4 บรหิ ารจัดการเชงิ ธรรมาภบิ าล โดยมีการใชเ ครอื่ งมือทางการบริหารจัดการตางๆ มาบูรณาการให การปฏิบัติงานในองคกรเกิดผลสัมฤทธิ์สูงสุดและเปนไปตามนโยบายของสถานศึกษา กลาวไดวา การใหความสําคัญในการพัฒนาทรัพยากรบุคคลควบคูกับการพัฒนาคุณภาพของงานและองคกร เพื่อใหเปน “องคกรใหแหงการเรียนรู” จึงเปนกระบวนการที่สําคัญ ท้ังนี้ยังสอดคลองกับ ยุทธศาสตร นโยบายในการบริหารงานและแนวทางการจัดการเรียนรูของสถาบันบัณฑิตพัฒนศิลป ในป พ.ศ. 2558 – 2562 อีกดวย การรวบรวมองคค์ วามรู้ เรื่อง การสอนวิชาชีพเคร่ืองสายไทยใน ศตวรรษท่ี 21 เป็ นการศึ กษาเพื่อ จัดการความรูในองคกร (Knowledge Management ) ซงึ่ เปนเครอื่ งมือหนึ่งที่ใชจัดการกระบวนการเรียนรูท่ีเกิดขึ้นจากการปฏิบัติงาน เพื่อใหไดมาซึ่งขอมูลและนํามาประมวลผลเปนสารสนเทศท่ีเปนความรู เพ่ือพัฒนาองคความรู เปนแหลงขมุ ทรัพยทางปญญา และนําความรูไปใชใหเกิดประโยชนสูงสุดตอองคกร ตลอดจนการ เผยแพรความรู อันจะนํามาซ่ึงข้อมูลในการวางแผนและปฏิบัติ วชิ าการวชิ าชพี ในสาขาท่ีปฏบิ ัตกิ ารสอนให้คงอยสู่ ืบไป วธิ ดี าํ เนนิ งาน การจดั การความรดู านการเรียนการสอน เรอื่ ง การสอนวชิ าชีพเคร่อื งสายไทยในศตวรรษ ที่ 21 ในสายการสอนระดับการศึกษาขั้นพื้นฐานมีวัตถุประสงค คือ (1 )เพ่ือรวบรวมองคความรู เกยี่ วกบั แนวทางการปฏิบัตแิ ละกิจกรรมการสอนวชิ าชีพเครื่องสายไทย และ (2) เพื่อเผยแพรองค ความรูจากการแลกเปล่ียนเรียนรูเก่ียวกับแนวทางการปฏิบัติและกิจกรรมการสอนวิชาชีพ เครื่องสายไทย มีวิธีการเก็บรวบรวมขอมูลโดยการสัมภาษณแบบสนทนากลุม สัมภาษณแบบ เจาะลึก และการแลกเปลี่ยนเรียนรู เพ่ือคนหาแนวทางในการปฏิบัติและกิจกรรมการเรียนการ สอน จากครผู สู อนกลุมสาระการเรยี นรวู ชิ าชีพเคร่ืองสายไทย ภาควิชาดุริยางคไทย วิทยาลัยนาฏ ศิลป จํานวน 11 คน นําขอมูลมาแลกเปลี่ยนเรียนรู สรุปวิเคราะหเน้ือหา และนําเสนอผลการ จดั การเรียนรู โดยผา นกระบวนการดําเนนิ การจดั การความรู 7 ขน้ั ตอน มีรายละเอยี ดดงั น้ี 1. การบง ช้ี หรือคน หาความรู แตงตั้งคณะกรรมการการจัดการความรู ดานการเรียนการสอน เพื่อหาประเด็นความรู จากบุคลากรกลุมสาระการเรียนรูวิชาชีพเครื่องสายไทย วิทยาลัยนาฏศิลป ในสายการสอนระดับ การศึกษาข้ันพื้นฐานดําเนินการประชุมระดมความคิดเพื่อกําหนดหัวขอการจัดการความรู (Knowledge Mapping) คนหาองคความรูเก่ียวกับ “การสอนวิชาชีพเคร่ืองสายไทยในศตวรรษ ที่ 21” โดยมีจาํ นวนทั้งหมด 11 คน
5 คณะกรรมการการจัดการความรู ดานการเรียนการสอน ไดระดมความคิดเพื่อหา ประเด็นหัวขอ หลกั ทีจ่ ะดาํ เนนิ การจดั การความรู โดยไดประเด็นความรูท ี่ตอ งการศึกษา ดงั น้ี 1.1 แนวทางในการสอนวิชาชีพเครื่องสายไทยในศตวรรษที่ 21ซ่ึงในการจัดการ องคความรูทัง้ 2 ประเด็นน้ี จะมแี นวคาํ ถามยอยเพ่อื การรวบรวมองคความรู เชน - แนวคดิ ในสอนวิชาชพี เครื่องสายไทยในศตวรรษท่ี ๒๑ ทานมีแนวคดิ อยางไร (ปญหาทเี่ กดิ ข้นึ ใน การเรียนการสอนเพือ่ การแกปญ หา สอ่ื นวตั กรรม การทําวิจยั เพื่อแกป ญ หา) - การวางแผนในการสอนวิชาชีพเครอื่ งสายไทยในศตวรรษที่ 21 (สอ่ื นวัตกรรม และโครงงาน) และวางแผนและลาํ ดับขั้นตอนในการสอนอยา งไรบาง 1.2 กระบวนการเรียนการสอนวิชาชีพเครื่องสายไทยในศตวรรษที่ 21 - แนวทางในการปฏบิ ตั ิ - กจิ กรรมการเรยี นการสอน 2 การสรางและแสวงหาความรู คณะกรรมการการจัดการความรู ดานวิจัย มีการระดมความคิดและแลกเปล่ียนเรียนรู ระหวางกัน รวมทั้งกําหนดหนาท่ีในการดําเนินงานสรางและแสวงหาความรู ในหัวขอเกี่ยวกับ “แนวทางการเขียนงานวิจัยเพ่ือการทําผลงานทางวิชาการดานดุริยางคไทย วิทยาลัยนาฏศิลป” กําหนดกิจกรรมการสัมภาษณแบบสนทนากลุม ระดมความคิด และการแบงปนความรูจาก คณะกรรมการจัดการความรูกลุมใหญ 2 คร้ัง ครั้งละประมาณ 60 นาที และทําการสัมภาษณ แบบเจาะลกึ เปน รายคน คนละ 2 – 3 ครง้ั ท้งั นี้ประธานจะเปนผดู ําเนินการ โดยมีเลขานุการเปน ผูจดบันทกึ คณะกรรมการการจัดการความรู ดานวิจัยรวมกันหาขอสรุปเก่ียวกับแนวทางและ กระบวนการเรียนการสอนวิชาชีพเคร่ืองสายไทยในศตวรรษที่ 21 โดยเลขานุการ คณะกรรมการ จัดการความรูนําขอมูลแตละคร้ัง นําเสนอในการประชุมเพื่อใหบุคลากรสามารถแลกเปลี่ยน เรยี นรู ท้ังนอ้ี าจจะมขี อเสนอแนะ หรือความรใู หมจ ากการประชมุ เพม่ิ เตมิ 3 การจัดการความรูใหเปน ระบบ ในการจัดการความรูใหเปน ระบบ คณะกรรมการการจัดการความรู ดา นวิจัย ไดนําขอมูล ท่ีไดจากการสรางและการแสวงหาความรูมาจัดระบบขอมูล ตรวจสอบขอมูลใหมีความสมบูรณ เรียบเรียง และสรุปเปนองคความรูเก่ียวกับ “การสอนวิชาชีพเครื่องสายไทยในศตวรรษที่ 21” เพอื่ ใหสามารถคน หาและนาํ ความรไู ปใชป ระโยชนไ ด
6 4 การประมวลและกลั่นกรองความรู ในการประมวลและกลั่นกรองความรู คณะกรรมการการจัดการความรู ดานการเรียน การสอน ไดดําเนินการวิพากษและแลกเปล่ียนความรูของคณะกรรมการฯ เพื่อดําเนินการจัดทํา เอกสารสรุปองคความรู ตรวจสอบความถูกตองของเน้ือหา แกไขขอบกพรอง ปรับภาษาเพ่ือให อานแลวเขาใจงาย จัดทํารูปเลมใหเปนมาตรฐาน โดยใหเนื้อหาใหมีคุณภาพสอดคลองกับความ ตอ งการของครู อาจารย 5 การแบง ปน แลกเปลยี่ นความรู จัดทําหนังสือเวียนเพื่อนําเสนอองคความรูเกี่ยวกับ “การสอนวิชาชีพเครื่องสายไทย ในตวรรษที่ 21” จัดเวทีแลกเปลี่ยนเรียนรูตามภาควิชาตางๆ เพื่อใหครูอาจารย ไดนําไปใช ประโยชนนอกจากนี้นําองคความรูเผยแพร ใน Blog KM ของวิทยาลัย และจัดนิทรรศการใน สัปดาหว ชิ าการของวิทยาลยั นาฏศลิ ป 6 การเขาถึงความรู คณะกรรมการการจัดการความรู ดานวิจัย ไดนําเอกสารการจัดการความรูที่ไดจาก การแลกเปลยี่ นเรยี นรู เรอื่ ง “การสอนวิชาชีพเครื่องสายไทยในศตวรรษที่ 21” จัดทําองคความรู ในรูปแบบของเอกสาร โดยมีกระบวนการในการเผยแพรองคความรูไปสูครูและบุคลากรทางการ ศึกษาในภาควิชาตางๆ ในวิทยาลัยนาฏศิลป หลากหลายชองทาง เชน การประชุมสัมมนา การ เผยแพรในระบบเอกสารทางราชการผานบันทึกราชการ การเผยแพรผานเว็บไซด บอรด ประชาสัมพันธ และชองทางอื่นๆ ของวิทยาลัยนาฏศิลป เพ่ืองายตอการสืบคน ศึกษาคนควา และการใหข อเสนอแนะตางๆ 7 การเรยี นรู หลังจากการดําเนินการเผยแพรองคความรู เร่ือง “การสอนวิชาชีพเครื่องสายไทยใน ศตวรรษท่ี 21” ไดแกครูและบุคลากรทางการศึกษาในภาควิชาตางๆ ในวิทยาลัยนาฏศิลป และ ผูสนใจผานชองทางตางๆ พบวา มีผูท่ีสนใจนําความรูที่ไดจากการจัดการความรูไปใชเปนใชเปน แนวทางในการปฏิบัติการสอน และแนวทางเปนในการจัดกิจกรรมการเรียนการสอน นอกจากน้ี คณะกรรมการการจัดการความรู ดานการเรียนการสอนไดนําผลจากการนําองคความรูไปใช มา แกไข ปรับปรุงองคความรูเดิมตามขอเสนอแนะตางๆ เพื่อใหมีความชัดเจน และมีความสมบูรณ ขององคค วามรู และจดั ทาํ บัญชผี นู ําองคความรูไ ปใชแ ลวประสบผลสําเรจ็ ตอไป สรุปผลการดําเนนิ งาน
7 การจัดการความรู ดานการเรียนการสอน เร่ือง “การสอนวิชาชีพเคร่ืองสายไทยใน ศตวรรษที่ 21” ในสายการสอนระดบั การศกึ ษาข้ันพน้ื ฐาน เปนการต้ังเปาหมายการจัดการความรู เพื่อพัฒนาวิทยาลัยนาฏศิลปใหเปนองคกรแหงการเรียนรู ท่ีเร่ิมตนจากการพัฒนางานพัฒนาคน เพอื่ มงุ สูอ งคกรกรการเรยี นรู โดยเฉพาะอยา งย่ิงในการพฒั นาครูและบุคลากรทางการศึกษาที่เปน กําลังในการพัฒนาวิทยาลัยนาฏศิลป การสอนวิชาชีพเครื่องสายไทยในศตวรรษท่ี 21 เปน กระบวนการสรางแนวคิดของการเรียนรูสมัยใหม ท่ีผูเรียนมีอิสระในการรับรู และสรางศักยภาพ ใหผูเรียนรูจักหาความรูดวยตนเอง และช้ีนําการเรียนรูในลักษณะของการเปนผูแนะนําให คาํ ปรึกษา และพฒั นาวธิ ีในการสอนใหเพมิ่ มากพรอมท้ังการมีปฏิสัมพันธท่ีดีกับผูเรียน สรุปผลได ดงั น้ี 1. แนวทางในการปฏิบัติ ผูสอนกําหนดวัตถุประสงคท่ีตอบสนองตามความถนัดของ ผูเรียน เพ่ือกําหนดข้ันตอนการสอน การประเมินผล การใชสื่อ ใหเหมาะสมกับผูเรียน เพ่ือนํา ทักษะวิชาชีพไปใชในการดํารงชีวิต การออกแบบแผนการเรียนรูแบบบูรณาการ การเรียนรูท่ีจะ อยูรวมกัน การทํางานในแบบกลุม ตองมีวิธีการสอนที่มีความยึดหยุน ใจกวางสามารถรับฟง แลกเปลีย่ นแนวความคดิ กบั ผูเรยี น มกี ารปรับตัวใหเปนธรรมชาติเขากับผูเรียนสามารถเปล่ียนไป ไดตามสถานการณปจจุบัน เนนถึงความเปนจริง ทันตอระบบเทคโนโลยี มีความรูเพียงพอที่จะ ถา ยทอดใหผ ูเรียนไดน ําไปใชต อยอดในการสรา งสรรค ลดการสอนและเนนการเรียนรูใหมาก โดย ฝก ปฏบิ ัตจิ ากเหตุการณจรงิ โดยผสู อนตอ งทาํ หนา ทีเ่ ปนโคช คอยใหคาํ ปรึกษา ชี้แนะชองทางหรือ เครื่องมือในการเสาะแสวงหาความรู กระตุนใหผูเรียนเกิดคําถามหรือปญหาท่ีเกิดข้ึนจากตนเอง เพื่อสรางกระบวนการคิดควบคูกับทักษะปฏิบัติ นําไปสูแรงบันดาลใจในการเรียนรู การสืบคน เพ่ือพัฒนาและประยุกตใช โดยการสรางนวัตกรรมการสอน จัดกิจกรรมโครงการเก่ียวกับทักษะ วิชาชพี เพอ่ื ฝก ทกั ษะการคิดและการปฏบิ ัติ มงุ เนนการทาํ โครงงาน สรา งงานวจิ ัยในชนั้ เรยี น 2. กจิ กรรมการเรียนการสอน ในการกําหนดกิจกรรมการเรียนการสอนผูสอนควรคํานึงถึง หลกั สําคัญ ดังน้ี ข้ันนํา 1) แจง วตั ถุประสงคใหผ เู รียนไดรับทราบ 2)กระตุนความสนใจโดยยกเหตุ สถานการณจริงหรือสถานการณใกลเคียง ขั้นสอน 1) สรางกรอบแนวคิด หลักการหรือแนวทาง ที่เก่ียวของกับทักษะการปฏิบัติ 2) ใชสื่อตางๆ สอดแทรกความรูในระหวาง เชน นวัตกรรม สื่อ มัลติมีเดีย ส่ือโซเซียล 3) แบงกลุมทํางานเปนทีม (จัดทําโครงงาน กิจกรรมโครงการ) ผูสอนให คําปรึกษา 4) ฝกการปฏิบัติ และแกไขดวยตนเอง จากความรูท่ีไดรับและการคนควาจากแหลง อ่ืนๆ เพ่ิมเติม ขั้นสรุป 1) นําเสนอผลงาน จากการคนควาหรือการทํางาน ในการจัดทําโครงงาน
8 กจิ กรรม หรือในบทเรียน 2) ประเมินผลครบคลมุ ดานความรู ดานทักษะ และดานคุณลักษณะอัน พึงประสงค บรรณานกุ รม วิจารณ พานิช. 2555. วิถีสรางการเรียนรูเพื่อศิษยในศตวรรษที่ 21. กรุงเทพฯ: มูลนิธิสดศรี- สฤษดิ์วงศ. วิจารณ พานิช. 2556. การสรา งการเรยี นรสู ศู ตวรรษที่ 21. กรงุ เทพฯ: มูลนธิ ิสยามกัมมาจล. อดุลย วังศรีคูณ. 2557. “การศึกษาไทยในศตวรรษท่ี 21 : ผลผลิตและแนวทางการพัฒนา”. วารสารมนุษยศาสตรและสังคมศาสตร บัณฑิตวิทยาลัย มหาวิทยาลัยราชภัฏพิบูล สงคราม. 8, 1: 1-16. นวพร ชลารักษ. 2558. “บทบาทของครูกับการเรียนการสอนในศตวรรษที่ 21”. วารสารวชิ าการมหาวิทยาลยั ฟารอสิ เทอรน . 9, 1: 64-71. พิมพพันธ เดชุคุปต และพเยาว ยินดีสุข. 2557. การจัดการเรียนรูในศตวรรษท่ี 21. กรุงเทพฯ: โรงพมิ พแหงจุฬาลงกรณมหาวิทยาลัย. จินตนา สุจจานันท. 2556. การศึกษาและการพัฒนาชุมชนในศตวรรษท่ี 21. กรุงเทพฯ: โอเดียนสโตร. วิโรจน สารรัตนะ. 2556. กระบวนทัศนใหมทางการศึกษากรณีทัศนะตอการศึกษาศตวรรษ ท่ี 21. กรงุ เทพฯ: ทิพยวิสทุ ธิ์. มารติน, เจมส. 2553. โลกแหงศตวรรษที่21. แปลจาก The Meaning of the 21rt Century โดยภาพร. กรงุ เพทฯ: ประพันธส าสน . สพุ รทิพย ธนภัทรโชติวัตร. 2557. “การพัฒนารปู แบบการจดั ประสบการณว ิชาชีพครูเพ่ือสงเสริม คุณลักษณะครูในศตวรรษท่ี 21.” วิทยานิพนธปริญญามหาบัณฑิต ภาควิชา เศรษฐศาสตรบัณฑติ วทิ ยาลยั มหาวทิ ยาลยั เกษตรศาสตร. ไพพรรณ เกียรติโชติชัย. 2545. กระบวนทัศนใหมแหงการศึกษาในศตวรรษที่ 21. กรุงเทพฯ: การศึกษา.
