การนวดในพระไตรปิฎกและสายธารแห่งการนวดไทย ผู้เขยี น ประพจน์ เภตรากาศ พมิ พค์ รั้งที่ ๑ มนี าคม ๒๕๖๑ จำ� นวน ๑,๐๐๐ เลม่ ขอ้ มลู ทางบรรณานุกรมหอสมุดแห่งชาติ ประพจน์ เภตรากาศ : มูลนิธสิ ขุ ภาพไทย, 2561, 192 หนา้ 1.พระไตรปิฎก 2.การนวด ISBN: 978-616-7861-05-0 ออกแบบปก-จัดรูปเลม่ : แสงไทย นติ ิไกรนนท์ พมิ พท์ ่ี : อษุ าการพิมพ์ สนบั สนุนโดย สำ� นกั งานกองทุนสนบั สนนุ การสร้างเสรมิ สุขภาพ (สสส.) จดั พมิ พโ์ ดย โครงการจดั การความรแู้ ละการสือ่ สารสาธารณะ ในการส่งเสรมิ บทบาทพระพุทธศาสนาและ การแพทยแ์ ผนไทย เพื่อการดูแลสุขภาวะให้กับสงั คมไทย มลู นธิ สิ ขุ ภาพไทย ๕๒๐/๑-๒ ถนนเทศบาลรงั รักษเ์ หนือ ซอย ๑๖ แขวงลาดยาว เขตจตจุ ักร กรุงเทพฯ ๑๐๙๐๐ โทรศพั ท/์ โทรสาร ๐-๒๕๘๙-๔๒๔๓ E-mail : [email protected] Website : http://www.thaihof.org
สารบัญ คำ�นยิ ม .................................................................................................................................................. 4 คำ�ชี้แจง .................................................................................................................................................. 6 บทนำ� ..................................................................................................................................................... 7 ตอนท่ี ๑ การแพทย์ การนวด การดแู ลสขุ ภาพ ในพระไตรปิฎก บทที่ ๑ การแพทย์ในพระไตรปิฎก ................................................................................................... 12 บทท่ี ๒ หลกั ธรรมและวนิ ยั เรอื่ งนวดในพระพทุ ธศาสนา .................................................................. 68 ตอนท่ี ๒ สายธารแหง่ การนวดไทย บทที่ ๓ ประวตั กิ ารนวดดง้ั เดมิ ...................................................................................................... 102 บทท่ี ๔ การนวดดัง้ เดิมของอนิ เดีย ................................................................................................ 106 บทท่ี ๕ โยคะ ................................................................................................................................. 118 บทท่ี ๖ การนวดพ้นื บา้ นไทย ......................................................................................................... 126 บทที่ ๗ ความเจรญิ และเสอื่ มของพทุ ธศาสนาในอินเดยี การเผยแพรพ่ ระพุทธศาสนาในไทย ....... 132 บทที่ ๘ หลักฐานและบันทึกสำ�คัญเก่ียวกับนวดไทย ...................................................................... 144 บทท่ี ๙ หลักธรรม ปรัชญา สมฏุ ฐาน แบบแผนการนวด ของนวดไทย .......................................... 156 บทที่ ๑๐ สายธารแห่งการนวดไทย .................................................................................................. 180
คำ� นิยม คณุ หมอประพจน์ เภตรากาศ ผเู้ ขยี นหนงั สอื เลม่ นเี้ ปน็ แพทยแ์ ผนปจั จบุ นั ทส่ี นใจการแพทยท์ างเลอื ก อย่างลุ่มลึก และมีผลงานโดยเฉพาะการแปลหนังสือเก่ียวกับการแพทย์ทางเลือกไว้หลายเล่ม เช่น เร่ือง แม็คโครไบโอติก หลายเล่ม “ทางเลอื กใหม่ในการเยยี วยามะเร็ง” ซึ่งแปลจาก “Anticancer : A New Way of life” ของ ดร.นพ.เดวิด เซอรแ์ วน-ชไรเดอร์ และกำ� ลงั จะแปล “อาหารต้านมะเร็ง” จาก The Cancer Prevention Diet ของ Michio Kuchi แพทย์ชาวญ่ีปุ่น เป็นต้น ในยคุ “สมยั ใหม”่ ซงึ่ วทิ ยาศาสตรเ์ จรญิ ขน้ึ มากทำ� ใหก้ ารแพทยแ์ ผนปจั จบุ นั สามารถเอาชนะโรครา้ ย ได้อย่างโดดเด่น โดยเฉพาะการค้นพบวัคซีนและยาปฏิชีวนะ ท�ำให้โรคติดเช้ือจ�ำนวนมากถูกควบคุม (Control) หรือก�ำจัด (Eliminate) หรือถึงขน้ั กวาดลา้ ง (Eradicate) ไปได้ เชน่ ไขท้ รพษิ และปจั จบุ นั โรค ทป่ี ้องกนั ได้ด้วยวคั ซีนจำ� นวนมากก็พบน้อยหรือเกอื บหมดไปแลว้ เช่น โปลิโอ คอตบี ไอกรน บาดทะยกั แม้จะมี “โรคอุบัตใิ หม่” (Emerging Diseases) เกิดข้นึ เป็นระยะ เชน่ โรคเอดส์ บัดนีก้ ส็ ามารถควบคุมได้ ระดบั หนง่ึ แลว้ การทก่ี ารแพทยแ์ ผนปจั จบุ นั สามารถเอาชนะโรครา้ ยจำ� นวนมากได้ ทำ� ใหส้ มยั หนงึ่ มคี วาม คดิ วา่ การแพทยแ์ ผนปจั จบุ นั เปน็ “คำ� ตอบเดยี ว” ในการแกป้ ญั หาการแพทยแ์ ละสาธารณสขุ ของโลก แต่ ตอ่ มาเมื่อโลกพัฒนาเข้าส่ยู ุค “หลงั สมัยใหม่” (Postmodern) กพ็ บวา่ มโี รคภยั ไข้เจ็บจำ� นวนมากที่การ แพทย์แผนปัจจุบันไม่สามารถเอาชนะได้ หรือแก้ปัญหาได้ไม่ดี โดยเฉพาะโรคเร้ือรังต่างๆ ข้อส�ำคัญการ แพทยแ์ ผนปจั จบุ นั ผกู โยงใกลช้ ดิ กบั ระบบทนุ นยิ ม ทำ� ใหม้ รี าคาแพงมากขน้ึ เรอ่ื ยๆ ทำ� ใหป้ ระชาชนจำ� นวน มาก “เขา้ ไม่ถึง” เมอ่ื องคก์ ารอนามยั โลกไดต้ งั้ เปา้ หมายทางสงั คมทจ่ี ะบรรลุ “สขุ ภาพดถี ว้ นหนา้ เมอ่ื 2543” (Health For All By The Year 2000) ตงั้ แต่ทศวรรษ 1970 ต่อมาไดก้ �ำหนดยทุ ธศาสตรเ์ พ่อื บรรลุเปา้ หมายดัง กลา่ วกม็ มี ตชิ ดั เจนทจ่ี ะสง่ เสรมิ ใหแ้ ตล่ ะประเทศฟน้ื ฟแู ละพฒั นา “การแพทยด์ งั้ เดมิ ” (Traditional Med- icine) ของตนข้นึ มาเพ่ือใช้เปน็ การแพทย์เสรมิ (Complimentary Medicine) หรือการแพทยท์ างเลอื ก (Alternative Medicine) ในการบรรลุเป้าหมายสุขภาพดีถ้วนหนา้ ด้วย การแพทยแ์ ผนไทยเปน็ หนง่ึ ในการแพทยด์ ง้ั เดมิ และการแพทยท์ างเลอื กทที่ งั้ ภาครฐั และภาคเอกชน ตลอดจนภาคประชาสงั คมไดพ้ ยายามฟน้ื ฟแู ละพฒั นาขนึ้ โดยเฉพาะหลงั จากทอ่ี งคก์ ารอนามยั โลกไดม้ มี ติ ช้นี ำ� ดังกลา่ วแล้ว คณุ หมอประพจน์ เปน็ หนง่ึ ในบคุ ลากรทางการแพทยแ์ ละสาธารณสขุ ทมี่ สี ว่ นรว่ มอยา่ งสำ� คญั ในการ ฟ้นื ฟูและพัฒนาการแพทยแ์ ผนไทย โดยเฉพาะการนวดไทย โดยมีบทบาทสำ� คญั ในการพฒั นามใิ ช่แตก่ าร นวดในผใู้ หญท่ ่วั ไปเทา่ นนั้ แต่ไดส้ ่งเสริมการนวดโดยหมอนวดตาบอด และการนวดในเด็กดว้ ย
หนังสือเล่มนี้เป็นความพยายามท่ีจะศึกษารากฐานที่มาของการนวดไทย โดยสืบค้นเข้าไปในแหล่ง ส�ำคญั 4 แหลง่ ได้แก่ (1) พระไตรปิฎก (2) วิชาโยคะและอายุรเวทของอินเดยี (3) คัมภรี ์และตำ� ราการ แพทยแ์ ผนไทย และ (4) เสน้ ทางการเผยแผพ่ ระพทุ ธศาสนาเขา้ สปู่ ระเทศไทย การศกึ ษานจ้ี งึ เปน็ การศกึ ษา ขา้ มศาสตรห์ ลายแขนง ไดแ้ ก่ ประวตั ศิ าสตรพ์ ทุ ธศาสนา ประวตั กิ ารแพทยแ์ ผนไทย วนิ ยั ในพระพทุ ธศาสนา ที่เก่ยี วกบั การแพทย์ โยคศาสตร์ อายุรเวท และการศกึ ษาเฉพาะพ้นื ท่ีในรฐั เกราลาของอินเดยี จึงนับเปน็ ความกลา้ หาญ และตอ้ งใชค้ วามเพียรพยายามอย่างน่ายกย่อง คณุ หมอประพจนเ์ ปน็ ผมู้ พี นื้ ฐานทด่ี หี ลายประการในการทำ� งานชน้ิ น้ี ประการแรก คณุ หมอประพจน์ เปน็ แพทยผ์ เู้ ชยี่ วชาญทางเวชศาสตรฟ์ น้ื ฟู ซง่ึ เปน็ วชิ าทเ่ี ชอื่ มโยงไดโ้ ดยตรงกบั เรอื่ งการนวดทศ่ี กึ ษา ประการ ท่ีสอง คุณหมอประพจน์มีความสนใจเร่ืองภูมิปัญญาการแพทย์แผนไทย และศาสตร์การแพทย์ทางเลือก มายาวนาน เมื่อกระทรวงสาธารณสุขตั้งกรมพัฒนาการแพทย์แผนไทยและการแพทย์ทางเลือกข้ึน เมื่อ เดือนตุลาคม พ.ศ. 2545 คุณหมอประพจน์ก็ขอเข้ามาท�ำงานในกรมน้ัน และท�ำอยู่จนเกษียณอายุใน ตำ� แหนง่ รองอธบิ ดี ประการทสี่ าม ประสบการณใ์ นการแปลหนงั สอื เรอ่ื งการแพทยท์ างเลอื กหลายเลม่ ยอ่ ม เป็นพื้นฐานอย่างดีในการศึกษาวิเคราะห์ในเรื่องท่ีอยู่นอกกรอบความรู้ ความชำ� นาญเฉพาะ ประการท่ีสี่ ประสบการณด์ า้ นบรหิ ารทเ่ี คยทำ� ในตำ� แหนง่ รองผอู้ ำ� นวยการโรงพยาบาลเลดิ สนิ และตอ่ มาเปน็ รองอธบิ ดี ยอ่ มช่วยในการบรกิ ารงานการศึกษาทย่ี ากชิน้ นไ้ี ดด้ ี เร่ืองทีค่ ุณหมอประพจนศ์ ึกษาและนำ� เสนอน้ี เป็นเร่อื งก่อนเกิดท้งั สิ้น เอกสาร หลกั ฐานต่างๆ กม็ อี ยู่ อยา่ งจ�ำกัด และกระจดั กระจายอยู่มาก งานชิ้นน้ีจึงเปน็ งานประเภท การศกึ ษาน�ำรอ่ ง (Pilot Study) ที่ ผรู้ แู้ ละผสู้ นใจควรศกึ ษาเพม่ิ เตมิ เพอื่ สรา้ งองคค์ วามรใู้ นเรอื่ งนใ้ี หล้ มุ่ ลกึ จนสามารถเปน็ พนื้ ฐานในการพฒั นา ให้ได้ข้อสรุปทีช่ ดั เจนเปน็ ทยี่ อมรับ และเป็นประโยชน์ท้งั ตอ่ ประชาชนชาวไทย และชาวโลกไดย้ ่ิงๆ ขึ้นไป นายแพทย์วชิ ยั โชควิวัฒน ประธานกรรมการพฒั นาภมู ิปญั ญาท้องถ่ินดา้ นสุขภาพแหง่ ชาติ คณะกรรมการสุขภาพแห่งชาติ มนี าคม 2561
ค�ำชีแ้ จง หนังสือ การนวดในพระไตรปิฎก และสายธารแหง่ การนวดไทย เปน็ หนังสอื หน่ึงในสี่เล่มทีจ่ ดั ท�ำขึ้น ภายใตโ้ ครงการ “จดั การความรแู้ ละการสอ่ื สารสาธารณะ ในการสง่ เสรมิ บทบาทพระพทุ ธศาสนาและการ แพทยแ์ ผนไทย เพอื่ การดแู ลสขุ ภาวะใหก้ บั สงั คมไทย” ซง่ึ มลู นธิ สิ ขุ ภาพไทยเปน็ ผรู้ บั ผดิ ชอบโครงการรว่ ม กบั เครือข่ายต่างๆ ทางด้านพระพุทธศาสนากับการแพทย์แผนไทยและการแพทย์พน้ื บ้านไทย โครงการนี้ ด�ำเนนิ การระหวา่ งกนั ยายน ๒๕๕๙ ถึงมนี าคม ๒๕๖๑ พระพุทธศาสนามีบทบาทส�ำคัญอย่างยิ่งยวดในการเปล่ียนแปลงวัฒนธรรมการเยียวยาแบบ ไสยศาสตร์-ศาสนา ของยุคพระเวทตอนตน้ ในอินเดยี มาเปน็ วัฒนธรรมการแพทยแ์ บบประจักษ์นยิ มและ เหตุผลในอินเดยี และได้เติบโต เผยแพร่มายงั ประเทศต่างๆ ท่ีรับนบั ถือพทุ ธศาสนาในภมู ิภาคเอเชีย และ เอเชยี ตะวนั ออกเฉยี งใต้ ทำ� ใหก้ ารแพทยด์ ง้ั เดมิ ของประเทศตา่ งๆ เหลา่ นมี้ ที ศั นะ ปรชั ญา องคค์ วามรู้ และ แบบแผนการปฏิบัติ เป็นวัฒนธรรมการแพทย์ทม่ี าจากสายพระพุทธศาสนาเป็นหลกั ดังนั้น ประเทศต่างๆ ในภูมิภาคเอเชียและเอเชียอาคเนย์นอกจากจะมีสายสัมพันธ์ท่ีแนบแน่นจาก พระพทุ ธศาสนาแลว้ ยงั มสี ายสมั พนั ธร์ ว่ มกนั ของการแพทยด์ งั้ เดมิ ของแตล่ ะประเทศทม่ี รี ากกำ� เนดิ มาจาก พุทธศาสนาอีกด้วย นับเป็นโอกาสที่ดที ่ปี ระเทศตา่ งๆ จะสร้างสายสัมพันธท์ างการแพทย์ในสายพระพทุ ธศาสนารว่ มกัน และส่งเสริมมติ ิใหมท่ างดา้ นสุขภาพให้กบั โลกใบน้ีด้วยปรชี าญาณของพระพทุ ธศาสนาอกี ครัง้ มูลนิธิสุขภาพไทย พยายามที่จะศึกษาค้นคว้าบทบาทท่ีแท้จริงของพระพุทธศาสนาที่มีผลต่อการ พฒั นาของการแพทย์แผนไทย และการแพทย์พ้นื บา้ น เพอื่ ที่จะใหส้ ังคมไทยได้เขา้ ใจอยา่ งถอ่ งแท้ ถงึ เป้า หมายทแี่ ทจ้ รงิ ของการแพทยแ์ ละการดแู ลสขุ ภาพ อนั โยงใยไปถงึ ความเขา้ ใจทแ่ี ทจ้ รงิ ตอ่ ชวี ติ เพอ่ื ทใี่ หก้ าร แพทย์แผนไทยและการแพทยพ์ ื้นบ้านยงั คงด�ำรงอย่เู พอื่ ใหม้ นุษย์มสี ขุ ภาพท่ีดี พร้อมท่ีจะศึกษาและเขา้ ใจ สัจธรรมของโลกและชวี ิตสบื ต่อไป มลู นิธสิ ขุ ภาพไทย
บทนำ�
การนวดในพระไตรปิฎกและสายธารแห่งการนวดไทย 8 การแพทยแ์ ผนไทยและการนวดไทยมปี ระวตั คิ วามเปน็ มาอยา่ งไร ยงั ไมป่ รากฏหลกั ฐานทชี่ ดั เจน มแี ต่ การกลา่ วอา้ งในเวบ็ ไซต์ต่างๆ ว่า “จากหลกั ฐานสมัยอยธุ ยาพบวา่ การแพทย์แผนไทยได้รับจากอายุรเวทอนิ เดยี เป็นส�ำคัญ” นอกจากน้ี ในเวบ็ ไซต์ไทยแทบทกุ แหง่ กลา่ วถงึ ความเป็นมาของการนวดไทยว่า “การนวดมีมาตั้งแตส่ มัยพทุ ธกาล บรมครชู วี กโกมารภัจจ์ เปน็ ทัง้ หมอยา หมอรกั ษา และหมอนวด ประจ�ำพระองค์พระพุทธเจ้า เมื่อพระพุทธศาสนาเจริญรุ่งเรือง ผ่านมาทางประเทศจีนและเข้ามาสู่เมือง ไทยโดยการนำ� ของพระสงฆ์ หลกั ฐานการนวดทเี่ กา่ แกท่ สี่ ดุ คอื ศลิ าจารกึ ทข่ี ดุ พบทป่ี า่ มะมว่ งในสมยั พอ่ ขนุ รามค�ำแหง” ขอ้ มลู ดงั กลา่ วถกู คดั ลอกสบื ตอ่ กนั มาในเวบ็ ไซตไ์ ทยแทบทกุ แหลง่ โดยไมม่ กี ารตรวจสอบวา่ มหี ลกั ฐาน จริงหรือไม่ ท�ำใหเ้ กิดความเข้าใจผิดๆ สบื ตอ่ กนั มาเป็นทอดๆ จนถึงปัจจุบัน เมื่อผ่านการรบั รู้ขอ้ มลู ผิดๆ ไประยะเวลาหนงึ่ สง่ิ ทผี่ ดิ กจ็ ะกลายเปน็ ถกู และจะกลายเปน็ อวชิ ชาตอ่ การแพทยแ์ ผนไทยและการนวดไทย หนงั สอื “Asceticism and Healing in Ancient India: Medicine in the Buddhist Monastery” เขียนโดย Kenneth G. Zysk ได้รับการแปลและจัดพิมพ์เป็นภาษาไทย ในช่ือ “ลัทธินักพรต และการ เยียวยาในอินเดียโบราณ: ระบบการแพทย์ในพุทธอาราม”๑ ปีพ.ศ. ๒๕๕๑ นำ� เสนอผลการศึกษาข้อมูล ตา่ งๆ อยา่ งเปน็ ระบบ และกลา่ วถงึ บทบาทสำ� คญั ของพทุ ธศาสนาในการเปลย่ี นแปลงและพฒั นาการแพทย์ ดง้ั เดมิ ของอนิ เดยี ทเ่ี ปน็ วฒั นธรรมการเยยี วยาแบบไสยศาสตร-์ ศาสนาของยคุ พระเวทตอนตน้ มาเปน็ การ แพทย์แบบประจักษ์นิยมและเหตุผล ศาสนาพุทธได้เห็นคุณค่าและก�ำหนดให้สงฆ์ต้องดูแลภิกษุที่อาพาธ จนมกี ารกำ� หนดวนิ ัยและหลักธรรมจำ� นวนมากเกี่ยวกบั การแพทย์ เม่ือมกี ารเผยแผพ่ ระพทุ ธศาสนาไปยัง ดนิ แดนหา่ งไกล ๙ แห่ง ในสมยั ของพระเจ้าอโศกมหาราช (พ.ศ. ๒๓๕-๒๓๖) กไ็ ด้มกี ารเผยแผ่การแพทย์ ดั้งเดมิ ของอนิ เดียในสายของพระพุทธศาสนาไปยงั ดนิ แดนต่างๆ ด้วย การศึกษาของ Kenneth G. Zysk ทำ� ใหเ้ กิดหลกั ฐานเชงิ ประจักษ์ใหม่ต่อการแพทย์ดัง้ เดิมในบรบิ ทของพระพุทธศาสนา ๑ นายแพทยว์ ชิ ยั โชควิวฒั น ช่วงทดี่ �ำรงต�ำแหน่งอธบิ ดกี รมพัฒนาการแพทย์แผนไทยและการแพทย์ทางเลือก ได้มอบหมายให้ มีการแปลและจัดพมิ พเ์ ป็นภาษาไทยในปีพ.ศ. 2551
บทนำ� 9 อย่างไรก็ตาม การศกึ ษาหลักฐานเชิงประจกั ษเ์ กี่ยวกับบทบาทพระพทุ ธศาสนาในไทยกับการแพทย์ แผนไทยและนวดไทยนั้นยังมีน้อยและไม่สมบูรณ์ มักจะเป็นการอ้างสืบต่อกันมาและไม่มีหลักฐาน จงึ สมควรที่จะมกี ารสบื ค้น ประมวล วิเคราะห์ และสงั เคราะหเ์ กยี่ วกับพทุ ธศาสนาในไทยกับ การแพทย์ แผนไทยและนวดไทย หนงั สอื เลม่ นี้ เปน็ การประมวลหลกั ฐานการบนั ทกึ ตา่ งๆ ทเ่ี กา่ แกแ่ ละเชอื่ ถอื ได้ ในพระไตรปฎิ ก คมั ภรี ์ การแพทย์แผนไทย จารึกการนวดไทย และหลักฐานบันทึกอ่ืนๆ ท่ีเกี่ยวข้อง เพ่ือให้เป็นแหล่งข้อมูลเชิง ประจักษ์ สำ� หรับการเรยี นรู้และสืบคน้ ต่อไป นอกจากน้ี ยงั เป็นการวิเคราะหบ์ ันทึกตา่ งๆ เพ่ือให้เห็นความเชื่อมโยงของพระพทุ ธศาสนา กับ การ แพทยแ์ ผนไทย การนวดไทย และการดแู ลสขุ ภาพในทัศนะของพุทธศาสนา ทสี่ ำ� คญั จะเปน็ การวเิ คราะหแ์ ละสงั เคราะหร์ ากทม่ี าของนวดไทย (เทา่ ทม่ี หี ลกั ฐานเชงิ ประจกั ษ)์ เพอ่ื ให้เกิดความจรงิ ความกระจ่าง เปน็ ประโยชนใ์ นการอนรุ กั ษ์ และพฒั นาภมู ิปญั ญาการนวดไทยต่อไป กระบวนการในการศึกษา มีดงั น้ี ๑. ประมวลบันทกึ เก่ียวกบั การแพทย์ การนวด การดแู ลสุขภาพ ในพระไตรปฎิ ก ๒. การนำ� บนั ทกึ ในพระไตรปฎิ กมาวเิ คราะหเ์ กยี่ วกบั หลกั ธรรมและวนิ ยั ทเี่ กย่ี วกบั การแพทย์ การนวด และการดูแลสุขภาพ ๓. ศึกษาประวตั ิการนวดด้งั เดิมในโลกว่ามอี ะไร มปี ระวัติความเป็นมาอย่างไร ๔. ศกึ ษาการแพทยด์ ัง้ เดมิ การนวดดัง้ เดมิ และศาสตร์ต่างๆ ทเ่ี ก่ยี วขอ้ งกับสขุ ภาพของอินเดยี ๕. ศึกษาการนวดพื้นบา้ นไทยเกยี่ วกบั ปรัชญา องค์ความรู้ ทฤษฎีทางการแพทย์ แบบแผนการนวด ๖. ศึกษาการเจริญรุ่งเรือง และความเส่ือมของพระพุทธศาสนาในอินเดีย เน่ืองจากสัมพันธ์กับการ เผยแพร่การแพทย์และการดูแลสขุ ภาพมายังประเทศตา่ งๆ ทีน่ ับถอื พุทธศาสนา การเผยแผ่ของ พทุ ธศาสนาในไทย ๗. ศึกษาจารกึ /บนั ทึกทีม่ อี ายุเกา่ แกแ่ ละเช่อื ถือได้ เก่ยี วกบั นวดไทยในยคุ สมยั ต่างๆ ของไทย ๘. วเิ คราะห์ หลักธรรม ปรัชญา ทฤษฎีทางการแพทย์ สมฏุ ฐาน แบบแผนการนวดไทย เปน็ การสมควรอยา่ งยิง่ ท่ีชาวพุทธและชาวไทยจะตอ้ งรูจ้ ักเทือกเถา เหลา่ กอ ของนวดไทยใหก้ ระจา่ ง เราต้องรูจ้ กั อดตี เพอื่ เข้าใจปจั จบุ ัน และเพื่อสรา้ งอนาคตของนวดไทยได้อยา่ งม่นั คง
