ภมู ปิ ัญญาอาหารพ้นื ถิ่นผไู้ ท ในอีสาน นวรตั น์ บญุ ภิละ เมษายน 2559
หนา้ | ก คานา ตาราภมู ิปัญญาอาหารพ้นื ถิ่นผไู้ ท ในอีสานเลม่ น้ีเขยี นข้นึ จากการศึกษาข้อมูลทีไ่ ด้จากการสารวจ คน้ คว้า การสัมภาษณเ์ ชิงลึก เพ่อื การทาวจิ ัยเกยี่ วกับกลุ่มชาตพิ นั ธผ์ุ ้ไู ท ซงึ่ มวี ัตถปุ ระสงค์เพ่ือศกึ ษาประวัติ ความเป็นมา ลักษณะสงั คม วฒั นธรรม ประเพณี วถิ ีชวี ิต ภูมิปญั ญาพนื้ ถ่ินผไู้ ท โดยเฉพาะอย่างยง่ิ ภูมิปัญญาอาหารพน้ื ถ่นิ ผู้ไทและจาแนกประเภทอาหารพ้ืนถ่ินผู้ไท รวบรวมองคค์ วามรู้เก่ียวกับ สว่ นประกอบของอาหาร หลักวธิ ีการทาอาหาร จดั เก็บและรวบรวมข้อมูลภูมิปญั ญาอาหารพ้ืนถิน่ ผไู้ ท เพอ่ื ให้ นักเรียน นกั ศกึ ษาและผู้สนใจ รว่ มทงั้ แหล่งเรียนรู้ชุมชนได้ใช้ประโยชน์ เป็นการสร้างความ ตระหนักในคณุ คา่ และการอนุรกั ษว์ ฒั นธรรมภมู ปิ ญั ญาพน้ื ถ่ินโดยเฉพาะภูมิปญั ญาด้านอาหารทัง้ คาว หวาน ของชาวผู้ไทให้อยู่ค่ไู ปกบั โลกยคุ โลกาภิวัตนน์ ี้ได้เป็นอยา่ งดี ผู้ช่วยศาสตราจารยน์ วรัตน์ บุญภลิ ะ เมษายน 2559 ภมู ิปญั ญาอาหารพืน้ ถ่ินผไู้ ทในอสี าน
สารบัญ หน้า | ข เรอ่ื ง หน้า ก คานา 1 บทที่ 1 แนวคิดเกี่ยวกับภมู ปญั ญาพน้ื ถิ่น 45 ความหมายและความสาคัญของภมู ิปญั ญาไทย 1 ความสาคญั ของภูมิปัญญาไทย 5 67 แนวคิดการอนุรักษ์และสืบทอดวัฒนธรรมภูมปิ ญั ญาพน้ื ถ่ิน 17 71 บทสรปุ 21 83 บทที่ 2 วถี ีความเปน็ มาของชาวผู้ไทในสงั คมไทย 23 กาเนดิ ชนชาวผู้ไท 23 การอพยพของชาวผูไ้ ท 31 บทสรปุ 41 บทท่ี 3 ลกั ษณ์ทัว่ ไปทางสังคม วฒั นธรรมชาวผู้ไท 45 ลกั ษณท์ ว่ั ไปทางสังคม เศรษฐกจิ วัฒนธรรม วฒั นธรรมเคร่อื งแต่งกาย 53 วัฒนธรรมความเช่ือพธิ ีกรรมชาวผูไ้ ท 56 วัฒนธรรมการฟอ้ นชาวผไู้ ท 60 วฒั นธรรมภมู ิปัญญาอาหารชาวผู้ไท 64 บทสรุป บทที่ 4 ภมู ปิ ญั ญาอาหารพื้นถน่ิ ชาวผ้ไู ทอาหารคาวประเภทแกง,ต้ม 71 1.แกงหนอ่ ไม้ 2. แกงหวาย 3. แกงหมากมี้ 91 4. ตม้ ซ้ัวไก่ 99 ภูมปิ ัญญาอาหารพ้นื ถิ่นผไู้ ทในอีสาน
หนา้ | ค สารบญั (ตอ่ ) เรือ่ ง หนา้ บทสรปุ 105 บทท่ี 5 ภูมิปัญญาอาหารพ้นื ถนิ่ ชาวผู้ไทอาหารคาวประเภทออ่ ม,หมก 111 111 1. ออ่ มหอย 115 121 2. อ่อมผักเสย้ี น 136 139 3. อ่อมผักกมุ่ 161 4. หมกหน่อไม้ 127 188 บทสรุป 190 บทที่ 6 ภูมิปญั ญาอาหารพืน้ ถิน่ ชาวผไู้ ทอาหารคาวประเภทซุบ,ลาบ 1. ซบุ เหด็ กระด้าง 139 2. ซุบหมากมี้ 145 3. ลาบเทา 150 4. ลาบนกเปด็ นา้ 155 บทสรปุ 158 บทที่ 7 ภูมปิ ัญญาอาหารพน้ื ถิน่ ชาวผู้ไทอาหารหวาน 1. ข้าวต้มมะสาลี 161 2. โจม้ ะอึ 168 3. ขา้ วตม้ ขาว 173 4. บวดมันสาปะหลงั 178 5. ลอดชอ่ ง 182 บท สรปุ 186 บรรณานุกรม ประวัติผเู้ ขียน ภูมปิ ญั ญาอาหารพืน้ ถน่ิ ผูไ้ ทในอสี าน
หนา้ | 1 บทท่ี 1 แนวคดิ เก่ียวกับภูมปิ ัญญาพืน้ ถน่ิ มนุษยเ์ ราได้เลือกสภาพแวดลอ้ มทเ่ี หมาะสมในการตั้งหลักแหลง่ อยู่อาศยั ทํามาหากินมาเป็น เวลาช้านานมนุษย์เราได้เรยี นร้พู รอ้ มท้งั สร้างสรรคว์ ฒั นธรรมท่ีเหมาะสมอนั มาจากการปรับตวั ได้สง่ั สม ปรับเปล่ียนและแลกเปลย่ี นวัฒนธรรมซ่งึ กนั และกนั สิ่งเหลา่ นี้ จงึ ถอื วา่ เป็นภูมปิ ญั ญาทีไ่ ด้ส่งั สม สืบทอด เป็นมรดกเพื่อใช้ในการดําเนนิ ชวี ิตจนถงึ ทุกวนั น้ี ความหมายและความสาคัญของภมู ิปญั ญาพน้ื ถน่ิ ความรู้ความคิด ความเชื่อท่กี ลมกลนื กับวิถชี ีวิตแบบไทยน้นั ลว้ นมาจากบรรพบรุ ษุ ไทยทท่ี ่าน ไดถ้ ่ายทอดมาสู่ลูกหลานจนถงึ ปจั จบุ นั เชน่ การสรา้ ง บ้าน เรอื นไดเ้ หมาะสมกบั สภาพภูมิอากาศ เคร่ืองมอื เครือ่ งใช้อุปกรณต์ ลอดจนอาหารไทย สมุนไพร การนวดแผนไทย อักษรไทย การร่ายราํ ท่ีเปน็ เอกลักษณ์ฯลฯสงิ่ เหล่าน้ีเป็นวัฒนธรรมสืบทอดมาจนปัจจุบนั เปน็ ท่ีรู้จกั และยอมรับของชาวโลกแสดง ให้เหน็ ถงึ ความชาญฉลาดในการสร้างสรรค์เหลา่ นี้ ท่เี ราเรยี กว่า“ภูมิปญั ญาไทย” คําวา่ ภมู ิปัญญา ตรงกบั คาํ ศพั ท์ภาษาองั กฤษวา่ Wisdom ซงึ่ มคี วามหมายว่า ความรู้ ความสามารถ ในพจนานกุ รม ฉบับราชบณั ฑติ ยสถานพ.ศ. 2542 ภูมิปัญญา (Wisdom) หมายถึง พ้นื ความรู้ ความสามารถ ความเชอ่ื ความสามารถทางพฤติกรรม และความสามารถในการแก้ไขปญั หาของมนุษย์ ประยงค์ จันทร์แดง. (2552) กล่าว ยงั มคี าํ ท่ีเก่ยี วข้องกบั ภมู ปิ ัญญาหลากหลาย อาทเิ ช่นภูมิ ปญั ญาไทย ภูมปิ ญั ญาท้องถนิ่ หรือภูมปิ ญั ญาชาวบา้ น หรือภูมิปัญญาพืน้ บ้าน ผูท้ รงคุณภูมิปญั ญาไทย และปราชญช์ าวบ้าน เป็นต้น ดังนัน้ ภูมปิ ญั ญาไทย หมายถึง ความรู้ความสามารถ วธิ ีการ ผลงานท่คี นไทยได้ศึกษาเกบ็ รวบรวมความรู้และจดั เปน็ องคค์ วามรู้ ปรบั ปรงุ พฒั นาถา่ ยทอดจากคนรุน่ หน่งึ ไปสคู่ นอีกรุน่ หนงึ่ จนเกิดผลดีงาม มคี ณุ ค่า มีประโยชนน์ าํ ไปแกป้ ญั หาและพฒั นาชวี ติ ของคนไทยไดอ้ ย่างเหมาะสม กับยคุ สมยั ภูมิปัญญาอาหารพื้นถิน่ ผู้ไทในอีสาน
หน้า | 2 ภูมปิ ัญญาทอ้ งถน่ิ หรอื ภมู ิปัญญาพนื้ บา้ น หมายถงึ สงิ่ ทีแ่ สดงความรูค้ วามคดิ และการกระทาํ ของบรรพบรุ ุษของเราเพอ่ื ที่จะดํารงชวี ติ รอดอย่างมคี วามสขุ เช่น การท่ีชาวบา้ นรู้จักวิธกี ารทํานา การ ไถนาการเอาควายมาใช้ในการไถนา การรจู้ กั นวดขา้ ว โดยการ ใชค้ วาย รูจ้ ัก สานกระบงุ ตะกร้าเอาไม้ ไผม่ าทําเครอ่ื งใช้ ไมส้ อยในชีวิตประจําวนั รวมท้ังรู้จกั เอาดินขกี้ ระทาแช่นา้ํ ต้มใหเ้ ดือด จนแห้งเปน็ เกลือสินเธาว์เรยี กวา่ “ภมู ิปญั ญา” ทัง้ สน้ิ (ธวชั ปุณโณทก 2522.หนา้ 16) สําหรบั ผูท้ รงภูมิปญั ญาไทยหมายถงึ บุคคลท่ีเป็นเจา้ ของภมู ปิ ญั ญาชาวบ้านแล้วนาํ ภูมิปัญญา นน้ั ไปใช้ประโยชน์เพือ่ ดาํ รงชวี ิต ไดส้ ําเร็จ มผี ลงานดีเดน่ ได้รบั การยกย่อยเปน็ ผเู้ ชี่ยวชาญสามารถ ถา่ ยทอดเชอ่ื มโยงภมู ิปัญญาแต่ละสาขาให้แพร่หลาย และปราชญ์ชาวบ้าน หมายถงึ บุคคลทีเ่ ป็นเจ้าของภูมิปญั ญาชาวบา้ นและนาํ ภมู ิปัญญาไปใช้ ประโยชนใ์ นการดํารงชวี ติ จนประสบความสําเร็จสามารถถ่ายทอดเชื่อมโยงคณุ ค่าของอดตี กบั ปัจจุบัน ไดเ้ หมาะสม ดังน้ันการศกึ ษาทาํ ความเข้าใจเรื่องภูมปิ ัญญาทอ้ งถนิ่ จงึ ตอ้ งศกึ ษาและทาํ ความเข้าใจควบคู่ ไปกบั วัฒนธรรมพนื้ บ้านเพราะเป็นส่ิงท่ีเกยี่ วขอ้ งสอดคล้องสมั พันธ์กนั ในขณะเดียวกนั การศกึ ษาทาํ ความเข้าใจวฒั นธรรมพื้นบ้านก็จะตอ้ งเกยี่ วโยงกับงานภมู ปิ ัญญาทีท่ าํ ได้ง่าย ๆ เชน่ งานทาํ ดว้ ยมือหรือ งานหตั ถกรรม และศิลปกรรมพ้นื บ้าน ตามแผนพฒั นาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาตฉิ บบั ท่ี 11(พ.ศ.2555–2559)ได้กาํ หนดยุทธศาสตร์ ความเขม้ แขง็ ภาคเกษตรความมัน่ คงของอาหารและพลังงานโดยมแี นวทางการพฒั นาและส่งเสรมิ การ สร้างมลู คา่ เพิม่ สนิ ค้าเกษตรอาหารและพลังงานบนฐานของ ภูมปิ ัญญาท้องถ่ิน และความรู้สร้างสรรค์ สร้างความมน่ั คงในอาชพี และราย ได้แก่ เกษตรกร รวมถึงสรา้ งความมั่นคงด้านอาหารและพลงั งาน ชวี ภาพ ในครวั เรือนชมุ ชนและประเทศสนับสนนุ การผลิตและบรกิ ารของชมุ ชนในการสรา้ งมลู คา่ เพมิ่ สินคา้ เกษตร อาหารและพลงั งาน โดยพัฒนาศกั ยภาพการพฒั นาเศรษฐกิจจากฐานทรัพยากรความ หลากหลายทางชีวภาพ และภูมปิ ญั ญาท้องถ่นิ ในชมุ ชน บนฐานความรู้ทส่ี ร้างสรรค์เพ่อื สร้างเอกลกั ษณ์ ของสนิ ค้า เชน่ สมุนไพร ผลิตภณั ฑอ์ าหารและบริการเพ่ือสุขภาพ เปน็ ต้น (แผนพัฒนาเศรษฐกิจและ สงั คมแหง่ ชาติฉบบั ท่ี 11 พ.ศ.2555–2559: หนา้ 46-48) ภูมปิ ัญญาอาหารพน้ื ถิ่นผไู้ ทในอสี าน
หนา้ | 3 ภมู ปิ ัญญาท้องถิ่น หรือผมู้ ปิ ัญญาชาวบา้ น เป็นระบบความรู้ ความเช่ือ ความคิดของชาวบ้าน ในการจัดการและสะทอ้ นถงึ แบบแผนการดาํ เนินชวี ติ ซึง่ มคี วามแตกต่างกันไปในแต่ละสงั คมและ วัฒนธรรม ซ่งึ มีการปรับตัว ผสมผสานและสบื ทอดต่อๆ กนั มา จากการศึกษาของเสรี พงศพ์ ศิ (2529) กลา่ ววา่ ภมู ปิ ัญญาทอ้ งถนิ่ เป็นความร้ทู ี่เกิดการเรียนรู้ สะสมและสบื ทอด ซง่ึ เป็นประสบการณข์ องชวี ิต ของชาวบา้ นในทอ้ งถ่ินซ่ึงแบง่ ออกเปน็ 2 ลกั ษณะคอื ภมู ปิ ัญญาท้องถ่นิ ท่มี ลี กั ษณะเปน็ นามธรรม เปน็ โลกทศั น์ เป็นชวี ทัศน์ เปน็ ปรชั ญา เป็นวถิ กี ารดําเนินชวี ติ เกีย่ วกับ การเกิด แก่ เจ็บ ตาย คณุ ค่า และความหายของทุกสง่ิ ในชวี ติ ประจําวนั และลกั ษณะภมู ิปญั ญาทอ้ งถน่ิ ท่เี ปน็ รปู ธรรม ได้แก่ เร่อื ง ทีเ่ ก่ยี วกับศิลปวัฒนธรรม วตั ถตุ ่างๆ ทงั้ ทางการเกษตรการทาํ มาหากนิ ดนตรีและดา้ นอืน่ ๆ สามารถ จันทรส์ รู ย์ (2536) ได้อธิบายวา่ ภมู ปิ ญั ญาท้องถ่ิน หมายถึง พนื้ เพรากฐานของชวี ติ ความรขู้ องชาวบา้ นทเี่ กดิ จากการเรยี นร้ทู ้ังทางตรง คอื การปฏิบัตทิ ้ังจากประสบการณ์ด้วยตนเองหรือ ทางออ้ ม คือ ที่ไดร้ บั การบอกกล่าวผา่ นมาจากผู้ใหญ่ หรือความร้ทู ส่ี ืบต่อสะสมกนั มา ภมู ปิ ญั ญาทอ้ งถนิ่ เป็นทุกส่ิงทกุ อย่างท่ชี าวบ้านคดิ ไดเ้ อง นํามาใช้ในการแก้ไขปญั หาและพัฒนาสตปิ ญั ญาอนั เกดิ จาก ความรขู้ องชาวบา้ นทง้ั หมดที่ชาวบ้านคิดไดเ้ องและมีศักยภาพเพือ่ นาํ มาใชแ้ ก้ไขปญั หาในชวี ติ แต่ละทอ้ งถ่ินได้อย่างสมเหตสุ มผล ประเวศ วะสี (2536) กลา่ ววา่ ภมู ิปัญญาชาวบา้ นหรอื ภมู ิปัญญาท้องถิน่ เกดิ จากการสะสม ประสบการณ์ในชวี ิตสงั คมและสภาพสง่ิ แวดลอ้ มทแ่ี ตกตา่ งกนั ไปและสามารถา่ ยทอดต่อกนั มา เป็นวฒั นธรรมภมู ิปญั ญาท้องถิน่ ที่มีลกั ษณะเหมาะสมกบั ท้องถ่นิ น้นั ๆ คือ ลกั ษณะบริบทท่เี หมาะสมกบั แต่ละทอ้ งถิน่ และมีความสมั พนั ธ์กบั ธรรมชาติ เครอื ญาติ หรือสภาพทว่ั ไป รวมถงึ มีการเคารพผ้อู าวุโส ในชุมชน ซ่งึ ภมู ิปัญญาท้องถนิ่ หรอื ผ้มู ปิ ญั ญาชาวบ้านมีทม่ี า 3 ประการ คือ ภูมิปัญญาท่ีมาจากการใช้ ชวี ติ ตามธรรมชาติภมู ิปญั ญาทเี่ กิดจากประสบการณแ์ ละภูมปิ ัญญาเฉพาะดา้ นเก่ยี วกบั การทํามาหากนิ อาชีพ และภมู ิปญั ญาด้านอาหาร จากความหมายขา้ งต้นอาจกล่าวไดว้ ่า ภมู ปิ ัญญาท้องถิ่นจงึ เป็นวิถีคิด สติปญั ญา ทีเ่ กดิ จาก แบบแผนแห่งการเรียนรทู้ เ่ี กดิ ขึ้นมาอยา่ งตอ่ เนอ่ื งและอาหารพนื้ บา้ นทอ้ งถน่ิ เป็นภมู ปิ ญั ญาทาง วฒั นธรรมอย่างหนึง่ ของแตล่ ะชมุ ชน ที่ชาวบา้ นได้เรยี นรู้ เลือกสรร ปรงุ แต่งใหเ้ หมาะสมกับความ ต้องการ ความเปน็ ธรรมชาติแตล่ ะท้องถ่นิ ความสวยงามน่ารับประทาน ความอรอ่ ยซึ่งถูกปรุงแตง่ ภมู ิปัญญาอาหารพนื้ ถิน่ ผู้ไทในอสี าน
หน้า | 4 ปรับตัวให้เขา้ กบั วถิ ีชวี ิตประจาํ วันในแตล่ ะชุมชนอย่างหลากหลาย เป็นวัฒนธรรมที่มีคณุ ค่าทที่ าํ ให้ สามารถดาํ รงชีวติ สืบต่อมาร่นุ สู่รุ่น ดังนั้น ภูมปิ ญั ญาดา้ นอาหาร กเ็ ปน็ อีกภมู ิปญั ญาที่ สะท้อนถึงวธิ ีคิด โลกทศั น์ ความเชอ่ื กฎเกณฑ์ต่างๆ ซึ่งควรจะมีการศกึ ษาและอนุรักษ์ตอ่ ไป ความสาคญั ของภูมิปัญญาไทย ประเวศ วะสี(2533:31-34) ไดก้ ล่าวถงึ ความสําคญั ของภมู ิปัญญาชาวบา้ น สรปุ ไดว้ า่ สัจธรรม ทเี่ ด่นชัดไม่ว่าสงั คมใดหรือชุมชนใดก็ตาม เม่ือเกดิ ขนึ้ หรือดาํ รงอยูม่ านานจะตอ้ งมี ภมู ิปญั ญาของตวั เอง ไมเ่ ช่นนัน้ กอ็ ยูไ่ มไ่ ดก้ ารพัฒนาประเทศท่ีผา่ นมามองในดา้ นความคดิ และความรู้แลว้ รัฐบาลกบั เอกชนไม่ ค่อยใหค้ วามสาํ คัญในผู้มิปัญญาชาวบา้ นหรือความรดู้ ้ังเดิมของคนไทย ดว้ ยความไม่เขา้ ใจอาจ เห็นวา่ ภูมิปัญญาชาวบา้ นเปน็ ส่ิงทีค่ รํ่าครึตอ้ งพฒั นาให้ทนั สมยั ตามแบบยโุ รป เมื่อผา่ นการตอ่ เนือ่ งเป็น เวลานานผลที่ตามมาอาจพดู ไดว้ ่าชนบทไทยถกู ทาํ ลายยอ่ ยยบั เกดิ สภาพล้มละลายทัง้ ทางดา้ นสังคม เศรษฐกจิ และวฒั นธรรม ก่อผลกระทบถงึ ครอบครัวเนือ่ งจากความสมดุลของชีวติ เท่าที่เคยเปน็ อย่มู า ก่อนถูกทําลายลงและยงั ได้กล่าวถงึ ลักษณะสําคัญของภมู ิปัญญาพ้นื บ้านไว้ ดงั นี้ - มวี ฒั นธรรมเปน็ พืน้ ฐานไม่ใช่วิทยาศาสตร์ - มีการบูรณาการสูงทง้ั ในเรอ่ื งของกาย ใจ สงั คมและส่งิ แวดล้อม - มีความเชอ่ื มโยงไปสูน่ ามธรรมทลี่ ึกซึ้งสงู ส่ง - เน้นความสําคญั ของจรยิ ธรรมมากกวา่ วตั ถธุ รรม สามารถ จนั ทรส์ ูรย์ ( 2533:57-59) กลา่ วถงึ ความสําคัญของ ภูมปิ ัญญาชาวบา้ นสรุปไดว้ ่า ภูมปิ ญั ญาชาวบ้านมีความสาํ คัญ เพราะทําให้ชาวบ้านดาํ รงชีพอยู่ไดพ้ ่งึ พาตนเองไดเ้ หมาะสม กับสภาพแวดล้อม ด้วยความคิดความสามารถของชาวบ้านเองในสภาวะท่มี กี าร เปล่ยี นแปลงทางสังคม ภูมปิ ัญญาชาวบา้ นเป็นรากฐานของวัฒนธรรมชุมชนการพฒั นาใดๆ กต็ าม จงึ ควรคํานงึ ถงึ ความรู้ ความสามารถของชาวบ้านให้ความสําคญั กบั ภูมปิ ญั ญาชาวบา้ นในการพัฒนาซ่งึ ทําให้การพัฒนา สอดคลอ้ งกับความเปน็ อยู่ของชาวบา้ นในชุมชนน้ันๆ ได้อยา่ งเหมาะสม ภมู ปิ ญั ญาอาหารพนื้ ถน่ิ ผไู้ ทในอสี าน
หน้า | 5 สรุ เชษฐ์ เวชชพิทักษ์ (2534: 88-89) ไดก้ ลา่ วถงึ ความสําคญั ของภมู ิปญั ญาชาวบา้ นสรปุ ไดว้ า่ ภมู ิปัญญาชาวบ้านมคี วามเกีย่ วขอ้ งกับวฒั นธรรมเนื่องจากวฒั นธรรมเปน็ ความเจรญิ งอกงามของชมุ ชน การพฒั นาเป็นการทาํ ให้ดขี ้ึน เจรญิ งอกงามข้ึนดงั นนั้ การดําเนินงานดา้ นวฒั นธรรมกบั การพัฒนาจงึ ต้อง ใช้ผมู้ ปิ ญั ญาค้นหาสง่ิ ทม่ี ีอยู่แล้วมาฟนื้ ฟู ประยกุ ต์และสร้างเสริมสิ่งใหมบ่ นรากฐานเทา่ ท่คี ้นพบนนั้ ซงึ่ ภูมปิ ัญญาจะเป็นรากฐานของการพฒั นา สันตสิ ขุ กฤดากร (2541: 17) กลา่ วถงึ ภูมิปัญญาชาวบ้านหรือภมู ิปัญญาพื้นถ่นิ มคี วามสําคัญ 3 ประการ ดังต่อไปนี้ 1. ช่วยให้สมาชิกชมุ ชนหมบู่ ้านดาํ รงชวี ติ รว่ มกนั อยูไ่ ด้อยา่ งสงบสขุ 2. ช่วยสร้างความสมดุลระหวา่ งคนกบั ธรรมชาติแวดลอ้ ม 3. ช่วยให้ผู้คนดาํ รงตนและปรับเปลยี่ นให้ทันต่อความเปลยี่ นแปลงและผลกระทบอันเกิดจาก สังคมภายนอก จากความสําคญั ของภูมิปญั ญาชาวบา้ นหรอื ภูมปิ ญั ญาพืน้ ถิ่นกพ็ อจะกล่าวไดว้ า่ ภูมิปญั ญา ชาวบา้ นหรอื ภมู ปิ ัญญาพนื้ ถิน่ มคี วามสําคัญต่อวถิ ีชวี ิตประจําวนั ของชาวบ้าน เป็นรากฐานของการ พฒั นาสงั คมหรือชมุ ชนและเป็นรากฐานของวฒั นธรรมโดยสะท้อนออกมาในรปู ของวถิ ชี ีวติ ขนบธรรมเนียม ประเพณี ศาสนา พิธกี รรม ภาษา ความเช่ือวรรณกรรมดนตรี การละเล่น อาหาร พน้ื บา้ นและภมู ปิ ัญญาพน้ื ถ่นิ นน้ั มคี วามสําคัญตอ่ ประเทศชาติดว้ ยเพราะวา่ สังคมหรอื ชมุ ชน หากไม่มี ภูมิปญั ญาพน้ื ถิ่นกไ็ ม่สามารถทีจ่ ะอยู่รอดในสงั คมได้ด้วยตนเองดงั นน้ั การพฒั นาจาํ เปน็ ตอ้ งคาํ นงึ ถึง ภูมิปัญญาแห่งชาตแิ ละภูมิปญั ญาชาวบ้านหรอื ภมู ิปัญญาพน้ื ถ่ิน ลกั ษณะของภูมิปญั ญาไทย มีดังนี้ 1. ภมู ิปญั ญาไทย เปน็ เร่อื งใช้ความรู้ ( Knowledge) ทกั ษะ (Skill) ความเชื่อ (Belief) และ พฤตกิ รรม (Behavior) 2. ภมู ปิ ญั ญาไทย แสดงถึงความสัมพันธ์ระหว่างคนกบั คน คนกบั ธรรมชาติส่ิงแวดล้อมและคน กับสง่ิ เหนอื ธรรมชาติ ภูมิปัญญาอาหารพืน้ ถน่ิ ผไู้ ทในอีสาน