1 รปู แบบการนําเสนอแนวปฏบิ ัติทดี่ ี โครงการประชมุ สัมมนาเครือขายการจดั การความรู ครัง้ ท่ี 12 “การจดั การความรูส ูม หาวทิ ยาลยั นวตั กรรม” (Knowledge Management : Innovative University) บทความ ช่ือเร่อื ง การผลติ โพนเพอ่ื ธุรกิจชุมชน ช่ือ-นามสกุล นายกติ ติชยั รตั นพนั ธ หนว ยงาน วิทยาลัยนาฏศลิ ปพทั ลุง สถาบนั บณั ฑิตพัฒนศลิ ป กระทรวงวัฒนธรรม การจดั การความรดู า น ทํานบุ ํารุงศลิ ปวัฒนธรรมภมู ิปญ ญาทองถ่นิ เบอรโ ทรศพั ทมือถือ 089-8788002 e-Mail address Shokun_r@hotmail.com บทสรปุ ผูบ รหิ าร (Executive Summary) การจัดการความรูที่ตอบสนองยุทธศาสตรของสถาบันบัณฑิตพัฒนศิลป เพื่อมุงสูงานสรางสรรคและนวัตกรรม ผลการดําเนินกิจกรรมพบวา สถาบันบัณฑิตพัฒนศิลป มีคลังความรู ประกอบดวย 4 ดานหลัก ๆ ดังนี้ คือ ดานการเรียนการสอน ดา นการวจิ ัย ดานทาํ นบุ าํ รงุ ศลิ ปวัฒนธรรมภมู ิปญญาทองถน่ิ และดานสนับสนุน ในสวนขององคความรูดานทํานุบํารุงศิลปวัฒนธรรม ภูมิปญ ญาทองถ่นิ ทส่ี ามารถตอบสนองยุทธศาสตรของสถาบันบัณฑิตพัฒนศิลป มี 3 ประการคือ 1) การรวบรวมองคความรูและพัฒนา คลงั ความรขู องศิลปนแหงชาติและครูภูมิปญญาทองถิ่น 2) การนําองคความรูทางวัฒนธรรม (ดานดนตรี นาฏศิลป และทัศนศิลป) เพื่อนําไปสูการใชประโยชนเชิงพาณิชย และ 3) การนําองคความรูทางวัฒนธรรม (ดานดนตรี นาฏศิลป และทัศนศิลป) เพื่อตอยอด งานศิลป เปนเอกลักษณและอัตลักษณของทองถ่ิน รวมทั้งเปนผลิตภัณฑทางวัฒนธรรม สําหรับประเด็นความรูท่ีเลือกมาจัดทํา โครงการการจัดการความรูในปงบประมาณ 2561 คือ การรวบรวมองคความรูและพัฒนาคลังความรูของศิลปนแหงชาติและครู ภูมปิ ญญาทองถิ่น ซึ่งตอบสนองยุทธศาสตรท่ี 3 สรางสรรค ตอยอดงานศิลปเพื่อเปนเอกลักษณ อัตลักษณของทองถิ่น รวมทั้ง ผลิตภัณฑบริการทางวัฒนธรรม ในประเด็น กลยุทธท่ี 1 กระตุน สงเสริมใหมีการสรางสรรค ตอยอดงานศิลปและเปน ผลิตภณั ฑทางวัฒนธรรม โดยการจัดกจิ กรรมและจดั งบประมาณสนับสนนุ วทิ ยาลยั นาฏศิลปพัทลุง สถาบันบัณฑติ พัฒนศลิ ป กระทรวงวฒั นธรรม เปนหนว ยงานสังกดั สถาบันบัณฑติ พัฒนศิลป ในสวนภูมิภาคมีพื้นท่ีรับผิดชอบหลักในการจัดการเรียนการสอน พรอมท้ังอนุรักษ เผยแพรศิลปวัฒนธรรม ดานนาฏศิลป ดนตรี และทํานุบาํ รงุ ศลิ ปวฒั นธรรมภมู ปิ ญญาทอ งถิ่นภาคใต ในพน้ื ที่ 7 จงั หวัด คอื พทั ลุง สงขลา สตลู ตรัง ยะลา ปต ตานี และนราธวิ าส ศลิ ปวฒั นธรรมและวิถีชวี ิตของชาวพทั ลุงมคี วามโดดเดน มีเอกลักษณเฉพาะตัว มคี วามเปนมายาวนานจนถึงปจจุบัน โดยเฉพาะประเพณแี ขงโพน-ลากพระ ท่เี ปนเอกลักษณทางวัฒนธรรมของชาวพัทลุง โพนถือเปนศิลปวัฒนธรรมทางดานดนตรี อยางหนึ่ง ในอดีตแตเดิมน้ันโพนมีบทบาทเก่ียวกับพระพุทธศาสนา ในดานการบอกเวลาปฏิบัติกิจตาง ๆ ของพระสงฆ และ เปนอาณัติสัญญาณบอกเหตุรายหรือขาวสารใหชาวบานรู แตในปจจุบันโพนไดเขามามีบทบาททางสังคมและมีอิทธิพลตอการ ดํารงชวี ิตของชาวพัทลุงมากขึ้น
2 การเก็บรวบรวมองคความรู เรื่องการผลิตโพนเพื่อธุรกิจชุมชน ของคณะกรรมการจัดการความรูดานทํานุบํารุง ศิลปวัฒนธรรมภูมิปญญาทองถิ่น วิทยาลัยนาฏศิลปพัทลุง ไดดําเนินการจัดเก็บองคความรูตามกระบวนการการจัดการความรูอยาง เปนระบบ ผลผลิตท่ีเกิดจากการดําเนินโครงการจัดการความรู ประจําปงบประมาณ พ.ศ. 2561 เร่ืองการผลิตโพนเพื่อธุรกิจชุมชน โดย KM Team ดานภูมิปญญาทองถิ่น วิทยาลัยนาฏศิลปพัทลุง ท่ีไดดําเนินการจัดเก็บองคความรูตามกระบวนการจัดการความรู ท้ัง 7 ข้ันตอน กอใหเกิดองคความรูใหม คือรายละเอียดขั้นตอนการผลิตโพน จํานวน 22 ข้ันตอน มาตรฐานคุณลักษณะของโพน จาํ นวน 3 ขนาด ไดแก 1) โพนขนาดเล็ก ตัวหุนโพนมีความยาวประมาณ 60 เซนติเมตร ขนาดหนากลองมีเสนผาศูนยกลาง ประมาณ 35-40 เซนตเิ มตร 2) โพนขนาดกลาง ตวั หนุ โพนมคี วามยาวประมาณ 70 เซนติเมตร ขนาดหนากลองมีเสนผาศูนยกลาง ประมาณ 40-49 เซนติเมตร และ 3) โพนขนาดใหญ ตัวหุนโพนมีความยาวประมาณ 80 เซนติเมตร ขนาดหนากลองมีเสนผาศูนยกลาง ตั้งแต 50 เซนติเมตร ขึ้นไป ผลจากการจัดการความรูไดนําไปใชพัฒนาการผลิตโพนภายในชุมชน ตลอดจนสถานศึกษาในสังกัดกระทรวงศึกษาธิการ ทั่วประเทศ สามารถนํารายละเอยี ดมาตรฐานคณุ ลกั ษณะของโพน ไปใชป ระกอบการกําหนดคณุ ลักษณะและรายละเอียดเคร่ืองดนตรี พืน้ บา นภาคใต เพ่ือจดั ซือ้ จัดจางครภุ ัณฑสาํ หรับสถานศกึ ษา สงผลใหผ ูผ ลิตโพนและผูมสี วนเกีย่ วของกับการผลิตโพนภายในชุมชน มีรายไดเพ่ิมสูงขึ้น และสถาบันบัณฑิตพัฒนศิลป มีระบบการจัดการความรูไปพรอม ๆ กับการพัฒนาศักยภาพการเรียนรูของ บุคลากรของสถาบันบัณฑิตพัฒนศิลป รวมทั้งจะสามารถปรับตัวและยืนหยัดอยูภายใตสังคมเศรษฐกิจฐานความรู (Knowledge- Based Economy and Society - KBS) หรือ KM 4.0 ซึ่งเปนสังคมที่ต้ังอยูบนพื้นฐานของการใชความรูและภูมิปญญาของคนใน องคกรเพ่ือมงุ สูง านสรางสรรคและนวัตกรรมไดอยางสงา งาม Executive Summary The aims of the workshop on \"Implementing knowledge management 4.0 (KM 4.0) that to increase the efficiency and effectiveness of teaching, research, promoting local-wisdom, and non-academic staff development\" are 1. To develop understanding and successfully implement of KM process. 2. To create knowledge-sharing environment for academic staff and non-academic staff within Bunditpatanasilpa Institute. 3. To enhance staff 's positive attitude toward an improved both academic and professional job performance. 4. To develop a plan for knowledge management of academic work and management activities in the fiscal year 2018 to foster creativity and innovation in Bunditpatanasilpa Institute. The knowledge management workshop on - making southern musical instruments for enhancing and strengthening musical instruments making community's economy- by Local-Wisdom KM Team of Phatthalung Dramatics Arts College generates new knowledge including characteristic of southern musical instruments for Phon (such as Phon small size, Phon medium size, and Phon large size ) the process of these 3 musical instruments making, and the average price of these 3 musical instruments. The new knowledge from this workshop is played important role in developing musical instruments making community's economy. The education institutions also can apply the average price of the 3 music
3 instruments mention earlier for their procurement. As a resulted of these, musical instruments makers generate more income. Furthermore, Bunditpatanasilpa Institute has effective knowledge management system to improve staff performance, moving toward learning organization, sustainable development within knowledge-based economy and society (KBS) คําสําคญั โพน, ธรุ กิจชมุ ชน บทนํา วัฒนธรรมดานภูมิปญญาทองถิ่น เปนความรูที่มีคุณคาควรแกการรักษาไว ซ่ึงสอดคลองกับประเด็นยุทธศาสตร ของสถาบันบัณฑิตพัฒนศิลป ท่ีสงเสริม สนับสนุน อนุรักษ พัฒนา สืบสานและเผยแพรศิลปวัฒนธรรม โดยวิทยาลัยนาฏศิลปพัทลุง ซึง่ เปนสถาบนั การศึกษาวิชาชีพเฉพาะทาง ไดใหความสําคัญโดยการเขาไปมีสวนในการจัดเก็บองคความรูของครูภูมิปญญาทองถ่ิน เพ่ือใหไดข อ มูลทางวชิ าการทจ่ี ัดเก็บอยางเปน ระบบ โดยใชกระบวนการเชื่อมโยงความรูภูมิปญญาทองถ่ินกับการสรางคุณคากับสังคม ตามนโยบายและแผนพัฒนาของวิทยาลยั ฯ ศิลปวัฒนธรรมและวิถีชีวิตของชาวพัทลุงมีความโดดเดน มีเอกลักษณเฉพาะตัว มีความเปนมายาวนานจนถึงปจจุบัน โดยเฉพาะประเพณีแขงโพน-ลากพระ ที่เปนเอกลักษณทางวัฒนธรรมของชาวพัทลุง โพนถือเปนศิลปวัฒนธรรมอยางหน่ึง ทางดานดนตรี ในอดีตแตเดิมนั้น โพน มีบทบาทเก่ียวกับพระพุทธศาสนา ในดานการบอกเวลาปฏิบัติกิจตาง ๆ ของพระสงฆ และเปนอาณัติสัญญาณบอกเหตุรายหรือขาวสารใหชาวบานรู แตในปจจุบันโพนไดเขามามีบทบาททางสังคมและมีอิทธิพลตอ การดาํ รงชีวิตของชาวพัทลงุ มากขึ้น จงั หวัดพทั ลุง เปน ชุมชนท่มี คี วามเปนมาในอดีตยาวนาน มีวัฒนธรรมทองถ่ินที่หลากหลาย มีศิลปวัฒนธรรมพื้นบานที่ เกิดจากการผสมผสานและการแพรกระจายทางวัฒนธรรมจากภาคอื่น ๆ ชาวบานไดมีการสืบทอดความรู ประสบการณและ วัฒนธรรมของชุมชนมาแตอดีตในรูปแบบของวรรณกรรม ประเพณี พิธีกรรม ศิลปะการละเลนพื้นบาน หากแตปจจุบันการสราง หรอื ผลิตเครือ่ งดนตรีทใ่ี ชส ําหรบั การแสดงพ้นื บา นเหลานีโ้ ดยเฉพาะอยา งยิ่ง การผลิตโพนในจังหวัดพัทลุงเพื่อสรางรายไดใหกับคน ในชุมชนยังไมแพรหลายมากนัก เน่ืองจากการขาดการสงเสริมจากหนวยงานท่ีเกี่ยวของอยางเปนระบบ ทั้งดานมาตรฐานการผลิต ทุน และการตลาด คณะกรรมการดําเนินการจัดการความรูดานภูมิปญญาทองถ่ิน เรื่อง“การผลิตโพนเพ่ือธุรกิจชุมชน” (KM team) วิทยาลัยนาฏศิลปพัทลุง ไดเล็งเห็นความสําคัญและตระหนักถึงคุณคาของภูมิปญญาทองถิ่นแขนงนี้ หลักสําคัญเพ่ือตองการ สงเสริมรายไดใหกับชาวบานในชุมชนท่ีเปนผูผลิตโพนในจังหวัดพัทลุง ใหมีรายไดเพ่ิมสูงข้ึนสามารถเลี้ยงตัวเองได จึงได ดําเนินการจดั เกบ็ องคค วามรจู ากกลมุ ภมู ปิ ญ ญาชาวบานทย่ี ังคงผลติ โพน สว นใหญเปน ผสู งู อายแุ ละมีจํานวนนอย เพื่อใหสามารถ เช่อื มโยงความรูภูมิปญญาดานการผลิตโพน การสรางคุณคาตอสังคม ตลอดจนสงเสริมรายไดใหกับผูคนชุมชน โดยวิธีการที่เปน รปู ธรรม เพื่อประโยชนข องการศึกษา ทงั้ นว้ี ทิ ยาลัยนาฏศิลปพทั ลุง จะไดนําองคความรูท่ีไดจากการดําเนินการในคร้ังน้ีไปปรับใช ในดานการจัดการเรียนการสอนและดานอื่น ๆ ท่ีเกี่ยวของ เพ่ือใหเกิดประโยชนสูงสุดตอชุมชนทองถ่ิน หนวยงาน และบุคคลท่ี สนใจตอไป กระบวนการ / วธิ ดี ําเนนิ การในอดีต การจัดการความรู (Knowledge Management : KM) เปนการรวบรวมองคความรูท่ีมีอยูกระจัดกระจายอยูในตัว บุคคลหรือเอกสารมาพัฒนาใหเปนระบบ เพื่อใหทุกคนในองคกรสามารถเขาถึงความรูและพัฒนาตนเองใหเปนผูรู รวมทั้ง
4 ปฏิบัติงานไดอยางมีประสิทธิภาพ วิทยาลัยนาฏศิลปพัทลุง ไดดําเนินการจัดการความรู ตามนโยบายของสถาบันบัณฑิตพัฒนศิลป โดยวิทยาลยั ไดด าํ เนนิ การตาม 7 ข้ันตอน ของกระบวนการจัดการความรู ดงั นี้ 1.การบงชี้ความรู โดยแตงต้ังคณะกรรมการดําเนินการ (KM TEAM) เพื่อดําเนินการในการเลือกใชเครื่องมือในการ ดาํ เนนิ การ และพจิ ารณาวาควรจะจัดการความรูเร่ืองใด โดยตองสอดคลองกบั วสิ ัยทัศน และพนั ธกจิ ของสถาบันบณั ฑิตพฒั นศิลป 2.การสรางและแสวงหาความรู มีการกําหนดตัวบุคคลใหสอดคลองกับเร่ืองที่กําหนด และทําการแสวงหาความรู แตงต้ัง คณะกรรมการในการแสวงหาความรูและกําหนดกลมุ เปา หมายครภู ูมิปญญาทอ งถนิ่ ตามหัวขอที่จัดเกบ็ 3.การจัดความรูใหเ ปน ระบบ เม่ือดาํ เนินการสรางและแสวงหาความรเู รยี บรอ ยแลว นาํ ความรทู ี่ไดไ ปจดั เก็บอยางเปนระบบ 4.การประมวลและกลน่ั กรอง มกี ารดาํ เนินการจดั เอกสารใหเปน ระบบ เพ่ือปรับปรงุ เน้ือหาใหสมบรู ณ เหมาะสม 5.การเขา ถงึ ความรู ไดนาํ ระบบเทคโนโลยสี ารสนเทศ หรอื การใช Web board ในการเผยแพรความรู เพื่อใหกลุมสนใจ เขา ถึงขอ มูลไดงา ย 6.การแบง ปน แลกเปลีย่ นความรู ดําเนนิ การจัดใหม กี ารแลกเปลีย่ นความรู โดยสถาบันบณั ฑิตพัฒนศลิ ป 7.การเรียนรู โดยการนําความรทู ี่ไดไ ปประยุกตใชและนาํ ความรทู ี่ไดม าปรับปรงุ อยา งตอเน่ือง แนวปฏบิ ัตทิ ดี่ ี (วิธีการ/กระบวนการ/แนวทางการดาํ เนินงานที่ไดด ําเนนิ การตามหลัก PDCA ) ขั้นตอนกระบวนการในการจัดการองคความรูเรื่องการผลิตโพนเพื่อธุรกิจชุมชน คณะกรรมการ (KM TEAM) ดาน ทํานบุ าํ รุงศิลปวฒั นธรรมภมู ปิ ญญาทองถ่นิ วทิ ยาลัยนาฏศิลปพัทลงุ มขี ้นั ตอนการดาํ เนินงานตามลําดับ ดงั นี้ ขนั้ ตอนท่ี 1. การคนหาความรู วิทยาลัยนาฏศิลปพัทลุง จัดประชุมกลุมเปาหมายประกอบดวย ผูบริหาร ขาราชการครูและบุคลากรทางการศึกษา และนักศึกษา จํานวน 70 คน ในวันท่ี 18 ธันวาคม 2560 ณ หองประชุมอาคารเอนกประสงค วิทยาลัยนาฏศิลปพัทลุง เพื่อ วางแนวทางการดําเนินการการจัดเก็บรวบรวมองคความรู ประจําปการศึกษา 2561 ซึ่งวิทยาลัยนาฏศิลปพัทลุง ไดรับมอบหมาย ใหดําเนนิ การจดั การความรูจํานวน 3 เรื่อง ไดแก การจัดการความรูดานทํานุบํารุงศิลปวัฒนธรรมภูมิปญญาทองถิ่น ดานการวิจัย และการจัดการความรูของนักศึกษา ซึ่งวิทยาลัยไดมอบหมายใหผูรับผิดชอบในแตและดานไปดําเนินการจัดประชุม คณะกรรมการดําเนินงานจัดการความรู (KM TEAM) ของวิทยาลัย (จัดประชุมวันท่ี 22 ธันวาคม 2560) และไดดําเนินการ แตงต้ังคณะกรรมการทํางานในแตละดาน ซ่ึงผูรับผิดชอบการจัดการความรูดานทํานุบํารุงศิลปวัฒนธรรมภูมิปญญาทองถ่ิน ไดกําหนดคุณสมบัติของคณะทํางานโดยพิจารณาจากบุคลากรภายในวิทยาลัย ท่ีมีความรูทางดานดนตรีและการแสดงบานภาคใต และครูภูมิปญญาทองถิ่นหรือผูที่มีความรูเรื่องการผลิตโพนในพื้นที่จังหวัดพัทลุง ตอจากน้ันคณะกรรมการ (KM TEAM) ประชุมจดั ทาํ KM1 การจาํ แนกองคความรทู ีจ่ ําเปนตอ การผลกั ดนั ตามประเดน็ ยทุ ธศาสตรของสวนราชการ สถาบันบัณฑิตพัฒนศิลป KM2 แผนการจัดการความรู (KM Action Plan) KM3 : กระบวนการจัดการความรู (KM Process) KM4 แผนการจัดการ ความรู (KM Action Plan) กระบวนการบริหารจัดการการเปล่ียนแปลง (Change Management Process) และจัดทําตัวบงช้ี ความรู Knowledge Mapping โดยระดมความคิดของคณะกรรมการเพื่อดําเนินการคนหาความรูท่ีมีความสําคัญและความ จําเปนตอ องคก ร
