Important Announcement
PubHTML5 Scheduled Server Maintenance on (GMT) Sunday, June 26th, 2:00 am - 8:00 am.
PubHTML5 site will be inoperative during the times indicated!

Home Explore ภาษาไทยเพื่อการสื่อสาร

ภาษาไทยเพื่อการสื่อสาร

Published by pimrapee21, 2018-01-30 23:46:34

Description: ภาษาไทยเพื่อการสื่อสาร

Search

Read the Text Version

วชิ าหลกั การใช้ภาษาไทย (TH 141)

คาอธิบายรายวชิ า ศึกษาหลกั การใชภ้ าษาไทยอยา่ งถูกตอ้ ง ฝึกทกั ษะในการฟัง พดู อ่าน เขียน อยา่ งมีศิลปะ รู้จกั การใชค้ าราชาศพั ท์ภาษากาย ภาษาพดู การอภิปรายในที่สาธารณะและในชีวติ ประจาวนั ใชถ้ อ้ ยคาแบบสุภาพชน เช่น ควบกล้าชดั ถอ้ ยชดั คาเขา้ ใจง่ายไดเ้ น้ือหาสาระ วเิ คราะห์ปฏิสมั พนั ธ์ระหวา่ งบุคคลการฟังอยา่ งมีสมาธิ จบั ประเดน็ และเกบ็ ความได้ เขียนจดบนั ทึกกรอกแบบฟอร์ม สงั่ การอยา่ งมีประสิทธิภาพ อ่านอยา่ งมีวจิ ารณญาณ เร็วไดส้ งั กปั

จุดมุ่งหมายรายวชิ า1. เพอ่ื ใหน้ กั ศึกษาใชท้ กั ษะการฟัง การพดู การอ่าน และการเขียนไดอ้ ยา่ งมีประสิทธิภาพ2. เพื่อใหน้ กั ศึกษาใชเ้ ป็นพ้นื ฐานในการศึกษาวชิ าภาษาไทยในระดบั สูงต่อไป3. เพอ่ื ใหน้ กั ศึกษาตระหนกั ถึงความสาคญั และสามารถใช้ภาษาไทยไดอ้ ยา่ งถูกตอ้ ง

สัปดาห์ที่ 1 ปฐมนิเทศแจง้ ใหน้ กั ศึกษาทราบถึงจุดมุ่งหมายรายวชิ า เน้ือหา กิจกรรมการเรียนการสอน การวดั การประเมินผล และทดสอบก่อนเรียน

สัปดาห์ที่ 2 เร่ืองความรู้พืน้ ฐานเกย่ี วกบั การใช้ภาษาไทย1. คาและสานวนไทย คา คือ หน่วยท่ีเลก็ ที่สุดท่ีมีความหมายในภาษา ภาษาไทยเป็นคาโดด เป็นคาท่ีมีความหมายสมบูรณ์โดยมิตอ้ งเปล่ียนแปลงรูปคา เม่ือเปล่งเสียง ออกมาหน่ึงคร้ังอาจมีพยางคเ์ ดียวหรือหลายพยางค์ สุภาษติ หมายถึง คากล่าวท่ีดี เป็นคาสอน/ ใหค้ ติเตือนใจตาม หลกั ความจริงที่มีคนรับรองยอมรับกนั โดยทว่ั ไปวา่ ถูกตอ้ งดีงาม เช่น กงเกวยี น กาเกวยี น

คาพงั เพย หมายถึง คาท่ีกล่าวเกินความจริง เปรียบเปรยเพอ่ื ตีความให้เขา้ กบั เรื่อง มีลกั ษณะสอนออ้ ม ๆ ไม่มีหลกั การหรือหลกั ความจริงท่ีแน่นอนมารองรับ เช่น ขี่ชา้ งจบั ตกั๊ แตน สานวน หมายถึง ถอ้ ยคาท่ีพดู ส้นั ๆ แต่ไดค้ วามหมายชดั เจนมีท้งัสานวนไทยเดิม และสานวนใหม่ เช่น ชิงดา กบในกะลา

