Important Announcement
PubHTML5 Scheduled Server Maintenance on (GMT) Sunday, June 26th, 2:00 am - 8:00 am.
PubHTML5 site will be inoperative during the times indicated!

Home Explore พุทธวจน "จิต วิญญาณ"

Description: พุทธวจน "จิต วิญญาณ"

Search

Read the Text Version

เปิดธรรมท่ีถกู ปดิ : จิต มโน วญิ ญาณ ภกิ ษทุ ง้ั หลาย  ถา้ มรี าคะ มนี นั ทิ มตี ณั หา ในอาหาร คือวิญญาณแล้ว วิญญาณก็ต้ังอยู่ได้ เจริญงอกงามอยู่ได้ ในอาหารคอื วญิ ญาณน้นั … ภิกษุทั้งหลาย  เปรียบเหมือนเรือนยอดหรือศาลา เรือนยอด มีหน้าต่างทางทิศตะวันออกอันเปิดไปทาง ทศิ เหนอื หรอื ทศิ ใตก้ ต็ าม  เมอื่ ดวงอาทติ ยข์ นึ้ มา แสงสวา่ ง  (รสมฺ )ิ  แหง่ ดวงอาทติ ยส์ อ่ งเขา้ ไปทางหนา้ ตา่ งแลว้ จะปรากฏ อยู่ที่สว่ นไหนแห่งเรอื นน้ัน. ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ จะปรากฏที่ฝาเรือน ด้านทิศตะวันตก พระเจา้ ข้า. ภิกษุท้ังหลาย  ถ้าฝาเรือนด้านทิศตะวันตกไม่มี แสงสวา่ งแหง่ ดวงอาทติ ย์น้นั จะปรากฏที่ไหน. ขา้ แตพ่ ระองคผ์ เู้ จริญ จะปรากฏท่พี นื้ ดนิ พระเจา้ ขา้ . ภิกษุท้ังหลาย  ถ้าพ้ืนดินไม่มี  แสงสว่างแห่ง ดวงอาทติ ยน์ ัน้ จะปรากฏทไี่ หน. ข้าแตพ่ ระองค์ผู้เจริญ จะปรากฏในน้ำ� พระเจ้าขา้ . ภกิ ษทุ งั้ หลาย  ถา้ น�ำ้ ไมม่ ี แสงสวา่ งแหง่ ดวงอาทติ ยน์ น้ั จะปรากฏท่ไี หน. ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ แสงสว่างแห่งดวงอาทิตย์น้ัน ย่อมเป็น ส่ิงที่ไม่ปรากฏแลว้ พระเจ้าขา้ . 33

พุทธวจน - หมวดธรรม ภิกษุท้ังหลาย  ข้อนี้ก็ฉันนั้น ถ้าไม่มีราคะ ไม่มี นนั ทิ ไมม่ ตี ณั หา ในอาหารคอื ค�ำ ขา้ วแลว้ วญิ ญาณกต็ ง้ั อยู่ ไม่ได้ เจริญงอกงามไม่ได้ในอาหารคือคำ�ข้าวนั้น วิญญาณ ตั้งอยู่ไม่ได้ เจริญงอกงามไม่ได้ในที่ใด การก้าวลงแห่ง นามรูปก็ไม่มีในที่นั้น การก้าวลงแห่งนามรูปไม่มีในท่ีใด ความเจริญแห่งสังขารทั้งหลายก็ไม่มีในท่ีนั้น ความเจริญ แห่งสังขารท้ังหลายไม่มีในท่ีใด การเกิดในภพใหม่ต่อไปก็ ไมม่ ใี นทีน่ นั้ การเกดิ ในภพใหม่ตอ่ ไปไมม่ ใี นทใี่ ด ชาติ ชรา และมรณะตอ่ ไปกไ็ มม่ ใี นทน่ี นั้ ชาติ ชราและมรณะตอ่ ไปไมม่ ี ในทใ่ี ด เราเรยี กทนี่ น้ั วา่ เปน็ ทไ่ี มม่ คี วามโศก ไมม่ ธี ลุ ี และ ไมม่ คี วามคบั แคน้ . ภิกษุทั้งหลาย  ถ้าไม่มีราคะ ไม่มีนันทิ ไม่มีตัณหา ในอาหารคอื ผสั สะแลว้ วญิ ญาณกต็ ง้ั อยไู่ มไ่ ด้ เจรญิ งอกงาม ไมไ่ ดใ้ นอาหารคอื ผสั สะนน้ั วญิ ญาณตง้ั อยไู่ มไ่ ด้ เจรญิ งอกงาม ไมไ่ ดใ้ นที่ใด การกา้ วลงแห่งนามรปู กไ็ มม่ ีในที่นน้ั … ภิกษุทั้งหลาย  ถ้าไม่มีราคะ ไม่มีนันทิ ไม่มีตัณหา ในอาหารคือมโนสัญเจตนาแล้ว วิญญาณก็ต้ังอยู่ไม่ได้ เจรญิ งอกงามไมไ่ ดใ้ นอาหารคอื มโนสญั เจตนานน้ั วญิ ญาณ ตง้ั อยไู่ มไ่ ด้ เจรญิ งอกงามไมไ่ ดใ้ นทใี่ ด การกา้ วลงแหง่ นามรปู กไ็ มม่ ใี นทน่ี นั้ … 34

เปดิ ธรรมท่ถี ูกปิด : จติ มโน วญิ ญาณ ภิกษุท้ังหลาย  ถ้าไม่มีราคะ ไม่มีนันทิ ไม่มีตัณหา ในอาหารคือวิญญาณแล้ว วิญญาณก็ต้ังอยู่ไม่ได้ เจริญ งอกงามไมไ่ ดใ้ นอาหารคอื วญิ ญาณนนั้ วญิ ญาณตง้ั อยไู่ มไ่ ด้ เจริญงอกงามไม่ได้ในที่ใด การก้าวลงแห่งนามรูปก็ไม่มีใน ที่นั้น การก้าวลงแห่งนามรูปไม่มีในท่ีใด ความเจริญแห่ง สงั ขารทงั้ หลายกไ็ มม่ ใี นทน่ี น้ั ความเจรญิ แหง่ สงั ขารทง้ั หลาย ไมม่ ใี นทใี่ ด การเกดิ ในภพใหมต่ อ่ ไปกไ็ มม่ ใี นทนี่ น้ั การเกดิ ในภพใหมต่ อ่ ไปไมม่ ใี นทใี่ ด ชาติ ชราและมรณะตอ่ ไปกไ็ มม่ ี ในทน่ี นั้ ชาติ ชราและมรณะตอ่ ไปไมม่ ใี นทใี่ ด เราเรยี กทนี่ น้ั ว่า เป็นท่ไี ม่มีความโศก ไม่มธี ลุ ี และไมม่ คี วามคับแคน้ . 35

พทุ ธวจน - หมวดธรรม เปิดธรรมทถ่ี กู ปิด : จิต มโน วญิ ญาณ 11 รายละเอียดของนามรปู -บาลี นทิ าน. ส.ํ ๑๖/๕๑/๘๙. ภกิ ษทุ ง้ั หลาย  กน็ ามรปู เปน็ อยา่ งไร เวทนา สญั ญา เจตนา ผสั สะ มนสิการ นเ้ี รียกวา่ นาม  มหาภูตทัง้ สดี่ ว้ ย รปู ทอ่ี าศยั มหาภตู ทง้ั สด่ี ว้ ย นเ้ี รยี กวา่ รปู   นามนด้ี ว้ ย รปู นด้ี ว้ ย ยอ่ มมดี ว้ ยอาการอยา่ งน ้ี ภกิ ษทุ ง้ั หลาย  นเี้ รยี กวา่ นามรปู . ความเกิดข้นึ แห่งนามรูปยอ่ มมี เพราะความเกดิ ขนึ้ แห่งวิญญาณ  ความดับแห่งนามรูปย่อมมี เพราะความดับ แห่งวิญญาณ อรยิ มรรคอันประกอบดว้ ยองค์ ๘ น้ีน่นั เอง เป็นข้อปฏิบัติให้ถึงความดับแห่งนามรูป คือ สัมมาทิฏฐิ สัมมาสังกัปปะ สัมมาวาจา สัมมากัมมันตะ สัมมาอาชีวะ สัมมาวายามะ สัมมาสติ สมั มาสมาธ.ิ 36

พุทธวจน - หมวดธรรม เปดิ ธรรมทีถ่ ูกปิด : จติ มโน วิญญาณ รายละเอียดของสังขาร (นัยท่ี ๑) 12 -บาลี นทิ าน. ส.ํ ๑๖/๕๑/๘๙. ภิกษุท้งั หลาย  ก็สังขารทงั้ หลายเปน็ อยา่ งไร. ภิกษุท้งั หลาย  สงั ขารทัง้ หลาย ๓ อย่างเหล่านี้ คอื กายสังขาร (ความปรุงแต่งทางกาย)  วจีสังขาร (ความปรุงแต่ง ทางวาจา)  จติ ตสงั ขาร (ความปรงุ แตง่ ทางจติ )  ภกิ ษทุ งั้ หลาย  เหลา่ น้เี รยี กวา่ สงั ขารท้ังหลาย. ความเกิดขึ้นแห่งสังขารย่อมมี เพราะความเกิดขึ้น แห่งอวิชชา  ความดับแห่งสังขารย่อมมี เพราะความดับ แห่งอวิชชา อริยมรรคอันประกอบด้วยองค์ ๘ นี้นั่นเอง เป็นข้อปฏิบัติให้ถึงความดับแห่งสังขาร คือ สัมมาทิฏฐิ สัมมาสังกัปปะ สัมมาวาจา สัมมากัมมันตะ สัมมาอาชีวะ สมั มาวายามะ สัมมาสติ สมั มาสมาธ.ิ 37

พทุ ธวจน - หมวดธรรม เปดิ ธรรมที่ถูกปดิ : จติ มโน วญิ ญาณ รายละเอียดของสงั ขาร (นยั ที่ ๒) 13 -บาลี ม.ู ม. ๑๒/๕๕๐/๕๐๙. ข้าแต่พระแม่เจา้   กส็ งั ขารทัง้ หลายเป็นอยา่ งไร. อาวโุ สวสิ าขะ  สงั ขารท้งั หลาย ๓ อย่างเหล่าน้ี คือ กายสังขาร วจีสังขาร จิตตสงั ขาร. ข้าแต่พระแม่เจ้า  ก็กายสังขารเป็นอย่างไร วจีสังขารเป็น อย่างไร จติ ตสังขารเปน็ อยา่ งไร. อาวุโสวิสาขะ  ลมหายใจเข้าและลมหายใจออก เป็นกายสังขาร  วิตกและวิจาร เป็นวจีสังขาร  สัญญา และเวทนา เปน็ จติ ตสังขาร ข้าแต่พระแม่เจ้า  ก็เพราะเหตุอะไร ลมหายใจเข้าและ ลมหายใจออก จงึ เปน็ กายสงั ขาร  เพราะเหตอุ ะไรวติ กและวจิ าร จงึ เปน็ วจีสังขาร  เพราะเหตุอะไรสญั ญาและเวทนา จึงเป็นจิตตสังขาร. อาวโุ สวสิ าขะ  ลมหายใจเขา้ และลมหายใจออกเหลา่ น้ี เป็นธรรมมีในกาย เนื่องด้วยกาย ดังนั้นลมหายใจเข้าและ ลมหายใจออกจงึ เปน็ กายสงั ขาร  บคุ คลยอ่ มคดิ ยอ่ มพจิ ารณา ก่อนแล้วจึงเปล่งวาจา ดังน้ันวิตกและวิจารจึงเป็นวจีสังขาร  สัญญาและเวทนา เป็นธรรมมีในจิต เนื่องด้วยจิต ดังนั้น สัญญาและเวทนาจงึ เป็นจติ ตสงั ขาร. … (อกี สูตรหนง่ึ -บาลี สฬา. ส.ํ ๑๘/๓๖๐/๕๖๐. ก็มีการอธิบาย โดยนยั เดยี วกัน แต่เปน็ การสนทนากันของสาวก.  -ผรู้ วบรวม) 38

พุทธวจน - หมวดธรรม เปิดธรรมท่ีถูกปิด : จติ มโน วิญญาณ รายละเอียดของสงั ขาร (นัยที่ ๓) 14 -บาลี ตกิ . อ.ํ ๒๐/๑๕๓/๔๖๒. ภกิ ษทุ ง้ั หลาย  บคุ คล ๓ จ�ำ พวกน้ี มปี รากฏอยใู่ นโลก ๓ จำ�พวกเป็นอย่างไร. (1) ภิกษุทั้งหลาย  บุคคลบางคนในโลกน้ี ย่อม ปรุงแต่งกายสังขารท่ีมีความเบียดเบียน ย่อมปรุงแต่ง วจสี งั ขารทมี่ คี วามเบยี ดเบยี น ยอ่ มปรงุ แตง่ มโนสงั ขารทม่ี ี ความเบยี ดเบยี น  ครน้ั เขาท�ำ ความปรงุ แตง่ อยา่ งนแ้ี ลว้ ยอ่ ม เข้าถึงโลกที่มีความเบียดเบียน ผัสสะท่ีมีความเบียดเบียน ย่อมถูกต้องเขา ซ่ึงเป็นผู้เข้าถึงโลกท่ีมีความเบียดเบียนน้ัน เขาอันผัสสะที่มีความเบียดเบียนถูกต้องแล้ว ย่อมได้เสวย เวทนาอนั มคี วามเบยี ดเบยี น เปน็ ทกุ ขโ์ ดยสว่ นเดยี ว ดงั เชน่ พวกสัตวน์ รก. (2) ภิกษุทั้งหลาย  บุคคลบางคนในโลกน้ี ย่อม ปรงุ แตง่ กายสงั ขารทไ่ี มม่ คี วามเบยี ดเบยี น ยอ่ มปรงุ แตง่ วจสี งั ขารทไ่ี มม่ คี วามเบยี ดเบยี น ยอ่ มปรงุ แตง่ มโนสงั ขารท่ี ไมม่ คี วามเบยี ดเบยี น  ครน้ั เขาท�ำ ความปรงุ แตง่ อยา่ งนแ้ี ลว้ ย่อมเข้าถึงโลกท่ีไม่มีความเบียดเบียน ผัสสะที่ไม่มีความ เบียดเบียน ย่อมถูกต้องเขา ซ่ึงเปน็ ผเู้ ขา้ ถงึ โลกทไ่ี มม่ คี วาม 39