5 ขั้นตอนที่ 2. การสรางและแสวงหาความรู เมื่อ KM TEAM ไดกําหนดหัวขอ ขอบเขต และเคร่ืองมือที่ใชในการจัดการความรูเรียบรอยแลว จึงจัดประชุม คณะกรรมการเพื่อแบงภาระงานรับผิดชอบในสวนท่ีเกี่ยวของโดยมุงเนนจัดคนท่ีความรูความสามารถเหมาะสมตรงตาม ประเดน็ การจดั เกบ็ องคความรทู ัง้ 8 ประเดน็ แตง ต้งั ประธาน คณะทํางาน เลขา และผูชวยเลขา จากบคุ ลากรภายในวิทยาลัยที่ มคี ุณสมบัตเิ ปน ผูมคี วามรทู างดา นดนตรีพนื้ และการแสดงบา นภาคใต รวมจํานวน 9 คน และมีการกําหนดครูภูมิปญญาทองถิ่น ท่มี คี วามรูและสามารถในการผลติ โพน ประกอบดว ย 1. นายบญุ วัน เกลยี้ งเก้อื อายุ 67 ป 2. นายฉลอง นุมเรือง อายุ 52 ป 3. นายจรสั เกลย้ี งมาก อายุ 58 ป 4. นายศักด์ดิ า ชูแกว อายุ 47 ป เนื่องจากขน้ั ตอนและวธิ กี ารดําเนนิ การจัดเกบ็ องคความรเู ร่ืองการผลิตโพนเพอื่ ธุรกจิ ชุมชน มีท้ังองคความรูที่เปน ทฤษฎี เอกสาร และองคความรูที่เกิดจากกระบวนการถายทอดจากครูภูมิปญญาทองถ่ิน จึงมีขั้นตอนและระยะเวลาในการ ดําเนินการตางจากการจัดการความรูในหัวขอท่ัว ๆ ไป คณะกรรมการจึงไดกําหนดระยะเวลาในการดําเนินกิจกรรมการเรียนรูไว จํานวน 10 คร้งั ๆ ละ 1 วนั (ระหวางเดอื นมกราคม ถงึ เดือน มิถุนายน 2561) ครั้งที่ 1 คณะกรรมการไดดําเนินการจัดประชุมวางแผนในข้ันการบงชี้ความรูและการแสวงหาความรูโดยใช สถานทหี่ องประชมุ เลก็ วิทยาลัยนาฏศิลปพทั ลุง ครั้งที่ 2 คณะกรรมการไดดําเนินการจัดประชุมวางแผนเพ่ือแลกเปล่ียนความรูองคความรูที่มีอยูในตัวบุคคล ของคณะกรรมการ (KM TEAM) โดยใชส ถานทหี่ อ งประชมุ เล็ก วิทยาลัยนาฏศลิ ปพทั ลุง คร้งั ท่ี 3 คณะกรรมการลงพ้ืนทเ่ี ขตชุมชนปรางหมู อําเภอเมืองพัทลุง จังหวัดพัทลุง นัดหมายครูภูมิปญญาทองถิ่น สมั ภาษณขอมูลและแลกเปล่ียนเรยี นรูตามขอบเขตการจัดการความรใู นประเด็นเนอื้ หาทกี่ าํ หนดไว ครั้งท่ี 4 คณะกรรมการลงพื้นที่เขตชุมชนชัยบุรี อําเภอเมืองพัทลุง จังหวัดพัทลุง สัมภาษณขอมูลและ แลกเปล่ยี นเรยี นรกู บั ครูภมู ิปญ ญาทองถิน่ ตามขอบเขตการจัดการความรใู นประเด็นเน้ือหาท่กี าํ หนดไว ครั้งท่ี 5 คณะกรรมการลงพื้นที่เขตชุมชนคอกวัว อําเภอเมืองพัทลุง จังหวัดพัทลุง สัมภาษณขอมูลและ แลกเปลย่ี นเรยี นรกู ับครูภมู ปิ ญ ญาทอ งถ่นิ ตามขอบเขตการจดั การความรูใ นประเดน็ เน้อื หาท่ีกําหนดไว
6 คร้ังที่ 6 คณะกรรมการลงพน้ื ทเ่ี ขตอําเภอเมอื งพทั ลงุ และเขตอาํ เภอควนขนุน จังหวัดพัทลุง สัมภาษณขอมูล และแลกเปลีย่ นเรียนรูกบั ครูภมู ปิ ญญาทองถิ่น ตามขอบเขตการจัดการความรูในประเดน็ เนื้อหาทก่ี ําหนดไว ขั้นตอนที่ 3. การจัดการความรใู หเปน ระบบ หลังจากท่คี ณะกรรมการไดร วบรวมเอกสารที่เก่ียวของ และลงพ้ืนท่ีจัดเก็บขอมูลภาคสนามในเขตชุมชนตาง ๆ ของ จังหวัดพัทลุง เพ่ือจัดเก็บองคความรูเร่ืองการผลิตโพนเพ่ือธุรกิจชุมชน นํามารวบรวมและแยกเนื้อหาตามขอบเขตการจัดการ ความรูครอบคลมุ ท้งั 8 ประเด็นแลว คณะกรรมการจึงนดั ประชมุ (11 มีนาคม 2561) เพื่อจําแนกประเด็นตาง ๆ และวิเคราะห กระบวนการท่ีเกี่ยวของกับการผลิตโพนเพ่ือธุรกิจชุมชน จัดรวบรวมขอมูลในรูปแบบของเอกสารทางวิชาการ จําแนกตามหัวขอ เรียงตามลําดับ ดังน้ี 1) บทนํา 2) บทสรุปผูบริหาร 3) กระบวนการ/วิธีการดําเนินการ 4) การผลิตโพนเพื่อธุรกิจชุมชน และ 5) สรปุ อภิปรายผล และขอเสนอแนะการดาํ เนินงาน ขั้นตอนท่ี 4. การประมวลและกล่ันกรองความรู หลังจากคณะกรรมการไดจัดการองคความรูท่ีไดจากการจัดเก็บใหเปนระบบแลวจึงนัดประชุม (13 พฤษภาคม 2561) ท่ี วิทยาลัยนาฏศิลปพัทลุง และเชิญตัวแทนครูภูมิปญญาทองถ่ินจากชุมชนตางๆ ในจังหวัดพัทลุง ที่คณะกรรมการไดลงพ้ืนที่ไป เก็บขอมูล มาทําการตรวจสอบขอมูลประเด็นความรูการผลิตโพนเพื่อธุรกิจชุมชน ใหครอบคลุมตามหัวขอท่ีจัดเก็บ เพ่ือนําไป ปรบั ปรุงเนอ้ื หาใหมคี วามถกู ตองสมบูรณ และปรบั ปรุงรูปแบบของเอกสารใหไดม าตรฐาน จากนนั้ คณะกรรมการและครภู มู ปิ ญ ญาทองถิน่ รว มกันสรุปองคความรูเร่ืองการผลิตโพนเพื่อธุรกิจชุมชน ที่ไดจัดเก็บ และการกลั่นกรองความรูในครั้งนี้ตามหัวขอที่จัดเก็บ เพื่อนําไปสูการปรับปรุงเนื้อหาใหมีความถูกตองสมบูรณ และปรับปรุง รูปแบบของเอกสารใหไดม าตรฐานอีกครัง้ ข้นั ตอนท่ี 5. การเขา ถึงความรู จากการดําเนินการตามข้ันตอนและกระบวนการในการจัดการองคความรู เรื่องการผลิตโพนเพ่ือธุรกิจชุมชน ในคร้ังนี้กอใหเกิดองคความรูและนําไปสูกระบวนการปฏิบัติท่ีดี พบวาการผลิตโพนเพ่ือสรางรายไดเสริมใหกับคนในชุมชน เปนอีกอาชีพหน่ึงที่สามารถสรางรายไดใหกับชุมชนในจังหวัดพัทลุง นอกเหนือจากอาชีพหลักซึ่งชาวบานสวนใหญจะมีอาชีพ
7 เกษตรกรรม และสามารถพัฒนาคุณภาพชีวิตของผูคนในชุมชนใหดีข้ึน ตลอดจนสามารถเปนแหลงเรียนรูและสืบทอดมรดก ทางวัฒนธรรมของทองถ่นิ ไวไดเปนอยา งดี KM TEAM ดา นภมู ปิ ญ ญาทองถ่ิน ไดรวบรวมองคความรูไวในรูปแบบเอกสารทางวิชาการ และมีวิธีการกระจาย องคค วามรู เพอ่ื ใหเกดิ การนําไปใชประโยชนโ ดยอาศยั ชองทางท่ผี สู นใจสามารถเขา ถึงความรไู ดง า ยและสะดวก ดงั ตอไปนี้ - นําเสนอความรูท่ีไดจากการจัดเก็บตอบุคลากรของวิทยาลัย ในวาระการประชุมประจําเดือน โดยใชวิธีการ นาํ เสนอขอมูลองคความรูท ี่ไดแกผ รู ับโดยผรู ับไมไ ดรอ งขอ - จัดทําแผน พบั ประชาสมั พนั ธสรปุ ขอมูลท่เี ปนองคความรูทีไ่ ดจากการจดั เก็บ เผยแพรผ า น Webpage - สง เอกสารขอมลู ไปยังสถานศกึ ษา และหนว ยงานทีเ่ ก่ียวของ ในจงั หวัดพัทลงุ และจังหวัดอนื่ ๆ ในภาคใต ขน้ั ตอนที่ 6. การแบง ปน แลกเปลีย่ นเรยี นรู ข้ันตอนการแบงปนแลกเปล่ียนเรียนรูองคความรูเร่ืองการผลิตโพนเพ่ือธุรกิจชุมชน คณะกรรมการนําองคความรู ที่ไดจากการจัดเก็บไปนําเสนอบนเวทีแลกเปลี่ยนเรียนรู กับสถานศึกษาสังกัดสถาบันบัณฑิตพัฒนศิลป จํานวน 18 หนวยงาน ทวั่ ประเทศ ภายใตโครงการ “การนําเสนอการจัดการองคความรู ของสถานศึกษาสังกัดสถาบันบัณฑิตพัฒนศิลป” นอกจากนั้น คณะกรรมการยังมีวิธีการแบงปนแลกเปลี่ยนเรียนรูโดยนําเอาองคความรูท่ีไดจากการจัดเก็บเผยแพรใหกับนักเรียน-นักศึกษา ของวิทยาลัยนาฏศิลปพัทลุง เพื่อใชเปนขอมูลดานการจัดการเรียนรูภูมิปญญาทองถ่ิน และนําไปใชประโยชนดานอ่ืน ๆ ตามโอกาส และยังไดเปดโอกาสใหผูที่สนใจไดมีการแลกเปล่ียนเรียนรูทางส่ือออนไลน facebook Youtube เปดโอกาสใหผู เขา ชมเสนอขอคดิ เหน็ และตอบกระทคู ําถามตางๆทเ่ี กี่ยวขอ งอกี ทางหนึง่ ข้ันตอนที่ 7. การเรยี นรู นําองคความรูไปใชในการสงเสริมความเปนมาตรฐานในการผลิตโพนในจังหวัดพัทลุง เพ่ือสรางรายไดใหกับ ชาวบานในชุมชนใหเพิ่มสูงข้ึน ในดานการเรียนการสอนสรางคุณคาใหกับบุคลากรในองคกรมีมุมมองใหม ๆ ปรับเปล่ียน พฤติกรรมสามารถทําในส่ิงที่ไมเคยทํามากอนได คุณคาของผลผลิตและคุณคาของงานบริการเพิ่มขึ้น เพ่ิมชองทางการอนุรักษ สบื ทอด และเผยแพรฯ องคความรทู ่เี ปนภมู ปิ ญญาทอ งถิ่นไปใชต ามท่ีกลาวมาขางตน และนํากลับมาปรับปรุงแกไขใหเกิดความ สมบรู ณ สรุปและอภปิ รายผลการดาํ เนนิ งาน
8 การจัดการความรูเรื่อง “การผลิตโพนเพ่ือธุรกิจชุมชน” โดยคณะกรรมการ KM วิทยาลัยนาฏศิลปพัทลุง สถาบันบัณฑติ พัฒนศิลป กระทรวงวัฒนธรรม ไดดําเนินการตามแนวปฏิบัติท่ีดี มีวิธีการกระบวนการแนวทางการดําเนินงานท่ีได ดําเนนิ การตามหลกั PDCA สงผลใหการดําเนินการจัดเก็บองคความรูประสบผลสําเร็จ เกิดองคความรูใหม ไดแก กระบวนการผลิต/ วธิ ที าํ โพน รายละเอยี ดมาตรฐานคุณลักษณะของโพน และราคากลางของโพน จํานวน 3 ขนาด ตามรายละเอียด ดงั นี้ สรุปขั้นตอนกระบวนการผลติ /วธิ ีทําโพน 1.การคัดเลือกไมที่ทําโพน โดยทั่วไปมักนิยมคัดเลือกไมท่ีมีเน้ือแนนท่ีสุด เรียงตามนิยม คือ ไมตะเคียนทอง ไมพังตาน ไมขนนุ ไมตาลโตนด หรือทดลองใชไ มอ ่นื ที่มใี นทองถน่ิ แตค ณุ ภาพอาจไมดีเทา ไมด ังกลาวขางตน 2.การเตรียมไมทําโพน เลือกตนท่ีมีเสนผาศูนยกลางประมาณ 1.5 ฟุต เปนอยางนอย ตัดไมเปนตอนใหความยาวพอ ๆ กบั เสน ผาศนู ยกลางของทอนไมห รือยาวกวาเล็กนอย นํามาถากดานนอก ใหม ีลกั ษณะสอบหวั สอบทา ย แตงผวิ ใหเรียบ 3.การขดุ เจาะรปู โพน ใชวิธีเดียวกับการขุดครกตําขาว มีลักษณะโคงมนท้ังสองดานไปทะลุถึงกันที่กึ่งกลางของไม มีรูทะลุ ขนาดสัดสวนเหมาะกับความใหญของโพน มีสวนโคงตรงสันกลางโพนเรียกวา “อกไก” ท้ังน้ีเพ่ือใหเกิดเสียงกองภายใน มีลักษณะคลายลําโพง ผิวดานในจะตองขุดเจาะใหเรียบในยุคใหมน้ีนิยมการกลึงภายในเพราะจะไดผิวที่เรียบกวาใชสิ่วเจาะ เหมอื นในอดีต ลักษณะการขดุ เจาะรปู โพน เจาะตามแนวยาวตรงจุดศูนยก ลางใหท ะลุ ทะลวงรูใหรูกวาง ขนาดอยางนอยพอกํา หมัดลอดไดใชเ ครอ่ื งมือขดุ แตง ภายในใหรูผายกวางออกเปนรูปกรวยทั้ง 2 หนา แตงอกไก กะความหนาตรงปากโพนทั้ง 2 หนา ประมาณเทานิ้วหัวแมมือ ใชเหล็กกลมเจาะรูรอบทั้งสองดานเพื่อใสลูกสัก รูจะเจาะหางจากขอบปากเขามาราว 2 นิ้ว เจาะหางกัน ราว 1.5 นว้ิ ขนาดรเู ล็กกวา ปลายนิว้ กอ ยเล็กนอ ย และเจาะรูที่กึง่ กลางโพนเพ่ือใสหว งเหลก็ สาํ หรับแขวน 4. อุปกรณและชน้ิ สว นตาง ๆ ในการหุมโพน 4.1 ลูกสัก ทําดวยไมไผตงที่แกจัด ตัดใหดานหน่ึงติดขอ อีกดานหนึ่งวัดใหไดขนาดสั้นกวารัศมีปากโพน ประมาณ 1.5 นิ้ว ผา เปน สเ่ี หล่ยี มจาํ นวนเทา กนั รใู สลูกสกั ที่เจาะไว เหลาใหกลมดานติดขอแตงใหหนาตักโคงมน ปากหัวทํามุม 90 องศา ตดั จากจุดบากราว 1 นวิ้ แตงใหเรยี ว นําไปตากแดดใหแหง กอ นนําไปตอกยึดหนังโพน 4.2 ปลอกหวายใชสาํ หรบั รัดหนังใหตึงกอนตอกลูกสกั ทาํ ดวยหวายเปน ขดกลมความยาวขนาดเทา เสนรอบวงของหนุ โพน 4.3 ไมเขยี้ วหมา ใชส ําหรับคลอ งเชือกดึงหนงั มลี กั ษณะปลายแหลมท้ังสองขาง 4.5. เชอื กดึงหนงั ใชดึงหนงั ใหต งึ ในการนวดหนงั แตกอ นใชไมระกาํ ปจจบุ นั ใชเชือกไนลอน 5. หนังหุมหนา โพน นยิ มใชหนังควายแกและผอมเนอ่ื งจากควายแกม ไี ขมนั ติดหนังนอย คุณภาพหนังบางเรียบสมํ่าเสมอ ความแกข องหนังมีความเหนียวทนทานใชไ ดน าน หนังหุมโพนอาจใชหนังวัวหรือหนังควายแลวแตความเหมาะสม ถาเปนโพน ขนาดใหญจะนิยมใชห นังควาย เนือ่ งจากผืนใหญแ ละหนากวาหนงั ววั การฟอกหนัง หนังที่นํามาใชฟอกจะตองเปนหนังสดไมแช นํา้ เกลือหรอื สิ่งอ่ืนใด ขูดดานท่ีมีเนื้อติดไขมันออก นํามาขึงใหตึง ตากใหแหง นําหนังที่ตากแหงสนิทแลวมาตัดใหไดขนาดตามความ ตองการ ตอจากนั้นนําไปแชนํ้าใหออนตัวประมาณ 1-3 วัน นําหนังมาฆาโดยการตําหนังใหนิ่ม (กรรมวิธีเฉพาะของชาง) เมื่อฆา หนงั ไดตามตอ งการแลวจึงนาํ หนังไปหุมหนากลองโพน 6. สถานท่ีวางโพนสําหรับหุม ปกเปนหลักไมขนาดสูง 1.5 เมตร 4 อัน เปนรูปส่ีเหล่ียมขนาดกวางกวาขนาดโพน เล็กนอย บากหัวไมดานในเปนมุม 90 องศาใหเสมอกัน (ถาบากไวกอนก็ตอกใหเสมอกัน) เล่ือยหรือตัดไมกระดานเปนรูปทรง กลมขนาดพอดีกับพ้ืนท่ี ระหวางไมหลักทั้ง 4 วางปูลงบนรอยบาก เรียกกระดานน้ีวา“แปน”หรือ “พ้ืน”สําหรับเปนท่ีวาง หุนโพน หางจากหลักไมทั้งสี่ออกไปราวสองเมตรปกหลักวางราวโดยรอบ ราวสูงจากพื้นไมเกินแนวแปน ราวแตละอันจะตอกดวย
9 ไมงา มหรอื เรยี กวา“สมอบก”อยางแข็งแรง ใชไมคันชั่งขนาดเทาขอมือยาว 2.5 เมตร ประมาณ7–8 อัน ใชเชือกหวายสําหรับผูกและ ดึงหนัง ขัน้ ตอนการหุมโพน วางโพนบนแปน นําหนังท่ีตัดเตรียมไวปดลงบนหนาโพนโดยใหหนังรอบ ๆ หนาโพนหอยลงมาระยะยาวเทา ๆ กัน ใช เหลก็ หรือมดี ปลายแหลมเจาะหนังใหท ะลุเปน คู ๆ หางกนั ราว 2–3 นิ้ว ใชไมสั้น ๆ ขนาดเทาดินสอ (ไมเข้ียวหมา) สอดรูแตละ คูไ ว นําเชือกรอ ยรูแตล ะคผู กู เปน บว งตามยาวเสมอขอบแปน ใหป ลายไมดานนอกดึงกดลง เอาเชอื กผูกยึดไวกับราวซึ่งมีสมอบก ยึดติดกับคันชั่ง ดึงไมคันชั่งใหแตละอันตึงพอ ๆ กัน เม่ือขึ้นหนาโพนเสร็จแลว จะตากลมท้ิงไวคอยชโลมน้ําและตีเปนระยะ ๆ เพ่ือใหหนังยึดตัว (อาจใชตนกลวยวางบนหนังหรือทานํ้ามันมะพราวแลวใชไมตีหรือนวดหนัง เปนกรรมวิธีของแตละชาง) จน หนงั ตงึ และไดเสียงทต่ี อ งการ ทกุ ครงั้ ท่ชี โลมนํ้าและตพี ยายามดงึ ไมค ันชัง่ ใหตึงทีส่ ุดเทาทีจ่ ะเปนได ทําเชนน้ีเปนระยะเวลา 2–3 วัน เม่ือหนังหนากลองตึงไดที่แลวนําปลอกหวายสวมทับ ตอกปลอกใหลดต่ําใตระดับรูลูกสัก ใชเหล็กตอกหนังรูลูกสักใหทะลุ แลวใชลูกสักใหตะขอหงายข้ึนบนตอกอัดลูกสักใหแนนทุกรูป ลดใหคันชั่งออกตัดหนังระหวางปลอกกับลูกสักโดยรอบเปนอัน เสร็จการหุมโพน 1 หนา การหุมหนาโพนอีกดานก็ใชวิธีการหุมเชนเดียวกัน เม่ือเสร็จแลวจึงลงน้ํามันหรือนวดและตี จะทําให หนังเกดิ เงางามหรอื เปน หนงั แกว เสยี งดงั ไมขาดสาย นําไปแขวนตามจุดท่ีตองการ หรือนํามาใสขา 3 ขา หรือ 4 ขา (ขาโพนทํา ดว ยไมเน้อื แข็ง ตามความเหมาะสมขนาดโพน) คณุ ลักษณะเฉพาะของโพนท่ีผลติ ในชุมชน 1. โพน (ขนาดเล็ก) คุณลักษณะเฉพาะ หุน ทําดวยไมตาล หรือไมเนื้อแข็ง ที่มีคุณสมบัติใกลเคียง ความยาวประมาณ 60 เซนติเมตร ทาดวยแลค็ เกอรช กั เงาอยา งดีตลอดท้ังใบ หนากลองหุมหนาทั้งสองหนาดวยหนังควาย หนากลองมีเสนผาศูนยกลาง ประมาณ 35-40 เซนติเมตร ขากลอง ทาํ ดวยไมเนอ้ื แข็งกลึงสวยงาม จํานวน 3 ขา ตอกยึดติดกับตัวกลอง ลูกสักหรือหมุดกลอง ทําดวยไมไผตง ไมโท หรือไมเนื้อแข็งชนิดอื่น ๆ .คุณภาพเสียงโพน ดังกังวาน ตามมาตรฐานเสียงโพนขนาดเล็ก ไมตีโพน ทํา ดว ยไมเ น้อื แข็ง เชน ไมสาวดาํ ไมต ะเคียนหิน ไมร กั เขา กลึง ยางดี จํานวน 1 คู 2. โพน (ขนาดกลาง) คุณลักษณะเฉพาะ หุน ทําดวยไมตาล หรือไมเนื้อแข็ง ที่มีคุณสมบัติใกลเคียง ความยาวประมาณ 70 เซนติเมตร ทาดว ยแลค็ เกอรชักเงาอยางดตี ลอดทัง้ ใบ หนากลองหุมหนังท้ังสองหนาดวยหนังควาย หนากลองมีเสนผาศูนยกลาง ประมาณ 40-49 เซนติเมตร ขากลอง ทาํ ดว ยไมเนือ้ แข็งกลึงสวยงาม จํานวน 3 ขา ตอกยึดติดกับตัวกลอง ลูกสักหรือหมุดกลอง ทําดวยไมไผตง ไมโท หรือไมเนื้อแข็งชนิดอื่น ๆ คุณภาพเสียงโพน ดังกังวาน ตามมาตรฐานเสียงโพนขนาดกลาง ไมตีโพน ทํา ดวยไมเ นื้อแข็ง เชน ไมสาวดํา ไมตะเคียนหิน ไมรักเขา กลงึ ยางดี จํานวน 1 คู 3. โพน (ขนาดใหญ) คุณลักษณะเฉพาะ หุน ทําดวยไมตาล หรือไมเนื้อแข็ง ที่มีคุณสมบัติใกลเคียง ความยาวประมาณ 80 เซนติเมตร ทาดวยแล็คเกอรชักเงาอยางดีตลอดทั้งใบ หนากลองหุมหนังทั้งสองหนาดวยหนังควาย หนากลองมี เสนผาศนู ยกลางประมาณ 50 เซนติเมตร ข้ึนไป ขากลอง ทําดวยไมเน้ือแข็งกลึงสวยงาม จํานวน 3 ขา ตอกยึดติดกับตัวกลอง ลูกสักหรือหมุดกลอง ทําดวยไมไผตง ไมโท หรือไมเนื้อแข็งชนิดอ่ืน ๆ คุณภาพเสียงโพน ดังกังวาน ตามมาตรฐานเสียงโพน ขนาดใหญ ไมต ีโพน ทําดว ยไมเ นอื้ แข็ง เชน ไมส าวดาํ ไมต ะเคียนหิน ไมร ักเขา กลงึ ยา งดี จาํ นวน 1 คู
