Important Announcement
PubHTML5 Scheduled Server Maintenance on (GMT) Sunday, June 26th, 2:00 am - 8:00 am.
PubHTML5 site will be inoperative during the times indicated!

Home Explore รายงานวิจัย-การพัฒนารูปแบบการสร้างเครือข่ายเฝ้าระวังไฟป่า - อ.ไพสิฐ

รายงานวิจัย-การพัฒนารูปแบบการสร้างเครือข่ายเฝ้าระวังไฟป่า - อ.ไพสิฐ

Published by E-books, 2021-03-02 03:49:06

Description: รายงานวิจัย-การพัฒนารูปแบบการสร้างเครือข่ายเฝ้าระวังไฟป่า-ไพสิฐ

Search

Read the Text Version

รายงานความก้าวหน้าฉบบั ที่ 3 137 โครงการพฒั นารูปแบบการสร้างเครือข่ายเฝา้ ระวงั ไฟป่า ลดหมอกควนั

รายงานความก้าวหน้าฉบบั ที่ 3 138 โครงการพฒั นารูปแบบการสร้างเครือข่ายเฝา้ ระวงั ไฟป่า ลดหมอกควนั

รายงานความก้าวหน้าฉบบั ที่ 3 139 โครงการพฒั นารูปแบบการสร้างเครือขา่ ยเฝา้ ระวงั ไฟป่า ลดหมอกควนั 7.4 การสนบั สนนุ กจิ กรรมและแผนการดาเนนิ งานของชมุ ชนและเครอื ข่าย สนับสนนุ กจิ กรรมตามแผนการดาเนินงานของเครอื ขา่ ยเฝา้ ระวงั ไฟป่าลดหมอกควนั ในพ้นื ทบ่ี ูรณาการ ความร่วมมือ จังหวดั เชยี งใหม่ จังหวัดลาปาง และจังหวดั ลาพูน โดยแยกเปน็ กิจกรรมในลักษณะต่างๆ 5 ประเภท ดงั รายละเอียดต่อไปน้ี ประเภทกิจกรรมทส่ี นบั สนนุ 1) กจิ กรรมการจดั การไฟป่าลดหมอกควันระดับชุมชน 58 ชมุ ชน 289,000 บาท 2) กิจกรรมการจดั การไฟป่าลดหมอกควนั ระดับเครือข่าย 6 เครอื ขา่ ย 145,000 บาท 3) กจิ กรรมการจดั การไฟป่าลดหมอกควัน ในพ้ืนท่เี สยี ง 2 พน้ื ที่ 20,000 บาท 4) กจิ กรรมการจดั การไฟป่าลดหมอกควนั ของเครือขา่ ย ทสม.3 เครอื ข่าย 30,000 บาท 5) กองทุนฉุกเฉิน กรณีผู้นาได้รบั บาดเจ็บจากการจดั การไฟป่า 1 ชมุ ชน 20,000 บาท รวมการสนับสนุนงบประมาณทงั้ ส้นิ 504,000 บาท

รายงานความก้าวหน้าฉบบั ที่ 3 140 โครงการพฒั นารูปแบบการสร้างเครือข่ายเฝา้ ระวงั ไฟป่า ลดหมอกควนั รายชอ่ื การสนับสนนุ เครอื ข่ายอาสาเฝา้ ระวังไฟปา่ หมอกควนั ปี 2561 ลาดบั ช่อื ตาบล อาเภอ ภูมนิ เิ วศดอยอนิ ทร์-ออบหลวง จังหวดั เชยี งใหม่ จอมทอง จอมทอง 2 บา้ นบนนา ต.บา้ นแปะ จอมทอง 3 บ้านแม่จร ต.บา้ นแปะ จอมทอง จอมทอง 4 บ้านตน้ ผ้ึง ต.บา้ นแปะ จอมทอง 5 บา้ นขนุ แปะ ต.บา้ นแปะ จอมทอง 6 ลมุ่ น้าแมเ่ ตย๊ี ะ-แมแ่ ตะ สบเตี๊ยะ จอมทอง 7 บ้านทงุ่ ปูน สบเตย๊ี ะ จอมทอง 8 ป่ากลว้ ย ต.แมส่ อย จอมทอง จอมทอง 10 บา้ นหนิ เหล็กไฟ ดอยแก้ว จอมทอง จอมทอง 11 ขนุ แตะ ดอยแกว้ จอมทอง จอมทอง 12 หว้ ยส้มปอ่ ย ดอยแก้ว จอมทอง 13 ห้วยขนุน ดอยแกว้ จอมทอง 14 บ้านแม่เต๊ยี ะหมู่ 3 ดอยแกว้ จอมทอง 17 หนองหล่ม บ้านหลวง จอมทอง 18 เมอื งอาง บา้ นหลวง จอมทอง 19 แม่แอบ บา้ นหลวง จอมทอง 20 แม่ยะน้อย (มง้ ม.18) บา้ นหลวง จอมทอง บา้ นหลวง จอมทอง แมย่ ะนอ้ ย (กะเหร่ียง ม.12) บ้านหลวง 21 ขุนยะ บ้านหลวง 22 ขุนกลาง 23 ผาหมอน บา้ นหลวง 24 สนั ดินแดง บา้ นหลวง 25 แม่กลางหลวง บา้ นหลวง 26 หว้ ยเฮ้ยี ะ บา้ นหลวง

รายงานความก้าวหน้าฉบบั ท่ี 3 141 โครงการพฒั นารูปแบบการสร้างเครือขา่ ยเฝา้ ระวงั ไฟป่า ลดหมอกควนั 27 บา้ นเดน่ บ้านหลวง จอมทอง ลาดบั ชอื่ ตาบล อาเภอ 29 ขนุ วาง แมว่ ิน แมว่ าง แมว่ าง 30 โป่งน้อย แมว่ นิ แม่วาง แม่วาง 31 ทุ่งหลวง (ม.2) แม่วิน แม่วาง แม่วาง 32 โป่งลมแรง แม่วนิ แมว่ าง 33 ห้วยหอย-ขนุ ป๋วย แม่วิน เมอื ง เมอื ง 34 ห้วยอีคา่ ง แม่วิน เมือง เมือง 35 ป่ากลว้ ย แม่วิน เมือง เมือง เครอื ขา่ ยสง่ิ แวดลอ้ มมง้ ดอยสเุ ทพ-ปุย จังหวดั เชียงใหม่ หางดง หางดง 35 เครือข่ายม้ง (12 หม่บู า้ น) แมร่ มิ 38 พนื้ ทเ่ี ส่ียงแมใ่ น-ปา่ คา สะเมิง สะเมิง 39 พนื้ ทเี่ สยี่ งปางกอง แม่แจม่ แมแ่ จม่ 40 แม่เหยี ะใน 41 ช่างเคยี น 42 ทสม.เมอื ง 36 บา้ นปง (แม่ตาชา้ ง) 37 ทสม.หางดง 43 ทสม.แมร่ ิม 48 กองทนุ กจิ กรรมขยะดอยสเุ ทพ 44 แม่ลานคา 45 แมข่ ะปู 46 แมแ่ จม่ ต.บา้ นทับ 47 แม่แจม่ ต.กองแขก พ้นื ทรี่ อบดอยพระบาท-มอ่ นพระยาแช่ จหั วัดลาปาง ตาบลพิชัย (การจัดการรอบป่ามอ่ นพระยาแช่)

รายงานความก้าวหน้าฉบบั ที่ 3 142 โครงการพฒั นารูปแบบการสร้างเครือขา่ ยเฝา้ ระวงั ไฟป่า ลดหมอกควนั 1 ม.1 บา้ นพชิ ัย ตาบลพิชัย เมือง 2 ม.5 บา้ นตน้ ตอ้ ง ตาบลพชิ ัย เมือง ลาดบั ชอ่ื ตาบล อาเภอ 3 ม.7 บ้านไร่พฒั นา ตาบลพิชยั เมอื ง 4 ม.8 บ้านทรายใต้ ตาบลพชิ ยั เมือง ตาบลพิชัย เมอื ง 5 ม.10 บา้ นไร่ศิลาทอง ตาบลพิชัย เมอื ง 6 ม.13 บ้านใหมพ่ ัฒนา ตาบลพชิ ัย เมอื ง ตาบลพชิ ัย เมอื ง 7 ม.16 บ้านวงั ชัยพฒั นา ห้วยแพะ เมือง 8 ม.17 หว้ ยแพะ เมือง ห้วยแพะ เมือง ตาบลพระบาท (ดอยพระบาท) ตาบลพระบาท เมอื ง ม. 4 บา้ นหวั ฝาย ม. 2 ห้วยแพะ ม. 4 หวั ฝาย บ้านเหลา่ บุญเกดิ บ้านโทกหวั ชา้ ง ตาบลพระบาท เมือง เมอื ง บา้ นหัวท่งุ สามัคคี ตาบลพระบาท เมอื ง เมือง บา้ นอว๋ิ เมี่ยน ตาบลพระบาท ทงุ่ หัวชา้ ง กลุ่มเฮาฮักดอยพระบาท กลว้ ยแพะ/พระบาท ทงุ่ หวั ช้าง ทุ่งหวั ชา้ ง จงั หวัดลาพูน ท่งุ หวั ช้าง ทงุ่ หวั ช้าง ชมุ ชนตาบลตะเคยี นปม (ลมุ่ นา้ ลตี้ อนบน ) ทุ่งหวั ช้าง หมู่1 บ้านทุ่งขา้ วหาง ตะเคียนปม หมู่2 บ้านไมต้ ะเคยี น ตะเคยี นปม หมู่3 บ้านป่าตงึ งาม ตะเคียนปม หมู่ 4 บา้ นหว้ ยงูสงิ ห์ ตะเคยี นปม หมู่5 บา้ นไมส้ ลี , ตะเคยี นปม หม6ู่ บา้ นแมแ่ สม ตะเคียนปม

รายงานความก้าวหน้าฉบบั ท่ี 3 143 โครงการพฒั นารูปแบบการสร้างเครือข่ายเฝา้ ระวงั ไฟป่า ลดหมอกควนั หมู่7 บา้ นห้วยห้าง ตะเคียนปม ทุง่ หัวชา้ ง หมู่8 บ้านหว้ ยไร่ ตะเคียนปม ทงุ่ หัวช้าง หมู่9 บา้ นหนองหลัก ตะเคียนปม ทุ่งหัวช้าง หมู่10 บ้านป่ากอ่ ตะเคียนปม ทุ่งหัวชา้ ง หมู่12 บา้ นใหมไ่ ม้สลี ตะเคยี นปม ท่งุ หวั ช้าง หมู่11 บ้านศรีดงเยน็ ตะเคียนปม ทงุ่ หวั ช้าง งบสรา้ งการเรียนรู้เครือข่าย ตะเคยี นปม ทุ่งหัวชา้ ง ตาบลทงุ่ หวั ช้าง งบสรา้ งการเรียนรเู้ ครือข่าย ตะเคียนปม ทงุ่ หัวชา้ ง ตาบลทุ่งหัวช้าง อ่ืนๆ กองทนุ สวัสดกิ าร หรือกรณี เหตกุ ารณฉ์ ุกเฉนิ

รายงานความก้าวหน้าฉบบั ท่ี 2 144 โครงการพฒั นารูปแบบการสร้างเครือขา่ ยเฝา้ ระวงั ไฟป่า ลดหมอกควนั บทที่ 8 การสอ่ื สารสสู่ าธารณะ และจัดทาส่ือเผยแพรส่ าหรับการสรา้ งกระบวนการมสี ่วนรว่ ม สร้างเครอื ขา่ ยเฝ้าระวงั ไฟป่า ลดหมอกควนั 8.1 สอื่ สารกิจกรรม รปู แบบการสรา้ งเครอื ขา่ ยเฝ้าระวงั ไฟป่า ลดหมอกควนั ภาคเหนอื และผลงานของ เครือข่ายอาสาสมัคร หนว่ ยงานและภาคที เี่ กย่ี วขอ้ ง สาหรับโครงการพัฒนารูปแบบการสร้างเครือข่ายเฝ้าระวังไฟป่า ลดหมอกควัน ในปี 2561 แนวทางการ ส่ือสารเลือกแนวทางการส่ือสารกับสังคมผ่าน socail media และ Social Networking ทั้งไลน์ Facebook, Youtube ซ่ึงถือเป็นช่องทางการสื่อสารท่ีได้รับความนิยมสูง สามารถสื่อสารแลกเปลี่ยนเผยแพร่และข้อมูลไดท้ ั่ว โลกอย่างรวดเร็ว โดยเฉพาะอย่างย่ิงการสื่อสารในสังคมออนไลน์ผ่าน Facebook ท่ีทาให้คนสนใจกด like กด share ส่งตอ่ กนั เรื่อย ทาให้เกิดการสื่อสารได้รวดเร็ว มีการโตต้ อบ สื่อสาร ส่งข้อความ แสดงความคดิ เห็นและสรา้ ง การมีส่วนร่วมระหว่างผู้สนใจได้โดยตรง อีกท้ังยังเป็นเครื่องมีในการรายงานและวัดสถิติของผู้ท่ีสนใจ ผ่านการเข้า มาคอมเมนต์หรือโพสต์ข้อความ ข้อมูบ อายุ เพศ ภูมิลาเนา ซ่ึงเครื่องมือเหล่าน้ีจะช่วยทาให้สามารถวิเคราะห์ กลุ่มเป้าหมาย เพ่ือสื่อสารสร้างความเข้าใจ สร้างกันมีส่วนร่วม ซึ่งจะยกระดับไปสู่การพัฒนาความร่วมมือได้มี ประสทิ ธภิ าพมากขนึ้ ในอนาคต ทง้ั น้ีการสือ่ สารกิจกรรมของโครงการฯ ได้ดาเนินการมาแล้วดังตอ่ ไปน้ี - การสื่อสารผ่าน Group line ได้แก่ กลุ่มไลน์เพื่อส่ือสารสถานการณ์ในพ้ืนท่ี เช่น ไลน์กลุ่มการ จัดการไฟป่าอาเภอจอมทอง ไลน์กลุ่มเครือข่ายม้ง ไลน์กลุ่มเครือข่ายอาสาฯ ไฟป่า ไลน์แจ้งข่าว forestbook เป็นต้น การสื่อสารดังกล่าว เป็นทั้งเคร่ืองมือในการสื่อสารสถานการณ์ภายใน เพ่ือ ระดมความรว่ มมอื ในการจดั การไฟปา่ และเปน็ การสะสมขอ้ มลู เพือ่ ยกระดบั ในการสอื่ สารกับสังคม

รายงานความก้าวหน้าฉบบั ท่ี 2 145 โครงการพฒั นารูปแบบการสร้างเครือขา่ ยเฝา้ ระวงั ไฟป่า ลดหมอกควนั - การสอื่ สารโดยใชช้ อ่ งทาง Facebook fanpage ผา่ น เพท forest book1 หรับการสื่อสารซึง่ ถือเป็น เพทท่ีไดร้ ับความนยิ ม มยี อดผู้ตดิ ตามมากกวา่ 100,000 คน โดยโครงการฯ ไดจ้ ัดทาคลปิ สอื่ สาร รปู ธรรมความร่วมมือจัดการไฟปา่ ลดหมอกควนั จานวน 2 เรอ่ื ง 1) “ม้งผู้พิทักษ์” เพอ่ื สอ่ื สารถึงการจัดการไฟป่าลดหมอกควัน ในพืน้ ที่พ้ืนที่อุทยานแห่งชาติ ดอยสุเทพ-ปุย ท่ีแสดงให้เห็นถึงผลจากการทางานร่วมกันอย่างต่อเนื่องของหน่วยงาน องค์กร และ ชาวบ้านบนดอย โดยเฉพาะชุมชนม้ง ความร่วมมือดังกล่าวได้เพิ่มประสิทธิภาพในการจัดการไฟป่า จนเปน็ ที่ประจักษ์ มีขอ้ มลู ยืนยันพสิ จู น์ได้ ในคลิปน้ไี ด้ชใ้ี ห้เห็นวา่ แม้เครอื ขา่ ยจะจัดการดอี ย่างไร แต่ ก็เป็นเพียงแค่จิ๊กซอว์ตัวหน่ึงของการจัดการในภาพใหญ่เท่านั้น ซ่ึงหากจะแก้ไขปัญหาให้มี ประสิทธภิ าพมากยิ่งข้ึนน้ัน สิง่ ท่ีน่าจะช่วยกันคิดตอ่ เพื่อเปน็ แนวทางแกไ้ ขสถานการณ์ในภาพรวม คือ การหนุนให้เกิดการจัดการท่ีมีประสิทธิภาพแบบน้ี แผ่ขยายในวงกว้างมากขึ้น รวมถึงหาวิธีจัดการฝุ่น 1 เพจ forestbook นาเสนอความเคลือ่ นไหว รูปธรรม และแนวทางในการปฏิรูประบบการจดั การทรัพยากร ทงั้ ในระดบั พืน้ ที่และระดบั นโยบาย เพื่อความเข้าใจร่วมกนั ของทกุ คนในสงั คม โดยการผลิตคลปิ เพ่ือการสื่อสารในช่วงที่ผ่านมามี ยอดview มากถึง 2 ล้านวิว

รายงานความก้าวหน้าฉบบั ท่ี 2 146 โครงการพฒั นารูปแบบการสร้างเครือข่ายเฝา้ ระวงั ไฟป่า ลดหมอกควนั ควันจากแหล่งกาเนดิ อื่น ๆ ไปพร้อมกัน https://www.facebook.com/join.forestbook/videos/ 586445188380337/

รายงานความก้าวหน้าฉบบั ท่ี 2 147 โครงการพฒั นารูปแบบการสร้างเครือข่ายเฝา้ ระวงั ไฟป่า ลดหมอกควนั 2) “สาปแช่ง ณ อินทนนท์” เพื่อส่ือสารถึงเร่ืองรวมการจัดการไฟป่าของเครือข่ายขององค์กร ชุมชน ในพ้ืนท่ีอุทยานแห่งชาติดอยอินทนนท์ ที่ใช้ทุกกระบวนท่าในการจัดการ ทั้งการจัดการในรูปแบบ การจัดการเชื้อเพลิง การเฝ้าระวัง ดับไฟ และการใช้พิธีกรรมศักดิ์สิทธิ์ ในคลิปเล่าถึงพิธีกรรมสาปแช่ง คนเผาป่า ท้ังพิธีกรรมของปกาญอ ม้ง คนเมือง ซ่ึงกลายเป็นประเพณีปฏิบัติท่ีชุมชนยอมรับ และใช้ได้ผล ในคลปิ ชวนใหค้ ิดถึงแนวทางการบริหารจัดการไฟป่า ลดหมอกควัน ทีต่ ้องมีการประยุกต์หลายๆ รปู แบบให้ สอดคล้องกับบริบทการจัดการของพืน้ ที่ ซ่ึงหากชมุ ชนลุกข้ึนมาจัดการ เป็นเจ้าภาพ กจ็ ะทาให้การจัดการ ดงั กลา่ วเกิดประสิทธิภา https://www.facebook.com/join.forestbook/videos/570087373349452/

รายงานความก้าวหน้าฉบบั ท่ี 2 148 โครงการพฒั นารูปแบบการสร้างเครือข่ายเฝา้ ระวงั ไฟป่า ลดหมอกควนั

รายงานความก้าวหน้าฉบบั ท่ี 2 149 โครงการพฒั นารูปแบบการสร้างเครือข่ายเฝา้ ระวงั ไฟป่า ลดหมอกควนั 3) “ชิงเผาอย่างเป็นระบบ” สื่อสารถึงการจัดการไฟในป่าเต็งรัง ด้วยวธิ ีการจัดการเช้ือเพลิงหรือ การชิงเผาของชุมชนบ้านแม่เตี๊ยะใต้ หนึ่งในหมู่บ้านของเครือข่ายการจัดการพ้ืนที่อุทยานแห่งชาติอบบ ห ล ว ง ก า ร จั ด ก า ร เ ชื้ อ เ พ ลิ ง เ ป็ น รู ป แ บ บ ก า ร จั ด ก า ร ที่ มี ข้ อ เ ท็ จ จ ริ ง ส นั บ ส นุ น ว่ า ไฟป่ามักเกิดในพื้นที่ซ้าซากและเสียหายรุนแรง แม้จะใช้มาตรการควบคุมป้องกันแค่ไหน? ใช้เจ้าหน้าท่ี งบประมาณมากเท่าไร? ก็ยากที่จะห้ามการเกิดไฟ การป้องกันไม่ให้เกิดไฟในป่าเลย( Zero Burning) กลายเป็นปัญหาโดยตัวมันเอง เพราะเม่ือใดที่ไฟรุกเข้าไปได้ ป่าจะสูญเสียมหาศาล และเป็น อันตรายต่อเจ้าหน้าท่ีหรือชาวบ้านท่ีช่วยกันดับไฟ แต่ขณะเดียวกัน เม่ือพูดถึงการ ชิงเผา ถ้าทาไม่ถูก หลักการ เผาไปเร่ือย ขาดการควบคุม ก็จะยิ่งซ้าเติมสถานการณ์ ในคลิปได้ช้ีให้เห็นว่า แม้การจัดการ เชอ้ื เพลิงตามหลักวชิ าการ เร่ิมได้รับการยอมรบั มากข้ึน แต่ถ้าเทียบกับพืน้ ทท่ี ่ีลงมือปฏิบัติการจริงๆจังๆ ก็ ยังเปน็ สัดส่วนน้อยมาก และอาจไม่เพียงพอที่จะช่วยลดระดบั ปัญหา เชน่ กรณีจังหวดั เชยี งใหม่ มีพนื้ ทป่ี ่า

รายงานความก้าวหน้าฉบบั ท่ี 2 150 โครงการพฒั นารูปแบบการสร้างเครือขา่ ยเฝา้ ระวงั ไฟป่า ลดหมอกควนั เต็งรังประมาณ 2,000,000 ไร่ ถ้าท้ังจังหวัดใช้แนวทางน้ีจัดการก็จะช่วยลดพ้ืนท่ีการเกิดไฟป่าในป่าเต็งรัง ไดส้ งู ถงึ 600,000-1,400,000 ไร่ https://www.facebook.com/join.forestbook/videos/563716790653177/

รายงานความก้าวหน้าฉบบั ท่ี 2 151 โครงการพฒั นารูปแบบการสร้างเครือข่ายเฝา้ ระวงั ไฟป่า ลดหมอกควนั