หน้า | 6 3. ภูมิปัญญาไทย เป็นองคร์ วมหรอื กจิ กรรมทุกอย่างในวถิ ชี วี ิต 4. ภมู ิปญั ญาไทย เป็นเรอ่ื งของการแกไ้ ขปัญหา การจัดการ การปรบั ตัว การเรียนรู้ เพอ่ื คง วามอยรู่ อดของบุคคล ชมุ ชน และสงั คม 5. ภูมิปญั ญา เปน็ แกนหลกั หรือกระบวนทัศน์ในการมองชีวิต เป็นพนื้ ความรใู้ นเรอ่ื งตา่ งๆ 6. ภมู ปิ ญั ญาไทยมลี กั ษณะเฉพาะหรือมเี อกลักษณ์ในตวั เอง 7. ภูมปิ ัญญาไทยมีการเปลี่ยนแปลง เพ่อื การปรับสมดุลในพฒั นาการทางสงั คมตลอดเวลา ความสาคญั คณุ คา่ ของภมู ิปัญญาไทย คุณค่าของภูมิปญั ญาไทยสบื ทอดมาอย่างตอ่ เนอ่ื งจากบรรพบรุ ุษทไี่ ด้สร้างความเป็นปึกแผน่ ม่นั คงให้ชาตบิ ้านเมอื งมกี ารดาํ รงชีวติ ทีอ่ ย่อู ย่างร่มเย็นเป็นสุขทําให้คนในชาตเิ กดิ ความรกั และความ ภาคภมู ใิ จเพอ่ื สืบสานไปส่อู นาคตสรปุ ความสําคญั ไดด้ งั นี้ 1. สรา้ งชาติใหเ้ ปน็ ปกึ แผน่ ม่นั คง พระมหากษตั รยิ ไ์ ทยทรงใชภ้ ูมปิ ญั ญาในการสร้างชาติ สร้าง ความเป็นปึกแผ่นของประเทศตงั้ แตส่ มยั สโุ ขทยั จนถึงปจั จบุ ัน 2. สร้างความภาคภูมิใจและเกียรตภิ มู ิศักดศิ์ รีของความเป็นไทยเช่น 2.1. มวยไทยมีชอื่ เสยี งไปทว่ั โลก ปจั จบุ ันมีค่ายมวยอยู่ในหลายประเทศทว่ั โลก 2.2. ภาษาและวรรณกรรมชาวไทยมภี าษาพดู และภาษาเขยี นเป็นของตนเอง วรรณกรรมเป็น ทีร่ จู้ กั มกี ารแปลเป็นภาษาต่างประเทศสุนทรภเู่ ปน็ นักปราชญท์ างวรรณกรรมบคุ คลหนง่ึ ท่ไี ด้รบั การยก ยอ่ งจากองค์การศกึ ษาวิทยาศาสตรแ์ ละวัฒนธรรมแหง่ ประชาชาติ (ยเู นสโก) เปน็ กวเี อกของโลก 2.3. อาหารไทย เป็นอาหารทชี่ าวตา่ งชาตชิ ื่นชอบและรูจ้ กั กันแพรห่ ลาย อาทิเช่น ต้มยาํ กุง้ ต้มขา่ ไก่ เปน็ ต้น 2.4. สมุนไพรไทยเป็นทีร่ ูจ้ กั และยอมรบั จากนานาประเทศ จนบางประเทศนาํ สมนุ ไพรไทยไป จดเป็นลิขสทิ ธขิ์ องตนเอง ภมู ิปญั ญาอาหารพนื้ ถนิ่ ผ้ไู ทในอสี าน
หน้า | 7 3. การนาหลักธรรมมาประยกุ ตใ์ ช้กับวิถีชีวิตอยา่ งเหมาะสม ทําใหร้ ู้จกั พ่ึงพาอาศัยกัน ให้อภยั กัน 4.การนาธรรมชาตมิ าใช้ในการดารงชีวติ เช่น อาหารไทย มกั เป็นอาหาร หวานมนั มกี ะทเิ ป็น ส่วนประกอบ หากรบั ประทานมากก็จะทําให้เกิดทอ้ งอืดได้ ดงั นนั้ จึงมกี ารนาํ พืชสมุนไพร เชน่ ตะไคร้ใบ มะกดู มาใสเ่ พ่ือช่วยแกป้ ัญหาดังกลา่ ว 5. การพัฒนาชีวติ ใหเ้ หมาะสมกับยุคสมัย ในยุคสมัยไดม้ ีการพัฒนาไปตามสภาพสงั คมท่ี เปลยี่ นแปลงไป ตัวอยา่ งเชน่ คนในสมัยก่อนใช้เรือพายเป็นพาหนะในการเดินทางแตป่ ัจจุบนั มกี าร พฒั นามาเป็นเรือท่ีใชเ้ คร่อื งยนตแ์ ทนทําใหก้ ารเดนิ ทางรวดเรว็ ยงิ่ ขึ้นนอกจากน้ียังได้มกี ารพฒั นาการ เดนิ ทางให้หลากหลายวธิ มี ากเชน่ รถยนต์ เครื่องบนิ รถไฟใตด้ นิ เป็นตน้ ความสัมพนั ธ์ภมู ิปัญญาไทยมีกับการดาเนินชีวติ ของคนไทย แสดงออกมาใน 3 ลักษณะ คือ 1. ภูมิปัญญาที่เกดิ จากความสมั พันธ์ระหว่างคนกบั ธรรมชาติ สงิ่ แวดลอ้ ม 2. ภูมปิ ัญญาทเี่ กิดจากความสมั พันธ์ระหวา่ งคนกับคนอน่ื ในสงั คม 3. ภมู ปิ ัญญาทเ่ี กิดจากความสมั พันธ์ระหวา่ งคนกบั สิ่งเหนือธรรมชาติ สังคมไทยเปน็ สงั คมเกษตรทพ่ี ง่ึ พาธรรมชาติ ความคิด ความเชื่อทางศาสนา การผสมผสานกบั วัฒนธรรมต่างชาติ มกี ารดัดแปลงปรบั ปรุงเพอ่ื ให้เหมาะสมกับเอกลกั ษณ์เฉพาะและมีการพฒั นา ถ่ายทอดมาจนถงึ ปจั จุบัน ภมู ิปัญญาไทยเป็นมรดกทางวฒั นธรรมอันลา้ํ คา่ ท่บี รรพบุรษุ ไทยไดส้ ั่งสมไวใ้ ห้ ลูกหลานไทยจงึ ควรอนุรกั ษ์ไว้ดว้ ยความภาคภูมใิ จ การนาํ ภมู ปิ ญั ญาในดา้ นตา่ งๆ มาพัฒนาเพ่อื นําไปใช้ ในชีวิตประจําวันได้ อาทิเชน่ ดา้ นการทําอาหาร ในการปรงุ การเตมิ แต่งรสชาตขิ องอาหารอย่างมีเสนห่ ์ หรอื ท่เี รียกกันวา่ เสนห่ ์ปลายจวัก มีไดผ้ ู้หญิง และผู้ชายแต่สว่ นมากจะมใี นผหู้ ญิง เพราะผ้หู ญงิ มีความ ละเอียดอ่อนกว่าผู้ชายด้านการทักทอเครือ่ งนุ่งหม่ ในการจักทอสานเนอื้ ผ้าใหม้ ีความสวยงาม มลี ายเสน้ หลากหลายแบบแต่เป็นไทยและมคี วามประณีตจึงกลายเป็นเอกลักษณอ์ ยา่ งหนงึ่ ของประเทศ ไทย ด้านการสร้างบ้าน มคี วามคิดสร้างสรรคท์ ี่สามารถปรับตัวเขา้ กับสภาพอากาศซงึ่ ประเทศไทยมี 3 ฤดู เช่น ฤดูรอ้ น ฤดฝู นและฤดูหนาว ซึ่งในแต่ละภาคแตล่ ะชมุ ชนจะมีความคดิ ไมเ่ หมอื นกันตาม สภาพอากาศของแตล่ ะชุมชนดา้ นการประยกุ ต์ยารกั ษาโรคหรือสมนุ ไพรในภมู ภิ าคต่าง ทดลอง พชื พนั ธ์ุ ตา่ งๆเพือ่ อยากรู้สรรพคณุ ในแตล่ ะด้านแต่ละประเภททีม่ กี ารนําภมู ปิ ญั ญาไทยมาใช้ให้เกิด เปน็ ประโยชน์ต่อส่วนรวมและบคุ คลทวั่ ไปตลอดจนเป็น ขอ้ มลู ต่อประโยชนใ์ นทางทดี่ แี ละสาธารณะ เพือ่ ใหบ้ ุคคลภายนอกและภายในไดศ้ ึกษาคน้ ควา้ และเพมิ่ ความรู้ตอ่ ตนเองและเป็น ประโยชน์ในบคุ คล ภูมิปัญญาอาหารพน้ื ถ่ินผไู้ ทในอีสาน
หน้า | 8 หมมู่ ากและดา้ นความสามคั คที างศาสนาและการอนรุ ักษ์เพราะการนําภมู ปิ ญั ญาในด้านตา่ งๆ มาผสมผสานให้เข้ากับการนํามาประยุกตแ์ ละสอดคล้องกับภมู ิปญั ญาดา้ นตา่ งๆ จงึ ไรค้ นหรอื สัตวใ์ นการ ทดลอง เพราะเหตนุ ้นั สมุนไพรจงึ ไดม้ าอย่างยากลาํ บากและมันได้ตกทอดมาจนถึงปัจจุบันนี้ ท่ีมยี าที่ สกดั จากสมุนไพรต่างๆ หรืออาจจะทาํ มาจากสารเคมกี ็ได้ มาประกอบเพอื่ อยากจะใหท้ ุกคนได้เหน็ คณุ ค่ากบั การนาํ ภมู ปิ ญั ญามาใช้ในชีวิตประจําวนั ตลอดเร่อื ยๆ มาจนถงึ สังคมในปัจจุบัน ประเพณีไทย และศาสนาเพอื่ จะได้มสี ง่ิ ทจี่ ะยึดเหนี่ยวจติ ใจของผู้คนเอาไวไ้ ด้ ดังนั้นเราสามารถนําภูมปิ ัญญาไทยต่างๆ ไปใชใ้ นชวี ติ ประจําวนั ไดใ้ นทางทด่ี ี ภูมิปัญญาไทยกับปัจจัยส่ี 1. ภมู ิปัญญาไทยดา้ นการแตง่ กาย (เครอ่ื งนงุ่ ห่ม) 2. ภูมปิ ัญญาไทยดา้ นสุขภาพอนามยั (ยารักษาโรค) 3. ภมู ปิ ญั ญาไทยด้านทอี่ ย่อู าศยั (ทอี่ ยอู่ าศัย) 4. ภูมปิ ัญญาไทยดา้ นอาหาร (อาหาร) ภูมปิ ัญญาไทยด้านการแตง่ กาย เน่อื งจากสภาพภูมอิ ากาศของประเทศไทยอยใู่ นเขตร้อน คนไทยจึงมภี มู ปิ ัญญาในการใช้เสือ้ ผ้าเครื่องนงุ่ หม่ ที่เหมาะสมกับอากาศและสภาพแวดลอ้ ม เลอื กใช้ วสั ดุทส่ี ามารถถ่ายเทความร้อนได้ดี ได้แก่ ฝาู ย ไหม โดยการนํามาทอเปน็ ผนื เพอ่ื นุ่งหม่ ประกอบกับ อุปนสิ ัยทีร่ กั สวยรกั งาม และมคี วามประณีต จึงได้มีการคิดค้นเทคนคิ การทอ ลวดลายและการย้อมสี ให้ มคี วามสวยงามโดดเด่น เช่น ฝูาแพรวา เปน็ ผา้ ทอดว้ ยเทคนคิ การจกและขิดหลายสีบนผืนผ้า ซึ่งถือได้ ว่า เป็นภูมปิ ัญญาเกยี่ วกบั เคร่อื งนงุ่ ห่มของไทยบรรพบุรุษไทยได้ส่งั สมภูมปิ ัญญาจากกระบวนการเรียนรู้ ทดลองพฒั นาจากธรรมชาตจิ นสามารถผลติ เส้นใยผา้ อปุ กรณก์ ารทอผา้ ตลอดจนการย้อมผ้าใหม้ ีสสี ัน ทส่ี วยงามจากผลิตภณั ฑ์ ธรรมชาติ จนกลายเป็นเครื่องแตง่ กายท่มี คี ณุ คา่ มาจนถงึ ปจั จบุ นั เช่น รปู ภาพ การแต่งกายไทย 4 ภาค ท่ีมา https://50510ubonrat.wordpress.com ภูมปิ ัญญาอาหารพนื้ ถิน่ ผูไ้ ทในอีสาน
หนา้ | 9 ภูมิปัญญาไทยด้านสขุ อนามัย การแพทยแ์ ผนไทย หมายถงึ ปรชั ญา องค์ความรู้และวธิ กี าร ปฏบิ ัติ เพือ่ การดแู ลสุขภาพและการบาํ บัดรกั ษาโรค ความเจ็บปุวยของประชาชนไทยแบบดัง้ เดิม สอดคลอ้ งกับขนบธรรมเนียมวฒั นธรรมไทยและวิถชี วี ิตแบบไทยวิธกี ารปฏิบตั ิของแพทย์แผนไทย ประกอบดว้ ยการใช้สมุนไพร (ดว้ ยการตม้ การอบ การประคบการปน้ั เป็นลูกกลอน)หัตถบาํ บัด การรกั ษากระดูกแบบด้ังเดิม และถ่ายทอดประสบการณอ์ ยา่ งเปน็ ระบบ โดยการบอกเล่า การสังเกต การบันทึกและการศึกษาผา่ นสถาบนั การศกึ ษาด้านแพทย์แผนไทย เชน่ การแพทยแ์ ผนไทย สมุนไพร ยาไทยฯลฯ ทุกชุมชนมเี อกลกั ษณเ์ ป็นของตนเอง ทั้งประเพณี วฒั นธรรมและวถิ กี ารดาํ เนินชีวิตซึง่ เอกลกั ษณด์ งั กล่าวไดด้ าํ เนินขนึ้ และสืบทอดโดยคนรนุ่ กอ่ นในชมุ ชน มกี ารสั่งสมภมู ปิ ญั ญาดา้ นต่าง และ ผ่านการพฒั นาใชใ้ หส้ อดคล้องกับชวี ติ ส่ิงแวดล้อมและทรพั ยากรในชมุ ชน เช่น การแต่งกาย การรบั ประทานอาหาร การสรา้ งบ้านเรือน รวมถงึ การดูแลรกั ษาสุขภาพและการบําบดั โรค ซง่ึ ผา่ นการ ลองผดิ ลองถูกจนเกิดเป็นปญั ญาในการสร้างเสริมสขุ ภาพและการปอู งกันโรคของชุมชน ตัวอย่างเช่น การรับประทานผกั เพือ่ บํารงุ รา่ งกาย การรักษาโรคด้วยสุมนไพร การนาดไทยเพอ่ื บําบดั บรรเทาการ เจบ็ ปุวย การประคบสมุนไพรรักษาอาการปวดเมอื่ ย เคลด็ ขัดยอก หรือการอยูไฟเพ่อื ส่งเสริมและฟ้ืนฟู สุขภาพของผูห้ ญิงหลังคลอดบตุ ร เปน็ ตน้ รปู ภาพ สมนุ ไพรไทย ท่มี า http://image.dek-d.com/26/1205315/112851944 ภมู ปิ ญั ญาอาหารพืน้ ถน่ิ ผู้ไทในอีสาน
หน้า | 10 ภมู ปิ ญั ญาไทยดา้ นท่ีอย่อู าศยั ที่อยอู่ าศัยของมนษุ ยม์ ีความสัมพนั ธ์กับพ้นื ทที่ ี่บคุ คลอาศัยอยู่ สภาพภมู ปิ ระเทศไทยมีทัง้ ที่ราบลมุ่ ฝ่ังแม่นํ้าการสรา้ งจึงจําเปน็ ต้องสรา้ งเป็นใต้ถุนสงู เพอ่ื แกป้ ัญหานํ้า ทว่ มขัง รปู แบบการสรา้ งบา้ นในบรเิ วณท่รี าบสงู และที่สงู จะมีหน้าตา่ งนอ้ ย ท้ังน้ี เนือ่ งจากบรเิ วณท่สี งู จะมีอากาศหนาวเย็น เมื่อสร้างบา้ นมีหน้าตา่ งนอ้ ย ลมก็พัดเข้าบ้านน้อยทาํ ใหอ้ ุณหภูมใิ นบ้านอบอนุ่ อยู่ สบาย การสร้างบา้ นตามชายฝง่ั ทะเล ซ่ึงพื้นดินเปน็ ดนิ ปนกับทราย จะใช้แทง่ หินหรอื คอนกรตี ฝงั ลงใน ดิน กอ่ นทีจ่ ะนําเสาบา้ นมาวาง แลจ้ งึ ยึดเสาบ้านและแทง่ หนิ ไว้ ซึง่ เป็นภมู ิปัญญาทีป่ ูองกันบ้านทรุด นอกจากน้ียังไมน่ ยิ มสรา้ งบา้ นถนุ สงู การนาํ วตั ถุตา่ งๆ มาประกอบเป็นรปู ร่างของบ้าน ค่อยขา้ งจะใช้ เวลาแตค่ นไทยเรากย็ งั สามารถ สร้างเป็นรูปร่างของบา้ นเสรจ็ สมบรูณ์ และเป็นทอ่ี ยูอ่ าศยั ทีด่ ูแลว้ มี ความคงทนกับสภาวะส่ิงแวดลอ้ มรายรอบตา่ งๆ ไดด้ ี ตามลําดบั และถาวรทัง้ น้เี พ่อื ปอู งกนั แรงจากลม พายจุ ะไดเ้ ห็นวา่ การสร้างบา้ นในแต่ละท้องถน่ิ ได้แสดงถึงภมู ิปญั ญาของคนไทยในการสรา้ งทีอ่ ยูอ่ าศัย ซ่งึ สามารถแกไ้ ขป้ ัญหาจากธรรมชาติทอี่ ยู่รอบตนเองไดอยา่ งเหมาะสม บ้าน คอื ทีอ่ ยู่อาศัย ซ่ึงนับเปน็ ความจําเป็นต่อการดําเนนิ ชวี ิต การสรา้ งท่ีอยอู่ าศยั ของไทย มีรูปแบบทีห่ ลากหลายตามสภาพแวดล้อมในแต่ละทอ้ งถิ่น การสร้างบ้านจะสะท้อนใหเ้ หน็ ถงึ ชวี ิตของ คนในท้องถนิ่ สภาพสงั คม เศรษฐกิจ คติความเช่อื ของผู้สร้าง รูปภาพ บา้ นไทยในภาคอกี สาน ทมี่ า http://vernaculararchi.blogspot.com/2015/03/vernacular-architecture.html ภมู ิปัญญาอาหารพน้ื ถนิ่ ผู้ไทในอีสาน
หนา้ | 11 ภมู ิปญั ญาไทยด้านอาหาร อาหารไทยแท้ คืออาหารท่ีคนไทยคิดทาํ กนั มาแตโ่ บราณ สว่ นมาก เปน็ แบบง่ายๆ เช่น ขา้ วแช่ ต้มโคล้ง แกงปุา นา้ํ พริกและหลนเป็นต้น สว่ นขนมไทยแทก้ ็ปรงุ มาจากแปงู น้าํ ตาล กะทิ เป็นสว่ นใหญ่ เช่น ขนมเปยี กปนู ขนมเปยี กอ่อนตะโก้ ลอดช่อง ขนมปลากริมไขเ่ ต่า ขนม ใส่ไส้ และขนมครก เปน็ ต้น ภมู ิปัญญาของคนไทยซ่ึงถงึ ถือกําเนิดขน้ึ ตง้ั แต่ ในยคุ ประวัตศิ าสตร์ อาหาร แต่ละอยา่ งไดผ้ า่ น การคดิ ค้นข้นึ มาเพ่อื ให้เข้ากับภมู ิอากาศ ภูมปิ ระเทศในการหาวตั ถุดบิ ในการ ประกอบ ปรุงอาหาร และยงั มี คุณค่าทางโภชนาการ ถึงแม้ในอดตี คนไทยยังไม่มีววิ ฒั นาการในด้าน วิทยาศาสตร์ แต่กไ็ ด้มคี วามรูเ้ ร่อื งประโยชน์ในการนําวัตถดุ บิ มาประกอบอาหาร เพราะสว่ นใหญ่ วัตถุดบิ ทใี่ ชใ้ นการทาํ น้นั เปน็ สมนุ ไพร ใช้ในการรกั ษา ปอู งกันโรคต่างๆ ไดซ้ ง่ึ ในปจั จุบันวิทยาการ พัฒนาขึ้น ทางวทิ ยาศาสตร์ไดศ้ ึกษา แลว้ ก็ลงความเห็นว่าเปน็ เชน่ ดังท่คี นสมยั ก่อนเข้าใจ สง่ิ นจ่ี ึงเป็นท่ี เหน็ ไดช้ ดั ว่า คนไทยมีภมู ิปญั ญาทไ่ี ม่ด้อยกวา่ ใคร ดังนั้นการรับประทานอาหารไทยนน้ั จึงมปี ระโยชน์ อย่างมาก ในปัจจุบันชาวตา่ งชาตกิ ็ไดห้ ันมานยิ มอาหารไทย เพราะติดใจในรสชาตทิ ีเ่ ปน็ ไทยๆ ทัง้ โภชนาการสงู โดย สว่ นใหญ่อาหารไทยจะมีวธิ กี ารประกอบอยา่ งง่ายๆ และ ใชเ้ วลาในการทําไม่มาก นกั โดยเฉพาะทุกครัวเรอื นของคนไทย จะมีส่วนประกอบอาหารตดิ อย่ทู กุ ครวั เรอื น ไม่ว่าจะเป็นพรกิ แหง้ กุ้งแหง้ น้าํ ปลา กะปิ สม้ มะขาม กระเทยี ม หวั หอมตลอดจนปลาบ้าง รวมทัง้ สว่ นประกอบอาหาร จําพวกผกั และเน้อื สัตว์นานาชนดิ เพราะมีวธิ ีนํามาประกอบที่มดี ้วยกันหลายรูปแบบไม่ว่าจะเป็น ตม้ ผัด แกง ทอด และยาํ (ประเวศ วะสี. หนา้ 17 -19 2536) ลักษณะเด่นของอาหารไทย คอื อาหารแต่ ละชนิดจะมคี ณุ ค่าทางอาหารครบทงั้ 5 หมู่ และส่วนประกอบของอาหารจะมีสมนุ ไพรที่มปี ระโยชนต์ อ่ สขุ ภาพอยดู่ ้วยเชน่ ข่า ตะไคร้ ใบมะกรูด ซงึ่ การนาํ สมนุ ไพรมาเป็นสว่ นประกอบของอาหารน้จี ัดได้ว่า เปน็ ภมู ิปญั ญาด้านอาหารของอาหารไทย ตัวอย่างของอาหารทม่ี ีสมนุ ไพรเป็นสว่ นประกอบ ไดแ้ ก่ ตม้ ยาํ กงุ้ แกงเหลือง แกงไตปลา น้ําพริกออ่ ง อ่อม และสม้ ตาํ เป็นตน้ นอกจากสว่ นประกอบของอาหาร แล้ว การตกแตง่ อาหารอยา่ งสวยงาม ประณีต กเ็ ปน็ ภมู ิปัญญาอีกอยา่ งหน่ึงท่ีทาํ ใหอ้ าหารดูนา่ รับประทานยิ่งขึน้ เช่น การแกะสลกั ผกั ผลไม้ การประดษิ ฐ์รปู แบบของขนมให้สวยงาม เช่น ขนมลกู ชบุ ขนมทองเอก ขนมจ่ามงกฎุ เป็นต้น การทอี่ าหารไทยมคี ณุ ค่าทางโภชนาการและมคี วามสวยงาม จึงทาํ ใหอ้ าหารไทยไดร้ บั ความนิยมไปทัว่ โลกอาหารไทย สิ่งหน่งึ ท่ีสามารถบ่งบอกความเปน็ ไทยได้เป็นอย่างดี เนื่องจากความหลากหลายทางวฒั นธรรม ผสมผสานกบั วิถชี วี ติ ความเป็นอยขู่ องชนชาวไทยถา่ ยทอด ออกมาเปน็ อาหารท่มี ีรสชาติความอรอ่ ยไม่แพ้ชาตใิ ดในโลก อกี ท้งั คุณค่าทางอาหารและโภชนา การทํา ใหอ้ าหารไทยถูกกลา่ วขานไปทั่วโลก พรชยั กาพนั ธ์(หนา้ 52 :2545)บอกวา่ แม้จะไดข้ ึน้ ช่อื วา่ ภูมปิ ัญญาอาหารพ้ืนถน่ิ ผูไ้ ทในอสี าน