10 ผลกระทบทเี่ ปนประโยชนหรอื สรางคณุ คา วิทยาลัยนาฏศิลปพัทลุง นอกจากมีหนาที่หลักในการจัดการศึกษาดานนาฏดุริยางคศิลปแลว หนาที่สําคัญหลักอีก ประการหน่ึง คือ การทํานุบํารุงรักษา อนุรักษ และสืบทอดศิลปวัฒนธรรมของทองถิ่นภาคใตดานภูมิปญญาทองถิ่น ตลอดจน ดนตรีและการแสดงพื้นบานภาคใต โดยเฉพาะในพื้นท่ี 7 จังหวัดของภาคใตตอนลาง การจัดเก็บองคความรูเร่ืองการผลิตโพน เพ่อื ธรุ กิจชมุ ชน ถอื เปน งานสําคญั ที่จะสรา งประโยชนแ ละคณุ คา ใหก บั องคก รและชุมชน ในดา นตา ง ๆ ดงั ตอ ไปน้ี 1. เพ่ิมประสทิ ธิภาพในการสรางรายไดใหกบั คนในชมุ ชน 2. มีการอนุรักษ สืบทอด และเผยแพรภูมิปญญาทองถิ่นดานดนตรีพื้นบานภาคใต (โพน) ปองกันการสูญหายของ ภูมปิ ญญาแขนงนี้ 3. เพมิ่ ศักยภาพการแขง ขนั และความอยรู อดของวิถีวฒั นธรรมทอ งถ่ิน 4. บุคลากรขององคก รเกดิ การพัฒนา และองคกรเปนองคกรแหงการเรยี นรู 5. เพิ่มขดี ความสามารถในการตัดสินใจและการวางแผนดําเนินการเพ่ือที่จะอนุรักษภูมิปญญาพ้ืนบานไดอยางรวดเร็ว และเปน รูปธรรม 6. สรางความรัก ความสามัคคีปรองดองสมานฉันทระหวางบุคลากรภายในองคกร ครูภูมิปญญาทองถ่ิน ตลอดจน ชาวบานในชุมชนพน้ื ท่ภี าคใต 7. เพม่ิ คุณคาและมลู คาใหอ งคก รเปน แหลง ขอ มูล และสรางเครอื ขายใหก บั ผทู ่ีสนใจจากภายนอกเขามาศึกษาได 8. เปล่ยี นวัฒนธรรมอํานาจในแนวดิง่ ไปสวู ฒั นธรรมความรูในแนวราบ ใหทกุ คนไดม ีสิทธ์กิ ารเรียนรูเ ทา เทยี มกนั 9. สามารถกระตนุ การมสี ว นรวมในการอนรุ ักษศลิ ปวัฒนธรรมทอ งถน่ิ ภาคใต ใหเปนรปู ธรรมมากขน้ึ 10. รวบรวมองคความรูท ไ่ี ดจ ากการจดั เกบ็ ในรูปแบบของเอกสารทางวชิ าการ เพ่ือใชป ระโยชนในการศึกษาตอ ไป ปจจัยแหง ความสําเร็จ ปจจัยที่กอใหเกิดความสําเร็จในการดําเนินการจัดทําองคความรู เรื่อง “การผลิตโพนเพ่ือธุรกิจชุมชน” จากการลง พื้นท่ีภาคสนามพบปะพูดคุยแลกเปล่ียนความรูกับครูภูมิปญญาชาวบานท่ียังคงผลิตโพนในจังหวัดพัทลุง ทําใหคณะกรรมการ ไดรับทราบถึงสภาพปญหาและแนวทางในการจัดการความรูดานภูมิปญญาทองถิ่นที่เกี่ยวกับการผลิตโพน เพ่ือใชงานสนอง ความตองการของสังคมและจําหนาย ในอดีตที่ผาน ๆ มา ประเด็นหลักท่ีไดทราบจากการพูดคุยกับครูภูมิปญญาชาวบานท่ี ยงั คงผลิตโพนในจังหวัดพัทลุงอยูในปจจุบัน พบวากอนหนานี้ยังไมมีหนวยงานทางราชการหรือองคกรใด เขามาใหความรูดาน การตลาด หรือมาศึกษาและจัดเก็บขอมูลจากทานในลักษณะน้ีเพ่ือสงเสริมการมีรายไดของคนชุมชน การดําเนินการจัดเก็บ ขอมูลของคณะกรรมการ KM ดานทํานุบํารุงศิลปวัฒนธรรมภูมิปญญาทองถิ่น ของวิทยาลัยนาฏศิลปพัทลุง ถือเปนหนวยงาน แรกท่ีใหความสนใจ และมีการจัดการความรูที่เปนระบบ กําหนดขอบเขตไวชัดเจน และนําเอาTechnology ท่ีทันสมัยมา ประยกุ ตใชกบั ขอ มลู ซึ่งนําไปสกู ารปฏิบตั ไิ ดจริง นอกจากนยี้ งั มีปจ จยั อนื่ ๆ ที่เกือ้ หนนุ ใหเ กดิ ผลสําเร็จ ดังน้ี 1. วฒั นธรรมและพฤตกิ รรมของคนในองคกร ที่มีเจคติที่ดีในการแบงปนความรู และนําความรูที่มีอยูเปนฐานในการ ตอ ยอดความรขู องคนรุนใหมตอไป คณะกรรมการมีความรูความสามารถเชิงลึกในหัวขอท่ีจัดเก็บ มีการทุมเท เสียสละเวลาใน การทํางาน มีเปาหมายเดยี วกัน และใหเ กียรติผรู ว มงาน 2. ครูภูมิปญญาทองถ่ิน เปนผูมีความรูความเชี่ยวชาญดานการผลิตโพนของจังหวัดพัทลุงมาเปนระยะเวลาชานาน และ ใหความรว มมอื ในการจัดเก็บรวบรวมองคค วามรู เสียสละเวลาในการตรวจสอบประมวลและกล่ันกรองความรอู ยา งดียงิ่
11 3. เนื่องจากองคความรูดานภูมิปญญาทองถิ่นท่ีเก่ียวกับการผลิตโพนในจังหวัดพัทลุง เปนมรดกทางวัฒนธรรมที่มี คุณคาของทองถ่ินยังไมมีหนวยงานใดเขาไปจัดเก็บขอมูลอยางเปนระบบและนําออกเผยแพร จึงไดรับการตอบรับจากชุมชน ทอ งถน่ิ และผูสนใจเปนอยา งมาก 4. สถาบันบณั ฑิตพฒั นศิลป ผูบ ริหาร ใหความสาํ คัญและสนับสนุนงบประมาณในการดําเนนิ การซง่ึ มคี าใชจ ายคอนขางสงู 5. ผูรับผิดชอบมีการวางแผนการจัดการความรู กําหนดตัวช้ีวัด วางแผนระยะเวลา ในการทํางาน เลือกและกําหนด กลมุ เปา หมายที่ชดั เจนตรงประเด็น และการดาํ เนินการเปน ไปตามระบบและขัน้ ตอนของหลักการจัดเกบ็ รวบรวมองคค วามรู ปญหา อุปสรรคและแนวทางการแกไข แนวทางแกไ ข องคกรควรสนบั สนนุ และแนะนาํ แหลงขอ มูลตางๆ ปญ หาและอปุ สรรค สําหรบั คนควา ขอมลู อาทิ หนงั สอื เอกสาร ตาํ รา 1. คณะกรรมการ มีความรคู วามชาํ นาญดา นทักษะ หรือแนะนาํ ผเู ชีย่ วชาญเพื่อเปนที่ปรึกษา การปฏิบัติ แตไมม คี วามถนดั ในเชิงทฤษฎี ควรเลือกเวลาทีเ่ หมาะสมสําหรบั ดาํ เนินงานตาม โครงการ เชน ชว งปดภาคเรียน เปนตน 2. คณะกรรมการแตล ะคนมภี าระทต่ี องรับผิดชอบ ชีใ้ หเหน็ ถงึ ความสาํ คัญและประโยชนของการพัฒนา หลายดา น หาเวลาทีว่ างพรอมตรงกันคอนขางยาก ศกั ยภาพตัวบุคลากรและองคกร รวมถึงรางวัลท่ีจะไดรับ 3. บคุ ลากร ไมอยากทาํ KM จดั สรร สื่ออุปกรณ Technology รองรับการใชง าน 4. องคกรไมม ี Technology ที่ทันสมยั รองรับการ สงเสริมใหมีการบรู ณาการองคค วามรดู า นภูมปิ ญญา ทาํ งานของคระกรรมการ ทอ งถ่ินมาปรบั ใชอยางเปนระบบ 5. องคก รยังขาดการบูรณาการการนาํ เอาภูมปิ ญญา ทอ งถน่ิ สูการเรียนการสอน การวจิ ัย และทาํ นบุ ํารงุ แสวงหาชองทาง เปดโอกาสการเรยี นรูหลากหลาย ศลิ ปวฒั นธรรมอยา งเปนระบบ ชองทาง 6. ชอ งทางการประชาสัมพนั ธใ หบุคคลทวั่ ไปเขา มา วิทยาลัย ควรชี้แจงผลการดําเนนิ งานผลความสาํ เรจ็ ศึกษาเรียนรูมีไมมากเทาท่ีควร ของงานใหท ป่ี ระชมุ ทราบ เพ่ือสรางขวัญและให 7. การยกยองชมเชยผลงานท่ีเกดิ ขึ้น ใหบ ุคคลทัง้ กาํ ลงั ใจผปู ฏบิ ตั งิ าน ภายในและภายนอกไดทราบ ยงั ไมเปนรปู ธรรม ความทา ทายตอ ไป ผลสาํ เรจ็ จากการดําเนนิ การจดั เก็บองคค วามรู เรอื่ งการผลติ โพนเพ่ือธุรกิจชุมชน ของวทิ ยาลัยนาฏศิลปพัทลุง นํามา ซึ่งความภาคภูมิใจของคนในองคกร สรางขวัญและกําลังใจใหกับคณะกรรมการดําเนินงานและผูมีสวนเกี่ยวของ สราง วัฒนธรรมองคกรที่สามารถดึงดูดคนเกงใหเขามาทํางานเพิ่มข้ึน อีกทั้งยังสรางแรงบันดาลใจใหเกิดการสรางงานดานการ อนรุ กั ษ สืบทอด ศลิ ปวฒั นธรรมและภูมปิ ญญาทอ งถน่ิ สง ตอ ใหคนรุนหลัง การจัดเก็บขอมูลในคร้ังน้ีมีขอจํากัดในเรื่องของเวลา และงบประมาณ จึงไดขอมูลที่เกี่ยวของทั้งดานทุน การตลาด การเพ่ิมมูลคาเพียงบางสวนเทาน้ัน จากการพูดคุยกับครูภูมิปญญา ทอ งถน่ิ ทานมคี วามประสงคทจี่ ะใหหนว ยงานที่รับผิดชอบโดยตรง เชน หนว ยงานราชการ พาณิชยจังหวัด พัฒนาชุมชน เขามา สง เสรมิ การสรางรายไดข องคนในชมุ ชนอยางจริงจงั ตลอดจนสง เสริมสนบั สนุนประเพณีวฒั นธรรมทอ งถนิ่ สืบไป
การจัดการงานศลิ ปเ พ่อื ธรุ กจิ ชมุ ชนบานตะปอนใหญ จ.จนั ทบรุ ี The art knowledge management for local business of Ban Tapon Yai, Chanthaburi - วาที่รอยตรชี ูชาติ สรอยสงั วาลย - นางนาํ้ ทพิ ย สรอยสงั วาลย ครูชาํ นาญการพิเศษ วิทยาลยั นาฏศิลปจนั ทบุรี chuchatsoi05@gmail.com ครชู ํานาญการพิเศษ วิทยาลัยนาฏศิลปจนั ทบรุ ี namtipsoisangwan@gmail.com บทสรุป องคความรูดานทํานุบํารุงศิลปวัฒนธรรมภูมิปญญาทองถิ่น เปนพันธกิจหนึ่งที่สําคัญของ วิทยาลัยนาฏศิลปจันทบุรี การดําเนินงานสามารถตอบสนองยุทธศาสตรของสถาบันบัณฑิต- พัฒนศิลป ในยทุ ธศาสตรท่ี 3 อนรุ ักษ พัฒนา สืบสานและเผยแพรศิลปวัฒนธรรม แนวทางหนึ่ง จากหลายๆ แนวทาง คือการดําเนินงานมีการลงพ้ืนท่ีและรวมกับภูมิปญญาทองถิ่นทําการศึกษา ศลิ ปวฒั นธรรมภูมปิ ญญาทองถ่ินและดําเนินการถอดเปนองคความรูรวมกัน ซ่ึงจะสะทอนคุณคาที่ เปนเอกลักษณ อัตลักษณของงานศิลปที่สามารถตอบสนองนโยบายดวยการพัฒนาศักยภาพของ ภมู ปิ ญญาทองถ่นิ และสนับสนนุ การจัดการงานศิลปเพอ่ื ธุรกจิ ชุมชนเพื่อนําไปใชประโยชนตอองคกร ทั้งภายในและภายนอก วิทยาลัยนาฏศิลปจันทบุรีมีนโยบายในการดําเนินงานการจัดการความรูดานทํานุบํารุง ศิลปวัฒนธรรมภูมิปญญาทองถ่ิน อยางเปนระบบ เพื่อสงเสริมและพัฒนาการใหบริการทาง วิชาการท่ีหลากหลายแกชุมชนในทองถิ่นและสอดคลองกับความตองการของชุมชนดวย ชุมชน บานตะปอนใหญ จ.จันทบุรี เปนชุมชนแบบอยางท่ีมีความโดดเดนเรื่องการทํานุบํารุง ศิลปวัฒนธรรมภูมิปญญาทองถ่ิน และชุมชนบานตะปอนใหญ จ.จันทบุรี สามารถนําภูมิปญญา ศิลปวัฒนธรรมทองถิ่นมาผลักดันสูธุรกิจของชุมชนไดเปนอยางดี เปนที่ยอมรับทั้งในระดับจังหวัด และในระดบั ชาติ วิทยาลัยนาฏศิลปจันทบุรี จึงใหความสําคัญในการจัดการความรู(Knowledge Management : KM) เร่ือง “การจัดการงานศิลปเพื่อธุรกิจชุมชนบานตะปอนใหญ จ.จันทบุรี” ผลการดําเนินการการจัดการความรูเรื่องการจัดการงานศิลปเพ่ือธุรกิจชุมชนบานตะปอนใหญ จ.จันทบรุ ี เปน แนวทางในการใหบริการเรื่องทํานบุ ํารงุ ศลิ ปวัฒนธรรมภมู ิปญญาทองถิ่นกับการสราง ธรุ กจิ ของชมุ ชนตางๆ ทีห่ ลากหลายไดใ นโอกาสตอ ไป คาํ สําคญั ธรุ กิจชมุ ชน การจัดการงานศิลป ชมุ ชนบานตะปอนใหญ
Summary The art knowledge sustainment of the local wisdom called the local strategy of Chanthaburi Dramatic Arts College. The procedure gives direct strategy of the college. It is the third: preservation, development and promotion. The process could be done by interviewing and data collecting on their art and culture wisdom from the community. Art unique can fulfill the strategy by sustain the efficiency of local wisdom and local business that provide internal and external benefits. The aim of Chanthaburi Dramatic Arts College is the systematic knowledge management of the local art sustainment and its preservation. By systematic process of the management, it delivers and develops the diverse academic service of local community. In according with the desire of the people in the Ban Tapon Yai community, it is a good mdel of their art preservation and their sustainment of their local wisdom. It can be used to enhance their business which be accepted in the province and nation. Chanthaburi Dramatic Arts College gives the community an important of the knowledge management. The art knowledge management for local business of Ban Tapon Yai, Chanthaburi gave the result of the study. It can be applied as a guideline of the service on the local wisdom preservation and the sustainment of local business on divers occasions. Keywords: Local business, Art knowledge management, Ban Tapon Yai community
บทนํา ชุมชนบานตะปอนใหญ ไดดําเนินธุรกิจการทองเที่ยวของชุมชนบานตะปอนใหญเปน แบบเชิงนิเวศ เชิงประวัติศาสตรนั้น ไดกําหนดใหทุกวันเสารจัดกิจกรรม ฟนฟูตลาดโบราณ กิจกรรมยอนอดีตความเจริญรุงเรือง ท่ีมีประวัติศาสตรมายาวนานกวา ๒๗๐ ปและการดําเนิน ธุรกิจดังกลาวนั้น ชุมชนบานตะปอนใหญมีการจัดการงานศิลปโดยนําศิลปะการแสดง นาฏศิลป – ดนตรี มาเปนสวนสําคัญสวนหนึ่งของกระบวนการสรางธุรกิจของชุมชนบานตะ ปอนใหญ แต กระบวนการ รูปแบบและสภาพปญหาในการจัดองคความรูการนํา ศิลปะการแสดงนาฏศิลป – ดนตรียังขาดความชัดเจน วิทยาลัยนาฏศิลปจันทบุรีได ดําเนินการลงพื้นที่พบผูนําชุมชนและภูมิปญญาทองถ่ินเพื่อรวบรวมขอมูลเกี่ยวกับความพรอม ความตองการของชุมชนในการจัดการนําศิลปะการแสดงนาฏศิลป – ดนตรี และดําเนินการ ถอดเปนองคความรูรวมกัน ซ่ึงจะสะทอนคุณคาท่ีเปนเอกลักษณ อัตลักษณของงานศิลปที่ สามารถตอบสนองนโยบายดวยการพัฒนาศักยภาพของภูมิปญญาทองถิ่นและสนับสนุนการ จัดการงานศลิ ปเพื่อธรุ กิจชมุ ชนเพื่อนาํ ไปใชประโยชนต อ องคก รท้ังภายในและภายนอก วิธกี ารดําเนินงาน การจัดการความรเู รื่องการจัดการงานศิลปเพ่ือธุรกิจชุมชนบานตะปอนใหญ จ.จันทบุรีมี กระบวนการดําเนนิ งานแลกเปล่ียนเรียนรู ของผูแทนจากบคุ ลากรของวิทยาลัยฯ โดยแตงตั้งเปน คณะกรรมการดําเนินงาน ประกอบดวย ประธาน กรรมการ เลขานุการ พรอมกําหนดหนาที่ใน การดําเนินกิจกรรมตามขั้นตอน จัดทําปฏิทินกําหนดการประชุมแลกเปล่ียนเรียนรู จากน้ันได ดําเนินการจัดการประชุมแลกเปล่ียนเรียนรูโดยคณะกรรมการทุกทานไดเตรียมความรูที่จะ แลกเปล่ยี นเรยี นรรู วมกัน ตามแผนท่ีไดกําหนดไวในปฏิทิน คณะกรรมการดังกลาว ลงพื้นที่พบ ผูนาํ ชุมชนและภมู ิปญญาของชุมชนบา นตะปอนใหญเพ่ือทําการศึกษาการจัดการธุรกิจของชุมชน บานตะปอนใหญ เพื่อรวบรวมขอมูลเก่ียวกับความพรอม ศักยภาพของชุมชนและความตองการ รับการสนับสนุนจากวิทยาลัยนาฏศิลปจันทบุรีในการจัดการนําศิลปะการแสดงนาฏศิลป – ดนตรี ซ่ึงเปนสวนหนึ่งของการจัดการงานศิลปของขุมชนบานตะปอนใหญมาสนับสนุนการ จัดการธรุ กจิ ของชุมชน คณะกรรมการดาํ เนินการถอดเปนองคความรูรวมกัน และนําองคความรู ที่ไดนําเสนอในที่ประชุมของผูนําชุมชนและภูมิปญญาชุมชนบานตะปอนใหญเพื่อใหมีการ
ตรวจสอบองคความรูใหมีความถูกตอง นําองคความรูที่ไดมาเผยแพรผานท่ีประชุม จัดทํา เอกสารแผน พบั เพอื่ ชมุ ชนไดมรี ปู แบบในการจัดการงานศิลปเ พอ่ื ธุรกิจของชมุ ชนบานตะปอนใหญ และชุมชนบานตะปอนใหญไดนําองคความรูที่ไดมาดําเนินการอยางมีระบบและมีรูปแบบชัดเจน เปนชมุ ชนท่ีมีศักยภาพเปนแหลงศึกษาดูงานการนําองคความรูการจัดการงานศิลปเพ่ือธุรกิจของ ชุมชนแกช มุ ชนใกลเ คยี งและภูมภิ าคอน่ื ๆ การจัดการงานศลิ ปข องชุมชนบานตะปอนใหญ การจัดการงานศิลปของงชุมชนบานตะปอนใหญ จะเนนเรื่องการนําศิลปะการแสดง นาฏศิลป – ดนตรีมาจัดการเพ่ือธุรกิจชุมชนบานตะปอนใหญนั้น เปนการนําเสนอในรูปแบบที่ มีความจําเพาะและมีการปรับรูปแบบใหมีความนาสนใจ ซึ่งการนําศิลปะการแสดงนาฏศิลป – ดนตรีมาจัดการเปนสวนสําคัญสวนหนึ่งของกระบวนการสรางธุรกิจของชุมชนบานตะปอนใหญ เพื่อกระตุนการดําเนินกิจกรรมการคาขายภายในตลาดโบราณ ๒๗๐ ป และการดําเนินธุระ กิจการทองเท่ียวของชุมชนบานตะปอนใหญซึ่งเปนแบบเชิงนิเวศ เชิงประวัติศาสตรชม โบราณสถาน ชมภูมิประเทศ การเรียนรูวิถีชีวิตของชุมชนบานตะปอนใหญ รูปแบบการนํา ศิลปะการแสดงนาฏศิลป ดนตรี มานําเสนอในโอกาสตางๆของชุมชน พบขอพิจารณา ดังน้ี ๑. การจัดการแสดงสื่อใหเห็นวิถีชีวิตของชุมชนบานตะปอนใหญในอดีตและยังคง อนุรักษ สืบสานในปจจุบัน ไดแก การแสดงชักกะเยอเกวียนเพื่อสื่อถึงตํานานแหเกวียนผาพระ บาท” ประเพณีแหงศรัทธา ณ วัดตะปอนนอย วัดตะปอนใหญ วัดเกวียนหัก การแสดงหงส ฟางเพ่ือสื่อวิถีชีวิตการละเลนของหนุม สาวชวงฤดูการเก่ียวขาว ๒. การนําเสนอศิลปะการแสดงนาฏศิลป – ดนตรีมีรูปแบบที่นาสนใจทั้งในเรื่องลีลา การแสดงที่พัฒนาโดยนําแบบแผนของนาฏศิลปซึ่งมีความออนชอย โดยมีวิทยาลัยนาฏศิลป จันทบุรีใหการสนับสนุนการฝกซอม และออกแบบการนําเสนอใหสอดคลองกับบริบทของ ชุมชนบานตะปอนใหญเชน การรําฟอนชอนกุงมีเสียงดนตรีที่สนุกสนานและลีลา ทาทางสื่อสื่อ ถึงภูมิประเทศ และวิถีชีวิตปาชายเลนที่มีอาชีพจับกุงของชุมชนบานตะปอนใหญ อุปกรณการ แสดงท่ีประดิษฐจะใชสวนของตนจากไมในปาชายเลนของชุมชนมาทาํ ตะโพงชอนกุง เปนตน
