พศนิ อนิ ทรวงค์ หากเสิร์ชชื่อของ พศิน อินทรวงค์ จะปรากฏเรื่องราว บทสัมภาษณ์ ผลงานของเขาอยู่จ�ำนวนหนึ่งบนหน้าเว็บเสิร์ชเอนจิน ข้อมูลจ�ำนวน หนึ่งบอกว่าเขาคืออดีตนักแต่งเพลงแห่งค่ายเพลงยักษ์ใหญ่ มีผลงาน ติดหูคนท่ัวไปอยู่จ�ำนวนหน่ึง ข้อมูลอีกจ�ำนวนหนึ่งบอกว่า เขาคือนัก คิด นักเขียน และวิทยากรเกี่ยวกับการพัฒนาตัวเอง โดยใช้หลักการ ส�ำรวจโลกภายใน ผลงานเขียนของเขามมี ากกวา่ 30 เลม่ ชื่อหนงั สือท่ี คนุ้ ตาคอื สมถะเทา้ ขวา วปิ สั สนาเทา้ ซา้ ย, ตตี ว๋ั ดตู วั ตน, อำ� นาจพลงั จติ , พระพุทธเจา้ สอนเศรษฐี และอืน่ ๆ — 351 —
ความน่าสนใจในตัวเขาท่ีปรากฏในบทสัมภาษณ์หลายช้ิน เก่ียวกบั ชีวิตวยั เด็ก พศนิ มกั เลา่ อยา่ งตดิ ตลก แตน่ น่ั คอื ข้อเทจ็ จริงที่ถอื วา่ เปน็ ‘ตวั ตน’ หรอื ‘สารตง้ั ตน้ ’ ทีท่ ำ� ใหเ้ ขาเปน็ เขาใน วนั นวี้ า่ เขาเคยเปน็ คนสดุ โตง่ ไมย่ นื ตรงกลาง ถา้ ขน้ึ สดุ ตอ้ งลงสดุ ถา้ เทไปฝง่ั ขวา อกี ขา้ งของเสน้ ทางเดยี วกนั ตอ้ งเปน็ รมิ ขอบฝง่ั ซา้ ย เชน่ เขาเคยสอบได้เกรด 4 เจด็ วิชารวด อกี เจ็ดวชิ าทเี่ หลอื ได้เกรด 0 เคยมาโรงเรียนเช้าที่สุดในโรงเรียนตอนมัธยมต้น มัธยมปลายจงึ มาสายทีส่ ดุ ในโรงเรยี น แต่ที่ท�ำให้พศินแตกต่าง อย่างน้อยก็เปลี่ยนเส้นทางจาก นกั แตง่ เพลงมากความสามารถ กลบั มาทำ� งานดา้ นความคดิ โดย เฉพาะพฒั นาตัวเองจากภายใน จุดหักเหในชวี ิต หรือ Turning point ของเขาอาจไมห่ วอื หวา ไมไ่ ดเ้ ปลย่ี นแปลงเพราะเหตกุ ารณ์ ภายนอก แต่อาจเพราะนิสัยนักส�ำรวจ และมักตั้งข้อสังเกตกับ ความคดิ ของตวั เองตง้ั แตเ่ ด็กอยูแ่ ล้ว อยา่ งที่เขาให้สัมภาษณ์ใน รายการ รายการเจาะใจ (เทปวนั ท่ี 13 ม.ค. 61) วา่ เช่น เวลาท่ี เหงา โกรธ นอ้ ยใจ ท่ีมาของความรู้สึกนน้ั คืออะไร เหงาเพราะ เหงา โกรธเพราะโกรธ หรอื เพราะกลัว? นอกจากนนั้ อาจเพราะใชช้ วี ติ อยกู่ บั คณุ พอ่ ทเ่ี ปน็ สถาปนกิ แต่สนใจธรรมะ อาศัยในบ้านท่ีเต็มไปด้วยหนังสือหลากหลาย ประเภท ประกอบกับชีวิตวัยเด็กที่ถูกส่งให้เข้าเรียนในโรงเรียน ที่อิงกับศาสนาท้ัง 3 ศาสนา คือ ซิกข์ พุทธ และคริสต์ เร่ิม ท่ี โรงเรียนซิกข์วิทยาลัย ในชั้นประถมศึกษา โรงเรียนมัธยม ดา่ นสำ� โรง ในชนั้ มธั ยมตน้ และโรงเรยี นอสั สมั ชญั สมทุ รปราการ ในช้ันมธั ยมปลาย — 352 —
ทั้งหมดนี้อาจท�ำให้เขาลาออกจากอาชีพนักแต่งเพลง ไม่ได้สานต่อธุรกิจที่ตัวเองตั้งต้นไว้ อย่างบริษัทรับผลิตสื่อ ประชาสัมพันธ์ด้านดนตรี เพื่อมาท�ำงานเขียนและวิทยากร เฉพาะด้านการพฒั นาตัวเองอยา่ งจรงิ จัง “มนุษย์ต้องการความสุข ที่จริงส่ิงมีชีวิตทุกชนิดก็ต้องการ ความสขุ ถา้ เทวดามจี รงิ เทวดากต็ อ้ งการความสขุ ผมคดิ วา่ การ ตน่ื รเู้ ปน็ หนทางทเี่ ราจะไดพ้ บกบั ความสขุ อยา่ งแทจ้ รงิ การตนื่ รู้ จงึ เปน็ เรอื่ งของทกุ คน แมแ้ ต่ผทู้ ีไ่ มส่ นใจเรอ่ื งราวของการตืน่ รูก้ ็ ยงั เป็นเรอ่ื งของพวกเขาด้วย รา่ งกายของเราตอ้ งการอากาศ ไม่ ตา่ งอะไรกบั จติ ใจทต่ี อ้ งการความสขุ ใครทต่ี อ้ งการความสขุ การ ต่ืนรกู้ ็เปน็ สง่ิ จ�ำเปน็ ส�ำหรับเขาท้งั นัน้ ” นิยามของ ‘การตน่ื ร้’ู ของคุณคอื อะไร อาจยกตัวอย่างเรอื่ ง ‘สงั คมชาวนำ้� แข็ง’ มีน้�ำแข็งก่อนหน่ึงเกิดขึ้นมา แต่ก่อนหน้าท่ีมันจะเกิด โลก นก้ี ม็ นี ำ�้ แขง็ อยหู่ ลายกอ้ นแลว้ สงั คมของนำ�้ แขง็ มคี ำ� สงั่ สอนจาก รนุ่ สรู่ นุ่ วา่ “ถา้ อยากเปน็ นำ�้ แขง็ ทยี่ ง่ิ ใหญ่ จงขยบั ขยายตนเองให้ กลายเป็นน้�ำแข็งก้อนใหญ่ที่สุด” วัฒนธรรมแห่งความย่ิงใหญ่ ของชาวน�้ำแข็งจึงเป็นวัฒนธรรมท่ีพอกตนเองให้ใหญ่โตข้ึน เรื่อยๆ ใครเป็นนำ้� แขง็ ก้อนใหญก่ ว่าผนู้ ัน้ ชนะ อยมู่ าวนั หนงึ่ มีน�้ำแข็งกอ่ นหน่ึงที่คดิ ต่าง น้�ำแขง็ ผู้มคี วาม เป็นตัวของตัวเองคิดว่า ถ้าเราอยากเป็นน�้ำแข็งที่กว้างใหญ่ ไพศาล เหตุใดต้องขยับขยายตัวเองดว้ ยเลา่ เรากล็ ะลายตนเอง — 353 —
เพื่อหลอมรวมกับมหาสมุทรไม่ดีกว่าหรือ เพราะเม่ือเราหลอม รวมตัวเองกับมหาสมุทร จากน้�ำแข็งก้อนเล็กๆ ก็จะกลายเป็น แผน่ นำ้� ทรี่ วมกบั ผนื ดนิ กลายเปน็ โลก เปน็ จกั รวาล เปน็ สรรพสงิ่ น่ตี า่ งหากเป้าหมายที่แท้จริงของน้�ำแข็งอย่างเรา ไม่แนใ่ จวา่ ผดิ หรอื ถกู แต่คดิ ว่านี่คือความหมายการ ‘ตืน่ ร’ู้ ของผม คนเราจะตน่ื ร้ไู ปเพือ่ อะไร ผู้ตื่นรู้คือผู้เบิกบาน เป็นผู้ที่สมบูรณ์ด้วยตนเอง คล้าย ดอกไม้ผลิบาน การผลิบานของดอกไม้ทำ� ให้โลกสวยงามนา่ อยู่ สงบเยน็ เป็นความรืน่ รมยข์ องโลก คณุ เคยเขา้ ใกลภ้ าวะ ‘การต่นื ร’ู้ ท่วี า่ รึเปล่า ถ้าเคย มรี ูป รา่ งหน้าตาแบบไหน ถ้าไม่ ภาวะที่คณุ เปน็ อยู่คืออะไร ผมไม่ได้เป็นพระอรหันต์ จึงเล่าภาวะชัดเจนเช่นน้ันไม่ได้ วา่ การตนื่ รทู้ วี่ า่ มลี ลี าทางอารมณว์ ญิ ญาณอยา่ งไร ผมเพยี งเปน็ คนหนงึ่ ทมี่ คี วามพอใจในชวี ติ ทเี่ ปน็ อยู่ ไมไ่ ดก้ ลวั อนาคตมากนกั เพราะหม่ันพจิ ารณาถงึ ความไม่แนน่ อนของอะไรๆ อยเู่ สมอ ทุกเช้าผมตื่นมาเพียงพบว่า อากาศสดใส ท้องฟ้าสวยดี ไดย้ นิ เสยี งนกรอ้ ง ตนื่ มากเ็ ดนิ ไปรดนำ�้ ในสวน บางวนั ขยนั หนอ่ ย กเ็ ดนิ ไปซอื้ กาแฟในตลาด ถา้ วนั ไหนไมม่ งี านบรรยายผมจะเขยี น — 354 —
หนงั สอื อยทู่ บี่ า้ น อา่ นและดอู ะไรไปตามเรอื่ ง คยุ เรอ่ื งตลกขบขนั กับคนในครอบครัว บางคร้ังผมรู้สึกว่าชีวิตสั้นแต่ยาว บางครั้ง ผมอยากนึกอยากตายเรว็ ๆ อยากรูว้ า่ เวลาท่คี นเราตายจะรสู้ ึก อย่างไร ระหว่างรอตายก็ใชช้ วี ติ ไปพลางๆ คงมแี ตผ่ มเท่านนั้ ท่ี เห็นวา่ สงิ่ เหลา่ นค้ี อื ความพเิ ศษอันหาทสี่ ดุ ไม่ได้ ไดเ้ รยี นรู้อะไรจากความ ‘พิเศษ’ ทว่ี า่ น้นั ความเบกิ บานและจิตเมตตา ขดั เกลาความเลวร้ายของตัว เอง ทำ� ใหผ้ มและคนรอบขา้ งเบาสบาย เมอ่ื อตั ตาเรานอ้ ยลง เรา กเ็ ข้าใจผอู้ ่ืนงา่ ยข้นึ สรา้ งปัญหาให้ผู้อน่ื น้อยลง มนุษยท์ ุกคนจะได้เรียนรู้ความ ‘พเิ ศษ’ ทีว่ า่ น้นั ไหม มนุษย์ทุกคนล้วนเคยผ่านประสบการณ์ตื่นรู้มาแล้วทั้งนั้น ในวยั เดก็ และมนั ยงั ปรากฏขน้ึ เสมอๆ ผา่ นการใชช้ วี ติ ดว้ ยสมาธิ และความเมตตา เพยี งแตภ่ าวะนย้ี งั ไมไ่ ดถ้ กู พฒั นาใหก้ ลายเปน็ ภาวะทีเ่ สถียรจนคงอยู่กบั เราตลอดไปเทา่ น้นั อุปสรรคส�ำคัญ หรืออะไรที่ท�ำให้เราไม่พัฒนาภาวะของ การตน่ื จนเสถยี ร ความกลัว กลัวความไม่แน่นอน ไม่ไว้วางใจในธรรมชาติ เมอื่ เกดิ ความกลวั จงึ เกดิ ความอยาก ความตอ้ งการ ความอยาก — 355 —
ทง้ั ปวงนมี้ เี พอื่ ปกปอ้ งตนเองจากความไมม่ นั่ คงเทา่ นนั้ ถา้ ไมม่ งุ่ ทำ� ความเขา้ ใจกบั ความไมแ่ นน่ อน ภาวะตน่ื รกู้ เ็ กดิ ขนึ้ ไดย้ าก แม้ มคี วามเขา้ ใจและวางทา่ ทเี ปน็ มติ รกบั ความไมแ่ นน่ อนแลว้ ความ อยากมี อยากได้ อยากเปน็ จะลดลงโดยไมต่ อ้ งทำ� สงครามกบั ตวั เอง ภาวะตัณหาท่มี ีอย่ใู นตนจะลดลงอยา่ งเปน็ ธรรมชาติ เมื่อจิตใจสงบเย็นมากขึ้น ความสงบนี้จะส่งผลเป็นความ เมตตา คลา้ ยวา่ เม่อื ต้นไม้เติบโตก็ได้ร่มเงา ร่มเงานัน้ คือผลจาก การทีต่ น้ ไมโ้ ต มดี อก มผี ล มกี ง่ิ ก้าน ใบ ด้วยการววิ ฒั นาการ ของตน้ ไม้ บคุ คลทตี่ อ้ งการเดนิ ทางภายในจงึ ตอ้ งเรยี นรใู้ หไ้ ดว้ า่ ความเปล่ียนแปลงคือสิ่งธรรมดาสามัญ เราจะส่งต่อ ‘การตื่นเพื่อรู้’ ให้คนอ่ืนหรือท�ำให้เกิดใน สังคมไดไ้ หม ผมคิดว่าการต่ืนเป็นเรื่องของปัจเจกไม่ใช่เร่ืองของสังคม เราไม่มีวันทำ� ให้คนท้ังหมดตื่นรู้ข้ึนมาได้พร้อมๆ กัน กฎหมาย อาจรักษาได้เมื่อคนมีส�ำนึกมากพอ แต่การตื่นรู้เป็นเรื่องของ วญิ ญาณภายในทเ่ี จ้าตวั ตอ้ งแสวงหาเอง อยา่ งไรกต็ าม เมอื่ คนคนหนงึ่ ตน่ื รู้ แมย้ งั ไมใ่ ชภ่ าวะทม่ี นั่ คง เสถยี ร แตช่ วี ติ ของเขายอ่ มเปน็ ประโยชนต์ อ่ ผคู้ นและโลกไปโดย ปริยาย — 356 —