หน้า | 12 อาหารไทย แตเ่ สนห่ ์อกี อย่างหนงึ่ ทีข่ าดมิได้ก็ คือ ความหลากหลายของอาหารในแตล่ ะภาค แน่นอนว่า รสชาติยอ่ มแตกตา่ งกันข้ึนกับความนิยมชมชอบของผูร้ ับประทาน ภมู ปิ ัญญาอาหารพ้นื ถนิ่ อีสาน สภาพภมู ิศาสตร์ของภาคตะวนั ออกเฉียงเหนือหรอื ภาคอีสานมีผลต่ออาหารการกนิ ของคน ท้องถ่ิน อยา่ งมาก เนอ่ื งจากพ้นื ท่บี างแหง่ แหง้ แล้ง วัตถดุ ิบที่นาํ มาประกอบอาหารซงึ่ หาไดต้ าม ธรรมชาติ ไดแ้ ก่ ปลา แมลงบางชนดิ พืชผกั ต่าง ๆ การนาํ วิธีการถนอมอาหารมาใชเ้ พ่ือรักษาอาหารไว้ กนิ นานจึงเปน็ ส่วนสาํ คัญในการดํารงชพี ของคนอสี าน ชาวอีสานจะมขี า้ วเหนียวนงึ่ เป็นอาหารหลัก เช่นเดียวกบั ภาคเหนอื เน้อื สตั ว์ทีน่ ํามาปรงุ อาหาร ไดแ้ ก่ สตั วท์ ่หี ามาได้ เช่น กบ เขียด แย้ แมลงต่างๆ ท่มี าของรสชาติอาหารอสี าน เช่น รสเค็มได้จากปลาร้า รสเผด็ ไดจ้ ากพรกิ สดและพริกแห้ง รสเปรย้ี วได้ จากมะกอก ส้มมะขาม และมดแดง ในอดีตคนอสี านนยิ มหมกั ปลาร้าไว้กนิ เองเพราะมีปลาอุดม สมบูรณ์ ประกอบกับเปน็ แหลง่ เกลอื สินเธาว์ ทาํ ใหก้ ารทําปลารา้ เปน็ ท่แี พรห่ ลายมาก จากปลาร้า พ้ืนบา้ นอสี านไดม้ ีการพัฒนาทง้ั วธิ ีการทําและรสชาตจิ นกลายเปน็ ตํารับปลาร้าที่สง่ ขายตา่ งประเทศใน ปจั จุบันอาหารพ้ืนบา้ นอสี านท่ีมีชอ่ื เสยี ง ได้แก่ ตํามะละกอ ตําแตงรา้ น ตาํ ถั่วฝกั ยาว ใสม่ ะกอกเพิ่มรส เปรย้ี วใสป่ ลารา้ เพ่ิมรสเค็มเพมิ่ รสเผด็ ด้วยพรกิ รูปภาพ อาหารอสี าน ทม่ี า https://siripunn.files.wordpress.com/2012/02/ ภูมิปญั ญาอาหารพ้ืนถน่ิ ผ้ไู ทในอสี าน
หน้า | 13 ภมู ิปัญญาทอ้ งถ่ินเปน็ เครือ่ งบ่งชี้ท่แี สดงใหเ้ ห็นถงึ คณุ ค่าของชมุ ชนในท้องถิ่นทไ่ี ดร้ ับการสง่ ต่อ สืบสานกนั มาจนเปน็ วัฒนธรรมประจาํ ในแต่ละท้องถ่ินเปน็ มรดกตกทอด จากคนรุ่นปุยู า่ ตายายมาสู่ รนุ่ ลกู หลาน ในปจั จุบันภูมปิ ญั ญาทอ้ งถน่ิ นนั้ มหี ลากหลายประเภทซ่งึ เกดิ จากการเรียนรู้ สั่งสมของ บรรพบรุ ษุ ต้ังแตค่ รงั้ อดตี ถ่ายทอดมาจนถงึ ปจั จบุ นั ภมู ิปญั ญามที ัง้ ทเ่ี ปน็ คาํ สอนท่ดี ีงามในการประพฤติ ปฏิบัตทิ ้งั ที่เป็นการประกอบสัมมาอาชพี เปน็ อาหารการกิน ที่อยู่อาศัย เคร่อื งใชส้ อยในการดาํ รงชวี ติ ประจําวนั ภมู ปิ ัญญาด้านการรกั ษาพยาบาล ศลิ ปะบันเทงิ การแสดงทั้งหลาย รวมถึงสิ่งของทีใ่ ช้ในการ ประดับตกแตง่ บ้านเรือนใหส้ วยงาม ในแต่ละทอ้ งถิ่นจะมีสิ่งทแ่ี สดงถงึ ภมู ิปญั ญาที่เปน็ ลักษณะเฉพาะ ของตนเองแตกต่างกนั ไป ภมู ปิ ญั ญาบางอย่างอาจมีใหเ้ หน็ ไดท้ ัว่ ไปในหลายพื้นที่แต่ภมู ิปัญญาบางอยา่ ง จะมีให้เหน็ ได้เพยี งเฉพาะในบางพื้นท่เี ทา่ นน้ั (ฉัตรทพิ ย์ นาถสภุ า.2540: 15) อาหารในพื้นถิน่ หรืออาหารพน้ื บา้ นไทยรวมถงึ ผักในพื้นถ่ินและผกั พนื้ บา้ น เปน็ ส่ิงแสดงถงึ วัฒนธรรมการกินของคนในท้องถ่ินไทยท่ีมเี อกลกั ษณ์เฉพาะถนิ่ เชน่ อาหารพน้ื บา้ นภาคกลางมกั มี รสเปร้ยี ว รสหวาน รสเคม็ รสเผด็ อาหารพ้นื บา้ นภาคเหนือจะมรี สออ่ นหรือรสเผด็ รสเคม็ รสเปรยี้ วแต่ ไมห่ วานมาก สว่ นอาหารพื้นบา้ นภาคอีสานจะมี รสเผ็ด รสเค็ม รสเปร้ยี วและอาหารพื้นบา้ นภาคใต้ อาหารจะมีรสร้อน รสเผด็ มกี ลิน่ ฉนุ ของเคร่ืองเทศ ทกุ ภาคในประเทศไทยจะนิยมรบั ประทานน้าํ พรกิ กบั ผักพนื้ บ้านของท้องถิน่ น้ัน ซึง่ การรบั ประทานผกั และอาหารประจําทอ้ งถน่ิ นอกจากจะใหค้ ุณค่าหลาย ประการ เชน่ คณุ คา่ ดา้ นอาหาร คณุ คา่ ดา้ นนิเวศน์ คณุ คา่ ดา้ นสมนุ ไพร ยงั ลดความเสี่ยงตอ่ การเปน็ โรค ตา่ งๆ อกี ด้วย โดยเฉพาะโรคมะเร็งในระยะหลงั ประชาชนจงึ ตนื่ ตัวในการบรโิ ภคอาหาร และผกั พืน้ บา้ น เพ่อื ปูองกนั โรคมะเร็งมากขน้ึ ทาํ ใหม้ ีการฟนื้ ฟวู ัฒนธรรมการบริโภคอาหารและผักพืน้ บา้ นไทยใน รูปแบบต่าง ๆ ปริวรรตติ สาคร, ดร. (ม.ป.ป) ได้กลา่ วไว้ในหนังสือ กว่าจะมาเป็น “ผ้ไู ท”บนผนื แผ่นดินไทย เกี่ยวกบั วฒั นธรรมการกนิ แหล่งท่มี าของอาหารการกนิ ชาวผูไ้ ทเป็นคนทีพ่ ิถีพิถนั ในเร่อื งการเลอื ก ทําเลท่ีจะตง้ั หม่บู ้านจะต้องเป็นทร่ี าบใกลผ้ เู้ ขาหรือแหลง่ น้าํ ในอดตี แหล่งอาหารก็ใกลบ้ ้านนน่ั เอง พวกสัตว์บกสัตวน์ ํ้า เก้ง หมูปาุ กระรอก กระแต มีให้เหน็ อยู่ทุกวัน หาไดง้ า่ ย และมกี ินบอ่ ย พชื ผกั ต่างๆ กม็ มี ากทง้ั พชื บา้ น พชื สวน พืชปุาดังมี ผญาคําสอนบทหนึง่ วา่ “อยา่ ไปเ๋ กบ็ ดอกหวา่ นบ้าน เพิ๋นมาบา๋ นเฮ่อเจ้ายื๋นงอยชานเก็บดอกกะเจ๋วฮมิ โฮ้” (อยา่ ไปเกบ็ ดอกหวา่ นบ้านอื่นมาบ้าน ให้เจา้ ยืนที่ ภมู ิปญั ญาอาหารพน้ื ถ่นิ ผไู้ ทในอีสาน
หนา้ | 14 ชานเกบ็ ดอกกระเจียวรมิ รั้ว) ชีใ้ หเ้ ห็นวา่ สมัยก่อนดอกกระเจยี วกเ็ ก็บเอาทร่ี ิมร้ัวตดิ กับชานบ้าน แสดงว่า อุดมสมบรู ณ์มากจรงิ ๆ จากการรวบรวมของกองโภชนาการกระทรวงสาธารณสขุ , 2540 ได้แสดงใหเ้ หน็ คณุ ค่าของผกั พ้ืนบ้านและผลไม้ดงั รายละเอียดตารางท่ี 1 ตารางที่ 1 คุณคา่ ของผักพน้ื บา้ นและผลไมไ้ ทย คุณค่าอาหาร ชอื่ ผกั และผลไม้ ผกั ที่มธี าตุเหล็กสงู ผักกดู ขม้นิ ขาว ผกั แว่น ใบแมงลกั ใบกระเพรา ยอดมะกอก ดอกกระถนิ ชะพลู ย่านาง ผกั แขยง ผกั ที่มวี ติ ามนิ ซีสงู ขเ้ี หลก็ มะรมุ ยอดสะเดา มะระขน้ี ก ผกั หวาน ยา่ นาง ผกั กระโดน สมอไทย ผักแพว ผกั ทม่ี เี ส้นใยสูง ยอดมะกอก ใบขเ้ี หล็ก ดอกแค ใบบัวบก ยอดผักแสว้ ใบแมงลกั ตาํ ลึง สมอไทย ผกั ท่มี วี ิตามนิ อี ข้าวโพด ถวั่ เหลอื ง ถว่ั แดง เมลด็ ทานตะวนั ผักกาด หอม งา น้ํามันรํา นา้ํ มันถว่ั ลสิ ง ผลไมท้ ่มี วี ิตามินเอสงู กลว้ ย มะละกอ ส้ม สับปะรด มะม่วงสกุ ผลไม้ที่มวี ิตามนิ ซสี งู สม้ กล้วย มะเขอื เทศ มะละกอ สบั ปะรด ฝร่ัง มะกอกไทย มะขามปอู ม ผกั ท่มี โี ปรตนี สูง ยอดชะอมลูกเนียง ยอดแคสะตอยอดกระถิน ใบขเี้ หล็ก ผักเชียงดา ชะพลู ภูมิปญั ญาอาหารพื้นถน่ิ ผู้ไทในอสี าน
หนา้ | 15 ตารางท่ี1 (ต่อ) คุณค่าของผกั พน้ื บ้านและผลไมไ้ ทย คณุ คา่ อาหาร ชอื่ ผกั และผลไม้ ผักท่มี วี ิตามินเอสงู ใบย่านาง ผักแพว ใบกะเพรา ผกั แว่น ใบเหรยี ง พริกชฟ้ี ูา ผักแพงพวย ผกั ปลัง ยอดมันเทศ ยอดกระถนิ ผกั ต้ิว ใบยอ ผักหนาม มะเขือเทศ ผักทีม่ ีแคลเซยี มสงู ใบชะพลู ผกั แพว ใบยอ ยอดมะขามอ่อน ยอดแค ผักกระเฉด สะเดา มะกอกไทย มะเขอื พวง ใบขเี้ หลก็ ใบย่านาง จารุวรรณ ธรรมวตั ร (2540) กลา่ วในงานวจิ ยั เรอ่ื ง วฒั นธรรมการบรโิ ภคอาหารของชาว อีสาน: การสืบสานภมู ปิ ญั ญาและมรดกจากธรรมชาตวิ า่ มจี ดุ หมายประการแรกเพ่อื สํารวจสภาพการ บรโิ ภคอาหารของชาวอีสานจากข้อมลู ทางภาษาประเพณพี ิธีกรรม และสํารวจสภาพการบริโภคจาก ชุมชนเมอื ง และชุมชนชนบทในเขตจงั หวัดมหาสารคาม จังหวัดกาฬสินธแุ์ ละจงั หวัดมุกดาหาร จดุ มุ่งหมายประการท่ีสอง เพ่ือศกึ ษาลกั ษณะเฉพาะถนิ่ ในการบริโภคอาหารของชาวอีสานจุดมุ่งหมาย ประการทีส่ าม เพอื่ ศึกษาปัจจยั ทางสังคม วัฒนธรรม และสงิ่ แวดลอ้ มทส่ี มั พันธก์ ับการบรโิ ภคของชาว อสี านวิธีการศกึ ษาใชว้ ิธีการเชงิ สหวิทยาการ โดยใช้ขอ้ มลู ภาคสนามและข้อมูลเอกสารชุมชนท่ีเลือก ศกึ ษาพิจารณาจากลกั ษณะสังคมเมือง และสังคมชนบท ประกอบกบั ลักษณะการต้งั ถน่ิ ฐานในเขตท่ี กลุม่ เขตปุาเต็งรงั และปาุ เบญจพรรณ ไดแ้ ก่ พืน้ ท่อี ําเภอเมอื งและกิง่ อาํ เภอกดุ รนั จงั หวัดมหาสารคาม อาํ เภอเมอื งและอาํ เภอสหสั ขันธ์ จงั หวัดกาฬสินธุ์ อําเภอเมืองและกง่ิ อําเภอหนองสูง จังหวัดมุกดาหาร นอกจากน้ี ในการสํารวจเบ้อื งต้นสาํ รวจชุมชน 25 แห่งในภาคอสี าน ระหวา่ งปีพ.ศ. 2539- 2540 โดยมผี ้ชู ่วยวจิ ยั ระดับปริญญาตรี 20 คน และปรญิ ญาโท 5 คน สว่ นข้อมลู เอกสารท่ีใช้เปน็ หลัก ในการศกึ ษาครงั้ น้ี คือ พจนานุกรมภาษาอสี าน 3 ฉบบั วจั นานกุ รมภาษาลาว 2 ฉบบั ตาํ ราอาหารใน ราชสํานักหลวงพระบางเร่อื งบั้นควั กนิ ลาวของเพียสิง ตําราแพทยศ์ าสตรพ์ ้ืนเมืองลาวของสภา วทิ ยาศาสตร์และเทคนคิ แหง่ รัฐประเทศสาธารณรฐั ประชาธปิ ไตยประชาชนลาว ในการสังเคราะหข์ ้อมูลจากงานวิจยั ด้านวฒั นธรรมการบริโภคและการเปลย่ี นแปลงทางสังคม เศรษฐกิจของชาวอสี านจากวทิ ยานิพนธส์ าขาไทยคดีศกึ ษา ระหว่างปี พ.ศ. 2523-2540 ผลการศกึ ษา ภูมิปญั ญาอาหารพน้ื ถ่ินผู้ไทในอสี าน
หน้า | 16 พบวา่ สภาพการบรโิ ภคอาหารของชาวอสี านมีขอ้ ดีท่ีเปน็ คุณแกผ่ ู้บรโิ ภคมากกว่าข้อด้อยท่ีเปน็ โทษต่อ ผู้บรโิ ภค จากการศกึ ษาเชงิ สาํ รวจ ได้คัดเลือกสูตรอาหารพืน้ บ้านท่ีมลี กั ษณะเฉพาะถนิ่ จากอาหาร ประเภทตา่ งๆ ไว้ 126 รายการ โดยพจิ ารณาจากผลผลิตธรรมชาติท่นี ํามาปรุงเป็นอาหารและวธิ กี าร ปรุงแตง่ รสอาหารตามคตินิยมท้องถน่ิ ส่วนการศึกษาเชงิ วเิ คราะหว์ จิ ารณ์พบวา่ ชาวอสี านในกลมุ่ ชาติ พันธ์ทุ พ่ี ูดภาษาลาวและภาษาผ้ไู ทมีลักษณะการบริโภคอาหารสมั พันธก์ บั ปจั จยั ทางสังคมวัฒนธรรม และสิ่งแวดล้อม ดังนี้ 1. ในชนบทการทช่ี าวอีสานตัง้ ถ่ินฐานตามทลี่ มุ่ รมิ แม่นาํ้ ลําคลอง หนอง บงึ และตัง้ ถนิ่ ฐาน ชายปาุ เต็งรังและปาุ เบญจพรรณ ทําใหส้ ามารถผลติ ขา้ วและหาอาหารไดโ้ ดยอาศัยนํา้ ฝน และแหล่งนํ้า ตามธรรมชาติจากทอ้ งนา จากปาุ บุง่ ปุาทามและปาุ ดงในเขตผดู้ อย ความสมบรู ณ์ของอาหาร ข้าว ผกั ผลไม้ ปลา เนอ้ื สัตว์ แมง ขนึ้ อย่กู ับความสมบูรณข์ องน้าํ และปาุ อาหารหลักในเขตชนบท คอื ขา้ ว เหนียว ผัก ปลา และปลารา้ ซง่ึ ผลัดเปล่ียนตามฤดูกาล ปัจจยั ที่สง่ ผลตอ่ การบริโภคของชาวชนบท คือ การทาํ ลายสภาพแวดลอ้ มดว้ ยการตัดไม้ทาํ ลายปาุ เพือ่ ปลกู พชื เศรษฐกจิ การตดั ถนน การสรา้ งเขื่อน การสร้างหมูบ่ ้านจัดสรรและรสี อร์ท ทาํ ให้สญู เสียแหลง่ อาหารตามธรรมชาติ 2. ส่วนในเขตเมอื ง ลักษณะการบริโภคในเขตเทศบาลสําหรับผู้บริโภคทีฐ่ านะดี มกี ารศึกษา ได้รบั เอาลกั ษณะการบรโิ ภคจากถ่ินอื่น เชน่ การบรโิ ภคอาหารไทย อาหารปกั ษ์ใต้ อาหารจนี ผสมผสานกบั การบรโิ ภคอาหารพื้นบา้ น ส่วนผู้มีฐานะปานกลางและยากจน บรโิ ภคอาหารไทยและ อาหารพืน้ บ้าน ผลผลิตทีน่ าํ มาปรงุ อาหารได้จากตลาด อาหารหลักประเภทขา้ ว มีทัง้ ขา้ วเหนยี วและ ขา้ วจ้าว อาหารประเภทผักมที งั้ ผกั พนั ธ์ใุ หมแ่ ละผกั พืน้ บ้าน อาหารประเภทเน้อื มีทงั้ โค-กระบือ หมู ไก่ ไข่ สว่ นปลารา้ เป็นเพยี งเครอ่ื งปรุงรสมิใช่อาหารหลัก ปัจจยั ทที่ าํ ใหก้ ารบริโภคในเขตชุมชนเมอื ง เปลย่ี นแปลง ประการท่หี น่ึงคือ การแพรก่ ระจายของกลมุ่ ชาวจีน ชาวเวียดนาม ชาวแขกปาทาน ท่ีประกอบธุรกิจขายอาหารและขายเนอื้ ประการที่สองคอื การแพรก่ ระจายของอาหารสําเร็จรูปและ เครอื่ งบริโภคชนิดใหมจ่ ากส่วนกลางจากตา่ งประเทศและถ่นิ อืน่ ๆ โดยมสี ือ่ โทรทศั นแ์ ละส่ือวทิ ยุกระต้นุ ให้เกิดแรงจงู ใจในการบรโิ ภค ประการที่สามคือ การอพยพไปประกอบอาชีพชัว่ คราวในเขตเมอื งและ เขตอตุ สาหกรรมของชาวอสี านวยั แรงงาน เกิดการเอาอย่างการบรโิ ภคแบบชาวเมอื ง นอกจากนี้ ชาวไทยถน่ิ อื่นได้อพยพมาประกอบอาชพี ในภาคอสี านทําให้เกดิ การแลกเปล่ยี นวัฒนธรรมการบริโภค ภมู ิปญั ญาอาหารพน้ื ถ่นิ ผ้ไู ทในอีสาน
หน้า | 17 3. สว่ นลกั ษณะเฉพาะถนิ่ ในการบริโภคของชาวอสี านนน้ั ประการทห่ี นงึ่ การบริโภค มบี ทบาททางสังคม เปน็ กิจกรรมทแี่ สดงความสมั พนั ธร์ ะหวา่ ง คนกบั คน คนกบั ผีและคนกับพระ โดยแสดงออกในพฤตกิ รรมการบรโิ ภคในโอกาสพิเศษตามประเพณี พธิ กี รรมและงานมงคล นอกจากนี้ สง่ิ ท่นี าํ มาบรโิ ภคในปจั จบุ นั เป็นสญั ลกั ษณ์ทแ่ี สดงสถานภาพทางสงั คมของผู้บรโิ ภคและเจา้ ภาพผ้ทู าํ ให้ เกิดการบรโิ ภคในโอกาสพิเศษ ประการทสี่ องอาหารพน้ื บ้านอสี านมคี ณุ คา่ ดา้ นสมนุ ไพร คอื สามารถ รกั ษาอาการโรคและบํารงุ ร่างกายไดด้ ว้ ยสรรพคุณของพืชผกั ธรรมชาติ และรสฝาด รสขม รสเผด็ รสเปร้ียว รสจืด รสหวาน ซง่ึ มคี วามสัมพนั ธ์กับสรรพคุณยา ประการทส่ี าม สง่ิ ท่นี าํ มาบรโิ ภคเป็นอาหาร แม้หาง่ายแต่มีคณุ คา่ ทางอาหรสงู โดยเฉพาะอย่างย่งิ อาหารประเภทแมงและผกั พน้ื บา้ น ประการท่สี ี่ การถนอมอาหาร การปรงุ แต่งอาหารของชาวอสี านมรี ส มีกลนิ่ มสี สี ันที่ดงึ ดดู ใจผบู้ ริโภค วิธีปรุงแต่ง อาหารแสดงถึงผมู้ ปิ ญั ญาชาวบ้าน วิธีปรุงอาหารที่มลี ักษณะเฉพาะถิ่นปรากฏในการลาบ การซบุ การตําสม้ การอ่อม การเอาะ การจ่อม การแจว่ และการหมกั คุณคา่ ที่เด่นทําให้คนทงั้ ต่างประเทศและ ในประเทศมีธุรกจิ ร้านอาหารอีสาน เช่นเดยี วกับในภาคอสี าน ดังน้นั การบริโภคอาหารของชาวอีสาน จงึ เปน็ การสืบสานภูมปิ ัญญาและมรดกจากธรรมชาติ ชาวผไู้ ทเรื่องการกินนับว่าเป็นชนชาตผิ ทู้ ่กี ินง่ายที่สดุ ไม่ค่อยพถิ ีพถิ ันในเรอ่ื งการกินขอให้มีข้าว เหนยี วไว้ในกระตบิ ก็พอ “หนอ่ ไม้เค็ม” (หน่อไม้หมกั เกลอื โรยข้าวสารนดิ ๆ) ทอี่ ยู่ในไหกนิ กบั ข้าวเหนียว อ่มิ ท้องแล้วทํางานได้ หรอื ข้าวเหนียวคลกุ เกลอื หรือ “จ้ําปลาแดก” อ่งึ อ่าง กบ เขยี ด ทุกชนดิ ผไู้ ทกนิ หมด แมลงต่างๆนานาชนิดผไู้ ทกนิ ได้ อยา่ งแมลงเมา่ มา ตอมไฟผู้ไทเอานํ้าใส่กะละมังมารองเม่อื ได้มาก แล้วเอาไปค่วั โรยเกลือกนิ กับขา้ วไดค้ วามเชอื่ เก่ียวกับอาหาร ชาวผู้ไทมีความเชอ่ื เกีย่ วกับอาหารที่ จะตอ้ ง “คะลาํ ” เพราะมีความเช่อื ว่าอาหารบางชนดิ กินเขา้ ไปแล้วจะทาํ ใหผ้ ดิ ตอ่ โรค โดยเฉพาะ “แมอ่ ยู่คํา ”(ผหู้ ญิงทกี่ าํ ลงั อยไู่ ฟ)จะกินแต่ขา้ วจ่ี หนอ่ ข่าผกั ต่างๆ ปูจี่ กบ เขยี ด ยังพอกินได้ แตใ่ น ปัจจุบันน้ีไดร้ ับการอบรมดา้ นโภชนาการ ความเชอ่ื กเ็ ปลยี่ นไปบ้างแล้ว แนวทางการสืบทอดและการอนรุ ักษ์วัฒนธรรมภมู ปิ ญั ญาพืน้ ถ่นิ การถ่ายทอดภูมปิ ัญญาชาวบ้านหรอื ภูมปิ ัญญาพน้ื ถน่ิ มวี ธิ กี ารถ่ายทอด 2 ลกั ษณะคอื 1. การถา่ ยทอดให้เดก็ 1) การถา่ ยทอดทางตรงโดยการอบรมสง่ั สอนของพ่อแม่ปูุยา่ ตายาย ภูมปิ ญั ญาอาหารพ้นื ถิ่นผู้ไทในอีสาน