รายงานความก้าวหน้าฉบบั ท่ี 2 152 โครงการพฒั นารูปแบบการสร้างเครือขา่ ยเฝา้ ระวงั ไฟป่า ลดหมอกควนั 8.2 จัดทาส่ือเผยแพร่การพัฒนาเครือข่ายอาสาสมัครเฝ้าระวังไฟป่า ลดหมอกควัน โดยดาเนินการ ออกแบบงานพิมพ์ เน้ือหาสาระ ภาพประกอบแผนที่ให้มีความสอดคล้องกัน ดูสวยงามและน่าสนใจ โดยเนื้อหาของ สื่อแสดงถึงรูปแบบการดาเนินงานของเครอื ข่าย แผนท่ีแสดงถึงผลและประสทิ ธภิ าพในการทางาน ทัศนะจากผ้มู ีสว่ น เกย่ี วข้อง โดยเนอ้ื หาไดน้ ามาจัดทาเปน็ ส่ือ ต่างๆ ประกอบดว้ ย o โปสเตอร์ การพัฒนาเครือข่ายอาสาสมัครเฝ้าระวังไฟป่า ลดหมอกควันในพ้ืนที่บูรณาการ ความร่วมมอื พมิ พ์ 4 สีอิงค์เจท ขนาดกวา้ งยาวไม่นอ้ ยกวา่ 60X 100 ซม. จานวน 500 แผน่

รายงานความก้าวหน้าฉบบั ท่ี 2 153 โครงการพฒั นารูปแบบการสร้างเครือขา่ ยเฝา้ ระวงั ไฟป่า ลดหมอกควนั o แผ่นพับการพัฒนาเครือข่ายอาสาสมัครเฝ้าระวังไฟป่า ลดหมอกควัน พิมพ์ 4 สี 2 ด้าน ขนาดกวา้ งยาวไม่น้อยกวา่ 40 x 60 ซม. จานวน ไม่น้อยกว่า 2,000 แผ่น

รายงานความก้าวหน้าฉบบั ท่ี 2 154 โครงการพฒั นารูปแบบการสร้างเครือขา่ ยเฝา้ ระวงั ไฟป่า ลดหมอกควนั o นิทรรศการ สาหรับพ้ืนที่บูรณาการความร่วมมือในการเฝ้าระวังไฟปา่ ลดหมอกควนั ทาด้วย วสั ดุ plastwood ขนาดไม่นอ้ ยกวา่ 100 x 150 ซม. จานวนไมน่ อ้ ยกว่า 30 แบบ

รายงานความก้าวหน้าฉบบั ท่ี 2 155 โครงการพฒั นารูปแบบการสร้างเครือข่ายเฝา้ ระวงั ไฟป่า ลดหมอกควนั o ส่ือ ประกอบการประชาสัมพันธ์ในพื้นท่ี 9 จังหวัดภาคเหนือ ได้แก่ การจัดพิมพ์หนังสือ “บทเรียนความรว่ มมอื การจัดการไฟป่า” ประกอบด้วยเน้ือหา 7 บทไดแ้ ก่  บทท่ี 1 บทนา  บทท่ี 2 สถานการณ์ปัญหาไฟป่าหมอกควันภาคเหนือ ประกอบด้วย สถานการณ์ปัญหาไฟป่าหมอกควันภาคเหนือ นโยบายและกฎหมายที่ เก่ียวข้อง องค์กรและเจ้าภาพในการบริหารจัดการ การบูรณาการความ ร่วมมอื  บทที่ 3 แนวคิดการดาเนินงาน เนื้อหาพูดถึงแนวคิดต่างๆ ท่ีเก่ียวข้อง เช่น เป้าหมายการพัฒนาที่ยั่งยืน (SDG) แนวคิดเรื่องการมีส่วนร่วม แนวคิดเรื่องการสร้างเครือข่าย แนวคิดเรื่องการจัดการเชิงซ้อนและการ จดั การรว่ ม แนวคิดเรื่องการจดั การโดยใชพ้ น้ื ทเี่ ป็นตัวตงั้ แนวคิดเรือ่ งการ ตอบแทนคุณระบบนิเวศกับการจัดการไฟป่าหมอกควัน แนวคิดการใช้ ข้อมูลแผนที่และระบบสารสนเทศทางภูมิศาสตร์ประกอบการวางแผนการ บริหารจัดการ  บทที่ 4 วิเคราะห์เครือข่ายการจัดการไฟป่าหมอกควันภาคเหนือ ประกอบดว้ ย การวเิ คราะหล์ กั ษณะและประเภทความเป็นเครอื ขา่ ย เช่น เครือข่ายจัดตั้งตามกฎหมาย เครือข่ายเชิงพน้ื ท่ี (ลุ่มน้า, ตาบล) เครือข่าย เชิงประเด็น (ป่าชุมชน, ป่าไม้ท่ีดิน,เหมืองฝาย, เกษตร น้า การวิเคราะห์ ศักยภาพในการจัดการปัญหา ปัญหาและข้อจากัด และทิศทางการสร้าง เครือข่ายให้เกิดประสิทธภิ าพ  บทที่ 5 กรณีศึกษาบทเรียนการสร้างเครือข่ายการจัดการไฟป่าหมอกควนั ภาคเหนือ เนื้อหาประกอบด้วย กรณีศึกษาพื้นที่อุทยานแห่งชาติดอยสุ เทพ – ปุย และพ้ืนท่ีโดยรอบ อาเภอเมือง แม่ริม และหางดง จังหวัด เชียงใหม่ กรณีศึกษาพ้ืนท่ีอุทยานแห่งชาติดอยอินทนนท์ และพื้นที่ โดยรอบ อาเภอจอมทอง จังหวัดเชียงใหม่ กรณีศึกษาพื้นท่ีดอยพระบาท – ม่อนพระยาแช่ จังหวัดลาปาง และกรณีศึกษาพื้นที่ลุ่มน้าลี้ตอนบน อาเภอทุ่งหัวช้าง จงั หวดั ลาพนู

รายงานความก้าวหน้าฉบบั ท่ี 2 156 โครงการพฒั นารูปแบบการสร้างเครือขา่ ยเฝา้ ระวงั ไฟป่า ลดหมอกควนั  บทท่ี 6 เงื่อนไขและปัจจัยการเพ่ิมประสิทธิภาพในการบริหารจัดการไฟป่า หมอกควัน เน้ือหาประกอบด้วย องค์กรในการจัดการ ความรู้ ระบบ สนบั สนุน ความรว่ มมือ และการจดั การร่วม  บทท่ี 7 บทสรุป และข้อเสนอแนะต่อทิศทางการขยายผลเครือข่ายความ ร่วมมือ อย่างไรก็ตามเนื่องจากโครงการอยู่ในระยะการติดตามผลการดาเนินงาน ดังน้ันการจัดทาต้นฉบับ จงึ อยู่ระหวา่ งการรวบรวมสถานการณ์ บทเรยี นและผลการดาเนนิ งานของเครือข่าย ซ่งึ คาดวา่ ต้นฉบับจะแล้ว พร้อมกับการจัดพิมพ์และเผยแพร่ได้ในระยะต่อไป (จัดพิมพ์เป็นเอกสารเผยแพร่ขนาด A5 ปก 4 สี พิมพ์ ด้วยกระดาษอาร์ต เคลือบด้าน เนื้อในสีเดียว จานวนประมาณ 120 หน้า พิมพ์ด้วยกระดาษถนอมสายตา เข้าเล่มแบบใสกาว )

รายงานฉบบั สมบรู ณ์ 157 โครงการพฒั นารูปแบบการสร้างเครือข่ายเฝา้ ระวงั ไฟป่า ลดหมอกควนั บทที่ 9 การติดตามประเมนิ ผลการจดั การ และบทเรยี นการสรา้ งเครอื ขา่ ยการจดั การไฟปา่ หมอกควนั ภาคเหนอื ปีพ.ศ. 2561 กรมส่งเสริมคุณภาพสิ่งแวดล้อม ได้ดาเนินการโครงการพัฒนาเครือข่ายเฝ้าระวังและฟ้ืนฟู ทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม ใน 4 พ้ืนท่ี คือ1) พ้ืนท่ีอุทยานแห่งชาติดอยสุเทพ – ปุย อาเภอเมือง แม่ริม และหางดง จงั หวดั เชียงใหม่ 2)พน้ื ท่ีอุทยานแห่งชาติดอยอินทนนท์ อาเภอจอมทอง จังหวัดเชียงใหม่ 3) พ้ืนที่ดอย พระบาท – ม่อนพระยาแช่ อาเภอเมือง จังหวัดลาปาง 4) พ้ืนที่ลุ่มน้าลี้ตอนบน อาเภอทุ่งหัวช้าง จังหวัดลาพูน กล่าวคือ สาหรับพ้ืนที่อุทยานแห่งชาติดอยสุเทพ – ปุย อาเภอเมือง แม่ริมและหางดง จังหวัดเชียงใหม่ และพื้นที่ อุทยานแห่งชาติดอยอินทนนท์ อาเภอจอมทอง จังหวัดเชียงใหม่ ดาเนินการต่อเน่ืองมาตั้งแต่ปี 2559 ส่วนพื้นท่ี ดอยพระบาท – ม่อนพระยาแช่ อาเภอเมือง จังหวัดลาปางดาเนินการต่อเนื่องจากปี 2560 ในส่วนของพื้นท่ีดอย พระบาท – ม่อนพระยาแช่ อาเภอเมอื ง จังหวัดลาปางและพืน้ ที่ลุ่มนา้ ล้ีตอนบน อาเภอทุ่งหัวช้าง จงั หวัดลาพนู ถือ เป็นการขยายผลการทางานจากจังหวดั เชียงใหม่เชอ่ื มต่อมายงั ลาปาง และลาพนู พื้นที่ดอยพระบาท – ม่อนพระยาแช่ อาเภอเมือง จังหวัดลาปาง นับเป็นพ้ืนที่หน่ึงของภาคเหนือท่ีมี สถานการณป์ ญั หาไฟปา่ หมอกควันที่รุ่นแรงอย่างตอ่ เนอ่ื ง โดยพืน้ ท่ีรอบดอยพระบาทและมอ่ นพญาแช่นบั เปน็ พืน้ ที่ ยุทธศาสตร์ท่ีสาคัญของการแก้ไขปัญหาในจังหวัดลาปาง เนื่องจากเป็นผืนป่าใกล้เมืองท่ีมีความอุดมสมบูรณ์ของ ทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม ซ่ึงเปรียบเสมือนเป็นปอดของจังหวัดลาปาง เป็นแหล่งท่องเท่ียวท่ีคนสนใจ มีทวิ ทศั น์สวยงาม อกี ทั้งยังเปน็ พื้นท่เี สย่ี งในการเกดิ วกิ ฤตปัญหาไฟป่าหมอกควนั ท่อี ยู่ใกลต้ วั เมอื ง เมอ่ื เกดิ ไฟป่า จึง ทาให้เกิดผลกระทบทั้งต่อสุขภาพ และเศรษฐกิจเป็นวงกว้าง และเป็นพ้นื ที่ซ่ึงมีเครือข่ายภาคประชาชน ลุกขึ้นมา จัดการขับเคลื่อนการแก้ไขปัญหาไฟป่าและการจัดการทรัพยากร มีภาคีความร่วมมือท่ีหลากหลาย ท้ังภาครัฐ ท้องถ่ิน ภาคประชาสังคม ภาคธุรกิจ ท่ีมีแนวโน้มในการผนึกกาลังขับเคลื่อนการแก้ไขปัญหาในรูปแบบของกลไก ประชารัฐ ความพยายามในการจัดการไฟป่า ริเริ่มโดยกลุ่มคน “จิตอาสา” ไมว่าจะเป็น กลุ่ม “เฮาฮักม่อนพระยา แช่” กลุ่ม “เฮาฮักดอยพระบาท” นักเรียน นักศึกษา ท้องถ่ิน เจ้าหน้าที่ ป่าไม้ เจ้าหน้าท่ีไฟป่า ภาคเอกชน และชุมชนที่อยู่รอบผืนป่า ซึ่งมีรูปแบบการจัดการไฟป่าเน้นการเฝ้าระวัง ป้องกันไม่ให้เกิดไฟไหม้รอบพื้นท่ีม่อน

รายงานฉบบั สมบรู ณ์ 158 โครงการพฒั นารูปแบบการสร้างเครือข่ายเฝา้ ระวงั ไฟป่า ลดหมอกควนั พระยาแช่และดอยพระบาท ทาแนวกันไฟ ทาฝายชะลอน้า ลาดตะเวน เฝ้าระวังในช่วงสถานการณ์ไฟป่าเริ่มมา ตงั้ แต่เดอื น มกราคม – เมษายนของทกุ ปี บทเรียนสาคัญในการจดั การปัญหาไฟปา่ หมอกควนั ประการแรก คือ ความไม่เข้าใจกันระหว่างหน่วยงานรัฐกับชุมชน กล่าวคือ ไฟท่ีมาจากความขัดแย้งและ ความเห็นต่างในเร่ืองการจัดการ ต่างคนต่างมองว่าไฟเกิดจากอีกฝ่ังหนึ่ง ดังนั้นสิ่งท่ีเครือข่ายได้เรียนรู้คือความ เข้าใจจะต้องมาก่อนเรื่องความร่วมมือตามมาทีหลัง ซึ่งต้องคิดค้นรูปแบบที่เหมาะสมในการทางานร่วมกันระหว่าง เครอื ขา่ ยชาวบา้ นกบั หน่วยงาน ประการท่ีสอง การรวมเป็นเครือข่ายความร่วมมือแบบบูรณาการเพ่ือแก้ไขปัญหาไฟป่าหมอกควัน ส่ิง สาคัญคือการมีเจ้าภาพ/กลไกประสานงานหลักท่ีจะเป็นกลไกประสานงานในพ้ืนท่ีอย่างย่ังยืน กล่าวคือ สิ่งท่ีควร คานึงถึงคือการหาจุดร่วม การแสวงหาความร่วมมือจากภาคี และการพัฒนากลไกระดับพื้นที่ เร่ิมจากกลุ่มผู้นา ทางการ(กานัน ผูใ้ หญ่บา้ น สมาชิกอบต.) /จิตอาสา กลุ่มป่าชุมชน การบูรณาการอาสาสมัครกบั หน่วยงานอ่ืนๆใน พ้นื ที่ รวมถึงการพฒั นาระบบสนับสนนุ เช่นเรือ่ งกองทนุ ใหม้ คี วามยงั่ ยนื มากย่ิงขน้ึ และ ประการสุดท้าย คนในชุมชนให้ความร่วมมือที่ดีมากในการจัดการไฟป่าหมอกควัน แต่การสนับสนุนจาก ภาครัฐยังติดขัดหลายเร่ือง โดยเฉพาะเรื่องงบประมาณทาใหช้ าวบา้ นขาดขวัญและกาลังใจ การจัดการงบประมาณ จงึ สาคัญไม่ดอ้ ยไปกวา่ ความรว่ มมือจากหน่วยงาน ทัง้ ทสจ. สานักอนุรกั ษ์ที่ 13 และสานักทรพั ยากรป่าไม้ที่ 3 พื้นท่ีลุ่มนา้ ล้ีตอนบน อาเภอทุ่งหัวช้าง จังหวัดลาพนู เป็นพื้นท่ีขยายผลในปี 2561 กล่าวคือการจัดการไฟ ป่าและหมอกควันพน้ื ที่ลุ่มน้าลี้ตอนบน อาเภอทุ่งหัวช้าง จังหวัดลาพูน นับว่าขยายผลมาจากเครือข่ายการจัดการ ไฟป่าและหมอกควันในพื้นที่ดอยอินทนนท์จนก่อเกิดเป็นเครือข่ายชุมชนขึ้นมาในพื้นที่จังหวัดลาพูน เครือข่าย จัดการไฟปา่ และหมอกควนั ลุ่มน้าล้ีตอนบน เชอ่ื มโยงกนั ใน 3 ตาบล ไดแ้ ก่ ต.ตะเคยี นปม 12 หมบู่ า้ น ต.ทงุ่ หัวชา้ ง 12 หมู่บ้าน และ ต.บ้านปวง 11 หมู่บ้าน อ. ทุ่งหัวชา้ ง จังหวดั ลาพูน กล่าวได้ว่า พ้ืนที่ลุ่มน้าล้ีตอนบนโดยเฉพาะในเขตอาเภอทุ่งหัวช้างมักเกิดไฟป่าเป็นประจาทุกปี ในส่วน การจัดการไฟป่าและหมอกควัน มีกลไกของคณะกรรมการป่าชุมชนท่ีมีในทุกหมู่บา้ นทาหน้าท่ีมาแต่เดิม ในรอบปี หนึ่งๆภารกิจและหน้าท่ีดูแลพื้นท่ีป่า คือ การทาแนวกันไฟปลี ะสองคร้ัง บางหมู่บ้านมีการบวชป่า จากการจัดการ ดูแลป่าของชาวบ้าน ส่งผลทาให้ในปี 2559 เป็นตน้ มาไม่เกดิ ไฟไหม้ นอกจากน้ี ยังมีกิจกรรมร่วมในระดับอาเภอ มี กิจกรรมสืบชะต๋าห้วยน้าล้ีบริเวณที่เรียกว่า สบน้า (แม่น้าสองสายคือ ลาห้วยแม่หาง – ลุ่มน้าล้ีไหลมาบรรจบกัน) เป็นกิจกรรมที่ทาร่วมกับองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นทุกปี และกิจกรรมแห่ช้างเผือกที่ทากันมาเป็นกิจกรรม ประจาปี ตั้งแต่อาเภอล้ี อาเภอท่งุ หัวช้าง อาเภอเวยี งหนองล่อง และอาเภอบา้ นโฮ้ง บทเรียนสาคัญในการจดั การปญั หาไฟป่าหมอกควนั คอื

รายงานฉบบั สมบรู ณ์ 159 โครงการพฒั นารูปแบบการสร้างเครือข่ายเฝา้ ระวงั ไฟป่า ลดหมอกควนั ประการแรก มีทุนทรัพยากรดี มีพน้ื ที่ป่ามาก ทาให้ปจั จุบนั มักไม่มีการจุดไฟเผาป่า เพราะชมุ ชนเน้นเรื่อง ดูแลป่าเป็นพิเศษและได้รับความร่วมมือจากชาวบ้านดีมาก ใช้เพียงการประชาสัมพันธ์ไม่ต้องเผาไม่ต้องบังคับใช้ กฎหมายกับชาวบ้าน ชาวบา้ นใหค้ วามร่วมมอื ใชก้ ารไถแทนการเผาไร่ ประการท่ีสอง ความร่วมมือกับหน่วยงานและการสนับสนุนงบประมาณให้ชุมชน ชาวบ้านเห็นว่า งบประมาณมาแต่ไมถ่ ึงชาวบ้านและไมส่ อดคล้องกับระยะเวลา ยังขาดความร่วมมอื กบั หน่วยงานทเี่ ก่ียวข้อง เพราะ ที่ผ่านมาหลายหน่วยงานมักมองภาพชาวบ้านเป็นเพียงผู้ช่วยงาน ความร่วมมือท่ีผ่านมาจึงเป็นเรื่องของการขอ ความร่วมมือจากชาวบา้ น ประการท่ีสาม เครือข่ายความร่วมมือระหว่างชาวบ้านกับหน่วยงานยังขาดเวทีพูดคุยกัน ซ่ึงควรเริ่มจาก เวทีระดับหมบู่ ้าน ขยายไปสู่ระดับตาบล และอาเภอ จนทาให้เกดิ เครือข่ายและพืน้ ท่กี ารทาแผน บูรณาการร่วมกัน กับหน่วยงานภาครัฐ ตลอดจนเวทีปรึกษาหารือกันในระดับจังหวัด ถ่ายทอดแผนการแก้ไขปัญหาให้เป็นแนวทาง รว่ มกนั มีการสนับสนนุ งบประมาณเป็นกองทนุ ระดับตาบลในการจัดการปัญหาไฟป่าหมอกควันท่ยี ง่ั ยนื 9.1 พืน้ ทอ่ี ุทยานแหง่ ชาตดิ อยสเุ ทพ – ปยุ อาเภอเมอื ง แมร่ มิ และหางดง จงั หวดั เชยี งใหม่ 9.1.1 บรบิ ทพื้นท่ีอทุ ยานแหง่ ชาตดิ อยสเุ ทพ – ปยุ อทุ ยานแห่งชาติดอยสุเทพ – ปุย ครอบคลุมพน้ื ท่ี 163162.5 ไร่ หรือราว 261 ตารางกิโลเมตร เป็นพื้นที่ ภูเขาสลับซับซ้อนมีองค์ประกอบป่าหลายประเภท อาทิเช่น ป่าดิบเขา ดิบแล้ง ป่าเต็งรัง ป่าเบญจพรรณ มีองค์กร ปกครองส่วนท้องถน่ิ ในพืน้ ท่ีรอบผืนป่าดอยสเุ ทพ – ปุย 10 ตาบลใน 3 อาเภอ คือ เทศบาลตาบลบ้านปง เทศบาล ตาบลหนองควาย เทศบาลตาบลน้าแพร่พัฒนา อาเภอหางดง เทศบาลเมืองแม่เหียะ เทศบาลตาบลสุเทพ อาเภอ เมือง เทศบาลตาบลแม่แรม องค์การบริหารส่วนตาบลดอนแก้ว องค์การบริหารส่วนตาบลแม่สา องค์การบริหาร ส่วนตาบลโป่งแยง อาเภอแม่ริม องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นเหล่าน้ีมีความสาคัญในการสนับสนุนชมุ ชนเครือข่าย การจัดการและแก้ไขปัญหาหมอกควัน และการพัฒนาความร่วมมือในการจัดทาแผนพัฒนาตาบล และการออก ขอ้ บญั ญัติทีเ่ ก่ยี วข้อง 9.1.2 สภาพปัญหาไฟปา่ และหมอกควันในพื้นทแ่ี ละพฒั นาการในการแกไ้ ขปญั หา พ้ืนท่ีอุทยานแห่งชาติดอยสุเทพ – ปุย นับเป็นพื้นท่ีที่มีเทือกเขาสลับซับซ้อน มีความยากลาบากในการ เดินทาง และมกั เกดิ ไฟปา่ บ่อยคร้ังซึ่งมคี วามรุนแรง การจัดการไฟปา่ จึงเน้นแนวทางการมีส่วนร่วมของทุกภาคส่วน และความเข้มแข็งของเครือข่ายชุมชนในการจัดการร่วมกัน จะพบว่าการมีส่วนร่วมและรูปแบบการพัฒนาสร้าง เครอื ข่ายการเฝา้ ระวังไฟปา่ และหมอกควนั ไฟปา่ เกดิ ข้นึ มานานกว่า 30 ปี อย่างไรกต็ าม นบั ต้ังแต่ปพี .ศ. 2551 การ เฝ้าระวังไฟป่าหรือหมอกควันไฟป่าจะมีข้ึนช่วงฤดูแล้งเท่านั้น เป็นการมีส่วนร่วมกันที่มีท้ังหน่วยงานอุทยาน พี่

