เปดิ ธรรมทถ่ี กู ปดิ : จิต มโน วิญญาณ ภิกษุท้ังหลาย ก็กรรมท้ังดำ�ท้ังขาวมีวิบากท้ังดำ� ท้ังขาวเป็นอย่างไร ภิกษุท้งั หลาย บุคคลบางคนในโลกน้ี ยอ่ มปรงุ แตง่ กายสงั ขาร … วจสี งั ขาร … มโนสงั ขารทม่ี คี วาม เบยี ดเบยี นบา้ ง ไมม่ คี วามเบยี ดเบยี นบา้ ง ครน้ั เขาท�ำ ความ ปรงุ แตง่ อยา่ งนแี้ ลว้ ยอ่ มเขา้ ถงึ โลกทมี่ คี วามเบยี ดเบยี นบา้ ง ไมม่ คี วามเบยี ดเบียนบ้าง … ยอ่ มไดเ้ สวยเวทนาอนั มีความ เบียดเบียนบ้าง ไม่มีความเบียดเบียนบ้าง อันเป็นสุขและ ทุกข์เจือปนกัน ดังเช่น มนุษย์ทั้งหลาย เทวดาบางพวก และสตั วพ์ วกวนิ บิ าตบางพวก นเ้ี ราเรยี กวา่ กรรมทง้ั ด�ำ ทง้ั ขาว มีวบิ ากทัง้ ด�ำ ทง้ั ขาว. ภิกษุท้ังหลาย ก็กรรมไม่ดำ�ไม่ขาวมีวิบากไม่ดำ� ไม่ขาว ย่อมเป็นไปเพ่ือความส้ินกรรมเป็นอย่างไร คือ สติสัมโพชฌงค์ ธัมมวิจยสัมโพชฌงค์ วิริยสัมโพชฌงค์ ปตี สิ มั โพชฌงค์ ปสั สทั ธสิ มั โพชฌงค์ สมาธสิ มั โพชฌงค์ อเุ บกขาสมั โพชฌงค์ นเ้ี ราเรยี กวา่ กรรมไมด่ �ำ ไมข่ าวมวี บิ าก ไม่ด�ำ ไม่ขาว ยอ่ มเป็นไปเพอ่ื ความสน้ิ กรรม. ภกิ ษทุ งั้ หลาย กรรม ๔ ประการเหลา่ นแ้ี ล เรากระท�ำ ให้แจ้งดว้ ยปญั ญาอนั ยง่ิ เองแล้ว ประกาศให้ทราบ. 133
พทุ ธวจน - หมวดธรรม เปิดธรรมทีถ่ กู ปิด : จิต มโน วิญญาณ 57 กรรม ๔ แบบ (นยั ที่ ๓) -บาลี จตกุ กฺ . อ.ํ ๒๑/๓๑๓/๒๓๒. ภิกษุท้ังหลาย กรรม ๔ ประการนี้ เรากระทำ�ให้ แจง้ ดว้ ยปญั ญาอนั ยง่ิ เองแลว้ ประกาศใหท้ ราบ ๔ ประการ อะไรบา้ ง คอื กรรมด�ำ มวี บิ ากด�ำ กม็ ี กรรมขาวมวี บิ ากขาวกม็ ี กรรมท้ังดำ�ท้ังขาวมีวิบากท้ังดำ�ท้ังขาวก็มี กรรมไม่ดำ� ไมข่ าวมวี บิ ากไมด่ �ำ ไมข่ าว ยอ่ มเปน็ ไปเพอ่ื ความสน้ิ กรรมกม็ .ี ภิกษุท้ังหลาย ก็กรรมดำ�มีวิบากดำ�เป็นอย่างไร ภกิ ษทุ ง้ั หลาย บคุ คลบางคนในโลกน้ี ยอ่ มปรงุ แตง่ กายสงั ขาร … วจสี งั ขาร … มโนสงั ขารทม่ี คี วามเบยี ดเบยี น ครนั้ เขา ทำ�ความปรุงแต่งอย่างน้ีแล้ว ย่อมเข้าถึงโลกที่มีความ เบียดเบียน … ย่อมได้เสวยเวทนาอันมีความเบียดเบียน เปน็ ทุกข์โดยสว่ นเดียว ดงั เช่น พวกสตั ว์นรก น้ีเราเรียกวา่ กรรมดำ�มวี บิ ากดำ�. ภิกษุท้ังหลาย กก็ รรมขาวมีวบิ ากขาวเปน็ อยา่ งไร ภิกษุท้ังหลาย บุคคลบางคนในโลกนี้ ย่อมปรุงแต่ง กายสังขาร … วจีสังขาร … มโนสังขารที่ไม่มีความ เบยี ดเบยี น ครน้ั เขาท�ำ ความปรงุ แตง่ อยา่ งนแ้ี ลว้ ยอ่ มเขา้ ถงึ โลกท่ีไม่มีความเบียดเบียน … ย่อมได้เสวยเวทนาอันไม่มี ความเบียดเบียน เปน็ สขุ โดยส่วนเดยี ว ดังเช่น พวกเทวดา สุภกิณหะ น้ีเราเรยี กว่า กรรมขาวมวี ิบากขาว. 134
เปดิ ธรรมทีถ่ กู ปดิ : จติ มโน วิญญาณ ภิกษุท้ังหลาย ก็กรรมท้ังดำ�ท้ังขาวมีวิบากท้ังดำ� ท้ังขาวเป็นอย่างไร ภิกษุท้งั หลาย บุคคลบางคนในโลกน้ี ยอ่ มปรงุ แตง่ กายสงั ขาร … วจสี งั ขาร … มโนสงั ขารทม่ี คี วาม เบยี ดเบยี นบา้ ง ไมม่ คี วามเบยี ดเบยี นบา้ ง ครน้ั เขาท�ำ ความ ปรงุ แตง่ อยา่ งนแ้ี ลว้ ยอ่ มเขา้ ถงึ โลกทม่ี คี วามเบยี ดเบยี นบา้ ง ไมม่ คี วามเบียดเบียนบ้าง … ยอ่ มไดเ้ สวยเวทนาอันมคี วาม เบียดเบียนบ้าง ไม่มีความเบียดเบียนบ้าง อันเป็นสุขและ ทุกข์เจือปนกัน ดังเช่น มนุษย์ท้ังหลาย เทวดาบางพวก และสัตว์พวกวินิบาตบางพวก นี้เราเรียกว่า กรรมท้ังดำ� ทั้งขาวมวี ิบากทง้ั ด�ำ ทงั้ ขาว. ภิกษุทั้งหลาย ก็กรรมไม่ดำ�ไม่ขาวมีวิบากไม่ดำ� ไม่ขาว ย่อมเป็นไปเพื่อความส้ินกรรมเป็นอย่างไร ภิกษุ ทง้ั หลาย ในบรรดากรรมเหลา่ นน้ั เจตนาใดเพอ่ื ละกรรมด�ำ อนั มวี บิ ากด�ำ กด็ ี เจตนาใดเพอ่ื ละกรรมขาวอนั มวี บิ ากขาวกด็ ี เจตนาใดเพอ่ื ละกรรมทง้ั ด�ำ ทง้ั ขาวอนั มวี บิ ากทง้ั ด�ำ ทง้ั ขาวกด็ ี นเ้ี ราเรยี กวา่ กรรมไมด่ �ำ ไมข่ าวมวี บิ ากไมด่ �ำ ไมข่ าว ยอ่ มเปน็ ไป เพอ่ื ความสน้ิ กรรม. ภกิ ษทุ งั้ หลาย กรรม ๔ ประการเหลา่ นแี้ ล เรากระท�ำ ให้แจง้ ดว้ ยปญั ญาอนั ยิ่งเองแล้ว ประกาศให้ทราบ. (อีกสูตรหนึ่ง -บาลี ม. ม. ๑๓/๘๒/๘๘. ก็ได้ตรัสไว้ด้วย ถ้อยคำ�อย่างเดยี วกนั น้.ี -ผ้รู วบรวม) 135
พทุ ธวจน - หมวดธรรม เปิดธรรมท่ีถูกปิด : จติ มโน วิญญาณ 58 กรรม ๔ แบบ (นัยท่ี ๔) -บาลี จตกุ กฺ . อ.ํ ๒๑/๓๑๘/๒๓๕. ภิกษุทั้งหลาย กรรม ๔ ประการนี้ เรากระทำ�ให้ แจง้ ดว้ ยปญั ญาอนั ยง่ิ เองแลว้ ประกาศใหท้ ราบ ๔ ประการ อะไรบา้ ง คอื กรรมด�ำ มวี บิ ากด�ำ กม็ ี กรรมขาวมวี บิ ากขาวกม็ ี กรรมท้ังดำ�ทั้งขาวมีวิบากทั้งดำ�ทั้งขาวก็มี กรรมไม่ดำ� ไมข่ าวมวี บิ ากไมด่ �ำ ไมข่ าว ยอ่ มเปน็ ไปเพอ่ื ความสน้ิ กรรมกม็ .ี ภิกษุท้ังหลาย ก็กรรมดำ�มีวิบากดำ�เป็นอย่างไร ภิกษุท้ังหลาย บุคคลบางคนในโลกนี้ เป็นผู้ฆ่าสัตว์ เป็น ผลู้ กั ทรพั ย์ เปน็ ผปู้ ระพฤตผิ ดิ ในกาม เปน็ ผพู้ ดู โกหก เปน็ ผดู้ ม่ื น�ำ้ เมาคอื สรุ าและเมรยั อนั เปน็ ทต่ี งั้ แหง่ ความประมาท น้เี ราเรยี กว่า กรรมดำ�มวี บิ ากด�ำ . ภิกษทุ ง้ั หลาย กก็ รรมขาวมวี บิ ากขาวเป็นอยา่ งไร ภกิ ษทุ งั้ หลาย บคุ คลบางคนในโลกนี้ เปน็ ผงู้ ดเวน้ จากการ ฆา่ สตั ว์ เปน็ ผงู้ ดเวน้ จากการลกั ทรพั ย์ เปน็ ผงู้ ดเวน้ จากการ ประพฤติผิดในกาม เป็นผู้งดเว้นจากการพูดโกหก เป็น ผู้งดเว้นจากการด่ืมนำ้�เมาคือสุราและเมรัย อันเป็นที่ตั้ง แหง่ ความประมาท นีเ้ ราเรียกวา่ กรรมขาวมีวิบากขาว. 136
เปดิ ธรรมท่ีถกู ปิด : จติ มโน วิญญาณ ภิกษุทั้งหลาย ก็กรรมท้ังดำ�ท้ังขาวมีวิบากท้ังดำ� ท้ังขาวเป็นอย่างไร ภิกษุท้ังหลาย บุคคลบางคนในโลกน้ี ย่อมปรุงแต่งกายสังขารท่ีมีความเบียดเบียนบ้าง ไม่มี ความเบียดเบียนบ้าง ย่อมปรุงแต่งวจีสังขารท่ีมีความ เบยี ดเบยี นบา้ ง ไม่มีความเบียดเบียนบ้าง ย่อมปรุงแต่ง มโนสงั ขารทม่ี คี วามเบยี ดเบยี นบา้ ง ไมม่ คี วามเบยี ดเบยี นบา้ ง นีเ้ ราเรียกว่า กรรมท้ังดำ�ทง้ั ขาวมีวบิ ากทัง้ ดำ�ทงั้ ขาว. ภิกษุท้ังหลาย ก็กรรมไม่ดำ�ไม่ขาวมีวิบากไม่ดำ� ไม่ขาว ย่อมเป็นไปเพ่ือความส้ินกรรมเป็นอย่างไร ภิกษุ ทง้ั หลาย ในบรรดากรรมเหลา่ นน้ั เจตนาใดเพอ่ื ละกรรมด�ำ อนั มวี บิ ากด�ำ กด็ ี เจตนาใดเพอ่ื ละกรรมขาวอนั มวี บิ ากขาวกด็ ี เจตนาใดเพอ่ื ละกรรมทง้ั ด�ำ ทง้ั ขาวอนั มวี บิ ากทง้ั ด�ำ ทง้ั ขาวกด็ ี นเ้ี ราเรยี กวา่ กรรมไมด่ �ำ ไมข่ าวมวี บิ ากไมด่ �ำ ไมข่ าว ยอ่ มเปน็ ไป เพอื่ ความสนิ้ กรรม. ภกิ ษทุ ง้ั หลาย กรรม ๔ ประการเหลา่ นแี้ ล เรากระท�ำ ใหแ้ จง้ ดว้ ยปญั ญาอนั ยิ่งเองแล้ว ประกาศให้ทราบ. 137
พุทธวจน - หมวดธรรม เปิดธรรมท่ีถูกปดิ : จติ มโน วญิ ญาณ 59 กรรม ๔ แบบ (นัยที่ ๕) -บาลี จตกุ กฺ . อ.ํ ๒๑/๓๑๙/๒๓๖. ภกิ ษทุ งั้ หลาย กรรม ๔ ประการน้ี เรากระท�ำ ใหแ้ จง้ ด้วยปัญญาอันยิ่งเองแล้ว ประกาศให้ทราบ ๔ ประการ อะไรบา้ ง คอื กรรมด�ำ มวี บิ ากด�ำ กม็ ี กรรมขาวมวี บิ ากขาวกม็ ี กรรมท้ังดำ�ทั้งขาวมีวิบากท้ังดำ�ทั้งขาวก็มี กรรมไม่ดำ� ไมข่ าวมวี บิ ากไมด่ �ำ ไมข่ าว ยอ่ มเปน็ ไปเพอ่ื ความสน้ิ กรรมกม็ .ี ภิกษุท้ังหลาย ก็กรรมดำ�มีวิบากดำ�เป็นอย่างไร ภกิ ษทุ งั้ หลาย บคุ คลบางคนในโลกนี้ เปน็ ผฆู้ า่ มารดา เปน็ ผฆู้ ่าบิดา เปน็ ผฆู้ ่าพระอรหนั ต์ เปน็ ผมู้ จี ิตประทษุ ร้ายตอ่ พระตถาคตจนทำ�ให้พระโลหิตห้อขึ้น เป็นผู้ทำ�ลายสงฆ์ ให้แตกกัน น้เี ราเรยี กวา่ กรรมด�ำ มีวบิ ากด�ำ . ภกิ ษทุ ้ังหลาย กก็ รรมขาวมวี บิ ากขาวเป็นอยา่ งไร ภิกษุท้ังหลาย บุคคลบางคนในโลกน้ี เป็นผู้งดเว้นจาก การฆ่าสัตว์ เป็นผู้งดเว้นจากการลักทรัพย์ เป็นผู้งดเว้น จากการประพฤตผิ ดิ ในกาม เปน็ ผงู้ ดเวน้ จากการพดู โกหก เป็นผู้งดเว้นจากการพูดยุยงให้แตกกัน เป็นผู้งดเว้นจาก การพูดคำ�หยาบ เป็นผู้งดเว้นจากการพูดเพ้อเจ้อ เป็นผู้ ไม่เพ่งเล็งทรัพย์ของผู้อ่ืน เป็นผู้มีจิตไม่พยาบาท เป็นผู้ มสี ัมมาทิฏฐิ น้ีเราเรียกวา่ กรรมขาวมวี ิบากขาว. 138