หน้า | 18 2) การถ่ายทอดทางออ้ มโดยการเลา่ นิทานการเล่นคาํ ทายปริศนาและการละเล่นต่างๆ 2. การถ่ายทอดใหผ้ ู้ใหญ่ 1) การถา่ ยทอดทางตรงโดยบอกเลา่ ในขณะประกอบพธิ ีกรรมตา่ งๆ เช่น พิธบี ายศรี ส่ขู วญั พธิ แี ต่งงาน พธิ ีบวช การทาํ ขวญั นาคฯลฯหรือเผยแพร่เปน็ หนงั สอื เอกสาร แผน่ ปลวิ หรอื การ ประชุมของกํานันผูใ้ หญ่บา้ นเป็นต้น 2) การถา่ ยทอดทางออ้ มโดยการแสดงศิลปะพนื้ บ้านและการละเล่น กจิ กรรมบันเทิง ต่างๆ เช่น ลเิ ก ลําตดั เพลงอแี ซวในภาคกลาง มโนราห์และหนงั ตะลงุ ของภาคใต้เปน็ ต้น ซงึ่ จะมเี นื้อหา และคํารอ้ งสอดแทรกความรูใ้ นขนบธรรมเนียมประเพณขี องท้องถ่นิ และคตธิ รรม ซึง่ เปน็ สว่ นหนง่ึ ของ ภูมปิ ัญญาทอ้ งถ่นิ การอนุรักษ์ สง่ เสริม พัฒนาวัฒนธรรมและภมู ปิ ัญญาพน้ื ถ่นิ ภูมปิ ัญญา ไทยเปน็ สิง่ ทบี่ รรพบรุ ษุ ได้ชว่ ยกนั สร้างสรรค์และสบื ทอดกนั มาอย่างต่อเน่ืองจาก อดตี ถึงปจั จบุ ัน เปน็ ความภาคภูมิใจและเกยี รติภูมิของคนไทย ทําใหเ้ กิดความรกั ในชาติบ้านเมอื ง เราคนไทยควรชว่ ยกนั อนุรกั ษใ์ หเ้ ป็นมรดกของชาตสิ ืบไป การอนุรักษภ์ มู ิปญั ญาไทยใหเ้ ปน็ มรดกของ ชาตนิ ั้น มีวธิ กี ารดงั น้ี 1. การค้นควา้ วิจัย ควรศกึ ษาและเกบ็ รวบรวมข้อมูลภูมิปญั ญาของไทยในดา้ นต่างๆ ของ ทอ้ งถิน่ จงั หวัด ภูมภิ าค และประเทศโดยเฉพาะอย่างย่งิ ภูมปิ ญั ญาท่เี ป็นภมู ิปญั ญาของท้องถิ่น มุ่ง ศึกษาใหร้ ู้ความเปน็ มาในอดีต และสภาพการณ์ในปจั จบุ นั 2. การอนรุ กั ษ์ โดยการปลกุ จิตสํานึกใหค้ นในทอ้ งถิ่นตระหนกั ถึงคณุ คา่ แกน่ สาระและ ความสาํ คญั ของภูมิปัญญาท้องถิ่น ส่งเสริมสนับสนุนการจดั กจิ กรรมตามประเพณแี ละวัฒนธรรมต่างๆ สร้างจติ สาํ นึกของความเปน็ คนทอ้ งถนิ่ น้ันๆ ท่จี ะตอ้ งร่วมกนั อนรุ กั ษภ์ มู ปิ ัญญาทเี่ ปน็ เอกลักษณข์ อง ท้องถิ่น รวมทั้งสนบั สนนุ ใหม้ พี พิ ธิ ภณั ฑท์ อ้ งถนิ่ หรือพิพิธภัณฑช์ ุมชนขน้ึ เพื่อแสดงสภาพชีวิตและความ เปน็ มาของชมุ ชน อันจะสร้างความรู้และความภูมใิ จในชมุ ชนท้องถิน่ ดว้ ย 3. การฟืน้ ฟู โดยการเลือกสรรภมู ิปญั ญาท่กี าํ ลังสญู หาย หรอื ทสี่ ูญหายไปแล้วมาทาํ ใหม้ คี ุณคา่ และมีความสาํ คญั ต่อการดําเนินชีวิตในท้องถน่ิ โดยเฉพาะพื้นฐานทางจรยิ ธรรม คณุ ธรรม และค่านิยม 4. การพัฒนา ควรรเิ ริม่ สร้างสรรค์และปรบั ปรุงภูมปิ ญั ญาใหเ้ หมาะสมกับยุคสมัยและเกดิ ประโยชนใ์ นการดําเนินชีวติ ประจําวนั โดยใชภ้ มู ปิ ัญญาเป็นพืน้ ฐานในการรวมกลมุ่ การพัฒนาอาชพี ควร ภูมปิ ัญญาอาหารพน้ื ถ่นิ ผู้ไทในอีสาน
หนา้ | 19 นําความรดู้ า้ นวิทยาศาสตร์ และเทคโนโลยีมาชว่ ยเพื่อตอ่ ยอดใช้ในการผลิต การตลาด และการบรหิ าร ตลอดจนการปูองกันและอนรุ กั ษ์สิง่ แวดล้อม 5. การถ่ายทอด โดยการนําภูมปิ ญั ญาทผ่ี า่ นมาเลอื กสรรกล่นั กรองดว้ ยเหตุและผลอย่าง รอบคอบและรอบด้าน แล้วไปถ่ายทอดให้คนในสงั คมได้รบั รู้ เกิดความเข้าใจ ตระหนักในคณุ ค่า คุณประโยชนแ์ ละปฏิบตั ิไดอ้ ยา่ งเหมาะสม โดยผา่ นสถาบันครอบครวั สถาบันการศกึ ษา และการจัด กจิ กรรมทางวฒั นธรรมตา่ งๆ 6. ส่งเสรมิ กจิ กรรม โดยการสง่ เสริมและสนบั สนนุ ใหเ้ กิดเครอื ขา่ ยการสืบสานและพัฒนาภมู ิ ปัญญาของชุมชนต่างๆ เพอื่ จัดกจิ กรรมทางวฒั นธรรมและภูมิปัญญาทอ้ งถน่ิ อย่างต่อเนอ่ื ง 7. การเผยแพร่แลกเปลยี่ น โดยการสง่ เสรมิ และสนับสนุนให้เกิดการเผยแพร่และแลกเปล่ยี น ภมู ปิ ัญญาและวัฒนธรรมอยา่ งกวา้ งขวาง โดยให้มีการเผยแพรภ่ มู ปิ ญั ญาทอ้ งถ่ินตา่ งๆ ดว้ ยสือ่ และ วธิ กี ารต่างๆ อย่างกวา้ งขวาง รวมท้งั กบั ประเทศอนื่ ๆ ท่วั โลก 8. การเสรมิ สรา้ งปราชญ์ทอ้ งถน่ิ โดยการส่งเสริมและสนบั สนนุ การพัฒนาศกั ยภาพของ ชาวบา้ น ผดู้ ําเนินงานใหม้ ีโอกาสแสดงศกั ยภาพดา้ นภูมิปัญญา ความรคู้ วามสามารถอยา่ งเตม็ ท่ี มีการ ยกยอ่ งประกาศเกียรติคณุ ในลกั ษณะต่างๆ ภมู ิปญั ญาชาวบ้านหรอื ภมู ปิ ัญญาทอ้ งถน่ิ พน้ื บา้ นเป็นงานที่ทําสบื ตอ่ กนั มาจากความทรงจาํ ของพ่อถา่ ยทอดให้ลูกการสอนสืบต่อกัน มา เปน็ การบอกเลา่ และฝกึ ทําไมม่ ีการบันทกึ ลวดลายไว้เป็น หลักฐานทางเอกสาร เช่นเดียวกบั งานศลิ ปะพ้ืนบา้ นอน่ื ๆ ทบ่ี างชนดิ กเ็ สอ่ื มสูญไปแล้วพร้อมกับ กาลเวลาและอายุขัยของคนรนุ่ กอ่ น นบั เป็นเรอื่ งทน่ี ่าเสยี ดายยิ่งที่มรดกทางวัฒนธรรมอันบง่ บอกถงึ ภมู ปิ ญั ญาของชาวบ้านอีสานชนเผา่ ผูไ้ ทและไทยพวนจะสญู สิน้ ตามไป การศึกษาและการถา่ ยทอด ภมู ิปญั ญาชาวบา้ นอีสานในกลมุ่ ชนชาวผูไ้ ทเป็นการอนุรกั ษภ์ มู ิปญั ญาชาวบา้ นหรือภูมปิ ญั ญาพ้ืนถ่ินไว้ ก่อนทจี่ ะสญู หายไปและยังเปน็ การศกึ ษาประวตั ิศาสตรท์ ่เี น้นสาํ นึกและการแสดงออกของกล่มุ คน ในท้องถนิ่ เปน็ หลัก โดยพิจารณาปญั หาท่เี กิดขึ้นทางการเมือง เศรษฐกิจ สังคม ซ่งึ สิ่งเหลา่ น้ี จะชว่ ย สร้างภาพรวมแห่งอดตี และสามารถเชอ่ื มโยงระหว่างอดตี กบั ปัจจุบันได้ สะท้อนใหเ้ ห็นสภาวการณต์ ่างๆ ของชมุ ชนในแตล่ ะสมัยว่ามคี วามเจริญ ความเส่อื ม ความกา้ วหนา้ ในด้านใดอยา่ งไรบ้าง(ประยูร อลุ ุ ชาฏะ.2537: 8) ภูมปิ ญั ญาอาหารพน้ื ถิน่ ผไู้ ทในอีสาน
หน้า | 20 ภมู ิปัญญาทอ้ งถิ่นเป็นเคร่ืองบ่งชที้ ีแ่ สดงให้เห็นถึงคณุ ค่าของชุมชนในท้องถนิ่ ท่ไี ด้รับการสง่ ต่อ สบื สานกนั มาจนเป็นวฒั นธรรมประจําในแตล่ ะทอ้ งถน่ิ เปน็ มรดกตกทอดจากคนรนุ่ ปูุ ย่า ตา ยาย มาส่รู ุน่ ลูก รุ่นหลาน ในปัจจบุ นั ภูมปิ ญั ญาทอ้ งถิ่นนนั้ มหี ลากหลายประเภท ซ่งึ เกิดจากการเรยี นรู้ สง่ั สม ของบรรพบรุ ุษตัง้ แตค่ รัง้ อดีตถา่ ยทอดมาจนถึงปัจจบุ นั ภมู ิปัญญามีท้งั ทเี่ ป็น คําสอนท่ดี ีงามในการ ประพฤตปิ ฏบิ ัติ ทงั้ ทเ่ี ป็นการประกอบสมั มาอาชพี เป็นอาหาร การกิน ทอี่ ยูอ่ าศยั เครอื่ งใช้สอยในการ ดาํ รงชีวิตประจาํ วนั ภูมิปญั ญาดา้ นการรกั ษาพยาบาล ศลิ ปะบนั เทิงการแสดงทงั้ หลาย รวมถงึ สิ่งของที่ ใช้ในการประดบั ตกแต่งบ้านเรือนให้สวยงาม ในแตล่ ะท้องถ่นิ จะมีสง่ิ ท่แี สดงถึงภูมิปญั ญาทีเ่ ป็น ลักษณะเฉพาะของตนเองแตกต่างกันไป ภูมิปญั ญาบางอย่างอาจมใี หเ้ ห็นไดท้ ัว่ ไปในหลายพ้ืนท่ี แตภ่ ูมิปญั ญาบางอยา่ งจะมใี หเ้ หน็ ไดเ้ พยี งเฉพาะในบางพน้ื ทเี่ ทา่ นัน้ (ฉตั รทิพย์ นาถสุภา.2540: 15) การถ่ายทอดความรเู้ ร่อื งภูมปิ ัญญาท้องถิน่ พื้นบา้ น เปน็ สิ่งหนึ่งทีม่ ีมานานและไดม้ ีการพัฒนา มาตลอดเวลา โดยอาศยั การถา่ ยทอดความรู้จากคนรุน่ หน่ึงไปสูค่ นอีกรุ่นหนงึ่ การดาํ รงชีวติ ประจําวัน ของชาวบ้านสว่ นใหญไ่ มไ่ ด้มองการศกึ ษามาเก่ยี วข้อง การเรียนรู้ตา่ งๆ อาศยั วิธกี ารฝกึ หัดและบอกเลา่ ซ่ึงไมเ่ ปน็ ระบบในการบนั ทกึ สะทอ้ นให้เห็นการเรยี นรู้ ความรู้ทส่ี ะสมและสบื ทอดกันมาจากอดตี มาถงึ ปจั จบุ ันหรอื ที่เรยี กกันว่า ภูมปิ ัญญาทอ้ งถิ่น ดังนัน้ กระบวนการถา่ ยทอดความรูจ้ ึงมคี วามสาํ คญั อยา่ งยงิ่ ทีท่ าํ ให้ภมู ปิ ัญญาท้องถิ่นนน้ั คงอยตู่ ่อเนอ่ื งและยัง่ ยืน (ชเู กียรติ์ ลสี้ วุ รรณ. 2535: 17) ภมู ิปัญญา เปน็ ความคิดทางสังคมทส่ี ําคัญอย่างหนึ่งซงึ่ สามารถดาํ รงอยไู่ ด้อยา่ งยาวนานและ สงั คมไทยเปน็ สังคมเกา่ แก่สังคมหน่ึงที่ปรากฏภมู ปิ ัญญาทท่ี รงคุณคา่ อยจู่ ํานวนมาก โดยภมู ปิ ัญญา เหล่านน้ั นอกจากจะแสดงออกถงึ ความเปน็ ไทย ความเปน็ เอกลกั ษณไ์ ทยแล้วยังเปน็ เครือ่ งชี้วดั ความเจริญของสังคมไทยและพัฒนาการของคนในสังคมไทย เพราะภมู ิปญั ญาถอื วา่ เปน็ สิ่งที่ ละเอยี ดออ่ นบ่งบอกถงึ ความเป็นสงั คมทีเ่ จรญิ เป็นสังคมทส่ี งบสุขร่มเยน็ มีความเป็นอสิ ระจึงสามารถ สร้างสรรคแ์ ละสง่ั สมภูมปิ ัญญาเฉพาะตนขึ้นมา (จกั รพันธ์ โสมะเกษตรนิ.2551: 1) อตั ลักษณ์ เป็นเรื่องทีม่ ีสว่ นร่วมกนั อยูห่ ลายประการ เชน่ อัตลักษณเ์ ป็นเรอ่ื งของปจั เจก บคุ คลอัตลกั ษณ์เปน็ เรือ่ งของการสรา้ งจากบรบิ ทเชงิ พนื้ ท่แี ละเวลา (วัฒนธรรมและประวตั ิศาสตร์) อัตลกั ษณ์เปน็ เรือ่ งของการใหค้ ํานยิ ามและตีความมีความหมายเชิงคณุ ค่า ซ่ึงคุณค่าเหล่านั้น ไมจ่ ําเป็นตอ้ งได้รับความเป็นสากลแต่ความหลากหลายทางวัฒนธรรมหรอื การสร้างตัวตนจาก วฒั นธรรมย่อยก็ได้ทาํ ใหเ้ กิดการยอมรับซึ่งพหุลักษณ์ทางสงั คมซึ่งไม่เหมือนกับเอกลกั ษณ์ในคํานิยาม ภูมิปัญญาอาหารพื้นถิน่ ผไู้ ทในอสี าน
หนา้ | 21 สมัยแรกท่จี ะตอ้ งสรา้ งเพอ่ื ความเปน็ ปึกแผน่ ของสงั คมเท่านั้น แต่อตั ลักษณเ์ ปน็ เรือ่ งของการยอมรบั ในการมอี ยู่ของปจั เจกอยา่ งจรงิ จงั แนวคิดการสรา้ งอตั ลักษณ์ คือ สง่ิ ทีแ่ สดงใหเ้ ห็นถึงลกั ษณะเฉพาะของกลุม่ ทางสังคม ซง่ึ หมายความรวมถึง สิง่ ของ ลักษณะนสิ ัย วถิ กี ารดาํ รงชีวติ ตลอดจนกระบวนการคิด และความเชอื่ ต่างๆ ทส่ี ามารถทําให้จําแนกแยกแยะตนเองออกจากกลมุ่ สงั คมกลุ่มอืน่ แสดงให้เห็นว่าเราคอื ใคร แตกตา่ งหรือเหมือนกบั คนอน่ื อยา่ งไร ซงึ่ อตั ลกั ษณ์ท่สี ามารถคงอยู่ได้สาํ หรับชมุ ชนน้นั ตอ้ งเปน็ สง่ิ ที่มี ประโยชน์ ชาวชมุ ชนเห็นวา่ เป็นสิง่ ทีม่ ีคณุ ค่าจงึ เต็มใจท่จี ะสามารถรักษาอัตลักษณ์น้ัน อตั ลักษณ์เป็นสงิ่ ทีป่ ระกอบด้วยสองสว่ นคือ สง่ิ ทเ่ี ปน็ ตัวเราอย่างแท้จริง และสง่ิ ทสี่ งั คมอยากให้เป็น ซง่ึ มีการ เปลย่ี นแปลงไดต้ ลอดเวลาตามบริบท(อภิญญา เฟอื่ งฟสู กุล .2526:18-20) ความเป็นอตั ลักษณ์ ความโดดเด่นทางสงั คม วัฒนธรรม ประเพณี เครอื่ งแตง่ กาย ภาษา อาหารและความเช่อื ของชนชาติ พนั ธ์ผ้ไู ท บทสรุป การนําภมู ปิ ญั ญาในดา้ นตา่ งๆ มาพฒั นาเพอ่ื นําไปใช้ในชวี ิตประจาํ วนั ได้ อาทเิ ช่น ด้านการ ทาํ อาหาร ในการปรงุ การเติมแต่งรสชาติของอาหารอย่างมเี สน่หห์ รอื ท่เี รียกกนั ว่า เสน่หป์ ลายจวกั มีได้ ผู้หญิง และผู้ชายแต่สว่ นมากจะมีในผู้หญงิ เพราะผู้หญงิ มคี วามละเอียดอ่อนกวา่ ผู้ชาย ดา้ นการทักทอ เครอ่ื งนงุ่ ห่ม ในการจักทอสานเน้ือผา้ ใหม้ คี วามสวยงาม มีลายเส้นหลากหลายแบบแต่เปน็ ไทย และมี ความประณตี จงึ กลายเป็นเอกลักษณ์อย่างหน่ึงของประเทศไทย ด้านการสร้างบา้ น มคี วามคดิ สร้างสรรคท์ ี่สามารถปรับตัวเข้ากบั สภาพอากาศซ่งึ ประเทศไทยมี 3 ฤดู เชน่ ฤดรู อ้ น ฤดูฝน และฤดู หนาวซ่งึ ในแตล่ ะภาคแต่ละชมุ ชนจะมคี วามคดิ ไมเ่ หมือนกันตามสภาพอากาศของแต่ละชุมชน ดา้ นการ ประยกุ ตย์ ารกั ษาโรคหรอื สมุนไพรในภูมิภาคต่าง ทดลองพชื พันธต์ุ า่ งๆเพื่ออยากรู้สรรพคุณในแต่ละ ด้านแตล่ ะประเภททม่ี กี ารนําภูมปิ ญั ญาไทยมาใชใ้ หเ้ กดิ เปน็ ประโยชน์ตอ่ ส่วนรวมและบุคคลท่ัวไป ตลอดจนเปน็ ขอ้ มูลตอ่ ประโยชน์ในทางทด่ี ีและสาธารณะ เพ่อื ใหบ้ ุคคลภายนอกและภายในได้ศึกษา ค้นคว้าและเพม่ิ ความรูต้ อ่ ตนเองและเปน็ ประโยชนใ์ นบุคคลหมูม่ าก และดา้ นความสามัคคที างศาสนา และการอนรุ กั ษ์เพราะการนําภมู ิปัญญาในด้านตา่ งๆ มาผสมผสานให้เขา้ กับการนํามาประยุกตแ์ ละ สอดคล้องกับภมู ิปญั ญาดา้ นต่างๆ จึงไร้คนหรือสตั ว์ในการทดลอง เพราะเหตุน้ันสมุนไพรจึงได้มาอย่าง ภูมิปญั ญาอาหารพืน้ ถิ่นผู้ไทในอีสาน
หนา้ | 22 ยากลําบาก และมนั ไดต้ กทอดมาจนถงึ ปัจจบุ ันน้ี ทมี่ ยี าทสี่ กดั จากสมนุ ไพรตา่ งๆ หรอื อาจจะทํามาจาก สารเคมกี ไ็ ด้ มาประกอบเพอื่ อยากจะให้ทกุ คนไดเ้ หน็ คณุ คา่ กับการนาํ ภูมปิ ญั ญามาใช้ในชีวิตประจาํ วัน ตลอดเร่ือยๆ มาจนถึงสงั คมในปจั จบุ นั ประเพณไี ทยและศาสนาเพ่ือจะไดม้ สี ิ่งท่จี ะยดึ เหนี่ยวจิตใจของ ผู้คนเอาไว้ได้ ดังนัน้ เราสามารถนําภมู ปิ ัญญาไทยตา่ งๆ ไปใชใ้ นชีวิตประจาํ วันได้ในทางที่ดี จากที่กลา่ วมาจะเหน็ ได้ว่าภมู ิปญั ญาชาวบ้านหรือภมู ปิ ัญญาพน้ื ถิน่ เหล่านี้กําลังจะถกู ละเลย และมีโอกาสขาดผู้สืบทอดในคนรนุ่ ต่อไป เน่อื งจากในปัจจุบันสงั คมได้เปล่ียนแปลงไปตามยคุ สมยั ซ่ึงมี การสะทอ้ นให้เห็นถงึ ความเปลีย่ นแปลงชีวติ ของคนในชมุ ชน ไดอ้ ย่างดี การอนรุ กั ษ์ภมู ปิ ญั ญาท้องถิ่น ให้ดาํ รง คงอยู่ได้ อย่างยัง่ ยืนค่กู บั ชุมชนสงั คมสบื ตอ่ ไป จึงเปน็ จติ สาํ นกึ ท่ีทกุ คนในสังคม ชุมชนท้องถน่ิ ต้องสรา้ งสมใหเ้ กิดขึ้นอย่างเปน็ รูปธรรม เพื่อปกปูองรกั ษามรดกทางภมู ปิ ัญญาของบรรพบุรุษใหเ้ จริญ มั่นคงอยา่ งยั่งยนื สืบตอ่ ไป ซ่งึ ผู้เขียนเลง็ เหน็ ความสําคั ญและแนวทาง การอนรุ กั ษภ์ มู ิปญั ญาชาวบา้ น หรือภมู ปิ ญั ญาพน้ื ถ่นิ อันเป็นอัตลกั ษณ์ของชาวผ้ไู ทและวิถีชวี ิตของชนชาวผู้ไทเหล่าน้เี อาไว้ เพอ่ื ใหเ้ ปน็ แหลง่ เรียนรู้ เปน็ แหล่งถ่ายทอดประสบการณค์ วามร้ดู ้านวฒั นธรรมและภูมิปัญญาพนื้ ถิ่นผู้ไทไปสรู่ ุ่น ลกู หลานตอ่ ไป ผูเ้ ขยี นสนใจในเร่ืองภูมิปัญญาอาหารพนื้ ถิน่ ของชนชาวผู้ไททม่ี วี ิธกี าร ขนั้ ตอนการ ประกอบอาหารพน้ื ถิ่นผูไ้ ทเปน็ อยา่ งไร เพ่ือนํามาเกบ็ รวมรวมสูตรอาหารพื้นถ่นิ ของชนชาวผู้ไทไวใ้ ห้ ลูกหลานไดศ้ ึกษาและเปน็ การอนรุ ักษ์ไว้ใหเ้ ปน็ เอกลกั ษณ์ของชมุ ชนได้ ในขณะท่คี วามเจริญทาง เทคโนโลยีทาํ ให้สภาพแวดล้อมทางสังคมเปลย่ี นแปลงไป ซง่ึ เป็นผลจากประสบการณ์การศกึ ษาเกยี่ วกบั ลกั ษณะสงั คมวฒั นธรรมวิถชี วี ติ รวมถงึ ภูมิปญั ญาดา้ นตา่ งๆ อาหารพื้นถน่ิ ของชาวผ้ไู ทน้ัน สามารถจะ เป็นขอ้ มลู ทนี่ ําไปใชเ้ ป็นแนวทางในการอนรุ ักษ์อัตลักษณ์ภูมปิ ัญญาท้องถิ่นใหม้ ีประสทิ ธภิ าพย่ิงขนึ้ และ คงอยคู่ สู่ ังคมตอ่ ไป ภมู ปิ ญั ญาอาหารพนื้ ถนิ่ ผไู้ ทในอีสาน