รายงานฉบบั สมบรู ณ์ 160 โครงการพฒั นารูปแบบการสร้างเครือข่ายเฝา้ ระวงั ไฟป่า ลดหมอกควนั น้องม้ง ชาวท่ีลุ่ม รวมท้ังปกาเกอะญอที่ร่วมกันดูแลรักษาป่า ปัญหาหมอกควันไฟป่าที่ต้องเฝ้าระวังในช่วงฤดูแล้ง เกิดจากท้ังในเชียงใหม่ แม่ฮ่องสอน รวมไปถึงประเทศเพื่อน กรณีท่ีเกิดปัญหามากที่สุดก็คือ คน คือคนที่จุดไฟ เน่ืองจากไฟท่ีเกิดตามธรรมชาติไม่มีแล้ว สภาพของป่าภายในอุทยานแห่งชาติดอยสุเทพ-ปุยจะเป็นปอดของคน เชยี งใหม่จะเป็นแหล่งสาหรบั หายใจ เป็นแหล่งอาหารทไี่ ม่ต้องใช้ทุนสูง ถอื วา่ เป็นธนาคารชีวิตโดยท่ีไม่ต้องลงทุน มี น้าเพื่อให้เราหล่อเลี้ยงการดารงชีพ สุดท้ายก็เป็นดินท่ีขุดคุ้ยเพื่อปลูกต้นไม้ เพื่อหาอาหาร แต่ในสภาพที่คนอยู่บน ป่าเขา ไม่สามารถที่จะออกเอกสารสิทธ์ิท่ีดินได้ เป็นสภาพของป่าท่ีต้องรักษาร่วมกัน เป็นจุดต้นน้าลาธารมี กฎหมายรองรับ ซง่ึ มนั มีบริบทท่ีแตกต่างกัน พฒั นาการในการจัดการปัญหาไฟป่าหมอกควัน การจัดการปัญหาไฟป่าหมอกควันในพ้ืนท่ีดอยสุเทพ-ปุยเกิดขึ้นจากเครือข่ายส่ิงแวดล้อมม้ง จังหวัด เชยี งใหม่ จัดตง้ั ขน้ึ ในปี 2530 ดว้ ยการรวมตวั กันของชุมชนมง้ 4 ชุมชน คอื บา้ นม้ง ดอยปุย บ้านขุนชา่ งเคยี่ น บ้าน ผานกก และบ้านแม่สาใหม่ ปัจจุบันขยายเครือข่ายตามความเป็นชาติพันธุ์ คือ เพ่ิมอีก 8 หมู่บ้าน คือ บ้านแม่สา น้อย บ้านหนองหอยเก่า บ้านหนองหอยใหม่ บ้านบวกเต๋ย บ้านบวกจั่น บ้านห้วยกว้าง บ้านห้วยเส้ียว และบ้าน แม่ขิ รวมเป็น 12 บ้าน เครือข่ายมีเป้าหมายร่วมกันเพื่อการปลูกป่า ทาแนวกันไฟ เวร ยามเฝ้าระวังไฟป่า ฟื้นฟู จิตสานึกการจัดการปา่ กล่าวไดว้ ่ามีการจัดการโดยชมุ ชนตลอด 30 กวา่ ปีท่ีผ่านมา ในส่วนพืน้ ท่ีท่ีไม่มีชุมชนก็จะมี สถานีควบคุมไฟป่า และกลุ่มควบคุมป่าต้นน้าดูแลอยู่ แต่ถ้ามองในภาพรวมผู้นาชุมชนและผู้ใหญ่บ้านมีบทบาท สาคัญมากในการจัดการ 9.1.3 กลไกการแก้ไขปญั หาไฟปา่ และหมอกควนั ในการจัดการปญั หาไฟป่าและหมอกควนั กลไกสาคัญคือ เครือข่ายสิ่งแวดล้อมม้ง จังหวดั เชียงใหม่ โดยมี แนวทางในการจดั การแกไ้ ขปัญหาไฟป่าและหมอกควนั ดังนี้ 1) การเฝ้าระวงั ลาดตระเวนรว่ มกันระหว่างชมุ ชนและเจ้าหน้าท่ี ทัง้ ในช่วงเวลาไฟป่าหมอกควัน 3 เดือน ในพนื้ ที่เส่ียง พร้อมรายงานสถานการณ์ให้กับผู้นาชุมชนและหน่วยงานท่ีเก่ียวข้องรับทราบ ตลอดจน มีการบูรณาการระหว่างหน่วยงานต้นน้า ไฟป่า อุทยานแห่งชาติและชุมชน จัดให้มีกองทุนสนับสนุน การอยู่ยามและลาดตระเวน 2) การประชาสัมพันธ์และแจ้งข่าวสาร ป้ายสื่อสาร สร้างความรู้ความเข้าใจและความร่วมมือโดยใช้ ภาษาม้ง/ภาษากลางและภาษาสากล จัดเคร่ืองมือการส่ือสาร ติดต้ังกล้องวงจรปิดในจุดเส่ียง ตลอดจนการรณรงค์สรา้ งจิตสานกึ และการมีส่วนรว่ มควบคูไ่ ปกับการใช้กฎหมาย 3) การรณรงค์สร้างจิตสานึกและการมีส่วนร่วมของคนในชุมชน ดึงคนเผาป่า หาของป่ามาเป็นแนวร่วม ในการเฝา้ ระวัง

รายงานฉบบั สมบรู ณ์ 161 โครงการพฒั นารูปแบบการสร้างเครือขา่ ยเฝา้ ระวงั ไฟป่า ลดหมอกควนั 4) การพฒั นาฐานขอ้ มูลพน้ื ทแ่ี ละจดั ทาแผนทใ่ี ห้สอดคล้องกนั ระหว่างชุมชน หนว่ ยงานและท้องถนิ่ 5) การสนับสนุนและบริหารจัดการกองทุนไฟป่าหมอกควัน โดยจัดให้มีคณะกรรมการบริหารกองทุน ระดบั เครอื ข่ายและระดับชุมชน ชาวบ้านเล่าว่า ในพื้นที่อุทยานแห่งชาติดอยสุเทพ – ปุย ประกอบด้วยเครือข่ายไม่ว่าจะเป็นพ่ีน้องม้ง พี่ น้องชาวเขา ชาวพ้ืนราบ และชาวตา่ งถิ่นที่เข้ามาอยู่อาศัยในชุมชนมีส่วนร่วมกัน เช่น ทาแนวป้องกันไฟป่าในหมู่ 7 26 กิโลเมตร มีชาวพื้นราบ ผู้ประกอบการ เจ้าหน้าที่อุทยานท่ีเข้ามามีส่วนร่วม หรือพ่ีน้องชาวต่างด้าว พม่า ไท ใหญ่ ท่ีเป็นแรงงานในชุมชนมาอาศัยอยู่ก็มาร่วมกันทาแนวปอ้ งกันไฟป่า มีการบรู ณาการร่วมกันกับหน่วยงาน กับ ชุมชนของอุทยานแห่งชาติดอยสุเทพ -ปุยมีส่วนร่วมกับคนในชุมชน ในการทาแนวป้องกันไฟป่า การปลูกป่า การ เฝ้าระวังไฟป่า การทาแนวป้องกันไฟป่า อย่างเช่นท่ีแม่แรม มี 2 อย่าง คือ มีการ kick off ระดับตาบลแม่แรม ทา แนวป้องกันไฟ 12 กิโลเมตร ตามเส้นทางสะเมิงเหนือ ตาบลแม่แรมมี 12 หมู่บ้านก็จะทาแนวกันไฟแต่ละหมู่บ้าน ของตนเอง อย่างน้อย 5-10 กิโลเมตร มีการร่วมกันดับไฟถ้าหากไฟป่าเกิดขึ้น มีการสร้างฝายเพ่ือป้องกันการเกิด ไฟป่า เพ่อื ให้มีความชุม่ ชื้นในล่องหว้ ย เพ่ือไม่ใหเ้ กดิ ไฟป่า แตก่ ารบูรณาการท่ีดที ส่ี ดุ คอื กับคน ในหมู่บา้ นจะมกี ติกา กาหนดห้ามจุดไฟป่าในช่วงนี้ ถ้าใครจุดไฟป่าจะต้องมีการปรับ มีการลงโทษภายในชุมชนก่อน ก่อนที่จะไปถึงตัว กฎหมาย หากเป็นบุคคลภายนอกท่ีมาอาศัยป่า ถ้าคนของเราเห็นบุคคลภายนอกเข้ามาทาลายทรัพยากร สามารถ ที่จะดาเนินการจับกุมหรือนามาไต่สวนในชมุ ชนก่อน ก็ถือเปน็ การต้งั กฎกติกาในชมุ ชน ในเครือข่ายชุมชนสามารถ ทจี่ ะใหค้ นภายนอกรบั ร้ไู ดว้ ่ามีการจัดการอยา่ งไร สาหรับเป้าหมายในปีน้ี ที่ต้ังไว้คือ แผนที่ท่ีชัดเจนในการก้ันแนวเขต แนวกันไฟให้เชื่อมต่อกัน และมี มากกวา่ 12 หมบู่ า้ น เน้นบทบาทร่วมกนั ระหว่างชุมชนกบั หน่วยงานทอ้ งถ่ิน เนน้ การรับผดิ ชอบรว่ มและการมีส่วน ร่วมให้เกิดข้ึน ในส่วนการดาเนินการทางเครือข่ายม้งท้ัง 12 หมู่บ้านหาแนวทางในการพัฒนาแผนท่ีแนวกันไฟ มี การจัดการจริงในพ้นื ท่ีและอยากให้อยู่ในระบบของแผนท่ี สามารถเพิ่มแนวทางการจัดการเข้าไปได้ หากเห็นวา่ จุด ไหนเปน็ จดุ ออ่ น จุดเร่ิมต้นการทางานเครือข่ายมาจากการจัดการของพี่น้องชาวม้ง ประชุมร่วมกันกับเครือข่ายต่างๆ ได้มี การต่อยอดนามาสู่การจัดเวทีพูดคุย เพิ่มเติมคือการสื่อสารเร่ืองราวสู่สาธารณะ ในปีน้ีเพ่ือการต่อยอดการทางาน ความร่วมมอื กับกรมส่งเสริมฯ เรอ่ื งการส่งเสรมิ ภาคคี วามร่วมมอื ในพื้นทด่ี อยสเุ ทพ –ปยุ กรมสง่ เสรมิ มองวา่ จะเป็น แนวทางท่ีดีหากได้ลงไปดาเนินงานในพื้นท่ีเองร่วมกับกรมอุทยาน บางแนวทางอาจไม่ประสบผลสาเร็จหรือไม่ สอดคลอ้ งกันหลายหลายฝ่ายในพืน้ ที่การทางาน โดยคนในพน้ื ท่ีจดั การเองเป็นหลัก กรมสง่ เสริมทาหน้าที่สนบั สนนุ ในขอบเขตงานของตนและในคร้ังนี้ได้สนับสนุนผ่านทางมูลนิธิเพื่อการพัฒนาที่ยั่งยืน โดยคิดว่าควรมาทาระบบ ฐานข้อมูลก่อน เราสามารถวางแผนร่วมมือร่วมกันได้ ร่วมเรียนรู้ร่วมกันว่าจะมีแนวทางอย่างไร ในการเชื่อมต่อ และสนับสนุน ให้ชุมชนสามารถนาข้อมูลไปปรับใช้ในการจัดการไฟป่า หากมีการจัดการได้เร่ืองอื่นๆก็จะตามมา เช่น การอนรุ ักษ์ปา่ การทาพน้ื ทก่ี ารเกษตร เป็นต้น

รายงานฉบบั สมบรู ณ์ 162 โครงการพฒั นารูปแบบการสร้างเครือขา่ ยเฝา้ ระวงั ไฟป่า ลดหมอกควนั ในส่วนของการจัดการเฝา้ ระวังไฟปา่ ลดหมอกควันโดยภาครฐั ในพนื้ ที่ดอยสุเทพ – ปยุ ประกอบดว้ ยหลาย หน่วยงานท่ีมีบทบาทหนุนเสริมและปฏิบัติการ ได้แก่ สถานีควบคุมไฟป่า เชียงใหม่ อุทยานแห่งชาติดอยสุเทพ – ปุย สานักบริหารพ้ืนท่ีอนุรักษ์ที่ 16 เชียงใหม่ สานักงานทรัพยากรธรรมชาติและส่ิงแวดล้อมจังหวัดเชียงใหม่ มณฑลทหารบกท่ี 33 ค่ายกาวิละ ในกจิ กรรมการประชาสัมพนั ธ์ป้องกันไฟป่า การปฏิบัติงานดับไฟปา่ การปอ้ งกัน ไฟป่า ตรวจไฟป่าและตรวจปราบปรามการลักลอบเผาป่า นอกจากน้ียังมี ทสม. อาสาสมัครพิทักษ์ ทรัพยากรธรรมชาติและส่ิงแวดล้อมที่กระจายในพื้นที่และเป็นกลไกการเฝ้าระวังไฟป่าและประสานความร่วมมือ จากชมุ ชน องค์กร หน่วยงานรัฐ และเอกชนเพอ่ื สนับสนุนการแก้ไขปญั หาไฟป่าหมอกควนั เนื่องจากการจัดการไฟ ป่าในพ้ืนท่ีดอยสุเทพ-ปุยเป็นพ้ืนท่ีที่มีเทือกเขาสลับซับซ้อน มีความยากลาบาก มักเกิดไฟป่าบ่อยคร้ังและมีความ รุนแรง การจัดการไฟป่าจึงเน้นแนวทางการมีส่วนร่วมของทุกภาคส่วน และความเข้มแข็งของเครือข่ายชุมชนใน การจัดการร่วมกัน อาทิเช่นความร่วมมือระหว่างสถานีควบคุมไฟป่ากับเครือข่ายชุมชน ได้ดาเนินการเฝ้าระวังใน พ้ืนที่อาเภอแม่ริมและอาเภอหางดง ในส่วนของแนวกันไฟท่ีทามาแล้วโดยภาพรวมทั้งหมดท่ีทามาแล้วอยู่ราวๆ 140 กิโลเมตร มีตวั แทนจากสถานีควบคุมไฟป่าเข้าร่วมในการทาแผนท่ีเพ่ือศึกษาพ้ืนท่ีท่ีจะขยายการทาแนวกันไฟ ร่วมกัน 9.1.4 บทเรยี นจากการดาเนนิ งานแกไ้ ขปญั หาไฟปา่ และหมอกควนั เนื่องจากเครือข่ายส่ิงแวดล้อมม้ง 12 หมู่บ้าน มีการจัดการมากว่า 30 ปี จากประสบการณ์การจัดการไฟ ป่าของเครือข่ายพบว่า การจัดการร่วมระหว่างผู้มีส่วนได้ส่วนเสียในพ้ืนท่ีเป็นการช่วยลดปัญหาความขัดแย้งและ สร้างแรงจูงใจในการอนรุ กั ษ์ป่า โดยใช้ยทุ ธวธิ กี ารจัดการปา่ ชุมชน “ดงเซ้ง” ด้วยการใช้พธิ กี รรมเช่ือมร้อยเครือขา่ ย การทางานในกลุ่มชาติพันธุ์เดียวกัน ร่วมกับภาคส่วนอื่นๆ จากปัญหานามาสู่การพูดคุยถกเถียง การเจรจาต่อรอง และหาแนวทางการจัดการทรัพยากรธรรมชาติร่วมกัน ระหว่างชุมชนและความร่วมมือกับองค์กรปกครองส่วน ท้องถ่ินเกิดกิจกรรมการจัดการไฟป่า ด้วยการทาแนวกันไฟ การลาดตระเวนไฟป่า การตั้งกฎระเบียบชุมชน เป็น ตน้ อย่างไรก็ตาม บทเรียนท่ีเกิดข้ึนจากการทางานในปีน้ีคือเร่ืองของการจัดการระบบข้อมูลการทางาน กล่าวคือ ท่ีผ่านมาในพ้ืนท่ีแต่ละจุดการเก็บข้อมูลจะเป็นการเก็บในแต่ละจุดของใครของมัน ทาให้ข้อมูลมีอยู่บ้าง และมีขอ้ มลู หายไปบา้ ง แต่โดยสรุปขอ้ มูลยงั กระจดั กระจายอยู่ ในแตล่ ะปตี ้ังแตช่ ่วงตุลาคมถึงพฤษภาคม เชียงใหม่ จะถูกจับตามองว่าเป็นตน้ เหตทุ ี่เกิดหมอกควนั ไฟป่าข้ึน ภาพลักษณ์พวกนี้จะวนกลบั มาที่บริเวณดอยสุเทพ ทั้งที่ใน เครือข่าย 12 หมู่บ้านเราทางานจัดการไฟป่ามาโดยตลอด ดังนั้นเรื่องการพัฒนาฐานข้อมูล และการจัดการของ เครือข่ายท้ัง 12 หมู่บ้านที่ทามาตลอด 30 ปีท่ีผ่านมารวบรวมเพ่ือท่ีนาเสนอแก่สังคมได้รับรู้จึงเป็นเรื่องสาคัญ บทเรียนของการทางานที่ผ่านมา คือ ขาดการทาฐานข้อมูลในเครือข่าย อะไรเป็นจุดอ่อน จุดแข็งในแต่ละพื้นที่

รายงานฉบบั สมบรู ณ์ 163 โครงการพฒั นารูปแบบการสร้างเครือข่ายเฝา้ ระวงั ไฟป่า ลดหมอกควนั และขาดการรวบรวมกิจกรรมจาก 30 ปีท่ีผ่านมาที่จะนามาเป็นบทเรยี นและประสบการณ์เพ่อื การเรียนรู้ ปรับปรุง แก้ไขและพฒั นาตอ่ เพอ่ื ใหป้ ญั หาหมอกควันในเชียงใหม่หายไปและทกุ อย่างกลับคนื สู่ธรรมชาติ ชาวบ้าน สะท้อนว่า “เราเปน็ จาเลยของสงั คมมานาน บ้านเราทั้ง 12 หมู่บ้าน ถา้ ไฟป่าเกิดขึ้นมาพวกผมก็ จะถูกมองว่าเป็นคนทาลาย จริงๆแล้วอย่างบ้านแม่สา บ้านดอยปุยไม่ใช่รักษาเฉพาะบ้านของตัวเอง คือเรารักษา พน้ื ที่วงกว้างมาก รักษาพ้ืนที่ของแม่สาใหม่ แม่แรม ดังน้ันจึงบอกตรงน้ีว่าต่อไปถ้ามีการจัดงบประมาณขอให้จัดให้ พวกผมบ้าง เพอื่ ให้คนที่ไปเฝ้าระวังไฟป่า จรงิ ๆบ้านแมส่ าใหมก่ บั แม่สาน้อยเม่ือ 4-5 ปที ีผ่ ่านมาไฟไมเ่ ขา้ แตท่ ไี่ ฟมัน เข้าเป็นพ้ืนที่ของคนอื่นท้ังนั้น จึงอยากขอให้หน่วยงานที่มาสนับสนุนพื้นท่ีมองเห็นการจัดการของชาวบ้าน ทาไม ทาแนวกนั ไฟออ้ มไปเยอะ ของดอยปุยก็เหมอื นกันออ้ มไปหมด” ดังนั้นการทางานในระยะต่อไป จึงต้องเช่ือมโยงพื้นที่ท้ังข้างบนและข้างล่างด้วย เช่น โป่งแยงก็ต้องเช่ือม กับแม่แรม โดยเฉพาะเรื่องของไฟป่าถ้าเรื่องค่าใช้จ่ายควรจัดไปให้ชาวบ้านที่ไปเฝ้าระวัง ควรจัดแนวกันไฟที่ เชือ่ มโยงกันท้งั 12 หมู่บ้าน ความสาเรจ็ จึงข้ึนอยู่กับประชาชนมีสว่ นรว่ มในพ้นื ทที่ ่รี บั ผดิ ชอบและโดยเฉพาะท้องถิ่น ทางมลู นธิ ิและกรมส่งเสรมิ จะทาหน้าที่เช่ือมโยงผู้นาชมุ ชนและหนว่ ยงานมาคยุ กนั วางแผนร่วมกนั สรา้ งแนวกันไฟ จะดึงข้อมูลจากชาวบ้านนามาเขียนให้เป็นรูปธรรมมากข้ึนเพื่อที่จะได้เห็นแนวกันไฟอย่างเป็นรูปธรรม แนวกันไฟ ของชุมชนมันมีอยู่แล้วแค่ยังไม่อยู่ในแผนท่ี ทางผู้นาจะมีหน้าที่คอยช้ีจุดบอกว่าแนวกันไฟอยู่ตรงไหน จุดตาแหน่ง เฝ้าระวังอยตู่ รงไหน และทางมูลนิธจิ ะดาเนนิ การทาเปน็ แผนท่ีให้ ชาวบ้านมองว่า ชุมชนเรามีความรู้ในการจัดการไฟป่าอยู่ มีประสบการณ์และทางมูลนิธิจะสนับสนุนการ จัดทาข้อมูลต่อยอดได้ท้ังหมด จากเรื่องข้อมูลไฟป่าต่อไปอาจจะเป็นที่ดิน ท่ีดินจะนาไปสู่การวิเคราะห์เร่ืองแปลง การผลิต และนาไปสู่แผนท่ีท่ีดินทากิน ข้อมูลควรที่จะอยู่ในท้องถ่ินถ้าท้องถ่ินมีข้อมูลท้องถ่ินก็จะทาหน้าท่ีเป็น เจา้ ภาพในการเชอ่ื มโยงหน่วยงานต่างๆ ซึ่งขอ้ มูลนี้จะเปน็ ตวั เริ่มต้น ถา้ เราวางระบบที่ดีตัวขอ้ มลู ก็จะชัด หน่วยงาน ท้องถ่ินก็จะสามารถออกข้อบัญญัตเิ รื่องการจัดการทรพั ยากรสิ่งแวดล้อม และสามารถบริหารจัดการระบบข้อมลู นี้ ถ้าเรามีระบบข้อมูลและมาออกแบบโดยชุมชน ท้องถ่ินก็จะง่ายต่อการเข้าถึงของชุมชนหรือท้องถ่ินเอง ต่อไปก็จะ เปน็ เครือ่ งมือในการบริหารจดั การในพ้ืนท่ขี องเราเองด้วย โดยสรปุ เป้าหมายของการจัดการดว้ ยระบบข้อมลู และการทาแผนท่ี มที ง้ั ระยะสนั้ คอื การทาแผนท่แี นวกนั ไฟ อย่างน้อย 12 หมู่บา้ น และหน่วยงานที่เกีย่ วข้องเพ่ือท่ีจะได้เห็นข้อมูลร่วมกันว่ามคี วามเพียงพอหรือไม่ นาไปสู่ การวางแผนสาหรับปีน้ีและปีต่อๆไป ระยะยาวคือมีข้อเสนอว่าจะขยายจาก 12 หมู่บ้านไปสู่หมู่บ้านใกล้เคียงได้ อย่างไร ทางหัวหน้ากลุ่มป่าหมอกกล่าวว่า บริเวณพ้ืนราบและพื้นท่ีอื่นๆมีการทาการป้องกันไฟเยอะแยะ ตัวอย่างเช่น อาเภอแม่แรม ที่หน่วยงานต่างๆที่เกี่ยวข้องเข้ามามีส่วนร่วม ในปัจจุบันมีเพียงการจัดการในบริเวณ พ้ืนท่ีสูง เราจะสามารถจัดการร่วมกันได้อย่างไร นาไปสู่เป้าหมายของการจัดการท่ียังยืน ในระยะยาวของเรื่อง ข้อมูลมีคาถามว่าจะทาอย่างไรให้เป็นฐานข้อมูลชุดเดียวกัน โดยเชื่อว่าทางเทศบาลจะมีฐานทางเทคโนโลยี ทรัพยากรบคุ คลและงบประมาณ และทุกหน่วยงานสามารถเขา้ ถึงและใช้ขอ้ มูลได้ ฐานขอ้ มลู จะทาใหเ้ ราเห็นว่าเกดิ