2. การใช้คา มีหลกั การที่ควรคานึงถึง ดงั น้ี 1. การใช้คาตรงความหมาย จาแนกความหมายของคาในภาษาไทย ดงั น้ี* ความหมายโดยตรง คือ ความหมายแรกที่เกิดข้ึนเม่ือมีคาคาน้นั ใชเ้ ป็นความหมายท่ีทุกคนเขา้ ใจตรงกนั* ความหมายโดยนยั คือ ความหมายท่ีแฝงซ่อนอยู่ คาบางคาเม่ือไดอ้ ่านไดฟ้ ังแลว้ จะทาใหเ้ กิดความคิดเชื่อมโยงไปถึงส่ิงอ่ืน เกิดเป็นความหมายท่ีสองของคาคาน้นั

2. การใช้คาให้เหมาะสมกบั บริบท มีขอ้ ควรคานึงคือ* บริบทถอ้ ยคา หมายถึง ถอ้ ยคาที่อยแู่ วดลอ้ ม ควรเลือกใชค้ าท่ีสอดคลอ้ งกลมกลืนเป็นภาษาระดบั เดียวกนั* บริบททางสงั คม หมายถึง สถานภาพของบุคคล โอกาส สถานที่ ซ่ึงจะมีผลต่อระดบั ของภาษา

3. การใช้สานวน คานึงถึง 1. ใชใ้ หถ้ ูกตอ้ งเหมาะสม มีความเขา้ ใจในความหมายของสานวนอยา่ งชดั เจน 2. ใชส้ านวนไทย ภาษาของแต่ละชนชาติกม็ ีสานวนเป็นของตนเองซ่ึงผกู พนั อยกู่ บั วฒั นธรรมของสงั คมน้นั ๆ เขา้ ใจกนั ไดง้ ่ายกวา่ ที่จะใชส้ านวนจากภาษาต่างประเทศ 3. ไม่ใชส้ านวนอยา่ งพร่าเพร่ือ ควรใชใ้ หเ้ หมาะแก่โอกาส ไม่ใชส้ านวนที่อาจทาใหต้ ีความหมายผดิ แลว้ เกิดความเสียหาย

4. ประโยค ประโยค หมายถึง ส่วนประกอบท่ีเลก็ ที่สุดในภาษาซ่ึงมีเน้ือความสมบูรณ์ สามารถสื่อสารกนั ได้ โดยเกิดจากการเรียงคาหลายคาตามระบบระเบียบของภาษาน้นั ๆ ใหม้ ีเน้ือความสมบูรณ์เพ่ือใชส้ ื่อสารกนั ไดเ้ ขา้ ใจ โครงสร้างของประโยคภาคประธาน ภาคแสดงบทประธาน บทขยาย บทกริยา บทกรรม บทขยาย บทขยายประธาน กรรม กริยา

การเรียบเรียงประโยค พิจารณาจาก 1. ความชดั เจนของประโยค ประกอบดว้ ย ประโยคมีความสมบูรณ์มีการเรียงลาดบั คาในประโยคตามไวยากรณ์ภาษาไทย มีการเวน้ วรรคตอนเหมาะสม 2. ความกระชบั รัดกมุ ของประโยค ไม่ใชถ้ อ้ ยคาวกวน / มีความหมายซ้าซอ้ น หรือไม่มีกลุ่มคาท่ีไม่ส่ือความหมาย 3. ความสอดคลอ้ งกบั จุดมุ่งหมาย เช่น เพ่อื เนน้ ความสาคญั และสร้างความน่าสนใจ

4. การเรียบเรียงขอ้ ความ คานึงถึง การเรียบเรียงขอ้ ความใหส้ ละสลวยและการเรียบเรียงใหม้ ีน้าหนกั5. ย่อหน้า ย่อหน้า คือ การเรียบเรียงประโยคหลาย ๆ ประโยคเป็นเน้ือความตอนหน่ึง ๆ เพ่อื แสดงความคิดสาคญั อยา่ งใดอยา่ งหน่ึง ความยาวของหน่ึงยอ่ หนา้น้นั ไม่สามารถระบุไดแ้ น่นอน ข้ึนอยกู่ บั ใจความสาคญั ของยอ่ หนา้ น้นั

โครงสร้างของย่อหน้า ยอ่ หนา้ ประกอบดว้ ย ประโยคใจความสาคญัและประโยคพลความ ประโยคใจความสาคญั คือ ประโยคหลกั ของยอ่ หนา้ ซ่ึงรวบรวมความคิดของยอ่ หนา้ น้นั ไวท้ ้งั หมด ประโยคใจความสาคญั ที่ดีควรเนน้จุดประสงคข์ องผเู้ ขียนใหช้ ดั เจน เขา้ ใจไดท้ นั ที ไม่เขียนแบบกวา้ ง ๆ ประโยคพลความ / ประโยคขยายความ คือ ประโยคที่มาขยายใจความใหม้ ีรายละเอียดมากข้ึน ประโยคขยายความจะมีจานวนมากกวา่ ประโยคใจความ การบยายความทาไดห้ ลายลกั ษณะ เช่น การอธิบาย ยกตวั อยา่ ง

