิ ารแลว้ ถกู ฆา่ ตาย เจตยิ าแกะรอยและสบื หาความจรงิ จนจบั ตวั คนรา้ ยและชว่ ย เหลอื เพอ่ื นของกงิ่ อกี สองคนไวไ้ ดอ้ ยา่ งรวดเรว็ วธิ กี ารสบื ของเจตยิ าสะทอ้ นการทำ� งานทรี่ วดเรว็ และ มีประสิทธิภาพ อย่างไรก็ดี แม้เจติยาจะใช้วิธีการเฉพาะของเธอ แต่เธอก็น�ำหลักฐานไปให้ต�ำรวจ สะทอ้ นใหเ้ ห็นการยอมรบั การอยใู่ นขนบของกระบวนการยตุ ธิ รรมด้วย การคล่ีคลายคดีของเจติยาช่วยเปิดเผยรายละเอียดต่าง ๆ ท่ีเก่ียวกับคดีและผู้ท่ีเก่ียวข้อง ในคดีท่ีกระบวนการยุติธรรมมักมองข้ามไป ดังจะเห็นว่า การเข้าไปสืบของเจติยาเผยให้เห็นเบื้อง หลังของตัวละครต่าง ๆ ในด้านอารมณ์ความรสู้ ึก เหตุผล ผลกระทบ หรอื ความเสยี หายต่าง ๆ ทง้ั กอ่ นและหลงั คดเี กดิ ขนึ้ ซง่ึ มคี วามซบั ซอ้ นและมรี ายละเอยี ดอยา่ งมาก ดงั เชน่ คดที ป่ี อ้ ม หญงิ พกิ าร ถูกฆา่ ชงิ เอาลอ็ ตเตอร่ีทถ่ี ูกรางวลั ท่สี องไป เบื้องหลังความตายนน้ั พบวา่ ล็อตเตอร์รี่ มีความส�ำคญั กบั ปอ้ มมาก เพราะเธอเปน็ หญงิ พกิ าร เงนิ ดงั กลา่ วจะชว่ ยใหเ้ ธอมชี วี ติ ทด่ี ขี น้ึ หรอื แมก้ ระทงั่ ผกู้ ระทำ� ผดิ เองกม็ เี บอื้ งหลงั พศิ กบั แฟนหนมุ่ ฆา่ ปอ้ ม โดยนอกจากเพอ่ื นำ� เงนิ ไปใชห้ นแี้ ลว้ ยงั ตอ้ งการซอ้ื บา้ น และไถน่ าให้พ่อแมด่ ้วย อย่างไรกด็ ี รากบุญ ชีใ้ หเ้ ห็นว่าผู้กระทำ� ผิดยอ่ มต้องถูกลงโทษ มอิ าจละเว้น ได้ แตท่ งั้ นผี้ กู้ ระทำ� ผดิ อาจจะไมใ่ ชค่ นชวั่ รา้ ยโดยสนั ดารทกุ คน การใสร่ ายละเอยี ดดา้ นอารมณค์ วาม รู้สึกและเบื้องหลังของผู้ท่ีเกี่ยวข้องในคดีเป็นการช่วยเติมเต็มประสบการณ์ อารมณ์ความรู้สึกที่ ขาดหายไปในทางคดี การพิจารณาของศาล รวมถึงส�ำนวนคดีท่ีมักให้ความส�ำคัญกับข้อมูลที่เป็น ข้อเท็จจริงเชิงรูปธรรม เน้นความเป็นภาวะวิสัย โดยตัดประสบการณ์และอารมณ์ความรู้สึกของ ปจั เจกบคุ คลไป การมีพลังลึกลับมองเห็นภาพเหตุการณ์สุดท้ายของผู้ตาย เป็นสิ่งที่ไม่เข้ากรอบการสืบหา ความจริงตามกระบวนการยุติธรรม เพราะเป็นส่ิงท่ีไม่สามารถอธิบายหรือพิสูจน์ได้ตามหลักทาง วทิ ยาศาสตร์ ประกอบกบั มายาคตแิ บบทวลิ กั ษณร์ ะหวา่ งหญงิ และชายทสี่ รา้ งภาพใหธ้ รรมชาตขิ อง ชายมคี วามเปน็ เหตเุ ปน็ ผลมากกวา่ หญงิ และเออ้ื ประโยชนใ์ หแ้ กผ่ ชู้ าย คำ� พดู ของผหู้ ญงิ ยงั ถกู ครอบ ในโครงสรา้ งคำ� พดู แบบชายทเี่ นน้ อาศยั ตรรกะแหง่ เหตผุ ลเปน็ สำ� คญั ตรรกะแหง่ เหตผุ ลทคี่ รอบดว้ ย ความเปน็ ชายดังกล่าว ทำ� ให้เกิดปญั หาในการถา่ ยทอดประสบการณ์ อารมณค์ วามรูส้ กึ อันจ�ำเพาะ ของผหู้ ญงิ เสยี งและตวั ตนของผหู้ ญงิ จงึ อาจหายไป พรรณรายรตั น์ ศรไี ชยรตั น์ กลา่ ววา่ “ผหู้ ญงิ ไม่ เพียงแต่จะไม่มีภาษาที่ใช้แสดงลักษณะเฉพาะของตนเท่านั้น แต่ยังไม่มีชีวิตเป็นของตนอีกด้วย 32
“ความจริง” ในกระบวนการยุติธรรมทางอาญาไทย: มมุ มองทางกฎหมายในวรรณกรรมเรอื่ ง รากบญุ ของ ช่อมณี ไรค้ �ำพดู ไรค้ นไดย้ ิน ไมไ่ ด้เปน็ เพียงผลของการไมไ่ ดร้ บั การยอมรบั ในความมีตัวตนหรอื ไม่มีใครรู้ว่า จะฟังอย่างไรเท่านั้น หากแต่ยังเป็นผลของการถูกกีดกันออกจากการมีอะไรจะพูดอีกด้วย”17 มายาคติทางเพศสะท้อนให้เห็นใน รากบุญ อย่างน่าสนใจ ดังจะเห็นได้จากการที่หมวดนวัช ต�ำรวจหนุ่มพยายามถามหาเหตุผลว่าเจติยาสามารถให้เบาะแสหรือสเก็ตภาพคนร้ายได้อย่างไร เจตยิ าไมย่ อมบอกเหตผุ ล เพราะเธอคดิ วา่ หมวดนวชั คงไมเ่ ชอื่ การตอบไปตามตรงอาจทำ� ใหเ้ บาะแส กลายเปน็ สงิ่ ไมน่ า่ เชอื่ ถอื ดว้ ย ประเดน็ นสี้ อ่ื ใหเ้ หน็ วา่ ประสบการณพ์ เิ ศษของเจตยิ าเปน็ ประสบการณ์ อันจ�ำเพาะ ที่หล่อหลอมจากปัจจัยหลายอย่างทั้งเพศ ความเช่ือเรื่องผี ส่ิงลึกลับ ศาสนาหรือ วัฒนธรรม ซึ่งมักไม่อยู่ในกรอบของเหตุผลหรือการอธิบายได้ตามหลักวิทยาศาสตร์ที่มีโครงสร้าง จากความเปน็ ชาย สง่ิ ทเ่ี ธอทำ� ไดค้ อื การไมต่ อบหรอื อธบิ ายผา่ นกรอบทคี่ ดิ วา่ หมวดนวชั จะเขา้ ใจได้ เพยี งเทา่ น้นั อย่างไรก็ดี การไม่ตอบหรอื การเล่ียงคำ� ตอบของเจติยาอาจไมไ่ ด้สะทอ้ นความไร้ตัวตนของ ผหู้ ญงิ แตก่ ลบั สะทอ้ นทางเลอื กและการเปดิ พนื้ ทใี่ หก้ บั ผหู้ ญงิ ทจ่ี ะปลดเปลอ้ื งอำ� นาจความเปน็ ชาย ท่ีแทรกซึมอยู่ในกฎหมายและถ้อยค�ำ อีกทั้งยังสื่อให้เห็นข้อจ�ำกัดในภาษากฎหมายที่ไม่สามารถ อธบิ ายประสบการณเ์ ฉพาะของผหู้ ญงิ ได้ การเลอื กไมต่ อบ นง่ิ เงยี บหรอื เลย่ี งคำ� ตอบจงึ เปน็ คำ� ตอบ แบบหน่งึ ในวิถที างเฉพาะของผ้หู ญงิ ในสภาวะดงั กลา่ ว เจตยิ ามไิ ด้อยูใ่ นสถานะเป็นเบีย้ ล่างเพราะ ตอบคำ� ถามไม่ได้ แตเ่ ธอกลายเป็นผกู้ ระทำ� การ (agency) เธอสามารถอ่านกฎเกณฑ์หรือขนบทาง กฎหมายทใ่ี หค้ วามสำ� คญั กบั สงิ่ ทพี่ สิ จู นไ์ ด้ ดงั นนั้ เธอจงึ เลอื กไมต่ อบเพราะหากตอบ เธออาจกลาย เปน็ คนท่ีไมน่ า่ เชื่อถือ ข้อมลู ของเธอจะไร้ประโยชน์ ดังคำ� บรรยายที่ว่า “เจติยาทราบดีว่า ถ้าบอก เลา่ ความจรงิ วา่ มนั เปน็ ภาพสดุ ทา้ ยของลงุ สมทิ ธซง่ึ ถา่ ยทอดใหร้ บั รหู้ ลงั จากเขาตายแลว้ หมวดนวชั ต้องขาดความเชือ่ ถือกับขอ้ มลู จากหลอ่ นแน่”18 การนิ่งเงียบหรอื เลย่ี งค�ำตอบจึงสะท้อนการต่อรอง กบั อำ� นาจความเปน็ ชายและกรอบคดิ แบบวทิ ยาศาสตร์ การตอ่ รองดงั กลา่ วสง่ ผลใหต้ ำ� รวจหนมุ่ ตก อย่ใู นสภาวะงงงันและไมซ่ กั ถามเธอตอ่ ไป ดงั ท่ีเจตยิ ากล่าววา่ “เขาสงสัยและทำ� ใจไดว้ า่ ฉันไมย่ อม บอกที่มาของข้อมูลพวกนี้แน่ จึงอยากใช้สิ่งนี้เพ่ือประโยชน์ในคดีของต�ำรวจตราบใดที่ไม่ขัดต่อ กฎหมาย”19 ต่อมาเมื่อเวลาผ่านไปความงงงันน้ันค่อย ๆ คล่ีคลายไปเอง หมวดนวัชเร่ิมเข้าใจ ประสบการณพ์ เิ ศษของเจตยิ าและยอมรบั วา่ เธอสามารถชว่ ยงานตำ� รวจได้ ในทา้ ยเรอื่ ง เจตยิ าตดั สนิ ใจบอกความจรงิ กบั ผกู้ ำ� กบั และหมวดนวชั แมว้ า่ ทงั้ สองคนจะไมเ่ ชอ่ื เรอ่ื งทเ่ี ธอเลา่ แตก่ ไ็ มอ่ าจปฏเิ สธ ความสามารถของเธอได้ ดงั คำ� พดู ทห่ี มวดนวชั กลา่ ว “แมม้ นั จะฟงั ดพู ลิ กึ แตค่ ณุ แสดงพรสวรรคน์ นั้ เพื่อช่วยคลี่คลายคดีฆาตกรรมซึ่งแทบไม่มีทางจับคนผิดได้เลย มันท�ำให้ผมยอมรับโดยดีกับความ 17 พรรณรายรัตน์ ศรไี ชยรัตน์, “Feminist Legal Theory”, ดลุ พาห, 46(2), หน้า 108. 18 ชอ่ มณี. รากบุญ, หน้า 390. 19 เรื่องเดียวกัน, หน้า 390. 33
