Important Announcement
PubHTML5 Scheduled Server Maintenance on (GMT) Sunday, June 26th, 2:00 am - 8:00 am.
PubHTML5 site will be inoperative during the times indicated!

Home Explore ปรัชญาการศึกษา

ปรัชญาการศึกษา

Published by educat tion, 2021-04-25 05:08:25

Description: 9ปรัชญาการศึกษา

Search

Read the Text Version

42 การขับเคล่ือนเศรษฐกิจพอเพียงด้านการศึกษาในระยะแรก ได้เร่ิมจากการไปค้นหากิจกรรมพัฒนาผู้เรียน ท่ีมีคุณลักษณะ และการจัดการท่ีสอดคล้องกับหลักเศรษฐกิจพอเพียง คือพอประมาณกับศักยภาพของนักเรียน พอประมาณกับภูมิสังคมของโรงเรียนและชุมชนที่ต้ัง เช่น เด็กช่วงชั้นท่ี 2 ทาสหกรณ์ได้ เด็กช่วงช้ันที่ 4 ดูแล ส่ิงแวดล้อม มีการส่งเสริมให้ใช้ความรู้อย่างรอบคอบระมัดระวัง ฝึกให้เด็กคิดเป็นทาเป็นอย่างมีเหตุผล และมี ภูมิคุ้มกันส่งเสริมให้เด็กทางานร่วมกับผู้อ่ืน มีความซ่ือสัตย์ สุจริต รับผิดชอบ ไม่เอารัดเอาเปรียบผู้อ่ืน มีวินัย มี สัมมาคารวะ ปลูกฝังจิตสานึกรักษ์ส่ิงแวดล้อม สืบสานวัฒนธรรมไทย กล่าวคือ สอนให้ผู้เรียน ยึดมั่นในหลัก ศีลธรรม พัฒนาคนให้เขารู้จักทาประโยชน์ให้กับสังคมและช่วยดูแลรักษาส่ิงแวดล้อม และตัวกิจกรรมเองก็ต้อง ย่ังยืน โดยมภี ูมคิ ุม้ กนั ในดา้ นต่าง ๆ ถึงจะเปลย่ี นผ้อู านวยการแต่กจิ กรรมกย็ ังดาเนินอยู่อย่างน้ีเรียกว่ามีภมู คิ ุ้มกนั การค้นหาตัวอยา่ งกจิ กรรมพัฒนาผูเ้ รยี น กเ็ พอ่ื ให้มตี ัวอย่างรูปธรรม ในการสร้างความเข้าใจภายในวง การศึกษาว่าหลักเศรษฐกิจพอเพียงหมายความว่าอย่างไร และสามารถนาไปใช้ในกิจกรรมพัฒนาผู้เรียนได้ อย่างไรบ้าง หลังจากน้ัน ก็ส่งเสริมให้บรู ณาการการเรยี นรู้ผ่านกิจกรรมเหลา่ น้ี เข้าไปในการเรียนร้สู าระตา่ ง ๆ บูรณาการเข้ากับทุกสาระเรียนรู้ เช่น วิทยาศาสตร์ เพื่อทาให้เกิดสมดุลทางสิ่งแวดล้อม บูรณาการเข้ากับวิชา คณิตศาสตร์ ในการสอนการคานวณท่ีมีความหมายในการดารงชีวิตอย่างพอเพียง หรือบูรณาการเข้ากับสาระ ภาษาไทย ภาษาอังกฤษ สุขศึกษา พลศึกษา การงานอาชีพ เทคโนโลยีต่าง ๆ ได้หมด นอกเหนือจากการสอน ในสาระหลักคอื ในกลมุ่ สาระสังคมศึกษาศาสนาวฒั นธรรมเทา่ นัน้ สาหรับมาตรฐานการเรียนรู้ มีวัตถุประสงค์ให้ทุกช่วงช้ันเข้าใจหลักเศรษฐกิจพอเพียงและสามารถ ประยุกต์ใช้ได้ แต่ถ้ามาตรฐานเรียนรู้ของทุกช่วงช้ันเหมือนกันหมดก็จะมีปัญหาทางปฏิบัติ จึงต้องกาหนด ขอบเขตทชี่ ดั เจนในการเรียนการสอนของแตล่ ะชว่ งชั้นและแตล่ ะชน้ั ปี ดังตัวอย่างต่อไปน้ี ช่วงชั้นท่ี 1 เน้นให้เด็กพึ่งตนเองได้ หรือใช้ชีวิตพอเพียงระดับบุคคลและครอบครัว เช่น ประถม 1 ช่วยเหลือคุณพ่อคุณแม่ล้างจานชาม เก็บขยะไปท้ิง กวาดบ้าน จัดหนังสือไปเรียนเอง แบ่งปันสิ่งของให้เพ่ือน กินอาหารให้หมดจาน ประถม 2 วิเคราะห์รายจ่ายของครอบครัว จะมีเป็นตารางกรอกค่าใช้จ่ายต่าง ๆ ของ ครอบครัว คณุ แมซ่ ื้ออะไรบา้ ง คณุ พ่อซ้อื อะไรบา้ ง เด็กจะไดร้ ้พู ่อแมห่ าเงนิ มายากแค่ไหน เชน่ ยาสฟี นั หลอดละ 46 บาท จะต้องไมเ่ อามาบบี เลน่ จะตอ้ งสอนให้เดก็ เหน็ คณุ คา่ ของสงิ่ ของ ให้เดก็ ตระหนักถงึ คณุ ค่าของเงินทอง จะไดฝ้ กึ นสิ ยั ประหยัด ครอบครัวมีรายได้และรายจ่ายเท่าไร เดก็ จะได้ฝกึ จติ สานึกและนิสยั พอเพยี ง ประถม 3 สอนให้รูจ้ กั ช่วยเหลือครอบครัวอยา่ งพอเพยี งและรจู้ ักแบง่ ปันช่วยเหลือผอู้ ื่นมสี ่วนรว่ มสร้างครอบครวั พอเพยี ง ช่วงช้ันที่ 2 ฝึกให้เด็กรู้จักประยุกต์ใช้หลักความพอเพียงในโรงเรียน สามารถวิเคราะห์วางแผนและ จัดทาบันทึกรายรับ-รายจ่ายของตนเองและครอบครัวอย่างมีประสิทธิภาพ มีส่วนร่วมในการสร้างความ พอเพยี งระดับโรงเรียน และชุมชนใกล้ตวั โดยเริม่ จากการสารวจทรัพยากรต่าง ๆ ในโรงเรยี นและชมุ ชน มสี ว่ น ร่วมในการดูแลบารุงรักษาทรัพยากรต่าง ๆ ท้ังด้านวัตถุ ส่ิงแวดล้อม ภูมิปัญญา วัฒนธรรม และรวบรวมองค์ ความรูต้ ่าง ๆ มาเปน็ ขอ้ มลู ในการเรียนร้วู ถิ ีชวี ติ ของชุมชนและเหน็ คณุ คา่ ของการใชช้ วี ิตอยา่ งพอเพยี ง

43 ช่วงช้ันท่ี 3 ประยุกต์ใช้หลักเศรษฐกิจพอเพียงกับชุมชน มีส่วนร่วมในกิจกรรมต่าง ๆ ของชุมชน สามารถสารวจและวิเคราะห์ความพอเพียงในระดับต่าง ๆ และในมิติต่าง ๆ ทั้งทางวัตถุ สังคม ส่ิงแวดล้อม และวฒั นธรรมในชมุ ชนใกล้ตัว เหน็ คณุ คา่ ของการใชห้ ลักพอเพยี งในการจดั การชุมชน และในท่สี ดุ แลว้ สามารถ นาหลักการพอเพียงมาประยุกต์ใช้ในชีวิตประจาวันของแต่ละคน จนนาไปสู่การปรับเปล่ียนพฤติกรรมสู่ความ พอเพยี งได้ในทีส่ ุด ขณะนีค้ ณะทางานขับเคลื่อนด้านการศึกษาและเยาวชน ทางานรว่ มกบั กระทรวงศึกษาธิการ และอีก หลายหนว่ ยงาน วิสยั ทัศนข์ องการขับเคล่อื น คอื สานเครอื ขา่ ย ขยายความรู้ ควบคู่ประชาสมั พันธ์ เพอ่ื ส่งเสรมิ ความรู้ความเข้าใจในหลักปรัชญาฯ และให้บุคลากรด้านการศึกษา สามารถนาหลักคิดหลักปฏิบัติเศรษฐกิจ พอเพียง มาบูรณาการสู่การเรียนการสอนในทุกกลุม่ สาระการเรียนร้ขู องทุกระดับได้อย่างถูกต้อง ชัดเจน และ เป็นรูปธรรม ตลอดจนผู้บริหารสามารถนาหลักปรัชญาฯ ไปใช้ในการบริหารสถานศึกษาเพื่อให้เกิดประโยชน์ และความสุข และไมต่ ระหน่ี จากท่ีกล่าวมาข้างต้น สามารถสรุปลักษณะองค์ประกอบของการศึกษาของแต่ละลัทธิปรัชญา การศกึ ษา ไดต้ ามตารางที่ 1.1 ดงั น้ี

44 ตารางท่ี 1.1 ลกั ษณะจุดม่งุ หมายและองคป์ ระกอบการศึกษาของแต่ละลทั ธปิ รชั ญาการศึกษา (ทีม่ า: ปรบั จาก วรวทิ ย์ วศนิ สรากร, 2549) ลัทธิปรชั ญา จุดมงุ่ หมายของ หลักสตู ร ผ้สู อน ผ้เู รียน วธิ กี ารสอน การศกึ ษา การศกึ ษา เนน้ เนอ้ื หาวิชา ผสู้ อนเป็นศูนยก์ ลาง เป็นผรู้ บั ผู้ฟัง เนน้ การสอนแบบ สารัตถนยิ ม ถา่ ยทอดวัฒนธรรม บรรยาย (Essentialism) และพฒั นา เนน้ การฟงั การพดู การ สติปัญญา อา่ น การเขียนและการ ผ้สู อนเปน็ เป็นผ้มู ีเหตุผล เน้นการอภิปราย นิรันตรนยิ ม พัฒนาสติปญั ญา คดิ ศนู ยก์ ลาง ปฏบิ ัตติ ามความ โต้แย้ง การใช้ (Perennialism) และคุณธรรม เน้นประสบการณ์ เชอื่ เหตผุ ล จริยธรรม เป็นผกู้ ระตนุ้ พพิ ฒั นาการนิยม พัฒนาร่างกาย เน้นสงั คมเป็นแกน แนะแนวทางใน ผู้เรยี นเป็นศนู ย์กลาง ใช้วิธกี ารแก้ปัญหา (Progressivism) อารมณ์ สังคม การค้นคว้า ศึกษา สติปัญญา และม่งุ มรี ายวิชาให้เลือกเรยี น วจิ ัย ปฏริ ูปนยิ ม ปลกู ฝัง ตามความต้องการ (Reconstructionism) ประชาธิปไตย เปน็ ผชู้ น้ี าให้เห็นว่า ผู้เรียนเปน็ ศูนย์กลาง ยดึ งานหรอื พัฒนาสงั คม แบง่ เป็น สองส่วน ต้องสรา้ งสังคมใหม่ ทม่ี ุ่งนาความรู้ไป กิจกรรมเปน็ หลัก อตั ถภิ าวนยิ ม 1. ให้ความรู้ โดยวถิ ีทาง ปฏริ ปู สงั คม (Existentialism) พัฒนาตนเองให้มี ประชาธิปไตย สมรรถภาพและ ความสามารถทจี่ ะ ผู้เรียนเปน็ สาคัญ มุ่งร้จู ักตนเองเป็น พุทธปรชั ญา ความรับผดิ ชอบ ไปประกอบอาชีพได้ เปน็ ผูก้ ระตนุ้ ให้ สาคัญ (Buddhism 2. สร้างความเป็น ผเู้ รียนรจู้ กั ตนเอง Philosophy) พัฒนาให้เปน็ ผมู้ ี มนุษย์ที่สมบรู ณ์ และใช้ เป็นผ้พู หูสตู และมี สอนโดยสรา้ ง คณุ ธรรมปราศจาก ความสามารถของ อทิ ธิบาท 4 ศรทั ธาและ ความเห็นแกต่ วั ตนเอง โยนิโสมนสิการ ร้จู ักตนเอง รจู้ กั ตน แก้ปญั หาในชีวิต เป็นกลั ยาณมิตร อยใู่ นสงั คมไดอ้ ย่าง มีความสขุ

45 สรปุ ความสัมพันธ์ระหว่างปรัชญากับการศึกษา คือ ปรัชญามุ่งศึกษาชีวิตและจักรวาลเพ่ือหาความจริงอัน เป็นที่สุด ส่วนการศึกษามุ่งศึกษาเร่ืองราวเกี่ยวกับมนุษย์และวิธีการท่ีพัฒนามนุษย์ให้มีความเจริญงอกงาม สามารถดารงชีวิตอยู่ได้ด้วยความสุขประสบความสาเร็จในการประกอบอาชีพ ดังนั้นปรัชญาและการศึกษามี จุดร่วมกันคือ การจัดการศึกษาต้องอาศัยปรัชญาในการกาหนดจุดมุ่งหมายและหาคาตอบทางการศึกษา ซึ่ง ปรัชญามีความสัมพันธ์กับการศึกษา คือปรัชญาช่วยพิจารณาและกาหนดเป้าหมายทางการศึกษา การศึกษา เป็นกิจกรรมที่ทาให้บุคคลเปลี่ยนแปลงพฤติกรรมไปในทางที่พึงปรารถนา ปรัชญาจะช่วยกาหนดแนวทางหรือ เปา้ หมายท่ีพึงปรารถนา ซ่งึ จะสอดคล้องกบั ข้อเท็จจรงิ ทางสังคม เศรษฐกิจ การเมือง วฒั นธรรม เป็นต้น และ ปรัชญาจะช่วยให้เห็นว่าเป้าหมายทางการศึกษาที่จะเลือกนั้นสอดคล้องกับการมีชีวิตที่ดีหรือไม่ ชีวิตท่ีดีควร เป็นอย่างไร ธรรมชาติของมนุษย์คืออะไร ปัญหาเหล่าน้ีนักปรัชญาอาจเสนอแนวทางประกอบการพิจารณาใน การเลือกเป้าหมายทางการศึกษา ซ่ึงการวิเคราะห์ วิพากย์ วิจารณ์ และพิจารณาดูการศึกษาอย่างละเอียด ลึกซึ้ง ให้เข้าใจถึงแนวคิดหลัก ความสาคัญ ความสัมพันธ์ และเหตุผลต่าง ๆ อย่างชัดเจนมีความต่อเนอื่ ง และ มีความหมายต่อมนุษย์ สังคมและส่ิงแวดล้อมท่ีเป็นงานสาคัญของปรัชญาต่อการศึกษาหรือที่เราเรียกว่า ปรชั ญาการศึกษา

46 เอกสารอา้ งอิง กิตมิ า ปรีดีดลิ ก. (2520). ปรชั ญาการศึกษา. กรงุ เทพฯ : มหาวทิ ยาลัยศรีนครินทรวโิ รฒ. กิตมิ า ปรดี ีดิลก. (2523). ปรัชญาการศกึ ษา เล่ม 1. กรงุ เทมหานคร: ประเสรฐิ การพมิ พ.์ กรี ติ บญุ เจือ. (2519). ปรัชญาสาหรบั ผเู้ ริ่มเรียน. กรุงเทพฯ : ไทยวฒั นาพานชิ . เกียรติวรรณ อมาตยกุล. (2528). “ศึกษาและวเิ คราะห์ปรชั ญาการศกึ ษาลทั ธิอัตถภิ าวนยิ ม” วารสารครศุ าสตร์.14, 2 (ตลุ าคม-ธันวาคม 2528): 66. ขนษิ ฐา สุวรรณฤกษ์. (2548). การศึกษาและความเป็นครไู ทย. กรงุ เทพฯ: มหาวิทยาลยั ราชภัฏธนบุร.ี จนิ ดา ยญั ทิพย.์ (2528). ความสัมพันธ์ระหวา่ งแนวคิดทางปรัชญาการศกึ ษากับแบบการเรียนของนิสติ ระดับ บัณฑิตศึกษา คณะครศุ าสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย. วิทยานิพนธ์ครุศาสตรมหาบัณฑิต จุฬาลงกรณ์มหาวทิ ยาลัย. ซี อี เอม็ โจด. (2523). ปรัชญา. วิทย์ วิศทเวทย.์ (แปล) กรุงเทพฯ: โครงการตาราฯ สมาคมสังคมศาสตร์แหง่ ประเทศไทย. ฐิตพิ งษ์ ธรรมานสุ รณ์ และคณะ. (2522). พื้นฐานการศึกษา (ศกึ ษา 111). กรงุ เทพฯ: สานักพิมพ์อักษรเจริญทัศน์. ณัฐพร คามะสอน. (2531). การเปรียบเทยี บแนวคดิ ทางปรัชญาการศกึ ษาระหว่างผูบ้ รหิ าร โรงเรยี น มธั ยมศึกษาเอกชนในกรงุ เทพมหานคร. วทิ ยานิพนธค์ รศุ าสตรมหาบัณฑิต. จุฬาลงกรณ์มหาวทิ ยาลยั . ทองปลวิ ชมชื่น. (2529). ปรัชญาการศกึ ษานอกระบบโรงเรยี น. นครปฐม: มหาวทิ ยาลัยศลิ ปากร. ทองหล่อ วงษ์ธรรมา. (2555). พ้ืนฐานปรัชญาการศึกษา : ภูมปิ ัญญาของตะวันออกและตะวันตก. กรุงเทพฯ: โอเดยี นสโตร์. บรรจง จนั ทรสา. (2522). ปรชั ญากบั การศึกษา. กรงุ เทพมหานคร: สานักพิมพ์ไทยวฒั นาพานิช. ปานทพิ ย์ ศุภนคร. (2542). ปรชั ญาเบอ้ื งตน้ . (พิมพ์คร้งั ที่ 2). กรุงเทพฯ: มหาวทิ ยาลัยรามคาแหง. พระราชวรมุนี (ประยุทธ์ ปยุตโต). 2525. ปรัชญาการศึกษาไทย. (พิมพ์คร้ังที่ 2). กรุงเทพฯ: มลู นิธิโกมลคีมทอง. พระอัครเดช ญาณเตโช โลภะผล. (2557). พุทธปรัชญาการศึกษา Buddhist Philosophy of Education. วารสารอิเลก็ ทรอนิกส์การเรียนรทู้ างไกลเชิงนวัตกรรม. ปีที่ 4 ฉบบั ท่ี 2 ก.ค. - ธค. 2557. สบื ค้นจาก https://e-jodil.stou.ac.th/Page/Home.aspx. พมิ พ์พรรณ เทพสุเมธานนท์ และคณะ. (2555). ปรชั ญาการศึกษาเบ้ืองต้น. (ฉบบั ปรบั ปรุงใหม่) กรุงเทพฯ : สานกั พมิ พม์ หาวทิ ยาลัยรามคาแหง. ไพฑรู ย์ สนิ ลารตั น์ (2529). ปรัชญาการศกึ ษาเบ้ืองต้น. กรุงเทพฯ: คณะครศุ าสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวทิ ยาลัย. ไพฑรู ย์ สินลารตั น.์ (2556). ปรัชญาการศกึ ษาเบื้องต้น. (พิมพ์ครั้งที่ 8) กรุงเทพฯ : สานักพิมพแ์ ห่ง จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลยั . ภิญโญ สาธร. (2521). หลักการศกึ ษา. กรงุ เทพฯ: สานกั พิมพ์สภุ า. เมธี ปลิ ันธนานนท.์ (2523). ปรัชญาการศกึ ษาสาหรบั คร.ู กรงุ เทพฯ : ไทยวฒั นาพานชิ .

47 มูลนธิ ิชัยพัฒนา. (2552). เศรษฐกจิ พอเพียง. สบื ค้นจาก http://www.chaipat.or.th/site_content/item/19- 2009-10-30-07-44-57.html รตั นา ตันบนุ เต็ก (2530). ปรัชญาการศึกษา. กรุงเทพฯ: คณะศึกษาศาสตร์ มหาวทิ ยาลยั ศรีนครินทรวิโรฒ ประสานมิตร. ลออ การญุ ยวณิชและคณะ. (2518). “การศึกษาพัฒนาการ” วธิ สี อนทวั่ ไป. กรุงเทพฯ: สานักพมิ พร์ ุ่งเรืองธรรม. วรวิทย์ วศินสรากร. (2549). ปรัชญากบั การศกึ ษาเบอื้ งตน้ . กรงุ เทพฯ: มหาวทิ ยาลยั ศรีนครินทรวิโรฒ. วจิ ติ ร เกดิ วิสิษฐ์. (2520). ปรัชญาการศึกษาของพระพทุ ธศาสนาฝา่ ยเถรวาท. วทิ ยานพิ นธอ์ กั ษรศาสตร มหาบัณฑติ จุฬาลงกรณม์ หาวิทยาลัย. วจิ ิตร ศรสี อา้ น. (2525). ความพยายามในการแสวงหารูปแบบทีเ่ หมาะสมของมหาวทิ ยาลยั . กรงุ เทพฯ: ทบวงมหาวิทยาลยั . วทิ ย์ วศิ ทเวทย์ (2523) .ปรชั ญาการศกึ ษา:แนวคดิ ทางการศกึ ษา. กรงุ เทพฯ: โรงพมิ พเ์ จรญิ วทิ ย์การพมิ พ์. ศกั ดา ปรางค์ประทานพร. (2526). ปรัชญาการศึกษา. กรงุ เทพฯ: โอเดียนสโตร.์ ศุภร ศรีแสน. (2526) ปรัชญาและแนวคิดทางการศึกษา. กรงุ เทพมหานคร: อภชิ าตการพิมพ์. สถติ ย์ วงศ์สวรรค์. (2537). ปรัชญาเบอื้ งตน้ . (พิมพค์ รัง้ ท่ี 2). กรงุ เทพฯ: รวมสาส์น. สมนึก พวงพวา. (2531). ปรัชญาการศกึ ษาตามความต้องการของอาจารย์วิทยาลยั ครสู หวิทยาลัย ทวาราวดีและสหวิทยาลัยทกั ษิณ. วิทยานิพนธ์ครุศาสตรมหาบณั ฑิต, สานกั พิมพแ์ หง่ จุฬาลงกรณ์ มหาวทิ ยาลัย. สาโรช บวั ศรี (2526). ความคิดบางประการทางการศึกษา. กรงุ เทพฯ: กระทรวงศึกษาธกิ าร. สาโรช บัวศรี. (2528). “ปรัชญาการศึกษาตามแนวพุทธศาสตร์” ใน สมาคมการศึกษาแห่งประเทศไทย. สาโรช บัวศรี กับศกึ ษาศาสตร์ตามแนวพทุ ธศาสตร์. กรงุ เทพฯ: รุ่งเรืองการพิมพ.์ สมุ น อมรวิวฒั น์. (2528). การสอนโดยการสร้างศรทั ธาและโยนโิ สมนสิการ. กรงุ เทพฯ: โรงพมิ พ์ตรีรณสาร. สุรินทร์ รักชาติ. (2529). การเปรยี บเทยี บความเชื่อทางปรัชญาการศกึ ษาระหวา่ งผ้บู ริหาร อาจารย์ และ นกั ศึกษาในกรงุ เทพมหานคร. วทิ ยานพิ นธค์ รุศาสตรมหาบัณฑติ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย. แสง จันทรง์ าม. (2526). “วิธสี อนตามแนวพุทธศาสน์” ใน ศึกษาศาสตร์ตามแนวพุทธศาสนภ์ าคท่ี 2: ระบบ การเรยี นการสอน. กรงุ เทพฯ: สานักงานคณะกรรมการวฒั นธรรมแหง่ ชาติ กระทรวงศึกษาธกิ าร. อไุ ร ดิษฐลักษณ. (2530). การสารวจแนวคดิ และการปฏิบัตเิ กยี่ วกับสารตั ถพุทธปรชั ญาการศกึ ษาของ ผบู้ รหิ ารและอาจารย์โรงเรียนประถมศึกษา สังกดั กรุงเทพมหานคร. วิทยานพิ นธ์ครุศาสตรมหา บัณฑิต, สานักพิมพแ์ ห่งจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย. Kneller, G. F. (1964). Introduction to the Philosophy of Education. New York: John Wiley & Sons. Newsome, Jr., & George, L. (1969). Education and Philosophy and the Education Philosopher. New York: Mcgraw-Hill. Thakur, A.S. (1977). The Phisophical Foundations of Education. National Publinshing Hours. Wingo, M.G. (1974). Philosophies of Education: An Introduction. Lexington Mass: D.C.Heat and Co.

48

49 บทท่ี 2 หลักการ แนวคดิ ทฤษฎีทางการศกึ ษา ศนุ ิสา ทดลา บทน้ีกล่าวถึงลักษณะทั่วไปของการศึกษา ความหมายของคาว่าการศึกษา ทฤษฎีการศึกษา ทฤษฎีการเรียนรู้ ทฤษฎีการสอน ทฤษฎีหลักสูตร และทฤษฎีวัดและประเมินผลการศึกษา ซึ่งเป็นความรู้เบื้องต้นของการสร้างความรู้ ความเข้าใจเกย่ี วกบั หลกั การศึกษา และแนวคิดทฤษฎีทางการศกึ ษาอย่างลึกซึ้งต่อไป ลกั ษณะทัว่ ไปของการศึกษา จอห์น ดิวอ้ี (John Dewey) นักปรัชญาการศึกษาได้ให้ความหมายอย่างกว้างที่สุดของการศึกษาว่าเป็น วิธีการส่งผ่านจุดมุ่งหมายและธรรมเนียมประเพณีให้ดารงอยู่จากรุ่นหน่ึงสู่อีกรุ่นหน่ึง ซึ่งยังมีนักวิชาการหลายท่านได้ให้ ความหมาย (ภญิ โญ สาธร, 2521, น. 10-12) ดงั น้ี การศึกษา หมายถึง กระบวนการทุกชนิด ท่ีช่วยพัฒนาหรือปรับปรุง จิตใจ อุปนิสัย และคุณสมบัติทาง กายภาพต่างๆ ของมนุษย์ให้ดีขึ้น การศึกษาเป็นกระบวนการ หรือเป็นเพียงเครื่องมือเครื่องใช้อย่างหนึ่งของมนุษย์ ท่ี มนุษย์จะนาไปใช้ให้เกิดประโยชน์ในด้านตา่ งๆ การศกึ ษาไม่ใช่ผลของการเรียนรู้ท่ีเกดิ ประโยชนโ์ ดยตวั ของมันเองทันที น่ันคือ การที่คนได้รับการศึกษา ไม่ได้หมายความว่าเขาได้รับผลประโยชน์ข้ันสุดท้ายและสิ้นสุดแต่เพียงเท่าน้ัน ส่ิงท่ี เขารู้หรือส่ิงที่เขาได้รับจากการศึกษาจะไม่มีประโยชน์ถ้าไม่นามาใช้งานหรือไม่นาไปทาประโยชน์ให้เกิดขึ้นแก่ตนเอง และสังคม การศึกษาเหมือนมีดอันหน่ึงถ้าได้มาแล้วไม่ใช้งาน มีดอันน้ันก็ไร้ค่าและถ้าใช้เป็นก็มีประโยชน์ แต่ถ้าใช้ไม่ เป็นกอ็ าจมีอนั ตราย กระบวนการหรือวิธีการศึกษา เป็นวัฒนธรรมอย่างหนึ่งของมนุษย์กระบวนการน้ีมนุษย์คิดค้นข้ึนมาและ ดาเนินการ การศึกษาไม่ใช่กระบวนการของธรรมชาติ แม้ธรรมชาติช่วยพัฒนาจิตใจ อุปนิสัย หรือคุณลักษณะทาง กายภาพของมนุษย์ก็ตาม กระบวนการธรรมชาติดังกล่าวไม่จัดเป็นการศึกษา ซ่ึงการศึกษาเป็นกระบวนการต่อเน่ือง ตลอดชีวิต มนุษย์เรียนรู้เพ่ิมข้ึนตลอดเวลา ทุกครั้งท่ีมีการเปลี่ยนแปลงที่สาคัญๆ เกิดข้ึน มนุษย์ได้เรียนรู้ ซึ่งอาจเป็น การเรยี นรูใ้ นดา้ นความคิดหรอื การกระทา หรอื ท้ังสองอยา่ งพรอ้ ม ๆ กนั กไ็ ด้ การศึกษา คือ กระบวนการส่ังสอน กระบวนการฝึกอบรม หรือกระบวนการถ่ายทอดความรู้ ความชานาญ และ ทัศนคติ ซ่ึงรวมเรียกว่า “ประสบการณ์” ซ่ึงมนุษย์เป็นผู้จัดให้แก่มนุษย์ด้วยกัน ปัจจุบันน้ีมีสถาบันหลายประเภทเป็น ผ้จู ัดการศึกษา แต่ทส่ี าคญั ที่สดุ คือ โรงเรยี น วทิ ยาลัย และมหาวิทยาลัย ทเ่ี รียกอย่างกลาง ๆ วา่ “สถาบนั การศึกษา” เพราะ สถาบนั การศกึ ษามวี ัตถุประสงคท์ จี่ ะให้การศึกษาโดยตรง ซ่ึงแต่เดิมมนุษยร์ บั การศกึ ษาจากบิดา มารดา วัด และวงั