เปดิ ธรรมท่ถี ูกปดิ : จติ มโน วิญญาณ ภิกษุท้ังหลาย ก็กรรมท้ังดำ�ทั้งขาวมีวิบากท้ังดำ� ทั้งขาวเป็นอย่างไร ภิกษุท้ังหลาย บุคคลบางคนในโลกน้ี ย่อมปรุงแต่งกายสังขารท่ีมีความเบียดเบียนบ้าง ไม่มี ความเบียดเบียนบ้าง ย่อมปรุงแต่งวจีสังขารท่ีมีความ เบียดเบียนบ้าง ไม่มีความเบียดเบียนบ้าง ย่อมปรุงแต่ง มโนสงั ขารทม่ี คี วามเบยี ดเบยี นบา้ ง ไมม่ คี วามเบยี ดเบยี นบา้ ง นเ้ี ราเรยี กวา่ กรรมท้งั ดำ�ท้ังขาวมีวิบากท้ังดำ�ทัง้ ขาว. ภิกษุทั้งหลาย ก็กรรมไม่ดำ�ไม่ขาวมีวิบากไม่ดำ� ไม่ขาว ย่อมเป็นไปเพื่อความสิ้นกรรมเป็นอย่างไร ภิกษุ ทง้ั หลาย ในบรรดากรรมเหลา่ นน้ั เจตนาใดเพอ่ื ละกรรมด�ำ อนั มวี บิ ากด�ำ กด็ ี เจตนาใดเพอ่ื ละกรรมขาวอนั มวี บิ ากขาวกด็ ี เจตนาใดเพอ่ื ละกรรมทง้ั ด�ำ ทง้ั ขาวอนั มวี บิ ากทง้ั ด�ำ ทง้ั ขาวกด็ ี นเ้ี ราเรยี กวา่ กรรมไมด่ �ำ ไมข่ าวมวี บิ ากไมด่ �ำ ไมข่ าว ยอ่ มเปน็ ไป เพอื่ ความสิ้นกรรม. ภกิ ษทุ ง้ั หลาย กรรม ๔ ประการเหลา่ นแ้ี ล เรากระท�ำ ใหแ้ จง้ ดว้ ยปัญญาอนั ยง่ิ เองแลว้ ประกาศให้ทราบ. 139
พทุ ธวจน - หมวดธรรม เปดิ ธรรมท่ีถูกปดิ : จติ มโน วิญญาณ การได้อตั ภาพ 60 -บาลี ส.ี ท.ี ๙/๔๓/๔๙. ภกิ ษทุ งั้ หลาย มสี มณพราหมณพ์ วกหนงึ่ มวี าทะวา่ ขาดสญู ยอ่ มบญั ญตั คิ วามขาดสญู ความพนิ าศ ความไมเ่ กดิ อกี ของสัตว์ที่มีอยู่ด้วยเหตุ ๗ ประการ ก็สมณพราหมณ์ ผเู้ จรญิ เหลา่ นน้ั อาศยั อะไร ปรารภอะไร จงึ มวี าทะวา่ ขาดสญู ยอ่ มบญั ญตั คิ วามขาดสญู ความพนิ าศ ความไมเ่ กดิ อกี ของสตั ว์ ทม่ี อี ยูด่ ้วยเหตุ ๗ ประการ. (1) ภิกษุท้ังหลาย สมณะหรือพราหมณ์บางคน ในโลกน้ี มวี าทะอยา่ งน้ี มที ฏิ ฐอิ ยา่ งนว้ี า่ ทา่ นผเู้ จรญิ เพราะ อตั ตานี้มีรปู ส�ำ เร็จด้วยมหาภตู รูปทง้ั ๔ มีมารดาบดิ าเป็น แดนเกิด ภายหลังแต่การตาย เพราะการทำ�ลายแห่งกาย ยอ่ มขาดสญู ยอ่ มพนิ าศ ยอ่ มไมเ่ กดิ อกี ดว้ ยเหตเุ พยี งเทา่ น้ี อัตตาน้ีจึงเป็นอันขาดสูญอย่างเด็ดขาด สมณพราหมณ์ พวกหนง่ึ ยอ่ มบญั ญตั คิ วามขาดสญู ความพนิ าศ ความไมเ่ กดิ อกี ของสัตวท์ มี่ ีอย่อู ย่างน้.ี (2) สมณะหรอื พราหมณพ์ วกอน่ื กลา่ วกะสมณะหรอื พราหมณพ์ วกนน้ั อยา่ งนว้ี า่ ทา่ นผเู้ จรญิ อตั ตาทท่ี า่ นกลา่ วถงึ นน้ั มอี ยจู่ รงิ ขา้ พเจา้ ไมไ่ ดก้ ลา่ ววา่ ไมม่ ี แตว่ า่ อตั ตานใ้ี ชว่ า่ จะขาดสญู 140
เปิดธรรมทถ่ี ูกปดิ : จิต มโน วญิ ญาณ อยา่ งเดด็ ขาดดว้ ยเหตเุ พยี งเทา่ นก้ี ห็ าไม ่ ทา่ นผเู้ จรญิ ยงั มี อตั ตาอยา่ งอนื่ ทเ่ี ปน็ ทพิ ย์ เปน็ อตั ตามรี ปู เปน็ พวกกามาพจร บรโิ ภคอาหารคอื ค�ำ ขา้ ว อตั ตานนั้ ทา่ นยงั ไมร่ ู้ ทา่ นยงั ไมเ่ หน็ แตข่ า้ พเจา้ รู้ ขา้ พเจา้ เหน็ ทา่ นผเู้ จรญิ ภายหลงั แตก่ ารตาย เพราะการท�ำ ลายแหง่ กาย อตั ตานน้ั แหละยอ่ มขาดสญู ยอ่ ม พินาศ ย่อมไม่เกิดอีก ด้วยเหตุเพียงเท่านี้ อัตตาน้ีจึงเป็น อันขาดสูญอย่างเด็ดขาด สมณพราหมณ์พวกหนึ่ง ย่อม บญั ญัติความขาดสญู ความพินาศ ความไมเ่ กดิ อกี ของสตั ว์ ทีม่ อี ยู่อยา่ งน้ี. (3) สมณะหรือพราหมณ์พวกอ่ืน กล่าวกะสมณะ หรือพราหมณ์พวกนั้นอย่างนี้ว่า ท่านผู้เจริญ อัตตาที่ท่าน กลา่ วถงึ นนั้ มอี ยจู่ รงิ ขา้ พเจา้ ไมไ่ ดก้ ลา่ ววา่ ไมม่ ี แตว่ า่ อตั ตานี้ ใช่ว่าจะขาดสูญอย่างเด็ดขาด ด้วยเหตุเพียงเท่านี้ก็หาไม่ ท่านผเู้ จริญ ยงั มอี ัตตาอย่างอืน่ ท่เี ป็นทพิ ย์ เปน็ อัตตามรี ปู ส�ำ เรจ็ ดว้ ยใจ (มโนมโย) มอี วยั วะใหญน่ อ้ ยครบถว้ น มอี นิ ทรยี ์ ไมบ่ กพรอ่ ง อตั ตานน้ั ทา่ นยงั ไมร่ ู้ ทา่ นยงั ไมเ่ หน็ แตข่ า้ พเจา้ รู้ ข้าพเจ้าเห็น ท่านผู้เจริญ ภายหลังแต่การตาย เพราะการ ท�ำ ลายแหง่ กาย อตั ตาน้นั แหละย่อมขาดสูญ … 141
พทุ ธวจน - หมวดธรรม (4) สมณะหรือพราหมณ์พวกอ่ืน กล่าวกะสมณะ หรือพราหมณ์พวกนั้น อย่างนี้ว่า ท่านผู้เจริญ อัตตาที่ท่าน กลา่ วถงึ นน้ั มอี ยจู่ รงิ ขา้ พเจา้ ไมไ่ ดก้ ลา่ ววา่ ไมม่ ี แตว่ า่ อตั ตานี้ ใช่ว่าจะขาดสูญอย่างเด็ดขาด ด้วยเหตุเพียงเท่านี้ก็หาไม่ ทา่ นผเู้ จรญิ ยงั มอี ตั ตาอยา่ งอน่ื ทเี่ ขา้ ถงึ อากาสานญั จายตนะ อนั มกี ารท�ำ ในใจวา่ อากาศไมม่ ที ส่ี น้ิ สดุ เพราะกา้ วลว่ งรปู สญั ญา เสียได้ เพราะความดับแห่งปฏิฆสัญญา เพราะไม่ใส่ใจใน สญั ญาตา่ งๆ (นานตตฺ สฺ า) โดยประการทง้ั ปวง อตั ตานนั้ ทา่ น ยงั ไมร่ ู้ ทา่ นยงั ไมเ่ หน็ แตข่ า้ พเจา้ รู้ ขา้ พเจา้ เหน็ ทา่ นผเู้ จรญิ ภายหลงั แตก่ ารตาย เพราะการท�ำ ลายแหง่ กาย อตั ตานน้ั แหละ ย่อมขาดสูญ … (5) สมณะหรอื พราหมณพ์ วกอน่ื กลา่ วกะสมณะหรอื พราหมณพ์ วกนน้ั อยา่ งนว้ี า่ ทา่ นผเู้ จรญิ อตั ตาทท่ี า่ นกลา่ วถงึ นน้ั มอี ยจู่ รงิ ขา้ พเจา้ ไมไ่ ดก้ ลา่ ววา่ ไมม่ ี แตว่ า่ อตั ตานใ้ี ชว่ า่ จะขาดสญู อยา่ งเดด็ ขาด ดว้ ยเหตเุ พยี งเทา่ นก้ี ห็ าไม ่ ทา่ นผเู้ จรญิ ยงั มี อตั ตาอยา่ งอน่ื ทเ่ี ขา้ ถงึ วญิ ญาณญั จายตนะอนั มกี ารท�ำ ในใจวา่ วญิ ญาณไมม่ ที ส่ี น้ิ สดุ เพราะกา้ วลว่ งอากาสานญั จายตนะเสยี ได้ โดยประการทั้งปวง อัตตานั้นท่านยังไม่รู้ ท่านยังไม่เห็น แตข่ า้ พเจา้ รู้ ขา้ พเจา้ เหน็ ทา่ นผเู้ จรญิ ภายหลงั แตก่ ารตาย เพราะการท�ำ ลายแหง่ กาย อตั ตานน้ั แหละยอ่ มขาดสูญ … 142
เปิดธรรมท่ถี กู ปิด : จิต มโน วญิ ญาณ (6) สมณะหรือพราหมณ์พวกอื่น กล่าวกะสมณะ หรือพราหมณ์พวกน้ัน อย่างนี้ว่า ท่านผู้เจริญ อัตตาที่ท่าน กลา่ วถงึ นนั้ มอี ยจู่ รงิ ขา้ พเจา้ ไมไ่ ดก้ ลา่ ววา่ ไมม่ ี แตว่ า่ อตั ตาน้ี ใช่ว่าจะขาดสูญอย่างเด็ดขาด ด้วยเหตุเพียงเท่าน้ีก็หาไม่ ทา่ นผเู้ จรญิ ยงั มอี ตั ตาอยา่ งอน่ื ทเ่ี ขา้ ถงึ อากญิ จญั ญายตนะอนั มี การท�ำ ในใจวา่ อะไรๆ ไมม่ ี เพราะกา้ วลว่ งวญิ ญาณญั จายตนะ เสยี ไดโ้ ดยประการทง้ั ปวง อตั ตานนั้ ทา่ นยงั ไมร่ ู้ ทา่ นยงั ไมเ่ หน็ แตข่ า้ พเจา้ รู้ ขา้ พเจา้ เหน็ ทา่ นผเู้ จรญิ ภายหลงั แตก่ ารตาย เพราะการทำ�ลายแหง่ กาย อัตตานน้ั แหละย่อมขาดสูญ … (7) สมณะหรือพราหมณ์พวกอื่น กล่าวกะสมณะ หรือพราหมณ์พวกนั้นอย่างนี้ว่า ท่านผู้เจริญ อัตตาท่ีท่าน กลา่ วถงึ นนั้ มอี ยจู่ รงิ ขา้ พเจา้ ไมไ่ ดก้ ลา่ ววา่ ไมม่ ี แตว่ า่ อตั ตาน้ี ใชว่ า่ จะขาดสญู อยา่ งเดด็ ขาด ดว้ ยเหตเุ พยี งเทา่ นก้ี ห็ าไม ่ ทา่ น ผเู้ จรญิ ยงั มอี ตั ตาอยา่ งอน่ื ทเ่ี ขา้ ถงึ เนวสญั ญานาสญั ญายตนะ เพราะกา้ วลว่ งอากญิ จญั ญายตนะเสยี ไดโ้ ดยประการทงั้ ปวง อตั ตานน้ั ทา่ นยงั ไมร่ ู้ ทา่ นยงั ไมเ่ หน็ แตข่ า้ พเจา้ รู้ ขา้ พเจา้ เหน็ ทา่ นผเู้ จรญิ ภายหลงั แตก่ ารตาย เพราะการท�ำ ลายแหง่ กาย อตั ตานัน้ แหละยอ่ มขาดสญู … 143