รายงานฉบบั สมบรู ณ์ 164 โครงการพฒั นารูปแบบการสร้างเครือข่ายเฝา้ ระวงั ไฟป่า ลดหมอกควนั การเปล่ียนแปลงในด้านต่างๆอย่างไร ซ่ึงจะเอ้ือต่อกันระหว่างการจัดการกับฐานข้อมูล และทางกรมส่ งเสริม สุขภาพและสิ่งแวดล้อม ซ่ึงเป็นหน่วยงานท่ีมีศักยภาพโดยตรงเก่ียวข้องกับเร่ืองน้ี จะเข้ามามีส่วนร่วมในแนวทางท่ี ได้ได้วางไว้ ในด้านการจัดความสัมพันธ์เครือข่าย อาจจะเป็นการเช่ือมโยงรูปแบบใยแมงมุม แสดงให้เห็นว่ารูปแบบ ความสัมพันธ์ไมจ่ าเป็นต้องเปน็ รูปวงกลมแล้วนามาเชือ่ มตอ่ กนั แต่อยา่ งไรก็ตามหากเราไม่นาแต่ละสว่ นมาเชอ่ื มตอ่ กันก็จะเกิดเป็นช่องว่าง โดยท่ีเราไม่ทันตั้งตัว เพื่อให้เห็นถึงช่องโหว่ว่าอะไรยังขาดหายไป จะเป็นการดีถ้าทุก หมู่บา้ นให้ขอ้ มลู เพิม่ เติมไดท้ ั้งหมด 9.1.5 ความสาเรจ็ และอุปสรรคในการดาเนนิ งาน ความสาเรจ็ ในกิจกรรมการจัดการปัญหาไฟป่าหมอกควันในพน้ื ท่สี ุเทพ-ปุย คอื การประชาสมั พันธป์ อ้ งกัน ไฟป่า การปฏิบตั ิงานดบั ไฟป่า การปอ้ งกันไฟป่า ตรวจไฟป่าและตรวจปราบปรามการลักลอบเผาป่า นอกจากนี้ยัง มี ทสม. อาสาสมัครพิทักษ์ทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมท่ีกระจายในพื้นที่และเป็นกลไกการเฝ้าระวังไฟปา่ และประสานความร่วมมือจากชุมชน องค์กร หน่วยงานรัฐ และเอกชนเพ่ือสนับสนุนการแก้ไขปัญหาไฟป่าหมอก ควัน และเครือข่ายม้งทั้ง 12 หมู่บ้านชว่ ยกันหาแนวทางในการพัฒนาระบบแผนที่แนวกันไฟร่วมกับมูลนิธเิ พ่ือการ พฒั นาที่ย่ังยืน กล่าวไดว้ ่า ในพื้นท่ีมีการทากิจกรรมที่ตอ่ เนื่องทั้งการจัดการไฟปา่ หมอกควัน การอนุรักษ์และฟ้ืนฟู ป่า ต้นน้าลาธาร การอนุรักษ์และฟื้นฟูป่าชุมชน รวมถึงการพัฒนาคุณภาพชีวิตของคนในชุมชน มีการพัฒนา เศรษฐกิจชุมชนหลากหลาย เช่น การท่องเที่ยวชมุ ชน การปลกู ผักปลอดสารพิษเป็นตน้ และยังเปน็ พืน้ ทที่ ี สะทอ้ น กระบวนการแกไ้ ขปัญหาความขดั แยง้ ระหวา่ งรฐั ประชาชน คนต้นนา้ ท้ายนา้ ไดอ้ ยา่ งชัดเจน

รายงานฉบบั สมบรู ณ์ 165 โครงการพฒั นารูปแบบการสร้างเครือข่ายเฝา้ ระวงั ไฟป่า ลดหมอกควนั

รายงานฉบบั สมบรู ณ์ 166 โครงการพฒั นารูปแบบการสร้างเครือข่ายเฝา้ ระวงั ไฟป่า ลดหมอกควนั

รายงานฉบบั สมบรู ณ์ 167 โครงการพฒั นารูปแบบการสร้างเครือข่ายเฝา้ ระวงั ไฟป่า ลดหมอกควนั ในด้านอปุ สรรคปัญหา นอกเหนือจากเรื่องของสภาพพ้นื ทที่ ่เี ป็นภูเขาสลับซบั ซอ้ น ผนื ปา่ ทเี่ ป็นปา่ ตน้ นา้ ซ่ึง ยากต่อการจัดการไฟป่า และสภาพภูมิอากาศที่เปลยี่ นแปลงอยู่ตลอดเวลาแล้ว ในด้านการบริหารจัดการ ยังพบว่า เร่ืองงบประมาณในการจัดทาแผนที่แนวกันไฟยังมีปัญหา ชาวบ้านได้สะท้อนให้เห็นถึงงบประมาณท่ีไม่สอดคล้อง กับด้านเวลา ข้อเสนอคือสามารถนาเงินไปทาเร่ืองฝ่ายแทนได้หรือไม่ เมื่อหมดฤดูเฝ้าระวังแต่ตามข้อบงั คับต้องใช้ เงินในการจัดการแยกส่วนปัญหากันคือเงินจัดการไฟป่า เงินจัดการฝาย ท่ีจริงแล้วชุมชนนั้นดูแลป่ากันตลอดทั้งปี ซ่ึงจากเรื่องนี้ได้สะท้อนให้เห็นถึงอุปสรรคสาคัญ ปัญหานี้ ยังเป็นเร่ืองท่ีเกี่ยวข้องกับนโยบายทางภาครัฐ มูลนิธิได้ พยายามในการหาแนวทางในการจัดการนโยบายภาครัฐให้สอดคล้องกับการแก้ไขปัญหาในพื้นที่ และการ เปลี่ยนแปลงกฎหมายไม่ใช่เรื่องง่ายในการแก้ไข ยกตัวอย่างเช่น กลุ่มม้ง 12 หมู่บ้านเป็นกลุ่มท่ีมีความเข้มแข็งใน การจัดการหมอกควนั ไฟป่า เมื่อรู้ว่างบประมาณอาจจะมาไม่ทนั จึงต้องมาออกแบบการจัดการกองทุนให้สามารถมี พอใช้ลว่ งหน้า ซึ่งอาจจะต้องคดิ แกไ้ ขไปทั้งสองประเดน็ ควบคกู่ นั ไป 9.1.6 ข้อเสนอแนะตอ่ แนวทางการดาเนนิ งานและการบรู ณาการความรว่ มมอื 1) ในเร่ืองของการจัดทาแนวกนั ไฟ ควรให้ภาครัฐ เช่น กรมป่าไม้ มาเป็นพเี่ ลี้ยงและให้ชุมชนเป็นผู้จดั การ อยูก่ นั ช่วยกันดแู ล เจ้าหนา้ ที่ทาเพราะอาชีพชมุ ชนทาเพราะรกั ป่า 2) ในการทาแผนที่เพ่ือสร้างมูลค่าให้เกิดขึ้นในพ้ืนท่ีและเกิดความย่ังยืนตามมา ควรมองใน 3 มิติ มิติท่ี 1 ควรวิเคราะห์ว่าเราจะมีแนวทางอย่างไร มิติท่ี 2 เร่ืองการเงิน ซ่ึงไม่ใช่ได้จากทางภาครัฐเพียงอย่างเดียว สามารถ ขอเงนิ สนับสนุนจากเอกชนหรือผู้บริจาค นามาสร้างเป็นกองทุนรักษาสิ่งแวดล้อม 12 หมู่บา้ น ถ้าทาได้ในลักษณะ น้ี ก็จะทาให้ชุมชนเกิดความเข้มแข็งและย่ังยืน และมิติที่ 3 คือมีการจัดทารายงานและข้อมูลเพื่อการเผยแพร่ ประชาสมั พนั ธส์ ่สู าธารณะ 9.2 พนื้ ทอ่ี ทุ ยานแหง่ ชาตดิ อยอนิ ทนนท์ อาเภอจอมทอง จงั หวดั เชยี งใหม่ 9.2.1 บรบิ ทพ้ืนที่อุทยานแหง่ ชาติดอยอนิ ทนนท์ พ้ืนท่ีอุทยานแห่งชาติดอยอินทนนท์และอุทยานแห่งชาติออบหลวง ครอบคลุมพ้ืนท่ี 5 อาเภอ ได้แก่ อาเภอจอมทอง อาเภอแม่แจ่ม อาเภอฮอด อาเภอแม่วาง และอาเภอดอยหล่อ มีพ้ืนท่ีรวมทั้งสิ้น 1,035.4 ตร.กม. หรอื 647,125 ไร่ สภาพป่าในบรเิ วณผืนปา่ อินทนนท์-ออบหลวง ดา้ นบนตามชั้นของป่าเปน็ ป่าดิบ เขา สว่ นบรเิ วณ ที่ราบเชิงเขามีสภาพเป็นป่าเต็งรังและเบญจพรรณ พ้ืนที่อุทยานแห่งชาติดอยอินทนนท์และอุทยานแห่งชาติ ออบหลวงเป็นพื้นท่ีป่าต้นน้า มีความอุดมสมบูรณ์ ของระบบนิเวศ ที่มีความเปราะบางต่อการเปลี่ยนแปลงสภาพ ภูมิอากาศ ภัยธรรมชาติ ลักษณะของชุมชนมีทุนด้านทางสังคม วัฒนธรรม มีความพร้อมและมีศักยภาพพ้ืนที่

รายงานฉบบั สมบรู ณ์ 168 โครงการพฒั นารูปแบบการสร้างเครือขา่ ยเฝา้ ระวงั ไฟป่า ลดหมอกควนั เน่ืองจากเป็นเครือข่ายท่ีมีความเข้มแข็ง มีกลไกการดาเนินงานท่ีชัดเจน ทั้งระดับหมู่บ้าน ระดับลุ่มน้า ระดับตาบล มีการบูรณาการกับหน่วยงานท่ีเก่ียงข้องกับโครงการหลวง หน่วยจัดการต้นน้า องค์กรพัฒนาเอกชน อุทยาน แห่งชาติ และโดยเฉพาะความร่วมมือกับองค์กรปกครองส่วนท้องถ่ิน ซึ่งมีการออกเทศบัญญัติท้องถ่ิน ด้านการ จดั การทรพั ยากรเพ่อื หนนุ เสรมิ องคก์ รชุมชนในการบรหิ ารจดั การทรัพยากรอยา่ งเปน็ รูปธรรม จากบริบทพื้นที่อุทยานแห่งชาติดอยอินทนนท์และอุทยานแห่งชาติออบหลวงดังท่ีกล่าวมา ส่งผลให้ รูปแบบการวางแผนและการจัดการไฟป่าหมอกควันในพ้ืนที่มีความแตกต่างหลากหลายไปตามระบบนิเวศและ ธรรมชาติของป่านั้นๆ โดยจาแนกการจัดการเป็น 3 ลักษณะคือ กลุ่มที่หนึ่งมีการจัดการเชื้อเพลิงหรือชิงเผา ใน พื้นท่ีป่าเต็งรัง และเบญจพรรณ กลุ่มท่ีสองมีทั้งการจัดการเชื้อเพลิงแบบชิงเผาและการป้องกันไฟ ในพ้ืนท่ีรอยตอ่ ป่าเต็งรัง เบญจพรรณ และป่าดิบ และกลุ่มท่ีสามเน้นการป้องกันเฝ้าระวังและดับไฟป่า ในพ้ืนที่ป่าต้นน้า ป่าดิบ แลง้ ดิบเขา และสนเขา 9.2.2 สภาพปัญหาไฟป่าและหมอกควันในพ้ืนทแี่ ละพฒั นาการในการแกไ้ ขปญั หา ป่าในพ้นื ทีอ่ ุทยานแห่งชาติดอยอินทนนท์และอุทยานแห่งชาตอิ อบหลวง โดยเฉพาะในเขตอาเภอจอมทอง เปน็ ลักษณะของป่าเต็งรังและเบญจพรรณ ในฤดแู ล้งชว่ งเดือนกุมภาพนั ธถ์ งึ พฤษภาคมมักเกิดไฟป่าขึ้นบ่อยครั้ง ใน พ้ืนท่ีตาบลบ้านหลวง การมีส่วนร่วมของชุมชนในการจัดการไฟป่าเริ่มขึ้นอย่างชัดเจนในช่วงปี 2535 เป็นต้นมา เริ่มจากการจัดการปัญหาไฟป่าด้วยรูปแบบการควบคุมจัดการไฟในพ้ืนท่ีเกษตรไปสู่การควบคุมจัดการไฟในพื้นที่ ป่า กล่าวคือ มีการพัฒนารูปแบบการจัดการไฟป่าที่ชุมชนร่วมปฏิบัติการได้ ได้แก่ การทาแนวป้องกันไฟป่ารอบ เขตป่าที่ชมุ ชนรับผิดชอบ มีการเฝ้าระวังและเข้าดับไฟป่าเม่ือเกิดไฟ ท้ังนี้โดยส่วนใหญ่ดาเนินการในเขตชุมชนชาว กะเหร่ียงและม้ง เป็นระยะเวลานานเกอื บ 10 ปี ต่อมาชุมชนท่ีราบที่อยู่ใกล้เขตป่าจึงได้เขา้ มาร่วมในการจัดการไฟ ปา่ ด้วย ในช่วงประมาณปี2545 เป็นตน้ มา โดยดาเนินมาตรการทาแนวกนั ไฟและดบั ไฟป่าท่ีเกดิ ขึ้น ต่อมาชุมชนใน เขตพื้นราบเริ่มปรับเปล่ียนรูปแบบในการจัดการปัญหาไฟป่าโดยเน้นไปท่ีการจัดการลดเชื้อเพลิงในช่วงตน้ ฤดูหรือ การชิงเผาเพื่อลดเช้อื เพลิงมากข้ึน ปัจจุบนั รูปแบบของการจัดการไฟป่าในพ้นื ที่ จาแนกออกเป็น 3 ลักษณะ ได้แก่ กลุ่มที่มีการจัดการเชื้อเพลิงหรือชิงเผา ในพ้ืนท่ีป่าเต็งรัง และเบญจพรรณ กลุ่มท่ีมีท้ังการจัดการเช้ือเพลิงแบบชิง เผาและการปอ้ งกนั ไฟ ในพ้นื ทรี่ อยต่อป่าเตง็ รัง เบญจพรรณ และปา่ ดบิ และกลุ่มที่เนน้ การปอ้ งกันเฝ้าระวงั และดบั ไฟปา่ ในพืน้ ท่ีปา่ ตน้ นา้ ป่าดิบแลง้ ดบิ เขา และสนเขา ตลอดจนมรี ปู แบบการจดั การไฟตามระบบนเิ วศนป์ า่ กล่าวคือ ชุมชนในเขตตาบลบา้ นหลวงไดป้ รับทศิ ทาง ของการจัดการไฟป่าให้สอดคล้องกับสภาพป่า โดยการจัดการตามระดับความสูงของพ้ืนท่ีและนาเอารูปแบบท่ี เหมาะสมมาใชใ้ นแต่ละปา่

รายงานฉบบั สมบรู ณ์ 169 โครงการพฒั นารูปแบบการสร้างเครือขา่ ยเฝา้ ระวงั ไฟป่า ลดหมอกควนั 9.2.3 กลไกการแกไ้ ขปญั หาไฟปา่ และหมอกควนั เครือข่ายการจัดการทรัพยากรธรรมชาตแิ ละสิ่งแวดล้อมรวมถึงการจัดการไฟป่ามีการจดั การองค์กรหลาย ระดับทาหน้าท่ีแตกต่างกัน ประกอบดว้ ยกลไกการจัดการระดับหมู่บา้ น เครือข่ายระดับลุ่มน้า และเครือข่ายระดับ อาเภอ มีกลไกชุมชนท่ีรับผิดชอบร่วมกับหน่วยงานภาครัฐอย่างชัดเจน โดยมีขอบเขตความรับผิดชอบของแต่ละ หมู่บ้านชัดเจน กระบวนการทางานเพ่ือนาไปสู่แนวทางการจัดการและแก้ไขปัญหาท่ีสาคัญคือ 1) การใช้พ้ืนท่ีเป็น ตวั ตง้ั 2) การนาข้อมลู มาวิเคราะหเ์ พื่อกาหนดแผนเลือกรปู แบบวธิ ีการทเี่ หมาะสมตามความร้ทู ม่ี อี ย่เู ดิม 3) การบูร ณาการความร่วมมือของหน่วยงาน องค์กรในพื้นท่ีตั้งแตห่ น่วยงานราชการ ป่าไม้ อปท. และ ประชาชนในพน้ื ที่ 5.2.4 บทเรยี นจากการดาเนนิ งานแกไ้ ขปญั หาไฟปา่ และหมอกควนั จากประสบการณ์ในการบริหารจัดการไฟป่าของเครือข่ายองค์กรชุมชนในพ้ืนที่อุทยานแห่งชาติดอยอิน ทนนท์และอุทยานแห่งชาติออบหลวง นอกจากระบบการจัดการไฟป่าตามระบบนิเวศน์ท่ีเหมาะสม ส่ิงสาคัญคือ ระบบการบริหารจัดการที่มีกลไกคณะกรรมการหมู่บ้านและเครือข่ายลุ่มน้าเป็นแกนสาคัญ เน้นการมีส่วนร่วมของ สมาชิก การสร้างจิตสานึกรักษ์ป่า การตอบแทนคุณด้วยการจัดการไฟท่ีเหมาะสม เป็นพ้ืนฐานสาคัญในการบรหิ าร จัดการไฟป่าท่ีกลไกทุกหมู่บา้ นได้สร้างขึ้นอย่างชัดเจน นอกจากนั้นยังสร้างระเบียบกติกาในการควบคุมสมาชิกใน ชุมชน และสร้างการมีสว่ นร่วมในกจิ กรรมชงิ เผาหรือรว่ มทาแนวกนั ไฟทั้งในพน้ื ทเี่ กษตรและพ้ืนท่ีป่า นอกจากนี้ ชุมชนยังมีการใช้ความเชื่อ เพ่ือเป็นมาตรการในการควบคุมการลักลอบทาผิด โดยการจัดทา พิธีสาปแช่ง ผู้ลักลอบจุดไฟเผาป่าเป็นอีกมาตรการหนึ่งท่ีทางเครือข่ายลุ่มน้าได้ดาเนินการมาต่อเน่ืองนามาเป็น กิจกรรมปอ้ งปรามให้เกิดความเกรงกลัวเพ่อื ให้ไฟป่าเกิดข้ึนน้อยท่ีสุด ในส่วนของมาตรการลาดตระเวนและเข้าดับ ไฟป่าในช่วงฤดูไฟป่า เป็นมาตรการสาคัญท่ีทุกหมู่บ้านได้ช่วยกันในช่วงเดือนมีนาคม เมษายน ร่วมกับสถานี ควบคุมไฟป่าดอยอินทนนท์และหน่วยงานท่ีเก่ียวข้องท้ังหมดระดมคนอยู่ในจุดท่ีเส่ียงต่อการเกิดไฟ ลาดตระเวน และเขา้ ดบั ไฟในพืน้ ทเี่ สยี่ ง อย่างไรก็ตาม บทเรียนการทางานที่ผ่านมาเครือข่ายมองว่าสิ่งสาคัญในการสนับสนุนการจัดการปญั หาไฟ ป่าหมอกควัน คือ การพัฒนาระบบกองทุนและการจัดการงบประมาณสนับสนุนกิจกรรมให้มีความยั่งยืน มีการ จัดการความรู้เรอื่ งการจัดการไฟปา่ และปรับปรงุ ให้ดแี ละเหมาะสมกับระบบนิเวศน์มากข้ึน มีแผนการจัดการไฟป่า ระหวา่ งชุมชนกบั หนว่ ยงานของรฐั ท่ชี ัดเจน 9.2.5 ความสาเรจ็ และอุปสรรคในการดาเนนิ งาน เครือข่ายพื้นท่ีอุทยานแห่งชาติดอยอินทนนท์และอุทยานแห่งชาติออบหลวง เป็นองค์การจัดการระดับ เครือข่าย ท่ีมีมีกลไกการบริหารจัดการทรัพยากรท่ีชัดเจน เข้มแข็ง ซึ่งประกอบด้วย กลไกคณะกรรมการระดับ หมู่บ้าน คณะกรรมการลุ่มน้า การบริหารจัดการให้ความสาคัญกับการจัดการร่วม (co-management) ท่ีเน้น

