( พชื ไรเ่ ศรษฐกจิ | 85 สถานการณก์ ารผลติ และการตลาดของมันสาปะหลัง 1. สถานการณก์ ารผลติ มนั สาปะหลังของโลก จากการวิเคราะห์พ้ืนท่ีเก็บเกี่ยวมันสาปะหลังของโลก ในช่วงปี 2555-2559 พบว่าพื้นที่เก็บ เกยี่ วคงท่ี โดยพืน้ ทป่ี ลกู มนั สาปะหลังส่วนใหญ่อยู่ในทวีปแอฟริกา ร้อยละ 54.44 รองลงมาคือ เอเชีย ร้อยละ 34.52 ละตินอเมรกิ า รอ้ ยละ 10.94 และโอเชียเนีย ร้อยละ 0.10 ตามลาดับ โดยประเทศที่มี พ้ืนที่เก็บเก่ียวมันสาปะหลัง 10 อันดับแรกของโลก ได้แก่ ไนจีเรีย คองโก บราซิล ไทย แทนซาเนีย โมซัมบิก กาน่า ยูกันดา แองโกล่า และอินโดนีเซีย ตามลาดับ (ภาพที่ 4-7) โดยประเทศไนจีเรีย มี พื้นท่ีเก็บเกี่ยวสูงสุด 40 ล้านไร่ มี รองลงมา คือ คองโก (11 ล้านไร่) สาหรับประเทศไทยมีพ้ืนเก็บ เก่ียวอยอู่ ันดบั ท่ี 4 โดยมีพน้ื ทีเ่ กบ็ เกีย่ ว 9 ล้านไร่ (FAO, 2017) อยา่ งไรกต็ าม ในปี 2559 พบว่าพ้ืนท่เี ก็บเกยี่ วของมนั สาปะหลงั ลดลงเพียงเลก็ น้อยเพียงร้อย ละ 1.14 จากปี 2558 โดยประเทศผู้ผลิตที่สาคัญมีการลดพ้ืนที่ปลูกลง เนื่องจากราคามนั สาปะหลัง ตกต่าในช่วงต้นฤดูกาล เกษตรกรจึงปรับเปลี่ยนไปปลูกพชื อ่ืนทใ่ี ห้ผลตอบแทนทด่ี กี ว่า 45.0 40.0 Nigeria Congo 35.0 Brazil 30.0 Thailand 25.0 Tanzania 20.0 Mozambique 15.0 Ghana Uganda 10.0 Angola 5.0 Indonesia 0.0 2555 2556 2557 2558 2559 ภาพท่ี 4-7 พ้นื ท่เี กบ็ เก่ียวมนั สาปะหลงั ใน 10 ประเทศผู้ผลิตสาคญั ต้ังแต่ปี 2555 ถึง 2559 ท่ีมา: FAO (2017)
86 | ดรุณี พวงบตุ ร จากการวิเคราะห์สถานการณ์การผลผลิตมันสาปะหลังของโลก ในช่วงปี 2555-2559 พบว่า ผลผลิตมีปริมาณเพ่ิมขึ้นเล็กน้อย โดยในปี 2559 โลกมีผลผลิตมันสาปะหลัง 288.43 ล้านตัน เมื่อ เทียบกับปี 2558 ท่ีมีผลผลิต 281.05 ล้านตัน พบว่าผลผลิตเพิ่มขึ้นร้อยละ 2.62 (ภาพท่ี 4-8) เนอ่ื งจากสภาพอากาศท่เี ออ้ื อานวยทาใหต้ ้นมันสาปะหลังเจริญเตบิ โตได้ดี และเพ่ือตอบสนองต่อความ ต้องการใช้มันสาปะหลังท่ีขยายตัวอย่างต่อเน่ือง โดยทวีปเอเชียและแอฟริกา ผลผลิต เพ่ิมข้ึนร้อยละ 4.31 และร้อยละ 2.35 ตามลาดับ สาหรับทวีปโอเชียเนีย ผลผลิตใกล้เคียงเดิม ส่วนทวีปละติน อเมริกา ผลผลิตลดลงร้อยละ 1.06 เน่ืองจากบราซิลซ่ึงเป็นผู้ผลิตรายใหญ่ลดการผลิตลงเล็กน้อย เน่อื งจากราคามันสาปะหลังตกตา่ ในช่วงตน้ ฤดกู าลผลิต ทั้งนี้ผู้ผลิตรายใหญ่ 5 อันดับแรก คือ ไนจีเรีย ไทย อินโดนเี ซีย บราซลิ และกานา ตามลาดับ ภาพที่ 4-8 ผลผลิตมันสาปะหลังของประเทศ 10 อันดับแรกของโลกในปีการผลติ 2555-2559 ท่ีมา: FAO (2017) การวเิ คราะห์ในสว่ นของผลผลติ ต่อพน้ื ในปี 2555-59 พบวา่ ประเทศที่มผี ลผลติ ต่อพ้นื สูงสุด คือ ประเทศไทย รองลงมา คือประเทศอนิ โดนเี ซีย กานา และบราซิล โดยมีผลผลติ เฉล่ีย 3,506, 3,424, 2,679 และ 2,177 กิโลกรมั ตอ่ ไร่ ตามลาดับ (ภาพที่ 4-9)