พุทธวจน - หมวดธรรม ภิกษุทั้งหลาย สมณะหรือพราหมณ์ผู้มีวาทะว่า ขาดสญู ยอ่ มบญั ญตั คิ วามขาดสญู ความพนิ าศ ความไมเ่ กดิ อกี ของสัตวท์ ม่ี ีอยู่ดว้ ยเหตุ ๗ ประการเหลา่ นแ้ี ล ภกิ ษทุ ง้ั หลาย สมณะหรอื พราหมณเ์ หลา่ ใด ทม่ี วี าทะ วา่ ขาดสญู ยอ่ มบญั ญตั คิ วามขาดสญู ความพนิ าศ ความไมเ่ กดิ อีกของสัตว์ท่ีมีอยู่ สมณะหรือพราหมณ์เหล่าน้ันทั้งหมด ยอ่ มบัญญัติดว้ ยเหตุ ๗ ประการเหลา่ นเ้ี ทา่ นน้ั จะบญั ญตั ดิ ว้ ย เหตอุ น่ื นอกจากนไ้ี มม่ .ี … ภกิ ษทุ ง้ั หลาย ธรรมเหลา่ นแ้ี ลอนั ลกึ ซง้ึ เหน็ ไดย้ าก รู้ตามได้ยาก สงบระงับ ประณีต จะคาดคะเนเอาไม่ได้ เปน็ ของละเอยี ด รไู้ ดเ้ ฉพาะบณั ฑติ วสิ ยั ซง่ึ ตถาคตท�ำ ใหแ้ จง้ ด้วยปัญญาอันย่งิ เอง แล้วสอนผู้อ่ืนใหร้ ตู้ าม ซึ่งเป็นเหตใุ ห้ คนเมอ่ื กลา่ วชมตถาคต พงึ กลา่ วไดถ้ กู ตอ้ งตามความเปน็ จรงิ . 144
พุทธวจน - หมวดธรรม เปดิ ธรรมที่ถกู ปิด : จิต มโน วิญญาณ 61เหตใุ ห้เจรญิ ไมเ่ สื่อม (อปริหานิยธรรม) -บาลี มหา. ท.ี ๑๐/๙๔/๗๕. ภิกษุทั้งหลาย เราจักแสดงอปริหานิยธรรม ๖ ประการ อีกหมวดหน่ึงแก่พวกเธอ พวกเธอจงฟัง จงใส่ใจ ให้ดี เราจะกลา่ ว. (1) ภกิ ษทุ ง้ั หลาย พวกภกิ ษมุ กี ายกรรมประกอบ ด้วยเมตตา ปรากฏในเพ่ือนร่วมประพฤติพรหมจรรย์ ท้ังในที่แจ้ง ท้ังในท่ีลับ อยู่เพียงใด ความเจริญก็เป็นสิ่งที่ ภิกษทุ ง้ั หลายหวงั ได้ ไมม่ ีความเสอื่ มเลย อยู่เพยี งน้นั . (2) ภิกษุท้ังหลาย พวกภิกษุมีวจีกรรมประกอบ ด้วยเมตตา ปรากฏในเพื่อนร่วมประพฤติพรหมจรรย์ ท้ังในท่ีแจ้ง ทั้งในท่ีลับ อยู่เพียงใด ความเจริญก็เป็นส่ิงท่ี ภกิ ษุทัง้ หลายหวงั ได้ ไมม่ คี วามเสื่อมเลย อยู่เพียงน้นั . (3) ภกิ ษทุ ง้ั หลาย พวกภกิ ษมุ มี โนกรรมประกอบ ด้วยเมตตา ปรากฏในเพ่ือนร่วมประพฤติพรหมจรรย์ ท้ังในที่แจ้ง ทั้งในท่ีลับ อยู่เพียงใด ความเจริญก็เป็นสิ่งที่ ภกิ ษุท้งั หลายหวังได้ ไม่มีความเส่อื มเลย อยู่เพยี งนน้ั . (4) ภิกษุทั้งหลาย พวกภิกษุมีลาภใดๆ เกิด โดยธรรม ได้แล้วโดยธรรม ที่สุดแม้เพียงอาหารติดบาตร กบ็ รโิ ภคโดยไมเ่ กยี ดกนั ไวเ้ พอื่ ตน ยอ่ มเปน็ ผบู้ รโิ ภคเฉลยี่ 145
พทุ ธวจน - หมวดธรรม ทว่ั ไปกับเพื่อนรว่ มประพฤตพิ รหมจรรย์ผมู้ ศี ีล อย่เู พยี งใด ความเจรญิ กเ็ ปน็ สง่ิ ทภ่ี กิ ษทุ ง้ั หลายหวงั ได้ ไมม่ คี วามเสอ่ื มเลย อยู่เพยี งน้ัน. (5) ภิกษุทั้งหลาย พวกภิกษุเป็นผู้มีศีลท่ีไม่ขาด ไม่ทะลุ ไม่ด่าง ไม่พร้อย เป็นไท อันผู้รู้สรรเสริญ ไม่ถูก ทิฏฐิครอบงำ� เป็นไปพร้อมเพื่อสมาธิ และถึงความเป็นผู้มี ศลี เสมอกนั ในศลี เชน่ นน้ั กบั เพอ่ื นรว่ มประพฤตพิ รหมจรรย์ ทั้งหลาย ท้ังในที่แจ้ง ทั้งในที่ลับ อยู่เพียงใด ความเจริญก็ เปน็ สง่ิ ทภ่ี กิ ษทุ ง้ั หลายหวงั ได้ ไมม่ คี วามเสอ่ื มเลย อยเู่ พยี งนน้ั . (6) ภิกษุท้ังหลาย พวกภิกษุเป็นผู้มีทิฏฐิอันเป็น อริยะ อันเป็นเครื่องนำ�ออก นำ�ไปเพ่ือความส้ินทุกข์โดย ชอบแก่ผู้กระทำ�ตาม และถึงความเป็นผู้มีทิฏฐิเสมอกันใน ทฏิ ฐเิ ชน่ นนั้ กบั เพอ่ื นรว่ มประพฤตพิ รหมจรรย์ ทงั้ ในทแี่ จง้ ท้ังในที่ลับ อยู่เพียงใด ความเจริญก็เป็นส่ิงที่ภิกษุท้ังหลาย หวังได้ ไม่มคี วามเส่ือมเลย อยเู่ พยี งนั้น. ภกิ ษทุ ง้ั หลาย อปรหิ านยิ ธรรมทง้ั ๖ ประการเหลา่ น้ี ยังคงดำ�รงอยู่ได้ในหมู่ภิกษุท้ังหลาย และพวกเธอเหล่าน้ัน กย็ งั เหน็ พอ้ งตอ้ งกนั ในธรรมทง้ั ๖ ประการเหลา่ น้ี อยเู่ พยี งใด ความเจรญิ กเ็ ปน็ สง่ิ ทภ่ี กิ ษทุ ง้ั หลายหวงั ได้ ไมม่ คี วามเสอ่ื มเลย อยเู่ พยี งนนั้ . 146
พุทธวจน - หมวดธรรม เปิดธรรมทถ่ี กู ปิด : จิต มโน วิญญาณ เหตใุ หร้ ะลกึ ถึง รัก เคารพ ไม่ววิ าท 62 และพร้อมเพรยี งกัน (สาราณยี ธรรม) -บาลี ฉกกฺ . อ.ํ ๒๒/๓๒๓/๒๘๓. ภกิ ษทุ ง้ั หลาย ธรรม ๖ ประการเหลา่ นี้ เปน็ เหตใุ ห้ ระลกึ ถงึ กนั เปน็ เหตกุ อ่ ความรกั กอ่ ความเคารพ เปน็ ไปเพอ่ื ความสงเคราะหก์ นั เพอ่ื ไมว่ วิ าทกนั เพอ่ื ความพรอ้ มเพรยี งกนั เพอ่ื ความเปน็ อนั หนง่ึ อนั เดยี วกนั ๖ ประการอะไรบา้ ง คอื (1) ภกิ ษทุ ง้ั หลาย ภกิ ษมุ กี ายกรรมประกอบดว้ ย เมตตา ปรากฏในเพ่ือนร่วมประพฤติพรหมจรรย์ ทั้งใน ทแี่ จง้ ทง้ั ในทล่ี บั ธรรมแมน้ เ้ี ปน็ เหตใุ หร้ ะลกึ ถงึ กนั เปน็ เหตุ กอ่ ความรกั กอ่ ความเคารพ เปน็ ไปเพอ่ื ความสงเคราะหก์ นั เพื่อไม่วิวาทกัน เพื่อความพร้อมเพรียงกัน เพ่ือความเป็น อนั หนึง่ อนั เดียวกนั . (2) ภกิ ษทุ งั้ หลาย อกี ประการหนงึ่ ภกิ ษมุ วี จกี รรม ประกอบด้วยเมตตา ปรากฏในเพ่ือนร่วมประพฤติ พรหมจรรย์ ท้ังในทแ่ี จ้ง ทง้ั ในทีล่ ับ ... (3) ภกิ ษทุ ง้ั หลาย อกี ประการหนง่ึ ภกิ ษมุ มี โนกรรม ประกอบดว้ ยเมตตา ปรากฏในเพอ่ื นรว่ มประพฤตพิ รหมจรรย์ ท้งั ในทแี่ จ้ง ทั้งในทล่ี ับ ... (4) ภกิ ษทุ ง้ั หลาย อกี ประการหนง่ึ ภกิ ษมุ ลี าภใดๆ เกดิ โดยธรรม ไดแ้ ลว้ โดยธรรม ทสี่ ดุ แมเ้ พยี งอาหารตดิ บาตร 147
พทุ ธวจน - หมวดธรรม กบ็ รโิ ภคโดยไมเ่ กยี ดกนั ไวเ้ พอื่ ตน ยอ่ มเปน็ ผบู้ รโิ ภคเฉลย่ี ทว่ั ไปกบั เพือ่ นร่วมประพฤตพิ รหมจรรยผ์ ูม้ ีศลี ... (5) ภิกษุทั้งหลาย อีกประการหนึ่ง ภิกษุเป็น ผู้มีศีลท่ีไม่ขาด ไม่ทะลุ ไม่ด่าง ไม่พร้อย เป็นไท อันผู้รู้ สรรเสริญ ไม่ถกู ทิฏฐิครอบง�ำ เป็นไปพร้อมเพอื่ สมาธิ และ ถึงความเป็นผู้มีศีลเสมอกันในศีลเช่นน้ัน กับเพ่ือนร่วม ประพฤตพิ รหมจรรยท์ ั้งหลาย ทงั้ ในทแ่ี จง้ ทั้งในท่ีลับ ... (6) ภิกษุท้งั หลาย อีกประการหน่งึ ภิกษุเป็นผู้มี ทฏิ ฐอิ นั เปน็ อรยิ ะ อนั เปน็ เครอ่ื งน�ำ ออก น�ำ ไปเพอ่ื ความสน้ิ ทกุ ข์ โดยชอบแกผ่ กู้ ระท�ำ ตาม และถงึ ความเปน็ ผมู้ ที ฏิ ฐเิ สมอกนั ในทฏิ ฐเิ ชน่ นน้ั กบั เพอ่ื นรว่ มประพฤตพิ รหมจรรย์ ทง้ั ในทแ่ี จง้ ทั้งในท่ีลับ ธรรมแม้นี้เป็นเหตุให้ระลึกถึงกัน เป็นเหตุก่อ ความรัก ก่อความเคารพ เป็นไปเพื่อความสงเคราะห์กัน เพื่อไม่วิวาทกัน เพื่อความพร้อมเพรียงกัน เพื่อความเป็น อนั หนงึ่ อันเดียวกัน. ภกิ ษทุ งั้ หลาย ธรรม ๖ ประการเหลา่ นแ้ี ล เปน็ เหตใุ ห้ ระลกึ ถงึ กนั เปน็ เหตกุ อ่ ความรกั กอ่ ความเคารพ เปน็ ไปเพอื่ ความสงเคราะหก์ นั เพอ่ื ไมว่ วิ าทกนั เพอ่ื ความพรอ้ มเพรยี งกนั เพ่อื ความเปน็ อนั หน่งึ อันเดียวกนั . 148
พทุ ธวจน - หมวดธรรม เปิดธรรมท่ีถูกปิด : จิต มโน วิญญาณ เหตแุ ห่งความแตกแยก 63 -บาลี ม.ู ม. ๑๒/๕๘๒/๕๔๑. ภกิ ษทุ ัง้ หลาย ได้ยินว่า พวกเธอเกดิ ขัดใจ ทะเลาะ ววิ าท ทม่ิ แทงกนั และกนั ดว้ ยหอกคอื ปากอยู่ ไมย่ งั กนั และกนั ให้เข้าใจ ไม่ปรารถนาความเข้าใจกัน ไม่ยังกันและกันให้ ปรองดอง ไม่ปรารถนาความปรองดองกันจรงิ หรือ. เปน็ อย่างนนั้ พระพทุ ธเจ้าขา้ . ภิกษุทั้งหลาย พวกเธอจะสำ�คัญความข้อน้ัน เปน็ อยา่ งไร สมยั ใด พวกเธอ เกดิ ขดั ใจ ทะเลาะ ววิ าท ทม่ิ แทง กันและกันด้วยหอกคือปากอยู่ สมัยน้ัน พวกเธอเข้าไปตั้ง เมตตากายกรรม เมตตาวจีกรรม และเมตตามโนกรรม ในเพอ่ื นสพรหมจารที ง้ั หลาย ทง้ั ตอ่ หนา้ และลบั หลงั บา้ งหรอื . ขอ้ นนั้ ไม่มีเลย พระพทุ ธเจา้ ขา้ . ภิกษุท้ังหลาย เช่นน้ีก็เป็นอันว่า สมัยใด พวกเธอ เกิดขัดใจ ทะเลาะ วิวาท ทิ่มแทงกันและกันด้วยหอก คอื ปากอยู่ สมยั นน้ั พวกเธอไมไ่ ดเ้ ขา้ ไปตง้ั เมตตากายกรรม เมตตาวจกี รรม และเมตตามโนกรรม ในเพอ่ื นสพรหมจารี ท้ังหลาย ท้ังต่อหน้าและลับหลัง โมฆบุรุษท้ังหลาย 149
พุทธวจน - หมวดธรรม เมอื่ เปน็ ดงั นน้ั พวกเธอรอู้ ะไร เหน็ อะไร จงึ เกดิ ขดั ใจ ทะเลาะ ววิ าท ทมิ่ แทงกนั และกนั ดว้ ยหอกคอื ปากอยู่ ไมย่ งั กนั และกนั ให้เข้าใจ ไม่ปรารถนาความเข้าใจกัน ไม่ยังกันและกันให้ ปรองดอง ไมป่ รารถนาความปรองดองกัน. โมฆบุรุษทั้งหลาย ข้อน้ันน่ันแหละ จักไม่เป็นไป เพ่ือประโยชน์ เป็นไปเพ่ือทุกข์ แก่พวกเธอท้ังหลาย ตลอดกาลนาน. 150