เล่าเรื่อง หรือแสดงเหตุผลประกอบ การขยายความท่ีดีตอ้ งไม่เบ่ียงเบนออกไปนอกประเดน็ หรือใจความสาคญั ยอ่ หนา้ ประเภทต่าง ๆ 1. ยอ่ หนา้ นาเร่ือง 2. ยอ่ หนา้ เช่ือมความ / ยอ่ หนา้ โยงความคิด 3. ยอ่ หนา้ เน้ือหา / ยอ่ หนา้ แสดงความคิดเห็น 4. ยอ่ หนา้ สรุป / ยอ่ หนา้ ลงทา้ ย

ลกั ษณะของยอ่ หนา้ ที่ดี 1. มีเอกภาพ คือ มีความเป็นอนั หน่ึงอนั เดียว ในหน่ึงยอ่ หนา้ มีใจความสาคญั ท่ีตอ้ งการนาเสนอเพยี งประเดน็ เดียว 2. มีสมั พนั ธภาพ คือ มีความต่อเนื่องสมั พนั ธ์กนั ของขอ้ ความในยอ่ หนา้จดั ระเบียบการนาเสนอส่ิงใดก่อนสิ่งใดหลงั อาจจดั ลาดบั ความคิดตามเวลาเหตุผล ความสาคญั บุคคล เหตุการณ์ และสถานท่ี และเมื่อมีหลายยอ่ หนา้ ตอ้ งคานึงถึงความสมั พนั ธ์ระหวา่ งยอ่ หนา้ ดว้ ย

3. มีสารัตถภาพ คือ การเนน้ ความสาคญั ยอ่ หนา้ ที่ดีควรเนน้ ขอ้ ความในยอ่ หนา้ ใหเ้ ด่นชดั เพื่อใหร้ ู้วา่ ขอ้ ความใดมีความสาคญั อาจใชว้ ธิ ีซ้าคาหรือกลุ่มคาเพือ่ ใหข้ อ้ ความน้นั มีน้าหนกั อาจวางไวต้ น้ หรือทา้ ยยอ่ หนา้ กจ็ ะช่วยเนน้ ความสาคญั ทาใหผ้ อู้ ่านจบั ประเดน็ ไดง้ ่ายข้ึน 4. มีความสมบูรณ์ คือ มีความสมบูรณ์ของเน้ือหา เมื่อไดก้ าหนดประโยคใจความสาคญั แลว้ ควรขยายความประโยตใจความสาคญั ใหม้ ีรายละเอียดครอบถว้ นตามใจความน้นั

แบบฝึ กหัด เร่ืองความรู้พืน้ ฐานเกย่ี วกบั การใช้ภาษาไทยใหน้ กั ศึกษาเขียนเรียงความ เร่ือง ประวตั ิของขา้ พเจา้ความยาว 2 หนา้ กระดาษ

สัปดาห์ที่ 3 เร่ืองการฟัง1. ความหมายของการฟัง การฟัง หมายถึง การท่ีมนุษยร์ ับรู้เรื่องราวต่าง ๆ จากแหล่งของเสียง และการมองเห็น ซ่ึงอาจหมายถึงฟังจากผพู้ ดู โดยตรง หรือฟังผพู้ ดู ผา่ นอุปกรณ์ช่วยบนั ทึกเสียงแบบต่าง ๆ โดยแหล่งของเสียงน้นั จะส่งเสียงผา่ นประสาทสมั ผสั ทางหู แลว้ ผฟู้ ังเกิดการรับรู้ความหมายของเสียงที่ไดย้ นิ จากน้นั นาความหมายของเสียงที่ไดย้ นิ ที่ไดร้ ับรู้น้นัไปพิจารณา ทาความเขา้ ใจกบั วตั ถุประสงคข์ องผพู้ ดู ประเมินค่าสารที่ไดจ้ ากการฟัง และสามารถนาสิ่งท่ีสงั เคราะห์ไดจ้ ากการฟังไปปฏิบตั ิใหเ้ กิดประโยชน์ต่อชีวติ ของตนได้