พชื ไรเ่ ศรษฐกจิ | 87 (/ 4500.0 Nigeria 4000.0 Congo 3500.0 Brazil 3000.0 Thailand 2500.0 Tanzania 2000.0 Mozambique 1500.0 Ghana 1000.0 Uganda 500.0 Angola Indonesia 0.0 2555 2556 2557 2558 2559 ภาพท่ี 4-9 ผลผลติ ตอ่ พน้ื ที่มันสาปะหลงั ของประเทศ 10 อันดับแรกของโลกในปีการผลติ 2555- 2559 ท่ีมา: FAO (2017) 2. สถานการณก์ ารตลาดมันสาปะหลงั ของโลก ปี 2555-58 ปรมิ าณการสง่ ออกของผลติ ภณั ฑ์มนั สาปะหลงั ของโลก (มันเสน้ มนั อดั เมด็ และ แปงู มันสาปะหลัง) ขยายตวั เพมิ่ ขึ้นร้อยละ 7.25 ต่อปี เน่ืองจากตลาดโลกมีความต้องการใช้ผลิตภัณฑ์ มันสาปะหลัง โดยเฉพาะความต้องการใช้มันเส้นและแปูงมันสาปะหลังของจีนที่เพ่ิมขึ้นอย่างต่อเน่ือง สาเหตจุ ากผลิตภณั ฑม์ ันสาปะหลงั สามารถใช้ในอตุ สาหกรรมต่อเนื่องได้หลากหลาย ประกอบกับราคา ผลิตภัณฑ์มันสาปะหลังมีแนวโน้มเพิ่มสูงขึ้น แต่ในปี 2559 มีปริมาณการส่งออกลดลง เน่ืองเนื่องจาก ราคาส่งออกผลิตภัณฑ์มันสาปะหลังมีแนวโน้มลดลง ประกอบกับปี 2559 เวียดนามลดการส่งออก ผลิตภัณฑ์มันสาปะหลังลดลง อย่างไรก็ตามตลาดโลกยังคงมีความต้องการใช้ผลิตภัณฑ์มันสาปะหลัง อย่างตอ่ เนอ่ื ง เนอ่ื งจากผลติ ภัณฑม์ นั สาปะหลงั สามารถใชใ้ นอุตสาหกรรมต่อเน่ืองไดห้ ลากหลาย ในปี 2559 ประเทศที่มกี ารสง่ ออกผลิตภณั ฑม์ ันสาปะหลังมากท่สี ุด คือ ประเทศไทย 12.1 ล้าน ตัน รองลงมา คือ เวียดนาม กัมพูชา และอินโดนีเซีย (ภาพท่ี 4-10) โดยมีมูลค่าการส่งออกมัน สาปะหลังและผลิตภัณฑ์ 3,008.48 ล้านดอลลาร์สหรัฐ เม่ือเทียบกับปี 2558 ที่มีมูลค่าการส่งออก 4,265.65 ล้านดอลลาร์สหรัฐ พบว่า มูลค่าการส่งออกลดลงร้อยละ 29.47 ท้ังนี้ประเทศผู้ส่งออกที่ สาคัญคือ ไทย มีส่วนแบ่งการตลาดร้อยละ 74 รองลงมาคือ เวียดนาม ร้อยละ 18 และคอสตาริกา รอ้ ยละ 3 ตามลาดบั ในปี 2559 ความต้องการใช้มันสาปะหลงั เพิม่ ขนึ้ จากปี 2558 โดยเฉพาะความต้องการใช้เพ่ือ แปรรูปเป็นอาหาร ซึ่งส่วนใหญ่จะอยู่ในทวีปแอฟริกา ลาตินอเมริกา โดยเฉพาะประเทศบราซิล ได้มี