๓. การพัฒนารูปแบบการแตงกายของผูแสดงใหสอดคลองกับบริบทของกิจกรรมนั้นๆ เนนการใชทรัพยากรในทองถิ่น เปนชุดการแตงกายแบบไทยๆซึ่งผูแสดงสามารถปฏิบัติงาน ธุรกิจคาขาย หรือปฏิบัติงานตามบทบทบาทในขณะประกอบงานธุรกิจของชุมชน ซึ่งชุดการ แสดงมีความสวยและงายตอการแตง เชน นุงผาโจงกระเบน หรือนุงซิ่น สวมใสเสื้อแขน กระบอก ชุดแสดงเปนชุดของผูแสดงที่สวมใสในงานบุญ งานเทศกาลของชุมชนซึ่งมีความ สวยงาม สวนเครื่องประดับชุดการแสดงและอุปกรณพรอมฉากการแสดงที่ประดิษฐขึ้นตาม แนวคิดการใชวัสดุในทอ งถน่ิ และสือ่ ถึงอาชีพชองชมุ ชน เชน ชาวนา ชาวสวน ๔. การจัดการงานศิลปเพ่ือสื่อถึงการละเลน ประเพณีในอดีต ที่คงสืบสานใหคงมีอยูใน ปจจุบันนัน้ ไดค ํานึงถงึ รูปแบบท่ีเกิดจากการประสานความคิดของสมาชิกทุกวัย มีความทันสมัย สามารถเลาเรื่องวิถีชีวิตของชุมชนตะปอนใหญ เสียงดนตรีมีประเภทเครื่องประกอบจังหวะ เชน กลองยาว สวนบทรองอาจแตงขึ้นใหมจะปรับเปลี่ยนตามโอกาสหรือเหตุการณเฉพาะการ ของชุมชนบานตะปอนใหญ เชน บทรองเพลงหงสฟางท่ีบทรองเพลงหงสฟางท่ีการนอมนํา โครงการในหลวงเพื่อการรณรงครักษาสิ่งแวดลอม หรือการแนะนําแหลงทองเที่ยว การแนะนํา สภาพภูมิศาสตรของชุมชนบานตะปอนใหญ ๕. การดําเนินการจัดการดานนาฏศิลป – ดนตรี นั้นชุมชนบานตะปอนใหญตองการให มีการพัฒนาทักษะ พัฒนาความสามารถนาฏศิลป – ดนตรี ของสมาชิกของชุมชนบานตะปอน ใหญ โดยเกิดจากผูนําของชุมชนรวมกับสมาชิกของชุมชนเสนอแนวคิด ประชุมรวมกัน รวม ปฏิบัติ รวมกันพัฒนารูปแบบการแสดงใหนาสนใจ มีความทันสมัย โดยอาศัยการมีสวนรวมของ องคภายนอกชุมชนบานตะปอนใหญไดแก วิทยาลัยนาฏศิลปจันทบุรีมาทําการสอน ฝกซอมให สมาชิกผูสูงวัย ผูประกอบการของชุมชน ฝกซอมใหนักเรียนของโรงเรียนในชุมชนบานตะปอน ใหญ โรงเรียนของอําเภอขลุง จังหวัดจันทบุรี ซึ่งการพัฒนาทักษะ และการพัฒนา ความสามารถนาฏศิลป – ดนตรีของสมาชิกในชุมชน ทําใหผูแสดงนาฏศิลป – ดนตรี ของ สมาชิกของชุมชนบานตะปอนใหญ ทําใหผูแสดงมีความหลากหลายวัยทั้งเยาวชน ผูสูงวัย และ หลากหลายอาชีพท้ังผูประกอบการคา ผูประกอบการเกษตร หรือผูประกอบอาชีพราชการก็มา ดาํ เนินการจัดการงานศิลปของชุมชนเอง เนื่องจากการฝกซอมจะดําเนินการชวงเลิกงาน หรือ
วันหยุด สงผลใหเกิดความยั่งยืน ทําใหเกิดการพัฒนาอยางตอเนื่อง ตระหนักในบทบาทของ สมาชิกที่จะทําใหเกิดรายได ๖. การจัดการงานศิลปดวยการนํานาฏศิลป – ดนตรีมาจัดการธุรกิจของชุมชนทําให ไดรับความสนใจในวงกวางจากชุมชนสูจังหวัดและสูระดับประเทศ ดวยการจัดการดาน นาฏศิลป – ดนตรีนั้นมีความงาม มีความประณีต เกิดความสุนทรียะและเกิดความประทับใจ แกผูคนที่มาเย่ียมชมธุรกิจของชุมชนบานตะปอนใหญ สงผลใหเกิดการประชาสัมพันธ บอกเลา เรื่องราวของชุมชนบานตะปอนใหญผานสื่อในชองทางตางๆมีทั้ง face book, Line, Instagram, Messenger ซึ่งทําโดยผูที่มาเยี่ยมชมและสามารถประชาสัมพันธไดรวดเร็ว ลด ความใชจาย เพียงอาศัยการประทับใจในความงาม พอใจในความสุนทรียะ ผลและอภปิ รายผลการดาํ เนนิ งาน จากการจัดการความรู พบวา การจัดการงานศลิ ปของชมุ ชนบา นตะปอนใหญ ท่ีเนนการ นาํ ศิลปะการแสดงนาฏศิลป – ดนตรีมาจัดการเพื่อธุรกิจชุมชนบานตะปอนใหญนั้น นอกจากมี การพัฒนารูปแบบการนําเสนอขางตนแลวชุมชนเพิ่มโอกาสใหมีขึ้นเปนประจําทุกสัปดาหโดยใช ลานถนนของตลาดทําการแสดง โดยผูประกอบการคาขายจะออกมารํากลองยาวตอนรับแขก ตางบานตางเมืองที่มาเยี่ยมชม และมาจับจายซื้อหาสิ้นคาพื้นบานของชุมชนดวย สิ่งนารักๆ เหลาน้ีนับเปนอีกเสนหหนึ่งของตลาดโบราณ ๒๗๐ ปที่ไดรับความสนใจมากยิ่งขึ้น จัดใหมีเวที การแสดงถาวรและลานศิลป เพื่อสนับสนุนธุรกิจการทองเที่ยวของชุมชน ชุมชนบานตะปอน ใหญยังมีแผนการจัดการเริ่มต้ังแตการฝกซอมของเยาวชนของสถานศึกษา การฝกของผูแสดง กลุมผสู งู วัย และกลุมผูป ระกอบการคา โดยคํานึงถึงความตองการและศักยภาพของคนในสมาชิพ ในชุมชนบานตะปอนใหญในดานงานศิลปทําใหเกิดเสนห ซ่ึงพบวาโดยพ้ืนฐานของสมาชิกใน ชุมชนเกี่ยวกับงานศิลปดานนาฏศิลปและดนตรีน้ันทั้งผูประกอบการคา ผูสูงวัย และเยาวชน ของชุมชนดะปอนใหญมีอุปนิสัยชอบรองรําทําเพลง มีความสนใจใหความสําคัญในการพัฒนา ตนเองเพ่ิมเติมท้ังความสามรถในการแสดงนาฏศิลปและดนตรี อีกท้ังผูนําชุมชนบานตะปอนใหญ รวมกันจัดทําแผนการดําเนินการ และติดตามผล ตลอดจนมีการเช่ือมโยงสมาชิกของชุมชน กับ ชุมชนอื่น และองคกรชุมชนตางๆ ใหสามารถทํางานรวมกัน เพื่อประสานประโยชนใหครอบคลุม มิตแิ ละพื้นท่ีใหกวางข้ึน และกําหนดปฏิทินตลอดทั้งปในการนําเสนอตามโอกาสวันสําคัญๆของ
ชุมชน ซ่ึงมีความหลากหลายของกิจกรรม ทั้งกิจกรรมศาสนา ประเพณีที่มีในโบราณใหมีการ ฟนฟู การนําชมแหลงทํากินของชุมชน นําชมโบราณสถานผานศิลปะการเลาเร่ือง เกิดการ ถายทอดองคความรูจากรุนผูสูงวัย สูรุนเยาว ในรูปของการจัดการงานศิลปของชุมชนบานตะ ปอนใหญ การจัดการงานศิลปของชุมชนบานตะปอนใหญดังกลาวขางตนสงผลใหการดําเนินการ ธุรกิจตลาดโบราณ ๒๗๐ ป งาน “มหาสงกรานตตะปอน ตํานานแหเกวียนผาพระบาท” ประเพณแี หง ศรทั ธา ณ วดั ตะปอนนอย วัดตะปอนใหญ วดั เกวยี นหกั งานยอนวันวาน หรรษา วิถีไทย@ตะปอนใหญ และธุรกิจการทองเที่ยวของชุมชนบานตะปอนใหญสามารถเพิ่มจุดขาย เพ่ิมรายไดใหชุมชนมีความมั่นคง พ่ึงพาตนเองเกิดความยั่งยืนไดดวยชุมชนเอง เนนการใช ทรัพยากรเฉพาะขอบเขตที่มีอยูไ มหวงั พงึ่ ทรพั ยากรจากทีห่ า งไกล สรุป การจัดการงานศิลปเพ่ือธุรกจิ ชมุ ชนบานตะปอนใหญ มจี ุดเดน ในเรอ่ื ง - มกี ารทําแผนประชาสัมพันธธรุ กจิ และการจัดการงานศลิ ป ทีม่ ีความหลากหลายชอ งทาง - ไดร บั การสนบั สนุนจากภาครัฐทั้งเรอ่ื งงบประมาณ รว มประชุมกลมุ ยอยและการนําเสนอ ขยายผลในระดับจังหวดั ระดบั ภาค - การทาํ งานทีป่ ระสานกันระหวางเจาหนาท่ปี กครองทองถน่ิ ผนู าํ ชุมชนหมบู า นตา งๆทัง้ ภายในและภายในชมุ ชน - การสรา งความเขา ใจ ใหคนในชุมชนเห็นความสาํ คัญของการจัดการงานศิลปเพื่อการ อนรุ กั ษ และสรา งรายไดส อดคลองกับศกั ยภาพของคนในชุมชน - มคี วามพรอมของบคุ ลากร ความพรอมของสถานที่ และมกี ิจกรรมที่หลากหลาย - มกี าํ หนดใหมีกจิ กรรม ดา นนาฏศลิ ป และดนตรี ของคนในชมุ ชนทุกครง้ั ในการ ประกอบการเปดตลาดในวาระพเิ ศษ การตอ นรบั แขกผูมาเยอื นในเทศกาลของชุมชน เชน งานมหาสงกรานตตะปอน งานบญุ ประเพณีฟน งานวดั ตะปอนใหญ งานยอนรอย วันวาน และการเขา มาเย่ียมชมศึกษาดงู านโดยผูเ ขาชมมสี ว นรว มการแสดงออกรวมกบั ผู ปรกอบธุรกิจคา ขายเชนการชักคะเยอ เกวยี นผาพระบาท
บรรณานกุ รม ประเวศ วะสี. 2535. การพัฒนาพลังสรางสรรคขององคกร. กรงุ เทพฯ : สํานกั พิมพหมอ ชาวบา น. วนั ชัย วฒั นศพั ท. 2543. การมีสว นรวมของประชาชนในการตัดสนิ ใจของชุมชน. กรุงเทพฯ: สถาบันพระปกเกลา. วิจารณ พานชิ . 2548. การจดั การความรู ฉบบั นกั ปฏิบัติ. กรุงเทพฯ: สถาบันสงเสรมิ การจดั การ ความรเู พื่อสังคม. รังสรรค เครอื คํา. 2554. พฒั นา: หลักการและแนวคิดเก่ยี วกับการมีสวนรวมของประชาชนใน การพฒั นา. วารสารโครงการหลวง, 15(1), 53-58.
1 บทความการจดั การความรู้ ประจาปี งบประมาณ 2561 สถาบนั บณั ฑิตพฒั นศลิ ป์ ช่ือเร่ือง เทคนคิ การเขยี นรายงานการสร้างสรรค์ผลงานศิลปะ ชอื่ -สกุล นางจฬุ าลกั ษณ์ สุทนิ หนว่ ยงาน วิทยาลยั ช่างศิลปนครศรีธรรมราช การจดั การความรดู้ า้ น การวจิ ัย การสรา้ งสรรค์ Email address Thaithat05@gmail.com บทสรุป การสร้างสรรค์ผลงานวิชาการด้านศิลปะ เป็นการทํางานสร้างสรรค์ศิลปะท่ีเน้นผลด้าน การปฏิบัติเป็นหลัก โดยให้ความสําคัญท้ังในส่วนของกระบวนการปฏิบัติ การทดลองในขณะ ปฏิบัติ และผลของการศกึ ษาทดลองที่ได้ทําการบันทึกข้อมลู อย่างเปน็ ระบบ การทํางานสรา้ งสรรค์ โดยการปฏิบัติเป็นเคร่ืองมือที่นําไปสู่ความรู้ใหม่ ทั้งน้ีอาจเน้นถึงความรู้ที่ได้จากกระบวนการ ศึกษาและสร้างสรรค์ ที่แสดงออกด้วยความเป็นเอกลักษณ์เฉพาะของผลงาน (Originality) เป็น การพัฒนาความรู้ในการปฏิบัติงานสร้างสรรค์ โดยผลสรุปท่ีได้คืองานสร้างสรรค์ทางศิลปะ เป็น การศึกษาหรือการค้นคว้าอย่างมีระบบด้วยวิธีการเพื่อให้ได้มาซึ่งข้อมูล คําตอบ หรือข้อสรุปท่ีจะ นําไปสู่ความก้าวหน้าทางวิชาการ หรือการนําความก้าวหน้าทางวิชาการไปประยุกต์ใช้ในการ สร้างสรรค์ผลงาน ซ่ึงกระบวนการดังกล่าวเกิดประโยชน์ในการนําไปใช้เพ่ือพัฒนาด้านการศึกษา การสร้างนวัตกรรมใหม่ การสร้างสรรค์หรืออนุรักษ์ด้านศิลปวัฒนธรรม หรือการพัฒนาผลงานใน ลกั ษณะงานสร้างสรรคท์ างศลิ ปะเพื่อขอตาํ แหน่งทางวิชาการ เป็นตน้ คาสาคญั : การเขียนรายงาน การสร้างสรรคผ์ ลงานศลิ ปะ Summary Art academic creation is art experiment and art practice to find the results. The creators have to record the results systematically. Art creation by experiment and practice lead to the new knowledge, new innovation, and original works of art. The creators study from the technical methods to find information, answers, or conclusion that make them to find academic progress. The academic progress is useful for educational development, economic development, cultural development, and cultural conservation, and so on.
2 Keywords : Report Writing Art Creation บทนา การวจิ ยั และการสร้างสรรค์ จดั เป็นผลงานทางวิชาการท่เี ป็นพนั ธกิจหลักของสถานศึกษา ผลงานสร้างสรรค์จดั เป็นนวัตกรรมท่ีสําคัญที่ครู อาจารย์ผ้สู อนศิลปะจะต้องดาํ เนนิ การ โดยระบบ การประกันคุณภาพการศึกษาได้กําหนดให้ครู อาจารย์ผู้สอนจะต้องทําผลงานวิจัย หรือผลงาน สร้างสรรค์อย่างน้อยปีละ 1 เร่ือง (คู่มือการประกันคุณภาพการศึกษา ระดับอาชีวศึกษา สถาบัน บัณฑิตพัฒนศิลป์ (2560) : 12) โดยปรากฏว่าตัวบ่งชี้ในมาตรฐานการประเมินด้านผลงาน สร้างสรรค์ของครู อาจารย์ผู้สอนยังไม่ประสบผลสําเร็จเท่าท่ีควร เน่ืองจากครู อาจารย์ส่วนใหญ่มี ความสามารถในการสร้างสรรค์ผลงานศิลปะเป็นท่ีประจักษ์ แต่ยังขาดทักษะในการเขียนรายงาน การสร้างสรรค์ผลงานศิลปะ (รายงานผลการประกันคุณภาพการศึกษาภายใน วิทยาลัยช่างศิลป นครศรธี รรมราช ประจาํ ปี 2560 : 35) การเขียนรายงานการสร้างสรรค์ผลงานศิลปะ เป็นการเขียนผลงานทางวิชาการท่ีเป็น เนื้อหาสาระซ่ึงมีวิธีการเฉพาะ โดยเน้ือหาสาระและความสําคัญของเร่ืองที่จะสร้างสรรค์ ประกอบด้วยหลักการและเหตุผล วัตถุประสงค์ ขอบเขตและวิธีการในการดําเนินการสร้างสรรค์ รวมไปถึงการวิเคราะห์ ประเมินผล อธิบายผลของงานสร้างสรรค์ โดยสรุปโครงสร้างในการ ดําเนินการเขียนรายงานผลงานสร้างสรรค์เมื่อเทียบเคียงกับวิธีการในการดําเนินงานวิจัย อาจ กล่าวได้ว่ามีส่วนท่ีเหมือนกันเม่ือเทียบเคียงกันกับระเบียบวิธีวิจัย แต่กรรมวิธีของงานสร้างสรรค์ ศิลปะวิชาการอาจจะมีวิธีการที่อิสระ มีการปฏิบัติการ มีข้ันตอน มีการสืบค้นข้อมูล ทบทวน อ้างอิงองค์ความรู้ทางศิลปกรรม มีการวิเคราะห์ปัญหา มีการสังเคราะห์องค์รวม ทางการ ปฏิบัติการให้สําเร็จเป็นงานสร้างสรรค์ และอาจนํามาวิเคราะห์แยกแยะเป็นสาระความรู้ ความหมายทางวิชาการในภายหลัง หรืออาจกําหนดแนวคิด เขียนวิเคราะห์ สังเคราะห์ไปพร้อม กับการทํางานสร้างสรรค์ ซึ่งขึ้นอยู่กับเหตุปัจจัยธรรมชาติของการสร้างสรรค์ศิลปะในแต่ละ ความคิด บริบท และแนวทาง ผลสรุปสุดท้ายท่ีสําเร็จออกมาเป็นรูปแบบเอกสาร เนื้อหาสาระจะ เป็นการวิเคราะห์แยกแยะ และประเมินผลงานสร้างสรรค์ของศิลปินแต่ละบุคคล เพื่อตอบคําถาม อธิบายความ ในหลักการและเหตุผลของการสร้างสรรค์ผลงานศิลปะของตน โดยสรุปได้ชัดเจน เป็นรูปแบบเอกสาร ซ่ึงก็คือผลสรุปที่เป็นสาระองค์ความูร้ทางวิชาการในลักษณะผลงาน สร้างสรรค์ศิลปะ ซ่ึงเกิดประโยชน์ในการอนุรักษ์ หรือพัฒนาด้านศิลปวัฒนธรรม หรือการสร้าง นวัตกรรมใหม่ เพ่ือการศึกษาค้นคว้า เรียนรู้ เพื่อการพัฒนาด้านการศึกษา ด้านวิชาการ การ ค้นควา้ สิง่ ใหมเ่ พ่ือพัฒนาหรือต่อยอดทางธุรกจิ อนั ก่อใหเ้ กิดการพัฒนาดา้ นเศรษฐกิจ สรา้ งรายได้ และเป็นการสืบทอดทางวัฒนธรรมของชนรนุ่ หลังตอ่ ไป (ปรชี า เถาทอง. www.mua.co.th) วธิ ดี าเนนิ การ การจัดการความรู้ เรื่องเทคนิคการเขียนรายงานการสร้างสรรค์ผลงานศิลปะ มี วัตถุประสงค์เพ่ือ (1) รวบรวมองค์ความรู้เก่ียวกับเทคนิคการเขียนรายงานการสร้างสรรค์ผลงาน ศิลปะ (2) เพื่อเผยแพร่องค์ความรู้ เกี่ยวกับเทคนิคการเขียนรายงานการสร้างสรรค์ผลงานศิลปะ