พทุ ธวจน - หมวดธรรม เบยี ดเบยี นนน้ั เขาอนั ผสั สะทไ่ี มม่ คี วามเบยี ดเบยี นถกู ตอ้ งแลว้ ย่อมได้เสวยเวทนาอันไม่มีความเบียดเบียน เป็นสุข โดยสว่ นเดยี ว ดังเช่น พวกเทวดาสุภกณิ หะ. (3) ภิกษุท้ังหลาย  บุคคลบางคนในโลกน้ี ย่อม ปรุงแต่งกายสังขารท่ีมีความเบียดเบียนบ้าง ไม่มี ความเบียดเบียนบ้าง  ย่อมปรุงแต่งวจีสังขารท่ีมีความ เบยี ดเบยี นบา้ ง ไมม่ คี วามเบยี ดเบยี นบา้ ง  ยอ่ มปรงุ แตง่ มโนสงั ขารทม่ี คี วามเบยี ดเบยี นบา้ ง ไมม่ คี วามเบยี ดเบยี นบา้ ง คร้ันเขาทำ�ความปรุงแต่งอย่างนี้แล้ว ย่อมเข้าถึงโลกท่ีมี ความเบียดเบียนบ้าง ไม่มีความเบียดเบียนบ้าง  ผัสสะท่มี ี ความเบยี ดเบยี นบา้ ง ไมม่ คี วามเบยี ดเบยี นบา้ ง ยอ่ มถกู ตอ้ งเขา ซึ่งเป็นผู้เข้าถึงโลกที่มีความเบียดเบียนบ้าง ไม่มีความ เบียดเบียนบ้าง เขาอันผัสสะที่มีความเบียดเบียนบ้าง ไม่มี ความเบยี ดเบยี นบา้ ง ถกู ตอ้ งแลว้ ยอ่ มไดเ้ สวยเวทนาอนั มี ความเบยี ดเบยี นบา้ ง ไมม่ คี วามเบยี ดเบยี นบา้ ง อนั เปน็ สขุ และทกุ ขเ์ จอื ปนกนั ดงั เชน่ มนษุ ยท์ ง้ั หลาย เทวดาบางพวก และสตั ว์พวกวินิบาตบางพวก. ภกิ ษทุ ง้ั หลาย  บคุ คล ๓ จ�ำ พวกเหลา่ นแ้ี ล มปี รากฏ อยูใ่ นโลก. 40

พทุ ธวจน - หมวดธรรม เปิดธรรมท่ีถกู ปดิ : จติ มโน วญิ ญาณ รายละเอยี ดของสงั ขาร (นยั ท่ี ๔) 15 -บาลี ขนธฺ . ส.ํ ๑๗/๗๔/๑๑๖. ภิกษุทง้ั หลาย  กส็ งั ขารท้งั หลายเปน็ อย่างไร. ภิกษุท้ังหลาย  หมู่แห่งเจตนา ๖ เหล่าน้ี  คือ สัญเจตนาในรูป  สัญเจตนาในเสียง  สัญเจตนาในกลิ่น สญั เจตนาในรส สญั เจตนาในโผฏฐพั พะ สญั เจตนาในธรรม  ภิกษุทั้งหลาย  น้เี รียกว่าสงั ขารทง้ั หลาย. ความเกดิ ขน้ึ แหง่ สงั ขารยอ่ มมี เพราะความเกดิ ขน้ึ แห่งผัสสะ ความดับแห่งสังขารย่อมมี เพราะความดับ แห่งผัสสะ อริยมรรคอันประกอบด้วยองค์ ๘ นี้นั่นเอง เป็นข้อปฏิบัติให้ถึงความดับแห่งสังขาร คือ สัมมาทิฏฐิ สัมมาสังกัปปะ สัมมาวาจา สัมมากัมมันตะ สัมมาอาชีวะ สัมมาวายามะ สัมมาสติ และสมั มาสมาธ.ิ ภกิ ษทุ ง้ั หลาย  กส็ มณะหรอื พราหมณเ์ หลา่ ใดเหลา่ หนง่ึ รชู้ ดั แลว้ ซง่ึ สงั ขารอยา่ งนี้ รชู้ ดั แลว้ ซงึ่ ความเกดิ ขน้ึ แหง่ สงั ขาร อย่างนี้ รู้ชัดแล้วซึ่งความดับแห่งสังขารอย่างนี้ รู้ชัดแล้วซ่ึง ข้อปฏิบัติให้ถึงความดับแห่งสังขารอย่างน้ี แล้วปฏิบัติเพื่อ ความเบื่อหน่าย เพอ่ื ความคลายก�ำ หนดั เพื่อความดบั แหง่ สังขาร  สมณะหรือพราหมณ์เหล่านั้น ชื่อว่าปฏิบัติดีแล้ว ชนเหล่าใดปฏิบัติดีแล้ว ชนเหล่าน้ันชื่อว่าย่อมหยั่งลงใน ธรรมวินัยน้.ี 41

พทุ ธวจน - หมวดธรรม ภิกษุทั้งหลาย  ก็สมณะหรือพราหมณ์เหล่าใด เหลา่ หนง่ึ รชู้ ดั แลว้ ซง่ึ สงั ขารอยา่ งนี้ รชู้ ดั แลว้ ซง่ึ ความเกดิ ขน้ึ แห่งสังขารอย่างน้ี รู้ชัดแล้วซ่ึงความดับแห่งสังขารอย่างน้ี รชู้ ดั แลว้ ซง่ึ ขอ้ ปฏบิ ตั ใิ หถ้ งึ ความดบั แหง่ สงั ขารอยา่ งน้ี แลว้ เปน็ ผหู้ ลดุ พน้ เพราะเบอ่ื หนา่ ย เพราะคลายก�ำ หนดั เพราะความดบั เพราะไมถ่ อื มน่ั ในสงั ขาร สมณะหรอื พราหมณเ์ หลา่ นนั้ ชอื่ วา่ หลดุ พน้ ดแี ลว้ สมณะหรือพราหมณ์เหลา่ ใด หลดุ พ้นดแี ลว้ สมณะหรอื พราหมณเ์ หลา่ นนั้ เปน็ เกพลี สมณะหรอื พราหมณ์ เหล่าใดเป็นเกพลี วัฏฏะย่อมไม่มีแก่สมณะหรือพราหมณ์ เหล่าน้ัน. (สามารถศกึ ษาเนอ้ื ความเตม็ ของสตู รนไ้ี ดท้ ห่ี นา้ 104.  -ผรู้ วบรวม) 42

พทุ ธวจน - หมวดธรรม เปดิ ธรรมท่ถี ูกปดิ : จติ มโน วิญญาณ รายละเอียดของสงั ขาร (นัยท่ี ๕) 16 -บาลี นทิ าน. ส.ํ ๑๖/๔๖/๘๒. … สาธุ สาธุ อานนท์  ตามที่สารีบุตรตอบปัญหา ในลักษณะนั้น ช่ือว่าได้ตอบโดยชอบ  อานนท์  เรากล่าวว่า สุขและทุกข์เป็นของอาศัยปัจจัยเกิดขึ้น (ปฏิจฺจสมุปฺปนฺน) สขุ และทกุ ขน์ น้ั อาศยั ปจั จยั อะไรเกดิ ขนึ้   สขุ และทกุ ขอ์ าศยั ปัจจยั คอื ผัสสะเกดิ ข้นึ   บุคคลผู้กล่าวดงั น้ี จงึ จะชือ่ วา่ เปน็ อนั กลา่ วตามทเี่ รากลา่ วแลว้ ไมก่ ลา่ วตเู่ ราดว้ ยค�ำ ไมจ่ รงิ เปน็ ผู้ พยากรณ์ธรรมสมควรแก่ธรรม และสหธรรมมิกบางคน ที่กล่าวตาม ก็จะไม่พลอยกลายเป็นผู้ควรถูกติไปด้วย  อานนท์  ในบรรดาสมณพราหมณ์ ที่กล่าวสอนเรื่องกรรม ทง้ั ๔ พวกนนั้ สมณพราหมณท์ กี่ ลา่ วสอนเรอื่ งกรรมพวกใด ทบ่ี ญั ญตั สิ ขุ และทกุ ขว์ า่ ตนเองท�ำ สขุ และทกุ ขน์ น้ั กย็ อ่ มเกดิ ขน้ึ เพราะผัสสะเป็นปัจจัย  สมณพราหมณ์ที่กล่าวสอนเรื่อง กรรมพวกใดทบ่ี ญั ญตั สิ ขุ และทกุ ขว์ า่ ผอู้ นื่ ท�ำ ให้ สขุ และทกุ ข์ นั้นก็ย่อมเกิดข้ึนเพราะผัสสะเป็นปัจจัย  สมณพราหมณ์ ที่กล่าวสอนเร่ืองกรรมพวกใดที่บัญญัติสุขและทุกข์ว่า ตนเองทำ�ดว้ ย ผู้อืน่ ทำ�ใหด้ ้วย สขุ และทุกขน์ ้ันกย็ อ่ มเกิดขึ้น 43

พทุ ธวจน - หมวดธรรม เพราะผัสสะเป็นปัจจัย  สมณพราหมณ์ท่ีกล่าวสอนเร่ือง กรรมพวกใดท่ีบัญญัติสุขและทุกข์ว่าไม่ใช่ตนเองทำ�ด้วย ไม่ใช่ผู้อื่นทำ�ให้ด้วย สุขและทุกข์นั้นก็ย่อมเกิดขึ้นเพราะ ผัสสะเปน็ ปัจจัย. อานนท ์ ในบรรดาสมณพราหมณ์ ทกี่ ลา่ วสอนเรอื่ ง กรรมท้ัง ๔ พวกนั้น สมณพราหมณ์ท่ีกล่าวสอนเรื่องกรรม พวกใดท่ีบัญญัติสุขและทุกข์ว่าตนเองทำ� สมณพราหมณ์ พวกน้นั ถา้ เวน้ จากผสั สะเสียแลว้ จะร้สู ึกถึงสุขและทุกข์นน้ั ย่อมไม่ใช่ฐานะท่ีจะมีได้  สมณพราหมณ์ท่ีกล่าวสอนเรื่อง กรรมพวกใดท่ีบัญญัติสุขและทุกข์ว่าผู้อ่ืนทำ�ให้ ถ้าเว้นจาก ผัสสะเสียแล้ว จะรู้สึกถึงสุขและทุกข์น้ัน ย่อมไม่ใช่ฐานะ ที่จะมีได้  สมณพราหมณ์ที่กล่าวสอนเร่ืองกรรมพวกใด ทบ่ี ญั ญตั สิ ขุ และทกุ ขว์ า่ ตนเองท�ำ ดว้ ย ผอู้ น่ื ท�ำ ใหด้ ว้ ย ถา้ เวน้ จาก ผัสสะเสียแล้ว จะรู้สึกถึงสุขและทุกข์นั้น ย่อมไม่ใช่ฐานะ ท่ีจะมีได้  สมณพราหมณ์ท่ีกล่าวสอนเร่ืองกรรมพวกใดท่ี บญั ญตั สิ ขุ และทกุ ขว์ า่ ไมใ่ ชต่ นเองท�ำ ดว้ ย ไมใ่ ชผ่ อู้ น่ื ท�ำ ใหด้ ว้ ย ถา้ เวน้ จากผสั สะเสยี แลว้ จะรสู้ กึ ถงึ สขุ และทกุ ขน์ น้ั ยอ่ มไมใ่ ช่ ฐานะท่จี ะมีได้. 44

เปดิ ธรรมที่ถกู ปดิ : จิต มโน วญิ ญาณ อานนท ์ เมอ่ื กายมอี ยู่ สขุ และทกุ ขอ์ นั เปน็ ภายใน ย่อมบังเกิดขึ้น เพราะความจงใจทางกาย (กายสฺเจตนา) เปน็ เหต ุ อานนท ์ เมอ่ื วาจามอี ยู่ สขุ และทกุ ขอ์ นั เปน็ ภายใน ย่อมบังเกิดข้ึน เพราะความจงใจทางวาจา (วจีสฺเจตนา)  เปน็ เหต ุ อานนท ์ เมอ่ื มโนมอี ยู่ สขุ และทกุ ขอ์ นั เปน็ ภายใน ย่อมบังเกิดข้ึน เพราะความจงใจทางมโน (มโนสฺเจตนา)  เปน็ เหตุ. อานนท ์ เพราะมอี วชิ ชาเปน็ ปจั จยั นน่ั แหละ บคุ คล ย่อมปรุงแต่งกายสังขาร ซ่ึงเป็นปัจจัยให้สุขและทุกข์อัน เปน็ ภายในเกดิ ขนึ้ ดว้ ยตนเองบา้ ง  ยอ่ มปรงุ แตง่ กายสงั ขาร ซง่ึ เปน็ ปจั จยั ใหส้ ขุ และทกุ ขอ์ นั เปน็ ภายในเกดิ ขน้ึ โดยผอู้ น่ื บา้ ง  ย่อมปรุงแต่งกายสังขารซ่ึงเป็นปัจจัยให้สุขและทุกข์อัน เปน็ ภายในเกดิ ขน้ึ โดยรสู้ กึ ตวั บา้ ง  ยอ่ มปรงุ แตง่ กายสงั ขาร ซึ่งเป็นปัจจัยให้สุขและทุกข์อันเป็นภายในเกิดข้ึนโดยไม่ ร้สู กึ ตัวบา้ ง. อานนท ์ เพราะมอี วชิ ชาเปน็ ปจั จยั นน่ั แหละ บคุ คล ย่อมปรุงแต่งวจีสังขาร ซ่ึงเป็นปัจจัยให้สุขและทุกข์อัน เป็นภายในเกิดขึ้นด้วยตนเองบ้าง  ย่อมปรุงแต่งวจีสังขาร ซง่ึ เปน็ ปจั จยั ใหส้ ขุ และทกุ ขอ์ นั เปน็ ภายในเกดิ ขน้ึ โดยผอู้ น่ื บา้ ง  45