88 | ดรณุ ี พวงบตุ ร มาตรการให้ผสมแปูงมันสาปะหลังในแปูงสาลี สาหรับทวีปเอเชีย โดยเฉพาะประเทศอินเดีย อินโดนีเซีย และฟิลิปปินส์ มีการบริโภคมันสาปะหลังอย่างแพร่หลาย สาหรับความต้องการใช้มัน สาปะหลังเพ่ือเป็นวัตถุดิบในการผลิตเอทานอลลดลง โดยเฉพาะในเอเชียตะวันออกและเอเชีย ตะวนั ออกเฉียงใต้ เน่ืองจากราคาน้ามันเบนซินที่ลดลง ทาใหน้ ้ามันเบนซินท่ีผสมเอทานอลไม่ได้เปรียบ ในการแข่งขัน นอกจากน้ียังมีการแข่งขันของวัตถุดิบในการผลิตเอทานอลที่รุนแรง เช่น ประเทศจีน ราคาข้าวโพดเลี้ยงสตั วท์ ี่ลดลงสง่ ผลให้ความต้องการใชส้ าปะหลังเพ่ือเป็นวัตถุดิบในการผลิตเอทานอล ลดลง สาหรับประเทศเวียดนามราคามันสาปะหลังท่ีสูงขึ้นส่งผลให้โรงงานผลิตเอทานอลจากมัน สาปะหลังปิดตัวลง ถึงแม้ว่ารัฐบาลจะมีข้อบังคับให้ผสมเอทานอลร้อยละ 5 ในน้ามันเบนซินก็ตาม สาหรับประเทศไทยการใช้มันสาปะหลังเป็นวัตถุดิบในการผลิตเอทานอลใกล้เคียงเดิม สาหรับความ ต้องการใช้มันสาปะหลังเพื่อเป็นวัตถุดิบอาหารสัตว์มีแนวโน้มลดลง โดยเฉพาะในประเทศบราซิลท่ี ความต้องการใช้ลดลงเน่ืองจากมีการแข่งขันกับวัตถุดิบอาหารสัตว์อ่ืน ๆ เช่น ข้าวโพดเลี้ยงสัตว์ สาหรับประเทศไทย ผผู้ ลติ อาหารสตั วย์ ังคงมคี วามตอ้ งการใชม้ นั สาปะหลังเพื่อเปน็ วตั ถุดิบอาหารสตั ว์ 12.0 ) 10.0 9.79 10.19 9.63 2.55 2.27 8.0 6.91 8.25 Thailand 2.07 2.09 Viet Nam 6.0 Cambodia Indonesia 4.0 3.03 2.0 0.0 2555 2556 2557 2558 2559 ภาพท่ี 4-10 ปรมิ าณการส่งออกผลติ ภัณฑ์มันสาปะหลังของประเทศผสู้ ่งออกสาคัญ 4 ประเทศ ในปี การผลิต 2555-2559 ทีม่ า: FAO (2017)
พืชไรเ่ ศรษฐกิจ| 89 3. สถานการณก์ ารผลิตมนั สาปะหลังของไทย ในปี 2552-2560 ที่เก็บเกี่ยว และผลผลิต ขยายตัวเพมิ่ ขน้ึ ร้อยละ 1.31 รอ้ ยละ 0.84 ตอ่ ปี ตามลาดับ เนื่องจากราคามันสาปะหลังอยู่ในเกณฑ์ดี (ยกเว้นปี 2559-2560 ท่ีราคามันสาปะหลัง ปรับตัวลดลงสาเหตุจากราคาส่งออกผลิตภัณฑ์มันสาปะหลังปรับตัวลดลง) ประกอบกับภาครัฐได้ ดาเนินมาตรการและโครงการต่าง ๆ เพื่อช่วยเหลือเกษตรกรผู้ปลูกมันสาปะหลังอย่างต่อเน่ือง ทาให้ เกษตรกรขยายพ้ืนท่ีปลูก รวมถึงเกษตรกรมีการดูแลรักษาดีขึ้น ส่งผลให้ผลผลิตขยายตัวเพิ่มขึ้น ส่วน ผลผลิตต่อไร่ลดลงร้อยละ 0.47 ต่อปี เน่ืองจากในปี 2559 - 2560 เกิดภาวะภัยแล้งส่งผลให้ผลผลิต ต่อไร่ลดลง ในปี 2560 มีเนือ้ ทเ่ี ก็บเกี่ยว 8.91 ลา้ นไร่ ผลผลิต 30.94 ล้านตัน และผลผลิตต่อไร่ 3.47 ตัน เทยี บกบั ปี 2559 ท่มี เี นอ้ื ทเี่ กบ็ เก่ียว 9.07 ล้านไร่ ผลผลิต 31.16 ล้านตัน และผลผลิตต่อไร่ 3.44 ตัน พบว่า เนื้อที่เก็บเกี่ยว และผลผลิต ลดลงร้อยละ 1.71 และร้อยละ 0.72 ตามลาดับ (ภาพที่ 4-11) เน่ืองจากราคามันสาปะหลังปรับตัวลดลง ส่งผลให้เกษตรกรปรับเปลี่ยนไปปลูกพืชชนิดอ่ืนท่ีให้ ผลตอบแทนที่ดีกว่า เช่น อ้อยโรงงาน ข้าวโพดเลี้ยงสัตว์ สับปะรดบริโภคสด กล้วยหอมทอง และ หญ้าเนเปียร์ เป็นต้น สาหรับผลผลิตต่อไร่เพ่ิมขึ้นเล็กน้อย ร้อยละ 1.02 เน่ืองจากสภาพภูมิอากาศ เอือ้ อานวยตอ่ การเจริญเติบโตของต้นมนั สาปะหลงั พ้ืนท่ีปลูกมันสาปะหลังที่สาคัญในประเทศไทย อยู่ในจังหวัด นครราชสีมา กาแพงเพชร ชยั ภูมิ กาญจนบรุ ี และอบุ ลราชธานี (สานักงานเศรษฐกจิ การเกษตร, 2560c) ภาพท่ี 4-11 พนื้ ท่ีปลูก ผลผลิต ผลผลติ ต่อไร่ ของไทย ในปี 2552-61 ที่มา: สานกั งานเศรษฐกจิ การเกษตร (2560a)
90 | ดรุณี พวงบุตร 4. สถานการณก์ ารตลาดมันสาปะหลงั ของไทย 4.1 ความตอ้ งการใช้ ผลผลิตมันสาปะหลังเข้าสู่กระบวนการแปรรูปทั้งหมด โดยแปรรูปเป็นมันเส้น มันอัดเม็ดแปูง มันสาปะหลัง และเอทานอล เพ่ือใช้เป็นวัตถุดิบในอุตสาหกรรมต่อเน่ือง เช่น อาหาร อาหารสัตว์ สาร ความหวานผงชูรส กระดาษ สิ่งทอ เป็นต้น โดยความต้องการใช้ภายในประเทศ ในแต่ละปีประมาณ รอ้ ยละ 20 - 25 ท่เี หลือรอ้ ยละ 75-80 เป็นการส่งออก ปี 2560 คาดว่าความต้องการใช้มันสาปะหลังในประเทศจะเพิ่มข้ึนจากปี 2559 โดยเฉพาะ ความต้องการใช้เพ่ือผลิตเอทานอลท่ีมีแนวโน้มเพ่ิมสูงขึ้นมาก ซึ่งปัจจุบันมีโรงงานที่ใช้เฉพาะมัน สาปะหลังเป็นวัตถุดิบในการผลิตเอทานอล 9 โรงงาน สาหรับความต้องการใช้เพ่ือผลิตแปูงมัน สาปะหลังเพิ่มข้ึนเล็กน้อย ซึ่งแปูงมันสาปะหลังใช้เป็นวัตถุดิบในอุตสาหกรรมต่อเน่ืองได้หลากหลาย ปัจจุบันมีโรงงานแปูงมันสาปะหลัง 117 โรงงานสาหรับความต้องการใช้เพ่ือผลิตมันเส้นเพ่ิมขึ้น เล็กนอ้ ย เนอ่ื งจากผปู้ ระกอบการอาหารสัตว์มีการนาเข้าข้าวสาลีมาใช้ในอุตสาหกรรมอาหารสัตว์เพ่ิม มากขึน้ ปัจจุบันลานมนั เส้นมีจานวนมากและกระจายอยู่ในแหลง่ เพาะปลูกมันสาปะหลัง 4.2 การสง่ ออก ในปี 2554-2558 ปริมาณการส่งออกมันสาปะหลังเพ่ิมข้ึนอย่างต่อเน่ือง เน่ืองจากมีความ ต้องการใช้เพิ่มขึ้น โดยเฉพาะการใช้เป็นวัตถุดิบในการผลิตเอทานอล (ภาพท่ี 4-12) ในปี 2556 - 2560 ปริมาณการส่งออกผลิตภัณฑ์มันสาปะหลัง ได้แก่ มันเส้น มันอัดเม็ด และแปูงมันสาปะหลัง ขยายตัวเพิ่มขึ้นร้อยละ 2.93 ต่อปี โดยการส่งออกมันเส้นและแปูงมันสาปะหลังมีแนวโน้มเพ่ิมสูงข้ึน สว่ นการส่งออกมันอัดเม็ดมีแนวโน้มลดลงมาก เนื่องจากในอดีตไทยส่งออกมันอัดเม็ดไปสหภาพยุโรป เป็นหลกั แต่ปจั จุบันราคามันอดั เม็ดของไทยไม่สามารถแข่งขันกับธัญพืชของสหภาพยุโรปได้ ส่งผลให้ การสง่ ออกมนั อัดเมด็ ไปสหภาพยุโรปลดลง ผปู้ ระกอบการไทยจึงหนั ไปหาตลาดใหม่ทดแทน เช่น ตุรกี และญี่ปุน เป็นต้น แต่ปริมาณการส่งออกมีไม่มาก สาหรับมูลค่าการส่งออกผลิตภัณฑ์มันสาปะหลัง ลดลงร้อยละ 1.43 ต่อปี เน่ืองจากราคา ส่งออกผลิตภัณฑ์มันสาปะหลังมีแนวโน้มลดลง โดยเฉพาะปี 2559 - 