หน้า | 23 บทที่ 2 วถิ คี วามเปน็ มาของ ชนชาติชาวผไู้ ท การศึกษาค้นควา้ ความเป็นมาของชนชาติชาวผไู้ ทในดินแดนตา่ งๆของเอเชียตะวันออกเฉยี งใต้ รวมท้ังประเทศไทย ใชว้ ธิ ีการค้นควา้ คือ เดินทางไปสาํ รวจด้วยตนเอง สอบสวนค้นคว้าทางภาษา การ แต่งกาย ความเปน็ อยู่ สภาพบา้ นเมือง ขนบธรรมเนยี มประเพณี ศิลปะและอ่นื ๆ แลว้ นําข้อมูลท่ีได้ จากประจักษพ์ ยานไปประมวลเป็นงานเขยี นหรอื รายงานการสํารวจ และอกี วิธคี ือ สืบคน้ นาํ ขอ้ มลู ท่ีได้ จากประจกั ษ์พยานไปประมวลเป็นงานค้นควา้ ของนกั วชิ าการทเ่ี รียบเรยี งไว้ ดงั นน้ั วธิ ีการดงั กลา่ ว รวมทัง้ การศึกษาค้นคว้าของ ชนชาติชาวผ้ไู ทไดก้ อ่ ใหเ้ กิดความหลากหลายในทศั นะเกี่ยวกบั ถ่นิ กาํ เนิด ของชนชาติชาวผ้ไู ท นักวิชาการและนกั ปราชญ์ทางวิชาประวัตศิ าสตรท์ ้ังหลาย ได้ลงความเห็นวา่ มมี นษุ ย์เกดิ ขึ้น เปน็ เวลา นานมาประมาณแสนปมี าแลว้ มกี ารคาดคะเน กนั วา่ ในเอเชยี ตะวนั ออกเฉยี งใตเ้ ดิมมี มนุษย์ อาศัยอยู่ใจกลางชมพทู วีป แถ บภูเขาอันไต อนั เปน็ ดินแดนภาคใต้ของ ประเทศ มองโกลในปจั จุบนั มนุษยท์ ี่อาศยั อยใู่ จกลางชมพูทวปี มีหลากหลายชนชาติ แต่จะมีชนชาติใหญๆ่ ท่ีตง้ั ปักหลกั ฐานทาํ มาหา กินอยู่น้ัน มี 4 ชนชาติดังน้ี คือ 1. ชนชาตจิ นี อาศัยอยู่ในดินแดนรอบๆ ทะเลสาบแคสเปียน ด้านทางทิศตะวันออกเฉยี งใต้ มี การทํามาหากินดว้ ยการเลีย้ งสัตว์ 2. ชนชาตติ าด อาศัยอยู่ในดินแดนตามเลยี บทะเลทราย ใชม้ า้ เป็นพาหนะ มีการทํามหากนิ ดว้ ยการปล้น 3. ชนชาตชิ ะนงยู้ อาศยั อยู่ในดินแดนประเทศกเว (เกาหลี) ตลอดถงึ มองโกล มีการทาํ มาหา กินด้วยการปลน้ 4. ชนชาตอิ ้ายลาว อาศัยอยู่ในดินแดนระหวา่ งแมน่ ํา้ ฮวงโห กบั แมน่ ํา้ ย้งั จี้ (แยงชเี กียง) มีการ ทํามาหากนิ ดว้ ยการกสกิ รรม ชนชาติชาวผู้ไทเป็นชนชาติหนง่ึ ทตี่ ้ังหลกั ฐานบ้านเรือนปะปนอาศยั อย่รู วมกับกลุ่มคนชนชาติ ตา่ งๆ ในอดตี คอื จนี ลาว พวน ญอ้ ฯลฯ จงึ มกี ารหลอมรวมขนบธรรมเนยี ม ประเพณี ศลิ ปวฒั นธรรม ภมู ปิ ญั ญาอาหารพน้ื ถิน่ ผไู้ ทในอสี าน | 23
หนา้ | 24 ซงึ่ กนั รวมกลุ่มเรยี กตนเองเปน็ กล่มุ ชนชาติอ้ายลาวในอดตี นั่นเอง ฉะน้ันอาจกล่าวได้วา่ เม่ือจะศึกษา ความเป็นมาของชนชาติชาวผไู้ ทกค็ ือการศกึ ษาชนชาตชิ าวอา้ ยลาวด้วยเช่นเดียวกนั ปจั จบุ ันนี้ชนชาติชาวผไู้ ทมีลกั ษณะนสิ ัยส่วนตัวรกั ความสงบ อย่กู นั อย่างสันติ มคี วามรกั หวง แหนในเผ่าพนั ธุ์ มขี นบธรรมเนยี ม ประเพณี ศลิ ปวัฒนธรรม การแต่งกาย ดนตรี ความเชอ่ื และภาษา พูดเป็นเอกลักษณ์เฉพาะของตนเอง ดงั นน้ั เม่ือมีการอพยพเคลอื่ นยา้ ยการตั้งถ่ินฐานบ้านเรือนไป อาศัย อย่ใู นประเทศจนี ลาว พม่า เวยี ดนามและไทย ทําใหช้ นชาตชิ าวผู้ไทจาํ น วนมากยังคงรกั ษา ขนบธรรมเนียม ประเพณีศิลปวฒั นธรรม ความเชือ่ เกย่ี วกบั การนับถือผแี ละเคารพวญิ ญาณบรรพบุรษุ การแต่งกาย ดนตรแี ละภาษาพูดไว้เช่นในอดตี อย่างเดียวกัน แนวคดิ ท่ี 1 จุดกาเนดิ ชนชาตชิ าวผไู้ ทในระยะเรมิ่ ตน้ ชนชาติชาวผู้ไท เดมิ น้ัน รวมกลุม่ อาศยั อยกู่ บั ชนชาตติ ่างๆ ในดนิ แดน ชนชาติ อา้ ยลาว ซึ่ง ปจั จุบนั อยใู่ นมณฑลเสฉวนประเทศจีน จะกระจายอาศัยอยู่ทเ่ี มอื งใหญ่ 3 เมอื ง คอื 1. เมืองลุง (นครลุง) อยตู่ อนตน้ ของแม่นํา้ ฮวงโหด้านเหนือ 2. เมอื งปา (นครปา) อยูต่ อนใต้แม่นา้ํ ฮวงโห เหนอื เมืองเส ฉวน ซึง่ เป็น เมืองใหญแ่ ละมคี วาม เจรญิ ร่งุ เรอื งมากในอดตี 3. เมืองเงี้ยว (นครเงยี้ ว) อย่ทู างใต้ของเมอื งลงุ และเมืองปา มีข้ออา้ งอิงในพงศาวดารจนี บนั ทกึ ไวว้ ่าเมอ่ื ประมาณก่อน ค.ศ.843 ชนชาตติ าด ไดเ้ ขา้ มารบ ชนชาตจิ ีน แลว้ ล่วงเลยเขา้ มารบกบั ชนชาติอ้ายลาว ทเี่ มืองลุง ชนชาตอิ า้ ยลาวที่รักสนั ติ รกั ความสงบ จงึ อพยพหนลี งมาอยู่ท่ีเมืองปา อกี ประมาณ 70 ปี ต่อมาชนชาตจิ ีนมกี ําลังมากขน้ึ จงึ ยกทพั มา สู้รบกบั นครปาและนครเงย้ี ว ชนชาติอ้ายลาว ท่อี าศยั อย่ใู น 3 เมือง ท่ีมลี กั ษณะ นสิ ยั เฉพาะตัวที่รักความสงบ ชอบอยู่กันอยา่ งสนั ติ นน้ั ได้รวมตัวกัน อพยพลงมาอย่ทู างใตข้ องเมอื งเสฉวนตลอดลงมาถึงเมืองกุยจิว กวางตงุ้ กวางใสและเมอื งยนู าน ในเวลานนั้ ชนชาติจีนเรยี กชนชาตอิ า้ ยลาวว่า “ไต” แต่ชนชาติอา้ ยลาว บางส่วนยงั คงรกั ษาเอกราชเมอื งปาและเมืองเง้ียวไว้ได้ ในปี พ.ศ.205 ชนชาตอิ ้ายลาวทนี่ ครปาถกู ชนชาตจิ ีนรกุ รานจนสไู้ มไ่ ด้ จงึ ได้ถอยลงมารวมกับ พวกทีอ่ พยพมาก่อนทน่ี ครเงี้ยว และในปี พ.ศ.297 พระเจ้าแผ่นดนิ จีนนามว่า “จนิ๋ ซีฮอ่ งเต้ ” ผ้สู รา้ ง ภมู ปิ ัญญาอาหารพ้ืนถิน่ ผู้ไทในอีสาน
หนา้ | 25 กําแพงเมอื งจีนยาว 1,000 ล้ี (1 ล้ี เทา่ กับ 500 เมตร) ไดย้ กทพั มาตีนครเงย้ี วของชนชาติอา้ ยลาวหลาย คร้ังแตไ่ ม่สําเรจ็ และไดร้ บกันตอ่ เนอ่ื งกนั มา จนกระทั่งถงึ ปี พ.ศ.328 ชนชาติอา้ ยลาวไดเ้ สยี นครเง้ียว ใหแ้ ก่ชนชาตจิ ีน ทาํ ให้ชนชาตอิ ้ายลาวท่ไี ม่อยากขนึ้ ตรงกับชนชาตจิ นี ไดอ้ พยพลงมาทาง ตอนใตแ้ ละได้ รวมกนั ตั้งเมอื งหลวงข้นึ ใหม่ ชอ่ื “นครเพงาย ” มีขนุ เมา้ (ขนุ เมอื ง)เปน็ กษัตริยต์ รงกับสมัยพระเจา้ แผน่ ดนิ จีนนามวา่ “วู้ตฮ้ี อ่ งเต้ ” ซงึ่ ในสมัยพระเจา้ ว้ตู ีฮ้ อ่ งเตไ้ ดม้ ีการแต่งตั้งคณะ ทตู ไปศึกษา พระพุทธศาสนาในประเทศอนิ เดีย คณะทตู ของชนชาติจนี คร้ังนี้จะเดนิ ทางผ่านนครเพงาย เจ้าขุนเม้า เจ้านครเพงายไม่ยอมให้เดนิ ทางผา่ นไป จึงทําใหพ้ ระเจ้าวตู้ ี้ฮอ่ งเต้ชนชาติจีนไมพ่ อใจเปน็ อยา่ งมากจึงยก กองทัพมาตนี ครเพงาย สุดทา้ ยนครเพงายได้ตกเปน็ เมอื งขึ้นของชนชาตจิ นี ในปี พ.ศ.456 ครงั้ ต่อมา ในปี พ.ศ.552 ชนชาติจีนเกิดความวุ่นวายขน้ึ ทําใหข้ นุ วงั เมือง ผู้เป็นกษตั ริยส์ บื สกลุ เมอื งนครเพงาย เลง็ เห็นเปน็ โอกาสที่ดีจงึ ประกาศอสิ รภาพและไมย่ อมเป็นเมืองข้นึ ของชนชาติจีน ตอ่ มาถงึ ปี พ.ศ.593 (ค.ศ.50) ความวุ่นวายในชนชาตจิ นี ไดส้ งบลงและชนชาตจิ นี กเ็ ข้ารุกราน เมืองนครเพงาย จนได้กระท่งั เมืองนครเพงายตกเป็นเมืองขนึ้ ของชนชาติจีนอกี คร้ัง ในระหวา่ งนี้ชนชาติ อ้ายลาวได้แบง่ ออกเปน็ 2 กลุม่ คือ กล่มุ ท่ีอยู่นครเพงาย เรียกตนเองว่า อา้ ยลาว กลุ่มที่อพยพหนีลงมาทางใต้เรอื่ ยๆ เรยี กตนเองว่า งายลาว พอมาถงึ ปี พ.ศ.600 พระเจ้าม่งิ ตีฮ้ ่องเต้ พระเจ้าแผน่ ดินจนี มคี วามเลือ่ มใสศรัทธาใน พระพทุ ธศาสนาและไดน้ าํ เอาพระพุทธศาสนาเขา้ มาสู่ประเทศจนี ครัง้ ในปี พ.ศ.612 พระเจ้าแผ่นดิน ของชนชาติอา้ ยลาวสมัยน้ัน คือ “ขุนหลวงล้ีเมา ” ปกครอง อย่นู ครงายลาวได้นบั ถอื พระพทุ ธศาสนา เชน่ กันแต่เป็นฝ่ายลัทธมิ หายาน กระทง้ั ตอ่ มาในปี พ.ศ.621 “ขนุ ไลลาด” พระราชโอรสของขุนหลวง ลเี้ มาได้ขึน้ ครองเมอื งงานลาวต่อจาก ขุนหลวงล้เี มา ซึ่งในเวลานัน้ ชนชาติจนี ยงั ถือวา่ นครงายลาวเปน็ เมอื งข้นึ ของ ชนชาติ จีน จงึ ไดส้ ง่ ขุนนาง เดนิ ทางมานครงายลาวเพอ่ื กํากบั ดแู ล นครงายลาว ทาํ ให้ ขนุ ไลลาดท่ขี ึ้นครองราชย์ตอ่ จากบดิ าไมย่ อม ชนชาติ จีนจึงยกกองทัพมาตนี ครงายลาว สุดทา้ ยชนชาติ อ้ายลาวทงั้ นครเพงายและนครงายลาวก็ ตกเป็นเมอื งข้นึ ของ ชนชาติจีน อกี ท้ังชนชาติ จนี ไดบ้ ังคบั ให้ ชนชาตอิ ้ายลาวท้ังสองเมอื งส่งสว่ ยใหก้ ับชนชาติจีน ต้ังแต่นน้ั มาชนชาติอ้ายลาวจงึ เร่ิมพากนั อพยพลง มาทางใตเ้ รอื่ ยๆ และได้มาต้ังหลักฐานบา้ นเรอื นอยูร่ อบๆ หนองแส หรือ หนองกะแสแสนย่าน ปจั จุบัน ภมู ิปัญญาอาหารพ้นื ถิน่ ผไู้ ทในอีสาน | 25
หน้า | 26 จีนเรยี กวา่ “ตาลฟิ ู” อยูใ่ นเขตแขวงมณฑลยนู านของ ประเทศจีนในปัจจบุ ัน ในชว่ งเวลาต่อมาไม่นาน ชนชาตจิ ีนไดเ้ กิดแตกแยกกนั ออกเปน็ สามพวก หรอื ทรี่ จู้ ักกัน คอื สามกก๊ ประกอบด้วย โจโฉพวกหน่งึ เลา่ ป่ีพวกหน่ึง ซุ่นกวนพวกหนึง่ ชนชาติอา้ ยลาวถือโอกาสอาศยั ช่วงเวลาที่ชนชาติจีนแตกแยกและต่อสู้ กนั เองอยู่น้ัน รวบรวมผคู้ นและสร้างเมืองใหญ่ขึ้นได้รวม 6 เมือง คือ 1. เมืองสยุ (เมอื งมงชยุ่ ) 2. เมืองเอ้ยเช้ (เมืองเอ้ยเช้) 3. เมอื งล้านกงุ (เมืองล้างกง) 4. เมอื งท่งช้าง (เมอื งเท้งเชีย้ ง) 5. เมอื งเชียงลา้ น (เมอื งชลี า้ ง) 6. เมอื งหนองแส (เมอื งม้งเส) เมืองหนองแส เปน็ เมืองใหญแ่ ละเป็นเมอื งหลวง เมืองศูยน์กลางของชนชาตอิ า้ ยลาวและเรียก ขานนามของชนชาตอิ า้ ยลาวในเวลานั้นว่า อาณาจักรหนองแส หรอื “น่านเจา้ ” ชนชาตอิ ้ายลาวไดต้ ง้ั ตัวเปน็ อิสระเปน็ เอกราชจากชนชาตจิ นี ปกครองบ้านเมอื งเจรญิ รุง่ เรอื งต่อมากว่า 100 ปี ครงั้ พอถงึ ใน ปี พ.ศ.768 “ขงเบ้ง” แม่ทัพคนสาํ คญั ของเล่าปไี่ ด้ยกกองทัพมาตอี าณาจักรหนองแส หรือนา่ นเจา้ อยู่ หลายครัง้ จนในท่ีสุดชนชาตอิ า้ ยลาวต้องยอมเป็นเมอื งขนึ้ ของชนชาติจีนอีกคร้งั จะเห็นว่าชนชาตอิ า้ ยลาวถกู พวกชนชาติจีนรกุ รานเบยี ดเบยี นกดขขี่ ่มเหงอยเู่ สมอทาํ ใหช้ นชาติ อ้ายลาวบางส่วนได้อพยพลงมาทางใต้อย่เู รือ่ ยๆ จนถึงในปี พ.ศ.938 ชนชาติอ้ายลาวท้งั 6 เมอื งไดต้ ั้งตัว เปน็ อิสระอกี คร้ังและปกครองกนั เอง ตอ่ มาในปี พ.ศ.1192 กษัตริย์ผคู้ รองเมอื งหนองแส พระนามว่า “สหี ะนะวะ” หรอื “สีนุโล” (ชนชาติจีนเรยี ก “ชวิ โนว้ หล้อ” ได้รวบรวมเมืองท้ัง 6 เป็นอาณาหนองแส หรอื นา่ นเจ้าอกี ครั้ง ตงั้ แตน่ ัน้ มาอาณาจักรหนองแสหรอื นา่ นเจา้ จงึ กลับมีความเจริญรงุ่ เรอื งยิ่งใหญแ่ ละ ขยายอาณาเขตกวา้ งขวางขึ้น พระเจ้าแผน่ ดนิ นครหนองแส จึงไดส้ ่งราชทูตไปเจรญิ สัมพันธไมตรีกับ พระเจ้าแผน่ ดนิ จนี นามว่า “เกาจงฮอ่ งเต้ ” ซง่ึ ทรงต้อนรบั เป็นอย่างดี ต่อมาถงึ ในปี พ.ศ.1228 พระเจ้าโลเชง้ ราชโอรสเมอื งหนองแส ได้ข้นึ ครอง ราช ตอ่ จากพระราชบิดา พระองคก์ ไ็ ด้เจรญิ สมั พันธไมตรกี ับ ชนชาติจนี เร่ือยมา และในปี พ.ศ.1233 พระ เจ้าโลเซง้ ไดเ้ สดจ็ ไปประเทศจนี ในงาน ภมู ปิ ญั ญาอาหารพื้นถนิ่ ผไู้ ทในอีสาน
หน้า | 27 ราชาภเิ ษกพระนางบเู ชก็ เทยี น หลงั พระเจ้าโลเชง้ สนิ้ พระชนม์ได้มีกษัตรยิ ์ปกครองตอ่ มาอกี สาม พระองคจ์ งึ มาถึงพระเจ้าพิล้อโก้ หรือ “ขนุ บรมราชาธริ าช ” ข้ึนเปน็ กษตั รยิ ์อาณาจกั รหนองแส หรอื นา่ นเจา้ พระองค์เป็นกษตั รยิ ์ผ้กู ลา้ หาญ ทรงชํานาญในการสงครามอยา่ งยิง่ ได้ทรงแผข่ ยายอาณาจกั ร หนองแส หรือน่านเจา้ ใหก้ ว้างขวางมากทสี่ ดุ พระองคไ์ ด้ขึ้นเสวยราชสมบัตนิ ครหนองแส พ.ศ.1272 เมอ่ื พระชนม์ได้ 32 ปี และ พระองค์ ได้ส่งราชทูตไปเจริญสมั พันธไมตรีกับพระเจา้ แผน่ ดนิ จีน คอื “หงวนจงเพง้ ฮอ่ งเต้ ” ซึ่งทรงได้รับการต้อนรบั เปน็ อย่างดี ขนุ บรมราชาธิราชพระเจา้ แผน่ ดินหนองแส หรือชนชาติจีนเรียกว่า “นา่ นเจา้ อ๋อง ” แต่พระองค์ ทรงพิจารณาเห็นวา่ ชนชาติจีน ก็มีกําลงั เข้มแข็ง และเคยยกกองทพั มาตเี มืองหนองแสอยเู่ สมอในอดีต ถึงแม้นพระองค์จะได้เจริญสัมพันธไมตรไี วแ้ ล้วก็ ยังไมม่ คี วามเชอื่ ใจได้ ดงั น้นั ในปี พ.ศ.1227 พระองค์จึงได้ลงมาสรา้ งเมืองใหมท่ ที่ งุ่ นานอ้ ย อ้อยหนู และตง้ั ชอ่ื เมืองใหม่นวี้ ่า เมืองแถน หรือ เมืองกาหลง และพระองคท์ รงประทับทีเ่ มอื งแถน หรือ เมืองกาหลงนานถงึ 8 ปี ในระหวา่ งท่ปี ระทับนั้นพระองค์ไดย้ กทพั ขนึ้ ไปตเี อาหัวเมืองของ ชนชาติจนี หรือปะเทศจนี อันอยใู่ นเขตแดน แถบธิเบตได้หลายเมือง พระองค์ไดส้ รา้ งเมอื งใหมข่ ึน้ อกี ในดินแดนท่ี ตีเมอื งได้ เรยี กว่า เมอื งตาห้อ หรือ หอแต เมอื งน้อี ย่หู า่ งจากเมืองหนองแส ไปทางเหนือ 40 ล้ี แลว้ พระองคก์ เ็ สด็จไปประทบั ท่เี มอื งตาหอ้ คร้งั ตอ่ มาในปี พ.ศ.1283 ขุนบรมราชาธิราช มพี ระโอรส ประสูตจิ าก พระนางยมพาลา เอกอคั รมเหสแี ละพระนางเอ็ดแคง เทวซี า้ ย ทม่ี ีชอื่ ปรากฏอยูจ่ ํานวน 7 องค์ อ้างในหนงั สอื ความเป็นมาของอาณาจักร ลา้ นช้าง ไว้วา่ พระราชโอรสของขนุ บรมราชาธิราช เมือ่ โตขึน้ ไดไ้ ปครองเมืองต่างๆ ดงั นี้ ขนุ ลอ ครองเมอื ง ล้านช้าง ทา้ วผาลา้ น ครองเมือง ตาห้อ หรือ หอแต ท้าวจสู ง ครองเมอื ง จลุ นี คอื เมืองแกว ทา้ วคําผง ครองเมืองโยนก คอื ลานนา ท้าวอิน ครองเมอื ง ลา้ นเพีย คอื อยุธยา ทา้ วกม ครองเมืองหลา้ คาํ ม่วน ท้าวเจือง ครองเมืองปะกัน เชยี งขวาง ภูมปิ ัญญาอาหารพ้ืนถิน่ ผไู้ ทในอสี าน | 27
หน้า | 28 จนกระทัง้ มาถึง ในปี พ.ศ.1286 ขนุ บรมราชาธิราช ได้ทรงแต่งราชทูตไปเจรญิ ทางราชไมตรี กับพระเจ้าแผน่ ดนิ จนี นามว่า “พระเจา้ เฮ้ยี นจงอดิ ฮ่องเต้ ” อีกคร้ังแลว้ จึงเสดจ็ กลับมาเสวยราชสมบัติ อยู่นครหนองแส ถงึ ปี พ.ศ.1292 กเ็ สดจ็ สวรรคต รวมพระชนมไ์ ด้ 53 ปี ในพงศาวดารจีนชือ่ \"ยจี่ ับสซี่ อื้ \" กลา่ วไว้ว่าเมื่อพระเจ้าพิลอ้ โก้ (ขนุ บรมราชาธิราช) เสด็จสวรรคตแล้ว ได้ให้พระโอรสนามว่า “โกะ้ ล้อผง” คอื “ขนุ ลอ” ซงึ่ เวลานน้ั ประทบั ปกครองเมอื ง แถนหรอื เมอื งกาหลงอยู่ ไดเ้ สดจ็ กลับนครหนองแสขน้ึ ครองราชย์สมบตั ิอาณาจกั รหนองแสหรือนา่ นเจ้า แทนพระบดิ าและไดแ้ ตง่ ราชทูตไปเจริญราชไมตรกี บั พระเจ้าแผน่ ดนิ จีนเชน่ เดิม ต่อมาพระเจ้าโกะ๊ ลอ้ ผง หรอื ขุนลอ เสด็จไปประพาส เมอื งเขตแดน อาณาจกั ร จีนจนมาถงึ เมอื งฮุนหนํา ขุนนางขา้ ราชการจีน ผรู้ ักษาเมอื งไม่ทําความเคารพพระองค์ ทาํ ให้เกดิ มีความขดั เคอื งพระทยั เปน็ อย่างมาก จึงไดย้ กกองทัพ ไปตีเอาเมืองเขตแดนอาณาจักรจนี จนไดห้ วั เมอื งตา่ งๆในแขวงฮุนหนาํ ถึง 32 เมอื ง แลว้ พระองคท์ รง ประทบั อยเู่ มอื งฮุนหนาํ จนถงึ ในปี พ.ศ.1294 ทําให้ อาณาจักรจนี ไม่พอใจ พระเจ้าแผ่นดินจนี จึงส่งทพั หลวงมาจะตีเอาเมอื งฮนุ หนําคืน แตพ่ ระเจา้ โกะ้ ลอ้ ผง หรอื ขุนลอ จึงแตง่ คณะทูตไปเจรจากบั แมท่ ัพจนี ขอเปน็ ไมตรีและจะส่ง หัวเมอื งคืนให้หลาย หวั เมือง แต่แม่ทพั จนี ไม่ยอม และจบั ราชทตู ไปขงั ไว้ แล้วยก กองทพั เข้าตีเมอื งฮุนหนําแตพ่ ระเจ้าโก้ะล้อผง หรือ ขุนลอ ตี กองทัพจนี แตกคนื ไปหมด แลว้ พระองค์ พิจารณาเหน็ ว่าพวกชนชาติจนี จะต้องยกกองทพั ลงมารบอีกครัง้ แน่นอน พระองค์ จงึ ได้ไปเจรญิ ไมตรไี ว้ กบั พระเจา้ แผ่นดินธเิ บต เมอ่ื ถงึ ปี พ.ศ.1297 ชาชาติจีนได้ยกกองทัพมาตีเมืองฮุนหนําอีกคร้ัง ขนุ ลอได้ สรา้ งกลศกึ หลอกกองทพั จีน ให้เข้าไปถึงเมอื งตาหอ้ หรือหอแต แล้ว จัดกองทพั มาสกดั ดา่ นไว้ ทาํ ให้ ทหารกองทัพชนชาติ จีนขาดเสบยี งอาหารและเกดิ โรคอหิวาในกองทัพ ต้องพากันถอยหนี ไปตง้ั หลัก ขุนลอได้นําทหารตามาตแี ละฆา่ ฟนั ทหาร กองทพั จนี ตายลงเปน็ จํานวนมาก ตอ่ มาอาณาจักรหนองแส หรอื น่านเจา้ ได้รับความเจริญรุ่งเรืองและกวา้ งใหญไ่ พศาลมาตั้งแตส่ มยั ของพระเจา้ สินุโล มกี ษัตรยิ ์ ปกครองสบื ต่อกนั มาถงึ 13 องค์ คิดเปน็ เวลานานถึง 255 ปี ตอ่ จากนัน้ มาราชอาณาจกั รหนองแส หรอื น่านเจา้ ก็มีราชวงคท์ ม่ี เี ชือ้ สายปะปนกับชนชาติจีน ปกครองบา้ นเมอื งขนบธรรมเนียม ประเพณี ศิลปวฒั นธรรม จงึ ไดห้ ลอมรวมเปล่ยี นแปลงเขา้ ด้วยกัน คร้ังมาถึงในปี พ.ศ.1797 พระเจ้าแผ่นดนิ จีนราชวงคห์ งวนต้ี ไดป้ กครองเมืองจีนทั้งหมดแล้วแผ่ขยาย อํานาจและอาณาเขตลงมาทางตะวนั ตกเฉียงใต้ และเข้าตีอาณาจกั รหนองแส หรอื น่านเจ้าได้ ดังนนั้ อาณาจกั รหนองแส หรอื นา่ นเจา้ จึงหมดอิสรภาพตกเป็น เมืองประเทศราชของประเทศจีนต้ังแต่น้ันมา ภูมิปัญญาอาหารพ้ืนถน่ิ ผ้ไู ทในอีสาน