2. กระบวนการในการฟัง มี 5 ข้นั ตอน ดงั น้ี 1. ข้นั ไดย้ นิ เสียง เริ่มตน้ จากการไดย้ นิ เสียงจากแหล่งของเสียง ซ่ึงแพร่คล่ืนเสียงท่ีมีลกั ษณะเป็นคล่ืนไฟฟ้าผา่ นอากาศเขา้ มา ประสาทสมั ผสั ทางหูจะรับเสียงเหล่าน้ีผา่ นไปยงั สมอง 2. ข้นั รับรู้ เมื่อเสียงผา่ นเขา้ มาในสมองแลว้ สมองจะจาแนกเสียงออกไปตามลกั ษณะโครงสร้างทางไวยากรณ์ของภาษา หากเป็นเสียงท่ีผฟู้ ังรู้จกัจะเกิดการรับรู้ แต่ถา้ เป็นเสียงในภาษาที่ไม่รู้จกั เสียงท่ีผา่ นมาจะไม่เกิดความหมายใด ๆ

3. ข้นั เขา้ ใจ เม่ือสมองจาแนกเสียงที่ไดย้ นิ วา่ เป็นเสียงท่ีรู้จกั แลว้สมองจะพยายามทาความเขา้ ใจโดยการวิเคราะห์และตีความเสียงที่ไดย้ ินมาเป็นความหมายต่าง ๆ ตามความสามารถทางการใชภ้ าษาของผฟู้ ังแต่ละคน 4. ข้นั พิจารณา เม่ือสมองแปลเสียงท่ีไดย้ นิ ออกมาเป็นความหมายแลว้จะนาความหมายต่าง ๆ ท่ีไดม้ าพจิ ารณาโดยใชว้ ิจารณญาณวา่ สารที่ไดร้ ับน่าเช่ือหรือไม่ 5. ข้นั นาไปใช้ ผฟู้ ังจะนาความรู้ความเขา้ ใจที่ไดจ้ ากการฟังไปใชใ้ หเ้ กิดประโยชนต์ ่อตนเองต่อไป

3. ความสาคญั ของการฟัง การฟังเป็นทกั ษะการส่ือสารท่ีมนุษยใ์ ชม้ ากท่ีสุดในชีวิตประจาวนัการฟังเป็นเครื่องมือเรียนรู้สิ่งต่าง ๆ รอบตวั สง่ั สมความรู้สืบต่อกนั มาต้งั แต่อดีตจนถึงปัจจุบนั เป็นพฤติกรรมการใชภ้ าษาที่ช่วยใหม้ นุษยอ์ ยรู่ ่วมกนั อยา่ งเป็ นสุข นอกจากน้ียงั เป็นประโยชน์ต่อตนเองและสงั คม กล่าวคือ ช่วยใหผ้ ฟู้ ังเป็นคนมีความรู้ มีความคิดกวา้ งไกล สามารถปรับตวั กบั ผอู้ ื่นไดด้ ี ช่วยใหค้ นในสงั คมเกิดความเขา้ ใจ และความร่วมมือกนั ในสงั คม

4. จุดมุ่งหมายของการฟัง 1. ฟังเพอ่ื จบั ใจความสาคญั 2. ฟังเพอื่ จบั ใจความโดยละเอียด 3. ฟังเพ่ือแสดงเหตุผล 4. ฟังเพือ่ ใหเ้ กิดความซาบซ้ึง หรือสุนทรียะ 5. ฟังเพื่อส่งเสริมจินตนาการ และความคิดสร้างสรรค์

5. หลกั การฟัง 1. การฟังจับใจความ คือ การที่ผฟู้ ังเขา้ ใจเรื่องไดต้ รงตามวตั ถุประสงค์ของผพู้ ดู ผฟู้ ังสามารถสรุปสาระสาคญั /ความคิดรวบยอดของเร่ืองท่ีฟังได้แบ่งเป็น 2 ลกั ษณะ คือ (1.) การฟังเพอื่ จบั ใจความสาคญั (2.) การฟังเพ่ือจบั ใจความโดยละเอียด