2560 ราคาสง่ ออกผลิตภัณฑ์มนั สาปะหลงั ปรบั ตัวลดลงมาก เน่ืองจากจีนซ่ึงเป็นประเทศคู่ค้า หลัก ลดการนาเข้ามันเส้นจากไทย สาเหตุจากรัฐบาลจีนระบายสต็อกข้าวโพดเลี้ยงสัตว์ท่ีมีราคาต่า ผู้ประกอบการแอลกอฮอล์จึงหันไปใช้ข้าวโพดเล้ียงสัตว์เป็นวัตถุดิบในการผลิตทดแทนมันเส้นมากข้ึน รวมถึงผู้ประกอบการจีนพยายามกดดันด้านราคา เพ่ือให้ได้ราคามันเส้นและแปูงมันสาปะหลังท่ีต่า ที่สุด ประกอบกับประเทศคู่แข่งท่ีสาคัญคือ เวียดนาม ขายผลิตภัณฑ์มันสาปะหลังในราคาท่ีต่ากว่า ไทย ในปี 2560 คาดว่ามีปริมาณการส่งออกผลิตภัณฑ์มันสาปะหลัง 10.81 ล้านตัน มูลค่า 93,035 ล้านบาท เม่ือเทียบกับปี 2559 ท่ีมีปริมาณการส่งออก 10.63 ล้านตัน มูลค่า 100,454 ล้าน
พืชไร่เศรษฐกิจ| 91 บาท พบวา่ ปรมิ าณและมูลค่าการส่งออกลดลงร้อยละ 0.27 และร้อยละ 7.39 ตามลาดับ ซ่ึงปริมาณ การสง่ ออกใกล้เคยี งเดมิ แต่มลู ค่าการส่งออกลดลง เนื่องจากประเทศคู่ค้าหลัก คือ จีน พยายามชะลอ การนาเข้าผลิตภัณฑ์มันสาปะหลังจากไทยเพื่อกดดันด้านราคาเพื่อให้ได้ราคามันเส้นและแปูง มัน สาปะหลงั ท่ีตา่ ที่สดุ ประกอบกับประเทศคูแ่ ข่งทสี่ าคญั คอื เวยี ดนาม ขายผลติ ภณั ฑ์มันสาปะหลัง (มัน เส้น และแปูงมันสาปะหลัง) ในราคาที่ตากว่าไทย ปัจจุบันจีนเป็นประเทศผู้นาเข้าผลิตภัณฑ์มัน สาปะหลังรายใหญ่ที่สุดของไทย เน่ืองจากมีความต้องการใช้มันเส้นเพ่ือนาไปผลิตแอลกอฮอล์ และ แปงู มันสาปะหลังเพ่อื ใช้ในอุตสาหกรรมกระดาษและสง่ิ ทอ ภาพที่ 4-12 ปรมิ าณการสง่ ออกผลติ ภณั ฑ์มันสาปะหลังของไทยปีการผลติ 2552-2560 ทมี่ า: สมาคมการค้ามนั สาปะหลงั ไทย (2560b) ตลาดหลักทส่ี าคญั ของผลติ ภณั ฑม์ นั สาปะหลงั ส่วนใหญ่อยูใ่ นทวปี เอเชีย มนั เส้น ได้แก่ จนี มนั อัดเม็ด ไดแ้ ก่ ตรุ กี และญ่ปี นุ แปงู มนั สาปะหลังดิบ ได้แก่ จนี อนิ โดนีเซยี ไต้หวัน และมาเลเซีย แปงู มนั สาปะหลงั ดดั แปร ได้แก่ ญ่ีปนุ จีน อินโดนเี ซีย และเกาหลีใต้ 4.3 การนาเขา้ ในปี 2556 - 2560 การนาเข้ามันสาปะหลังและผลิตภัณฑ์ ได้แก่ มันสาปะหลังสด มันเส้น/ มันฝาน และแปง้ มันสาปะหลัง มีปริมาณและมูลค่าการนาเข้าขยายตัวเพิ่มข้ึนร้อยละ 61.88 และร้อย ละ 54.79 ต่อปี ตามลาดับ โดยปรมิ าณการนาเข้าแป้งมันสาปะหลงั ใกล้เคียงกันทุกปี แต่การนาเข้ามัน สาปะหลังสด และมันเส้น/มันฝานมีแนวโน้มเพิ่มขึ้นทุกปี เน่ืองจากผลผลิตมันสาปะหลัง ภายในประเทศไม่เพียงพอสาหรบั แปรรูปเพือ่ สง่ ออก ส่งผลให้ผู้ประกอบการมันเส้นไทย ต้องนาเข้ามัน