50 ความรู้ ความชานาญ และทัศนคติ ที่มนุษย์นามาส่ังสอน ฝึกอบรมหรือถ่ายทอดให้กันและกันน้ันมีหลาย อย่าง ที่สาคัญคือ วัฒนธรรม หรือวิถีทางแห่งการดารงชีวิตของมนุษย์ ท้ังท่ีมองเห็นได้ชัดและที่มองไม่เห็นได้ชัดก็คือ วธิ กี ารเกยี่ วกับ อาหาร ยารกั ษาโรค เคร่อื งน่งุ หม่ และท่ีอยอู่ าศัย ซ่ึงเปน็ ปจั จัยสใี่ นการดารงชวี ิตของมนุษย์ นอกจากน้ี ก็มีวิธีการประกอบอาชีพต่าง ๆ ท้ังในด้านเกษตรกรรม พาณิชยกรรม อุตสาหกรรม การให้บริหาร วิทยาศาสตร์ และ เทคโนโลยีต่าง ๆ และการอยู่ร่วมกันในสังคม ซ่ึงประกอบด้วยวิธีเข้าสังคม ความรู้ความชานาญและทัศนคติเก่ียวกับ การปกครอง กฎหมาย ประเพณี ภาษาและวรรณคดี ดนตรี ศิลปกรรมต่าง ๆ นาฎศิลป์ และที่มองไม่เห็นหรือเห็นได้ ยาก คือ ศาสนา จริยธรรม ปรัชญา และเรื่องอันเกี่ยวด้วยวิญญาณหรือสภาวะทางจิต และอื่น ๆ แล้วแต่เวลา สถานการณ์ สถานที่ และลักษณะของกลุ่มบุคคล อันเป็นความจาเป็นท่ีมนุษย์คิดว่าต้องนามาสั่งสอน ฝึกอบรมหรือ ถ่ายทอดใหเ้ กิดความร้คู วามชานาญ หรอื มีทัศนคติท่ีตรงกันตามยคุ ตามสมยั มนุษย์เร่ิมให้การศึกษากันมาต้ังแต่เร่ิมมีมนุษย์ในโลก ดังน้ันการศึกษาจึงพัฒนาเจริญยิ่งขึ้นตามลาดับ จน ปัจจุบันนี้เป็นที่ยอมรับว่า “การศึกษาคือกุญแจไขไปสู่ความเจริญทุกด้านในสังคม” แต่ก่อนนี้การศึกษาเป็นเพียง กระบวนการอนรุ ักษน์ ยิ มอย่างหน่ึงซึ่งมุ่งหมายท่ีจะรักษาและถ่ายทอดวฒั นธรรมเพียงอย่างเดียว ปัจจบุ นั นี้ การศึกษา เปน็ ตวั เรง่ ที่สาคญั ท่สี ุด ท่ีกอ่ ใหเ้ กิดการเปลี่ยนแปลงและพฒั นาการในส่ิงต่าง ๆ ในสงั คม พฒั นาการทีเ่ ด่นที่สดุ อันเป็น ผลของการศกึ ษาในปจั จบุ ันคอื เศรษฐกิจและการเมือง ประดิษฐกรรมและสินค้าใหม่ ๆ ตลอดจนเทคโนโลยีที่เจริญขึ้นอย่างรวดเร็ว เป็นผลจาการศึกษาและ ค้นควา้ วจิ ัย อนั เปน็ กระบวนการอีกอย่างหนึ่งของการศึกษา ประเทศที่มีความเจรญิ ในการศกึ ษา เป็นประเทศท่ีมคี วาม เจริญก้าวหน้าท้ังในทางอุตสาหกรรม วิทยาศาสตร์ และเทคโนโลยี และเป็นประเทศที่มีความเจ ริญมั่งค่ังในทาง เศรษฐกิจด้วยเช่นเดียวกัน เช่น ประเทศสหรัฐอเมริกา รัสเซีย ญ่ีปุ่น เป็นต้น ความตื่นตัวเรียกร้องและต่อสู้ทางการ เมืองเพ่ือให้ได้เอกราชสมบูรณ์ในประเทศอาณานิคม และความต่ืนตัวให้ได้การปกครองระบอบประชาธิปไตยใน ประเทศเอกราชเก่าแก่แต่ยงั ด้อยพัฒนา ล้วนเป็นผลของการศึกษาหรือเป็นผลของการสั่งสอนของครู และเป็นผลของ การเรียนรู้ของนักเรียน เช่น ฟิลิปปินส์ อินโดนีเซีย และไทย เป็นต้น การศึกษาจึงกลายเป็นสิ่งสาคัญอันดับแรกท่ี ประเทศซึ่งต้องการพัฒนาในด้านเศรษฐกิจและการเมือง จะต้องให้ความสนใจและสนับสนุนในด้านการลงทุนเ พ่ือ การศึกษาให้มากทสี่ ุด สาหรบั ประเทศไทยนน้ั การศึกษามีความสาคัญอย่างย่งิ เพราะการศึกษาเกีย่ วข้องกับประชากร สว่ นใหญข่ องประเทศ และประเทศไทยใช้ทรัพยากรจานวนมากลงทุนในการศกึ ษา ความหมายของคาวา่ “การศกึ ษา” บุคคลหลายอาชีพให้ความเห็นเกี่ยวกับความหมายคาวา่ “การศึกษา” แตกตา่ งกนั ไปท่ีน่าสนใจมี (ภญิ โญ สาธร, 2521, น. 13-18) ดงั นี้

51 เพลโต (Plato) นักปราชญ์ชาวกรีกสมัยโบราณประมาณต้นพุทธกาล กล่าวถึงการศึกษาในหนังสือ The Republic ของเขาว่า “การศึกษาคือเครื่องมือท่ผี ู้ปกครองประเทศใช้ในการเปลยี่ นแปลงนิสัยมนุษย์เพ่ือก่อให้เกดิ รัฐท่ีมี ความสมานสามัคคีเป็นอันหนึ่งอันเดียวกัน ถ้าพลเมืองมีการศึกษา เขาจะสามารถฝ่าฟันผ่านอุปสรรคต่าง ๆ ท่ีเกิดขึ้น ได้ นอกจากนี้ถ้าระบบการศึกษาดีแล้ว การพัฒนาปรับปรุงส่ิงใดก็ตาม ย่อมทาได้โดยง่าย แต่ถ้ารัฐทอดท้ิงการศึกษา เสยี แล้วไม่ว่ารัฐจะกระทาการอน่ื ใดยอ่ มไมบ่ ังเกิดผล” คาร์เตอร์ วี. กู๊ต (Carter V. Good) เป็นบรรณาธิการพจนานุกรมการศึกษาให้คาจากัดความ การศึกษา 4 ขอ้ คือ 1. กระบวนการเบด็ เสร็จที่บคุ คลนามาพัฒนาความสามารถดา้ นต่าง ๆ ทศั นคตติ ่าง ๆ และพฤติกรรมต่าง ๆ ท่ีมคี ณุ ค่าอนั เปน็ ที่พึงปรารถนาในสังคมท่บี คุ คลนน้ั อาศัยอยู่ 2. กระบวนการทางสังคมซ่ึงเลือกสรรและควบคุมส่ิงแวดล้อมให้บุคคลได้รับความสามารถ และพัฒนา ตนเองอย่างดที ส่ี ุดตามท่ีสังคมปรารถนา (โดยเฉพาะอย่างยิง่ คอื กระบวนการที่โรงเรยี นเป็นผู้จัด) 3. วิชาต่าง ๆ ท่ีสถาบันอุดมศึกษาเปิดสอนเพื่อเตรียมผู้ประกอบอาชีพครู ซ่ึงส่วนมากเก่ียวข้องโดยตรงกับ จิตวิทยาการศึกษา ปรัชญาและประวัติการศึกษา หลักสูตร วิธีสอนวิชาเฉพาะและวิธีสอนท่ัวไป หลักการศึกษา การ บรหิ ารการศกึ ษา การนเิ ทศการศกึ ษา และวิชาอ่นื ๆ ทรี่ วมเรยี กวา่ ศกึ ษาศาสตร์ หรือวชิ าครู 4. ศลิ ปะการถ่ายทอดความรจู้ ากอดีตซ่ึงจัดไว้อยา่ งมีระเบียบใหแ้ ก่บคุ คลแตล่ ะรนุ่ ยอร์จ ดี. สปินด์เลอร์ (George D. Spindler) นักมานุษยวิทยากล่าวว่า การศึกษาซึ่งทาให้เด็กได้รับมนุษย ภาวะและมีฐานะเป็นท่ียอมรับของหมู่คณะคือ กระบวนการเบ็ดเสร็จของความเจริญงอกงามและการปรับตัว ศนู ย์กลางของกระบวนการน้ีคือ เดก็ ซึง่ จะตอ้ งปรบั ตัวให้เข้ากับส่ิงแวดล้อม ที่ถกู ควบคุมโดยวฒั นธรรม ขนาดของหมู่ คณะ ภูมิอากาศ ผืนแผ่นดิน สภาวะแวดล้อม และบุคลิกภาพของพ่อแม่ผู้ปกครอง หรือ การศึกษาคือ กระบวนการ ถ่ายทอดวัฒนธรรมซ่ึงประกอบด้วยความชานาญด้านต่าง ๆ ความรู้ ทัศนคติต่าง ๆ ค่านิยมต่าง ๆ และรูปแบบของ พฤตกิ รรมตา่ ง ๆ ดว้ ย หรือการศกึ ษากค็ ือการทาใหม้ นุษย์มวี ฒั นธรรมนนั่ เอง แวน คลิฟ มอร์ริส (Van Cleve Morris) นักปรัชญามีความเห็นว่า การศึกษาเป็นหน้าท่ีอันสาคัญที่สุดอย่างหน่ึง ของสงั คม เพราะแม้ว่ารัฐบาลจะรักษาความสงบเรียบร้อยและขับไล่ศัตรูออกนอกประเทศได้ ก็เพยี งแต่ทาให้สังคมดารงอยู่ ได้ในระยะเวลาส้ันเท่าน้ัน ถ้ารัฐบาลไม่ส่ังสอนคนรุ่นใหม่ ให้รู้จักวัฒนธรรมของสังคมไว้ชั่วอายุคนแต่ละรุ่นแล้ว สังคมน้ันๆ กจ็ ะเสื่อมสูญ หน้าทีข่ องโรงเรียนไม่ใช่เพ่ือให้ความสะดวกแก่บุคคลในการแสวงหาความรู้หรือเพ่ิมพูนปัญญาเพ่ือหางานที่มี ค่าแรงแพงข้ึน หรือเพื่อช่วยให้บุคคลรู้จักวิธีดารงชีวิตท่ีหรูหราข้ึนเท่านั้น แต่หน้าท่ีอันดับแรกของโรงเรียนคือ การรักษา รปู แบบของการดารงชีวิตท่สี ังคมต้องการไวเ้ พ่ือประกันว่าสงั คมอย่างนั้นจะดารงอยู่ตลอดไป

52 เจมส์ เอส. โคลแมน (James S. Coleman) นักรัฐศาสตร์ ให้ความเห็นว่า อดีตการศึกษาทาหน้าท่ีรักษา และถ่ายทอดวัฒนธรรม แต่ปัจจุบันน้ีระบบการศึกษาเป็นตัวการหลักสาหรับการเปลี่ยนแปลงต่างๆ และมีบทบาท สาคญั ตอ่ สงั คม ท่ีกอ่ ให้เกิดความเจรญิ พัฒนาในดา้ นเศรษฐกิจและการเมือง ทัลคอทท์ พาร์สัน (Talcott Parson) นักสังคมวิทยามีความเห็นว่า การศึกษาคือเคร่ืองมือเตรียมเด็กและ เยาวชนให้มีบทบาทในวงการอาชีพต่าง ๆ ของผู้ใหญ่ ถึงแม้ว่าวิชาท่ีเรียนจะไม่เก่ียวข้องโดยตรงในการประกอบอาชพี แต่การศึกษาสนับสนุนให้เด็กแข่งขันกันทาคะแนนสูงๆ ช่วยฝ่ายสร้างค่านิยมในการทางานให้ได้รับความสาเร็จในตั ว เด็ก แม้เด็กจะมีบุคลิกภาพต่างๆ กัน แต่โรงเรียนก็ทาหน้าที่อบรมให้เด็กเป็นสมาชิกของสังคมที่มีรูปแบบตามท่ีสังคม ต้องการได้เหมือนๆ กัน กิจกรรมต่างๆ ท่ีหล่อหลอมเด็กให้เป็นสมาชิกที่ดีของสงั คม เรียกว่า “กิจกรรมสังคมประกิต” (Socialization activities) จอห์น ดิวอี้ (John Dewey) นักปรัชญาการศึกษามีความเห็นว่าคุณค่าของการศึกษาคือเป็นเคร่ืองมือท่ี สามารถสรา้ งความต้องการทจ่ี ะเจริญงอกงามทเ่ี ตบิ โตข้นึ ในตวั บุคคล นักวิชาการหลายท่านได้ให้ความหมายของ “การศึกษา” แตกต่างกันไปดังกล่าวมาข้างต้น พอจะสรุปได้ว่า การศึกษาเป็นกระบวนการพัฒนาบุคคลทั้งในด้านจิตใจ ทัศนคติและคุณสมบัติอ่ืนๆ กระบวนการศึกษาเป็นเพียง เครื่องมือที่คนรุ่นหนึ่งให้แก่คนอีกรุ่นหนึ่ง เคร่ืองมือน้ีถ้าไม่นาไปใช้จะไม่เกิดประโยชน์ นอกจากน้ีการศึกษายังเป็น เคร่ืองมืออันสาคัญของประเทศในการสร้างความเป็นอันหน่ึงอันเดียวกันของคนในชาติเพื่อก่อให้เกิดความม่ันคงของ ประเทศท้งั ในด้านสงั คม วัฒนธรรม เศรษฐกิจ และการเมอื ง ทฤษฎกี ารศึกษา ปรัชญาการศึกษาเปน็ เรอื่ งท่เี กยี่ วข้องกับแนวคิด ความเชอ่ื ในการจดั การศกึ ษา ดังนัน้ ปรชั ญาการศึกษาจงึ มี อิทธิพลต่อการจัดการศึกษาโดยตรง สังคมใดที่มีแนวความคิดเก่ียวกับปรัชญาการศึกษาในลักษณะใดแนวคิดนั้นก็จะ สะท้อนให้เห็นในการจัดหลักสูตร การจัดการเรียนการสอน การวัดและการประเมินผลการเรียนการสอน แนวคิดใน การจัดการศึกษามีแนวโน้มไปทางลทั ธิปรัชญาการศึกษาใดไม่ได้หมายความวา่ ทุกอย่างจะเปน็ ไปตามแนวคิดของลทั ธิ ปรัชญาการศึกษานั้น อาจมีการนาลัทธิปรัชญาการศึกษาอ่ืนๆ มาผสมผสานก็ได้ตามความเหมาะสม ในส่วนของการ จัดการศกึ ษาไทยมีการนาแนวคิดต่างๆ มาใช้ในการจดั การศึกษา (ภญิ โญ สาธร, 2521, น. 219-236) ดงั น้ี การจัดการศึกษาในประเทศไทยนับตั้งแต่สมัยกรุงสุโขทัยเป็นราชธานีจนถึงรัชสมัยของพระบาทสมเด็จพระ จุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวกาลท่ี 5 แห่งกรุงรัตนโกสินทร์ หรือประมาณตั้งแต่ พ.ศ. 1781 ถึง พ.ศ. 2414 ซ่ึงเป็นปีที่ พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ทรงสร้างโรงเรียนอย่างเป็นระบบโรงเรียนอันแท้จริงขึ้นในพระบรมมหาราชวัง เปน็ ครัง้ แรก และนกั การศึกษาไทยถือว่า พ.ศ. 2414 เปน็ ปีเปดิ ศกั ราชการศึกษาไทยแบบปจั จุบัน และถอื ว่าพระบาทสมเด็จ พระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวคือพระมหากษัตรยิ ์ไทยพระองค์แรกท่ีทรงปฏิรูปการศึกษาไทยอย่างแท้จริง การ ดาเนนิ งานด้าน การศกึ ษาของไทยมิได้อาศยั แนวความคิดจากต่างชาติ และ ไมม่ ีอทิ ธิพลปรัชญาการศึกษาของต่างชาติมาเกีย่ วข้อง

53 หลังจาก พ.ศ. 2414 การจัดการศึกษาของไทยได้รับอิทธิพล ทางความคิดและได้รูปแบบจากฝร่ังท้ังชาว ยุโรป อเมริกา ออสเตรเลีย และ อื่นๆ รวมท้ังจากประเทศในเอเชยี คือ ญี่ปุ่น จะเห็นได้ว่าโครงการศึกษา พ.ศ. 2441 ซ่ึงจัดเป็นแผนการศึกษาเต็มรูปฉบับแรกของชาติ ไม่นับโครงการจัดช้ันเรียน ซ่ึงไม่ใช่โครงการหรือแผนการศึกษา แห่งชาติ ได้แบบอย่างมาจากประเทศอังกฤษ โครงการศึกษา พ.ศ. 2445 ก็ลอกแบบมาจากแผนการศึกษาแห่งชาติ ของญ่ีปุ่น แม้แผนการศึกษาแห่งชาติ พ.ศ. 2503 ก็ได้อิทธิพลทั้งในรูปแบบและวัตถุประสงค์ของการศึกษามาจาก ตะวันตก การแบ่งการศึกษาออกเป็น 4 ส่วนคือ พุทธิศึกษา จริยศึกษา พลศึกษา และหัตถศึกษา ก็ตรงกับปรัชญา การศึกษาของสโมสรยุวกสิกรอเมริกัน ท่ีเรียกว่า Four H's Club คือ Head ตรงกับพุทธศึกษา Heart ตรงกับจริย ศึกษา Health ตรงกับพลศึกษา และ Hand ตรงกับหัตถศึกษา นอกจากนี้หลักสูตรประถมศึกษา พ.ศ. 2503 ก็ลอก แบบวัตถุประสงค์ของการศึกษามาจากวัตถุประสงค์การศึกษาอเมริกันที่เสนอโดยสมาคมการศึกษาแห่งชาติของ อเมริกัน (National Education Association) มาอย่างมาอย่างตรง ๆ โดยไม่เปลี่ยนแปลงใด ๆ เช่น สัจจการแหง่ ตน มนษุ ยสัมพันธ์ เศรษฐกิจ และหนา้ ท่พี ลเมืองทัง้ 4 หมวดรวม 36 รายการ ทั้งนี้แผนการศึกษาแห่งชาติ พ.ศ. 2520 ซึ่งประกาศเป็นพระบรมราชโองการ เม่ือวันที่ 31 มีนาคม พ.ศ. 2520 และให้เร่ิมใช้ระบบการศึกษาตามแผนภมู ิใหม่ในปีการศึกษา 2521 รวมทั้งหลักสตู รชั้นประถมศึกษาปีท่ี 1 และ หลักสูตรช้ันมัธยมศึกษาปีที่ 1 ซึ่งเริ่มใช้ในปี พ.ศ. 2521 นั้น เป็นผลงานของสภาการศึกษาแห่งชาติร่วมกับ กระทรวงศึกษาธิการและกระทรวงมหาดไทย ท่ีรับแนวความคิดมาจากรายงานของ “คณะกรรมการวางพื้นฐานเพ่ือ ปฏิรูปการศึกษา” พ.ศ. 2517 ซึ่งตอนหลังพัฒนามาเป็นคณะปฏิรูปการศึกษา แม้ว่างานของคณะปฏิรูปการศึกษาจะ ยังไม่สมบูรณ์ รัฐบาลสมัยมีการปฏิรูปการปกครองแผ่นดินก็พยายามนามาใช้ และเร่งรัดจนสามารถประกาศใช้มา จนกระทั่งปัจจุบันน้ี แนวความคิดในแผนการศึกษาแห่งชาติฉบับ พ.ศ. 2520 และหลักสูตรไม่ได้ลอกแบบแผนการ ศึกษาจากต่างประเทศ แต่นักการศึกษาได้ดัดแปลงหลักการและทฤษฎีการศึกษาต่าง ๆ มาผสมผสาน กับความเป็น จริงในสังคมไทยท่ีสอดคล้องกับสภาพเศรษฐกิจ สภาพการเมือง สภาพวัฒนธรรม และสภาพของเอกลักษณ์ของชาติ ไทยอนั มสี ถาบันชาติ ศาสนา และพระมหากษัตริยเ์ ป็นเครื่องยึดเหนี่ยวจิตใจ แตกต่างออกไปจากประเทศอ่ืนเป็นหลัก ซ่ึงการนาแนวความคิด หลักการ หรือทฤษฎี ทางการศึกษาของประเทศท่ีเจริญกว่าเอามาดัดแปลงใช้ตามความ เหมาะสมเป็นส่ิงท่ีดีแต่การลอกแบบในด้านวัตถุประสงค์ของการศึกษา และโครงสร้างของระบบ การศึกษาของ ต่างประเทศโดยไมค่ านงึ วา่ สภาพบา้ นเมอื งของเราแตกตา่ งกันกบั สภาพบ้านเมืองของเราไมเ่ ป็นการดี การจัดการศึกษานอกจากต้องคานึงถึงปรัชญาการศึกษาแล้ว ยังรวมถึงทฤษฎีการเรียนรู้ ทฤษฎีการสอน ทฤษฎีหลักสูตร และทฤษฎีวัดและประเมินผลการศึกษาซงึ่ เก่ียวขอ้ งกบั ทฤษฎีการศึกษา โดยผ้ทู ่เี ก่ียวข้องกบั การศึกษา ทั้งนักการศึกษา นักวิชาการ ผู้บริหาร ครูผู้สอน ต้องรู้และเข้าใจเพื่อให้การจัดการศึกษาประสบผลสาเร็จตาม เป้าหมาย

54 ทฤษฎีการเรียนรู้ ในอดีตทฤษฎีการศึกษาอาศัยหลักการทางจิตวิทยาเป็นแนวทาง ผลการวิจัยทางจิตวิทยาส่วนมาก เป็นผลท่ี ทดลองกับสัตว์ในห้องทดลอง ต่อมานักการศึกษารุ่นหลังได้ค้นคว้า ทฤษฎีการเรียนรู้ของมนุษย์ โดยยึดผลงานของ แพทย์ นักปรัชญา และนกั สังคมวทิ ยาเป็นแนวทางแทนจิตวิทยาท่ัวไป ระหว่าง พ.ศ. 2460 – 2520 ทฤษฎีการเรียนรู้ของจอห์น ดิวอี้ มีชื่อเสียงและใช้กันแพร่หลายที่สุด ซ่ึง จอห์น ดิวอ้ี (John Dewey ค.ศ. 1859 - 1952) เป็นผู้นาลัทธิปฏิบัตินิยม (Pragmatism) ซึ่งภายหลังพัฒนามาเป็นลัทธิปรัชญาสังคมประสบการณ์นิยม (Social Experimentalism) ซึ่งเป็นปรัชญาการศึกษา ทฤษฎีการเรียนรู้ของ จอห์น ดิวอ้ี กล่าวว่า “เด็กเรียนรู้โดยการคิดก่อน แล้วได้ทาตามน้ัน ต้องมี การซักถามอภิปรายมากๆ จึงจะเกิดความคิด และต้องถือว่าความสนใจของ จอหน์ ดวิ อี้ (John Dewey) เด็กสาคัญเหนือส่ิงอ่ืนใด ครูเป็นเพียงผู้สนับสนุนให้เกิดการเรียนรู้ และให้ ที่มา: https://www.biography.com/scholar/john-dewey ตามทีเ่ ขาสนใจ เดก็ เปน็ ศูนยก์ ลาง ครูไมใ่ ช่ศูนย์กลางในกระบวนการเรียนรู้” ดงั นน้ั ในสมยั นนั้ ช้นั เรยี นต่างๆ จงึ ท่มุ เทเวลาใหก้ ับการจดั กิจกรรมของเด็ก และการทาตามท่ีเด็กต้องการหรือสนใจ จนเนอื้ หาสาระทสี่ ังคมต้องการให้เด็กรู้เกือบไมม่ ีและมีการซักถามอภปิ รายกัน จนครูหมดความสาคัญลงตามลาดับ เดก็ เป็น ศูนย์กลางหรือเป็นใหญ่ในช้ัน ไม่นานความเคารพยาเกรงอย่างวัฒนธรรมไทยก็สลายตัวลง การจัดการศึกษาของไทยสมัย แผนการศึกษาแห่งชาติ พ.ศ. 2503 ในตอนแรกใช้ยึดแนวทาง ของจอห์น คุย เป็นหลักสาคัญ จนกระทั่งมีการริเร่ิมให้มี การปฏิรปู การศึกษากันใน พ.ศ. 2517 ลทั ธิของจอห์น คุย จงึ หมดความสาคัญลงไป (ภญิ โญ สาธร, 2521, น. 221) ปัจจุบันน้ีนักการศึกษาเชื่อทฤษฎีพัฒนาการของเด็กตามวัยอายุ ซึ่งวงการแพทย์เป็นผู้วิจัยไว้ โดยแบ่งวัยของ เดก็ ออกเปน็ 7 ตอน (ภญิ โญ สาธร, 2521, น. 222-223) คือ 1. วยั เดก็ อ่อน อายุตัง้ แตแ่ รกเกดิ จนถงึ ประมาณ 1 ปคี ร่ึง 2. วัยก่อนเข้าโรงเรียน อายุตั้งแต่ 2 ถึง 5 ปี คือยังไม่ควรให้เรียนในโรงเรียนที่ต้องอ่านเขียนคิดเลขและทา กิจกรรมทางการศึกษาอย่างอื่น นอกจากกิจกรรมทางสังคมท่ีเหมาะกับวัย หรือกิจกรรมเพื่อฝึกความพร้อมท่ีจะเรียน ในโรงเรยี นธรรมดาตอ่ ไป 3. วัยเด็ก อายุตง้ั แต่ 6 ถึง 9 ปี จดั เป็นวยั เข้าโรงเรียนได้ เช่น โรงเรยี นประถมศกึ ษาหรือการศึกษาภาคบังคับ ของไทยนั้นเอง ทั้งน้ีเพราะมีการเติบโตของมันสมองและใยประสาทของสมองเพียงพอที่จะเรียนรู้ได้ ทางการแพทย์ กล่าวว่า มันสมองของมนุษย์มีใยประสาทอยู่เป็นจานวนมาก ใยประสาทนี้ทาหน้าท่ีเหมือนสายไฟฟ้า ที่ให้คาส่ังของ สมองผ่านไปยังอวัยวะส่วนต่าง ๆ ถ้าสายไฟฟ้าที่วางก้าวก่ายกันอยู่ไม่มีฉนวนหุ้มเพียงพอไฟฟ้าจะลัดทางที่เรียกว่า ไฟช้อร์ท ไฟฟ้าก็ไปไม่ถงึ ปลายทาง คาสัง่ ของสมองเชน่ เดยี วกนั คาสง่ั วิ่งในใยประสาททีม่ ฉี นวนหุ้ม ซง่ึ เป็นไขมนั เรียกว่า