วารสารนิติสังคมศาสตร์ มหาวทิ ยาลัยเชียงใหม่ ปที ่ี 10 ฉบับที่ 2 กรกฎาคม-ธนั วาคม 2560 ลกึ ลบั น้นั ”20 เป็นท่นี ่าสงั เกตว่า การทผี่ กู้ ำ� กบั ไม่เชอ่ื ค�ำพูดของเจติยาสะท้อนกรอบความคิดคนละกรอบ ดังจะเห็นว่า เมื่อเจติยาบอกผู้ก�ำกับว่าเธอมีพลังพิเศษสามารถเห็นภาพเหตุการณ์สุดท้ายของ คนตายได้ ผกู้ �ำกบั ไมเ่ ช่ือ โดยให้เหตุผลวา่ ส่ิงท่เี จติยาเหน็ น้นั ไมม่ คี วามเป็นเหตเุ ปน็ ผล ไมน่ ่าเชอ่ื ถอื ดังคำ� กลา่ วของผู้ก�ำกับที่วา่ “ถ้าเปน็ สมยั โบราณผมเรียกว่า ผบี อกคุณ แต่ยคุ นผ้ี มไม่เชื่อเรื่องพวกนี้ เลย มันควรมีเหตุผลน่าเชื่อกว่านี้นะ”21 ค�ำกล่าวของผู้ก�ำกับส่ือให้เห็นการใช้กรอบตรรกะแบบ วทิ ยาศาสตรต์ ามแนวทางของตำ� รวจทสี่ มั พนั ธก์ บั ความมเี หตมุ ผี ลและพสิ จู นไ์ ด้ สว่ นเจตยิ าใชก้ รอบ ทมี่ าจากประสบการณพ์ เิ ศษสว่ นตวั และอารมณค์ วามรสู้ กึ เชงิ ปจั เจก ซง่ึ แมจ้ ะพสิ จู นไ์ ดย้ ากแตใ่ ชง้ าน ได้อย่างมปี ระสิทธิภาพไมต่ ่างกนั ความพยายามทำ� ความเขา้ ใจประสบการณพ์ เิ ศษหรอื พลงั ลกึ ลบั ยงั สะทอ้ นความสมั พนั ธเ์ ชงิ อ�ำนาจและการต่อสู้ต่อรองในการเข้าไปสู่พ้ืนท่ีในกระบวนการยุติธรรมของผู้หญิง ดังจะเห็นว่า เจติยาพยายามสอ่ื สารกับผกู้ ำ� กบั ว่าส่งิ ที่เธอท�ำมีประโยชน์ และใช้เป็นเบาะแสหาคนรา้ ยได้ และยงั ไม่ผิดกฎหมาย โดยอ้างองิ วิธีการตามทตี่ ำ� รวจตะวันตกท�ำ ดังทเ่ี จตยิ าพดู กับผู้ก�ำกบั ว่า “ท่านสนใจจับฆาตกรตัวจริงให้ได้ สังคมสงบสุขก็พอ บางคร้ังต�ำรวจฝร่ังยังต้องใช้ เบาะแสพวกนเ้ี พื่อหาทางออกท่ีตีบตัน เมื่อใช้ประกอบกับหลกั ฐานทางวทิ ยาศาสตร์ เขาจับฆาตกรท่ีหลบตัวในมุมมืดได้ในท่ีสุด เม่ือเป็นเบาะแสท่ีไม่ผิดกฎหมาย ท�ำไม ตำ� รวจจะใชว้ ิธนี ้ีไมไ่ ด้ล่ะ?”22 ค�ำกล่าวของเจติยาสะท้อนความพยายามน�ำความสามารถพิเศษส่วนตัวให้เข้าไปในพ้ืนที่ กระบวนการยุติธรรมทางอาญาไทย เธอพยายามช้ีให้เห็นว่า ไม่ควรปฏิเสธประสบการณ์เฉพาะ เชิงปัจเจกเพราะอาจช่วยความจริงปรากฏได้เช่นกัน การกล่าวอ้างถึงวิธีการของต�ำรวจฝร่ังท่ีใช้ ความสามารถพเิ ศษเหนอื การพสิ จู นใ์ นการสบื สวนสอบสวนและการยนื ยนั ความสำ� คญั ของหลกั ฐาน ทางวิทยาศาสตร์ของเจติยา ชว่ ยสรา้ งอ�ำนาจการตอ่ รองให้กับเธอ และยังสะทอ้ นใหเ้ หน็ ว่าเธอเอง ไม่ได้ปฏิเสธหลักการทางวิทยาศาสตร์แต่อย่างใด บทสนทนาระหว่างเจติยากับผู้ก�ำกับน้ัน ในด้าน หนง่ึ สะทอ้ นวา่ ประสบการณเ์ ฉพาะสามารถเปน็ ทางออกหนง่ึ ใหก้ บั การสบื สวนได้ แตใ่ นอกี ดา้ นหนง่ึ สะทอ้ นใหเ้ หน็ ขอ้ จำ� กดั หรอื สง่ิ ทข่ี าดพรอ่ งในกระบวนการยตุ ธิ รรมไทยดว้ ย ดงั ทลี่ งุ ทวเี พอ่ื นรว่ มงาน ของเจติยากล่าววา่ “ถ้าความสามารถพเิ ศษนีเ้ กดิ กบั ตำ� รวจ คงไม่มีปัญหามากเพียงนี”้ 23 20 เร่ืองเดียวกนั , หน้า 448. 21 เรอ่ื งเดียวกนั , หนา้ 383. 22 เรื่องเดียวกัน, หนา้ 383. 23 เร่อื งเดียวกัน, หนา้ 296. 34
“ความจริง” ในกระบวนการยุตธิ รรมทางอาญาไทย: มมุ มองทางกฎหมายในวรรณกรรมเร่ือง รากบุญ ของ ช่อมณี รากบุญ ชี้ให้เห็นว่า ในการคล่ีคลายคดีน้ันบุคลากรในกระบวนการยุติธรรมควรให้ความ สำ� คญั กับการสืบหาหลักฐานทีเ่ ปน็ ข้อเท็จจริงตามหลักวิทยาศาสตร์ (Scientific method) ควบคู่ กับการทำ� ความเขา้ ใจประสบการณเ์ ฉพาะ ดงั ท่ีเจติยากลา่ วว่า “ฉันเชื่อเร่ืองวิทยาศาสตร์ที่สมเหตุสมผลมากกว่า ถ้าหมกมุ่นกับความเช่ือเร่ืองผี คงทำ� งานกบั ศพไมส่ นกุ แน่ แต.่ ..” หลอ่ นทำ� ทา่ คดิ กอ่ นจะตอบตอ่ ไปวา่ “ฉนั ไมป่ ฏเิ สธ เรื่องมิติท่ีคนธรรมดามองไม่เห็น และอาจเป็นที่อยู่ของวิญญาณก่อนท่ีเขาจะไปตาม เส้นทางบญุ บาปทต่ี นกอ่ ขึน้ ผ้ใู หญ่บางคนบอกวา่ ไมเ่ ชือ่ อย่าลบหลู่ มนั เปน็ ความเชอื่ สายกลางดี”24 ค�ำกล่าวของเจติยาสะท้อนการยืนยันวิธีการสืบสวนควรน�ำข้อมูลทุกอย่างมาประกอบ รวมถงึ ประสบการณเ์ ฉพาะ ซง่ึ หมายรวมถงึ การเรยี นรภู้ มู หิ ลงั ทางสงั คมวฒั นธรรม จติ ใจ หรอื อารมณ์ ความรูส้ ึกของผทู้ ่เี กี่ยวขอ้ งในคดีทุกคนด้วย การต่อรองของเจติยามีผลท�ำให้กรอบการรับรู้และความเข้าใจของต�ำรวจเกี่ยวกับการ สบื สวนสอบสวนตามขนบวิทยาศาสตร์และความเป็นเหตุเปน็ ผลเร่ิมส่ันคลอน ซ่งึ สง่ ผลให้เจติยาได้ เขา้ ไปมบี ทบาทในการสบื สวนสอบสวน ดงั ทผี่ กู้ ำ� กบั กลา่ ววา่ “เอาเถอะ เพอื่ คลคี่ ลายคดพี วกคณุ จะ ใชว้ ธิ นี ตี้ อ่ ไปกต็ ามใจ แตต่ อ้ งอยภู่ ายใตก้ ฎหมายเทา่ นนั้ ”25 คำ� กลา่ วของผกู้ ำ� กบั สะทอ้ นใหเ้ หน็ แมจ้ ะ ไม่เหน็ ด้วยแตไ่ ม่สามารถปฏเิ สธความสามารถพิเศษของเจติยาได้ แม้ รากบญุ จะสะทอ้ นใหเ้ หน็ บทบาทและความสามารถของผหู้ ญงิ ในกระบวนการยตุ ธิ รรม แต่ก็ส่ือให้เห็นด้วยว่าการเข้าไปมีบทบาทของผู้หญิงนั้น ไม่ใช่เร่ืองง่าย ทั้งนี้ ผู้หญิงจะต้องมีความ สามารถหรือคุณสมบัติพิเศษบางอย่างประกอบ ดังจะเห็นได้จากที่เจติยามีประสบการณ์เฉพาะ รกู้ ฎหมาย มคี วามรู้เฉพาะทางด้านนิตวิ ทิ ยาศาสตร์ ความรทู้ างการแพทยเ์ บอ้ื งตน้ รวมถึงเปน็ คน ช่างสังเกต รักความยุติธรรมและเสียสละ คุณสมบัติเหล่าน้ีเป็นส่ิงที่เธอต้องใช้พิสูจน์ความรู้ความ สามารถ การช่วยงานสืบสวนสอบสวนของเจติยาส่วนใหญ่ยังไม่ได้ท�ำอยู่เบื้องหน้า ซึ่งสะท้อน ความไร้ตัวตนไปในขณะเดียวกันด้วย ประเด็นนี้อาจสื่อให้เห็นว่า พื้นท่ีสืบสวนสอบสวนยังคงเป็น ของฝ่ายชายเป็นหลัก การยอมรับเจติยาจึงสะท้อนการเปิดรับและปิดก้ันไปในตัวด้วย อย่างไรก็ดี บทบาทของเจตยิ าสอื่ ใหเ้ หน็ การหลกี หนโี ครงสรา้ งความเปน็ ชายดว้ ยวธิ กี ารสบื สวนสอบสวนในแบบ เฉพาะของเธอ ดงั จะเหน็ วา่ เธอเลอื กจะใชพ้ ลงั ลึกลบั ในสืบสวนสอบสวนต่อไปและรับเปน็ ท่ีปรกึ ษา พเิ ศษเฉพาะบางคดเี ทา่ นนั้ ดงั นนั้ เธอจงึ อยใู่ นบทบาทผกู้ ระทำ� การดว้ ย ไมไ่ ดเ้ ปน็ เพยี งสว่ นประกอบ เพ่อื เสริมบทบาทฝา่ ยชายเท่าน้ัน 24 เร่อื งเดยี วกนั , หน้า 265. 25 เรอ่ื งเดยี วกัน, หนา้ 383. 35
วารสารนิติสังคมศาสตร์ มหาวทิ ยาลัยเชยี งใหม่ ปที ่ี 10 ฉบบั ที่ 2 กรกฎาคม-ธนั วาคม 2560 การท่ีชอ่ มณีสร้างบทบาทเจติยาในแบบท่ีตา่ งไปจากขนบการสบื สวนสอบสวน เปิดโอกาส ให้ผู้อ่านได้เข้าไปสัมผัสชีวิตจิตใจบุคคลท่ีเกี่ยวกับคดี ท้ังผู้ตาย หรือแม้กระท่ังผู้กระท�ำผิดในเชิง ปัจเจก ท�ำให้เหน็ วา่ พวกเขาเปน็ คนที่มชี ีวิตจิตใจ ไมใ่ ชเ่ ปน็ เพียงเหยอ่ื หรอื คนรา้ ยทเ่ี ปน็ เหมอื นวัตถุ ในการสืบสวนสอบสวนเท่าน้ัน ดังจะเห็นว่า ช่อมณีให้รายละเอียดก่อนและหลังเหตุการณ์ เล่าวิถีชีวิต อารมณ์ความรู้สึกของผู้คนเหล่านั้น ซ่ึงท�ำให้พวกเขามีตัวตน ดังเช่น การเข้าไปสืบหา ข้อมูลคนชราสูญหายจนพบว่าคนชราเหล่านั้นถูกฆาตกรรม ช่วยให้มองเห็นความเหงาว้าเหว่ ของกลมุ่ คนชราเหลา่ นน้ั ได้ ขณะเดยี วกนั กเ็ หน็ ความพยายามตอ่ สกู้ บั ความไมช่ อบมาพากลของกลมุ่ คนชราตอ่ คนรา้ ย หรอื ความตายของเอยี ดหญงิ สาวเพอ่ื นของเจตยิ าทตี่ ายจากถกู ผลกั ตกตกึ จากฝมี อื ของแฟนหนุ่ม รากบุญ ไม่ได้น�ำเสนอให้เอียดเป็นเพียงเหยื่อของชายและไม่ใช่ผู้หญิงท่ีหลงรักชาย แบบหวั ปกั หัวป�ำ หากแตค่ วามรักของเธอคือความรักทเ่ี