พุทธวจน - หมวดธรรม ย่อมปรุงแต่งวจีสังขารซ่ึงเป็นปัจจัยให้สุขและทุกข์อัน เป็นภายในเกิดข้นึ โดยร้สู ึกตัวบ้าง  ย่อมปรุงแต่งวจีสังขาร ซ่ึงเป็นปัจจัยให้สุขและทุกข์อันเป็นภายในเกิดข้ึนโดยไม่ รสู้ กึ ตวั บา้ ง. อานนท ์ เพราะมอี วชิ ชาเปน็ ปจั จยั นนั่ แหละ บคุ คล ย่อมปรุงแต่งมโนสังขาร ซ่ึงเป็นปัจจัยให้สุขและทุกข์อัน เปน็ ภายในเกดิ ขนึ้ ดว้ ยตนเองบา้ ง  ยอ่ มปรงุ แตง่ มโนสงั ขาร ซง่ึ เปน็ ปจั จยั ใหส้ ขุ และทกุ ขอ์ นั เปน็ ภายในเกดิ ขน้ึ โดยผอู้ น่ื บา้ ง  ย่อมปรุงแตง่ มโนสังขารซง่ึ เป็นปัจจยั ให้สุขและทุกข์อนั เปน็ ภายในเกิดข้ึนโดยรู้สึกตัวบ้าง  ย่อมปรุงแต่งมโนสังขาร ซ่ึงเป็นปัจจัยให้สุขและทุกข์อันเป็นภายในเกิดข้ึนโดยไม่ ร้สู ึกตวั บา้ ง. อานนท ์ อวชิ ชาแทรกอยูแ่ ล้วในธรรมเหลา่ น.ี้ อานนท์  เพราะความจางคลายดับไปโดยไม่เหลือ แห่งอวิชชาน้ันนั่นเทียว กายซ่ึงเป็นปัจจัยให้สุขและทุกข์ อันเป็นภายในเกิดขึ้นจึงไม่มี  วาจาซึ่งเป็นปัจจัยให้สุขและ ทุกข์อันเป็นภายในเกิดข้ึนจึงไม่มี  มโนซึ่งเป็นปัจจัยให้สุข และทกุ ขอ์ นั เปน็ ภายในเกดิ ขน้ึ จงึ ไมม่  ี เขต (ผนื นาส�ำ หรบั งอก)  ซึ่งเป็นปัจจัยให้สุขและทุกข์อันเป็นภายในเกิดขึ้นจึงไม่มี  46

เปดิ ธรรมที่ถูกปดิ : จติ มโน วญิ ญาณ วัตถุ (พืชเพ่ือการงอก) ซ่ึงเป็นปัจจัยให้สุขและทุกข์อันเป็น ภายในเกดิ ขนึ้ จงึ ไมม่  ี อายตนะ (การสมั พนั ธเ์ พอ่ื ใหเ้ กดิ การงอก)  ซึ่งเป็นปัจจัยให้สุขและทุกข์อันเป็นภายในเกิดขึ้นจึงไม่มี  หรืออธิกรณ์ (เคร่ืองกระทำ�ให้เกิดการงอก) ซ่ึงเป็นปัจจัยให้สุข และทกุ ขอ์ นั เปน็ ภายในเกดิ ขนึ้ จึงไมม่ .ี อกี สตู รหนงึ่ -บาลี จตกุ กฺ . อ.ํ ๒๑/๒๑๓/๑๗๑. ไดต้ รสั กบั ภกิ ษทุ ั้งหลาย โดยมีข้อความช่วงท้าย ตา่ งออกไปดังน้.ี ภิกษุทั้งหลาย  ความได้อัตภาพ ๔ ประการน้ี  ๔ ประการเปน็ อยา่ งไร  คอื ความไดอ้ ตั ภาพทสี่ ญั เจตนาของตน เปน็ ไป ไมใ่ ชส่ ญั เจตนาของผอู้ น่ื เปน็ ไปกม็  ี ความไดอ้ ตั ภาพ ทส่ี ญั เจตนาของผอู้ น่ื เปน็ ไป ไมใ่ ชส่ ญั เจตนาของตนเปน็ ไปกม็  ี ความไดอ้ ตั ภาพทสี่ ญั เจตนาของตนดว้ ย สญั เจตนาของผอู้ นื่ ด้วยเป็นไปกม็  ี ความได้อัตภาพทีส่ ญั เจตนาของตนก็ไมใ่ ช่ สญั เจตนาของผอู้ น่ื กไ็ มใ่ ชเ่ ปน็ ไปกม็  ี ภกิ ษทุ ง้ั หลาย  ความได้ อตั ภาพ ๔ ประการนี้แล. ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ  ธรรมท่ีพระผู้มีพระภาคตรัสโดยย่อนี้ ขา้ พระองคท์ ราบชดั เนอ้ื ความโดยพสิ ดารอยา่ งนว้ี า่ บรรดาความไดอ้ ตั ภาพ ๔ ประการนนั้ ความไดอ้ ตั ภาพทส่ี ญั เจตนาของตนเปน็ ไป ไมใ่ ชส่ ญั เจตนา ของผอู้ ื่นเป็นไปน้ี คอื การจุติจากกายน้นั ของสัตวเ์ หลา่ นั้นย่อมมี เพราะ สญั เจตนาของตนเป็นเหต ุ ความได้อัตภาพท่สี ญั เจตนาของผ้อู น่ื เป็นไป 47

พทุ ธวจน - หมวดธรรม ไมใ่ ชส่ ญั เจตนาของตนเปน็ ไปน้ี คอื การจตุ จิ ากกายนนั้ ของสตั วเ์ หลา่ นนั้ ย่อมมี เพราะสัญเจตนาของผู้อ่ืนเป็นเหตุ  ความได้อัตภาพท่ีสัญเจตนา ของตนด้วย สัญเจตนาของผู้อื่นด้วยเป็นไปน้ี คือ การจุติจากกายน้ัน ของสตั วเ์ หลา่ นน้ั ยอ่ มมี เพราะสญั เจตนาของตนและสญั เจตนาของผอู้ นื่ เป็นเหตุ  ความได้อัตภาพท่ีสัญเจตนาของตนเป็นไปก็ไม่ใช่ สัญเจตนา ของผู้อ่ืนเป็นไปก็ไม่ใช่น้ี จะพึงเห็นเทวดาทั้งหลายด้วยอัตภาพน้ันเป็น อย่างไร พระเจา้ ข้า. สารบี ตุ ร  พงึ เหน็ เทวดาทง้ั หลายผเู้ ขา้ ถงึ เนวสญั ญา- นาสัญญายตนะด้วยอัตภาพน้นั . … 48

พุทธวจน - หมวดธรรม เปิดธรรมท่ถี ูกปดิ : จิต มโน วญิ ญาณ 17วิญญาณฐติ ิ (ท่ีตั้งอยขู่ องวญิ ญาณ) -บาลี ขนธฺ . ส.ํ ๑๗/๖๗/๑๐๖. ภิกษุทั้งหลาย  ส่ิงท่ีใช้เป็นพืชมี ๕ อย่างเหล่าน้ี ๕ อยา่ งอะไรบา้ ง คอื พชื จากเหงา้ หรอื ราก (มลู พชี )  พชื จากตน้   (ขนธฺ พชี )  พชื จากตาหรอื ผล (ผลพชี )  พชื จากยอด (อคคฺ พชี ) พชื จากเมล็ด (พชี พชี ). ภิกษุทั้งหลาย  ถ้าสิ่งท่ีใช้เป็นพืช ๕ อย่างเหล่านี้ ท่ไี ม่ถกู ท�ำลาย ยังไมเ่ น่าเปือ่ ย ยังไมแ่ ห้งเพราะลมและแดด ยังมีเช้ืองอกบริบูรณ์อยู่ และอันบุคคลเก็บไว้ด้วยดี แต่ดิน และนำ้� ไมม่  ี ภกิ ษทุ ง้ั หลาย  สงิ่ ทใ่ี ชเ้ ปน็ พชื ๕ อยา่ งเหลา่ นน้ั จะพึงเจริญงอกงามไพบูลยไ์ ดไ้ หม. ไม่ได้ พระเจ้าข้า. ภิกษุท้ังหลาย  ถ้าส่ิงที่ใช้เป็นพืช ๕ อย่างเหล่านี้ ทไ่ี มถ่ ูกท�ำ ลาย ยังไม่เน่าเปือ่ ย ยงั ไม่แหง้ เพราะลมและแดด ยังมีเช้ืองอกบริบูรณ์อยู่ และอันบุคคลเก็บไว้ด้วยดี ทั้งดิน และน�ำ้ กม็ ดี ว้ ย  ภกิ ษทุ ง้ั หลาย สง่ิ ทใ่ี ชเ้ ปน็ พชื ๕ อยา่ งเหลา่ นน้ั จะพงึ เจรญิ งอกงามไพบลู ยไ์ ดไ้ หม. ได้ พระเจา้ ขา้ . 49

พุทธวจน - หมวดธรรม ภิกษุทั้งหลาย  วิญญาณฐิติ ๔ อย่าง (รูป เวทนา สญั ญา สงั ขาร) พงึ เหน็ วา่ เหมือนกบั ดิน. ภกิ ษทุ ง้ั หลาย  นนั ทริ าคะ (ความก�ำ หนดั ดว้ ยอ�ำ นาจแหง่ ความเพลนิ ) พึงเห็นว่าเหมอื นกบั นํา้ . ภิกษุท้ังหลาย  วิญญาณ  ซึ่งประกอบด้วยปัจจัย  พึงเห็นว่าเหมือนกบั พืชสดทง้ั ๕ น้ัน. ภิกษุท้ังหลาย  วิญญาณ ซ่ึงเข้าถือเอารูป ต้ังอยู่ กต็ ง้ั อยไู่ ด้ เปน็ วญิ ญาณทม่ี รี ปู เปน็ อารมณ์ มรี ปู เปน็ ทตี่ ง้ั อาศยั มีนันทิเป็นท่ีเข้าไปซ่องเสพ ก็ถึงความเจริญ งอกงาม ไพบูลยไ์ ด้. ภกิ ษทุ ง้ั หลาย  วญิ ญาณ ซงึ่ เขา้ ถอื เอาเวทนา ตงั้ อยู่ ก็ต้ังอยู่ได้  เป็นวิญญาณที่มีเวทนาเป็นอารมณ์ มีเวทนา เปน็ ทต่ี ง้ั อาศยั มนี นั ทเิ ปน็ ทเี่ ขา้ ไปซอ่ งเสพ กถ็ งึ ความเจรญิ งอกงาม ไพบลู ย์ได.้ ภิกษุทั้งหลาย  วิญญาณ ซ่ึงเข้าถือเอาสัญญา ตั้งอยู่ ก็ตั้งอยู่ได้ เป็นวิญญาณที่มีสัญญาเป็นอารมณ์ มีสัญญาเป็นที่ตั้งอาศัย มีนันทิเป็นท่ีเข้าไปซ่องเสพ ก็ถึง ความเจริญ งอกงาม ไพบูลย์ได.้ 50

เปดิ ธรรมทถ่ี ูกปิด : จิต มโน วญิ ญาณ ภกิ ษทุ งั้ หลาย  วญิ ญาณ ซง่ึ เขา้ ถอื เอาสงั ขาร ตัง้ อยู่ ก็ตั้งอยู่ได้ เป็นวิญญาณที่มีสังขารเป็นอารมณ์ มีสังขาร เปน็ ทตี่ งั้ อาศยั มนี นั ทเิ ปน็ ทเ่ี ขา้ ไปซอ่ งเสพ กถ็ งึ ความเจรญิ งอกงาม ไพบลู ย์ได.้ ภิกษุท้ังหลาย  ผู้ใดจะพึงกล่าวอย่างนี้ว่า เราจัก บญั ญตั ซิ ง่ึ การมา การไป การจตุ  ิ(การตาย) การอบุ ตั  ิ(การเกดิ ) ความเจรญิ ความงอกงาม และความไพบลู ยข์ องวญิ ญาณ โดยเวน้ จากรปู เวน้ จากเวทนา เวน้ จากสญั ญา และเวน้ จาก สังขาร ดงั นน้ี น้ั นี่ไมใ่ ช่ฐานะทีจ่ ะมไี ดเ้ ลย. ภิกษุท้ังหลาย  ถ้าราคะในรูปธาตุ ในเวทนาธาตุ ในสญั ญาธาตุ ในสงั ขารธาตุ ในวญิ ญาณธาตุ เปน็ สง่ิ ทภ่ี กิ ษลุ ะ ได้แล้ว (ราโค ปหโี น) เพราะละราคะนัน้ ได้ อารมณ์สำ�หรับ วิญญาณก็ขาดลง ท่ีต้ังของวิญญาณก็ไม่มี วิญญาณอัน ไมม่ ที ต่ี งั้ นนั้ กไ็ มง่ อกงาม หลดุ พน้ ไป เพราะไมถ่ กู ปรงุ แตง่ เพราะหลุดพ้นไป ก็ตั้งมั่น (ิต) เพราะตั้งมั่น ก็ยินดี ในตนเอง (สนฺตุสิต) เพราะยินดีในตนเอง ก็ไม่หว่ันไหว  (น ปรติ สสฺ ต)ิ เมอ่ื ไมห่ วน่ั ไหว กป็ รนิ พิ พานเฉพาะตนนน่ั เทยี ว เธอย่อมรู้ชัดว่า ชาติส้ินแล้ว พรหมจรรย์อยู่จบแล้ว กิจท่ี ควรทำ�ได้เสร็จแล้ว กิจอ่นื ท่จี ะต้องทำ�เพ่อื ความเป็นอย่างน้ี ไมไ่ ดม้ อี กี . 51