3 ท้ังภายในและภายนอกองค์กร รวมท้ังประชาชนท่ัวไปที่สนใจนําองค์ความรู้ไปใช้ โดยการ ดําเนนิ งานจดั การความรู้ ได้ดาํ เนนิ การ 7 ขน้ั ตอน ดังน้ี 1.การค้นหาความรู้ ดําเนินการประชุม ติดต่อประสานงาน เพอ่ื คน้ หาผูเ้ ช่ียวชาญเก่ียวกับ เทคนิคการเขยี นรายงานการสรา้ งสรรค์ผลงานศลิ ปะ เป็นกรรมการและเปลี่ยนเรยี นรู้ 2.การสร้างและแสวงหาความรู้ จดั ประชมุ เพื่อให้คณะกรรมการ KM นําเสนอความรู้ 3.การจัดการความรใู้ หเ้ ปน็ ระบบ นาํ ขอ้ มลู ทไ่ี ดจ้ ากการนําเสนอแลกเปลีย่ นเรยี นร้ใู นแต่ ละครั้งมากล่นั กรอง และจัดหมวดหมู่ จัดพมิ พเ์ ป็นเอกสาร 4.การประมวลและกล่ันกรององค์ความรู้ คณะกรรมการ KM นาํ ข้อมลู ที่ไดจ้ ากการจัด หมวดหม่มู าปรบั ภาษาให้เปน็ ภาษาท่สี ามารถเขา้ ใจไดง้ ่าย จดั ทาํ รปู เลม่ แจกจา่ ยแก่คณะกรรมการ เพ่ือตรวจสอบแกไ้ ข 5.การแบ่งปันแลกเปลี่ยนเรียนรู้ โดยนําองค์ความรู้ท่ีจัดรูปเล่มแจกจ่ายในห้องสมุด วิทยาลัยฯ เผยแพร่ ไปยังนักศึกษา ครู อาจารย์ และผู้สนใจ รวมทั้งแจ้งให้ทราบถึงช่องทางการ เข้าถงึ ข้อมลู 6.การเข้าถึงความรู้ นําข้อมูลเผยแพร่ความรู้ในรูปแบบเอกสาร ลงเวปไซด์ เฟสบุ๊ค และไลน์กลมุ่ รวมท้งั ประชาสมั พนั ธ์องค์ความรู้เรอ่ื งเทคนิคการเขยี นรายงานการสร้างสรรคผ์ ลงาน ศิลปะ แก่นักศึกษา ครู อาจารย์ ผู้สอน ได้นําแนวทางไปประยุกต์ใช้ รวมทั้งประชาชนผู้สนใจนํา ความร้ไู ปใช้ 7.การเรียนรู้ ได้เชิญผู้เชี่ยวชาญทําการแลกเปลี่ยนเรียนรู้ และนําองค์ความรู้จากการ แลกเปลีย่ นเรียนรเู้ ผยแพร่แก่กลมุ่ เป้าหมาย และผสู้ นใจโดยทั่วไป สรุปและอภปิ รายผลการดาเนนิ งาน สรุปผลการดาเนนิ งาน การนําเสนอองค์ความรู้ และการแลกเปลี่ยนเรียนรู้การจัดการความรู้ เร่ืองเทคนิคการ เขียนรายงานการสรา้ งสรรค์ผลงานศลิ ปะ สามารถสรุปประเด็นความรู้ได้ ดังน้ี เทคนิคการเขียนรายงานการสร้างสรรค์ผลงานศิลปะ ในรูปแบบมาตรฐาน ในรูปแบบที่ เป็นทางการ แบง่ ออกเป็น 5 บท ดงั น้ี -บทที่ 1 บทนํา ท่ีมา ความสําคัญของปัญหา ในบทน้ีเขียนโดยระบุให้เห็นถึงความสําคญั ความจําเป็นในการดําเนินการสร้างสรรค์ ซึ่งจําเป็นต้องสอดคล้องกับแผนยุทธศาสตร์ชาติ แผนพัฒนาเศรษฐกิจและสังคม แห่งชาติ นโยบาย ยุทธศาสตร์ด้านการวิจัย หรือการสร้างสรรค์ ของประเทศ ศึกษาเอกสาร ตํารา บทความที่เก่ียวข้อง นํามาใช้อ้างอิงให้เห็นความสําคัญ เขียน วัตถุประสงค์ และประโยชนท์ ีไ่ ดร้ ับจากการดําเนินการสรา้ งสรรคอ์ ย่างชัดเจน และจะตอ้ งเขียนให้ ครอบคลมุ หวั ข้อในบทที่ 1 ซึง่ ประกอบด้วยท่ีมา ความสําคัญของปัญหา วัตถปุ ระสงค์ คําถามวิจัย นิยามศพั ท์ที่เก่ยี วขอ้ ง เป็นต้น
4 -บทท่ี 2 การเขียนในบทนี้เขียนเก่ียวกับเอกสารงานวิจัย หรือทฤษฎีการ สร้างสรรค์ที่เก่ียวกับงานสร้างสรรค์ท่ีได้ดําเนินการ เมื่อได้ศึกษาค้นคว้าเอกสาร หรือทฤษฎีท่ี เก่ยี วข้องแลว้ จงึ นําหลกั ทฤษฎีดังกล่าวมาใชส้ ร้างสรรคเ์ ป็นผลงานท่ีไดส้ รา้ งสรรค์ -บทท่ี 3 เขียนนําเสนอเกี่ยวกับเทคนิควิธีการท่ีดําเนินการสร้างสรรค์ ซ่ึงจะต้อง ระบุเทคนิควิธีการเพ่ือนําเสนอเกี่ยวกับแนวทางในการสร้างสรรค์ การใช้ทัศนธาตุหรือสื่อต่าง ๆ หรอื การทดลอง เช่น สือ่ วัสดุ เทคนคิ กระบวนการในการสร้างสรรค์ เพื่อเปน็ ผลการทดลอง หรือ คน้ หาส่ิงใหม่ ดําเนินการสร้างสรรค์ -บทท่ี 4 วิเคราะหผ์ ลทไ่ี ด้จากการสรา้ งสรรคต์ ามวิธกี ารในบทท่ี 3 ซึง่ จะมีภาพ ประกอบการสร้างสรรค์ ผลงานตามขั้นตอนและกระบวนการในการศึกษาทดลอง ปรากฏออกมา ดงั ตวั อย่างท่ผี ู้ นําเสนอไดน้ ําเสนอผลงานที่ไดจ้ ากการดําเนินการตามเทคนิควธิ ีการของแตล่ ะท่าน ที่ปรากฏในเอกสารสว่ น ของการแลกเปลย่ี นองคค์ วามรู้ -บทที่ 5 เป็นส่วนบทสรุปผลท่ีได้จากการสร้างสรรค์ ซึ่งสรุปผลการสร้างสรรค์ ท่ีได้จากบทท่ี 4 โดยมีวิธีดําเนินการจากบทที่ 3 มีวัตถุประสงค์ในการดําเนินการตามบทท่ี 1 ใช้ หลักทฤษฎีในการศึกษาจากบทที่ 2 และสรุปผลสอดคล้องกับงานสร้างสรรค์ที่มีความสอดคล้อง สัมพันธ์ กับการ สร้างสรรค์ของใครบ้างที่ตนที่ได้เขียนไว้ในหัวข้อซ่ึงอยู่ตอนสุดท้ายในบทที่ 2 ดงั น้ันจะเหน็ ได้ว่าการเขียนทั้ง 5 บทจะมีความสมั พันธก์ ันอยา่ งชัดเจน นอกจากนี้ในการเขียนรายงานการสรา้ งสรรค์ผลงานศิลปะ ส่วนสําคัญนอกเหนือจากบท ที่ 1 – บทที่ 5 แลว้ จะต้องมีส่วนประกอบตา่ ง ๆ ที่สาํ คัญ ดงั น้ี -บรรณานุกรม หรือรายการอ้างอิงซ่ึงเป็นการอ้างถึงที่มาของเอกสาร ส่ือ หรือข้อมูลจาก ระบบออนไลน์ที่ผู้สร้างสรรค์ผลงานได้ศึกษาค้นคว้า โดยผู้เขียนต้องศึกษาหลักการเขียนอ้างอิง อยา่ งเปน็ ระบบ -หลักการต้ังค่าหน้ากระดาษ (Format) ในการจัดพิมพ์การเขียนรายงานการสร้างสรรค์ ผลงานศิลปะ เช่นระยะขอบกระดาษ การวางย่อหน้า การกําหนดขอบกระดาษ ขนาดตัวอักษร เป็นต้น ซึ่งหลักการต้ังค่าหน้ากระดาษมักจะกําหนดในคู่มือหลักการเขียนงานสร้างสรรค์ ในบาง สถาบันมีการจัดทําคู่มีอหลักการเขียนงานวิจัยหรืองานสร้างสรรค์ จัดเป็นรูปเล่มเพื่อใช้เป็น แนวทางเดียวกันในการปฏิบัติซึ่งมีการกําหนดรายละเอียดส่วนประกอบต่าง ๆ ไว้ด้วย เช่น บทคัดยอ่ กติ ตกิ รรมประกาศ สารบญั ปกนอก ปกใน เปน็ ต้น -ภาคผนวก เป็นส่วนเพิ่มเติมรายละเอียดท่ีเกี่ยวข้องกับการสร้างสรรค์ท่ีจําเป็นจะ นําเสนอ เช่น รายละเอียดเก่ียวกับท่ีปรึกษา ผู้เชี่ยวชาญ ผลการวิเคราะห์ข้อมูลเชิงปริมาณ และ ประวตั ผิ ู้เขยี น เปน็ ต้น
5 การนาองคค์ วามร้ไู ปใช้ การจัดการความรู้เร่ือง เทคนิคการเขียนรายงานการสร้างสรรค์ผลงานศิลปะ ได้สําเร็จ ลุล่วงไปด้วยดีตามกระบวนการการจัดการความรู้ สง่ ผลให้เกดิ การนําองคค์ วามรู้ไปใช้ได้อย่างเป็น รปู ธรรม เช่น ครู อาจารย์ผู้สอนในวิทยาลัยชา่ งศลิ ปนครศรีธรรมราช ไดน้ ําองค์ความรู้ไปใช้ในการ เขียนรายงานการสร้างสรรค์ผลงานศิลปะของตน ซึ่งเป็นผลงานการเขียนรายงานในการศึกษาต่อ ระดับปริญญาโท นําองค์ความรู้ไปใช้ในการเขียนรายงานการสร้างสรรค์ผลงานศิลปะตามพันธกิจ ของวิทยาลัยฯ นําองค์ความรู้ไปใช้ในการเขียนรายงานเพ่ือขอตําแหน่งทางวิชาการ และนําไปใช้ ในการสอนหลักการเขียนรายงานการสร้างสรรค์ผลงานศิลปะ แก่นักศึกษาในวิทยาลัย ฯ นอกจากน้ีสถานศึกษาเครือข่ายที่ได้ทําการแลกเปล่ียนเรียนรู้ร่วมกัน ได้แก่ผู้เชี่ยวชาญจาก มหาวิทยาลัยราชภัฏนครศรีธรรมราช และคณะ ได้นําองค์ความรู้ไปใช้ในการเขียนรายงานการ สร้างสรรค์ และเผยแพร่สู่นักศึกษาในมหาวิทยาลัยฯ และวิทยาลัยฯ ได้นําองค์ความรู้เผยแพร่แก่ ผสู้ นใจโดยทั่วไป ได้เข้าถงึ องคค์ วามรู้และนาํ องค์ความรไู้ ปใช้ ตวั อยา่ งผลงานสรา้ งสรรคท์ ่ีคณะกรรมการนาเสนอ ชื่อผลงาน จิตวญิ ญาณแหง่ วถิ ีชวี ติ ชาวเล: สองฤดู เทคนิค สอ่ื ผสม อวน,เชอื ก,ลกู ทุ่น,เย่ือกระดาษและสีอะคริลิค ขนาด 100 x 120 ซ.ม. ผู้สรา้ งสรรค์ นายชเู กยี รติ สุทิน
6 ชือ่ ผลงาน ธรรมชาติแดนใต้ เทคนิค ปน้ั อิพ็อคซี่ ขนาด 25 x13 x 27 ซ.ม. ผสู้ รา้ งสรรค์ นายวัชระ พงษไ์ พบูลย์ ชอ่ื ผลงาน สิงโตสแี ดง เทคนคิ ส่ือผสมสีบาตกิ ,ผา้ ,เทยี น,การสลดั สีและเทียน ขนาด 150 x 200 ซ.ม. ผูส้ ร้างสรรค์ นายพรี วฒั น์ อินนุพฒั น์
7 ผู้สร้างสรรค์ นางสาวกณั ฐิมา แสงอรุณ อภปิ รายผลการดาเนนิ งาน การจัดการความรเู้ ร่ืองเทคนิคการเขียนรายงานการสร้างสรรคผ์ ลงานศิลปะได้ดําเนินการ ตามกระบวนการจัดการความรู้และสําเร็จลุล่วงไปด้วยดีโดยความร่วมมือของผู้เชี่ยวชาญ และ ผ้ทู รงคุณวฒุ ิ โดยปัจจยั สาํ คัญแห่งความสาํ เรจ็ ได้แก่ 1. ความร่วมมือและความมุ่งม่ันของครู อาจารย์ คณะกรรมการจัดการความรู้ และ ผบู้ ริหารวทิ ยาลัยฯ ได้ร่วมกันผลักดนั ให้การดาํ เนนิ งานสําเร็จตามเปา้ หมาย 2. การกําหนดนโยบาย และการส่งเสริมด้านงบประมาณสนับสนุนจากสถาบันบัณฑิต พัฒนศิลป์ ซึ่งถือเป็นอีกหน่ึงปัจจัยสําคัญที่ก่อให้เกิดองค์ความรู้ที่เป็นรูปธรรม เกิดประโยชน์แก่ อาจารย์ นักศึกษา สงั คม และประเทศชาติ บรรณานกุ รม คูม่ ือการประกันคุณภาพการศกึ ษา ระดับอาชีวศกึ ษา สถาบันบัณฑิตพฒั นศลิ ป์. (2560). รายงานผลการประกันคณุ ภาพการศึกษาภายใน วิทยาลยั ช่างศลิ ปนครศรีธรรมราช ประจําปี 2560. ปรชี า เถาทอง. เขา้ ถงึ จาก www.mua.co.th ................................................................
โครงการประชมุ สัมมนาเครอื ข่ายการจดั การความรู้ฯ ครั้งที่12 “การจัดการความรูส้ มู่ หาวทิ ยาลัยนวตั กรรม” (Knowledge Management: Innovative University) ดา้ นการเรียนการสอน ชอ่ื เรื่อง/แนวปฏิบตั ิท่ดี ี รูปแบบการจดั การเรียนร้ดู นตรีไทยระดับประถมศกึ ษาสชู่ มุ ชน THE MODEL OF LEARNING MANAGEMENT IN THAI MUSIC FOR ELEMENTARY EDUCATION TO THE COMMUNITY ช่ือ-นามสกุล ผู้นาเสนอ นางธนันญภา บุญมาเสมอ E-Mail address : aphatsara2516@hotmail.com โทร. 089 2458589 ชอ่ื สถาบันการศกึ ษา วิทยาลยั นาฏศิลปจันทบุรี หน่วยงาน สถาบันบัณฑิตพัฒนศลิ ป์ กระทรวงวัฒนธรรม เบอร์โทรสาร 039 313214
บทสรปุ รูปแบบการจัดการเรียนรู้ดนตรีไทยระดับประถมศึกษาสู่ชุมชน เป็นการจัดเก็บองค์ความรู้ด้านการสอนดนตรีไทย จากครูผู้สอนที่มีประสบการณ์และทักษะการสอนนักเรียนในระดับช้ันประถมศึกษาปีท่ี 4 – 6 โดยจัดทาเป็นแบบฝึก ทักษะปฏิบัติเครื่องดนตรีไทยเบื้องต้น ซอด้วง ซออู้ ขลุ่ย และจะเข้ เพ่ือนาไปใช้เป็นแนวทางในการสอนดนตรีไทย สาหรับนกั ศกึ ษาของวิทยาลยั นาฏศิลปจนั ทบรุ ี ระดับช้นั ปรญิ ญาตรีปที ี่ 4 – 5 ในการฝึกประสบการณ์วิชาชีพระหว่างเรียนและ ฝึกประสบการณ์สอนในสถานศึกษา รวมทั้งครูผู้สอนดนตรีไทยในโรงเรียนและผู้ที่สนใจทั่วไป การนาแบบฝึกทักษะปฏิบัติ เครอื่ งดนตรีไทยเบ้ืองต้นไปใช้ ทาให้ผู้เรียนมีพ้ืนฐานการปฏิบัติดนตรีไทยที่ถูกต้องอย่างเป็นขั้นตอนตามหลักการสอน มีความ เขา้ ใจและมีพฒั นาการทางการเรยี นดนตรไี ทยอย่างรวดเร็ว คาสาคัญ การจัดการเรียนรู้ ดนตรไี ทย ระดับประถมศึกษา ชุมชน Summary The model of learning management in Thai Music for elementary education level to the community is a collection of knowledge in teaching Thai music from experienced teachers and teaching skills to students in grade 4 – 6 by providing a basic practice of Thai musical instruments Saw U, Saw Dung, Klui, Chakhe to be used as a guideline for teaching Thai music for students of the Chanthaburi College of Dramatic Arts bachelor degree level 4 – 5 in practicing professional experience during study and practicing teaching experience in educational institutions including Thai music teachers in schools and those interested in general introduction to the practice of basic Thai musical instruments practice. Make the learners have the basics of performing Thai music correctly as a step by step instruction have understanding and development in learning Thai music quickly. Key Words : Learning Management Thai music Elementary education Community
บทนา วิทยาลยั นาฏศิลปจนั ทบรุ ี เป็นสถาบนั ท่จี ดั การศกึ ษาเฉพาะทางด้านนาฏศิลป์และดนตรีแห่งเดียวในภาคตะวันออก มีการกาหนดยุทธศาสตร์ ที่จัดการเรียนการสอน และพัฒนาผู้สาเร็จการศึกษาสอดคล้องกับการเรียนรู้ในศตวรรษที่ 21 และ ไทยแลนด์ 4.0 โดยมีเป้าประสงคก์ ารสรา้ งคุณภาพและมาตรฐานทางวิชาการ ดังน้ันนักศึกษาควรได้รับการส่งเสริมให้เป็นผู้ที่ มีทักษะการสอนอย่างครูมืออาชีพ โดยการเรียนการสอนนักศึกษามีการฝึกประสบการณ์วิชาชีพระหว่างเรียนในระดับช้ัน ปรญิ ญาตรปี ที ี่ 4 และฝกึ ประสบการณส์ อนในสถานศึกษา ระดับปริญญาตรีช้ันปีท่ี 5 โดยนักศึกษาต้องสอนดนตรีไทยในระดับ ประถมศึกษา การเรียนดนตรีไทย การปฏิบัติเบ้ืองต้นมีความสาคัญอย่างมาก หากได้รับการสอนท่ีถูกวิธีจะทาให้มีทักษะที่ดี นาไปสู่การปฏิบัติดนตรีในขั้นสูงต่อไปอย่างมีคุณภาพ ดังนั้นเพื่อให้นักศึกษานาไปใช้เป็นแนวทางการสอนในระดับ ประถมศึกษา จงึ ได้เลอื กประเดน็ การจัดการความรู้ เรอ่ื ง รปู แบบการจัดการเรยี นร้ดู นตรไี ทยระดับประถมศกึ ษาสชู่ ุมชน เป้าหมายสู่ชุมชน ได้แก่ โรงเรียนในจังหวัดจันทบุรีท่ีมีการจัดการเรียนการสอนในระดับ ประถมศึกษาท่ีนักศึกษาไปฝึก ประสบการณ์สอน ทดลองสอน ได้นารูปแบบการจัดการเรียนรู้ดนตรีไทยระดับประถมศึกษา ไปเป็นแนวทางและปรับใช้อย่าง เหมาะสมเป็นการวางรากฐานท่ีถูกต้อง เหมาะสมกับช่วงวัยของผู้เรียน เกิดการเรียนรู้ได้ดี ผู้เรียนปฏิบัติได้รวดเร็ว และมี ความสุขในการเรยี น วธิ ีการดาเนนิ งาน การจัดการความรู้ด้านการเรียนการสอน เร่ือง รูปแบบการจัดการเรียนรู้ดนตรีไทยระดับประถมศึกษาสู่ชุมชน เป็นการ รวบรวมองค์ความรู้จากครูผู้สอนของภาควิชาดุริยางคศิลป์ ที่มีประสบการณ์ในการสอนดนตรีไทยให้กับเด็กนักเรียนในระดับ ประถมศึกษา เช่น สอนพิเศษ สอนภาคฤดูร้อน การบริการทางวิชาการ ฯลฯ ซ่ึง รูปแบบการจัดการเรียนรู้ที่ได้สามารถนาไปเป็น แนวทางในการใชส้ อนดนตรไี ทย ในโรงเรยี น หรือกิจกรรมโครงการบรกิ ารดา้ นการสอนให้กับชุมชน และยังเป็นแนวทางให้นักศึกษาท่ี เตรยี มฝึกประสบการณว์ ิชาชพี ระหว่างเรียนและฝึกประสบการณ์สอน ได้นาไปใช้เป็นแนวทางในการสอนดนตรีไทยได้อย่างมืออาชีพ โดยมีกระบวนการดาเนินงานเป็นขั้นตอน ดงั น้ี 1. คณะกรรมการจัดการความรู้ได้ประชุมร่วมกับคณะผู้บริหาร หัวหน้างาน หัวหน้าฝ่าย เพื่อพิจารณาประเด็นเรื่อง ท่ีจะดาเนินการ KM ด้านการเรียนการสอน ที่มีความจาเป็นต่อการพัฒนานักศึกษาของวิทยาลัยนาฏศิลปจันทบุรี ให้เป็น ครูมืออาชีพ จึงได้ประเด็นในเรื่อง รูปแบบการจัดการเรียนรู้ดนตรีไทยในระดับประถมศึกษาสู่ชุมชน โดยองค์ความรู้ที่ได้ สามารถนาไปพัฒนานักศึกษาให้มีทักษะการสอนดนตรีไทยให้เด็กนักเรียนในระดับประถมศึกษา ซึ่งสอดคล้องกับหลักสูตร ศกึ ษาศาสตรบัณฑิต ผลติ ครู 5 ปี โดยนกั ศึกษาทจี่ บจากวิทยยั นาฏศลิ ปจันทบรุ ี เป็นครสู อนอย่างมืออาชพี 2. เม่ือได้หัวข้อเรื่องแล้ว คณะกรรมการได้ประชุมปรึกษาหารือ เลือกคณะทางานที่มีคุณสมบัติตามท่ีกาหนดคือ มีประสบการณ์สอนดนตรีไทยให้กับนักเรียนในระดับประถมศึกษาเป็นอาจารย์ในงานสโมสร หรือครูผู้สอนที่มีความรู้ Active Learning จงึ ไดพ้ จิ ารณาเลอื กคณะกรรมการ ดังนี้ 1. นางธนันญภา บญุ มาเสมอ ประธานกรรมการ 2. นายสาทดิ แทนบุญ กรรมการ 3. นายสบุ นิ ศรที อง กรรมการ 4. นางภรภัทธ์ กุลศรี กรรมการ 5. วา่ ทีร่ ้อยตรีชูชาติ สร้อยสงั วาลย์ กรรมการ 6. นายบรรเลง พระยาชัย กรรมการ 7. นายกติ ตภิ พ จน่ั รอด กรรมการ 8. นายกฤษฎา นุม่ เจรญิ กรรมการ 9. นางสาวธนพัต ธรรมเจริญพงศ์ กรรมการและเลขานุการ