สยี สละ มีความปรารถนาดีใหแ้ ฟนหนุ่มแต่ เธอกเ็ ลอื กเลกิ รากบั แฟนเมอื่ พบวา่ เขาเปน็ คนไมด่ ี เชน่ เดยี วกบั ความตายของลงุ สมทิ ธทชี่ ว่ ยเปดิ เผย ใหส้ งั คมเหน็ ถงึ ความไมป่ ลอดภยั ของคนชราทไี่ มส่ ามารถปกปอ้ งตนเองไดแ้ ละความอกตญั ญขู องลกู ทท่ี งิ้ พอ่ แมไ่ วเ้ บอื้ งหลงั จนพอ่ ถกู ฆาตกรรมตาย ชอ่ มณยี งั ชนี้ ำ� ใหส้ งั คมลงโทษคนเหลา่ นหี้ ากศาลไม่ สามารถทำ� ได้ “เขาควรได้รับการลงโทษจากสังคม ถา้ เลน่ งานทางศาลไมไ่ ด้ จะเปน็ เย่ียงอยา่ งไมด่ ี ต่อคนร่นุ ใหม”่ 26 การให้รายละเอียดด้านประสบการณ์ ความคิดความรู้สึกของผู้เก่ียวข้องในคดีเช่นนี้ท�ำให้ ภาพกฎหมายในวรรณกรรมกบั กฎหมายในกระบวนการยตุ ธิ รรมตา่ งกนั วรรณกรรมทำ� ใหค้ วามเปน็ ปจั เจกบคุ คลปรากฏ ไมใ่ ชใ่ หภ้ าพแบบเหมารวม ปราศจากอารมณค์ วามรสู้ กึ ของบคุ คล ดงั ที่ ชตุ มิ า ประกาศวุฒสิ าร กล่าวไว้ว่า “ภาษาของกฎหมายมลี ักษณะเปน็ กลาง ปราศจากอารมณ์ ความร้สู ึก แตว่ รรณกรรมกลบั ทำ� ใหผ้ อู้ า่ นมองเหน็ ตวั ตนของตวั ละครทเ่ี ปน็ ปจั เจกบคุ คล มชี วี ติ เลอื ดเนอื้ ไมใ่ ช่ ภาพเหมารวม และนำ� สิ่งนี้มาประกอบการพิจารณาตดั สนิ ด้วย”27 วรรณกรรมจงึ เป็นสิง่ ทีช่ ว่ ยเตมิ เตม็ ประสบการณใ์ นดา้ นอารมณค์ วามรสู้ กึ เสรมิ สรา้ งจติ สำ� นกึ ในดา้ นคณุ ธรรมจรยิ ธรรมใหก้ บั ผคู้ น และยงั เปดิ เผยโลกของบคุ คลในคดที บ่ี คุ คลภายนอกมกั มองขา้ มใหป้ รากฏ และยงั เปน็ การเชอ่ื มโยง โลกของกฎหมายทหี่ ลายคนมองวา่ ไกลตวั ใหเ้ ขา้ มาอยใู่ นโลกของปจั เจก ซงึ่ ชว่ ยสรา้ งภาพลกั ษณใ์ หม่ ใหก้ ับกฎหมายหรอื คดคี วามว่าไมใ่ ช่เรือ่ งนา่ กลัวหรือเปน็ ชะตากรรมหรือบาปเคราะห์ 26 เร่ืองเดียวกัน, หนา้ 267. 27 ชุติมา ประกาสวุฒิสาร. “ความเงียบที่ส่งเสียง: ผู้หญิงกับความรุนแรงทางเพศในวรรณกรรมไทยรวมสมัย” ใน ความเปน็ ธรรมเชิงวรรณศลิ ป.์ สุวรรณา สถาอานนั ท์ (บก.) (กรงุ เทพ ฯ : วภิ าษา, 2552), หน้า 147. 36
“ความจรงิ ” ในกระบวนการยตุ ิธรรมทางอาญาไทย: มมุ มองทางกฎหมายในวรรณกรรมเรอ่ื ง รากบุญ ของ ช่อมณี 4. เสยี งของ “คนตาย” กบั ความจรงิ เบ้อื งหลงั ความตาย รากบุญ น�ำเสนอเร่ืองเกี่ยวกับคนตายต้ังแต่ต้นจนจบ คนตายในท่ีนี้คือคนที่ถูกฆาตกรรม ด้วยสาเหตุต่าง ๆ ศพคนตายลืมตาขึ้นมาเพ่ือส่ือสารกับเจติยา โดยเปล่งเสียงเหมือนกันทุกศพว่า “บอกความจรงิ ” และเจติยายังเกดิ นิมติ รเหน็ ภาพเหตุการณ์สดุ ท้ายของผูต้ ายดว้ ย การเปลง่ เสียง ของคนตายจึงเป็นจุดเริ่มต้นเรื่องและบทบาทการสืบสวนของเจติยา เป็นท่ีน่าสังเกตว่า ความเชื่อ เรื่องวิญญาณคนตายมาพูดกับคนเป็นหรือนิมิตรให้เห็นภาพปรากฏอยู่ในสังคมไทยมาตลอด ความเช่ือดังกล่าวเป็นสิ่งที่มีมาก่อนการพิสูจน์ทางวิทยาศาสตร์ โดยดั้งเดิมน้ัน ผีหรือวิญญาณ คนตายในสงั คมไทยดจู ะเปน็ สง่ิ ทไี่ มไ่ ดต้ อ้ งการการพสิ จู นว์ า่ มจี รงิ หรอื ไม่ เพราะเปน็ สงิ่ ทส่ี นทิ ชดิ เชอื้ อยใู่ นชีวติ คนไทยมานาน ต้ังแต่ผบี า้ นผีเรือน ผปี ่ยู า่ ตายาย ผีกระหังกระสอื หรอื ผีคนตาย ความเชอ่ื นแ้ี ทรกซึมอยู่ในวถิ ีชีวิตชีวิตประจ�ำวัน พิธีกรรม ต�ำนาน นิทาน การละเล่น ฯลฯ อยา่ งไรก็ดี ขนบ ของกระบวนการยตุ ธิ รรมดจู ะเปน็ สง่ิ ทสี่ วนทางกบั ความเชอื่ เรอ่ื งวญิ ญาณคนตาย เพราะกระบวนการ ยุติธรรมตอ้ งการข้อมูลเชิงรปู ธรรมและการพิสูจน์ให้เหน็ จริง ดงั นั้น เรอื่ งผกี ับกระบวนการยุติธรรม จงึ ดไู ปด้วยกนั ไม่ได้ แตใ่ น รากบญุ ชอ่ มณีกลบั สรา้ งใหผ้ ีกับกระบวนการยตุ ธิ รรมปรากฏไปพรอ้ ม กนั โดยเช่ือมโยงความเชื่อพืน้ ฐานของคนไทยท่ีเชอื่ ว่า ‘ผไี ม่โกหก’ ช่อมณจี ึงให้คนตายลืมตาข้ึนมา แล้วเปล่งเสียงให้ “บอกความจรงิ ” ซึ่งกลายมาเปน็ จุดเริ่มต้นการสบื สวน แม้ช่อมณีสร้างเร่ืองราวให้คนตายพูดส่ือสารกับคนเป็นได้และให้เจติยามองเห็นภาพ เหตุการณ์สุดท้ายของคนตาย หากแต่กลับไม่ได้ให้คนตายพูดเล่าไปโดยตรงว่าใครเป็นคนฆ่า หลัก ฐานต่าง ๆ อยู่ทีไ่ หน หรอื สาเหตขุ องการตายคอื อะไร ชอ่ มณีเลือกให้เจตยิ ามีบทบาทให้การสืบหา พยานหลกั ฐานและมลู เหตจุ งู ใจในการฆาตกรรมนนั้ เอง เพอื่ ใหส้ ามารถอธบิ ายไดว้ า่ เจอพยานหลกั ฐานนน้ั ไดอ้ ยา่ งไร เพอ่ื พยานหลกั ฐานนน้ั ใหม้ คี วามเปน็ เหตเุ ปน็ ผล มที มี่ าทไ่ี ปมากกวา่ การทจ่ี ะบอก ว่าเจติยาคิดได้เองหรือผีมาบอก ซึ่งจะลดความน่าเชื่อถือลงไป นอกจากน้ี พยานหลักฐานท่ีได้ ส่วนใหญ่นั้นยังเป็นพยานวัตถุซึ่งสามารถพิสูจน์ได้ด้วยวิธีการทางวิทยาศาสตร์ เช่น คราบเลือด ลอยน้ิวมือ หรือสารพิษ สะท้อนให้เห็นว่าช่อมณีเองเช่ือว่าสิ่งที่จะพิสูจน์ความผิดน้ันจะต้องเป็น สง่ิ ทพ่ี สิ จู นไ์ ดต้ ามหลกั ทางวทิ ยาศาสตรด์ ว้ ยเชน่ กนั โดยหลกั ฐานเหลา่ นจี้ ะชว่ ยมนี ำ�้ หนกั จนผกู้ ระทำ� ผิดไม่อาจหลีกหนีความผิดหรือบิดเบือนคดีจากอ�ำนาจหรือเงินทองได้ ดังท่ีเจติยากล่าวกับหมวด นวัชว่า “คุณต้องท�ำงานอย่างละเอียด หลักฐานมีน้อย เขามีเงินทองมากย่อมท�ำคดีบิดเบือนง่าย ดว้ ย” การสบื หาหลกั ฐานทางวทิ ยาศาสตรจ์ งึ เปน็ สง่ิ สำ� คญั ชอ่ มณจี งึ สรา้ งใหเ้ จตยิ ามคี วามรทู้ างดา้ น นติ วิ ทิ ยาศาสตร์ ความรทู้ างการแพทยแ์ ละสบื สวนตามหลกั การทางวทิ ยาศาสตรด์ ว้ ย หลกั ฐานเหลา่ นจี้ ะได้ถกู นำ� มาเปน็ สว่ นประกอบของการพิจารณาคดีตอ่ ไป 37
วารสารนิติสังคมศาสตร์ มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ ปีท่ี 10 ฉบับท่ี 2 กรกฎาคม-ธนั วาคม 2560 เร่อื งราวใน รากบุญ เน้นการน�ำเสนอความจรงิ อนั มาจากการสืบสวนสอบสวนหาหลกั ฐาน มากกว่าการสรุปส�ำนวนคดีของตำ� รวจ การสั่งคดขี องอยั การ และการพจิ ารณาคดใี นศาล การเน้น เรอ่ื งการสบื สวนสอบสวนนี้ ชใ้ี หเ้ หน็ วา่ กระบวนการยตุ ธิ รรมทางอาญาไทยใหค้ วามสำ� คญั กบั การหา พยานหลกั ฐานเพอ่ื พสิ จู นค์ วามผดิ ดงั จะเหน็ ไดจ้ ากทเี่ จตยิ ามบี ทบาทในการหาพยานหลกั ฐานเปน็ หลกั และความเชอ่ื ทวี่ า่ กระบวนการทเี่ หลอื นน้ั จะดำ� เนนิ ไปตามขนั้ ตอนกฎหมายหรอื ตามประมวล กฎหมายวธิ พี จิ ารณาความอาญาและระเบยี บต่าง ๆ ท่เี กย่ี วขอ้ ง ในดา้ นการพจิ ารณาคดใี นศาลนน้ั จะเหน็ วา่ รากบญุ ไมก่ ลา่ วถงึ ซงึ่ นอกจากสะทอ้ นใหเ้ หน็ ความสำ� คญั ในชนั้ การสบื สวนสอบสวนแลว้ ยงั สอื่ ใหเ้ หน็ ความจรงิ เชงิ ซอ้ นทซ่ี อ่ นอยใู่ นระบบคดิ ของ คนไทยท่ีเช่ือว่า ศาลน้นั เปน็ กลาง บริสทุ ธิ์ ไม่มีสว่ นได้สว่ นเสยี ตดั สินไปตามข้อเท็จจรงิ ตามตัวบท กฎหมายและสามารถมอบความยุติธรรมให้ได้ กระบวนทัศน์ดังกล่าวสะท้อนมุมมองต่อศาลในเชิง ภาวะวสิ ยั หรอื ในอกี ดา้ นหนงึ่ อาจสะทอ้ นใหเ้ หน็ วา่ สงั คมไมส่ ามารถเขา้ ไปแตะตอ้ งศาลไดเ้ พราะอาจ กลัวมีความผิดฐานละเมิดอ�ำนาจศาล หรือเป็นเพราะไม่มีความรู้เพียงพอจึงไม่ทราบว่าผิดถูกตรง ไหนก็ตาม ความจริงดังกล่าวสะท้อนให้เห็นได้จากการที่เน้ือเรื่องไม่ได้กล่าวถึงกระบวนการหลัง ฟอ้ งคดแี ต่เน้นเนื้อหาไปทีก่ ารสืบสวนสอบสวนซงึ่ เปน็ กระบวนการกอ่ นฟ้องคดีแทน เสยี งของคนตายสอ่ื ใหเ้ หน็ ความจรงิ เชงิ ซอ้ นในกระบวนการยตุ ธิ รรมทางอาญาเกย่ี วกบั คดี ฆาตกรรมอย่างนา่ สนใจ ชอ่ มณนี ำ� เสนอใหเ้ ห็นประเด็นปัญหาเกยี่ วกับการคน้ พบศพ โดยน�ำเสนอ ให้เห็นว่าหากไม่มีศพจะไม่สามารถกล่าวโทษได้ว่ามีการฆาตกรรมเกิดขึ้นและจะไม่สามารถน�ำการ ฆาตกรรมเขา้ สกู่ ระบวนการยตุ ธิ รรมได้ ดงั จะเหน็ ไดจ้ ากกรณขี องชายชราทห่ี ายตวั ไปและภายหลงั พบว่าถูกฆาตกรรมโดยเจ้าของสถานสงเคราะห์ คดีนี้เกิดจากที่เจติยาเข้าไปในบ้านสงเคราะห์และ ไดย้ ินเสยี งของชายชราซงึ่ เป็นผูต้ ายมาบอกกบั ตนวา่ “บอกความจรงิ ” ทำ� ใหเ้ จติยาคิดวา่ มคี นตาย อยา่ งไมไ่ ดร้ บั ความเปน็ ธรรมอยทู่ นี่ ่ี และผตู้ ายคงถกู ฝงั ดนิ ไว้ อยา่ งไรกด็ ี เจตยิ าไมส่ ามารถนำ� ขอ้ มลู นี้ไปบอกต�ำรวจได้เพราะไม่มีศพให้เห็นเป็นประจักษ์ ดังนั้น ความตายนี้จึงไม่สามารถเข้าสู่ กระบวนการได้ ดงั ทเี่ จตยิ ากลา่ ววา่ “เขาขอใหฉ้ นั ชว่ ยบอกความจรงิ อกี แลว้ ฉนั ไมม่ ที างขดุ พน้ื ดนิ เพ่อื พิสจู นศ์ พได้เลย กลุ้มใจจัง”28 หรือนษิ ฐา นักสังคมสงเคราะหซ์ ึ่งเป็นเพ่ือนของเจตยิ ากล่าวกบั เจตยิ าเร่อื งศพว่า “เราต้องมหี ลกั ฐานการตายของพวกเขา จงึ สาวไปถึงผู้หญิงคนนัน้ ได้” หลักฐาน การตายในท่ีนหี้ มายถงึ ศพนั่นเอง เป็นท่ีน่าสงั เกตว่า คดีชายชราถกู ฆาตกรรมน้ี ไดร้ บั การคลคี่ ลาย โดยเจติยาและนิษฐานักสังคมสงเคราะห์ท่ีเข้าไปสืบและค้นพบว่ามีการฆาตกรรม ต�ำรวจไม่ได้เข้า มามีบทบาทเนื่องจากพยานหลักฐานไม่เพียงพอและไม่สามารถพิสูจน์ว่ามีความตายเกิดข้ึนได้ ซ่ึง สะท้อนให้เห็นปัญหาในการเข้าไปช่วยเหลือผู้ที่ไม่ได้รับความเป็นธรรมของต�ำรวจ อีกท้ังหากไม่ สามารถคน้ พบศพได้ ผู้ตายกจ็ ะไมไ่ ดร้ บั ความเปน็ ธรรมและคนผิดกจ็ ะลอยนวล 28 ช่อมณ.ี รากบญุ , หนา้ 75. 38
“ความจรงิ ” ในกระบวนการยตุ ิธรรมทางอาญาไทย: มมุ มองทางกฎหมายในวรรณกรรมเรอื่ ง รากบญุ ของ ช่อมณี เสียงของปรียา หญิงสาวท่ีเป็นอัมพาตและถูกฆาตกรรมเพ่ือชิงมรดกโดยสามีและภรรยา นอ้ ยทเี่ ปน็ พยาบาลดแู ลเธอ ปรยี าเปลง่ เสยี งเพอื่ ตอ้ งการใหค้ วามจรงิ ปรากฏ ความจรงิ ทป่ี รากฏใน คดขี องปรียานี้มิใชเ่ พยี งแคส่ ามารถพสิ ูจนไ์ ด้วา่ ใครเปน็ ผกู้ ระท�ำความผดิ แต่สะท้อนใหเ้ หน็ ช่องว่าง ทางกฎหมายในการค้นพบคดีและการก่อเหตุอาชญากรรม เนื่องจากกรณีของปรียาไม่ใช่การตาย โดยผดิ ธรรมชาตทิ จ่ี ะตอ้ งชนั สตู รพลกิ ศพตามประมวลกฎหมายวธิ พี จิ ารณาความอาญา มาตรา 148 ดงั นน้ั “หากตายเพราะปว่ ยกไ็ มต่ อ้ งมกี ารชนั สตู รพลกิ ศพ”29 ซงึ่ สอดคลอ้ งกบั กรณขี องปรยี า อยา่ งไร กด็ ี ความตายของปรยี ากลายเปน็ คดไี ดเ้ มอื่ เจตยิ าพบรอ่ งรอยบางอยา่ งจากศพ การคน้ พบหลกั ฐาน จากศพท�ำให้ความตายของปรียาจากที่สรุปวา่ เปน็ หวั ใจล้มเหลวกลายเป็นการฆาตกรรม ซง่ึ ช่วยให้ ความตายนเี้ ขา้ สกู่ ระบวนการยตุ ธิ รรม และนำ� ไปสกู่ ารจบั ตวั คนรา้ ยไดใ้ นทสี่ ดุ การทเ่ี จตยิ าสามารถ น�ำความตายน้ีเข้าสู่กระบวนการยุติธรรมได้เป็นเพราะเธอเป็นคนช่างสังเกตและมีความรู้ทางด้าน นิติวิทยาศาสตร์ ซ่ึงอาจส่ือให้เห็นว่าคุณลักษณะของผู้สืบสวนสอบสวนควรมีลักษณะเช่นน้ี ดังที่ หมวดนวัชกล่าวกับเจติยาว่าตนก็ดูสารคดีประเภทสืบสวนสอบสวนเหมือนกับเจติยา “คุณไม่ได้ดู สารคดปี ระเภทนั้นคนเดยี วนนี่ า ผมดูและเรียนหลักสตู รสืบสวนมาดว้ ย มันเสริมซ่งึ กันและกัน”30 เสยี งของเอยี ด เพอื่ นสนทิ ของเจตยิ าทเี่ สยี ชวี ติ จากการตกตกึ สะทอ้ นใหเ้ หน็ วา่ ความสำ� คญั ของหลักฐานและปัญหาของการหาหลักฐานท่ีไม่เพียงพอท�ำให้ไม่สามารถพิสูจน์ได้ว่าผู้ต้องสงสัย กระท�ำความผิด ดังจะเห็นว่าคดีของเอียดต�ำรวจลงความเห็นเบ้ืองต้นว่าเป็นการฆ่าตัวตาย แตเ่ จตยิ าไมเ่ ชอ่ื จงึ หาหลกั ฐานเพอ่ื พสิ จู น์ แตห่ ลกั ฐานกลบั ไมเ่ พยี งพอแมว้ า่ จะคาดเดาไดว้ า่ ใครเปน็ ผกู้ ระทำ� ความผดิ กต็ าม อกี ทงั้ ยงั ทำ� ใหต้ ำ� รวจไมเ่ ชอ่ื และไมต่ อ้ งการนำ� คดเี ขา้ สกู่ ระบวนการยตุ ธิ รรม ดังจะเห็นจากท่ีหมวดนวัชพูดกับเจติยาว่า “ผมคิดว่าคงพิสูจน์ยาก เพราะมีรอยให้เห็นไม่มาก และไม่ชัดนัก อีกทั้งยังไม่มีการเก็บรอยอย่างถูกต้อง แค่ภาพถ่ายของคุณ คงใช้เป็นหลักฐาน ยากนะเจ”31 สุดท้ายเจติยาจึงเลือกให้เขาสารภาพออกมาเอง ซ่ึงแม้จะเป็นช่องทางที่เอาผิดได้ แตเ่ จตยิ าเกอื บจะตอ้ งใชช้ วี ติ ของเธอแลกกบั คำ� สารภาพผดิ เสยี งของเอยี ดจงึ สอ่ื ใหเ้ หน็ ความสำ� คญั ของหลักฐานและข้อจ�ำกัดที่จะพิสูจน์ความผิดได้นั้น คดีของเอียดยังสะท้อนให้เห็นว่าพนักงาน สบื สวนจะตอ้ งทำ� งานอยา่ งละเอยี ดรอบคอบและตอ้ งเปน็ คนชา่ งสงั เกต เพอ่ื ใหไ้ ดห้ ลกั ฐานมากทสี่ ดุ ดังที่เจติยาเข้าไปห้องของพิทยาแฟนของเอียดเพื่อสืบหาหลักฐานและได้พบสร้อยข้อมือของเอียด ตกอยู่ในห้องนั้น โดยต�ำรวจท่ีเข้าไปตรวจก่อนน้ันหาไม่พบ ดังท่ีหมวดนวัชกล่าวต�ำหนิการท�ำงาน 29 เกียรติขจร วัจนะสวสั ด์.ิ ค�ำอธิบายหลักกฎหมายวิธพี จิ ารณาความอาญา ว่าด้วย การดำ� เนินคดใี นข้ันตอน ก่อนการพจิ ารณา, หน้า 641. 30 ช่อมณ.ี รากบญุ , หนา้ 105. 31 เรือ่ งเดยี วกนั , หนา้ 181. 39
วารสารนติ ิสงั คมศาสตร์ มหาวิทยาลยั เชยี งใหม่ ปที ่ี 10 ฉบับที่ 2 กรกฎาคม-ธนั วาคม 2560 ของพนกั งานเกบ็ หลกั ฐานวา่ “พวกเกบ็ หลกั ฐานหลงตาไปไดอ้ ยา่ งไรกนั แยจ่ งั ”32 หลกั ฐานทเี่ จตยิ า หามาไดน้ น้ั ท�ำใหเ้ ธอมั่นใจวา่ เอียดไม่ได้ฆา่ ตวั ตายอยา่ งแนน่ อนดว้ ย การเปลง่ เสยี งของคนตายใหบ้ อกวา่ จรงิ อาจตคี วามไดว้ า่ เปน็ เสยี งทส่ี อ่ื ใหส้ งั คมไดร้ บั ทราบ วา่ ยงั มศี พอกี มากมายทยี่ งั ไมถ่ กู นำ� เขา้ สกู่ ระบวนการยตุ ธิ รรมและคนตายยงั ไมไ่ ดร้ บั ความเปน็ ธรรม รวมถึงแมจ้ ะเข้าสู่กระบวนการยุติธรรมแล้ว หากแต่ความเปน็ ธรรมอาจไม่เกดิ ขึ้นหรอื เกดิ ขึน้ ลา่ ช้า เพราะหลกั ฐานไมเ่ พยี งพอ เสยี งของคนตายจงึ เปน็ เสยี งเรยี กรอ้ งใหส้ งั คมหนั มาสนใจความตายเหลา่ นี้อย่างใส่ใจ โดยเฉพาะผู้ที่อยู่ในกระบวนการยุติธรรม อีกทั้งยังอาจส่ือให้เห็นข้อบกพร่องของ กระบวนการยุติธรรมท่ีเป็นไปในแนวต้ังรับ (passive) ท่ีต้องมีข้อร้องเรียนหรือการแจ้งความก่อน จงึ จะด�ำเนนิ คดี ท้งั ทมี่ คี ดีเกิดขึน้ อยตู่ ลอดเวลา และการทำ� งานในส่วนของการสืบสวนสอบสวนนน้ั สามารถท�ำงานในเชิงรกุ ได้ ดังในกรณีการฆาตกรรมชายชราท่ชี ่อมณเี ขียนให้เจตยิ าและนษิ ฐาเปน็ ผคู้ ลคี่ ลายคดแี ทนตำ� รวจ หรอื ในกรณคี วามตายของปรยี าทเี่ จตยิ าเปน็ ผคู้ น้ พบความผดิ ปกตจิ ากรา่ ง ของศพและนำ� ขอ้ มลู แจ้งตำ� รวจจนสามารถน�ำผกู้ ระท�ำผิดมาลงโทษได้ หรอื ในกรณีความตายของ เอยี ดสะทอ้ นใหเ้ หน็ ความสำ� คญั ของหลกั ฐานทใ่ี ชด้ ำ� เนนิ คดตี อ่ ผกู้ ระทำ� ความผดิ และความเสยี สละ ของเจติยาในการเอาตัวเข้าแลกกับการรับสารภาพของผู้ต้องสงสัย รากบุญ จึงส่ือให้เห็นว่าความ ตายจากการฆาตกรรมกับกระบวนการยุติธรรมท่ีเกิดข้ึนในสังคมในเชิงแยกขาดจากกัน ความตาย ทงั้ หมดยงั สะทอ้ นใหเ้ ห็นขอ้ จำ� กัดและช่องวา่ งของกระบวนการยตุ ิธรรมทางอาญา และตำ� รวจอาจ ไม่ใช่สถาบันเดียวท่ีจะพ่ึงพา หากแต่คนในสังคมต้องช่วยเหลือซึ่งกันและกัน หรือท�ำงานประสาน งานกับต�ำรวจในการป้องกันเหตุ การคลี่คลายคดี รวมถึงร่วมกันสร้างความเป็นธรรมให้เกิดข้ึน ในสังคม 5. อุดมการณ์และกลไกในกระบวนการยุติธรรมกบั ความจริงเชิงซ้อน เนื้อหาใน รากบุญ แม้จะเน้นเรื่องการสืบสวน แต่ได้กล่าวถึงอุดมการณ์และกลไกของ กระบวนการยุติธรรมซ่ึงเป็นโครงสร้างใหญ่ท่ีเก่ียวกับความยุติธรรมในสังคมไว้อย่างน่าสนใจด้วย โดยบทสนทนาระหว่างเจติยากับมัจจุราชในตอนท้ายเร่ืองสะท้อนนัยส�ำคัญเกี่ยวกับกระบวนการ ยุติธรรมในด้านการตัดสินคดีของศาลและลักษณะของกฎหมาย ดังจะเห็นจากบทสนทนาที่เจติยา ถามมจั จรุ าชเกี่ยวกับการพพิ ากษาและการลงโทษผู้กระทำ� ผิดว่า “ทำ� ไมทา่ นไมล่ งโทษคนชวั่ ทศี่ าลไมอ่ าจทำ� ไดเ้ พราะหลกั ฐานความผดิ ออ่ น กลบั ปลอ่ ย ใหเ้ ขากอ่ กรรมกบั คนบรสิ ทุ ธอิ์ กี มากมาย บางคนยงั ตายสบายเสยี ดว้ ย ความยตุ ธิ รรม อยทู่ ไี่ หน?” 32 เรือ่ งเดียวกัน, หน้า181. 40
“ความจริง” ในกระบวนการยุตธิ รรมทางอาญาไทย: มุมมองทางกฎหมายในวรรณกรรมเรอ่ื ง รากบญุ ของ ชอ่ มณี ชายชุดด�ำย้ิมขรึม “เราลงโทษตามบาปท่ีเขาท�ำขึ้นเท่านั้น มิอาจก�ำหนดโทษตามใจ ต้องการได้หรอก แท้จริงแล้วคนท�ำบาปเป็นผู้ก�ำหนดว่าตนต้องใช้กรรมที่นรกขุมใด ตา่ งหาก”33 การสนทนาขา้ งตน้ อาจตคี วามไดว้ า่ มจั จรุ าชเปน็ ภาพแทนศาล ซงึ่ บทสนทนาสอ่ื ใหเ้ หน็ วา่ ศาลไมม่ อี ำ� นาจตดั สนิ คดไี ดโ้ ดยอำ� เภอใจ ศาลจะตอ้ งตดั สนิ โทษไปตามความผดิ ทผ่ี กู้ ระทำ� ผดิ กอ่ ขนึ้ เทา่ นน้ั ดงั ทม่ี จั จรุ าชกลา่ วไว้ ซงึ่ สะทอ้ นการยนื ยนั ความเปน็ ภาวะวสิ ยั ของศาล บทสนทนายงั สะทอ้ น ให้เห็นลักษณะของกฎหมายว่าเป็นส่ิงท่ีเป็นเหตุเป็นผล มีความเสมอภาคต่อทุกคนเท่าเทียมกัน ค�ำถามของเจติยายังส่ือให้เห็นความส�ำคัญของศาลที่เป็นที่พ่ึงของคนท่ีไม่ได้รับความเป็นธรรม ขณะเดียวกันก็สะท้อนการวิพากษ์ความเป็นภาวะวิสัยของศาลจนอาจกลายเป็นข้อจ�ำกัดในการ นำ� ตวั ผกู้ ระทำ� ผดิ มาลงโทษ เพราะตอ้ งอาศยั พยานหลกั ฐานเทา่ นน้ั ซง่ึ อาจนำ� มาซง่ึ คำ� ถามเรอ่ื งความ เปน็ ธรรมในกระบวนการยตุ ิธรรมได้ การสนทนาระหว่างเจติยากับมัจจุราชยังสะท้อนอุดมการณ์ของกระบวนการยุติธรรม ที่ผู้มีอ�ำนาจหนา้ ท่จี ะตอ้ งใชอ้ �ำนาจอย่างไมห่ วังผลตอบแทน ดังจะเหน็ วา่ การสนทนาทำ� ให้เจติยา ทราบว่ากล่องรากบุญท่ีให้พลังลึกลับในการได้ยินเสียงคนตายและเห็นภาพเหตุการณ์สุดท้ายของ ผตู้ ายนน้ั ถกู สรา้ งโดยมจั จรุ าช จดุ มงุ่ หมายของการสรา้ งกลอ่ งรากบญุ คอื เพอ่ื ชว่ ยเหลอื คนและสะสม บญุ มเี งอ่ื นไขวา่ หากผทู้ เ่ี ปน็ เจา้ ของกลอ่ งสามารถบอกความจรงิ เกย่ี วกบั คนตายทไี่ มไ่ ดร้ บั ความเปน็ ธรรมได้ 3 ครง้ั จะสามารถขอความปรารถนาจากกลอ่ งไดห้ นงึ่ สง่ิ อยา่ งไรกด็ ี แม้เจติยาจะท�ำงาน สำ� เรจ็ และขอความปรารถนากต็ าม แตเ่ จตยิ ากลบั ไมร่ สู้ กึ พงึ พอใจแตก่ ลบั มคี วามทกุ ขใ์ จ เจตยิ ามอง ว่าเงื่อนไขเช่นนี้ไม่ใช่การท�ำบุญหากแต่เป็นการค้าบุญเพราะมีสิ่งตอบแทน ดังท่ีเจติยากล่าวกับ มัจจุราชว่า “ท่านหวังดีจะลดจ�ำนวนคนบาปในนรก จึงใช้กุศโลบายนี้ ในทางกลับกันมันเป็นการ สร้างนสิ ัยไมด่ ีให้คนดว้ ย การทำ� บญุ รจู้ กั บุญควรมาจากหัวใจของแตล่ ะคน มิใช่ท�ำเพื่อแลกเปลย่ี น กัน มันเป็นการค้าบุญต่างหาก!”34 ค�ำกล่าวของเจติยาส่ือถึงการท�ำงานของคนในกระบวนการ ยุติธรรมที่ควรช่วยเหลือผู้ท่ีไม่ได้รับความเป็นธรรมโดยไม่หวังประโยชน์ตอบแทน การมีประโยชน์ ตอบแทนอาจท�ำให้เกิดการหวังผลประโยชน์มากกว่าการท�ำตามอ�ำนาจหน้าที่ และจะไม่สามารถ ปฏบิ ตั หิ นา้ ทด่ี ว้ ยความเปน็ กลาง ซงึ่ ทำ� ใหเ้ สย่ี งตอ่ การบดิ เบอื นการใชอ้ ำ� นาจและอาจเออ้ื ประโยชน์ ใหแ้ กผ่ มู้ สี ว่ นไดเ้ สยี ในคดี การทำ� งานโดยไมม่ ปี ระโยชนต์ อบแทนจงึ เปน็ กลไกในการดำ� เนนิ งานของ ผู้มอี ำ� นาจหนา้ ที่ในกระบวนการยตุ ิธรรมทคี่ วรจะเปน็ อยา่ งไรกด็ ี หากการทำ� งานโดยมปี ระโยชนต์ อบแทนเกดิ ขน้ึ เรอ่ื ย ๆ จนกลายเปน็ ธรรมเนยี ม 33 เร่อื งเดียวกัน, หน้า 438. 34 เรื่องเดียวกัน, หน้า 436. 41
วารสารนติ ิสงั คมศาสตร์ มหาวิทยาลยั เชยี งใหม่ ปที ี่ 10 ฉบับที่ 2 กรกฎาคม-ธนั วาคม 2560 ปฏิบัติ จะส่งผลให้เกิดระบบกลไกเชิงซ้อนของกระบวนการยุติธรรมที่มาครอบง�ำการด�ำเนินงานที่ ควรจะเป็นให้บิดเบี้ยวไป และหากเป็นเช่นนั้น กระบวนการยุติธรรมที่เป็นกลไกในการเยียวยา และให้ความเป็นธรรม คงไม่สามารถสร้างความยุติธรรมให้แก่ผู้เก่ียวข้องในคดีได้ ช่อมณีสะท้อน ความวิตกกังวลดังกล่าว โดยใช้ “กล่องรากบุญ” เป็นภาพแทนการท�ำงานโดยได้รับประโยชน์ ตอบแทน และใชต้ วั ละคร “ปราณ” ซงึ่ ถกู สรา้ งจากกลอ่ งรากบญุ และกเิ ลสของมนษุ ยเ์ ปน็ ภาพแทน ระบบกลไกเชงิ ซอ้ นท่ีซอ้ นทบั อยใู่ นกระบวนการยุตธิ รรมอนั เกดิ มาจากธรรมเนยี มปฏบิ ตั นิ นั้ ดงั จะ เห็นว่า ปราณเข้มแข็งข้ึนเรื่อย ๆ เมื่อมนุษย์ท�ำงานโดยหวังประโยชน์ตอบแทนอันเป็นกิเลส ของมนษุ ย์ ชอ่ มณสี อื่ ใหเ้ หน็ ดว้ ยวา่ หากกลไกเชงิ ซอ้ นหยงั่ รากลกึ ลงไปอาจทำ� ใหเ้ กดิ ระบบการปกปอ้ ง ตัวเอง ดังท่ีปราณล่วงรู้ว่าเจติยาจะท�ำลายกล่องหลังจากที่ได้ดาวทุกข์ครบสามดวงโดยกล่าวว่า “พลงั กเิ ลสตอ้ งการปกปอ้ งตวั เองจากการทำ� ลายลา้ งกลอ่ งใบนนั้ ตามทเ่ี ธอปรารถนาหลงั จากไดด้ าว ทกุ ขค์ รบสามดวงเปน็ ครง้ั ทส่ี อง”35 และผลกั ดนั ผทู้ ไ่ี มย่ อ่ มจำ� นนออกไปหรอื ทำ� ลายผทู้ จ่ี ะมาทำ� ลาย ระบบน้ี ดงั จะเหน็ ไดจ้ ากทป่ี ราณบอกกบั เจตยิ าวา่ จะยอมตายหรอื สละสทิ ธกิ์ ลอ่ งรากบญุ “หากเธอ ไม่ตายหรือสละสิทธ์ิความเป็นเจ้าของด้วยตัวเอง ใครจะแตะต้องมันไม่ได้เลย”36 แต่เนื่องจาก เจตยิ าคลค่ี ลายคดไี ดค้ รบและมสี ทิ ธขิ อความปรารถนาได้ จงึ พน้ ชว่ งทจี่ ะสละกลอ่ ง เวน้ แตเ่ จตยิ าจะ ขอความปรารถนานั้นเสียกอ่ น อย่างไรกต็ าม ความปรารถนาที่เจติยาจะขอคอื ขอให้กลอ่ งรากบญุ สญู สลายไป ปราณจงึ ตอ้ งเลอื กกำ� จดั เจตยิ าเพอื่ รกั ษากลอ่ งและชวี ติ ตนไวน้ นั่ เอง การปกปอ้ งตนเอง ดังกลา่ วทำ� ให้ผมู้ อี ำ� นาจหนา้ ทสี่ ามารถหาประโยชนต์ อบแทนตอ่ ไปได้ ชอ่ มณยี ังสอ่ื ให้เหน็ วา่ คนในสงั คมตอ้ งอยูร่ ่วมกนั ภายใต้กรอบศลี ธรรมอันดี และความถูก ต้องชอบธรรมของกระบวนการยุติธรรมเป็นส่วนหนึ่งของระบบศีลธรรมอันดีนั้น ช่อมณีให้เจติยา เปน็ ภาพแทนของกระบวนการยตุ ธิ รรมทถี่ กู ตอ้ งภายใตก้ รอบของศลี ธรรม ดงั จะเหน็ วา่ เจตยิ าเขา้ ไป ช่วยคลี่คลายคดีโดยไม่หวังผลตอบแทน ไม่มีอะไรสามารถจูงใจให้ท�ำผิดต่ออ�ำนาจหน้าที่ บทบาท ของเจตยิ าสะทอ้ นถงึ กระบวนการยตุ ธิ รรมทค่ี นในสงั คมคาดหวงั รากบญุ ยงั สอื่ ใหเ้ หน็ วา่ การจะลม้ ลา้ งความถกู ตอ้ งชอบธรรมของกระบวนการยตุ ธิ รรมภายใตก้ รอบศลี ธรรมนเี้ ปน็ สงิ่ ทสี่ งั คมไมย่ อมรบั ดงั จะเห็นว่า เมือ่ ปราณเขา้ ใกล้เจตยิ าแล้วรสู้ กึ หมดพลงั ไมส่ ามารถทำ� รา้ ยไดโ้ ดยตรง จงึ ต้องใช้วธิ ี การให้น้องชายของเจติยาขโมยกล่องรากบุญมาแทน วิธีการของปราณดังกล่าวสะท้อนให้เห็นว่า การท�ำลายความถูกต้องชอบธรรมน้ีไม่สามารถท�ำได้โดยตรง แต่ต้องท�ำโดยวิธีนอกระบบ อาทิ การแอบแฝงหรืออ�ำพรางแทน 35 เรือ่ งเดียวกัน, หน้า 425. 36 เรอื่ งเดียวกัน, หน้า 420. 42
“ความจริง” ในกระบวนการยตุ ิธรรมทางอาญาไทย: มมุ มองทางกฎหมายในวรรณกรรมเรื่อง รากบญุ ของ ชอ่ มณี ช่อมณีให้ตัวอย่างผลจากการท�ำงานโดยหวังประโยชน์ตอบแทนว่าอาจน�ำมาซ่ึงความทุกข์ ดงั จะเหน็ วา่ เจตยิ าเองเคยขอความปรารถนาจากกลอ่ งรากบญุ หนง่ึ ครง้ั คอื ขอใหแ้ มข่ องเธอหายปว่ ย แต่เธอกลับไดร้ ับความทกุ ข์ จนน�ำมาซ่ึงการทำ� ลายกล่องรากบญุ น้ัน อยา่ งไรก็ดี แม้ช่อมณีจะให้ เจตยิ าเปน็ คนทเ่ี คยจำ� นนตอ่ ระบบกลไกเชงิ ซอ้ นนี้ หากแตค่ วามปรารถนาทเี่ จตยิ าขอแสดงถงึ ความ กตัญญูซ่ึงอยู่ในกรอบของศีลธรรมอันดีอันเป็นสิ่งท่ีเป็นประโยชน์ต่อสังคมมากกว่า การขอความ ปรารถนาของเจติยาจงึ เป็นสิ่งท่ียอมรบั ได้และยงั คงความถกู ต้องชอบธรรม การขอความปรารถนา ของเจตยิ าเชน่ นเี้ ปน็ การคงความบรสิ ทุ ธขิ์ องตวั เจตยิ าและสรา้ งความชอบธรรมในการกลบั มาทำ� ลาย ระบบกลไกเชิงซ้อนในภายหลังดว้ ย แม้ รากบุญ จะสะท้อนให้เห็นว่าความบิดเบี้ยวน้ีมีมานานแล้ว ดังที่ปราณกล่าวว่ากล่อง รากบญุ มมี านับรอ้ ย ๆ ปี อยา่ งไรก็ดี เจตยิ าสามารถทำ� ลายกล่องรากบญุ ไดแ้ ละปราณสญู สลายไป สะท้อนให้เห็นความหวังของสังคมท่ีหล่อเลี้ยงคนที่ต้องการเปลี่ยนแปลงหรือปฏิรูประบบ กระบวนการยุติธรรมให้กลับคืนสู่ส่ิงท่ีถูกต้องทั้งในแง่ของตัวระบบและศีลธรรม การไขคดีท่ีกล่อง ก�ำหนดให้ต้องแล้วเสร็จภายในหนึ่งเดือนมิเช่นนั้นเจ้าของกล่องจะต้องตาย ยังสะท้อนความหวัง ต่อการปฏิบัติหน้าท่ีของบุคลากรในกระบวนการยุติธรรมที่จะต้องกระท�ำโดยเร็ว เพ่ือสร้างความ เป็นธรรมให้เกิดขึ้นเร็วท่ีสุด ดังสุภาษิตกฎหมายท่ีว่า “ความล่าช้าคือความอยุติธรรม” ซ่ึงดูจะ สอดคลอ้ งกบั ทช่ี อ่ มณนี ำ� เสนอไวใ้ น รากบญุ อยา่ งไรกด็ ี การทช่ี อ่ มณหี ยบิ ยกประเดน็ เรอ่ื งความลา่ ชา้ ข้ึนมากล่าวนี้ สะทอ้ นภาพแทนปญั หาเร่ืองดงั กลา่ วทีเ่ กิดข้ึนอยูใ่ นสงั คมปัจจบุ นั ดว้ ย 6. บทสรุป รากบุญ เปิดเผยให้เห็นประเด็นเก่ียวกับกระบวนการยุติธรรมทางอาญาในมุมมองที่ แตกต่างจากที่สังคมรับรู้ โดยสังคมมักมองว่าการเปิดเผยความจริงในทางคดีจะมาจากการเข้าสู่ กระบวนการยตุ ธิ รรมเทา่ นนั้ แตใ่ น รากบญุ นำ� เสนอใหเ้ หน็ วา่ การเปดิ เผยความจรงิ ทางคดสี ามารถ ทำ� ไดห้ ลายวธิ ี ดงั จะเหน็ จากการสบื คดขี องเจตยิ าทไ่ี มไ่ ดใ้ ชว้ ธิ กี ารสบื อยา่ งตำ� รวจหรอื การใชอ้ ำ� นาจ ลกึ ลบั การสบื คดดี งั กลา่ วยงั ชว่ ยใหเ้ หน็ ความจรงิ ทหี่ ลากหลาย ทง้ั ในดา้ นการทำ� คดแี ละการสบื สวน รวมถึงความจริงเบ้ืองหลังคดี เช่น ภูมิหลังของผู้ตาย ผลกระทบ จิตใจ ฯลฯ ซ่ึงช่วยเติมเต็ม ประสบการณ์และอารมณ์ความรู้สึกซึ่งมักไม่กล่าวถึงในกฎหมาย อย่างไรก็ดี นวนิยายไม่ได้ส่ือให้ เหน็ การปฏเิ สธการเขา้ สกู่ ระบวนการยตุ ธิ รรมแตอ่ ยา่ งใด ดงั ทเ่ี จตยิ านำ� ผลการสบื สวนของเธอไปให้ ตำ� รวจและตอ้ งการนำ� ผกู้ ระทำ� ผดิ เขา้ สกู่ ระบวนการทางกฎหมาย โดยการกระทำ� ของเจตยิ าดงั กลา่ ว ในดา้ นหนง่ึ สะทอ้ นความคาดหวงั ของสงั คมทต่ี อ้ งการใหก้ ระบวนการยตุ ธิ รรมเปน็ ทพี่ ง่ึ พงิ แตใ่ นอกี ดา้ นหนง่ึ กส็ ะทอ้ นใหเ้ หน็ ปญั หาของบคุ ลากรทยี่ งั ขาดความเชย่ี วชาญและกระบวนการยตุ ธิ รรมทาง 43
วารสารนติ สิ งั คมศาสตร์ มหาวิทยาลยั เชียงใหม่ ปีที่ 10 ฉบบั ท่ี 2 กรกฎาคม-ธนั วาคม 2560 อาญาทขี่ าดประสิทธภิ าพ ดงั จะเห็นจากท่ีเจตยิ าต้องพึง่ พาอำ� นาจของกลอ่ งรากบุญซึ่งเปน็ อ�ำนาจ นอกระบบแทนอ�ำนาจในระบบ เช่นเดียวกับผู้เสียหายหรือ “ผี” ท่ีต้องการให้เจติยาช่วยเปิดเผย ความจรงิ มากกวา่ ตำ� รวจ หรอื การทเ่ี จตยิ าสามารถคลคี่ ลายคดไี ดร้ วดเรว็ และมปี ระสทิ ธภิ าพมากกวา่ บุคลากรในกระบวนการยุติธรรม บทบาทของเจติยาจึงเปิดเผยให้เห็นช่องโหว่และข้อจ�ำกัดของ กฎหมาย รวมถงึ ประสิทธิภาพในการทำ� งานของบุคลากรในกระบวนการยตุ ิธรรมดว้ ย ชอ่ มณยี งั สอื่ ความคาดหวงั ของสงั คมทมี่ ตี อ่ บทบาทของนกั กฎหมายไทยผา่ นบทบาทเจตยิ า โดยสรา้ งเจตยิ าใหเ้ ปน็ นกั เรยี นกฎหมายผมู้ เี จตนารมณม์ งุ่ มนั่ วา่ เมอ่ื เรยี นจบแลว้ จะรบั ใชส้ งั คมอยา่ ง เสียสละและกล้าหาญ ภาพของเจติยาจึงเป็นภาพแทนนักกฎหมายในอุดมคติท่ีสังคมไทยปัจจุบัน ต้องการ ช่อมณีช้ีให้เห็นว่าแม้กระบวนการยุติธรรมทางอาญาไทยอาจขาดประสิทธิภาพ เช่น บุคลากรขาดความสามารถ ความล่าช้าในการสืบสวนสอบสวน ฯลฯ แต่ก็เป็นอ�ำนาจหลักในการ สร้างความเป็นธรรมที่สังคมยังคงยอมรับนับถือ ในแง่นี้นักกฎหมายจะต้องช่วยเหลือหรือท�ำงาน ประสานกับบุคลากรในกระบวนการยุติธรรมเพื่อให้ความยุติธรรมเกิดขึ้นโดยเร็ว นอกจากน้ี การสร้างเจติยาให้เป็นคนจนปากกัดตีนถีบยังเปิดโอกาสให้สามารถสร้างเร่ืองราวเกี่ยวกับคนชาย ขอบจากสายตาของคนชายขอบเอง ซง่ึ ชว่ ยใหผ้ อู้ า่ นเกดิ ความรสู้ กึ รว่ มและชว่ ยพาผอู้ า่ นใหไ้ ดเ้ ขา้ ไป ร่วมรู้เห็นเหตุการณ์และอารมณ์ความรู้สึกของผู้เสียหายได้ด้วย การให้ตัวละครหญิงเป็นตัวละคร เอกยังอาจสื่อได้ว่า ผู้หญิงควรหันกลับมาทบทวนบทบาทของตนในการเรียนรู้กฎหมายและการ ตระหนกั ถึงการมีสว่ นรว่ มในการสร้างความเป็นธรรมใหเ้ กิดขึน้ ในสังคมอย่างทีเ่ จตยิ าท�ำ 44