การนวดในพระไตรปิฎกและสายธารแหง่ การนวดไทย 10 ตอนที่ 1
บทน�ำ 11 การแพทย์ การนวด การดูแลสุขภาพ ในพระไตรปิฎก
การนวดในพระไตรปิฎกและสายธารแหง่ การนวดไทย 12 กบทาที่ 1รแพทย์ ในพระไตรปิฎก๑
การแพทยใ์ นพระไตรปิฎก 13 ก. การแพทยใ์ นพระวนิ ัยปิฎก 1. พระไตรปิฎกเลม่ ที่ ๐๑ วนิ ัยปฎิ กที่ ๐๑ มหาวภิ งั ค์ ภาค ๑ 2. พระไตรปิฎกเล่มท่ี ๐๓ วินัยปิฎกท่ี ๐๓ มหาวภิ ังค์ ภาค ๓ 3. พระไตรปฎิ กเลม่ ท่ี ๐๕ วินัยปฎิ กท่ี ๐๕ มหาวรรค ภาค ๒ 4. พระไตรปิฎกเลม่ ท่ี ๐๗ วนิ ยั ปฎิ กท่ี ๐๗ จลุ วรรค ภาค ๒ ข. การแพทยใ์ นพระสุตตันตปฎิ ก 1. พระไตรปฎิ กเลม่ ท่ี ๑๐ สตุ ตนั ตปิฎกท่ี ๐๒ ทฆี นิกาย มหาวรรค 2. พระไตรปิฎกเล่มที่ ๑๑ สตุ ตันตปิฎกท่ี ๐๓ ทฆี นิกาย ปาฏกิ วรรค 3. พระไตรปฎิ กเลม่ ที่ ๑๓ สตุ ตนั ตปฎิ กที่ ๐๔ มชั ฌมิ นกิ าย มลู ปณั ณาสก์ 4. พระไตรปิฎกเล่มที่ ๑๙ สุตตันตปฎิ กท่ี ๑๑ สงั ยตุ ตนิกาย มหาวารวรรค 5. พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๐ สุตตนั ตปิฎกที่ ๑๒ องั คตุ ตรนกิ าย เอกกทุก ติกนิบาต 6. พระไตรปฎิ กเล่มท่ี ๒๑ สุตตนั ตปฎิ กที่ ๑๓ องั คตุ ตรนิกาย จตกุ กนบิ าต 7. พระไตรปฎิ กเล่มที่ ๒๒ สตุ ตันตปิฎกท่ี ๑๔ องั คุตตรนกิ าย ปัญจกฉกั กนบิ าต 8. พระไตรปฎิ กเลม่ ที่ ๒๔ สตุ ตนั ตปฎิ กที่ ๑๖ องั คตุ ตรนกิ าย ทสก เอกาทสกนบิ าต 9. พระไตรปฎิ กเล่มที่ ๒๕ สุตตันตปิฎกท่ี ๑๗ ขทุ ทกนิกาย ขทุ ทกปาฐะ ธรรมบท อุทาน 10. พระไตรปฎิ กเลม่ ท่ี ๒๙ สุตตันตปฎิ กท่ี ๒๑ ขทุ ทกนิกาย มหานิทเทส 11. พระไตรปฎิ กเลม่ ที่ ๓๒ สตุ ตนั ตปฎิ กที่ ๒๔ ขทุ ทกนกิ าย อปทาน ภาค ๑ 12. พระไตรปฎิ กเลม่ ที่ ๓๓ สตุ ตนั ตปฎิ กที่ ๒๕ ขทุ ทกนกิ าย อปทาน ภาค ๒ พุทธวงศ์ จรยิ าปฎิ ก ๑ พระไตรปฎิ กภาษาไทย ฉบบั มหาจฬุ าลงกรณราชวทิ ยาลยั 45 เลม่
การนวดในพระไตรปฎิ กและสายธารแห่งการนวดไทย 14 ก่อนกำ� เนิดพระพุทธศาสนาในอนิ เดยี การแพทยด์ ง้ั เดิมในอนิ เดียแบ่งเป็น ๒ ช่วง๒ คือ ชว่ งที่ ๑ วฒั นธรรมการเยยี วยาแบบไสยศาสตร์-ศาสนาของยคุ พระเวทตอนต้น (Magico-religious healing tradition) ราว ๑,๗๐๐-๘๐๐ ปกี อ่ นครสิ ตกาล (๑,๑๖๗-๒๕๗ ปกี อ่ นพทุ ธกาล) เชน่ ในบทสวดเกย่ี วกบั การแพทย์ ของคมั ภรี อ์ าถรรพเวท (Atharvaveda) และบทสวดสำ� หรบั การเยยี วยารกั ษาโรคบางบทของคมั ภรี ฤ์ คเวท (Rgveda) ลกั ษณะของการแพทย์ในยคุ พระเวทตอนต้น คือ โรคเกดิ จากภูตผิ ปี ีศาจและพธิ ีกรรมทางไสยศาสตร์ ซึ่งจะมีการท่องคาถาที่มีพลัง รวมท้ังการใช้เคร่ืองรางของขลังเพ่ือขับไล่ภูติผีปีศาจที่ท�ำให้เจ็บป่วย และ ปอ้ งกันไมใ่ หม้ ารบกวนอีก ช่วงที่ ๒ วัฒนธรรมการแพทยแ์ บบประจกั ษน์ ยิ มและเหตผุ ล (Empirico-rational) ของอายรุ เวท ประมาณ ๒๐๐ ปีกอ่ นครสิ ตกาล (พ.ศ. ๓๔๓) จนถึงคริสต์ศตวรรษที่ ๔ ในคัมภีร์ดัง้ เดมิ อย่าง จรกะ เภละ และสุศรตุ ะ การแพทยอ์ ายรุ เวทเปน็ ระบบการแพทยแ์ บบวชิ าการทซ่ี บั ซอ้ น ซง่ึ บนั ทกึ ในตำ� รบั ตำ� ราการแพทย์ นำ� เสนอญาณวิทยาทางการแพทย์โดยเฉพาะที่มาจากรากฐานของประสบการณ์หลัก ตามด้วยการอธิบาย ปรากฏการณ์ที่สังเกตเห็น เมอื่ พระพทุ ธศาสนาไดถ้ อื กำ� เนดิ ขน้ึ ในอนิ เดยี พทุ ธศาสนา๓ ไดม้ บี ทบาทสำ� คญั ในการปรบั เปลยี่ นการ แพทยด์ งั้ เดิมของอนิ เดีย ดงั น้ี ในชว่ งคริสต์ศตวรรษท่ี ๙ จนถึงชว่ งต้นของยุคครสิ เตยี น พบว่า หมอถกู การแบง่ ชนชนั้ ของพราหมณก์ ลา่ วรา้ ย และถกู กดี กนั ออกจากลทั ธพิ ธิ กี รรมตามจารตี เนอื่ งจาก ถกู แปดเปอ้ื นจากการขอ้ งเกยี่ วกบั ผคู้ นทไ่ี มบ่ รสิ ทุ ธิ์ การแสวงหาความยอมรบั ในทา่ มกลางชมุ ชนของนกั พรต ผู้จาริกและภิกขาจารนอกรีตซ่ึงไม่ปฏิเสธปรัชญา การปฏิบัติและการคบหาสมาคมกับพวกเขา ท�ำให้ผู้ เยียวยาเหลา่ นจี้ ารกิ ไปตามชนบทเชน่ เดยี วกบั นกั พรตที่แสวงหาความรู้ เพอ่ื ใหก้ ารรกั ษา และเรยี นรูต้ วั ยา ใหมๆ่ วธิ กี ารรักษา รวมทั้งข้อมูลใหมๆ่ ทางการแพทย.์ ..... ในไมช่ า้ คลงั ความรู้ทีย่ ่ิงใหญ่ทางการแพทย์ ซงึ่ ได้รับการพัฒนาในบรรดาหมอท่ีจาริกเหล่านี้ ผู้ซ่ึงไม่ได้ถูกกีดขวางด้วยข้อจ�ำกัดและข้อห้ามต่างๆ ของ พราหมณ์ จงึ เรมิ่ เขา้ ใจในญาณวทิ ยาทางการแพทยท์ มี่ รี ากฐานจากประสบการณแ์ ละเหตผุ ล ซงึ่ นำ� ไปสกู่ าร ประมวลและการจดั ระบบขอ้ มลู ทางดา้ นการแพทยท์ มี่ ปี ระสทิ ธผิ ลเหลา่ นี้ เนอื่ งจากสอดรบั กบั คำ� สอนหลกั ในพุทธศาสนาในเรื่องทางสายกลาง.....ท�ำให้การเยียวยากลายเป็นส่วนหน่ึงของพุทธศาสนา โดยการให้ เคร่ืองมือในการรักษาสุขภาพร่างกายท่ีดี โดยก�ำหนดจากความสมดุลท้ังภายในร่างกายเอง และระหว่าง รา่ งกายกบั สง่ิ แวดลอ้ ม เรอ่ื งราวทางการแพทยบ์ างสว่ นถกู รวบรวมมาอยใู่ นวนิ ยั วดั ในยคุ แรก จนทำ� ใหเ้ กดิ วฒั นธรรมการแพทยใ์ นแบบพทุ ธอาราม ความสัมพนั ธ์ในลกั ษณะทีเ่ กื้อกลู กนั ระหวา่ งพุทธศาสนากับการ ๒ เค็นเนธ็ จี. ซสิ ค.์ ลัทธินักพรตและการเยียวยาในอนิ เดยี โบราณ: ระบบการแพทย์ในพทุ ธอาราม. พมิ พค์ รั้งท่ี 2. กรงุ เทพฯ: มลู นธิ ิโกมลคมี ทอง; 2552. ๓ อา้ งแลว้ ใน 1
การแพทยใ์ นพระไตรปฎิ ก 15 แพทย์ช่วยส่งเสริมการขยายตัวของพุทธศาสนาในอินเดีย น�ำไปสู่การสอนการแพทย์ในกลุ่มวัดต่างๆ ใน อนิ เดยี อยา่ งแพร่หลาย และชว่ ยใหเ้ กิดความยอมรบั ในพุทธศาสนาในสว่ นอนื่ ๆ ของเอเซยี สงั ฆมณฑลของภกิ ษแุ ละภกิ ษณุ ใี นพทุ ธศาสนามบี ทบาทสำ� คญั ในการสถาปนาสถาบนั การแพทย์ เชน่ เดียวกับโบสถ์และส�ำนักชีของคริสต์ศาสนาในยุโรปยุคกลาง......การประมวลการปฏิบัติทางการแพทย์ ภายในกรอบวนิ ยั ของวดั อาจกลา่ วไดว้ า่ เปน็ ผลสำ� เรจ็ ในการจดั ระบบความรทู้ างดา้ นการแพทยข์ องอนิ เดยี เปน็ ครง้ั แรก และอาจเปน็ ตน้ แบบของคมู่ อื เวชปฏบิ ตั ใิ นภายหลงั การขยายขอบเขตการดแู ลรกั ษาทางการ แพทย์ของหมอพระไปสู่ประชาชน และการมีอาคารพเิ ศษของวดั เพอื่ เป็นสถานพักฟน้ื และสถานพยายาล ทำ� ใหพ้ ทุ ธศาสนาไดร้ บั ความนยิ มมากขน้ึ และเปน็ หลกั ประกนั ใหฆ้ ราวาสเกอื้ หนนุ วดั อยา่ งตอ่ เนอ่ื ง และมี การผสมผสานการแพทย์เข้าไปในหลักสูตรของมหาวิทยาลัยสงฆ์หลัก จนกลายเป็นระเบียบกฎเกณฑ์ใน ทางวชิ าการ พทุ ธศาสนาในอนิ เดยี รวมทงั้ ประเทศอนื่ ๆ ในเอเซยี ดำ� รงความสมั พนั ธท์ แ่ี นบชดิ กบั ศลิ ปะการ เยยี วยามาตลอดชว่ งประวตั ศิ าสตร์ โดยใหค้ วามเคารพยกยอ่ งผเู้ ยยี วยาเปน็ อยา่ งสงู และอาจเปน็ ตวั อยา่ ง ทด่ี ที ส่ี ดุ ของการผสมกลมกลนื ทล่ี งตวั ระหวา่ งการแพทยแ์ ละศาสนา กระทง่ั ในปจั จบุ นั พระสงฆใ์ นประเทศ ท่ีนบั ถอื พุทธศาสนาในเอเซียใตแ้ ละเอเซียตะวนั ออกเฉยี งใต้ ให้การรกั ษาคนไข้ทปี่ ว่ ยด้วยโรคต่างๆ อกี ทง้ั วัดหลายแห่งมักมีสถานพยาบาลอยู่ในบริเวณวัดด้วย ความผสมกลมกลืนท่ียาวนานระหว่างศาสนาและ การแพทยใ์ นพทุ ธศาสนานี้ แตกตา่ งอยา่ งชดั เจนจากอารยธรรมตะวนั ตกทท่ี งั้ สองอยา่ งถกู แยกขาดจากกนั การแพทย์แผนไทยแม้จะได้รับอิทธิพลมาจากวัฒนธรรมการแพทย์ของอินเดีย แต่ก็เป็นการแพทย์ที่ ถา่ ยทอดมาในสายของพระพทุ ธศาสนาเปน็ หลกั กลา่ วไดว้ า่ พทุ ธศาสนาเปน็ แกนกลางของการแพทยแ์ ผน ไทยด้วยมีหลักพุทธธรรมและพระสูตรหลายพระสูตรที่กลายเป็นที่มาแห่งคัมภีร์การแพทย์แผนไทย เช่น มหาตณั หาสงั ขยสูตร ยักขสงั ยุตอินทก อัคคัญสูตร๔ เร่ืองขันธ์ ๕ และธาตุ ๔ ของพุทธศาสนาได้เปน็ ต้นธารของทฤษฎกี ารแพทย์แผนไทย ดังท่ีปรากฎใน หลายคัมภรี ์ ไดแ้ ก่ คมั ภีรส์ มฏุ ฐานวินจิ ฉัย คัมภรี ์ฉันทศาสตร์ คมั ภรี โ์ รคนิทาน คัมภีรธ์ าตวุ ภิ งั ค์ คัมภีร์ธาตุ วิวรณ์ และคมั ภีรธ์ าตบุ รรจบ เปน็ ต้น ดงั นนั้ หนงั สอื เลม่ นเี้ ปน็ การทบทวนพระไตรปฎิ กโดยเฉพาะพระวนิ ยั ปฎิ กและพระสตุ ตนั ตปฎิ ก วา่ ได้ มีการบันทึกเกีย่ วกบั การแพทย์ การดูแลสุขภาพ และทเ่ี ก่ียวข้องกบั การแพทยอ์ ะไรบา้ ง เพื่อท่จี ะเป็นหลัก ฐานเชงิ ประจกั ษว์ า่ พระพทุ ธเจา้ ไดก้ ำ� หนดวนิ ยั สงฆแ์ ละคำ� สอนเกย่ี วกบั การแพทยแ์ ละการดแู ลสขุ ภาพใน ทัศนะของพทุ ธศาสนาอยา่ งไร และมบี ทบาทตอ่ การแพทยด์ ง้ั เดมิ ของประเทศตา่ งๆ ที่นับถอื ศาสนาพุทธ อย่างไร ที่ส�ำคัญ แพทย์แผนไทยจะได้เข้าใจอย่างลึกซ้ึงต่อทฤษฎีการแพทย์แผนไทยในคัมภีร์การแพทย์แผน ไทยต่างๆ มากยง่ิ ขน้ึ ๔ กรมพฒั นาการแพทย์แผนไทยและการแพทยท์ างเลอื ก. รายงานสาธารณสขุ ไทย ด้านการแพทย์แผนไทย การแพทย์พืน้ บ้าน และการแพทย์ทางเลือก พ.ศ. 2552-2553.พมิ พค์ ร้ังท่ี 2.กรุงเทพฯ: บรษิ ัทสามเจริญพาณชิ ย์ (กรงุ เทพฯ) จ�ำกดั ; 2553.
การนวดในพระไตรปิฎกและสายธารแหง่ การนวดไทย 16 ก. การแพทย์ในพระวนิ ยั ปิฎก ๑. พระไตรปฎิ กเลม่ ที่ ๐๑ วนิ ยั ปฎิ กที่ ๐๑ มหาวภิ ังค์ ภาค ๑ พระวนิ ยั ปฎิ ก มหาวิภังค์ เวรัญชกณั ฑ์ [๑. ปาราชกิ กณั ฑ์] ปาราชกิ สิกขาบทท่ี ๓ วนิ ตี วัตถุ เรอ่ื งอบตวั ๓ เรอื่ ง [๑๘๔] (๑) สมัยนน้ั ภกิ ษุรูปหนงึ่ อาพาธ ภกิ ษุทง้ั หลายจงึ ให้ท่านอบตวั จนถึงแกม่ รณภาพ พวกทา่ น เกิดความกงั วลใจวา่ พวกเราตอ้ งอาบัตปิ าราชิกหรอื หนอ จึงน�ำเรือ่ งน้ีไปกราบทูลพระผมู้ ีพระภาคใหท้ รง ทราบ พระองคต์ รัสถามว่า “พวกเธอคดิ อยา่ งไร” “พวกขา้ พระพทุ ธเจ้าไม่มีความประสงคจ์ ะฆา่ พระพุทธเจ้าข้า” “พวกเธอไมม่ คี วามประสงค์จะฆา่ ไม่ตอ้ งอาบัต๕ิ ” (เร่ืองท่ี ๓๓) (๒) สมยั นนั้ ภกิ ษรุ ปู หนงึ่ อาพาธ ภกิ ษทุ ง้ั หลายมคี วามประสงคจ์ ะฆา่ จงึ ใหเ้ ธออบตวั จนถงึ แกม่ รณภาพ พวกทา่ นเกดิ ความกงั วลใจวา่ พวกเราตอ้ งอาบตั ปิ าราชกิ หรอื หนอ จงึ นำ� เรอ่ื งนไ้ี ปกราบทลู พระผมู้ พี ระภาค ให้ทรงทราบ พระองค์ตรัสถามว่า“ภกิ ษทุ ัง้ หลาย พวกเธอคดิ อย่างไร” “พวกข้าพระพุทธเจ้ามีความประสงคจ์ ะฆ่า พระพุทธเจา้ ข้า” “ภกิ ษทุ ้งั หลาย พวกเธอต้องอาบัติปาราชกิ ” (เรื่องท่ี ๓๔) (๓) สมัยนั้น ภกิ ษรุ ูปหน่งึ อาพาธ ภกิ ษุท้งั หลายมีความประสงค์จะฆ่า จึงใหเ้ ธออบตัว แต่ท่านไมถ่ ึงแก่ มรณภาพ ภกิ ษุเหล่านนั้ เกดิ ความกังวลใจว่า พวกเราตอ้ งอาบตั ปิ าราชิกหรือหนอ จึงน�ำเรือ่ งน้ไี ปกราบทูล พระผ้มู พี ระภาคใหท้ รงทราบ พระองคต์ รสั ถามว่า “ภกิ ษุทงั้ หลาย พวกเธอคิดอย่างไร” “พวกข้าพระพทุ ธเจา้ มคี วามประสงค์จะฆา่ พระพทุ ธเจ้าข้า” “ภกิ ษุท้ังหลาย พวกเธอไมต่ ้องอาบัติปาราชกิ แต่ตอ้ งอาบัตถิ ลุ ลจั จยั ” (เรอื่ งท่ี ๓๕) เร่อื งนัตถุย์ า ๓ เรอ่ื ง (๑) สมยั นั้น ภกิ ษุรปู หน่งึ ปวดศีรษะ ภิกษทุ ้ังหลายจงึ ใหท้ ่านนตั ถุ์ยา ทา่ นถงึ แกม่ รณภาพ ภิกษเุ หล่า น้ันเกิดความกังวลใจว่า พวกเราต้องอาบัติปาราชิกหรือหนอ จึงน�ำเร่ืองน้ีไปกราบทูลพระผู้มีพระภาคให้ ทรงทราบ พระองค์ตรัสถามว่า“ภิกษุทงั้ หลาย พวกเธอคดิ อย่างไร” “พวกข้าพระพุทธเจ้าไมม่ ีความประสงคจ์ ะฆ่า พระพทุ ธเจ้าข้า” “ภกิ ษุทัง้ หลาย พวกเธอไม่มีความประสงค์จะฆา่ ไมต่ ้องอาบัติ” (เรือ่ งที่ ๓๖) ๕ โทษท่เี กิดจากการล่วงละเมิดสิกขาบท หรอื ขอ้ ห้ามแหง่ ภกิ ษมุ ีโทษ ๓ สถาน คอื ๑. โทษสถานหนัก เรียกว่า ครโุ ทษ หรอื มหนั ตโทษ ทําใหภ้ กิ ษผุ ตู้ อ้ งอาบตั ิ ขาดจากความเป็นภิกษุ ไดแ้ ก่ อาบตั ปิ าราชิก ซึง่ เรยี กว่า ครกุ าบัติ ๒. โทษสถานกลาง เรยี ก วา่ มชั ฌมิ โทษ ทาํ ใหภ้ กิ ษผุ ตู้ อ้ งอาบตั ติ อ้ งอยกู่ รรมกอ่ น จงึ จะพน้ โทษ ไดแ้ ก่ อาบตั สิ งั ฆาทเิ สส ๓. โทษสถานเบา เรยี กวา่ ลหโุ ทษ ทาํ ใหภ้ กิ ษุผู้ต้องอาบตั ทิ ่ตี า่ํ กวา่ อาบัตสิ งั ฆาทิเสส ตอ้ งปลงอาบตั ิ คือ บอกอาบัตขิ องตนแกภ่ ิกษุดว้ ยกนั ได้แก่ อาบัตถิ ลุ ลัจจัย ปาจิตตีย์ ปาฏเิ ทสนียะ ทกุ กฏ และทพุ ภาษิต ซึ่งเรียกวา่ ลหกุ าบัติ (อาปตฺติ ส. ป.)
การแพทยใ์ นพระไตรปฎิ ก 17 (๒) สมยั นัน้ ภิกษรุ ูปหน่งึ ปวดศรี ษะ ภิกษุทั้งหลายมีความประสงคจ์ ะฆา่ จึงให้ทา่ นนัตถย์ุ าจนถึงแก่ มรณภาพ ภิกษุเหลา่ นัน้ เกิดความกงั วลใจวา่ พวกเราต้องอาบตั ิปาราชิกหรอื หนอ จึงน�ำเร่อื งนีไ้ ปกราบทลู พระผู้มีพระภาคใหท้ รงทราบ พระองค์ตรัสถามวา่ “ภกิ ษทุ ัง้ หลาย พวกเธอคดิ อยา่ งไร” “พวกข้าพระพทุ ธเจา้ มคี วามประสงค์จะฆา่ พระพุทธเจา้ ข้า” “ภกิ ษทุ ้ังหลาย พวกเธอตอ้ งอาบตั ิปาราชิก” (เร่อื งที่ ๓๗) (๓) สมยั นน้ั ภิกษุรูปหนึง่ ปวดศรี ษะ ภิกษทุ งั้ หลายมคี วามประสงค์จะฆา่ จงึ ใหท้ า่ นนตั ถ์ยุ า แต่ทา่ นไม่ ถึงแก่มรณภาพ ภิกษุเหล่าน้ันเกิดความกังวลใจว่า พวกเราต้องอาบัติปาราชิกหรือหนอ จึงน�ำเรื่องนี้ไป กราบทลู พระผูม้ พี ระภาคให้ทรงทราบ พระองคต์ รสั ถามวา่ “ภิกษุทั้งหลาย พวกเธอคดิ อย่างไร” “พวกขา้ พระพุทธเจ้ามคี วามประสงคจ์ ะฆา่ พระพทุ ธเจ้าขา้ ” “ภิกษุทัง้ หลาย พวกเธอไม่ตอ้ งอาบตั ิปาราชิก แตต่ ้องอาบัตถิ ุลลัจจัย” (เรือ่ งที่ ๓๘) เรอ่ื งนวด๖ ๓ เรอ่ื ง (๑) สมยั นัน้ ภกิ ษุรูปหนงึ่ อาพาธ ภิกษุท้งั หลายจงึ ช่วยกันนวดเฟ้นท่าน ทา่ นถงึ แกม่ รณภาพ ภิกษุ เหล่าน้ันเกิดกังวลใจว่า พวกเราต้องอาบัติปาราชิกหรือหนอ จึงนำ� เร่ืองน้ีไปกราบทูลพระผู้มีพระภาคให้ ทรงทราบ พระองค์ตรสั ถามวา่ “ภกิ ษทุ ั้งหลายพวกเธอคดิ อย่างไร” “พวกขา้ พระพุทธเจ้าไมม่ ีความประสงคจ์ ะฆ่า พระพุทธเจา้ ข้า” “ภิกษทุ ัง้ หลาย พวกเธอไม่มีความประสงคจ์ ะฆา่ ไมต่ ้องอาบัต”ิ (เรื่องที่ ๓๙) (๒) สมัยน้นั ภกิ ษรุ ปู หนง่ึ อาพาธ ภิกษทุ ัง้ หลายมคี วามประสงคจ์ ะฆา่ จงึ ช่วยกันนวดเฟ้นท่านจนถงึ แก่ มรณภาพ ภิกษเุ หล่านั้นเกิดความกงั วลใจว่า พวกเราตอ้ งอาบตั ปิ าราชกิ หรือหนอ จงึ นำ� เรื่องนไี้ ปกราบทูล พระผ้มู พี ระภาคใหท้ รงทราบ พระองคต์ รสั ถามวา่ “ภิกษทุ ้งั หลาย พวกเธอคดิ อยา่ งไร” “พวกข้าพระพุทธเจ้ามีความประสงค์จะฆ่า พระพทุ ธเจ้าข้า” “ภกิ ษทุ ัง้ หลาย พวกเธอต้องอาบัติปาราชกิ ” (เรอื่ งที่ ๔๐) (๓) สมยั น้ัน ภกิ ษรุ ปู หน่งึ อาพาธ ภิกษทุ ้งั หลายมคี วามประสงค์จะฆ่า จงึ ช่วยกันนวดเฟ้นท่าน แตท่ า่ น ไมถ่ ึงแก่มรณภาพ ภิกษุเหล่านน้ั เกดิ ความกังวลใจว่า พวกเราตอ้ งอาบตั ิปาราชิกหรอื หนอ จึงน�ำเรื่องนไี้ ป กราบทลู พระผู้มพี ระภาคให้ทรงทราบ พระองคต์ รสั ถามวา่ “ภิกษทุ ้งั หลาย พวกเธอคิดอย่างไร” “พวกข้าพระพุทธเจ้ามีความประสงคจ์ ะฆา่ พระพุทธเจ้าข้า” “ภิกษทุ ง้ั หลาย พวกเธอไมต่ ้องอาบัตปิ าราชกิ แต่ต้องอาบัติถุลลัจจยั ” (เรือ่ ง ๔๑) ๖ คำ� วา่ นวดในภาษาบาลีคอื ปริมทฺทน (นามกติ . มาจากคำ� ว่า ปร+ิ มท ธาตุ = มททฺ + ยปุ จั จยั แปลง ยุ เปน็ อน) รวมเปน็ ศัพทน์ ามกิต ว่า ปริมททฺ น (อ่านว่า ปริมัททะนะ) แปลว่า บบี นวด ทุบ ขยี้ ยำ่� ย.ี ...(โดยพระมหาเจิม สุวโจ)