2. การฟังอย่างมวี จิ ารณญาณ การฟังแบบน้ีจะเกิดข้ึนไดก้ ต็ ่อเมื่อผฟู้ ังสามารถจบั ใจความ /สาระสาคญั ของเรื่องท่ีฟังไดเ้ สียก่อน จึงนาขอ้ มูลน้นั มาไตร่ตรองใชว้ ิจารณญาณได้ การท่ีผฟู้ ังจะสามารถจบั ใจความของเร่ืองท่ีฟังได้ตอ้ งฟังอยา่ งต้งั ใจ เพื่อกลนั่ กรองประเดน็ สาคญั แยกจากประเดน็ สนบั สนุน ข้นั ตอนของการฟังอยา่ งมีวจิ ารณญาณ (1.) เตรียมตวั ฟัง (2.) มีความต้งั ใจขณะฟัง (3.) ฝึกประสาทในการจบั น้าเสียง

(4.) ละอคติในการฟัง(5.) รับฟังสารใหถ้ ่ีถว้ น(6.) จบั ประเดน็ ของเรื่องท่ีฟังใหไ้ ด้(7.) จาแนกขอ้ เทจ็ จริง ออกจากขอ้ คิดเห็น(8.) เพิ่มพนู ประสบการณ์เก่ียวกบั เรื่องที่ฟัง(9.) นาประเดน็ สาคญั จากการฟังไปใชว้ จิ ารณญาณไตร่ตรอง(10.) นาความรู้ที่ไดร้ ับไปใชป้ ระโยชน์ได้

6. หลกั การฟังทด่ี ี 1. ฟังอยา่ งมีจุดมุ่งหมาย 2. ฟังอยา่ งมีความพร้อมท้งั ทางร่างกาย จิตใจ และสติปัญญา 3. ฟังอยา่ งมีสมาธิ 4. ฟังอยา่ งกระตือรือร้น 5. ฟังอยา่ งไม่มีอคติ 6. ฟังในส่ิงที่ควรฟัง 7. ฟังอยา่ งมีวิจารณญาณ

7. ลกั ษณะของผู้ฟังทด่ี ี 1. ต้งั ปณิธานในการฟัง 2. ฟังอยา่ งต้งั ใจ และใชค้ วามคิด 3. ไม่แสดงกิริยาอาการไม่สนใจ หรือไม่ใหเ้ กียรติผพู้ ดู 4. ไม่พดู แทรก 5. ซกั ถามผพู้ ดู เพื่อใหเ้ กิดความเขา้ ใจท่ีตรงกนั 6. ผฟู้ ังควรมีเวลาทบทวนเร่ืองท่ีฟังใหต้ รงกบั ขอ้ เทจ็ จริง

8. มารยาทในการฟัง 1. มารยาทในการฟังสนทนา ผฟู้ ังควรฟังอยา่ งต้งั ใจ ไม่จอ้ งหนา้ ผพู้ ดูเกินไป สบตาบา้ งพอควร วางสีหนา้ เป็นปกติ รอโอกาสซกั ถามภายหลงั 2. มารยาทในการชมการแสดง ไม่ส่งเสียงรบกวนผอู้ ื่น ไม่เดินไปมาปรบมือใหเ้ กียรติผพู้ ดู 3. มารยาทในการฟัง อภปิ ราย หรือโต้วาที นง่ั ตามลาดบั ก่อนหลงัต้งั ใจฟังอยา่ งมีสมาธิ ไม่ลุกเขา้ ออกบ่อย ๆ เม่ือมีปัญหาควรรอโอกาสท่ีผบู้ รรยายเปิ ดโอกาสใหซ้ กั ถาม ควรปรบมือเม่ือพอใจในการพดู

4. มารยาทในการฟังประชุม เคารพประธานและฟังประธานพดู จนจบต้งั ใจฟังความคิดเห็นของผอู้ ่ืน ไม่พดู แทรก สนใจฟังการพดู อยา่ งจริงจงัไม่ทางานอ่ืน ควรฟังเรื่องท่ีกาลงั ประชุมอยตู่ ้งั แต่ตน้ จนจบเพื่อใหอ้ อกเสียงลงมติไดอ้ ยา่ งถูกตอ้ ง9. การฟังสารประเภทต่าง ๆ 1. สารประเภทใหค้ วามรู้ 2. สารประเภทโนม้ นา้ วใจ 3. สารประเภทจรรโลงใจ