55 ไมเออลิน (Myelin) ถ้าใยประสาทที่ก้าวก่ายกันอยู่ไม่มีไมเออลินหุ้มเพียงพอ คาส่ังของสมองก็ลัดทาง ไม่อาจไปถึง อวัยวะปลายทาง และทาตามคาสั่งสมองไม่ได้ อวัยวะของเด็กอ่อนจึงขาดการควบคุมท่ีดีของสมอง เพราะมีไมเออลิน ยังไมส่ มบูรณ์ แตไ่ มเออลินจะสมบูรณ์ประมาณ 95 เปอร์เซ็นต์ของสมองปกติของผู้ใหญ่เมื่อเด็กมีอายุ 6 ปี ดงั น้นั อายุ 6 ปี เป็นวัยเข้าโรงเรียนประถมศึกษาได้ก็ชอบด้วยเหตุผลทางการแพทย์ แผนการศึกษา แหง่ ชาติ พ.ศ. 2520 จึงถือเอาอายุ 6 ปี เป็นหลกั แทนอายุ 8 ปอี ย่างแต่กอ่ น แต่กไ็ ด้ยืดหย่นุ ไวถ้ ึงอายุ 8 ปี เพื่อใหเ้ หมาะกบั สภาพสังคมและส่ิงแวดล้อม ในประเทศ ไทยแตล่ ะท้องถ่ิน 4. วยั กอ่ นวัยรุน่ อายุต้ังแต่ 10 ถงึ 12 ปี วัยน้ยี ังเรียนในระดับประถมศึกษาได้ 5. วัยรุ่นระยะแรก อายุตั้งแต่ 13 ถึง 16 ปี เป็นวัยท่ีเหมาะสาหรับการศึกษาในระดับมัธยมศึกษา ซึ่งควรแยกจาก โรงเรียนประถมศึกษา เพราะพฤติกรรมของเด็กแตกต่างจากวยั ก่อนวยั ร่นุ มาก การศึกษาระดับมัธยม ตอนตน้ อยู่ในวยั น้ี 6. วัยรุ่นระยะปลาย อายุต้ังแต่ 17 ถึง 20 ปี จัดเป็นตอนปลายวัยรุ่น พฤติกรรมของเด็กเปลี่ยนมากยิ่งขึ้น การศกึ ษาระดับมัธยมตอนปลายอยรู่ ะยะน้ี 7. วัยก่อนเป็นผู้ใหญ่ อายุตั้งแต่ 21 ถึง 26 ปี ความเปลี่ยนแปลงในพฤติกรรมของคนวัยนี้มีมาก การศึกษา ระดบั อดุ มศึกษาอยู่ระยะน้ี การโต้แย้งเก่ียวกับความสาคัญและบทบาทของพันธุกรรม (Heredity) กับสิ่งแวดล้อมท้ังทางวัตถุและสังคม (Social and Physical Environment) ในวงการศึกษาเกดิ ขนึ้ อยา่ งกวา้ งขวาง เปน็ การโต้แย้งวา่ การศึกษาเป็นไปโดย ธรรมชาติ หรือเกิดข้ึนโดยการอบรมเลี้ยงดู (Nature or Nurture) แต่ในท่ีสุด ทุกคนก็ยอมรับว่า การศึกษาเกิดขึ้นด้วยการ อบรม เล้ียงดู มใิ ชธ่ รรมชาติ ธรรมชาติหรือพนั ธุกรรมคงให้ได้เฉพาะสว่ นท่เี ป็นความเติบโตทางกาย เช่น ขนาด รปู ร่าง ความ แข็งแรงของกล้ามเนื้อ หรือ ความสมบูรณ์ของมันสมอง หรือไมเออลินท่ีหุ้มใยประสาทในมันสมอง เม่ือร่างกายปกติแต่ขาด การอบรมเลี้ยงดู การศึกษาจะเกิดเองได้ยาก การอบรมเลี้ยงดูจึงสาคัญท่ีสุด สภาพสังคมและส่ิงแวดล้อม มีส่วนสาคญั ในการให้การศึกษาแก่มนุษย์ เพราะมนุษย์เรียนรู้จากสิง่ รอบตวั ตลอดเวลา และมนุษย์พัฒนาตนเองอยู่เสมอท้ังท่ีรตู้ ัว และไม่ร้ตู วั ทฤษฎีการเรียนรู้ของธอร์นไดค์ ซึ่งเอ็ดเวิร์ด ลี. ธอร์นไดค์ (Edward L. Thorndike ค.ศ. 1874-1949) นักจิตวิทยาชาวอเมริกัน เจ้าของลัทธิ “ความ ต่อเนื่องสัมพันธ์ในการเรียนรู้ (Connectionism)” และเจ้าของกฎแห่งผล (Law of Effect) หรือ กฎแห่งความสมั พันธร์ ะหวา่ งส่ิงเรา้ (Stimulus) กบั การ ตอบสนอง (Response) หรือ ทฤษฎี S-R ธอร์นไดคก์ ล่าววา่ “ความสัมพันธ์ระหว่างสิ่งเร้ากับการตอบสนองจะถูกทาให้แข็งแกร่ง เอด็ เวริ ์ด ล.ี ธอร์นไดค์ (Edward ข้ึน เมื่อการตอบสนองสิ่งเร้า ได้รับผลสาเร็จ และได้รางวัลตอบแทน แต่จะ L.Thorndike) ที่มา: https://th.wikipedia.org/wiki/. อ่อนแอลง ถ้าการตอบสนองไมไ่ ด้รบั ผลสาเรจ็ และได้รบั การลงโทษ”

56 ต่อมามีนักจิตวิทยาและนักปรชั ญาอีกหลายคนคัดค้าน เพราะการให้รางวัลหรือการลงโทษที่ไม่พอดี อาจเป็น ภัยต่อการเรียนรู้มากกว่าท่ีจะเป็นประโยชน์และมีตัวการอย่างอ่ืนมาเก่ียวข้องมาก ในการเร้าและการตอบสนอง อย่างไรกต็ ามทฤษฎขี องธอรน์ ไดคท์ นี่ ่าสนใจมากคือ ทฤษฎที ีเ่ ป็น “ลทั ธคิ วามตอ่ เนือ่ งสัมพนั ธ์ (Connectionism)” “การเรียนรู้เป็นเรื่องของการสร้างความต่อเนื่องสัมพันธ์ และส่ิงท่ีจะต้องนามาต่อเนื่องสัมพันธ์ คือการใช้ ประโยชน์ในสงั คมได้” หลักการดังกล่าวทาให้ครูรู้จักเอาส่ิงที่สัมพันธ์กันมาสอนด้วยกันหรือต่อเน่ืองกัน แต่ส่ิงไม่สัมพันธ์ต่อเนื่องกัน กส็ อนภายหลงั หรอื ใหห้ ่างกันออกไป และครูสอนเฉพาะสง่ิ ท่ีจะเปน็ ประโยชนต์ ่อสังคม แทนทจี่ ะสอนเพยี งเพ่ือให้รู้ แต่ ไร้ประโยชน์ต่อสงั คมในภายหลัง ธอร์นไดคค์ อื นักจิตวทิ ยาและนักการศึกษาคนแรก ทเี่ สนอแนะใหม้ กี ารวัดผลอย่างมรี ะบบ และใชส้ ถิติเข้าช่วย นอกจากน้ียังเห็นความสาคัญของการวิจัยทางการศึกษาท่ีจะต้องใช้วิชาสถิติเข้าร่วมด้วยเช่นเดียวกัน ธอร์นไดค์ถือว่า การ วัดผลคือหนทางที่นาไปสู่ปลายทางที่ถูกต้อง เขาเชื่อว่าถ้าเราวัดผลงาน เราจะทราบว่าควรดาเนินการให้ดีย่ิงข้ึนอย่างไร การวิจัยต่าง ๆ ของธอร์นไดค์ทาให้เขาเช่ือในทฤษฎีท่ีว่าบุคคลแต่ละคนมีความแตกต่างระหว่างบุคคล การให้ การศึกษาจึงต้องคานึงถึงการสอนเป็นรายบุคคลด้วย จะสอนรวมๆ กันไป โดยถือว่าบุคคลท้ังช้ันเหมือนกัน จะเรียนรู้ เท่ากนั ไมไ่ ด้ จอห์น บี. วัตสัน (John B. Watson) ทฤษฎีแห่งการเรียนรู้ของวัตสัน ซึ่งจอห์น บี. วัตสัน (John B. Watson ค.ศ. ทม่ี า: https://th.wikipedia.org/wiki/. 1878 - 1958) เป็นนักการศึกษาคนแรกที่สร้างทฤษฎีการเรียนรู้โดยแยกออก จากทฤษฎีทางจิตวิทยาและปรัชญา วัตสันเสนอ “กฎแห่งความถ่ีและความ ใหม่ในการเรียนรู้ (Laws of Frequency and Recency)” เพ่ือนามาใช้แทน กฎแห่งผล (Law of Effect) ของธอร์นไดค์ ซึ่งน่าสนใจมากคือ กฏแห่ง ความถี่และความใหม่กล่าวว่า “ถ้าตัวการอย่างอ่ืนเท่ากัน ส่ิงท่ีได้เรียนรู้ถ่ีกว่า และใหม่กว่า จะถูกระลึกถึงได้ดีกว่า” (อ้างถึงใน ภิญโญ สาธร, 2521, น. 225) ทฤษฎีแห่งการเรียนรู้ของวัตสัน คือ การให้เรียนซ้า ๆ บ่อย ๆ และเน้นว่าส่ิงท่ี เพิง่ ผ่านสายตาไปย่อมจาได้ หรือระลกึ ถึงได้ก่อนสิ่งที่ผา่ นสายตาไปนานๆ และ นี่คอื เหตผุ ลถึงความจาเปน็ ท่นี กั เรียนต้องทบทวนก่อนเข้าสอบ

57 ทฤษฎกี ารเรยี นรู้ท่สี าคญั ๆ ตามมาเปน็ ลาดบั รวมทง้ั ทฤษฎีทางจิตวทิ ยาท่ปี รบั ปรุงให้เหมาะสมกับการเรียนรู้ เช่น จิตวทิ ยาเกสตัลท์ (Gestalt Psychology) และ ทฤษฎีสนาม (Field Theory) เป็นต้น ซง่ึ จติ วิทยาเกสตลั ท์ในดา้ น การเรียนรู้ เน้นให้เห็นถึงความสาคัญของธรรมชาติอันเป็นเอกภาพของหน้าท่ีต่าง ๆ ของสมอง ซึ่งตรงกันข้ามกับกลไก การทางานของอวยั วะ จิตวิทยาเกส้ ต้อลท์เป็นต้นกาเนดิ ของทฤษฎสี นาม ซ่งึ เปน็ ทฤษฎกี ารเรียนรู้เหมือนกัน แต่ทฤษฎี สนามเน้นให้เห็นการตอบสนองของการเรียนรู้ต่อเรื่องใหญ่ๆ หรือเน้นให้เห็นผลของการเรียนรู้ในเร่ืองใหญ่ๆ กว้าง ๆ กอ่ น แล้วให้รเู้ ร่ืองรายปลีกยอ่ ย ซึง่ จะทาใหร้ ไู้ ด้ดกี ว่าและรวดเร็วกวา่ จึงเป็นทฤษฎีทีน่ ิยมกนั จนถึงทกุ วนั น้ี ทฤษฎีการเรียนรกู้ ลมุ่ เกสตลั ท์ กลุ่มเกสตัลท์ (Gestalt Psychology) แนวคิดของนักจิตวิทยากลุ่มเกสตัลท์ เกิดขึ้นในระยะใกล้เคียงกับกลุ่ม พฤติกรรมนิยม ผู้นากลุ่มได้แก่ แมกซ์ เวอร์ ไธเมอร์ (Max Wertheimer) และผู้ร่วมกลุม่ อีก 3 คน คือ เคอร์ท เลอวนิ (Kurt Lewin) , เคอร์ท คอฟพ์กา (Kurt Koffka) และวอล์ฟแกง โคเลอร์ (Wolfgang Kohler) ซึ่งเป็นชาวเยอรมัน ความหมายของคาว่า เกสตัลท์ (Gestalt) เป็นภาษาเยอรมันซึ่งวงการจิตวิทยาได้แปลความหมายไว้เดิมแปลว่า แบบ หรือรปู รา่ ง (Gestalt หมายถงึ form or Pattern) ต่อมาปจั จบุ ันแปล เกสตลั ท์ เป็นส่วนรวมหรือส่วนประกอบท้ังหมด (Gestalt หมายถึง The wholeness) กลุ่มน้ีมีแนวคิดว่าการเรียนรู้เกิดได้จากการจัดสิ่งเร้าต่าง ๆ มารวมกันเร่ิมต้น ด้วยการรับรู้โดยส่วนรวมก่อนแล้ว จึงจะสามารถวิเคราะห์เร่ืองการเรียนรู้ส่วนย่อยทีละส่วนต่อไป การเรียนรู้เป็น กระบวนการทางความคิดซึ่งเป็นกระบวนการภายในตัวมนุษย์ บุคคลจะเรียนรู้จากสิ่งเร้าที่เป็นส่วนรวมได้ดีกว่าสว่ นยอ่ ย หลักการจัดการเรียนการสอนตามทฤษฏีนี้จะเน้นกระบวนการคิด การสอนโดยเสนอภาพรวมก่อนการเสนอส่วนย่อย ส่งเสริมใหผ้ ู้เรียนมีประสบการณ์มากและหลากหลายซึ่งจะชว่ ยให้ผเู้ รียนสามารถคิดแกป้ ัญหา คดิ รเิ ร่มิ และเกิดการเรียนรู้ แบบหยงั่ เห็นได้ กฎการเรยี นรู้ประกอบดว้ ย 6 กฎทเ่ี รยี กว่ากฎการจัดระเบยี บเข้าด้วยกัน (The Laws of Organization) ดังน้ี 1) กฎแห่งความแน่นอนหรือชัดเจน (Law of Pragnanz) 2) กฎแห่งความคล้ายคลึง (Law of Similarity) 3) กฎแห่งความ ใกล้ชดิ (Law of Proximity) 4) กฏแหง่ การสน้ิ สดุ (Law of Closure) 5) กฎแห่งความต่อเนอื่ ง (Law of Continuity) และ 6) กฎแหง่ ความสมบรู ณ์ (Law of Closer) ซง่ึ แตล่ ะกฎมรี ายละเอยี ด (ฮศุ นยี ์ สญั ญา และคณะ, 2558) ดงั นี้ 1. กฎแห่งความแน่นอนหรือชัดเจน (Law of Pragnanz) กล่าวว่าเม่ือต้องการให้มนุษย์เกิดการรับรู้ ในส่ิง เดียวกัน ต้องกาหนดองค์ประกอบขึ้น 2 ส่วน คือ 1) ภาพหรือข้อมูลท่ีต้องการให้สนใจ เพื่อเกิดการเรียนรู้ในขณะนั้น (Figure) และ 2) ส่วนประกอบหรอื พ้ืนฐานของการรับรู้ (Background or Ground) เป็นสิ่งแวดล้อมท่ีประกอบอยูใ่ น การเรียนรู้นั้น ๆ แต่ผู้สอนยังไม่ต้องการให้ผู้เรียนสนใจในขณะนั้น ปรากฏว่าวิธีการแก้ปัญหาโดยกาหนดทั้ง 2 ส่วน ของเกสตลั ทท์ ่ีกล่าวข้างตน้ ไดผ้ ลเป็นที่น่าพอใจ เพราะสามารถทาให้มนุษยเ์ กดิ การเรียนรู้ดว้ ยการรับรู้อยา่ งเดียวกันได้ บางครั้ง Figure อาจเปลย่ี นเป็น Ground และ Ground อาจเปลี่ยนเปน็ Figure กไ็ ด้ ตัวอยา่ งเชน่

58 ถ้ามองสีดาเป็นภาพสีขาวเป็นพ้ืน จะเห็นเป็นรูปปีศาจ แต่ถ้ามองสีขาวเป็น ภาพสีดาเปน็ พ้ืน จะเหน็ เปน็ รปู นางฟ้า ถ้ามองสีขาวเปน็ ภาพ สีดาเป็นพนื้ ก็จะเป็นรปู พาน แต่ถา้ มองดาเปน็ ภาพสี ขาวปน็ พน้ื ก็อาจจะเหน็ เปน็ รูปคน 2 คน หนั หน้าเขา้ หากนั 2. กฎแห่งความคล้ายคลึง (Law of Similarity) กฎนี้เป็นกฎที่ Max Wertheimer ต้ังขึ้นในปี ค.ศ. 1923 โดยใช้เป็นหลักการในการวางรูปกลุ่มของการรับรู้ เช่น กลุ่มของ เส้น หรือสี ที่คล้ายคลึงกัน หมายถึงสิ่งเร้าใด ๆ ก็ ตามที่มีรูปร่าง ขนาด หรอื สี ทคี่ ล้ายกันคนเราจะรับรู้ว่าเป็นส่ิงเดยี วกนั หรอื พวกเดียวกัน ตัวอยา่ งเช่น จะเห็นว่ารปู สเี่ หล่ียมเลก็ ๆ แตล่ ะรูปท่ีมสี เี ข้มเปน็ พวกเดยี วกัน 3. กฎแห่งความใกลช้ ิด (Law of Proximity) กลา่ วว่าถ้าสิ่งใดหรือสถานการณ์ใดทเี่ กิดข้ึนในเวลาตอ่ เนื่องกัน หรอื ในเวลาเดยี วกัน อินทรีย์จะเรียนรู้ว่าเป็นเหตุและผลกัน หรอื สิง่ เร้าใด ๆ ทีอ่ ยใู่ กล้ชิดกัน มนุษยม์ แี นวโน้มทจี่ ะรับรู้ สิ่งตา่ งๆท่อี ยู่ใกล้ชดิ กนั เปน็ พวกเดียวกนั หมวดหม่เู ดยี วกนั ตัวอย่าง 1 4. กฎแห่งการสิ้นสุด (Law of Closure) กล่าวว่าแม้ว่าสถานการณ์หรือปัญหายังไม่สมบูรณ์ อินทรีย์ก็จะเกิด การเรียนร้ไู ดจ้ ากประสบการณ์เดิมต่อสถานการณน์ ั้น เสน้ ต่าง ๆ ไมจ่ าเปน็ ต้องลากไปจนสุดหรือบรรจบกันแตเ่ มอ่ื มองเดาได้ว่านา่ จะ เป็นรปู อะไร 5. กฎแห่งความต่อเนื่อง (Law of Continuity) กล่าวว่าส่ิงเร้าที่มีทิศทางในแนวเดียวกัน ซึ่งผู้เรียนจะรบั ร้วู า่ เป็นพวกเดียวกัน

59 6. กฎแห่งความสมบูรณ์ (Law of Closer) สิ่งเร้าท่ีขาดหายไปผู้เรียนสามารถรับรู้ให้เป็นภาพสมบูรณ์ได้โดย อาศัยประสบการณ์ การนาทฤษฎีประยุกต์ในการเรยี นการสอน การนาทฤษฎีประยุกต์ใช้ในการเรียนการสอน นกั จิตวทิ ยากลุ่มน้ีคิดว่า การเรียนรู้ของคนเราเป็นการเรียนรู้ด้วยการหย่ังเห็นซึ่งเกิดข้ึนอย่างรวดเร็วและคิดได้ว่าอะไรเป็นอย่างไร ปัญหาก็แจ่มชัด ขึ้นเอง เน่ืองจากการเห็นความสัมพันธ์ของส่วนต่าง ๆ ของปัญหามีหลายอย่างท่ีมีอิทธิพลต่อการเรียนรู้ด้วยการหยั่งเห็น ดังนี้ 1. การหยั่งเห็นจะข้ึนอยู่กับการจัดสภาพท่ีเป็นปัญหา ประสบการณ์เดิมแม้จะมีความหมายต่อการเรียนรู้ แต่การ หยั่งเห็นน้ันให้เปน็ ระเบียบ และสามารถจัดส่วนของสถานการณ์น้ันให้เป็นระเบียบ มองเห็นความสัมพันธ์ระหว่างส่ิงต่าง ๆ ท่ีเกดิ ขึ้น 2. เมือ่ สามารถแก้ปญั หาไดค้ ร่งึ หนึ่ง คราวต่อไปเมื่อเกิดปญั หาข้ึนอกี ผูเ้ รียนกจ็ ะสามารถนาวิธกี ารน้ันมาใช้ ในทนั ทโี ดยไมต่ ้องเสียเวลาคดิ พิจารณาใหม่ 3. เม่ือค้นพบแนวทางในการแก้ปัญหาคร้ังก่อนแล้วก็อาจนามาดัดแปลงใช้กับสถานการณ์ใหม่ และรู้จักการ มองปญั หาเปน็ ส่วนเป็นตอนและเรยี นรู้ความสมั พนั ธ์ของสิง่ ต่าง ๆ ได้ ทฤษฎีของฟรอยด์ (Sigmund Freud พ.ศ. 2399-2482) ที่เรียกกันว่าลัทธิฟ รอยเดียน (Freudianism) ฟรอยด์เป็นนักจิตวิทยาวิเคราะห์ เจ้าของทฤษฎีว่า ด้วยบุคลิกภาพของมนุษย์ ซึ่งมีจิตใจเป็นส่ิงควบคุมร่างกาย ฟรอยด์แบ่ง องค์ประกอบของจิตออกเป็น 3 ประเภทคอื 1. อิด (id) หมายถึงสภาพจิตท่ีอยู่นอกสานึกเป็นไปโดยไม่รู้ตัว เป็น ผลรวมของประสบการณ์ในอดีตของแต่ละคน กับความกดดันในจิตใจ อิด มี อานาจควบคุมพฤติกรรมและความประพฤติต่างๆ ของบุคคลให้ทาตาม ซิกมนั ด์ ฟรอยด์ (Sigmund Freud) อาเภอใจเพ่ือหาความสุขหรือความเพลินใจ คล้ายๆ กับเป็นแรงขับของ ที่มา: https://th.wikipedia.org/wiki/. ธรรมชาติในร่างกายที่เรียกว่าสัญชาตญาณ (instinct) ปัจจุบันถือว่าเป็น คุณสมบัติประจาตัวสัตว์ช้ันต่าไม่มีในมนุษย์ อิดจะถูกกล่อมเกลาให้อ่อนแรง เบาบางลงได้ ด้วยจิตประเภทที่ 2 และท่ี 3 คือ อีโก (ego) และ ซุปเปอร์อีโก (superego) 2. อีโก (ego) เปน็ กระบวนการทางจิตที่มีทั้งความรู้สานึกและไม่รสู้ านึกรวมกัน อีโก มีหน้าทีแ่ สวงหาความเป็น จรงิ โดยประสานงานกับแรงขับตามธรรมชาติในร่างกาย ผสมผสานกับความกดดนั ของส่งิ แวดล้อมท้ังทางสังคมและวตั ถุ อีโก คอื ความเปน็ ตัวเองของมนุษย์ทเี่ รียกว่า อตั ตา (หรือ self) ซึ่งมกั ไม่คานึงถึงผู้อ่ืน บางทเี่ ราเรยี กว่าความเห็นแก่ตวั ของบุคคล

60 3. ซุปเปอร์อีโก (superego) คือ จิตใต้สานึก มีความรู้สึกตัวอยู่เสมอ (conscience) ไม่เกิดขึ้นโดยไม่รู้ตัว ซุปเปอร์อีโกสามารถควบคุม อิด และ อีโก ได้ เพราะซุปเปอร์อีโกคือความรู้สานึกว่าอะไรควรไม่ควร ที่บุคคลพึง กระทา เมือ่ รูส้ านึกเช่นนนั้ จติ กส็ งั่ การตามนั้น ลัทธิฟรอยเดียน (Freudianism) ถือว่าอิสรภาพของบุคคลสาคัญเหนือสิ่งอื่นใดโดยไม่คานึงถึงสังคม ถึงแม้ว่า สังคมจะเป็นประชาธิปไตยหรือเผด็จการก็ตาม เพราะโลกน้ีเป็นของบุคคลแต่ละคน ไม่ใช่เป็นโลกของทุกคนร่วมกัน ไม่ใช่เป็นโลกของคนกลุ่มใดกลุ่มหน่ึง ท่ีเรียกว่าสังคมใดสังคมหน่ึง ฟรอยด์ไม่ต้องการให้บุคคลถูกกรอบหรือกฎของ สังคมบีบบังคับให้กระทาตามที่สังคมต้องการโดยไม่เป็นท่ีพอใจของบุคคลนั้น ๆ ฟรอยด์ถือว่าการศึกษาคือการทา ความเข้าใจ สัญชาติญาณอันเป็นธรรมชาติของมนุษย์ ทาความเข้าใจความสนใจของตนเอง และทาความเข้าใจ แนวโนม้ ทบ่ี ุคคลอยากจะทาหรืออยากจะประพฤติ ลัทธิฟรอยเดียนมีอิทธิพลต่อการค้นคว้าพัฒนาวิชาแนะแนว (Guidance) และวิชาศิลปะ (Art) แต่นัก การศกึ ษาไมย่ อมเอามาประยุกต์กับวชิ าอ่ืนเก่ยี วกับการเรียนรู้มากนัก เพราะนกั การศึกษาส่วนใหญ่เชื่อวา่ “การศึกษา เป็นเคร่ืองมือรับใช้สังคม การศึกษาช่วยให้คนมีพฤติกรรมอยู่ในกรอบท่ีสังคมพึงปรารถนา” ดังน้ันลัทธิฟรอยเดียนจึง เปน็ ปฏิปักษ์ต่อวงการศึกษาถงึ แมล้ ัทธนิ จี้ ะเปน็ ทฤษฎีการเรยี นรู้ดว้ ยเหมือนกัน ทฤษฎีการเรียนรู้อีกทฤษฎีหน่ึง คือ ลัทธิปฎิบัติการนิยม (Fuctionalism) ลัทธินี้เชื่อว่ากระบวนการคิดในจิตใจ คน กาหนดบทบาทให้คนๆ น้ันปฏิบัติการอย่างใดอย่างหนึ่งตามที่คิด โดยให้การปฏิบัติดังกล่าวปรับตัวให้เหมาะสมกับ สภาพแวดล้อมท้ังวัตถุและสังคม ลัทธินี้เน้นการปฏิบัติ (operation) เป็นหลักในการเรียนรู้ ซ่ึงทฤษฎีการเรียนรู้ส่วนใหญ่ มักจะเน้นเน้ือหาสาระ (contents) ท่ีเอามาให้จดจาเรียนรู้มากกว่านักศึกษาที่สนใจลัทธิปฏิบัติการนิยมมากคือ นักพัฒนา หลักสูตร เพราะนักพัฒนาหลักสูตรมักกล่าวอยู่เสมอว่า การทาหลักสูตรต้องให้มีวัตถุประสงค์เชิงปฏิบัติ หรือให้มี วัตถุประสงค์เชงิ พฤติกรรม (Functional or Behavioral Objectives) ไมใ่ ช่บรรจุแต่เนื้อหาสาระเท่านนั้ ในหลักสูตร ทฤษฎีการเรียนร้ตู ่างๆ ที่นักการศกึ ษาใช้สว่ นมากมลี ักษณะสาคัญเด่น ๆ 5 ประการคือ 1. ถกู หลักวิทยาศาสตร์ ค้นควา้ วจิ ยั และหาหลักการเพ่มิ เติมได้ 2. สอดคล้องกับสภาพสังคม เพราะการศึกษาคือกระบวนการสงั คมอย่างหน่ึง 3. พฒั นาใหก้ ้าวหน้าลึกซง้ึ ได้ เพราะการศึกษาคือการพฒั นาหรือการเปล่ียนแปลงใหด้ ีขึน้ 4. ควบคุมได้ ไมใ่ ช่เป็นไปโดยธรรมชาติ โดยไมม่ ตี วั การอะไรควบคมุ ได้ 5. เน้นบคุ คลเป็นรายคน เพราะแม้ว่าการศึกษามุ่งจดั ให้มวลชนแต่กระบวนการศกึ ษาตอ้ งจดั ใหบ้ คุ คลเป็น รายคน ตามความแตกต่างระหว่างบคุ คล

61 ท้ังน้ี ทฤษฎีการเรียนรู้ต้องสนับสนุนกระบวนการเรียนรู้ด้านเชาว์ปัญญามากเป็นพิเศษ เพราะนักการศึกษา สว่ นใหญ่ถอื วา่ พุทธศิ ึกษา สาคัญท่สี ดุ และสาคญั กว่า จริยศกึ ษา พลศึกษา อาชวี ศึกษา สนุ ทรยี ศึกษา และอ่ืน ๆ การ เรียนรู้เพ่ือพัฒนาเชาวน์ปัญญา (Intellectual Education) ตามที่ได้กล่าวมาแล้วนั้น นักการศึกษามีความเชื่อว่าการ เรียนรู้จะเกิดขึ้นเร็ว ถ้าสิ่งท่ีเรียนมีความหมาย (meaningful) ดังนั้นการให้ท่องจาสงิ่ ท่ีไม่มีความหมาย หรือสิ่งที่ยังไม่ มีความเข้าใจ จะจาได้ยากท่ีสุด โดยเฉพาะอย่างย่ิง ส่ิงท่ีต้องจาเก่ียวกับภาษาท่ีใช้ น้อยคนที่จะจาถ้อยคาในภาษาได้ โดยไม่รู้ว่าถ้อยคาน้ัน ๆ หมายความว่าอะไร ยกเว้นผู้เรียนจะสมมุติความหมายใหแ้ ก่ถ้อยคานั้นๆ ก่อน ก็อาจทาให้จา ได้ ลาดับของสิ่งท่ีให้จาก็สาคัญ ถ้าคาแรกคล้ายคลึงกับคาหลัง เม่ือจาคาแรกได้ ก็มักจาคาหลังได้ เพราะทั้งคู่มี ความหมายคล้ายคลึงกนั หรือสมั พนั ธ์กันจึงจาได้ ความสัมพันธ์กันของสิ่งท่ีเรียนรู้ ทาให้ระลึกหรือจาได้ และถ้าสิ่งท่ีเคยเป็นสิ่งเร้า ซึ่งก่อให้เกิดการตอบสนอง ด้วยการเรียนรู้หรือจาได้ วกกลับมาเร้าใหม่ ก็จะยิ่งทาให้ระลึกได้ หรือจาได้ดีข้ึน ส่ิงท่ีเราเรียกว่า ประสบการณ์ (Experience) ก็คือส่ิงเร้าในอดีต ท่ีวกกลับมาเร้าใหม่ในปัจจุบัน น้ันเอง จึงกลายเป็นว่า เรารู้ เราทาได้ เพราะเรามี ประสบการณ์ ความจริง ก็คือ เรารู้ เราทาได้ เพราะเราได้รับส่ิงเร้าท่ีเคยเร้ามาก่อน แล้วเคยตอบสนองอย่างใดอย่าง หนงึ่ มาก่อน พอไดร้ บั สิ่งเรา้ เดมิ เรากต็ อบสนองได้อยา่ งเดิม ทฤษฎีการเรียนรู้ของพาฟลอฟ ซึ่งอิวาน ปิโตรวิค พาฟลอฟ (Ivan Petrovich Pavlov พ.ศ. 2392-2479) ได้วิจัยโดยสั่นกระด่ิงก่อนให้อาหารสุนัขท่ีหิว เวลา ผ่านไปเพียงได้ยินเสียงกระดิ่งอย่างเดียวเป็นสิ่งเร้า โดยไม่มีอาหารสุนัขก็มี น้าลายไหลออกมาได้ เพราะเป็นส่ิงเร้าเดิมที่คุ้นเคย ก็ย่อมมีการตอบสนอง อย่างเดิม ด้วยความเคยชิน ท่ีเรียกว่ามีประสบการณ์ แต่ถ้าสุนัขไม่หิวการ ตอบสนองอาจแตกต่างกัน เนื่องจากก่อนน้ันเคยหิว แล้วได้ยินเสียงกระด่ิง แล้วได้อาหาร น้าลายจึงไหล เมื่อไม่หิว หรือกาลังอิ่ม สิ่งเร้าเดิมไม่เกิดผล ปโิ ตรวิค พาฟลอฟ (Ivan Petrovich Pavlov) เพราะประสบการณ์ขาดสถานการณ์อันเท่าเทียมกัน มีอิทธิพลทาให้เกิดความ ที่มา: https://th.wikipedia.org/wiki/. แตกต่างในการตอบสนอง นั่นคือ เราถือว่าประสบการณ์อย่างเดียวไม่เพียงพอ มนุษย์ต้องมีท้ังประสบการณ์และความร้ใู นทางทฤษฎีจึงจะแก้ปญั หาได้ดี ท้ังนี้ เพราะเวลาและเง่ือนไขของประสบการณ์ต่างกัน ก็อาจเอาทฤษฎีมาชดเชย ส่วนที่ขาดไป ทาให้ยังมีความสามารถแก้สถานการณ์ใหม่ได้ (ภิญโญ สาธร, 2521, น.228-229)