การนวดในพระไตรปฎิ กและสายธารแห่งการนวดไทย 18 เรอื่ งให้ทาน�้ำมนั ๓ เรือ่ ง (๑) สมัยน้ัน ภกิ ษุรูปหนึ่งอาพาธ ภิกษุทัง้ หลายช่วยกันเอาน้ำ� มนั มาทาให้ท่าน ทา่ นถึงแกม่ รณภาพ ภกิ ษเุ หลา่ นน้ั เกดิ ความกงั วลใจวา่ พวกเราตอ้ งอาบตั ปิ าราชกิ หรอื หนอ จงึ นำ� เรอ่ื งนไ้ี ปกราบทลู พระผมู้ พี ระ ภาคให้ทรงทราบ พระองค์ตรสั ถามวา่ “ภกิ ษทุ ้ังหลาย พวกเธอคิดอย่างไร” “พวกขา้ พระพทุ ธเจ้าไม่มีความประสงค์จะฆา่ พระพุทธเจา้ ขา้ ” “ภิกษุทัง้ หลาย พวกเธอไม่มีความประสงคจ์ ะฆ่า ไม่ต้องอาบตั ”ิ (เร่ืองที่ ๔๕) (๒) สมัยนั้น ภิกษุรูปหน่ึงอาพาธ ภิกษุท้ังหลายมีความประสงค์จะฆ่า จึงช่วยกันเอาน้�ำมันมาทาให้ ทา่ น ทา่ นถงึ แกม่ รณภาพ ภกิ ษเุ หลา่ นน้ั เกดิ ความกงั วลใจวา่ พวกเราตอ้ งอาบตั ปิ าราชกิ หรอื หนอ จงึ นำ� เรอ่ื ง นไี้ ปกราบทลู พระผู้มีพระภาคใหท้ รงทราบ พระองค์ตรัสถามวา่ “ภกิ ษุทงั้ หลาย พวกเธอคิดอยา่ งไร” “พวกข้าพระพุทธเจา้ มคี วามประสงคจ์ ะฆา่ พระพุทธเจา้ ขา้ ” “ภกิ ษทุ ง้ั หลาย พวกเธอตอ้ งอาบัตปิ าราชกิ ” (เร่อื งที่ ๔๖) (๓) สมัยน้ัน ภิกษุรูปหน่ึงอาพาธ ภิกษุทั้งหลายมีความประสงค์จะฆ่า จึงช่วยกันเอาน�้ำมันมาทาให้ ทา่ น แต่ท่านไมถ่ งึ แกม่ รณภาพ ภิกษุเหลา่ น้ันเกิดความกงั วลใจว่าพวกเราต้องอาบตั ปิ าราชิกหรอื หนอ จงึ นำ� เรอื่ งนไี้ ปกราบทลู พระผมู้ พี ระภาคใหท้ รงทราบ พระองคต์ รสั ถามวา่ “ภกิ ษทุ งั้ หลาย พวกเธอคดิ อยา่ งไร” “ข้าพระพทุ ธเจา้ ทัง้ หลายมคี วามประสงคจ์ ะฆ่า พระพุทธเจ้าข้า” “ภิกษุทั้งหลาย พวกเธอไม่ตอ้ งอาบตั ปิ าราชิก แต่ตอ้ งอาบัตถิ ลุ ลัจจยั ” (เรอื่ งท่ี ๔๗) เรื่องใหร้ ีด ๑ เรอ่ื ง [๑๘๗] สมยั นน้ั หญงิ มคี รรภค์ นหนง่ึ บอกภกิ ษทุ นี่ างอปุ ถมั ภว์ า่ “พระคณุ เจา้ โปรดหายาทำ� แทง้ ใหด้ ว้ ย เถิดภิกษุนน้ั ตอบวา่ “นอ้ งหญิง เธอจงรดี ” นางรีดครรภท์ �ำให้แท้งบตุ ร ภิกษุน้นั เกิดความกงั วลใจว่า เรา ตอ้ งอาบตั ปิ าราชิกหรือหนอ จงึ นำ� เรอื่ งนี้ไปกราบทูลพระผ้มู พี ระภาคใหท้ รงทราบ พระองค์ตรสั ว่า “ภิกษุ เธอต้องอาบัตปิ าราชกิ ” (เรอ่ื งที่ ๖๕) เรอ่ื งนาบครรภใ์ ห้รอ้ น ๑ เรอื่ ง สมยั นนั้ หญงิ มคี รรภบ์ อกภกิ ษทุ นี่ างอปุ ถมั ภว์ า่ “พระคณุ เจา้ โปรดหายาทำ� แทง้ ใหด้ ว้ ยเถดิ ” ภกิ ษนุ นั้ ตอบวา่ “น้องหญงิ เธอจงนาบครรภ์ใหร้ ้อน” นางนาบครรภใ์ ห้รอ้ นจนแทง้ บุตร ภกิ ษนุ นั้ เกิดความกงั วลใจ ว่า เราต้องอาบัติปาราชิกหรือหนอ จึงน�ำเร่ืองนี้ไปกราบทูลพระผู้มีพระภาคให้ทรงทราบ พระองค์ตรัส ว่า“ภกิ ษุเธอต้องอาบตั ปิ าราชกิ ” (เรอ่ื งท่ี ๖๖)
การแพทย์ในพระไตรปิฎก 19 เรือ่ งหญิงหมนั ๑ เรือ่ ง สมยั นัน้ หญงิ หมันคนหน่งึ บอกภกิ ษทุ ีน่ างอปุ ถัมภ์วา่ “พระคณุ เจา้ โปรดหายาที่ทำ� ให้ดิฉันมลี กู ไดด้ ว้ ย เถดิ ” ภกิ ษนุ น้ั รบั คำ� แลว้ ไดใ้ หย้ าแกห่ ญงิ หมนั นน้ั นางถงึ แกค่ วามตาย ภกิ ษนุ นั้ เกดิ กงั วลใจวา่ เราตอ้ งอาบตั ิ ปาราชกิ หรอื หนอ จงึ นำ� เรอื่ งนไ้ี ปกราบทลู พระผมู้ พี ระภาคใหท้ รงทราบ พระองคต์ รสั วา่ “ภกิ ษุ เธอไมต่ อ้ ง อาบตั ปิ าราชิก แตต่ ้องอาบัตทิ กุ กฎ” (เรือ่ งท่ี ๖๗) เรอื่ งหญิงไมเ่ ปน็ หมัน ๑ เรอื่ ง สมยั นน้ั หญงิ ไมเ่ ปน็ หมนั คนหนงึ่ บอกภกิ ษทุ ี่นางอุปถมั ภ์วา่ “พระคุณเจ้าโปรดหายาทท่ี ำ� ให้ดิฉันหยดุ มีลูกดว้ ยเถิด” ภกิ ษนุ ้ันรบั ค�ำแล้วไดใ้ ห้ยาแกห่ ญงิ ลกู ดกน้นั นางถึงแกค่ วามตาย ภกิ ษนุ น้ั เกดิ ความกังวลใจ วา่ เราต้องอาบตั ปิ าราชิกหรอื หนอ จึงนำ� เรือ่ งนไี้ ปกราบทูลพระผ้มู ีพระภาคใหท้ รงทราบ พระองค์ตรัสว่า “ภกิ ษเุ ธอไม่ต้องอาบัติปาราชกิ แตต่ ้องอาบัติทกุ กฎ” (เร่ืองท่ี ๖๘) ๒. พระไตรปิฎกเลม่ ท่ี ๐๓ วินยั ปิฎกที่ ๐๓ มหาวภิ งั ค์ ภาค ๓ สกิ ขาบทท่ี ๗ วา่ ดว้ ยการใหบ้ บี นวด เรือ่ งภิกษณุ ีหลายรูป [๑๒๐๖] สมยั นั้น พระผ้มู ีพระภาคพทุ ธเจา้ ประทบั อยู่ ณ พระเชตวัน อารามของอนาถบณิ ฑิกเศรษฐี เขตกรงุ สาวตั ถี ครง้ั นนั้ ภกิ ษณุ ที ง้ั หลายใชภ้ กิ ษณุ ใี หบ้ บี บา้ ง ใหน้ วดบา้ ง คนทงั้ หลายเทยี่ วจารกิ ไปตามวหิ าร เหน็ แลว้ ตำ� หนิ ประณามโพนทะนาวา่ “ไฉนพวกภกิ ษณุ จี ึงใช้ภกิ ษุณใี หบ้ ีบบ้าง ใหน้ วดบ้าง เหมอื นหญิง คฤหัสถ์ผบู้ ริโภคกามเล่า” ภิกษณุ ีท้งั หลายได้ยินคนเหล่านน้ั ตำ� หนิ ประณาม โพนทะนา บรรดาภิกษุณี ผ้มู ักน้อย ฯลฯ พากนั ตำ� หนิ ประณาม โพนทะนาว่า “ไฉนพวกภกิ ษณุ ีจงึ ใชภ้ กิ ษุณีใหบ้ บี บา้ ง ให้นวดบ้าง เลา่ ” ครน้ั แลว้ ภกิ ษณุ เี หลา่ นน้ั ไดน้ ำ� เรอื่ งนไี้ ปบอกภกิ ษทุ งั้ หลายใหท้ ราบ พวกภกิ ษไุ ดน้ ำ� เรอื่ งนไ้ี ปกราบทลู พระผู้มพี ระภาคใหท้ รงทราบ ทรงประชมุ สงฆบ์ ญั ญัตสิ ิกขาบทล�ำดบั นนั้ พระผมู้ พี ระภาครบั สงั่ ใหป้ ระชมุ สงฆเ์ พราะเรอ่ื งนเี้ ปน็ ตน้ เหตุ ทรงสอบถามภกิ ษทุ ง้ั หลายวา่ “ภกิ ษทุ ง้ั หลาย ทราบว่า พวกภิกษุณีใช้ภิกษุณีให้บีบบ้าง ให้นวดบ้าง จริงหรือ” ภิกษุท้ังหลายทูลรับว่า “จริง พระพทุ ธเจา้ ขา้ ” ภกิ ษทุ งั้ หลาย ไฉนพวกภกิ ษณุ จี งึ ใชภ้ กิ ษณุ ใี หบ้ บี บา้ ง ใหน้ วดบา้ งเลา่ ภกิ ษทุ งั้ หลาย การก ระทำ� อยา่ งนี้ มไิ ดท้ ำ� คนทยี่ งั ไมเ่ ลอ่ื มใส ใหเ้ ลอื่ มใส หรอื ทำ� คนทเี่ ลอื่ มใสอยแู่ ลว้ ใหเ้ ลอ่ื มใสยง่ิ ขน้ึ ไดเ้ ลยฯลฯ” แล้วจงึ รับสง่ั ให้ภกิ ษณุ ีทัง้ หลายยกสกิ ขาบทนีข้ น้ึ แสดงดงั นี้ “กภ็ ิกษณุ ใี ดใช้ภกิ ษณุ ใี หบ้ ีบ หรอื ใหน้ วด ตอ้ งอาบตั ิปาจิตตีย”์
การนวดในพระไตรปิฎกและสายธารแหง่ การนวดไทย 20 อนาปัตติวาร๗ ภิกษุณีตอ่ ไปน้ีไมต่ ้องอาบตั ิ คอื ๑. ภิกษณุ ผี เู้ ป็นไข้ ๒. ภกิ ษุณีผู้มีเหตุขัดขอ้ ง ๓. ภิกษณุ ีวิกลจรติ ๔. ภกิ ษุณตี น้ บัญญัติ เรื่องภกิ ษุณีหลายรูป [๑๒๑๐] สมัยนัน้ พระผูม้ ีพระภาคพุทธเจ้าประทับอยู่ ณ พระเชตวัน อารามของอนาถบณิ ฑกิ เศรษฐี เขตกรุงสาวตั ถี ครง้ั นั้น ภกิ ษุณที ั้งหลาย ใชห้ ญิงคฤหสั ถ์ให้บบี บ้าง ใหน้ วดบ้าง (ใชส้ กิ ขมานาให้บีบบ้าง ให้ นวดบ้าง ฯลฯ ใช้สามเณรใี ห้บบี บ้าง ให้นวดบ้าง ฯลฯ) คนท้ังหลายเทีย่ วจารกิ ไปตามวหิ ารเห็นจงึ ตำ� หนิ ประณามโพนทะนาว่า “ไฉนพวกภิกษุณีจึงใช้หญิงคฤหัสถ์ให้บีบบ้าง ให้นวดบ้าง เหมือนหญิงคฤหัสถ์ผู้ บรโิ ภคกามเลา่ ”ภกิ ษณุ ที งั้ หลายไดย้ นิ คนพวกนนั้ ตำ� หนิ ประณาม โพนทะนา บรรดาภกิ ษณุ ผี มู้ กั นอ้ ย ฯลฯ พากนั ตำ� หนิ ประณาม โพนทะนาว่า “ไฉนพวกภกิ ษณุ จี ึงใชห้ ญิงคฤหัสถ์ ใหบ้ บี บ้าง ให้นวดบา้ งเลา่ ” ครั้น แล้ว ภิกษุณีเหล่าน้ันได้น�ำเรื่องน้ีไปบอกภิกษุทั้งหลายให้ทราบ พวกภิกษุได้น�ำเร่ืองนี้ไปกราบทูลพระผู้มี พระภาคใหท้ รงทราบ ล�ำดับน้ัน พระผู้มีพระภาครับส่ังให้ประชุมสงฆ์เพราะเร่ืองน้ีเป็นต้นเหตุ ทรงสอบถามภิกษุทั้งหลาย วา่ “ภิกษทุ ้งั หลาย ทราบวา่ พวกภิกษุณใี ช้หญงิ คฤหัสถ์ใหบ้ ีบบ้าง ให้นวดบ้าง จรงิ หรือ” ภกิ ษุท้ังหลายทลู รับว่า “จรงิ พระพทุ ธเจา้ ขา้ ”พระผ้มู พี ระภาคพทุ ธเจา้ ทรงต�ำหนวิ ่า “ฯลฯ ภกิ ษทุ งั้ หลาย ไฉนพวกภิกษุณี จงึ ใชห้ ญงิ คฤหสั ถใ์ หบ้ บี บา้ ง ใหน้ วดบา้ งเลา่ ภกิ ษทุ ง้ั หลาย การกระทำ� อยา่ งนี้ มไิ ดท้ ำ� คนทย่ี งั ไมเ่ ลอ่ื มใส ให้ เลื่อมใส หรือท�ำคนท่ีเลื่อมใสอยู่แล้ว ให้เลื่อมใสยิ่งขึ้นได้เลยฯลฯ” แล้วจึงรับสั่งให้ภิกษุณีท้ังหลายยก สกิ ขาบทนี้ข้นึ แสดง ดังน้ี [๑๒๑๑] กภ็ กิ ษณุ ใี ด ใชห้ ญงิ คฤหสั ถ์ (ใชส้ กิ ขมานาฯลฯ ใชส้ ามเณรฯี ลฯ) ใหบ้ บี หรอื ใหน้ วด ตอ้ งอาบตั ิ ปาจิตตีย์ ๗ อนาปัตติวาร - ภิกษมุ ีความสำ� คัญว่าเป็นของตน ๑ ถือเอาด้วยวสิ าสะ ๑ ขอยืม ๑ ทรพั ยอ์ ันเปรตหวงแหน ๑ ทรพั ย์อนั สัตว์ดริ ัจฉาน หวงแหน ๑ ภกิ ษมุ คี วามส�ำคัญวา่ เป็นของบงั สุกลุ ๑ ภกิ ษุวิกลจรติ ๑ ภิกษุอาทิกัมมิกะ ๑ เหลา่ นี้ ไมต่ ้องอาบัติ - ภกิ ษไุ มร่ สู้ กึ ตวั ๑ ภกิ ษวุ กิ ลจรติ ๑ ภกิ ษมุ จี ติ ฟงุ้ ซา่ น ๑ ภกิ ษผุ กู้ ระสบั กระสา่ ย เพราะเวทนา ๑ ภกิ ษอุ าทกิ มั มกิ ะ ๑ เหลา่ น้ี ไมต่ อ้ งอาบตั ิ ภกิ ษอุ าทกิ มั มกิ ะ หมายถงึ ภกิ ษผุ กู้ อ่ ความเสยี หายจนเปน็ เหตใุ หท้ รงบญั ญตั สิ กิ ขาบทหา้ มไว้ ผเู้ ปน็ ตน้ บญั ญตั แิ หง่ สกิ ขาบทนน้ั ๆ กล่าวคือ เม่ือภิกษุรูปใดกระท�ำหรือประพฤติอย่างใดอย่างหน่ึง ชาวบ้านหรือภิกษุรูปน้ันมาสอบถาม ได้ความจริงแล้วหากทรง วินิจฉัยแล้วเห็นว่า การกระท�ำหรือความประพฤตินั้นไม่ดี ไม่ถูกต้อง น่าต�ำหนิ ไม่ควรท�ำ ไม่ควรประพฤติ ก็ทรงบัญญัติเป็น สกิ ขาบทห้ามไว้ ภกิ ษรุ ูปน้นั ถอื วา่ เป็น อาทกิ มั มิกะ ในเรอ่ื งน้นั อาทิกมั มกิ ะ ได้รบั การยกเวน้ ไมเ่ ปน็ อาบตั ิ คือ ไมถ่ อื ว่าเปน็ ผิด เพราะกระท�ำการนน้ั เม่อื ยังไมม่ ีสิกขาบทบัญญัตหิ า้ มไว้
การแพทย์ในพระไตรปิฎก 21 อนาปัตตวิ าร ภิกษุณีต่อไปนีไ้ ม่ต้องอาบัติ คือ ๑. ภกิ ษุณใี ชใ้ ห้บบี หรือนวดเพราะอาพาธเปน็ เหตุ ๒. ภกิ ษณุ ีผู้มเี หตุขดั ข้อง ๓. ภิกษณุ ีวกิ ลจรติ ๔. ภกิ ษุณตี ้นบัญญตั ิ ๓. พระไตรปิฎกเลม่ ที่ ๐๕ วนิ ัยปิฎกที่ ๐๕ มหาวรรค ภาค ๒ เภสัชชขนั ธกะ๘ ปญั จเภสชั ชกถาวา่ ดว้ ยทรงอนญุ าตเภสัช ๕ เร่อื งภกิ ษอุ าพาธในฤดสู ารท๙ [๒๖๐] สมัยน้นั พระผูม้ ีพระภาคประทบั อยู่ ณ พระเชตวนั อารามของอนาถบณิ ฑกิ เศรษฐี เขตกรุงสา วัตถี คร้ังนั้น ภิกษุท้ังหลายป่วยด้วยอาพาธท่ีเกิดในฤดูสารท๑๐ แม้ข้าวต้มท่ีดื่มเข้าไป ก็กลับอาเจียน ออกมา แมข้ า้ วสวยทฉ่ี นั แลว้ กก็ ลบั อาเจยี นออกมา ภกิ ษเุ หลา่ นน้ั ซบู ผอม หมองคลำ้� ซดี เหลอื ง เสน้ เอน็ ขน้ึ สะพรง่ั เพราะโรคนน้ั พระผมู้ พี ระภาคทอดพระเนตรเหน็ ภกิ ษเุ หลา่ นนั้ ซบู ผอม หมองคลำ�้ ซดี เหลอื ง เสน้ เอน็ ขนึ้ สะพรงั่ จงึ ตรสั ถามทา่ นพระอานนทว์ า่ “อานนท์ ทำ� ไมเวลาน้ี ภกิ ษทุ ง้ั หลายจงึ ซบู ผอม หมองคลำ�้ ซดี เหลอื ง เส้นเอ็นขน้ึ สะพรั่ง” พระอานนทก์ ราบทลู วา่ “เวลาน้ี ภกิ ษุทัง้ หลายปว่ ยด้วยอาพาธทเ่ี กิดในฤดูสารท แม้ ขา้ วตม้ ทด่ี มื่ เขา้ ไป กก็ ลบั อาเจยี นออกมา แมข้ า้ วสวยทฉ่ี นั แลว้ กก็ ลบั อาเจยี นออกมา ภกิ ษเุ หลา่ นน้ั จงึ ซบู ผอม หมองคล้�ำ ซีดเหลอื ง เส้นเอน็ ข้นึ สะพร่ังเพราะโรคนน้ั พระพทุ ธเจา้ ขา้ ” พระผมู้ พี ระภาคทรงหลกี เรน้ ประทบั ในทส่ี งดั ไดเ้ กดิ ความดำ� รใิ นพระทยั อยา่ งนว้ี า่ “เวลาน้ี ภกิ ษทุ งั้ หลาย ปว่ ยดว้ ยอาพาธทเี่ กดิ ในฤดสู ารท แมข้ า้ วตม้ ทดี่ มื่ เขา้ ไป กก็ ลบั อาเจยี นออกมา แมข้ า้ วสวยทฉ่ี นั แลว้ กก็ ลบั อาเจยี นออกมา ภกิ ษเุ หลา่ นนั้ ซบู ผอม หมองคลำ�้ ซดี เหลอื ง เสน้ เอน็ ขนึ้ สะพรงั่ เพราะโรคนนั้ เราจะอนญุ าต อะไรเปน็ ยาแกภ่ กิ ษทุ ง้ั หลาย ซง่ึ เปน็ ทงั้ ตวั ยาและชาวโลกถอื กนั วา่ เปน็ ยา ทง้ั จะใหป้ ระโยชนท์ างโภชนาหาร และไมเ่ ปน็ อาหารหยาบ” ลำ� ดบั นนั้ พระผมู้ พี ระภาค ไดท้ รงดำ� รดิ งั นวี้ า่ “เภสชั ๕”๑๑ น้ี ไดแ้ ก่ เนยใส เนยขน้ นำ�้ มนั นำ�้ ผง้ึ นำ้� ออ้ ย เปน็ ทงั้ ตวั ยา และชาวโลกถอื กนั วา่ เปน็ ยา ทงั้ ใหป้ ระโยชนท์ างโภชนาหาร และไมเ่ ปน็ อาหารหยาบ อยา่ กระนน้ั เลย เราพงึ อนญุ าตเภสชั ๕นแ้ี กภ่ กิ ษทุ ง้ั หลาย ใหร้ บั ประเคนในกาล แลว้ ฉนั ในกาล” ๘ ช่อื ขนั ธกะท่ี ๖ แหง่ คมั ภรี ม์ หาวรรควินัยปฎิ ก วา่ ด้วยเรือ่ งเภสัชคือ ยาบ�ำบดั โรค ตลอดจนเรอื่ งยาคู อทุ สิ สมงั สะ กับปิยะ อกปั ปิยะ และกาลกิ ๔ ๙ อาพาธในฤดูสารท คอื ไขเ้ หลอื ง (หรอื โรคดซี า่ น) ที่เกิดขน้ึ ในฤดสู ารท (ฤดใู บไม้ร่วง) เพราะในฤดูสารทนี้ ภิกษทุ ้งั หลายเปยี ก ชมุ่ ด้วยน้ำ� ฝนบา้ ง เดินยำ่� โคลนบ้าง แสงแดดแผดกล้าบา้ ง ท�ำให้น�้ำดขี องภิกษุทงั้ หลายขงั อยแู่ ตใ่ นถงุ นำ้� ดี (วิ.อ. ๓/๒๖๐/๑๗๓) ๑๐ พระพทุ ธโฆษาจารย์ ในพุทธศตวรรษที่ ๑๐ อธบิ ายโรคนวี้ ่า เปน็ โรคเกยี่ วกับปติ ตะ ซึง่ ก�ำเรบิ ในฤดใู บไม้รว่ ง กลา่ วว่า “ในชว่ ง เวลานั้น ภิกษุมสี ภาพร่างกายชื้นเพราะฝน และย�่ำไปบนโคลน บางคร้งั คราว ความร้อนกำ� เรบิ รนุ แรง ดว้ ยเหตนุ ้ีจึงทำ� ให้ปิตตะ เข้าไปอยใู่ นลำ� ไส้ (โกฏฐพั ภันตระ) ท่านกลา่ วเพ่มิ เติมว่า อาการแทรกซ้อนของอาหารไมย่ ่อย เปน็ สาเหตใุ ห้ลม (วาตะ) ก�ำเรบิ ” ๑๑ เนยใส คอื เนยท่ไี ดจ้ าก (นม) วัว แพะตวั เมีย หรือควาย เนยข้น คอื เนยที่ทำ� จากนมของสตั วช์ นิดเดยี วกัน น�ำ้ มนั คือ นำ�้ มัน จากเมลด็ งาหรอื เมลด็ ผกั กาด หรอื จากตน้ มธกุ ะ หรอื จากเมลด็ ละหงุ่ และจากไขมนั สตั ว์ นำ้� ผง้ึ ไดจ้ ากผง้ึ นำ�้ ออ้ ย คอื นำ�้ ตาลออ้ ย
การนวดในพระไตรปิฎกและสายธารแหง่ การนวดไทย 22 ครนั้ เวลาเย็น พระผู้มพี ระภาคเสดจ็ ออกจากท่ีหลกี เร้น ทรงแสดงธรรมีกถาเพราะเร่ืองนี้เป็นตน้ เหตุ แลว้ รบั ส่งั กับภกิ ษทุ ัง้ หลายวา่ “ภกิ ษทุ ้ังหลาย เราหลกี เรน้ อย่ใู นทสี่ งดั เกิดความคิดขึ้นในใจอย่างนีว้ า่ ‘เวลานี้ ภกิ ษทุ ง้ั หลายปว่ ยด้วยอาพาธทีเ่ กิดในฤดูสารท แมข้ ้าวตม้ ทด่ี มื่ เข้าไปก็กลบั อาเจยี นออกมา แม้ขา้ วสวยท่ี ฉนั แลว้ กก็ ลบั อาเจยี นออกมา ภกิ ษเุ หลา่ นน้ั ซบู ผอม หมองคลำ้� ซดี เหลอื ง เสน้ เอน็ ขน้ึ สะพรง่ั เพราะโรคนน้ั เราจะอนญุ าตอะไรเปน็ ยาแกภ่ กิ ษทุ ง้ั หลาย ซง่ึ เปน็ ทง้ั ตวั ยา และชาวโลกถอื กนั วา่ เปน็ ยา ทง้ั จะใหป้ ระโยชน์ ทางโภชนาหาร และไมเ่ ปน็ อาหารหยาบ ภกิ ษทุ ง้ั หลาย เรานน้ั ไดม้ คี วามคดิ ดงั นว้ี า่ ‘เภสชั ๕ น้ี ไดแ้ ก่ เนยใส เนยข้น น�ำ้ มัน น�้ำผ้ึง นำ�้ อ้อย เป็นท้งั ตัวยา และชาวโลกถือกนั วา่ เป็นยา ท้งั ให้ประโยชน์ทางโภชนาหาร และไมเ่ ป็นอาหารหยาบ เราพึงอนญุ าตเภสัช ๕ น้แี ก่ภิกษทุ งั้ หลาย ใหร้ ับประเคนในกาล แลว้ ฉันในกาล’ ภิกษทุ งั้ หลาย เราอนุญาตใหภ้ ิกษุทั้งหลายรบั ประเคนเภสัชทัง้ ๕ เหล่านั้นในกาล แลว้ ฉนั ในกาล” [๒๖๑] สมัยนัน้ ภิกษุทั้งหลายรับประเคนเภสัช ๕ ในกาล แลว้ ฉันในกาล โภชนาหารชนิดธรรมดาที่ ฉันประจ�ำวนั ของภิกษเุ หลา่ น้นั ยงั ไมอ่ าจยอ่ ย ไม่จ�ำต้องกล่าวถึงโภชนาหารชนิดทม่ี ีไขมัน ภิกษเุ หลา่ น้นั จงึ ปว่ ยดว้ ยอาพาธทเ่ี กดิ ในฤดสู ารทและเบอ่ื ภตั ตาหาร เพราะเหตุ ๒ ประการนน้ั จงึ ซบู ผอม หมองคลำ้� ซดี เหลอื ง เสน้ เอน็ ขนึ้ สะพรง่ั มากยงิ่ ขนึ้ พระผมู้ พี ระภาคทอดพระเนตรเหน็ ภกิ ษเุ หลา่ นน้ั จงึ ตรสั ถามทา่ นพระอานนท์ อกี วา่ “อานนท์ ทำ� ไมเวลาน้ี ภิกษทุ ัง้ หลายจงึ ซบู ผอม หมองคล�้ำ ซีดเหลือง เส้นเอ็นขึน้ สะพรงั่ ” ทา่ นพระ อานนท์กราบทูลว่า “เวลานี้ ภิกษุทั้งหลายรับประเคนเภสัช ๕ ในกาล แล้วฉันในกาล โภชนาหารชนิด ธรรมดาที่ฉันประจ�ำวันของภิกษุเหล่านั้นยังไม่อาจย่อย ไม่จ�ำต้องกล่าวถึงโภชนาหารชนิดท่ีมีไขมัน ภิกษุ ทงั้ หลายจงึ ปว่ ยดว้ ยอาพาธทเี่ กดิ ในฤดสู ารท และเบอื่ ภตั ตาหารเพราะเหตุ ๒ ประการนนั้ จงึ ซบู ผอม หมอง คล้ำ� ซีดเหลอื ง เสน้ เอ็นขึ้นสะพรง่ั มากย่งิ ขน้ึ พระพทุ ธเจ้าขา้ ” ลำ� ดบั นนั้ พระผมู้ พี ระภาคทรงแสดงธรรมกี ถาเพราะเรอื่ งนเ้ี ปน็ ตน้ เหตุ รบั สงั่ กบั ภกิ ษทุ ง้ั หลายวา่ “ภกิ ษุ ทงั้ หลาย เราอนญุ าตให้รับประเคนเภสัช ๕ ฉนั ได้ทัง้ ในกาล และในเวลาวกิ าล” เรือ่ งน�ำ้ มันเหลวทเี่ ป็นยา [๒๖๒] สมยั นนั้ ภกิ ษทุ ง้ั หลายผเู้ ปน็ ไขต้ อ้ งการมนั เหลวทเ่ี ปน็ ยา ภกิ ษทุ งั้ หลายจงึ นำ� เรอ่ื งนไ้ี ปกราบทลู พระผู้มพี ระภาคใหท้ รงทราบ พระผมู้ ีพระภาครบั สั่งวา่ “ภิกษุทัง้ หลาย เราอนุญาตมนั เหลวทเ่ี ป็นยา คือ มันเหลวหมี มันเหลวปลา มนั เหลวปลาฉลาม๑๒ มนั เหลวหมู มันเหลวลา ทรี่ บั ประเคนในกาล เจียวในกาล กรองในกาลแลว้ ฉนั อยา่ งนำ�้ มนั ภกิ ษทุ งั้ หลาย ถา้ ภกิ ษรุ บั ประเคนมนั เหลวในเวลาวกิ าล เจยี วในเวลาวกิ าล กรองในเวลาวกิ าลแลว้ ถา้ ภิกษุฉนั มนั เหลวนนั้ ต้องอาบตั ิทกุ กฎ ๓ ตัว ภกิ ษทุ ัง้ หลาย ถ้าภิกษุรับประเคน มนั เหลวในกาล เจียวในเวลาวกิ าล กรองในเวลาวกิ าลแลว้ ถา้ ภิกษุฉนั มนั เหลวน้นั ตอ้ งอาบตั ทิ ุกกฏ ๒ ตวั ภิกษทุ ั้งหลาย ถา้ ภกิ ษุรบั ประเคนมันเหลวในกาล เจียวในกาล กรองในเวลาวกิ าลแล้ว ถ้าภกิ ษุฉนั มนั เหลว นั้น ต้องอาบตั ิทกุ กฎ ๑ ตวั ภิกษทุ ง้ั หลาย ถา้ ภิกษรุ บั ประเคนมันเหลวในกาล เจียวในกาล กรองในกาล แลว้ ถา้ ภกิ ษุฉนั มันเหลวนน้ั ไมต่ อ้ งอาบัติ” ๑๒ บางคมั ภีร์ว่า เป็นมนั เหลวจากจระเข้