พทุ ธวจน - หมวดธรรม เปิดธรรมที่ถูกปิด : จิต มโน วญิ ญาณ ความพลดั พราก 64 จากของรักของชอบใจยอ่ มมี -บาลี มหา. ท.ี ๑๐/๑๖๗/๑๓๕. อานนท ์ เธออยา่ ไดเ้ ศรา้ โศกเสยี ใจไปเลย เราไดบ้ อก ไวก้ อ่ นแลว้ ไมใ่ ชห่ รอื วา่ ความเปน็ ตา่ งๆ ความพลดั พราก ความเป็นอย่างอื่น จากของรักของชอบใจทั้งสิ้นย่อมมี อานนท ์ ขอ้ นน้ั จะไดม้ าแตท่ ไ่ี หนเลา่ สง่ิ ใดเกดิ ขน้ึ แลว้ เปน็ แลว้ อันปัจจัยปรุงแต่งแล้ว มีความแตกทำ�ลายไปเป็นธรรมดา วา่ สงิ่ นอี้ ยา่ แตกท�ำ ลายไปเลยดงั น้ี ยอ่ มไมใ่ ชฐ่ านะทจี่ ะมไี ด.้ อานนท์ เธอได้อุปัฏฐากตถาคต ด้วยกายกรรม ท่ีประกอบด้วยเมตตา อันเกื้อกูล เป็นความสุข อย่าง สม�่ำ เสมอ หาประมาณไมไ่ ดม้ าชา้ นาน เธอไดอ้ ปุ ฏั ฐากตถาคต ดว้ ยวจกี รรมทป่ี ระกอบดว้ ยเมตตา อนั เกอ้ื กลู เปน็ ความสขุ อยา่ งสม�ำ่ เสมอ หาประมาณไมไ่ ดม้ าชา้ นาน เธอไดอ้ ปุ ฏั ฐาก ตถาคต ด้วยมโนกรรมท่ีประกอบด้วยเมตตา อันเกื้อกูล เปน็ ความสุข อยา่ งสม�ำ่ เสมอ หาประมาณไม่ไดม้ าชา้ นาน. อานนท ์ เธอไดก้ ระท�ำ บญุ ไวแ้ ลว้ เธอจงประกอบ ความเพียรเถิด แลว้ จะเปน็ ผู้ไมม่ ีอาสวะโดยพลนั . 151
พทุ ธวจน - หมวดธรรม ภกิ ษทุ ง้ั หลาย พระอรหนั ตสมั มาสมั พทุ ธเจา้ ทง้ั หลาย เหลา่ ใด ท่ีไดม้ แี ลว้ ในกาลกอ่ น ภกิ ษุผเู้ ป็นอปุ ฏั ฐากอันเลิศ ของพระผมู้ พี ระภาคเหลา่ นน้ั กเ็ ลศิ เสมอกนั กบั อานนทข์ อง เราน ี้ ภกิ ษทุ งั้ หลาย พระอรหนั ตสมั มาสมั พทุ ธเจา้ ทง้ั หลาย เหล่าใด ที่จะมีในอนาคต ภิกษุผู้เป็นอุปัฏฐากอันเลิศของ พระผมู้ พี ระภาคเหลา่ นน้ั กเ็ ลศิ เสมอกนั กบั อานนทข์ องเราน.้ี ภิกษุท้ังหลาย อานนท์เป็นบัณฑิต ย่อมรู้เวลาท่ี เหมาะสมเพ่ือจะเข้าเฝ้าตถาคตว่า น้ีเป็นเวลาของภิกษุ ทั้งหลาย น้ีเป็นเวลาของภิกษุณีทั้งหลาย นี้เป็นเวลาของ อบุ าสกทง้ั หลาย นเี้ ปน็ เวลาของอบุ าสกิ าทงั้ หลาย นเ้ี ปน็ เวลา ของเหล่าพระราชา นี้เป็นเวลาของเหล่ามหาอำ�มาตย์ของ พระราชา น้ีเป็นเวลาของเดียรถีย์ทั้งหลาย น้ีเป็นเวลาของ สาวกเดยี รถยี ์ทงั้ หลาย. … 152
พทุ ธวจน - หมวดธรรม เปิดธรรมทถี่ ูกปดิ : จติ มโน วิญญาณ คนพาล-บัณฑติ (นยั ท่ี ๑) 65 -บาลี ตกิ . อ.ํ ๒๐/๑๓๐,๓๗๖/๔๔๕,๕๘๖. ภกิ ษทุ ง้ั หลาย บคุ คลผปู้ ระกอบดว้ ยธรรม ๓ ประการ ให้ทราบว่าเป็นคนพาล ธรรม ๓ ประการอะไรบ้าง คือ กายกรรมที่เป็นอกุศล วจีกรรมท่ีเป็นอกุศล มโนกรรม ทเี่ ปน็ อกศุ ล ภกิ ษทุ งั้ หลาย บคุ คลผปู้ ระกอบดว้ ยธรรม ๓ ประการเหลา่ นี้แล ให้ทราบวา่ เป็นคนพาล. ภกิ ษทุ ง้ั หลาย บคุ คลผปู้ ระกอบดว้ ยธรรม ๓ ประการ ให้ทราบว่าเป็นบัณฑิต ธรรม ๓ ประการอะไรบ้าง คือ กายกรรมที่เป็นกุศล วจีกรรมท่ีเป็นกุศล มโนกรรม ที่เป็นกุศล ภิกษุท้ังหลาย บุคคลผู้ประกอบด้วยธรรม ๓ ประการเหลา่ น้ีแล ใหท้ ราบว่าเปน็ บัณฑิต. ภกิ ษทุ ง้ั หลาย บคุ คลผปู้ ระกอบดว้ ยธรรม ๓ ประการ ยอ่ มตกนรก เหมอื นกบั ถกู น�ำ ตวั ไปฝงั ไว ้ ธรรม ๓ ประการ อะไรบา้ ง คอื กายกรรมทเ่ี ปน็ อกศุ ล วจกี รรมทเ่ี ปน็ อกศุ ล มโนกรรมทเ่ี ปน็ อกศุ ล ภกิ ษทุ ง้ั หลาย บคุ คลผปู้ ระกอบดว้ ย ธรรม ๓ ประการเหลา่ นแ้ี ล ยอ่ มตกนรกเหมอื นกบั ถกู น�ำ ตวั ไปฝงั ไว.้ 153
พทุ ธวจน - หมวดธรรม ภกิ ษทุ ง้ั หลาย บคุ คลผปู้ ระกอบดว้ ยธรรม ๓ ประการ ยอ่ มไปสวรรค์ เหมอื นกบั ถกู น�ำ ตวั ไปเกบ็ ไว ้ ธรรม ๓ ประการ อะไรบ้าง คือ กายกรรมท่ีเป็นกุศล วจีกรรมท่ีเป็นกุศล มโนกรรมทเ่ี ปน็ กศุ ล ภกิ ษทุ ง้ั หลาย บคุ คลผปู้ ระกอบดว้ ย ธรรม ๓ ประการเหลา่ นแ้ี ล ยอ่ มไปสวรรคเ์ หมอื นกบั ถกู น�ำ ตวั ไปเกบ็ ไว.้ 154
พุทธวจน - หมวดธรรม เปิดธรรมทีถ่ กู ปิด : จิต มโน วญิ ญาณ คนพาล-บณั ฑติ (นยั ท่ี ๒) 66 -บาลี ตกิ . อ.ํ ๒๐/๑๓๑,๓๗๗/๔๔๖,๕๘๗. ภกิ ษทุ ง้ั หลาย บคุ คลผปู้ ระกอบดว้ ยธรรม ๓ ประการ ให้ทราบว่าเป็นคนพาล ธรรม ๓ ประการอะไรบ้าง คือ กายกรรมท่ีมีโทษ วจีกรรมท่ีมีโทษ มโนกรรมท่ีมีโทษ ภกิ ษทุ ง้ั หลาย บคุ คลผปู้ ระกอบดว้ ยธรรม ๓ ประการเหลา่ นแ้ี ล ให้ทราบวา่ เป็นคนพาล. ภกิ ษทุ ง้ั หลาย บคุ คลผปู้ ระกอบดว้ ยธรรม ๓ ประการ ให้ทราบว่าเป็นบัณฑิต ธรรม ๓ ประการอะไรบ้าง คือ กายกรรมที่ไม่มีโทษ วจีกรรมท่ีไม่มีโทษ มโนกรรมท่ี ไมม่ โี ทษ ภกิ ษทุ ง้ั หลาย บคุ คลผปู้ ระกอบดว้ ยธรรม ๓ ประการ เหลา่ นแ้ี ล ให้ทราบว่าเปน็ บณั ฑติ . ภกิ ษทุ ง้ั หลาย บคุ คลผปู้ ระกอบดว้ ยธรรม ๓ ประการ ยอ่ มตกนรก เหมอื นกบั ถกู น�ำ ตวั ไปฝงั ไว ้ ธรรม ๓ ประการ อะไรบา้ ง คอื กายกรรมทม่ี โี ทษ วจกี รรมทม่ี โี ทษ มโนกรรม ท่ีมีโทษ ภิกษุท้ังหลาย บุคคลผู้ประกอบด้วยธรรม ๓ ประการเหลา่ นแ้ี ล ยอ่ มตกนรกเหมอื นกบั ถกู น�ำ ตวั ไปฝงั ไว.้ 155
พทุ ธวจน - หมวดธรรม ภกิ ษทุ ง้ั หลาย บคุ คลผปู้ ระกอบดว้ ยธรรม ๓ ประการ ยอ่ มไปสวรรค์ เหมอื นกบั ถกู น�ำ ตวั ไปเกบ็ ไว ้ ธรรม ๓ ประการ อะไรบ้าง คือ กายกรรมท่ีไม่มีโทษ วจีกรรมท่ีไม่มีโทษ มโนกรรมทไี่ มม่ โี ทษ ภกิ ษทุ งั้ หลาย บคุ คลผปู้ ระกอบดว้ ย ธรรม ๓ ประการเหลา่ นแ้ี ล ยอ่ มไปสวรรคเ์ หมอื นกบั ถกู น�ำ ตวั ไปเก็บไว.้ 156
พุทธวจน - หมวดธรรม เปดิ ธรรมท่ีถกู ปิด : จติ มโน วิญญาณ คนพาล-บณั ฑิต (นยั ที่ ๓) 67 -บาลี ตกิ . อ.ํ ๒๐/๑๓๑/๔๔๗. ภกิ ษทุ ง้ั หลาย บคุ คลผปู้ ระกอบดว้ ยธรรม ๓ ประการ ให้ทราบว่าเป็นคนพาล ธรรม ๓ ประการอะไรบ้าง คือ กายกรรมท่ีเป็นการเบียดเบียน วจีกรรมท่ีเป็นการ เบยี ดเบยี น มโนกรรมทเ่ี ปน็ การเบยี ดเบยี น ภกิ ษทุ งั้ หลาย บคุ คลผปู้ ระกอบดว้ ยธรรม ๓ ประการเหลา่ นแ้ี ล ใหท้ ราบวา่ เปน็ คนพาล. ภกิ ษทุ ง้ั หลาย บคุ คลผปู้ ระกอบดว้ ยธรรม ๓ ประการ ให้ทราบว่าเป็นบัณฑิต ธรรม ๓ ประการอะไรบ้าง คือ กายกรรมท่ีไม่เป็นการเบียดเบียน วจีกรรมท่ีไม่เป็น การเบียดเบียน มโนกรรมที่ไม่เป็นการเบียดเบียน ภิกษุทั้งหลาย บุคคลผู้ประกอบด้วยธรรม ๓ ประการ เหลา่ นี้แล ใหท้ ราบวา่ เป็นบัณฑิต. ภกิ ษทุ ง้ั หลาย เพราะเหตนุ น้ั แหละ เธอทง้ั หลายพงึ ศกึ ษาอยา่ งนว้ี า่ บคุ คลผปู้ ระกอบดว้ ยธรรม ๓ ประการเหลา่ ใด ทท่ี �ำ ใหท้ ราบวา่ เปน็ คนพาล เราจะไมป่ ระพฤตธิ รรมเหลา่ นน้ั สว่ นบคุ คลผปู้ ระกอบดว้ ยธรรม ๓ ประการเหลา่ ใด ทท่ี �ำ ให้ ทราบวา่ เปน็ บณั ฑติ เราจะสมาทานประพฤตธิ รรมเหลา่ นน้ั ภกิ ษทุ ง้ั หลาย เธอทง้ั หลายพงึ ศกึ ษาอยา่ งนแ้ี ล. 157
พทุ ธวจน - หมวดธรรม เปิดธรรมท่ีถูกปิด : จิต มโน วญิ ญาณ 68 คนพาล-บัณฑิต (นยั ท่ี ๔) -บาลี ตกิ . อ.ํ ๒๐/๑๓๒/๔๔๘. ภกิ ษทุ ง้ั หลาย บคุ คลผปู้ ระกอบดว้ ยธรรม ๓ ประการ ยอ่ มเปน็ คนพาล เปน็ คนไมฉ่ ลาด เปน็ อสปั บรุ ษุ ยอ่ มท�ำ ตน ใหถ้ ูกกำ�จดั ให้ถกู ทำ�ลาย เปน็ ไปกับดว้ ยโทษ ถูกผ้รู ู้ติเตียน และประสบสิ่งไม่ใช่บุญเป็นอันมาก ธรรม ๓ ประการ อะไรบา้ ง คอื กายทจุ รติ วจที จุ รติ มโนทจุ รติ ภกิ ษทุ ง้ั หลาย บุคคลผ้ปู ระกอบด้วยธรรม ๓ ประการเหล่าน้แี ล ย่อมเป็น คนพาล เปน็ คนไมฉ่ ลาด เปน็ อสปั บรุ ษุ ยอ่ มท�ำ ตนใหถ้ กู ก�ำ จดั ใหถ้ ูกทำ�ลาย เปน็ ไปกับด้วยโทษ ถูกผู้รตู้ ิเตยี น และประสบ สิ่งไมใ่ ช่บุญเป็นอันมาก. ภกิ ษทุ ง้ั หลาย บคุ คลผปู้ ระกอบดว้ ยธรรม ๓ ประการ ยอ่ มเปน็ บณั ฑติ เปน็ คนฉลาด เปน็ สปั บรุ ษุ ยอ่ มท�ำ ตนไมใ่ ห้ ถกู ก�ำ จดั ไมใ่ หถ้ กู ท�ำ ลาย ไมม่ โี ทษ ผรู้ ไู้ มต่ เิ ตยี น และประสบบญุ เป็นอันมาก ธรรม ๓ ประการอะไรบ้าง คือ กายสุจริต วจีสุจริต มโนสุจริต ภิกษุท้ังหลาย บุคคลผู้ประกอบด้วย ธรรม ๓ ประการเหล่าน้ีแล ย่อมเป็นบณั ฑิต เปน็ คนฉลาด เปน็ สัปบรุ ุษ ย่อมบรหิ ารตนไมใ่ หถ้ กู กำ�จดั ไมใ่ ห้ถกู ท�ำ ลาย ไม่มีโทษ ผู้รไู้ มต่ เิ ตียน และประสบบญุ เป็นอนั มาก. 158