62 ทฤษฎกี ารเรียนรู้ของพาฟลอฟ มีดงั น้ี 1. พฤติกรรมการตอบสนองของมนุษย์เกดิ จากการวางเง่ือนไขทต่ี อบสนองต่อความต้องการทางธรรมชาติ 2. พฤติกรรมการตอบสนองของมนษุ ยส์ ามารถเกิดขึ้นได้จากส่ิงเร้าทเี่ ชื่อมโยงกับสิ่งเร้าตามธรรมชาติ 3. พฤติกรรมการตอบสนองของมนษุ ย์ทเ่ี กิดจากสง่ิ เรา้ 4. พฤติกรรมการตอบสนองของมนุษย์ส่งิ เร้าที่เชื่อมโยงกบั สง่ิ เร้าตามธรรมชาติ 5. มนษุ ยม์ แี นวโนม้ ทจ่ี ะจาแนกลกั ษณะของส่ิงเรา้ ให้แตกต่างกันและเลือกตอบสนองไดถ้ ูกต้อง การก่อให้เกิดการสนใจ หรือการกระตุ้นความสนใจ (Motivation) ช่วยให้เกิดสถานการณ์เรียนรู้ได้ดี เพราะ การกระตุ้นช่วยให้เกิดการตอบสนองได้ง่าย การกระตุ้นใดๆ ก็ตามไม่จาเป็นที่จะต้องเป็นส่งิ เร้าเดิม เพราะการกระตนุ้ เป็นกระบวนการต่างจากการให้ส่ิงเร้าแล้วเกิดการตอบสนองผลของการกระตุ้นความสนใจจะมีมากน้อยแล้วแต่ ประสบการณ์ ทานองเดียวกับการให้ส่ิงเร้า เพราะถ้ากระตุ้นผิดจังหวะ หรือให้ส่ิงเร้าผิดจังหวะ การตอบสนองก็อาจ แตกต่างกนั ได้ เชน่ เดียวกนั ส่วนเรื่องของความจากับการลืม ท่ีอดีตเชื่อว่า คนท่ีเรียนรู้ สถานการณ์ ก. สถานการณ์ ข. และสถานการณ์ ค. มาแล้วน้นั การทจี่ าสถานการณ์ ข. ไมไ่ ด้ เพราะมคี วามจาสถานการณ์ ก. แนน่ แฟน้ จนไม่อาจเรียนรู้สถานการณ์ ข. และระลึกสถานการณ์ ข. ไม่ได้ เพราะอิทธิพลของสถานการณ์ ก. มาครอบงา (retroactive inhibition) ปัจจุบัน นักการศึกษาเชื่อว่า ที่จาสถานการณ์ ข. ไม่ได้นั้น เพราะคนๆ นั้น รับสถานการณ์ ค. ซึ่งได้รับใหม่เข้าไป ทาให้ลืม สถานการณ์ ข. ซง่ึ เกา่ กว่าสถานการณ์ ค. (proactive inhibition) ทฤษฎนี ตี้ รงกับทฤษฎีของวอตสนั ที่กล่าวถึงไปแล้ว คอื คนเราจะจาสิ่งใหม่ๆ ไดแ้ ละลมื สิ่งเก่าๆ เพราะได้เรียนร้สู ิ่งใหม่เพ่มิ ขนึ้ มา ไมใ่ ช่เพราะเคยจาอะไรมาก่อนนนั้ มากจน จาของใหม่ไม่ได้ ในทางตรงกันข้ามยิ่งผ่านประสาทท้ัง 5 ใหม่เท่าไร ยิ่งจาได้เท่าน้ัน และจะลืมเรื่องเมื่อ 20 ปีมากกว่า ลมื เรื่องเมอ่ื 10 ปี ตามกฎแหง่ ความถ่ีและความใหม่ของวอตสัน นอกจากนี้การท่ีเราจาสง่ิ ใดได้ดีหรือไม่เพียงใดนัน้ อยู่ ที่ความหนักแน่นของการได้เรียนรู้ คือ ถ้ารู้จริงแน่นแฟ้นในเร่ืองใด และอยู่ที่ส่ิงใหม่ท่ีได้รับหลังจากน้ันว่า มีปริมาณ และความแรงมากเพียงใดด้วย คือ ถ้าส่ิงใหม่มีน้อยและไม่แรง ก็จะจาสิ่งเก่าได้ดี การท่ีเด็กอายุ 8 ปี จาส่ิงใดได้ดีกว่า คนอายุ 40 ปี ในเรื่องเดียวกันน้ัน ก็เป็นไปตามทฤษฎีของวอตสันน้ันเอง คือ เด็กอายุ 8 ปี ย่อมมีโอกาสเรียนรู้ส่ิงใหม่ ในปริมาณน้อย ไม่กว้างขวาง ไม่ลึกซ้ึง จึงจาเร่ืองที่เรียนรู้ได้มาก ส่วนผู้ใหญ่อายุ 40 ปี มีโอกาสพบผู้คนมาก มีโอกาส เรียนรู้อะไรใหม่ๆ มาก ก็ย่อมลืมเร่ืองเก่า ท่ีเคยเรียนรู้อย่างเดียวกันกับเด็กอายุ 8 ปี มาในครั้งน้ันได้ง่ายกว่า อันเป็น อิทธิพลของ proactive inhibition คือลืมเพราะมีเรื่องใหม่ ๆ เข้ามาแทน มิใช่มีเรื่องในอดีตมาทาให้ลืม สาหรับการ ท่องสิ่งใดซ้า ๆ โดยไม่มีการเปลี่ยนเร่ือง หรือตัดแบ่งเรื่องให้ส้ัน ๆ แล้วจาเป็นตอน ๆ จะทาให้จาไม่ได้ ตรงกันข้ามถ้า เปลี่ยนจากเรื่องท่องจาไปทาอย่างอื่นบ้าง แล้วมาท่องใหม่จะจาได้ดีกว่า เพราะการท่องซ้าซากทาให้เบื่อหน่าย ความ จาเลยไมท่ างานรบั รอู้ กี ควรจาหลายๆ อยา่ งๆ ละน้อยๆ ไมไ่ ด้ (ภิญโญ สาธร, 2521, น. 229-230)

63 สรุปได้ว่า ถ้าจะเรียนรู้ให้ดีต้องรู้จักตัดเรื่องท่ีเรียนให้เป็นตอน จาเป็นตอนๆ แล้วรู้จักหยุดพักเป็นช่วงๆ หรือ เปลยี่ นกิจกรรม เปล่ียนเร่ือง เรียนเปน็ เรอ่ื งๆ ต่างๆ กันไปจะดกี ว่าการเรยี นเรื่องเดยี ว ยาวๆ นานๆ โดยไม่หยุดพกั หรือ เปลย่ี นเรอ่ื ง จงึ ควรจัดตารางสอนใหม้ ีพกั เปน็ ระยะๆ สลบั วิชาใหแ้ ตกตา่ งกนั ไป ไมใ่ ห้ซา้ ซาก เดก็ จะเรียนรไู้ ด้ดกี ว่าการ จดั ตารางสอน ช่วงยาวๆ นานๆ และซ้าๆ ซากๆ ในเรอ่ื งเดียวกนั หรือคล้ายคลึงกนั เฟร็ด ที. ไทเลอร์ (Fred T. Tyler) กล่าวว่า การพัฒนาหลักสูตรให้เด็กเรียนรู้ยึดหลักการว่าควรจะให้รู้ “อะไร” “อย่างไร” “เมื่อไร” ให้มากทสี่ ุด และ เจโรม เอส. บรูเนอร์ (Jerome S. Bruner) กล่าววา่ “ความรู้เบื้องต้น หรือมูลฐานน้ัน จะสอนใคร อายุเท่าไร เมื่อใด ก็ได้ ทั้งน้ัน” เรื่องความพร้อมที่จะเรียนน้ัน บรูเนอร์ เช่ือว่า “สาหรับ เดก็ ๆ เขาพรอ้ มเสมอทจ่ี ะเรียน” ซ่งึ แตกตา่ งจากนักการศึกษาบางท่านที่คานงึ ถึง “อายสุ มอง” (Mental Age or I.0. or Intelligence Quotient) กับ “ความรู้เก่า” มากเกินไปก่อนท่ีจะให้เรียนรู้ส่ิงใหม่ ท้ังน้ีนักการศึกษารุ่นใหม่เชื่อว่า “ความรู้เก่าหรือความชานาญเก่า” กับ “ความพร้อม” ที่จะเรียน นั้นหมายถึงเฉพาะ “การเรียนวิชาทักษะซ่ึงต้องใช้ ความเติบโตแขง็ แรงของรา่ งกายเป็นหลัก” เท่านั้น ถ้าสิ่งท่เี รยี นเป็นวชิ าพทุ ธิศึกษา เดก็ อายเุ ลย 6 ปขี น้ึ ไป พร้อมเสมอ ท่ีจะเรียน โดยเฉพาะสิ่งท่ีเป็นความรู้พ้ืนฐาน ส่วนความรู้ข้ันสูง อาจต้องการอายุท่ีมีวุฒิภาวะสูงขึ้นไป แต่ถ้าสร้าง ส่งิ แวดล้อมทางสังคมและวตั ถุให้พอเหมาะ กอ็ าจเรยี นรู้ได้เช่นเดียวกันอย่างท่ีคนไทยชอบพูดว่า “ความรู้อาจเรียนทัน กันหมด” แตจ่ าเป็นตอ้ งสรา้ งส่งิ แวดลอ้ มให้เหมาะสมดว้ ย การเรยี นรูโ้ ดยเอาผิดเป็นครู (Trial and Error) มหี ลักใหญ่อยู่ 4 ประการคือ 1. การตอบสนอง (response) 2. การกระตนุ้ (stimulus) 3. ความปรารถนา (motive) 4. รางวัล (reward) กระบวนการเรยี นรู้แบบเอาผิดเป็นครู มีขน้ั ตอนดงั นี้ 1. ผเู้ รยี นมีความปรารถนา (motive) ท่ีจะเรยี น 2. ผเู้ รยี นใชค้ วามปรารถนาน้ันๆ แสดงการตอบสนอง เพ่อื เรียนดว้ ยวิธกี ารตา่ ง ๆ (responses) หลาย ๆ อยา่ ง ลองผิดลองตอบสนองเร่ือยไป 3. การตอบสนองใด เกดิ ผลดีโดยมีรางวัล (reward) ให้ เช่น มคี นชม ไดค้ ะแนนดี หรือเกดิ เรียนรู้ ก็จะเอา การตอบสนองนน้ั เป็นหลัก ถือว่าได้ผลสมความปรารถนา (motive) 4. จะทาซา้ ตามที่เคยทา (relearn) ถา้ มีสง่ิ เรา้ อย่างเดมิ ทีจ่ าไดว้ า่ ถา้ ตอบสนองอย่างเดมิ จะไดผ้ ลรางวลั อยา่ ง เดมิ ทัง้ น้ีข้ึนอยู่กับส่งิ เรา้ (stimulus) 5. การตอบสนองที่ไม่ไดผ้ ลสาเร็จตามความปรารถนา (motive) จะถูกตดั ทงิ้ ไป และไม่ทาอกี หลังจาก ลอง ทาซ้า ๆ จนรู้วา่ ไมบ่ งั เกดิ ผลดี (eliminated after repeated trials)

64 การเรียนด้วยตนเองมักจะใช้กระบวนการดังกล่าวเป็นหลัก เพราะไม่มีครูเป็นตัวตนแต่มีความผิดหวังและ ความไม่สมปรารถนาเป็นครูจะเป็นการเตอื นให้เลิกทา การกระตนุ้ ให้เรียนรู้ (motivation) โดยการใหร้ างวัล (reward) ดว้ ยคาชม หรือสิ่งของ ท่ีพอ่ แมช่ มลกู เมอื่ ลูกรบั ประทานมากๆ ได้ดงั ใจ เวลาผา่ นไปลูกไม่หวิ ก็อาจรับประทาน เพราะ อยากได้คาชมสนองความปรารถนา (motive) ของตน ส่วนการแข่งขันเอาชนะกัน (competition) ก็คือความ ปรารถนา (motive) อีกชนิดหนึ่งที่ส่งเสริมให้เกิดการเรียนรู้ได้ แต่ท้ังการกระตุ้นให้เรียนรู้ การให้รางวัลเม่ือได้เรียนรู้ ส่ิงท่ีพึงปรารถนา หรอื ลงโทษเมือ่ เรียนผิดความปรารถนาและการแข่งขันเอาชนะ อาจทาใหก้ ารเรียนรู้ผดิ เป้าหมายอัน แท้จริงได้เหมือนเด็กรับประทานโดยไม่หิว ดังน้ันการเรียนรจู้ ึงควรใช้วิธกี ารให้กระทาหรือปฏิบัติซ้าๆ บ่อยๆ แทน แต่ ความซา้ ต้องมีขอบเขต และมขี ัน้ ตอน จงึ จะกอ่ ให้เกดิ การเรยี นรู้ทจี่ ะเปน็ ผลดี ไม่ควรปลอ่ ยให้ทาซ้าในสง่ิ ทผี่ ิดเพราะจะ จาสง่ิ ท่ผี ดิ แทน แตค่ วรให้สงิ่ ทผี่ ิด ไดร้ บั รโู้ ดยเร็วว่าผิด อย่าทง้ิ ไว้นาน แลว้ ให้ผา่ นพ้นไปอยา่ นามาเน้นหรือย้าให้เห็นอีก การทค่ี รตู รวจงานโดยเร็ว สง่ คนื นักเรยี นโดยเร็ว ให้รู้วา่ ทีถ่ ูกคืออะไรโดยเร็ว ไม่เน้นสงิ่ ท่ผี ดิ ให้เห็นอีกต่อไป นกั เรยี นจะ เรยี นรูไ้ ด้ดกี วา่ การท่ีครเู อางานไปตรวจค้างไวน้ าน ๆ และกว่าจะแจง้ ผลก็นานจนลืม หรอื แจ้งแตส่ ง่ิ ผิด ไม่เนน้ สง่ิ ที่ถูก การเรยี นรูจ้ ะไม่เกิดข้ึน สมกบั เป้าหมายทคี่ รูตอ้ งการ (ภิญโญ สาธร, 2521, น. 231-232) สรุปได้วา่ ส่งิ เรียนรทู้ ่คี นส่วนมากจะระลกึ ถึงได้ง่ายหรอื จาไดง้ ่ายมี 3 ลักษณะ คือ 1. สงิ่ ทมี่ คี วามหมาย (meaningful) 2. สิ่งท่ีได้เรียนรู้อย่างกว้างขวางลึกซ้ึง (extensive) คือได้เรียนเร่ืองน้ันๆ ลึกซึ้งเพียงใดย่ิงมีความจาในเรื่อง ดงั กล่าวไดด้ ีเท่านั้น 3. สิ่งที่ก่อให้เกิดอารมณ์ดี (pleasant emotional) จะจาได้ระลึกถึงได้ดีกว่า สิ่งท่ีระลึกถึงแล้วอารมณ์เสีย หรือด้วยความเสียใจเจ็บปวด การลบล้างสิ่งที่ได้เรียนรู้ให้หายไป (unlearning) ก็เป็นทฤษฎี เพราะความลืม (forgetting) หมายถึงการละ ทิ้งนิสัยบางอย่าง โดยการเรียนรู้ส่ิงใหม่อย่างอื่นมาแทน การวิจัยยุคแรก ๆ ของการลบล้างการเรียนรู้ (unlearning) มักเกี่ยวกับ การสอนเด็กให้หมดความกลัวท่ีอยู่ตามลาพังคนเดียว ไม่กลัวท่ีจะอยู่ในความมืดมิด ไม่กลัวงู ไม่กลัว กระต่ายหรือสัตว์อย่างใดอย่างหน่ึง ส่วนมากทาได้โดยการไม่ให้เด็กได้สัมผัส หรือไม่ให้มีประสบการณ์ตรงกับส่ิง ดังกล่าวอีกต่อไปนานๆ เด็กจะลืมได้เอง แต่การแสดงการเหยียดหยามดูหมิ่นหัวเราะเยาะ เมื่อเด็กแสดงความกลัวส่ิง ใดออกมา แทนท่จี ะทาใหเ้ ด็กลืมและหายกลวั กลับทาใหเ้ ด็กข่มความกลัวไว้เพราะความอายท่ีจะถูกหวั เราะเยาะ โดย ไม่ลดความกลัวลงไปเลย การเอาชนะความกลัว หรือการให้เด็กลืมส่ิงท่ีเราไม่ต้องการให้จามี 2 วิธีคือ 1) สร้าง สถานการณ์ใหม่ให้เกิดข้ึน (reconditioning) และ 2) ทาตามสังคม (social imitation) (ภิญโญ สาธร, 2521, น. 233-235)

65 วธิ ีแรก หาส่ิงทีเ่ ดก็ พอใจมาให้ ขณะเดียวกนั เอาสงิ่ ทไี่ มพ่ อใจมาอยู่ด้วย แรกๆ ให้อยไู่ กลๆ นานๆ เขา้ กใ็ กล้เข้า มา เดก็ จาเปน็ ต้องรบั สิ่งท่ีพอใจซึ่งอยู่ใกลก้ ว่า จะทนสิ่งทีไ่ ม่พอใจท่ีอย่ไู กลๆ ได้ ความทนไดจ้ ะเพิม่ ขนึ้ เป็นลาดับ ถ้าจัด ให้เป็นกระบวนการขั้นตอนที่ใช้เวลานานๆ นานไปเขาเห็นสิ่งที่ไม่พอใจ ไม่เกิดโทษ ก็จะเลิกกลัว และเลิกความไม่ พอใจ หรอื ลมื ได้ แต่ตอ้ งใช้เวลา วิธีทสี่ อง ใหเ้ ด็กไปอยู่กบั กลุ่มเพ่ือนท่ีไม่กลวั ส่ิงนั้น ถ้าเด็กกลุ่มนั้นเป็นเด็กท่เี ด็กคนนั้นรักและนับถือยกยอ่ ง ไม่ นานเขาจะทาตามกลุ่มท่ีเขารักและนับถือยกย่อง การให้ทาตามอย่างสังคมที่เด็กนิยม ทาให้เด็กลืมพฤติกรรมที่เราไม่ ปรารถนาได้ อีกวิธีหน่ึง คือ วิธีเกลือจิ้มเกลือ เช่น คนชอบกัดเล็บ หรือชอบพูดติดอ่าง เรากาหนดเวลาให้เขาลงมือกัดเลบ็ หรือลงมือพูดติดอ่าง ให้รู้ว่าต่อไปนี้เราจะกัดเล็บ หรือเราจะติดอ่างให้เป็นล่าเป็นสันไปเลย ท้ัง ๆ ท่ีรู้ว่าเป็นพฤติกรรม ท่ีไม่ดี การให้ตั้งใจทาสิ่งที่รู้อยู่ว่าไม่ดีโดยถูกบังคับให้ทา กลายเป็นการลงโทษที่รุนแรง ไม่ใช่เป็นการให้รางวัลเลย สาหรบั จติ ใจของผูถ้ กู บงั คบั ใหท้ า แมว้ า่ ชอบทาอย่กู ่อนกต็ าม ในทสี่ ุดเขาจะเรียนรโู้ ดยเลิกทาได้ เรื่องของการเรียนรู้น้ันมีน้อยท่ีสถานการณ์ที่เราเรียนรู้จะไปตรงกับสถานการณ์ที่เร าใช้การเรียนรู้ให้เป็น ประโยชน์ เช่น เราเรียนเลขคณิตด้วยโจทย์เลขคณิตแปลกๆ ในห้องเรียน จนเราคิดเลขเป็น แต่ในชีวิตจริงเราไม่พบ โจทย์เลขอย่างน้ันอีก เรากลับไปทางานในสานักงานบัญชี แต่เราก็ยังคิดเลขได้ ทั้งๆ ที่สถานการณ์ต่างกัน ที่เราทาได้นั้น เรียกว่า “การถ่ายทอดการเรียนรู้” (Transfer of Learning) ซ่ึงหมายความว่า สิ่งที่ได้เรียนรู้ไว้เดิมมีอิทธิพลทาให้ เรียนรู้สิ่งใหม่ที่คล้ายคลึงกัน ด้วยความรวดเร็วกว่าท่ีจะเรียนรู้สิ่งใหม่แท้ ๆ โดยไม่เคยเรียนรู้ส่วนใด ๆ ของส่ิงใหม่มา กอ่ นเลย คนท่ีขับรถยนต์ชนิดหน่ึงเป็นอยู่แล้ว พอไปขับรถยนต์อีกชนิดหนึ่ง ก็ขับได้โดยไม่ต้องหัดขับใหม่ เพราะมีพื้น ความรู้ในการขับรถ ซ่ึงเป็นหลักการอย่างเดียวกัน การถ่ายทอดการเรียนรู้อย่างนี้เรียกว่า “การถ่ายทอดชนิดบวก (positive transfer)” แต่คนท่ีเคยพิมพ์ดีดโดยขาดหลักวิชา ตาดูแป้น แล้วหาอักษรที่ต้องการได้ก็พิมพ์ลงไป เวลาผ่านไปนานๆ ก็ คลอ่ งไปเอง พอไปเข้าโรงเรียนพิมพด์ ีด ครูบังคบั ให้วางนิว้ ตามลาดบั เชน่ น้วิ กอ้ ยมอื ซ้ายเรียงไปหาน้ิวก้อยมือขวา บน แป้นตวั อักษร ฟ - ห – ก – ด แลว้ ให้เอานวิ้ ชี้ขวาวางบนแป้นตามลาดับถึงน้ิวก้อยขวาคือ - า - ส - ว ครูบงั คับให้ใช้ นิ้วตามกฎดังกล่าวเท่านั้น ปรากฏว่า คนๆ นี้ กลับเรียนได้ยาก ความเคยชินเดิมๆ เข้ามาทาให้เรียนวธิ ีใหมย่ าก แม้จะ เป็นเรื่องเดียวกัน หรือคล้ายคลึงกัน อย่างนี้เรียกว่า “การถ่ายทอดชนิดลบ (negative transfer)” ถ้าเขาเคยหัดมา ถูกต้องเสียแต่แรก เขาจะพิมพ์เคร่ืองพิมพ์มาตรฐาน เครื่องไหนๆ ก็ได้ ดังน้ันการฝึกหัดหรือการเรียนรู้ในครั้งแรก สาคัญมาก ควรฝกึ หดั หรอื เรียนรใู้ ห้ถกู ต้องไปเลย จะมีการถา่ ยทอดเรยี นรไู้ ดด้ ีในภายหลงั ในอดีตนักการศึกษามีความเช่ือว่าการให้เรียนรู้ยากๆ อะไรก็ได้ จะทาให้นักเรียนมีความสามารถในภายหลัง เพราะนักเรียนจะเอาความสามารถเดิมถ่ายทอดมาสสู่ ิ่งใหม่อะไรก็ได้ดีกว่าเดมิ จงึ มีการเรยี นวิชาภาษาบาลี หรอื ภาษา

66 ลาติน ซึ่งยากและเปน็ ภาษาตายแล้ว โดยคิดวา่ จะทาใหน้ ักเรยี นร้ภู าษาไทย หรอื รู้ภาษาอังกฤษดีข้ึน และจะทางานใน เร่ืองอ่นื ได้ดีกว่าผู้ที่ไม่เคยเรียนภาษาบาลีหรือภาษาลาตินมาก่อน ซงึ่ ในปจั จบุ นั นี้ความเชื่อดังกล่าวใช้ไม่ได้แลว้ เพราะ การถา่ ยทอดชนดิ บวก จะเกิดขนึ้ เมือ่ สิง่ ท่เี คยเรียนมาก่อนตรงกัน หรือคลา้ ยคลึงกันกับสงิ่ ใหม่ ตรงกนั ขา้ ม ถ้าสงิ่ เก่าไม่ ตรงกับส่ิงใหม่ จะเกิดการถ่ายทอดลบ ทาให้เรียนรู้ได้ยากกว่าเดิมเสียอีก วิชาท่ีจัดสอนในโรงเรียนในปัจจุบัน จึงควร เปน็ วชิ าทีใ่ ชไ้ ด้จรงิ หรอื นาไปดดั แปลงใชไ้ ด้โดยตรงจงึ จะไม่เสียเวลาในโรงเรียน โดยเปลา่ ประโยชน์ ทฤษฎีการเรยี นรู้ท่ีเกย่ี วกับการถ่ายทอดการเรยี นรู้ สรุปเปน็ หลักการได้ดังน้ี 1. การถา่ ยทอดการเรยี นรใู้ นเร่ืองเดยี วกนั หรือคลา้ ยคลงึ กัน จะเกดิ ขน้ึ ง่ายและสมบูรณ์ หรือเกือบสมบูรณ์ 2. การถ่ายทอดการเรียนรู้โดยการใช้กล้ามเนื้อของร่างกายปฏิบัติท่ีมีลักษณะเดียวกัน จะถ่ายทอดได้ง่าย และสมบรู ณ์ เช่น คนท่เี คยขบั รถยนตใ์ ช้เกียรท์ ่ีพวงมาลัยรถจะหัดขบั รถท่ีเปลีย่ นมาใชเ้ กียร์กระปุกบนพ้ืนรถได้ง่ายกว่า คนที่ไม่เคยทาทง้ั 2 อย่าง เปน็ ตน้ 3. การถ่ายทอดการเรียนรู้ในเรื่องท่ีต่างกันจะไม่เกิดข้ึนหรือถ้าเกิดข้ึนก็โดยความบังเอิญไม่จัดว่ามีการ ถ่ายทอดการเรียนรู้ เช่น คนที่เรียนวิศวกรรมศาสตร์จนได้รับปริญญาเอกโดยไม่เคยเรียนรู้หรือไม่เคยรับการฝึกอบรม ในด้านศิลปกรรม หากมาทางานด้านศิลปกรรม ความสามารถในด้านวิศวกรรมไม่มีความหมายเลย เพราะไม่มีการ ถ่ายทอดความ สามารถน้ัน ๆ มาในเรื่องท่ีต่างกันโดยสิ้นเชิงได้ ดังน้ันถ้าต้องการพลเมืองดี ก็ต้องสอนวิชาหน้าท่ี พลเมืองดี ในทุกชั้นทุกสาขาที่เรียนในโรงเรียน ในวิทยาลัย และในมหาวิทยาลัย เราจะหวังให้ผู้ที่จบมหาวิทยาลัย กลายเป็นพลเมืองดโี ดยอตั โนมัติ ท้งั ๆ ที่ไมเ่ คยเรียนรู้ ลกั ษณะของพลเมอื งดี เปน็ ส่งิ ทีเ่ ป็นไปไมไ่ ด้ ทฤษฎีการสอน ทฤษฎีการเรียนรู้ (Theories of Learning) คือหลักการหรือวิธีการท่ีผู้เรียนใช้ในการแสวงหาความรู้ แต่ ทฤษฎีการสอน คือหลักการหรือวิธีการท่ีผู้สอนใช้ในการสนับสนุนหรือส่งเสริมให้เกิดการเรียนรู้ในตัวผู้เรียน หรือให้ เกิดการเปลี่ยนแปลงพฤติกรรมในตัวผู้เรียน นั่นคือทฤษฎีการเรียนรู้เกิดก่อนทฤษฎีการสอน ซึ่งหลักการศึกษาจะ สมบรู ณไ์ มไ่ ดถ้ ้ามีแต่ทฤษฎกี ารเรียนรูแ้ ต่ไม่มีการปรับปรงุ ทฤษฎีใหเ้ ป็นทฤษฎีการสอน (ภญิ โญ สาธร, 2521, น. 236-239) องค์ประกอบสาคัญของการสอนมี 3 ประการคือ 1) วิธีสอน 2) สื่อการสอน และ 3) บุคลิกภาพและ ลักษณะเฉพาะของครู รวมถงึ การปฏิสัมพันธ์กนั ในห้องเรียน และภูมิหลังทางสังคมของการสอน ซงึ่ การปฏสิ มั พันธ์กัน ในห้องเรียน ได้แก่ พฤติกรรมของครูและนักเรียน ความเข้าใจกัน ความผูกพัน ลักษณะการส่ือความหมายต่อกัน ระหว่างครูกับครู ครูกับนักเรียน และนักเรียนกับนักเรียน ส่วนภูมิหลังทางสังคมของการสอนเกี่ยวข้องกับระบบ การศึกษาของชาติ ท้องถ่ิน โรงเรียน วัตถุประสงค์ของการศึกษา แผนการจัดการศึกษา ขอบเขตและข้อจากัดต่าง ๆ เก่ียวกับการสอน ผู้บริหาร และนิเทศการศึกษาทุกระดับท่ีมีส่วนเกี่ยวข้องกับการศึกษา ผู้ปกครอง บิดามารดา หรือ เครือญาติของนักเรียน ตลอดจนครอบครัวของครู ลักษณะทางสังคมของบ้านพักของนักเรียน ลักษณะสังคมรอบบา้ น