3. จากน้ันจึงได้กาหนดการแลกเปล่ียนเรียนรู้ถึงแนวทางและวิธีการท่ีจะได้มาซ่ึงองค์ความรู้ โดยจัดเสวนา เชิญครู ผู้มีประสบการณ์สอนดนตรีในระดับประถมศึกษา และผู้ที่เกี่ยวข้องกับกระบวนการจัดการเรียนการสอนมาเสวนาร่วมกับ คณะกรรมการ KM ของวทิ ยาลัยฯ โดยมีขอ้ สรุปถงึ แนวทางรว่ มกนั ดงั นี้ 1) กาหนดกลมุ่ เปา้ หมายผเู้ รยี นเปน็ นักเรียนในระดับชน้ั ประถมศึกษาปีท่ี 4 - 6 2) กาหนดจดั ทาเป็นแบบฝึกการปฏบิ ตั ิเคร่อื งดนตรี กล่มุ เครอ่ื งสายไทย ได้แก่ ซอดว้ ง ซออู้ ขลุ่ย และจะเข้ 3) แบบฝกึ เร่มิ ต้งั แต่การฝึกหัดเบื้องตน้ (ระยะเวลา 2 คร้ัง ๆ 3 ชว่ั โมง) 4) แบบฝกึ ปฏิบตั เิ พลงสั้น ๆ ไดแ้ ก่ เพลงแขกบรเทศ 2 ช้ัน และช้นั เดยี ว 5) แบบฝกึ ปฏิบัติเพลงเบอ้ื งต้น ไดแ้ ก่ เพลงแป๊ะ 3 ชั้น 6) แบบฝึกปฏิบตั เิ พลงสนุกสนาน ไดแ้ ก่ เพลงพมา่ เขว เพลงเตย้ โขง เพลงตาลีกีปสั 7) แบบฝกึ ปฏิบัตเิ พลงชาติ เพลงสรรเสริญพระบารมี ภาพที่ 1 ประชุมคณะกรรมการ KM ภาพที่ 2 แลกเปลีย่ นเรยี นรตู้ ามประเด็น 4. เมอ่ื ไดก้ าหนดแนวทางร่วมกันแล้ว จึงได้เกบ็ ขอ้ มลู ประสบการณ์สอนของแต่ละท่านที่ได้สั่งสมมาอย่างยาวนาน โดย การสัมภาษณ์ สอบถาม ให้เล่าเร่ืองประสบการณ์สอนท่ีได้ประสบมา ตลอดจนข้อคิดต่าง ๆ ในการแกปัญหา เทคนิคการสอน ทัศนคติแนวความคิด ฯลฯ จากนั้นได้นามาเรียบเรียง จัดหมวดหมู่ให้เป็นระบบ สามารถค้นหาและนาไปใช้ได้อย่างรวดเร็ว โดยจัดเก็บในคอมพิวเตอร์ จดั ทาเปน็ แผ่นเอกสารขอ้ มลู เผยแพรข่ ัน้ ตอนและกระบวนการสอนของแต่ละคนท่ีไดข้ ้อมลู มา 5. จากนัน้ ได้นาข้อมูลของแต่ละท่านมาวิพากษร์ ่วมกนั แลกเปลยี่ นเรยี นรู้ประสบการณ์ จนกระทัง่ ตกผลึกเปน็ องค์ความรู้ ดงั นี้ แนวทางในการสอนดนตรีไทยเบื้องตน้ 1) สอนใหน้ กั เรยี นเกิดความรักและศรทั ธาในดนตรีไทย 2) สอนให้รู้จักประเภทของดนตรไี ทยและท่ีมา ต่าง ๆ 3) เลือกผู้เรยี นให้เหมาะสมกับเครอื่ งดนตรที เ่ี ล่น วยั ของผู้เรียน ความพร้อมของผู้เรยี น 4) ออกแบบการสอนเบื้องต้นโดยการทาเปน็ แบบฝึกใหน้ ักเรยี นปฏิบตั ิ 5) สอนการปฏบิ ตั ิเบ้ืองตน้ ต้ังแตก่ ารน่งั การเลน่ การจบั ฯลฯ 6) ตอ่ เพลงตามแบบฝกึ เพอ่ื ให้รู้และเข้าใจปฏบิ ตั ิเบื้องต้นได้
7) เมือ่ ปฏิบตั ิเบื้องตน้ ได้แลว้ จึงได้ต่อเพลงท่ีมที านองง่าย ๆ คุ้นหู โดยเลอื กเพลง ลาวจ้อย เพลงลาวเสี่ยงเทียน เพลงแขกบรเทศ 2 ชั้น และช้ันเดียว 8) เมอื่ แตล่ ะกลมุ่ ปฏบิ ัติจบเพลงแลว้ จงึ ได้นามาฝกึ ซ้อมรวมวงด้วยกนั และมเี ครื่องประกอบจังหวะ ตคี วบคุมจงั หวะ 9) ทบทวนบทเรียนท้งั หมด 10) บรรเลงรวมวง 6. จากนั้นได้จัดกิจกรรมให้นักศึกษาปริญญาตรีปีที่ 4 จานวน 14 คน มาเรียนรู้ วิธีการสอน การต่อเพลง เทคนคิ การสอน การใชจ้ ติ วทิ ยาในการสอนใหเ้ หมาสมกับวัยของนกั เรยี นในระดับประถมศึกษา ต้ังแต่การสอนปฏิบัติเบื้องต้น การต่อเพลง ตามลักษณะวิธีปฏิบัติท่ีถูกต้องของเคร่ืองดนตรีแต่ละชนิด ได้แก่ ซอด้วง ซออู้ ขลุ่ย และจะเข้ โดยให้นักศึกษา เลอื กเครอ่ื งมือตามความถนัดและวิชาเอกของตนเอง และให้มีการแลกเปลี่ยนสอนเคร่ืองดนตรีท่ีไม่ใช่เครื่องมือเอกของตนเอง ซึ่งทาให้นักศึกษามีความแม่นยา มีความมั่นใจ มีความรู้ที่หลากหลายสามารถนาไปถ่ายทอดให้กับนักเรียนระดับประถมศึกษา ได้อย่างดี 7. ใหน้ กั ศกึ ษาปรญิ ญาตรี มาเปน็ ครชู ว่ ยสอนร่วมกับครูประจาการ ในกิจกรรมการสอนโครงการค่ายศิลปะ (การสอน ดนตรไี ทย) ที่วิทยาลัยนาฏศลิ ปจันบุรี จดั ขน้ึ ในวันที่ 18 - 19 สงิ หาคม 2561 ภาพท่ี 3 สอนขิม ภาพที่ 4 สอนป่พี าทย์ 8. เมือ่ เสรจ็ สิ้นกจิ กรรมการสอนโครงการค่ายศิลปะ (การสอนดนตรีไทย) แล้ว จึงได้ ประชุมเพื่อแลกเปล่ียนความรู้ถึง ผลทเี่ กดิ ขึ้น ข้อดี ข้อทีค่ วรพฒั นา และปรบั ปรุงรูปแบบการสอนใหม้ ีความสมบูรณ์มีประสิทธภิ าพยงิ่ ขน้ึ 9. จัดสัมมนาในหัวข้อ เรื่อง เทคนิคและวิธีการสอนดนตรีไทยในยุค 4.0 โดยบูรณาการร่วมกับรายวิชาสัมมนา ดนตรไี ทยทีน่ กั ศกึ ษาได้จัดโครงการสมั มนาดนตรีไทย ภาพที่ 5 วิทยากร ภาพที่ 6 นกั ศกึ ษาเข้าร่วมกจิ กรรม
10. จากนั้นนาข้อมูลท้ังหมดมารวบรวม จัดทาเป็นเอกสารแนวทางการสอนดนตรีไทยเบ้ืองต้น ของเครื่องดนตรี ซอด้วง ซออู้ ขลุ่ย และจะเข้ โดยผ่านการกล่ันกรองตรวจสอบข้อมูลจากคณะกรรมการ แล้วเผยแพร่ให้กับนักศึกษาผ่านทาง ไลนก์ ลุ่ม เว็ปไซต์ และจดั ทาเปน็ เอกสาร ผลและอภปิ รายผลการดาเนินงาน จากการดาเนินการจัดการความรู้ (KM) ด้านการเรียนการสอน เรื่อง รูปแบบการจัดการเรียนรู้ดนตรีไทยระดับ ประถมศึกษาสู่ชุมชน ท่ีได้กาหนดในระดับประถมศึกษาปีท่ี 4 - 6 เน่ืองจากผู้เรียนในระดับนี้มีความพร้อมที่จะรับรู้ เข้าใจ และสามารถรับผิดชอบตนเองได้แล้ว ดังน้ันจึงได้สรุปองค์ความรู้ท่ีได้ แบ่งเป็น 2 ประเด็น ได้แก่ แนวทางการสอน ดนตรีไทยเบ้ืองตน้ และการสอนดนตรไี ทยเบอ้ื งตน้ โดยใชแ้ บบฝึกสาหรบั นกั เรียนระดบั ประถมศกึ ษาปีที่ 4-6 แนวทางในการสอนดนตรไี ทยเบื้องตน้ 1. สอนใหน้ ักเรียนเกดิ ความรักและศรทั ธาในดนตรีไทย 2. สอนให้รู้จักประเภทของดนตรไี ทยและทมี่ า ต่าง ๆ 3. เลือกผู้เรียนใหเ้ หมาะสมกับเคร่อื งดนตรีทีเ่ ล่น วยั ของผเู้ รียน ความพรอ้ มของผ้เู รยี น 4. ออกแบบการสอนเบือ้ งต้นโดยการทาเป็นแบบฝึกใหน้ ักเรยี นปฏิบัติ 5. สอนการปฏิบัตเิ บ้ืองตน้ ต้งั แต่การนงั่ การเลน่ การจบั ฯลฯ 6. ตอ่ เพลงตามแบบฝกึ เพื่อให้รูแ้ ละเข้าใจปฏิบตั เิ บือ้ งต้นได้ 7. เมือ่ ปฏิบตั ิเบอ้ื งต้นได้แลว้ จึงไดต้ ่อเพลงทมี่ ีทานองง่าย ๆ คุ้นหู เชน่ เพลงลาวจ้อย เพลงลาวเสี่ยงเทยี น เพลงแขกบรเทศ 2 ช้ัน และช้นั เดียว 8. เมือ่ แตล่ ะคนปฏบิ ตั จิ บเพลงแล้วจงึ ไดน้ ามาฝึกซอ้ มรวมวงดว้ ยกนั และมเี คร่ืองประกอบจงั หวะตีควบคมุ จังหวะ 9. บรรเลงรวมวง การสอนดนตรีไทยเบื้องต้นโดยใช้แบบฝกึ สาหรับนักเรยี นระดับประถมศกึ ษาปที ี่ 4 -6 การเรียนดนตรีไทย การปฏิบัติเบื้องต้นมีความสาคัญอย่างมาก หากได้รับการสอนที่ถูกวิธีจะทาให้มีทักษะที่ดี นาไปสู่การปฏิบัติดนตรีในข้ันสูงต่อไปอย่างมีคุณภาพ ซ่ึงในการสอนดนตรีไทยเบ้ืองต้นน้ีจะเป็นการฝึกหัดเครื่องดนตรีท่ีอยู่ใน วงเครือ่ งสายไทย จานวน 4 ชนิด ไดแ้ ก่ ซอดว้ ง ซออู้ ขลุ่ยเพียงออ และจะเข้ ดงั แบบฝึกทักษะปฏิบัติเครอื่ งดนตรี ดังน้ี
1. แบบฝกึ ทกั ษะปฏิบตั เิ คร่ืองดนตรี “ซอด้วง” เบ้ืองตน้ ตวั อยา่ งแบบฝึก การฝึกทกั ษะการสี “สายเปล่า” 1) สายเปล่า สายท้มุ 4 พยางค์ และสายเอก 4 พยางค์ สายเอก - - - - - - - - - - - - - - - - - - - ร - - - ร - - - ร - - - ร สายทุ้ม - - - ซ - - - ซ - - - ซ - - - ซ - - - - - - - - - - - - - - - - 2) สายเปลา่ สายท้มุ 2 พยางค์ และสายเอก 2 พยางค์ สายเอก - - - - - - - - - - - ร - - - ร - - - - - - - - - - - ร - - - ร สายทุ้ม - - - ซ - - - ซ - - - - - - - - - - - ซ - - - ซ - - - - - - - - 3) สายเปลา่ สายท้มุ 1 พยางค์ และสายเอก 1 พยางค์ สายเอก - - - - - - - ร - - - - - - - ร - - - - - - - ร - - - - - - - ร สายทุม้ - - - ซ - - - - - - - ซ - - - - - - - ซ - - - - - - - ซ - - - - 2. แบบฝึกทกั ษะปฏิบตั เิ ครือ่ งดนตรี “ซออู้” เบ้อื งตน้ ตวั อยา่ งแบบฝกึ การฝึกทักษะการสี “สายเปลา่ ” 1) สายเปลา่ สายทุม้ 4 พยางค์ และสายเอก 4 พยางค์ สายเอก - - - - - - - - - - - - - - - - - - - ซ - - - ซ - - - ซ - - - ซ สายทมุ้ - - - ด - - - ด - - - ด - - - ด - - - - - - - - - - - - - - - - 2) สายเปล่า สายทมุ้ 2 พยางค์ และสายเอก 2 พยางค์ สายเอก - - - - - - - - - - - ซ - - - ซ - - - - - - - - - - - ซ - - - ซ สายทุ้ม - - - ด - - - ด - - - - - - - - - - - ด - - - ด - - - - - - - - 3) สายเปลา่ สายทุ้ม 1 พยางค์ และสายเอก 1 พยางค์ สายเอก - - - - - - - ซ - - - - - - - ซ - - - - - - - ซ - - - - - - - ซ สายทุ้ม - - - ด - - - - - - - ด - - - - - - - ด - - - - - - - ด - - - -
3. แบบฝกึ ทกั ษะปฏบิ ตั ิเคร่อื งดนตรี “ขลยุ่ ” เบอ้ื งตน้ (ขลยุ่ เพยี งออ) ตวั อยา่ งแบบฝึก การฝึกทกั ษะการเป่าตาแหนง่ น้ิว “ล่าง - กลาง – สงู ” 1) ปิดเปิดนวิ้ ล่าง – กลาง – บน ลกั ษณะไล่ระดับเสยี ง ตา่ ไปสู่เสียง สงู มือขวา - - - - - - - - - - - - - - - ซ - - - ซ - - - ซ - - - ซ - - - ด มอื ซ้าย - - - ด - - - ด - - - ด - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - 2) ปิดเปิดนวิ้ บน – กลาง – ลา่ ง ลักษณะไล่ระดับเสียง สูง ไปส่เู สียง ตา่ มอื ขวา - - - ด - - - ด - - - ด - - - ซ - - - ซ - - - ซ - - - ซ - - - - มือซา้ ย - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - ด 3) ปิดเปิดนวิ้ ล่าง – กลาง – บน ลักษณะไล่เรียงเสยี ง ต่า ไปสู่เสียง สูง มอื ขวา - - - - - - - - - - - - - - - - - - - ซ - - - ล - - - ท - - - ด มอื ซา้ ย - - - ด - - - ร - - - ม - - - ฟ - - - - - - - - - - - - - - - - 4) ปิดเปิดนวิ้ บน – กลาง – ล่าง ลักษณะไล่เรียงเสียง สูง ไปสู่เสียง ตา่ มือขวา - - - ด - - - ท - - - ล - - - ซ - - - - - - - - - - - - - - - - มือซา้ ย - - - - - - - - - - - - - - - - - - - ฟ - - - ม - - - ร - - - ด 4. แบบฝึกทกั ษะปฏิบตั เิ ครือ่ งดนตรี “จะเข”้ เบ้ืองต้น ---ด ตัวอย่างแบบฝึก การฝึกดีดสายเปล่าทีส่ ายเอก ---- ---ข สายเอก - - - ด - - - ด - - - ด - - - ด - - - ด - - - ด - - - ด สายทมุ้ สายลวด น้วิ - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - ไม้ดดี - - - อ - - - ข - - - อ - - - ข - - - อ - - - ข - - - อ หมายเหตุ ทุกแบบฝกึ ควรฝึกฝนซ้าๆ จนเกดิ ความชานาญ และสามารถฝกึ ได้ท้งั ในและนอกเวลา
สรปุ การจัดการความรู้ด้านการเรียนการสอน เรื่อง รูปแบบการจัดการเรียนรู้ดนตรีไทยระดับประถมศึกษาสู่ชุมชน เป็นองค์ความร้ทู ี่เก่ยี วกบั การสอนดนตรีไทยเบื้องต้นสาหรับสอนนักเรียนในระดับชั้นประถมศึกษาปีที่ 4 – 6 เป็นเคร่ืองดนตรี ในวงเครื่องสาย ได้แก่ ซอด้วง ซออู้ ขลุ่ย และจะเข้ โดยได้สร้างเป็นแบบฝึกทักษะปฏิบัติเคร่ืองดนตรีเบ้ืองต้น วิธีการสอนดังกล่าว สามารถนาไปใช้เป็นแนวทางในการสอนดนตรีไทยได้เป็นอย่างดี เป็นประโยชน์กับนักศึกษาที่ ฝึกประสบการณ์วิชาชีพและฝึกประสบการณ์สอน หรือสาหรับครูท่ีสอนในระดับประถมศึกษาตลอดจนผู้ที่สนใจทั่วไป การปฏิบัติดนตรีไทยแต่ละเคร่ืองมือ จะมีรูปแบบที่เป็นลักษณะเฉพาะท้ังวิธีการปฏิบัติการบรรเลง ท่วงทานอง จึงมี ความจาเป็นท่ีจะต้องเร่ิมฝึกเรียนอย่างเข้าใจและถูกหลักวิธีการ จากผู้รู้ ผู้มีประสบการณ์ในการสอน จะทาให้ผู้เรียนเกิดการ เรยี นรไู้ ดอ้ ยา่ งมีคุณภาพ และมพี นื้ ฐานท่ีดีในการเรียนดนตรไี ทยในระดับทีส่ ูงข้ึน ขอ้ เสนอแนะ จากการดาเนินกิจกรรม และนาแนวทางการสอนดนตรีไทยเบ้ืองต้นไปถ่ายทอดให้กับนักศึกษาของวิทยาลัยนาฏศิลป จันทบุรี โดยนาแบบฝึกไปใช้สอนนักเรียนในระดับชั้นประถมศึกษา พบว่า สามารถทาให้นักเรียนมีความเข้าใจและ เกิดการเรียนรู้ จดจาได้ดี สามารถปฏิบัติเครื่องดนตรีได้รวดเร็วข้ึน ทั้งยังนาไปท่องจาและทบทวนด้วยตนเองได้ จึงเห็นว่า ควรจัดทาแบบฝกึ เบอื้ งต้นสาหรบั เครื่องดนตรีชนิดอืน่ ดว้ ย เชน่ ระนาดเอก ระนาดทุ้ม ฆ้องวงใหญ่ เปน็ ตน้
การนําเสนอแนวปฏบิ ตั ทิ ดี่ ี โครงการประชมุ สมั มนาเครือขายการจดั การความรูฯ คร้ังที่ 12 “การจัดการความรูสมู หาวิทยาลัยนวัตกรรม” (Knowledge Management : Innovative University) สาํ หรับอาจารย ชอื่ เร่ือง/แนวปฏบิ ตั ทิ ่ดี ี การจดั การความรูสชู มุ ชนดว ยวงมโหรีอีสาน The Knowledge for Community by Mahoree Ensemble ช่ือ-นามสกุล ผนู าํ เสนอคนที่ 1 นายโยธนิ พลเขต ผูนาํ เสนอคนที่ 2 นายสทุ ธิพงษ นามประสพ ชื่อสถาบันการศกึ ษา สถาบนั บณั ฑิตพฒั นศลิ ป หนวยงาน วิทยาลยั นาฏศลิ ปรอยเอ็ด เบอรโทรศพั ทมอื ถือ 0844746282 เบอรโ ทรสาร 043511244 E-Mail address tong251236@gmail.com
การจัดการความรูสูชมุ ชนดว ยวงมโหรอี ีสาน The Knowledge for Community by Mahoree Ensemble นาย.โยธิน พลเขต นายสุทธิพงษ นามประสพ บทสรุป การจัดการความรูสูชุมชนดวยวงมโหรีอีสานคณะ KM Teamไดเห็นความสําคัญของวงมโหรี อีสาน เนอ่ื งจากวงมโหรีอีสานถอื เปน องคค วามรูทอ่ี ยูในตัวบุคคล โดยเฉพาะบทเพลงในวงมโหรีอีสาน ของนายคําตา หมื่นบุญมีความสําคัญและนาสนใจดังกลาวมาขางตน คณะ KM Teamเล็งเห็น ความสําคัญของวงมโหรีอีสานที่ยังมีการบรรเลงอยูในจังหวัดรอยเอ็ดจึงสนใจศึกษาเรื่องดังกลาว โดยมีวัตถุประสงคคือ 1) เพ่ือจัดเก็บองคความรูในวงมโหรีอีสาน 2) เพ่ือถายทอดองคความรูดานวง มโหรีอีสานสูชุมชน ในดานขอมูลตางๆท่ีเก่ียวกับมโหรีอีสาน บทเพลง รูปแบบการแสดง พิธีกรรม ความเช่ือ รวมท้ังบทบาทความสัมพันธของวงมโหรีอีสานกับสังคม ดวยเหตุผลดังกลาวน้ีจึงเปนแรง บันดาลใจใหคณะ KM Teamทําการศึกษาคนควาเร่ืองวงมโหรีอีสานบานเทียมแข อําเภอจตุรพักตร พิมาน จังหวัดรอยเอ็ด เลือกศึกษาเฉพาะวงมโหรีอีสานบานเทียมแขน้ี ซึ่งเปนวงมโหรีท่ีมีช่ือเสียงใน ทองถ่ิน และยังเปนที่รูจักของสังคม และจังหวัดรอยเอ็ด คณะ KM Teamไดเล็งเห็นถึงความสําคัญ และตองการอนุรักษเชิดชูศิลปวัฒนธรรมทองถ่ินใหเปนที่รูจักแพรหลาย จึงนําองคความรูดังกลาวไป เผยแพรใหแก นักเรียน นักศึกษา และเยาวชนหรือผูที่มีความสนใจดานวงมโหรีอีสานในเขตจังหวัด รอยเอ็ดพรอมท้ังทําหนังสือราชการขอความอนุเคราะหใหนําองคความรู เร่ืองการจัดการความรูสู ชุมชนดวยวงมโหรีอีสานไปใชในทําวงมโหรีในชุมชน และจัดพิมพเนื้อหาเผยแพรทางเว็บไซตเพื่อให หนวยงานราชการ บุคลากรของวิทยาลัย นักเรียน นักศึกษา ประชาชนท่ัวไป ตลอดจนผูที่สนใจมา ศึกษาวงมโหรีอีสาน การนําองคความรูดานวงมโหรีอีสานไปเผยแพรนั้น เปนการสงเสริมสืบสาน ศิลปวัฒนธรรมและเปนประโยชนสําหรบั ผูท่ีจะศึกษาคน ควา ขอ มูลเกย่ี วกบั เรอื่ งวงมโหรีอสี านสืบตอไป คําสาํ คัญ : วงมโหรีอสี าน