10. ประสิทธิภาพในการฟัง 1. มีการเตรียมตวั ก่อนฟัง 2. เลือกท่ีนงั่ ใหเ้ หมาะสม 3. ฟังดว้ ยความต้งั ใจจริง 4. ฟังโดยมีปฏิกิริยาร่วมกบั ผพู้ ดู ดว้ ยความจริงใจ 5. รู้จกั ปรับตวั เขา้ กบั สภาพที่ผดิ ปกติ 6. รู้จกั จดบนั ทึกเรื่องท่ีฟังและนาไปใชป้ ระโยชน์

11. อปุ สรรคในการฟังและการปรับปรุงแก้ไข 1. การไม่ยอมรับฟังความคิดเห็นของผอู้ ื่น 2. การเลือกฟังแต่ขอ้ มูลท่ีตนเองพอใจ 3. การมีทศั นคติที่ไม่พึงประสงคต์ ่อการฟัง 4. การขาดสมาธิในการฟัง 5. ขาดความสามารถในการจบั ใจความสาคญั

แบบฝึ กหัดเร่ืองการฟังใหน้ กั ศึกษาเลือกฟังสารประเภทใหค้ วามรู้ แลว้ สรุปสาระสาคญั ท่ีไดร้ ับจากการฟัง

สัปดาห์ท่ี 4 - 5 เรื่องการอ่าน1. ความหมายของการอ่าน การอ่าน หมายถึง การดูใหเ้ ขา้ ใจ /สงั เกตพจิ ารณาดูใหเ้ ขา้ ใจ การอ่านหนงั สือ คือ การดูหนงั สืออยา่ งพินิจพิจารณา และตรึกตรองให้เขา้ ใจ ซ่ึงเป็นการรับสารอยา่ งหน่ึง โดยมีหนงั สือเป็นส่ือ

2. ความสาคญั ของการอ่าน 1. การอ่านเป็นเคร่ืองมือแสวงหาความรู้ 2. การอ่านช่วยสร้างความเพลิดเพลินบนั เทิงใจ 3. การอ่านช่วยทาใหม้ ีจิตใจดี /จรรโลงใจ 4. การอ่านช่วยพฒั นาบุคลิกภาพ ทาใหเ้ ป็นคนทนั สมยั ทนั เหตุการณ์ 5. การอ่านเป็นท่ีมาของอาชีพ และพฒั นาอาชีพ

3. จุดมุ่งหมายของการอ่าน 1. ดา้ นความรู้ 2. ดา้ นบนั เทิง 3. เพ่อื พฒั นาจิตใจ 4. เพ่ือคน้ หาคาตอบ

4. หลกั การอ่านหนังสือให้มปี ระสิทธิภาพ 1. รู้จกั เลือกอ่านหนงั สือ 2. รู้จกั กาหนดจุดมุ่งหมายของการอ่าน 3. รู้จกั สารวจหนงั สือ 4. รู้จกั เปรียบเทียบ 5. รู้จกั สร้างบรรยากาศการอ่าน 6. รู้จกั จดบนั ทึก

5. วธิ ีการอ่านหนังสือประเภทต่าง ๆ 1. การอ่านหนังสือประเภทให้ความรู้ ไดแ้ ก่ ตาราเรียน หนงั สืออ่านประกอบ หนงั สืออา้ งอิง การอ่านหนงั สือประเภทน้ีตอ้ งอ่านอยา่ งละเอียด ใช้ความคิดไตร่ตรอง เปรียบเทียบหลายเล่ม เลือกอ่านตามหวั ขอ้ หรือจุดประสงค์ของการอ่าน ควรอ่านก่อนเรียนหน่ึงรอบ และอ่านหลงั เรียนเป็นการทบทวนจะทาใหเ้ ขา้ ใจไดแ้ ตกฉานยง่ิ ข้ึน มีการบนั ทึกไวเ้ ตือนความจา และคน้ ควา้ ในโอกาสต่อไป

2. การอ่านหนังสือประเภทให้ข่าวสาร ไดแ้ ก่ หนงั สือพิมพ์ วารสารนิตยสาร จุลสาร กฤตภาค การอ่านหนงั สือประเภทน้ีตอ้ งอ่านเป็นประจา อ่านหลายเล่มเปรียบเทียบกนั อ่านอยา่ งมีวจิ ารณญาณ ใชส้ ติปัญญาไตร่ตรองอ่านอยา่ งวพิ ากษว์ ิจารณ์