การแพทย์ในพระไตรปฎิ ก 23 เรื่องรากไมท้ ีเ่ ปน็ ยา (มูลาทิเภสัชชกถา) [๒๖๓] สมัยน้นั ภกิ ษุทั้งหลายผู้เปน็ ไข้ ตอ้ งการรากไมท้ ี่เป็นยา ภกิ ษุทง้ั หลายจงึ น�ำเร่อื งน้ไี ปกราบทลู พระผมู้ พี ระภาคใหท้ รงทราบ พระผ้มู ีพระภาครับสง่ั ว่า “ภิกษทุ ง้ั หลาย เราอนุญาตรากไม้ที่เปน็ ยา๑๓ คือ ขมนิ้ ขงิ สด วา่ นนำ้� วา่ นเปราะ อตุ พติ ขา่ แฝก แหว้ หมู หรอื รากไมท้ เ่ี ปน็ ยาชนดิ อน่ื ทม่ี อี ยู่ ซงึ่ ไมใ่ ชข่ องเคย้ี ว ของฉนั รบั ประเคนแลว้ เกบ็ ไวไ้ ดจ้ นตลอดชีพ เม่อื มเี หตุจ�ำเปน็ ภกิ ษจุ งึ ฉนั ได้ เมือ่ ไมม่ เี หตจุ �ำเปน็ ภิกษฉุ ัน ต้องอาบตั ทิ ุกกฎ” เรือ่ งรากไม้บดที่เปน็ ยา สมยั นนั้ ภิกษุทง้ั หลายผเู้ ปน็ ไข้ ต้องการรากไมท้ ่ีบดเป็นยา ภกิ ษทุ งั้ หลายจงึ น�ำเรอื่ งนไ้ี ปกราบทลู พระ ผูม้ พี ระภาคใหท้ รงทราบ พระผ้มู ีพระภาครับสงั่ วา่ “ภิกษทุ ัง้ หลาย เราอนุญาตหนิ บด ลูกหนิ บด๑๔” เรื่องน�ำ้ ฝาดท่ีเปน็ ยา สมยั น้ัน ภิกษทุ งั้ หลายผเู้ ป็นไข้ ต้องการน้ำ� ฝาดท่เี ป็นยา ภกิ ษทุ ง้ั หลายจึงนำ� เร่ืองน้ีไปกราบทูลพระผู้มี พระภาคให้ทรงทราบ พระผู้มีพระภาครับสั่งวา่ “ภิกษทุ ัง้ หลาย เราอนุญาตน้ำ� ฝาดทเี่ ป็นยา คือ นำ�้ ฝาด สะเดา น้ำ� ฝาดโมกมนั น้ำ� ฝาดขกี้ า นำ�้ ฝาดบอระเพ็ด น�้ำฝาดกระถินพมิ าน หรอื นำ�้ ฝาดที่เปน็ ยาชนดิ อน่ื ที่ มอี ยู่ ซงึ่ ไม่ใช่ของเคย้ี วของฉนั รับประเคนแล้วเกบ็ ไวไ้ ดจ้ นตลอดชีพ เมื่อมเี หตจุ ำ� เป็น ภกิ ษจุ งึ ฉันได้ เมื่อ ไม่มเี หตุจำ� เปน็ ภกิ ษฉุ ัน ตอ้ งอาบตั ทิ ุกกฎ” เรื่องใบไม้ทเ่ี ป็นยา สมยั นนั้ ภกิ ษทุ งั้ หลายผเู้ ปน็ ไขต้ อ้ งการใบไมท้ เ่ี ปน็ ยา ภกิ ษทุ ง้ั หลายจงึ นำ� เรอื่ งนไ้ี ปกราบทลู พระผมู้ พี ระ ภาคให้ทรงทราบ พระผู้มีพระภาครับสั่งว่า “ภิกษุท้ังหลาย เราอนุญาตใบไม้ที่เป็นยา คือ ใบสะเดา ใบ โมกมัน ใบขก้ี า ใบแมงลกั ใบฝา้ ย หรือ ใบไม้ทเี่ ป็นยาชนิดอ่ืนทีม่ อี ยู่ ซึ่งไม่ใชข่ องเค้ียวของฉนั รบั ประเคน แล้วเก็บไว้ได้จนตลอดชีพ เมือ่ มีเหตจุ ำ� เป็น ภิกษจุ งึ ฉนั ได้ เมื่อไมม่ ีเหตุจำ� เปน็ ภกิ ษุฉัน ต้องอาบตั ทิ ุกกฎ” เรื่องผลไมท้ ี่เปน็ ยา สมัยนั้น ภิกษุทั้งหลายผู้เป็นไข้ต้องการผลไม้ที่เป็นยา ภิกษุทั้งหลายจึงน�ำเร่ืองนี้ไปกราบทูลพระผู้มี พระภาคให้ทรงทราบ พระผู้มพี ระภาครบั สั่งวา่ “ภิกษุทงั้ หลาย เราอนญุ าตผลไมท้ ี่เปน็ ยา คือ ลกู พลิ งั คะ ดปี ลี พรกิ สมอไทย สมอพิเภก มะขามปอ้ ม ผลโกฐ๑๕ หรือ ผลไม้ท่เี ปน็ ยาชนิดอืน่ ทมี่ ีอยู่ ซ่งึ ไมใ่ ชข่ องเค้ียว ของฉัน รับประเคนแล้วเก็บไว้ไดจ้ นตลอดชพี เมือ่ มีเหตุจ�ำเปน็ ภกิ ษุจึงฉนั ได้ เมอ่ื ไมม่ ีเหตุจ�ำเป็น ภิกษฉุ นั ตอ้ งอาบตั ิทกุ กฎ” ๑๓ ปจั จุบนั ยาตม้ รากไมเ้ หลา่ นี้ ใชเ้ ปน็ ยาแก้ไข้ และโรคเกี่ยวกบั กระเพาะอาหารในศรีลงั กา ๑๔ พระพุทธเจา้ ทรงอนุญาตใหใ้ ชห้ ินบดสองชนิดในการเตรยี มรากยา หินชนิดหนึง่ มขี นาดใหญ่ กับอีกชนดิ หนงึ่ มขี นาดเล็ก ๑๕ บางคัมภีร์ว่า ผลสม้ ก้งุ ผลดปี ลี ผลพรกิ ไทยดำ� ผลสมอพเิ ภก ผลมะขามป้อม และโคฐผล
การนวดในพระไตรปฎิ กและสายธารแห่งการนวดไทย 24 เรื่องยางไมท้ เ่ี ป็นยา สมัยน้ัน ภิกษุท้ังหลายผู้เป็นไข้ต้องการยางไม้ที่เป็นยา ภิกษุท้ังหลายจึงน�ำเรื่องน้ีไปกราบทูลพระผู้มี พระภาคให้ทรงทราบ พระผมู้ พี ระภาครบั ส่ังว่า “ภกิ ษทุ ้งั หลาย เราอนญุ าตยางไม้ทเ่ี ปน็ ยา คือ หงิ คุ ยาง เคย่ี วจากหงิ คุ ยางเคยี่ วจากเปลอื กหงิ คุ ยางจากยอดตนั ตกะ ยางจากใบตนั ตกะ ยางเคย่ี วจากกา้ นตนั ตกะ ก�ำยาน หรือ ยางท่ีเป็นยาชนิดอ่ืนที่มีอยู่ ซ่ึงไม่ใช่ของเค้ียวของฉัน รับประเคนแล้วเก็บไว้ได้จนตลอดชีพ เม่ือมีเหตุจำ� เป็น ภกิ ษุจงึ ฉันได้ เมื่อไม่มีเหตุจำ� เป็น ภิกษฉุ นั ตอ้ งอาบตั ิทกุ กฎ” เร่อื งเกลอื ที่เปน็ ยา สมยั น้นั ภกิ ษุทงั้ หลายผูเ้ ปน็ ไข้ ต้องการเกลือทเ่ี ป็นยา ภกิ ษทุ ง้ั หลายจึงน�ำเรื่องนีไ้ ปกราบทลู พระผมู้ ี พระภาคให้ทรงทราบ พระผ้มู พี ระภาครบั สั่งวา่ “ภกิ ษทุ ง้ั หลาย เราอนุญาตเกลือท่เี ปน็ ยา คือ เกลอื สมุทร เกลอื ดำ� เกลอื สนิ เธาว์ เกลอื ดนิ โปง่ เกลอื หงุ หรอื เกลอื ทเี่ ปน็ ยาชนดิ อน่ื ทม่ี อี ยู่ ซง่ึ ไมใ่ ชข่ องเคยี้ วของฉนั รบั ประเคนแลว้ เก็บไวไ้ ดจ้ นตลอดชพี เม่อื มเี หตุจำ� เป็น ภกิ ษุจงึ ฉนั ได้ เมอ่ื ไม่มีเหตจุ �ำเป็น ภิกษฉุ นั ตอ้ งอาบัติ ทุกกฎ” เรอื่ งมลู โค ดนิ เหนยี ว กากนำ�้ ยอ้ ม ดบั กล่ินตวั [๒๖๔] สมัยนัน้ ท่านพระเพลฏั ฐสีสะผู้เป็นพระอุปชั ฌายข์ องทา่ นพระอานนทเ์ ป็นโรคฝีดาษ จีวรติด กายเพราะนำ�้ เหลอื ง พวกภกิ ษใุ ชน้ ำ้� ชบุ ผา้ เหลา่ นนั้ แลว้ คอ่ ยๆ ดงึ ออกมา พระผมู้ พี ระภาคเสดจ็ จารกิ ไปตาม เสนาสนะ ไดท้ อดพระเนตรเหน็ ภกิ ษเุ หลา่ นนั้ กำ� ลงั ใชน้ ำ้� ชบุ ผา้ แลว้ คอ่ ยๆ ดงึ ออกมา จงึ เสดจ็ เขา้ ไปหา ตรสั ถามว่า “ภกิ ษทุ ้ังหลาย ภิกษุนเี้ ป็นโรคอะไร” ภิกษทุ ง้ั หลายกราบทลู วา่ “ภิกษุนเ้ี ปน็ โรคฝดี าษ จวี รติดกาย เพราะนำ�้ เหลอื ง พวกขา้ พระองคใ์ ชน้ ำ้� ชบุ ผา้ แลว้ คอ่ ย ๆ ดงึ ออกมา พระพทุ ธเจา้ ขา้ ” ลำ� ดบั นนั้ พระผมู้ พี ระ ภาคทรงแสดงธรรมีกถาเพราะเรอ่ื งนเี้ ปน็ ต้นเหตุ รบั สัง่ กับภกิ ษุทงั้ หลายว่า “ภิกษุทัง้ หลาย เราอนญุ าตยา ผงสำ� หรับภกิ ษผุ เู้ ปน็ หดิ ตมุ่ พพุ อง ฝดี าษ หรือ มีกลิ่นตัวแรง มลู โค ดนิ เหนยี ว กากน�้ำยอ้ ม สำ� หรบั ภิกษผุ ู้ ไมเ่ ปน็ ไข้ ภกิ ษทุ งั้ หลาย เราอนญุ าตครกและสาก” เรอ่ื งยาผงและเคร่ืองรอ่ นยา สมัยนน้ั ภกิ ษทุ ัง้ หลายผ้เู ป็นไข้ ตอ้ งการยาผงที่ร่อนแลว้ ภิกษทุ ั้งหลายจงึ น�ำเรอ่ื งนี้ไปกราบทลู พระผ้มู ี พระภาคใหท้ รงทราบ พระผมู้ พี ระภาครบั สงั่ วา่ “ภกิ ษทุ งั้ หลาย เราอนญุ าตเครอ่ื งรอ่ นยาผง” ภกิ ษทุ งั้ หลาย ผู้เป็นไข้ตอ้ งการยาผงละเอยี ด ภิกษุทงั้ หลายจงึ นำ� เรอ่ื งน้ีไปกราบทลู พระผูม้ พี ระภาคใหท้ รงทราบ พระผู้มี พระภาครับสง่ั ว่า “ภกิ ษุทงั้ หลาย เราอนญุ าตผา้ รอ่ นยา”
การแพทยใ์ นพระไตรปฎิ ก 25 เร่ืองยาหยอดตา [๒๖๕] สมยั น้ัน ภกิ ษรุ ูปหนง่ึ อาพาธเปน็ โรคตา พวกภิกษตุ อ้ งพยงุ ภกิ ษนุ ั้นไปให้ถ่ายอจุ จาระบา้ ง ถ่าย ปัสสาวะบ้าง พระผู้มีพระภาคเสด็จจาริกไปตามเสนาสนะ ทอดพระเนตรเห็นพวกภิกษุก�ำลังพยุงภกิ ษนุ ั้น ไปใหถ้ ่ายอุจจาระบ้าง ถา่ ยปสั สาวะบ้าง จงึ เสด็จเขา้ ไปหา แล้วตรสั ถามว่า “ภกิ ษทุ ัง้ หลาย ภิกษุนเ้ี ปน็ โรค อะไร” พวกภกิ ษกุ ราบทลู วา่ “ทา่ นรปู นอ้ี าพาธเปน็ โรคตา พวกขา้ พระองคค์ อยพยงุ ทา่ นไปใหถ้ า่ ยอจุ จาระ บา้ ง ถา่ ยปสั สาวะบา้ ง พระพทุ ธเจา้ ขา้ ” ลำ� ดบั นน้ั พระผมู้ พี ระภาคทรงแสดงธรรมกี ถาเพราะเรอื่ งนเี้ ปน็ ตน้ เหตุ แล้วรับสงั่ กบั ภกิ ษุท้งั หลายวา่ “ภิกษุทัง้ หลาย เราอนุญาตยาหยอดตา อันไดแ้ ก่ ยาทาตาท่ปี รุงด้วย เคร่ืองปรุงหลายอย่าง ยาป้ายตาที่ท�ำด้วยเคร่ืองปรุงต่างๆ ยาทาตาท่ีเกิดในกระแสน้�ำ หรดาลกลีบทอง เขม่าไฟ” เรื่องเคร่อื งบดยาผสมยาตา ภิกษทุ ัง้ หลายต้องการเครอ่ื งบดยา ผสมยาตา ภิกษุทงั้ หลายจึงน�ำเรอ่ื งนไ้ี ปกราบทูลพระผมู้ พี ระภาค ใหท้ รงทราบ พระผมู้ พี ระภาครับสั่งวา่ “ภิกษทุ ้งั หลาย เราอนญุ าต ไมจ้ นั ทน์ กฤษณา กะลัมพัก ใบเฉยี ง แหว้ หม”ู เรอื่ งไม้ป้ายยาตา สมยั นน้ั ภกิ ษทุ ง้ั หลายใชน้ ว้ิ มอื ปา้ ยทาตา นยั นต์ าชำ�้ ภกิ ษทุ ง้ั หลายจงึ นำ� เรอื่ งนไี้ ปกราบทลู พระผมู้ พี ระ ภาคให้ทรงทราบ พระผมู้ ีพระภาครับสง่ั ว่า “ภกิ ษทุ ้งั หลาย เราอนญุ าตไมป้ ้ายยาตา” เร่ืองน้�ำมันทาศรี ษะ [๒๖๖] สมยั น้นั ท่านพระปิลินทวจั ฉะปวดรอ้ นที่ศรี ษะ ภกิ ษทุ ง้ั หลายจึงน�ำเรอื่ งนไ้ี ปกราบทลู พระผู้มี พระภาคใหท้ รงทราบ พระผ้มู ีพระภาครบั ส่งั ว่า “ภกิ ษุท้ังหลาย เราอนุญาตน�้ำมันทาศีรษะ” เรื่องนตั ถย์ุ า พระปลิ นั ทวจั ฉะยงั ไมห่ ายโรคปวดรอ้ นทศี่ รี ษะ ภกิ ษทุ งั้ หลายจงึ นำ� เรอื่ งนไ้ี ปกราบทลู พระผมู้ พี ระภาค ใหท้ รงทราบ พระผู้มีพระภาครับสั่งวา่ “ภิกษุทงั้ หลาย เราอนญุ าตการนัตถ”ุ์ เร่อื งสดู ควัน พระปลิ นั ทวจั ฉะยงั ไมห่ ายโรคปวดศรี ษะ ภกิ ษทุ งั้ หลายจงึ นำ� เรอ่ื งนไ้ี ปกราบทลู พระผมู้ พี ระภาคใหท้ รง ทราบ พระผมู้ พี ระภาครับสงั่ ว่า “ภิกษทุ ั้งหลาย เราอนญุ าตให้สดู ควนั ”
การนวดในพระไตรปิฎกและสายธารแห่งการนวดไทย 26 เรอ่ื งนำ�้ มนั หุง [๒๖๗] สมัยน้ัน ท่านพระปิลินทวัจฉะอาพาธเป็นโรคลม พวกแพทย์กล่าวอย่างนี้ว่า “ต้องหุงน้�ำมัน ถวาย” ภกิ ษทุ ง้ั หลายจงึ นำ� เรอ่ื งนไ้ี ปกราบทลู พระผมู้ พี ระภาคใหท้ รงทราบ พระผมู้ พี ระภาครบั สง่ั วา่ “ภกิ ษุ ท้งั หลาย เราอนญุ าตนำ�้ มันทห่ี ุง” เรอื่ งน�ำ้ เมาเจือในน�ำ้ มันหงุ แพทยต์ อ้ งเจอื นำ�้ เมาในนำ�้ มนั ทหี่ งุ ภกิ ษทุ งั้ หลายจงึ นำ� เรอื่ งนไ้ี ปกราบทลู พระผมู้ พี ระภาคใหท้ รงทราบ พระผูม้ ีพระภาครับสั่งว่า “ภกิ ษุท้ังหลาย เราอนุญาตให้เจือน�้ำเมาลงในน้ำ� มนั ทหี่ งุ ได้” เรื่องน้ำ� มันเจือด้วยน�้ำเมามากเกนิ ไป สมัยนน้ั พวกภิกษฉุ พั พคั คยี ์หงุ นำ้� มนั เจือนำ้� เมาลงไปเกินขนาด ด่มื น้�ำมันน้ันแล้วเมา ภิกษุทง้ั หลายจึง นำ� เรอ่ื งนไี้ ปกราบทลู พระผมู้ พี ระภาคใหท้ รงทราบ พระผมู้ พี ระภาครบั สง่ั วา่ “ภกิ ษทุ งั้ หลาย ภกิ ษไุ มพ่ งึ ดม่ื นำ�้ มนั เจือน้ำ� เมาลงไปเกินขนาด รปู ใดดม่ื พึงปรบั อาบตั ิตามธรรม ภกิ ษทุ ั้งหลาย เราอนญุ าตให้ ดืม่ น�ำ้ มนั เจือด้วยน้�ำเมาชนิดท่ีไม่มีสี ไมม่ ีกลนิ่ ไมม่ ีรสน�ำ้ เมา” เร่ืองทรงอนุญาตนำ้� มันเจอื นำ�้ เมามากใช้เป็นยาทา สมัยนัน้ น้�ำมนั ทภ่ี กิ ษุหงุ เจอื น�้ำเมาลงไปเกนิ ขนาดมาก ล�ำดบั นั้น ภิกษทุ ง้ั หลายได้ปรึกษากันดังนว้ี า่ “พวกเราจะปฏบิ ัตใิ นน้�ำมนั เจือนำ�้ เมาลงไปเกินขนาดน้ี อย่างไร” จึงนำ� เรือ่ งนไี้ ปกราบทลู พระผมู้ พี ระภาค ให้ทรงทราบ พระผ้มู พี ระภาครบั สง่ั ว่า “ภิกษุท้งั หลาย เราอนุญาตให้เกบ็ ไว้เป็นยาทา” เรอ่ื งลกั จัน่ ๑๖ สมัยน้ัน ท่านพระปิลินทวัจฉะหุงน้�ำมันไว้มาก ไม่มีภาชนะบรรจุน้�ำมัน ภิกษุท้ังหลายจึงน�ำเร่ืองนี้ไป กราบทลู พระผมู้ พี ระภาคใหท้ รงทราบ พระผมู้ พี ระภาครบั สง่ั วา่ “ภกิ ษทุ งั้ หลาย เราอนญุ าตลกั จน่ั ๓ ชนดิ คอื ลักจ่ันทำ� ด้วยโลหะ ลกั จ่ันทำ� ดว้ ยไม้ ลกั จ่ันทำ� ดว้ ยผลไม”้ เรอื่ งการรมเหงื่อ สมยั นนั้ ทา่ นพระปลิ นิ ทวจั ฉะอาพาธเปน็ โรคลมตามอวยั วะ ภกิ ษทุ ง้ั หลายจงึ นำ� เรอื่ งนไ้ี ปกราบทลู พระ ผูม้ พี ระภาคให้ทรงทราบ พระผู้มพี ระภาครบั สง่ั วา่ “ภกิ ษุท้งั หลาย เราอนุญาตการเข้ากระโจมรมเหงื่อ” ๑๖ น้าํ เต้าหรือภาชนะดินรปู คลา้ ยนา้ํ เตา้ สาํ หรบั บรรจุน้ําในเวลาเดินทางอยา่ งที่พระธุดงค์ใช้
การแพทย์ในพระไตรปิฎก 27 เรื่องการรมด้วยใบไม้ ท่านพระปลิ ันทวจั ฉะกย็ ังไม่หายโรคลม ภิกษทุ ง้ั หลายจงึ นำ� เรือ่ งนี้ไปกราบทูลพระผู้มีพระภาคให้ทรง ทราบ พระผมู้ พี ระภาครบั ส่ังว่า “ภิกษุทั้งหลาย เราอนญุ าตการรมด้วยใบไม”้ เรื่องรมใหญ๑่ ๗ ทา่ นพระปลิ ันทวจั ฉะก็ยังไม่หายโรคลม ภิกษุทั้งหลายจงึ น�ำเรื่องนไี้ ปกราบทูลพระผมู้ พี ระภาคใหท้ รง ทราบ พระผู้มพี ระภาครบั ส่ังวา่ “ภิกษุท้งั หลาย เราอนุญาตการรมใหญ”่ เรือ่ งรมดว้ ยใบไมต้ ่างๆ๑๘ ท่านพระปลิ ันทวจั ฉะกย็ งั ไมห่ ายโรคลม ภกิ ษุทั้งหลายจึงน�ำเรือ่ งน้ไี ปกราบทูลพระผมู้ พี ระภาคให้ทรง ทราบ พระผู้มีพระภาครบั สั่งวา่ “ภกิ ษุทง้ั หลาย เราอนญุ าตน้�ำตม้ ใบไม้ชนิดต่างๆ” เรื่องอา่ งน้ำ� ท่านพระปิลันทวัจฉะก็ยงั ไมห่ ายโรคลม ภิกษทุ ง้ั หลายจงึ น�ำเรอ่ื งนี้ไปกราบทลู พระผ้มู ีพระภาคให้ทรง ทราบ พระผู้มพี ระภาครับสงั่ ว่า “ภิกษุทั้งหลาย เราอนญุ าตอ่างน้�ำ” เร่ืองใช้เขาสัตวก์ อกระบายโลหติ ออก๑๙ สมยั นนั้ ทา่ นพระปลิ นิ ทวจั ฉะอาพาธเปน็ โรคลม ขดั ยอกตามขอ้ ภกิ ษทุ ง้ั หลายจงึ นำ� เรอื่ งนไี้ ปกราบทลู พระผู้มีพระภาคใหท้ รงทราบ พระผูม้ ีพระภาครับสั่งวา่ “ภกิ ษุทงั้ หลาย เราอนุญาตให้ระบายโลหติ ออก” เรอื่ งยาทาเทา้ สมยั นนั้ ทา่ นพระปลิ นิ ทวจั ฉะเทา้ แตก๒๐ ภกิ ษทุ งั้ หลายจงึ นำ� เรอื่ งนไี้ ปกราบทลู พระผมู้ พี ระภาคใหท้ รง ทราบ พระผมู้ ีพระภาครบั ส่ังว่า “ภิกษทุ ง้ั หลาย เราอนุญาตยาทาเทา้ ” เรื่องปรงุ นำ้� มนั ทาเท้า ท่านพระปิลันทวัจฉะยงั ไม่หายโรคเทา้ แตก ภกิ ษุทงั้ หลายจึงนำ� เรือ่ งนี้ไปกราบทูลพระผมู้ ีพระภาคให้ ทรงทราบพระผมู้ ีพระภาครบั สงั่ ว่า “ภิกษทุ ั้งหลาย เราอนญุ าตให้ปรงุ น�ำ้ มนั ทาเทา้ ๒๑” ๑๗ การรมใหญ่ หมายถงึ เอาถา่ นเพลงิ ใสห่ ลุมจนเตม็ เอาดนิ ร่วนและทรายเปน็ ต้นปิดไว้ ลาดใบไมน้ านาชนดิ ทบั ลงไป เอาน้ำ� มัน ทาตวั นอนบนหลุมนน้ั รมร่างกายโดยการพลกิ กลับไปมา (ว.ิ อ. ๓/๒๖๗/๑๗๔-๑๗๕) ๑๘ น�ำ้ ตม้ ใบไมช้ นดิ ต่างๆ คือ น�้ำต้มใบไม้นานาชนดิ จนเดอื ดแล้ว ใช้ใบไม้และนำ�้ ราดรม (ว.ิ อ. ๓/๒๖๗/๑๗๕) ๑๙ การดูดเลอื ด หนอง หรอื ลมออกจากรา่ งกาย หรอื ดูดเอาน�ำ้ นมออกจากเต้านม โดยใช้ถ้วยกระบอก ฯลฯ เป็นเครือ่ งดูด วธิ ี ดูดใหก้ ดปากถ้วย หรือกระบอกแนบครอบลงบนแผล หนองแล้วยกขน้ึ ทำ� บอ่ ยๆ จนดูดเลอื ดทีเ่ สยี หรอื หนองออกหมด ในที่น้ี ใช้เขาสัตวก์ อก ๒๐ บางคมั ภีรว์ า่ ส้นเท้าแตก ๒๑ บางคมั ภรี เ์ ช่ือว่า เป็นการนวดเทา้ ดว้ ยน้�ำมนั นา่ จะมาจากประเพณีเกา่ แกข่ องอินเดียในการเช้ือเชิญแขกหรือคนแปลกหน้า เข้ามาในบ้าน โดยมีการตระเตรียมที่น่งั ให้กบั แขกกอ่ น จากนน้ั จงึ ล้างเทา้ ด้วยนำ�้ ทมี่ กี ล่ินหอม และนวดเทา้ ให้แขกดว้ ยน�้ำมันงาท่ี ผ่านการปรุง ๑๐๐ คร้งั
การนวดในพระไตรปิฎกและสายธารแห่งการนวดไทย 28 เรื่องภกิ ษุอาพาธเป็นฝี สมยั นน้ั ภกิ ษรุ ปู หนง่ึ อาพาธเปน็ ฝี ภกิ ษทุ งั้ หลายจงึ นำ� เรอ่ื งนไี้ ปกราบทลู พระผมู้ พี ระภาคใหท้ รงทราบ พระผ้มู พี ระภาครบั สั่งว่า “ภกิ ษทุ งั้ หลาย เราอนุญาตการผา่ ตัด” เร่ืองนำ้� ฝาด ภิกษุน้ันต้องการน�้ำฝาด ภิกษุท้ังหลายจึงน�ำเร่ืองนี้ไปกราบทูลพระผู้มีพระภาคให้ทรงทราบ พระผู้มี พระภาครับส่งั ว่า “ภิกษุทงั้ หลาย เราอนญุ าตน�้ำฝาด” เร่อื งงาบด ภกิ ษนุ น้ั ตอ้ งการงาบด ภกิ ษทุ งั้ หลายจงึ นำ� เรอ่ื งนไ้ี ปกราบทลู พระผมู้ พี ระภาคใหท้ รงทราบ พระผมู้ พี ระ ภาครบั ส่งั ว่า “ภกิ ษุทัง้ หลาย เราอนุญาตงาบด” เรอื่ งยาพอก ภกิ ษุนั้นต้องการยาพอก ภกิ ษทุ ้ังหลายจงึ นำ� เรื่องน้ไี ปกราบทูลพระผูม้ ีพระภาคใหท้ รงทราบ พระผู้มี พระภาครับส่ังว่า “ภกิ ษทุ ั้งหลาย เราอนญุ าตยาพอก” เร่อื งผา้ พันแผล ภกิ ษนุ น้ั ตอ้ งการผา้ พนั แผล ภกิ ษทุ ง้ั หลายจงึ นำ� เรอื่ งนไ้ี ปกราบทลู พระผมู้ พี ระภาคใหท้ รงทราบ พระผู้ มพี ระภาครบั ส่ังวา่ “ภกิ ษุทั้งหลาย เราอนญุ าตผา้ พนั แผล” เรือ่ งชะแผลดว้ ยน้�ำแปง้ เมล็ดผักกาด แผลคัน ภิกษทุ ัง้ หลายจงึ นำ� เร่ืองนไี้ ปกราบทลู พระผูม้ ีพระภาคใหท้ รงทราบ พระผมู้ พี ระภาครบั ส่งั วา่ “ภกิ ษทุ ้ังหลาย เราอนุญาตใหช้ ะดว้ ยน�ำ้ แป้งเมลด็ ผกั กาด” เรอ่ื งรมแผลด้วยควนั แผลชน้ื ภกิ ษทุ ง้ั หลายจงึ นำ� เรอ่ื งนไ้ี ปกราบทลู พระผมู้ พี ระภาคใหท้ รงทราบ พระผมู้ พี ระภาครบั สงั่ วา่ “ภกิ ษุ ทงั้ หลาย เราอนุญาตใหร้ มควัน” เร่อื งใช้ก้อนเกลอื ตดั เนอื้ งอก เน้ืองอกย่ืนออกมา ภิกษุท้ังหลายจึงน�ำเร่ืองน้ีไปกราบทูลพระผู้มีพระภาคให้ทรงทราบ พระผู้มีพระ ภาครับสั่งวา่ “ภกิ ษทุ ง้ั หลาย เราอนุญาตใหต้ ัดด้วยก้อนเกลือ”