92 | ดรุณี พวงบุตร เส้น/มนั ฝานจากประเทศเพือ่ นบ้าน โดยเฉพาะกัมพูชาและลาว เน่ืองจากมันเส้นมีราคาต่าแลคุณภาพ ดกี วา่ มันเส้นไทย เพ่ือนามารวบรวม/ปรับปรุงคุณภาพเพ่ือส่งออกไปจีน สาหรับมันสาปะหลังสด ส่วน ใหญจ่ ะนาเขา้ โดยผู้ประกอบการโรงงานแป้งมันสาปะหลงั เพอ่ื นามาแปรรปู เปน็ แปง้ มันสาปะหลัง ในปี 2560 คาดวา่ มีปริมาณการนาเข้า 2.797 ล้านตัน มูลค่า 12,990 ล้านบาท เมื่อเทียบกับ ปี 2559 ท่ีมปี ริมาณการนาเข้า 2.547 ล้านตัน มูลค่า 11,930 ล้านบาท พบว่า ปริมาณและมูลค่าการ นาเข้าเพ่ิมขึ้นร้อยละ 9.81 และร้อยละ 8.89 ตามลาดับ เน่ืองจากมันสาปะหลังสดภายในประเทศไม่ เพียงพอต่อความต้องการใช้ของผู้ประกอบการโรงงานแป้งมันสาปะหลัง ประกอบกับประเทศจีน มี ความตอ้ งการมนั เส้นเป็นจานวนมาก ซ่งึ มันเส้นของไทยไมเ่ พียงพอต่อการส่งออก ส่งผลให้ผู้ส่งออกมัน เส้นของไทย นาเข้ามนั เส้นจากประเทศเพือ่ นบ้าน โดยเฉพาะกมั พชู า และลาว เน่ืองจากมันเส้นมีราคา ตา่ และคณุ ภาพดกี ว่ามนั เส้นไทยเพ่ือนามารวบรวม/ปรับปรงุ คณุ ภาพ เพือ่ ส่งออกไปประเทศจนี 4.4 ราคาทเี่ กษตรกรขายได้ ปี 2556-2560 ราคามันสาปะหลังท่ีเกษตรกรขายได้ ราคาส่งออกมันเส้น ราคาส่งออกมัน อัดเมด็ และราคาส่งออกแป้งมันสาปะหลัง ลดลงร้อยละ 9.41 ร้อยละ 5.29 ร้อยละ 3.72 และร้อยละ 5.84ต่อปี ตามลาดับ เน่ืองจากในปี 2554-2558 ประเทศคู่ค้ามีความต้องการใช้ผลิตภัณฑ์มัน สาปะหลังของไทยเพ่ิมข้ึนอย่างต่อเนื่อง ส่งผลให้ราคามันสาปะหลังท่ีเกษตรกรขายได้ และราคา ส่งออกผลิตภัณฑ์มันสาปะหลังอยู่ ในเกณฑ์ดี แต่ในปี 2559-2560 ประเทศคู่ค้าหลัก คือ จีน ลดการ นาเข้ามันเส้นจากไทยและพยายามกดดันด้านราคาเพื่อให้ได้ราคามันเส้นและแป้งมันสาปะหลังที่ต่า ท่ีสุด ส่งผลให้ราคาท่ีเกษตรกรขายได้ และราคาส่งออกผลิตภัณฑ์มันสาปะหลังลดต่าลงมาก นอกจากน้ีราคามันสาปะหลังและผลิตภัณฑ์ยังข้ึนอยู่กับราคาพืชทดแทน เช่น ข้าวสาลี และข้าวโพด เล้ยี งสตั ว์ เปน็ ต้น ปี 2560 คาดว่าราคามันสาปะหลังที่เกษตรกรขายได้เฉลี่ยกิโลกรัมละ 1.50 บาท ราคา ส่งออกมันเส้นเฉล่ียกิโลกรัมละ 5.70 บาท ราคาส่งออกมันอัดเม็ดเฉลี่ยกิโลกรัมละ 6.20 บาท และ ราคาส่งออกแป้งมันสาปะหลังเฉล่ียกิโลกรัมละ 11.12 บาท (ภาพที่ 4-13) เม่ือเทียบกับปี 2559 พบว่า ราคาที่เกษตรกรขายได้ ราคาส่งออกมันเส้น มันอัดเม็ด และแป้งมันสาปะหลัง ลดลงร้อยละ 5.66 ร้อยละ 6.86 ร้อยละ 18.85 และร้อยละ 9.74 ตามลาดับ เน่ืองจากประเทศคู่ค้าหลัก คือ จีน พยายามกดดันด้านราคาเพ่ือให้ได้ราคามันเส้น และแป้งมันสาปะหลังท่ีต่าที่สุด ประกอบกับประเทศ คู่แขง่ ท่ีสาคญั คอื เวยี ดนาม ขายผลิตภัณฑ์มันสาปะหลัง ในราคาที่ต่ากว่าไทย จึงส่งผลให้ราคาส่งออก ผลิตภัณฑ์มันสาปะหลังของไทยลดต่าลงมาก และส่งผลกระทบต่อเน่ืองทาให้ราคามันสาปะหลังที่ เกษตรกรขายไดล้ ดต่าลงมากเชน่ เดียวกนั