3. การอ่านหนังสือประเภทให้ความบันเทงิ ไดแ้ ก่ นวนิยาย /เร่ืองส้นั อ่านโดยคานึงถึงแก่นเร่ือง โครงเร่ือง ตวั ละคร ฉากบทสนทนา คติขอ้ คิด วรรณคดี อ่านโดยการอ่านไปตีความไป อ่านหาความหมายจากบริบทอ่านวเิ คราะห์สารใหถ้ ี่ถว้ น อ่านไปพร้อมกบั จดบนั ทึก นิทาน อ่านโดยอ่านเพ่อื ความบนั เทิง และอ่านเพอ่ื หาสาระ

6. สัมฤทธิผลของการอ่าน สมั ฤทธิผลของการอ่านมีหลายระดบั ดงั น้ี 1. ทกั ษะการจบั ใจความ อ่านเพือ่ จบั ใจความสาคญั ของเร่ืองใหค้ รบถว้ นแยกแยะไดว้ า่ ส่วนใดคือใจความ ส่วนใดคือพลความ 2. การอ่านวเิ คราะห์ การอ่านท่ีสามารถแยกแยะส่วนประกอบของงานเขียนไดโ้ ดยละเอียด เช่น บอกที่มาของเร่ือง บอกเจตนาของผเู้ ขียน บอกอารมณ์ของผเู้ ขียน บอกทศั นคติของผเู้ ขียน บอกคุณค่าของงานเขียน บอกคุณค่าของการใชภ้ าษา และประเมินงานเขียนได้ เป็นตน้

แบบฝึ กหัดเร่ืองการอ่านใหน้ กั ศึกษาเลือกอ่านเรื่องส้นั ที่สนใจมา 1 เรื่อง แลว้ วิเคราะห์เร่ืองส้นั ในประเดน็ ดงั ต่อไปน้ี1. ชนิดของงานเขียน2. ตวั ละคร3. โครงเร่ือง4. แก่นเรื่อง5. ศิลปะการนาเสนอ6. จุดดี จุดดอ้ ย และประโยชน์ที่ไดร้ ับ

สัปดาห์ท่ี 6 เรื่องการเขยี น1. ความหมายของการเขยี น การเขียนเป็นการส่ือสารโดยอาศยั ตวั อกั ษร และเครื่องหมายต่าง ๆแทนเสียงพดู ซ่ึงส่ิงท่ีเป็นสารน้นั ไดแ้ ก่ ความนึกคิด คือ ความรู้ ความคิดจินตนาการ ประสบการณ์ ข่าวสาร กบั ความรู้สึก คือ ความรู้สึกทางจิตใจความรู้สึกทางกาย หรืออารมณ์ และผสั สะนน่ั เอง

2. ความสาคญั ของการเขยี น 1. เป็นเคร่ืองมือถ่ายทอดความคิดและความรู้สึก 2. เป็นเครื่องมือสืบทอดวฒั นธรรม 3. เป็นเคร่ืองมือกระจายข่าวสาร 4. เป็นส่ือเพ่อื ความบนั เทิง 5. เป็นเครื่องมือบนั ทึกเร่ืองราวต่าง ๆ 6. เป็นส่ือเพือ่ การงานอาชีพ

3. จุดมุ่งหมายของการเขยี น 1. เพื่อใหค้ วามรู้ ไดแ้ ก่ เขียนเพอ่ื เล่าเร่ือง เขียนเพ่อื อธิบาย เขียนเพอ่ื ทาข่าว เขียนเพ่อื บนั ทึก เขียนเพ่อื วเิ คราะห์วิจารณ์ 2. เขียนเพอ่ื ใหค้ วามบนั เทิง ไดแ้ ก่ เขียนเพื่อเล่าเรื่อง /เหตุการณ์ เขียนเพื่อแสดงจินตนาการ เขียนเพ่ือเฉพาะกิจบางอยา่ ง 3. เขียนเพือ่ โนม้ นา้ วใจ ไดแ้ ก่ เขียนเพ่อื โฆษณาประชาสมั พนั ธ์เขียนเพื่อปลุกใจ เขียนเพือ่ เสียดสี ลอ้ เลียน เขียนเพอื่ เสนอแนะ เขียนเพอ่ื แสดงความคิดเห็น เขียนเพือ่ สรรเสริญ สดุดี และสร้างไมตรี