67 และรอบโรงเรียน ลักษณะของชุมนุมชนอันเป็นท่ีต้ังของโรงเรียนและสังคมส่วนรวมทั้งประเทศ ตลอดจนสภาวะทาง เศรษฐกิจ วัฒนธรรมท่ัวไป เอกลักษณ์ของชาติ และสภาวะทางการเมืองมีส่วนเกี่ยวข้องและมีอิทธิพลต่อการสอน นอกจากนี้ยังมีลักษณะของการจัดช้ันเรียนว่ามีกี่ช้ัน เลื่อนชั้นอย่างไร เน้ือหาวิชาท่ีนามาสอน และอ่ืน ๆ ซึ่งทาให้ ทฤษฎกี ารสอนยุง่ ยาก สลบั ซับซอ้ นมากกว่าทฤษฎกี ารเรียนรู้ เอ็น. แอล. เกจ (N. L. Gage) นกั จติ วิทยาสังคมและนักการศึกษาเปน็ บรรณาธิการหนังสือช่ือ Handbook of Research on Teaching และเป็นผูเ้ ขียนบทท่ี 11 เรอื่ ง Theories of Teaching ในหนงั สือของ ฮลิ การ์ด (Ernest R. Hilgard) เกจมีความเห็นว่าการท่ีทฤษฎีการสอนไม่ได้รับความสนใจเท่าที่ควรเพราะคนส่วนมากคิดว่าการสอนเป็น ศิลปไม่ใช่ศาสตร์ การสอนอาศัยอารมณ์ซ่ึงยากที่จะวัดและควบคุม และการสอนจะได้ผลดีหรือไม่อยู่ท่ีค่านิยมของครู และผู้ท่ีเก่ียวข้อง ส่วนการเรียนรู้เป็นศาสตร์ซึ่งมีกฎเกณฑ์แน่นอนตายตัว เม่ือมีสถานการณ์ที่กาหนดไว้ก็จะเกิดการ เรียนรู้ แต่การสอนน้ันในสถานการณ์เดียวกันท่ีกาหนดไว้ไม่จาเป็นท่ีจะทาให้เกิดการเรียนรู้ข้ึนได้ จึงต้องอาศัยศิลปะ ของครูมากกว่าศาสตร์ของครู แต่เกจก็ยังยืนยันว่าเราสามารถกาหนดทฤษฎีของการสอนข้ึนได้โดยไม่จาเป็นที่จะต้อง ตัดศิลปของการสอนออกไปจนทาให้การสอนเป็นแค่เพียงศาสตร์โดยไม่ต้องใช้ศิลป เพราะแม้แต่การเขียนภาพของ ศลิ ปินและการเขยี นวรรณกรรมของกวี ซึ่งเป็นศลิ ปก็ยังมีระเบียบ มีกฎเกณฑ์ มาเกี่ยวข้องได้ ทฤษฎีสี ทฤษฎีเสน้ ดุลย ภาพ และความลึก ในเรื่องของศิลปยังเป็นที่ยอมรับกันและตรงกัน จนเป็นศาสตร์ใช้ได้ทั่วโลก ดังนั้นการสอนแม้ จะตอ้ งการศลิ ปและต้องใช้ศลิ ป เรากอ็ าจจะหาหลักการกลางท่ีเป็นทฤษฎี มากาหนดทศิ ทางไดเ้ ชน่ เดียวกัน ทฤษฎีการเรียนรู้เกี่ยวข้องกับสิ่งท่ีผู้เรียนทา แต่ครูเป็นผู้เปล่ียนแปลงให้เกิดขึ้นในตัวผู้เรียนเพราะผู้เรียน ตอบสนองพฤตกิ รรมของครู ครูสนับสนนุ ส่งเสรมิ ใหเ้ กิดการเรียนรู้ การสนับสนุนสง่ เสรมิ การเรียนรู้ดงั กล่าวกค็ ือทฤษฎี การสอนน้ันเอง ครูจึงควรรู้ว่านักเรียนเรียนรู้ได้อย่างไร ครูต้องรู้วิธีควบคุมหรือเอาชนะสถานการณ์ต่าง ๆ แม้แต่ พฤตกิ รรมของครเู อง เพื่อกาหนดทศิ ทางใหเ้ กิดการเรียนรู้ในตวั นักเรยี นให้ตรงตามเปา้ หมายหรือวัตถุประสงค์ของการ สอน การเรียนรู้คือการเปล่ียนแปลงพฤติกรรมในตัวผู้เรียน ส่วนการสอนคือการควบคุมทิศทางของการเปล่ียนแปลง พฤติกรรม การสอนเป็นการสนับสนุนส่งเสริมให้การเรียนรู้เกิดขึ้นโดยสะดวกรวดเรว็ มีประสิทธิภาพ และใหก้ ารเรียนรู้ ตรงตามวตั ถปุ ระสงค์ของการศึกษา การวิเคราะห์การสอน จะตอ้ งมีการวิเคราะห์องค์ประกอบของการสอนอยา่ งนอ้ ย 5 ประการคือ 1. วเิ คราะห์รปู แบบของกิจกรรมการสอนของครู 2. วิเคราะห์วัตถุประสงค์ของการศึกษาท้ังสามลักษณะคือ 1) วัตถุประสงค์ในด้านการพัฒนาความรู้ (Cognitive Objectives) วัตถุประสงค์ในด้านการพัฒนาอารมณ์ (Affective Objectives) และวัตถุประสงค์ในด้าน การพฒั นากายภาพ (Psychomotor Objectives)

68 3. วิเคราะห์องค์ประกอบที่เก่ียวข้องกับการเรียนรู้ของผู้เรียน เพราะการเรยี นรู้เป็นภาพสะท้อนของการสอน ซ่ึงองค์ประกอบของการเรียนรู้ เช่น แรงขับ การกระตุ้น การเร้า การตอบสนองสิ่งเร้า การให้รางวัล และการลงโทษ เป็นต้น 4. วเิ คราะห์ทฤษฎีการเรียนรทู้ ่ีครูนามาประยุกตว์ า่ เป็นอย่างไร เช่น ทฤษฎคี วามสัมพันธต์ ่อเนอื่ ง (Connectionism Theory) ทฤษฎกี ารวางเงอ่ื นไข (Conditioning Theory) เป็นต้น 5. วิเคราะห์ตัวการที่ผู้เรียนยึดเป็นต้นแบบ ซึ่งผู้เรียนจะทาตามอย่าง เพราะส่วนมากผู้เรียนมักเลียนแบบ ตัวการหรอื บุคคลอยา่ งใดอยา่ งหน่งึ เสมอในการเรยี นรู้ของนักเรยี น ทฤษฎีการสอนมฐี านะอยใู่ น 2 รปู แบบคอื 1. การสอนในฐานะการกาหนดรูปแบบของการเรียนรู้เสียใหม่ (Teaching as Cognitive Restructuring) หมายถึง ครูเป็นผู้กาหนดรูปแบบของการรับรู้ ดังน้ันพฤติกรรมของครู ก็คือบทบาทในการที่ครูจะควบคุม การรับรู้ หรือเรียนรู้ของนักเรียน ครูเป็นผู้กาหนดแม้แต่ทิศทางของความคิดต่างๆ ของนักเรียน ดังน้ันถ้ารัฐต้องการให้ การศึกษาดาเนินการไปในแนวทางใด ก็ต้องฝึกหัดครูให้เป็นไปตามแนวทางน้ัน แล้วครูท่ีสาเร็จการศึกษาออกมาก็จะ กาหนดทศิ ทางแห่งความคดิ ของนักเรยี นอกี ต่อหน่ึง 2. การสอนในฐานะการกาหนดเง่ือนไข (Teaching as Conditioning) การกาหนดเงื่อนไขให้มีการเรียนรู้ ภายในสภาวการณท์ ่ีครกู าหนด มี 4 ลกั ษณะคือ (1) ปลุกระดมใหม้ กี ารตอบสนองสง่ิ เร้าตามที่ครูต้องการ โดยจัดเงือ่ นไขและสถานการณ์ใหเ้ กิดข้ึนตามน้นั (2) เสริมกาลังหรือให้รางวัลแก่การตอบสนองท่ีตรงกับความต้องการของครู การเสริมกาลังหรือให้รางวัล (reinforcement) ทาไดท้ งั้ ดว้ ยคาชม การให้ทัง้ วัตถุ และจติ ใจในด้านความรักความช่นื ชมของครทู ่ี ครแู สดงออกมาใหเ้ ห็น (3) สงวนและปรับปรุงการตอบสนองที่ครูพอใจหรอื ท่ีครตู ้องการ เพราะตรงกบั วตั ถปุ ระสงค์ของการสอน (4) ขจัดทาลาย การตอบสนองท่ีครูไม่พอใจหรือที่ครูไม่ต้องการ เพราะไม่ตรงกับวัตถุประสงค์ของการ สอน โดยวิธีการตา่ ง ๆ ใหห้ มดไปจากพฤตกิ รรมของนักเรยี น การสอนเพ่ือให้บรรลุเป้าหมายตามหลักสูตรตรงตามทฤษฎีการเรียนรู้และตรงตามทฤษฎีการสอนนั้น ครู จะตอ้ งอาศยั ตารางสอน สอ่ื การสอนหรอื อปุ กรณก์ ารสอน ซง่ึ มีหลักการดงั น้ี ตารางสอน ตารางสอนคือ การกาหนดวิชาและเวลาท่ีจะเรียนประจาวันตลอดสัปดาห์ หลักการจัดตารางสอนสรุป (ภิญโญ สาธร, 2521, น. 246-247) ได้ดังนี้

69 1. กาหนดชั่วโมงเรียนใหไ้ ม่น้อยกว่าที่หลักสูตรกาหนด ส่วนมากสัปดาหล์ ะ 30 ชั่วโมง ก็ต้องเรียน 6 วัน วัน ละ 5 ช่ัวโมง หรือเรียนวนั ละ 6 ชั่วโมง 5 วัน แล้วแต่โรงเรียนจะพิจารณา และต้องพิจารณาความเหมาะสม ว่าวิชาใด ควรใหเ้ รียนนานเท่าใด ตามความเหมาะสมของวยั ของนกั เรยี นดว้ ย 2. บรรจุวิชาครบตามหลักสตู ร วิชาใดเรียนสัปดาห์ละเทา่ ใด 3. การวางวิชาใดก่อนหลังต้องคานึงถึงนักเรียนด้วย เช่น ไม่จัดวิชาน่าเบ่ือไว้ตอนบ่าย เพราะจะทาให้ง่วง เวลาเช้าเป็นดีที่สุด ไม่ควรจัดวิชาดนตรีไว้ตามหลักสูตรวิชาพลศึกษาเพราะนักเรียนเล่นกีฬามาใหม่ ๆ จะให้ น่ังฟัง ดนตรีเพอื่ สุนทรียภาพคงจะลาบาก 4. เวลาเรียนตอนเช้าควรมีชั่วโมงสอนจานวนมากกว่าตอนบ่าย สาหรับประเทศรอ้ น เพราะตอนบ่ายอากาศ อบอา้ วไมส่ นบั สนนุ การเรยี น 5. วชิ ายากทตี่ อ้ งใช้ความคดิ มาก ไมจ่ ดั ซอ้ นกนั ในวันเดยี วควรสลบั หรอื กระจายให้ทัว่ ทงั้ สปั ดาห์ 6. วิชาที่ต้องเรียนสัปดาห์ละหลายวันไม่ควรจัดซ้อนกัน เพราะจะเบื่อและลาบากแก่นักเรียนที่จะจัดทา การบา้ นใหท้ นั ในวนั ถัดไป 7. ควรใหค้ วามสะดวกแก่ครูด้วย เชน่ ไม่จัดใหค้ รูสอนต่อเนื่องกันถึงสามชว่ั โมง เพราะจะเหนื่อยเกินไป และ ต้องคานึงถึงความสะดวกของนักเรียนด้วยเช่นเดียวกัน เช่นบางวิชาอาจต้องการทางานเลยเวลากาหนด อยู่บ่อย ๆ ก็ ควรไวท้ ้าย เช่น ก่อนพกั เทีย่ งหรือก่อนเลิกเรยี นตอนเย็น เป็นต้น 8. ตารางสอนควรทาเสร็จเรียบร้อย ประกาศให้ครูและนักเรียน ทราบก่อนวันเปิดเรียน เพ่ือให้วันเปิดเรียน เป็นวันทท่ี างานไดท้ ันที ถา้ ทาตารางสอนตลอดปไี ด้กค็ วรทา เพ่ือนักเรียนจะไดว้ างแผนการเรยี นไดต้ ลอดปี 9. ตารางสอนควรทา 4 ชุด คือ ชุดหน่ึงประจาชั้น ชุดสองให้แก่ครูเป็นรายบุคคล ให้เขาทราบว่าในสัปดาห์ หนึ่งครูสอนวิชาใดช่ัวโมงใด อีกชุดหนึ่งเป็นชุดใหญ่รวมตารางสอนทุกช้ันเข้าด้วยกัน และมีตารางสอน ประจาตัวของ ครูแตล่ ะคน ไว้ประจาหอ้ งครูใหญ่ เพ่อื จะได้ทราบว่าวนั ใด เวลาใด ใครกาลังทางานอยู่ที่ไหน สอ่ื การสอนหรืออุปกรณก์ ารสอน ส่ือการสอนหรืออุปกรณ์การสอนมีความสาคญั ต่อหลักสูตรมาก จนถงึ กบั มีเรียนแยกออกมาต่างหาก เป็นวชิ า ใหม่ที่เรียกว่า โสตทัศนศึกษา (Audio-Visual Education) และต่อมาได้พัฒนาไปสู่วิชาใหม่ท่ีเรียกว่า เทคโนโลยี ทางการศึกษา (Technology of Education) ซึ่งส่วนใหญ่เก่ียวข้องกับวัตถุท่ีใช้สนับสนุนการเรียนรู้ของนักเรียนและ ช่วยการสอนของครู (ภิญโญ สาธร, 2521, น. 247-249) ซึ่ง เอดการ์ เดล (Edgar Dale) ได้แสดงขั้นตอนของ ประสบการณก์ ารเรียนรแู้ ละการใชส้ ่ือ นามาสรา้ งเป็น กรวยประสบการณ์ (Cone of Experiences) แบง่ เป็นข้ันตอน ดังนี้

70 1. ประสบการณ์ตรง เป็นการให้ผู้เรียนได้รับประสบการณ์ตรงจากของจริง เช่น การจับต้อง และการเห็น เปน็ ต้น 2. ประสบการณ์รอง เป็นการเรียนโดยให้ผเู้ รยี นเรียนจากสง่ิ ทีใกลเ้ คียงความเปน็ จริงทส่ี ุด ซึง่ อาจเป็นการจาลองก็ได้ 3. ประสบการณ์นาฏกรรมหรือการแสดง เปน็ การแสดงบทบาทสมมตหิ รือการแสดงละคร เนือ่ งจากขอ้ จากัด ด้วยยคุ สมัยเวลา และสถานท่ี เชน่ เหตกุ ารณ์ท่ีเกดิ ขึ้นในประวัติศาสตร์ หรอื เรื่องราวทเ่ี ป็นนามธรรม เป็นตน้ 4. การสาธิต เป็นการแสดงหรือการทาเพือ่ ประกอบคาอธิบายเพื่อให้เห็นลาดบั ข้ันตอนของการกระทานนั้ 5. การศกึ ษานอกสถานท่ี เปน็ การเรียนรู้จากประสบการณ์ตา่ ง ๆ ภายนอกสถานท่เี รยี น อาจเปน็ การเย่ยี มชม สถานท่ี การสัมภาษณบ์ ุคคลตา่ ง ๆ เป็นตน้ 6. นิทรรศการ เป็นการจัดแสดงสิ่งของต่าง ๆ เพื่อให้สาระประโยชน์แก่ผู้ชม โดยการนาประสบการณ์หลาย อย่างผสมผสานกันมากทส่ี ุด 7. โทรทัศน์ เปน็ การใชท้ ั้งโทรทัศนก์ ารศึกษาและโทรทัศน์การสอนเพ่ือใหข้ ้อมลู ความรู้แก่ผู้เรียนหรอื ผชู้ มท่ี อยใู่ นหอ้ งเรียนหรอื อยู่ทางบ้าน 8. ภาพยนตร์ เป็นภาพท่ีบันทึกเร่ืองราวลงบนฟิล์มเพ่ือให้ผู้เรียนได้รับประสบการณ์ทั้งภาพและเสียงโดยใช้ ประสาทตาและหู 9. การบนั ทกึ เสียง วิทยุ ภาพนงิ่ อาจเป็นทงั้ ในรูปของแผ่นเสียง เทปบนั ทึกเสยี ง วทิ ยุ รปู ภาพ สไลด์ ข้อมลู ท่ี อยู่ในข้นั นี้จะใหป้ ระสบการณแ์ ก่ผเู้ รยี นที่ถงึ แมจ้ ะอา่ นหนังสอื ไม่ออกแต่กจ็ ะสามารถเขา้ ใจเน้ือหาได้ 10. ทัศนสญั ลักษณ์ เชน่ แผนท่ี แผนภูมิ หรอื เครื่องหมายตา่ ง ๆ ทเ่ี ปน็ สญั ลักษณ์แทนสงิ่ ของตา่ ง ๆ 11. วจนสัญลักษณ์ ไดแ้ ก่ตวั หนังสือในภาษาเขยี น และเสยี งพูดของคนในภาษาพูด การใช้กรวยประสบการณ์ของเดลจะเร่ิมต้นด้วยการให้ผู้เรียนมีส่วนร่วมอยู่ในเหตุ การณ์หรือการกระทาจริง เพื่อให้ผู้เรียนมีประสบการณ์ตรงเกิดข้ึนก่อน แล้วจึงเรียนรู้โดยการเฝ้าสังเกตในเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น ซ่ึงเป็นข้ันต่อไป ของการได้รับประสบการณ์รอง ต่อจากน้ันจึงเป็นการเรียนรู้ด้วยการรับประสบการณ์โดยผ่านสื่อต่างๆ และท้ายที่สุด เปน็ การใหผ้ เู้ รียนเรียนจากสัญลกั ษณซ์ ึ่งเป็นเสมือนตัวแทนของเหตุการณ์ทเี่ กิดขึน้ เป็นไปตามภาพท่ี 3.1

71 ภาพที่ 2.1 กรวยประสบการณ์ (Cone of Experiences) ท่ีมา: Dale, E (1969) ปัจจุบันเทคโนโลยีก้าวไกลส่งผลให้สื่อการเรียนการสอนมีความทันสมัยมากขึ้น ครูยุคใหม่จึงต้องรู้จักใช้วิธีที่ หลากหลายในกระบวนการจัดการเรียนรู้ โดยเฉพาะการเปิดโลกการเรียนรู้ให้กับผู้เรียนด้วยสื่อการเรียนการสอน สมัยใหม่และต้องคานึงวา่ จะนามาใช้อย่างไรใหเ้ หมาะสม ไม่ว่าจะเป็นเทคโนโลยสี ารสนเทศหรือการส่ือสารในรูปแบบ ต่าง ๆ ท่ีสามารถเชื่อมโยงถึงกันได้ทั่วทุกมุมโลกในเวลาอันรวดเร็ว ในการจัดการเรียนการสอนยุคใหม่นั้น นอกจาก ครูผู้สอนจะต้องมีความรู้ความเข้าใจในเรื่องของแนวคิดหลักแห่งวิชาชีพครูและเนื้อหาสาระวิชาที่สอนแล้ วยัง จาเป็นต้องมีความรู้ความเข้าใจในเรื่องของเคร่ืองมือท่ีจะใช้แสวงหาความรู้เพื่อช่วยเติมเต็มความรู้ให้กับผู้เรียนเกิด ทักษะ ความรู้ สร้างสรรค์ประสบการณ์และความสามารถในการคิดวิเคราะห์และแก้ปัญหาได้อันจะเกิดประโยชน์ สูงสุดต่อผู้เรียนทุกคน ดังน้ันสื่อการเรียนรู้ไม่ว่าจะเป็นส่ือบุคคล วัสดุ อุปกรณ์ ตลอดจนเทคนิควิธีการล้วนเป็น สื่อกลางที่ทาให้ผู้เรียนเกิดการเรียนรู้ตามวัตถุประสงค์การเรียนรู้ท่ีกาหนดไว้ได้ง่ายและรวดเร็ว ซ่ึงถือเป็นเครื่องมือ สาคัญที่จะนาความต้องการของครูผู้สอนไปสู่ผู้เรียนเพื่อให้ผู้เรียนเกิดการเปลี่ ยนแปลงพฤติกรรมเป็นไปตาม จุดมุ่งหมายของการเรียนรู้ได้อย่างถูกต้องเหมาะสมและที่สาคัญคือครูผู้สอนต้องรู้จักเลือกสรรส่ือการเรียนรู้ท่ีจะ นาไปใชเ้ พื่อช่วยให้ผเู้ รียนเกิดการเรยี นรู้ได้อยา่ งมีประสทิ ธภิ าพมากทส่ี ุด (ฟาฏนิ า วงศเ์ ลขา, 2558)

72 ปัจจุบันมีส่ือการเรียนรู้รูปแบบสมัยใหม่มีมากมายให้เลือกใช้ ดังน้ันครูผู้สอนจะต้องพิจารณาเลือกสื่อการ เรียนรู้ที่ดีมีคุณภาพ เช่น สื่อท่ีมีความสัมพันธ์กับเร่ืองที่สอนตรงตามวัตถุประสงค์ เนื้อหาถูกต้อง ทันสมัย น่าสนใจ และสง่ ผลดตี ่อการเรียนรู้ของเด็กมากท่ีสดุ ชว่ ยใหผ้ ูเ้ รียนเข้าใจในเน้ือหาน้ัน ๆ ได้ดเี ปน็ ลาดับข้นั ตอน เหมาะสมกับวัย ระดบั ช้ัน ความรูแ้ ละประสบการณ์ของผู้เรียน เปน็ สอื่ ทม่ี คี ณุ ภาพ สะดวกไม่ซบั ซ้อนยุ่งยากจนเกนิ ไป หรอื หากผลิตส่ือ การเรียนการสอนเองควรคมุ้ กบั เวลาและการลงทุน เป็นต้น สาหรับสื่อการเรียนรู้ที่มีบทบาทในแวดวงการศึกษาในสังคมยุคข้อมูลขา่ วสารที่นา่ สนใจ เชน่ ส่ือคอมพิวเตอร์ ช่วยสอน (Computer Assisted Instruction: CAI) เป็นการนาคอมพิวเตอร์มาเป็นเคร่ืองมือให้ผู้เรียนสามารถเรียนรู้ ดว้ ยตนเอง นาเสนอทัง้ ตวั หนงั สอื ภาพกราฟกิ ภาพเคลอ่ื นไหวเพ่อื ดงึ ดูดให้ผูเ้ รยี นเกดิ ความสนใจเรยี นรู้มากยง่ิ ข้ึน อกี ท้ังมีการแสดงผลการเรียนให้ผู้เรียนทราบทันทีด้วยข้อมูลย้อนกลับ บางคร้ังอาจเรียกว่า “บทเรียนสาเร็จรูป” แต่ใช้ คอมพิวเตอรเ์ ป็นตัวกลางแทนส่ิงพิมพ์หรือส่ือประเภทอนื่ บทเรียนออนไลน์ หรือ E-Leaning จึงเป็นบทเรียนแห่งการเรียนรู้ท่ีถ่ายทอดเนื้อหาสาระผ่านทางสื่อ อิเล็กทรอนิกส์ ไม่ว่าจะอยู่ในรูปของคอมพิวเตอร์ช่วยสอนด้วยซีดีรอม การเรียนการสอนบนเว็บ (Web-Based Learning) การเรียนออนไลน์ (On-line Learning) การเรียนทางไกลผ่านดาวเทียม การเรียนด้วยวีดีโอผ่านออนไลน์ เปน็ ตน้ เป็นการเรยี นร้ดู ว้ ยตัวเองทีผ่ ู้เรียนอาจเลือกเรียนตามความสามารถและความสนใจ เปน็ วธิ กี ารทผี่ ู้สอน ผเู้ รยี น และเพื่อนร่วมชั้นเรียนสามารถติดต่อสื่อสาร แลกเปล่ียนความคิดเห็นระหว่างกันได้เช่นเดียวกับการเรียนในชั้นเรียน ปกติ โดยอาศัยการติดต่อสื่อสารในรูปแบบของ E-mail, Webboard, Chat หนังสืออิเล็กทรอนิกส์ หรือ E-Book (Electronic Book) เป็นหนังสือที่สร้างข้ึนด้วยโปรแกรมคอมพิวเตอร์มีลักษณะเป็นเอกสารอิเล็กทรอนิกส์ โดยปกติ มักจะเป็นแฟ้มข้อมูลท่ีสามารถอ่านเอกสารผ่านทางหน้าจอคอมพิวเตอร์ทั้งในระบบออฟไลน์และออนไลน์ เป็นสื่อที่ สามารถแทรกภาพ เสียง ภาพเคล่ือนไหว แบบทดสอบ และที่สาคัญคือ E-Book สามารถปรับปรงุ ข้อมูลให้ทันสมัยได้ ตลอดเวลา ซงึ่ เปน็ คณุ สมบตั ทิ ไี่ ม่สามารถทาได้อย่างง่ายดายในส่อื ท่ีเปน็ หนังสอื หรือส่ือสิง่ พิมพ์ เคร่ืองคอมพิวเตอร์สาหรับพกพา (Tablet PC) ปัจจุบันเริ่มมีหลายประเทศได้นามาใช้ในแวดวงการศึกษาโดยให้ นักเรียนใช้แทนหนังสือในรูปแบบเดิมมากขึ้น เห็นว่า Tablet PC สามารถช่วยประหยัดงบประมาณในการจัดพิมพ์ตารา เรียนได้ Tablet PC สามารถบรรจุหนังสืออิเลคทรอนิคส์ท่ีถูกเก็บไว้ในรูปดจิ ิทัลได้เป็นจานวนมาก โดยผู้อ่านสามารถเลือก เล่มไหนขึ้นมาอ่านก่อนก็ได้ อีกทั้งสามารถแก้ไขเพิ่มเติมเนื้อหาได้ตลอดเวลา และท่ีสาคัญ Tablet PC สามารถเช่ือมโยงให้ ผู้สอนและผ้เู รียนติดต่อสื่อสารกันผ่านทางระบบอนิ เตอร์เน็ตได้ ช่วยทาให้ขอ้ จากดั เรื่องสถานท่ีในการเรียนการสอนหมดไป กระดานอัจฉริยะ (Interactive Board) เป็นกระดานระบบสัมผัสท่ีมีหน้าจอขนาดใหญ่ ทาหน้าที่เป็นหน้าจอ โปรเจคเตอร์คอมพิวเตอร์ สามารถควบคุมโดยการสัมผัสหรือเขียนบนหน้าจอโดยตรงแทนการใช้เมาส์หรือคีย์บอร์ด สามารถส่ังพิมพ์ บันทึกข้อมูลลงคอมพิวเตอร์ หรือส่งข้อมูลผ่านเครือข่ายอินเทอร์เน็ต ซึ่งได้นามาใช้ในโรงเรียนแทน กระดานไวทบ์ อร์ดแบบเดมิ