พชื ไร่เศรษฐกจิ | 93 ภาพที่ 4-13 ราคาที่เกษตรกรขายมนั สาปะหลงั ในรปู หัวสด มนั เส้น และแปูงมนั ในปี 2550-2559 ทีม่ า: สานกั งานเศรษฐกิจการเกษตร (2560b) อย่างไรก็ตามในปี 2561 พบว่าราคามันสาปะหลังที่เกษตรกรขายได้ ราคาส่งออกมันเส้น ราคาส่งออกมันอัดเม็ด และราคาส่งออกแปูงมันสาปะหลัง เพิ่มข้ึนจากปี 2560 เนื่องจากผลผลิตมัน สาปะหลังของไทยและประเทศเพ่ือนบ้านลดลงจากปีท่ีผ่านมา แต่ประเทศคู่ค้ามีความต้องการใช้มัน สาปะหลังอย่างต่อเน่ือง อย่างไรก็ตามหากประเทศจีนซึ่งเป็นประเทศคู่ค้าหลักของไทย ลดการนาเข้า มันเส้นจากไทย หรือราคาพืชทดแทน เช่น ข้าวโพดเลี้ยงสัตว์ และข้าวสาลี ปรับตัวลดลง จะส่งผลทา ใหร้ าคามนั สาปะหลังและผลติ ภัณฑข์ องไทยปรบั ตวั ลดลงได้ การใชป้ ระโยชน์จากมันสาปะหลัง 1. ใชเ้ ป็นอาหารมนุษยโ์ ดยตรง เชน่ นึ่ง ย่าง อบ เชือ่ ม และห่นั ฝอยคลกุ นา้ มนั หรอื เคร่ืองเทศ แลว้ ทอด หรือนามาทาเป็นแปูงและแปรรูปเปน็ อาหารชนิดต่าง ๆ ตลอดจนนามาฝานเป็นแผ่นบาง ๆ (Chip) แลว้ ทอด 2. ใชเ้ ปน็ อาหารสัตว์ โดยการแปรรูปหวั มนั สาปะหลงั สดใหเ้ ป็นมันสาปะหลงั เสน้ และมนั สาปะหลงั อัดเม็ด ผลิตภัณฑ์ท้ังสองอยา่ งจดั วา่ เป็นการใช้ประโยชนข์ องมนั สาปะหลงั ท่ีสาคญั ทีส่ ดุ ของ ไทย 3. แปรรูปเป็นแปูงมันสาปะหลัง ปัจจุบันมีอุตสาหกรรมผลิตแปูงมันสาปะหลัง 2 ชนิด คือ แปูงมนั สาปะหลงั ดิบ และแปงู มันสาปะหลังดัดแปรง (modified starch) ซึ่ แปูงมันสาปะหลังแปรรูป สามารถนาไปใชใ้ นอุตสาหกรรมอาหารอืน่ ๆ อกี มากเช่น ผงชูรส ไลซีน สารความหวาน (กลูโคส ซอบิ ตอล ไฮฟรักโตส) อตุ สาหกรรมทอผ้า อุตสาหกรรมกระดาษ อุตสาหกรรมไม้อัด อตุ สาหกรรมกาว
94 | ดรณุ ี พวงบตุ ร ผลติ ภัณฑก์ ารแปรรูปมนั สาปะหลัง มันสาปะหลังที่ปลูกในประเทศไทยกว่า 95% ถูกส่งออกไปจาหน่ายต่างประเทศ โดยแปรรูป เปน็ ผลติ ภณั ฑ์หลกั 3 ชนิดคือ มนั เสน้ มันอัดเม็ด และแปูง ผลิตภัณฑ์ 2 ชนิดแรกส่งออกไปสู่ตลาดใน ประเทศจีน ตุรกี จีน เพ่ือใช้ในการเลี้ยงสัตว์ คิดเป็นมูลค่าประมาณ 93% ของผลิตภัณฑ์จากมัน สาปะหลังท่ีส่งออกทั้งหมด ส่วนท่ีเหลือคือ แปูงมันสาปะหลัง ส่งออกไปยังตลาดท่ี ญี่ปุน จีน และ อนิ โดนีเซยี 1. มันสาปะหลังเส้น (cassava chips หรือ shredded) คือ ผลิตภัณฑ์มันสาปะหลังที่ได้จาก การนาหวั มันสาปะหลังสดมาห่ันหรือฝานให้เป็นแผ่นบาง ๆ แล้วนาไปตากแดดให้แห้ง ซ่ึงใช้เวลาตาก ประมาณ 2-3 วัน หัวมันสาปะหลังสด 1 กิโลกรัม ผลิตเป็นมันสาปะหลังเส้นได้ประมาณ 0.40 