การแพทยใ์ นพระไตรปิฎก 29 เรื่องนำ้� มนั ทาแผล แผลไมง่ อก ภกิ ษทุ งั้ หลายจงึ นำ� เรอื่ งนไ้ี ปกราบทลู พระผมู้ พี ระภาคใหท้ รงทราบ พระผมู้ พี ระภาครบั สงั่ วา่ “ภกิ ษุทง้ั หลาย เราอนุญาตนำ�้ มนั ทาแผล” เร่อื งผ้าปิดกนั น�ำ้ มนั ไหลเยิม้ น�้ำมันไหลเย้ิม ภิกษุท้ังหลายจึงน�ำเรื่องน้ีไปกราบทูลพระผู้มีพระภาคให้ทรงทราบ พระผู้มีพระภาค รับส่ังว่า “ภกิ ษุท้ังหลาย เราอนุญาตผ้าเกา่ สำ� หรับซับน้ำ� มันรกั ษาแผลทกุ ชนดิ ” เรอื่ งยามหาวกิ ัฏ ๔ อย่าง [๒๖๘] สมยั นน้ั ภกิ ษรุ ปู หนง่ึ ถกู งกู ดั ภกิ ษทุ ง้ั หลายจงึ นำ� เรอ่ื งนไ้ี ปกราบทลู พระผมู้ พี ระภาคใหท้ รงทราบ พระผู้มพี ระภาครบั สัง่ วา่ “ภิกษทุ ้งั หลาย เราอนญุ าตใหใ้ ชย้ ามหาวิกฏั ๔ อย่าง คือ คูถ มูตร เถา้ ดนิ ” เรอื่ งรบั ประเคน สมัยน้ัน ภิกษุทั้งหลายได้ปรึกษากันดังนี้ว่า “ยามหาวิกัฏไม่ต้องรับประเคนหรือต้องรับประเคน” ภกิ ษทุ ง้ั หลายจงึ นำ� เรอ่ื งนไ้ี ปกราบทลู พระผมู้ พี ระภาคใหท้ รงทราบ พระผมู้ พี ระภาครบั สงั่ วา่ “ภกิ ษทุ ง้ั หลาย เราอนญุ าตใหร้ บั ประเคนเมือ่ มกี ัปปิยการก ถา้ ไมม่ ีกปั ปิยการก ใหห้ ยบิ เองได”้ เรอ่ื งน�ำ้ ดมื่ เจือคถู สมัยนัน้ ภิกษรุ ปู หน่งึ ดืม่ ยาพิษเขา้ ไป ภกิ ษุท้งั หลายจึงน�ำเร่อื งน้ีไปกราบทูลพระผมู้ พี ระภาคให้ทรงทราบ พระผู้มพี ระภาครับส่ังว่า “ภกิ ษุทงั้ หลาย เราอนุญาตใหด้ ื่มน้ำ� เจอื คถู ” สมัยนน้ั ภิกษุทั้งหลายได้ปรึกษากันดังนวี้ า่ “คถู ไม่ต้องรบั ประเคน หรือจะตอ้ งรบั ประเคน” ภิกษทุ ัง้ หลายจงึ น�ำเรื่องนไี้ ปกราบทลู พระผมู้ พี ระภาคใหท้ รงทราบ พระผู้มีพระภาครบั สั่งวา่ “ภิกษุทั้งหลาย เรา อนุญาตคูถท่ภี ิกษุหยิบไว้ขณะกำ� ลงั ถา่ ยนั่นแหละเป็นอนั ประเคนแลว้ จงึ ไม่ตอ้ งรับประเคนอีก” เรอ่ื งภกิ ษุโดนยาแฝดดืม่ นำ�้ ทลี่ ะลายจากดินติดผาลไถ [๒๖๙] สมยั นน้ั ภกิ ษรุ ปู หนง่ึ อาพาธโดนยาแฝด๒๒ ภกิ ษทุ งั้ หลายจงึ นำ� เรอื่ งนไ้ี ปกราบทลู พระผมู้ พี ระภาค ใหท้ รงทราบ พระผมู้ พี ระภาครบั สงั่ วา่ “ภกิ ษทุ งั้ หลาย เราอนญุ าตใหด้ ม่ื นำ้� ทเี่ ขาละลายดนิ รอยไถตดิ ผาล” เร่ืองดม่ื นำ�้ ดา่ งดิบ สมัยนั้น ภกิ ษรุ ปู หนง่ึ อาพาธเป็นโรคท้องผกู ภกิ ษทุ ้งั หลายจึงนำ� เร่อื งนไี้ ปกราบทลู พระผู้มพี ระภาคให้ ทรงทราบ พระผมู้ พี ระภาครับส่งั วา่ “ภกิ ษุทง้ั หลาย เราอนุญาตให้ด่ืมน้ำ� ดา่ งดบิ ” ๒๒ อาพาธโดนยาแฝด แปลมาจากบาลีว่า “ฆรทินฺนาพาโธ” หมายถึงโรคที่เกิดขึ้นเพราะน�้ำหรือยาที่หญิงแม่เรือนให้ ซึ่งด่ืมกิน เข้าไปแลว้ จะตกอยูใ่ นอ�ำนาจของหญงิ น้ัน (ว.ิ อ. ๓/๒๖๙/๑๗๕, สารตฺถ. ฏกี า ๓/๒๖๙/๓๖๗, วมิ ต.ิ ฏีกา ๒/๒๖๙/๒๔๔)
การนวดในพระไตรปฎิ กและสายธารแหง่ การนวดไทย 30 เรอื่ งดม่ื น�ำ้ สมอดองมูตรโค สมยั นน้ั ภกิ ษรุ ปู หนงึ่ อาพาธเปน็ โรคผอมเหลอื ง๒๓ ภกิ ษทุ ง้ั หลายจงึ นำ� เรอื่ งนไ้ี ปกราบทลู พระผมู้ พี ระภาค ให้ทรงทราบ พระผู้มพี ระภาครับส่งั ว่า “ภิกษุทงั้ หลาย เราอนุญาตใหด้ มื่ ยาผลสมอดองน�ำ้ มตู ร๒๔” เรือ่ งไล้ทาของหอม สมยั นั้น ภิกษุรปู หนง่ึ อาพาธเป็นโรคผิวหนงั ภกิ ษุทงั้ หลายจงึ นำ� เรอ่ื งน้ีไปกราบทลู พระผมู้ ีพระภาคให้ ทรงทราบ พระผูม้ พี ระภาครับส่งั ว่า “ภิกษุทัง้ หลาย เราอนุญาตให้ลบู ไล้ดว้ ยของหอม” เร่ืองด่มื ยาถา่ ย สมัยนัน้ ภกิ ษรุ ูปหนงึ่ อาพาธมผี ดผื่นข้ึนตามตัว ภกิ ษุทัง้ หลายจงึ น�ำเรอื่ งนี้ไปกราบทูลพระผ้มู พี ระภาค ให้ทรงทราบ พระผู้มีพระภาครับส่ังว่า “ภิกษทุ ัง้ หลาย เราอนญุ าตให้ดืม่ ยาถา่ ย” เรื่องน�้ำขา้ วใส ภกิ ษุนนั้ ต้องการน้�ำข้าวใส ภิกษุทง้ั หลายจงึ น�ำเรอ่ื งนไี้ ปกราบทลู พระผูม้ ีพระภาคให้ทรงทราบ พระผู้ มพี ระภาครับสัง่ วา่ “ภกิ ษุทง้ั หลาย เราอนญุ าตน�ำ้ ข้าวใส” เร่ืองยาดองโลณโสวรี กะ [๒๗๓] สมัยนน้ั ภิกษรุ ปู หน่ึงอาพาธเปน็ โรคลมในท้อง จงึ ดม่ื ยาดองโลณโสวรี กะ๒๕ โรคลมสงบลง ภกิ ษทุ ัง้ หลายจึงน�ำเรือ่ งนีไ้ ปกราบทูลพระผู้มพี ระภาคให้ทรงทราบ พระผ้มู ีพระภาครบั สัง่ ว่า “ภกิ ษุทัง้ หลาย เรา อนุญาตให้ภิกษุไขฉ้ ันยาดองโลณโสวรี กะได้ตามสบาย แตผ่ ูไ้ มเ่ ป็นไข้ต้องเจอื นำ�้ ฉนั อย่างนำ�้ ปานะ” สมัยนั้น ภกิ ษรุ ปู หนงึ่ อาพาธเปน็ ริดสดี วงทวาร นายแพทย์อากาสโคตรกำ� ลงั ทำ� การผา่ ตัดด้วยศสั ตรา ครัง้ นน้ั พระผูม้ พี ระภาคเสด็จจารกิ ไปตามเสนาสนะ เสดจ็ เขา้ ไปทางทอ่ี ย่ขู องภกิ ษนุ ้ัน นายแพทย์อากาส โคตรเหน็ พระผมู้ พี ระภาคกำ� ลงั เสดจ็ มาแตไ่ กล จงึ กราบทลู พระผมู้ พี ระภาคดงั นว้ี า่ “พระโคดมผเู้ จรญิ โปรด เสดจ็ มาทอดพระเนตรวัจมรรคของภกิ ษรุ ูปน้ี เหมือนปากเหีย้ ” ลำ� ดบั นน้ั พระผมู้ พี ระภาคทรงพระดำ� รวิ า่ “โมฆบรุ ษุ นเี้ ยาะเยย้ เรา” จงึ เสดจ็ กลบั จากทน่ี น้ั แลว้ รบั สงั่ ใหป้ ระชมุ สงฆ์เพราะเรอื่ งน้ีเปน็ ตน้ เหตุ ทรงสอบถามภิกษุทงั้ หลายวา่ “ภกิ ษุท้ังหลาย ในวหิ ารหลงั โนน้ มี ภกิ ษเุ ป็นไข้หรอื ” ภกิ ษุทง้ั หลายกราบทูลว่า “มอี ยู่ พระพทุ ธเจ้าข้า” พระผู้มีพระภาคตรสั ถามว่า “ภิกษุ ทั้งหลาย ภิกษุรูปน้ันอาพาธเป็นโรคอะไร” ภิกษุท้ังหลายกราบทูลว่า “ภิกษุน้ันเป็นริดสีดวงทวาร นาย แพทย์อากาสโคตรก�ำลงั ทำ� การผา่ ตัดด้วยศสั ตรา พระพทุ ธเจ้าข้า” ๒๓ โรคดซี า่ น ๒๔ ดองด้วยมูตรโค (ว.ิ อ. ๓/๒๖๙/๑๗๖) ๒๕ ยาดองโลณโสวรี กะ ไดแ้ ก่ ยาทปี่ รงุ ดว้ ยสว่ นประกอบนานาชนดิ เชน่ มะขามปอ้ มสด สมอพเิ ภก ธญั ชาตทิ กุ ชนดิ ถวั่ เขยี ว ขา้ วสกุ ผลกลว้ ย หนอ่ หวาย การเกด อนิ ทผลมั หนอ่ ไม้ ปลา เน้ือ นำ้� ผง้ึ น้�ำออ้ ย เกลือ โดยใส่เครื่องยาเหลา่ น้ใี นหมอ้ ปดิ ฝามดิ ชดิ เกบ็ ดองไว้ ๑ วนั ๒ วัน หรือ ๓ วนั เม่อื ยานี้สกุ ได้ท่แี ลว้ จะมรี สและสีเหมอื นผลหวา้ เปน็ ยาแกโ้ รคลม โรคไอ โรคเร้อื น โรค ผอมเหลือง (ดซี า่ น) โรคริดสดี วง เป็นตน้ ในกาลภายหลังภัต คือ เท่ียงวันไปกฉ็ นั ได้ (วิ.อ. ๑/๑๙๒/๕๑๘)
การแพทยใ์ นพระไตรปฎิ ก 31 พระผมู้ พี ระภาคพทุ ธเจา้ ทรงตำ� หนวิ า่ “การกระทำ� ของโมฆบรุ ษุ นน้ั ไมส่ มควร ไมค่ ลอ้ ยตาม ไมเ่ หมาะสม ไมใ่ ช่กิจของสมณะ ใชไ้ มไ่ ด้ ไม่ควรทำ� เลย ไฉนโมฆบุรุษนนั้ จงึ ใหท้ ำ� การผ่าตดั ดว้ ยศสั ตราในที่แคบเล่า ในที่ แคบมผี ิวเนื้อออ่ น แผลหายยาก ผ่าตดั ลำ� บาก ภกิ ษทุ ้งั หลาย การทำ� อย่างน้ี มไิ ด้ทำ� คนทยี่ งั ไมเ่ ลื่อมใส ให้ เล่อื มใส ฯลฯ” ครัน้ ทรงต�ำหนิแล้วแสดงธรรมีกถา รบั สัง่ กับภกิ ษทุ ัง้ หลายวา่ “ภกิ ษุท้ังหลาย ภิกษุไม่พึงให้ ผ่าตดั ด้วยศสั ตราในที่แคบ รปู ใดให้ผา่ ตัด ตอ้ งอาบัติถุลลจั จัย” เรอ่ื งทรงหา้ มท�ำวัตถิกรรม๒๖ สมัยน้ัน พวกภิกษฉุ พั พคั คยี ท์ ราบวา่ “พระผูม้ พี ระภาคทรงหา้ มผา่ ตดั ดว้ ยศสั ตรา” จงึ เลี่ยงให้ ทำ� การบีบหวั ริดสดี วง บรรดาภิกษผุ ้มู ักนอ้ ย ฯลฯ ตำ� หนิ ประณาม โพนทะนาว่า “ไฉนพวกภกิ ษฉุ ัพพคั คยี ์จงึ ให้ท�ำการบีบหวั รดิ สดี วงเลา่ ” แลว้ นำ� เรื่องน้ีไปกราบทลู พระผมู้ ีพระภาคให้ทรงทราบ พระผ้มู พี ระ ภาคทรงสอบถามภกิ ษุทงั้ หลายวา่ “ภกิ ษุท้งั หลาย ทราบวา่ พวกภกิ ษุฉพั พคั คีย์ใหท้ ำ� การบีบหวั ริดสีดวง จรงิ หรอื ” ภิกษุทง้ั หลายทูลรับวา่ “จริงพระพทุ ธเจา้ ขา้ ” ฯลฯ ครัน้ ทรงต�ำหนแิ ลว้ ทรงแสดงธรรมกี ถา แล้ว รบั สงั่ กบั ภิกษทุ ั้งหลายวา่ “ภิกษุทงั้ หลาย ภกิ ษไุ ม่พงึ ใหผ้ า่ ตดั ทวารหนกั ดว้ ยศสั ตรา หรอื บบี หวั ริดสดี วง ประมาณ ๒ นิ้วรอบๆ ที่แคบ รูปใดใหผ้ า่ หรือใหบ้ บี ต้องอาบตั ิถลุ ลัจจัย” วา่ ดว้ ยทรงอนญุ าตขา้ วตม้ และขนมหวาน เร่อื งพราหมณค์ อยโอกาสถวายภัตตาหาร [๒๘๒] ครงั้ น้ัน พระผู้มพี ระภาคประทับอยู่ ณ กรงุ พาราณสีตามพระอัธยาศัยแล้ว เสด็จจารกิ ไปทาง อันธกวินทชนบท พร้อมภิกษุสงฆ์หมู่ใหญ่จ�ำนวน ๑,๒๕๐ รูป สมัยน้ัน ชาวชนบทบรรทุกเกลือ น้�ำมัน ข้าวสาร ของเคยี้ วเป็นอนั มากมาในเกวยี น เดินตามภกิ ษสุ งฆท์ ่ีมีพระพุทธเจา้ ทรงเป็นประธาน ด้วยตง้ั ใจ วา่ “เมอ่ื ไดโ้ อกาส พวกเราจะทำ� ภตั ตาหารถวาย” มคี นกนิ เดนอกี ๕๐๐ คนตดิ ตามไปดว้ ย ครน้ั พระผมู้ พี ระ ภาคเสดจ็ จารกิ ไปตามลำ� ดับจนถึงอนั ธวนิ ทชนบทครง้ั นั้น พราหมณค์ นหน่งึ เมือ่ ไม่ไดโ้ อกาส ได้มีความคดิ ดังน้วี า่ “เราเดินตามภิกษสุ งฆ์ทีม่ พี ระพระพุทธเจ้าเปน็ ประธานมากว่า ๒ เดือนแลว้ ด้วยต้งั ใจวา่ ‘จะท�ำ ภัตตาหารถวายเมอื่ ไดโ้ อกาส’ แตก่ ็หาโอกาสไม่ได้ เราตัวคนเดียวและยังเสยี ประโยชนท์ างฆราวาสไปมาก อย่ากระนน้ั เลย เราพงึ ตรวจดูโรงอาหาร สงิ่ ใดยังไม่มใี นโรงอาหาร จดั เตรยี มสงิ่ นัน้ ถวาย” แลว้ ตรวจดูโรง อาหาร ไมเ่ หน็ ของ ๒ อยา่ งคือ ข้าวต้มและขนมหวาน จึงเขา้ ไปหาทา่ นพระอานนท์แล้ว ได้กล่าวกบั ทา่ น พระอานนทด์ ังน้วี า่ “ทา่ นอานนท์ ขอโอกาสเถิด กระผมเม่ือไมไ่ ด้โอกาสจึงได้มีความคดิ ดงั นีว้ า่ ‘เราเดนิ ตามภกิ ษสุ งฆ์ท่มี ีพระพทุ ธเจ้าเป็นประธานมากว่า ๒ เดือนแลว้ ด้วยตง้ั ใจวา่ ‘จะทำ� ภตั ตาหารถวายเมอื่ ได้ โอกาส’ แต่ก็หาโอกาสไม่ได้ เราตัวคนเดียวและยังเสียประโยชน์ทางฆราวาสไปมาก อย่ากระนั้นเลย เราพึงตรวจดูโรงอาหาร สิ่งใดยังไมม่ ใี นโรงอาหาร ‘จัดเตรียมส่งิ นัน้ ถวาย’ ทา่ นอานนท์ กระผมน้นั ตรวจดู ๒๖ วัตถิกรรม คอื การใช้หนงั หรือผา้ ผกู รัดท่ที วารหนักเพือ่ รัดหวั ริดสดี วง (วิ.อ. ๓/๒๗๙/๑๗๗)
การนวดในพระไตรปฎิ กและสายธารแห่งการนวดไทย 32 โรงอาหาร ไมเ่ ห็นของ ๒ อยา่ ง คอื ขา้ วต้มและขนมหวาน ทา่ นอานนท์ ถ้ากระผมจัดเตรยี มขา้ วตม้ และ ขนมหวาน พระโคดมผเู้ จรญิ จะทรงรบั หรอื ” ทา่ นพระอานนทต์ อบวา่ “พราหมณ์ ถา้ เชน่ นน้ั อาตมาจะกราบทลู ถามพระผมู้ พี ระภาค” แลว้ นำ� เรอ่ื ง นไี้ ปกราบทลู พระผมู้ พี ระภาคใหท้ รงทราบ พระผมู้ พี ระภาคตรสั วา่ “พราหมณจ์ งจดั เตรยี มถวายเถดิ ” ทา่ น พระอานนทบ์ อกพราหมณว์ า่ “ทา่ นจดั เตรยี มได”้ เมอื่ ผา่ นราตรนี นั้ ไป พราหมณจ์ ดั เตรยี มขา้ วตม้ และขนม หวานเป็นจำ� นวนมากแลว้ นอ้ มเขา้ ไปถวายพระผมู้ พี ระภาคว่า “ขอพระโคดมผ้เู จรญิ โปรดรบั ข้าวต้มและ ขนมหวานของขา้ พระองค์เถิด” พระผมู้ พี ระภาคตรสั วา่ “พราหมณ์ ถา้ อยา่ งนนั้ ทา่ นจงถวายแกภ่ กิ ษทุ งั้ หลาย” ภกิ ษทุ ง้ั หลายยำ� เกรง อยู่ จึงไม่ยอมรบั ประเคน พระผมู้ พี ระภาครบั ส่งั วา่ “ภกิ ษทุ ง้ั หลาย พวกเธอจงรบั ประเคนฉนั เถดิ ” ครงั้ นน้ั พราหมณ์ได้น�ำข้าวต้มและขนมหวานจ�ำนวนมากมาประเคนภิกษุสงฆ์ มีพระพุทธเจ้าเป็นประธานด้วย ตนเอง กระทง่ั พระผู้มพี ระภาคเสวยเสรจ็ ทรงหา้ มภตั แลว้ ล้างพระหตั ถแ์ ล้ว ละพระหตั ถจ์ ากบาตร จงึ ได้ นั่งเฝา้ อยู่ ณ ทส่ี มควร ประโยชนข์ องขา้ วตม้ มี ๑๐ อย่าง พระผู้มพี ระภาคตรสั กบั พราหมณ์ผู้นง่ั ณ ที่สมควรว่า “พราหมณ์ ข้าวตม้ มอี านสิ งส์ ๑๐ ประการ คือ ผู้ถวายขา้ วตม้ ชอ่ื ว่า (๑) ใหอ้ ายุ (๒) ใหว้ รรณะ (๓) ใหส้ ขุ ะ (๔) ใหพ้ ละ (๕) ใหป้ ฏภิ าณ (๖) บรรเทาความ หิว (๗) ระงับความกระหาย (๘) ให้ลมเดินคล่อง (๙) ช�ำระล�ำไส้ (๑๐) เผาอาหารที่ยังไม่ย่อยให้ย่อย พราหมณ์ ขา้ วต้มมีอานิสงส์ ๑๐ ประการนแ้ี ล” ครน้ั ตรสั เวยยากรณภาษติ นแ้ี ลว้ พระสคุ ตตรสั อนโุ มทนาตอ่ ไปวา่ “ทายกผตู้ ง้ั ใจถวายขา้ วตม้ แกป่ ฏคิ า หกผสู้ ำ� รวมแลว้ ผฉู้ นั อาหารทผ่ี อู้ นื่ ถวายตามกาลสมควร เขาไดช้ อ่ื วา่ ตามเพม่ิ ใหป้ ระโยชน์ ๑๐ ประการแก่ ปฏิคาหกคอื อายุ วรรณะ สุขะ พละ ปฏภิ าณ นอกจากน้ัน ขา้ วต้มยอ่ มบรรเทาความหวิ ความกระหาย ให้ลมเดินคลอ่ ง ช�ำระล�ำไส้ และ ช่วยย่อยอาหาร พระสุคตตรัสว่าข้าวต้มเป็นยา ดังนั้นผู้ที่ต้องการความสุขอันเป็นของมนุษย์ตลอดกาลนานและ ปรารถนาความสขุ อันเปน็ ทพิ ย์ หรือปรารถนาความงามอันเปน็ ของมนษุ ย์ จงึ ควรถวายขา้ วตม้ ” เมอ่ื ทรง อนโุ มทนาแกพ่ ราหมณด์ ว้ ยพระคาถาเหลา่ นแ้ี ลว้ จงึ เสดจ็ ลกุ จากทปี่ ระทบั กลบั ตอ่ มาพระผมู้ พี ระภาคทรง แสดงธรรมกี ถาเพราะเร่อื งนเ้ี ป็นต้นเหตุ รบั สัง่ กบั ภกิ ษุทง้ั หลายว่า “ภิกษทุ ้ังหลาย เราอนุญาตข้าวตม้ และ ขนมหวาน”
การแพทย์ในพระไตรปฎิ ก 33 เรื่องภกิ ษุอาพาธเปน็ โรคท้องร่วง [๓๖๕] สมัยนั้น ภิกษุรูปหนึ่งอาพาธเป็นโรคท้องร่วง ภิกษุน้ันนอนกลิ้งเกลือกไปมาบนปัสสาวะและ อจุ จาระของตนเอง ครง้ั นนั้ พระผมู้ พี ระภาคมที า่ นพระอานนทต์ ามเสดจ็ เสดจ็ จารกิ ไปตามเสนาสนะ เสดจ็ เข้าไปทางท่ีอยู่ของภิกษุนั้น ได้ทอดพระเนตรเห็นภิกษุนั้นนอนกลิ้งเกลือกไปมาบนปัสสาวะและอุจจาระ ของตนเอง จึงเสด็จเข้าไปใกล้แล้ว ได้ตรัสดังนี้ว่า “ภิกษุ เธออาพาธเป็นโรคอะไร” ภิกษุน้ันทูลว่า “ข้า พระองค์อาพาธเปน็ โรคท้องร่วง พระพทุ ธเจ้าขา้ ” พระผู้มีพระภาคตรสั ถามวา่ “เธอมีภกิ ษผุ ู้คอยพยาบาล หรอื ” ภกิ ษนุ นั้ ทลู ว่า “ไม่มี พระพทุ ธเจ้าขา้ ” พระผูม้ ีพระภาคตรสั ถามว่า “เหตใุ ด พวกภิกษจุ ึงไม่คอย พยาบาลเธอ” ภกิ ษนุ นั้ ทลู วา่ “เพราะขา้ พระองคไ์ มไ่ ดท้ ำ� อปุ การะแกภ่ ิกษุทั้งหลาย ดงั นั้น พวกภกิ ษจุ งึ ไม่ คอยพยาบาลขา้ พระองค์ พระพทุ ธเจา้ ขา้ ” พระผมู้ พี ระภาคตรสั เรยี กทา่ นพระอานนทม์ ารบั สงั่ วา่ “อานนท์ เธอไปตักน้ำ� มา เราจะอาบน้�ำให้ภกิ ษนุ ี้” ทา่ นพระอานนท์ทูลรับสนองพระดำ� รสั แล้วตกั น้ำ� มาถวาย พระผู้ มพี ระภาคทรงราดนำ�้ ทา่ นพระอานนทข์ ัดสี พระผู้มีพระภาคทรงประคองศีรษะขึ้น ทา่ นพระอานนทย์ ก เทา้ วางบนเตียง ต่อมา พระผู้มีพระภาครับส่ังให้ประชุมสงฆ์เพราะเร่ืองน้ีเป็นต้นเหตุ ทรงสอบถามภิกษุท้ังหลายว่า “ภิกษุทั้งหลาย ในวหิ ารหลังโน้นมภี ิกษุเป็นไข้หรือ” พวกภกิ ษกุ ราบทลู ว่า “มี พระพุทธเจา้ ขา้ ” พระผู้มี พระภาคตรัสถามว่า “เธออาพาธเป็นโรคอะไร” พวกภิกษุกราบทูลว่า “เธออาพาธเป็นโรคท้องร่วง พระพทุ ธเจา้ ขา้ ”พระผมู้ พี ระภาคตรสั ถามว่า “ภิกษนุ ั้นมภี ิกษุผ้คู อยพยาบาลหรือ” พวกภกิ ษุกราบทลู วา่ “ไมม่ ี พระพทุ ธเจา้ ขา้ ” พระผู้มีพระภาคตรสั ถามวา่ “เหตุใด พวกภิกษุจึงไมค่ อยพยาบาลเธอ” พวกภกิ ษุ กราบทูลว่า “เพราะเธอไม่ได้ท�ำอุปการะแก่ภิกษุท้ังหลาย ดังนั้น พวกภิกษุจึงไม่คอยพยาบาลเธอ พระพทุ ธเจา้ ขา้ ” พระผมู้ พี ระภาคตรสั วา่ “ภกิ ษทุ ง้ั หลาย พวกเธอไมม่ มี ารดา ไมม่ บี ดิ าผคู้ อยพยาบาล ภกิ ษทุ งั้ หลาย ถา้ พวกเธอไมพ่ ยาบาลกนั เอง ใครเลา่ จะคอยพยาบาลพวกเธอ ภกิ ษทุ งั้ หลาย ผจู้ ะพยาบาลเรากจ็ งพยาบาล ภิกษุไขเ้ ถดิ ถา้ มีอุปัชฌาย์ อปุ ชั ฌาย์พึงพยาบาลภิกษุไข้นั้นจนตลอดชวี ติ (หรือ) จนกวา่ เธอจะหาย ถ้ามี อาจารยอ์ าจารย์พงึ พยาบาลภกิ ษุไข้นั้นจนตลอดชีวิต (หรอื ) จนกวา่ เธอจะหาย ถ้ามสี ทั ธวิ ิหาริก (คําเรยี ก ผูไ้ ด้รบั การอุปสมบทแลว้ ถา้ อุปสมบทตอ่ พระอปุ ชั ฌาย์องค์ใดกเ็ ป็นสทั ธวิ หิ ารกิ ของพระอปุ ชั ฌายอ์ งค์น้ัน (ใช้เข้าคู่กับ อุปัชฌาย์) สัทธิวิหาริกพึงพยาบาลภิกษุไข้นั้นจนตลอดชีวิต (หรือ) จนกว่าเธอจะหาย ถ้ามี อนั เตวาสกิ (ผอู้ ยภู่ ายใน ใชเ้ รยี กภกิ ษผุ อู้ าศยั อยกู่ บั อาจารย์ หรอื ภกิ ษผุ มู้ ใิ ชพ่ ระอปุ ชั ฌายข์ องตน) อนั เตวาสกิ พงึ พยาบาลภกิ ษไุ ขน้ นั้ จนตลอดชวี ติ (หรอื ) จนกวา่ เธอจะหาย ถา้ มภี กิ ษผุ รู้ ว่ มอปุ ชั ฌาย์ ผรู้ ว่ มอปุ ชั ฌายพ์ งึ พยาบาลภิกษุไข้น้ันจนตลอดชีวิต (หรือ) จนกว่าเธอจะหาย ถ้ามีภิกษุผู้ร่วมอาจารย์ ผู้ร่วมอาจารย์พึง