พทุ ธวจน - หมวดธรรม เปิดธรรมทถ่ี กู ปดิ : จิต มโน วิญญาณ อารมณเ์ พือ่ การตงั้ อยแู่ ห่งวญิ ญาณ 18 (นัยท่ี ๑) -บาลี นทิ าน. ส.ํ ๑๖/๘๐/๑๔๙. ภกิ ษทุ งั้ หลาย  ถา้ บคุ คลยอ่ มคดิ  (เจเตต)ิ  ถงึ สง่ิ ใดอยู่ ยอ่ มด�ำ ร ิ (อนเุ สต)ิ  ถงึ สงิ่ ใดอยู่ และยอ่ มมจี ติ ฝงั ลงไป (อนเุ สต)ิ   ในสิ่งใดอยู่ ส่ิงนั้นย่อมเป็นอารมณ์เพื่อการตั้งอยู่แห่ง วิญญาณ  เมอ่ื อารมณม์ อี ยู่ ความตง้ั ขน้ึ เฉพาะแหง่ วญิ ญาณ ย่อมมี  เม่ือวิญญาณน้ันต้ังข้ึนเฉพาะ เจริญงอกงามแล้ว เครอ่ื งน�ำ ไปสภู่ พใหม ่(นต)ิ  ยอ่ มม ี เมอ่ื เครอ่ื งน�ำ ไปสภู่ พใหมม่ ี การมาการไป (อาคตคิ ต)ิ  ยอ่ มม ี เมอ่ื การมาการไปมี การเคลอ่ื น และการบงั เกดิ ยอ่ มม ี เมอ่ื การเคลอ่ื นและการบงั เกดิ มี ชาติ ชรามรณะ โสกะปริเทวะ ทุกขะโทมนัสอุปายาสะทั้งหลาย จึงเกิดขึ้นครบถ้วนต่อไป ความเกิดขึ้นพร้อมแห่งกองทุกข์ ทั้งสิน้ นี้ ย่อมมีด้วยอาการอย่างน.ี้ ภกิ ษทุ ง้ั หลาย  ถา้ บคุ คลยอ่ มไมค่ ดิ ถงึ สงิ่ ใด ยอ่ มไม่ ดำ�ริถึงสิ่งใด แต่เขายังมีจิตฝังลงไปในส่ิงใดอยู่ ส่ิงนั้นย่อม เป็นอารมณ์เพื่อการตั้งอยู่แห่งวิญญาณ  เม่ืออารมณ์มีอยู่ ความต้ังข้ึนเฉพาะแห่งวิญญาณย่อมมี เม่ือวิญญาณน้ัน ตงั้ ขนึ้ เฉพาะ เจรญิ งอกงามแลว้ เครอ่ื งน�ำ ไปสภู่ พใหมย่ อ่ มม ี 52

เปิดธรรมที่ถกู ปดิ : จิต มโน วิญญาณ เมอ่ื เครอื่ งน�ำ ไปสภู่ พใหมม่ ี การมาการไปยอ่ มม ี เมอ่ื การมา การไปมี การเคล่ือนและการบังเกิดย่อมมี  เม่ือการเคลื่อน และการบงั เกดิ มี ชาติ ชรามรณะ โสกะปรเิ ทวะ ทกุ ขะโทมนสั อปุ ายาสะทง้ั หลายจงึ เกดิ ขน้ึ ครบถว้ นตอ่ ไป ความเกดิ ขน้ึ พรอ้ ม แหง่ กองทกุ ขท์ ัง้ ส้ินน้ี ยอ่ มมีดว้ ยอาการอย่างนี.้ ภกิ ษทุ ง้ั หลาย  กถ็ า้ วา่ บคุ คลยอ่ มไมค่ ดิ ถงึ สง่ิ ใดดว้ ย ยอ่ มไมด่ �ำ รถิ งึ สง่ิ ใดดว้ ย และยอ่ มไมม่ จี ติ ฝงั ลงไปในสง่ิ ใดดว้ ย ในกาลใด ในกาลนนั้ สง่ิ นน้ั ยอ่ มไมเ่ ปน็ อารมณเ์ พอ่ื การตงั้ อยู่ แหง่ วญิ ญาณไดเ้ ลย  เมอื่ อารมณไ์ มม่ ี ความตง้ั ขนึ้ เฉพาะแหง่ วญิ ญาณยอ่ มไมม่  ี เมอ่ื วญิ ญาณนน้ั ไมต่ ง้ั ขน้ึ เฉพาะ ไมเ่ จรญิ งอกงามแลว้ เครอ่ื งน�ำ ไปสภู่ พใหมย่ อ่ มไมม่  ี เมอ่ื เครอ่ื งน�ำ ไปสู่ ภพใหมไ่ มม่ ี การมาการไปยอ่ มไมม่  ี เมอ่ื การมาการไปไมม่ ี การเคลื่อนและการบังเกิดย่อมไม่มี  เม่ือการเคล่ือนและ การบงั เกดิ ไมม่ ี ชาติ ชรามรณะ โสกะปรเิ ทวะ ทกุ ขะโทมนสั อปุ ายาสะทงั้ หลายตอ่ ไปจงึ ดบั สนิ้ ความดบั ลงแหง่ กองทกุ ข์ ทง้ั สิน้ น้ี ยอ่ มมีด้วยอาการอย่างนี้ ดังนแี้ ล. 53

พทุ ธวจน - หมวดธรรม เปดิ ธรรมทถ่ี ูกปดิ : จิต มโน วิญญาณ อารมณ์เพอื่ การต้งั อยูแ่ หง่ วญิ ญาณ 19 (นัยท่ี ๒) -บาลี นทิ าน. ส.ํ ๑๖/๗๙/๑๔๗. ภิกษุทั้งหลาย  ถ้าบุคคลย่อมคิดถึงส่ิงใดอยู่ ย่อม ดำ�ริถึงส่งิ ใดอยู่ และย่อมมีจิตฝังลงไป ในส่งิ ใดอยู่ ส่งิ น้นั ยอ่ มเปน็ อารมณเ์ พอ่ื การตง้ั อยแู่ หง่ วญิ ญาณ  เมอ่ื อารมณม์ อี ยู่ ความต้ังข้ึนเฉพาะแห่งวิญญาณย่อมมี  เมื่อวิญญาณนั้น ตั้งข้ึนเฉพาะ เจริญงอกงามแล้ว การก้าวลงแห่งนามรูป  (นามรูปสฺส อวกฺกนฺติ) ย่อมมี  เพราะมีนามรูปเป็นปัจจัย จึงมีสฬายตนะ  เพราะมีสฬายตนะเป็นปัจจัย จึงมีผัสสะ  เพราะมผี สั สะเปน็ ปจั จยั จงึ มเี วทนา  เพราะมเี วทนาเปน็ ปจั จยั จงึ มตี ณั หา  เพราะมตี ณั หาเปน็ ปจั จยั จงึ มอี ปุ าทาน  เพราะมี อปุ าทานเปน็ ปจั จยั จงึ มภี พ  เพราะมภี พเปน็ ปจั จยั จงึ มชี าต ิ เพราะมีชาติเป็นปัจจัย ชรามรณะ โสกะปริเทวะ ทุกขะ โทมนสั อปุ ายาสะทง้ั หลาย จงึ เกดิ ขน้ึ ครบถว้ น ความเกดิ ขน้ึ พรอ้ มแหง่ กองทกุ ขท์ ง้ั สน้ิ น้ี ยอ่ มมดี ว้ ยอาการอยา่ งน.้ี ภกิ ษทุ งั้ หลาย  ถา้ บคุ คลยอ่ มไมค่ ดิ ถงึ สง่ิ ใด ยอ่ มไม่ ดำ�ริถึงสิ่งใด แต่เขายังมีจิตฝังลงไปในสิ่งใดอยู่ ส่ิงน้ันย่อม เป็นอารมณ์เพื่อการตั้งอยู่แห่งวิญญาณ  เม่ืออารมณ์มีอยู่ 54

เปิดธรรมที่ถกู ปดิ : จติ มโน วิญญาณ ความต้ังขึ้นเฉพาะแห่งวิญญาณย่อมมี  เม่ือวิญญาณนั้น ตง้ั ขน้ึ เฉพาะ เจรญิ งอกงามแลว้ การกา้ วลงแหง่ นามรปู ยอ่ มม ี เพราะมนี ามรปู เปน็ ปจั จยั จงึ มสี ฬายตนะ … ความเกดิ ขน้ึ พรอ้ ม แห่งกองทุกขท์ ั้งสิน้ นี้ ย่อมมีดว้ ยอาการอยา่ งนี้. ภกิ ษทุ ง้ั หลาย  กถ็ า้ วา่ บคุ คลยอ่ มไมค่ ดิ ถงึ สงิ่ ใดดว้ ย ยอ่ มไมด่ �ำ รถิ งึ สง่ิ ใดดว้ ย และยอ่ มไมม่ จี ติ ฝงั ลงไปในสง่ิ ใดดว้ ย ในกาลใด  ในกาลนน้ั สง่ิ นน้ั ยอ่ มไมเ่ ปน็ อารมณเ์ พอ่ื การตง้ั อยู่ แหง่ วญิ ญาณไดเ้ ลย  เมอ่ื อารมณไ์ มม่ ี ความตงั้ ขนึ้ เฉพาะแหง่ วญิ ญาณยอ่ มไมม่  ี เมอื่ วญิ ญาณนน้ั ไมต่ งั้ ขนึ้ เฉพาะ ไมเ่ จรญิ งอกงามแลว้ การกา้ วลงแหง่ นามรปู ยอ่ มไมม่  ี เพราะมคี วามดบั แหง่ นามรปู จงึ มคี วามดบั แหง่ สฬายตนะ  เพราะมคี วามดบั แห่งสฬายตนะ จึงมีความดับแห่งผัสสะ  เพราะมีความดับ แห่งผัสสะ จึงมีความดับแห่งเวทนา  เพราะมีความดับแห่ง เวทนา จงึ มคี วามดบั แหง่ ตณั หา  เพราะมคี วามดบั แหง่ ตณั หา จึงมีความดับแห่งอุปาทาน  เพราะมีความดับแห่งอุปาทาน จงึ มคี วามดบั แหง่ ภพ  เพราะมคี วามดบั แหง่ ภพ จงึ มคี วามดบั แหง่ ชาต ิ เพราะมคี วามดบั แหง่ ชาตนิ น่ั แล ชรามรณะ โสกะ ปรเิ ทวะ ทกุ ขะโทมนสั อปุ ายาสะทง้ั หลาย จงึ ดบั สน้ิ   ความดบั ลง แหง่ กองทกุ ข์ท้ังสิ้นนี้ ยอ่ มมีดว้ ยอาการอย่างนี้ ดงั นี้แล. 55

พทุ ธวจน - หมวดธรรม เปิดธรรมทถี่ กู ปดิ : จติ มโน วิญญาณ อารมณเ์ พือ่ การตัง้ อย่แู ห่งวิญญาณ 20 (นยั ท่ี ๓) -บาลี นทิ าน. ส.ํ ๑๖/๗๘/๑๔๕. ภิกษุทั้งหลาย  ถ้าบุคคลย่อมคิดถึงส่ิงใดอยู่ ย่อม ดำ�ริถึงสิ่งใดอยู่  และย่อมมีจิตฝังลงไปในส่ิงใดอยู่ ส่ิงนั้น ยอ่ มเปน็ อารมณเ์ พอ่ื การตง้ั อยแู่ หง่ วญิ ญาณ  เมอ่ื อารมณม์ อี ย ู่ ความต้ังข้ึนเฉพาะแห่งวิญญาณย่อมมี  เม่ือวิญญาณน้ัน ต้ังข้ึนเฉพาะ เจริญงอกงามแล้ว  การเกิดข้ึนแห่งภพใหม่ ตอ่ ไป (ปนุ พภฺ วาภนิ พิ พฺ ตตฺ )ิ  ยอ่ มม ี เมอ่ื การเกดิ ขน้ึ แหง่ ภพใหม่ ตอ่ ไปมอี ย ู่ ชาติ ชรามรณะ โสกะปรเิ ทวะ ทกุ ขะโทมนสั อปุ ายาสะ ท้ังหลายจึงเกิดขึ้นครบถ้วนต่อไป ความเกิดข้ึนพร้อมแห่ง กองทกุ ข์ทั้งส้ินน้ี ย่อมมดี ้วยอาการอยา่ งน.้ี ภิกษุท้ังหลาย  ถ้าบุคคลย่อมไม่คิดถึงส่ิงใด ย่อม ไมด่ �ำ รถิ งึ สงิ่ ใด  แตเ่ ขายงั มจี ติ ฝงั ลงไปในสงิ่ ใดอย ู่ สง่ิ นน้ั ยอ่ มเปน็ อารมณเ์ พอ่ื การตง้ั อยแู่ หง่ วญิ ญาณ  เมอ่ื อารมณม์ อี ยู่ ความต้ังขึ้นเฉพาะแห่งวิญญาณย่อมมี  เม่ือวิญญาณน้ัน ต้ังขึ้นเฉพาะ เจริญงอกงามแล้ว การเกิดขึ้นแห่งภพใหม่ ตอ่ ไปยอ่ มม ี เมอ่ี การเกดิ ขน้ึ แหง่ ภพใหมต่ อ่ ไปมอี ย ู่ ชาติ ชรา มรณะ โสกะปรเิ ทวะ ทกุ ขะโทมนสั อปุ ายาสะทง้ั หลายจงึ เกดิ ขน้ึ ครบถ้วนต่อไป  ความเกิดข้ึนพร้อมแห่งกองทุกข์ท้ังส้ินน้ี ยอ่ มมดี ้วยอาการอยา่ งนี้. 56