หน้า | 29 และทาํ ให้ กลุม่ ชนชาตอิ ้ายลาวท่ีรกั สงบ รกั ความเป็นอิสระ จงึ ไดอ้ พยพลกู หลานลงมาทางใต้ รวมท้ัง ชนชาติผไู้ ทซึง่ ก็เปน็ กลมุ่ ชนชาตหิ นึง่ ทีอ่ พยพลงมาในครงั้ นัน้ และไดต้ ้งั บ้านเรือนกระจัดกระจายอยูเ่ ป็น หลายเมอื ง ทุกเมอื ง ยังคงอนุรักษ์ สบื ทอดขนบธรรมเนยี ม ประเพณี และศิลปวัฒนธรรมอันดีงามไว้ อย่างเหนยี วแนน่ เป็นเอกลักษณ์เฉพาะตัว แนวคดิ ท่ี 2 จดุ กาเนดิ ชนชาตชิ าวผไู้ ทในระยะท่ี 2 อีกมุมหนึง่ ของความเป็นมาชาวผู้ไทนั้น ยกให้ พระยาแถน (ขุนบรมราชาธริ าช) ว่าเป็นบรรพ บุรุษของชาวภูไทหรอื ผไู้ ท คนภูไท หรอื ผไู้ ท มีกําเนดิ ความเป็นมาอยา่ งไรไม่มหี ลกั ฐานยืนยนั แน่นอน แต่จากการสืบค้นประวตั ศิ าสตรล์ าว ไดบ้ ันทกึ ไว้ในปี พ.ศ.1227 ขนุ บรมราชาธิราชเปน็ กษัตรยิ ์นกั รบผู้ กลา้ หาญของอาณาจกั รหนองแสหรือนา่ นเจา้ พระองค์แรกผู้สรา้ งเมืองแถนขึน้ ทีท่ ุ่งนานอ้ ยอ้อยหนู ชาวเมอื งเรยี กพระนามเจ้าเมอื งวา่ พระยาแถน พงศาวดารล้านชา้ ง และพงศาวดารเมอื งหลวงพระบาง บนั ทึกไว้ว่า \"คร้งั เมอ่ื สมัยบุราณนานมาแลว้ โน้น แผน่ ดนิ ที่เฮาอยอู่ าศัยนี้ คงเปน็ ดินเป็นหญา้ มีฟา้ เป็น แถน ผีแลคนเทยี วไปมาหากนั บข่ าดคนเฮาสรา้ งบา้ นอยูเ่ มืองล่มุ กนิ ปลา เฮ็ดนา กินขา้ ว คนเมืองลมุ่ น้ี กนิ ขา้ วให้บอก ใหห้ มาย กินแลงกินงายก็ให้บอกแกแ่ ถนไดก้ นิ ซ้นี ใหส้ ่งขา ไดก้ นิ ปลาใหส้ ่งฮอย แก่แถน เดิมน้นั คนเรายังไมม่ ีความคิด ความเชอื่ ในเร่อื งเทพเจา้ และวญิ ญาณหรอื ภูตผิ สี างเทวดา ตลอดจน เรอื่ งราวอทิ ธิฤทธ์ิ ปาฎิหารยิ ์ อันเป็นเครอื่ งยดึ เหนีย่ วทางจิตใจเหมอื นปัจจบุ ันน้ี ต่อมาคนเราไดแ้ บง่ กัน ออกเป็นสองกลุ่ม คือกลุ่มท่มี ีกําลัง มอี ํานาจมากกว่า เปน็ หวั หนา้ หรอื ผูน้ ํา และกลุ่มทม่ี กี าํ ลงั น้อยกว่า เปน็ ชาวบา้ นธรรมดาคอยปฏิบัตติ ามคาํ ส่ังของคนกลุ่มแรก มเี ร่อื งเล่าขานกันว่า เมื่อเกิดเหตุการณ์ อุทกภัย อัคคีภยั หรอื วาตภัย จากธรรมชาตเิ กิดข้ึน ชาวบา้ นธรรมดาทไ่ี ม่มเี ครอื่ งยึดเหนยี่ วจติ ทางใจ ก็ เลยนึกว่า พระยาแถน โกรธบันดาลโทสะ มีอยู่คร้ังหน่งึ เกิดอุทกภยั ขน้ึ ชาวบา้ นได้หนีตายขน้ึ ไปอยใู่ นท่ี สงู หรอื เมืองบน พระยาแถนกร็ ับไว้ แต่พออย่ไู ปนานๆกไ็ มส่ ามารถจะอยู่ได้ พระยาแถนจงึ ได้พาลงไปสง่ ให้อยูท่ ี่หนง่ึ พร้อมกนั นัน้ กใ็ ห้ควายเขาลู่ ไปเพอื่ ใหท้ าํ ไรไ่ ถนากนิ กนั ตอ่ ไป บริเวณทไ่ี ปอยนู่ ้ันเรยี กว่า \"นา นอ้ ย ออ้ ยหนู\" ต่อๆ มา เมือ่ มผี มู้ บี ุญเป็นศรีแก่บ้านแกเ่ มืองเกิดข้ึน คอื ขุนบรมราชาธริ าชได้สรา้ งเมอื งแถน ขน้ึ ท่ที งุ่ นาน้อย อ้อยหนู จงึ ไดช้ กั ชวนแนะนาํ ชาวบา้ นใหร้ ู้จักวธิ กี ารทาํ ไร่ไถนา ปลกู ผกั ปลกู หญ้า ปลูกผลหมากรากไม้ หวั มันท้ังมวล อันควรกนิ ควรเกบ็ จงึ เกดิ มพี ืชพันธ์ธุ ญั ญาหารอุดมสมบรู ณ์ ผ้คู น และบ้านเมอื งคอ่ ยพฒั นา มคี วามสขุ ความสะดวกสบาย มีลกู เตม็ บ้านหลานเตม็ เมืองเกดิ มีคติวฒั นธรรม ภูมปิ ญั ญาอาหารพนื้ ถิ่นผู้ไทในอีสาน | 29
หน้า | 30 ขนบธรรมเนียม ประเพณี ดนตรี ศิลปะ ศาสนาความเช่อื ถอื ในเรื่องวญิ ญาณผปี ู่ ผีย่าผปี ทู่ วดตาทวด และมีการกราบไหวบ้ ูชาตราบเท่าทกุ วนั น้ี ขุนบรมราชาธิราช กษัตรยิ ์ผ้ปู กครองเมืองแถน มี มเหสี 2 องค์คือ พระนางแอกแดง (เอคแคง) มีโอรส 4 องค์ และพระนางยมพาลา มโี อรส 3 องค์ รวม 7 องค์ เมอ่ื พระโอรส เติบโตขึ้น จึงได้ให้ไป สร้างเมอื งต่างๆ พร้อมมอบทรพั ย์สมบัติ แกว้ แหวน ดงั นี้ 1. ขนุ ลอ ให้ไปสรา้ งเมืองชวา คอื กรงุ ศรสี ัตนาคนหุตลา้ นชา้ งรม่ ขาว หลวงพระบาง มอบ ทรพั ย์สมบัติ คือ ฆ้องราง ง้าวตาว แม่วี แหวนธํามรงค์ เลือ่ มแสงใส มณโี ชติ 2. ยีผาล้าน ให้ไปสร้างเมืองหอแต มอบทรัพยส์ มบัติคอื หอกมงคลคันคาํ หนว่ ย ปัทมราช โชติ แสงสิงตะวัน 3. สามจูสง ให้ไปสรา้ งเมอื งแกวชอ่ งบัว มอบทรัพย์สมบัติ คอื เกิบเงนิ ดาบฝักคาํ หนว่ ยมุกตั้ง เล่ือมผวิ เงนิ เลียงล่องนาคราช 4. ไสผง ใหไ้ ปสร้างเมืองยวนโยนก เมืองลานนา หงสาวดี มอบทรพั ยส์ มบตั ิ คือ หนา้ ซองคาํ แลง่ ชายคํา หน่วยเพชร เชิดตั้งแย้งแผน่ บาดาล 5. งวั อิน ให้ไปสร้างเมืองชาวใต้ คอื อโยธยา มอบทรพั ย์สมบัติ คือ งา้ วปากไชย ดาบมาศ หมากนลิ เลอื่ ม ผา่ นส่องแสง 6. ลกกลม ให้ไปสร้างเมอื งเชยี งคม คอื อินทปตั (เขมร) มอบทรพั ย์สมบตั ิ คือ ดาบเหล็กพวน ฝักถกั หวาย อัมพา ผ่องผายงาม ปดั ตลอดลิงลาํ ไว้หา้ 7. เจ็ดเจงิ ใหไ้ ปสร้างเมอื งพวน(เชียงขวาง) มอบทรัพยส์ มบตั ิ คือ ตาวรางกวน หนว่ ยปดั คํา แสง เลื่อมลายหลากแกว้ ขุนบรมราชาธิราช ได้ทรงใหโ้ อวาทและแนะนําพรา่ํ สอนและยํา้ เตอื นพระโอรสท้ัง 7 องค์ กอ่ นท่ีจะแยกย้ายกนั ไปครั้งสุดทา้ ย ดังน้ี ภูมิปัญญาอาหารพ้นื ถิ่นผูไ้ ทในอสี าน
หนา้ | 31 \"ถา้ ผใู้ ดไปสร้างบ้านแตง่ เมือง มบี ญุ ญานภุ าพมาก ให้เร่งต้ังอย่ใู นทางยตุ ิธรรม อย่าไดค้ ิดทพั ศกึ สงครามยกไปรบพุ่งเบียดเบียน ตีชงิ เอาบ้านเมอื งแกก่ นั และกันผ้ใู ดอยู่ในยุติธรรมตามคาํ ของบิดาน้ี ใหผ้ ู้ นน้ั มีความสุขความเจริญยิง่ ๆขนึ้ ไป.\" \"เจา้ พีน่ อ้ งหากแมน้ ลกู กผู ู้เดียวดาย เมือ่ กูตายไปอยลู่ กู หลงั กูพ่อสูเจา้ เจา้ กส็ รา้ งบา้ นแปงเมอื ง บุญผใู้ ดมีหากไดน้ ่งั บ้านสร้างเมอื ง อันกวา้ งขวางวา่ งใหญ่ บุญผู้ใดมบี ม่ หี ลาย หากจักไดอ้ ันทีแ่ คบขันอนั ชะแลกปันใหส้ ูเจ้าดังนี้ ภายหน้าผ้ใู ดอย่าโลภตัณหาอจิ ฉามักมาก และเอาร้ีพลช้างม้าไปตกแดน เอา หอกดาบแขนแพนไปตกทง่ แลว้ รบเลวเอาบา้ นเมอื งกันดังนี้ ใหผ้ ้นู ้นั พินาศฉบิ หาย ทําอนั ใดอยา่ ให้เปน็ เข็นอนั ใดอย่าใหไ้ ด้ ปลูกไม้อยา่ ทนั ตาย ปลกู หวาย อย่าทนั ลอ่ น ข้อม่อนอย่าให้รี ปีมันอย่าให้กวา้ ง เทียวทางใหฟ้ า้ ผ่า เมือป่าใหเ้ สือกิน ไปทางนา้ํ ให้เงือกท่อเรอื ฉก ไปทางบกใหเ้ สือท่อมา้ กนิ มัน เมืองอา้ ย ไวแ้ กอ่ ้าย เมอื งน้องไว้แกน่ ้อง อยา่ ทาํ รา้ ยเบียดเบยี นกัน อย่าผดิ ข้องขม่ เหงเอาก็พ่อเทอญ.\" ถา้ จะกล่าวถงึ ชนเผ่าภูไทหรอื ผู้ไท โดยไมก่ ล่าวถงึ อาณาจกั รลาวเลยนา่ จะไม่ถกู ตอ้ งเนอื่ ง เพราะท้ังคนลาว คนผ้ไู ท คนไทย คนญอ้ คนพวน คนขา่ คนจีน ฯลฯ ล้วนเป็นชนชาติที่เคยอาศัยสรา้ ง หลักฐานบา้ นเรอื นอยดู่ ้วยกันมาต้งั แตใ่ นอดตี จนทาํ ให้มกี ารหลอมรวมวฒั นธรรม ขนบธรรมเนยี ม ประเพณี ศิลปวฒั นธรรม ดนตรี ศาสนา ความเช่ือที่มคี วามเกี่ยวเน่อื งกนั ตลอดจนมกี ารมีการผสม เผ่าพนั ธ์ุเข้าด้วยกนั กล่าวว่า พวกเรามีสายเลอื ดสายโลหติ เช้ือสายหรือโคตรเหง้าบรรพบรุ ษุ เดยี วกันนัน่ เอง คอื พวกเราท้งั ชนชาตไิ ทย ลาว ผไู้ ท ญอ้ พวน จนี เวีย ดนาม พม่า ตลอดจนชนเผ่าต่างๆในอนิ โดจีน ล้วน แต่เปน็ ลูกหลาน ขุนบรมราชาธริ าช ดว้ ยกนั ทั้งสน้ิ การอพยพของชาวผู้ไทเขา้ สปู่ ระเทศไทย จากประเทศไทยเปน็ ประเทศที่มีความหลากหลายทางชาติพนั ธุก์ ารศกึ ษาหรือขอ้ มลู ทางชาติ พนั ธ์ุที่เปน็ ชนกลมุ่ เล็กๆในประเทศไทยไมค่ ่อยจะมี ขอ้ มูลหรือมีผ้ศู กึ ษากันนัก เรอื่ งราวของชนเผา่ ต่างๆ ท่เี ปน็ ชนกล่มุ น้อย ซง่ึ มีเพยี งคาํ บอกเลา่ ทีเ่ ล่าถงึ ประวตั ิและความเป็นมาของตนเองผา่ นรุ่นตอ่ รนุ่ เท่านนั้ และกอ็ าจจะมีประวัตหิ รอื เรื่องราวที่ถูกอ้างถึงในประวตั ิของชนชาติใหญ่ๆเพียงบางสว่ นเท่านัน้ (สวุ ิทย์ ธรี ศาศวตั และ ณรงค์ อปุ ัญญ์, 2538:18) ภมู ิปัญญาอาหารพ้นื ถน่ิ ผไู้ ทในอสี าน | 31
หนา้ | 32 การศกึ ษาหรือค้นคว้าเรื่องของชนกลุ่มน้อยตา่ งๆในสงั คมไทย มกี ารสบื ค้นข้อมลู ได้ไมม่ ากนัก การศกึ ษาเร่ืองของชนเผ่าผูไ้ ทกเ็ ชน่ กัน ตอ้ งอาศัยแหลง่ ข้อมูลจากเร่ืองเลา่ ตาํ นาน และประวตั ศิ าสตร์ท่ี มีบนั ทกึ ไวใ้ นชนชาติหลกั เป็นข้อมูลในการสบื ค้นและเรยี บเรยี งด้วยการเกบ็ เลก็ ผสมน้อยซ่ึงบางครงั้ คน ในถิ่นอน่ื ก็เขา้ ใจเรื่องของคนผไู้ ทคลาดเคลอ่ื นก็มอี ยู่ เชน่ การทคี่ นไทยภาคกลาง เรยี ก คนผูไ้ ทวา่ ลาว โซ่ง ลาวพวนหรือไทพวน ไททรงดาํ เนือ่ งจากในขณะนนั้ ยังไมร่ วู้ ่าเป็นคนเผ่าไหน แต่เนอื่ งจากคนผู้ไท ไดอ้ พยพลงมาอาศัยอยทู่ ่ปี ระเทศลาวก่อนจะอพยมาอยทู่ ่ปี ระเทศไทย จงึ เรยี กวา่ ลาวโซง่ ลาวพวน หรอื ไททรงดาํ แตเ่ นอื่ งจากคนผไู้ ทยังคงมีเอกลักษณแ์ ละรักษาประเพณวี ฒั นธรรมของตัวเองคอ่ นขา้ งจะ เหน่ยี วแนน่ จงึ ทาํ ใหเ้ ห็นขอ้ แตกต่างและยังมีการถา่ ยทอดเรอื่ งราวตา่ งๆของคนผ้ไู ทผ่านการบอกเลา่ ของ คนผู้ไทรุน่ ต่างๆ จึงเป็นตํานานและเรือ่ งราวบ่งบอกใหร้ ถู้ ึงความเป็นมาของคนผู้ไท คาํ ว่า ภไู ท หรอื ผไู้ ท หรอื คนไต ทั้ง 3 คาํ น้ี เป็นคําทม่ี ีความหมายเดยี วกันเปน็ คาํ ทีใ่ ช้เรยี กคน ชนชาติเดียวกันกับคาํ วา่ เทยี น แถน ไท้ ซงึ่ หมายถึง ฟา้ หรือ ดวงดาว คนชนชาตนิ ี้รักความอิสระ ชอบ อาศยั อย่ใู นท่สี ูง คือภูเขา มคี วามเจริญรงุ่ เรืองมากกวา่ กลมุ่ ชนชาติใดๆ มีความเช่ือในการนบั ถือลทั ธิผี ฟ้าและเคารพวิญญาณบรรพบรุ ุษ คาํ ว่า“ผู้ไท”บางท่านมักเขยี นวา่ “ภไู ท”ผไู้ ท คําว่า 'ผู้\" หรอื \"พู้\" เปน็ สําเนียง ออกเสยี งคาํ พูดของคนภูไท แต่ในพจนานุกรมฉบบั ราชบัณฑิตเขยี นว่า“ผูไ้ ท”ถ่ินฐานดง้ั เดิม ของชาวผู้ไทอยูใ่ นแค้วนสิบสองจไุ ท และแค้วนสบิ สองปนั นา (ดนิ แดนส่วนเหนอื ของลาว และ เวยี ดนาม ซ่ึงติดต่อกบั ดนิ แดนภาคใตข้ องจนี ) ราชอาณาจักรไทยไดส้ ูญเสียดินแดนสบิ สองจุไท ซึง่ อย่ใู นเขตของ ลาวให้แก่ฝรง่ั เศสเมอ่ื ร.ศ.107 (พ.ศ.2431) เดมิ ชาวผู้ไทแบ่งออกเป็น 2 พวกคอื ผูไ้ ทยดํา มี 8 เมอื งแตง่ กายดว้ ยเส้อื ผา้ สดี าํ และสคี ราม ส่วนผูไ้ ทยขาว มีอยู่ 4 เมือง อยใู่ กลช้ ิดตดิ กบั ชายแดนจีนจึงนิยมแตง่ กายดว้ ยเสือ้ ผ้าสขี าว รวมผู้ไทดาํ และผู้ไทขาวมี 12 เมือง จงึ เรยี กดินแดนสว่ นนว้ี า่ \"สบิ สองจุไท\" หรือ \"สองเจา้ ไท\" ต่อมาชาวผ้ไู ทได้แยก ย้ายออกไปตงั้ เป็นเมืองพนิ เมอื งนอง เมืองพ้อง เมืองพลาน เมอื งเชียงฮม่ ,เมืองผาบงั , เมอื งคําออ้ คาํ เขยี ว เปน็ ตน้ ซึ่งปจั จบุ นั อยใู่ นแขวงสุวรรณเขต ของลาว ในสมัยรัชกาลที่ 3 แหง่ กรงุ รัตนโกสนิ ทร์ เจ้าอนุวงษ์เวยี งจันทน์ เป็นกบฎตอ่ กรงุ เทพมหานคร เม่อื พ.ศ.2369 เมื่อกองทัพไทยยกขึน้ ไป ปราบปรามจนสงบราบคาบแล้วทางกรงุ เทพฯ มีนโยบายจะอพยพพวกผไู้ ท ขา่ กะโซ่ กะเลงิ ฯลฯ จาก ฝ่ังซ้ายแมน่ า้ํ โขงให้มาตง้ั บา้ นตัง้ เมืองอย่ทู างฝัง่ ขวาแม่นํ้าโขง(ภาคอีสาน) เพื่อมิใหเ้ ป็นกําลงั แก่ เวียงจันทน์ และญวนอีกต่อไป จึงไปกวาดตอ้ นผู้คนซงึ่ เป็นชาวผู้ไทจากเมอื งวงั , เมืองตะโปน, เมืองพิน ภูมปิ ญั ญาอาหารพื้นถนิ่ ผูไ้ ทในอีสาน
หน้า | 33 , เมอื งนอง, เมือง,เมืองคาํ อ้อคําเขียว ซ่ึงอยใู่ นแขวงสุวรรณเขตของลาวปจั จุบนั ซ่ึงยงั เปน็ อาณาเขตของ พระราชอาณาจักรไทยอยู่ในขณะนน้ั ให้ขา้ มโขงมาต้งั บ้าน ต้งั เมอื ง ทางฝ่งั ขวาแมน่ ้ําโขงในเขต เมอื งกาฬสินธ์ิ, สกลนคร,นครพนมและมกุ ดาหาร ชาวผ้ไู ทในอดีตเปน็ ชนชาติหนง่ึ แตเ่ ดมิ อาศัยอยูใ่ นบริเวณเมอื งแถงและเมอื งไลในแคว้นสบิ สอง จุไทพ้นื ที่บรเิ วณแถบนเ้ี ป็นป่าเขาไม่อดุ มสมบูรณน์ กั รวมทงั้ ยงั เป็นดนิ แดนคาบเกย่ี วอยู่ในการปกครอง ถงึ 3 ฝา่ ย คือ จนี หลวงพระบางและญวน เมื่อเกดิ สงครามระหวา่ งจนี ญวน และหลวงพระบางเกดิ ขึ้น การยกทพั จะตอ้ งผา่ นดินแดนสบิ สองจุไทชาวผ้ไู ทก็ตอ้ งพลอยเดอื นร้อนเสมอ โดยไมม่ ีฝา่ ยใดฝ่ายหนึ่ง ไดร้ ับชยั ชนะโดยเด็ดขาดชาวผไู้ ทเป็นกลมุ่ ชนท่ีรักความสงบจงึ พากนั อพยพเขา้ มาตัง้ ถนิ่ ฐานอยู่บริเวณ เมอื งวัง เมืองคาํ เกดิ และเมืองคาํ ม่วนในประเทศลาวในสมยั พระเจา้ กรงุ ธนบุรแี ละสมัยรชั กาลที่ 1 แห่งกรุงรัตนโกสนิ ทร์ ไดย้ กทัพไปตเี มืองล้านชา้ งกเ็ คยกวาดต้อนเชลยผ้ไู ทเข้ามาตง้ั ถ่ินฐานในประเทศ ไทยตอ่ มาในรชั กาลท่ี 3 พระบาทสมเดจ็ พระนัง่ เกลา้ เจ้าอยูห่ วั เจ้าเมอื งอนุวงศเ์ มอื งเวยี งจันทร์เปน็ กบฏ พระองค์ทรงสัง่ ใหแ้ ม่ทัพไปปราบกบฏเจ้าอนวุ งศเ์ มืองเวียงจนั ทร์และเมื่อปราบกบฏเสร็จเรยี บร้อยแล้ว กองทัพไทยจึงได้กวาดต้อนครอบครัวชาวผไู้ ทท่เี มืองวงั เมืองคาํ เกิดและเมอื งคําม่วน ข้ามแม่นาํ้ โขงมาอยู่ ฝั่งไทยเป็นการตัดกําลงั ของฝา่ ยลาวและโปรดใหต้ ้งั บา้ นเรอื นทาํ มาหากินในท้องถิน่ ตา่ งๆในประเทศไทย จนถึงปัจจุบัน จากครงั้ ในอดตี ท่ผี า่ นมาการอพยพเขา้ มาในประเทศไทยหลายครั้งของชนชาวผไู้ ท การตงั้ ถน่ิ ฐานของชาวผู้ไททัง้ ในจงั หวดั ทางภาคอีสานและภาคกลางของชนชาวผไู้ ทนัน้ สามรถแบ่งกลุ่มชนชาวผู้ ไทออกเปน็ 2 กล่มุ ตามลักษณะบริเวณท่ตี ัง้ ถนิ่ ฐานและการแต่งกายไดแ้ กก่ ล่มุ ผไู้ ทขาวกลมุ่ ผูไ้ ทดําและ กลุ่มผูไ้ ทขาว ต้งั ถ่ินฐานอย่ทู างตอนเหนือของเวยี ดนามต่อพรมแดนของประเทศจีนได้แก่ เมืองไล เมอื ง บาง เมืองมุน เมอื งเจยี นมีการใช้ธรรมเนียมตา่ งๆอยา่ งชาวจนี โดยเฉพาะการแต่งกายในพธิ ีศพนิยมนุ่ง ขาวหม่ ขาวสว่ นผ้ไู ทในภาคอสี านจัดเปน็ ชาวผู้ไทดาํ อยบู่ รเิ วณเมอื งแถง เมอื งควาย เมอื งคุง เมืองม่วย เมืองลา เมืองโมะเมืองหวดั เมอื งชา มผี ิวพรรณคล้ายผูไ้ ทขาวแต่คลํา้ กว่าเลก็ น้อยนยิ มแต่ง กายดว้ ยผา้ ฝ้ายยอ้ มครามเขม้ และอาศัยแมน่ ํ้าดาํ เปน็ แหล่งทาํ มาหากนิ สงั เกตได้จากลักษณะธรรมเนยี ม ประเพณี ทปี่ ฏบิ ตั เิ ป็นเกณฑ์หลกั เช่นการแตง่ กาย พิธศี พ ท้งั สองกล่มุ ใช้ภาษาพดู แบบเดียวกนั (นพดล ตั้งสกลุ , 2548: 12 ) ภูมปิ ัญญาอาหารพนื้ ถิน่ ผไู้ ทในอสี าน | 33