เรมิ่ อย่างไรดี จดุ ไฟใหต้ นเองกอ่ น แสงสวา่ งจากไฟทเี่ ราจดุ ขน้ึ จะสง่ ไปถงึ ผอู้ น่ื ไดโ้ ดยธรรมชาติ ถามตวั เองวา่ มคี วามสขุ ดไี หม ถา้ พบวา่ ยงั มคี วามทกุ ขอ์ ยู่ ใหห้ าเหตแุ หง่ ความทกุ ข์ หาทางแกไ้ ข ลงมอื แกไ้ ข แลว้ จะได้รบั ผลแหง่ การแก้ไขเป็นความดบั ทุกข์ สุดท้ายน้ี มีอะไรท่อี ยากฝากถึงผูอ้ า่ นไหม แนะน�ำว่าให้มองท้องฟ้าและฝ่ามือตัวเองบ่อยๆ มองมัน ราวกบั เปน็ สงิ่ อศั จรรย์ เปน็ ไปไดอ้ ยา่ งไรทฟี่ า้ อยบู่ นหวั เราตลอด เวลา แต่เราไม่เคยเห็นเมฆเคล่ือนผ่าน ฝ่ามือที่อยู่ใกล้ชิดเรา ทสี่ ดุ แตเ่ รากลบั ไมเ่ คยเหน็ วา่ ลายมอื ตวั เองเปลย่ี นแปลงไปแลว้ มากน้อยแคไ่ หน — 357 —
เป็นแม่ จงึ ค้นพบ — 358 —
เมยล์ ภสั บญุ สทิ ธว์ิ จิ ติ ร จากชีวิตท่ีเติบโตมาด้วยความสงสัยในความหมายของชีวิต บนเส้นทางแห่งการ เรียนรู้ต่อเนื่องตลอดหลายปีน�ำพาให้ เมย์ลภัส บุญสิทธ์ิวิจิตร หรือ มิล ได้ก้าวมา สู่บทบาทหน้าท่ีของเธอในฐานะของผู้อ�ำนวยการบริหารธุรกิจโค้ชช่ิง โค้ชผู้บริหาร ในองค์กรต่างๆ และจัดกระบวนการพัฒนาภาวะผู้น�ำแบบกลุ่ม โดยใช้หลักการของ Transformative Learning และ Contemplative Education (จิตตปัญญาศกึ ษา) และอกี สิง่ หนึง่ ท่ีเธอรกั และทำ� ด้วยใจ คอื การจัด Workshop ส�ำหรบั พอ่ แม่ ให้พอ่ แม่เกดิ ความ ตระหนักรู้ในตนเอง เข้าใจธรรมชาตขิ องชีวิต และมคี วามสัมพนั ธ์ท่ีสอดคลอ้ งสมดลุ ใน ครอบครวั รวมถึง งานจติ อาสา จัดกระบวนการเรียนร้ทู ่ีเน้นการพฒั นาด้านใน ให้กบั ผู้ ประกอบการเพอื่ สงั คม และองคก์ รทมี่ งุ่ ชว่ ยเหลอื ผดู้ อ้ ยโอกาสในสงั คม กวา่ จะมชี วี ติ ใน แบบวนั น้ี มลิ เจอกบั อะไร เรยี นรอู้ ะไร เรามาลองทบทวนเสน้ ทางแหง่ การตนื่ รขู้ องเธอกนั — 359 —
จดุ เปลย่ี นที่เกิดจากความเป็นแม่ สบิ หา้ ปกี อ่ น ดฉิ นั ไดร้ บั ตำ� แหนง่ อนั ทรงเกยี รตขิ องชวี ติ ‘แม’่ ผู้ทถี่ ูกคาดหวังวา่ จะเป็นผนู้ �ำชวี ติ ลูก จากผู้หญงิ ทำ� งานธรรมดา คนหน่ึง ดิฉันได้ก้าวสู่บทบาทความเป็นแม่เต็มตัว ดิฉันพบว่า งานแห่งความเป็นแม่นี้แตกต่างจากงานทั่วไป เพราะงานของ แม่ไม่มีสูตรส�ำเร็จ การศึกษาเล่าเรียนมีปริญญาเป็นเครื่องช้ีวัด ความรู้ แตก่ ารศกึ ษาความเปน็ แม่น้ัน ไมม่ ใี บปริญญาหรือไม่มี สถาบันใดจะวัดระดับผลงานของแม่ เพราะผลงานของแม่น้ัน คอื ลกู ท้ังชวี ติ แม้วา่ จะมตี �ำรามากมายในการเล้ียงดูลกู อธิบาย ต้งั แต่การดูแลอาหาร พฒั นาการพลิกตวั นั่ง ยืน เดนิ มุ่งหวังให้ แมด่ แู ลลูกใหส้ มวยั แต่ดิฉันกพ็ บข้อจำ� กดั ในชีวติ ประจำ� วันท่ีไม่ เออ้ื ต่อพฒั นาการตามทฤษฎี แม้ว่านักจิตวิทยาจะแนะน�ำแนวทางพูดคุยปฏิบัติกับลูก แต่มนุษย์น้ันแตกต่างหลากหลายจนไม่อาจน�ำวิธีการใดวิธีการ หนึ่งมาใช้ได้ สงั คมคาดหวังให้แม่อบรมบม่ นิสยั ลูกประพฤติตน ให้เหมาะสม แต่กลับไม่มีระบบเพียงพอจะเอ้ือให้แม่ได้เรียนรู้ พัฒนาตนเอง บ่อยครั้งที่แม่กลับต้องประสบกับความกดดัน เพียงลำ� พังจากความคาดหวงั ให้ลูกไดด้ ี — 360 —
เม่ือดิฉันประสบกับงานท่ีไม่มีระบบ ไม่มีหลักสูตร ไม่มี เคร่ืองชี้วัด ดิฉันรู้สึกเคว้ง ไม่ม่ันใจ สงสัยในตัวเอง การศึกษา ต�ำราจิตวิทยาการเลี้ยงลูก พัฒนาการเด็ก หรือแม้แต่ปรัชญา การศกึ ษา ทำ� ใหด้ ฉิ นั มคี วามรมู้ ากขนึ้ แตก่ พ็ บวา่ ยง่ิ มคี วามรมู้ าก เทา่ ใด ความสบั สนกย็ ิ่งทวีขน้ึ เทา่ นัน้ “ฉันจะเป็นแม่ที่ดีได้อย่างไร อย่างไรจึงเรียกว่าแม่ท่ีดี” คำ� ถามเหลา่ นี้ดังก้องในใจ ดฉิ นั พบวา่ โจทย์ท่ีท้าทายท่ีสดุ ในประสบการณ์ชวี ติ ของแม่ คือการจัดการกับภาวะจิตใจของตนเอง เม่ือจิตใจขุ่นมัว ก็มอง ไม่เหน็ ทฤษฎี มองไม่เห็นลกู มองไม่เห็นแมแ้ ตต่ นเอง แมว้ ่าจะ สะสมความรู้ภายนอกมากมาย แต่ก็ไม่สามารถน�ำความรู้จาก ใดๆ ไปปฏิบตั ิกับชีวิตลูกได้เลย หากไมร่ ูจ้ กั และเข้าใจชีวิตความ เป็นแมใ่ นแบบเฉพาะของตนเอง — 361 —
จนเมื่อลูกคนที่สองเร่ิมเข้าโรงเรียน ดิฉันตัดสินใจกลับมา เรยี นปรญิ ญาโทใบทสี่ องในสาขาทชี่ อื่ วา่ จติ ตปญั ญาศกึ ษา เปน็ ศาสตร์ที่แตกต่างจากการเรียนรู้แบบเดิมที่ดิฉันเคยร่�ำเรียนมา เพราะแทนที่จะมุ่งแสวงหาองค์ความรู้ให้ทันกับโลกภายนอก จิตตปัญญาศึกษาเน้นการกลับเข้ามาศึกษาเพื่อเท่าทันกับโลก ภายใน ด้วยวิถีการบ่มเพาะความตระหนักรู้และการใคร่ครวญ ดา้ นในผ่านรปู แบบตา่ งๆ โดยเออื้ ให้ผู้เรียนได้หมัน่ สังเกตความ คิด ความรสู้ กึ ความเชอ่ื พฤติกรรมของตนเอง รวมเรียกไดว้ า่ เปน็ การสืบคน้ ความรู้ด้านใน ซึ่งสวนทางกบั การศกึ ษาในระบบ ทด่ี ิฉันได้เคยประสบมา ดิฉันเลอื กท�ำงานวิจยั โดยศึกษาประสบการณ์ด้านในความ เป็นแม่ของตนเอง โดยใช้การเขียนเชิงภาวนา (Contemplative Writing) เปน็ กระบวนการสบื คน้ หาขอ้ มลู ดา้ นใน จำ� ไดว้ า่ ชว่ งนน้ั ดิฉันเขียนบันทึกทุกวันไม่เคยเว้น เป็นการเขียนท่ีเข้มข้นตลอด ระยะเวลาเกือบปี ตื่นข้ึนมาก็เขียน สังเกตเห็นอะไรในตนเองก็ เขียน ทบทวนประสบการณ์ตลอดสายธารชีวิต จนกระทั่งการ เขยี นได้คอ่ ยๆ แปรเปลยี่ นเปน็ วิถกี ารภาวนาโดยไม่ร้ตู ัว ช่วงน้ีเองที่ดิฉันสัมผัสได้ถึงความตื่นเพื่อรู้อย่างเข้มข้นครั้ง หนงึ่ ของชวี ติ เมอ่ื ปลอ่ ยใหค้ วามรสู้ กึ นกึ คดิ แสดงตวั ตนผา่ นการ เขยี น ทำ� ใหไ้ ดส้ งั เกตเหน็ ตวั เองอยา่ งชดั ๆ แบบซอื่ ๆ โดยไมต่ อ้ ง กงั วลวา่ ความคดิ นนั้ ผดิ หรอื ถกู ไมต่ อ้ งหว่ งภาพลกั ษณข์ องตนเอง วา่ คดิ แบบนน้ั แบบนจี้ ะเปน็ แมท่ ดี่ หี รอื ไม่ ใหธ้ รรมชาตขิ องจติ ได้ — 362 —
แสดงตัวออกมาเพ่ือท่ีจะได้เข้าใจตนเองอย่างแท้จริง จากการ เขียนน�ำไปสู่กระบวนการใคร่ครวญด้านในท่ีลึกข้ึนกว้างข้ึนและ ชัดขึ้น ความรู้สึกที่เคยจับต้องได้ยากกลับก่อตัวให้เห็นเด่นชัด ความคดิ ที่แลน่ เร็วจนตามไมท่ ันกลบั ชะลอลง สำ� หรับคุณ การต่ืนรู้ คอื อะไร ทกุ เชา้ เราตนื่ ขนึ้ มา เราเปดิ เปลอื กตาจากความมดื สคู่ วาม สวา่ ง การต่ืนร้กู ็เชน่ กัน เราเปดิ ตาในของเรา ให้ต่ืนจากความไมร่ ู้ สู่ความรู้ ลองจินตนาการว่า หากเราจ�ำต้องอยู่ในภาวะขุ่นมัวอยู่ ตลอดเวลา จิตใจจะเป็นอย่างไร คงหมองหม่นเหมือนตกอยู่ ในความมืดบอดของชีวิต วนเวียนกับความทุกข์ไม่จบส้ิน จน เมื่อเพียงได้เห็นทางสว่าง จึงรู้สึกโล่งข้ึน เหมือนได้ตื่นจากการ หลบั ใหล หากการตื่น คือการเคล่ือนออกจากการหลับ การตื่นรู้ ก็ คือการเคลื่อนออกจากความไม่รู้ ไม่รู้ว่าน่ีคือทุกข์ ไม่รู้ว่าอะไร คือตน้ เหตแุ ห่งทกุ ข์ ไม่รูค้ วามดับทุกข์ และไม่ร้วู ิธีออกจากทกุ ข์ หากไมม่ คี วามมดื ก็คงไมร่ ู้ว่าสว่างเปน็ อยา่ งไร หากไมร่ ้วู า่ ทุกข์ ก็คงไมร่ ูว้ า่ ท่ีไมท่ ุกขเ์ ป็นอยา่ งไร ดังน้ัน คนเราเม่ือเห็นว่าน่ีคือทุกข์แล้ว จึงอยากออกจาก ทุกข์ คอื อยากตืน่ รนู้ น่ั เอง — 363 —