Summary The management of the Mahoree Ensemble silver lump KM Team Saw the importance Side bolt Because of the show Considered as a body of knowledge By the poem of Mahoree Ensemble Is a verse that has content about knowledge History Buddhism Moral and moral aspects And now, Mahoree Ensemble million You are already very old If there is no recording or data storage Those knowledge may be lost along with the person With the objective of 1) To store the Mahoree Ensemble 2) To transfer knowledge about the Mahoree Ensemble's silver bolt Knowledge transfer The Lam's Bolt, Mahoree Ensemble, Million Baht Has brought the knowledge to be distributed to Students and youth People who are interested in Mor Lam Or those who are interested in Mahoree Ensemble in Roi Et Province Along with making official books, asking for help, bringing knowledge The management of the Mahoree Ensemble Used in the training of Mahoree Ensemble And published on the website for government agencies Personnel of the College of Student Affairs As well as those interested in studying the Mahoree Ensemble The introduction of knowledge in the management of Mahoree Ensemble To publish and study To promote and preserve the culture and arts. Key words : Mahoree Ensemble. บทนาํ ภาคตะวันออกเฉียงเหนือหรือภาคอีสาน เปนภาคที่มีการละเลนและการแสดงที่เปน เอกลักษณของตนมากมาย แบงออกไปกลุมวัฒนธรรมได 3 กลุม ไดแก กลุมวัฒนธรรมโคราชเปน วัฒนธรรมของชาวไทยโคราชที่อาศัยอยูในจังหวัดนครราชสีมา อําเภอนางรอง อําเภอหนองก่ี อําเภอ ลําปลายมาศ และอําเภอเมืองของจังหวัดบุรีรัมย มีการละเลน และการแสดงท่ีเปนหลักคือ ลิเกและ เพลงโคราช กลุมวัฒนธรรมกันตรึม เปนวัฒนธรรมของชาวไทยเขมร และชาวไทยกวยที่อาศัยอยูใน จังหวัดสุรินทร ศรีสะเกษ อําเภอประโคนชัย อําเภอกระสัง อําเภอบานกรวด อําเภอสตึก และอําเภอ เมืองจังหวัดบุรีรัมย มีการละเลน และการแสดงที่เปนหลัก คือเจียมกันตรึม และปพาทย กลุม วัฒนธรรมหมอลาํ เปนวัฒนธรรมของชาวไทยลาวท่ีอาศัยอยูในจังหวัดอุบลราชธานี ยโสธร มุกดาหาร นครพนม หนองคาย เลย ขอนแกน อดุ รธานี สกลนคร รอยเอ็ด กาฬสินธุ มหาสารคาม ชัยภูมิ อําเภอ ราศีไศล อําเภอกันทรารมย และอําเภอเมือง จังหวัดศรีสะเกษ อําเภอรัตนบุรี และอําเภอทาตูม ขิง
จังหวัดสุรินทร อําเภอพุทไธสง อําเภอลําปลายมาศ อําเภอหนองก่ี อําเภอละหารทราย อําเภอสตึก อําเภอคูเมือง และอําเภอเมืองของจังหวัดบุรีรัมย อําเภอบัวใหญ อําเภอสุงเนิน และอําเภอประทาย ของจังหวัดนครราชศรีมา มีการละเลน และการแสดงท่ีเปนหลัก คือหมอลํา หมอแคน (เจริญชัย ชน ไพรโรจน. 2529:1 ) จารุวรรณ ธรรมวตั ร (2530 : 58) กลาววา ศิลปวัฒนธรรมและขนบธรรมเนียมประเพณี เปน รากฐานสําคัญที่ทําใหความเปนชาติดํารงอยูอยางม่ันคง กางสืบทอดมรดกทางสังคม การอนุรักษ รวมทงั้ การเปล่ยี นแลงในสว นทอี่ นั ควรบางประการของรูปแบบ เพื่อความเหมาะสมในสถานการณของ สังคมในปจจุบัน เปนความสุขุมรอบคอบ ในการใชปญญาเพื่อแสดงถึงเอกลักษณของวัฒนธรรมของ กลุม ชนในแตล ะภูมิภาค ดนตรีศิลปะแขนงหน่ึง ที่สะทอนใหเห็นถึงวัฒนะธรรมของแตละภาคท่ีมีเอกลักษณเปนของ ตนเอง ในดินแดนแถบภาคอีสานยังมีวงดนตรีชนิดหน่ึงเรียกวา “มโหรีอีสาน” ซ่ึงยังคงอยูในจังหวัด รอยเอ็ดเปนทองถิ่นที่ปรากฏการบรรเลงดนตรีชนิดนี้ ซึ่งมีเอกลักษณเฉพาะตัว คือมีปซอ กลอง ฉาบ ใหญ ฉาบเล็ก และกรับ บรรเลง ในสมัยโบราณวงมโหรีอีสานไดมีบทบาทอยูในวิถีชีวิตของชาวบาน เปนดนตรีที่ใชในการบรรเลงในงานพิธีกรรมตางๆ ยกตัวอยางเชนงานศพ งานแตงงาน งานบวช รวม ไปถึงงานร่นื เริงตางๆไดรับความนิยมแพรหลายในยุคหน่ึงในแถบ อําเภอจตุรพักตรพิมาน อําเภอปทุม รัตน อําเภอสุวรรณภูมิ จังหวัดรอยเอ็ด ในปจจุบันบทบาทของวงมโหรีอีสานไดลดลงหลังจากไดรับ กระแสนิยมทางดานวัฒนธรรมตะวันตก ผูคนจึงหันไปนิยม และเลือกที่จะช่ืนชมในสิ่งท่ีสนใจและมี ความทนั สมยั มากกวา เชน วงโปงลาง หมอลําประยุกต (หมอลําซ่ิง) เปนตนบทบาทของวงมโหรีอีสาน จึงลดลง จนเกือบจะสูญหาย (สุกรี เจรญิ สุข. 2538 : 8) จากผลงานที่เคยไดรับรางวัลตาง ๆ อยางมากมายทําใหนายคําตา หมื่นบุญมี มีชื่อเสียงโดง ดังเปนท่ียอมรับของประชาชนและหนวยงานตาง ๆ อยางมากมายโดยเฉพาะในดานวงมโหรีอีสาน คณะผูดําเนินงานไดเห็นความสําคัญขององคความรูในวงมโหรีอีสานผูนี้ จึงเกิดแรงบันดาลใจท่ีจะ ศึกษาเปนองคความรูใหมและเปนการอนุรักษศิลปะการแสดงพื้นบานอีสานซ่ึงเปนวัฒนธรรมทองถิ่น คณะผดู าํ เนินงานหวังเปนอยา งยง่ิ วา จะเปนโยชนต อ การสบื ทอดวงมโหรอี ีสาน การศึกษาวงมโหรีอีสาน การอนุรักษศ ิลปวฒั นธรรมของชุมชน ซึ่งเปนมรดกของชาตใิ หค งอยูสืบไป วธิ กี ารดาํ เนนิ งาน 1. การคนหาความรู วทิ ยาลัยนาฏศลิ ปรอยเอด็ มอบหมายใหบ ุคลากรของวิทยาลัย นายโยธนิ พลเขต เป็นคณะ KM Team เขา รวมสัมมนาเชิงปฏิบัติการการจัดการความรู ประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2560 ที่สถาบันบัณฑิตพัฒนศิลปจัดขน้ึ เมือวันที่ 1-2 กุมภาพันธ 2561 เพื่อรวม
กาํ หนดการบงช้ีความรูและ ประเด็นความรูท่ีจําเปน ในการเขารวมสัมมนาเชิงปฏบิ ัตกิ ารเพอ่ื บงชี้ความรูและประเด็นความรูท่ีจำเป็นนั้น คณะ KM Team วทิ ยาลัยนาฏศิลปรอยเอ็ดไดกำหนดประเด็นความรูที่สอดคลองกับประเด็น ยุทธศาสตรของ วิทยาลัยในดานการสงเสริมสนับสนุนการสรางงานวิจัย งานสรางสรรค นวัตกรรม องคความรูดาน ศิลปวฒั นธรรมภูมิปญญาทองถิ่น มี ก า ร เ ผ ย แ พ ร ใ ห เปนท่ี ยอมรับทั้งในและตางประเทศ มาเป็นตัวกำหนดประเด็นความรู และเปาหมาย ในการจัดการ ความรูคอื “การจัดการความรูสูชุมชนดวยวงมโหรีอีสาน”เพ่ือนำองคค วามรูท่ีได มาพัฒนา เทคนิคการบรรเลงของวงมโหรีและนํามาถายทอดสูชุมชน โดยมีเปาหมายในการจัดการความรู ประกอบดวย ปราชญชาวบาน และบุคลากร ของวิทยาลยั นาฏศลิ ปรอ ยเอด็ จากการกำหนดประเด็นความรู คณะ KM Team ไดรวมกนั จัดทําแผนการจัดการ ความรู เสนอตอสถาบันบัณฑิตพัฒนศิลป และแตงต้งั คณะกรรมการการจัดการดานความรูโดย คัดเลือกจาก ปราชญชาวบาน จำนวน 2 คน เม่ือแตงตั้งคณะกรรมการจัดการความรูเสร็จเรียบรอ ยแลว จึงประชุมคณะกรรมการ เพื่อจัดทํา Knowledge Mapping หากวาความรูใดมีความสําคัญตอการเปาปมโหรีอีสาน ซ่ึง สามารถแยกออกเปน ประเด็นในวงมโหรอี ีสานไดดังนี้ 1.กลวิธีการบรรเลงเครือ่ งดนตรีในวงมโหรอี ีสาน 2.การประสมวงและหลกั วธิ กี ารบรรเลงวงมโหรอี ีสาน 2. การสรางและแสวงหาความรู คณะ KM Team ไดลงพื้นที่เก็บขอมูลโดยการสัมภาษณและการบันทึกภาพข้ันตอนวิธีการ บรรเลงวงมโหรีอีสานโดยละเอียดตั้งแตเร่ิมตนทําจนถึงกระบวนการจัดรูปแบบเพลงมโหรีอีสานโดย การเขียนโนตเพลงทางปมโหรีและทางซอใหอยูในหองเพลงท่ีสมบูรณ ขั้นแรกคือ การศึกษาประวัติ และผลงาน บทเพลงทใี่ ชในวงมโหรีอสี าน และโอกาสที่ใชในการบรรเลง จากน้ันจึงเลือกบทเพลงมโหรี ท่ีมีความนาสนใจ เปนเพลงท่ีเปนประโยชนตอการศึกษาและสังคม แลวจึงไดนํามาจดบันทึกโดยการ ถา ยทอดขอ มลู จากนายคาํ ตา หม่ืนบุญมีองคความรูของวงมโหรีอีสานท่ีไดนํามาจัดการความรูสามารถ แบงประเภทไดดังนี้ 1. รูปแบบการบรรเลงวงมโหรีอีสาน 2.เพลงมโหรีอีสาน แลวจึงนํามาจัดใหอยูใน รปู แบบหอ งเพลงทีส่ ามารถอา นไดงาย และสามารถบรรเลงไดถ กู ตอ งของจังหวะวงมโหรีอีสาน
ภาพที่ 1 การสัมภาษณนายคําตา หมนื่ บญุ มี การจัดเสวนาเร่ืองการจัดการความรสู ชู มุ ชนดว ยวงมโหรอี ีสานท่ีหองSOUND LAB อาคาร เทพลีลาวิทยาลัยนาฏศิลปรอยเอ็ดโดยเชิญปราญที่มีความรูดานวงมโหรีอีสานท่ีมีช่ือเสียงจำนวน2 คนรวมท้ังนักศึกษาสาขาวชิ าศิลปะดนตรีและการแสดงพืน้ บา น มารวมเสวนาแลกเปล่ยี นความรูใน ประเด็นการจดั การความรสู ูชุมชนดว ยวงมโหรอี สี านโดยมีรองผูอำนวยการเป็นประธานรวมฟงการ เสวนาในครง้ั น้ี และในการเสวนามีประธานคณะกรรมการ KM Team เป็นผูดาํ เนินรายการเชิญ ปราชญชาวบานดานวงมโหรีอีสานรวมพูดคุยแลกเปลี่ยนเทคนิคในแตละประเด็นทีละคนโดยไมมี การจับเวลาในขณะทปี่ ราชญชาวบา นดานวงมโหรสี านแตละทานพูดถึงเทคนิคและกระบวนการ บรรเลง กระบวนการถา ยทอดองคความรูดานวงมโหรอี ีสานการคณะKMTeamไดน ําภาพการเรียนรู การศกึ ษานอกพืน้ ท่ี ท่ีไดลงพื้นท่ีเก็บขอมูลไวมานําเสนอบนจอเพื่อใหทุกคนไดเห็นกระบวนการ ข้ันตอนการทําบรรเลงวงมโหรีออยางละเอยี ดชดั เจน
ภาพที่ 2 การเสวนาแลกเปล่ียนความรูในประเด็นการจัดการความรสู ูช ุมชนดว ยวงมโหรอี ีสาน ของนายคําตา หมืน่ บุญมี การนําขอมูลที่ไดจากการลงพื้นท่ีเก็บขอมูลและการจัดเสวนาท่ีไดบันทึกในรูปแบบวีดีโอและ บันทึกเสียงไวมาเรียบเรียง และเขียนออกมาเปนความเรียงจัดเน้ือหาใหเปนหมวดหมู เขียนรายงาน ตามประเด็นหวั ขอท่กี าํ หนด ภาพที่ 3 กิจกรรมขนั้ การเรยี นรู การถายทอดองคความรู โดยจัดทําเอกสารรูปเลมเพื่อมอบใหแก บุคลากรของวิทยาลัยนาฏ ศลิ ปรอ ยเอด็ ท่รี ว มสมั มนานําองคค วามรูทไี่ ดไปใชในการศึกษาวงมโหรีอสี านในคร้ังตอไป และจัดพิมพ เอกสารเผยแพรใหแก นักเรียน นักศึกษา และเยาวชนหรือผูที่มีความสนใจดานวงมโหรีอีสานในเขต จังหวัดรอ ยเอ็ดพรอ มทง้ั ทาํ หนงั สือราชการขอความอนุเคราะหใ หนําองคค วามรู เรอื่ งการจัดการความรู สูชุมชนดวยวงมโหรีอีสาน ไปใชในการถายทอดองคความรูสูชุมชน และแจงกลับมายังคณะกรรมการ เพอ่ื คณะกรรมการ เพ่ือคณะกรรมการจะติดตามผลการการนาํ ไปใชจัดพมิ พเผยแพรทางเว็บไซตเพื่อให หนวยงานราชการ บุคลากรของวิทยาลัย นักเรียน นักศึกษา เยาวชน ตลอดจนผูท่ีสนใจมาศึกษาวง มโหรอี สี าน โดยตองแจงใหค ณะกรรมการทราบเพ่ือคณะกรรมการจะไดด ําเนนิ การติดตามการนาํ ไปใช 3. การจดั ความรใู หเปนระบบ
ในการจัดการความรูเรื่องการจัดการความรูสูชุมชนดวยวงมโหรีอีสานใหเป็นระบบ นั้น คณะ KM Team ไดนำความรูที่ไดจากการลงพื้นที่สัมภาษณแ ละจากการเสวนาแลกเปลี่ยน เรียนรูในขั้นตอนการสรางและแสวงหาความรูในแตละคร้ังมาจัดใหเปนหมวดหมู จำนวน 2 ครั้ง คือวันที่ 3 มีนาคม 2561 และวนั ที่ 25 มิถุนายน 2561 4. การประมวลและกลั่นกรองความรู คณะ KM Team ไดนำความรูที่จัดหมวดหมูมาปรับปรุงภาษาใหเป็นภาษาที่อานแลว เขา ใจงาย มกี ารตรวจสอบโดยนำเอกสารท่ีปรับปรุงภาษาเสร็จเรียบรอยแลว มาใหผูทมี่ ีความ เช่ียวชาญและไมมีความรูในเรอื่ ง การทำวงมโหรีอีสาน เพ่ือตรวจสอบวาภาษาที่ใชสามารถอาน เขาใจไดงายหรือไม แลวนำกลับมาแกไ ขขอบกพรอ งอีกครั้ง 5. การเขา ถึงความรู คณะ KM Team จัดทําเอกสารรูปเลมเพอ่ื มอบใหแกชางแคนปราชญชาวบาน บุคลากร ของวิทยาลัยนาฏศิลปรอยเอ็ดที่รวมสัมมนานำองคความรูที่ไดไปใชในการทําแคนในคร้ังตอไป และ จัดพิมพเอกสารเผยแพรใหแกผูที่มีความสนใจทางดานวงมโหรีอีสานและปราชญชาวบานในเขต จังหวัดรอยเอ็ดพรอมท้ังทำหนังสอื ราชการขอความอนุเคราะหใหนำองคค วามรูเร่ืองการจัดการ ความรูสูชุมชนดวยวงมโหรีอีสานไปใชในถายทอดความรูดานวงมโหรีอีสาน และแจงกลับมายัง คณะกรรมการ เพื่อคณะกรรมการจะติดตามผลการนําไปใชจัดพิมพเผยแพรทางเว็บไซตเพื่อให หนวยงานราชการ บุคลากรของวิทยาลัย นักเรียน นักศกึ ษา ปราชญผูเช่ียวชาญดานวงมโหรี อีสาน ตลอดจนผูสนใจมาศึกษาวิธีการบรรเลงวงมโหรีอีสานเลือกเครื่องดนตรีท่ีตนเองสนใจและ นำไปทดลองใชโดยตองแจงใหคณะกรรมการทราบเพื่อคณะกรรมการจะไดดําเนินการติดตามการ นําไปใช
ภาพท่ี 4 การถา ยทอดองคความรูสูช ุมชน 6. การแบง ปน แลกเปล่ยี นความรู คณะ KM Team จัดทาํ เว็ปบล็อกเพ่ือเปิดโอกาสใหบุคลากรท่ีมีขอสงสัย ไดซักถามโตตอบ กนั โดยคณะกรรมการคอยตอบขอสงสัย 7. การเรยี นรู คณะ KM Team คอยติดตามประเมินผล การนำความรูท่ีไดไปใชประโยชนในการจัดการ ความรูสชู มุ ชนดวยวงมโหรีอีสาน สรุปผลและอภิปรายผลการดาํ เนินงาน จากการดําเนินกิจกรรมการถายทอดการจัดการความรูสูชุมชนดวยวงมโหรีอีสาน พบวา กลมุ เปาหมายท่ีเปน เยาวชนรนุ ใหม สถานศึกษา และหนวยงานตาง ๆ ไดหันมาใหความสนใจและรวม สงเสริมในดานศิลปวัฒนธรรมพื้นบานอีสานมากขึ้น และใหการตอบรับเปนอยางดี โดยเฉพาะเพลง มโหรีอีสาน เปนเพลงที่มคี วามไพเราะหาฟงไดย าก จงึ สามารถทจี่ ะนําไปใชในการเรียนการสอนได เชน กลุมสาระการเรียนรูศิลปะ ในกิจกรรมชุมนุมวงโปงลาง ชมรมแคนวงไดทํานองเพลงมโหรีอีสานไป ประยุกตใชในการเรียนการสอน นํามาบรรเลงในรูปแบบของวงโปงลางใหเปนท่ีรูจักแพรหลายในสื่อ ออนไลนไดถายทอดใหกลุมเปาหมายไดเรียนรูเร่ืองศิลปวัฒนธรรมพ้ืนบานอีสาน ดานกระบวนในการ บรรเลงวงมโหรีอีสาน จึงทําใหนักเรียน นักศึกษา เยาวชน และผูท่ีสนใจไดความรูจากเน้ือหาของวง มโหรอี ีสาน ดานรูปแบบการบรรเลง ดานเพลงมโหรีอีสาน ดานโอกาสที่ใชในการรและยังชวยขัดเกลา จติ ใจใหม งุ เนน ปฏิบัติตนใหเปนคนดสี บื ไป
บรรณานกุ รม จารุวรรณ ธรรมวัตร. เรื่องบทบาทของหมอลําตอสังคมอีสาน ในชวงก่ึงศตวรรษ. มหาสาคาม สถาบนั วจิ ัยศลิ ปะและวฒั นธรรมอสี าน มหาวิทยาลยั ศรีนครนิ ทรวิโรฒ มหาสารคาม, 2528. เจริญชัย ชนไพโรจน. ดนตรพี ืน้ บา นอีสาน. มหาสารคาม : มหาวทิ ยาลัยศรีนครนิ ทรวโิ รมหาสารคาม 2529. (อัดสําเนา) สุกรี เจรญิ สขุ . ดนตรีชาวสยาม. กรุงเทพฯ : 2538.
Search
Read the Text Version
- 1
- 2
- 3
- 4
- 5
- 6
- 7
- 8
- 9
- 10
- 11
- 12
- 13
- 14
- 15
- 16
- 17
- 18
- 19
- 20
- 21
- 22
- 23
- 24
- 25
- 26
- 27
- 28
- 29
- 30
- 31
- 32
- 33
- 34
- 35
- 36
- 37
- 38
- 39
- 40
- 41
- 42
- 43
- 44
- 45
- 46
- 47
- 48
- 49
- 50
- 51
- 52
- 53
- 54
- 55
- 56
- 57
- 58
- 59
- 60
- 61
- 62
- 63
- 64
- 65
- 66
- 67
- 68
- 69
- 70
- 71
- 72
- 73
- 74
- 75
- 76
- 77
- 78
- 79
- 80
- 81
- 82
- 83
- 84
- 85
- 86
- 87
- 88
- 89
- 90
- 91
- 92
- 93
- 94
- 95
- 96
- 97
- 98
- 99
- 100
- 101
- 102
- 103
- 104
- 105
- 106
- 107
- 108
- 109
- 110
- 111
- 112
- 113
- 114
- 115
- 116
- 117
- 118
- 119
- 120
- 121
- 122
- 123
- 124
- 125
- 126
- 127
- 128
- 129
- 130
- 131
- 132
- 133
- 134
- 135
- 136
- 137
- 138
- 139
- 140
- 141
- 142
- 143
- 144
- 145
- 146
- 147
- 148
- 149
- 150
- 151
- 152
- 153
- 154
- 155
- 156
- 157
- 158
- 159
- 160
- 161
- 162
- 163
- 164
- 165
- 166
- 167
- 168
- 169
- 170
- 171
- 172
- 173
- 174
- 175
- 176
- 177
- 178
- 179
- 180
- 181
- 182
- 183
- 184
- 185
- 186
- 187
- 188
- 189
- 190
- 191
- 192
- 193
- 194
- 195
- 196
- 197
- 198
- 199
- 200
- 201
- 202
- 203
- 204
- 205
- 206
- 207
- 208
- 209
- 210
- 211
- 212
- 213
- 214
- 215
- 216
- 217
- 218
- 219
- 220
- 221
- 222
- 223
- 224
- 225
- 226
- 227
- 228
- 229
- 230
- 231
- 232
- 233
- 234
- 235
- 236
- 237
- 238
- 239
- 240
- 241
- 242
- 243
- 244
- 245
- 246
- 247
- 248
- 249
- 250
- 251