หนา้ | 34 ชาวผไู้ ทได้อพยพเข้ามาอย่ใู นประเทศไทย ในรัชสมยั ของพระเจ้า กรงุ ธนบรุ ี ราวปี พ.ศ. 2321 โดยพระเจา้ กรุงธนบรุ ี โปรดฯ ใหเ้ จา้ พระยาจักรกรี เปน็ แม่ทัพไปตีเมอื งเมอื งล้านชา้ ง แลว้ กวาดตอ้ น ชาวผไู้ ทยมาอยแู่ ถบภาคกลางของประเทศไทย คอื อยู่ท่ีจงั หวัดเพชรบุรี เปน็ การทดแทนคนไทยทถ่ี ูก พมา่ กวาดต้อนไปเม่อื คราวเสยี กรงุ ศรอี ยธุ ยา จนต่อมาในรัชกาลท่ี 3 พระบาทสมเด็จพระนง่ั เกลา้ เจ้าอยูห่ วั ได้ยกทัพไปปราบกบฏเจา้ อนุวงศ์ และได้กวาดตอ้ นครอบครัวของชาวผไู้ ทยจากเมืองตา่ งๆ ใน ประเทศลาวท่เี มอื งวงั เมอื งคําม่วน เมืองมหาชัย ให้เข้ามาอยใู่ นภาคอีสานของประเทศไทย โดยให้อยู่ใน เขตจงั หวดั กาฬสนิ ธ์ุ สกลนคร และนครพนม โปรดให้ตง้ั บา้ นเมืองขน้ึ ปกครองตอ่ กนั มา เป็นเมืองใหญๆ่ ทมี่ ีชาวผไู้ ทอาศัยอย่เู ปน็ จํานวนมาก คอื เมอื งเรณนู คร เมอื งกดุ สมิ นารายณ์ เมืองคําชะอี และเมอื ง พรรณนานคิ ม นอกจากนั้นกก็ ระจัดกระจายไปตามจงั หวดั ตา่ งๆ คือ อบุ ลราชธานี ยโสธร รอ้ ยเอ็ด และ อุดรธานี (ถวิล เกสรราช, 2512, 1-3) การอพยพเข้าสปู่ ระเทศไทย มี 3 ระยะด้วยกันคอื ระยะที่ 1 สมยั ธนบรุ ี ระหวา่ ง พ.ศ. 2321-2322 เมอ่ื กองทัพไทยซง่ึ มเี จา้ พระยามหากษัตรยิ ์ ศึก (รัชกาลที่ 1) กบั เจา้ พระยาสรุ สหี ์(บุญมา) ได้นาํ กองทพั ไทยสองหมื่นคนตหี ัวเมืองลาวตงั้ แตจ่ ําปา ศกั ดิ์ถงึ เวยี งจันทน์เอาไว้ได้เมอื งหลวงพระบางซง่ึ ไมถ่ กู กับเมอื งเวียงจนั ทนม์ ากอ่ นก็นาํ กาํ ลังมาชว่ ยตี เมืองเวียงจันทน์ดว้ ยแมท่ ัพไทยไดใ้ ห้กองทพั เมอื งหลวงพระบางไปตเี มอื งทันต์ (ญวนเรียก ซอื หวี) เมือง มวยซึง่ เปน็ เมอื งของชาวผไู้ ทดาํ ไดท้ ้งั สองเมืองแลว้ กวาดตอ้ นชาวผู้ไทดาํ (ลาวทรงดํา)เป็นจํานวนมากมา ตง้ั ถิน่ ฐานทเ่ี มืองเพชรบรุ นี ับเป็นชาวผู้ไทรนุ่ แรกทีม่ าต้ังถ่ินฐานในประเทศไทย ระยะที่ 2 สมยั รัชกาลที่ 1ใน พ.ศ. 2335 กองทัพเมอื งเวยี งจนั ทนต์ ีเมืองหลวงพระบางแตก และจบั กษตั รยิ ์เมอื งหลวงพระบาง สง่ เมอื งกรงุ เทพฯ ในพ.ศ. 2335-2338 กองทพั เมืองเวยี งจันทน์ได้ตี เมอื งแถงและเมอื งพวนซ่ึงแขง็ ข้อต่อเมอื งเวียงจันทน์ กวาดตอ้ นชาวผ้ไู ทดํา ลาวพวนเป็นเชลยส่งมา เมืองกรงุ เทพ ฯรัชกาลที่ 1 ทรงมรี บั ส่ังใหช้ าวผูไ้ ทดาํ ประมาณ 4,000 คนไปต้งั ถิ่นฐานท่เี พชรบุรี เชน่ เดยี วกับชาวผู้ไทดํารนุ่ แรก ระยะที่ 3สมยั รชั กาลที่ 3 เปน็ การอพยพประชากรครงั้ ใหญท่ ีส่ ดุ จากฝั่งซ้ายแมน่ ํ้าโขงเข้ามาอยู่ ในประเทศไทยสาเหตุของการอพยพ คอื เกิดกบฏเจา้ อนวุ งศ์ ใน พ.ศ. 2369 - 2371 และเกิดสงคราม ระหว่างไทยกับเวียดนามในระหว่างปี พ.ศ. 2376-2490 ยทุ ธวธิ ขี องสงครามสมยั น้นั คือการตดั กําลัง ภมู ปิ ัญญาอาหารพื้นถ่นิ ผไู้ ทในอสี าน
หน้า | 35 ฝ่ายตรงขา้ มทัง้ ฝา่ ยไทยและเวยี ดนามตา่ งกวาดต้อนประชากรในดนิ แดนลาวมาไว้ในดินแดนของตน สําหรับประชากรในดินแดนลาวทถี่ ูกไทยกวาดตอ้ นมาอยู่ในประเทศไทยจะมีทงั้ ผไู้ ท กะเลิง โซ่ ญอ้ แสก โยย้ ขา่ ซง่ึ สว่ นใหญ่จะถกู กวาดต้อนมาไว้ในภาคอีสาน ส่วนลาวพวน ลาวเวียงกวาดตอ้ นใหม้ าต้ัง ถน่ิ ฐานทัง้ ในภาคอสี านและภาคกลางของประเทศไทยแถบฉะเชงิ เทรา ชลบรุ ี นครนายก ปราจนี บรุ ี สระบรุ ี ลพบรุ ี สพุ รรณบุรเี พชรบุรี ราชบรุ ี นครปฐม เปน็ ต้น ผไู้ ทในประเทศไทยได้ขา้ มมาจากเมืองต่างๆในแถบลุม่ แมน่ าํ้ โขง ทศิ ใต้แควน้ สบิ สองจไุ ทย เช่น เมอื งวัง เมอื งเซโปน เมืองพิน เมอื งนอง (เมืองวงั และเมืองเซโปนปจั จุบันอยูใ่ นแขวงสุวรรณเขต) เมืองมหาชัย เปน็ ตน้ ซง่ึ ถกู กวาดต้อนมาบา้ งตดิ ตามญาติพ่ีน้องมาภายหลังบ้าง ตา่ งคราวกันอกี พวก หน่ึงมาจากเมืองวัง ซึ่งได้อพยพมาจากเมอื งนาํ้ นอ้ ยอ้อยหนอู ีกทหี นึ่ง เลา่ กนั มาว่า เมอื งนาํ้ น้อยออ้ ยหนู (เมอื งเดยี นเบยี นฟูในปจั จบุ นั ) เปน็ เมอื งๆ หนึ่งในเขตสิบสองจุไทยทศิ ใต้ ครัง้ หนึ่ง (สันนษิ ฐานว่าจะเป็น ราวปลายรัชกาลท่ี 1 หรือตน้ รชั กาลท่สี องแห่งกรุงรัตนโกสนิ ทร์ ) เกดิ ภาวะฝนแล้งมคี วามอตั คดั ขาดแคลนมากราษฎรไมไ่ ด้ประกอบกสิกรรมตามปกตจิ งึ เกิดความอดยากเดอื ดร้อนกันท่วั ไปเจา้ เมือง นาํ้ น้อยออ้ ยหนูคงจะคิดแกไ้ ขหรอื ไมก่ ็คงกดขีค่ ับราษฎรเกินควรจึงเกิดทะเลาะกันข้นึ กับท้าวก่า อันเปน็ เหตุใหเ้ กดิ การแตกแยกกัน ทา้ วก่าคนนเ้ี ป็นผ้มู ีคนนบั ถอื มากคนหนง่ึ ในเมืองน้ัน เมอื่ เกิดการวิวาทกบั เจา้ เมืองแล้ว ท้าวกา่ จึงเกลยี้ กล่อมราษฎรผไู้ ทยในเมือง นนั้ ได้ประมาณหมน่ื เศษ แล้วพาอพยพลงมา เพอ่ื ต้ังถ่นิ ฐานพง่ึ พระบรมโพธสิ มภารทน่ี ครเวียงจนั ทน์ ราว ปี พ.ศ. 2347 -2369 อันเป็นระยะทีเ่ จ้าอนวุ งศป์ กครอง เจ้าอนุวงศเ์ จา้ ผูค้ รองนคร เวียงจนั ทน์สอบถามได้ความวา่ พวกผูไ้ ท เหลา่ น้ี เมื่ออย่เู มอื งนา้ํ น้อยออ้ ยหนู เคยทําแตไ่ ร่ข้าวและสวน แตงเปน็ ตน้ ไม่เคยทาํ นาเลย จึงได้ส่ังใหไ้ ปต้ังภมู ิลําเนาอยู่ที่เมืองวงั อันอย่ใู นอาณาเขตเวยี งจันทน์ ทางทิศตะวนั ออกซง่ึ เปน็ ทีอ่ ยู่ของพวกชาวข่าเปน็ จาํ นวนมากแตข่ ่าพวกนัน้ ไม่ได้มาขึน้ กับเวียงจันทนช์ าว ผูไ้ ทมีท้าวก่า เป็นหวั หนา้ จงึ ไดไ้ ปต้ังอยู่เมืองวังตามคําส่ัง เมือ่ มาอย่ทู ีเ่ มืองวงั ไมน่ านก็เกดิ มีเรือ่ งกันขน้ึ กับชาวข่าซ่งึ ต้ังภูมิลําเนาอย่กู ่อนแล้วเก่ียวกบั ปญั หาว่าใครจะเป็นใหญเ่ ป็นผูป้ กครองชาวข่าก็อยากตง้ั ตัวเปน็ นายปกครองชาวผไู้ ท ชาวผูไ้ ทก็อยากเป็นนายปกครองชาวข่าเรอื่ งเกือบจะต้องใช้กาํ ลังใชอ้ าวธุ แต่ในที่สุดตกลง ในทางสงบได้ โดยให้มกี ารเสยี่ งบญุ วาสนาพนันกันว่าใครเอาหนา้ ไม้ (เปน็ อาวุธชนดิ หน่งึ )ยงิ หน้าผา (ภูเขา) ลูกหน้าไม้ ใครติดหนา้ ผาอยู่ได้ ฝา่ ยนน้ั จะได้เป็นใหญ่อีกฝา่ ยจะยอมอย่ใู ตก้ ารปกครอง เมอื่ ถงึ ภูมิปญั ญาอาหารพื้นถิ่นผูไ้ ทในอีสาน | 35
หนา้ | 36 วนั กาํ หนดเส่ยี งบญุ วาสนาต่างฝา่ ยต่างก็นาํ หน้าไม้ แห่ไปยงิ หนา้ ผาลกู หนงึ่ ซึ่งภายหลงั มีชือ่ ตามท่ีได้ เส่ยี งบุญวาสนาวา่ “ผาบญุ ” ชาวข่าซ่ือเกนิ ไปจึงใช้หนา้ ไมข้ ายาวข้างละ 3 ศอก ส่วนชาวผูไ้ ทมีไหวพรบิ ดกี ว่าจงึ ใช้หนา้ ไม้เลก็ ๆ ท่ปี ลายลูกธนูติดดว้ ยข้ีสดู (ชนั นางโรม) ข่าเป็นฝ่ายยงิ ก่อนยงิ ไปโดยความซือ่ ลกู หน้าไม้ เมื่อพุ่งไปปะทะกับหน้าผากก็ ระเดน็ หล่นลง ไม่ตดิ อยู่ ฝา่ ยผูไ้ ทยิงไปคอ่ ยๆ ลูกธนทู ีม่ ขี ส้ี ดู ติดปลายจงึ ติดอยู่ท่หี น้าผาพวกข่าเหน็ เป็นอศั จรรยจ์ ึงยอมข้นึ อย่ใู นความปกครองของผไู้ ท บางพวกทีไ่ ม่พอใจกห็ ลบหนีไป พวกผไู้ ทรูเ้ ขา้ จงึ ออกตดิ ตามไป กาด (สกัด) ตามสถานทตี่ า่ งๆ ทคี่ ิดว่าชาวข่าจะหลบซอ่ นอยจู่ นมาถึงผาแห่งหน่งึ ซ่งึ มีชอ่ งแคบเดินได้คนเดยี วภายหลงั ได้นามตามนั้น วา่ “ผากาด” แตก่ ไ็ ม่พบจงึ ออกติดตามต่อไปจนถึงผาลูกที่พวกขา่ หนเี ข้าซอ่ นตัวอยู่ เหน็ มีถํา้ กวา้ งลึกที่ ปากถา้ํ มรี อยคนใหมๆ่ อยมู่ ากมายสงสยั จะเป็นรอยเทา้ พวกข่าทีห่ นมี าจงึ ใช้พริกเผาอูด (สมุ ควนั เขา้ ถ้าํ ) กล่นิ พรกิ เผาเข้ารบกวนพวกขา่ ที่ซอ่ นตวั อยู่ภายในถํา้ จนพวกข่าทนอยไู่ ม่ได้หนีออกมาขอยอมอยูใ่ น ความปกครองต่อไป ผาลกู น้ันจงึ มชี ่ือต่อมาวา่ “ผาอดู ” ผู้ไทไดป้ กครองพวกข่าในเมืองวงั ไปด้วยความ เรียบร้อยเวียงจันทน์ได้ทราบกิตศิ ัพท์เช่นน้นั กด็ ใี จ เจ้าอนุวงศ์ผู้ครองนครเวยี งจันทนจ์ ึงแตง่ ตง้ั ให้ท้าวกา่ เป็น “พระยากา่ ” ดํารงตําแหนง่ เจ้าเมืองวังและประทานนางลาวสาวสนมคนหน่ึงใหเ้ ปน็ ภรยิ าและได้สง่ พระครูรูปหน่ึงเป็นหัวหนา้ สงฆไ์ ปจดั การดา้ นศาสนาอย่ทู ่เี มอื งวังนน้ั ตง้ั แต่ พ.ศ. 2369 ซ่งึ เป็นปที ่ีเจ้าอนวุ งศเ์ ปน็ กบฏเป็นตน้ มา ประเทศไทยก็มเี รื่องกับการปราบ และจดั การเมอื งเวียงจนั ทน์อยูห่ ลายปี (รชั กาลทสี่ ามแหง่ กรุงรตั นโกสินทร์) ในปี พ.ศ. 2377 ซึง่ เปน็ ปีท่ไี ทยกบั ญวนทาํ สงครามแย่งประเทศเขมรตดิ พันกันอยู่น้นั พระมหา สงครามรองแมท่ ัพไทยคนหน่งึ กับอปุ ฮาดเมอื งเวียงจันทน์ (ที่ไทยจบั ได้)ราชบตุ รเมืองกาฬสินธแุ์ ละพระ พชิ ยั อุดมเดช เจ้าเมืองภแู ล่นชา้ งเปน็ ตน้ ไดย้ กพลไปกวาดตอ้ นราษฎรในเขตเวียงจันทน์ทางทศิ ตะวันออก คือ เมืองวงั เมอื งเซโปน เมืองพินและเมืองนอง เปน็ ต้น ใหข้ ้ามแม่นํ้าโขงมาตงั้ อยูฝ่ ัง่ น้ี เจา้ เมอื งวงั และกรมการพร้อมด้วยราษฎรได้แตกหนีระสํา่ ระสายไป พระมหาสงครามจงึ ใหท้ ้าวสายและ ท้าวเพ้ยี เมอื งวงั ไปเกล้ียกลอ่ มไดค้ รอบครัวพระยากอ ทา้ วควง บุตรเจ้าเมืองและ ทา้ วตวั้ บุตรอปุ ฮาด เขา้ สวามภิ กั ด์ิ ส่วนพระยากา่ํ ทีห่ นีไปนัน้ เม่ือกองทพั ไทยได้กลับมาแล้วก็ไดก้ ลบั มาอยูเ่ มืองวงั ตามเดิม ครงั้ ในปี พ.ศ. 2379 เจ้านครจําปาสกั (นาก) ซง่ึ ได้รับคาํ สัง่ ของเจ้าพระยาบดนิ ทร์เดชา ที่ตัง้ ขดั ตาทัพ อยู่ท่ีเมอื งอุดมมีชยั กรงุ กัมพชู า ใหเ้ ป็นกองพลส่งลําเลยี งและลาดตระเวน รกั ษาดา่ นทางแดนญวน ได้จัด ภูมปิ ัญญาอาหารพื้นถน่ิ ผูไ้ ทในอสี าน
หนา้ | 37 ใหท้ า้ วพระยาคุมพลไปลาดตระเวนและเกล้ยี กลอ่ มพวกผู้ไทและข่าในเมืองวัง เซโปน พนิ และเมอื งนอง ได้มาเป็นอันมาก การอพยพโยกยา้ ยของชาวผไู้ ทและการตงั้ ถิน่ ฐานในทีต่ า่ งๆจนไดใ้ ห้ข้ึนเป็นชนท่ีมเี จ้าเมอื ง อปุ ฮาด ราชวงศ์ ราชบุตรเป็นกรมการเมอื งปกครองขน้ึ กับเมืองใหญใ่ นเขต แขวง โดยมีเมอื งตา่ งๆทม่ี ี ชาวผู้ไทต้ังถิน่ ฐานอยู่ ดงั ต่อไปน้ี 1. เมอื งเรณูนครตง้ั ขึน้ ในสมัยรชั กาลที่ 3 ในปีพ.ศ.2373 ชาว ผไู้ ทเมืองเรณนู ครอพยพมาจาก เมืองวงั ซ่งึ อยทู่ างฝ่ังซ้ายแมน่ า้ํ โขงอย่ตู ดิ แดนญวน เมื่ออพยพมาครั้งแรกน้ันพากนั ตัง้ บา้ นอยู่ 3 แห่ง คือ ท่ีบา้ นหว้ ยขวั ( สาํ เนียงผไู้ ทเรียกโห้ยโหโข อยู่ใต้บ้านทา่ คอยตาํ บลโพนทองปัจจบุ นั ) บ้านบอ่ จนั ทร์ ( อยู่ระหวา่ งบ้านดงมะเอก ตําบลโพนทองกบั บ้านโคกกลาง ตําบลเรณนู ครในปัจจุบันและบ้านดงหวาย ท่ตี งั้ เมอื งเรณูนครในปจั จบุ ัน) เมื่อได้รบั ยกข้ึนเปน็ เมอื งเรณนู ครโดยมีเจา้ เพชรเจา้ สายเปน็ หวั หนา้ อํานวยการจัดสร้างเมืองขน้ึ จึงไดอ้ พยพราษฎรจากหมู่บ้านท้งั 3 แห่งเขา้ มารวมอยทู่ ีบ่ ้านดงหวายซึง่ เป็นทต่ี ้งั เรณูนครในปัจจบุ ันแล้วจึงให้ทา้ วสายเป็น “ พระแกว้ โกมล ” เจ้าเมอื งคนแรก จดั การปกครอง สบื ต่อกนั มาจนถงึ เจา้ ไพร เจา้ สิงห์เจ้าพิมพะสอนและเจ้าเหมน็ ได้รับพระราชทานบรรดาศักดเิ์ ป็นพระ แก้วโกมลช่ือเดียวกนั เปน็ ลําดับมาภายหลังทางราชการได้ลดฐานะลงเปน็ อาํ เภอเรณูนครจนถงึ ปจั จบุ นั (จากเอกสาร ร.3 จ.ศ.1206 เลขที่ 58 หอสมุดแหง่ ชาติ) 2.เมอื งพรรณานิคม ต้ังในสมัยรัชกาลที่ 3 เมอื่ พ.ศ. 2387 เป็นชาวผไู้ ทยอพยพมาจากเมืองวงั จาํ นวน สองพันกว่าคน ไปตัง้ อยู่ทบ่ี ้านผา้ ขาวพันนา ตั้งข้ึนเป็นเมอื งพรรณานคิ มข้นึ กบั เมอื งสกลนคร ทรงพระกรณุ าโปรดเกล้าฯ ตัง้ ให้ ทา้ งโฮงกลาง เป็น \"พระเสนาณรงค์\" เจา้ เมอื งคนแรก ตอ่ มาไดย้ ้าย เมอื งพรรณานิคมไปตั้งทบ่ี า้ นพานพรา้ ว คอื ทอ้ งท่อี าํ เภอพรรณานิคม จงั หวัดสกลนครในปจั จุบนั (จาก เอกสาร ร.3 จ.ศ.1206 เลขที่ 58 หอสมดุ แหง่ ชาติ) และเมืองจาํ ปาชนบท ต้ังเม่อื รชั กาลท่ี 5 เมอื่ พ.ศ. 2421 เปน็ ชาวผู้ไทท่ีอพยพจากเมืองกะปอง ต้ังอย่ทู บ่ี า้ นจาํ ปานําโพนทอง ต้งั ขึ้นเปน็ เมอื งจําปาชนบท ข้ึนเมืองสกลนคร ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ตั้งให้ ท้าวแกว้ เมืองกะปอง เปน็ \"พระบํารงุ นคิ ม\" เจ้า เมืองคนแรก ปัจจบุ นั คอื ทอ้ งที่อาํ เภอพังโคน จังหวัดสกลนคร (จากเอกสาร ร. 5 มท. เลม่ 15 จ.ศ. 1240 หอสมุดแห่งชาติ) 3.เมอื งกุฉนิ ารายณ์ ตงั้ ในสมัยรัชกาลท่ี 3 ทา้ วสายผู้ไทเมอื งเรณไู ดเ้ กล้ียกลอ่ มราชวงศ์(กอ ) เมืองวงั อ่างคําและพวกผ้ไู ทในสงั กดั จํานวน 3,443 คน ได้อพยพขา้ มนา้ํ โขงมายงั ฝง่ั ไทย(ในปี พ.ศ. ภมู ิปัญญาอาหารพื้นถน่ิ ผู้ไทในอสี าน | 37
หน้า | 38 2383) มาต้งั อย่เู มอื งเรณูนครก่อน แต่ส่วนมากอพยพข้ามเทือกเขาพพู านไปตง้ั อยแู่ ถวเขาวง ภแู ล่นชา้ ง และ ท่สี ุดมาตง้ั อยู่แถวเมอื งกดุ สมิ นารายณ์เป็นพืน้ คร้นั ปีพ.ศ.2384 รชั กาล 3 ของไทย โปรดใหร้ าชวงศ์ (กอ)และหัวหน้าพวกผู้ไททง้ั หลายในภาคอสี านจํานวน 10 คน เข้าเฝา้ ที่กรงุ เทพฯทรงถามความสมคั รใจ วา่ ผู้ใด พวกใด อยากไปอย่ทู ่ใี ดจะไดพ้ ระราชทานใหต้ ามความประสงค์ ราชวงศ์(กอ) ได้สมัครใจพา พรรคพวกลูกหลานจาํ นวน 3,443 คนไปต้งั อยู่ทบ่ี ้านกุดสิมขึน้ อยู่กับเขตเมอื งกาฬสนิ ธุ์ ผไู้ ทกลมุ่ นล้ี ว้ น แตม่ าจากเมอื งวงั อา่ งคาํ ทั้งส้นิ ครั้นเวลาล่วงถึงปี พ.ศ.2388 ร.3 โปรดเกล้าใหต้ งั้ บา้ นกดุ สมิ เปน็ เมืองกุด สิมนารายณ์(เมอื งเก่าซ่งึ กค็ อื อ.เขาวง ในปจั จบุ นั ) มีพระยาธเิ บธวงศา(ราชวงศก์ อ)เปน็ เจ้าเมืองคนแรก ปกครอง 4ตาํ บล คอื ต.คุม้ เกา่ ต.เปลอื ย ต.แจนแลน ต.ชมุ พร ในจํานวนหมู่ผูไ้ ททพ่ี าลกู หลานอพยพ มาอยเู่ มืองกดุ สมิ นารายณค์ ราวนน้ั มคี รอบครวั ผไู้ ท 4 พี่น้อง คอื ทา้ วเสน ท้าวสาร ท้าวหลอยหล่ิง และพ่ีสาวอกี คนหนึ่ง(ไมท่ ราบชอื่ ) รวมเปน็ พวกผู้ไท(ไทครัว)อพยพมาดว้ ยกันและไดช้ ว่ ยเหลือราชวงศ์ (กอ)เมอื งวงั ทาํ การมาโดยตลอด จนทา้ วเสนไดร้ ับเลือ่ นฐานันดรตอบแทนความดคี วามชอบ เปน็ ท้าว วรเสนไชยะ สว่ นคนอ่นื กไ็ ด้เป็นหัวหนา้ กลมุ่ ผไู้ ท ในหมูบ่ า้ นต่างๆ เชน่ บ.คําก้งั บ.หนองห้าง บ.คําบงฯลฯ เปน็ ตน้ ผไู้ ทไดเ้ ป็นเจา้ เมืองกุดสิมนารายณ์เร่ือยมา กลา่ วคือ มีเจา้ เมอื งเปน็ พระยาธเิ บธวงษา(ก่อ) พระยาธิเบธวงษา(กนิ รี) และ พระยาธเิ บธวงษา(ด้วง)( พระยาธเิ บธวงษา(ดว้ ง) ลูกพระยาธิเบธวงษา(กินร)ี จนถงึ ปี พ.ศ. 2435 รชั กาลที่ 5 ทรงปรับปรุงการปกครองบา้ นเมอื งใหม่ให้ เปลย่ี นจากระบบเวียง/วัง/คลงั /นา เป็นการปกครองทีม่ ีกระทรวง 12 กระทรวงบริหารประเทศ โดย ครั้งน้ัน กระทรวงมหาดไทยภายใต้การดําเนนิ การของกรมพระยาดาํ รงราชานภุ าพ ถึงปี 2445 ได้แบง่ การปกครองเปน็ มณฑล เมอื ง(จังหวัด) อาํ เภอ ตําบล หมู่บา้ น และปีดงั กลา่ วได้แตง่ ตั้งหลวงประเวศน์ อุทรขันธ์ (ลี มธั ยมนันท์)มาเป็นนายอาํ เภอ กุดฉนิ ารายณ์ หมดยคุ ผไู้ ทเปน็ จ้าครองเมอื ง (นายอาํ เภอ พระยาธเิ บธวงษา(ด้วง)เปน็ เจา้ เมืองสายผู้ไทเปน็ คนสดุ ทา้ ย สมัยราชกาลที่ 3 เปน็ ชาวผู้ไททอี่ พยบ มาจากเมอื งวังไปต้ังอย่ทู ่บี ้านกุดสิม ตงั้ ข้ึนเปน็ เมอื ง \"กุฉนิ ารายณ์\" ข้นึ เมอื งกาฬสินธุ์ ทรงพระกรณุ า โปรดเกล้าฯ ตั้งให้ ราชวงษ์เมอื งวงั เปน็ \"พระธเิ บศรวงษา\" เจา้ เมืองกฉุ นิ ารายณ์ , อําเภอเขาวง จังหวัด กาฬสินธ์ุ (จากเอกสาร ร.3 จ.ศ.1206เลขที่ 58 หอสมดุ แหง่ ชาติ) 4. เมืองแล่นชา้ ง ต้ังขนึ้ ในสมัยรชั กาลท่ี 3 เมอ่ื ครัง้ ปีพ.ศ.2387 บรรพบุรุษของชาวเมอื งแล่น ชา้ ง เปน็ ผ้ไู ททอ่ี พยพมาจากบ้านหว้ ยนายแขวงเมอื งวงั โดยมหี ม่นื เดชอุดมเปน็ หวั หน้าเม่ือไดจ้ ดั ตง้ั ขน้ึ เป็นเมืองแลว้ ได้โปรดเกลา้ ฯให้หมื่นเดชอดุ มเป็น “พระพิชยั อดุ มเดช ”เจ้าเมืองคนแรก ตอ่ มายุบเป็น ภมู ิปญั ญาอาหารพื้นถิ่นผู้ไทในอสี าน