พทุ ธวจน - หมวดธรรม เปิดธรรมที่ถกู ปิด : จิต มโน วิญญาณ ผลของกรรมทไ่ี มส่ ม�ำ่ เสมอ-สม�ำ่ เสมอ 69 -บาลี ตกิ . อ.ํ ๒๐/๓๗๗/๕๘๘. ภกิ ษทุ ง้ั หลาย บคุ คลผปู้ ระกอบดว้ ยธรรม ๓ ประการ ย่อมตกนรก เหมือนกับถูกนำ�ไปฝังไว้ ธรรม ๓ ประการ อะไรบ้าง คือ กายกรรมท่ีไม่สมำ่�เสมอ (กายกมฺเมน วิสเมน) วจีกรรมท่ีไม่สม่ำ�เสมอ (วจีกมฺเมน วิสเมน) มโนกรรม ท่ีไม่สมำ่�เสมอ (มโนกมฺเมน วิสเมน) ภิกษุทั้งหลาย บุคคล ผู้ประกอบด้วยธรรม ๓ ประการเหล่าน้ีแล ย่อมตกนรก เหมือนกับถกู นำ�ตัวไปฝงั ไว้. ภกิ ษทุ ง้ั หลาย บคุ คลผปู้ ระกอบดว้ ยธรรม ๓ ประการ ยอ่ มไปสวรรค์ เหมอื นกบั ถกู น�ำ ตวั ไปเกบ็ ไว ้ ธรรม ๓ ประการ อะไรบ้าง คือ กายกรรมท่ีสม่ำ�เสมอ (กายกมฺเมน สเมน) วจีกรรมท่ีสมำ่�เสมอ (วจีกมฺเมน สเมน) มโนกรรม ที่สมำ่�เสมอ (มโนกมฺเมน สเมน) ภิกษุทั้งหลาย บุคคล ผู้ประกอบด้วยธรรม ๓ ประการเหล่าน้ีแล ย่อมไปสวรรค์ เหมอื นกบั ถกู น�ำ ตวั ไปเก็บไว้. 159
พุทธวจน - หมวดธรรม เปดิ ธรรมที่ถูกปิด : จิต มโน วญิ ญาณ ผลของกรรมทไ่ี ม่สะอาด-สะอาด 70 -บาลี ตกิ . อ.ํ ๒๐/๓๗๗/๕๘๙. ภกิ ษทุ ง้ั หลาย บคุ คลผปู้ ระกอบดว้ ยธรรม ๓ ประการ ย่อมตกนรก เหมือนกับถูกนำ�ไปฝังไว้ ธรรม ๓ ประการ อะไรบ้าง คือ กายกรรมท่ีไม่สะอาด (กายกมฺเมน อสุจินา) วจีกรรมท่ีไม่สะอาด (วจีกมฺเมน อสุจินา) มโนกรรม ที่ไม่สะอาด (มโนกมฺเมน อสุจินา) ภิกษุทั้งหลาย บุคคล ผู้ประกอบด้วยธรรม ๓ ประการเหล่านี้แล ย่อมตกนรก เหมือนกับถกู นำ�ตวั ไปฝังไว้. ภกิ ษทุ ง้ั หลาย บคุ คลผปู้ ระกอบดว้ ยธรรม ๓ ประการ ยอ่ มไปสวรรค์ เหมอื นกบั ถกู น�ำ ตวั ไปเกบ็ ไว ้ ธรรม ๓ ประการ อะไรบา้ ง คอื กายกรรมทส่ี ะอาด (กายกมเฺ มน สจุ นิ า) วจกี รรม ทส่ี ะอาด (วจกี มเฺ มน สจุ นิ า) มโนกรรมทส่ี ะอาด (มโนกมเฺ มน สจุ นิ า) ภิกษุทั้งหลาย บุคคลผู้ประกอบด้วยธรรม ๓ ประการ เหลา่ นีแ้ ล ยอ่ มไปสวรรคเ์ หมือนกบั ถูกนำ�ตวั ไปเกบ็ ไว้. 160
พุทธวจน - หมวดธรรม เปดิ ธรรมที่ถูกปดิ : จิต มโน วญิ ญาณ ความไม่สะอาด-ความสะอาด 71 ทางกาย วาจา และใจ -บาลี ทสก. อ.ํ ๒๔/๒๘๕,๓๐๖/๑๖๕,๑๘๙. จนุ ทะ ความไม่สะอาดทางกายมี ๓ อย่าง (ตวิ ธิ โข จนุ ทฺ กาเยน อโสเจยยฺ ) ความไม่สะอาดทางวาจามี ๔ อย่าง (จตุพฺพิธ วาจา อโสเจยยฺ ) ความไม่สะอาดทางใจมี ๓ อยา่ ง. (ตวิ ิธ มนสา อโสเจยยฺ ) จนุ ทะ ความไมส่ ะอาดทางกายมี ๓ อยา่ ง อะไรบา้ ง คือ จนุ ทะ คนบางคนในกรณนี ี้ (1) เป็นผู้มีปกติฆ่าสัตว์ หยาบช้า มีฝ่ามือเป้ือน ดว้ ยโลหติ มแี ตก่ ารฆา่ และการทบุ ตี ไมม่ คี วามเอน็ ดใู นสตั ว์ มชี วี ติ (2) เปน็ ผมู้ ปี กตถิ อื เอาสงิ่ ของทม่ี เี จา้ ของไมไ่ ดใ้ ห้ คือ วัตถุอุปกรณ์แห่งทรัพย์ของบุคคลอื่น ที่อยู่ในบ้านหรือ ในป่าก็ตาม เป็นผู้ถือเอาสิ่งของที่เขาไม่ได้ให้ด้วยอาการ แหง่ ขโมย (3) เป็นผู้มีปกติประพฤติผิดในกาม ในหญิง ซงึ่ มารดารกั ษา บดิ ารกั ษา พนี่ อ้ งชาย พนี่ อ้ งหญงิ หรอื ญาติ รักษา อันธรรมรักษา เป็นหญิงมีสามี หญิงอยู่ในสินไหม 161
พทุ ธวจน - หมวดธรรม โดยที่สุดแม้หญิงอันเขาหม้ันไว้ ด้วยการคล้องพวงมาลัย เปน็ ผ้ปู ระพฤติผดิ จารตี ในรปู แบบเหล่านัน้ จนุ ทะ อยา่ งนแ้ี ล ความไมส่ ะอาดทางกาย ๓ อยา่ ง. จนุ ทะ ความไมส่ ะอาดทางวาจามี ๔ อยา่ ง อะไรบา้ ง คอื จนุ ทะ คนบางคนในกรณนี ี้ (1) เป็นผ้มู ีปกติกล่าวเท็จ (มุสาวาท) ไปส่สู ภาก็ดี ไปสบู่ รษิ ทั กด็ ี ไปสทู่ า่ มกลางหมญู่ าตกิ ด็ ี ไปสทู่ า่ มกลางศาลา ประชาคมกด็ ี ไปสทู่ า่ มกลางราชสกลุ กด็ ี อนั เขาน�ำ ไปเปน็ พยาน ถามว่า บุรุษผ้เู จริญ ท่านร้อู ย่างไร ท่านจงกล่าวไปอย่างน้นั ดังนี้ บุรุษน้ัน เม่ือไม่รู้ก็กล่าวว่ารู้ เม่ือรู้ก็กล่าวว่าไม่รู้ เมอ่ื ไมเ่ หน็ กก็ ลา่ ววา่ เหน็ เมอ่ื เหน็ กก็ ลา่ ววา่ ไมเ่ หน็ เพราะเหตุ ตนเอง เพราะเหตผุ อู้ น่ื หรอื เพราะเหตเุ หน็ แกอ่ ามสิ อะไรๆ ก็เป็นผกู้ ล่าวเทจ็ ท้ังท่ีร้อู ยู่ (2) เป็นผู้มีวาจาส่อเสียด (ปิสุณวาจา) คือฟังจาก ฝา่ ยนแ้ี ลว้ ไปบอกฝา่ ยโนน้ เพอ่ื ท�ำ ลายฝา่ ยน้ี หรอื ฟงั จากฝา่ ยโนน้ แลว้ มาบอกฝา่ ยนเ้ี พอ่ื ท�ำ ลายฝา่ ยโนน้ เปน็ ผทู้ �ำ คนทส่ี ามคั คกี นั ใหแ้ ตกกนั หรอื ท�ำ คนทแ่ี ตกกนั แลว้ ใหแ้ ตกกนั ยง่ิ ขน้ึ พอใจ ยนิ ดี เพลดิ เพลนิ ในการแตกกนั เปน็ พวก เปน็ ผกู้ ลา่ ววาจาทกี่ ระทำ� ใหแ้ ตกกันเป็นพวก 162
เปิดธรรมที่ถูกปิด : จิต มโน วญิ ญาณ (3) เป็นผู้มีวาจาหยาบ (ผรุสวาจา) อันเป็นวาจา หยาบคาย กลา้ แขง็ แสบเผด็ ตอ่ ผอู้ น่ื กระทบกระเทยี บผอู้ น่ื แวดล้อมอยู่ด้วยความโกรธ ไม่เป็นไปเพ่ือสมาธิ เขาเป็น ผกู้ ลา่ ววาจามรี ูปลักษณะเชน่ นน้ั (4) เปน็ ผมู้ วี าจาเพอ้ เจอ้ (สมผฺ ปปฺ ลาป) คอื เปน็ ผกู้ ลา่ ว ไมถ่ กู กาล ไมก่ ล่าวตามจริง กล่าวไม่อิงอรรถ ไม่อิงธรรม ไม่อิงวินัย เป็นผ้กู ล่าววาจาไม่มีท่ตี ้งั อาศัย ไม่ถูกกาลเทศะ ไมม่ จี ดุ จบ ไมป่ ระกอบดว้ ยประโยชน์ จนุ ทะ อยา่ งนแ้ี ล ความไมส่ ะอาดทางวาจา ๔ อยา่ ง. จนุ ทะ ความไมส่ ะอาดทางใจมี ๓ อยา่ ง อะไรบา้ ง คือ จนุ ทะ คนบางคนในกรณนี ้ี (1) เป็นผู้มากด้วยอภิชฌา (ความโลภเพ่งเล็ง) เป็น ผู้โลภเพ่งเล็งวัตถุอุปกรณ์แห่งทรัพย์ของผู้อื่นว่า สง่ิ ใดเปน็ ของผู้อืน่ สงิ่ น้นั จงเป็นของเรา ดงั นี้ (2) เปน็ ผมู้ จี ติ พยาบาท มคี วามด�ำ รใิ นใจเปน็ ไปใน ทางประทษุ รา้ ยวา่ สตั วท์ ง้ั หลายเหลา่ น้ี จงเดอื ดรอ้ น จงแตก ทำ�ลาย จงขาดสูญ จงพนิ าศ อย่าได้มีอย่เู ลย ดงั น้ี 163
พทุ ธวจน - หมวดธรรม (3) เป็นผู้มีความเห็นผิด มีทัสสนะวิปริตว่า ทาน ที่ให้แล้วไม่มี (ผล) ยัญที่บูชาแล้วไม่มี (ผล) การบูชาที่บูชา แลว้ ไมม่ ี (ผล) ผลวบิ ากแหง่ กรรมทส่ี ตั วท์ �ำ ดที �ำ ชวั่ ไมม่ ี โลกน้ี ไมม่ ี โลกอน่ื ไมม่ ี มารดาไมม่ ี บดิ าไมม่ ี โอปปาตกิ ะสตั วไ์ มม่ ี สมณพราหมณ์ผู้ดำ�เนินไปโดยชอบ ปฏิบัติโดยชอบถึงกับ กระทำ�ให้แจ้งโลกนี้และโลกอ่ืน ด้วยปัญญาโดยชอบเอง แลว้ ประกาศให้ผ้อู ่ืนรกู้ ็ไมม่ ี ดงั น้ี จนุ ทะ อย่างนี้แล ความไม่สะอาดทางใจ ๓ อยา่ ง. จุนทะ เหลา่ น้แี ล เรยี กว่า อกศุ ลกรรมบถสิบ. จุนทะ อน่ึง เพราะมีการประกอบด้วยอกุศล- กรรมบถท้ังสิบประการเหล่าน้ีเป็นเหตุ นรกย่อมปรากฏ กำ�เนดิ เดรัจฉานย่อมปรากฏ เปรตวสิ ยั ยอ่ มปรากฏ หรือ ว่าทคุ ตใิ ดๆ แมอ้ ่ืนอีก ยอ่ มมี. … ภิกษุท้ังหลาย บุคคลผู้ประกอบด้วยธรรม ๑๐ ประการเหลา่ นแ้ี ล ยอ่ มเปน็ เหมอื นบคุ คลผถู้ กู น�ำ ตวั ไปฝังไวใ้ นนรก. 164
เปดิ ธรรมทีถ่ กู ปิด : จติ มโน วญิ ญาณ จนุ ทะ ความสะอาดทางกายมี ๓ อยา่ ง (ติวธิ โข จุนฺท กาเยน โสเจยยฺ ) ความสะอาดทางวาจามี ๔ อยา่ ง (จตพุ พฺ ธิ วาจา โสเจยยฺ ) ความสะอาดทางใจมี ๓ อยา่ ง. (ตวิ ิธ มนสา โสเจยยฺ ) จนุ ทะ ความสะอาดทางกายมี ๓ อยา่ ง อะไรบา้ ง คือ จุนทะ บุคคลบางคนในกรณนี ี้ (1) ละการฆ่าสัตว์ เว้นขาดจากการฆ่าสัตว์ วาง ทอ่ นไม้ วางศสั ตรา มคี วามละอายถงึ ความเอน็ ดกู รณุ าเกอื้ กลู แก่สัตวท์ ั้งหลายอยู่ (2) ละการถอื เอาสง่ิ ของทเ่ี จา้ ของมไิ ดใ้ ห้ เวน้ ขาด จากการถอื เอาสง่ิ ของทเ่ี จา้ ของไมไ่ ดใ้ ห้ ไมถ่ อื เอาทรพั ยแ์ ละ อุปกรณ์แห่งทรัพย์ท่ีเจ้าของไม่ได้ให้ ในบ้านก็ดี ในป่าก็ดี ด้วยอาการแหง่ ขโมย (3) ละการประพฤติผิดในกาม เว้นขาดจากการ ประพฤตผิ ดิ ในกาม ในหญงิ ซง่ึ มารดารกั ษา บดิ ารกั ษา พน่ี อ้ งชาย พี่น้องหญิงหรือญาติรักษา อันธรรมรักษา เป็นหญิงมีสามี หญงิ อยใู่ นสนิ ไหม โดยทสี่ ดุ แมห้ ญงิ อนั เขาหมน้ั ไว้ ดว้ ยการ คลอ้ งพวงมาลยั ไมเ่ ปน็ ผปู้ ระพฤตผิ ดิ จารตี ในรปู แบบเหลา่ นน้ั จนุ ทะ อยา่ งนแ้ี ล ความสะอาดทางกาย ๓ อยา่ ง. 165