การนวดในพระไตรปิฎกและสายธารแห่งการนวดไทย 34 พยาบาลภกิ ษไุ ขน้ นั้ จนตลอดชวี ติ (หรอื ) จนกวา่ เธอจะหาย ถา้ ไมม่ อี ปุ ชั ฌาย์ อาจารยส์ ทั ธวิ หิ ารกิ อนั เตวาสกิ ผรู้ ่วมอุปัชฌาย์ หรอื ผรู้ ่วมอาจารย์ สงฆต์ ้องพยาบาลภิกษุไข้นนั้ ถา้ ไมพ่ ยาบาล ต้องอาบตั ทิ กุ กฎ” เรอ่ื งคนไข้ทพี่ ยาบาลได้ยากและพยาบาลได้ง่าย คนไข้ทพ่ี ยาบาลได้ยากมีอาการ ๕ อย่าง [๓๖๖] ภิกษุทั้งหลาย คนไข้ทม่ี อี าการ ๕ อย่าง พยาบาลไดย้ าก คอื ๑. ไม่ท�ำความสบาย ๒. ไม่รูป้ ระมาณในความสบาย ๓. ไมฉ่ นั ยา ๔. ไมบ่ อกอาการไขต้ ามเปน็ จรงิ แกผ่ พู้ ยาบาลไขท้ ม่ี งุ่ ประโยชน์ คอื ไมบ่ อกอาการไขท้ กี่ ำ� เรบิ วา่ กำ� เรบิ อาการไขท้ ่ที ุเลาว่าทุเลา อาการไขท้ ท่ี รงอยวู่ า่ ทรงอยู่ ๕. เปน็ คนไมอ่ ดทนความรสู้ กึ ทางกายทเ่ี กดิ ขน้ึ เปน็ ทกุ ขแ์ สนสาหสั กลา้ แขง็ เผด็ รอ้ น ไมน่ า่ ยนิ ดี ไมน่ า่ พอใจ แทบจะครา่ ชวี ติ ภกิ ษทุ ้ังหลาย คนไข้ทมี่ อี าการ ๕ อย่างนแี้ ล พยาบาลไดย้ าก คนไข้ทพ่ี ยาบาลได้งา่ ยมีอาการ ๕ อย่าง ภกิ ษุทงั้ หลาย คนไขท้ ม่ี อี าการ ๕ อย่าง พยาบาลได้ง่าย คือ ๑. ทำ� ความสบาย ๒. รปู้ ระมาณในความสบาย ๓. ฉนั ยา ๔. บอกอาการไขต้ ามเปน็ จรงิ แกผ่ พู้ ยาบาลไขท้ มี่ งุ่ ประโยชน์ คอื บอกอาการไขท้ ก่ี ำ� เรบิ วา่ กำ� เรบิ อาการไข้ ทีท่ เุ ลาวา่ ทุเลา อาการไขท้ ่ที รงอยวู่ า่ ทรงอยู่ ๕. เปน็ คนอดทนตอ่ ความรสู้ กึ ทางกายทเ่ี กดิ ขน้ึ เปน็ ทกุ ขแ์ สนสาหสั กลา้ แขง็ เผด็ รอ้ น ไมน่ า่ ยนิ ดี ไมน่ า่ พอใจ แทบจะครา่ ชวี ิต ภกิ ษุท้ังหลาย คนไข้ท่ีมีอาการ ๕ อยา่ งน้แี ล พยาบาลได้งา่ ย บุคคลผปู้ ระกอบด้วยองค์ ๕ ไม่ควรพยาบาลภกิ ษไุ ข้ ภกิ ษทุ ง้ั หลาย ผ้พู ยาบาลภิกษไุ ขท้ ีป่ ระกอบด้วยองค์ ๕ ไมค่ วรพยาบาลคนไข้ คือ ๑. ไมส่ ามารถจดั ยา ๒. ไมร่ จู้ กั ของแสลงและไมแ่ สลง คอื นำ� ของแสลงเขา้ ไปให้ นำ� ของไมแ่ สลงออกไป
การแพทย์ในพระไตรปฎิ ก 35 ๓. พยาบาลคนไขเ้ พราะเหน็ แกอ่ ามสิ ไมม่ จี ติ เมตตา ๔. รงั เกยี จทจี่ ะนำ� อจุ จาระ ปสั สาวะ นำ�้ ลายหรอื ของทอี่ าเจยี นออกมาไปเททง้ิ ๕. ไมส่ ามารถพดู ใหค้ นไขเ้ หน็ ชดั ชวนใหอ้ ยากรบั ไปปฏบิ ตั ิ เรา้ ใจใหอ้ าจหาญแกลว้ กลา้ ปลอบชโลมใจ ใหส้ ดชนื่ รา่ เรงิ ดว้ ยธรรมกี ถา เปน็ บางครง้ั บางคราว ภกิ ษทุ งั้ หลาย ผพู้ ยาบาลภกิ ษไุ ขท้ ป่ี ระกอบดว้ ยองค์ ๕ นแี้ ล ไมค่ วรพยาบาลคนไข้ บคุ คลผปู้ ระกอบดว้ ยองค์ ๕ ควรพยาบาลภกิ ษไุ ข้ ภกิ ษทุ ง้ั หลาย ภกิ ษผุ พู้ ยาบาลภกิ ษไุ ขท้ ปี่ ระกอบดว้ ยองค์ ๕ ควรพยาบาลภกิ ษไุ ข้ คอื ๑. สามารถจดั ยา๒๗ ๒. รจู้ กั ของแสลงและไมแ่ สลง๒๘ คอื นำ� ของแสลงออกไป นำ� ของไมแ่ สลงเขา้ มาให้ ๓. ไมพ่ ยาบาลคนไขเ้ พราะเหน็ แกอ่ ามสิ มจี ติ เมตตา ๔. ไมร่ งั เกยี จทจี่ ะนำ� อจุ จาระ ปสั สาวะ นำ�้ ลาย หรอื ของทอี่ าเจยี นออกมาไปเททง้ิ ๒๙ ๕. สามารถพดู ใหค้ นไขเ้ หน็ ชดั ชวนใหอ้ ยากรบั ไปปฏบิ ตั ิ เรา้ ใจใหอ้ าจหาญแกลว้ กลา้ ปลอบชโลมใจให้ สดชนื่ รา่ เรงิ ดว้ ยธรรมกี ถา เปน็ บางครงั้ บางคราว๓๐ ภกิ ษทุ ง้ั หลาย ผพู้ ยาบาลภกิ ษไุ ขท้ ปี่ ระกอบดว้ ยองค์ ๕ นแี้ ล ควรพยาบาลคนไข้ ๔.พระไตรปิฎกเล่มที่ ๐๗ วนิ ยั ปิฎกท่ี ๐๗ จลุ วรรค ภาค ๒ พระวนิ ยั ปิฎก จฬู วรรค [๕. ขุททกวตั ถุ ขนั ธกะ] ขุททกวัตถุ เร่ืองพระฉพั พัคคียส์ รงนำ�้ ขดั สีกายกบั ต้นไม้ [๒๔๓] สมยั น้ัน พระผมู้ พี ระภาคพุทธเจา้ ประทับอยู่ ณ พระเวฬุวนั สถานที่ใหเ้ หยือ่ กระแต เขตกรงุ ราชคฤห์ ครัง้ นนั้ พวกภิกษุฉัพพคั คยี ๓์ ๑สรงน�ำ้ ขดั สีกาย คือ ขาบ้าง แขนบ้าง อกบ้าง หลังบา้ งกับต้นไม้ คน ท้ังหลายจึงตำ� หนิ ประณาม โพนทะนาว่า “ไฉนพวกพระสมณะเช้ือสายศากยบตุ รจงึ สรงน�้ำ ขัดสีกาย คือ ขาบ้าง แขนบา้ ง อกบา้ ง หลงั บ้างกบั ตน้ ไม้ เหมอื นพวกนักมวยปล้�ำ เหมือนพวกลกู หลานชาวบา้ นเลา่ ๓๒” ภกิ ษุทัง้ หลายได้ยนิ คนท้งั หลายต�ำหนิ ประณาม โพนทะนา บรรดาภกิ ษผุ ู้มกั น้อยสันโดษ มคี วามละอาย ๒๗ การจดั ยาในทน่ี ี้ หมายถงึ ต้องสามารถปรงุ ยาได้ ดงั น้ัน ภกิ ษผุ ูพ้ ยาบาลตอ้ งมีความรทู้ างการแพทยแ์ ละเภสชั ๒๘ ภกิ ษผุ พู้ ยาบาลตอ้ งมคี วามรทู้ างการแพทยเ์ ปน็ อยา่ งดี เพราะการจะรวู้ า่ อะไรแสลงหรอื ไมแ่ สลงนน้ั ตอ้ งอาศยั ความรทู้ างดา้ นแพทย์ ๒๙ พระพทุ ธเจ้าทรงกำ� หนดให้พระผพู้ ยาบาลภกิ ษุไข้ ต้องไม่รังเกียจอจุ จาระ ปัสสาวะ นำ�้ ลาย ซ่ึงเป็นส่ิงปฏกิ ลู ตรงกันขา้ มกับ พราหมณ์ ซึง่ รังเกียจวา่ หมอเปน็ ผ้ไู ม่บริสุทธิ์ เพราะแปดเปือ้ นกับคนไขแ้ ละสิง่ ปฏกิ ูลตา่ งๆ ๓๐ พระพทุ ธเจา้ ทรงกำ� หนดใหพ้ ระภกิ ษผุ พู้ ยาบาลตอ้ งเจรจรากบั ภกิ ษไุ ข้ พดู ใหเ้ กดิ กำ� ลงั ใจ พดู ใหป้ ฏบิ ตั ิ ซง่ึ เปน็ สงิ่ ทผ่ี ปู้ ว่ ยตอ้ งการ ๓๑ พวกภกิ ษฉุ พั พคั คยี ์ ไดแ้ ก่ พวกภกิ ษผุ ชู้ อบประพฤตผิ ดิ มี ๖ รปู คอื พระปณั ฑกุ ะ พระโลหติ กะ อยใู่ นกรงุ สาวตั ถี พระเมตตยิ ะ พระภุมมชกะ อยู่ในกรุงราชคฤห์ พระอัสสชิ พระปุนัพพสุกะ เป็นคณาจารย์อยู่ประจำ� ในกีฏาคีรีชนบท แคว้นกาสี (ม.ม.อ. ๒/๑๗๕/๑๓๘) ๓๒ มลฺลมฏุ กฺ าติ มฏุ ฺกมลฺลา คำ� ว่า มลลฺ มุฏฐิกา ได้แก่ พวกนักมวยปล�ำ้ คามปูฏวาติ ฉวิราคมณฑฺ นานยุ ุตตฺ า นาครกิ มนสุ ฺสา, คามโปตกาติ ปาโฐ คำ� ว่า คามปูฏวา คือ พวกมนุษยช์ าวเมอื งผ้หู มกมุ่นอยู่กบั การประดับ ยอ้ มผิว จะหมายถงึ พวกลกู หลานชาว บ้านก็ได้ (ว.ิ อ.๓/๒๔๓/๓๐๒)
การนวดในพระไตรปฎิ กและสายธารแห่งการนวดไทย 36 มีความระมดั ระวงั ใฝ่การศึกษา จึงต�ำหนิ ประณาม โพนทะนาวา่ “ไฉนพวกภกิ ษฉุ พั พคั คยี ์จึงสรงน้ำ� ขัดสี กาย คอื ขาบ้าง แขนบ้าง อกบ้าง หลงั บ้าง กบั ตน้ ไมเ้ ลา่ ” คร้นั ภกิ ษุทง้ั หลายตำ� หนพิ วกภิกษุฉัพพัคคีย์โดย ประการตา่ งๆ แล้ว จงึ น�ำเรือ่ งน้ีไปกราบทลู พระผู้มีพระภาคใหท้ รงทราบ ทรงประชุมสงฆ์สอบถามล�ำดบั น้ัน พระผู้มพี ระภาครับสง่ั ให้ประชมุ สงฆ์เพราะเรอ่ื งน้ีเป็นต้นเหตุ ทรง สอบถามภกิ ษทุ ง้ั หลายวา่ “ภกิ ษทุ งั้ หลาย ทราบวา่ พวกภกิ ษฉุ พั พคั คยี ส์ รงนำ�้ ขดั สกี าย คอื ขาบา้ ง แขนบา้ ง อกบา้ ง หลังบ้างกบั ตน้ ไม้ จรงิ หรอื ” ภกิ ษุทง้ั หลายทูลรบั วา่ “จริง พระพทุ ธเจ้าข้า”พระผูม้ ีพระภาคพทุ ธ เจ้าทรงต�ำหนิว่า “ภิกษุทั้งหลาย การกระท�ำของโมฆบุรุษเหล่าน้ันไม่สมควร ไม่คล้อยตาม ไม่เหมาะสม ไม่ใช่กิจของสมณะ ใช้ไม่ได้ ไมค่ วรทำ� เลย ภกิ ษุทั้งหลาย ไฉนโมฆบรุ ษุ เหลา่ นั้นจึงสรงน�้ำ ขัดสกี าย คอื ขา บ้าง แขนบ้าง อกบา้ ง หลังบา้ ง กบั ตน้ ไม้ เล่า ภิกษุทง้ั หลาย การกระท�ำอยา่ งนี้ มไิ ด้ทำ� คนทยี่ งั ไมเ่ ลอ่ื มใส ให้เล่ือมใส หรือท�ำคนที่เล่ือมใสอยู่แล้ว ให้เล่ือมใสยิ่งข้ึนได้เลย ที่จริงกลับจะท�ำให้คนที่ไม่เล่ือมใส ก็ไม่ เลื่อมใสไปเลย คนที่เล่ือมใสอยู่แล้ว บางพวกก็จะกลายเป็นอื่นไป” พระผู้มีพระภาคคร้ันทรงต�ำหนิพวก ภิกษุฉัพพคั คีย์โดยประการตา่ งๆ แล้ว ไดต้ รัสโทษแหง่ ความเปน็ คนเล้ียงยาก บำ� รงุ ยาก มกั มาก ไม่สนั โดษ ความคลกุ คลี ความเกยี จครา้ น ตรสั คณุ แหง่ ความเปน็ คนเลย้ี งงา่ ย บำ� รงุ งา่ ย มกั นอ้ ย สนั โดษ ความขดั เกลา ความก�ำจดั กิเลส อาการที่นา่ เลอื่ มใส การไม่สะสม การปรารภความเพียรโดยประการต่างๆ ทรงแสดงธร รมกี ถาใหเ้ หมาะสม ใหค้ ล้อยตามกบั เร่อื งนน้ั แลว้ รับสั่งกบั ภกิ ษุทงั้ หลายวา่ “ภิกษุทั้งหลาย ภกิ ษเุ มอ่ื จะ สรงน�ำ้ ไมพ่ ึงขดั สีกายกับต้นไม้ รปู ใดขดั สี ต้องอาบัตทิ ุกกฎ” เร่ืองพระฉัพพคั คียส์ รงนำ้� ในท่ีไมส่ มควร สมยั นน้ั พวกภกิ ษฉุ พั พคั คยี เ์ มอื่ สรงนำ้� สรงนำ้� ในทไ่ี มส่ มควร๓๓ คนทง้ั หลายตำ� หนิ ประณาม โพนทะนา ว่า “ฯลฯ เหมือนคฤหสั ถผ์ ูบ้ ริโภคกาม” ภิกษุทั้งหลายได้ยินคนทงั้ หลายตำ� หนิ ประณาม โพนทะนา ฯลฯ คร้ันแล้ว ภิกษุท้ังหลายจึงน�ำเร่ืองนี้ไปกราบทูลพระผู้มีพระภาคให้ทรงทราบ ทรงประชุมสงฆ์สอบถาม ลำ� ดบั นน้ั พระผมู้ พี ระภาครบั สงั่ ใหป้ ระชมุ สงฆเ์ พราะเรอื่ งนเ้ี ปน็ ตน้ เหตุ ทรงสอบถามภกิ ษทุ ง้ั หลายวา่ “ภกิ ษุ ท้ังหลาย ทราบว่า พวกภิกษุฉัพพัคคีย์สรงน�้ำในท่ีที่ไม่สมควร จริงหรือ” ภิกษุท้ังหลายทูลรับว่า “จริง พระพทุ ธเจ้าขา้ ”พระผ้มู พี ระภาคพุทธเจา้ ทรงตำ� หนวิ า่ “ฯลฯ ภิกษุทัง้ หลาย ไฉนโมฆบรุ ุษเหล่าน้ันจงึ สรง น�้ำในที่ท่ีไม่สมควรเลา่ ฯลฯ” ครั้นทรงต�ำหนแิ ล้ว ทรงแสดงธรรมกี ถารบั สงั่ กับภกิ ษุทั้งหลายว่า “ภกิ ษทุ ั้ง หลาย ภกิ ษุเมอื่ จะสรงน้�ำ ไมพ่ ึงสรงในทท่ี ไี่ ม่สมควร รูปใดสรง ต้องอาบัติทกุ กฏ” เรอ่ื งพระฉัพพัคคียใ์ ชม้ อื ท่ีทำ� ด้วยไมห้ อมถูกายสรงน้�ำ สมยั นน้ั พวกภกิ ษฉุ พั พคั คยี ์ ใชม้ อื ทที่ ำ� ดว้ ยไมห้ อมถกู าย สรงนำ้� ๓๔ ฯลฯ คนทงั้ หลายจงึ ตำ� หนิ ประณาม โพนทะนาว่า “ฯลฯ เหมือนคฤหัสถ์ผู้บริโภคกาม” ภิกษุท้ังหลายได้ยินคนทั้งหลายต�ำหนิ ประณาม ๓๓ ทีไ่ ม่สมควร ในทีน่ ี้หมายถงึ เสาถตู วั คอื ตน้ ไม้ท่ีเขาถากเรยี บคลา้ ยแผ่นกระดาน สกัดเป็นรอยดงั กระดานหมากรุกปกั ฝังไว้ท่ี ทา่ อาบน้�ำ พวกชาวบ้านนำ� จรุ ณมาโรยท่ีเสาถตู ัวน้นั แลว้ ถูกายทเ่ี สาน้ัน (วิ.อ. ๓/๒๔๓/๓๐๒, ว.ิ สงคฺ ห.๑/๔๙๕) ๓๔ คนธฺ พพฺ หตถฺ ก คอื มอื ทที่ ำ� ดว้ ยไม้ ไดแ้ ก่ มอื ทท่ี ำ� ดว้ ยไม้ ซงึ่ เขาวางไวท้ ท่ี า่ อาบนำ�้ คนทงั้ หลายใชม้ อื นน้ั ตกั จรุ ณขดั สกี าย (ว.ิ อ. ๓/๒๔๓/๓๐๒)
การแพทยใ์ นพระไตรปิฎก 37 โพนทะนา ฯลฯ ภกิ ษทุ ง้ั หลายจงึ นำ� เรอื่ งนไ้ี ปกราบทลู พระผมู้ พี ระภาคใหท้ รงทราบ พระผมู้ พี ระภาครบั สงั่ ว่า “ภิกษทุ ้งั หลาย ภกิ ษุไม่พึงใช้มือทที่ ำ� ดว้ ยไมห้ อมถูกาย สรงน้ำ� รปู ใดใชส้ รง ต้องอาบัติทุกกฎ” สมยั นั้น พวกภกิ ษุฉพั พคั คยี ส์ รงนำ้� โดยใชเ้ ชือกชุบจรุ ณศิลา สเี หมือนพลอยแดง (ถูตวั ) คนทง้ั หลายจึง ตำ� หนิ ประณาม โพนทะนาวา่ “ฯลฯ เหมอื นคฤหัสถ์ผูบ้ ริโภคกาม” ภกิ ษุทั้งหลายจงึ น�ำเรอื่ งนีไ้ ปกราบทูล พระผู้มีพระภาคให้ทรงทราบ พระผู้มีพระภาครับส่ังว่า “ภิกษุท้ังหลาย ภิกษุไม่พึงสรงน�้ำโดยใช้เชือกชุบ จรุ ณศิลาสเี หมือนพลอยแดง (ถูกาย) รปู ใดใช้สรง ตอ้ งอาบัติทุกกฎ” สมัยน้ัน พวกภิกษุฉัพพัคคีย์ต่างท�ำบริกรรมให้แก่กันและกัน๓๕ คนท้ังหลายจึงต�ำหนิ ประณาม โพนทะนาวา่ “ฯลฯ เหมอื นคฤหัสถผ์ ้บู รโิ ภคกาม” ภกิ ษทุ ั้งหลายจึงนำ� เรือ่ งน้ีไปกราบทูลพระผู้มีพระภาค ให้ทรงทราบ พระผู้มีพระภาครับส่ังว่า “ภิกษุทั้งหลาย ภิกษุไม่พึงท�ำบริกรรมให้แก่กันและกัน รูปใดถู ตัองอาบัติทกุ กฎ” สมยั นน้ั พวกภกิ ษฉุ พั พคั คยี ใ์ ชไ้ มบ้ งั เวยี นจกั เปน็ ฟนั มงั กรถกู าย สรงนำ�้ คนทงั้ หลายจงึ ตำ� หนิ ประณาม โพนทะนาว่า “ฯลฯ เหมอื นคฤหสั ถผ์ ูบ้ ริโภคกาม” ภิกษุทงั้ หลายนำ� เรื่องนีไ้ ปกราบทูลพระผูม้ พี ระภาคให้ ทรงทราบ พระผมู้ พี ระภาครบั สัง่ วา่ “ภกิ ษุทั้งหลาย ภิกษุไมพ่ งึ ใชไ้ ม้บงั เวียนจกั เป็นฟันมงั กรถกู าย สรงนำ�้ รูปใดถู ต้องอาบัติทกุ กฎ” เรอ่ื งภิกษุทุพพลภาพเพราะชรา สมยั นั้น ภกิ ษรุ ูปหนึง่ ทุพพลภาพเพราะชรา เมือ่ สรงน�้ำ ไม่สามารถจะถกู ายตนได้ ฯลฯภิกษุทั้งหลาย จงึ นำ� เรอ่ื งนไี้ ปกราบทลู พระผมู้ พี ระภาคใหท้ รงทราบ พระผมู้ พี ระภาครบั สง่ั วา่ “ภกิ ษทุ งั้ หลาย เราอนญุ าต เกลยี วผา้ ” ทรงอนญุ าตใหใ้ ช้มอื ถหู ลงั สมยั นน้ั ภิกษรุ ูปหนึง่ ย�ำเกรงทจ่ี ะถูหลัง ฯลฯ ภกิ ษทุ ัง้ หลายจงึ น�ำเร่ืองไปกราบทูลพระผู้มีพระภาคให้ ทรงทราบ พระผมู้ พี ระภาครับส่งั ว่า “ภกิ ษุทงั้ หลาย เราอนญุ าตให้ใชม้ ือถูหลัง” เรือ่ งภิกษุอาพาธเป็นโรคตา สมัยน้ัน ภิกษุรูปหน่ึงอาพาธเป็นโรคตา ภิกษุทง้ั หลายจงึ นำ� เร่อื งนี้ไปกราบทลู พระผู้มีพระภาคใหท้ รง ทราบ พระผ้มู ีพระภาครบั สัง่ วา่ “ภกิ ษทุ ้ังหลาย เพราะอาพาธเปน็ ปัจจัย เราอนญุ าตใหท้ าหน้าได”้ ๓๕ ท�ำบรกิ รรมแก่กันและกนั ในน้�ำ ในทีน่ ห้ี มายถึงการขัดถูรา่ งกายให้กัน (วิ.สงฺคห. ๑๘๓/๒๕๘)
การนวดในพระไตรปฎิ กและสายธารแหง่ การนวดไทย 38 เรอ่ื งทรงอนุญาตท่ีจงกรมและเรอื นไฟ [๒๖๐] สมัยน้ันทายกทายิกาในกรุงเวลาสีจัดตั้งภัตตาหารประณีตไว้ตามล�ำดับ ภิกษุฉันภัตตาหาร ประณีต จนรา่ งกายอ้วน มอี าพาธ คร้งั น้นั หมอชวี กโกมารภจั มธี ุระต้องเดินทางไปกรุงเวสาลี เห็นภิกษุท้งั หลาย มีรา่ งกายอว้ น มีอาพาธมาก จึงเขา้ ไปเฝา้ พระผมู้ ีพระภาค ณ ที่ประทบั คร้ันถงึ แล้ว ได้ถวายอภิวาท พระผู้มีพระภาคแล้วนั่ง ณ ที่สมควร ได้กราบทลู พระผูม้ ีพระภาคดงั นีว้ า่ “พระพทุ ธเจา้ ข้า เวลาน้ี ภิกษมุ ี ร่างกายอว้ น มีอาพาธมาก ขอประทานพระวโรกาส พระองค์โปรดอนุญาตที่จงกรมและเรอื นไฟ ดว้ ยวธิ ี การอย่างนี้ ภกิ ษุท้งั หลาย จักได้มอี าพาธน้อย” พระผู้มีพระภาคทรงช้ีแจงให้หมอชีวกโกมารภัจเห็นชัด ชวนให้อยากรับไปปฏิบัติ เร้าใจให้อาจหาญ แกลว้ กล้า ปลอบชโลมใจให้สดชน่ื ร่าเรงิ ดว้ ยธรรมีกถา ลำ� ดับน้นั หมอชีวกโกมารภัจผซู้ ่งึ พระผ้มู ีพระภาค ทรงชีแ้ จงใหเ้ ห็นชัด ชวนให้อยากรับไปปฏบิ ัติ เรา้ ใจใหอ้ าจหาญ แกล้วกล้า ปลอบชโลมใจใหส้ ดชนื่ ร่าเรงิ ด้วย ธรรมกี ถาแลว้ ลุกข้นึ จากอาสนะ ถวายอภวิ าทพระผ้มู ีพระภาค ท�ำประทกั ษิณแลว้ ทลู ลากลบั ลำ� ดบั นน้ั พระผมู้ พี ระภาคทรงแสดงธรรมกี ถาเพราะเรอ่ื งนเี้ ปน็ ตน้ เหตุ รบั สงั่ กบั ภกิ ษทุ ง้ั หลายมารบั สงั่ วา่ “ภกิ ษุ ท้ังหลาย เราอนุญาตที่จงกรมและเรือนไฟ” เร่อื งหา้ มฉันในภาชนะเดียวกนั เปน็ ต้น สมยั น้นั พวกภิกษุฉัพพัคคียฉ์ ันอาหารในภาชนะเดยี วกนั บ้าง ... ดื่มน้�ำในขนั เดียวกันบ้าง ... นอนบน เตียงเดยี วกันบา้ ง ... นอนบนเตียงมเี คร่อื งลาดเดยี วกนั บ้าง... นอนบนเตยี งมผี า้ ห่มผืนเดียวบา้ ง ... นอน บนเตยี งมีผ้าผนื เดยี วเป็นทง้ั ผ้าปแู ละผ้าห่มบา้ ง คนทั้งหลายตำ� หนิ ประณาม โพนทะนาว่า “ฯลฯ เหมือน คฤหสั ถผ์ ู้บรโิ ภคกาม” ฯลฯ ภิกษุทั้งหลายจึงน�ำเร่ืองนี้ไปกราบทูลพระผู้มีพระภาคให้ทรงทราบ พระผู้มีพระภาครับส่ังว่า “ภิกษุ ทงั้ หลาย ภกิ ษไุ มพ่ งึ ฉนั อาหารในภาชนะเดยี วกนั ... ไมพ่ งึ ดม่ื นำ�้ ในขนั เดยี วกนั ... ไมพ่ งึ นอนบนเตยี งเดยี วกนั ... ไมพ่ งึ นอนบนเตยี งมีเครือ่ งลาดเดยี วกัน ... ไม่พงึ นอนบนเตียงมีผา้ ห่มผนื เดยี วกนั ... ไม่พงึ นอนบนเตยี ง มผี ้าผืนเดยี ว เปน็ ท้งั ผ้าปูและผา้ ห่ม รูปใดนอน ต้องอาบัตทิ กุ กฎ” เรื่องไม้ช�ำระฟนั [๒๘๒] สมัยนั้น ภิกษุทั้งหลายไม่เคี้ยวไม้ช�ำระฟัน ปากมีกลิ่นเหม็น ภิกษุท้ังหลายจึงน�ำเร่ืองน้ีไป กราบทูลพระผู้มพี ระภาคใหท้ รงทราบ พระผมู้ ีพระภาครับสง่ั ว่า “ภกิ ษทุ งั้ หลาย การไมเ่ คยี้ วไมช้ ำ� ระฟนั มี โทษ ๕ ประการนี้ โทษ ๕ ประการ คอื