4. เขยี นเพ่ือตดิ ต่อธุระการงาน ไดแ้ ก่ เขียนเพ่ือติดต่อธุระ เขียนเพอ่ื ทาขอ้ ตกลง เขียนเพื่อขอความช่วยเหลือ4. ประเภทของงานเขยี น 1. งานเขยี นร้อยแก้ว คือ งานเขียนท่ีใชภ้ าษาธรรมดา ไม่บงั คบั สมั ผสัคลอ้ งจอง /ลกั ษณะเสียง แต่มีบงั คบั รูปแบบ หรือแบบฟอร์มตามชนิด ไดแ้ ก่เรียงความ บทความ สารคดี นวนิยาย เร่ืองส้นั จดหมาย บนั ทึก รายงานบทละคร

2. งานเขยี นร้อยกรอง คือ งานเขียนท่ีมีการบงั คบั รูปแบบการเขียนตายตวั ท้งั ในดา้ นจานวนคา ระดบั เสียง การสมั ผสั ส่วนใหญ่เป็นงานเขียนเพื่อการขบั ร้องมาแต่โบราณ ไดแ้ ก่ กลอน กาพย์ โคลง ฉนั ท์ ร่าย บทเพลง5. หลกั การเขียนโดยทั่วไป 1. เขียนใหช้ ดั เจน 2. เขียนใหถ้ ูกตอ้ ง 3. เขียนอยา่ งประณีต 4. มีความรับผดิ ชอบ

6. ลกั ษณะการเขยี นทดี่ ี 1. เน้ือเร่ืองดี คือ มีประโยชนต์ ่อผอู้ ่าน มีความน่าเชื่อถือ สร้างสรรค์ทนั สมยั มีความถูกตอ้ ง ลาดบั เรื่องดี 2. ภาษาดี คือ มีความถูกตอ้ ง เขียนถูกอกั ขรวิธี ใชค้ าเหมาะสมถูกตอ้ งตรงตามความหมาย ใชส้ านวนถูกตอ้ ง ใชค้ าถูกตอ้ งตามระดบั ใชภ้ าษาไดช้ ดั เจนไม่กากวม มีความสละสลวย ใชภ้ าษาเหมาะกบั ชนิดของงานเขียนและบุคคล

7. ข้นั ตอนของการเขยี น 1. กาหนดสิ่งท่ีตอ้ งการนาเสนอ 2. ต้งั ชื่อเร่ือง 3. ต้งั จุดมุ่งหมาย และกาหนดขอบเขต 4. คน้ ควา้ รวบรวมขอ้ มูล 5. วางโครงเรื่อง 6. เตรียมถอ้ ยคาสานวน 7. เขียน หรือเรียบเรียง

8. ลกั ษณะของย่อหน้าทีด่ ี 1. มีเอกภาพ คือ ในหน่ึงยอ่ หนา้ มีใจความสาคญั เพียงใจความเดียว 2. มีสมั พนั ธภาพ คือ การเรียบเรียงประโยค หรือลาดบั ความในยอ่ หนา้ใหเ้ หมาะสม เช่ือมโยงตามกาลเทศะ ตามความสมั พนั ธ์ หรือลาดบั ความสาคญั 3. มีสารัตถภาพ คือ เขียนใจความสาคญั ใหเ้ ด่นชดั ผอู้ ่านจบั ใจความไดง้ ่าย เน้ือหาใจความมีคุณค่า

9. ศิลปะการสร้างย่อหน้า ในการเขียนน้นั ผเู้ ขียนตอ้ งสร้างยอ่ หนา้ ข้ึนมาทาหนา้ ที่หลายอยา่ ง เช่น 1. ยอ่ หนา้ นาความคิด คือ ยอ่ หนา้ เกร่ินนา ใหผ้ อู้ ่านมีพ้ืนความรู้ไปสู่เรื่องท่ีนาเสนอ เรียกวา่ คานา 2. ยอ่ หนา้ ใจความ คือ ยอ่ หนา้ หลกั ท่ีผเู้ ขียนตอ้ งการใหผ้ อู้ ่านรับรู้ เป็นสาระสาคญั ของเร่ือง 3. ยอ่ หนา้ โยงความคิด คือ ยอ่ หนา้ ที่ทาหนา้ ท่ีเช่ือมโยงจากประเดน็ หน่ึงไปสู่ประเดน็ ใหม่เพ่อื ใหก้ ลมกลืนกนั


Like this book? You can publish your book online for free in a few minutes!
Create your own flipbook