เปดิ ธรรมท่ีถกู ปิด : จติ มโน วญิ ญาณ ภกิ ษทุ งั้ หลาย  กถ็ า้ วา่ บคุ คลยอ่ มไมค่ ดิ ถงึ สง่ิ ใดดว้ ย  ยอ่ มไมด่ �ำ รถิ งึ สง่ิ ใดดว้ ย และยอ่ มไมม่ จี ติ ฝงั ลงไปในสง่ิ ใดดว้ ย ในกาลใด  ในกาลนน้ั สง่ิ นน้ั ยอ่ มไมเ่ ปน็ อารมณเ์ พอ่ื การตง้ั อยู่ แห่งวิญญาณ  เมื่ออารมณ์ไม่มี ความตั้งข้ึนเฉพาะแห่ง วญิ ญาณยอ่ มไมม่  ี เมอ่ื วญิ ญาณนน้ั ไมต่ งั้ ขน้ึ เฉพาะ ไมเ่ จรญิ งอกงามแลว้ การเกดิ ขนึ้ แหง่ ภพใหมต่ อ่ ไปยอ่ มไมม่  ี เมอ่ื การเกิดขึ้นแห่งภพใหม่ต่อไปไม่มี  ชาติ ชรามรณะ โสกะ ปริเทวะ ทุกขะโทมนัสอุปายาสะทั้งหลายต่อไป จึงดับส้ิน  ความดับลงแห่งกองทุกข์ท้ังส้ินน้ี ย่อมมีด้วยอาการอย่างนี้ ดงั นีแ้ ล. 57

พุทธวจน - หมวดธรรม เปดิ ธรรมที่ถูกปิด : จติ มโน วิญญาณ การตัง้ อยูข่ องวญิ ญาณ 21 คอื การบงั เกิดในภพใหม่ -บาลี ตกิ . อ.ํ ๒๐/๒๘๗/๕๑๖. ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ  พระองค์ตรัสว่า ‘ภพ–ภพ’ ดังน้ี ภพ ยอ่ มมไี ด้ ดว้ ยเหตเุ พยี งเทา่ ไร พระเจา้ ขา้ . อานนท ์ ถา้ กรรมมกี ามธาต1ุ เปน็ วบิ าก จกั ไมไ่ ดม้ แี ลว้ กามภพจะพึงปรากฏไดห้ รอื . ไมพ่ ึงปรากฏเลย พระเจ้าข้า. อานนท ์ ดว้ ยเหตนุ แี้ หละ กรรมจงึ เปน็ ผนื นา (กมมฺ  เขตตฺ ) วญิ ญาณเปน็ พชื  (วิ ฺ าณ พชี ) ตณั หาเปน็ ยางของพชื   (ตณฺหา สิเนโห) วิญญาณของสัตว์ท้งั หลาย ท่มี ีอวิชชาเป็น เครอ่ื งกน้ั มตี ณั หาเปน็ เครอ่ื งผกู ตง้ั อยแู่ ลว้ ดว้ ยธาตชุ น้ั ทราม การบงั เกดิ ขน้ึ ในภพใหมต่ อ่ ไป ยอ่ มมไี ดด้ ว้ ยอาการอยา่ งน ้ี (อวิชฺชานีวรณาน สตฺตาน ตณฺหาสฺโชนาน หีนาย ธาตุยา วิฺาณ ปถนุ า้ พกภฺรวรามภมินรีพิ ปู พฺ ธตาตฺ ติ โ2ุ ห เตปิ)น็ . วบิ าก ปติฏฺ ติ  เอว อายตึ จกั ไมไ่ ดม้ แี ลว้ อานนท ์ รูปภพจะพึงปรากฏได้หรอื . ไม่พึงปรากฏเลย พระเจา้ ขา้ . 1. กามธาตุ = ธาตดุ นิ ธาตนุ ำ้ � ธาตไุ ฟ และธาตลุ ม.  -ผรู้ วบรวม 2. รปู ธาตุ = สง่ิ ทเ่ี ปน็ รปู ในสว่ นละเอยี ด.  -ผรู้ วบรวม 58

เปดิ ธรรมท่ถี ูกปดิ : จิต มโน วิญญาณ อานนท์  ด้วยเหตุน้ีแหละ กรรมจึงเป็นผืนนา วิญญาณเป็นพืช ตัณหาเป็นยางของพืช วิญญาณของ สตั วท์ ง้ั หลายทม่ี อี วชิ ชาเปน็ เครอ่ื งกน้ั มตี ณั หาเปน็ เครอ่ื งผกู ตง้ั อยแู่ ลว้ ดว้ ยธาตชุ น้ั กลาง (มชฌฺ มิ าย ธาตยุ า) การบงั เกดิ ขน้ึ ในภพใหม่ต่อไป ย่อมมีไดด้ ้วยอาการอยา่ งน้ี. อานนท ์ ถา้ กรรมมอี รปู ธาต1ุ  เปน็ วบิ าก จกั ไมไ่ ดม้ แี ลว้ อรปู ภพจะพึงปรากฏได้หรือ. ไม่พึงปรากฏเลย พระเจา้ ข้า. อานนท์  ด้วยเหตุนี้แหละ กรรมจึงเป็นผืนนา วิญญาณเป็นพืช  ตัณหาเป็นยางของพืช  วิญญาณของ สตั วท์ ง้ั หลายทม่ี อี วชิ ชาเปน็ เครอ่ื งกน้ั มตี ณั หาเปน็ เครอ่ื งผกู ตงั้ อยแู่ ลว้ ดว้ ยธาตชุ นั้ ประณตี  (ปณตี าย ธาตยุ า) การบงั เกดิ ขน้ึ ในภพใหมต่ อ่ ไป ยอ่ มมไี ดด้ ว้ ยอาการอยา่ งน.้ี อานนท ์ ภพ ยอ่ มมไี ดด้ ว้ ยอาการอยา่ งนแ้ี ล. 1. อรปู ธาตุ = สง่ิ ทไ่ี มใ่ ชร่ ปู เปน็ นามธรรม เชน่ เวทนา สญั ญา สงั ขาร (ผไู้ ดส้ มาธริ ะดบั อากาสานญั จายตนะขน้ึ ไป).  -ผรู้ วบรวม 59

พทุ ธวจน - หมวดธรรม เปดิ ธรรมทีถ่ ูกปดิ : จิต มโน วญิ ญาณ การต้ังอยขู่ องความเจตนา 22 หรือความปรารถนา คือ การบงั เกิดในภพใหม่ -บาลี ตกิ . อ.ํ ๒๐/๒๘๘/๕๑๗. ขา้ แตพ่ ระองคผ์ เู้ จรญิ   พระองคต์ รสั วา่ ภพ ภพ ดงั น้ี ภพ ยอ่ มมไี ด้ ดว้ ยเหตเุ พยี งเทา่ ไร พระเจา้ ขา้ . อานนท ์ ถา้ กรรมมกี ามธาตเุ ปน็ วบิ าก จกั ไมไ่ ดม้ แี ลว้ กามภพจะพึงปรากฏได้หรอื . ไมพ่ งึ ปรากฏเลย พระเจา้ ข้า. อานนท ์ ดว้ ยเหตนุ แ้ี หละ กรรมจงึ เปน็ ผนื นา (กมมฺ  เขตตฺ ) วญิ ญาณเปน็ พชื  (วิ ฺ าณ พชี ) ตณั หาเปน็ ยางของพชื   (ตณหฺ า สเิ นโห) ความเจตนากด็ ี ความปรารถนากด็ ี ของสตั ว์ ท้งั หลายท่มี ีอวิชชาเป็นเคร่อื งก้นั มีตัณหาเป็นเคร่อื งผูก ตง้ั อยแู่ ลว้ ดว้ ยธาตชุ น้ั ทราม การบงั เกดิ ขน้ึ ในภพใหมต่ อ่ ไป ย่อมมีได้ด้วยอาการอย่างนี้ (อวิชฺชานีวรณาน สตฺตาน ตณฺหา- สโฺ ชนาน หนี าย ธาตยุ า เจตนา ปตฏิ ฺ ติ า ปตถฺ นา ปตฏิ ฺ ติ า เอว อายตึ ปนุ พภฺ วาภนิ พิ พฺ ตตฺ ิ โหต)ิ . อานนท์  ถา้ กรรมมรี ปู ธาตเุ ปน็ วบิ าก จกั ไมไ่ ดม้ แี ล้ว รูปภพจะพงึ ปรากฏได้หรือ. ไมพ่ ึงปรากฏเลย พระเจ้าขา้ . 60

เปดิ ธรรมที่ถูกปิด : จิต มโน วญิ ญาณ อานนท์  ด้วยเหตุนี้แหละ กรรมจึงเป็นผืนนา วิญญาณเป็นพืช ตัณหาเป็นยางของพืช ความเจตนาก็ดี ความปรารถนากด็ ี ของสตั วท์ ง้ั หลายทม่ี อี วชิ ชาเปน็ เครอ่ื งกน้ั มีตัณหาเป็นเครื่องผูก ต้ังอยู่แล้วด้วยธาตุชั้นกลาง  (มชฌฺ ิมาย ธาตุยา) การบงั เกดิ ขนึ้ ในภพใหมต่ อ่ ไป ย่อมมไี ด้ ด้วยอาการอย่างน้ี. อานนท ์ ถา้ กรรมมอี รปู ธาตเุ ปน็ วบิ าก จกั ไมไ่ ดม้ แี ลว้ อรูปภพจะพงึ ปรากฏได้หรอื . ไม่พงึ ปรากฏเลย พระเจา้ ขา้ . อานนท์  ด้วยเหตุน้ีแหละ กรรมจึงเป็นผืนนา วิญญาณเป็นพืช ตัณหาเป็นยางของพืช ความเจตนาก็ดี ความปรารถนากด็ ี ของสตั วท์ ง้ั หลายทม่ี อี วชิ ชาเปน็ เครอ่ื งกน้ั มีตัณหาเป็นเครื่องผูก ต้ังอยู่แล้วด้วยธาตุช้ันประณีต  (ปณีตาย ธาตุยา) การบังเกิดข้ึนในภพใหม่ต่อไป ย่อมมีได้ ด้วยอาการอยา่ งน้.ี อานนท์  ภพ ยอ่ มมีได้ดว้ ยอาการอยา่ งนแ้ี ล. 61

พุทธวจน - หมวดธรรม เปดิ ธรรมที่ถูกปิด : จติ มโน วิญญาณ ภพ ๓ 23 -บาลี นทิ าน. ส.ํ ๑๖/๕๒/๙๒. ภกิ ษุทง้ั หลาย  ภพ1 เป็นอยา่ งไรเล่า. ภิกษทุ ั้งหลาย  ภพทง้ั หลาย ๓ อยา่ ง เหลา่ นค้ี อื กามภพ รูปภพ อรปู ภพ.2 ภิกษทุ ้ังหลาย  นเี้ รียกวา่ ภพ. ความเกิดข้ึนแห่งภพย่อมมี เพราะความเกิดข้ึน แห่งอุปาทาน  ความดับแห่งภพย่อมมี เพราะความดับ แหง่ อุปาทาน อริยมรรคอันประกอบด้วยองค์ ๘ นี้นั่นเอง เป็นข้อปฏิบัติให้ถึงความดับแห่งภพ คือ สัมมาทิฏฐิ สัมมาสังกัปปะ สัมมาวาจา สัมมากัมมันตะ สัมมาอาชีวะ สัมมาวายามะ สัมมาสติ และสัมมาสมาธ.ิ 1. ภพ = สถานท่ีอันวิญญาณใช้ต้ังอาศัยเพ่ือเกิดข้ึน หรือเจริญงอกงามต่อไป. (ดูเพ่ิมเติม ท่ีต้ังอาศัยของวิญญาณหน้า 49 ตรัสภพเปรียบกับดิน วิญญาณ เปรยี บกบั สว่ นของพชื เชน่ เมลด็ ทส่ี ามารถเจรญิ งอกงามตอ่ ไปได)้   -ผรู้ วบรวม 2. กามภพ = สถานทเ่ี กดิ อนั อาศยั ดนิ นำ้ � ไฟ ลม  รปู ภพ = สถานทเ่ี กดิ อนั อาศยั สง่ิ ทเ่ี ปน็ รปู ในสว่ นละเอยี ด  อรปู ภพ = สถานทเ่ี กดิ อนั อาศยั สง่ิ ทไ่ี มใ่ ชร่ ปู .  -ผรู้ วบรวม 62

พุทธวจน - หมวดธรรม เปิดธรรมท่ถี ูกปิด : จติ มโน วิญญาณ เครือ่ งน�ำไปสู่ภพ 24 -บาลี ขนธฺ . ส.ํ ๑๗/๒๓๓/๓๖๘. ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ  พระองค์ตรัสว่า  เคร่ืองนำ�ไปสู่ภพ เครื่องนำ�ไปสู่ภพ ดังน้ี  ก็เคร่ืองนำ�ไปสู่ภพเป็นอย่างไร  และความดับ ไมเ่ หลอื ของเครอื่ งนำ�ไปสภู่ พเป็นอย่างไร พระเจา้ ขา้ . ราธะ  ฉนั ทะ (ความพอใจ)  ราคะ (ความก�ำ หนดั )  นนั ท ิ (ความเพลิน)  ตัณหา (ความอยาก)  อุปายะ (ความเข้าถึง)  และอุปาทาน (ความถือม่ัน)  อันเป็นเคร่ืองต้ังทับ เครอ่ื งเขา้ ไปอาศยั และเครอ่ื งนอนเนอ่ื งแหง่ จติ ในรปู  (เจตโส อธฏิ ฺ านาภนิ เิ วสานสุ ยา) สงิ่ เหลา่ นเี้ ราเรยี กวา่ เครอ่ื งน�ำ ไปสภู่ พ ความดบั ไมเ่ หลอื ของเครอื่ งน�ำ ไปสภู่ พมไี ด้ เพราะความดบั ไมเ่ หลอื ของฉนั ทะ ราคะ นนั ทิ ตณั หา อปุ ายะ และอปุ าทาน เหลา่ นน้ั นนั่ เอง. ราธะ  ฉนั ทะราคะนนั ทิ ตณั หา อปุ ายะและอปุ าทาน อนั เปน็ เครอื่ งตง้ั ทบั เครอ่ื งเขา้ ไปอาศยั และเครอ่ื งนอนเนอ่ื ง แห่งจิตในเวทนา … ในสัญญา … ในสังขารท้งั หลาย … ในวิญญาณ  สิ่งเหล่าน้ีเราเรียกว่าเครื่องนำ�ไปสู่ภพ ความดบั ไมเ่ หลอื ของเครอ่ื งน�ำ ไปสภู่ พมไี ด้ เพราะความดบั ไมเ่ หลอื ของฉนั ทะ ราคะ นนั ทิ ตณั หา อปุ ายะ และอปุ าทาน เหลา่ นน้ั นน่ั เอง. 63