การแพทยใ์ นพระไตรปฎิ ก 39 ๑. ตาฝ้าฟาง ๒. ปากมีกล่นิ เหมน็ ๓. ประสาทล้ินรับรสไดไ้ ม่ดี ๔. น้�ำดีและเสมหะหุ้มห่ออาหาร ๕. เบ่ืออาหาร ภกิ ษทุ ัง้ หลาย การไมเ่ คย้ี วไม้ชำ� ระฟนั มีโทษ ๕ ประการน้ีแล ภกิ ษุทง้ั หลาย การเค้ียวไม้ชำ� ระฟนั มีประโยชน์ ๕ ประการ คือ ๑. ตาสว่าง ๒. ปากไม่มีกลนิ่ เหมน็ ๓. ประสาทลิ้นรับรสได้ดี ๔. นำ�้ ดีและเสมหะไมห่ ุ้มหอ่ อาหาร ๕. เจริญอาหาร ภกิ ษทุ ง้ั หลาย การเค้ยี วไม้ช�ำระฟนั มปี ระโยชน์ ๕ ประการนแี้ ล ภกิ ษทุ ้ังหลายเราอนุญาตไม้ชำ� ระฟัน เร่อื งใหพ้ รเมื่อมีผ้จู าม [๒๘๘] สมัยนั้น พระผู้มีพระภาคห้อมล้อมด้วยบริษัทหมู่ใหญ่ ประทับน่ังแสดงธรรม ได้ทรงจามข้ึน ภกิ ษทุ ง้ั หลายไดถ้ วายพระพรเสยี งดงั วา่ “ขอพระผมู้ พี ระภาคจงทรงพระเจรญิ พระชนมายเุ ถดิ ขอพระสคุ ต จงทรงพระเจรญิ พระชนมายเุ ถดิ พระพทุ ธเจา้ ขา้ ” การแสดงธรรมตอ้ งหยดุ ลงเพราะเสยี งถวายพระพรนนั้ พระผูม้ ีพระภาครับส่ังกบั ภกิ ษทุ ง้ั หลายวา่ “ภกิ ษทุ งั้ หลาย เมือ่ มกี ารจาม ผ้ทู ่ีได้รบั พรว่า ‘ขอจงมอี ายุยืน’ จะมชี วี ิตหรือต้องตายเพราะสาเหตนุ ้ันละหรือ” ภิกษุทง้ั หลายกราบทูลว่า “ไมเ่ ลย พระพุทธเจ้าข้า” พระ ผมู้ พี ระภาครบั สง่ั วา่ “ภกิ ษทุ ง้ั หลาย เมอ่ื มกี ารจาม ภกิ ษไุ มพ่ งึ ใหพ้ รวา่ ‘ขอจงมอี ายยุ นื ’ รปู ใดให้ ตอ้ งอาบตั ิ ทกุ กฎ” สมยั นนั้ ในคราวทภ่ี กิ ษทุ งั้ หลายจาม คนทงั้ หลายใหพ้ รวา่ “ขอทา่ นทง้ั หลายจงมอี ายยุ นื ” ภกิ ษยุ ำ� เกรง อยจู่ งึ ไมย่ อมใหพ้ รตอบ คนทงั้ หลายตำ� หนิ ประณาม โพนทะนาวา่ “ไฉนพวกพระสมณะเชอ้ื สายศากยบตุ ร เมอื่ เขาใหพ้ รวา่ ‘จงมอี ายยุ นื ’ จงึ ไมใ่ หพ้ รตอบเลา่ ” ภกิ ษทุ งั้ หลายจงึ นำ� เรอื่ งนไ้ี ปกราบทลู พระผมู้ พี ระภาค ให้ทรงทราบ พระผู้มีพระภาครับส่ังว่า “ภิกษุทั้งหลาย คนท้ังหลายต้องการความเป็นสิริมงคล ภิกษุทั้ง หลาย เมอ่ื พวกคฤหสั ถใ์ หพ้ รว่า ‘จงมอี ายุยนื ’ เราอนุญาตใหภ้ กิ ษใุ ห้พรตอบวา่ ‘ท่านกจ็ งมอี ายยุ ืน’ ”
การนวดในพระไตรปิฎกและสายธารแห่งการนวดไทย 40 เรือ่ งหมอ้ ปสั สาวะ [๒๙๐] สมัยน้นั ภกิ ษทุ งั้ หลายถา่ ยปัสสาวะลงในท่ีน้ันๆ ในอาราม อารามสกปรก ภิกษทุ ้งั หลายจงึ นำ� เรื่องน้ีไปกราบทูลพระผู้มีพระภาคให้ทรงทราบ พระผู้มีพระภาครับสั่งว่า “ภิกษุทั้งหลาย เราอนุญาตให้ ถา่ ยปสั สาวะในที่สมควร” อารามมกี ลิน่ เหม็น ฯลฯ พระผ้มู ีพระภาครับส่ังวา่ “ภิกษุทั้งหลาย เราอนญุ าตหมอ้ ปัสสาวะ” ภกิ ษทุ งั้ หลายนง่ั ปสั สาวะไมส่ ะดวก ฯลฯ พระผมู้ พี ระภาครบั สง่ั วา่ “ภกิ ษทุ งั้ หลายเราอนญุ าตฐานวาง เท้าถ่ายปัสสาวะ” ฐานวางเท้าถ่ายปัสสาวะอยู่ในท่ีเปิดเผย ภิกษุท้ังหลายละอายท่ีจะถ่ายปัสสาวะฯลฯ พระผ้มู พี ระภาครบั ส่งั ว่า “ภกิ ษทุ ้งั หลาย เราอนญุ าตใหล้ อ้ มร้วั ๓ ชนิด คอื รว้ั อฐิ รั้วศิลา รว้ั ไม”้ หมอ้ ปสั สาวะไมม่ ฝี าปดิ สง่ กลนิ่ เหมน็ ฯลฯ พระผมู้ พี ระภาครบั สง่ั วา่ “ภกิ ษทุ งั้ หลาย เราอนญุ าตฝาปดิ ” เรื่องหลุมถา่ ยอจุ จาระ [๒๙๑] สมยั น้นั พวกภกิ ษุถ่ายอุจจาระลงในทนี่ ั้นๆ ในอาราม อารามสกปรก ภิกษุท้งั หลายจงึ นำ� เรอ่ื ง น้ีไปกราบทูลพระผู้มีพระภาคให้ทรงทราบ พระผู้มีพระภาครับสั่งว่า “ภิกษุทั้งหลาย เราอนุญาตให้ถ่าย อุจจาระในท่ีสมควร” อารามมกี ล่นิ เหมน็ ฯลฯ พระผู้มีพระภาครบั สั่งวา่ “ภิกษุทั้งหลาย เราอนญุ าตหลุมถา่ ยอุจจาระ” ขอบปากหลมุ ถา่ ยอุจจาระพงั ฯลฯ พระผ้มู ีพระภาครบั สง่ั ว่า “ภิกษุทง้ั หลายเราอนญุ าตให้ก่อคนั กัน้ ดนิ ๓ ชนิด คอื คันที่ทำ� ดว้ ยอิฐ คนั ทีท่ ำ� ดว้ ยศลิ า คนั ท่ีทำ� ด้วยไม”้ หลุมอุจจาระพ้นื ตำ�่ นำ�้ จงึ ทว่ ม ฯลฯ รับสั่งว่า “ภกิ ษุทัง้ หลาย เราอนญุ าตให้ถมพืน้ ใหส้ งู ” ดนิ ทถ่ี มพงั ฯลฯ รบั สงั่ วา่ “ภกิ ษทุ งั้ หลาย เราอนญุ าตใหก้ อ่ คนั กน้ั ดนิ ทถ่ี มได้ ๓ ชนดิ คอื คนั ทที่ ำ� ดว้ ยอฐิ คันทท่ี ำ� ด้วยศิลา คนั ทีท่ ำ� ด้วยไม้” ภกิ ษทุ งั้ หลายขน้ึ ลงลำ� บาก ฯลฯ รบั สง่ั วา่ “ภกิ ษทุ งั้ หลาย เราอนญุ าตบนั ได ๓ ชนดิ คอื บนั ไดอฐิ บนั ได ศลิ า บนั ไดไม้” เม่ือภิกษทุ งั้ หลายขึ้นลง พลดั ตกลงมาฯลฯ พระผ้มู ีพระภาครับส่งั วา่ “ภิกษุท้ังหลาย เราอนุญาตราว ส�ำหรับยดึ ”
การแพทยใ์ นพระไตรปิฎก 41 ภิกษุทั้งหลายนั่งถ่ายอุจจาระที่ริมหลุม พลัดตกลงไปฯลฯ พระผู้มีพระภาครับสั่งว่า “ภิกษุท้ังหลาย เราอนุญาตให้ลาดพื้นแลว้ เจาะชอ่ งถ่ายอจุ จาระตรงกลาง” ภกิ ษทุ งั้ หลายนงั่ ถา่ ยอจุ จาระไมส่ ะดวก ฯลฯ พระผมู้ พี ระภาครบั สง่ั วา่ “ภกิ ษทุ ง้ั หลาย เราอนญุ าตฐาน วางเทา้ ถา่ ยอุจจาระ” ภกิ ษทุ ง้ั หลายถา่ ยปสั สาวะออกไปขา้ งนอก ฯลฯ พระผมู้ พี ระภาครบั สง่ั วา่ “ภกิ ษทุ ง้ั หลาย เราอนญุ าต รางรองปัสสาวะ” ไม้ช�ำระไมม่ ี ฯลฯ รับส่งั ว่า “ภิกษทุ งั้ หลาย เราอนญุ าตไมช้ �ำระ” ตะกร้าใส่ไม้ชำ� ระไมม่ ี ฯลฯ พระผูม้ ีพระภาครับสั่งวา่ “ภกิ ษทุ ้งั หลาย เราอนุญาตตะกร้าใส่ไม้ช�ำระ” หลมุ อจุ จาระไมไ่ ดป้ ดิ ฝา สง่ กลน่ิ เหมน็ ฯลฯ พระผมู้ พี ระภาครบั สงั่ วา่ “ภกิ ษทุ ง้ั หลาย เราอนญุ าตฝาปดิ ” เร่ืองวจั กุฎี ภกิ ษทุ งั้ หลายถา่ ยอจุ จาระในทแี่ จง้ ตอ้ งลำ� บากเพราะความรอ้ นบา้ ง เพราะความหนาวบา้ ง ฯลฯ พระ ผมู้ ีพระภาครบั สัง่ ว่า “ภกิ ษุท้ังหลาย เราอนญุ าตวจั กฎุ ”ี วจั กฎุ ไี มม่ บี านประตู ฯลฯ พระผ้มู พี ระภาครับสั่งวา่ “ภกิ ษุทั้งหลาย เราอนญุ าตบานประตู กรอบเช็ด หนา้ รคู รกทร่ี บั เดอื ยประตู หว่ งขา้ งบน สายยู ไมห้ วั ลงิ กลอนลมิ่ ชอ่ งดาล ชอ่ งสำ� หรบั ชกั เชอื กสำ� หรบั ชกั ” ผงหญา้ ตกเกลื่อนวจั กฎุ ี ฯลฯ พระผมู้ พี ระภาครับส่ังว่า “ภิกษุทง้ั หลาย เราอนุญาตให้ร้ือลง แล้วเอา ดนิ โบกฉาบดนิ ทงั้ ภายในภายนอก ทำ� ใหม้ สี ขี าว ใหม้ สี ดี ำ� ใหม้ สี ยี างไม้ เขยี น ลวดลายดอกไม้ เขยี นลวดลาย เถาวัลย์ จักเป็นฟันมงั กร เขยี นลวดลายดอกจอก ราวจีวร สายระเดยี ง” [๒๙๒] สมัยนั้น ภกิ ษุรปู หนึง่ ทพุ พลภาพเพราะชรา ถา่ ยอุจจาระแล้วลุกข้ึน ลม้ ลง ภกิ ษุทง้ั หลายจึงนำ� เรอ่ื งนไ้ี ปกราบทลู พระผมู้ พี ระภาคใหท้ รงทราบ พระผมู้ พี ระภาครบั สง่ั วา่ “ภกิ ษทุ งั้ หลาย เราอนญุ าตเชอื ก สำ� หรบั เหนย่ี ว” วัจกุฎีไม่ได้ล้อมรั้ว ภิกษุท้ังหลายจึงน�ำเรื่องน้ีไปกราบทูลพระผู้มีพระภาคให้ทรงทราบ พระผู้มีพระ ภาครบั สั่งวา่ “ภิกษุทัง้ หลาย เราอนญุ าตใหล้ อ้ มรว้ั ๓ ชนิด คอื รว้ั อิฐ รว้ั ศลิ า ร้วั ไม”้
การนวดในพระไตรปฎิ กและสายธารแหง่ การนวดไทย 42 วัจกฎุ ไี มม่ ซี มุ้ ฯลฯ พระผ้มู พี ระภาครบั สัง่ ว่า“ภิกษทุ ้ังหลาย เราอนุญาตซมุ้ ” ซุ้มมพี ืน้ ทีต่ ่ำ� ฯลฯ พระผู้มีพระภาครับสัง่ วา่ “ภกิ ษุทัง้ หลาย เราอนุญาตใหถ้ มพนื้ ให้สงู ” ดนิ ท่ถี มพงั ทะลาย ฯลฯ พระผมู้ ีพระภาครับสัง่ ว่า “ภกิ ษุทง้ั หลาย เราอนญุ าตใหก้ อ่ คนั กัน้ ดินทถ่ี ม ๓ ชนิด คือ คนั ท่ีทำ� ดว้ ยอิฐ คันท่ที ำ� ดว้ ยศิลา คนั ที่ทำ� ด้วยไม้” ภกิ ษุทงั้ หลายขึ้นลงล�ำบาก ฯลฯ พระผมู้ พี ระภาครับส่งั วา่ “ภิกษุทั้งหลาย เราอนุญาตบนั ได ๓ ชนิด คอื บนั ไดอิฐ บนั ไดศิลา บนั ไดไม้” เม่ือภิกษุท้ังหลายขึ้นลงพลัดตกลงมา ฯลฯ พระผู้มีพระภาครับสั่งว่า“ภิกษุทั้งหลาย เราอนุญาตราว สำ� หรับยึด” ซุ้มไม่มปี ระตู ฯลฯ พระผ้มู ีพระภาครบั ส่ังว่า “ภิกษุท้งั หลาย เราอนุญาตบานประตู กรอบเชด็ หนา้ รู ครกทีร่ บั เดือยประตู หว่ งขา้ งบน สายยู ไม้หัวลงิ กลอนล่มิ ช่องดาล ชอ่ งสำ� หรบั ชัก เชือกสำ� หรับชกั ” ผงหญา้ ตกเกลอ่ื นทซ่ี มุ้ ฯลฯ พระผู้มพี ระภาครับส่งั ว่า “ภิกษุทัง้ หลาย เราอนญุ าตให้ร้อื ลงแล้วเอาดนิ โบก ฉาบทงั้ ภายในภายนอก ทำ� ใหม้ สี ขี าว ใหม้ สี ดี ำ� ใหม้ สี ยี างไม้ เขยี นลวดลายพวงดอกไม้ เขยี นลวดลายเถาวลั ย์ จักเปน็ ฟันมงั กร เขยี นลวดลายดอกจอก” บริเวณลืน่ ฯลฯ พระผู้มพี ระภาครับสงั่ ว่า “ภกิ ษทุ ั้งหลาย เราอนญุ าตให้โรยกรวดแร่” กรวดแรย่ ังไมเ่ ตม็ ฯลฯ พระผู้มีพระภาครบั สงั่ วา่ “ภกิ ษทุ ้งั หลาย เราอนญุ าตใหว้ างศลิ าเรียบ” น้�ำขงั ฯลฯ พระผู้มีพระภาครบั สง่ั ว่า “ภกิ ษทุ ั้งหลาย เราอนุญาตทอ่ ระบายน้�ำ” หม้ออจุ จาระไมม่ ี ฯลฯ พระผมู้ ีพระภาครบั สั่งว่า “ภิกษุท้งั หลาย เราอนุญาตหม้ออจุ จาระ” กระบอกขนั ตกั นำ�้ ลา้ งอจุ จาระไมม่ ี ฯลฯ พระผมู้ พี ระภาครบั สงั่ วา่ “ภกิ ษทุ ง้ั หลายเราอนญุ าตกระบอก ขนั ตกั น้ำ� ล้างอจุ จาระ” ภกิ ษทุ ั้งหลายนง่ั ชำ� ระไม่สะดวก ฯลฯ พระผมู้ ีพระภาครับส่ังวา่ “ภิกษุท้ังหลาย เราอนญุ าตฐานวาง เท้าชำ� ระ”
การแพทย์ในพระไตรปิฎก 43 ฐานที่น่งั ถ่ายอยใู่ นทเ่ี ปดิ เผย ภิกษทุ ้ังหลายละอายทีจ่ ะถา่ ย ฯลฯ พระผู้มพี ระภาครับสง่ั ว่า “ภกิ ษุทง้ั หลาย เราอนญุ าตให้ล้อมร้วั ๓ ชนิด คือ รว้ั อิฐ ร้ัวศิลา รวั้ ไม”้ หมอ้ อจุ จาระไมไ่ ดป้ ดิ ผงหญา้ และขฝ้ี นุ่ ตกลง ฯลฯ พระผมู้ พี ระภาครบั สงั่ วา่ “ภกิ ษทุ ง้ั หลาย เราอนญุ าตฝาปดิ ” เร่อื งภกิ ษุณนี วดกาย สมยั นนั้ ภกิ ษณุ ที งั้ หลายใชก้ ระดกู แขง้ โคขดั สตี ะโพก ใชไ้ มม้ สี ณั ฐานดจุ คางโคนวดตะโพก นวดมอื นวด หลงั มอื นวดเทา้ นวดหลงั เทา้ นวดขาออ่ น นวดหนา้ นวดรมิ ฝปี าก คนทงั้ หลายตำ� หนิ ประณามโพนทะนา ว่า “ฯลฯ เหมือนหญงิ คฤหสั ถผ์ ู้บริโภคกาม” ภิกษุท้ังหลายจึงน�ำเรื่องนี้ไปกราบทูลพระผู้มีพระภาคให้ทรงทราบ พระผู้มีพระภาครับส่ังว่า “ภิกษุ ทง้ั หลาย ภกิ ษณุ ีไมพ่ งึ ใชก้ ระดกู แขง้ โคสีตะโพก... ไม่พึงใชไ้ ม้มสี ัณฐานดุจคางโคนวดตะโพก ... ไมพ่ ึงนวด มือ ... ไมพ่ งึ นวดหลงั มอื ...ไมพ่ ึงนวดเท้า ... ไม่พึงนวดหลงั เทา้ ... ไม่พงึ นวดขาอ่อน ... ไม่พึงนวดหนา้ ... ไม่พงึ นวดริมฝปี าก รูปใดนวด ตอ้ งอาบัตทิ ุกกฎ” เรอ่ื งภิกษุณที าหน้า [๔๑๗] สมยั นั้น พวกภิกษณุ ีฉพั พคั คยี ์ทาหน้า ... ถูหน้า ... ผดั หนา้ ... เจมิ หน้าด้วยมโนศลิ า ... ย้อม ตัว ... ยอ้ มหน้า ... ยอ้ มทัง้ ตัวและหน้า คนทัง้ หลายตำ� หนิ ประณาม โพนทะนาว่า “ฯลฯ เหมือนหญงิ คฤหัสถ์ผบู้ รโิ ภคกาม” ภิกษุท้ังหลายจึงน�ำเรื่องนี้ไปกราบทูลพระผู้มีพระภาคให้ทรงทราบ พระผู้มีพระภาครับสั่งว่า “ภิกษุ ทั้งหลาย ภิกษุณไี ม่พึงทาหน้า ... ไม่พงึ ถูหนา้ ... ไม่พึงผดั หนา้ ... ไม่เจมิ หนา้ ดว้ ยมโนศิลา ... ไมพ่ งึ ยอ้ มตวั ... ไมพ่ ึงย้อมหนา้ ... ไมพ่ งึ ยอ้ มทัง้ ตวั และหน้า รปู ใดท�ำ ต้องอาบตั ทิ ุกกฎ” สมยั น้นั ภิกษุณีทั้งหลายแตม้ หน้า ... ทาแกม้ .... เล่นหเู ลน่ ตา ... ยนื แอบท่ปี ระตู .... ใหผ้ ู้อ่นื ฟ้อนร�ำ ... ตัง้ สำ� นกั หญงิ แพศยา...ตัง้ ร้านขายสรุ า..ตง้ั ร้านขายเน้อื ..ออกรา้ นขายของเบ็ดเตล็ด ... ประกอบการค้า ก�ำไร ... ประกอบการค้าขาย ... ใชท้ าสใหป้ รนนบิ ัติ ... ใช้ทาสใี ห้ปรนนิบตั ิ ... ใชก้ รรมกรชายใหป้ รนนบิ ตั .ิ .. ใชก้ รรมกร หญงิ ใหป้ รนนบิ ตั .ิ .. ใชส้ ตั วด์ ริ จั ฉานใหป้ รนนบิ ตั .ิ .. ขายของสดและของสกุ ใชส้ นั ถดั ๓๖ ขนเจยี มหลอ่ ๓๗ คนทั้งหลายต�ำหนิ ประณาม โพนทะนาว่า “ฯลฯ เหมือนหญงิ คฤหสั ถ์ผ้บู รโิ ภคกาม” ๓๖ สันถัด หมายถึง อาสนะ ผ้ารองน่งั เบาะรองน่ัง ๓๗ ขนเจยี ม หมายถึง ขนจามรี
การนวดในพระไตรปฎิ กและสายธารแห่งการนวดไทย 44 ภกิ ษทุ ้ังหลายจึงนำ� เร่อื งนไี้ ปกราบทลู พระผมู้ ีพระภาคใหท้ รงทราบ พระผู้มพี ระภาครบั สงั่ ว่า “ภกิ ษทุ งั้ หลาย ภกิ ษณุ ที ั้งหลาย ไม่พึงแต้มหน้า ... ไม่พงึ ทาแกม้ ... ไม่พงึ เล่นหเู ล่นตา ... ไมพ่ งึ ยนื แอบท่ปี ระตู ... ไมพ่ งึ ใหผ้ ู้อื่นฟ้อนรำ� ...ไม่พงึ ตง้ั สำ� นกั หญงิ แพศยา ... ไมพ่ ึงต้ังรา้ น ขายสรุ า ... ไมพ่ งึ ต้ังรา้ นขายเนอ้ื ... ไม่พึงออกร้านขายของเบด็ เตล็ด ... ไมพ่ ึงประกอบการคา้ กำ� ไร ... ไม่ พงึ ประกอบการคา้ ขาย... ไม่พึงใช้ทาสให้ปรนนิบตั ิ ... ไม่พงึ ใช้ทาสใี หป้ รนนิบัติ ... ไม่พึงใช้กรรมกรชายให้ ปรนนิบตั ิ ... ไม่พึงใชก้ รรมกรหญงิ ให้ปรนนิบตั ิ ... ไมพ่ ึงใช้สัตวด์ ริ ัจฉานใหป้ รนนบิ ตั ิ ...ไม่พงึ ขายของสด และของสุก ... ไมพ่ งึ ใช้สนั ถัตขนเจียมหล่อ รปู ใดใช้ ตอ้ งอาบัตทิ ุกกฏ” เรือ่ งผา้ นงุ่ ของภกิ ษณุ ี สมัยนั้น ภิกษุณที งั้ หลายมรี ะดู นง่ั บ้าง นอนบา้ ง บนเตยี งท่บี ุไว้ บนตง่ั ที่บุไว้ เสนาสนะเปอ้ื นโลหติ ภิกษทุ ้งั หลายจงึ นำ� เรอื่ งนไ้ี ปกราบทลู พระผมู้ พี ระภาคใหท้ รงทราบ พระผมู้ พี ระภาครบั สง่ั วา่ “ภกิ ษทุ ง้ั หลาย ภกิ ษณุ ี ไม่พงึ นั่ง ไมพ่ ึงนอน บนเตียงท่ีบุไว้ รูปใดนงั่ หรอื นอน ตอ้ งอาบตั ทิ กุ กฎ ภกิ ษุท้ังหลาย เราอนุญาตผา้ ผลัด เปลี่ยน” ผ้าผลัดเปล่ียนเปอื้ นโลหิต ภิกษุทัง้ หลายจึงน�ำเรอ่ื งนี้ไปกราบทูลพระผู้มพี ระภาคให้ทรงทราบ พระผู้ มีพระภาครบั ส่ังว่า “ภิกษทุ งั้ หลาย เราอนุญาตผ้าซับใน” ผ้าซับในหลุด ภิกษุท้ังหลายจึงน�ำเร่ืองน้ีไปกราบทูลพระผู้มีพระภาคให้ทรงทราบ พระผู้มีพระภาค รบั สงั่ ว่า “ภกิ ษุท้ังหลาย เราอนญุ าตให้ใชเ้ ชอื กผูกไว้ที่ขาออ่ น” เชอื กขาด ภิกษทุ ัง้ หลายจงึ น�ำเรอ่ื งนไี้ ปกราบทลู พระผูม้ ีพระภาคให้ทรงทราบ พระผมู้ พี ระภาครับสั่ง วา่ “ภิกษุท้งั หลาย เราอนุญาตเชือกฟนั่ ผูกสะเอว” สมยั นนั้ พวกภิกษุณฉี พั พคั คยี ใ์ ชเ้ ชือกฟนั่ ผูกสะเอวตลอดเวลา คนท้ังหลายต�ำหนปิ ระณาม โพนทะนา วา่ “เหมอื นหญงิ คฤหสั ถผ์ บู้ รโิ ภคกาม” ภกิ ษทุ ง้ั หลายจงึ นำ� เรอ่ื งนไี้ ปกราบทลู พระผมู้ พี ระภาคใหท้ รงทราบ พระผมู้ พี ระภาครับส่ังวา่ “ภิกษุทัง้ หลาย ภิกษณุ ีไม่พึงใช้เชือกผูกสะเอวตลอดเวลา รปู ใดใช้ ต้องอาบัตทิ ุก กฎ ภิกษทุ ง้ั หลาย เราอนุญาตเชอื กฟ่นั ผูกสะเอวแก่ภกิ ษุณที ่มี รี ะด”ู
การแพทย์ในพระไตรปิฎก 45 เรอื่ งภิกษณุ ีใชจ้ รุ ณ๓๘สรงน้�ำ [๔๓๖] สมยั นน้ั ภกิ ษณุ ที ง้ั หลายใชจ้ รุ ณสรงนำ�้ คนทง้ั หลายตำ� หนิ ประณามโพนทะนาวา่ “ฯลฯ เหมอื น หญงิ คฤหสั ถผ์ บู้ รโิ ภคกาม” ภกิ ษทุ งั้ หลายจงึ นำ� เรอ่ื งนไี้ ปกราบทลู พระผมู้ พี ระภาคใหท้ รงทราบ พระผมู้ พี ระ ภาครับส่ังว่า “ภิกษุท้ังหลาย ภิกษุณีไม่พึงใช้จุรณสรงน�้ำ รูปใดใช้ ต้องอาบัติทุกกฎ ภิกษุท้ังหลาย เรา อนญุ าตให้ใช้รำ� ข้าว และดินเหนยี ว” สมยั นน้ั ภกิ ษุณีทง้ั หลายใชด้ นิ เหนยี วอบกลิ่นสรงน้�ำ คนทั้งหลายตำ� หนิ ประณามโพนทะนาว่า “ฯลฯ เหมอื นหญงิ คฤหสั ถผ์ บู้ รโิ ภคกาม” ภกิ ษทุ งั้ หลายจงึ นำ� เรอ่ื งนไี้ ปกราบทลู พระผมู้ พี ระภาคใหท้ รงทราบ พระ ผู้มพี ระภาครับสง่ั ว่า “ภกิ ษทุ ัง้ หลาย ภกิ ษณุ ไี มพ่ ึงใชด้ ินเหนยี วท่อี บกล่ินสรงนำ้� รปู ใดใช้ ตอ้ งอาบตั ิทกุ กฎ ภิกษทุ ้งั หลาย เราอนญุ าตดนิ เหนยี วธรรมดา” สมัยน้ัน ภิกษุณีท้ังหลายสรงน�้ำในเรือนไฟ เกิดชุลมุน ภิกษุทั้งหลายจึงน�ำเรื่องน้ีไปกราบทูลพระผู้มี พระภาคให้ทรงทราบ พระผู้มีพระภาครบั สั่งว่า “ภกิ ษุท้งั หลาย ภกิ ษณุ ไี ม่พึงสรงนำ้� ในเรือนไฟ รปู ใดสรง ตอ้ งอาบตั ทิ กุ กฎ” สมัยน้ัน ภิกษุณีท้ังหลายสรงน�้ำทวนกระแส ยินดีสัมผัสแห่งสายน้�ำ ภิกษุทั้งหลายจึงน�ำเร่ืองนี้ไป กราบทลู พระผมู้ พี ระภาคให้ทรงทราบ พระผูม้ ีพระภาครบั ส่ังวา่ “ภิกษทุ ั้งหลาย ภิกษุณีไม่พงึ สรงนำ้� ทวน กระแส รูปใดสรง ต้องอาบัตทิ ุกกฎ” สมัยนัน้ ภิกษณุ ีทง้ั หลายสรงน้ำ� ในทไ่ี มใ่ ชท่ า่ น้�ำ ถูกพวกนกั เลงทำ� มิดมี ิรา้ ย ภิกษทุ ัง้ หลายจงึ น�ำเรือ่ งน้ี ไปกราบทูลพระผ้มู พี ระภาคให้ทรงทราบ พระผมู้ พี ระภาครับสงั่ ว่า “ภิกษุทงั้ หลาย ภิกษุณไี ม่พึงสรงน้ำ� ใน ท่ไี ม่ใช่ทา่ น้�ำรูปใดสรง ตอ้ งอาบตั ิทุกกฎ” ๓๘ ของท่ีป่น ของที่ละเอยี ด แหลกเปน็ ผง