สิ่งที่ได้รับจากการตื่น คือเม่ือฝึกให้ตนเองมีความตื่นรู้อยู่ เนืองๆ จากที่เคยแต่ใช้ตามองไปข้างนอก ก็จะเริ่มเปิดตาใน สังเกตตนเอง จนสามารถเข้าใจและยอมรับธรรมชาติของชีวิต ที่เป็นเหมือนฤดูกาลแปรผันไปตามเหตุปัจจัย อาการดิ้นรน อยากให้อะไรเป็นไปด่ังใจเราก็จะน้อยลง เพราะได้เข้าถึงความ จริงว่า ไม่มสี งิ่ ใดทเ่ี ราจะมีอ�ำนาจให้เปน็ ไปตามต้องการ เมอื่ ไม่ ตอ้ งออกแรงตา้ นกบั อะไร ใจกจ็ ะเบาสบาย อยกู่ บั สง่ิ ตา่ งๆ ตาม ท่ีเป็น และจัดการกบั ปญั หาดว้ ยความสวา่ งจากการตนื่ รู้น่นั เอง การต่ืนรู้เป็นเพียงแค่การกลับมาสัมผัสกับธรรมชาติของใจ อย่างซ่ือๆ เม่ือรู้สึกตัวว่าใจเริ่มหนัก ไม่ว่าจะเป็นความรู้สึกตึง ในรา่ งกาย ความคดิ หรอื จติ ใจ นนั่ กเ็ ปน็ สญั ญาณทบ่ี ง่ ชวี้ า่ กำ� ลงั ยึดกับอะไรสักอย่าง เม่ือดิฉันเห็นตัวเองเช่นนั้นก็มักจะหายใจ ยาวๆ เพอื่ หาท่ตี ั้งของใจใหม่ ต้ังได้บา้ ง ลม้ ไดบ้ า้ ง สลับกันไป วถิ กี ารตนื่ รสู้ ามารถทำ� ไดห้ ลากหลาย ไมจ่ ำ� กดั รปู แบบ และ ประยุกต์ใช้ได้ตามความเหมาะสมกับเวลาและสถานการณ์ การ รูส้ ึกตัวสามารถเกดิ ขึ้นตลอดเวลาท้งั ในการเดิน การยืน การนั่ง การพูด หรือแม้แต่การเขียน หรือหากมีโอกาสอยู่เงียบๆ คน เดยี วกจ็ ะผสานการภาวนาในรปู แบบมาใชส้ ลบั กนั บา้ งเพราะถอื เป็นการเสริมก�ำลังของจิตไม่ให้ตกไปในกระแสเช่ียวของความ คดิ ไดง้ ่าย — 364 —
เพราะรกั ลูกแม่จงึ ต่ืนรู้ ดฉิ ันเคยไดย้ นิ ไดฟ้ ังค�ำของนกั ปราชญว์ ่า ‘ลูกไมใ่ ชข่ องเรา’ แต่เสียงที่อยู่ข้างนอกน้ันเป็นเพียงความเข้าใจระดับความคิด ไม่อาจเปลี่ยนแปลงใจและพฤติกรรมของแม่ท่ีมักหวังให้ลูกได้ดี และอาจไมร่ ตู้ วั ดว้ ยซ้�ำว่าทต่ี นเองคิดวา่ ‘หวงั ด’ี กับลูก คือการ ใช้นิยามความหวังดีของตนสร้างกรอบและบีบบังคับให้ลูกเป็น ไปดง่ั ท่ีใจต้องการ เม่ือได้ภาวนาผ่านการเขียน เห็นอาการของจิตชัดข้ึน ก็ เหมือนได้เชื้อเชิญให้การภาวนากลับเข้ามาอยู่วิถีชีวิตมากข้ึน ด้วย รู้สึกว่าตัวเองค่อยๆ ต่ืนจากความไม่รู้ และเกิดความเท่า ทันในตนเองในแง่มุมที่ไม่เคยเหลียวมอง เริ่มสังเกตเห็นกรอบ ความเช่ือท่ีพอกพูนในใจท่ีมีอิทธิพลต่อความเป็นแม่และการ ดำ� เนินชวี ิตอยา่ งไม่รตู้ ัว หากกลับไปอ่านบันทึกการเขียนภาวนาก็จะเห็นได้ชัดว่า เวลาตดิ ปญั หาอะไรกต็ าม จะพงุ่ เขา้ ไปจดั การกบั ปญั หานน้ั อยา่ ง ไมร่ ตู้ วั โดยไมไ่ ดพ้ จิ ารณาหรอื อยกู่ บั ปญั หาใหเ้ ขา้ ใจอยา่ งแทจ้ รงิ การไดช้ ะลอตนเองผา่ นการเขยี นและการภาวนา ทำ� ใหเ้ รมิ่ หดั ที่ จะถอยตัวเองจากจิตท่ีซัดส่าย วางใจท่ีจะอยู่กับความไม่รู้และ ไม่ชัดเจนไปแต่ละขณะได้ ฝึกรอเพื่อท่ีจะเข้าใจปัญหาและให้ ค�ำตอบได้เผยปรากฏโดยไมเ่ ร่งเร้า — 365 —
ต่อมาดิฉันได้ค้นพบว่าความสามารถในการอยู่กับปัญหา น้ันเป็นกุญแจสู่การแก้ปัญหา มากกว่าการมุ่งเข้าไปหาวิธีการ ใดๆ ความสามารถในการอยูข่ า้ งๆ และรบั รไู้ ปแต่ละขณะ กลับ เป็นการช่วยให้ลูกได้ดึงความรู้ภายในตัวเองออกมาใช้ได้มาก ขนึ้ แทนทจี่ ะพงึ่ พงิ ความรจู้ ากคนอนื่ ทอี่ าจจะไมต่ อบโจทยท์ แี่ ท้ จรงิ ของเขา ดิฉันได้ค่อยๆ ต่ืนมาต้อนรับกับความจริงว่า “แม่อาจมี อิทธิพลในการเติบโตของลกู ทัง้ กายและใจ แตก่ ไ็ มม่ ีอ�ำนาจใดท่ี จะเปลยี่ นแปลงความเป็นปจั เจกของลกู ได้” ลกู หรอื แมใ่ นนยิ าม ของใครน้ันจับต้องแทบไม่ได้ เหมือนวิ่งไล่เงาท่ีไม่มีตัวตน เม่ือ เหน็ วงจรของความยดึ ตดิ กท็ ำ� ใหเ้ กดิ ความศโิ รราบตอ่ ธรรมชาติ ของมนษุ ยอ์ ยา่ งจรงิ แท้ การเห็นและยอมรับธรรมชาติของชีวิตที่กล่ันจากการ ใคร่ครวญด้านใน แตกต่างจากความรู้ด้านนอก เพราะความรู้ ย่ิงสะสมยิ่งพอกพูนหนักอึ้ง แต่ความจริงภายในย่ิงได้เห็นก็ยิ่ง เบาสงบในใจ ทงั้ ยังสร้างก�ำลังให้พร้อมเดนิ สู่การเปลยี่ นผันของ ฤดูกาล และสามารถสรา้ งปจั จยั ใหล้ กู เติบโตดว้ ยความเมตตา การศึกษาประสบการณ์ด้านในของแม่เป็นดั่งจุดเริ่มให้ได้ กลับมาเข้าใจชีวิตตนเอง เพราะความเป็นเรานั้นแฝงอยู่ในทุก บทบาทเสมอ เม่ือได้เข้าใจชีวิตด้านหนึ่ง ก็เปิดประตูให้เข้าใจ ชีวิตในอีกด้าน เห็นชีวิตตนเองในชีวิตคนอ่ืนได้ง่ายข้ึน เห็น ชีวติ คนอืน่ ในชวี ิตตนเองไดบ้ ่อยขึน้ เกดิ ความเช่ือมโยงมากกว่า — 366 —
ตัดสนิ พงึ่ พิงความรภู้ ายนอกน้อยลง แต่อาศยั ความรู้ภายนอก เพอ่ื กระตุน้ ใหเ้ กดิ ความรูภ้ ายใน จากแม่ในนิยาม เปน็ เพียงคน ธรรมดาท่ยี งั ฝกึ ฝนตนเอง เป็นผูฝ้ ึกท่จี ะตนื่ คนหนึ่งเท่านน้ั เพราะตืน่ จงึ ค้นพบ ดฉิ นั รสู้ กึ ขอบคณุ ครขู องชวี ติ ทงั้ หลายทช่ี ใ้ี หเ้ หน็ วา่ ไมว่ า่ อยู่ ในบทบาทใด กส็ ามารถศกึ ษาชวี ติ ด้านในได้เสมอ การไดเ้ ขา้ มาสวู่ ถิ ขี องจติ ตปญั ญาศกึ ษาจงึ นำ� มาซงึ่ ปรญิ ญา สำ� คญั ของชวี ิต ทไี่ มไ่ ดห้ มายถงึ เกียรติบัตรส�ำหรบั โชวใ์ ครๆ แต่ เปน็ ปรญิ ญาในรากความหมายดัง้ เดมิ คอื “การกำ� หนดร้”ู เพ่อื ที่ จะไดต้ ่ืนจากความไมร่ ู้ ไมว่ า่ จะเปน็ แงม่ มุ ใดของชีวิต บนเส้นทางสู่การตนื่ รู้ การตื่นรู้ หรอื ความตระหนักรู้ เปน็ กญุ แจที่สำ� คัญยงิ่ ที่จะ ไขประตูสู่ความเข้าใจตนเองและผู้อ่ืน โลกตะวันตกได้เริ่มเห็น ความสำ� คญั ของความตระหนกั รมู้ ากขนึ้ เช่น บรษิ ทั กูเกิลท่เี ปน็ บรษิ ทั เทคโนโลยชี นั้ น�ำของโลกกจ็ ดั อนั ดับให้การบ่มเพาะความ ตระหนักรู้เป็นทักษะจ�ำเป็นในการพัฒนาพนักงาน หรือแม้แต่ ธรุ กจิ การเงนิ ทดี่ เู หมอื นจะตอ้ งใชข้ อ้ มลู และความรวดเรว็ ในการ ตัดสินใจก็พบว่าย่ิงตอ้ งการความตระหนกั รมู้ ากขึ้นเชน่ กัน — 367 —
ระยะหลังน้ี ดิฉันเองได้ถูกรบั เชิญไปจดั กระบวนการใหเ้ กดิ ความตระหนกั รใู้ นการทำ� งานรว่ มกนั บอ่ ยครง้ั อาจเปน็ เพราะวา่ ในยุคท่ีต้องการการตอบสนองรวดเร็ว ท�ำให้แต่ละคร้ังท่ีได้พูด และฟงั กนั จรงิ ๆ นอ้ ยลงทกุ ที เราเชอ่ื มโยงขอ้ มลู ขา่ วสารกนั ผา่ น สัญญาณดิจิทัล แต่หากจะเช่ือมโยงกันและกันจะใช้สัญญาณ อะไร ชว่ งเวลาทไี่ ดส้ ื่อสารกนั ยงิ่ สนั้ เพียงไร ยิง่ ตอ้ งใช้ใหอ้ ยา่ งมี ประสทิ ธิภาพมากขน้ึ และหากจะวดั การสอื่ สารทปี่ รมิ าณขอ้ มูล ก็คงไมใ่ ชจ่ ดุ แขง่ ขันทีย่ งั่ ยืนอีกตอ่ ไป ดิฉันคิดว่าความตระหนักรู้อาจจะเข้ามาเป็นสะพานเชื่อม ต่อระบบการสื่อสารยุคใหม่ไม่ให้ล่มก็เป็นไปได้ เพราะเม่ือคน มีความตระหนักรู้ในตนเองเพิ่มขึ้น ก็จะเข้าใจตนเองและผู้อ่ืน ไดม้ ากขน้ึ จนสามารถรบั ฟงั ส่ือสารสิ่งท่ีอยูภ่ ายในได้ชดั เจน ลด การเข้าใจผิด เพราะรู้ตัวท่ัวพร้อมว่าจะพูดอะไร รู้สึกอย่างไร ตอ้ งการอะไร นอกจากนคี้ วามตระหนกั รู้ ยงั เปน็ องคป์ ระกอบสำ� คญั ของ ความฉลาดทางอารมณ์ (EQ) เพราะน่ันหมายถงึ ความสามารถ ในการจบั อารมณค์ วามรสู้ ึกของตนเองและผอู้ ่นื อีกทัง้ ยังแสดง ถงึ ความเขา้ ใจและการปรบั ตวั ใหส้ อดคลอ้ งในความสมั พนั ธแ์ ละ การทำ� งานรว่ มกนั คนทหี่ มน่ั ตรวจสอบตนเองอยเู่ สมอจะทำ� ให้ เขาเห็นจุดบอดของตนเอง ส่งผลให้เขามีโอกาสปรับตัวพัฒนา ตนเองอยู่เสมอ — 368 —
ก้าวเล็กๆ ที่ทุกคนสามารถช่วยท�ำให้เกิดความตื่นรู้ท่ีเพ่ิม ขน้ึ ในระดบั สงั คมคอื การบม่ เพาะความตระหนกั รใู้ นตนเองกอ่ น บนเสน้ ทางสู่เปลยี่ นแปลง แม้ภาวะต่ืนเพ่ือรู้เหมือนจะไม่ใช่เร่ืองง่าย แต่ก็ไม่ใช่เร่ือง ยากเกนิ กำ� ลงั ผทู้ ผ่ี า่ นประสบการณต์ น่ื รจู้ ะเปน็ กำ� ลงั ใหก้ บั สงั คม ในยคุ นไ้ี ดอ้ ยา่ งดี ไมว่ า่ เขาจะเปน็ ใครทำ� อาชพี อะไรกส็ ามารถนำ� ประสบการณก์ ารตน่ื ไปปรบั ใชใ้ นบรบิ ทของตนเองและ “เปน็ ใหด้ ู อยใู่ หเ้ หน็ ” ได้ ใหค้ วามเปน็ ผตู้ นื่ รภู้ ายในไดเ้ ปน็ แบบอยา่ งใหค้ น รอบข้างหันเข้ามาสนใจศึกษาด้วยส่ิงท่ีเขาประจักษ์เอง ความ ส�ำคัญน่าจะอยู่ที่การเข้าถึงภาวะตื่นรู้จากด้านในของตนเองจน เปน็ เนื้อเปน็ ตวั โดยไม่ยดึ ตดิ หรือแบง่ แยกรูปแบบในการเข้าถึง การต่ืนรู้ใดๆ ให้การต่ืนเป็นไปอย่างธรรมชาติและธรรมดา ของชีวติ ทฤษฏหี ลกั การตา่ งๆ ลว้ นเกดิ ขนึ้ จากการทดลองและลงมอื ปฏบิ ัตินับครงั้ ไมถ่ ้วน ลม้ บา้ งลกุ บา้ งสลบั กนั ไป มีตืน่ บา้ ง หลับ ได้บ้าง หากทุกเชา้ เรายังตื่นข้ึนมาได้ การตนื่ รกู้ ็เป็นเรือ่ งไม่ไกล เกนิ เออ้ื ม — 369 —