รายงานฉบบั สมบรู ณ์ 170 โครงการพฒั นารูปแบบการสร้างเครือขา่ ยเฝา้ ระวงั ไฟป่า ลดหมอกควนั ความร่วมมือกับผู้มีส่วนเก่ียวข้อง ในระดับพ้ืนที่ โดยใช้ฐานข้อมูลเป็นเครื่องมือในการบริหารจัดการ โดยมีกลไก ทสม. เป็นภาคีท่ีสาคัญในการจดั การระดับพ้นื ท่ี เป็นเครือข่ายที่มุ่งเน้นการบริหารจัดการบนฐานความรู้ และระบบข้อมูลท่ีทันสมัย การนาระบบ สารสนเทศทางภูมิศาสตร์มาเปน็ เคร่ืองมือในการวางแผน การตดิ ตาม ตรวจสอบ มีการพัฒนาระบบข้อมูลทีช่ ัดเจน และเป็นท่ียอมรบั ของทกุ ฝา่ ย มกี ารเชอื่ มโยงขอ้ มลู ระหว่างหนว่ ยงานทั้งข้อมลู จากการสารวจของชุมชน กรมป่า ไม้ กรมอุทยาน โดยลักษณะของข้อมูลมีทั้งแนวเขตที่ดินกับท่ีป่า ข้อมูลรายแปลง ข้อมูลการจัดการไฟป่า และ ทรัพยากร ดา้ นการประยุกตใ์ ชค้ วามรู้ ในการบริหารจัดการได้ประยกุ ตใ์ ชก้ ารจัดการเชือ้ เพลิงบริเวณป่าเต็งรัง หรอื ในจุดซึ่งเปน็ พืน้ ท่เี ส่ยี ง เพอื่ ลดปริมาณเชอ้ื เพลงิ ลดความรุนแรงของการเกดิ ไฟป่าหมอกควันใน ชว่ งเวลาวกิ ฤติ ผลจากการจัดการไฟป่าสามารถเพ่ิมประสิทธิภาพ และลดความรุนแรงของไฟ โดยในช่วงวิกฤติในปีพ.ศ. 2559 สามารถลดพื้นท่ีการเผาได้มากกว่า 200,000 ไร่ และลดพ้ืนท่ีการเผาตลอดทั้งปี 80,000 ไร่ และจากปี 2561 จานวน จุด Hotspot สามารถลดลงจากปี 2560 จานวน 8 จุด นอกจากน้ียังสามารถเชื่อมโยงการจดั การได้ ทั้งระบบ ท้ังการจัดการน้า การจัดการที่ดิน การจัดการป่า รวมถึงการพัฒนา “เทศบัญญัติ ท้องถิ่นว่าด้วยการ จดั การทรพั ยากรธรรมชาติและส่งิ แวดลอ้ มอย่างมสี ว่ นร่วม เช่นกรณเี ทศบาลตาบลบา้ นหลวง ในปีพ.ศ. 2558 ได้มี การพัฒนาระเบียบการจัดการทรัพยากร ออก “ทะเบยี นประวัตกิ ารใชท้ ี่ดนิ ตาบล บา้ นหลวง” ส่งผลให้มีพนื้ ที่คืน เป็นสภาพป่าจานวน 409.9 ไร่ และยกระดับความร่วมมือจัดทาแผนแม่บทการใช้ประโยชน์ท่ีดินเชื่อมโยงการ พฒั นาและส่งเสริมระบบเกษตรท่ีเหมาะสม ในพื้นที่นี้จึงเปน็ ตัวอย่างของการจัดการร่วม ท่ีเป็น “กลไกประชารัฐ” ซ่ึงจะเป็นเงื่อนไขในการจัดการไฟป่าหมอกควันและการจัดการทรัพยากรเกิดขึ้นอย่างมีประสิทธิภาพ สามารถ ขยายผลไปสู่พืน้ ทอ่ี นื่ ๆ ได้

รายงานฉบบั สมบรู ณ์ 171 โครงการพฒั นารูปแบบการสร้างเครือข่ายเฝา้ ระวงั ไฟป่า ลดหมอกควนั

รายงานฉบบั สมบรู ณ์ 172 โครงการพฒั นารูปแบบการสร้างเครือขา่ ยเฝา้ ระวงั ไฟป่า ลดหมอกควนั 9.3 พื้นทดี่ อยพระบาท – มอ่ นพระยาแช่ อาเภอเมอื ง จงั หวัดลาปาง 9.3.1 บรบิ ทพนื้ ที่ดอยพระบาท – มอ่ นพระยาแช่ อาเภอเมอื ง จังหวดั ลาปาง ผืนป่าดอยพระบาท ม่อนพระยาแช่ เป็นผืนป่าขนาดใหญ่อยู่ใกล้ตัวเมืองจังหวัดลาปาง ครอบคลุมพ้ืนที่ 67,466 ไร่ พ้ืนท่ีส่วนใหญ่อยู่ในเขตวนอทุ ยานแห่งชาติม่อนพระยาแช่ 18,579 ไร่ ป่าสงวนแห่งชาติปา่ แม่ยางและ ป่าแม่อาง 22,393 ไร่ และป่าสงวนแห่งชาติป่าแม่จาง 23,815 ไร่ (กรมส่งเสริมคุณภาพสิ่งแวดล้อม,2559) กล่าวคือ พ้นื ที่บริเวณวนอุทยานม่อนพระยาแช่ ตงั้ อยู่ในตาบลพิชัย อาเภอเมือง จังหวัดลาปาง อยู่ในเขตป่าสงวน แห่งชาติป่าแมย่ าง ป่าแม่อาง โดยกรมปา่ ไมไ้ ดป้ ระกาศจดั ตง้ั เป็นวนอทุ ยานเมือ่ วนั ท่ี 21 ตลุ าคม 2512 มอี าณาเขต ทศิ เหนอื จดเขตปา่ แมย่ าง-แม่อาง เป็นเนินเขาลาดลงไปทางตวั จังหวัดลาปาง ทิศใต้ จดสันเขาสูงตดิ เขตปา่ แม่ยาง- แม่อาง ทิศตะวันออกจดสันเขาห้วยโจ้ ทิศตะวันตกจดเนินเขาป่าแม่ยาง-แม่อาง ขนาดพ้ืนที่ประมาณ 18,579 ไร่ บริเวณป่ารอบวัดม่อนพระยาแช่ มีสภาพพื้นที่เป็นภูเขาขนาดเล็ก 2 ลูกอยู่ติดกันทางด้านทิศใต้และทิศตะวันออก พ้ืนที่จึงลาดจากทิศใต้และทิศตะวันออกไปทางทิศเหนือและทิศตะวันตก มีลาห้วยโจ้ผ่านกลางป่าและมีแอ่งน้าอยู่ กลางลาห้วย เนอ้ื ท่ีอ่างนา้ ในฤดแู ล้งประมาณ 20 ไร่ มีน้าขงั อยตู่ ลอดปี สภาพป่าเป็นป่าเบญจพรรณแล้ง ในฤดูแลง้ จะผลัดใบเป็นป่าที่มีไม้ขนาดเล็กและกลางส่วนไม้ขนาดใหญ่มีน้อยมาก พันธุ์ไม้ท่ีพบได้แก่ เต็ง รัง ประดู่ ตะคร้อ มะค่าโมง แดง ชิงชัน ตีนนก ปอ ไม้พ้ืนล่างได้แก่ สาบเสือ ไผ่ และหญ้าชนิดต่างๆ สัตว์ป่าท่ีพบเป็นสัตว์ขนาดเล็ก ได้แก่ กระรอก กระแต กระต่ายป่า และนกชนิดต่างๆ(สานักอุทยานแห่งชาติ,http://park.dnp.go.th) ส่วนพ้ืนที่ ดอยพระบาทซ่งึ อยตู่ ิดวนอทุ ยานม่อนพระยาแช่ หรอื ในสว่ นของสวนรุกขชาติพระบาท ต้งั อยู่ในพ้ืนที่หมทู่ ี่ 1 ตาบล พระบาท อาเภอเมือง จงั หวดั ลาปาง ลักษณะภูมิประเทศโดยส่วนใหญ่เป็นทลี่ าดเชิงเขา เนินเขา และสลับกับภูเขา สูง มพี ้ืนทีป่ ระมาณ 2,120 ไร่ (กรมอทุ ยานแหง่ ชาติ สัตว์ปา่ และพันธพ์ุ ชื ,2558) ผืนปา่ มอ่ นพระยาแช่และดอยพระบาทน้ันกลา่ วได้วา่ มพี ้ืนที่รวมทั้งหมด 10,000 กว่าไร่ เปน็ ผนื ป่าที่อยู่ติด ตัวเมืองลาปาง และมีชุมชนอาศัยกระจายอยู่จานวนมาก กล่าวคือ มีชมุ ชนต้ังถ่ินฐานและใช้ประโยชน์จากผนื ป่า 4 ตาบล ประกอบด้วย ตาบลพิชัย ตาบลกลว้ ยแพะ ตาบลพระบาท และตาบลแมท่ ะ โดยมชี ุมชนทีใ่ ช้ประโยชนแ์ ละมี ส่วนไดส้ ่วนเสียกับพ้ืนที่ป่า 4 ตาบล อยู่ตดิ แนวกันชนพืน้ ที่ปา่ และมีการจัดการดูแลเฝ้าระวังพ้ืนทปี่ ่า แบ่งออกเป็น 2 โซน ดังน้ี ฝืนป่าม่อนพระยาแช่ มีชุมชน 8 หมู่บ้าน ในตาบลพิชัยที่เฝ้าระวังดูแลพ้ืนที่ป่า ครอบคลุมพ้ืนท่ี 49,618 ไร่ และผืนป่าดอยพระบาทมี 5 หมู่บ้านในตาบลพระบาท 3 หมู่บ้านในตาบลกล้วยแพะ ครอบคลุมพ้ืนที่ 17,874 ไร่ (กรมส่งเสริมคุณภาพส่ิงแวดล้อม,2559) พ้ืนที่ดอยพระบาท – ม่อนพระยาแช่ นับเป็นพื้นที่เกิดไฟป่า และมีหมอกควันจากไฟป่าเกิดข้ึนบ่อยและยังอยู่ใกล้ตัวเมืองจังหวัดลาปาง โดยในปีพ.ศ. 2559 เกิดหมอกควันไฟ ป่าปกคลุมอยู่หลายวัน เป็นเหตุให้ค่าเฉล่ียฝุ่นละอองขนาดเล็กจากหมอกควันไฟเกินค่ามาตรฐาน วัดได้ 143 ไมโครกรมั ตอ่ ลูกบาศกเ์ มตร(www.matichon.co.th,12กมุ ภาพันธ2์ 559)

รายงานฉบบั สมบรู ณ์ 173 โครงการพฒั นารูปแบบการสร้างเครือขา่ ยเฝา้ ระวงั ไฟป่า ลดหมอกควนั 9.3.2 สภาพปัญหาไฟป่าและหมอกควันในพื้นทแ่ี ละพฒั นาการในการแกไ้ ขปัญหา1 สถานการณป์ ัญหาไฟปา่ และหมอกควนั ในพื้นทม่ี ่อนพระยาแช่ปีพ.ศ. 2561 พบวา่ เกดิ ไฟปา่ ในพื้นท่จี านวน 4 คร้ัง ดงั น้ี วันที่ 18 มีนาคม 2561 จุดเกิดไฟเริ่มที่หลังอ่างเก็บน้าบ้านหัวฝาย ต.กล้วยแพะ อ.เมือง ลุกลามขึ้นบนสัน เขาฝั่งตะวันออก ขยายไปทางทิศใต้คือวัดพระธาตุดอยม่วงคาและขยายทางทิศเหนือคือช่อง 3 ใช้เวลาควบคุมไฟ ต้ังแตว่ นั ที่ 18 - 21 มนี าคม 2561 พนื้ ท่ีเสยี หายประมาณ 1,500 ไร่ วันที่ 19 มีนาคม 2561 จุดเกิดเหตไุ ฟเริ่มท่ีเขตติดต่อ อ.เมือง และ อ.แม่เมาะ โดยไฟลุกลามมาถึง ต.บา้ น เสด็จ อ.เมือง ไฟลุกลามลงมาทางใตแ้ ละฝั่งตะวันตก ซึ่งสามารถควบคมุ ไฟท่ีลุกลามมาจากทางใตไ้ ดแ้ ลว้ บางสว่ นท่ี ลุกลามมาจากทางทิศตะวันตก(ลงสู่พื้นที่การเกษตรของชุมชน)ใช้เวลาควบคุมตั้งแต่วันที่ 19 – 22 มีนาคม 2561 พืน้ ทีเ่ สยี หายประมาณ 2,000ไร่ จุดเกดิ ไฟเรม่ิ ทพี่ น้ื ที่ปา่ เขตติดต่อ ต.เสดจ็ และ ต.พชิ ัย อ.เมอื ง เหนืออ่างเก็บนา้ ห้วยยางขยายตวั ลงมาทาง ทิศใต้เข้าสู่ ต.พชิ ัย และทิศตะวนั ออก ข้ึนสู่สันเขา สามารถควบคุมไดแ้ ล้วตั้งแต่วันที่ 19 – 22 มีนาคม 2561 พนื้ ท่ี เสยี หายประมาณ 1,500 ไร่ วนั ท่ี 23 มีนาคม 2561 ไฟเกดิ เขตตดิ ตอ่ อ.เมอื ง กบั อ.แม่เมาะ ลุกลามลงมาจากทางใต้ เข้าสู่สันดอยฝรั่ง เขตบ้านทรายใต้ ต.พิชัย อ.เมือง ควบคุมไฟได้แล้ว ต้ังแต่วันท่ี 23 - 26 มีนาคม 2561 พื้นท่ีเสียหายประมาณ 1,000 ไร่ วันที่ 27 มีนาคม 2561ไฟเกิดเขตติดต่อ ต.พิชัย กับ ต.พระบาท อ.เมือง บริเวณตีนดอยฝรั่งและลามเข้า เขตป่าระหว่างบ้านไร่ศิลาทองและบา้ นผาลาด ใช้เวลาควบคุมไฟ ตั้งแตว่ ันที่ 27 - 30 มีนาคม 2561 พืน้ ท่ีเสียหาย ประมาณ 2,000 ไร่ ในสว่ นของพน้ื ท่หี มู่ 14 และหมู่15 ตาบลบ้านเสด็จ เปน็ หมูบ่ า้ นทีม่ ีแนวเขาตดิ กับฝ่งั อาเภอแม่เมาะ คลอบ คลุมพนื้ ที่ประมาณ 100 กว่าไร่ ทั้งนี้ตาบลบ้านเสด็จเปน็ พื้นที่ใหม่ท่ีได้เข้ามาร่วมเปน็ เครือข่ายจัดการปญั หาไฟป่า และหมอกควันร่วมกับตาบลพิชัยในปีน้ี เน่ืองจากมีแนวเขตติดป่าม่อนพระยาแช่เช่นกัน ในขณะท่ีพ้ืนท่ีอื่นๆท่ีมี ชมุ ชนดแู ลปีนย้ี งั ไมเ่ กิดไฟป่าข้ึน ในขณะที่พ้ืนที่ดอยพระบาทนั้น พบว่า มีพื้นท่ีป่า จานวน 95,000 ไร่ มีพ้ืนที่เสียหายจากไฟไหม้ปี 2560 รอ้ ยละ 60 ของพนื้ ที่ ปี 2561 รอ้ ยละ 15 ของพ้นื ท่ี ลดลง ร้อยละ 75 ของพน้ื ที่ สถานการณ์ในแต่ละชุมชนรอบม่อนพระยาแช่ พบวา่ ตาบลบา้ นเสดจ็ มีทั้งหมด 17 หมู่บา้ น ในจานวนนม้ี ี 11 หมู่บ้านท่ีติดภูเขา ในช่วงเดือนกุมภาพันธุ์ที่ผ่านมาเกิดไฟป่าขึ้น 2 ครั้ง คือหมู่ 14 และ 15 พื้นที่รวมประมาณ 1 ข้อมลู จากเวทีติดตามการดาเนินงานพืน้ ท่ีบรู ณาการความร่วมมือในการพฒั นาเครือขา่ ยอาสาสมคั รเฝา้ ระวงั ไฟป่ าลดหมอกควนั ดอยพระบาท-มอ่ นพระยาแช่ จงั หวดั ลาปาง วนั ที่ 10 มีนาคม 2561 ณ ห้องประชมุ องค์การบริหารสว่ นตาบลพชิ ยั อาเภอเมือง จงั หวดั ลาปาง

รายงานฉบบั สมบรู ณ์ 174 โครงการพฒั นารูปแบบการสร้างเครือข่ายเฝา้ ระวงั ไฟป่า ลดหมอกควนั 100 ไร่เป็นเขตรอยต่อสันเขาติดกับแม่เมาะ กิจกรรมที่ผ่านมามีการทาแนวกันไฟทุกหมู่บ้าน มีกลุ่มเครือข่ายจิต อาสาดับไฟป่า 15-25 คน/หมู่บ้าน ในปีพ.ศ.2561หน่วยงานจากกรมป่าไม้สนับสนุนกองทุนจัดการไฟป่าจานวน 25,000 บาท/หมู่บ้าน แตย่ ังไม่มีการโอนงบประมาณ ในขณะท่ีบ้านไร่ศิลาทอง มีอัตราการเกิดไฟป่าลดลงจากปีที่ ผ่านมา ดา้ นการจัดการในชมุ ชนมีคณะกรรมการ 15 คน โดยจัดเวร 2คน/วัน เพื่อตรวจราดตระเวนเฝ้าระวังไฟป่า ทางกลุ่มได้รับเงินสนับสนุนจากหน่วยงานอ่นื ๆด้านค่าใชจ้ ่ายทั่วไป เช่น ค่าอาหาร ค่าน้ามัน เป็นตน้ อีกทั้งยังมีการ จัดสวสั ดิการประกันชีวิตและอุบัตเิ หตุให้แก่กรรมการ ในส่วนบา้ นต้นต้อง มีหอกระจายข่าวประชาสมั พันธ์ รณรงค์ เรื่องหมอกควันไฟป่า ลดการเผาพื้นที่การเกษตร และช่วยกันเฝ้าระวังการเกิดไฟป่า ภาพรวมตาบลต้นต้องในปีน้ี ยังไม่มีการเกิดไฟป่าเพราะได้รับความร่วมมือจากประชาชนเป็นอย่างดี ทั้งท่ีในช่วงมกราคม-กุมภาพันธ์มักจะเกิด ไฟป่าขึ้นแทบทุกปี มี คณะกรรมการป่าชุมชนทาหน้าท่ีจัดทาแนวกันไฟและเฝ้าระวัง ใช้ระบบจัดเวรเช่นเดียวกัน กบั บ้านไร่ศิลาทอง ทั้งนี้ องค์การบริหารส่วนตาบลพิชัย มีหน่วยลาดตระเวนพ้ืนราบทั้งหมด ตามชุมชนจะมีหน่วยสอดส่อง กระจายตามท้องที่ มีร้านกาแฟค๊อฟฟ่ีเฮ้าส์ เป็นจุดสอดส่องและแจ้งเหตุทาให้สามารถไปดับไฟได้เร็วภายใน 10 นาที มีรถดับเพลิง 2 คัน เจ้าหน้าที่ 6 คน โดยภาพรวมสถานการณ์จึงดีขึ้นเน่ืองจากผู้นาชุมชนมีความเข้มแข็ง ลง มือปฏิบัติด้วยตนเอง เช่น เข้าถึงจุดเกิดเหตุไฟไหม้ด้วยตนเอง เป็นส่วนหนึ่งท่ีสร้างความน่าเชื่อถือและกาลังใจ อย่างไรก็ตาม ชุมชนต้องลุกขน้ึ มานาเพราะไมม่ ใี ครรู้จกั พื้นท่ไี ด้ดีกวา่ คนในชุมชน นอกจากน้ี มาตรการ 60 วันห้าม เผาตั้งแต่วันท่ี 20 กุมภาพนั ธ์-20 เมษายน ยังเป็นเครื่องมือสาคัญท่ีชาวบ้านใชเ้ ป็นเงื่อนไขปิดปา่ ไม่ให้คนภายนอก เขา้ หาของป่าในพื้นท่ี ซึง่ เปน็ สาเหตทุ ที่ าให้เกิดไฟปา่ สถานการณ์ในแต่ละชมุ ชนรอบดอยพระบาท พบว่าบา้ นหวั ฝาย เหล่าบุญเกดิ โทกหัวช้าง ผาลาด อวิ่ เมีย่ น หัวทุ่งสามัคคี และกล้วยแพะ สถานการณ์ปญั หาหลักคือการเข้ามาหาของป่าจากคนนอกพื้นท่ี ท้ังจากอาเภอเมือง แม่เมาะ แม่ทะ เกาะคา และห้างฉัตร โดยเฉพาะบริเวณบ้านผาลาดและอิ่วเมี่ยน เนื่องจากมีของป่าเยอะ เช่น ผักหวาน ไข่มดแดง และสัตว์ป่า ในส่วนของการจัดการนั้นทุกหมู่บ้านมีกลุ่มอาสาสมัครตงั้ แต่ 15-25 คนเป็นกลไก หลักในการดูแลจัดการ กิจกรรมหลักๆคือ การทาแนวกันไฟ ลาดตระเวน มีการต้ังจุดสกัดเพ่ือเฝ้าระวังไฟป่า24 ชั่วโมง เน้นช่วง 60 วันห้ามเผาฯ และการจัดทาฝาย อย่างไรก็ตาม ก่อนวันที่ 10 กุมภาพันธ์ มีคนเข้าพื้นท่ีป่า จานวนมากชุมชนยังไม่มีการต้ังจุดสกัดทาให้เกิดไฟในสามพ้ืนที่คือบ้านอ่ิวเมี่ยน หัวฝาย และกล้วยพะ (5จุด) แต่ ขนาดไม่กว้างประมาณ 1-2 งาน ในด้านกองทุนน้ันได้รับการสนับสนุนจากหน่วยงานป่าไม้หมู่บ้านละ 50,000 บาท พัฒนาการในการแกไ้ ขปญั หา แต่เดิมการจัดการทรัพยากรรวมถึงไฟป่าหมอกควันในพื้นท่ีม่อนพระยาแช่และดอยพระบาทเป็นรูปแบบ ของการจัดการป่าชุมชน มีชุมชนต้นแบบท่ีโดดเด่นคือ ป่าชุมชนบ้านต้นต้อง บ้านไร่ศิลาทอง ตาบลพิชัย เป็นต้น พื้นที่ในการดูแลจัดการขนาดประมาณ 1,500 ไร่ ดูแลจัดการมามากกว่า 10 ปี ข้ึนทะเบียนเป็นป่าชุมชนตาม