73 อย่างไรก็ตาม แม้ส่ือในรูปแบบใหม่เหลา่ น้ีจะมีประโยชน์ที่จะช่วยเติมเต็มความรู้ ทักษะ ประสบการณ์ในการ เรียนรู้ต่อผู้เรียน แต่ครูผู้สอนก็ยังคงมีความสาคัญในการชี้นาแนะทางที่ถูกต้องเหมาะสมและต้องเลือกสรรส่ือการ เรียนรทู้ ี่จะเกดิ ประโยชนแ์ ละคุ้มคา่ ทส่ี ุด ทฤษฎีหลกั สตู ร หลักสูตร (Curriculum) คือ โครงการเตรียมเด็กและเยาวชนให้เป็นสมาชิกที่มีประสิทธิภาพในการเข้าร่วม กิจกรรมต่างๆ ของสงั คม ภายในขอบเขตของสังคมและวฒั นธรรมน้ัน ๆ แต่ละสังคมมวี ฒั นธรรมแตกตา่ งกนั ไป ดังน้ัน ความรู้ท่ีอยู่ในหลักสูตรจึงแตกต่างกัน เนื่องจากหลักสูตรเป็นโครงการหรือแผนสาหรับการเรียนรู้ ดังน้ัน หลักสูตรจึง เป็นการนาทฤษฎีการเรียนรู้และทฤษฎีการสอนมาประยุกต์ใช้ในการจัดทาหลักสูตรด้วย และการเรียนรู้เป็น กระบวนการพัฒนาการอย่างหน่ึง ดังนั้นหลักสูตรจึงจัดลาดับให้เหมาะสมกับการพัฒนาเด็กตามข้ันตอนท่ีเหมาะสม ครอบคลมุ กระบวนการพัฒนาทกุ ด้านของเด็ก (ภิญโญ สาธร, 2521, น. 240-246) นักการศึกษาให้ความหมายของหลักสูตรตามปรัชญาการศึกษาที่ตนเองยึดถือ เช่น “หลักสูตรคือความ พยายามทัง้ หมดท่ีโรงเรยี นจัดทา เพื่อกอ่ ใหเ้ กิดผลทีโ่ รงเรียนปรารถนาในตัวเด็ก ท้งั ในสถานการณ์ภายในและภายนอก โรงเรียน” หรือ “หลักสูตรคือประสบการณ์ต่าง ๆ ที่จาเป็น ซ่ึงโรงเรียนจัดให้แก่เด็กและเยาวชนหรือผู้เรียน เพื่อจัด ระเบียบให้เด็กและเยาวชนหรือผู้เรียน มีวิธีการคิดและทาอย่างเดียวกันกับสังคมท่ี โรงเรียนต้ังอยู่” อย่างไรก็ตาม หลักสตู รทกุ ชนดิ ทกุ ระดบั และทกุ รูปแบบ จะตอ้ งมีองค์ประกอบสาคัญ 3 ประการคือ 1. มีวตั ถุประสงคข์ องการศึกษาโดยทั่วไป และวตั ถปุ ระสงคเ์ ฉพาะ ทง้ั ระดับช้ัน และเฉพาะวชิ า 2. มีเน้อื หาวชิ าที่ไดค้ ดั เลอื กและจัดระเบียบวางลาดบั ไว้อย่างเหมาะสมตามทฤษฎีการเรยี นรแู้ ละทฤษฎกี ารสอน 3. มโี ครงการหรือคาแนะนาในการวัดหรอื ประเมนิ ผลของการเรยี นการสอน การจัดทาหลักสูตรจะต้องคานึงถึงตัวผู้เรียนว่ามีคุณสมบัติ หรือลักษณะเฉพาะอย่างไรและต้องการให้พัฒนา ไปในทิศทางใด จะต้องคานึงถึงกระบวนการเรียนรู้ท่ีเหมาะสมกับตัวผู้เรียนและลักษณะวัฒนธรรมของแต่ละสังคมที่ โรงเรียนตั้งอยู่ และต้องคานึงถึงความต้องการของสังคมทั้งด้านวัฒนธรรม เศรษฐกิจ สังคม การเมือง และเอกลักษณ์ รวมถงึ ต้องคานงึ ถงึ เนื้อหาสาระของวชิ าตา่ งๆ ทีน่ ามาบรรจไุ วใ้ นหลกั สตู ร นอกจากน้จี ะต้องดาเนินการพัฒนาหลักสูตร ตามขัน้ ตอนอย่างนอ้ ย 7 ขนั้ คือ 1. วเิ คราะหว์ ินจิ ฉยั หาความต้องการอันจาเป็นต่าง ๆ (diagnosis of needs) 2. กาหนดวัตถปุ ระสงค์ตา่ ง ๆ (formation of objectives) 3. สรรหาเนื้อหาสาระท่ตี ้องการให้เรยี นรู้ (selection of contents) 4. จัดระเบยี บและลาดับเนื้อหาสาระ (organization of contents) 5. สรรหาประสบการณต์ า่ ง ๆ ทต่ี อ้ งการใหเ้ รยี นรู้ (selection of learning experiences)

74 6. จดั ระเบยี บและลาดับประสบการณท์ ีต่ ้องการให้เรียนรู้ (organization of learning experiences) 7. กาหนดให้แนน่ อนลงไปว่าจะประเมนิ ผลอะไร ประเมินด้วยวิธใี ด มีอุปกรณ์หรือเคร่ืองมืออะไรทจ่ี ะใช้ ประเมนิ (determination of what to evaluate and of the ways and means of doing it) เหน็ ได้วา่ หลกั สูตรทกุ ชนิด คือผลรวมของความคดิ ทางการศึกษา ซ่ึงมีหลายอย่าง เช่น “การศึกษาในฐานะผู้ธารงรกั ษาและถ่ายทอดมรดกทางวัฒนธรรม” “การศึกษาในฐานะเครอื่ งมอื เปลยี่ นรปู แบบวัฒนธรรม” “การศึกษาเพื่อการพัฒนาบุคคลเปน็ รายคน” “การศึกษาคอื เครอื่ งมอื ของสังคมในการสร้างสมาชิกของสังคม ให้มี ลักษณะตามท่ีสังคมปรารถนา” และ “การศึกษาคือเครอ่ื งมือของรัฐในการพัฒนาสงั คม เศรษฐกิจ การเมือง วฒั นธรรม และเอกลักษณ์ของชาติ” คารเ์ ตอร์ วี กัด (Carter V. Good) ให้คาจากัดความคาวา่ หลกั สูตรไดช้ ัดเจนและตรงไปตรงมาดที ส่ี ุด คือ “หลักสูตรคือ กลุ่มวิชาที่จัดเรียงลาดับไว้เป็นระบบ ตามกาหนดท่ีสถานศึกษาต้องการให้รู้ ก่อนท่ีจะให้สาเร็จ การศึกษารับประกาศนียบัตรออกไป ซึ่งกาหนดวชิ าเอก วชิ าโท หรืออน่ื ๆ ไวใ้ นรายละเอียดด้วย นอกจากนี้ หลักสตู ร คอื กล่มุ ประสบการณต์ า่ งๆ ท่ีสถานศึกษาวางแผนไวใ้ ห้นกั ศกึ ษาได้รบั ภายใต้การแนะแนวของสถานศึกษา” วิชาในหลักสูตรส่วนมากประกอบด้วยวิชาการต่าง ๆ เพ่ือเสริมสร้างสติปัญญา เช่น ภาษา คณิตศาสตร์ วิทยาศาสตร์ ภูมิศาสตร์ ประวัติศาสตร์ และวิชาการอย่างอ่ืนตามระดับช้ันและวัยของผู้เรียน ซ่ึงจัดเป็นวิชาสามัญ หรือวิชาความรู้ทั่วไปท่ีเรียกว่า พุทธิศึกษา (Intellectual Education) วิชาท่ีเกี่ยวกับการพัฒนาจิตใจ อารมณ์ และ ความรู้สึก ในดา้ นวฒั นธรรม จรรยามารยาท และการวางตนในการติดตอ่ สัมพนั ธ์กบั ผู้อื่นทเี่ รียกว่า จรยิ ศกึ ษา (Moral Education) วิชาที่ช่วยให้รู้จักรักษาสุขภาพพลานามัย รู้จัก พักผ่อน ใช้เวลาว่างให้เป็นประโยชน์ และรู้จักวิธีป้องกัน อันตรายที่เรียกว่า พลศึกษา สุขศึกษา สันทนาการ การพักผ่อนหย่อนใจ และสวัสดิศึกษา (ความปลอดภัยของชีวิต และทรัพย์สิน) (Physical Education, Health Education, Recreation, and Safety Education) วิชาท่ีสอนให้ รู้จักใช้มือทาการงาน ด้านฝีมือหรือเตรียมตัวประกอบอาชีพที่เรียกว่า หัตถศึกษา (Manual Education) วิชาท่ีจะ นาไปใช้ประกอบอาชีพโดยตรงท่ีเรียกว่า อาชีวศึกษา (Vocational and Technical Education) และวิชาที่ช่วยให้ เกิดความรักสวย รักงาม ก่อให้เกิดความนุ่มนวลละเอียดอ่อนในอารมณ์และจิตใจท่ีเรียกว่า สุนทรียศึกษา (Aesthetics) และคา่ นิยมตา่ งๆ (Values) ในดา้ นความดีและความงาม (ภิญโญ สาธร, 2521, น. 242) แนวทางในการสร้างหลกั สตู รทน่ี กั การศึกษายดึ มี 5 แนวทางคอื 1. ยึดเน้ือหาวิชาเปน็ หลัก (Subject-Matter Approach) จะเน้นเนอ้ื หาสาระของวชิ าการต่าง ๆ 2. ยึดกจิ กรรมรว่ มหลักสตู รเปน็ แนวทาง (Co-Curricular Activities Approach) 3. ยึดตัวเดก็ เป็นศูนยก์ ลาง (Child-Centered Approach) คอื กาหนดหลักสตู รใหย้ ืดหยุ่นได้ เปล่ยี นแปลง ได้ แลว้ แตค่ วามสนใจและความตอ้ งการของเด็กท่ีอยากจะเรียนรู้ท้ังน้ขี น้ึ อยู่กบั พัฒนาการตามวยั อายขุ องเด็ก

75 4. ยดึ สังคมเปน็ หลกั โดยใหป้ รับตัวให้เข้ากบั สังคมให้ได้ (Social-Adjustment Approach) ความต้องการ ของสังคมเป็นศูนย์กลางของหลกั สตู ร นั่นคือถ้าสังคมต้องการอยา่ งไร ก็กาหนดในหลกั สูตรและใหเ้ ด็กและเยาวชน เรยี นตามนั้น 5. ยึดแนวผสม (Synthesis of Approaches) คือเอาทุกๆ อย่าง มาผสมผสานกัน เพ่ือความเหมาะพอดี ใน ทานองเดนิ สายกลาง รูปแบบของหลักสตู รมหี ลายอยา่ ง ทส่ี าคญั สรปุ (ภิญโญ สาธร, 2521, น. 243-245) ดังน้ี 1. หลกั สูตรแบบกิจกรรม (Activity Curriculum) ไดแ้ ก่ การออกแบบหลักสตู ร โดยนาความสนใจและความ ต้องการของเด็กมากาหนดโครงการศึกษา การเลือกและวางแผนจดั กิจกรรมต่าง ๆ มคี รกู บั นกั เรียนร่วมกัน วธิ สี อนใช้ วิธีแก้ปญั หาเป็นหลกั 2. หลักสูตรแบบความเป็นอยู่ในชวี ิตจริง (Areas-of-living Curriculum) ได้แก่ การออกแบบหลักสตู รให้ยึด ความเป็นอยู่ในชีวิตจริงเป็นหลักในการสอน เช่น การป้องกันชีวิตและการรักษาสุขภาพ การดารงชีวิตในครอบครัว และ การพฒั นาครอบครวั ให้กินดีอยู่ดี หลักสตู รแบบนจ้ี ัดกว้างๆ ตามกิจกรรมทีม่ ใี นสงั คม โดยไมเ่ นน้ การเรยี นวิชาการ 3. หลกั สตู รแบบต่อเน่ือง (Articulated Curriculum) คอื จดั หลักสตู รระดับประถมศกึ ษา มธั ยมศกึ ษา และ อุดมศกึ ษา โดยกาหนดคราวเดียวกันให้ต่อเนื่องกันไม่ให้มีการเรยี นวชิ าซ้าซ้อน ซงึ่ จะทาให้เสยี เวลาโดยเปล่าประโยชน์ หลักสตู รแบบนท้ี าให้เรยี นจนถึงระดบั ปรญิ ญา 4. หลักสตู รแบบกวา้ ง (Broad-fields Curriculum) คือ การจัดวชิ าการเปน็ กลมุ่ ๆ ใหเ้ รียนรวมๆ กันไปอย่าง กว้างๆ และรวบรัด โดยเลือกวิชาท่ีคล้ายคลึงกันมารวมเข้าด้วยกัน คล้ายหมวดวิชาต่าง ๆ ในหลักสูตรของไทยสมัย พ.ศ. 2503 เช่น การอ่าน การเขียน และกิจกรรมทางภาษา เรียกว่าหมวดศิลปทางภาษา (Language Arts) เป็นต้น ทั้งนี้เพราะเชื่อว่าปัญหาของชวี ิตจริงน้ันเก่ียวข้องกับวชิ าหลายวิชาพร้อม ๆ กัน มิใช่จะแยกวิชาใดโดด ๆ มาใช้ในชวี ิต จรงิ ได้ 5. หลักสูตรแบบวรรณคดีโบราณ (Classical Curriculum) ได้แก่ หลักสูตรรุ่นเก่าที่เน้นวรรณคดีโบราณ เชน่ กรีก ลาตนิ บาลี สนั สกฤต และวรรณคดีอย่างอ่นื และมักจะเนน้ ประวตั ิศาสตร์ หลกั สตู รแบบนเ้ี คยใช้ ในโรงเรยี น มัธยมรุ่นเกา่ ของเยอรมันทเี่ รยี ก Gymnasium 6. หลักสูตรที่ยึดชุมนุมชนเป็นศูนย์กลาง (Community - Centered Curriculum) ได้แก่ การออกแบบ หลกั สูตรให้มกี ารศึกษาโดยการปรับตวั เองให้เข้ากบั ชวี ิตจริงของชุมชนท่ีโรงเรยี นต้ังอย่มู ีการเรียนวฒั นธรรมของชุมชน น้ันๆ ทรัพยากรในท้องถิ่น ความต้องการของท้องถิ่น กิจกรรมของท้องถ่ิน และความสนใจอื่นๆ ของท้องถ่ินจะนามา จัดสอนเปน็ วชิ าๆ หรอื เป็นเร่อื ง ๆ

76 7. หลกั สตู รแบบแกนกลาง (Core Curriculum) คอื กาหนดให้วิชาใด วชิ าหนึ่ง หรอื กลุ่มวชิ าใดวิชาหน่ึงเป็น แกนกลางของหลักสูตรแล้วจัดให้วิชาอื่นๆ เป็นวิชารอง ท่ีจะต้องสอนให้สัมพันธ์กับวิชาแกน และสอนตามลาดับของ ความสัมพนั ธ์จากใกล้ชิดไปหาทีไ่ กลออกไป 8. หลกั สตู รแบบหลอมวิชาเข้าดว้ ยกัน (Fused Curriculum) ไดแ้ ก่ การรวมวิชาหลายๆ วิชาเขา้ ด้วยกันเป็น วิชาเดียว จัดสอนให้มีระยะเวลานานขึ้น คือแทนที่จะเรียนวิชาละช่ัวโมงกลับรวมหลายๆ วิชาเข้าด้วยกัน เรียนระยะ ยาวตอ่ กนั ทีเดียวหลายช่ัวโมงเหมือนเป็นวชิ าเดียว หลักสูตรแบบน้ีเหมาะกับโรงเรียนทม่ี ีนกั เรยี นมาก ทาให้ครอบคลุม ความสนใจของนักเรียนได้ทั่วถึง เพราะความกว้างของวิชา และระยะเวลาที่เพิ่มข้ึน ทาให้ปรับเวลาให้เหมาะกับเน้ือ เร่อื งที่สอนได้ง่าย 9. หลักสูตรแบบยึดรายวชิ าเปน็ หลัก (Subject-Matter Curriculum) คือจัดหลักสูตรเป็นวชิ าย่อยๆ โดยไม่ สัมพันธ์กับวิชาใดๆ ไม่มีแม้แต่หมวดวิชา และเน้นเน้ือหาสาระในวิชาต่างๆ มากที่สุด ไม่สนใจกิจกรรมประกอบ ไม่ สนใจประสบการณ์อยา่ งอน่ื นอกจากเนื้อหาสาระของวิชาแท้ๆ 10. หลักสูตรแบบสหสัมพันธ์ (Correlated Curriculum) คือ หลักสูตรแบบยึดเนื้อหาวิชาเป็นศูนย์กลางที่ เรียกว่า Subject-Matter Curriculum น้ันเอง แต่เอาวิชาต่างๆ มาสัมพันธ์กันโดยไม่หลอมเป็นวชิ าเดียว ทาให้แต่ละ สว่ นของวชิ าต่าง ๆ ยังคงลักษณะเฉพาะของวิชานนั้ ๆ อยู่ 11. หลักสูตรแบบยึดสมัยในวัฒนธรรมเป็นหลัก (Culture-Epoch Curriculum) ได้แก่หลักสูตรท่ีจัดสมัยใน ประวัติศาสตร์ หรือตามลักษณะของพัฒนาการของวัฒนธรรมเป็นหลัก เช่น สมัยสุโขทัย สมัยอยุธยา สมัยธนบุรี และ สมยั รตั นโกสินทร์ เปน็ ต้น 12. หลักสูตรแบบประสบการณ์ (Experience Curriculum) ให้นักเรียนเลือกกิจกรรมที่จะทาด้วยตนเอง ตามความสนใจและความต้องการของแต่ละคน การสอนเน้นให้นักเรียนแสดงหรือทาเองมากที่สุด เพ่ือให้ได้รับ ประสบการณ์ตรงให้มากทีส่ ดุ ดว้ ยตนเอง หลักสูตรท่ดี คี วรมคี ุณลกั ษณะดงั ตอ่ ไปนี้ 1. ตรงตามความมงุ่ หมายของการศึกษา 2. ตรงตามลกั ษณะของพัฒนาการของเด็กในวยั อายุต่าง ๆ 3. ตรงตามลกั ษณะความต้องการ และความสนใจของท้ังนกั เรยี นและสงั คม 4. ตรงตามลักษณะวัฒนธรรมขนบประเพณีและเอกลักษณข์ องชาติ 5. มเี นื้อหาสาระของเร่ืองท่ีสอนครบถว้ นเพียงพอท่ีจะช่วยให้นกั เรยี น คิดเป็น ทาเปน็ และมีพัฒนาการทุกดา้ น 6. บอกแนวทางสอนหรอื วิธสี อนอนั เหมาะสม 7. บอกแนวทางทีจ่ ะวัดหรอื ประเมินผลการสอน 8. บอกอุปกรณ์และส่ือการสอนประกอบเน้ือหาสาระท่จี ะสอนไวอ้ ย่างเหมาะสม

77 9. ยดื หยนุ่ คลอ่ งตวั เปลีย่ นแปลง ปรบั ปรงุ งา่ ย ครูมีโอกาสเลือกใช้ตามความเหมาะสม ไมต่ ายตวั เกินไป 10. ช่วยให้นกั เรยี นแกป้ ัญหาด้วยตนเองได้ 11. ส่งเสริมความคดิ สรา้ งสรรคแ์ ละความคิดริเรม่ิ ของนักเรียน 12. สง่ เสริมการทางานโดยอสิ ระของนกั เรยี น 13. เหมาะสมสอดคล้องกบั การดารงชีวิตประจาวนั ของนักเรยี น 14. เพม่ิ พนู ทักษะหรือความรู้ความชานาญพนื้ ฐานให้แกน่ ักเรยี น 15. ความรู้ที่ให้นักเรียนต่อเน่ืองเป็นลาดับ ไม่ข้ามขั้น ไม่วกไปวนมา หรือไม่กระโดดจนเกินระดับความรู้เก่าของ นักเรียน ทฤษฎวี ดั และประเมินผลการศึกษา นักการศึกษาจาเป็นต้องวัดและประเมินผลเพ่ือทราบว่าการจัดการเรียนการสอนได้ผลเพียงใด ควรแก้ไข ปรับปรุงอย่างไร และควรให้นักเรียนผ่านเล่ือนชั้นหรือไม่ ซึ่งเคร่ืองมือท่ีสาคัญ คือ “ข้อสอบ” ซึ่งข้อสอบท่ีดีควรมี ลักษณะอย่างไร หลักการของการสร้างข้อสอบ และการนาผลการสอบไปใช้ โดยแต่ละหัวข้อมีรายละเอียด (วิเชียร เกตุสิงห์, 2517; ชวาล แพรัตกุล, 2518; ภิญโญ สาธร, 2521; พร้อมพรรณ อุดมสิน, 2533; สมนึก ภัททิยธนี, 2535; ภทั รา นิคมานนท,์ 2543; พชิ ติ ฤทธ์ิจรูญ, 2553)ดงั น้ี ลักษณะของขอ้ สอบที่ดี สรปุ ได้ดังน้ี 1. ความตรงหรือความเที่ยงตรง (Validity) คือ ข้อสอบมีความสามารถวัดได้จริงตรงตามคุณลักษณะท่ี ต้องการวัดตามจุดมุ่งหมายที่ต้องการ เช่น ข้อสอบวิชาภาษาไทยต้องวัดความรู้ภาษาไทยได้จริง ไม่ใช่การวัดเชาวน์ โดยการใช้คาถามวกวน หากใครเชาวน์ดีก็สอบได้ เชาวน์ไม่ดีก็สอบตก ซ่ึงขาดคุณสมบัติในการวัดได้จริงของข้อสอบ การวัดไดจ้ รงิ มหี ลายลักษณะ คือ (1) ความตรงตามเนื้อหา (Content Validity) คือ วัดเน้ือหาท่ีสอนครอบคลุมตามวัตถุประสงค์ของการ เรียนวิชานั้น และเป็นตัวแทนท่ีดีของเนื้อหาท่ีต้องการวัด ความตรงประเภทนี้จาเป็นสาหรับข้อสอบวัดผลสัมฤทธิ์ ทางการเรยี นโดยสามารถตรวจสอบได้กบั ตารางวเิ คราะหห์ ลักสูตร (2) ความตรงตามโครงสร้าง (Construct Validity) คือ วัดพฤติกรรมและความสามารถด้านต่างๆ ได้ ตามวตั ถุประสงคท์ ่กี าหนดไวแ้ ละเปน็ ไปตามหลกั ทฤษฎี (3) ความตรงตามสภาพ (Concurrent Validity) คือ วัดความสามารถหรือคุณลักษณะต่างๆ ได้ตาม สภาพจรงิ ของคนๆ นั้น เชน่ คนท่ีมีความสามารถในวิชานั้นสงู ก็จะทาข้อสอบวิชานน้ั ไดค้ ะแนนสงู (4) ความตรงตามพยากรณ์ (Predictive Validity) คือ วัดได้ตรงกับสภาพความเป็นจริงของผู้เรียนที่จะ เกดิ ขึน้ ในอนาคต นน่ั คือ ข้อสอบนี้สามารถให้คะแนนสอดคลอ้ งกับผลการเรียนหรอื ความสาเร็จในอนาคตไดถ้ ูกต้อง

78 2. ความเช่อื มน่ั (Reliability) คอื วัดแล้วไดผ้ ลเทา่ เดมิ ไมเ่ ปลี่ยนแปลง ไม่วา่ จะนามาวดั ก่ีครั้ง ตวั อยา่ งของ การทดสอบความเชอื่ ม่ันของขอ้ สอบว่ามหี รือไม่ มดี งั น้ี (1) แบบสอบซ้า (test-retest) เป็นการนาข้อสอบฉบับหน่ึงไปสอบกับนักเรียนกลุ่มเดิม 2 ครั้ง ใช้เวลา ใกล้เคียงกันประมาณ 3-4 สัปดาห์แล้วนาคะแนนที่ได้จากการสอบ 2 คร้ังมาคานวณหาค่าความสัมพันธ์ (Correlation) ถ้า คา่ ความสมั พนั ธร์ ะหวา่ งคะแนนการสอบท้ังสองครง้ั สูง แสดงว่าขอ้ สอบน้ันมีค่าความเทย่ี งสูง เป็นต้น (2) แบบคู่ขนาน (Parallel form) เป็นการนาข้อสอบ 2 ชุดท่ีมีเน้ือหาและความยากง่ายพอๆ กัน ไปใช้ สอบกบั นกั เรยี นกลุม่ เดียวกนั แลว้ นาคะแนนท่ีได้จากข้อสอบทง้ั สองชุดมาหาคา่ ความสัมพันธ์ (3) แบบแบ่งครึ่งฉบับ (Split-half) เป็นการนาคะแนนมาแบ่งเป็นข้อมูล 2 ชุด คือ คะแนนของข้อคู่และ ข้อค่ีแล้วหาค่าความสัมพันธ์ แล้วนาค่าความสัมพันธ์มาคานวณหาค่าความเท่ียงของข้อสอบทั้งฉบับ โดยใช้สูตรของส เปยี รแ์ มนบราวน์ (Speaeman Brown) (4) แบบวัดความสอดคล้องภายใน (Internal consistency) เป็นการใช้ผลการสอบเพียงครง้ั เดียว นิยม ใช้กันมาก คือ วิธขี องคูเดอร์และริชารดส์ นั (Kuder and Richardson) 3. ความยุตธิ รรม (Fair) คอื ขอ้ สอบที่ไม่ใหน้ กั เรยี นได้เปรียบเสยี เปรียบกนั นน่ั คือ ตอ้ งไม่มีข้อท่ีให้นกั เรียน เดาได้ถกู และให้นกั เรียนท่ีไม่ร้จู ริงทาคะแนนได้มาก ดังนนั้ ครูควรออกขอ้ สอบให้ครอบคลุมหลักสตู รและมีจานวนมาก ขอ้ เพือ่ ป้องกนั การเกง็ ข้อสอบ รวมถึงใชข้ ้อสอบชุดเดียวกันและเปน็ เร่อื งทน่ี ักเรยี นไดเ้ รียนมาแล้ว 4. ถามลกึ (Searching) คือ ข้อสอบท้ังฉบับต้องประกอบด้วยขอ้ สอบท่ีสอบถามความรู้ ความเข้าใจ การ นาไปใช้ การวเิ คราะห์ การสังเคราะห์ และการประเมนิ คา่ อยา่ งเหมาะสมสอดคลอ้ งกับพฤตกิ รรมทก่ี าหนดในหลกั สตู ร 5. มลี กั ษณะยั่วยุ (Exemplary) และเป็นตวั อยา่ งทด่ี ี คือ ข้อสอบมีลักษณะท้าทายให้นกั เรียนอยากทา ขอ้ สอบ ไมเ่ บื่อหนา่ ย และเป็นตวั อยา่ งท่ีดี เชน่ เรียงข้อสอบจากงา่ ยไปหายาก ข้อสอบที่ถามแบบสถานการณ์ ถามเรอ่ื ง ทนี่ า่ สนใจ เปน็ ต้น 6. มีความจาเพาะเจาะจง (Definite) คือ ข้อสอบมีความหมายเดยี วไม่คลมุ เครือ นักเรียนอ่านแลว้ เขา้ ใจได้ ว่าครูถามอะไร 7. ความเปน็ ปรนยั (Objectivity) คือ ตัง้ คาถามไดช้ ัดเจน ทาให้ผ้เู ข้าสอบทกุ คนเขา้ ใจความหมายตรงกนั การให้คะแนนและแปลความหมายของคะแนนได้ตรงกนั แม้วา่ จะตรวจหลายครง้ั หรือตรวจหลายคนก็ตาม น่ันคอื คาถามของข้อสอบต้องชัดเจนไมก่ ากวม มเี กณฑแ์ ละวธิ กี ารให้คะแนนอย่างเป็นระบบ 8. มปี ระสิทธิภาพ (Efficiency) คือ ข้อสอบท่ีมจี านวนข้อมากพอประมาณ ใช้เวลาสอบพอเหมาะ สะดวก ในการรวบรวมข้อมูลให้คะแนนได้เที่ยงตรงและเชื่อถือได้มากที่สุดโดยใช้แรงงานและเงินน้อยที่สุด จัดทาด้วยความ ปราณีตเป็นระเบยี บเรยี บร้อยทาใหผ้ ูส้ อบไม่สบั สน