— 370 —
ไม่วา่ จะเป็นความรู้ ประสบการณ์ ความคาดหวงั ความอัศจรรย์ที่เจอ ‘เททง้ิ ’ ไปให้หมดและเริม่ ต้นใหม่ เหมอื นคนท่ีไม่เคยปฏบิ ตั ิมาก่อน ‘เททิ้ง เร่ิมใหม่ เรยี นร’ู้ บุญชัย สขุ สุรยิ ะโยธิน — 371 —
ผา่ ตดั ตัวตน จากการตื่นรู้ — 372 —
นพ.สันต์ ใจยอดศิลป์ “ถา้ ไม่ตนื่ รู้ ก็ไมพ่ น้ ทกุ ข์” คือค�ำตอบของค�ำถามท่ีว่า เราทุกคนจ�ำเป็นต้องตื่นรู้หรือไม่จาก นพ.สันต์ ใจยอดศิลป์ อดีตศัลยแพทย์หัวใจอายุ 66 ปี และอดีตผู้ อ�ำนวยการโรงพยาบาลช่ือดังแห่งหน่ึง ปัจจุบันเปิดศูนย์ฝึกอบรมช่ือ เวลเนสวแี ครเ์ ซน็ เตอร์ ที่ อ.มวกเหลก็ จ.สระบรุ ี และตอบคำ� ถามสขุ ภาพ และเขยี นบทความสขุ ศกึ ษาทางบลอ็ ก www.visitdrsant.blogspot.com — 373 —
นพ.สนั ตอ์ ธิบายว่า ทมี่ นุษยเ์ ชอ่ื ว่า ‘บุคคล’ ประกอบด้วย ‘ร่างกาย’ และ ‘ความคิด’ เป็นสง่ิ ‘จริงแท้ถาวร’ แต่จริงๆ แลว้ ไม่ใช่ และ “ความเชอ่ื ถงึ ‘ความจรงิ แทถ้ าวร’ นแ่ี หละ ทก่ี ลายเปน็ สาเหตุของความทุกข์ คนเราจึงเป็นทุกข์ การตื่นรู้เป็นการวาง ความเชื่อ วางความคิดลงได้ สามารถเดินออกจากความคิดไป อยใู่ นความตนื่ การเปลย่ี นแปลงภายในบคุ คลน้ี ทำ� ใหห้ มดทกุ ข”์ การตนื่ ร้ใู นความหมายของคณุ คืออะไร การตน่ื รู้ (Awakening) คอื การตระหนกั รู้ (Realization) กลา่ ว คือ รู้แจ้งเห็นจริง เมื่อเราถอยความสนใจออกไปจากความคิด และโลกที่เราเห็นอยู่รอบตัวได้ส�ำเร็จ เราจะต่ืนหรือเกิดความ รตู้ ัว เราจะ ต่นื รู้ วา่ ง สงบเยน็ ไม่มใี ครเปน็ เจ้าของ เปน็ ส่งิ หน่งึ เดยี วทคี่ งอยอู่ ยา่ งเปน็ นริ นั ดรไ์ มเ่ ปลยี่ นแปลงตามความคดิ หรอื โลกอยา่ งที่เห็นอยู่รอบตวั น้ี — 374 —
คนท่ัวไปมองว่าการตน่ื รู้เปน็ เรอื่ งยากและไกลตวั คุณคดิ วา่ ยงั ไง คิดว่า การตื่นรู้เป็นเร่ืองง่ายที่ทุกคนเข้าถึงได้ เรียกได้ว่า เป็นธรรมชาติด้ังเดิมของเรา ไม่ใช่สิ่งท่ีจะต้องตะเกียกตะกาย ดั้นด้นไปค้นหา มันอยู่ในตัวเราเองอยู่แล้ว แต่เราอาจไม่สนใจ ท่ีจะต้ังค�ำถามกับความเป็นบุคคลของตัวเองในการด�ำรงอยู่ใน โลกสมมตุ ิ วา่ ‘นข่ี องจรงิ หรือของปลอม’ ‘มันมแี คน่ ีห้ รือ’ และ คนอยากค้นพบค�ำตอบเท่านั้นจึงออกแสวงหา เม่ือไม่หา ก็ไม่ พบ เม่ือหาก็พบ เมื่อคนท่ีออกแสวงหาเป็นคนส่วนน้อย คนท่ี พบก็จึงเปน็ คนส่วนนอ้ ย การตนื่ รเู้ ปน็ คอื สภาวะทคี่ วามคดิ วา่ ง เมอ่ื ความคดิ วา่ งกจ็ ะ เกดิ ปญั ญาญาณซง่ึ เปน็ ศกั ยภาพทน่ี ำ� ไปใชย้ งั ประโยชนต์ อ่ ผอู้ น่ื ตอ่ โลก ต่อสงั คมไดไ้ มจ่ ำ� กดั กล่าวคอื เมือ่ สังคมนัน้ ๆ มีผ้ตู ่นื ร้ทู ี่ ไม่เหลือความเป็นบุคคลของตัวเองให้ต้องปกป้อง พวกเขาจะ มีศักยภาพที่จะท�ำอะไรได้สูง เพราะพวกเขาไม่ได้ท�ำอะไรเพ่ือ ตัวเองอีกต่อไป สังคมก็จะได้ประโยชน์จากเขาในฐานะสมาชิก สงั คมอย่างเต็มเม็ดเต็มหน่วย — 375 —
หากเปน็ เชน่ นน้ั เราตอ้ งทำ� อยา่ งไรใหค้ นในสงั คมเกดิ การ ตืน่ รู้ แคท่ กุ คนสนใจเรอ่ื งของตวั เอง มงุ่ มนั่ อยา่ งจรงิ จงั เพอื่ พาตวั เองใหห้ ลดุ พน้ จากกรงขงั ความคดิ และความเชอื่ ทวี่ า่ ‘ความเปน็ บุคคลคอื สงิ่ จรงิ แทถ้ าวร’ ถา้ ทกุ คนท�ำ แค่นกี้ พ็ อแลว้ แล้วสังคม น้ี โลกนี้ จะดีขน้ึ เอง โดยไม่ต้องไปพยายามเปลย่ี นแปลงคนอน่ื หรือเปล่ียนความคดิ ของคนอ่ืนเลย เมือ่ ไรหรอื จุดไหนทร่ี สู้ กึ ว่าคณุ ‘ตน่ื ’ ในประสบการณ์ของผม การตื่นเพ่ือรู้เป็นกระบวนการท่ี ค่อยๆ เป็น ค่อยๆ ไป ไม่มีโมเมนต์ที่เปร้ียงปร้างอย่างเสียง ประทัดหรอื แสงดอกไมไ้ ฟ เป็นเพยี งประสบการณเ์ ล็กๆ นอ้ ยๆ ท่ีเกิดขึ้นเพื่อสาธิตหรือสอนให้เห็นความจริงท่ีอยู่นอกเหนือไป จากโลกทรี่ ับรไู้ ด้ผ่านอายตนะ การเปลี่ยนแปลงที่เห็นได้ชัดหลังเข้าใจสภาวะแบบน้ัน คืออะไร ชีวิตที่เปล่ียนไป จากที่เคยจมอยู่ในความเช่ือว่าชีวิตเป็น เรือ่ งของบุคคลทตี่ ้องฟมู ฟักเล้ียงดู หรือชวี ติ ทีเ่ ต็มไปด้วยความ คดิ ลบ ทงั้ ความกลวั คาดหวงั ผดิ หวงั เปลย่ี นไปเปน็ อยใู่ นสภาวะ ‘ตนื่ ’ คือ รูต้ ัว วา่ ง สงบเย็น และไม่กลวั ตาย — 376 —
ในดา้ นหนา้ ทก่ี ารงานของผม เมอ่ื ความเปน็ บคุ คลทผ่ี มตอ้ ง ฟูมฟักเล้ียงดูไม่มีแล้ว งานที่ผมท�ำท้ังหมดก็เป็นการท�ำเพื่อคน อื่นหรือสิง่ อื่น คนอ่นื หรือส่งิ อื่นก็ได้ประโยชน์ ยอ้ นกลบั มามองตวั เอง เคยคดิ ไหมวา่ หากทกุ วนั นไี้ มฝ่ กึ ฝน เรยี นร้เู ร่ืองดา้ นใน จะเป็นอย่างไร ผมก็คงยังจมอยู่ในความคิดอย่างทเ่ี คยเป็นมาในอดีต โดย เฉพาะอยา่ งยง่ิ ความหวาดระแวง ความกลวั ชวี ติ ผมกค็ งตอ้ งมงุ่ ท�ำอะไรเพื่อจะดับความกลัวนั้น น่ันคงน�ำไปสู่การท�ำอะไรเพ่ือ ปกป้องความเป็นบุคคลของตัวเองให้มากขึ้น ซึ่งอาจมีผลให้ คนอนื่ เดือดร้อนมากข้ึน ระหวา่ งทางของการเรียนรู้ อะไรคืออุปสรรคสำ� คัญ มีส่ิงเดียวคือ ‘การไม่เอาจริง’ และปัจจัยช้ีวัดความส�ำเร็จ มีตัวเดียวคอื ‘ความเอาจริง’ ด้วยเจตนาท่ีแนว่ แนท่ ุกลมหายใจ เขา้ ออก เมอ่ื มเี วลาวา่ งเราจะอทุ ศิ ใหก้ บั สง่ิ เดยี วคอื ความมงุ่ มนั่ จริงจังท่จี ะทำ� เร่ืองนน้ั ๆ ให้เปน็ วาระหลกั แห่งชวี ติ — 377 —
คุยกบั ทกุ ข์ — 378 —
บญุ ชัย สุขสุรยิ ะโยธิน บุญชัย สุขสุริยะโยธิน หรือในแวดวงโฆษณารู้จักกันในชื่อ ‘ยอด’ แหง่ ชใู จ กะ กัลยาณมิตร ครเี อทีฟเอเจนซี่โฆษณาเพอ่ื สังคม ล�ำพังท่ีมาท่ีไปของ ชใู จ กะ กลั ยาณมติ ร ก็มีเรื่องราวทน่ี า่ สนใจอยู่ แล้ว คือกลุ่มเพ่ือนจากวงการโฆษณา 5 คนที่ต้ังค�ำถามกับการท�ำงาน คอมเมอร์เชียล และออกมาผลิตงานสร้างสรรค์ ต้ังใจว่าจะใช้ความคิด สรา้ งสรรค์แก้ปัญหาสังคม — 379 —
แต่เฉพาะการส�ำรวจและเข้าใจโลกภายในของบุญชัย เริ่ม ตน้ จากวนั ทช่ี วี ติ คขู่ องเขาพงั เงนิ เกบ็ ของเขาหมด ซำ�้ ยงั ตอ้ งตาม ชำ� ระหนที้ คี่ นอน่ื เปน็ คนกอ่ แตค่ วามทกุ ขท์ เี่ ผชญิ เวลานน้ั ทำ� ให้ เหน็ เขาเหน็ นำ้� ใจและความรกั ของคนรอบตัว “ตอนน้ันครอบครัวและเพ่ือนต่างหยิบย่ืนน้�ำใจช่วยเหลือ ผมท้ังท่ีผมไม่เคยขอ น่ันเป็นครั้งแรกท่ีผมพยายามอย่างสุด ชีวิตเพื่อพาตัวเองออกจากสถานการณ์ย่�ำแย่ ต้องท�ำในส่ิงท่ี คดิ วา่ ทำ� ไม่ได้ “ความทุกข์ท�ำให้ผมเห็นศักยภาพตัวเอง แข็งแกร่งมากขึ้น ผมไม่ปฏิเสธหรือว่ิงหนีความทุกข์อีกต่อไป น่ันเป็นครั้งแรกที่ ผมรสู้ ึก ‘ต่นื ’ ” ประสบการณค์ รงั้ นนั้ ทำ� ใหบ้ ญุ ชยั สนใจสำ� รวจโลกภายในทง้ั ของตัวเองและผู้คน มีโอกาสได้เข้าคอร์สเจริญสติตามแนวทาง หลวงพ่อเทียน จิตตฺ สุโภ และคอ่ ยเตบิ โตตามล�ำดับ ความเขา้ ใจเร่ือง ‘สติ’ ของคณุ ขณะน้นั คอื อะไร เมอื่ ผมรจู้ กั และมี ‘สต’ิ เปน็ ครงั้ แรกในชวี ติ ผมพบวา่ มนั แตก ตา่ งจากคำ� ทคี่ นใชก้ นั อยา่ งสน้ิ เชงิ สำ� หรบั ผม พลงั ของ ‘สต’ิ ชว่ ย ตัดความรสู้ กึ ท่ที ำ� ให้เราเป็นทกุ ขอ์ ยา่ งเด็ดขาด ผมไดเ้ หน็ ไดเ้ ฝา้ ดูความคิดทถ่ี กู ปรุงแตง่ จากตวั เองและยงั ส่ังให้เราท�ำน่นั ทำ� นตี่ ลอดเวลา ผมได้เหน็ ความโกรธ ความเศร้า ความเหงา ความอยากดีอยากไดข้ องตัวเอง และพอ ‘เหน็ ’ ทกุ สิง่ ก็ดบั ลงตรงนั้น” — 380 —