รายงานฉบบั สมบรู ณ์ 175 โครงการพฒั นารูปแบบการสร้างเครือขา่ ยเฝา้ ระวงั ไฟป่า ลดหมอกควนั กฎหมายเม่ือปี 2559 ในขณะที่ตาบลพชิ ัยมีหมู่บา้ นท่ีอยตู่ ิดผนื ป่าจานวน 9 หมูบ่ ้าน จาก 11 หมุบ่ า้ นประกอบด้วย หมู่1,3,5,7,10,13,16,17 ส่วนทางด้านฝั่งดอยพระบาทนั้นมีหมู่บ้านท่ีอยู่ติดผืนป่าในเขตตาบลพระบาท ประกอบด้วย บ้านโทกหัวช้าง หัวทุ่งสามัคคี หัวฝาย อิ่วเมี่ยน บ้านผาลาดในเขตตาบลแม่ทะ และบ้านกล้วยแพะ ในเขตตาบลกล้วยหลวง ชุมชนเหล่านี้ที่ผ่านมายังไม่ได้เข้ามามีส่วนร่วมในการดูแลจัดการทรัพยากรและไฟป่า หมอกควันมากนัก มีเพียงบางชมุ ชนดังที่กล่าวมาข้างตน้ ทล่ี กุ ข้นึ มาดแู ลจัดการ ทั้งนก้ี ็เป็นเพราะมีแกนนาท่ีเข้มแข็ง มีเครือข่ายความสัมพันธ์กับภายนอกหลายองค์กรหลายหน่วยงานท่ีให้การสนับสนุน กล่าวได้ว่ารูปแบบการมีส่วน รว่ มของชุมชนและการจดั การในลกั ษณะเครอื ขา่ ยชาวบา้ นก่อนหน้าปี 2560 ยังไม่ชดั เจนมากนกั อย่างไรก็ตาม พน้ื ท่ีดอยพระบาท – ม่อนพระยาแช่ มีลักษณะท่ีโดดเด่นคือการจัดการในลักษณะจิตอาสา ซึ่งริเริ่มจากคนภายนอกชมุ ชน ได้แก่ กลุ่ม We Love The King ผู้ขับเคลื่อนหลักเป็นอดีตอาจารย์ ผู้ประกอบการ ในจังหวดั ลาปาง โดยปฏิบัติดว้ ยตนเองเปน็ แบบอย่างของความทุ่มเท จนเกิดความศรัทธาจากคนในชมุ ชนบางส่วน และมีการต้ังกลุ่มจิตอาสาขึ้นในบางชุมชนเพื่อร่วมกันดแู ลจัดการทรัพยากรไฟป่าหมอกควันร่วมกัน เช่น ชมรมเฮา ฮักม่อนพระยาแช่ กลุ่มเฮาฮักห้วยน้าขาว กลุ่มเฮาฮักดอยพระบาท เป็นต้น แนวทางหลักๆคือ การทาแนวกันไฟ การเฝา้ ระวงั การดบั ไฟ และการทาฝายชะลอน้าเพอื่ สร้างความชมุ่ ช้นื ตามหลกั การป่าเปียก โดยมีจิตอาสาในชมุ ชน สถานศกึ ษา ผปู้ ระกอบการ เขา้ รว่ มตามความสมคั รใจ 9.3.3 กลไกการแกไ้ ขปญั หาไฟปา่ และหมอกควนั ความพยายามในการจัดการไฟป่า ริเร่ิมโดยกลุ่มคน “จิตอาสา” เป็นกลไกในการแก้ไขปัญหาไฟป่าและ หมอกควัน ไมว่าจะเป็น กลุ่ม “เฮาฮักม่อนพระยาแช่” กลุ่ม “เฮาฮักดอยพระบาท” นักเรียน นักศึกษา ท้องถ่ิน เจ้าหน้าที่ ปา่ ไม้ เจ้าหน้าท่ีไฟป่า ภาคเอกชนและชุมชนที่อยู่รอบผืนป่า ซึ่งมีรูปแบบการจัดการไฟป่าเน้นการเฝ้า ระวัง ป้องกันไม่ให้เกิดไฟไหม้รอบพื้นที่ม่อนพระยาแช่และดอยพระบาท ทาแนวกันไฟ ทาฝายชะลอน้า ลาด ตะเวน เฝา้ ระวงั ในชว่ งสถานการณ์ไฟปา่ เรมิ่ มาตง้ั แตเ่ ดอื น มกราคม – เมษายนของทกุ ปี พบว่าแต่ละหมู่บ้านมีกลุ่มจิตอาสาท่ีลุกขึ้นมาดูแลเรื่องไฟป่าหมอกควันและการจัดการทรัพยากรครบทุก หม่บู ้าน โดยมสี มาชกิ กลุม่ มาจากกรรมการป่าชุมชน ผู้นาทางการของหม่บู ้าน และสมาชิกชมุ ชนท่ีมคี วามสนใจ ทกุ หมู่บ้านมีกลุ่มอาสาสมัครตั้งแต่ 15-25 คนเป็นกลไกหลักในการดูแลจัดการ กิจกรรมหลักๆคือ การทาแนวกันไฟ ลาดตระเวน มกี ารต้งั จุดสกัดเพือ่ เฝา้ ระวังไฟปา่ 24 ชว่ั โมง และการจัดทาฝาย ตวั อย่างเชน่ ตาบลบา้ นเสดจ็ 11 หมู่บ้าน ตั้งช่ือกลุ่มว่า “เครือข่ายจิตอาสาดับไฟป่า มีสมาชิกกลุ่มตั้งแต่ 15-25 คนต่อ หมู่บ้าน กิจกรรมหลักคือการทาแนวกันไฟ ลาดตระเวนเฝ้าระวัง และดับไฟกรณีเกิดไฟลุกไหม้ในพื้นที่ ปีท่ีผ่านมา ได้รับงบประมาณสนับสนุนจากหน่วยงานป่าไม้จานวน 2,500 บาท เป็นค่าอาหาร ค่าอุปกรณ์ ค่าน้ามันเช้ือเพลิง ของกลมุ่ ฯ 11 หมู่บ้าน

รายงานฉบบั สมบรู ณ์ 176 โครงการพฒั นารูปแบบการสร้างเครือขา่ ยเฝา้ ระวงั ไฟป่า ลดหมอกควนั บา้ นไร่ศิลาทอง ตาบลพชิ ัย มีกรรการไฟป่า/จิตอาสา จานวน 15 คน เฝ้าระวังลาดตระเวนวนั ละ 2 คน มี กองทุนเพอ่ื การประกันอุบัตเิ หตใุ ห้แก่กรรมการ บ้านต้นต้อง มีกรรมการป่าชุมชนและจิตอาสาประมาณ 15 คน กิจกรรมในช่วงที่ผ่านมาคือ รณรงค์ ประชาสมั พันธ์ การจัดทาแนวกนั ไฟ ลาดตระเวนเฝ้าระวงั วันละ 2 คน นอกจากน้ีในสว่ นของพ้ืนท่รี าบท่ัวไปนอกเขตป่ามีองคก์ ารบริหารสว่ นตาบลพิชัย เป็นเจ้าภาพดูแลพ้นื ท่ี มี เจ้าหนา้ ที่ 6 คน รถดบั เพลงิ 2 คนั มีจดุ เวรยามที่ร้านคอ๊ ฟฟ่ีเฮา้ ส์ สามารถเขา้ ถึงพ้ืนที่ดบั ไฟไดภ้ ายใน 10 นาที ในขณะที่ฝั่งดอยพระบาท มีกลไกในการแก้ไขปัญหาไฟป่าและหมอกควันโดยกลุ่มจิตอาสาเช่นเดียวกัน ได้แก่ บ้านหัวฝายหมู่ท่ี 4 ดูแลจัดการป่าร่วมกับบ้านกล้วยแพะหมู่ท่ี 2 มีกลุ่มจิตอาสาช่ือ “กลุ่มไฟป่าห้วยน้า ขาว” สมาชิกจานวน18 คน กิจกรรมที่ผ่านมาคือการทาแนวกันไฟ จัดชุดลาดตระเวนวันละ 6 คน ในช่วงเดือน กุมภาพันธท์ ีผ่ า่ นมาเกิดไฟไหม้ในพ้ืนทจี่ านวน 4 ครั้ง จบั กมุ ได้ 2 กรณี ใช้มาตรการสถานเบาคอื ลงบนั ทกึ ประจาวนั ไว้ และมอบหมายหน้าท่ีให้ช่วยสอดส่องเรื่องการเผาป่า ปีที่ผ่านมาได้รับงบประมาณสนับสนุนจากสองส่วนคือ กรมป่าไม้ โดยสานักงานจัดการทรัพยากรป่าไม้ที่ 3 สนับสนุนอุปกรณ์วิทยุสื่อสาร และสานักงาน ทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดลอ้ มจงั หวดั ลาปาง สนับสนนุ เครอื่ งเป่าลม บ้านโทกหัวช้าง มีกลุ่มจิตอาสาดับไฟป่า จานวน 15 คน กิจกรรมที่ผ่านมาคือทาแนวกันไฟร่วมกับหมู่ 2 และจดั ชดุ ลาดตระเวนเฝา้ ระวังไฟปา่ ในพ้นื ท่ี บา้ นเหลา่ บญุ เกดิ กิจกรรมทผ่ี า่ นมามกี ารทาแนวกนั ไฟ ต้ังจดุ สกัดรว่ มกับบ้านโทกหวั ชา้ ง อกี ท้ังเทศบาลเข ลางค์นครไดอ้ อกบัตรจิตอาสาฯเพ่ือรับรองการทางานในพ้ืนที่ หัวทงุ่ สามัคคี มีกรรมการ จานวน 15 คน จดั ชุดลาดตระเวน 4 คนต่อวัน และเฝ้าจุดสกดั 1 คน อ่ิวเม่ียน มีกลุ่มจิตอาสา จานวน 12 คน มีการจัดชุดลาดตระเวนและเฝ้าเวรยามจุดสกัด 24 ช่ัวโมง ห้าม คนเข้าป่าในช่วงห้ามเผาของจังหวัดระหว่างวันที่10 กุมภาพันธ์-10 เมษายน 2561 นอกจากน้ี ได้มีการทาแนวกัน ไฟ และการระดมทุนจากภายในชุมชนเพื่อดูแลกลุ่มจิตอาสา ซ่ึงได้รับการสนับสนุนอาหาร(หัวหมูอาทิตย์ละ1หัว) จากฟารม์ หมใู นพน้ื ท่ี รวมท้ังเงนิ สว่ นตัวของผู้นาชมุ ชน บ้านกล้วยแพะ มีกลุ่มจิตาสาฯจานวน 42 คน (ในจานวนน้ีเป็นผู้หญิง 5 คน ปฏิบัติงานจริง 20 กว่าคน) กิจกรรมท่ที าคอื การทาแนวกนั ไฟ การจดั ชดุ ลาดตระเวนเฝา้ ระวงั การดับไฟ นอกจากนีย้ ังไดม้ ีการออกบัตรรบั รอง ให้กรรมการฯ/จิตอาสาเพื่อความสะดวกในการทางานในพ้ืนท่ี(การเข้าป่า)และการประสานความร่วมมือกับ หนว่ ยงาน บัตรดงั กลา่ วถกู รบั รองโดยผูใ้ หญ่บ้านและนายกองคก์ ารบรหิ ารสว่ นตาบลกลว้ ยแพะ มีหน่วยงานและองค์กรที่เกี่ยวข้องสนับสนุนการทางาน กล่าวคือ องค์การบริหารส่วนตาบลพิชัยซึ่งเป็น องค์กรปกครองส่วนท้องถ่ินในพื้นที่เขตป่าม่อนพระยาแช่ที่ทาหน้าที่สนับสนุนชุมชนและหน่วยงานท่ีเก่ียวข้องใน ลักษณะของการสนับสนุนงบประมาณ การมีทีมงานภายในรับผิดชอบ รวมทั้งเป็นกลไกประสานงานระหว่างพ้ืนที่

รายงานฉบบั สมบรู ณ์ 177 โครงการพฒั นารูปแบบการสร้างเครือข่ายเฝา้ ระวงั ไฟป่า ลดหมอกควนั กับหน่วยงานสนับสนุนต่างๆ หน่วยงานท่ีเกี่ยวข้อง เช่น งานวิจัยหมอกควันไฟป่าของสกว. สมัชชาสุขภาพ สานักงานทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมจังหวัดลาปาง วนอุทยานม่อนพระยาแช่ สถานีควบคุมไฟป่าพระ บาทม่อนพระยาแช่ สานกั งานจดั การทรพั ยากรป่าไม้ท่ี 3 สานกั บรหิ ารพนื้ ทอี่ นุรกั ษท์ 1่ี 3 เป็นตน้ ในปีพ.ศ.2560 พื้นท่ีม่อนพระยาแช่และดอยพระบาทเป็นพ้ืนที่ขยายผลการทางานโครงการบูรณาการ ความร่วมมือในการเสริมสร้างและพัฒนาเครือข่ายอาสาสมัครประชารัฐร่วมใจเฝ้าระวังไฟป่าลดหมอกควันพื้ นท่ี จังหวัดลาปาง ด้วยแนวคิดสนับสนุนให้ชุมชนลุกข้ึนมาจัดการไฟป่าหมอกควันในลักษณะของเครือข่ายร่วมกับ หน่วยงานภาครัฐ เอกชน องค์กรพัฒนาเอกชน ท่ีดาเนินการอยู่ในพื้นท่ี ท้ังนี้เพ่ือให้เกิดความย่ังยืนในการจัดการ โดยต้นทนุ เดมิ ท่ีสาคญั คือ ชมุ ชนตน้ แบบทเ่ี ข้มแข็ง กลุ่มจิตอาสาภายในชุมชน/กลมุ่ ป่าชมุ ชน กล่มุ จิตอาสาภายนอก ชมุ ชน (คนในเมอื ง นักเรยี น นักศกึ ษาและผปู้ ระกอบการ) องค์การบริหารส่วนตาบลพิชยั เปน็ ต้น 9.3.4 บทเรยี นจากการดาเนนิ งานแกไ้ ขปญั หาไฟปา่ และหมอกควนั บทเรียนด้านการจัดการ กล่าวคือ ประเด็นปัญหาของพื้นที่แต่เดิมคือความหวาดระแวงต่อกันระหว่าง ชมุ ชน กลุ่มจิตอาสากับหน่วยงานที่เก่ียวข้องโดยเฉพาะเจ้าหน้าท่ีป่าไม้ โดยทรรศนะชาวบ้านมองว่า”ป่าไม้เผาเอา งบฯ” ขณะทีเ่ จา้ หน้าทก่ี ็มองว่าชาวบ้านบางสว่ น/กลุม่ จิตอาสาบางกลมุ่ มผี ลประโยชน์ จนมกี ารตง้ั ข้อสงั เกตว่าไฟที่ เกิดข้ึนในพื้นที่นอกจากจะเป็นไฟลามที่ลามมาจากภายนอกท้ังฝ่ังแม่เมาะและแม่ทะแล้ว ยังเป็นไฟที่มาจากความ ขดั แยง้ ความเห็นต่างในเร่ืองการจัดการ ดงั น้ันพืน้ ท่ีนี้จึงควรเนน้ เรอื่ งความเขา้ ใจมากอ่ นเรื่องความร่วมมอื ซึง่ ต้อง คิดค้นรูปแบบท่ีเหมาะสมร่วมกันต่อไป ตัวอย่างเช่น อาจมีเวทีบทเรียนความรู้การจัดการ การจัดทาข้อมูล/แผน ร่วมกนั ระหว่างเครือขา่ ยชาวบา้ นและหน่วยงานรฐั เปน็ ต้น นายกองค์การบริหารส่วนตาบลพิชัย กล่าววา่ การจัดการไฟป่าหมอกควันเราจาเป็นต้องใช้ชุมชนเป็นฐาน ชุมชนต้องลุกขึ้นมาจัดการ หน่วยงานราชการสนับสนุนงบประมาณเข้ามาให้ชุมชน แม้กระท่ังการดูแลเร่ืองไฟป่า ถ้าให้หน่วยงานราชการตา่ งๆ ไปอยู่ที่จุดสูงมองหาควนั ไฟมันจะเหน่ือย เสียเวลา เสียงบประมาณต่างๆ ทาไมไม่ให้ คนไม่กี่คนท่ีเป็นชาวบ้านเข้าไปเฝ้าระวังไฟป่า เน่ืองจากขอบเขตของหมู่บ้านชาวบ้านเขารู้กันอยู่แล้วให้ชาวบ้าน ช่วยกันจัดการทาได้อยู่แล้ว แต่ทางราชการที่ยังไม่รู้ก็ยังมีข้อถกเถียงอยู่ นายกฯ จึงได้ใช้พื้นที่บ้านของตัวเองเป็น พื้นที่ทดลองประมาณ 5,000 ไร่ ใช้คนไม่ถึง 20 คนในการเฝ้าระวัง ปีท้ังปีนายกฯ ใช้เงินแค่ 20,000 บาทที่ ทสจ. ให้ ทั้งทาแนวกันไฟจนไม่มีเหตุการณ์ไฟไหม้ ในขณะเดียวกันที่รอบดอยพระบาทคาบเกี่ยวกับแม่ทะใช้เจ้าหน้าท่ี 100-200 คน ทกุ หน่วยงานมุง่ ลงพืน้ ทที่ ง้ั ทหาร ตารวจ นกั ศกึ ษา จติ อาสา ปีท่แี ล้วไฟก็ยงั ไหมแ้ ละลุกลามต้องมีการ ระดมหน่วยงานต่างๆเข้ามาช่วยดับไฟ สิ่งนี้เป็นข้อเปรียบเทียบได้ระหว่างชุมชนท่ีลุกขึ้นมาดูแลเอง ติดตามเฝ้า ระวังไฟป่า มีการลาดตระเวนโดยคนในชุมชนกับหน่วยงานท่ีเฝ้าระวังและตามไปดับไฟ สุดท้ายคือไฟลุกลามถึง 90% แต่ต้นต้องเราสามารถนาผลการดาเนินงานของเราไปพูดในหลายๆเวที เพื่อให้เป็นต้นแบบในการจัดการ

รายงานฉบบั สมบรู ณ์ 178 โครงการพฒั นารูปแบบการสร้างเครือข่ายเฝา้ ระวงั ไฟป่า ลดหมอกควนั ให้กับหลายๆพน้ื ท่ีได้ ปัจจุบันรอบดอยพระบาทก็ไม่เกิดไฟลุกลามเหมือนที่ผ่านมาเนื่องจากไดน้ าแนวการจัดการที่ เกิดจากความรว่ มมอื ของคนในชมุ ชน การเฝ้าระวังไฟป่า และการลาดตระเวน บทเรยี นการรวมเปน็ เครอื ข่ายความร่วมมือแบบบรู ณาการเพอื่ แก้ไขปญั หาไฟปา่ หมอกควัน กล่าวคอื เดมิ ทีพนื้ ทนี่ ้ีมลี ักษณะการจดั การแบบต่างคนตา่ งจัดการ มชี มุ ชนตน้ แบบ ไมไ่ ดร้ วมกันเปน็ เครือข่าย แต่กระบวนการใน ปี 2560 ท่ีผ่านมาทาให้ชาวบ้านไดร้ ับรู้การจัดการของชุมชนอื่นๆเห็นภาพรวมของท้ังสองผืนป่า รวมท้ังไดม้ ีโอกาส รับรู้รับฟังแลกเปลี่ยนเรียนรูก้ ับหน่วยงานท่ีเกย่ี วข้อง ทาให้โอกาสการพัฒนากนั เป็นเครือขา่ ยท่ีเข้มแข็งในอนาคตมี ความเป็นไปได้สูง อย่างไรก็ตามสิ่งสาคัญประการแรกคือการมีเจ้าภาพ/กลไกประสานงานหลักท่ีจะเป็นกลไกการ ประสานงานในพ้นื ที่ ในส่วนอ่นื ๆ ดังนั้นสิ่งที่ควรคานึงถึงคือการหาจุดร่วมให้ได้ การแสวงหาความร่วมมือจากภาคี การพัฒนากลไกระดับพื้นที่เพื่อให้เกิดความย่ังยืน เริ่มจากกลุ่มผู้นาทางการ(กานัน ผู้ใหญ่บ้าน สมาชิกอบต.) /จิต อาสา กลุ่มป่าชุมชน การบูรณาการอาสาสมัครกับหน่วยงานอื่นๆในพ้ืนที่ รวมถึงการพัฒนาระบบสนับสนุนเช่น เรอ่ื งกองทุนให้มคี วามยง่ั ยืนมากย่ิงข้ึน บทเรยี นการจัดการงบประมาณ นายกองคก์ ารบรหิ ารส่วนตาบลพิชัย มองวา่ ปัจจุบันชมุ ชนลุกข้ึนมามีส่วน ร่วมในการจัดการไฟป่าหมอกควันมากขึ้น แต่ในส่วนหน่วยงานท่ีเข้ามาสนับสนุนยังมากันคนละทิศคนละทาง และ งบประมาณยังเป็นอุปสรรคที่สาคัญ กล่าวคือ หน่วยงานราชการได้รับปากกับชุมชนไว้ว่าจะสนับสนุนงบประมาณ แตใ่ นทางปฏิบัติติดขดั จนทาให้คนในชุมชนเสยี กาลังใจ บน่ั ทอนจิตใจ สาหรับชาวบา้ นแม้ไม่มีงบประมาณสกั บาทก็ ไม่เป็นไร แต่ถ้าหากภาครัฐมีงบประมาณก็ควรท่ีจะจัดสรรลงมาบ้างเพ่ือนามาเป็นค่าอาหาร ค่าน้ามันรถ และค่า นา้ มนั เครอื่ งอุปกรณ์ตา่ งๆ เป็นสว่ นหนึง่ ทช่ี าวบา้ นควรได้รบั ชาวบ้านสามารถบรหิ ารได้มีวธิ กี ารบริหารงบประมาณ ส่วนน้ันอยู่แล้วแตเ่ หมือนกับว่าทางหน่วยงานราชการยังติดขัดในเรื่องการเบิกจ่ายงบประมาณลงมา อย่างไรก็ตาม พนื้ ทร่ี อบดอยพระบาทท้งั 30 หมู่บ้าน มีหน่วยงานและบุคลากรหลากหลายระดบั ทง้ั กานัน ผู้ใหญ่บ้าน อบต. และ กรรมการหมู่บ้าน พวกเขาค่อนข้างหลากหลายทางความคิด ฉะนั้นต้องปล่อยให้แสดงความคิดเห็นได้เต็มท่ี ใน ขณะเดยี วกันในฐานะผู้นาก็ต้องรู้ข้อมูลที่ลึกและกว้าง ดังนั้นจะไม่ขัดความคิดชาวบ้านและต้องนาข้อความคิดเห็น ของชาวบ้านมาวเิ คราะห์ให้ได้ กล่าวไดว้ ่าในชมุ ชนไม่มีปญั หาเพราะชาวบ้านมีความร่วมมือท่ีดมี าก แต่ปัญหาเร่ือง ขวญั และกาลังใจถือว่าสาคัญ หน่วยงานท้ัง 3 หน่วยน้ีจึงต้องเข้ามาร่วมมือช่วยกัน ไดแ้ ก่ ทสจ. สานักอนุรักษ์ที่ 13 และสานกั ทรัพยากรปา่ ไม้ท่ี 3 ถ้ารว่ มกนั ทาจะไมเ่ กิดความซ้าซ้อน 9.3.5 ความสาเรจ็ และอุปสรรคในการดาเนินงานแก้ไขปญั หาไฟป่าหมอกควนั ในพน้ื ท่ี คือสถานการณ์โดย ภาพรวมปีน้ีมีความก้าวหน้าหลายประการ ท้ังในแง่ของจานวนการเกิดไฟในพ้ืนที่ท่ีมีชุมชนดูแลจัดการลดจานวน การเกิดและมีความรุนแรงน้อยลง อีกท้ังในแต่ละชุมชนมีกลุ่มจิตอาสาที่ชัดเจน มีกิจกรรมตลอดท้ังปีตั้งแต่การ เตรียมการก่อนเกิดเหตุ (แนวกันไฟ) การเฝ้าระวัง (จุดสกัด) การเผชิญเหตุ (ดับไฟ) และการฟ้ืนฟู (การทาฝาย ชะลอน้าเพื่อสรา้ งความช่มุ ชืน้ ให้พ้นื ทป่ี ่า) ทาใหค้ ่า Hotspot ในปี 2561 ลดลงจากปี 2560 จานวน 6 จุด