79 9. ความยากง่ายพอเหมาะ (Difficulty) คือ ข้อสอบแต่ละข้อไม่ง่ายหรือยากเกินไป เพราะข้อสอบท่ีง่าย หรือยากมากไม่สามารถแยกได้ว่าผู้เข้าสอบใครเก่งหรือใครอ่อน ซ่ึงข้อสอบแต่ละข้อท่ีดีควรมีความยากง่ายพอเหมาะ ให้นกั เรยี นตอบถกู บ้างผดิ บา้ ง 10. มีอานาจจาแนก (Discrimination) คือ ข้อสอบแต่ละข้อท่ีสามารถจาแนกกลุ่มคนเก่งออกจากกลุ่มคน อ่อนได้ นั่นคือ ข้อสอบท่ีมีอานาจจาแนก กลุ่มคนเก่งทาถูก คนกลุ่มอ่อนทาไม่ถูก ในทางกลับกันข้อสอบท่ีไม่มีอานาจ จาแนก กลุ่มออ่ นและกลมุ่ เกง่ ทาถกู พอๆ กัน สรุป ข้อสอบที่ดีท้ัง 10 ข้อถือว่าเป็นข้อสอบท่ีดีและมีคุณภาพสะท้อนถึงผลการจัดการเรียนการสอนและ นาไปสกู่ ารพฒั นาการศกึ ษาตอ่ ไป หลกั การของการสร้างข้อสอบ หลักการควรคานึงถึง (ภิญโญ สาธร, 2521, น. 257-259) ดงั นี้ 1. เลือกแบบขอ้ สอบหลายๆ แบบ เพอื่ ใหเ้ หมาะสมกับวัตถปุ ระสงคแ์ ละเน้ือหาวิชา 2. สร้างจานวนข้อใหม้ ากกวา่ ที่ต้องการใช้จริงเพื่อเก็บไว้คดั เลือก พร้อมสรา้ งเฉลยข้อสอบ 3. การจัดเรยี งคาถาม เช่น เรียงขอ้ สอบชนิดเดยี วกนั ไว้ตอนเดียวกนั เรยี งจากงา่ ยไปหายาก จดั ตัวคาถาม และตัวเลอื กใหอ้ ยู่ในหนา้ เดยี วกัน เปน็ ตน้ 4. อย่าให้คาถามข้อใดมภี าษาหรือถ้อยคาทชี่ ้ีชอ่ งใหต้ อบข้ออน่ื ไดถ้ ูกหรือผิด 5. อย่าให้คาถามมขี ้อความพาดพิงถึงอีกข้อหนงึ่ ซึง่ ไม่ยุตธิ รรมเพราะนกั เรียนที่ไม่รู้คาถามข้อนั้นกลายเป็นผดิ สองข้อ 6. ผ้สู ร้างควรน่ังทาข้อสอบและจับเวลาวา่ เหมาะสมกบั เวลาท่ีใหน้ กั เรียนทา 7. กาหนดวธิ ีการตอบขอ้ สอบท่ีชัดเจน การนาผลการสอบไปใช้ การวดั และประเมินผลการศึกษาจะเกดิ ประโยชน์ หากนาผลการสอบไปใช้ใหค้ ุ้มค่า ดงั น้ี 1. การใชผ้ ลการสอบพัฒนาผู้เรียน ครูสามารถนาผลการสอบไปใชพ้ ฒั นาผเู้ รียนได้ 3 ลกั ษณะ ดงั น้ี 1) การวินจิ ฉยั ผูเ้ รียน เป็นการใช้ผลการสอบหรอื ประเมนิ ผลก่อนการเรียนการสอน เพ่อื ตรวจสอบความรู้ ความสามารถของผู้เรียนว่ามขี ้อบกพรอ่ งเร่ืองใด ครจู ะได้เสรมิ ความรคู้ วามสามารถให้มคี วามพร้อมในการเรยี นรู้ต่อไป 2) การปรบั ปรุงการเรียนรู้ เป็นการใชผ้ ลการสอบหรอื ประเมินผลระหว่างเรียน เพือ่ ตรวจสอบว่าผู้เรียนมี ความรคู้ วามสามารถตามจุดประสงค์ของการเรยี นรู้หรอื ไม่ ครจู ะไดป้ รับปรงุ แก้ไขโดยการสอนซ่อมเสริม 3) การตดั สินผลการเรียน เป็นการใชผ้ ลการสอบหรือประเมนิ ผลรวมหลังการส้นิ สุดการเรียนการสอนแต่ ละวิชา เพอื่ ตรวจสอบว่าผู้เรยี นมีความร้คู วามสามารถในรายวชิ านัน้ แล้วตัดสนิ ผลการเรียนตามเกณฑท์ กี่ าหนด

80 2. การใช้ผลการสอบปรบั ปรุงและพัฒนาการจัดการเรียนการสอนของครู ผลการสอบแสดงถึงผลการเรียน ของนักเรียนซ่ึงมาจากผลการสอนของครูนั่นเอง ดังนั้น ผลการสอบจะเป็นข้อมูลท่ีทาให้ครูพิจารณาทบทวนปรับปรุง และพัฒนาการจดั การเรยี นการสอนให้มปี ระสิทธิภาพ 3. การใช้ผลการสอบรายงานผู้ปกครอง ทาใหผ้ ปู้ กครองไดร้ ่วมมอื ในการปรับปรุงแก้ไขหรอื พัฒนาผู้เรยี น 4. การใช้ผลการสอบเปน็ ข้อมูลสารสนเทศสาหรับผู้บริหาร นามาเป็นข้อมูลในการปรบั ปรุงพัฒนาคณุ ภาพ การเรียนการสอนแต่ละรายวิชา รวมถึงการพัฒนาคุณภาพการศึกษาของโรงเรียน นาไปสู่การจัดโครงการเพ่ือ พัฒนาการเรยี นการสอนของรายวิชาต่างๆ สรปุ ทฤษฎีทางการศึกษาท่ีกล่าวถึงในบทน้ีเป็นการกล่าวถึงหลักการศึกษาท่ีนาไปสู่การจัดการศึกษา ซ่ึงหลักการ ศึกษาพัฒนามาจากแนวคิดปรัชญาการศึกษา ทฤษฎีท่ีเกี่ยวข้องกับการศึกษา ซึ่งประกอบด้วย ทฤษฎีการเรียนรู้ ทฤษฎี การสอน ทฤษฎีหลักสูตร ทฤษฎีวัดและประเมินผลการศึกษา ซึ่งครู ผู้บริหารการศึกษา หรือผู้ที่เก่ียวข้องในวง การศึกษาจาเป็นต้องรู้และเข้าใจเพ่ือนาไปสู่การปรับใช้ให้เป็นประโยชน์กับผู้เรียน ซ่ึงทฤษฎี เป็นปรัชญาความรู้ท่ี เกิดข้ึนจากการรวบรวมแนวความคิดและหลักการต่าง ๆ สร้างเป็นทฤษฎีขึ้น ทฤษฎีใด ๆ ก็ตามท่ีต้ังข้ึนมาน้ัน เพื่อ รวบรวมหลักการและแนวความคิดท่ีผ่านการพิสูจน์แล้ว นามาใช้อธิบายการกระทาหรือปรากฏการณ์อย่างใดอย่าง หน่ึง โดยทฤษฎีการศึกษา เป็นปรัชญาความรู้ที่เกี่ยวกับการศึกษาท่ีเกิดข้ึนจากการรวบรวมแนวความคิดและหลักการ ด้านการศึกษา สร้างเป็นทฤษฎีการเรียนรู้เพ่ือนามาใช้อธิบายกระบวนการเปลี่ยนแปลงพฤติกรรมของบุคคลในด้าน รา่ งกาย อารมณ์ สังคม และสติปญั ญา โดยมกี ารกาหนด จดุ ม่งุ หมายและดาเนินการอยา่ งเป็นระบบ โดยสอดคล้องกับ ธรรมชาตขิ องบคุ คล

81 เอกสารอา้ งองิ ชวาล แพรัตกลุ . (2518). เทคนิคการวดั ผล. พิมพ์ครงั้ ท่ี 6. กรงุ เทพฯ: วัฒนาพานชิ . พร้อมพรรณ อุดมสนิ . (2533). การวัดผลและประเมินผลการเรยี นการสอนคณิตศาสตร์. กรงุ เทพฯ: จุฬาลงกรณ์ มหาวิทยาลยั . พิชิต ฤทธ์จิ รูญ. (2553). หลักการวัดและประเมนิ ผลการศึกษา. พิมพ์คร้ังที่ 6. กรุงเทพฯ: เฮ้าส์ ออฟ เดอร์มิสท.์ ฟาฏนิ า วงศ์เลขา. (2558). ส่อื การเรยี นรรู้ ปู แบบใหม่ ในโลกยคุ ดิจติ อล. สืบค้นจาก https://nooyuisutthida.wordpress.com) ภัทรา นิคมานนท.์ (2543). การประเมนิ ผลการเรยี น. กรุงเทพมหานคร: ทพิ ยวสิ ทุ ธิ์. ภญิ โญ สาธร. (2521). หลกั การศึกษา. กรุงเทพฯ: สานกั พิมพส์ ภุ า. วิเชียร เกตสุ ิงห.์ (2517). การวดั ผลการศึกษา. พิมพ์ครั้งที่ 5. กรุงเทพฯ: สานักงานคณะกรรมการการศึกษาแหง่ ชาติ. สมนึก ภัททิยธนี. (2535). การประเมินผลและสร้างแบบทดสอบ. [ม.ป.ท.]. ฮุศนยี ์ สัญญา และคณะ. (2558). ทฤษฎกี ารเรียนรู้กลมุ่ เกสตัลท.์ สืบค้นจาก http://hoossanee3661.blogspot.com/ 2015/11/blog-post_58.html. Dale, E. (1969). Audio Visual Methods in Teaching. 3rd. ed. New York: Holt Rinehatr and Winston. Edward L. Thorndike. (2561). Edward Thorndike. ใน วิกพิ ีเดียสารานกุ รมเสร.ี สืบค้นจาก https://en.wikipedia.org/wiki/Edward_Thorndike. Ivan Petrovich Pavlov. (2557). Ivan Pavlov. ใน วกิ ิพีเดยี สารานุกรมเสรี. สืบค้นจาก https://en.wikipedia.org/wiki/Ivan_Pavlov John B. Watson. (2561). John B. Watson. ใน วกิ ิพเี ดยี สารานกุ รมเสรี. สบื คน้ จาก https://en.wikipedia.org/wiki/John_B._Watson John Dewey. (2014). Biography. สบื คน้ จาก https://www.biography.com/scholar/john-dewey Sigmund Freud. (2561). Sigmund Freud. ใน วกิ ิพเี ดยี สารานกุ รมเสรี. สบื คน้ จาก https://en.wikipedia.org/wiki/Sigmund_Freud

82

83 บทที่ 3 ววิ ฒั นาการของการศกึ ษาไทยและการศึกษาโลก ณัฐมน พนั ธ์ชุ าตรี ววิ ัฒนาการของการศกึ ษาไทย การศกึ ษาเป็นกระบวนการสร้างและพัฒนาทรัพยากรมนุษย์ของประเทศให้มีความสามารถเพ่ือการพัฒนา ประเทศชาติให้เจริญก้าวหน้าอย่างมีสันติสุข การท่ีประเทศชาติจะดาเนินไปอย่างมีคุณภาพและประสิทธิภาพน้ัน จะต้องอาศัยกระบวนการการศึกษาท่ีได้รับการพัฒนาที่ดี การศึกษาจึงเป็นเครื่องมือในการพัฒนาให้ทรัพยากร มนุษย์ให้มีคุณภาพท้ังทางด้านเศรษฐกิจ สังคม การเมือง การปกครองและวัฒนธรรม เป็นกระบวนการถ่ายทอด วัฒนธรรมและสร้างภูมิปัญญาให้แก่สังคม ดังน้ันการพัฒนาทรัพยากรมนุษย์ที่เป็นพลเมืองของประเทศให้เป็นผู้มี ปัญญา มีคุณธรรม มีความสามารถพื้นฐานหรือมีศักยภาพที่จะพัฒนาตนเองและสังคมมีความสามารถในการ ประกอบอาชีพหรอื เป็นแรงงานที่สาคัญต่อการพฒั นาเศรษฐกจิ ของประเทศสง่ิ ต่างๆ เหล่านี้จะเกิดขนึ้ ได้จาเปน็ ต้อง อาศัยกระบวนการศึกษาท่ีดีเป็นพ้ืนฐานที่สาคัญ ระบบการศึกษาจึงต้องมีประสิทธิภาพต้องมีเนื้อหาสาระ และ กระบวนการเรียนการสอนที่สอดคลอ้ งกับวัตถุประสงค์มีหลักการท่ีดี นอกจากนี้ระบบการศึกษาท่ีดีจะต้องมีความ ยืดหยนุ่ ให้ผเู้ รียนไดเ้ ลือกเรยี นตามความสนใจ ความถนดั ความพร้อม อย่างต่อเนือ่ งตลอดชวี ิต โดยมีเครือข่ายการ เรียนรู้ที่สามารถถ่ายทอดความรู้ประเภทต่างๆ จากแหล่งต่างๆไปยังผู้เรียนได้ ทั้งระบบโรงเรียน นอกระบบ โรงเรียน และการศึกษาตามอัธยาศัย ซึ่งตลอดระยะเวลาของการพัฒนาประเทศควบคู่กับการพัฒนาระบบ การศึกษาที่ผ่านมา ได้รับการพัฒนาอย่างต่อเนื่อง แต่ก็ยังไม่สามารถบรรลุผลเท่าใดนักเพราะยังมีปัญหาด้าน คณุ ภาพของผลผลติ ด้านการกระจายโอกาสทางการศกึ ษา ดา้ นการบริหารการศกึ ษาและด้านการระดมสรรพกาลัง เพ่ือจัดการศึกษา จะเห็นได้ว่า ระบบการศึกษามีบทบาทสาคัญยิ่งในการจัดการศึกษาของประเทศ ถ้าระบบ การศึกษาทก่ี าหนดไว้ดี สอดคล้องกบั สภาพปัญหาและความตอ้ งการของทงั้ ส่วนตนและประเทศกจ็ ะสง่ ผลดีต่อชีวิต ความเป็นอยู่ของพลเมือง การศึกษาจึงเป็นรากฐานของการพัฒนา จึงมีความจาเป็นอย่างยิ่งในการปรับปรุงระบบ การศึกษาให้สอดคล้องกับเงื่อนไขและการเปลี่ยนแปลงด้านเศรษฐกิจ สังคม และวัฒนธรรมอย่างเป็นระยะๆ เป็น สิ่งที่ผู้ที่เกยี่ วขอ้ งควรตระหนกั ทงั้ นีเ้ พอื่ ใหส้ ามารถพัฒนาประเทศไดอ้ ย่างเหมาะสมกับสภาพและความต้องการของ ประเทศในอนาคต การจัดการศึกษาของประเทศไทยมีวิวัฒนาการมาต้ังแต่สมัยโบราณเร่ือยมาจนถึงปัจจุบัน ด้วยความเช่ือ ท่ีว่าการศึกษาช่วยกาหนดทิศทางของชาติ เพ่ือพัฒนาคนไทยให้มีความพร้อมท่ีจะเป็นกาลังสาคัญสาหรับการ พฒั นาประเทศให้เจรญิ กา้ วหนา้ ความเปน็ มาของการศกึ ษาไทยมปี ระวตั ิที่นา่ สนใจสามารถเป็น 3 ยุคสมัย คือ

84  ยคุ สมัยสุโขทัยจนถึงต้นกรุงรตั นโกสนิ ทร์  ยุคสมัยรชั กาลที่ 5 จนถงึ การเปลย่ี นแปลงการปกครอง พ.ศ. 2475  ยคุ สมยั หลงั การเปลีย่ นแปลงการปกครอง พ.ศ. 2475 จนถงึ ปัจจบุ ัน 1. ยคุ สมัยสโุ ขทัยจนถงึ ต้นกรุงรตั นโกสนิ ทร์ ลักษณะของระบบการศึกษาในช่วงนี้ยังไม่เป็นแบบแผนชัดเจนส่วนใหญ่เป็นการศึกษาสาหรับเด็กชาย ส่วนมากเป็นการศึกษาแบบสืบทอดวัฒนธรรมประเพณีที่มีมาแต่เดิม คนไทยในสมัยน้ันต้องขวนขวายหาความรู้ จากผู้รู้ในชุมชนต่างๆ โดยมีบ้านและวัดเป็นศูนย์กลางของการศึกษา เช่น บ้านเป็นสถานที่อบรมกล่อมเกลาจิตใจ ของสมาชิกภายในบ้าน โดยมีพ่อและแม่ทาหน้าท่ีในการถ่ายทอดอาชีพและอบรมลูกๆ วังเป็นสถานท่ีรวม นักปราชญ์สาขาต่างๆ มาเป็นขุนนางรับใช้เบื้องพระยุคคลบาท โดยเฉพาะงานช่างศิลปหัตถกรรมเพ่ือสร้าง พระราชวังและประกอบพระราชพิธีต่างๆ ซ่ึงเป็นสถานที่ท่ีถ่ายทอดความรู้ต่างๆ จากคนรุ่นหนึ่งไปสู่คนอีกรุ่นหน่งึ ส่วนวัดเป็นสถานที่ประกอบพิธีกรรมทางศาสนา พระจะทาหน้าที่ในการอบรมส่ังสอนธรรมะแก่พุทธศาสนิกชน โดยเฉพาะผู้ชายไทยมโี อกาสได้ศึกษาธรรมะและบวชเรยี น นอกจากน้ีผู้ที่มาบวชเรียนมาแสงหาความร้เู ร่ืองธรรมะ ในวัดแล้วยังสามารถแลกเปลี่ยนและถ่ายทอดความรู้ในด้านศิลปวิทยาการต่างๆ ท่ีเคยได้อบรมมาจากครอบครัว จะเห็นได้ว่าบทบาทในการศึกษาอบรมสาหรบั คนไทยในสมัยนั้น เปน็ การถ่ายทอดจากคนรุ่นหน่งึ ไปสู่คนอีกรุ่นหน่ึง นอกจากน้ีในชุมชนต่างๆ ก็มีขุมปัญญามากมายซึ่งมีปราชญ์แต่ละสาขาวิชา เช่น ด้านการก่อสร้าง หัตถกรรม ศลิ ปกรรม ปะติมากรรม และแพทยแ์ ผนโบราณเป็นต้น 1.1 การศึกษาในสมยั สโุ ขทัย (พ.ศ. 1781 ถงึ พ.ศ. 1921) ในสมยั น้รี ูปแบบการจัดการศกึ ษา แบง่ ออกเปน็ 2 ฝา่ ย คอื สว่ นแรกการจัดการศึกษาสาหรับผู้ชาย ท่ีเป็นทหาร เช่น มวย กระบ่ี กระบองและอาวุธต่างๆ ตลอดจนวิธีบังคับช้าง ม้า ตาราพิชัยยุทธ์ซึ่งเป็นวิชาชั้นสูง ของผทู้ ่จี ะเปน็ แม่ทัพนายกอง และส่วนที่ 2 พลเรอื น เป็นการจดั การศึกษาให้แก่พลเรือน โดยผู้ชายเรยี นคัมภีร์ไตร เวทโหราศาสตร์ เวชกรรม ฯลฯ ส่วนพลเรือนหญิงให้เรียนวิชาช่างสตรี การปัก การย้อม การเย็บ การถักทอและ การฝึกอบรมกิริยามารยาท การทาอาหารการกินเพ่ือเตรียมตัวเป็นแม่บ้านแม่เรือนที่ดีต่อไปนอกจากนี้ยังถูกแบ่ง ออกเป็น ฝ่ายศาสนจักร หรือการศึกษาเกี่ยวกับพระพุทธศาสนา การจัดการศึกษาในสมัยสุโขทัยจึงเป็นการจัด การศึกษาท่ีเน้นพระพุทธศาสนาและศิลปศาสตร์ ในสมัยน้ีพ่อขุนรามคาแหงได้นาช่างชาวจนี เข้ามาเผยแพร่การทา ถ้วยชามสังคโลกให้แก่คนไทย และหลังจากที่ทรงคิดประดิษฐ์อักษรไทยแล้วงานด้านอักษรศาสตร์เจริญขึ้นมาก มี การสอนภาษาไทยในพระบรมมหาราชวัง มีวรรณคดีทส่ี าคญั คือ หนังสือไตรภูมิพระร่วงและตารับทา้ วศรีจุฬาลักษณ์ อย่างไรก็ดีวิชาท่ีสอนไม่ได้กาหนดตายตัว โดยส่วนมากเป็นวิชาชีพที่เรียนกันตามแบบอย่างบรรพบุรุษ สอนให้ เคารพนับถือบรรพบุรุษ การรู้จักกตัญญูรู้คุณ รักษาขนบธรรมเนียมประเพณีดั้งเดิม ตลอดจน การสอนวิชาศิลปะ ปอ้ งกนั ตวั เป็นตน้ ดังน้ันในสมัยนี้จึงมบี ้านเปน็ สถาบนั สังคมพ้ืนฐานทีช่ ่วยทาหน้าทใี่ นการถา่ ยทอดความร้ดู ้านอาชีพตาม

85 บรรพบุรุษ มีสานักสงฆ์เพ่ือทาหน้าที่ขัดเกลาจิตใจ หรือแสวงหาธรรมะต่างๆ มีสานักราชบัณฑิต ซ่ึงเป็นแหล่งรวมของ บุคคลชั้นสูงที่ได้รับการยกย่องว่ามีความรู้ความเชียวชาญชานาญ แตกฉานในแขนงต่างๆ และมีพระราชสานัก เป็น สถานศกึ ษาของพระราชวงศแ์ ละบตุ รหลานของขุนนางในราชสานักโดยมีพราหมณห์ รือราชบณั ฑิตเป็นครูสอน 1.2 การศกึ ษาในสมยั อยุธยา (พ.ศ. 1893 ถึง พ.ศ. 2310) ในสมัยอยุธยาชาติตะวันตกได้เร่ิมเข้ามาติดต่อค้าขายกับไทยมากขึ้น เช่น ชาติโปรตุเกส ฮอลันดา ฝร่ังเศส อังกฤษ เป็นต้น มีผลให้การศึกษาไทยมีความเจริญข้ึน โดยเฉพาะใน รัชสมัยสมเด็จพระเจ้าปราสาททอง และสมเด็จพระนารายณม์ หาราช ลกั ษณะการจดั การศกึ ษาในสมยั อยธุ ยาสามารถแบ่งออกเปน็ 5 รูปแบบดังนี้ 1.2.1 การศึกษาวิชาสามัญ เน้นการอ่าน เขียน เรียน เลข อันเป็นวิชาพื้นฐานสาหรับการ ประกอบสมั มาอาชีพของคนไทย เชน่ ในรัชสมัยของสมเดจ็ พระนารายณ์มหาราชมีการแต่งแบบเรยี นภาษาไทย ช่อื จินดามณี และกาหนดใหใ้ ชเ้ ปน็ แบบเรยี นพ้ืนฐานของชาวไทยสืบมาเปน็ เวลานาน 1.2.2 การศึกษาทางด้านศาสนา วัดมีบทบาทมากในสมัยสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวบรมโกศ พระองค์ ทรงส่งเสริมพุทธศาสนาโดยทรงวางกฎเกณฑ์ไว้ว่าประชาชนคนใดไม่เคยบวชเรียนเขียนอ่านมาก่อน จะไม่ทรง แต่งต้ังให้เป็นข้าราชการและตั้งแต่ในสมัยสมเด็จพระนารายณ์มหาราชเป็นต้นมา มีนักศาสนาหรือมิชชันนารีได้ จดั ตงั้ โรงเรียนสอนหนังสอื และวชิ าอ่นื ๆ ข้นึ เรยี กโรงเรยี นมชิ ชนั นารีน้วี ่า โรงเรยี นสามเณร เพอ่ื ชักจงู ใหช้ าวไทยหัน ไปนับถือศาสนาครสิ ต์ 1.2.3 การศึกษาทางด้านภาษาศาสตร์และวรรณคดี ปรากฏว่ามีการสอนท้ังภาษาไทยบาลี สันสกฤต ฝร่ังเศส เขมร พม่า มอญและภาษาจีน ในรัชสมัยสมเด็จพระนารายณ์มหาราชมีวรรณคดีหลายเล่ม เช่น เสือโคคาฉันท์ สมทุ รโฆษคาฉันท์ อนิรุทธ์คาฉันท์ และกาสรวลศรปี ราชญ์ เป็นตน้ 1.2.4 การศึกษาของผู้หญิง มีการเรียนวิชาชีพ การเรือนการครัว ทอผ้า ตลอดจนกิริยามารยาท สาหรับหญงิ ชาวบา้ นท่วั ไป แตส่ าหรบั หญิงทอี่ ยู่ในราชตระกูลเริ่มมีการจัดให้เรียนภาษาไทยตลอดจนการประพันธด์ ว้ ย 1.2.5 ในสมัยอยุธยามีการแยกฝ่ายทหารและฝา่ ยพลเรือนออกจากกันอย่างชดั เจน และมีการจัด วางระเบียบทางด้านการทหาร มีการทาบัญชี การขึ้นทะเบียนไพร่หลวง และมีการจัดการศึกษาวิชาทหารข้ึน เพื่อ เป็นการศึกษาด้านพลศึกษาสาหรับผู้ชาย ฝึกระเบียบวินัยเพ่ือฝึกอบรมให้เป็นกาลังสาคัญของชาติสาหรับสถานที่ ศึกษาเล่าเรียนในสมัยอยุธยานั้นยังคงเหมือนกับในสมัยสุโขทัย ที่ต่างออกไป คือ มีโรงเรียนมิชชันนารีเกิดขึ้นเป็น คร้ังแรก กล่าวคือ เป็นโรงเรียนท่ีชาวตะวันตกได้เข้ามาสร้างเพื่อเผยแพร่ศาสนาและสอนวิชาสามัญควบคู่กันไป เน้ือหาวิชาท่ีสอนโดยส่วนมากจะเน้นเก่ียวกับการ อ่าน เขียน เลข ซ่ึงเห็นได้จากการกาหนดให้ใช้แบบเรียนจินดา มณีเปน็ แบบเรียนพ้ืนฐาน สาหรับเดก็ ผชู้ ายได้เรียนวิชาวาดเขียน แกะสลกั และช่างฝมี ือตา่ งๆท่ีพระสงฆ์เป็นผู้สอน ให้ ส่วนเด็กผู้หญิงเรียนร้กู ารบ้านการเรือนจากพ่อแม่ แตต่ อ่ มาเม่ือมีชาติตะวันตกเขา้ มาจงึ มีการเรยี นวชิ าชพี ชั้นสูง ด้วย เชน่ ดาราศาสตร์ การทานา้ ประปา การทาปืน การพาณิชย์ แพทยศาสตร์ ตารายา การกอ่ สร้าง ตาราอาหาร