ครง้ั นน้ั อาจจะพอเรยี กไดว้ า่ เปน็ การตนื่ ครง้ั แรก ครง้ั ตอ่ ๆ มาคุณตน่ื จากอะไร อีกคร้ัง ขณะท่ีผมเรียนโยคะและท�ำท่า ‘ศพ’ ในช่วงเวลา ไมน่ านนน้ั ในความคดิ ของผมฉายภาพความผดิ ทผ่ี มทำ� ในอดตี ท้ังหมด ผมส่งความรัก ความเมตตาให้กับทุกสิ่งที่ผมได้ท�ำผิด พลาดไป ทลี ะอยา่ ง ทีละอยา่ ง จนผมไม่รสู้ กึ ผิด เศรา้ เสยี ใจกับ ภาพเหลา่ นน้ั อกี ตอ่ ไป ผมใหอ้ ภยั ตวั เองไดอ้ ยา่ งไมม่ เี งอ่ื นไข และ ผมใหอ้ ภยั คนอืน่ ไดอ้ ย่างไมม่ เี งอ่ื นไขนับจากนั้น ถา้ ตอ้ งนยิ ามการตนื่ รใู้ นความหมายของคณุ สงิ่ นนั้ คอื อะไร คือการตื่นจากทุกข์ท่ีอยู่กับผมมาตลอดชีวิต ความทุกข์ บางอย่างผมรู้สึกได้ แต่บางความทุกข์ผมก็ไม่รู้ถึงการมีอยู่ของ เขา เพราะเขาอยกู่ บั ผมอยา่ งแนบเนยี น แตก่ ารตน่ื ทำ� ใหช้ วี ติ ผม เบาสบาย ได้ชีวิตตวั เองกลบั คนื มา ได้หลุดออกจากกรอบอคติ ของสังคมและอคติจากตัวผมเองทก่ี ดทับผมมาตลอด หลงั จาก ‘ต่ืน’ มอี ะไรเปลี่ยนไปบา้ ง ถ้าเป็นประโยชน์ทางโลก ชีวิตผมไม่ค่อยมีอะไรให้เครียด เรื่องท่ีเคยเป็นเร่ืองใหญ่คอขาดบาดตายในอดีตกลับเป็นเรื่อง ธรรมดา ผมนอนหลบั สบายขึน้ ความคดิ คมข้ึน คดิ งานไดด้ ีข้นึ ในเวลาท่สี ั้นลง ผมรับร้สู งิ่ ต่างๆ ท่เี กดิ ขึ้นรอบตัวผมไดช้ ดั ยิ่งขึ้น เสยี งนกรอ้ ง แสงอาทติ ย์ สายลม ตอนน้ีผมมีความสุขงา่ ยมาก ถ้าเป็นประโยชน์ภายใน ผมมองเห็นความคิด ความโกรธ — 381 —
ความโลภ ความหลง ความเศร้าเสียใจ ความเหงา ความอยาก ไดอ้ ยากดีในตวั เองบ่อยมากขนึ้ และทุกครง้ั ท่ีผมเหน็ ความรูส้ ึก เหล่านี้ ‘สติ’ จะมาตัดความรู้สึกเหล่านี้ออกไป ‘สติ’ ช่วยดูแล ผมอย่างดี ผมเคยก่นด่า ท�ำร้ายจิตใจตัวเองถึงความผิดที่ตัวเองท�ำ ในอดีต แต่ความรู้สึกนี้ได้หายไปหมดแล้ว ผมสามารถให้อภัย ความผดิ ทต่ี วั เองเคยทำ� ในอดตี ได้ การใหอ้ ภยั ทไ่ี มไ่ ดเ้ กดิ จากการ หาเหตุผล ซงึ่ มันไมเ่ คยไดผ้ ล แตเ่ ปน็ การใหอ้ ภัยทเี่ กดิ จาก ‘การ ยอมรบั อยา่ งไมม่ เี งอื่ นไข’ ทกุ สง่ิ ทกุ ความรสู้ กึ ทกุ ประสบการณ์ ในตวั เรา และวนิ าทที ผี่ มใหอ้ ภยั ตวั เองไดโ้ ดยไมม่ เี งอ่ื นไข วนิ าที นน้ั ผมใหอ้ ภยั ใหก้ บั ทกุ คนทเี่ คยทำ� ไมด่ กี บั ผมไดโ้ ดยไมม่ เี งอื่ นไข ดว้ ยเชน่ กัน ‘การให้อภัยตัวเอง’ จาก ‘การยอมรับอย่างไม่มีเง่ือนไข’ เกดิ ขึ้นจากอะไร? จากการเจริญสติ การเจรญิ สติท�ำให้ผมเขา้ ใจค�ำว่า ‘เพอื่ น รว่ มทกุ ข์’ มากๆ ไม่วา่ คนหรือสงิ่ มีชีวติ อืน่ ๆ การเจริญสติยังช่วยปรับสมดุลนิสัยและบุคลิกภาพของผม อย่างเป็นธรรมชาติ ผมขี้โมโหน้อยลง กล้าปกป้องสิทธิ์ของ ตวั เองมากข้นึ กล้าท�ำเพ่อื สงิ่ ท่ถี ูกต้องมากขนึ้ อวดอีโกน้ ้อยลง อะไรที่มันมากไป เขาจะปรับให้มันน้อยลง อะไรท่ีมันน้อยไป เขาจะปรับใหม้ ันมากขนึ้ และผมยังเชื่อว่ายังมีสิ่งดีๆ อีกมากจากการตื่นเพื่อรู้ท่ีผม ยังไมไ่ ด้รู้จัก ผมเพียงแค่เจริญสติตอ่ ไป — 382 —
หากไม่เคยผา่ นการทบทวนโลกภายใน คดิ ว่าชีวติ ในวันนี้ จะเปน็ อย่างไร ผมจะไมม่ วี ันรู้เลยว่า สง่ิ ที่ท�ำให้ผมทุกข์มเี พียงส่ิงเดยี ว คอื ‘ความคิด’ และภาพเก่าในอดีตท่ีอยู่ในหัวและชอบเปิดวนเล่น ซ�้ำๆ จนมันท�ำร้ายผมไม่หยุด หรือไม่ก็ฉายภาพความฉิบหาย วายป่วงในอนาคตใหผ้ มกังวล กลวั ไม่จบส้นิ ความคดิ บางอยา่ ง กท็ ำ� ใหผ้ มไม่รจู้ ักความรัก ทำ� ใหผ้ มไม่สามารถเปน็ ตัวผมไดเ้ ต็ม ศกั ยภาพ ชีวิตผมตกอยใู่ นกรงขังของความคิดตัวเองชวั่ ชีวิต แตต่ อนนผี้ มทุกขน์ อ้ ยลง ชวี ิตเบาสบายขึน้ รักและใหอ้ ภัย คนอนื่ โดยไมม่ เี งอื่ นไขไดม้ ากขนึ้ มคี วามสขุ งา่ ยขนึ้ กบั เรอ่ื งเลก็ ๆ น้อยๆ คิดว่าอะไรคืออุปสรรคส�ำคัญหรือหลุมพรางระหว่างทาง ไปสู่การตน่ื รู้ ‘การยดึ ตดิ ’ ยึดติดความร้ทู มี่ ี ยึดติดประสบการณ์ทไี่ ด้ ยดึ ติดกับสภาวะอัศจรรย์ท่ีเกิดขึ้นและคาดหวังให้เกิดข้ึนอีก การ ยึดติดจะท�ำให้เราหยุดอยู่กับท่ี ไม่เติบโตอีกต่อไป ผมโชคดีท่ี ได้เจออาจารย์ที่เมตตาและใส่ใจสอนผมในแนวทางท่ีลงตัวกับ ผมมากๆ ทกุ คร้ังทเ่ี จรญิ สติ ทา่ นสอนให้ผม ‘เททงิ้ ’ ทกุ อย่าง — 383 —
ไม่ว่าจะเป็นความรู้ ประสบการณ์ ความคาดหวัง ความ อัศจรรยท์ ีเ่ จอ ‘เททิ้ง’ ไปให้หมดและเริ่มตน้ ใหม่เหมือนคนที่ไม่ เคยปฏิบตั มิ ากอ่ น ‘เททิ้ง เร่ิมใหม่ เรยี นรู้ เททิง้ เร่ิมใหม่ เรยี นร้’ู ทำ� อยา่ งนี้เร่ือยไป การ ‘เททิง้ ’ นีเ้ องท�ำใหผ้ มก้าวข้ามอุปสรรค ไปได้ การตนื่ รู้ จะส�ำคญั ต่อคนอื่นอยา่ งไร คนเราตื่นรู้ไปเพื่ออะไร? ผมไม่มีค�ำตอบให้จริงๆ ส่ิงที่ ส�ำคัญกับผมอาจไม่มีสาระส�ำหรับคุณหรือคนอ่ืนก็ได้ มีแต่คุณ เทา่ นนั้ ทรี่ วู้ า่ มนั สำ� คญั กบั คณุ หรอื เปลา่ และถา้ คณุ อยากรจู้ รงิ ๆ ผมแนะน�ำให้คุณลองครับ ลองด้วยตัวคุณเอง ที่ส�ำคัญมากๆ คือหาอาจารย์ที่ ‘ลงตัว’ กับคุณ อาจารย์ท่ีเหมาะกับคุณจะ ท�ำให้คณุ สนใจด้านนี้และพัฒนาตอ่ ไปไมห่ ยุด ทผี่ มได้เติบโตใน เสน้ ทางนเ้ี พราะผมมอี าจารยท์ ่ดี ี แลว้ ในระดบั สงั คม คณุ คดิ วา่ มนั จะเกดิ ขนึ้ ไดไ้ หม อยา่ งไร? ผมคิดว่าการตื่นรู้จะเปล่ียนแปลงสังคมแบบเดียวกับที่ เปล่ียนแปลงจิตใจของผู้คน การตื่นรู้จะเปลี่ยนโลกของการ แขง่ ขนั การเอาตวั รอด เปลย่ี นจาก ‘คนชนะไดท้ กุ สง่ิ คนแพไ้ มม่ ี ทีย่ นื ’ ไปเปน็ โลกของความรักและการแบง่ ปัน โลกทีท่ ุกคนเป็น อสิ ระและเปน็ ตัวเขาได้เตม็ ศักยภาพ — 384 —
ทกุ คนจะเขา้ ถงึ การตื่นเพือ่ รไู้ ดท้ กุ คนไหม ถา้ เขาหายใจได้ เขาก็สามารถตืน่ เพือ่ รู้ได้ ให้คุยกบั เขาเรอื่ ง ‘ตื่นรู้’ ในเวลาท่ีเขา ‘ทุกข์’ เพราะตอนท่ีเรา ‘สุข’ เราไม่สนใจ อะไรทง้ั นนั้ ไมส่ นใจวา่ ตนื่ รคู้ อื อะไร ไมส่ นใจวา่ การใชบ้ ตั รเครดติ หรอื กเู้ งนิ คอื การใชเ้ งนิ ในอนาคตทเ่ี รายงั ไมร่ วู้ า่ จะมอี ยจู่ รงิ หรอื เปล่า ไม่สนใจว่าทุกวันน้ีเรากินข้าวกับมือถือ ไม่ได้กินข้าวกับ แฟนหรือครอบครัว ไม่สนใจว่าอาหารท่ีเรากินมันเต็มไปด้วย สารเคมี หรือ GMO ไม่สนใจว่าหุ่นยนต์ก�ำลังแย่งงานเราไปใน อีก 5-10 ปขี ้างหนา้ เวลาท่ีเรา ‘สขุ ’ เราลมื หมดทกุ สงิ่ ‘ทุกข์’ เปน็ เพ่ือนท่ดี ี เขา มาเตอื นเราใหก้ ลบั มาสำ� รวจตวั เองอกี ครงั้ บทเรยี นสำ� คญั ๆ ใน ชวี ติ เกดิ จากขณะทเ่ี ราเปน็ ‘ทกุ ข’์ ทง้ั นน้ั คยุ กบั เขาชว่ งเวลาทเ่ี ขา เป็นทกุ ข์ เขาจะเปดิ ใจรบั ฟังมนั มากทส่ี ุด” อะไรจะเป็น ‘กา้ วเล็กๆ’ หรอื ‘กา้ วใหญ่ๆ’ ท่ีจะทำ� ให้การ ตื่นร้เู พม่ิ ข้ึนในระดบั สังคม ผมไม่รู้จริงๆ ว่าก้าวเล็กๆ หรือก้าวใหญ่ๆ คืออะไร และ คุณไม่จ�ำเป็นต้องเชื่อผม ไม่ต้องเชื่อหนังสือ ไม่ต้องเชื่อค�ำพูด ของใครทัง้ นน้ั แตเ่ ช่อื ในการลงมอื ทำ� หาอาจารยแ์ ละแนวทาง ปฏบิ ตั ทิ ่ลี งตัวกบั คณุ ลงมอื และมน่ั คงในส่งิ ท่ที ำ� ครับ — 385 —
รู้สกึ ตวั เพ่ือ ความปกติ — 386 —
สุภาวลั ย์ กลัดส�ำเนยี ง สุภาวัลย์ กลัดส�ำเนียง หรือ หมอป่าน นักกายภาพบ�ำบัดท่ีเฝ้า สังเกตคนไข้แล้วพบว่า ความเจ็บป่วยของคนจ�ำนวนมากเกิดจาก ความเครยี ด ความกลวั ความวติ กกังวล ในโลกปัจจุบันท่ที กุ อยา่ งหมุน ไปอยา่ งรวดเรว็ ทำ� ใหเ้ ราตกอยใู่ นหลมุ ของ ‘ความคดิ ’ จนเกดิ ความทกุ ข์ และความเจ็บปว่ ยตามมา หมอปา่ นเริม่ สนใจเกย่ี วกบั ‘โลกภายใน’ ซง่ึ นำ� ไปสกู่ ารเขา้ เรยี นรทู้ างดา้ นจติ ตปญั ญาหลายแขนงตง้ั แตป่ ี พ.ศ 2554 — 387 —