พทุ ธวจน - หมวดธรรม เปดิ ธรรมท่ถี ูกปิด : จิต มโน วญิ ญาณ เหตุท่เี รียกวา่ “สัตว์” 25 -บาลี ขนธฺ . ส.ํ ๑๗/๒๓๒/๓๖๗. ขา้ แตพ่ ระองคผ์ เู้ จรญิ   ทเ่ี รยี กกนั วา่ สตั ว์ สตั ว์ ดงั น้ี อันว่าสัตว์ มีได้ด้วยเหตเุ พียงเท่าไรเลา่ พระเจา้ ข้า. ราธะ  ฉนั ทะ (ความพอใจ)  ราคะ (ความก�ำ หนดั ) นันทิ  (ความเพลิน)  ตัณหา (ความอยาก) ใดๆ มีอยู่ในรูป เพราะ การติดแล้ว ข้องแล้วในรูปน้ัน เพราะฉะน้ันจึงเรียกว่าสัตว์  (ผขู้ อ้ งตดิ ในขนั ธท์ ง้ั ๕) ดังนี้. ราธะ  ฉนั ทะ ราคะ นนั ทิ ตณั หาใดๆ มอี ยใู่ นเวทนา  เพราะการตดิ แลว้ ขอ้ งแลว้ ในเวทนานนั้ เพราะฉะนนั้ จงึ เรยี ก วา่ สตั ว์ ดังนี.้ ราธะ  ฉนั ทะ ราคะ นนั ทิ ตณั หาใดๆ มอี ยใู่ นสญั ญา  เพราะการติดแล้ว ข้องแล้วในสัญญานั้น เพราะฉะน้ัน จงึ เรยี กว่าสัตว์ ดังน้.ี ราธะ  ฉนั ทะ ราคะ นนั ทิ ตณั หาใดๆ มอี ยใู่ นสงั ขาร- ท้ังหลาย เพราะการติดแล้ว ข้องแล้วในสังขารทั้งหลายน้ัน เพราะฉะนนั้ จงึ เรียกว่าสตั ว์ ดังนี้. 64

ราธะ  ฉันทะ ราคะ นันทิ ตัณหาใดๆ มีอยู่ ในวิญญาณ  เพราะการติดแล้ว  ข้องแล้วในวิญญาณน้ัน เพราะฉะนน้ั จงึ เรยี กวา่ สัตว์ ดงั นี้แล. ราธะ  เปรียบเหมือนพวกกุมารน้อยๆ หรือ กุมารีน้อยๆ เล่นเรือนน้อยๆ ที่ทำ�ด้วยดินอยู่ ตราบใด เขายงั มรี าคะ มฉี นั ทะ มคี วามรกั มคี วามกระหาย มคี วาม เร่าร้อน และมีตัณหา ในเรือนน้อยที่ทำ�ด้วยดินเหล่านั้น  ตราบนน้ั พวกเดก็ นอ้ ยๆ นน้ั ยอ่ มอาลยั เรอื นนอ้ ยทท่ี �ำ ดว้ ย ดนิ เหลา่ นน้ั ยอ่ มอยากเลน่ ยอ่ มอยากมเี รอื นนอ้ ยทที่ �ำ ดว้ ย ดินเหล่าน้ัน ย่อมยึดถือเรือนน้อยท่ีทำ�ด้วยดินเหล่านั้น ว่าเป็นของเรา ดังน.ี้ ราธะ  แตเ่ มอ่ื ใดแล พวกกมุ ารนอ้ ยๆ หรอื กมุ ารนี อ้ ยๆ เหลา่ นน้ั ปราศจากราคะแลว้ ปราศจากฉนั ทะแลว้ ปราศจาก ความรักแล้ว ปราศจากความกระหายแล้ว ปราศจากความ เรา่ รอ้ นแลว้ ปราศจากตณั หาแลว้ ในเรอื นนอ้ ยทท่ี �ำ ดว้ ยดนิ เหลา่ นนั้   ในกาลนนั้ พวกเขายอ่ มท�ำ เรอื นนอ้ ยๆ ทที่ �ำ ดว้ ยดนิ เหล่านัน้ ให้กระจัดกระจาย เรี่ยราย เกลือ่ นกลน่ ไป  กระท�ำ ให้จบการเลน่ เสียดว้ ยมอื และเทา้ ท้งั หลาย อุปมานีฉ้ ันใด. 65

พุทธวจน - หมวดธรรม ราธะ  อุปไมยก็ฉันน้ัน คือ แม้พวกเธอทั้งหลาย จงเรย่ี รายกระจายออกซงึ่ รปู จงขจดั เสยี จงท�ำ ใหแ้ หลกลาญ จงทำ�ให้จบการเล่นอย่างถูกวิธี จงปฏิบัติเพ่ือความส้ินไป แห่งตัณหาเถิด  จงเร่ียรายกระจายออกซ่ึงเวทนา จงขจดั เสยี จงท�ำ ใหแ้ หลกลาญ จงท�ำ ใหจ้ บการเลน่ อยา่ งถกู วธิ ี จงปฏิบัติเพื่อความสิ้นไปแห่งตัณหาเถิด  จงเร่ียราย กระจายออกซึ่งสัญญา จงขจัดเสีย จงทำ�ให้แหลกลาญ จงท�ำ ใหจ้ บการเลน่ อยา่ งถกู วธิ ี จงปฏบิ ตั เิ พอ่ื ความสน้ิ ไปแหง่ ตัณหาเถิด  จงเรี่ยรายกระจายออกซึ่งสังขารทั้งหลาย จงขจดั เสยี จงท�ำ ใหแ้ หลกลาญ จงท�ำ ใหจ้ บการเลน่ อยา่ งถกู วธิ ี จงปฏิบัติเพ่ือความสิ้นไปแห่งตัณหาเถิด  จงเร่ียราย กระจายออกซึ่งวิญญาณ จงขจัดเสีย จงทำ�ให้แหลกลาญ จงทำ�ให้จบการเล่นอย่างถูกวิธี จงปฏิบัติเพื่อความสิ้นไป แหง่ ตัณหาเถิด. ราธะ  เพราะว่า ความส้ินไปแห่งตัณหานั้น คือ นิพพาน ดังนีแ้ ล. 66

พทุ ธวจน - หมวดธรรม เปิดธรรมท่ถี กู ปดิ : จิต มโน วิญญาณ ผลทไ่ี มน่ า่ ปรารถนา หรอื นา่ ปรารถนา 26 -บาลี เอก. อ.ํ ๒๐/๔๒/๑๘๙. ภกิ ษทุ ง้ั หลาย  กายกรรมทสี่ มาทานใหบ้ รบิ รู ณต์ าม ทิฏฐิ  วจีกรรมที่สมาทานให้บริบูรณ์ตามทิฏฐิ  มโนกรรม ทส่ี มาทานใหบ้ รบิ รู ณต์ ามทฏิ ฐ ิ ความเจตนา ความปรารถนา ความตั้งใจ (ปณิธิ)  สังขาร ของบุคคลผู้มีมิจฉาทิฏฐิ ธรรมทง้ั หมดนน้ั ยอ่ มเปน็ ไปเพอ่ื ผลทไ่ี มน่ า่ ปรารถนา ไมน่ า่ รักใคร่ ไม่น่าชอบใจ ไม่เป็นประโยชน์เกื้อกูล เป็นไปเพื่อ ความทกุ ข์ ขอ้ นนั้ เพราะเหตอุ ะไร เพราะเหตวุ า่ ทฏิ ฐเิ ลวทราม  ภิกษุท้ังหลาย  เปรียบเหมือนเมล็ดสะเดาก็ดี เมล็ดบวบขม ก็ดี เมล็ดนำ้�เต้าขมก็ดี อันบุคคลเพาะไว้ในดินที่ชุ่มช้ืน รสของดิน รสของนำ้� ท่ีมันดูดซึมไว้ทั้งหมด ย่อมเป็นไป เพอื่ ความเปน็ ของขม เพอื่ ความเผด็ รอ้ น เพอื่ ความไมน่ า่ ยนิ ดี ขอ้ นน้ั เพราะเหตอุ ะไร เพราะเหตุวา่ พันธ์พุ ชื เหลา่ นั้นเลว. ภกิ ษทุ ง้ั หลาย  ฉนั ใดกฉ็ นั นน้ั เหมอื นกนั กายกรรมท่ี สมาทานใหบ้ รบิ รู ณต์ ามทฏิ ฐ ิ วจกี รรมทส่ี มาทานใหบ้ รบิ รู ณ์ ตามทิฏฐิ  มโนกรรมท่สี มาทานใหบ้ รบิ รู ณ์ตามทิฏฐิ  ความ เจตนา  ความปรารถนา  ความต้ังใจ  สังขาร  ของบุคคล ผมู้ มี จิ ฉาทฏิ ฐิ ธรรมท้ังหมดนั้น ย่อมเป็นไปเพ่ือผลที่ไม่น่า 67

พทุ ธวจน - หมวดธรรม ปรารถนา ไมน่ า่ รกั ใคร่ ไมน่ า่ ชอบใจ ไมเ่ ปน็ ประโยชนเ์ กอ้ื กลู เป็นไปเพื่อความทุกข์ ข้อน้นั เพราะเหตุอะไร เพราะเหตุว่า ทฏิ ฐเิ ลวทราม. ภกิ ษทุ ง้ั หลาย  กายกรรมทส่ี มาทานใหบ้ รบิ รู ณต์ าม ทิฏฐิ  วจีกรรมท่สี มาทานให้บริบูรณ์ตามทิฏฐิ  มโนกรรม ทส่ี มาทานใหบ้ รบิ รู ณต์ ามทฏิ ฐิ ความเจตนา ความปรารถนา ความตง้ั ใจ สงั ขาร ของบคุ คลผมู้ สี มั มาทฏิ ฐิ ธรรมทง้ั หมดนน้ั ยอ่ มเปน็ ไปเพอ่ื ผลทน่ี า่ ปรารถนา นา่ รกั ใคร่ นา่ ชอบใจ เปน็ ไป เพ่ือประโยชน์เก้อื กูล เพ่อื ความสุข ข้อน้นั เพราะเหตุอะไร เพราะเหตวุ า่ ทฏิ ฐดิ งี าม  ภกิ ษทุ ง้ั หลาย  เปรยี บเหมอื นพนั ธ์ุ ออ้ ยกด็ ี พันธ์ขุ า้ วสาลกี ด็ ี พันธ์ผุ ลจันทน์กด็ ี อันบคุ คลเพาะ ไวใ้ นดนิ ทช่ี มุ่ ชน้ื รสของดนิ รสของน�้ำ ทม่ี นั ดดู ซมึ ไวท้ ง้ั หมด ยอ่ มเปน็ ไปเพอื่ ความเปน็ ของหวาน เพอ่ื ความนา่ ยนิ ดี เพอ่ื ความน่าชน่ื ใจ ขอ้ น้นั เพราะเหตุอะไร เพราะเหตวุ ่าพันธพุ์ ืช เหลา่ นัน้ ดี. ภิกษุทั้งหลาย  ฉนั ใดกฉ็ นั นน้ั เหมอื นกนั กายกรรม ทส่ี มาทานใหบ้ รบิ รู ณต์ ามทฏิ ฐิ วจกี รรมทส่ี มาทานใหบ้ รบิ รู ณ์ ตามทฏิ ฐิ มโนกรรมทส่ี มาทานใหบ้ รบิ รู ณต์ ามทฏิ ฐิ ความเจตนา ความปรารถนา ความตงั้ ใจ สงั ขาร ของบคุ คลผมู้ สี มั มาทฏิ ฐิ ธรรมทง้ั หมดนน้ั ยอ่ มเปน็ ไปเพอื่ ผลทน่ี า่ ปรารถนา นา่ รกั ใคร่ นา่ ชอบใจ เปน็ ไปเพอ่ื ประโยชนเ์ กอื้ กลู เพอื่ ความสขุ ขอ้ นน้ั เพราะเหตุอะไร เพราะเหตวุ า่ ทิฏฐิดงี าม. 68

“จิต” 69

พุทธวจน - หมวดธรรม เปดิ ธรรมท่ถี กู ปดิ : จติ มโน วญิ ญาณ 27 จติ เปลย่ี นแปลงได้เรว็ -บาลี เอก. อ.ํ ๒๐/๑๑/๔๙. ภิกษุทั้งหลาย  เราย่อมไม่เล็งเห็นธรรมอื่นแม้ อยา่ งหนงึ่ ทเี่ ปลย่ี นแปลงไดเ้ รว็ เหมอื นจติ   ภกิ ษทุ งั้ หลาย  จติ เปลยี่ นแปลงไดเ้ รว็  (ลหปุ รวิ ตตฺ ) 1 เทา่ ใดนนั้ แมจ้ ะอปุ มา ก็กระท�ำ ได้ไม่ใช่ง่าย. 1. ลหปุ รวิ ตตฺ  บาลคี ำ�น้ี มสี ำ�นวนแปลอยา่ งอน่ื อกี เชน่ กลบั กลอกเรว็ .  -ผรู้ วบรวม 70