รายงานฉบบั สมบรู ณ์ 179 โครงการพฒั นารูปแบบการสร้างเครือข่ายเฝา้ ระวงั ไฟป่า ลดหมอกควนั

รายงานฉบบั สมบรู ณ์ 180 โครงการพฒั นารูปแบบการสร้างเครือขา่ ยเฝา้ ระวงั ไฟป่า ลดหมอกควนั ทั้งน้ี ความก้าวหน้าสาคัญมี 2 เร่ือง กล่าวคือ ประการแรก คือการมีผู้นา/กรรมการ/กลุ่มจิตอาสาท่ีลุก ข้ึนมาจัดการปัญหาในทุกหมู่บา้ น นามาสู่ความความร่วมมือท่ีมากขึ้นของคนในชุมชน รวมท้ังคนตา่ งถ่นิ ที่เข้ามาหา ของป่ามีจานวนลดน้อยลง ยอมรับการจดั การของชุมชนมากขึ้น ประการที่สอง คือเร่ืองการพัฒนากองทุน ซึ่งมีท้ัง ภายในและภายนอกชุมชน ภายในชุมชนน้ันมีบางพื้นท่ี(อ่ิวเมี่ยน)เริ่มเข้าหาผู้ประกอบการในพื้นท่ี เช่น เจ้าของ ฟาร์มหมู ซ่ึงทาให้ได้รับการสนับสนุนเร่ืองอาหารบางส่วนแก่กลุ่มจิตอาสาในช่วงปฏิบัติงาน แนวทางน้ีมี ความสาคัญที่ช่วยเปิดมุมมองให้พื้นที่อ่ืนๆได้คิดถึงเรื่องการระดมความร่วมมือจากคนท่ีมีศักยภาพในชุมชน ใน หลายรปู แบบ จุดแขง็ ในการดาเนินงาน คอื 1) การมีผู้นาที่เข้มแข็งทาให้คนในชุมชนลุกขึ้นมาให้ความร่วมมือ รวมทั้งคนต่างถิ่นเองก็เริ่มยอมรับการ จัดการของชมุ ชนมากขึน้ 2) มผี ู้นาทเ่ี ขม้ แขง็ ในชุมชนสามารถเขา้ ถงึ จุดเกดิ เหตุไฟไหม้ได้รวดเร็ว เปน็ ส่วนหน่งึ ทส่ี รา้ งความน่าเช่ือถือ และกาลังใจ ชมุ ชนต้องนาการเขา้ ไปดับไฟป่าเพราะไม่มใี ครรจู้ กั พนื้ ที่ได้ดีกวา่ คนในชุมชน 3) การใช้มาตรการช่วง 60 วันห้ามเผามาเป็นเคร่ืองมอื ในการป้องกันคนภายนอกเขา้ มาหาของป่าในพ้นื ท่ี ทาใหป้ ่าไดพ้ ัก รวมทงั้ คนภายนอกก็ยอมรับให้ความร่วมมือ 4) เร่ิมมีการสนับสนุนกองทุนชุมชนจากหลายส่วนทั้งจากภายในและภายนอกชุมชน เช่น ฟาร์มหมูใน หมู่บ้าน องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น กรมป่าไม้ สานักงานทรัพยากรธรรมชาติและส่ิงแวดล้อมจังหวัดลาปาง กลุ่ม We Love The King นกั ธรุ กิจ เปน็ ต้น ในส่วนของทุนจากภายนอกนั้นก็มีหลายหน่วยงานเข้ามาสนับสนุน เช่น องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น กรม ป่าไม้ สานักงานทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมจังหวัดลาปาง กลุ่ม We Love The King ธุรกิจ/ ผู้ประกอบการในจังหวัด อย่างไรก็ตาม ชาวบ้านได้สะท้อนว่าทุนเหล่าน้ีเข้ามาในลักษณะต่างคนต่างมา บาง หน่วยงานโดยเฉพาะหน่วยงานรัฐควรมีการทาแผนร่วมกัน โดยให้ชุมชนทาแผนเป็นหลัก และหน่วยงานเลือก สนับสนุนตามแผนที่สามารถสนับสนุนได้ ท่ีผ่านมางบสนับสนุนภาครัฐมีข้อจากัดหลายประการ เช่น ข้ันตอนเยอะ ใช้ยาก ไมท่ ันสถานการณ์ มขี อ้ เสนอจากชุมชนว่าควรสนบั สนุนกอ่ นชว่ งมาตรการหา้ มเผา ขอ้ จากัด/อปุ สรรคในการดาเนินงาน คอื 1) เร่ืองการสนบั สนนุ งบประมาณจากหนว่ ยงาน มรี ะเบยี บขนั้ ตอนยงุ่ ยาก ไมส่ อดคลอ้ งกบั เวลา ไม่ทนั สถานการณ์ 2) คนรนุ่ ใหม่สานต่อยังมีนอ้ ย กลุ่มแกนนา/จิตอาสาส่วนใหญเ่ ปน็ ผู้สงู วยั ขาดคนรุ่นใหมท่ ่หี นั มาใส่ใจ ปัญหาและอนรุ กั ษป์ ่า 3) ปัญหาไฟในเขตภูเขาสูงท่ีไหม้ลามในเขตติดต่อโดยเฉพาะฝ่ังอาเภอแม่เมาะและแม่ทะ และด้วยความ ลาดชนั ทาใหเ้ สียเวลาในการเดินทางหาแหลง่ เกิดไฟมากกว่าการใชเ้ วลาในการดบั ไฟ

รายงานฉบบั สมบรู ณ์ 181 โครงการพฒั นารูปแบบการสร้างเครือข่ายเฝา้ ระวงั ไฟป่า ลดหมอกควนั 9.3.6 ข้อเสนอแนะตอ่ แนวทางการดาเนินงานและการบูรณาการความร่วมมอื 1) การจัดทาแผนร่วมกันในลักษณะของเครือข่าย โดยเร่ิมต้นจากการทาข้อมูลและแผนเรื่องการจัดทา แนวกันไฟ 2) ควรมีแนวทางการจัดการร่วมกับหน่วยงานท่ีเก่ียวข้องในปัญหาไฟที่เกิดข้ึนในพื้นที่ซ่ึงไม่มีชุมชนดูแล และลามเข้ามาในเขตทีช่ ุมชนดูแลอยู่ เชน่ ไฟที่มาจากฝ่ังอาเภอแมเ่ มาะ และอาเภอแมท่ ะ 3) มีการจัดทาข้อมูลแนวกันไฟระดับหมู่บ้าน-เครือข่าย เพ่ือวางแผนงานและทาแผนขอรับการสนับสนุน จากหนว่ ยงาน 4) สนับสนุนการสร้างคนรุ่นใหม่ เน่ืองจากแกนนาและจิตอาสาส่วนใหญ่เป็นคนวัยกลางคนและผู้สูงอายุ โจทย์สาหรับเครือข่ายทั้งสองป่าคือจะสร้างคนรุ่นใหม่เพิ่มขึ้นมาได้ด้วยรูปแบบวิธีการแบบใดนอกจากการผลักดัน ให้เข้ามาเป็นทีมจิตอาสา ซ่ึงที่บ้านผาลาด ได้เร่ิมมีแกนนาเยาวชนสนใจท่ีจะเข้ามาพัฒนาเร่ืองนี้ในชุมชน ซึ่งอาจ เปน็ ตน้ แบบการเรยี นรใู้ หแ้ กเ่ ครอื ข่ายได้ 5) จัดให้มีกองทุนชุมชนจัดการไฟป่าหมอกควันโดยชุมชน สนับสนุนในระดับเครือข่าย แยกเป็น 2 ข่าย คือ ม่อนพระยาแช่ และ ดอยพระบาท จานวนรวม 150,000 โดยเครือข่ายจะไปหารือเรื่องการบริหารจัดการ ร่วมกนั ภายในอกี ครั้งหนึ่ง 9.4 พ้นื ทล่ี มุ่ นา้ ล้ตี อนบน อาเภอทุง่ หวั ชา้ ง จงั หวัดลาพนู 9.4.1 บริบทพ้นื ท่ีลมุ่ น้าลต้ี อนบน อาเภอทุ่งหวั ช้าง จงั หวัดลาพนู กลา่ วไดว้ า่ แมน่ ้าล้ีเป็นแม่นา้ สายเดยี วท่ี มีแหล่งกาเนิดในจังหวัดลาพูนเป็นแม่น้าสายส้ันๆ ความยาวประมาณ 180 กิโลเมตรเป็นสาขาของแม่น้าปิงท่ีมีตน้ น้ากาเนิดจากดอยสบเปิม อาเภอทุ่งหัวช้าง จังหวดั ลาพูน แล้วไหลลงมาทางใตจ้ นถึงใกล้อาเภอล้ีแล้วไหลวกข้ึนไป ทางเหนือซ่ึงแม่น้าสายน้ีไดไ้ หลผ่านอาเภอลี้และอาเภอบา้ นโฮ่งจากนั้นไหลไปทางทิศตะวนั ตกเฉียงเหนือไปบรรจบ กับแม่น้าปิงที่บ้านวังสะแกง อาเภอเวียงหนองล่อง จังหวัดลาพูน ขอบเขตพื้นที่ลุ่มน้าล้ี มีประมาณ 2,079.65 ตารางกิโลเมตร คิดเปน็ พื้นที่ 1,299,781.25 ไร่ ครอบคลุมพืน้ ที่ใน 5 อาเภอ 15 ตาบล ของจังหวดั ลาพูน มีลาน้า สาขายอ่ ยทไ่ี หลมารวมกบั แม่นา้ ลี้อกี หลายสาย ไดแ้ ก่ น้าสานไหลผ่านอาเภอเมืองลาพูน น้าเย็นไหลผ่านอาเภอบ้าน โฮง่ น้าแมธ่ ิไหลผา่ นอาเภอบ้านธิ นา้ ขนาดไหลผ่านอาเภอแม่ทา นา้ แวนไหลผ่านอาเภอล้ี นา้ เมยไหลผา่ นอาเภอแม่ ทา น้าก้อไหลผ่านอาเภอลี้ น้าแม่สะป๊วดไหลผ่านอาเภอแม่ทา น้าออบไหลผ่านอาเภอบ้านโฮ่ง และน้าแม่ตุ๊ดไหล ผ่ า น อ า เ ภ อ แ ม่ ท า ร ว ม ถึ ง ล า ธ า ร เ ล็ ก ๆ อี ก จ า น ว น ม า ก ซึ่ ง เ ป็ น ท า ง น้ า ที่ มี น้ า เ ฉ พ า ะ ใ น ฤ ดู ฝ น (http://www.tourlamphun.com)

รายงานฉบบั สมบรู ณ์ 182 โครงการพฒั นารูปแบบการสร้างเครือขา่ ยเฝา้ ระวงั ไฟป่า ลดหมอกควนั แม่น้าล้ีเป็นเสมือนเส้นโลหิตของผู้คนในอาเภอทุ่งหัวช้าง อาเภอลี้ อาเภอบ้านโฮ่ง และอาเภอเวียงหนอง ล่อง ชุมชนท่ีอาศัยอยู่บริเวณที่ราบลุ่มแม่น้าลี้ ได้รับประโยชน์จากแม่น้าล้ีอย่างมากในการประกอบอาชีพ เกษตรกรรม ทานา ทาสวนหอมแดง กระเทียม ลาไย พืชไร่อื่นๆ อีกท้ังในอดีตเคยใช้ประโยชน์จากแม่น้าลี้ในดา้ น การคมนาคม โดยเฉพาะการล่องซุงจากการตัดไม้ในเขตอาเภอล้ี และบ้านโฮ่งไปสู่แม่น้าปิง นอกจากน้ีแม่น้าล้ียัง เป็นแหล่งอาหารท่ีสาคัญ ทั้งกุ้ง หอย ปู ปลา และปัจจุบันยังมีการใช้ประโยชน์จากแม่น้าลี้อย่างมากในการผลิต นา้ ประปา ในขณะเดียวกนั ชมุ ชนในลุ่มนา้ ลีไ้ ดเ้ ผชญิ ปัญหาความเสอ่ื มสภาพของแมน่ ้า ท้งั การขาดแคลนนา้ ในชว่ งฤดู แล้ง เนื่องจากการที่ลุ่มน้าล้ีไม่มีแหล่งน้าต้นทุนขนาดใหญ่หรือขนาดกลางท่ีสาคัญ ปรากฏการณ์ท่ีเกิดข้ึนได้ส่งผล ต่อการใชป้ ระโยชน์แม่น้าล้ีโดยเฉพาะการใชน้ ้าเพอ่ื การเกษตร และการอปุ โภค บริโภค รวมถึงคุณภาพน้าในแม่น้า ลี้ในช่วงฤดูฝนจะมีคุณภาพดีกว่าช่วงฤดูแล้ง โดยเฉพาะช่วงฤดูฝนจะไหลแรงและขุ่นเนื่องจากมีการขุดลอกแม่น้า และการพังทลายของตลง่ิ ส่วนในฤดแู ล้งนา้ จะไหลชา้ มากโดยเฉพาะแม่น้าล้ีตอนบน นอกจากน้ี ฝายทดนา้ บางแห่ง มีคุณภาพน้าที่เส่ือมโทรมลงเนื่องจากแม่น้าลี้ไหลผ่านเขตชุมชนหนาแน่น จากสภาพทางกายภาพและปัญหาความ เสอ่ื มสภาพของแม่นา้ ล้ี ชมุ ชนในพน้ื ทล่ี มุ่ น้าจึงนาแนวคดิ นิเวศวัฒนธรรมทีส่ ะท้อนความสัมพนั ธร์ ะหว่างมนุษย์และ ทรัพยากรธรรมชาติทั้งปัจจัยด้านกายภาพและปัจจัยด้านสังคมวัฒนธรรมและเศรษฐกิจ นามาเป็นตัวกาหนดการ พจิ ารณาแนวทางในการแก้ไขโดยมีความมุ่งหวังเพ่ือให้ตนมีชีวิตรอดและเป็นการรักษาไว้ซ่ึงความอุดมสมบูรณ์ของ ทรัพยากรและการแสดงออกซ่ึงความผูกพันทั้งในฐานะของผู้ใช้ประโยชน์และผู้รักษาไว้ให้คงอยู่(สามารถ ใจเตี้ย ,2560) พ้ืนที่ลุ่มน้าลตี้ อนบนน้นั ประกอบด้วยชุมชนคนเมืองและกลุ่มชาติพันธุ์ปกาเกอะญอ (กะเหร่ียง) ท้ังจานวน หมบู่ ้านและพลเมอื งเทา่ ๆ กนั ปัจจุบนั มีประชากรราว 6,870 คน ใน 12 หม่บู ้าน พ้ืนทปี่ า่ รอบๆ หมู่บา้ นอยใู่ นเขต ป่าสงวนแหง่ ชาติขุนแมล่ แ้ี ละเขตรกั ษาพันธุ์สตั ว์ป่าดอยผาเมือง ปัญหาทรพั ยากรปา่ ไม้ทสี่ าคัญตามลาดับ คือ นา้ ใช้ จากป่าไม่เพียงพอ ไฟไหม้ป่า การบุกรุกพ้ืนที่ป่าไม้ ไม้ใช้สอยไม่เพียงพอ และการลักลอบตัดไม้ ด้านการใช้ ประโยชนท์ รพั ยากรปา่ ไม้ เกือบท้งั หมดใชไ้ มส้ ร้างบ้านซ่ึงไดจ้ ากปา่ อาหารจากปา่ ไดแ้ ก่ เหด็ ผกั หวาน หน่อไม้ ผัก พอ่ ค้าตีเมีย กระชายป่า เป็นต้น นอกจากนี้ยังมีแมลง ได้แก่ รังผึ้ง ไข่มดแดง หนอนรถด่วน (หนอนเย่ือไผ่) และพืช สมุนไพร เช่น ฮ่อสะพายควาย มะเขื่อแจ้ เป็นตน้ สัตว์ป่าเพือ่ เป็นอาหาร ได้แก่ ไก่ปา่ นก ล่ิน แลน อเี ห็น กระต่าย ป่า กระรอก แย้ และการท่องเที่ยวเชิงนิเวศ ปัจจุบันมีเพียงแห่งเดียว คือ ป่าตองสาดท่ีบ้านห้วยห้าง กฎระเบียบ การดแู ลรักษาปา่ ไม้ คอื ห้ามตัดไม้ในป่าอนรุ ักษ์ การใช้ไมต้ อ้ งขออนญุ าตจากคณะกรรมการ หา้ มขยายเขตท่ีทากิน เขา้ ในเขตป่า เปน็ ตน้ พร้อมบทลงโทษต่างๆ ทัง้ ปรบั และสง่ เจ้าหนา้ ทร่ี ัฐลงโทษ(สมชัย เบญจชย, 2554) จะเห็นได้ว่า พ้ืนที่ลุ่มน้าล้ีตอนบนมีการบริหารจัดการทรัพยากรธรรมชาติ ดิน น้า ป่า มานานนับตั้งแต่ปี พ.ศ. 2538 ได้เกิด “เครือข่ายป่าชุมชนตาบลบ้านปวง” ซึ่งมีสมาชิกท้ังหมดรวม 6 หมู่บ้าน ได้ร่วมหารือ วางแผน และมองเป้าหมายหลักร่วมกันในการจัดการดูแลรักษาป่า กาหนดแนวเขตพื้นที่ป่า ขอบเขตป่าชุมชนที่รับผิดชอบ

รายงานฉบบั สมบรู ณ์ 183 โครงการพฒั นารูปแบบการสร้างเครือข่ายเฝา้ ระวงั ไฟป่า ลดหมอกควนั แต่ละหมู่บา้ น การตรวจปา่ เพื่อป้องกันการตัดไม้ การตรวจการขยายพน้ื ท่ีทากินในเขตป่าชุมชน และต่อมาไม่นาน ในปี พ.ศ. 2538 คณะทางานเครือข่ายได้ร่วมกันเสนอแผนการจัดการป่าทั้งในระยะสั้นและระยะยาวแก่ องค์การ บริหารส่วนตาบล เพื่อขยายผลสู่ระดับตาบล และเสริมสร้างพลังร่วมในการจัดการป่าต่อไป ต่อมาในช่วงปี พ.ศ. 2539-2540 แต่ละหมู่บ้านเร่ิมมีการขยายและพัฒนาการใช้เทคโนโลยี ตลอดจนพฒั นาวิธกี ารในการจัดการปา่ ของ ตน บางพนื้ ทม่ี กี ารพัฒนาผสมผสานองค์ความรู้ ภมู ปิ ัญญากับเคร่อื งมือสมัยใหม่ อาทิ การใชเ้ ครื่องมือ GPS ในการ กาหนดพื้นท่ีปา่ พ้นื ท่ีหมู่บ้าน พ้ืนที่ทากินโดยมีหน่วยงาน องค์กรภายนอก ทั้งหน่วยจัดการต้นน้าแม่ลี้, มูลนิธิรักษ์ ไทย, หน่วยจัดการป่าลาพูน ท่ีลงมาหนุนช่วยในการจัดทาแนวเขตป่าชุมชน ในส่วนของกระทรวง ทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมได้มีนโยบายการจัดการทรัพยากรผ่านโครงการที่ช่ือว่า “หมู่บ้านป่าไม้แผน ใหม่” ในพื้นที่ตาบลบา้ นปวงหมู่ที่ 2, 3, 9, 10, 11 โดยมีกิจกรรมท่ีทาร่วมกับชุมชน ได้แก่ การจัดทาแนวเขตพ้นื ที่ ทากินแต่ละหมู่บ้าน เป็นต้น และในช่วงปี พ.ศ. 2550 ตาบลบ้านปวงได้มีโอกาสเข้าร่วมเป็น 1 ใน 84 ตาบลวิถี พอเพียงของโครงการรกั ษป์ ่าฯ ภายใตก้ ารดูแลของบรษิ ทั บรษิ ัทปโิ ตรเลียมแหง่ ประเทศไทยจากดั (มหาชน) (ปตท.) ในโครงการนีเ้ องทาให้ชาวบา้ นไดค้ ้นพบแนวทางใหมใ่ นการจดั การปา่ ทช่ี ่วยยกระดบั คุณภาพชีวิตใหก้ ับชาวบ้านได้ อย่างแท้จริง ด้วยหลักคิดแกนนาของโครงการคือ “เศรษฐกิจพอเพียง” ในพระราชดาริของพระบาทสมเด็จพระ เจ้าอยู่หัว ที่มุ่งเน้นการพัฒนาให้ชาวบ้านสามารถพึ่งตนเองได้ ควบคู่กับการจัดการป่าอย่างยั่งยืน ที่เป็นปัจจัย สาคญั ใหช้ าวบา้ นสามารถพึ่งตนเองไดอ้ ยา่ งพอเพยี ง 9.4.2 สภาพปัญหาไฟป่าและหมอกควันในพ้ืนท่ีและพัฒนาการในการแก้ไขปัญหา2 สถานการณ์ปัญหา หมอกควันและไฟป่าในพื้นที่จังหวัดลาพูน มักเกิดขึ้นในช่วงเดือนมกราคมถึงเดือนเมษายน ของทุกปีเน่ืองจาก สภาพอากาศแห้ง อุณหภูมิสูงข้ึน ความช่ืนสัมพัทธ์ต่าทาให้มีโอกาสเส่ียงท่ีจะเกิดไฟป่าได้มากขึ้น ประกอบกับการ เผาในที่โล่งทั้งในเมืองและชนบท เป็นสาเหตุหลักท่ีก่อให้เกิดหมอกควนั ที่ส่งผลกระทบและสร้างความเสียหายต่อ ทรัพยากรธรรมชาตแิ ละส่ิงแวดลอ้ ม สขุ ภาพและเศรษฐกิจโดยรวม ปัญหาหมอกควนั ในพืน้ ทใ่ี นภาพรวมท้งั จังหวดั เมื่อปี 2560 ช่วงหกสิบวันห้ามเผาเกิด Hotspot 290 จุด มาปีนีป้ ี 2561 (20 ก.พ. – 20 เม.ย. 61)เกดิ 145 จดุ ลดลงจากปีทผ่ี ่านมา ส่วนใหญเ่ กดิ ขึน้ ในพน้ื ท่ีป่า พนื้ ทเี่ กษตร เกดิ นอ้ ย ในช่วงระหว่างเดือนมนี าคมกอ่ นช่วงห้ามเผาซึ่งเป็นการเผาโดยไม่ไดค้ วบคมุ เปน็ การจัดการเช้ือเพลิงแบบ 2 ข้อมลู สรุปบทเรียนจากเวทีแลกเปลยี่ นตาบลตะเคียนปม อ.ทงุ่ หวั ช้าง จงั หวดั ลาพนู วนั ที่ 29 มีนาคม 2561และเวที ติดตามสถานการณ์และหาแนวทางความร่วมมือพืน้ ท่ีบรู ณาการความร่วมมือในการพฒั นาเครือขา่ ยอาสาสมคั รเฝา้ ระวงั ไฟป่า ลดหมอกควนั เครือขา่ ยลมุ่ นา้ ลีต้ อนบน อาเภอทงุ่ หวั ช้าง จงั หวดั ลาพนู วนั ท่ี 10 เมษายน 2561 ณ ห้องประชมุ อาเภอทงุ่ หวั ช้าง จงั หวดั ลาพนู