หมอปา่ นเปน็ นกั กายภาพบำ� บดั ผเู้ ชย่ี วชาญทางดา้ นระบบ กระดกู และกล้ามเน้อื รวมท้งั ระบบประสาททีส่ มั พันธ์กับระบบ กระดูกกล้ามเนื้อ เน้นการดูแลแบบการแพทย์แนวผสมผสาน (Integrative Medicine) คือใช้ศาสตร์กายภาพบ�ำบัดร่วมกับ Wellness Medical Qigong ซง่ึ เปน็ การเยยี วยาดว้ ยพลงั ธรรมชาติ (Energy Healing) นอกจากนี้ยังได้น�ำเรื่อง ‘ความรู้สึกตัว’ มา เป็นเครื่องมือให้คนไข้ได้กลับมาสู่การรับรู้ ทางร่างกาย ความ คิด อารมณ์ และความรสู้ ึก ตงั้ แตเ่ ดือนมกราคม พ.ศ. 2558 หมอปา่ นเริม่ จดั โครงการ ‘จดุ เล็กๆ Body & Mind by Parn’ เปิดบ้านใหบ้ คุ คลทว่ั ไปได้มี โอกาสเรียนรู้โลกภายใน ผ่านกระบวนการทางจิตตปัญญาจาก พระ กระบวนกร ครุ ุ ครอู าจารย์ นอกจากนย้ี งั ไดจ้ ดั พมิ พห์ นงั สอื จากการถอดเทปอาจารยป์ ระมวล เพง็ จนั ทร์ ทมี่ าบรรยายใหก้ บั ทางจุดเลก็ ๆ โดยมีหนังสือพิมพ์แจกเป็นธรรมทานแลว้ 2 เลม่ คือ พรอันประเสริฐ และ เพอื่ นแท้ หมอปา่ นเลา่ ถงึ ภาวะของการตน่ื ไวอ้ ยา่ งเบาสบาย เธอบอก ว่า ในภาวะแห่งการตื่น โลกใบนแี้ สนงดงาม ‘ดวงตา’ มองเห็น ภาพต่างๆ เปลีย่ นไป ความละเอียด สสี ัน กระจา่ งชดั เจนกว่าที่ ผ่านมา ‘หัวใจ’ อิม่ เอม และท�ำให้เธอสามารถสมั ผสั ความรกั ท่ี มอี ยู่ภายในตวั เอง ท่สี ำ� คัญ ทำ� ให้ตระหนักไดว้ า่ ความรกั มอี ยู่ รอบตวั โดยเฉพาะกบั คนใกลช้ ดิ ทกี่ อ่ นหนา้ นี้ เธอไมเ่ หน็ ความรกั มากมายทเี่ ขามอบให้ ‘ลมหายใจ’ ของเธอเบาสบาย ผอ่ นคลาย — 388 —
ไมร่ บี และรอ้ นรนเหมอื นแตก่ อ่ น ‘สมอง’ โปรง่ โลง่ ขยะความคดิ ท่ีเคยเก็บสะสม จนหมักหมม ลดความส�ำคัญลงจนมันค่อยๆ หลดุ หลน่ หายไป รู้ตัวอกี ที หมอปา่ นก็พบวา่ สมองโล่ง โปร่ง เบา จนเกดิ สภาวะ ‘ตาสวา่ ง’ ซง่ึ ทงั้ หมดนน้ั ทำ� ใหเ้ ธอมี ‘พลงั ชวี ติ ’ ทจ่ี ะทำ� หนา้ ทก่ี ารงานในแตล่ ะวนั ดว้ ยความเบกิ บาน และไมร่ สู้ กึ เหนด็ เหน่อื ย สำ� หรบั หมอปา่ น การตืน่ เพือ่ รู้ คอื อะไร ประกอบดว้ ย 2 คำ� คือ ‘ตื่น’ และ ‘รู้’ ‘ตนื่ ’ จากสภาวะของมจิ ฉาทฐิ ไิ ปสกู่ ารมสี มั มาทฐิ ิ อาจขยาย ความได้ว่า ในวันท่ีชีวิตของเราเต็มไปด้วย ‘ความทุกข์’ โดย เฉพาะอย่างยิ่ง ความทุกข์ที่เราไม่เคยรู้จักตัวเอง ไม่รู้ว่าเราคิด อะไร เรารู้สกึ อะไร เหตุทท่ี �ำให้เราเต็มไปด้วยความทุกขม์ าจาก อะไร ไม่เคยเห็นว่า กิเลส ตัณหา อุปาทาน อะไรที่เข้ามายึด ครองเราอย่างแยบยลโดยไม่ทันต้ังตัว ดูราวกับว่า มีบางอย่าง ขบั เคลอ่ื นเราใหท้ ำ� สง่ิ ตา่ งๆ ในชวี ติ ประจำ� วนั อยา่ งเปน็ อตั โนมตั ิ แมจ้ ะประสบความสำ� เรจ็ ทางโลก แตก่ ลบั รบั รถู้ งึ ความทกุ ขท์ ก่ี ดั กนิ ภายในอยา่ งไมห่ ยุดหย่อน ‘รู้’ คือ รู้ว่าการได้เกิดมาเป็นมนุษย์นี้ เราสามารถ ‘ทุกข์ น้อยลงได’้ วนั นีฉ้ ันกลา้ ยนื ยันว่า เราทุกข์นอ้ ยลงไดม้ ากๆ และ เชอ่ื วา่ ‘ส้ินทุกข’์ ได้ แม้ฉนั เองยังเดินไปไม่ถึงการส้นิ ทุกข์กต็ าม — 389 —
แต่สง่ิ หนง่ึ ที่เปน็ ความจริงและไมม่ ีใครจะหลีกเลีย่ งได้ กค็ อื ‘ความทุกข’์ ถา้ ดูไปแล้ว ความทกุ ข์นีเ้ กิดข้นึ ได้งา่ ยมาก แม้เปน็ เรอ่ื งเลก็ นอ้ ย เชน่ ถา้ เราถา่ ยไมอ่ อก 3 วนั เรากเ็ รม่ิ เปน็ ทกุ ขแ์ ลว้ ไมต่ อ้ งพดู ถงึ ภาวะ เกดิ แก่ เจบ็ ตาย การพลดั พรากจากสงิ่ ทรี่ กั จากคนท่ีเรารัก ซ่ึงส่ิงเหล่าน้ีจะต้องเกิดขึ้นแน่นอน ไม่วันใดก็ วันหน่งึ สำ� หรับฉนั แล้ว ฉันเรียกส่ิงเหลา่ นั้นวา่ ‘ประสบการณ’์ เราทุกคน จะต้องเจอบททดสอบของชีวิตผ่านเรื่องราว ตา่ งๆ หนกั บา้ ง เบาบา้ ง เหมอื นกบั เรากำ� ลงั เลน่ ‘เกมชวี ติ ’ ทต่ี อ้ ง ผา่ นดา่ นตา่ งๆ บางเรอ่ื งคดิ วา่ ผา่ นไดแ้ ลว้ แตอ่ าจโดนทดสอบซำ�้ แลว้ กพ็ บว่า ตกลงไปในหลุมพราง ท่เี จ้ากเิ ลส ตัณหา อุปาทาน สรา้ งขน้ึ มาไดอ้ ยา่ งแนบเนยี นจนเราตอ้ งหลงกล แตเ่ ชอื่ เถอะวา่ ถึงเราจะพลาดท่าเสียทีไป แต่เราก็จะเร่ิมมีก�ำลังของสติปัญญา เพิม่ ขึ้น เพ่ือรบั มอื กบั ดา่ นต่อไปทจ่ี ะเข้ามาทดสอบอกี ทกุ ๆ ‘ประสบการณ’์ ท่ีเราเดินผ่านมาดว้ ย ‘ความร้สู กึ ตวั ’ จะค่อยๆ ท�ำให้ภาวะการต่ืนของเรากระจ่างข้ึน การเข้าใจถึง ความจรงิ ของชีวิต ทเ่ี รยี กว่า ‘ความทุกข’์ เพ่มิ มากขึ้น เราจะเริม่ ‘ยอมรับ’ กับเรื่องราวเหล่านั้น และ ‘ยอมปล่อย’ ให้เร่ืองราว เหล่าน้นั ผ่านไป และ ‘เริม่ ตน้ ใหม่’ กบั เกมชีวติ ในขณะปัจจุบัน และเรากจ็ ะพบวา่ เรา ‘ทกุ ข์นอ้ ยลง นอ้ ยลง’ ไดจ้ ริงๆ — 390 —
บนเสน้ ทางสูก่ ารเตบิ โตภายใน ฉนั เกดิ มาในครอบครวั ทพ่ี อ่ กบั แมก่ วา่ จะไดล้ กู คนนม้ี าดว้ ย ความยากล�ำบาก เพราะแม่ท้องกี่ครั้งก็แท้งหมด จนท่านต้อง ไปรับเดก็ มาเล้ียงเปน็ ลูกก่อนจะมีฉันเกือบ 15 ปี ฉนั จงึ เกิดมา ดว้ ยความรกั ความอบอ่นุ แตถ่ ูกตกี รอบ ถกู ห้าม ไม่ใหท้ ำ� ส่งิ ใด กต็ ามที่เปน็ ความเส่ียง เช่น ห้ามไม่ให้ไปเล่นบา้ นเพ่อื น เพราะ ตอ้ งอยใู่ นสายตาของพอ่ และแม่ ทำ� ใหโ้ ลกของฉนั มแี ตพ่ อ่ กบั แม่ ความจรงิ ทฉ่ี นั ตอ้ งเจอเรมิ่ ตอนอายุ 15 ตอนนนั้ พอ่ อายุ 60 แมอ่ ายุ 54 ปี ความแก่ ความเจบ็ เรม่ิ มาเยือนท่านทั้งสอง ทง้ั คู่เร่ิมเป็นโรคพาร์กินสัน เด็กหญิงป่านในตอนนั้นทุกข์ใจมาก เพราะลึกๆ คงกลัวท่ีจะสูญเสียคนท่ีเรารัก เป็นจุดเริ่มต้นที่ฉัน ‘น่ังสมาธ’ิ จ�ำไมไ่ ดเ้ สยี ทเี ดียวว่าทำ� ไมถึงรจู้ กั การนั่งสมาธิ แต่จ�ำ ไดว้ า่ ทกุ ครง้ั ทฉ่ี นั มเี รอื่ งทกุ ขใ์ จ ฉนั จะนงั่ หลบั ตาและกำ� หนดลม หายใจเข้า ลมหายใจออก เขา้ ใจวา่ เวลาท�ำแบบนั้นคงท�ำใหเ้ ด็ก หญิงป่านได้ตัดขาดความทุกข์จากโลกภายนอก และมาอยู่กับ ความสงบของลมหายใจทถ่ี กู กำ� หนด แตเ่ มอ่ื ลมื ตาขนึ้ ความจรงิ นนั้ กย็ ังอยู่ ความทกุ ขน์ น้ั ไมไ่ ดห้ ายไปไหน พอเรียนจบปริญญาตรี โลกวัยเด็กท่ีมีพ่อแม่คอยดูแลน้ัน หายไปในขา้ มวนั เงนิ ทพ่ี อ่ กบั แมเ่ กบ็ มาทง้ั ชวี ติ ทา่ นไดส้ ง่ ฉนั เรยี น จนจบ วนั นนั้ เปน็ จุดเรม่ิ ต้นที่ฉนั ต้องรับผิดชอบครอบครัวอย่าง เต็มตัว ในวันที่ท่านแก่ชรา ยิ่งท่านเลี้ยงดูเรามาดีมากแค่ไหน — 391 —
ฉนั ยง่ิ อยากทำ� ใหท้ า่ นอยอู่ ยา่ งสขุ สบาย กลางวนั ฉนั ทำ� งานประจำ� จำ� ไดว้ า่ เงนิ เดอื นปแี รกๆ 12,000 บาท ซงึ่ ไมเ่ พยี งพอทจ่ี ะใชจ้ า่ ย มคี า่ ยา คา่ รกั ษาพยาบาลของพอ่ กบั แม่ ดงั นนั้ ตอนเยน็ ฉนั ตอ้ ง ไปทำ� เคสผ้ปู ่วยท่ีบา้ น กลับมาตอนกลางคนื ต้องคอยดูพ่อ ซง่ึ โรคพาร์กินสันคุกคามทา่ นมาก ทำ� ใหไ้ ม่สามารถลุกจากเตียงได้ เนอื่ งจากท่านเปน็ เบาหวานด้วย ทำ� ให้ปสั สาวะคืนหนึง่ หลายๆ รอบ บางคืนอาจถงึ 7 รอบ ฉนั แทบจะไม่ไดน้ อนหลับสนิทเลย อยู่หลายปี ภาวะความเครียด ความกลวั ความวติ กกงั วลเหล่า นน้ั ทำ� ให้ฉันเป็นคนข้ีหงดุ หงดิ โมโหง่าย อารมณ์รอ้ น เหมอื น กับว่า ความอดทนมันขึ้นไปสู่จุดสูงสุด จนเมื่อมีเรื่องอะไรแค่ เล็กน้อย มันก็พร้อมระเบิด ฉันพยายามหาหนังสือ Positive Thinking มาอา่ น กด็ เู หมอื นกบั วา่ ความคดิ บวกมาชว่ ยกดความ คิดลบเอาไว้ได้ช่ัวคราว สักพักก็จะมีจุดท่ีฉันระเบิดออกมา ซึ่ง ตอนน้ันผู้ท่ีรับเคราะห์อย่างหนักคือ แฟน ก็คือสามีในตอนน้ี แล้วฉันก็กลับมาโกรธ มาเสียใจท่ีตัวเองท�ำไม่ดี วงจรอุบาทว์นี้ เกดิ ข้นึ ซ้ำ� แล้วซ�้ำเลา่ จนวนั ทพี่ ่อเสยี ชีวิต ตอนนัน้ ฉันเชอ่ื ว่าการเข้ากรรมฐานจะ เป็นบุญสูงสุด และน่าจะเป็นบุญกุศลเดียวที่ผู้เสียชีวิตจะได้รับ ไมร่ คู้ วามเชอื่ นม้ี าจากไหน ฉนั ตดั สนิ ใจไปเขา้ กรรมฐานเปน็ เวลา 7 วนั กบั หลวงพอ่ จรญั ทวี่ ดั อมั พวนั ดว้ ยการฝกึ เดนิ จงกรมและ ภาวนาแบบ ‘ยบุ หนอ พองหนอ’ และทน่ี น่ั ทำ� ใหฉ้ นั รวู้ า่ ทฉ่ี นั นงั่ สมาธิดว้ ยการกำ� หนดลมหายใจ แบบท่ีน่าจะเรียกว่าเปน็ การสั่ง — 392 —