พุทธวจน - หมวดธรรม จนุ ทะ ความสะอาดทางวาจามี ๔ อยา่ ง อะไรบา้ ง คอื จุนทะ บคุ คลบางคนในกรณนี ้ี (1) ละการพูดเท็จ เว้นขาดจากการพูดเท็จ ไปสู่ สภาก็ดี ไปสู่บริษัทก็ดี ไปสู่ท่ามกลางหมู่ญาติก็ดี ไปสู่ ท่ามกลางศาลาประชาคมก็ดี ไปสู่ท่ามกลางราชสกุลก็ดี อันเขานำ�ไปเป็นพยาน ถามว่า บุรุษผู้เจริญ ท่านรู้อย่างไร ทา่ นจงกลา่ วไปอยา่ งนนั้ ดงั น ี้ บรุ ษุ นน้ั เมอ่ื ไมร่ กู้ ก็ ลา่ ววา่ ไมร่ ู้ เมอื่ รกู้ ก็ ลา่ ววา่ รู้ เมอ่ื ไมเ่ หน็ กก็ ลา่ ววา่ ไมเ่ หน็ เมอื่ เหน็ กก็ ลา่ ว ว่าเห็น เพราะเหตุตนเอง เพราะเหตุผู้อ่ืน หรือเพราะเหตุ เห็นแก่อามสิ อะไรๆ กไ็ มเ่ ปน็ ผ้กู ลา่ วเทจ็ ท้งั ท่รี อู้ ยู่ (2) ละค�ำ ส่อเสียด เว้นขาดจากค�ำ ส่อเสยี ด ไดฟ้ งั จากฝ่ายน้ีแล้วไม่เก็บไปบอกฝ่ายโน้น เพื่อแตกจากฝ่ายนี้ หรอื ไดฟ้ งั จากฝา่ ยโนน้ แลว้ ไมเ่ กบ็ มาบอกแกฝ่ า่ ยน้ี เพอ่ื แตกจาก ฝา่ ยโนน้ แตจ่ ะสมานคนทแ่ี ตกกนั แลว้ ใหก้ ลบั พรอ้ มเพรยี งกนั อุดหนุนคนที่พร้อมเพรียงกันอยู่ ให้พร้อมเพรียงกันย่ิงขึ้น เป็นคนชอบในความพร้อมเพรียง เป็นคนยินดีในความ พร้อมเพรียง เป็นคนพอใจในความพร้อมเพรียง กล่าวแต่ วาจาทีท่ ำ�ให้พร้อมเพรยี งกัน (3) ละการกล่าวคำ�หยาบ เว้นขาดจากการกล่าว ค�ำ หยาบ กลา่ วแตว่ าจาทไี่ มม่ โี ทษ เสนาะโสต ใหเ้ กดิ ความรกั เปน็ ค�ำ ฟูใจ เป็นค�ำ สภุ าพท่ชี าวเมอื งเขาพดู กนั เปน็ ทีใ่ คร่ที่ พอใจของมหาชน กล่าวแต่วาจาเช่นนน้ั อยู่ 166
เปิดธรรมท่ีถูกปดิ : จิต มโน วิญญาณ (4) ละคำ�พูดเพ้อเจ้อ เว้นขาดจากคำ�พูดเพ้อเจ้อ กล่าวแต่ในเวลาอันสมควร กล่าวแต่คำ�จริง เป็นประโยชน์ เปน็ ธรรม เปน็ วนิ ยั กลา่ วแตว่ าจามที ต่ี งั้ มหี ลกั ฐานทอี่ า้ งองิ มเี วลาจบ ประกอบดว้ ยประโยชน์ สมควรแก่เวลา จนุ ทะ อยา่ งนแ้ี ล ความสะอาดทางวาจา ๔ อยา่ ง. จนุ ทะ ความสะอาดทางใจมี ๓ อยา่ ง อะไรบา้ ง คือ จุนทะ บคุ คลบางคนในกรณนี ้ี (1) เป็นผู้ไม่มากด้วยอภิชฌา คือ เป็นผู้ไม่โลภ ไม่เพง่ เลง็ วตั ถอุ ปุ กรณแ์ หง่ ทรพั ยข์ องผอู้ น่ื วา่ สง่ิ ใดเปน็ ของ ผ้อู ืน่ สง่ิ น้ันจงเปน็ ของเรา ดังนี้ (2) เปน็ ผูไ้ มม่ ีจิตพยาบาท มีความด�ำ รแิ ห่งใจอนั ไมป่ ระทษุ รา้ ยวา่ สตั วท์ ง้ั หลายเหลา่ น้ี จงเปน็ ผไู้ มม่ เี วร ไม่มี ความเบียดเบียน ไม่มที กุ ข์ มีสขุ บรหิ ารตนอย่เู ถดิ ดงั น้ี (3) เปน็ ผมู้ คี วามเหน็ ถกู ตอ้ ง มที สั สนะไมว่ ปิ รติ วา่ ทานที่ให้แล้วมี (ผล) ยัญท่ีบูชาแล้วมี (ผล) การบูชาท่ีบูชา แล้วมี (ผล) ผลวิบากแห่งกรรมที่สัตว์ทำ�ดีทำ�ชั่วมี โลกนี้มี โลกอน่ื มี มารดามี บดิ ามี โอปปาตกิ ะสตั วม์ ี สมณพราหมณ์ ผู้ดำ�เนินไปโดยชอบ ปฏิบัติโดยชอบ ถึงกับกระทำ�ให้แจ้ง โลกนี้และโลกอ่ืน ด้วยปัญญาโดยชอบเอง แล้วประกาศให้ ผ้อู นื่ รกู้ ็มี ดงั นี้ จนุ ทะ อย่างนีแ้ ล ความสะอาดทางใจ ๓ อย่าง. จุนทะ เหล่านแี้ ล เรียกวา่ กศุ ลกรรมบถสบิ . 167
พทุ ธวจน - หมวดธรรม จุนทะ อนึ่ง เพราะมีการประกอบด้วยกุศล- กรรมบถทง้ั สบิ ประการเหลา่ นเ้ี ปน็ เหตุ พวกเทวดาจงึ ปรากฏ พวกมนษุ ยจ์ งึ ปรากฏ หรอื วา่ สคุ ตใิ ดๆ แมอ้ น่ื อกี ยอ่ มม.ี … ภิกษุทั้งหลาย บุคคลผู้ประกอบด้วยธรรม ๑๐ ประการเหลา่ นแ้ี ล ยอ่ มเปน็ เหมอื นบคุ คลผถู้ กู น�ำ ตวั ไปเก็บไวใ้ นสวรรค.์ (ในสูตรอื่น -บาลี ทสก. อํ. ๒๔/๓๒๕–๓๓๒/๑๙๘-๒๐๑. แทนท่ีจะนับจำ�นวนกรรมบถมี ๑๐ ได้ทรงขยายออกไปเป็น ๒๐ คือ ทำ�เองสิบ ชักชวนผู้อ่ืนให้ทำ�อีกสิบ และทรงขยายออกไปเป็น ๓๐ คือ ทำ�เองสบิ ชกั ชวนผอู้ นื่ ใหท้ ำ�สบิ ยนิ ดเี มอ่ื เขาทำ�สบิ และทรงขยายออกไป เปน็ ๔๐ คอื ทำ�เองสบิ ชกั ชวนผอู้ น่ื ใหท้ ำ�สบิ ยนิ ดเี มอ่ื เขาทำ�สบิ สรรเสรญิ ผกู้ ระทำ�สบิ จงึ มกี รรมบถ สิบ ยี่สิบ สามสิบ สี่สิบ. ในสูตรอ่ืน -บาลี ทสก. อํ. ๒๔/๓๓๒-๓๓๓/๒๐๒–๒๐๓. แสดงผลแห่งการกระทำ�แปลกออกไป จากคำ�วา่ เหมอื นถูกนำ�ตัวไปฝัง ไว้ในนรก น้ัน ทรงแสดงด้วยคำ�ว่า เป็นผู้ขุดรากตนเอง ก็มี, ตายแลว้ ไปทคุ ติ กม็ ,ี เปน็ พาล กม็ ี และจากคำ�วา่ เหมอื นถกู น�ำ ตวั ไป เก็บไว้ในสวรรค์ น้ัน ทรงแสดงด้วยคำ�ว่า เป็นผู้ไม่ขุดรากตนเอง ก็มี ตายแล้วไปสุคติ กม็ ี เป็นบัณฑติ กม็ ี.) 168
“วญิ ญาณ” 169
พทุ ธวจน - หมวดธรรม เปิดธรรมที่ถูกปดิ : จิต มโน วิญญาณ 72 วญิ ญาณ ไม่ใชส่ ิ่งที่ทอ่ งเทีย่ ว -บาลี ม.ู ม. ๑๒/๔๗๕/๔๔๒. สาติ ได้ยินว่าเธอมีทิฏฐิอันช่ัวเห็นปานน้ีเกิดข้ึนว่า เรายอ่ มรทู้ ว่ั ถงึ ธรรมตามทพ่ี ระผมู้ พี ระภาคทรงแสดงแลว้ วา่ วิญญาณน้ีนั่นแหละ ย่อมแล่นไป ย่อมท่องเที่ยวไป หาใช่ สง่ิ อ่นื ไมด่ ังนี้ จรงิ หรอื . ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ ข้าพระองค์ย่อมรู้ท่ัวถึงธรรมตามที่ พระผู้มีพระภาคทรงแสดงแล้วว่า วิญญาณนี้แหละ ย่อมแล่นไป ย่อม ทอ่ งเที่ยวไป หาใชส่ ่ิงอืน่ ไม่ ดงั นีจ้ ริง. สาต ิ วญิ ญาณน้ันเปน็ อยา่ งไร. ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ สภาวะท่ีพูดได้ รับรู้ได้ ย่อมเสวยวิบาก ของกรรมทัง้ หลายท้งั สว่ นดี ทง้ั ส่วนช่วั ในทนี่ ้นั ๆ น่ันเปน็ วิญญาณ. โมฆบุรุษ เธอรู้ท่ัวถึงธรรมอย่างน้ีท่ีเราแสดงแล้ว แก่ใครเล่า โมฆบุรุษ วิญญาณเป็นปฏิจจสมุปปันนธรรม (สิ่งท่ีอาศัยปัจจัยแล้วเกิดขึ้น) เราได้กล่าวแล้วโดยอเนกปริยาย ถา้ เวน้ จากปจั จยั แลว้ ความเกดิ ขน้ึ แหง่ วญิ ญาณยอ่ มไมม่ ี ดังน้ีไม่ใช่หรือ โมฆบุรุษ ก็เมื่อเป็นดังน้ัน เธอกล่าวตู่ เราดว้ ย ขดุ ตนเสยี ดว้ ย จะประสบสง่ิ ไมใ่ ชบ่ ญุ เปน็ อนั มากดว้ ย เพราะทฏิ ฐทิ ตี่ นถอื ชวั่ แลว้ โมฆบรุ ษุ กค็ วามเหน็ นนั้ ของเธอ จกั เป็นไปเพื่อความทกุ ข์ ไมเ่ กอ้ื กูลแกเ่ ธอตลอดกาลนาน. 170
เปดิ ธรรมทีถ่ กู ปดิ : จติ มโน วิญญาณ ครั้งนัน้ พระผู้มีพระภาคตรัสถามภกิ ษทุ ัง้ หลายว่า ภิกษุท้ังหลาย พวกเธอจะสำ�คัญความข้อน้ันว่า อย่างไร ภิกษุสาติเกวัฏฏบุตรนี้ จะเป็นผู้ทำ�ความเจริญใน ธรรมวินยั น้ีได้บา้ งหรอื ไม.่ ข้อนีจ้ ะมีได้อยา่ งไร ข้อน้มี ีไม่ได้เลย พระเจา้ ขา้ . เม่ือภิกษุทั้งหลายทูลอย่างน้ีแล้ว ภิกษุสาติเกวัฏฏบุตร นั่งนิ่ง เก้อเขิน คอตก ก้มหน้า ซบเซา ไม่มีปฏิภาณ พระผู้มีพระภาคทอด พระเนตรเห็นดงั นัน้ แล้ว ได้ตรสั ว่า โมฆบรุ ษุ เธอจะปรากฏดว้ ยทฏิ ฐอิ นั ชว่ั นน้ั ของตนเอง เราจกั สอบถามภกิ ษุท้ังหลายในทน่ี ้ี. ภิกษุท้ังหลาย พวกเธอย่อมรู้ท่ัวถึงธรรมท่ีเรา แสดงแล้วเหมือนสาติภิกษุ กล่าวตู่เราด้วย ขุดตนเสียด้วย จะประสบสง่ิ ไมใ่ ชบ่ ญุ เปน็ อนั มากดว้ ย เพราะทฏิ ฐทิ ตี่ นถอื ชวั่ แล้วดงั น้ใี ชไ่ หม. ขอ้ นไ้ี มม่ เี ลย พระเจา้ ขา้ เพราะวญิ ญาณอาศยั ปจั จยั แลว้ เกดิ ขนึ้ พระผมู้ พี ระภาคตรสั แลว้ แกพ่ วกขา้ พระองค์ โดยอเนกปรยิ าย ถา้ เวน้ จาก ปัจจยั แล้ว ความเกดิ ขน้ึ แหง่ วญิ ญาณย่อมไมม่ .ี ภกิ ษทุ ง้ั หลาย ดลี ะ พวกเธอรทู้ ว่ั ถงึ ธรรมทเ่ี ราแสดง อยา่ งนถ้ี กู แลว้ ภกิ ษทุ ง้ั หลาย วญิ ญาณอาศยั ปจั จยั แลว้ เกดิ ขน้ึ เราไดก้ ลา่ วแลว้ โดยอเนกปรยิ าย ถา้ เวน้ จากปจั จยั แลว้ ความ เกิดข้ึนแห่งวิญญาณไม่ได้มี ก็แต่ภิกษุสาติเกวัฏฏบุตรนี้ 171