หนา้ | 39 อาํ เภอเมอื่ ปี พ.ศ.2442 แลว้ ยบุ เป็นตําบลเม่ือปีพ.ศ.2452 ปจั จบุ นั ตาํ บลภูแล่นช้างขนึ้ อย่กู บั อาํ เภอเขา วง จงั หวดั กาฬสินธ์ุ (จากเอกสาร ร.3จ.ศ.1206 เลขที่ 58 หอสมดุ แห่งชาติ) 5. เมืองหนองสูง ต้งั ในสมยั ราชกาลที่ 3 เมอ่ื พ.ศ. 2387 เป็นชาวผ้ไู ทท่อี พยพมาจากเมอื งวัง และเมอื งคําอ้อคําเขียว (อยใู่ นแขวงสวุ รรณเขต ดินแดนลาว) จํานวน 1,658 คน ต้ังอยบู่ ้านหนองสูง และบา้ นคําสระอี ในดงบงั อี่ (คําสระอีคือหนองน้ําในดงบงั อ่ี ต่อมากลายเปน็ คาํ ชะอี) ตั้งเป็นเมือง หนองสงู ข้นึ เมืองมกุ ดาหาร ทรงกรุณาโปรดเกล้าฯ ต้งั ให้ ท้าวสหี นาม เปน็ \"พระไกรสรราช\" เจา้ เมอื ง คนแรก เมอื งหนองสูงในอดตี คือท้องท่ี อ.คําชะอี (ต้ังแต่ห้วยทราย) , อําเภอหนองสูงและทอ้ งท่ีอาํ เภอ นาแก ของจังหวัดนครพนมดว้ ย(จากเอกสาร ร.3 จ.ศ.1206 เลขท่ี 58 หอสมุดแหง่ ชาติ) 6. เมืองเสนางคนคิ ม ตงั้ ในสมยั ราชกาลท่ี 3 เมื่อ พ.ศ. 2387 เปน็ ชาวผไู้ ทท่อี พยพมาจากเมอื ง ตะโปน (เซโปน) ซึง่ ปจั จุบันอยู่ทางฝ่งั ซ้ายแม่นา้ํ โขงในแขวงสวุ รรณเข ต ตดิ ชายแดนเวยี ตนาม อพยพ มา 948 คน ไปตั้งอยทู่ บ่ี ้านสอ่ งนาง ยกข้ึนเปน็ เสนางคนิคมขึน้ เมอื งอบุ ลราชธานี ทรงกรณุ าโปรดเกลา้ ฯ ต้งั ให้ ทา้ วจันทรจ์ ากเมอื งตะโปน เปน็ \"พระศรสี นิ ธุสงคราม\" เจา้ เมืองคนแรก ตอ่ มาไดย้ า้ ยไปต้งั เมืองที่ บ้านห้วยปลาแดกและเมือ่ ยบุ เมอื งลงเป็น อาํ เภอเสนางคนคิ ม ย้ายไปตั้งอําเภอที่บา้ นหนองทับมา้ คอื ทอ้ งทอี่ ําเภอเสนางคนคิ ม จงั หวัดอํานาจเจริญในปัจจบุ ัน (จากเอกสาร ร. 3 จ.ศ.1206 เลขที่ 58 หอสมุดแห่งชาติ) 7. เมอื งคําเข่ือนแก้ว ต้งั ในสมยั ราชกาลที่ 3 เมื่อ พ.ศ. 2387 เปน็ ชาวผ้ไู ทยท่อี พยพมาจาก เมอื งวัง จํานวน 1,317 คน ไปตัง้ อยทู่ ่บี ้านคําเขอ่ื นแกว้ เขตเมอื งเขมราฐ ต้ังขน้ึ เป็นเมอื งคาํ เขื่อนแก้ว ขึ้นเมืองเขมราฐ ทรงกรณุ าโปรดเกล้าฯ ตัง้ ให้ ท้าวสีหนาท เป็น \"พระรามณรงค์\" เจา้ เมอื งคนแรก เมื่อ ยบุ เมืองคําเขอ่ื นแก้วได้เอานามเมืองคาํ เขื่อนแก้วไปตั้งเป็นชอื่ อําเภอทีต่ ัง้ ขน้ึ ใหมท่ ีต่ าํ บลลุมพุก คือ อาํ เภอคําเขือ่ นแก้ว จังหวัดยโสธรในปัจจบุ นั ส่วนเมอื งคําเขื่อนแก้วเดิมท่ีเปน็ ผไู้ ทย ปัจจบุ นั เปน็ ตาํ บล คาํ เขอื่ นแก้ว อยู่ในท้องท่อี ําเภอชานมุ าน จังหวัดอํานาจเจริญในปัจจุบัน (จากเอกสาร ร. 3 จ.ศ.1206 เลขที่ 58 หอสมุดแห่งชาติ) 8. เมอื งวารชิ ภูมิ ตัง้ ในสมยั ราชกาลท่ี 5 เม่อื พ.ศ. 2420 เป็นชาวผ้ไู ททอ่ี พยพมาจากเมืองกะ ปอง ซ่งึ อยู่ในหว้ ยกะปองแยกจากเซบั้งไฟไหลลงสแู่ มน่ ้าํ โขง ในแขวงคํามว่ นฝงั่ ลาว จึงมักนยิ มเรียก ผไู้ ท เมอื งวาริชภมู ิว่า \"ผ้ไู ทกระปอ๋ ง\" ผูไ้ ทเมอื งกระปองไปตัง้ อยูท่ ี่บ้านปลาเปล้า แขวงเมอื งหนองหาร จงึ ต้ังบ้านปลาเปลา้ ข้ึนเป็น \"เมืองวาริชภมู ิ\" ขึ้นเมอื งหนองหาร ต่อมาได้ย้ายเมอื งไปตง้ั ท่ีบ้านนาหอยเขต ภมู ปิ ญั ญาอาหารพ้นื ถิ่นผไู้ ทในอีสาน | 39
หนา้ | 40 เมอื งสกลนคร จงึ ให้ยกเมืองวารชิ ภูมไิ ปขน้ึ เมืองสกลนครคือท้องที่อําเภอวารชิ ภูมิ จังหวัดสกลนคร ในปัจจบุ ัน ทรงพระกรณุ าโปรดเกล้าฯ ตงั้ ใหท้ า้ วพรหมสุวรรณ์ เปน็ \"พระสรุ นิ ทรบ์ รริ กั ษ์\" (จากเอกสาร ร.5 มท. เลม่ 15 จ.ศ.1240 หอจดหมายเหตุแหง่ ชาติ) ในภาคตะวนั ออกเฉียงเหนือชาวผไู้ ทสว่ นใหญ่ที่อาศัยอยเู่ ป็นกลุ่มชาติพันธ์ุที่ใหญ่ท่ีสดุ รองลงมา จากกล่มุ ไทลาวโดยมแี ม่นํา้ โขงแยกกลุ่มนอี้ อกจากผไู้ ทในภาคเหนอื ของลาวและญวน กลุม่ ผ้ไู ทกลมุ่ ใหญ่ ท่ีสุดอาจจะอย่แู ถบลุ่มน้ําโขงและแถบเทอื กเขาผู้พาน ชาวผไู้ ททต่ี ้ังภูมลิ ําเนาอยใู่ นภาคอสี าน มาจาก เมอื งวังมาตั้งอยคู่ ราวแรกน้ันปัจจุบันน้เี ปน็ บา้ นโพน บ้านหนองช้าง อําเภอคําม่วง ตาํ บลบัวขาว ตําบล แจนแลน ตาํ บลภูแล่นช้าง ตาํ บลสงเปลอื ย ตาํ บลคุ้มเกา่ และยังมีทอ่ี าํ เภอกฉุ นิ ารายณ์อีกหลายตาํ บลใน จังหวัดกาฬสนิ ธุ์ ผ้ไู ทในจังหวัดสกลนครมที ่ีอําเภอพรรณานคิ มหลายตําบล ผไู้ ทในจังหวัดนครพนม มที ี่ อําเภอธาตพุ นม ท่ตี าํ บลเรณู บ้านคาํ ชะอี บา้ นหนองสงู ทีม่ กุ ดาหาร พวกเจา้ ของโรงกลาง คอื พวกราช บตุ ร (มีหน้าทเี่ หมอื นสสั ดี) เมอื งวงั (ท้าวควง) ตั้งอยู่ที่อําเภอพรรณานคิ ม พวกเมอื งแสน ตง้ั อยทู่ บี่ ้าน หนองสงู และบา้ นคาํ ชะอี ส่วนผูไ้ ทในจงั หวัดอดุ รธานีมที ี่ อาํ เภอศรธี าตุ ตาํ บลนายูง ตําบลหนองนก เขียน ตําบลหวั นาคาํ บางส่วนและอยู่ที่อาํ เภอวังสามหมอ ที่ตาํ บลหนองหญา้ ไซ ตําบลหนองกงุ ทบั ม้าอกี หลายหมบู่ า้ นในทอ้ งที่อําเภอศรธี าตุ จงั หวัดอุดรธานี ส่วนผู้ไทผ้เู ข้าสูภ่ าคกลางในจงั หวัดราชบุรแี ละ จังหวดั เพชรบุรี ในย่านนัน้ เรยี กวา่ ‘ลาวโซง่ ’ ภูมปิ ญั ญาอาหารพ้ืนถิ่นผ้ไู ทในอีสาน
หน้า | 41 1: ประเทศไทยภาคอสี าน 2: เมอื งวงั 3: เมืองพวนหรือเซยี งขวาง 4: หวั พนั ท้ังหา้ ทง้ั หก 5: เมอื งแถนหรอื เดียนเบียนฟู 6: สบิ สองจไุ ท 7.กวางสแี ละกวางต้งุ บริเวณ จีนตอนใต้ รูปภาพ แผน่ ท่กี ารอพยพของชาวผู้ไทสปู่ ระเทศไทย http://www.phutai.thai-isan-lao.com/phutai-phukhon.html ภูมปิ ญั ญาอาหารพน้ื ถนิ่ ผูไ้ ทในอสี าน | 41
หน้า | 42 บทสรปุ ปัจจุบนั การศึกษาคน้ ควา้ เรือ่ งถิ่นเดิมของชาวผู้ไทในประเทศไทย คอื การหนั มาให้ความสนใจ ทางด้านวัฒนธรรมมากกว่าเรื่องเชอ้ื ชาติ เพราะไม่มีเช้อื ชาตใิ ดในโลกนี้ทเ่ี ป็นเช้ือชาติบริสุทธิแ์ ละย่งิ ใหญ่ เหนือชนเชือ้ ชาตอิ ื่น ดินแดนประเทศไทยเปน็ ทางผ่านทค่ี นหลายเผา่ พันธ์ุ หลายตระกลู เคลื่อนยา้ ยเขา้ มาตั้งรกราก ประเทศไทยเป็นแหลง่ สะสมของคนหลายหมู่เหลา่ ก่อนทจี่ ะพฒั นาข้นึ มาเปน็ รฐั ประชา ชาตทิ ี่เรียกว่าประเทศไทย ดังนนั้ การเปน็ ผไู้ ทจงึ ควรมองทว่ี ัฒนธรรมมากกวา่ เรือ่ งเชือ้ ชาติ ชาวผู้ไทมลี ักษณะความเปน็ อยูแ่ บบครอบครัวใหญใ่ นบ้านเดยี วกนั เป็นกลมุ่ คนทาํ งานที่มี ความขยันขันแข็ง มัธยัสถ์ ทํางานได้หลายอาชพี เชน่ ทาํ นา ทําไร่ ค้าววั คา้ ควาย นํากองเกวียนบรรทุก สินคา้ ไปขายตา่ งถน่ิ เรยี กวา่ ‘นายฮอ้ ย’ เผา่ ผู้ไทเป็นกลมุ่ ที่พัฒนาได้เร็วกวา่ เผ่าอน่ื มคี วามรู้ความเขา้ ใจ และมีความเข้มแขง็ ในการปกครอง มหี น้าตาทีส่ วย ผวิ พรรณดี กรยิ ามารยาทแชม่ ชอ้ ย มีอธั ยาศัยไมตรี ในการต้อนรับแขกแปลกถิ่นจนเป็นท่ีกลา่ วขวัญถงึ ชาวผไู้ ทเป็นชนเผ่าท่ีมลี ักษณะนสิ ัยท่รี ักสงบ ชอบอยรู่ วมกนั เปน็ หมู่เปน็ เหลา่ เปน็ คณะ แม้แต่ การต้งั บา้ นเรือนกจ็ ะตง้ั บา้ นเปน็ กลุ่มหมบู่ า้ น ซึ่งสะท้อนใหเ้ ห็นถึงความเปน็ ชนเผ่าทมี่ ีความสามคั คกี ลม เกลยี วกันเป็นอยา่ งสูง เม่อื มีงานในหมบู่ ้านหรอื งานในชุมชนส่วนรวม ชาวผไู้ ทจะมารวมตัวกันชว่ ยงาน กนั อย่างขะมกั เขม้น ครนั้ ยามประกอบอาชีพสว่ นตัวก็จะทาํ งานของตนเองอย่างสงบและขยันขนั แขง็ มี ความอดทนสูง นิยมมีสามีเดยี ว ภรรยาเดียว ซ่ึงในวฒั นธรรมดงั้ เดมิ ของ ชาวผู้ไทจะมพี อ่ ล่ามแม่ล่าม เพ่ือเปน็ สะพานใหก้ บั หน่มุ สาวได้รู้จักและแตง่ งานกัน นอกจากน้นั แลว้ ชาวผูไ้ ทยังเป็นชนเผา่ ท่ีรักความ เปน็ ธรรม รักความสงบ แต่กก็ ลา้ หาญ ไม่ชอบการกดขข่ี ม่ เหง มคี วามเอื้อเฟือ้ เผอ่ื แผ่ กตญั ํรู ูค้ ณุ ชอบ ทําบญุ ทําทาน เชือ่ ฟังคําตักเตือนคําส่งั สอนของพ่อแมแ่ ละหัวหน้าของหมู่บา้ น ชาวผูไ้ ทมีลกั ษณะความเปน็ อยแู่ บบครอบครวั ใหญ่ในบ้านเดียวกนั เปน็ กลมุ่ คนทํางานที่มี ความขยนั ขนั แขง็ มัธยสั ถ์ ทํางานไดห้ ลายอาชพี เชน่ ทํานา ทําไร่ คา้ วัว ค้าควาย นาํ กองเกวียนบรรทุก สนิ ค้าไปขายต่างถ่ินเรียกวา่ ‘นายฮอ้ ย’ ชาวผ้ไู ทเป็นกลุ่มทพี่ ัฒนาไดเ้ ร็วกว่า ชนชาติอน่ื มคี วามรูค้ วาม เข้าใจและมคี วามเข้มแข็งในการปกครองผูห้ ญิงมีหน้าตาทสี่ วย ชาวผูไ้ ทเปน็ เผา่ หนึ่งที่รักษาประเพณีคอ่ นข้างจะเหนียวแนน่ แต่เมือ่ ถกู วัฒนธรรมภายนอก จงึ เหลือวัฒนธรรมแท้หรอื ดังเดิมทีน่ ําตดิ มาจากถ่นิ ฐานเดมิ น้อยลงไปทุกที ยกเว้นภาษาผไู้ ททยี่ ังคงพดู กนั ภูมปิ ัญญาอาหารพ้ืนถ่ินผไู้ ทในอสี าน
หน้า | 43 อยู่ในทอ้ งถิน่ ของตวั เอง แตช่ ุมชนของชาวผไู้ ทหลายๆแหง่ กย็ ังคงอนรุ กั ษแ์ ละรกั ษาความเปน็ ผไู้ ทอยู่ อยา่ งเหนย่ี วแน่น และไดม้ กี ลุ่ม ชาวผูไ้ ททีย่ งั พยายามอนุรักษ์วัฒนธรรมของ ชาวผูไ้ ทเอาไว้ วัฒนธรรม ของชาวผไู้ ทมีความเข้มแข็งเพราะสบื ทอดกันมาอยา่ งยาวนาน แม้ว่าจะอพยพผา่ นดนิ แดนตา่ งๆ และ ตอ้ งเผชญิ กับเหตกุ ารณ์ต่างๆทงั้ ทางด้านสังคม การเมือง กอ่ นท่ีจะมาอาศยั อยู่ในประเทศไทยในขณะน้ี แตค่ วามเปน็ ชาวผูไ้ ทยงั คงเขม้ ขน้ ในสายเลอื ดของชาวผู้ไท ประเพณีและวิถีชวี ิตต่างๆท่บี ่งบอกถึงความ เปน็ ชาวผ้ไู ทแตด่ ั้งเดิม แม้วา่ ในหลายๆแห่งจะเสื่อมคลายไปบา้ งแลว้ ก็ตาม แต่ประเพณีในหลายชุมชน ของชาวผไู้ ทยังคงรกั ษาไวอ้ ย่างเหนยี วแนน่ รูปภาพ สาวชนชาตชิ าวผ้ไู ทในปจั จบุ ัน ท่มี า http://3.bp.blogspot.com/_77_lzIYTw/Vwu29wTupGI/AAAAAAAAAGQ/PEymmz1ntHYoyH mw7ljlMFAY9HQbZarwg/s1600-r/1174882_491216020974420_577943469_n.jpg ภูมิปัญญาอาหารพนื้ ถ่ินผไู้ ทในอสี าน | 43
หนา้ | 44 รูปภาพ หญงิ ชนชาตชิ าวผไู้ ท ทม่ี า http://www.isangate.com/isan/images/phutai_01.jpg รปู ภาพ กจิ กรรมการอนรุ กั ษข์ องชนชาติชาวผู้ไท ทีม่ า http://oknation.nationtv.tv/blog/home/user_data/file_data/201404/29/95e945.jpg ภูมปิ ัญญาอาหารพ้ืนถ่นิ ผู้ไทในอีสาน
หน้า | 45 บทที่ 3 ลกั ษณะสงั คมทวั่ ไปของชาวผูไ้ ท ชาวผ้ไู ทมีลักษณะความเป็นอยแู่ บบครอบครวั ใหญใ่ นบ้านเดยี วกัน เปน็ กลมุ่ คนทาํ งานที่มคี วาม ขยันขันแขง็ มธั ยสั ถ์ ทาํ งานไดห้ ลายอาชีพ เชน่ ทํานา ทาํ ไร่ คา้ วัว คา้ ควาย นํากองเกวียนบรรทุกสินคา้ ไป ขายตา่ งถน่ิ เรยี กวา่ 'นายฮอ้ ย' เผ่าภูไทเปน็ กล่มุ ทีพ่ ัฒนาไดเ้ รว็ กว่าเผ่าอื่น มคี วามรู้ ความเขา้ ใจและมีความ เข้มแขง็ ในการปกครอง มีหนา้ ตาทส่ี วย ผิวพรรณดี กรยิ ามารยาทแชม่ ชอ้ ย มอี ัธยาศยั ไมตรีในการตอ้ นรับ แขกแปลกถิน่ จนเป็นทกี่ ล่าวขวญั ถงึ ความสมั พนั ธ์ของบคุ คลในครอบครัวผู้ไท กค็ งเหมือนกับครอบครวั ไทย ท่ัวๆ ไป คือ ในครอบครวั หนงึ่ ๆ ก็จะมพี อ่ เป็นใหญท่ ีส่ ดุ รองลงมาคือ แมพ่ ่คี นโตและรองลงไปตามลําดับ สังคมผชู้ ายเป็นใหญ่ ในอดีตเม่ือ 40 ปีย้อนลงไป สงั คมผ้ไู ทไดใ้ ห้ความสาํ คญั ตอ่ ผู้เป็นสามมี าก ใน ปจั จบุ ันกย็ งั ให้ความนบั ถืออยู่ เพยี งแตล่ ดพฤติกรรมบางอย่างลงไปบา้ งเช่น 1) การกราบ การสมมาสามใี นวนั พระบางคนไม่ได้ทําเลย โดยเฉพาะ ภรรยารนุ่ ใหมแ่ ตจ่ ะสมมาสามีตอน “ออกคาํ ” (ออกจากการอยู่ไฟ) ใหม่ๆ ทกุ ครง้ั เหมอื นในอดีตที่ สมมา ตอนออกคําใหม่ๆ กเ็ พราะสามีเปน็ ผูล้ าํ บากทุกข์ยากอดตาหลับขบั ตานอนตักนํา้ หาฟืนดแู ลภรรยาทีอ่ ยคู่ ํา (เพราะฉะนนั้ การอยู่คาํ น้ภี าษาลาวจงึ เรียกวา่ “อยู่กรรม”) การสมมาในวนั พระลดลงมากบางคนไม่ทาํ เลย เพราะว่าเศรษฐกจิ รดั ตวั ท้งั ผวั ทง้ั เมยี ต้องออกจากบ้านเพือ่ ไปทํางาน ผู้ออกจาบา้ นบ่อยและกลบั ดึก คือ สามี นอกเรอื่ งงานแลว้ อาจจะเปน็ กจิ กรรมของหม่บู า้ น เช่น ประชุมประจําเดอื นประชุมเตรียมการทาํ บุญ หรอื ติดงานด้านอ่นื ๆ ทาํ ให้กลบั บา้ นดกึ ภรรยาจงึ นอนก่อน แต่กอ่ นภรรยาตอ้ ง “ตื่นก่อนนอนหลงั ” จึงได้เปลย่ี นแปลงไป เม่ือไมไ่ ดส้ มมา บ่อยๆเข้าก็เลยเลิกไปโดยปรยิ าย การกราบสามีก่อนนอนก็เช่นกัน บางคนเอาปลายผมตวั เองเชด็ เทา้ สามี ในปจั จุบันเหลือนอ้ ยแลว้ จนแทบจะไม่มจี นจะเหลือแตเ่ พยี งเร่ืองเล่าที่เลกิ ไปก็ด้วยเหตุผลทก่ี ลา่ วไปแลว้ 2) การกนิ ขา้ ว แต่กอ่ นต้องพรอ้ มกนั เมอ่ื ทกุ คน นง่ั วงลอ้ มพาข้าว (ขนั โตก) แลว้ ให้สามเี ริม่ ก่อน ปัจจุบนั เร่มิ ลดลงเพราะ ตา่ งมธี ุระภารกิจ เมื่อเวลาผา่ นไปนานๆ ก็ถือเปน็ เรอื่ งธรรมดา แต่กม็ แี บบเดิมให้เห็นอยู่ไม่มาก การเปล่ียนแปลงมมี าประมาณ 40 ปที ่ีแลว้ อีกประการหนง่ึ ท่ีเปลย่ี นไป คอื เม่อื มีความเจริญขน้ึ มากหญงิ ชายมีสทิ ธิ์ เทา่ เทียมกนั ทั้งสามภี รรยาต่างมีบทบาทใน ครอบครวั เทา่ กนั เช่น ทั้งสามภี รรยาตา่ งเปน็ ขา้ ราชการทาํ งานนอกบา้ นท้งั คู่ แต่อย่างไรภรรยายังให้ ความ ภมู ิปญั ญาอาหารพืน้ ถ่นิ ผู้ไทในอสี าน |
Search
Read the Text Version
- 1
- 2
- 3
- 4
- 5
- 6
- 7
- 8
- 9
- 10
- 11
- 12
- 13
- 14
- 15
- 16
- 17
- 18
- 19
- 20
- 21
- 22
- 23
- 24
- 25
- 26
- 27
- 28
- 29
- 30
- 31
- 32
- 33
- 34
- 35
- 36
- 37
- 38
- 39
- 40
- 41
- 42
- 43
- 44
- 45
- 46
- 47
- 48
- 49
- 50
- 51
- 52
- 53
- 54
- 55
- 56
- 57
- 58
- 59
- 60
- 61
- 62
- 63
- 64
- 65
- 66
- 67
- 68
- 69
- 70
- 71
- 72
- 73
- 74
- 75
- 76
- 77
- 78
- 79
- 80
- 81
- 82
- 83
- 84
- 85
- 86
- 87
- 88
- 89
- 90
- 91
- 92
- 93
- 94
- 95
- 96
- 97
- 98
- 99
- 100
- 101
- 102
- 103
- 104
- 105
- 106
- 107
- 108
- 109
- 110
- 111
- 112
- 113
- 114
- 115
- 116
- 117
- 118
- 119
- 120
- 121
- 122
- 123
- 124
- 125
- 126
- 127
- 128
- 129
- 130
- 131
- 132
- 133
- 134
- 135
- 136
- 137
- 138
- 139
- 140
- 141
- 142
- 143
- 144
- 145
- 146
- 147
- 148
- 149
- 150
- 151
- 152
- 153
- 154
- 155
- 156
- 157
- 158
- 159
- 160
- 161
- 162
- 163
- 164
- 165
- 166
- 167
- 168
- 169
- 170
- 171
- 172
- 173
- 174
- 175
- 176
- 177
- 178
- 179
- 180
- 181
- 182
- 183
- 184
- 185
- 186
- 187
- 188
- 189
- 190
- 191
- 192
- 193
- 194
- 195
- 196
- 197
- 198
- 199
- 200