ลมหายใจ ใหเ้ ป็นไปตามท่ีเราก�ำหนด มาตลอดเป็น 10 ปีกอ่ น หนา้ นน้ี น้ั ท�ำไม่ถกู เพราะเกอื บจะวันท้ายๆ ของการปฏิบัติ ฉนั ไดพ้ บกบั สภาวะลมหายใจทเี่ ปน็ ธรรมชาติ และมนั มเี ปน็ ปกตอิ ยู่ แลว้ โดยเราไมต่ อ้ งตงั้ ใจกำ� หนดอะไร เพยี งแคเ่ รารใู้ น ‘ธรรมชาต’ิ ทีเ่ กดิ ขึ้น ทส่ี �ำคัญกลบั จากการปฏิบัตคิ รั้งน้ี กม็ ีความมหศั จรรย์ เกิดข้ึนกับฉันอย่างเหลือเชื่อ คือ ผู้หญิงที่โมโหร้ายคนน้ันหาย ไป แล้วฉันกไ็ ม่กลับไปเป็นคนเดมิ อกี เลย หลังจากนั้นฉันยังคงนั่งสมาธิเมื่อมีเวลา หรือเมื่อมีความ ทุกข์ใจเข้ามา ผ่านไปเกือบ 3 ปี อยู่มาวันหน่ึงตอนท่ีน่ังสมาธิ ในห้องท�ำงานผ่านไป 1 ชั่วโมง เม่ือลืมตาข้ึน ก็มีเสียงภายใน ดังและชัดเจนมากว่า ‘สงบ แต่ไม่เกิดปัญญา’ ฉันถามตวั เองว่า แลว้ ปัญญาจะเกดิ ได้อยา่ งไร? หลังจากน้ันไม่นาน ฉันได้มีโอกาสเข้าอบรมค่ายเชิง จติ ตปญั ญา ในครง้ั แรกนน้ั เมอื่ ทำ� กจิ กรรมหนงึ่ เสรจ็ ฉนั ตกใจมาก ลงไปนอนรอ้ งไหแ้ ทบจะหยดุ ไมไ่ ด้ เพราะเปน็ ครง้ั แรกทฉี่ นั พบวา่ “ฉนั ไมร่ วู้ า่ ตวั เองเปน็ ใคร ชอบอะไร อะไรทเี่ ปน็ ตวั ฉนั เองจรงิ ๆ” เพราะท้งั ชีวิต ฉนั เดินตามท่สี ังคม ครอบครวั บอกว่าท�ำอย่างน้ี ถงึ จะถกู ต้อง ทำ� แบบน้ีแลว้ ดี ฉนั เรม่ิ เรยี นรจู้ กั ‘โลกภายใน’ ผา่ นกระบวนการจติ ตปญั ญา หลากหลายศาสตร์มากๆ เป็นเวลาเกือบ 4 ปี ทั้งจากคุรุใน ประเทศ และตา่ งประเทศ สง่ิ ทฉ่ี นั ไดจ้ ากศาสตรท์ างจติ ตปญั ญา คอื ทำ� ใหฉ้ นั เขา้ ใจความแตกตา่ งของคน โลกไมต่ อ้ งเปน็ แบบทฉี่ นั — 393 —
คิดก็ได้ มันท�ำให้ฉันมีความสุขมากข้ึน ขัดแย้งกับโลกภายนอก น้อยลง ฉันได้รู้จักอารมณ์ ความรู้สึกต่างๆ ของตัวเองมากข้ึน ท้ังที่เป็นอารมณ์บวกและอารมณ์ลบ ซ่ึงก่อนหน้าน้ันฉันมีแต่ เรอื่ งทจี่ ะ ‘ตอ้ งทำ� ’ และทำ� โดยไมใ่ สใ่ จวา่ เรอื่ งราวเหลา่ นน้ั มผี ล ตอ่ ความรู้สกึ เราอยา่ งไร ฉันได้เรยี นรู้ว่า เรา และส่งิ ต่างๆ รอบ ตวั ไมว่ า่ จะเปน็ คน สถานที่ ตา่ งเชอ่ื มตอ่ กนั ไดถ้ งึ ระดบั พลงั งาน และอนื่ ๆ อกี มากมาย ทท่ี ำ� ใหฉ้ นั เหน็ ชดั เจนขน้ึ วา่ มี ‘โลกภายใน’ และ ‘โลกภายนอก’ อาจรวมไปถงึ จกั รวาล ส่งิ ที่ไม่อาจมองเหน็ ได้ด้วยตาเชื่อมโยงกันอยู่ตลอดเวลาแต่ฉันก็ยัง ‘ทุกข์มาก’ อยู่ และดูจะเป็นความทุกขท์ ี่ละเอียดข้ึน จนวันหน่ึงได้มีโอกาสรู้จักและเริ่มฝึก ‘การเจริญสติแบบ เคล่ือนไหว’ ในแนวทางของหลวงพ่อเทียน จิตฺตสุโภ โดยเริ่ม จากการฟังเทศน์ของหลวงพ่อค�ำเขียน สุวณฺโณ วัดป่าสุคะโต ลองปฏิบัตเิ องเกือบ 1 ปี ฉนั พบความมหศั จรรยว์ า่ ‘ความรู้สึก ตวั ’ สามารถตดั ทกุ ข์ ใหห้ ลน่ ดบั ไปตอ่ หนา้ ตอ่ ตาได้ ทำ� ใหต้ งั้ จติ อธษิ ฐาน ใหไ้ ดพ้ บครอู าจารยท์ จี่ ะมาสอนปฏบิ ตั แิ บบเคลอื่ นไหว จนได้พบกับ อาจารย์ชูศรี รุ่งโรจนารักษ์ หรือ ปา้ ชู ทา่ นได้ ท�ำให้ฉนั ไดพ้ บกบั ‘ครคู นสดุ ทา้ ย’ คือ ‘ความรู้สึกตัว’ ดว้ ยเคลด็ ลบั งา่ ยๆ คอื ‘ใจดี ขยนั ขยบั เททง้ิ ’ ซงึ่ ฉนั ไดพ้ สิ จู นด์ ว้ ยการปฏบิ ตั ิ อย่างต่อเนื่อง ช่วยท�ำให้สภาวะการเพ่ง ความตัง้ ใจ การตดิ เฝา้ ดเู วทนาและ Sensation ทางร่างกาย ทเี่ คยเป็นอปุ สรรคในการ ปฏบิ ตั คิ อ่ ยๆ ลดนอ้ ยลง หรอื เมอ่ื ฉนั ตดิ อยใู่ นความเคยชนิ แบบ — 394 —
เดมิ ๆ นี้ ฉนั จะสามารถรบั รแู้ ละเหน็ ไดเ้ รว็ ขนึ้ วา่ ความตงั้ ใจ การ เพ่งจะน�ำมาซ่ึงความทุกข์กาย ทุกข์ใจ ให้อย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ เช่น เมื่อตดิ เพง่ ก็ทำ� ให้เกดิ อาการปวดคอ มนึ หัว เปน็ ต้น เมอ่ื เรารกั ความรสู้ กึ ตวั และยงั คงทำ� เหตุ คอื ขยนั ขยบั เวลา มีความทุกข์เกดิ ขึ้น ความรสู้ กึ ตวั จะตัดความคิดปรุงแต่งที่ท�ำให้ เกดิ ทุกข์ ตก ดบั เอง โดยเราไมต่ อ้ งทำ� อะไร ความสขุ และความเปน็ ปกติทค่ี น้ พบ ‘ความรู้สึกตัว’ ท�ำให้ใจเป็นปกติ ใสพอท่ีจะดูทุกความคิด ที่เกิดขึ้น ‘ใจดี’ กับทุกความคิดท่ีเกิดข้ึน ไม่ว่าจะคิดบวก หรือ ลบ ไม่เข้าไปท�ำอะไรกับความคิด พอเห็นทุกความคิดของตัว เองบ่อยๆ เราก็จะไม่เชื่อความคิด เพราะเรา ‘เห็น’ ความคิด อตั โนมตั ทิ เ่ี กดิ ขนึ้ ในสมองบอ่ ยๆ จนเหน็ วา่ ‘ความคดิ ’ มนั ไมใ่ ช่ เรา ซงึ่ ทำ� ใหฉ้ นั ‘ทกุ ขน์ อ้ ยลงมาก’ และความทกุ ข์ ถกู แทนทดี่ ว้ ย ความเป็นปกติ และใจท่ีเบกิ บาน มนั ท�ำให้ฉันพบว่า ความรักท่ี มีอยู่ภายในตัวเราเองนั้นเป็นเช่นไร เราจะลดความคาดหวังสิ่ง ตา่ งๆ จากผู้อนื่ ไปเอง เราไมเ่ รียกร้องท่จี ะตอ้ งการความรักจาก ใคร เพราะหวั ใจเราอิม่ แล้ว สิ่งแรกท่ีเกิดขึ้นเมื่อตัวเราตื่น คือ ตัวเราเองมีความทุกข์ กายและทกุ ขใ์ จนอ้ ยลง การใชช้ วี ติ ดงู า่ ยขน้ึ มพี ลงั ชวี ติ ทจ่ี ะทำ� สง่ิ ตา่ งๆ ไมเ่ หนอื่ ยงา่ ย คนใกลช้ ดิ กด็ มู คี วามสขุ มากขน้ึ ฉนั ตระหนกั รู้ได้ไวข้ึน รู้ตัว และหันกลับมาเดินบนเส้นทางความเป็นปกติน้ี — 395 —
ไวข้ึน ฉันท�ำร้ายตัวเองและผู้อ่ืนน้อยลง ไม่ค่อยเอาหนาม แหลมคมคอยท่ิมแทงเขาเหมือนแต่ก่อน ฉันได้ใช้สภาวะของ ‘ความร้สู กึ ตัว’ นี้ ในขณะท่ีท�ำการรกั ษาคนไข้ และพบวา่ ‘ความ เป็นปกติ’ เมื่อเรามีความรู้สึกตัว ท�ำให้ทั้งคนไข้และผู้รักษา ได้ เห็น ‘ความไมป่ กติ’ ทเ่ี กิดขึน้ กับ ร่างกาย ความคดิ ความรู้สึก ไดช้ ดั เจนข้นึ ซ่ึงนั่นเป็นจุดเร่ิมตน้ ของการเยียวยา หากถามวา่ ชีวติ จะเป็นอยา่ งไรหากไม่ไดผ้ ่านประสบการณ์ ตนื่ ภายใน คำ� ถามนท้ี ำ� ใหม้ เี สยี งหวั เราะในใจดงั มาก ตามมาดว้ ย น�้ำตาร้ืน แต่ร้ืนอยู่ในหัวใจ รู้สึกขอบคุณทุกประสบการณ์ โดย เฉพาะประสบการณ์ท่ีน�ำมาซ่ึงความทุกข์ และเร่ืองราวยากๆ ในชีวติ หากไมไ่ ด้พบเจอเร่ืองราวเหลา่ น้ัน ฉนั อาจยงั เท่ียวเล่น อยู่แห่งหนไหนไมร่ ู้ ฉนั อาจจะยังเป็นคนข้ีโมโห ทกุ ข์มาก ฆา่ คน ตาย หรอื ฆ่าตัวเองตายกไ็ ด้ ใครจะไปรู้ ฉนั อาจเปน็ คนอาฆาต แค้น นอนจมกองทุกข์แล้วตายจากไป โดยพลาดที่จะได้สัมผัส กับความปีตสิ ขุ ทเ่ี กดิ จากการ ‘ใหอ้ ภัย’ ถ้าฉันยังคงสนุกกับชีวิตโลกๆ ฉันอาจจะไม่ได้จัดกิจกรรม จดุ เลก็ ๆ ทีท่ �ำใหฉ้ นั ไดม้ โี อกาสอยู่รว่ มกบั รอยยมิ้ เสียงหัวเราะ น�้ำตา และอ้อมกอดของใครหลายๆ คน ซึ่งเขาเหล่าน้ันก็ต่าง เป็น ‘เพื่อนร่วมทุกข์’ และจุดเล็กๆ ก็ได้กลายเป็นเหตุหน่ึงบน หนทางแห่ง ‘การตนื่ ร’ู้ ของใครหลายคน — 396 —
หลุมพรางและอุปสรรคบนเส้นทาง หลายคนมักจะพูดว่าการภาวนาเป็นเร่ืองยาก การต่ืนน้ัน ยากเยน็ ไมร่ วู้ า่ จะเกดิ ขน้ึ ในชาตนิ ไี้ ดห้ รอื ไม่ คนเหลา่ นม้ี กั มคี วาม คิดที่เปน็ อุปสรรคและหลมุ พราง ซง่ึ ฉนั เองก็เคยตกหลมุ พรางน้ี จนทำ� ใหท้ อ้ แท้ หลมุ พรางเหลา่ นไ้ี ดแ้ ก่ ‘อยาก’ เกดิ สภาวะตา่ งๆ ตามทีเ่ พอ่ื น หรือครูบาอาจารยบ์ อก เชน่ ความสงบ ความปีติ การไม่มีทกุ ข์ หรอื นมิ ิตต่างๆ เมอ่ื มีความอยาก เราจะต้งั ใจ เรา จะเผลอเพ่งอย่างไม่รู้ตัว เผลอเข้าไปจัดการกับส่ิงต่างๆ ท่ีเกิด ข้ึนในความคิดและจิตใจ ซึ่งน่ันท�ำให้เราออกจาก ‘ความเป็น ปกต’ิ ไป ส�ำหรบั ฉันแลว้ กเิ ลสตวั อยากนี้ หนักหนาอยูท่ เี ดียว เมื่อความอยากมา มันจะเกิดอาการทางกาย คือ ปวดหัว มึน หวั เกร็งทีค่ อ บา่ ไหล่ เมือ่ ก่อนท่ฉี นั ยังไม่ค่อยทนั ฉันก็ต้องรบั กรรมกบั กิเลสตวั อยากน้ีไป ดว้ ยอาการปวดหวั มึนหวั แตน่ น่ั ก็ เปน็ สัญญาณทางกายทคี่ อยบอกวา่ เรากำ� ลงั เผลอไปติดกับดกั ความอยากอยู่หรือไม่ ฉันใช้อาการน้ีเป็นตัวเช็คสภาวะของตัว เอง และเคลด็ ลบั ทป่ี า้ ชมู อบใหฉ้ นั คอื “ทำ� เลน่ ๆ แตท่ ำ� ไมห่ ยดุ ” — 397 —