รายงานฉบบั สมบรู ณ์ 184 โครงการพฒั นารูปแบบการสร้างเครือข่ายเฝา้ ระวงั ไฟป่า ลดหมอกควนั ชาวบ้านก่อนการห้ามเผา พื้นที่เกิดสูงสุดคืออาเภอล้ี อันดับสองคืออาเภอทุ่งหัวช้างซึ่งมีเขตติดต่อกันและเป็น อาเภอท่ีมีพืน้ ทปี่ ่ามากกวา่ อาเภออน่ื ๆ ในชว่ งทผี่ ่านมามีวนั ทคี่ า่ pm10 เกินค่ามาตรฐานจานวน 2 วนั สาหรับไฟป่า พื้นท่ีลุ่มน้าล้ีตอนบนโดยเฉพาะในเขตอาเภอทุ่งหัวช้างมักเกิดไฟป่าเป็นประจาทุกปี โดยเฉพาะพ้ืนที่ในเขตสูงชัน อย่างพื้นที่หมู่1 และหมู่10 ซึ่งติดแนวเขตอาเภอแม่ทาและอาเภอเสริมงาม ในปีน้ี พบว่าเกิดไฟป่าท่ีหมู่ 9 จานวน 2 คร้ัง หมู่ 8 จานวน 2 คร้ัง และหมู่ 3 จานวน 3 ครั้ง ในขณะท่ีหมู่ 4 ไม่มีไฟป่า เกิดข้ึน เน่ืองจากป่าสมบูรณ์และมีความชื้นสูง กล่าวได้ว่าการดูแลรักษาป่าให้มีความสมบูรณ์และมีความช้ืนสูงจะ ชว่ ยลดปัญหาไฟป่าได้มาก อย่างไรก็ตาม ชาวบ้านเล่าว่าในอดีตสาเหตุท่ีเกิดการเผาป่าเนอ่ื งจากเป็นวิถชี ีวติ ของคน อยกู่ ับปา่ ซ่ึงต้องเข้าไปทามาหากนิ ในพ้ืนที่ สมัยกอ่ นการจุดไฟเพื่อใหส้ ตั วท์ ีอ่ ย่ใู ต้ใบไม้ลงไปในห้วยสามารถหาได้งา่ ย แต่หากไมเ่ ผาช่วงฤดเู ห็ดออกมากจ็ ะไม่ค่อยออก ชาวบา้ นจงึ มองวา่ การใชไ้ ฟเปน็ วิถีในการจัดการป่ารูปแบบหนง่ึ ในขณะเดยี วกัน หากเป็นพ้ืนที่เกษตรในพื้นทีร่ าบชาวบา้ นใช้วธิ ีการไถกลบ แต่บางพนื้ ที่ใชว้ ิธกี ารชิงเผาแต่ ไม่ไหม้ ในช่วง 60 วัน ห้ามเผา ระหว่างวันที่ 20 กุมภาพันธ์ – 20 เมษายน น้ัน จะมีการห้ามเผาในพ้ืนท่ี การเกษตรซ่ึงทผ่ี า่ นมาชาวบ้านในพ้ืนทถี่ ูกจับสองรายปรับสองพันบาท เนื่องจากเผาในพนื้ ที่เกษตรของตนเอง และ บางหมู่บ้านมีการชิงเผาในพื้นที่ป่าก่อนในวันห้ามเผาแต่พบว่าไม่ไหม้ สาหรับชาวบ้านแล้วการเผาป่าเป็นการเผา เพอ่ื เก็บเกยี่ วผลผลติ ออกมาจากปา่ สาหรับคนเลีย้ งวัวจะเผาเพื่อใหห้ ญ้าอ่อนออกมาใหมส่ าหรบั เลย้ี งสตั ว์ ชว่ งเวลา ในการเผาคือช่วงเดือนมีนาคม – เมษายนของปี กรณีการดับไฟจะดับในช่วงกลางวันเพราะกลางคืนจะเข้าไปดับ ยาก หากเกดิ ไฟข้ึนตอ้ งปลอ่ ยไปทงั้ นี้เช่ือกันวา่ หากปล่อยไฟ ไหมใ้ นพน้ื ทช่ี ่วงสามถงึ สป่ี ีจะเกดิ ความเสียหายมาก ดังนั้น ด้วยสภาพพ้ืนท่ีส่วนใหญ่ท่ีเป็นป่าเต็งรังและป่าในเขตขุนห้วย โดยเฉพาะพ้ืนที่ขุนน้าท่ีมีสภาพป่า เป็นป่าชื้น ป่าน้าจา และอีกส่วนหน่ึงชาวบ้านร่วมกันเลี้ยงผีขุนน้าทาให้เกิดความเช่ือในการจัดการป่าในพ้ืนที่ ผนวกกับชุมชนมกี ารจดั การไฟทีเ่ หมาะสม ทาให้สถานการณ์ในปนี ้ีโดยรวมดขี ้ึน แม้ว่าในแต่ละหมู่บ้านจะมรี ูปแบบ การจัดการแตกตา่ งกัน บางหมู่บ้านไม่แนะนาให้เผาเพราะเกรงว่าจะอันตรายตอ่ ผู้เฒ่า ผู้แก่ รวมทั้งนายอาเภอเฝ้า ระวังและกาหนดตวั ช้ีวัดหา้ มเผาปนี ใ้ี หไ้ ด้รอ้ ยละ 50 ในการจัดการปัญหาไฟป่าและหมอกควันนั้น ชาวบ้านมองว่าเน่ืองจากลุ่มน้าลี้ตอนบนมีระบบเหมืองฝาย หล่อเล้ียงพ้ืนที่เกษตรและสามารถมีหญ้าเพียงพอต่อการเลี้ยงสัตว์ในท่ีนา ย้อนกลับไปในปี 2554 ทั้งปีไม่เกิดไฟ ไหมเ้ ลย แต่ยังมเี ห็ดข้ึนมากรวมทั้งน้าผึง้ ซงึ่ มเี กสรอยจู่ านวนมากเช่นกัน ส่วนเห็ดในดนิ เช่น เหด็ ถอบจะหายากหาก ไม่เกดิ ไฟ พัฒนาการในการแก้ไขปัญหาของเครือขา่ ยจัดการไฟป่าและหมอกควันลุ่มนา้ ลี้ตอนบน ในพื้นที่อาเภอทุ่ง หัวช้าง จังหวัดลาพูน นับว่ามีข้ึนจากการขยายเครือข่ายการจัดการไฟป่าและหมอกควันจากพื้นท่ีดอยอินทนนท์ จนก่อเกิดเปน็ เครอื ข่ายขึน้ มาในจังหวดั ลาพนู เครือข่ายจัดการไฟปา่ และหมอกควนั ล่มุ น้าลตี้ อนบน เชื่อมโยงกันใน 3 ตาบล ได้แก่ ต.ตะเคียนปม 12 หมู่บ้าน ต.ทุ่งหัวช้าง 12 หมู่บ้าน และ ต.บ้านปวง 11 หมู่บ้าน อ. ทุ่งหัวชา้ ง จงั หวดั ลาพูน

รายงานฉบบั สมบรู ณ์ 185 โครงการพฒั นารูปแบบการสร้างเครือขา่ ยเฝา้ ระวงั ไฟป่า ลดหมอกควนั ชาวบ้านเล่าว่า แตเ่ ดิมมีคณะกรรมการป่า ท่ีเรียกวา่ “ป่าบ้านเฮา” เป็นคณะกรรมการป่าชุมชนซึง่ มใี นทกุ หมู่บ้าน ตั้งแต่ปี พ.ศ. 2554 คณะกรรมการมีหน้าท่ีในการดูแลปา่ จัดการไฟป่า บริหารจัดการทรัพยากรในชุมชน มีระเบียบกติกา ข้อตกลงร่วมกัน เช่น กรณีการใช้ไม้สร้างบ้าน มีบ้านไม้ขายแล้วจะมาตัดอีกไม่ได้ เป็นต้น ส่วน จุดเริ่มต้นของการรวมตัวกันของชาวบ้านก่อนท่ีจะมาเปน็ ภาพระดับตาบล เกิดขึ้นเมื่อปี พ.ศ. 2536 มีการรวมตัว กันของชาวบ้านในเขตรักษาพันธ์ุสัตว์ป่าฯกรณีการประกาศทับซ้อนเขตป่าใน 6 หมู่บ้าน ได้แก่ ม. 1, 10, 9, 4, 5 ,6, จากน้ันมีการขยายแนวคิดไปสู่หมู่บ้านอ่ืนๆในพ้ืนท่ีใกล้เคียง และมีหน่วยงานภายนอกเข้ามาฟื้นฟูจัดการ พนื้ ที่ ไม่วา่ จะเปน็ โครงการพฒั นาลุ่มน้าล้ี และองค์การแคร์ แตใ่ นปจั จุบันมีคณะกรรมการหมู่บา้ นดแู ลคน ดิน น้า ป่า อยู่แม้จะไม่ต่อเน่ืองเพราะบางหมู่บ้านก็ไม่ได้ดาเนินการต่อหยุดกิจกรรมไปพร้อมกับองค์กรท่ีเข้ามาร่วม สนับสนนุ 5.4.3 กลไกการแก้ไขปัญหาไฟป่าและหมอกควัน ในพ้ืนท่ีลุ่มน้าลี้ตอนบน มีกลไกของคณะกรรมการป่า ชมุ ชนท่มี ใี นทกุ หม่บู ้านเปน็ กลไกในการแก้ไขปญั หาไฟป่าและหมอกควัน แม้วา่ บทบาทและหนา้ ท่ใี นภาระตามหน้า งานจะไมไ่ ด้เกดิ ข้ึนทุกวันหรอื ต่อเนอื่ งทกุ เดือนขึ้นอยู่กบั สถานการณใ์ นพื้นที่ กฎระเบียบยงั คงยดึ ตามระเบยี บกตกิ า ตงั้ แต่สมยั คนเฒ่าคนแก่ท่ผี ่านมา กล่าวคือ ในรอบปีหน่ึงๆภารกิจและหน้าที่ดูแลพ้ืนท่ีป่า คือ ทาแนวกันไฟปีละสองครั้ง บางหมู่บ้านมีการบวชป่า ตัวอย่างเช่น ในหมู่ 11 จะทางานร่วมกับหมู่ 7 และ หมู่ 12 มีพ้ืนท่ีปา่ ที่ดแู ลประมาณ 500 กวา่ ไร่ มีการเล้ียงผีขนุ นา้ 3 ลาห้วย ทไ่ี หลมาจากบรเิ วณเขตรกั ษาพนั ธุส์ ัตว์ปา่ ฯ สง่ ผลทาใหป้ ี2559 เปน็ ตน้ มาไมเ่ กิดไฟไหม้ นอกจากนยี้ ัง มีกิจกรรมร่วมของอาเภอทั้ง 3 ตาบล มีกิจกรรมสืบชะต๋าห้วยน้าล้ีบริเวณที่เรียกว่า สบน้า (แม่น้าสองสายคือ ลา ห้วยแม่หาง – ลุ่มน้าล้ีไหลมาบรรจบกัน) เป็นกิจกรรมที่ทาร่วมกับองค์กรปกครองส่วนท้องถ่ินทุกปี และกิจกรรม แห่ช้างเผือกที่ทากันมาเป็นกิจกรรมประจาปี ตั้งแต่อาเภอล้ี อาเภอทุ่งหัวช้าง อาเภอเวียงหนองล่อง และอาเภอ บา้ นโฮ้ง ส่วนในปีนจ้ี ะดาเนินการในพ้นื ท่อี าเภอทุ่งหวั ช้างเทา่ นัน้ 5.4.4 บทเรียนจากการดาเนินงานแก้ไขปัญหาไฟป่าและหมอกควัน ในพ้ืนท่ีลุ่มน้าล้ีตอนบน พบว่า ใน ระดับชุมชน เรื่องหมอกควันในอดตี ท่ีผา่ นมาชุมชนไม่มีกฎระเบียบเร่ืองการเผาป่า เผาไร่ แตม่ าภายหลังมกี ฎกติกา ของชุมชนแต่ละชุมชนท่ีชัดเจน มีคณะกรรมการชุมชนดูแล แม้ว่าการเผาจะเป็นวิถีชีวิตท่ีต้องมีเพื่อให้เกิดการ เพาะปลูกไดต้ ามฤดูกาล แตจ่ ากนโยบายของรัฐใหง้ ดเผา 60 วัน มีผลใหช้ าวบ้านส่วนหน่ึงใช้การชิงเผาก่อนวนั หา้ ม เผาดว้ ยการทาแนวกันไฟและไล่เผาไมใ่ ห้ลามไปในพื้นท่ที ากนิ ส่วนหนึ่ง ตง้ั แตเ่ ดอื นธันวาคมจนถงึ มกราคมของทุกปี มีการทาแนวกันไฟในหมู่บ้าน ต้องชิงเผาเช้ือเพลิงในพ้ืนท่ีด้วย ในส่วนของชาวบ้านรู้สึกขัดกับนโยบายห้ามเผา เพราะเศษใบไม้ท่ีหล่นมาถ้าชาวบ้านไม่จัดการก็อาจก่อให้เกิดอันตรายกับชาวบ้านได้ แต่ชาวบ้านก็แก้ไขด้วยการ เผาภายในพน้ื ทีข่ องตนและฉดี นา้ คุมไฟไปดว้ ย

รายงานฉบบั สมบรู ณ์ 186 โครงการพฒั นารูปแบบการสร้างเครือข่ายเฝา้ ระวงั ไฟป่า ลดหมอกควนั ผู้ใหญ่บ้านหมู่ 6 บ้านแม่แสม เล่าว่าท่ีบ้านแม่แสมมีทุนทรัพยากรดี มีพื้นท่ีป่ามาก ปัจจุบันยังไม่มีการจุด ไฟเผาป่าไม่มีไฟไหม้เกิดแม้แต่จุดเดียว เพราะชุมชนเราเน้นเร่ืองดูแลป่าเป็นพิเศษและได้รับความร่วมมือจาก ชาวบ้านดมี าก ใชเ้ พียงการประชาสัมพนั ธไ์ ม่ต้องเผาไม่ตอ้ งบังคับใชก้ ฎหมายกับชาวบา้ น ชาวบ้านให้ความร่วมมือ ใช้การไถแทนการเผาไร่ อีกทั้งเรื่องตน้ ทุนน้ามีฝายอยู่ถึง 18-19 แห่ง น้าไม่แห้ง อย่างไรก็ตาม เรื่องการทาแนวกัน ไฟจะต้องทาถึงสองช่วงและมีใบไมห้ ลน่ ตลอด ดา้ นความสัมพันธ์กบั องค์กรตา่ งๆ ชาวบ้านมีกิจกรรมทาแนวกันไฟรว่ มกับหน่วยงาน เช่น เขตรักษาพันธ์ุฯ แตไ่ มม่ ีงบประมาณมาสนับสนุน และมบี างหนว่ ยงานเชน่ หนว่ ยป้องกันรกั ษาปา่ ไม้ ท่ี ลพ. 8 ไม่เคยมาร่วมกจิ กรรม กับชาวบา้ นในบางหมู่บ้าน แตบ่ างหมู่บ้านก็มาร่วมกิจกรรมในการลาดตะเวนในพน้ื ที่ท่มี ีการบุกรุกปา่ โดยเฉพาะใน พนื้ ท่ปี า่ อนรุ ักษ์ และการเข้าร่วมจัดทาฝายแม้วซึง่ ส่วนใหญ่มาเขา้ ร่วมเปน็ แรง ในส่วนของการสนับสนุนกิจกรรมเครือข่ายฯ จากหน่วยงานต่างๆนั้น เครือข่ายฯ ได้รับงบประมาณ สนบั สนนุ จานวน 1500 บาทต่อหมบู่ า้ นจากองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น ส่วนงบของทสจ. จังหวดั ซง่ึ ลงมาประมาณ 5 แสนกวา่ บาทนน้ั ยังไม่ไดน้ ามาใชป้ ระโยชน์ในการดาเนนิ การ ชาวบ้านเหน็ ว่างบประมาณมาแตไ่ ม่ถึงชาวบ้านและ ไม่สอดคล้องกับระยะเวลา แม้ว่าทางอาเภอได้มีการชี้แจงการใช้งบประมาณแล้วแต่ชาวบ้านยังไม่รู้ที่มาท่ีไปของ งบประมาณดังกล่าว ในเขตป่าสงวนฯสนบั สนุนหมู่บา้ นละ 2,000 บาท (หน่วยส่งเสริมการควบคุมไฟป่า) นามาใช้ เป็นค่าอาหารในกิจกรรมดับไฟป่า กล่าวได้ว่าด้านการสนับสนุนงบประมาณเพื่อเป็นกองทุนให้กับชาวบ้าน บาง หน่วยงานมีงบประมาณแต่ยงั ไม่ไดด้ าเนินการแตอ่ ย่างใด ในขณะที่ คณะกรรมการเครือข่ายฯ มองว่างบประมาณควรสนับสนุนเป็นรายตาบล เพ่ือนาไปใช้เป็น กองทุนในการจัดการพื้นท่ีป่า เพื่อเป็นขวัญและกาลังใจให้กับชาวบ้าน ที่ผ่านมาหลายหน่วยงานมักมองภาพ ชาวบ้านเป็นเพียงผู้ช่วยงาน ความร่วมมือที่ผ่านมาเป็นเร่ืองของการขอความร่วมมือจากชาวบ้าน และให้ชาวบ้าน ไมกีพ่ นั บาทแทนท่ีจะบูรณาการแผนงานร่วมกัน หากมีงบประมาณมาสนบั สนุนจะทาใหช้ าวบ้านมขี วัญและกาลงั ใจ ร่วมดูแลเป็นหูเป็นตาทรัพยากรป่า ซึ่งบางคร้ังชาวบ้านถูกมองว่าทาลายป่า แม้ชาวบ้านจะบอกว่าพวกเขาจัดการ ดูแลรักษาป่ามานานก็ตาม ดังนั้น ในการแก้ไขปัญหาไฟป่าและหมอกควัน ในพื้นท่ีลุ่มน้าลี้ตอนบน ซึ่งเป็นการ ทางานรว่ มกนั กับกรมส่งเสริมฯ ท่ีขยายมาจากพ้ืนทีด่ อยอินทนนท์ – สุเทพ จะทาอยา่ งไรให้เกดิ เป็นเครือข่ายความ ร่วมมือระหว่างชาวบ้านกับหน่วยงาน โดยเร่ิมจาก 12 หมู่บ้าน สนับสนุนให้เกิดความร่วมมือหรือทาให้เกิดการ พูดคุยกัน มีแผนในการบริหารจัดการเพื่อเสนอต่อ องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น กรมป่าไม้ เสนอเป็นยุทธศาสตร์ จังหวัด โดยเฉพาะแผนงานสาคัญคือการเฝ้าระวังในพน้ื ที่รอยต่อทุ่งหัวชา้ ง - ตะเคียนปม ในระดับหมู่บา้ นเพ่ือการ จัดการทส่ี อดคล้องกับความเปน็ จริง เช่น ทาแนวกนั ไฟ ทาฝาย และเฝ้าระวงั ไฟปา่ กล่าวโดยสรุป บทเรียนจากการดาเนินงานแก้ไขปัญหาไฟป่าและหมอกควัน ในพื้นท่ีลุ่มน้าลี้ตอนบน คือ การสร้างรูปแบบเครือข่าย ซึ่งเป็นการสร้างเพ่ือให้ชุมชนเข้มแข็งและจัดการตัวเองได้ การเช่ือมร้อยเครือข่ายกับ การบูรณาการความร่วมมือคือการเชื่อมร้อยลุ่มน้าล้ีตอนบนซึ่งตอนน้ีนับได้ว่าจัดการได้ค่อนข้างดี รวมถึงการหา