พทุ ธวจน - หมวดธรรม เปิดธรรมทถ่ี ูกปิด : จิต มโน วญิ ญาณ จติ เป็นธรรมชาติกลบั กลอก 28 -บาลี มหา. ว.ิ ๔/๒๙๔/๒๑๖. ภกิ ษทุ ง้ั หลาย  อนง่ึ ภกิ ษใุ นศาสนานจี้ �ำ พรรษาแลว้ มีสตรีนิมนต์ว่า ขอท่านจงมาเถิดเจ้าข้า ดิฉันจะถวายเงิน ทอง นา สวน พ่อโค แม่โค ทาสชาย ทาสหญิง แก่ท่าน จะยกลกู สาวใหเ้ ปน็ ภรรยาของทา่ น ดฉิ นั จะยอมเปน็ ภรรยา ของท่าน หรือว่าจะนำ�หญิงอ่ืนมาให้เป็นภรรยาของท่าน  ในเรื่องนั้น ถ้าภิกษุคิดอย่างน้ีว่า พระผู้มีพระภาคตรัสว่า จิตเป็นธรรมชาติกลับกลอกเร็วนัก (ลหุปริวตฺต) สักหน่อย จะเป็นอันตรายแก่พรหมจรรย์ของเราก็ได้ พึงหลีกไปเสีย ไม่ตอ้ งอาบตั ิ แตข่ าดพรรษา. ภกิ ษทุ ง้ั หลาย  อนง่ึ ภกิ ษใุ นศาสนานจี้ �ำ พรรษาแลว้ มหี ญงิ แพศยานมิ นต์ ... มหี ญงิ สาวเทอื้  (สาวแก)่ นมิ นต์ … มีบัณเฑาะก์นิมนต์ … มีพวกญาตินิมนต์ ... มีพระราชา ท้ังหลายนิมนต์ ... มีพวกโจรนิมนต์ ... มีพวกนักเลง นมิ นตว์ า่ ขอทา่ นมาเถดิ ขอรบั พวกขา้ พเจา้ จะถวายเงนิ ทอง นา สวน พอ่ โค แมโ่ ค ทาสชาย ทาสหญงิ แกท่ า่ น จะยกลกู สาว ให้เป็นภรรยาของท่าน หรือจะนำ�หญิงอ่ืนมาให้เป็นภรรยา ของทา่ น ในเรือ่ งนนั้ ถา้ ภกิ ษคุ ดิ อย่างน้วี ่า พระผู้มพี ระภาค 71

พุทธวจน - หมวดธรรม ตรสั วา่ จติ เปน็ ธรรมชาตกิ ลบั กลอกเรว็ นกั สกั หนอ่ ยจะเปน็ อันตรายแก่พรหมจรรย์ของเราก็ได้ พึงหลีกไปเสีย ไม่ต้อง อาบตั ิ แตข่ าดพรรษา. ภกิ ษทุ ง้ั หลาย  อนงึ่ ภกิ ษใุ นศาสนานจ้ี �ำ พรรษาแลว้ พบทรัพย์ไม่มีเจ้าของ ในเร่ืองนั้น ถ้าภิกษุคิดอย่างนี้ว่า พระผู้มีพระภาคตรัสว่า จิตเป็นธรรมชาติกลับกลอกเร็วนัก สกั หนอ่ ยจะเปน็ อนั ตรายแกพ่ รหมจรรยข์ องเรากไ็ ด้ พงึ หลกี ไปเสีย ไมต่ ้องอาบตั ิ แตข่ าดพรรษา. 72

พทุ ธวจน - หมวดธรรม เปิดธรรมทีถ่ ูกปิด : จิต มโน วิญญาณ จิต อบรมได้ 29 -บาลี เอก. อ.ํ ๒๐/๕/๒๒. ภกิ ษทุ ง้ั หลาย เรายอ่ มไมเ่ ลง็ เหน็ ธรรมอน่ื แมอ้ ยา่ งหนง่ึ ทไ่ี มอ่ บรมแลว้ ยอ่ มไมค่ วรแกก่ ารงานเหมอื นจติ   ภกิ ษทุ ง้ั หลาย  จติ ที่ไมอ่ บรมแล้ว ย่อมไม่ควรแก่การงาน. ภกิ ษทุ ง้ั หลาย เรายอ่ มไมเ่ ลง็ เหน็ ธรรมอน่ื แมอ้ ยา่ งหนง่ึ ท่ีอบรมแล้ว ย่อมควรแก่การงานเหมือนจิต  ภิกษทุ ้ังหลาย  จติ ทอี่ บรมแลว้ ย่อมควรแก่การงาน. ภกิ ษทุ ง้ั หลาย เรายอ่ มไมเ่ ลง็ เหน็ ธรรมอน่ื แมอ้ ยา่ งหนง่ึ ที่ไม่อบรมแล้ว ย่อมเป็นไปเพื่อไม่ใช่ประโยชน์อย่างใหญ่ เหมือนจิต  ภกิ ษทุ ัง้ หลาย  จติ ทไี่ ม่อบรมแลว้ ย่อมเปน็ ไป เพ่อื ไมใ่ ช่ประโยชน์อย่างใหญ่. ภกิ ษทุ ง้ั หลาย เรายอ่ มไมเ่ ลง็ เหน็ ธรรมอน่ื แมอ้ ยา่ งหนง่ึ ทอี่ บรมแลว้ ยอ่ มเปน็ ไปเพอื่ ประโยชนอ์ ยา่ งใหญเ่ หมอื นจติ   ภิกษุท้ังหลาย  จิตท่ีอบรมแล้ว ย่อมเป็นไปเพื่อประโยชน์ อย่างใหญ่. ภกิ ษทุ ง้ั หลาย เรายอ่ มไมเ่ ลง็ เหน็ ธรรมอน่ื แมอ้ ยา่ งหนง่ึ ทไ่ี มอ่ บรมแลว้ ไมป่ รากฏแลว้ ยอ่ มเปน็ ไปเพอ่ื ไมใ่ ชป่ ระโยชน์ อย่างใหญ่เหมือนจิต  ภิกษุท้ังหลาย  จิตท่ีไม่อบรมแล้ว ไมป่ รากฏแลว้ ยอ่ มเปน็ ไปเพอื่ ไมใ่ ชป่ ระโยชนอ์ ยา่ งใหญ.่ 73

พทุ ธวจน - หมวดธรรม ภกิ ษทุ ง้ั หลาย เรายอ่ มไมเ่ ลง็ เหน็ ธรรมอน่ื แมอ้ ยา่ งหนง่ึ ทอ่ี บรมแลว้ ปรากฏแลว้ ยอ่ มเปน็ ไปเพอ่ื ประโยชนอ์ ยา่ งใหญ่ เหมือนจิต  ภิกษุทั้งหลาย  จิตที่อบรมแล้ว ปรากฏแล้ว ยอ่ มเป็นไปเพื่อประโยชนอ์ ยา่ งใหญ่. ภกิ ษทุ ง้ั หลาย เรายอ่ มไมเ่ ลง็ เหน็ ธรรมอน่ื แมอ้ ยา่ งหนง่ึ ท่ไี ม่อบรมแล้ว ไม่กระทำ�ให้มากแลว้ ยอ่ มเปน็ ไปเพื่อไม่ใช่ ประโยชน์อย่างใหญ่เหมือนจิต  ภิกษุท้ังหลาย  จิตท่ีไม่ อบรมแล้ว ไม่กระทำ�ให้มากแล้ว ย่อมเป็นไปเพื่อไม่ใช่ ประโยชน์อย่างใหญ.่ ภกิ ษทุ ง้ั หลาย เรายอ่ มไมเ่ ลง็ เหน็ ธรรมอน่ื แมอ้ ยา่ งหนง่ึ ท่ีอบรมแล้ว กระทำ�ให้มากแล้ว ย่อมเป็นไปเพ่ือประโยชน์ อย่างใหญ่เหมือนจิต  ภิกษุทั้งหลาย  จิตที่อบรมแล้ว กระทำ�ให้มากแล้ว ย่อมเป็นไปเพ่ือประโยชน์อย่างใหญ.่ ภกิ ษทุ ง้ั หลาย เรายอ่ มไมเ่ ลง็ เหน็ ธรรมอน่ื แมอ้ ยา่ งหนง่ึ ท่ีไม่อบรมแล้ว ไม่กระทำ�ให้มากแล้ว ย่อมนำ�ทุกข์มาให้ เหมือนจิต  ภิกษุท้ังหลาย  จิตท่ีไม่อบรมแล้ว ไม่กระทำ� ใหม้ ากแล้ว ย่อมน�ำ ทุกข์มาให้. ภกิ ษทุ ง้ั หลาย เรายอ่ มไมเ่ ลง็ เหน็ ธรรมอน่ื แมอ้ ยา่ งหนง่ึ ทอ่ี บรมแลว้ กระทำ�ใหม้ ากแลว้ ยอ่ มน�ำ สุขมาใหเ้ หมอื นจิต  ภกิ ษทุ ง้ั หลาย  จติ ทอี่ บรมแลว้ กระท�ำ ใหม้ ากแลว้ ยอ่ มน�ำ สขุ มาให้. 74

เปิดธรรมท่ถี กู ปิด : จติ มโน วิญญาณ ภิกษุทั้งหลาย  ต้นจันทน์ บัณฑิตกล่าวว่าเลิศกว่า รุกขชาติทุกชนิด เพราะเป็นของอ่อนและควรแก่การงาน ฉนั ใด  ภกิ ษทุ ง้ั หลาย เรายอ่ มไมเ่ ลง็ เหน็ ธรรมอน่ื แมอ้ ยา่ งหนง่ึ ทอ่ี บรมแลว้ กระท�ำ ใหม้ ากแลว้ ยอ่ มเปน็ ธรรมชาตอิ อ่ นและ ควรแก่การงานเหมือนจิต  ภิกษุท้ังหลาย  จิตที่อบรมแล้ว กระทำ�ให้มากแล้ว ย่อมเป็นธรรมชาติอ่อนและควรแก่ การงาน ฉนั นน้ั เหมือนกนั . 75

พทุ ธวจน - หมวดธรรม เปดิ ธรรมทถ่ี ูกปิด : จติ มโน วญิ ญาณ จิต ฝึกได้ 30 -บาลี เอก. อ.ํ ๒๐/๗/๓๒. ภกิ ษทุ ง้ั หลาย เรายอ่ มไมเ่ ลง็ เหน็ ธรรมอน่ื แมอ้ ยา่ งหนง่ึ ทไ่ี มฝ่ กึ แลว้ ยอ่ มเปน็ ไปเพอ่ื ไมใ่ ชป่ ระโยชนอ์ ยา่ งใหญเ่ หมอื นจติ   ภกิ ษทุ ง้ั หลาย จติ ทไ่ี มฝ่ กึ แลว้ ยอ่ มเปน็ ไปเพอ่ื ไมใ่ ชป่ ระโยชน์ อยา่ งใหญ่. ภกิ ษทุ ง้ั หลาย เรายอ่ มไมเ่ ลง็ เหน็ ธรรมอน่ื แมอ้ ยา่ งหนง่ึ ที่ฝึกแล้ว ย่อมเป็นไปเพื่อประโยชน์อย่างใหญ่เหมือนจิต  ภิกษุท้ังหลาย  จิตท่ีฝึกแล้ว ย่อมเป็นไปเพ่ือประโยชน์ อยา่ งใหญ.่ ภกิ ษทุ ง้ั หลาย เรายอ่ มไมเ่ ลง็ เหน็ ธรรมอน่ื แมอ้ ยา่ งหนง่ึ ทไี่ มค่ มุ้ ครองแลว้ ยอ่ มเปน็ ไปเพอ่ื ไมใ่ ชป่ ระโยชนอ์ ยา่ งใหญ่ เหมอื นจติ   ภกิ ษทุ ง้ั หลาย  จติ ทไ่ี มค่ มุ้ ครองแลว้ ยอ่ มเปน็ ไป เพอ่ื ไมใ่ ชป่ ระโยชนอ์ ยา่ งใหญ.่ ภกิ ษทุ ง้ั หลาย เรายอ่ มไมเ่ ลง็ เหน็ ธรรมอน่ื แมอ้ ยา่ งหนง่ึ ทค่ี มุ้ ครองแลว้ ยอ่ มเปน็ ไปเพอ่ื ประโยชนอ์ ยา่ งใหญเ่ หมอื นจติ   ภกิ ษทุ ง้ั หลาย จติ ทค่ี มุ้ ครองแลว้ ยอ่ มเปน็ ไปเพอ่ื ประโยชน์ อย่างใหญ.่ 76

เปดิ ธรรมทถี่ ูกปดิ : จิต มโน วญิ ญาณ ภกิ ษทุ ง้ั หลาย เรายอ่ มไมเ่ ลง็ เหน็ ธรรมอน่ื แมอ้ ยา่ งหนง่ึ ท่ีไม่รักษาแล้ว ย่อมเป็นไปเพื่อไม่ใช่ประโยชน์อย่างใหญ่ เหมือนจิต  ภิกษุทั้งหลาย  จิตที่ไม่รักษาแล้ว ย่อมเป็นไป เพื่อไม่ใช่ประโยชน์อย่างใหญ.่ ภกิ ษทุ ง้ั หลาย เรายอ่ มไมเ่ ลง็ เหน็ ธรรมอน่ื แมอ้ ยา่ งหนง่ึ ทร่ี กั ษาแลว้ ย่อมเป็นไปเพ่ือประโยชนอ์ ย่างใหญเ่ หมือนจิต  ภิกษุท้ังหลาย  จิตท่ีรักษาแล้ว ย่อมเป็นไปเพื่อประโยชน์ อยา่ งใหญ.่ ภกิ ษทุ ง้ั หลาย เรายอ่ มไมเ่ ลง็ เหน็ ธรรมอน่ื แมอ้ ยา่ งหนง่ึ ท่ีไม่สังวรแล้ว ย่อมเป็นไปเพ่ือไม่ใช่ประโยชน์อย่างใหญ่ เหมือนจิต  ภิกษุทั้งหลาย  จิตที่ไม่สังวรแล้ว ย่อมเป็นไป เพื่อไม่ใช่ประโยชนอ์ ย่างใหญ่. ภกิ ษทุ ง้ั หลาย เรายอ่ มไมเ่ ลง็ เหน็ ธรรมอน่ื แมอ้ ยา่ งหนง่ึ ที่สังวรแล้ว ย่อมเป็นไปเพ่ือประโยชน์อย่างใหญ่เหมือนจิต  ภิกษุทั้งหลาย จิตท่ีสังวรแล้ว ย่อมเป็นไปเพ่ือประโยชน์ อย่างใหญ.่ ภกิ ษทุ ง้ั หลาย เรายอ่ มไมเ่ ลง็ เหน็ ธรรมอน่ื แมอ้ ยา่ งหนง่ึ ท่ีไม่ฝึกแล้ว ไม่คุ้มครองแล้ว ไม่รักษาแล้ว ไม่สังวรแล้ว ย่อมเป็นไปเพื่อไม่ใช่ประโยชน์อย่างใหญ่เหมือนจิต  ภิกษุ ท้ังหลาย  จิตท่ีไม่ฝึกแล้ว ไม่คุ้มครองแล้ว ไม่รักษาแล้ว ไม่สงั วรแลว้ ย่อมเปน็ ไปเพอื่ ไมใ่ ชป่ ระโยชน์อย่างใหญ.่ 77