“‘เปรียบเทียบ’ กับผู้อ่ืน เช่น ท�ำไมเขาท�ำได้ไว ท�ำไมเรา มาปฏบิ ัตกิ อ่ นแต่ยงั ไม่ถึงไหน” สำ� หรบั ฉันแล้วการต่นื และรูเ้ ปน็ สภาวะทเี่ ราตอ้ งดำ� เนนิ ไปตอ่ เนอื่ งทง้ั ชวี ติ มนั คอื ‘วถิ ’ี ทจ่ี ะอยใู่ น ชวี ติ ของเรา ดงั นน้ั ในทกุ ๆ ขณะทเี่ รากำ� ลงั เดนิ บนเสน้ ทางสายนี้ ไมว่ า่ เราจะปฏบิ ตั ผิ ดิ ปฏบิ ตั ถิ กู เรากำ� ลงั เกดิ การเรยี นรอู้ ะไรบาง อยา่ งเสมอ การต่ืนรูจ้ ึงไม่มีเรว็ มชี า้ มใี ครได้เปรียบเสียเปรียบ แต่เป็นเร่อื งของเราเองเท่านัน้ ที่จะ ‘ท�ำ หรือไม่ท�ำ’ “ไม่สามารถน�ำมาปฏิบัติต่อเนื่องในชีวิตประจ�ำวัน” หลายคนคงประสบปญั หาวา่ เวลาทเ่ี ราปลกี วเิ วกไปปฏบิ ตั ธิ รรม เรากร็ ้สู กึ สงบ สบาย แตพ่ อออกมาใชช้ วี ิตประจำ� วัน ทกุ อยา่ ง กก็ ลบั มาเปน็ เหมอื นเดิม ฉนั มีความเชื่อวา่ การภาวนา เพือ่ ไปสู่ การตนื่ จะต้องนำ� มาใช้ในชีวติ ประจำ� วัน วิธีเช็คง่ายๆ ของฉัน คือ ถ้าท�ำถูก เราจะรู้สึกเบา สบาย ทั้งกายและใจ แต่เมื่อไรที่ท�ำผิด เราก็จะรู้สึกไม่สบายกาย ไม่ สบายใจ ไมโ่ ปรง่ โลง่ เบา การภาวนาแบบเคล่ือนไหว สามารถ น�ำมาประยุกต์ใช้ในชีวิตประจ�ำวันได้ง่าย เนื่องจากในชีวิตที่ เราท�ำการท�ำงานน้ัน เราตอ้ งท�ำขณะท่ี ‘ลืมตา’ และเรา ‘ขยบั ’ รา่ งกายอย่ตู ลอดเวลา มนั จงึ เกดิ การทำ� งานด้วย ‘ความรู้สกึ ตัว’ จนฉันรสู้ ึกไดว้ า่ เวลาท�ำงาน คือ เวลาของการภาวนา และบาง ครั้ง ฉันกลบั รู้สึกว่า ‘ฉนั ไม่ได้ทำ� งาน’ จึงทำ� ใหฉ้ ันไมร่ สู้ ึกเหนอื่ ย เลยกับการท�ำงาน แม้จะมีคนไข้ที่ต้องรักษาต่อเน่ืองเกือบ 11 ช่ัวโมงต่อวัน — 398 —
‘พยายามทจ่ี ะกำ� จัดความคดิ ลบ’ อยา่ งทเี่ ลา่ ไปตอนตน้ วา่ ฉันเองเคยลองใชว้ ธิ ี ‘คดิ บวก’ แต่ ดูเหมือนกับเป็นเพียงเอาหินทับหญ้าไว้เท่าน้ัน เม่ือยกหินข้ึน หญ้าหรือความคิดลบก็งอกงามตามเดิม บางครั้งที่เราไม่อยาก ให้ ‘ความคิด’ เกิดขึ้น พอเกิดความคิด ฉันก็เริ่มเข้าไปกระท�ำ การบางอยา่ งในจติ ใจ ดว้ ยการดึงกลบั มาใหอ้ ย่กู ับความรู้สกึ ตวั บ้าง ลมหายใจบ้าง สดุ ท้ายพบวา่ ยงิ่ ท�ำเชน่ นั้น ก็ย่ิงเหน่อื ย ย่งิ มึน ฉันคิดว่ายิ่งเป็น ‘คนดี’ เมื่อเห็นว่าตัวเองคิดลบ ก็ย่ิงโกรธ และตอ่ ว่าตัวเอง จนเกิดความทุกขใ์ จ เศรา้ ใจ ขอยกตวั อย่างของคนไข้ท่านหน่งึ คร้งั แรกที่ฉันไดพ้ บ เธอ ก�ำอุปกรณ์บางอย่างไว้ในมือ มันเป็นเครื่องท่ีไว้นับจ�ำนวนครั้ง เธอเล่าว่า ครั้งหนึ่งเธอเคยคิดไม่ดีบางอย่างกับคุณพ่อของเธอ แล้วเธอเชือ่ ว่าความคิดไม่ดขี องเธอนั้น เป็นเหตใุ หเ้ กิดเร่ืองไมด่ ี ขนึ้ กับคุณพ่อ หลังจากน้ันเธอจึงระมดั ระวังความคิดของตวั เอง ด้วยการสวดมนต์ตลอดเวลา และคงจะนับให้ได้ 84,000 คร้ัง ตามความเชื่อบางอย่าง จนชว่ งหน่ึง เธอหกล้ม 6 คร้ังในเวลา ไม่ถึงปี ทั้งที่ตรวจแล้วร่างกาย กล้ามเน้ือ การทรงตัวทุกอย่าง ดี และมบี างท่ีของบ้าน เธอลม้ ทต่ี ำ� แหนง่ เดมิ ถึง 3 คร้งั จนคร้ัง สดุ ท้ายทเี่ ธอล้ม เธอเล่าว่า เธอเปิดประตูจะลงจากรถ แล้วเธอ ก็ลม้ เลย ฉนั จงึ ถามเธอวา่ ขณะนน้ั เธอกำ� ลงั สวดมนตอ์ ยูใ่ ช่หรือ ไม่? เธอท�ำหน้างงเล็กน้อย แล้วตอบว่าใช่ คือขณะท่ีเธอ สวดมนต์ เธอมสี มาธจิ ดจอ่ ในการสวดมนต์ จนลมื รา่ งกาย ลมื ที่ — 399 —
จะรเู้ นอื้ รตู้ วั จนเปน็ เหตใุ หห้ กลม้ หลายครง้ั ตอ่ เนอื่ งกนั หลงั จาก ท่เี ราได้คยุ กันแล้ว เธอไมเ่ คยหกล้มอกี เลย ความรตู้ ัวทถี่ ูกสง่ ตอ่ ฉันท�ำโครงการ ‘จุดเล็กๆ’ เพราะ ฉันเช่ือในพลังการ เปลย่ี นแปลง ทต่ี อ้ งเร่มิ ต้นจาก ‘ตัวเอง’ ทเี่ ป็นหนว่ ยทีเ่ ลก็ ทส่ี ุด ก่อน และการเปลี่ยนแปลงนั้นจะเกิดขึน้ ได้ เม่ือเรา ‘รู้และเข้าใจ ตัวเอง’ กิจกรรมที่เราจัดส่วนใหญ่จึงเป็นการส่งเสริมให้คนเกิด การเรียนรูแ้ ละเขา้ ใจตวั เอง ซึง่ หากพวกเราลองจินตนาการภาพ ตามว่า หากคนแต่ละคน เป็นจุดของพลังงาน ที่สามารถส่ง คลน่ื พลงั งานนัน้ ออกไปรอบๆ ตวั ได้ เม่ือเราแตล่ ะคนเกดิ ‘การ ตืน่ ’ ยงิ่ มีผคู้ นเกดิ การต่ืนรู้เพมิ่ ขนึ้ มากเท่าใด คลน่ื พลงั งานนี้ ที่ เชื่อมต่อกันอยู่ จะขยายตัวอย่างรวดเร็ว และส่งผลให้เกิดการ เปลี่ยนแปลงบนโลกนอ้ี ยา่ งแนน่ อน ฉันเชอ่ื วา่ ทุกชวี ิตก�ำลงั เดินไปสูห่ นทางแหง่ การตน่ื รู้ ในวิถี ของตนเอง ไมท่ างใดกท็ างหนงึ่ และจรงิ ๆ อาจไมไ่ ดจ้ ำ� กดั วธิ กี าร ทุกชวี ติ มจี ังหวะเวลาในชวี ติ ของตนเอง — 400 —
Search
Read the Text Version
- 1
- 2
- 3
- 4
- 5
- 6
- 7
- 8
- 9
- 10
- 11
- 12
- 13
- 14
- 15
- 16
- 17
- 18
- 19
- 20
- 21
- 22
- 23
- 24
- 25
- 26
- 27
- 28
- 29
- 30
- 31
- 32
- 33
- 34
- 35
- 36
- 37
- 38
- 39
- 40
- 41
- 42
- 43
- 44
- 45
- 46
- 47
- 48
- 49
- 50
- 51
- 52
- 53
- 54
- 55
- 56
- 57
- 58
- 59
- 60
- 61
- 62
- 63
- 64
- 65
- 66
- 67
- 68
- 69
- 70
- 71
- 72
- 73
- 74
- 75
- 76
- 77
- 78
- 79
- 80
- 81
- 82
- 83
- 84
- 85
- 86
- 87
- 88
- 89
- 90
- 91
- 92
- 93
- 94
- 95
- 96
- 97
- 98
- 99
- 100
- 101
- 102
- 103
- 104
- 105
- 106
- 107
- 108
- 109
- 110
- 111
- 112
- 113
- 114
- 115
- 116
- 117
- 118
- 119
- 120
- 121
- 122
- 123
- 124
- 125
- 126
- 127
- 128
- 129
- 130
- 131
- 132
- 133
- 134
- 135
- 136
- 137
- 138
- 139
- 140
- 141
- 142
- 143
- 144
- 145
- 146
- 147
- 148
- 149
- 150
- 151
- 152
- 153
- 154
- 155
- 156
- 157
- 158
- 159
- 160
- 161
- 162
- 163
- 164
- 165
- 166
- 167
- 168
- 169
- 170
- 171
- 172
- 173
- 174
- 175
- 176
- 177
- 178
- 179
- 180
- 181
- 182
- 183
- 184
- 185
- 186
- 187
- 188
- 189
- 190
- 191
- 192
- 193
- 194
- 195
- 196
- 197
- 198
- 199
- 200
- 201
- 202
- 203
- 204
- 205
- 206
- 207
- 208
- 209
- 210
- 211
- 212
- 213
- 214
- 215
- 216
- 217
- 218
- 219
- 220
- 221
- 222
- 223
- 224
- 225
- 226
- 227
- 228
- 229
- 230
- 231
- 232
- 233
- 234
- 235
- 236
- 237
- 238
- 239
- 240
- 241
- 242
- 243
- 244
- 245
- 246
- 247
- 248
- 249
- 250
- 251
- 252
- 253
- 254
- 255
- 256
- 257
- 258
- 259
- 260
- 261
- 262
- 263
- 264
- 265
- 266
- 267
- 268
- 269
- 270
- 271
- 272
- 273
- 274
- 275
- 276
- 277
- 278
- 279
- 280
- 281
- 282
- 283
- 284
- 285
- 286
- 287
- 288
- 289
- 290
- 291
- 292
- 293
- 294
- 295
- 296
- 297
- 298
- 299
- 300
- 301
- 302
- 303
- 304
- 305
- 306
- 307
- 308
- 309
- 310
- 311
- 312
- 313
- 314
- 315
- 316
- 317
- 318
- 319
- 320
- 321
- 322
- 323
- 324
- 325
- 326
- 327
- 328
- 329
- 330
- 331
- 332
- 333
- 334
- 335
- 336
- 337
- 338
- 339
- 340
- 341
- 342
- 343
- 344
- 345
- 346
- 347
- 348
- 349
- 350
- 351
- 352
- 353
- 354
- 355
- 356
- 357
- 358
- 359
- 360
- 361
- 362
- 363
- 364
- 365
- 366
- 367
- 368
- 369
- 370
- 371
- 372
- 373
- 374
- 375
- 376
- 377
- 378
- 379
- 380
- 381
- 382
- 383
- 384
- 385
- 386
- 387
- 388
- 389
- 390
- 391
- 392
- 393
- 394
- 395
- 396
- 397
- 398
- 399
- 400
- 401
- 402
- 403
- 404
- 405
- 406
- 407
- 408
- 409
- 410
- 411
- 412
- 413
- 414