86 เป็นตน้ ส่วนในด้านจรยิ ธรรม เน้นการศกึ ษาด้านพระพุทธศาสนามากข้ึน มีการกาหนดให้ผชู้ ายท่จี ะเข้ารับราชการ ทุกคนต้องเคยผ่านการบวชเรยี นมาก่อน จึงเกิดประเพณีการอุปสมบทเมื่ออายุครบ 20 ปีนอกจากนี้ในสมัยสมเด็จ พระนารายณม์ หาราชทรงใหเ้ สรภี าพในการนับถือศาสนาของชาวไทย ทรงอุปถัมภพ์ วกสอนศาสนา เพราะทรงเห็น ว่าศาสนาทกุ ศาสนาตา่ งสอนให้คนเปน็ คนดี 1.3 การศึกษาในสมยั ธนบุรีและรตั นโกสินทร์ตอนตน้ (พ.ศ. 2311 ถงึ พ.ศ. 2411) การศึกษาในสมัยนี้ยังคงมีลักษณะเดียวกันกับสมัยอยุธยา บ้านและวัดยังคงมีบทบาทสาคัญในการ จัดการศกึ ษา โดยสมยั พระเจา้ กรงุ ธนบุรีเป็นระยะเกบ็ รวบรวมสรรพตาราจากแหล่งต่างๆ ท่ีรอดพ้นจากการทาลาย ของพม่า เน้นการทานุบารุงตาราทางศาสนา ศิลปะและวรรณคดี ต่อมาหลังสถาปนากรุงรัตนโกสินทร์ขึ้นเป็นราช ธานี พระบาทสมเดจ็ พระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลก ทรงฟื้นฟูการศกึ ษาดา้ นอักษรศาสตร์ วรรณคดี มีการแต่งรามเกียรติ ซ่ึงนาเอาเค้าโครงเร่ืองมาจากเรื่องรามายณะ ของอินเดีย ทางด้านกฎหมาย ทรงให้ตรากฎหมายตรา 3 ดวงข้ึน และทรงจัดให้มกี ารสังคายนาพระไตรปิฎก เพ่ือเป็นการฟื้นฟูหลกั ธรรมทางศาสนา ต่อมาเม่ือเริ่มมีชาวยุโรปเข้ามา ติดต่อทางการค้ากับไทยในรัชสมัยของสมเด็จพระพุทธเลิศหล้านภาลัย จึงเริ่มส่งเสริมให้มีการจัดการศึกษาท้ังวชิ า สามัญ โหราศาสตร์ ดาราศาสตร์ จริยศาสตร์ มีการตั้งโรงทานหลวงขึ้นในพระบรมมหาราชวัง เพื่อเป็นสถานที่ให้ การศึกษาสาหรับผู้ท่ีสนใจ ในสมัยพระบาทสมเด็จพระน่ังเกล้าเจ้าอยู่หัว ทรงส่งเสริมการศึกษาด้านศาสนาเป็น พิเศษ มีการจารึกวิชาความรู้สามัญและวชิ าชีพลงในแผน่ ศิลาประดับไวต้ ามระเบียงวัดพระเชนตุพนจนมีผู้กล่าววา่ เป็นมหาวิทยาลัยแห่งแรกของไทย มีการใช้หนังสือไทยชื่อ ประถม ก กา และประถมมาลา เป็นแบบเรียนเล่มที่ 2 และ 3 ต่อจากจินดามณี มีการนาวิวัฒนาการทางการแพทย์สมัยใหม่ เช่น การผ่าตัดเข้ามารักษาคนไข้ ตลอดจนมี การต้ังโรงพิมพ์หนังสือไทยเป็นครั้งแรกในปี พ.ศ. 2379 ต่อมาในรัชสมัยของพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้า เจ้าอยู่หวั ชาวยุโรปและอเมรกิ าเร่มิ เขา้ มาตดิ ต่อค้าขายและสอนศาสนาในไทย ทาให้มกี ารนาวิทยาการสมยั ใหม่เข้า มาปรับใช้ในเมืองไทยเพิ่มขึ้น นอกจากนี้พระองค์ยังทรงเล็งเห็นถึงความสาคัญของการศึกษาจึงทรงจ้างมิชชันนารี มาสอนหนังสือให้พระราชโอรสพระราชธิดาและพระบรมวงศานุวงศ์ จนรอบรู้และชานาญในภาษาอังกฤษเป็น อย่างดีลักษณะการจัดการศึกษาในสมัยน้ียังคงเน้นการจัดการศึกษาท่ีบ้านและวัด โดยมีหลักสูตรเก่ียวกับการอ่าน และเขียนภาษาไทยทั้งในด้านโคลง ฉันท์ กาพย์ กลอน โหราศาสตร์ ในส่วนวิชาชีพและวิชาสามัญมีการศึกษา เก่ยี วกบั ธรรมชาติวิทยาหรอื วิทยาศาสตร์ เพม่ิ เตมิ ขน้ึ มาตามลาดับ 2. ยคุ สมัยรัชกาลที่ 5 จนถงึ การเปลี่ยนแปลงการปกครอง พ.ศ. 2475 2.1 การศกึ ษาในรัชสมยั พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกลา้ เจ้าอยหู่ ัวฯ ลักษณะการศึกษาในช่วงนี้เร่ิมเป็นระบบแบบแผน แตย่ ังไม่เป็นมาตรฐานนัก นับเป็นช่วงท่ีการศึกษา เจริญรุ่งเรืองมากยุคหน่ึง ในรัชสมัยของพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว หลังจากที่พระองค์ทรงข้ึน

87 ครองราชยแ์ ล้ว กไ็ ดท้ รงปรบั ปรุงประเทศให้เจรญิ รงุ่ เรืองในทุกๆด้าน ท้ังในดา้ นการปกครอง การศาล การคมนาคม สาธารณสุข และโดยเฉพาะอย่างยิ่งด้านการศึกษา เน่อื งจากพระองค์ทรงตระหนักดวี ่า การปรับปรงุ คนในประเทศ ใหม้ ีความร้คู วามสามารถมสี ว่ นสาคญั ท่ีจะทาใหป้ ระเทศชาตมิ คี วามเจริญกา้ วหน้าในทุกๆ ดา้ น ดังนัน้ จึงไดม้ ีการจัด การศกึ ษาอย่างมรี ะเบียบแบบแผน (Formal Education) มีโครงการศกึ ษาชาติ มีการจดั ตัง้ โรงเรยี นสาหรับราษฎร ท่ัวไป อาทิเช่น ปรับปรุงโรงเรียนพระตาหนักสวนกุหลาบ ให้เป็นโรงเรียนนายทหารมหาดเล็ก สถาปนา มหาวิทยาลัยแหล่งแรกขึ้น คือ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย และตั้งโรงเรียนแพทย์ข้ึน เรียกว่า โรงเรียนแพทยากร ต้ังอยู่ที่ริมแม่น้าเจ้าพระยาหน้าโรงพยาบาลศิริราชใช้เป็นท่ีสอนวิชาแพทย์แผนปัจจุบัน นอกจากนี้ยังทรงจัดให้มี การเรียนการสอบไล่ และมที ุนเลา่ เรียนหลวงให้ไปศกึ ษาวิชา ณ ตา่ งประเทศ ซ่ึงปจั จยั ท่มี ผี ลในการปฏริ ูปการศกึ ษา ในรชั สมัยน้ี ได้แก่  การรบั เอาแนวคิดและวทิ ยากรต่างๆ ของชาตติ ะวันตกเข้ามาใช้ในไทย  ภัยคุกคามของประเทศมหาอานาจ  ความต้องการบุคคลท่ีมีความรู้ความสามารถ เข้ามารับราชการเนื่องจากมีการปรับปรุงและ ขยายงานในสว่ นราชการตา่ งๆ จึงจาเปน็ ตอ้ งจัดตงั้ โรงเรียนเพอ่ื สอนคนใหเ้ ข้ามารบั ราชการ  โครงสรา้ งของสังคมไทยท่เี ปล่ียนแปลง โดยมีการเลิกทาสและมีการตดิ ต่อกบั ตา่ งประเทศมาก ขึ้น วัฒนธรรมแบบอย่างตะวันตกได้แพร่หลายจึงจาเป็นต้องปรับปรุงการศึกษา เพ่ือให้ประชาชนได้รับการศึกษา เพิ่มขน้ึ  การเสด็จเยือนต่างประเทศทั้งในเอเชียและยุโรป ทาให้ได้แนวความคิดเพ่ือนามาปฏิรูป การศึกษาและใช้เปน็ แนวทางพัฒนาบา้ นเมอื ง 2.2 การศึกษาในรชั สมัยพระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกลา้ เจา้ อยู่หัว จากพระบรมราโชบายในการปกครองประเทศที่มุ่งเน้นการพัฒนาประเทศไทยให้เจริญก้าวหน้า ทัดเทียมนานาอารยประเทศ และการสร้างความรู้สึกชาตินิยมให้หมู่ประชาชนชาวไทย โดยมีสาระสาคัญของ อุดมการณ์ชาตินิยม คือ ความรักชาติ ความจงรักภักดีตอ่ พระมหากษัตริย์และความยึดม่ันในพุทธศาสนา หลังจาก ท่ีพระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่เสด็จกลับมาจากการศึกษาวิชาทหาร ณ ประเทศอังกฤษ พระองค์ได้ทรง นาเอาแบบอยา่ งและวิธีการทีเ่ ป็นประโยชน์มาใช้เปน็ หลักในการปรบั ปรุงการศกึ ษา เช่น ทรงนาเอาวิชาลกู เสือจาก ประเทศอังกฤษเข้ามาจัดต้ังกองเสือป่าและกองลูกเสือในประเทศไทยเพื่อปลูกฝังความรักชาติบ้านเมืองให้กับ เยาวชน พระองค์ทรงเป็นนักปราชญ์โดย ทรงแปลวรรณคดีต่างประเทศเป็นภาษาไทยและทรงนิพนธ์วรรณคดีไว้ หลายเรื่อง ประกอบกับผลอันเนื่องมาจากการจัดการศึกษาในรัชสมัยพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว เม่ือคนส่วนมากท่ีได้รับการศึกษามีความรูแ้ ละแนวคิดเก่ียวกับการปกครองประเทศในระบอบรัฐธรรมนูญในระบบ รฐั สภา จงึ มคี วามปรารถนาจะเปลี่ยนแปลงการปกครองไปเป็นระบอบประชาธิปไตย และปัญหาอนั เกดิ จากคนล้น

88 งานและคนท้ิงอาชีพและถนิ่ ฐานเดิมมุ่งที่จะหันเข้าสูอาชีพราชการมากเกินไป พระองค์จึงทรงจัดทาโครงการศึกษา พ.ศ. 2456 และฉบับแก้ไข พ.ศ. 2458 ข้ึนโดยมุ่งเน้นให้ประชาชนมีความรู้ทางด้านการทามาหาเล้ียงชีพ ตามอตั ภาพของตน พยายามท่จี ะเปล่ยี นค่านิยมของประชาชนไมใ่ ห้มุ่งทจ่ี ะเข้ารับราชการอย่างเดียว ปี พ.ศ. 2461 มกี ารปรบั ปรงุ และขยายฝึกหดั ครูขน้ึ โดยโอนกลับมาขึ้นกบั กระทรวงศกึ ษาธิการ ซง่ึ เดมิ เป็นแผนกหนึ่งของโรงเรียน ขา้ ราชการพลเรือน ปี พ.ศ. 2461 ประกาศใชพ้ ระราชบัญญัตโิ รงเรียนราษฏร์ ตอ่ มาในปี พ.ศ. 2464 มีการปรบั ปรุง โครงการศึกษาชาติ โดยวางโครงการศึกษาข้ึนใหม่เพื่อส่งเสริมให้ทามาหาเลี้ยงชีพ นอกเหนือจากการเข้ารับ ราชการ และได้ประกาศใช้พระราชบัญญตั ิประถมศึกษา ซ่งึ บงั คบั ให้เด็กทุกท่ีมีอายุ 7 ปี บรบิ รู ณห์ รอื ยา่ งเขา้ ปีที่ 8 ตอ้ งเข้ารับการศึกษาพื้นฐานจนอายุครบ 14 ปบี ริบูรณ์ โดยไม่ต้องเสียคา่ เล่าเรยี น และมีการเรียกเก็บเงินศึกษาพลี จากประชาชนคนละ 1-3 บาทเพือ่ นาไปใชจ้ า่ ยในการดาเนนิ การประถมศึกษา 2.3 การศึกษาในรชั สมัยพระบาทสมเด็จพระปกเกลา้ เจา้ อย่หู ัว ปัจจัยทีม่ อี ิทธพิ ลต่อการจัดการศึกษาในสมยั นี้ ได้แก่ (1) ปัญหาการเมืองท่ีเกิดข้ึนภายในประเทศ กล่าวคือ มีกลุ่มผู้ตื่นตัวทางการเมืองในกรุงเทพมหานคร เรียกร้องให้มีการเปลี่ยนแปลงทางเศรษฐกิจ สังคม และการเมือง มีการวิพากษ์วิจารณ์ระบอบสมบูรณาญาสิทธิราชย์ ปญั หาสบื เนือ่ งจากอิทธิพลจักรวรรดินยิ มตะวนั ตก ซึง่ ตกคา้ งมาตัง้ แต่รชั กาลกอ่ นๆ (2) ปัญหาสืบเน่ืองจากสภาวะเศรษฐกิจตกต่า ในระหว่าง พ.ศ. 2463 – พ.ศ. 2474 เศรษฐกิจของ ประเทศตกต่า จนเป็นเหตุให้รัฐบาลต้องตัดทอนรายจ่ายลง มีการยุบหน่วยงานและปลดข้าราชการออก สร้าง ความไมพ่ อใจให้กบั รัฐบาลระบอบสมบรู ณาญาสิทธริ าชย์ (3) ปัญหาสืบเนื่องจากการประกาศใช้กฎหมายการศึกษา คือพระราชบัญญัติประถมศึกษา ทาให้ การศกึ ษาแพร่หลายออกไป แต่ขาดความพรอ้ มทางดา้ นงบประมาณการศึกษา จากปัจจัยท่ีกล่าวมาข้างต้น ทาให้ในปี พ.ศ. 2473 ยกเลิกการเก็บเงินศึกษาพลี และใช้เงินจากกระทรวงพระ คลังมหาสมบตั ิอุดหนุนการศึกษาแทน ตอ่ มาในปี พ.ศ. 2474 มีการปรับปรงุ กระทรวงธรรมการ(กระทรวงศึกษาธิการ ใน ปัจจุบัน) เพื่อให้สอดคล้องกับภาวะเศรษฐกิจที่ตกต่าของประเทศ โดยยุบกรมสามัญศึกษาในตอนน้ัน กระทรวง ธรรมการจึงมีหน่วยงานเหลือเพียง 3 หน่วย คือ กองบัญชาการ กองตรวจการศึกษากรุงเทพฯ และกองสุขาภิบาล โรงเรียน 3. ยคุ หลังการเปลย่ี นแปลงการปกครอง พ.ศ. 2475 จนถงึ ปจั จุบนั ในช่วงนี้การศึกษาไทยมีการเปล่ียนแปลงมากท่ีสุดมีแผนการศึกษาชาติและการศึกษาแห่งชาติเกิดขึ้น หลายฉบับ ซึ่งในแต่ละแผนมีความสาคัญต่อการพัฒนาการศึกษาในแต่ละยุคแต่ละสมัย โดยทุกแผนระบุ จุดมุ่งหมายของการศึกษาเป็นลายลักษณ์อักษรไว้ชัดเจน และเปลี่ยนแปลงไปตามการเปลี่ยนแปลงด้านเศรษฐกิจ สังคม และการเมือง มีการจัดระบบการศึกษาตามแผนการศึกษาชาติฉบับท่ี 1 (พ.ศ. 2475) ถึงแผนการศึกษา

89 แห่งชาติ ฉบับปรับปรุง (พ.ศ. 2552 – 2559) ภายหลังท่ีได้มีการปฏิวัติเปลี่ยนแปลงการปกครอง พ.ศ. 2475 รัฐบาลในระบอบประชาธิปไตยแต่ละคณะ ต่างก็ได้พยายามทานุบารุงและพัฒนาการศึกษาตลอดมา และได้มีการ ประกาศใช้แผนการศึกษาแห่งชาติ เพื่อเป็นแนวทางในการพัฒนาด้านการศึกษาขึ้น นับแต่มีการเปล่ียนแปลงการ ปกครองมาไดม้ กี ารใชแ้ ผนการศึกษาแห่งชาตทิ ั้งหมด 9 แผน ดังน้ี 1. แผนการศึกษาชาติ พ.ศ. 2475 ในแผนการศึกษาฉบับน้ีเน้นให้การศึกษา 3 ส่วน คือจริยศึกษา เป็น การอบรมศีลธรรมอันดงี าม พุทธศิ กึ ษา ให้ปญั ญาความรู้ และพลศกึ ษา เป็นการฝึกหัดให้เป็นผมู้ รี า่ งกายสมบรู ณ์ 2. แผนการศึกษาชาติ พ.ศ.2479 สมัย พลเอก พระยาพหลพลพยุหเสนา (พจน์ พหลโยธิน) เป็น นายกรัฐมนตรีแผนการศึกษาฉบับนี้ได้ปรับปรุงมาจากแผน ปี พ.ศ.2475 เน่ืองจากว่าแผนการศึกษาฉบับ ปี 2475 นัน้ มรี ะยะเวลาในการศึกษาสามัญยาวเกินสมควร คอื ต้องเรยี นสายสามัญ 12 ปี และยังตอ้ งเขา้ เรียนต่อ สายวิสามัญอีก แผนการศึกษา 2479 น้ีกาหนดระยะเวลาของการเรียนช้นั ประถมศึกษาเพียง 4 ปี ทั้งน้ีเป็นเพราะ ต้องการเร่งรัดให้ประชาชนสาเร็จการศึกษาภาคบงั คับถึงก่ึงหนึ่งโดย เร็วโดยปรับปรุงให้เหมาะสมกับกาลสมัยมาก ข้ึน แตย่ ังคงเนน้ ใหก้ ารศกึ ษาทงั้ 3 ดา้ น 3. แผนการศึกษาชาติ พ.ศ.2494 สมัยจอมพล ป.พิบูลสงคราม เป็นนายกรัฐมนตรี ในแผนนี้ได้เพ่ิม หัตถกรรม คือ การฝึกหัดอาชีพและการประกอบอาชีพเข้ามาอีกรวมเป็น 4 ส่วน จึงเป็นองค์ส่ีแห่งการศึกษา คือ พุทธิศึกษา จริยศึกษา พลศึกษา และหัตถศึกษา (ได้อิทธิพลปรัชญาการศึกษาแบบอเมริกัน) และได้มีการ กล่าวถึงการศึกษาพิเศษและการศึกษาผู้ใหญ่ด้วย แผนการศึกษาฉบับน้ีได้ยกฐานะกองโรงเรียนประชาบาลในกรม สามัญศึกษาขึ้นเป็นกรมประชาศึกษา เพ่ือทาหน้าท่ีเก่ียวกับการศึกษาผู้ใหญ่และการศึกษาพิเศษ นอกจากน้ียังมี ความพยายามขยายการศกึ ษาภาคบงั คบั เป็น 7 ปีอกี ดว้ ย 4. แผนการศึกษาชาติ พ.ศ.2503 สมัยจอมพลสฤษดิ์ ธนะรัชต์ เป็นนายกรัฐมนตรี ได้นาเอาแผนการ ศึกษาชาติ พ.ศ.2494 มาปรับปรุงใหม่ เพื่อสนองความต้องการของสังคมและบุคคล ให้สอดคล้องกับการปกครอง ประเทศ แผนน้ีร่างโดยคณะกรรมการ 77 คนจากหลายสาขาอาชีพ โดยมีบคุ คลสาคญั คือ หมอ่ มหลวง ป่ิน มาลา กุล รัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาในขณะนั้นเปน็ ประธาน จากแผนฯน้ีได้ขยายการศึกษาภาคบังคับเป็น 7 ปี จัด เน้นให้การศึกษา 4 ส่วน และได้จัดระบบการศึกษา เป็น 7:3:2 (ประถม 7 ปี (ศึกษาภาคบังคับ) มัธยมต้น 3 ปี มัธยมปลาย 2 ปี) แผนนี้มอี ายกุ ารใชย้ าวนานทีส่ ดุ ถงึ 16 ปี 5. แผนการศึกษาชาติ พ.ศ.2512 สมัยจอมพลถนอม กิตติขจร เป็นนายกรัฐมนตรีพระบาทสมเด็จพระ ปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช มีพระบรมราชโองการโปรดเกล้าฯ ให้ประกาศว่า โดยท่ีเป็นการสมควรให้คณะ บุคคลหรือเอกชนได้มีส่วนร่วมในการให้การศึกษาแก่กุลบุตรกุลธิดาในระดับช้ันอุดมศึกษาได้ด้วย จึงจาเป็นต้อง แกไ้ ขเพิ่มเตมิ ความใน 23. แหง่ ประกาศเร่อื ง แผนการศกึ ษาแห่งชาตเิ สยี ใหม่ใหส้ อดคล้องด้วยวัตถุประสงค์ ดังวา่ น้ี จึงมีพระบรมราชโองการโปรดเกล้าฯให้ยกเลิกความใน 23. แห่งประกาศเร่ืองแผนการศึกษาแห่งชาติ ซึ่งประกาศ

90 ณ วันที่ 20 ตุลาคม พ.ศ. 2503 และให้ใชค้ วามต่อไปนี้แทน23. การจดั ให้มสี ถานศึกษานั้น รฐั ใชว้ ธิ ีแบ่งแรง คือ รัฐ จดั เองบ้างและสง่ เสริมให้คณะบคุ คลหรือเอกชนจดั บา้ ง”ทัง้ น้ี ตั้งแตว่ นั ท่ี 20 มกราคม พ.ศ. 2512 เป็นตน้ ไป 6. แผนการศึกษาชาติ พ.ศ.2520 สมัยพลเอกเกรียงศักดิ์ ชมะนันท์ เป็นนายกรัฐมนตรี ในแผนนี้ ต้องการปรบั ปรุงแผนการศกึ ษาใหส้ นองความต้องการและการเปลีย่ นแปลงใน สังคม เพ่อื สามารถอบรมพลเมืองให้ ตระหนักและเห็นคุณค่าของการปกครองในระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์เป็นประมุข จัดระบบ การศึกษาเป็น 6:3:3 โดยได้ลดชั้นประถมลง 1 ปี และเพ่ิมช้ันมัธยมปลาย 1 ปี เท่าระบบปัจจุบันแต่เวลาเรียนยัง เป็น 12 ปี ทง้ั น้ี แผนการศึกษาชาติพ.ศ.2520 ยงั ได้ให้ความสาคัญกับการศกึ ษานอกระบบโรงเรียนเปน็ พิเศษ อีก ด้วย และยงั ทาใหเ้ กิดการเปลยี่ นแปลงระบบบริหารประถมศกึ ษาคร้งั ใหญ่ 7. แผนการศึกษาแห่งชาติ พ.ศ.2535 ประกาศโดยนายอานันท์ ปันยารชุน นายกรัฐมนตรีในสมัย นั้น แผนนี้ได้ปรับปรุงมาจากแผนการศึกษา พ.ศ.2520 เพื่อให้ระบบการศึกษาสนองตอบความต้องการและความ เปลี่ยนแปลงท่ีเกิดขึ้นใน สังคมไทยอย่างรวดเร็ว และสร้างความสมดุลในการพัฒนาประเทศท้ังด้าน เศรษฐกิจ สังคม การเมอื ง วฒั นธรรม ส่งิ แวดลอ้ ม วิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี จดั การศกึ ษาในระบบ 6:3:3 โดยมุ่ง จดั การศกึ ษาท่ีเน้นการพัฒนาบุคคลใน 4 ด้านอย่างสมดลุ และกลมกลืนกัน คอื ดา้ นปัญญา ด้านจติ ใจ ดา้ นร่างกาย และดา้ นสังคม ตลอดจนมีความร้แู ละทกั ษะในการประกอบอาชพี และสามารถพึ่งตนเองได้ 8. แผนการศึกษาแห่งชาติ พ.ศ.2545-2559 สมัย พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร เป็นนายกรัฐมนตรีโดย สานกั งานคณะกรรมการการศึกษาแหง่ ชาติ สงั กัดสานักนายกรฐั มนตรี โดยมี ศ.ดร.สิปปนนท์ เกตุทตั เป็นประธาน อนกุ รรมการ เรื่องสาคัญทีค่ รทู กุ คนจาไดใ้ นแผนนี้ คือ สอนให้นกั เรยี น เกง่ ดี มสี ขุ 9. แผนการศึกษาแห่งชาติ ฉบับปรับปรุง พ.ศ. 2552-2559 สมัยนายอภิสิทธ์ิ เวชชาชีวะเป็น นายกรัฐมนตรีโดยมีนายจุรนิ ทร์ ลักษณวิศิษฏ์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาธกิ ารในขณะนัน้ เสนอแผนการศึกษา ซึ่งเป็นการปรับปรุงแผนการศึกษาแห่งชาติ พ.ศ. 2545-2559 ท่ีใช้มาแล้วครึ่งทางและยังเหลือระยะเวลาอีก กวา่ 7 ปี สาระสาคัญของแผนการศกึ ษาแหง่ ชาติ ฉบับปรบั ปรงุ (พ.ศ. 2552 — 2559) ปัจจุบันแม้สถานการณ์จะเปลี่ยนแปลงไปตามกระแสโลกาภิวัฒน์ แต่เนื่องจากแผนการศึกษาแห่งชาติ ฉบบั เดิม (พ.ศ. 2545 — 2559) น้นั เป็นแผนระยะยาวทส่ี อดคลอ้ งกบั พระราชบญั ญัติ (พ.ร.บ.) การศึกษาแหง่ ชาติ พ.ศ. 2542 จึงเห็นควรให้คงปรัชญาหลักเจตนารมณ์ และวัตถุประสงค์ของแผนฉบับเดิมไว้ แล้วปรับปรุงในส่วน ของนโยบาย เป้าหมาย และกรอบการดาเนินงาน ให้สอดคล้องกับสถานการณ์ท่ีเปล่ียนแปลงไป ซ่ึงสรุป สาระสาคัญได้ดงั นี้

91 ปรัชญาหลักและกรอบแนวคิด การจัดทาแผนการศึกษาแห่งชาติ ฉบับปรับปรุง (พ.ศ. 2552 — 2559) ยึดหลักปรัชญาของเศรษฐกิจ พอเพียง ยึดทางสายกลางอยบู่ นพื้นฐานของความสมดุลพอ ดี รู้จักพอประมาณ อย่างมีเหตุผล มีความรอบเท่าทนั โลก เพ่ือมุ่งให้เกิดการพัฒนาที่ย่ังยืนและความอยู่ดีมีสุขของคนไทย เกิดการบูรณาการแบบองค์รวมที่ ยึด “คน” เป็นศูนย์กลางของการพัฒนาอย่างมี “ดุลยภาพ” ท้ังด้านเศรษฐกิจ สังคม การเมือง สิ่งแวดล้อม เป็น แผนที่บูรณาการศาสนา ศิลปะ วัฒนธรรม และกีฬากับการศึกษาทุกระดับ รวมทั้งเช่ือมโยงการพัฒนาการศึกษา กับการพัฒนาด้านต่าง ๆ ทั้งด้านเศรษฐกิจ สังคม การเมือง การปกครอง วัฒนธรรม ส่ิงแวดล้อม วิทยาศาสตร์ และเทคโนโลยี เปน็ ต้น โดยคานึงถงึ การพัฒนาอยา่ งต่อเน่ืองตลอดชวี ติ เจตนารมณข์ องแผน แผนการศึกษาแหง่ ชาติมีเจตนารมณ์เพ่ือมุ่ง (1) พฒั นาชีวติ ใหเ้ ปน็ “มนษุ ย์ทีส่ มบูรณ์ท้ังทางรา่ งกาย จติ ใจ สติปัญญา ความรู้และคุณธรรม มีจริยธรรม และวัฒนธรรมในการดารงชีวิต สามารถอยู่ร่วมกับผู้อ่ืนได้อย่างมี ความสขุ ” และ (2) พฒั นาสังคมไทยให้เป็นสงั คมท่ีมีความเข้มแข็งและมีดลุ ยภาพใน 3 ด้าน คอื เปน็ สังคมคุณภาพ สังคมแห่งภูมิปัญญาและการเรียนรู้ และสังคมสมานฉันท์และเอื้ออาทรต่อกันเพ่ือให้บรรลุวัตถุประสงค์ทั้งสาม ประการดังกลา่ ว ประกอบกบั การคานึงถึงทิศทางการพฒั นาประเทศในอนาคตที่เนน้ การใช้ความรู้เป็นฐานของการ พฒั นาท้งั ดา้ นเศรษฐกิจ สังคม วฒั นธรรม ประชากรสิง่ แวดลอ้ ม วิทยาศาสตรแ์ ละเทคโนโลยี นอกจากนี้ ให้มีการจัดทากรอบทิศทางการพัฒนาการศึกษาในชว่ งระยะเวลา 5 ปี เพ่ือเป็นกรอบแนวทาง ในการพัฒนาการศึกษาในภาพรวม และแผนพัฒนาการศึกษาแต่ละระดับ/ประเภทการศึกษาที่สอดคล้องกับ แผนการศึกษาแห่งชาติและแผนพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ ได้แก่ แผนพัฒนาการศึกษาข้ันพ้ืนฐาน แผนพฒั นาการอาชีวศึกษา แผนพฒั นาการอุดมศกึ ษา เป็นต้น สรปุ ประเดน็ สาคญั ของพัฒนาการของระบบการศึกษาไทย ยุคสมัยหลังการเปล่ียนแปลงการปกครอง พ.ศ. 2475 จนถึงปัจจุบันจากรายละเอียดข้างต้น จะเห็นได้ว่า การจัดการศึกษาเริ่มมีรูปแบบท่ีเป็นระบบมากข้ึน เห็นได้จากการจัดทาแผนการศึกษาชาติ มีจานวนถึง 9 แผน ด้วยกัน ซึ่งในแต่ละแผนจะมีจุดเน้นท่ีต่างกันขึ้นอยู่กับองค์ประกอบและปัจจัยของแต่ละยุคแต่ละสมัย เช่น สมัย การเปล่ียนแปลงการปกครอง พ.ศ.2475 จะเน้นให้ผู้เรียนเกิดใน 3 ด้านประกอบด้วย เป็นคนดี มีปัญญา และ ร่างกายท่ีสมบูรณ์ และต่อมา ใน พ.ศ.2479 เริ่มมีการศึกษาภาคบังคับ 4 ปี และได้ขยายเป็น 7 ปี ในปี พ.ศ.2494 หลังจากน้ัน มีการพัฒนาระบบการจัดการศึกษาให้ทันต่อการเปลี่ยนแปลงของสังคมโลก ในสมัยหม่อมหลวง ป่ิน มาลากุล ดารงตาแหน่งรัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาธกิ าร ได้จัดระบบการศึกษาเป็น 7:3:2 ซึ่งต่อมามีการศึกษา ภาคบังคับ9 ปี จัดการศึกษา เป็นแบบ 6:3:3 คือการศึกษาภาคบังคับการศึกษาขั้นพ้ืนฐาน 9 ปี ประกอบด้วย การศกึ ษาระดับประถมศกึ ษา จานวน 6 ปี และระดบั มัธยมศกึ ษาตอนตน้ จานวน 3 ปี ทใ่ี ชอ้ ยใู่ นปัจจบุ นั


Like this book? You can publish your book online for free in a few minutes!
Create your own flipbook