การนวดในพระไตรปิฎกและสายธารแหง่ การนวดไทย 46 (ข) การแพทย์ในพระสุตตันตปฎิ ก ๑. พระไตรปฎิ กเลม่ ท่ี ๑๐ สตุ ตันตปฎิ กที่ ๐๒ ทฆี นิกาย มหาวรรค พระสุตตันตปิฏกทฆี นกิ าย มหาวรรค [๓. มหาปรินิพพานสตู ร] พระปัจฉิมวาจาของพระตถาคต [๒๑๘] ลำ� ดบั นน้ั พระผมู้ พี ระภาครบั สง่ั เรยี กภกิ ษทุ งั้ หลายมาตรสั วา่ “ภกิ ษทุ งั้ หลาย บดั นเ้ี ราขอเตอื น เธอท้ังหลาย สังขารท้ังหลายมีความเส่ือมไปเป็นธรรมดา เธอทั้งหลายจงท�ำหน้าท่ีให้ส�ำเร็จด้วยความไม่ ประมาทเถิด” น้เี ป็นพระปัจฉมิ วาจาของพระตถาคต พระสตุ ตันตปิฎก ทฆี นกิ าย มหาวรรค [๙. มหาสติปฏั ฐานสูตร] กายานปุ สั สนา กายานปุ ัสสนา หมวดมนสกิ ารสงิ่ ปฏิกลู [๓๗๗] ภกิ ษทุ งั้ หลาย อกี ประการหนง่ึ ภกิ ษพุ จิ ารณาเหน็ กายนี้ ตงั้ แตฝ่ า่ เทา้ ขน้ึ ไปเบอ้ื งบน ตงั้ แตป่ ลาย ผมลงมาเบ้ืองล่าง มีหนงั หุ้มอยโู่ ดยรอบ เต็มไปดว้ ยสิง่ ท่ีไมส่ ะอาดชนดิ ตา่ งๆ วา่ ‘ในกายนี้ มีผม ขน เลบ็ ฟนั หนังเน้อื เอ็น กระดกู เยอ่ื ในกระดูก ไต หัวใจ ตบั พังผดื ม้าม ปอดล�ำไสใ้ หญ่ ลำ� ไสเ้ ล็ก อาหารใหม่ อาหารเก่า ดี เสลด หนอง เลือด เหง่อื มันขน้ น้ำ� ตา เปลวมัน นำ้� ลาย น�้ำมกู ไขขอ้ มตู ร’ ภกิ ษทุ ง้ั หลาย ถุงมปี าก ๒ ข้าง เตม็ ไปดว้ ยธญั พชื ชนดิ ต่างๆ คอื ขา้ วสาลี ข้าวเปลอื ก ถ่วั เขียว ถ่วั เหลอื ง เมล็ดงา ข้าวสาร คนตาดเี ปดิ ถงุ ยาวนนั้ ออกพจิ ารณาเหน็ วา่ ‘นเี้ ปน็ ขา้ วสาลี นเี้ ปน็ ขา้ วเปลอื ก นเ้ี ปน็ ถว่ั เขยี ว นเี้ ปน็ ถวั่ เหลอื ง นเ้ี ปน็ เมลด็ งา นเ้ี ปน็ ขา้ วสาร’ แมฉ้ นั ใด ภกิ ษกุ ฉ็ นั นน้ั เหมอื นกนั พจิ ารณาเหน็ กายนตี้ งั้ แตฝ่ า่ เทา้ ขนึ้ ไปเบอ้ื ง บน ต้งั แต่ปลายผมลงมาเบ้อื งล่าง มหี นงั หุม้ อย่โู ดยรอบ เตม็ ไปด้วยส่ิงท่ไี ม่สะอาดชนิดต่างๆ วา่ ‘ในกายนี้ มีผม ขน เล็บ ฟนั หนังเนื้อ เอ็น กระดกู เยอื่ ในกระดูก ไต หัวใจ ตบั พังผืด ม้าม ปอด ลำ� ไส้ใหญ่ ลำ� ไส้เลก็ อาหารใหม่ อาหารเก่า ดี เสลด หนอง เลือด เหงอ่ื มนั ขน้ น�้ำตา เปลวมนั น�้ำลาย น�้ำมูก ไขข้อ มูตร’ ดว้ ยวธิ นี ี้ ภกิ ษพุ จิ ารณาเหน็ กายในกายภายใน๓๙ อยู่ พจิ ารณาเหน็ กายในกายภายนอก๔๐ อยู่ หรอื พจิ ารณา เหน็ กายในกาย ทงั้ ภายในทง้ั ภายนอกอยู่ พจิ ารณาเหน็ ธรรมเปน็ เหตเุ กดิ ในกายอยู่ พจิ ารณาเหน็ ธรรมเปน็ เหตุดบั ในกายอยู่ หรือพิจารณาเหน็ ท้ังธรรมเปน็ เหตุเกิด ทงั้ ธรรมเปน็ เหตุดับในกายอยู่ หรือวา่ ภกิ ษุนัน้ มี สตปิ รากฏอย่เู ฉพาะหน้าวา่ ‘กายมอี ย’ู่ ก็เพียงเพอ่ื อาศัยเจรญิ ญาณ เจริญสติเท่านน้ั ไมอ่ าศยั (ตัณหาและ ทฏิ ฐิ) อยู่ และไมย่ ึดมนั่ ถือมนั่ อะไรๆ ในโลก ภิกษุทัง้ หลาย ภกิ ษพุ จิ ารณาเห็นกายในกายอยู่ อย่างน้แี ล ๓๙ กายภายใน ในทน่ี ้ีหมายถงึ อาการ ๓๒ มีผมเป็นตน้ ในกายของตน (ท.ี ม.อ. ๓๗๗/๓๘๔) ๔๐ กายภายนอก ในทนี่ ห้ี มายถงึ อาการ ๓๒ มผี มเปน็ ตน้ ในกายของผอู้ นื่ (ที.ม.อ. ๓๗๗/๓๘๔)
การแพทย์ในพระไตรปฎิ ก 47 เชิงอรรถ : คำ� ว่า วักกะ โบราณแปลว่า “ม้าม” และแปลคำ� ปหิ กะ ว่า “ไต” แตใ่ นทนี่ ้ี แปลค�ำวักกะ วา่ “ไต” และแปลคำ� ปหิ กะ ว่า “ม้าม” อธบิ ายว่า ไต ได้แก่ กอ้ นเน้ือ ๒ กอ้ น มขี วั้ เดียวกัน รปู ร่าง คลา้ ยลกู สะบ้าของเดก็ ๆ หรอื คล้ายผลมะม่วง ๒ ผล ทต่ี ดิ อยูใ่ นขัว้ เดียวกัน มีเอ็นใหญ่รงึ รดั จาก ล�ำคอลงไปถึงหวั ใจ แล้วแยกออกหอ้ ยอยู่ท้งั ๒ ขา้ ง (ข.ุ ขุ.อ. ๔๓-๔๔) พจนานุกรม ฉบบั ราชบัณฑติ ยสถาน พ.ศ. ๒๕๒๕ แปล“วักกะ” วา่ “ไต” และให้บทนยิ าม ของ“ไต” ไวว้ า่ “อวยั วะคหู่ นง่ึ ของคนและสตั ว์ อยใู่ นชอ่ งทอ้ งใกลก้ ระดกู สนั หลงั ทำ� หนา้ ทข่ี บั ของ เสยี ออกมากบั นำ�้ ปสั สาวะ” แปล “ปหิ กะ” วา่ “มา้ ม” และใหบ้ ทนยิ ามไวว้ า่ “อวยั วะภายในรา่ งกาย ริมกระเพาะอาหารข้างซ้าย มีหน้าที่ท�ำลายเม็ดเลือดแดง สร้างเม็ดน้�ำเหลืองและสร้างภูมิคุ้มกัน ของรา่ งกาย”, Buddhadatta Mahathera, A. Concise Pali-English Dictionary; RhysDavids. T.W. Pali-English Dictionary, ให้ความหมายของค�ำว่า “วักกะ” ตรงกันว่า หมายถึง “ไต” (Kidney) [๓๗๘] ภิกษทุ ัง้ หลาย อกี ประการหน่ึง ภกิ ษพุ จิ ารณาเหน็ กายนี้ตามทีต่ ้งั อยู่ ตามท่ดี �ำรงอยู่ โดยความ เปน็ ธาตุวา่ ‘ในกายนี้ มธี าตดุ นิ ธาตนุ �ำ้ ธาตุไฟ ธาตลุ มอยู่’ ภกิ ษทุ ัง้ หลาย คนฆ่าโคหรอื ลกู มอื ของคนฆ่าโค ผมู้ คี วามชำ� นาญ ครน้ั ฆา่ โคแลว้ แบง่ อวยั วะออกเปน็ สว่ นๆ นงั่ อยทู่ ห่ี นทางใหญส่ แ่ี พรง่ แมฉ้ นั ใด ภกิ ษกุ ฉ็ นั นน้ั เหมอื นกนั พจิ ารณาเหน็ กายนตี้ ามทตี่ ง้ั อยู่ ตามทดี่ ำ� รงอยู่ โดยความเปน็ ธาตวุ า่ ‘ในกายนี้ มธี าตดุ นิ ธาตนุ ำ้� ธาตไุ ฟ ธาตลุ มอย’ู่ ดว้ ยวธิ นี ี้ ภกิ ษพุ จิ ารณาเหน็ กายในกายภายในอยู่ พจิ ารณาเหน็ กายในกายภายนอกอยู่ หรอื พจิ ารณาเหน็ กายในกายทงั้ ภายใน ทง้ั ภายนอกอยู่ พจิ ารณาเหน็ ธรรมเปน็ เหตเุ กดิ ในกายอยู่ พจิ ารณา เหน็ ธรรมเป็นเหตดุ ับในกายอยู่ หรือพจิ ารณาเหน็ ทงั้ ธรรมเป็นเหตเุ กดิ ท้ังธรรมเป็นเหตุดบั ในกายอยหู่ รือ วา่ ภกิ ษนุ นั้ มสี ตปิ รากฏอยเู่ ฉพาะหนา้ วา่ ‘กายมอี ย’ู่ กเ็ พยี งเพอื่ อาศยั เจรญิ ญาณ เจรญิ สตเิ ทา่ นนั้ ไมอ่ าศยั (ตัณหาและทฏิ ฐิ) อยู่ และไมย่ ดึ มัน่ ถอื ม่นั อะไรๆ ในโลก ภิกษุทงั้ หลายภิกษุพจิ ารณาเหน็ กายในกายอยู่ อย่างน้แี ล
การนวดในพระไตรปฎิ กและสายธารแหง่ การนวดไทย 48 ๒. พระไตรปิฎกเลม่ ที่ ๑๑ สตุ ตนั ตปิฎกที่ ๐๓ ทีฆนิกาย ปาฏกิ วรรค ความปรากฏแห่งง้วนดนิ [๑๒๐] วาเสฏฐะและภารทวาชะ สมยั น้นั ท่วั ท้งั จักรวาลนแี้ หละเปน็ น�้ำทง้ั นัน้ มดื มนอนธการ ดวง จันทร์ ดวงอาทติ ย์ ดวงดาวนกั ษัตรท้ังหลาย ยงั ไม่ปรากฏ กลางคืน กลางวนั ยงั ไมป่ รากฏ เดอื นหนึ่ง คร่ึง เดอื น ฤดแู ละปี ก็ยังไม่ปรากฏ หญิง ชาย ก็ยงั ไม่ปรากฏ สตั วท์ ้งั หลายปรากฏชอ่ื แต่เพียงวา่ ‘สตั ว’์ เท่าน้นั ครนั้ เวลาลว่ งเลยมาชา้ นาน เกดิ งว้ นดนิ ลอยอยบู่ นนำ�้ ปรากฏแกส่ ตั วเ์ หลา่ นนั้ ดจุ นำ้� นมทบี่ คุ คลเคย่ี วใหแ้ หง้ แล้วท�ำให้เย็นสนิทจับเป็นฝาอยู่ข้างบน ง้วนดินนั้นสมบูรณ์ด้วยสี สมบูรณ์ด้วยกลิ่น สมบูรณ์ด้วยรส มีสี เหมอื นเนยใสหรอื เนยข้นอยา่ งดี และมรี สอร่อยเหมือนนำ้� ผง้ึ ม้ิมซ่ึงปราศจากโทษ ตอ่ มา สัตวผ์ ู้หน่งึ มีนิสยั โลภกลา่ วว่า ‘ทา่ นผ้เู จริญ ส่งิ นีจ้ ะเป็นเช่นไร’ แลว้ ใชน้ ิว้ ช้อนง้วนดนิ ขน้ึ มาล้ิมดู เม่อื เขาใช้นิ้วช้อนง้วนดนิ ขน้ึ มาลม้ิ ดอู ยู่ รสงว้ นดนิ ไดแ้ ผซ่ า่ นไป เขาจงึ เกดิ ความอยากในรส แมส้ ตั วเ์ หลา่ อนื่ กพ็ ากนั ถอื แบบอยา่ งสตั ว์ นนั้ จงึ ใชน้ ว้ิ ชอ้ นงว้ นดนิ ขนึ้ มาลมิ้ ดู เมอื่ สตั วเ์ หลา่ นนั้ ใชน้ วิ้ ชอ้ นงว้ นดนิ ขนึ้ มาลมิ้ ดอู ยู่ รสงว้ นดนิ กแ็ ผซ่ า่ นไป ๑. มาเปน็ อย่างน้ี ในที่นห้ี มายถึงมาเกดิ เป็นมนษุ ย์ (ท.ี ปา.อ. ๑๑๙/๕๐) ๒. นึกคิดอะไรก็ส�ำเร็จได้ตามปรารถนา หมายความว่าสัตว์เหล่าน้ันแม้มาเกิดในมนุษยโลกน้ี ก็ยังเป็นโอปปาติกะ เกิดข้ึนด้วยใจท่ีบรรลุอุปจารฌานอย่างเดียวกัน (ที.ปา.อ. ๑๑๙/๕๐,ท.ี ปา.ฏกี า ๑๑๙/๕๒) ๓. มีปีติเป็นภักษา หมายความว่า แม้อยู่ในมนุษยโลกน้ี ก็มีปีติเป็นอาหารเหมือนอยู่ใน พรหมโลก (ท.ี ปา.อ.๑๑๙/๕๐) ๔. ปราศจากโทษ ในท่ีนหี้ มายถึง ไม่มตี วั ออ่ นในรงั (ที.ปา.อ. ๑๒๐/๕๑) ๕. สิง่ นจ้ี ะเปน็ เชน่ ไร หมายความว่า รสของงว้ นดินน้ีจะเปน็ เช่นไร (ท.ี ปา.อ. ๑๒๐/๕๑) และสตั ว์เหล่านนั้ ก็เกิดความอยากในรสขึน้ เช่นเดยี วกนั เชิงอรรถ : ความปรากฏแหง่ ดวงจนั ทรแ์ ละดวงอาทิตย์ [๑๒๑] วาเสฏฐะและภารทวาชะ ตอ่ มา สตั วเ์ หลา่ นน้ั พากนั ใชม้ อื ปน้ั งว้ นดนิ ใหเ้ ปน็ คำ� ๆ เพอ่ื จะบรโิ ภค เมอื่ ใด สตั วเ์ หลา่ นนั้ พากนั ใชม้ อื ปน้ั งว้ นดนิ ใหเ้ ปน็ คำ� ๆ เพอ่ื บรโิ ภค เมอ่ื นนั้ รศั มที ซี่ า่ นออกจากรา่ งกายของ สัตว์เหล่านั้นก็หายไป เมื่อรัศมีที่ซ่านออกจากร่างกายหายไป ดวงจันทร์ ดวงอาทิตย์ ก็ปรากฏ เมื่อดวง จันทร์ ดวงอาทิตย์ปรากฏ ดวงดาวนกั ษัตรท้ังหลาย ก็ปรากฏ เมื่อดวงดาวนักษัตรท้งั หลายปรากฏ กลาง คืน กลางวนั ก็ปรากฏ เมอ่ื กลางคนื กลางวนั ปรากฏ เดือนหน่งึ ครึง่ เดือน กป็ รากฏ เมอื่ เดอื นหน่งึ ครงึ่ เดือนปรากฏ ฤดูและปี กป็ รากฏ ด้วยเหตเุ พยี งเท่าน้ี โลกนี้ จึงได้กลับฟื้นขน้ึ อีก
การแพทย์ในพระไตรปิฎก 49 [๑๒๒] วาเสฏฐะและภารทวาชะ ครั้นต่อมา สัตว์เหล่าน้ันเมื่อบรโิ ภคงว้ นดิน มีง้วนดนิ น้ันเปน็ ภกั ษา มีงว้ นดนิ นนั้ เปน็ อาหาร ไดด้ �ำรงอยนู่ านแสนนาน เมอื่ บรโิ ภคงว้ นดิน มีงว้ นดนิ นัน้ เป็นภักษา มีงว้ นดนิ นน้ั เปน็ อาหาร ไดด้ ำ� รงอยนู่ านแสนนาน สัตวเ์ หลา่ นนั้ จงึ มีรา่ งกายหยาบข้นึ ทั้งผิวพรรณก็ปรากฏแตกต่างกนั สัตว์บางพวกมีผิวพรรณงาม บางพวกมผี ิวพรรณทราม สัตวเ์ หล่าใดมีผวิ พรรณงาม สตั ว์เหลา่ นั้นก็ดูหมิน่ สตั วท์ มี่ ผี วิ พรรณทรามวา่ ‘พวกเรามผี วิ พรรณงามกวา่ สตั วเ์ หลา่ นน้ั สตั วเ์ หลา่ นน้ั มผี วิ พรรณทรามกวา่ พวก เรา’ เมือ่ สัตวเ์ หล่านั้นเกิดมมี านะถอื ตัว เพราะการดหู มิน่ เร่ืองผิวพรรณเป็นปัจจยั งว้ นดนิ จงึ หายไป เมือ่ งว้ นดินหายไป สตั วเ์ หล่านั้นจึงประชุมกัน คร้นั แล้วต่างกพ็ ากนั โหยหาวา่ ‘รสเอย๋ รสเอ๋ย’ แมท้ กุ วนั น้ีกเ็ หมือนกัน พวกมนุษย์ไดข้ องมีรสดีบางอยา่ ง มักกลา่ วอยา่ งน้วี ่า ‘รสเอย๋ รสเอ๋ย’ พวกพราหมณ์พา กนั นกึ ไดแ้ ตค่ ำ� โบราณทเี่ กย่ี วขอ้ งกบั ทฤษฎวี า่ ดว้ ยตน้ กำ� เนดิ ของโลกเทา่ นน้ั แตไ่ มร่ เู้ นอื้ ความแหง่ คำ� นน้ั เลย เชิงอรรถ : รสเอย๋ รสเอ๋ย เป็นค�ำร�ำพึงร�ำพนั ว่า ‘รสอรอ่ ยท่เี คยบรโิ ภคหายไปแลว้ ’ (ที.ปา.อ. ๑๒๒/๕๔) ความปรากฏแหง่ สะเกด็ ดิน [๑๒๓] วาเสฏฐะและภารทวาชะ เมอ่ื งว้ นดนิ ของสตั ว์เหลา่ นั้นหายไป สะเก็ดดนิ กป็ รากฏ สะเกด็ ดิน นนั้ ปรากฏลกั ษณะเหมอื นดอกเหด็ สะเกด็ ดนิ นน้ั สมบรู ณด์ ว้ ยสี สมบรู ณด์ ว้ ยกลน่ิ สมบรู ณด์ ว้ ยรส มสี เี หมอื น เนยใสหรอื เนยขน้ อยา่ งดี และมรี สอรอ่ ยเหมอื นน�้ำผงึ้ มมิ้ ซ่งึ ปราศจากโทษ ครง้ั นั้น สัตวเ์ หล่านั้นได้พากนั บริโภคสะเกด็ ดนิ เมอ่ื บรโิ ภคสะเก็ดดนิ น้ัน มสี ะเกด็ ดินนน้ั เปน็ ภักษา มสี ะเกด็ ดนิ น้นั เปน็ อาหาร ไดด้ ำ� รง อยูน่ านแสนนาน สตั ว์เหลา่ นัน้ จึงมรี า่ งกายหยาบข้นึ ทั้งผิวพรรณกป็ รากฏแตกตา่ งกนั สตั ว์บางพวกมผี ิว พรรณงาม บางพวกมีผิวพรรณทราม สัตว์เหล่าใดมีผิวพรรณงามสัตว์เหล่าน้ันก็ดูหมิ่นสัตว์ท่ีมีผิวพรรณ ทรามว่า ‘พวกเรามีผิวพรรณงามกว่าสัตว์เหล่าน้ัน สัตว์เหล่านั้นมีผิวพรรณทรามกว่าพวกเรา’ เม่ือสัตว์ เหล่าน้นั เกดิ มมี านะถอื ตัว เพราะการดหู มนิ่ เร่อื งผิวพรรณเป็นปจั จัย สะเกด็ ดนิ จึงหายไป ความปรากฏแห่งเครอื ดนิ [๑๒๔] วาเสฏฐะและภารทวาชะ เมอื่ สะเกด็ ดนิ หายไป เครอื ดนิ กป็ รากฏ เครอื ดนิ นน้ั ปรากฏคลา้ ยเถา ผักบุ้ง เครือดินน้ันสมบูรณ์ด้วยสี สมบูรณ์ด้วยกล่ิน สมบูรณ์ด้วยรส มีสีเหมือนเนยใสหรือเนยข้นอย่างดี และมีรสอร่อยเหมอื นน้�ำผึง้ ม้มิ ซึง่ ปราศจากโทษ ครั้งนน้ั สตั วเ์ หล่านั้นได้พากันบรโิ ภคเครือดิน เมื่อบรโิ ภค เครือดินนน้ั มเี ครือดนิ นัน้ เปน็ ภกั ษา มเี ครอื ดนิ นั้นเปน็ อาหาร ได้ด�ำรงอยนู่ านแสนนาน สตั ว์เหล่านนั้ จงึ มี รา่ งกายหยาบข้ึน ทั้งผวิ พรรณก็ปรากฏแตกตา่ งกนั สตั ว์บางพวกมีผิวพรรณงาม บางพวกมผี วิ พรรณทราม
การนวดในพระไตรปิฎกและสายธารแหง่ การนวดไทย 50 สตั วเ์ หลา่ ใดมผี วิ พรรณงาม สตั วเ์ หลา่ นน้ั กด็ หู มน่ิ สตั วท์ มี่ ผี วิ พรรณทรามวา่ ‘พวกเรามผี วิ พรรณงามกวา่ สตั ว์ เหล่านัน้ สัตว์เหล่านัน้ มีผิวพรรณทรามกวา่ พวกเรา’ เมื่อสัตวเ์ หลา่ นั้นเกิดมีมานะถือตวั เพราะการดูหมิน่ เรอ่ื งผิวพรรณเปน็ ปัจจัย เครือดินจึงหายไป เม่ือเครือดินหายไป สัตว์เหล่านั้นจึงประชุมกัน ครั้นแล้วต่างพากันโหยหาว่า‘พวกเราเคยมีเครือดิน บดั นเ้ี ครอื ดนิ ของพวกเราหายไปแลว้ ’ ในสมยั นกี้ เ็ หมอื นกนั พวกมนษุ ย์ ถกู ทกุ ขร์ ะทมบางอยา่ งกระทบเขา้ กพ็ ากันบน่ เพอ้ ว่า ‘เราเคยมีของสิ่งน้ี แตเ่ ดี๋ยวนี้ของของเราหายไปแล้ว’ พวกพราหมณพ์ ากนั นึกได้แต่คำ� โบราณท่เี กย่ี วขอ้ งกบั ทฤษฎีว่าดว้ ยต้นกำ� เนดิ ของโลกเทา่ นั้น แตไ่ มร่ เู้ นอื้ ความแหง่ ค�ำน้ันเลย ความปรากฏแหง่ ขา้ วสาลใี นทีท่ ี่ไมต่ ้องไถ [๑๒๕] วาเสฏฐะและภารทวาชะ เมอื่ เครอื ดนิ ของสตั วเ์ หลา่ นนั้ หายไปแลว้ ขา้ วสาลอี นั ผลผิ ลในทที่ ไ่ี ม่ ตอ้ งไถ ไม่มีร�ำ ไม่มแี กลบ บรสิ ุทธิ์ มีกล่ินหอม มีเมล็ดเป็นขา้ วสาร ก็ปรากฏ ท่ที ่ีพวกเขาเก็บเกี่ยวข้าวสาลี ไปเพอื่ เปน็ อาหารเยน็ ในตอนเยน็ กก็ ลบั มขี า้ วสาลงี อกสกุ ขน้ึ ไดใ้ นตอนเชา้ ทที่ พี่ วกเขาเกบ็ เกยี่ วขา้ วสาลไี ป เพื่อเปน็ อาหารเช้าในตอนเชา้ กก็ ลับมขี า้ วสาลีงอกสกุ ข้ึนไดใ้ นตอนเยน็ ความพร่องไม่ปรากฏเลย คร้ังน้ัน สตั วท์ ง้ั หลายพากนั บรโิ ภคขา้ วสาลซี งึ่ เกดิ สกุ เองในทท่ี ไี่ มต่ อ้ งไถ มขี า้ วสาลนี น้ั เปน็ ภกั ษา มขี า้ วสาลนี นั้ เปน็ อาหาร ไดด้ ำ� รงอย่นู านแสนนาน ความปรากฏแห่งเพศหญงิ และเพศชาย [๑๒๖] วาเสฏฐะและภารทวาชะ เมอื่ สตั วเ์ หลา่ นนั้ บรโิ ภคขา้ วสาลี ซง่ึ เกดิ สกุ เองในทที่ ไี่ มต่ อ้ งไถ มขี า้ ว สาลนี นั้ เปน็ ภกั ษา มีข้าวสาลีนน้ั เปน็ อาหาร ไดด้ �ำรงอยนู่ านแสนนาน สัตวเ์ หลา่ นั้นจงึ มรี า่ งกายหยาบขึ้น ท้ังผิวพรรณก็ปรากฏแตกต่างกัน และอวัยวะเพศหญิงปรากฏแก่ผู้เป็นหญิง อวัยวะเพศชายปรากฏแก่ผู้ เป็นชาย กลา่ วกันวา่ หญงิ เพ่งดชู าย และชายกเ็ พ่งดหู ญิงนานเกนิ ไป เมื่อชนทัง้ ๒ เพศตา่ งเพ่งดูกันและ กนั นานเกินไป ก็เกิดความกำ� หนดั ขึ้น ความเร่ารอ้ นกป็ รากฏข้ึนในกาย เพราะความเรา่ ร้อนเปน็ ปจั จัย ชน เหล่านน้ั จงึ ไดเ้ สพเมถุนธรรม ก็โดยสมยั นัน้ สัตวเ์ หล่าใดเห็นสัตว์เหล่าอ่นื ก�ำลงั เสพเมถนุ กัน จึงขว้างฝุ่นใส่ บา้ ง ขวา้ งขเี้ ถ้าใส่บา้ ง ขวา้ งมลู โคใส่บ้าง ด้วยกลา่ ววา่ ‘คนถ่อย เจ้าจงฉิบหาย คนถ่อยเจา้ จงฉิบหาย’ แลว้ กลา่ วตอ่ ไปว่า ‘ก็ไฉน สัตว์จึงท�ำกรรมอยา่ งนแี้ กส่ ัตว์เลา่ ’ ข้อทีว่ า่ มานน้ั แมใ้ นขณะนี้ ในชนบทบางแห่ง เม่ือเขานำ� สัตว์ท่ีจะถูกฆา่ ไปสทู่ ี่ประหาร มนุษย์เหลา่ อื่นกจ็ ะขวา้ งฝุ่นใส่บา้ ง ขว้างขีเ้ ถา้ ใสบ่ ้าง ขว้างมลู โค ใส่บ้าง พวกพราหมณ์พากันนึกได้แต่ค�ำโบราณที่เก่ียวข้องกับทฤษฎีว่าด้วยต้นก�ำเนิดของโลกเท่าน้ัน แต่ ไม่รู้เนอ้ื ความแหง่ คำ� นัน้ เลย การประพฤติเมถนุ ธรรม
Search
Read the Text Version
- 1
- 2
- 3
- 4
- 5
- 6
- 7
- 8
- 9
- 10
- 11
- 12
- 13
- 14
- 15
- 16
- 17
- 18
- 19
- 20
- 21
- 22
- 23
- 24
- 25
- 26
- 27
- 28
- 29
- 30
- 31
- 32
- 33
- 34
- 35
- 36
- 37
- 38
- 39
- 40
- 41
- 42
- 43
- 44
- 45
- 46
- 47
- 48
- 49
- 50
- 51
- 52
- 53
- 54
- 55
- 56
- 57
- 58
- 59
- 60
- 61
- 62
- 63
- 64
- 65
- 66
- 67
- 68
- 69
- 70
- 71
- 72
- 73
- 74
- 75
- 76
- 77
- 78
- 79
- 80
- 81
- 82
- 83
- 84
- 85
- 86
- 87
- 88
- 89
- 90
- 91
- 92
- 93
- 94
- 95
- 96
- 97
- 98
- 99
- 100
- 101
- 102
- 103
- 104
- 105
- 106
- 107
- 108
- 109
- 110
- 111
- 112
- 113
- 114
- 115
- 116
- 117
- 118
- 119
- 120
- 121
- 122
- 123
- 124
- 125
- 126
- 127
- 128
- 129
- 130
- 131
- 132
- 133
- 134
- 135
- 136
- 137
- 138
- 139
- 140
- 141
- 142
- 143
- 144
- 145
- 146
- 147
- 148
- 149
- 150
- 151
- 152
- 153
- 154
- 155
- 156
- 157
- 158
- 159
- 160
- 161
- 162
- 163
- 164
- 165
- 166
- 167
- 168
- 169
- 170
- 171
- 172
- 173
- 174
- 175
- 176
- 177
- 178
- 179
- 180
- 181
- 182
- 183
- 184
- 185
- 186
- 187
- 188
- 189
- 190
- 191
- 192