“ความจริง” ในกระบวนการยุตธิ รรมทางอาญาไทย: มมุ มองทางกฎหมายในวรรณกรรมเรอ่ื ง รากบุญ ของ ชอ่ มณี บรรณานกุ รม หนังสอื เกียรติขจร วัจนะสวัสด์ิ.(2553). ค�ำอธิบาย หลักกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา ว่าด้วยการ ด�ำเนนิ คดใี นขั้นตอนก่อนการพิจารณา. กรงุ เทพฯ: พลสยาม. จรญั โฆษณานันท์. (2555).นติ ปิ รชั ญาแนววพิ ากษ์. กรงุ เทพฯ: นติ ิธรรม. ช่อมณ.ี (2554). รากบญุ . กรุงเทพฯ : แสงดาว. ชตุ มิ า ประกาสวฒุ สิ าร. (2552). ความเงยี บทส่ี ง่ เสยี ง: ผหู้ ญงิ กบั ความรนุ แรงทางเพศในวรรณกรรม ไทยรวมสมยั ใน สุวรรณา สถาอานันต์ (บ.ก.) ความเป็นธรรมเชงิ วรรณศลิ ป์. กรงุ เทพฯ: วภิ าษา. พรรณรายรัตน์ ศรไี ชยรตั น.์ (2542). Feminist Legal Theory. ดลุ พาห, 46(2). สมชาย ปรชี าศลิ ปกุล. (2549). นติ ิศาสตรไ์ ทยเชิงวพิ ากษ.์ กรุงเทพฯ: วญิ ญชู น. Michael Foucault. (2559). Truth and Power ใน สรุ เดช โชตอิ ดุ มพนั ธ.์ ทฤษฎวี รรณคดีวจิ ารณ์ ตะวันตกในคริสตศ์ ตวรรษที่ 20. กรุงเทพฯ: สำ� นักพมิ พ์แหง่ จุฬาลงกรณม์ หาวทิ ยาลยั . Bartlett, Katherine. (2542). Feminism Legal Methods. ใน พรรณรายรัตน์ ศรีไชยรัตน์, “Feminist Legal Theory”, ดุลพาห, 46(2), หนา้ 93. เว็บไซต์ ยุทธชัย สว่างสมุทรชัย. (2512). นัดพบนักเขียน : งานเขียนสะท้อนสังคม ผ่านปลายปากกา ‘ชอ่ มณ’ี . สบื คน้ วนั ที่ 29 กรกฎาคม 2560, จาก www.all-magazine.com/ allMagazine/ tabid/106/articleType/ArticleView/articleId/2464/--.aspx 45
วารสารนติ สิ งั คมศาสตร์ มหาวิทยาลยั เชยี งใหม่ ปที ี่ 10 ฉบบั ที่ 2 กรกฎาคม-ธนั วาคม 2560 Translated Thai Refernces Bibliography Bartlett, Katherine.(1999). Feminism Legal Methods in Pannarairat Srichairat, Feminist Legal Theory, Dulapaha, 46(2), Page 93. Chomanee. (2011). Rakboon. Bangkok : Saengdao. Chutima Pragatwutisarn. (2009) “Silent Voices: Women and Sexual Violence in Contemporary Thai Literature” In Literary Fairness. Suwanna Satha-Anand, ed. Bangkok : Viphasa. Jaran Kosananan. (2012). Critical Legal Philosophies. Bangkok : Nititham. Kietkajorn Vajanasawat. (2010). The Description on the Law of Criminal Procedure in the Pre-trial Stage. Bangkok: PolSiam. Michael Foucault. (2016). “Truth and Power”, in Suradech Chotiudompant. Theory of Western Literary Review in the Twentieth Century. Bangkok: Chulalong- korn University Press. Pannarairat Srichairat. (1999)“Feminist Legal Theory”, Dulapaha. 46: (2). Somchai Preechasilpakul. (2006). Thai Critical Legal Studies. Bangkok : Winyuchon. Website Yuttachai Sawangsamutchai. (1969). Meeting with the author : Social reflection through the tip of the pen of ‘Chomanee’. Retrived 29th July, 2017, from www.all-magazine.com/ allMagazine/tabid/106/articleType/ArticleView/arti- cleId/2464/--.aspx ______________________________________________________________________ หนว่ ยงานผู้แตง่ : คณะมนษุ ยศาสตรแ์ ละสงั คมศาสตร์ มหาวทิ ยาลยั ราชภัฏสวนสนุ นั ทา 1 ถนนอูท่ องนอก แขวงดุสิต เขตดุสิต กรุงเทพมหานคร 10300 เมล์ตดิ ตอ่ : [email protected] Affiliation: Faculty of Humanities and Social Sciences, Suan Sunandha Rajabhat University, 1 U-Thong nok Road, Dusit, Bangkok 10300 E-mail: [email protected] 46
วารสารนติ สิ งั คมศาสตร์ มหาวทิ ยาลยั เชยี งใหม่ ปีที่ 10 ฉบับที่ 2 กรกฎาคม-ธันวาคม 2560 https://www.tci-thaijo.org/index.php/CMUJLSS การเกณฑ์ทหารกับการทรมาน และการละเมิดสิทธมิ นษุ ยชนต่อทหารเกณฑ์ ในประเทศไทย: บทวิเคราะหจ์ ากมุมมองหนงั สอื รัฐศาสตร์ไม่ฆา่ Military Draft: Torture and Human Rights Violations towards Draftees in Thailand: A Critique from a Non-Killing Global Political Science Perspective ศิวัช ศรโี ภคางกุลa เทอดศักด์ิ ไปจ่ นั ทึกb Siwach Sripokangkul Therdsak Paijuntuek aวทิ ยาลัยการปกครองท้องถ่นิ มหาวทิ ยาลยั ขอนแก่น 123 มหาวทิ ยาลยั ขอนแกน่ อ.เมอื ง จ.ขอนแกน่ 40002 aCollege of Local Administration, Khon Kaen University, 123 Khon Kaen University,Thailand 40002 bคณะรฐั ศาสตร์ มหาวทิ ยาลัยราชภัฏชัยภมู ิ 167 ต.นาฝาย อ.เมอื ง จ.ชยั ภมู ิ 36000 bFaculty of Political Science Chaiyaphum Rajabhat University 167 Nafai Subdistrict, Muang District, of Chaiyaphum Province.36000 ผเู้ ขยี นหลกั เมลต์ ิดตอ่ : [email protected] Corresponding author E-mail: [email protected] บทคดั ย่อ ในขณะที่ประเทศไทยเป็นประเทศท่ีมีการบังคบั ใหช้ ายไทยอายุ 18 ปีข้นึ ไปตอ้ งเข้าเกณฑ์ ทหารเป็นประจำ� ทุกปี หากแตค่ นชั้นกลางและคนรวยกม็ ักจะสามารถหาทางหลบเล่ียงด้วยเหตุผล ต่าง ๆ นานา พวกเขาจึงรอดพ้นจากการเกณฑ์ทหาร ดงั นั้น ทหารเกณฑ์ส่วนใหญจ่ ึงคอื คนจน ใน แต่ละปีมักจะมีข่าวโด่งดังเกี่ยวกับการถูกซ้อมและเสียชีวิตของทหารเกณฑ์ในค่ายทหาร นับตั้งแต่ ในยุคสื่อออนไลน์แพร่หลายยิ่งมีการเปิดเผยถึงภาพและวีดิโอคลิปเก่ียวกับการท�ำร้ายและทรมาน ทหารเกณฑ์ บทความนจี้ งึ ไดต้ งั้ คำ� ถามถงึ นยั ถงึ ความรนุ แรงของการเกณฑท์ หารและปญั หาของการ ละเมดิ สทิ ธมิ นษุ ยชนตอ่ ทหารเกณฑใ์ นประเทศไทย โดยอาศยั กรอบวเิ คราะหจ์ ากหนงั สอื ชอ่ื ดงั ของ Professor Glenn D. Paige คอื หนงั สอื รัฐศาสตรไ์ ม่ฆ่า บทความนี้ไมเ่ พียงแต่จะชใ้ี หเ้ หน็ วา่ การคง รักษาการเกณฑ์ทหารไว้ไม่เพียงแต่เป็นการสนับสนุนการใช้ความรุนแรงต่อเพื่อนมนุษย์กันเท่านั้น วฒั นธรรมในกองทพั ไทยเป็นการจ�ำเพาะ ความรนุ แรงเชิงโครงสรา้ ง ตลอดจน วฒั นธรรมในสังคม ไทยยงั มสี ว่ นสนบั สนนุ ใหก้ ารเกณฑท์ หารกลายเปน็ สถาบนั อกี ดว้ ย ซง่ึ เออื้ ตอ่ การใชค้ วามรนุ แรงตอ่ พวกเขา การบังคับการเกณฑ์ทหารจึงเป็นอันตรายอย่างยิ่งต่อสังคมไทยและเป็นอุปสรรคในการ ท�ำให้สังคมไทยติดยึดอยู่กบั กบั ดกั ของความรนุ แรง คำ� สำ� คญั : การเกณฑท์ หาร, การละเมดิ สิทธิมนุษยชน, กองทพั ไทย, รฐั ศาสตร์ไม่ฆา่ 47