พทุ ธวจน - หมวดธรรม กล่าวตู่เราด้วย ขุดตนเสียด้วย จะประสบสิ่งไม่ใช่บุญเป็น อันมากด้วย เพราะทิฏฐิที่ตนถือชั่วแล้ว ความเห็นนั้นของ โมฆบุรุษนั้น จักเป็นไปเพื่อความทุกข์ ไม่เกื้อกูลแก่เธอ ตลอดกาลนาน. ภิกษุท้ังหลาย วิญญาณอาศัยปัจจัยใดๆ เกิดข้ึน ก็ถึงความนับด้วยปัจจัยน้นั ๆ วิญญาณอาศัยจักษุและรูป ทง้ั หลายเกดิ ขน้ึ กถ็ งึ ความนบั วา่ จกั ษวุ ญิ ญาณ วญิ ญาณอาศยั โสตะและเสยี งทง้ั หลายเกดิ ขน้ึ กถ็ งึ ความนบั วา่ โสตวญิ ญาณ วญิ ญาณอาศยั ฆานะและกลน่ิ ทง้ั หลายเกดิ ขน้ึ กถ็ งึ ความนบั วา่ ฆานวิญญาณ วิญญาณอาศัยชิวหาและรสท้ังหลายเกิดข้ึน ก็ถึงความนับว่าชิวหาวิญญาณ วิญญาณอาศัยกายและ โผฏฐัพพะท้ังหลายเกิดข้ึน ก็ถึงความนับว่ากายวิญญาณ วิญญาณอาศัยมโนและธรรมท้งั หลายเกิดข้นึ ก็ถึงความนับ วา่ มโนวิญญาณ. ภกิ ษทุ ง้ั หลาย เปรยี บเหมอื นไฟอาศยั เชอ้ื ใดๆ ตดิ ขน้ึ กถ็ งึ ความนบั ดว้ ยเชอ้ื นนั้ ๆ ไฟอาศยั ไมต้ ดิ ขนึ้ กถ็ งึ ความนบั วา่ ไฟไม ้ ไฟอาศยั ปา่ ตดิ ขน้ึ กถ็ งึ ความนบั วา่ ไฟปา่ ไฟอาศยั หญ้าติดข้ึน ก็ถึงความนับว่าไฟหญ้า ไฟอาศัยโคมัยติดขึ้น กถ็ งึ ความนบั วา่ ไฟโคมยั ไฟอาศยั แกลบตดิ ขน้ึ กถ็ งึ ความนบั ว่าไฟแกลบ ไฟอาศัยหยากเย่อื ติดข้นึ ก็ถึงความนับว่าไฟ หยากเยอ่ื ฉนั ใด. 172
เปดิ ธรรมทถี่ ูกปิด : จิต มโน วญิ ญาณ ภิกษุท้ังหลาย ฉันนั้นก็เหมือนกัน วิญญาณอาศัย ปจั จยั ใดๆ เกดิ ขน้ึ กถ็ งึ ความนบั ดว้ ยปจั จยั นน้ั ๆ วญิ ญาณ อาศัยจักษุและรูปท้ังหลายเกิดขึ้น ก็ถึงความนับว่า จักษุ- วิญญาณ วิญญาณอาศัยโสตะและเสียงทั้งหลายเกิดขึ้น กถ็ งึ ความนบั วา่ โสตวญิ ญาณ วญิ ญาณอาศยั ฆานะและกลน่ิ ทง้ั หลายเกดิ ขน้ึ กถ็ งึ ความนบั วา่ ฆานวญิ ญาณ วญิ ญาณอาศยั ชวิ หาและรสทง้ั หลายเกดิ ขน้ึ กถ็ งึ ความนบั วา่ ชวิ หาวญิ ญาณ วญิ ญาณอาศยั กายและโผฏฐพั พะทง้ั หลายเกดิ ขนึ้ กถ็ งึ ความ นบั วา่ กายวญิ ญาณ วญิ ญาณอาศยั มโนและธรรมทงั้ หลาย เกิดข้ึน กถ็ งึ ความนบั ว่า มโนวญิ ญาณ. ภิกษุทั้งหลาย เธอท้ังหลายย่อมเห็นความเกิดขึ้น ของส่ิงนู ่ี้ (ภตู มิทํ)1 หรือไม่. เห็น พระเจา้ ขา้ . ภกิ ษทุ งั้ หลาย เธอทง้ั หลายยอ่ มเหน็ วา่ สงิ่ นนั้ เกดิ ขน้ึ เพราะอาหาร อย่างนน้ั ใชไ่ หม. เหน็ อยา่ งนน้ั พระเจา้ ข้า. 1. บาลคี ำ�น้ี มสี ำ�นวนแปลอยา่ งอน่ื อกี เชน่ ขนั ธปญั จกะ, ขนั ธ์ ๕ เปน็ ตน้ . -ผรู้ วบรวม 173
พุทธวจน - หมวดธรรม ภิกษุทั้งหลาย เธอทั้งหลายย่อมเห็นว่า สิ่งน้ัน มคี วามดบั เปน็ ธรรมดา เพราะความดบั แหง่ อาหาร อยา่ งนน้ั ใชไ่ หม. เห็นอยา่ งนนั้ พระเจา้ ขา้ . ภิกษุท้ังหลาย ความสงสัยและความเคลือบแคลง ย่อมเกดิ ขนึ้ ว่า ส่งิ นีม้ ีอยหู่ รือไมม่ ี อยา่ งน้ันใชไ่ หม. เปน็ อย่างนั้น พระเจา้ ขา้ . ภิกษุท้ังหลาย ความสงสัยและความเคลือบแคลง ย่อมเกดิ ขน้ึ ว่า สง่ิ นั้นเกิดขึ้นเพราะอาหาร อยา่ งนนั้ ใช่ไหม. เป็นอยา่ งน้นั พระเจา้ ขา้ . ภิกษุท้ังหลาย ความสงสัยและความเคลือบแคลง ยอ่ มเกดิ ขน้ึ วา่ สง่ิ นน้ั มคี วามดบั เปน็ ธรรมดา เพราะความดบั แหง่ อาหาร อยา่ งนนั้ ใช่ไหม. เป็นอย่างนัน้ พระเจา้ ขา้ . ภกิ ษทุ ง้ั หลาย บคุ คลเหน็ อยดู่ ว้ ยปญั ญาอนั ชอบตาม ความเปน็ จรงิ วา่ สง่ิ นเ้ี กดิ ขน้ึ แลว้ ยอ่ มละความสงสยั ทเี่ กดิ ขน้ึ เสียได้ อย่างน้ันใช่ไหม. เปน็ อยา่ งนั้น พระเจ้าข้า. 174
เปดิ ธรรมท่ีถกู ปิด : จิต มโน วญิ ญาณ ภิกษุทั้งหลาย บุคคลเห็นอยู่ด้วยปัญญาอันชอบ ตามความเปน็ จรงิ วา่ สง่ิ นนั้ เกดิ ขน้ึ เพราะอาหาร ยอ่ มละความ สงสยั ทเ่ี กดิ ขน้ึ เสยี ได้ อยา่ งนน้ั ใชไ่ หม. เปน็ อยา่ งน้ัน พระเจ้าขา้ . ภิกษุทั้งหลาย บุคคลเห็นอยู่ด้วยปัญญาอันชอบ ตามความเป็นจริงว่า ส่งิ น้นั มีความดับเป็นธรรมดา เพราะ ความดับแห่งอาหาร ย่อมละความสงสัยท่ีเกิดข้ึนเสียได้ อยา่ งนน้ั ใชไ่ หม. เป็นอยา่ งนั้น พระเจา้ ขา้ . ภิกษุท้ังหลาย เธอท้งั หลายหมดความสงสัยในข้อ ที่ว่า สง่ิ นเี้ กิดข้ึนแลว้ เพราะเหตุอย่างน้ีๆ ใช่ไหม. เป็นอยา่ งนั้น พระเจา้ ขา้ . ภิกษุท้ังหลาย เธอทั้งหลายหมดความสงสัยในข้อ ทว่ี ่า สงิ่ น้ันเกดิ ขน้ึ เพราะอาหาร อย่างนัน้ ใช่ไหม. เป็นอย่างนั้น พระเจ้าขา้ . ภิกษุทั้งหลาย เธอท้ังหลายหมดความสงสัยในข้อ ทว่ี า่ สง่ิ นน้ั มคี วามดบั เปน็ ธรรมดา เพราะความดบั แหง่ อาหาร อย่างนั้นใช่ไหม. เปน็ อยา่ งนัน้ พระเจ้าข้า. 175
พทุ ธวจน - หมวดธรรม ภกิ ษทุ ง้ั หลาย เธอทง้ั หลายเหน็ อยดู่ ว้ ยปญั ญาอนั ชอบ ตามความเป็นจรงิ วา่ สง่ิ น้เี กดิ ข้ึนแลว้ อย่างนัน้ ใช่ไหม. เป็นอย่างนนั้ พระเจ้าข้า. ภกิ ษทุ ง้ั หลาย เธอทง้ั หลายเหน็ อยดู่ ว้ ยปญั ญาอนั ชอบ ตามความเป็นจริงว่า ส่ิงน้ันเกิดขึ้นเพราะอาหาร อย่างนั้น ใชไ่ หม. เป็นอยา่ งนน้ั พระเจา้ ขา้ . ภกิ ษทุ ง้ั หลาย เธอทง้ั หลายเหน็ อยดู่ ว้ ยปญั ญาอนั ชอบ ตามความเป็นจริงว่า ส่ิงน้ันมีความดับเป็นธรรมดา เพราะ ความดบั แห่งอาหาร อย่างนั้นใชไ่ หม. เปน็ อยา่ งนน้ั พระเจ้าข้า. ภิกษุทั้งหลาย หากว่าเธอทั้งหลาย พึงติดอยู่ (อลฺลีเยถ) เพลิดเพลินอยู่ (เกฬาเยถ) ปรารถนาอยู่ (ธเนยฺยาถ) ยดึ ถอื ว่าเป็นของเราอย ู่ (มมาเยถ) ซง่ึ ทฏิ ฐอิ นั บรสิ ุทธ์ผิ ดุ ผอ่ ง อย่างน้ี เธอท้ังหลายพึงรู้ท่ัวถึงธรรมท่ีเปรียบได้กับพ่วงแพ อนั เราแสดงแลว้ เพอ่ื ประโยชนใ์ นการสลดั ออก ไมใ่ ชแ่ สดงแลว้ เพือ่ ให้ยึดถือไว้ อยา่ งนั้นใช่ไหม. ข้อนไี้ มเ่ ปน็ อยา่ งนน้ั พระเจา้ ข้า. 176
เปิดธรรมทีถ่ ูกปดิ : จติ มโน วิญญาณ ภิกษุทั้งหลาย หากว่าเธอทั้งหลาย ไม่ติดอยู่ (น อลฺลีเยถ) ไม่เพลิดเพลินอยู่ (น เกฬาเยถ) ไม่ปรารถนาอยู่ (น ธเนยยฺ าถ) ไมย่ ดึ ถอื วา่ เปน็ ของเราอย ู่(น มมาเยถ) ซง่ึ ทฏิ ฐอิ นั บรสิ ทุ ธผ์ิ ดุ ผอ่ งอยา่ งนี้ เธอทง้ั หลายพงึ รทู้ ว่ั ถงึ ธรรมทเี่ ปรยี บ ไดก้ บั พว่ งแพอนั เราแสดงแลว้ เพอื่ ประโยชนใ์ นการสลดั ออก ไมใ่ ช่แสดงแล้ว เพือ่ ใหย้ ดึ ถือไว้ อย่างน้ันใชไ่ หม. เปน็ อยา่ งน้นั พระเจ้าขา้ . (จากนน้ั ทรงแสดงเรอ่ื งอาหาร ๔, ปฏจิ จสมปุ บาท และธรรมอน่ื อกี หลายประการ ผอู้ า่ นสามารถศกึ ษาไดจ้ ากเนอ้ื ความเตม็ ของพระสตู รน.้ี -ผรู้ วบรวม) 177
พทุ ธวจน - หมวดธรรม เปดิ ธรรมทีถ่ กู ปิด : จิต มโน วญิ ญาณ วิญญาณ ไม่เทีย่ ง 73 -บาลี สฬา. ส.ํ ๑๘/๘๕/๑๒๔. ภกิ ษทุ งั้ หลาย วญิ ญาณเกดิ ขนึ้ เพราะอาศยั สว่ นสอง วิญญาณเกดิ ขน้ึ เพราะอาศัยส่วนสองเปน็ อย่างไร. ภิกษุทั้งหลาย จักษวุ ญิ ญาณเกิดข้นึ เพราะอาศยั จกั ษแุ ละรปู จกั ษไุ มเ่ ทย่ี ง มคี วามแปรปรวน มคี วามเปลย่ี น เปน็ อยา่ งอน่ื รปู ทง้ั หลายไมเ่ ทย่ี ง มคี วามแปรปรวน มคี วาม เปลย่ี นเปน็ อยา่ งอน่ื ส่วนสองอย่างน้ี หวั่นไหวและอาพาธ ไม่เท่ียง มีความแปรปรวน มีความเปลี่ยนเป็นอย่างอื่น จกั ษวุ ญิ ญาณไมเ่ ทย่ี ง มคี วามแปรปรวน มคี วามเปลยี่ นเปน็ อย่างอ่ืน แม้เหตุปัจจัยเพ่ือความเกิดข้ึนแห่งจักษุวิญญาณ ก็ไม่เท่ียง มีความแปรปรวน มีความเปลี่ยนเป็นอย่างอื่น ภกิ ษุทงั้ หลาย ก็จกั ษวุ ญิ ญาณที่เกดิ ข้นึ แล้ว เพราะอาศัย ปัจจัยอันไม่เที่ยง จะเป็นของเท่ียงไดอ้ ย่างไร. ภิกษุทั้งหลาย ความประจวบ ความประชุม ความ พร้อมกันแห่งธรรมท้ัง ๓ ประการนี้แล เรียกว่าจักษุสัมผัส ถึงจักษุสัมผัสก็ไม่เที่ยง มีความแปรปรวน มีความเปลี่ยน เปน็ อยา่ งอน่ื แมเ้ หตปุ จั จยั เพอ่ื ความเกดิ ขน้ึ แหง่ จกั ษสุ มั ผสั ก็ไม่เที่ยง มีความแปรปรวน มีความเปลี่ยนเป็นอย่างอื่น ภิกษุทั้งหลาย ก็จักษุสัมผัสที่เกิดขึ้นแล้ว เพราะอาศัย ปจั จัยอันไมเ่ ทยี่ ง จะเป็นของเที่ยงไดอ้ ย่างไร. 178