พทุ ธวจน - หมวดธรรม ภกิ ษทุ ง้ั หลาย เรายอ่ มไมเ่ ลง็ เหน็ ธรรมอน่ื แมอ้ ยา่ งหนง่ึ ท่ีฝึกแล้ว คุ้มครองแล้ว รักษาแล้ว สังวรแล้ว ย่อมเป็นไป เพอ่ื ประโยชนอ์ ยา่ งใหญเ่ หมอื นจติ   ภกิ ษทุ ง้ั หลาย จติ ทฝ่ี กึ แลว้ คมุ้ ครองแลว้ รกั ษาแลว้ สงั วรแลว้ ยอ่ มเปน็ ไปเพอ่ื ประโยชน์ อยา่ งใหญ่. ภิกษุทั้งหลาย  เปรียบเหมือนเดือยข้าวสาลีหรือ เดอื ยขา้ วเหนยี วทบี่ คุ คลตงั้ ไวผ้ ดิ มอื หรอื เทา้ ย�ำ่ เหยยี บแลว้ จะท�ำ ลายมอื หรอื เทา้ หรอื วา่ จะท�ำ ใหห้ อ้ เลอื ด ขอ้ นไ้ี มใ่ ชฐ่ านะ ทจ่ี ะมไี ด้ ขอ้ นนั้ เพราะเหตอุ ะไร เพราะเหตวุ า่ เดอื ยอนั บคุ คล ตั้งไวผ้ ิด  ภิกษุทัง้ หลาย  ฉันใดกฉ็ ันนน้ั ภกิ ษนุ ัน้ จะท�ำ ลาย อวิชชา จะยังวิชชาให้เกิด จะทำ�นิพพานให้แจ้ง ด้วยจิต ทต่ี ้งั ไวผ้ ิด ขอ้ นไ้ี มใ่ ชฐ่ านะทจ่ี ะมไี ด้ ขอ้ นน้ั เพราะเหตอุ ะไร เพราะเหตวุ า่ จิตตง้ั ไวผ้ ดิ . ภิกษุท้ังหลาย  เปรียบเหมือนเดือยข้าวสาลีหรือ เดือยข้าวเหนยี วทบ่ี ุคคลต้งั ไวถ้ ูก มอื หรือเท้าย่ำ�เหยยี บแลว้ จะท�ำ ลายมอื หรอื เทา้ หรอื วา่ จะท�ำ ใหห้ อ้ เลอื ด ขอ้ นเ้ี ปน็ ฐานะ ทม่ี ไี ด้ ข้อนั้นเพราะเหตุอะไร เพราะเหตุว่าเดือยอันบุคคล ต้ังไว้ถูก  ภิกษุท้ังหลาย  ฉันใดก็ฉันนั้น ภิกษุนั้นจะทำ�ลาย อวิชชา จะยังวิชชาให้เกิด จะทำ�นิพพานให้แจ้ง ด้วยจิต ที่ตั้งไว้ถูก ข้อน้ีเป็นฐานะท่ีมีได้ ข้อนั้นเพราะเหตุอะไร เพราะเหตวุ า่ จิตตงั้ ไวถ้ กู . 78

พทุ ธวจน - หมวดธรรม เปดิ ธรรมทถ่ี กู ปดิ : จิต มโน วญิ ญาณ จิตผ่องใส 31 -บาลี ตกิ . อ.ํ ๒๐/๑๐/๔๔. ภิกษุท้ังหลาย  เรากำ�หนดรู้ใจด้วยใจอย่างน้ีแล้ว ย่อมรู้ชัดบุคคลบางคนในโลกน้ี ผู้มีจิตอันโทษประทุษร้าย  (ปทฏุ ฺ จติ ตฺ )  วา่ ถา้ บคุ คลนท้ี �ำ กาละในตอนน้ี พงึ ตง้ั อยใู่ นนรก เหมอื นถกู น�ำ ตวั มาฝงั ไว้ ขอ้ นน้ั เพราะเหตอุ ะไร เพราะวา่ จติ ของเขาถกู โทษประทษุ รา้ ยแลว้   ภกิ ษทุ ง้ั หลาย  กเ็ พราะเหตุ ที่จิตถูกประทุษร้าย สัตว์บางพวกในโลกนี้ ภายหลังจาก การตาย เพราะกายแตกทำ�ลาย ย่อมเข้าถึงอบาย ทุคติ วนิ บิ าต นรก. ภิกษุทั้งหลาย  เรากำ�หนดรู้ใจด้วยใจอย่างน้ีแล้ว ยอ่ มรชู้ ดั บคุ คลบางคนในโลกนี้ ผมู้ จี ติ ผอ่ งใส (ปสนนฺ จติ ตฺ )  วา่ ถ้าบุคคลน้ีทำ�กาละในตอนน้ี พึงตั้งอยู่ในสวรรค์เหมือน ถูกนำ�ตัวไปเก็บไว้  ข้อน้ันเพราะเหตุอะไร  เพราะว่าจิต ของเขาผ่องใส  ภิกษุทั้งหลาย  ก็เพราะเหตุที่จิตผ่องใส สัตว์บางพวกในโลกนี้ ภายหลังจากการตาย เพราะกาย แตกทำ�ลาย ยอ่ มเข้าถงึ สุคติโลกสวรรค.์ ภกิ ษทุ ง้ั หลาย  เปรยี บเหมอื นหว้ งน�ำ้ ทข่ี นุ่ มวั เปน็ ตม บรุ ษุ ผมู้ จี กั ษยุ นื อยบู่ นฝง่ั ไมอ่ าจเหน็ หอยตา่ งๆ บา้ ง ไมอ่ าจ 79

พทุ ธวจน - หมวดธรรม เห็นก้อนกรวดและก้อนหินบ้าง ไม่อาจเห็นฝูงปลา ซ่ึงว่าย ไปมา หรอื หยดุ อยบู่ า้ ง ในหว้ งน�้ำ นน้ั ขอ้ นน้ั เพราะเหตอุ ะไร เพราะเหตวุ า่ น�ำ้ นน้ั ขนุ่   ภกิ ษทุ ง้ั หลาย ฉนั ใดกฉ็ นั นน้ั เหมอื นกนั ภกิ ษนุ น้ั จะรปู้ ระโยชนต์ น หรอื จะรปู้ ระโยชนผ์ อู้ น่ื หรอื จะรู้ ประโยชนท์ ง้ั สองฝา่ ย หรอื จะกระท�ำ ใหแ้ จง้ ซง่ึ คณุ วเิ ศษ คอื อตุ รมิ นสุ ธรรม อนั เปน็ ความรคู้ วามเหน็ อยา่ งประเสรฐิ อยา่ ง สามารถ ไดด้ ว้ ยจติ ทข่ี นุ่ มวั  (อาวเิ ลน จติ เฺ ตน) ดงั นนี้ นั้ นน่ั ไมใ่ ช่ ฐานะทจ่ี ะมไี ด ้ ขอ้ นน้ั เพราะเหตอุ ะไร  เพราะเหตวุ า่ จติ ขนุ่ มวั . ภิกษุทั้งหลาย  เปรียบเหมือนห้วงน้ำ�ใสสะอาด ไมข่ นุ่ มวั บรุ ษุ ผมู้ จี กั ษยุ นื อยบู่ นฝง่ั สามารถเหน็ หอยตา่ งๆ บา้ ง สามารถเหน็ กอ้ นกรวดและกอ้ นหนิ บา้ ง สามารถเหน็ ฝงู ปลา ซึ่งว่ายไปมา หรือหยุดอยู่บ้าง ในห้วงนำ้�น้ัน ข้อน้ันเพราะ เหตอุ ะไร เพราะเหตวุ า่ น�ำ้ ไมข่ นุ่   ภกิ ษทุ ง้ั หลาย ฉนั ใดกฉ็ นั นน้ั เหมือนกัน ภิกษุนั้นจะรู้ประโยชน์ตน หรือจะรู้ประโยชน์ ผอู้ น่ื หรอื จะรปู้ ระโยชนท์ ง้ั สองฝา่ ย หรอื จะกระท�ำ ใหแ้ จง้ ซงึ่ คณุ วเิ ศษ คอื อตุ รมิ นสุ ธรรม อนั เปน็ ความรคู้ วามเหน็ อยา่ งประเสรฐิ อยา่ งสามารถ ไดด้ ว้ ยจติ ทไ่ี มข่ นุ่ มวั  (อนาวเิ ลน จติ เฺ ตน) ดงั นนี้ นั้ นน่ั เปน็ ฐานะทจ่ี ะมไี ด ้ ขอ้ นน้ั เพราะเหตอุ ะไร เพราะเหตวุ า่ จิตไม่ขุ่นมัว. 80

พทุ ธวจน - หมวดธรรม เปิดธรรมทีถ่ ูกปิด : จติ มโน วญิ ญาณ จิตประภสั สร 32 -บาลี เอก. อ.ํ ๒๐/๑๑/๕๒. ภิกษุทั้งหลาย  จิตนี้ผุดผ่อง (ปภสฺสรมิท) แต่ว่าจิต น้ันแหละเศร้าหมองแล้ว ด้วยอุปกิเลสที่จรมา ปุถุชน ผู้ไม่ได้สดับแล้ว ย่อมจะไม่ทราบจิตนั้นตามความเป็นจริง ดังนั้น เราจึงกล่าวว่า ปุถุชนผู้ไม่ได้สดับแล้ว ย่อมไม่มี การอบรมจติ . ภิกษุทั้งหลาย  จิตนี้ผุดผ่อง และจิตน้ันแหละ พ้นไปแล้ว (วิปฺปมุตฺต) จากอุปกิเลสท่ีจรมา อริยสาวกผู้ได้ สดบั แล้ว ย่อมทราบจิตนนั้ ตามความเป็นจริง ดงั น้นั เราจึง กลา่ ววา่ อรยิ สาวกผู้ไดส้ ดับแล้ว ยอ่ มมีการอบรมจติ . 81

พุทธวจน - หมวดธรรม เปดิ ธรรมทีถ่ ูกปดิ : จิต มโน วิญญาณ จิตผอ่ งแผว้ 33 -บาลี ส.ี ท.ี ๙/๑๑๐/๑๓๘. … ภิกษุนั้น เม่ือจิตเป็นสมาธิ บริสุทธ์ิ ผ่องแผ้ว  (ปรโิ ยทาเต)1 ไมม่ กี เิ ลส ปราศจากอปุ กเิ ลส ออ่ น ควรแกก่ ารงาน ตั้งมัน่ ถงึ ความไมห่ วนั่ ไหวอยา่ งนี้ ย่อมโน้มน้อมจิตไปเพอ่ื อาสวักขยญาณ เธอย่อมรู้ชัดตามความเป็นจริงว่า นี้ทุกข์ นที้ ุกขสมุทัย นท้ี ุกขนิโรธ นท้ี กุ ขนโิ รธคามนิ ีปฏิปทา เหลา่ น้ี อาสวะ นอ้ี าสวสมทุ ยั นอ้ี าสวนโิ รธ นอ้ี าสวนโิ รธคามนิ ปี ฏปิ ทา เมอ่ื เธอรอู้ ยอู่ ยา่ งน้ี เหน็ อยอู่ ยา่ งน้ี จติ ยอ่ มหลดุ พน้ จากกามาสวะ หลุดพ้นจากภวาสวะ  หลุดพ้นจากอวิชชาสวะ  เม่ือจิต หลดุ พน้ แลว้ กม็ ญี าณหยง่ั รวู้ า่ หลดุ พน้ แลว้ เธอยอ่ มรชู้ ดั วา่ ชาตสิ นิ้ แลว้ พรหมจรรยอ์ ยจู่ บแลว้ กจิ ทคี่ วรท�ำ ไดท้ �ำ เสรจ็ แลว้ กจิ อืน่ ท่จี ะต้องท�ำ เพื่อความเปน็ อยา่ งน้ไี ม่ได้มีอีก. มหาราช  เปรยี บเหมอื นสระน�้ำ บนยอดเขาใสสะอาด ไม่ขุ่นมัว บุรุษผู้มีจักษุยืนอยู่บนขอบสระนั้น สามารถเห็น หอยต่างๆ บ้าง สามารถเห็นก้อนกรวดและก้อนหินบ้าง สามารถเหน็ ฝงู ปลาซง่ึ วา่ ยไปมา หรอื หยดุ อยบู่ า้ ง ในสระน�ำ้ นน้ั   บุรุษน้ันมีความคิดอย่างนี้ว่า สระน้ำ�น้ีใสสะอาด ไม่ขุ่นมัว 1. บาลคี ำ�น้ี มแี ปลสำ�นวนอน่ื อกี เชน่ ผดุ ผอ่ ง, ผดุ ผอ่ งแผว้ เปน็ ตน้ นอกจากนย้ี งั พบ การใชค้ ำ�นใ้ี นบรบิ ททก่ี ลา่ วถงึ ผวิ พรรณวา่ ผวิ พรรณผดุ ผอ่ ง (ฉววิ ณโฺ ณ ปรโิ ยทาโต).  -ผรู้ วบรวม 82