วารสารนติ สิ งั คมศาสตร์ มหาวิทยาลยั เชียงใหม่ ปที ี่ 10 ฉบับท่ี 2 กรกฎาคม-ธันวาคม 2560 Abstract While Thailand has compulsory military service for Thai men aged 18 years or over. Every year, the middle class and rich always seem to find a way around it citing numerous reasons. This way, they evade compulsory military service. The result is that in the army the poor are overrepresented. Every year there are reports of beatings and deaths among draftees and in the era of online media, photographs and videos in which draftees are injured and tortured, spread widely. This article questions the violent implication of military drafting and the problem of human rights violations of draftees in Thailand. Analysis is done in accordance with conceptual framework described in the book by Professor Glenn D. Paige: Non-killing Global Political Science. This article not only shows that retention of military drafting which is supporting violent using to humans, but that there is a specific military culture in army camps and structural violence and Thai culture are also the cornerstone which led military drafting to be firmly institutionalized that accommodates to use violence to the draftees. Mandatory military service therefore is a danger to Thai society and is a barrier that keeps Thai society in a trap of violence. Keywords: Conscription, Human Rights Violation, Thai Military, Non-killing Global Political Science 1. บทนำ� ช่วงเดือนเมษายนในแต่ละปี สังคมไทยมักจะเผยแพร่ข่าวจ�ำนวนมากเกี่ยวกับการเกณฑ์ ทหาร ไมว่ า่ จะเปน็ ภาพของดารานักแสดงเข้ามารายงานตวั ภาพของสาวประเภทสองเขา้ มาของด เวน้ การเกณฑท์ หาร ตลอดจนภาพของการจบั ใบดำ� ใบแดง ซง่ึ หากพวกเขาจบั ไดใ้ บแดง พวกเขาตอ้ ง เปน็ ทหารเปน็ เวลาสองปี อยา่ งไรกด็ ี ขา่ วจำ� นวนมากทเ่ี กดิ ขน้ึ แทบทกุ ปคี อื การละเมดิ สทิ ธมิ นษุ ยชน ตอ่ ทหารเกณฑ์ ไม่วา่ จะเปน็ การทรมาน การลงโทษ การทำ� ร้าย การสร้างความอบั อาย และการใช้ แรงงานเยีย่ งทาส ซง่ึ ทหารเกณฑห์ ลายรายตอ้ งเสียชีวิตในคา่ ยทหาร บทความน้ีจึงจะพิจารณานยั ของการเกณฑ์ทหารในสังคมไทย และกล่าวถึงปัญหาในวิธีคิดเรื่องการเกณฑ์ทหารผ่านกรอบ 48
การเกณฑ์ทหารกบั การทรมาน และการละเมดิ สิทธมิ นุษยชนต่อทหารเกณฑ์ในประเทศไทย: บทวเิ คราะห์จากมุมมองหนงั สือรฐั ศาสตร์ไมฆ่ ่า วเิ คราะห์จากหนังสอื ช่อื ดงั ของ Professor Glenn D. Paige คือหนงั สอื รฐั ศาสตรไ์ ม่ฆา่ (Nonkill- ing Global Political Science) บทความนจ้ี ะเรม่ิ ตน้ ดว้ ยการกลา่ วถงึ ภาพรวมการเกณฑท์ หาร กอ่ นทจี่ ะกลา่ วถงึ พฒั นาการ การเกณฑ์ทหารในสังคมไทย ข้อเสียของการเกณฑ์ทหารในสังคมไทย โดยเฉพาะผ่านมุมมองการ ถูกละเมิดสิทธิมนุษยชน ปัญหาของการเกณฑ์ทหารในสังคมไทย จากน้ัน จะวิเคราะห์การเกณฑ์ ทหารผา่ นกรอบหนงั สอื รฐั ศาสตรไ์ มฆ่ า่ และปดิ ทา้ ยดว้ ยขอ้ เสนอแนะการเกณฑท์ หารในสงั คมไทย 2. การเกณฑท์ หาร การเกณฑ์ทหารถือเป็นรูปแบบใหม่ของการบังคับใช้แรงงานที่มีต่อมวลชนขนาดใหญ่ ในรฐั ชาตสิ มยั ใหม่ การเกณฑท์ หารในรฐั ชาตสิ มยั ใหมต่ า่ งจากการสรู้ บแบบเดมิ เชน่ การกวาดตอ้ น เชลยสงครามไปท�ำหน้าทีอ่ อกรบ หรือ การระดมไพร่พลไปรบ หรือ การน�ำทหารรับจ้างไปรบฯลฯ เพราะการเกณฑ์ทหารสมั พนั ธ์กับการรวมศนู ย์กลางอ�ำนาจไว้ท่รี ัฐสว่ นกลางอยา่ งเคร่งครัด ภายใต้ การเกิดรัฐชาติ (nation-state) ได้ก่อเกิดแนวคิดความเป็นพลเมือง (citizenship) ข้ึนในเวลา เดยี วกนั ความสมั พนั ธร์ ะหวา่ งรฐั กบั พลเมอื งอยภู่ ายใตค้ วามคดิ ทว่ี า่ การเกณฑท์ หารถอื วา่ เปน็ หนา้ ที่ ท่พี ลเมืองต้องปฏิบตั ติ าม เพือ่ แลกมากบั สทิ ธิของการเข้าไปมสี ่วนร่วมทางการเมอื งท่มี ากขน้ึ 1 ต้นก�ำเนิดของการเกณฑ์ทหารในรัฐชาติสมัยใหม่เริ่มต้นในประเทศฝรั่งเศสภายหลังการ ปฏิวัติ ค.ศ. 1789 โดยประเทศฝรงั่ เศสจำ� เปน็ ต้องนำ� ชาวนาและช่างฝีมอื ทีเ่ คยมีสว่ นสำ� คัญในการ ปฏวิ ตั มิ าฝกึ ใหพ้ วกเขามคี วามเปน็ ทหารอาชพี และทกั ษะในการรบอยา่ งเปน็ ระบบ เพอื่ รกั ษารฐั บาล หลงั ปฏวิ ตั แิ ละเพอ่ื ทำ� สงครามกบั ประเทศออสเตรยี ปรสั เซยี และประเทศพนั ธมติ รอน่ื ๆ การระดม มวลชนขนาดใหญใ่ ห้เขา้ กองทัพอย่างตอ่ เนอื่ ง ท�ำใหท้ หารของประเทศฝร่ังเศสในปี ค.ศ. 1792 ซึ่ง มจี ำ� นวน 130,000 นาย ไดพ้ งุ่ ทะยานขน้ึ เป็น 600,000 นายในปี 17942 อยา่ งไรก็ตาม ผลของการ ที่ฝร่ังเศสพ่ายแพ้สงครามดังกล่าวท�ำให้ประเทศฝรั่งเศสได้ออกค�ำสั่งให้ชายชาวฝรั่งเศสทุกคนต้อง เปน็ ทหารเหมอื นกนั ทง้ั หมด โดยปราศจากขอ้ ยกเวน้ และไมม่ กี ารกำ� หนดระยะเวลาตายตวั ซงึ่ จาก คำ� สงั่ ดงั กลา่ วทำ� ใหป้ ระชาชนเดอื ดรอ้ นจำ� นวนมาก ตอ่ มา ประเทศฝรงั่ เศสไดต้ รากฎหมาย Jourdan 1798 เพื่อท�ำให้การเกณฑ์ทหารถูกท�ำให้เป็นสถาบันยิ่งขึ้น กฎหมายนี้มีสาระบัญญัติให้ พลเมือง ฝร่ังเศสทุกคน ต้องเป็นทหารในยามสงคราม ส่วนในเวลาปกติ ให้เกณฑ์แต่เฉพาะบุคคลท่ีมีอายุ 1 Margaret Levi, “The Institution of Conscription,” Social Science History, 20, 1(1996): 134. 2 William Scupham, “Friend, fellows, citizens and soldiers: The evolution of French revolution army, 1792-1799,” Primary Source 5, 1 ( 2014): 24-31. Retrieve from http://www.indiana. edu/~psource/PDF /Current%20Articles/ Fall2014/4%20Scupham% 20Fall%2014.pdf 49
Search
Read the Text Version
- 1
- 2
- 3
- 4
- 5
- 6
- 7
- 8
- 9
- 10
- 11
- 12
- 13
- 14
- 15
- 16
- 17
- 18
- 19
- 20
- 21
- 22
- 23
- 24
- 25
- 26
- 27
- 28
- 29
- 30
- 31
- 32
- 33
- 34
- 35
- 36
- 37
- 38
- 39
- 40
- 41
- 42
- 43
- 44
- 45
- 46
- 47
- 48
- 49
- 50
- 51
- 52
- 53
- 54
- 55
- 56
- 57
- 58
- 59
- 60
- 61
- 62
- 63
- 64
- 65
- 66
- 67
- 68
- 69
- 70
- 71
- 72
- 73
- 74
- 75
- 76
- 77
- 78
- 79
- 80
- 81
- 82
- 83
- 84
- 85
- 86
- 87
- 88
- 89
- 90
- 91
- 92
- 93
- 94
- 95
- 96
- 97
- 98
- 99
- 100
- 101
- 102
- 103
- 104
- 105
- 106
- 107
- 108
- 109
- 110
- 111
- 112
- 113
- 114
- 115
- 116
- 117
- 118
- 119
- 120
- 121
- 122
- 123
- 124
- 125
- 126
- 127
- 128
- 129
- 130
- 131
- 132
- 133
- 134
- 135
- 136
- 137
- 138
- 139
- 140
- 141
- 142
- 143
- 144
- 145
- 146
- 147
- 148
- 149
- 150
- 151
- 152
- 153
- 154
- 155
- 156
- 157
- 158
- 159
- 160
- 161
- 162
- 163
- 164
- 165
- 166
- 167
- 168
- 169
- 170
- 171
- 172
- 173
- 174
- 175
- 176
- 177
- 178
- 179
- 180
- 181
- 182
- 183
- 184
- 185
- 186
- 187
- 188
- 189
- 190
- 191
- 192
- 193
- 194
- 195
- 196
- 197
- 198
- 199
- 200
- 201
- 202
- 203
- 204
- 205
- 206
- 207
- 208
- 209
- 210
- 211