เปิดธรรมทถ่ี ูกปิด : จติ มโน วญิ ญาณ ภิกษุทั้งหลาย บุคคลอันผัสสะ1กระทบแล้วย่อม รสู้ กึ (เวเทต)ิ อนั ผสั สะกระทบแลว้ ยอ่ มคดิ (เจเตต)ิ อนั ผสั สะ กระทบแล้วย่อมจำ�ได้หมายรู้ (สัญชานาติ) แม้ธรรมเหล่านี้ กห็ วน่ั ไหวและอาพาธ ไมเ่ ทย่ี ง มคี วามแปรปรวน มคี วามเปลย่ี น เป็นอยา่ งอ่ืน. ภิกษุท้ังหลาย โสตวิญญาณเกิดข้ึน เพราะอาศัย โสตะและเสียง โสตะไมเ่ ทย่ี ง มคี วามแปรปรวน มคี วาม เปลย่ี นเปน็ อยา่ งอน่ื เสยี งทง้ั หลายไมเ่ ทย่ี ง มคี วามแปรปรวน มคี วามเปลย่ี นเปน็ อยา่ งอน่ื … กโ็ สตวญิ ญาณทเี่ กดิ ขนึ้ แลว้ เพราะอาศยั ปจั จยั อนั ไมเ่ ทย่ี ง จะเปน็ ของเทยี่ งไดอ้ ยา่ งไร. ภิกษุท้ังหลาย ความประจวบ ความประชุม ความ พร้อมกันแห่งธรรมทั้ง ๓ ประการน้ีแล เรียกว่าโสตสัมผัส ถงึ โสตสมั ผสั กไ็ มเ่ ทย่ี ง มคี วามแปรปรวน มคี วามเปลยี่ น เปน็ อยา่ งอน่ื … ภิกษุทั้งหลาย บุคคลอันผัสสะกระทบแล้วย่อม รสู้ กึ อนั ผสั สะกระทบแลว้ ยอ่ มคดิ อนั ผสั สะกระทบแลว้ ยอ่ ม จ�ำ ไดห้ มายรู้ แมธ้ รรมเหลา่ นกี้ ห็ วน่ั ไหวและอาพาธ ไมเ่ ทยี่ ง มีความแปรปรวน มีความเปล่ียนเป็นอย่างอนื่ . 1. ดเู พม่ิ เตมิ เกย่ี วกบั ผสั สะไดท้ ห่ี นา้ 28 และ 187. -ผรู้ วบรวม 179
พุทธวจน - หมวดธรรม ภกิ ษทุ ้งั หลาย ฆานวิญญาณเกิดข้นึ เพราะอาศยั ฆานะและกล่ิน ฆานะไมเ่ ทย่ี ง มคี วามแปรปรวน มคี วาม เปลย่ี นเปน็ อยา่ งอน่ื กลน่ิ ทง้ั หลายไมเ่ ทย่ี ง มคี วามแปรปรวน มคี วามเปลย่ี นเปน็ อยา่ งอน่ื … กฆ็ านวญิ ญาณทเ่ี กดิ ขนึ้ แลว้ เพราะอาศยั ปจั จยั อนั ไมเ่ ทยี่ ง จะเปน็ ของเทยี่ งไดอ้ ยา่ งไร. ภิกษุทั้งหลาย ความประจวบ ความประชุม ความ พร้อมกันแห่งธรรมท้ัง ๓ ประการน้ีแล เรียกว่าฆานสัมผัส ถงึ ฆานสมั ผสั กไ็ มเ่ ทย่ี ง มคี วามแปรปรวน มคี วามเปลยี่ น เป็นอย่างอ่ืน … ภิกษุท้ังหลาย บุคคลอันผัสสะกระทบแล้วย่อม รสู้ กึ อนั ผสั สะกระทบแลว้ ยอ่ มคดิ อนั ผสั สะกระทบแลว้ ยอ่ ม จ�ำ ไดห้ มายรู้ แมธ้ รรมเหลา่ นก้ี ห็ วน่ั ไหวและอาพาธ ไมเ่ ทยี่ ง มีความแปรปรวน มคี วามเปล่ยี นเป็นอยา่ งอน่ื . ภกิ ษทุ งั้ หลาย ชวิ หาวญิ ญาณเกดิ ขนึ้ เพราะอาศยั ชิวหาและรส ชิวหาไม่เท่ียง มีความแปรปรวน มีความ เปลย่ี นเปน็ อยา่ งอน่ื รสทง้ั หลายไมเ่ ทย่ี ง มคี วามแปรปรวน มคี วามเปลย่ี นเปน็ อยา่ งอน่ื … กช็ วิ หาวญิ ญาณทเี่ กดิ ขนึ้ แลว้ เพราะอาศยั ปจั จยั อนั ไมเ่ ทยี่ ง จะเปน็ ของเทย่ี งไดอ้ ยา่ งไร. 180
เปดิ ธรรมทีถ่ กู ปดิ : จิต มโน วญิ ญาณ ภิกษุท้ังหลาย ความประจวบ ความประชุม ความ พร้อมกันแหง่ ธรรมทั้ง ๓ ประการนแ้ี ล เรียกว่าชวิ หาสัมผัส ถึงชิวหาสัมผัสก็ไม่เท่ียง มีความแปรปรวน มีความ เปล่ียนเป็นอยา่ งอน่ื … ภิกษุทั้งหลาย บุคคลอันผัสสะกระทบแล้วย่อม รสู้ กึ อนั ผสั สะกระทบแลว้ ยอ่ มคดิ อนั ผสั สะกระทบแลว้ ยอ่ ม จ�ำ ไดห้ มายรู้ แมธ้ รรมเหลา่ นก้ี ห็ วนั่ ไหวและอาพาธ ไมเ่ ทย่ี ง มีความแปรปรวน มีความเปล่ียนเปน็ อยา่ งอืน่ . ภิกษุทั้งหลาย กายวิญญาณเกิดข้ึน เพราะอาศัย กายและโผฏฐพั พะ กายไมเ่ ทย่ี ง มคี วามแปรปรวน มคี วาม เปล่ยี นเป็นอย่างอ่นื โผฏฐัพพะท้งั หลายไม่เท่ยี ง มีความ แปรปรวน มีความเปล่ยี นเป็นอย่างอ่นื … ก็กายวิญญาณ ทเ่ี กดิ ขน้ึ แลว้ เพราะอาศยั ปจั จยั อนั ไมเ่ ทย่ี ง จะเปน็ ของเทย่ี ง ได้อย่างไร. ภิกษุทั้งหลาย ความประจวบ ความประชุม ความ พร้อมกันแห่งธรรมทั้ง ๓ ประการนี้แล เรียกว่ากายสัมผัส ถงึ กายสมั ผสั กไ็ มเ่ ทย่ี ง มคี วามแปรปรวน มคี วามเปลย่ี น เปน็ อยา่ งอนื่ … 181
พทุ ธวจน - หมวดธรรม ภิกษุท้ังหลาย บุคคลอันผัสสะกระทบแล้วย่อม รสู้ กึ อนั ผสั สะกระทบแลว้ ยอ่ มคดิ อนั ผสั สะกระทบแลว้ ยอ่ ม จ�ำ ไดห้ มายรู้ แมธ้ รรมเหลา่ นก้ี ห็ วน่ั ไหวและอาพาธ ไมเ่ ทยี่ ง มคี วามแปรปรวน มีความเปลีย่ นเป็นอย่างอนื่ . ภิกษุทั้งหลาย มโนวิญญาณเกิดขึ้น เพราะอาศัย ใจและธรรม ใจไมเ่ ทย่ี ง มคี วามแปรปรวน มคี วามเปลย่ี น เป็นอย่างอ่ืน ธรรมท้ังหลายไม่เที่ยง มีความแปรปรวน มีความเปล่ียนเป็นอย่างอ่ืน ส่วนสองอย่างน้ี หวั่นไหว และอาพาธ ไม่เท่ียง มีความแปรปรวน มีความเปลี่ยนเป็น อย่างอ่ืน มโนวิญญาณไม่เท่ียง มีความแปรปรวน มีความ เปล่ียนเป็นอย่างอื่น แม้เหตุปัจจัยเพื่อความเกิดขึ้นแห่ง มโนวิญญาณ ก็ไม่เท่ียง มีความแปรปรวน มีความเปล่ียน เป็นอย่างอ่ืน ภิกษุทั้งหลาย ก็มโนวิญญาณท่ีเกิดข้ึนแล้ว เพราะอาศยั ปจั จยั อนั ไมเ่ ทยี่ ง จะเปน็ ของเทย่ี งไดอ้ ยา่ งไร. ภิกษุทั้งหลาย ความประจวบ ความประชุม ความ พร้อมกันแห่งธรรม ๓ ประการน้ีแล เรียกว่ามโนสัมผัส ถงึ มโนสมั ผสั กไ็ มเ่ ทยี่ ง มคี วามแปรปรวน มคี วามเปลย่ี นเปน็ อย่างอ่ืน แม้เหตุปัจจัยเพ่ือความเกิดขึ้นแห่งมโนสัมผัส 182
Search
Read the Text Version
- 1
- 2
- 3
- 4
- 5
- 6
- 7
- 8
- 9
- 10
- 11
- 12
- 13
- 14
- 15
- 16
- 17
- 18
- 19
- 20
- 21
- 22
- 23
- 24
- 25
- 26
- 27
- 28
- 29
- 30
- 31
- 32
- 33
- 34
- 35
- 36
- 37
- 38
- 39
- 40
- 41
- 42
- 43
- 44
- 45
- 46
- 47
- 48
- 49
- 50
- 51
- 52
- 53
- 54
- 55
- 56
- 57
- 58
- 59
- 60
- 61
- 62
- 63
- 64
- 65
- 66
- 67
- 68
- 69
- 70
- 71
- 72
- 73
- 74
- 75
- 76
- 77
- 78
- 79
- 80
- 81
- 82
- 83
- 84
- 85
- 86
- 87
- 88
- 89
- 90
- 91
- 92
- 93
- 94
- 95
- 96
- 97
- 98
- 99
- 100
- 101
- 102
- 103
- 104
- 105
- 106
- 107
- 108
- 109
- 110
- 111
- 112
- 113
- 114
- 115
- 116
- 117
- 118
- 119
- 120
- 121
- 122
- 123
- 124
- 125
- 126
- 127
- 128
- 129
- 130
- 131
- 132
- 133
- 134
- 135
- 136
- 137
- 138
- 139
- 140
- 141
- 142
- 143
- 144
- 145
- 146
- 147
- 148
- 149
- 150
- 151
- 152
- 153
- 154
- 155
- 156
- 157
- 158
- 159
- 160
- 161
- 162
- 163
- 164
- 165
- 166
- 167
- 168
- 169
- 170
- 171
- 172
- 173
- 174
- 175
- 176
- 177
- 178
- 179
- 180
- 181
- 182
- 183
- 184
- 185
- 186
- 187
- 188
- 189
- 190
- 191
- 192
- 193
- 194
- 195
- 196
- 197
- 198
- 199
- 200
- 201
- 202
- 203
- 204
- 205
- 206
- 207
- 208
- 209
- 210
- 211
- 212
- 213
- 214
- 215
- 216
- 217
- 218
- 219
- 220
- 221
- 222
- 223
- 224
- 225
- 226
- 227
- 228
- 229
- 230
- 231
- 232
- 233
- 234
- 235
- 236
- 237
- 238
- 239
- 240
- 241
- 242
- 243
- 244
- 245
- 246
- 247
- 248
- 249
- 250
- 251
- 252
- 253
- 254
- 255
- 256
- 257
- 258
- 259
- 260
- 261
- 262
- 263
- 264
- 265
- 266
- 267
- 268
- 269
- 270
- 271
- 272
- 273
- 274
- 275
- 276
- 277
- 278
- 279
- 280
- 281
- 282
- 283
- 284
- 285
- 286
- 287
- 288
- 289
- 290
- 291
- 292
- 293
- 294
- 295
- 296
- 297
- 298
- 299
- 300
- 301
- 302
- 303
- 304
- 305
- 306
- 307
- 308
- 309
- 310
- 311
- 312
- 313
- 314
- 315
- 316
- 317
- 318
- 319
- 320
- 321
- 322
- 323
- 324
- 325
- 326
- 327
- 328
- 329
- 330
- 331
- 332
- 333
- 334
- 335
- 336
- 337
- 338
- 339
- 340
- 341
- 342
- 343
- 344