กิโลกรัม 2. มันสาปะหลังอัดเม็ด (cassava pellets) คือ ผลิตภัณฑ์มันสาปะหลังที่ได้มาจากการนา หัวมันสาปะหลังสด หรือมันสาปะหลังเส้นนาไปบดแล้วอัดด้วยเคร่ืองจักรให้มีรูปร่างเป็นแท่น ทรงกระบอก ขนาดเส้นผ่าศูนย์กลาง 0.4-0.7 ซม. แล้วทาให้แห้งเพื่อลดอุณหภูมิ และลดความช้ืนให้ เหลือ 14% มันสาปะหลังเส้นหนัก 1 กิโลกรัม ผลิตเป็นมันสาปะหลังอัดเม็ดได้ประมาณ 0.89-0.93 กิโลกรมั 3. แปูงมันสาปะหลัง (cassava flour หรือ tapioca flour) คือ ผลิตภัณฑ์มันสาปะหลังที่ได้ จากการนาหัวมันสาปะหลังสดไปล้างทาความสะอาด แยกเอาดินหรือสิ่งสกปรกออก แล้วนาไปขูด เปลอื กออกพร้อมกบั สับให้มขี นาดเลก็ ลง จากนนั้ นาไปบดยอ่ ยพร้อมท้ังแยกเอากากมันสาปะหลังและ น้าแปูงออกจากกัน ส่วนกากมันสาปะหลัง (cassava meal หรือ cassava waste) จะถูกแยกออกไป ตากใหแ้ หง้ เพ่ือนาไปจาหน่ายเป็นกากมันสาปะหลังหรือนาไปใช้ผสมกับมันเส้นเพื่ออัดเป็นมันเม็ดอีก ครั้งหนึ่ง น้าแปูงท่ีถูกแยกออกมาจะถูกส่งไปฟอกด้วยไอกามะถัน เพื่อขจัดยางและฟอกสีให้ขาว สะอาดข้ึน จากน้ันจะถูกส่งต่อไปทาให้แห้งเพ่ือได้แปูงมันสาปะหลังออกมา การทาให้แห้งมีทั้งการใช้ วิธีการสลัด (centrifuge) และการอบด้วยความร้อน หัวมันสาปะหลังสดหนัก 1 กิโลกรัม ผลิตเป็น แปงู มันสาปะหลงั ได้ 0.20 กิโลกรัม และได้กากมนั สาปะหลังประมาณ 0.04-0.09 กิโลกรมั จากแปูงมันสาปะหลัง สามารถนาไปผลิตเป็นแปูงแปรรูป (modified starch) ชนิดต่างๆ ซึ่ง มีความสาคัญทางอุตสาหกรรมอาหาร ยา ตลอดจนสิ่งพิมพ์ หรือกาว และคาดว่าแปูงแปรรูปจากมัน สาปะหลงั จะมีบทบาทต่ออตุ สาหกรรมมนั สาปะหลังเพ่ิมมากขน้ึ ในอนาคต 4. แอลกอฮอล์จากมันสาปะหลัง (alcohol) กรรมวิธีในการผลิตแอลกอฮอล์จากมัน สาปะหลงั เร่ิมตน้ ดว้ ยการนาหวั มนั สาปะหลงั สดไปล้างให้สะอาดแล้วบดให้ละเอียด จากนั้นนาไปย่อย แปูงให้มีโมเลกุลเล็กลง (saccharification) ด้วยการใช้กรด (hydrolysis) หรือใช้จุลินทรีย์ (biological process) แล้วจึงนาสารละลายแปูงที่ย่อยได้ไปหมัก (fermentation) ด้วยยีสต์ ซ่ึงจะได้ น้าไวน์ (wine) เมื่อนาไปกรองและกลั่นก็จะไดแ้ อลกอฮอล์และกาก (stillage)
พชื ไรเ่ ศรษฐกิจ| 95 อาหารสตั ว์ สารให้ความหวาน แปงู มนั เอทานอล นา้ สม้ สายชู ผงชรู ส กาว ไมอ้ ดั ภาชนะกระดาษ ภาพที่ 4-14 ตวั อยา่ งผลติ ภัณฑแ์ ปรรูปจากมนั สาปะหลัง
96 | ดรณุ ี พวงบุตร สรุป มันสาปะหลังเป็นพืชไร่ที่มีความสาคัญทางเศรษฐกิจพืชชนิดหนึ่ง ที่มีสาคัญต่ออุตสาหกรรม อาหารสัตว์ สามารถทารายได้ให้กับประเทศคิดเป็นมูลค่าปีละหลายหมื่นล้านบาท ผลผลิตมัน สาปะหลังส่วนใหญ่จะนามาใช้เป็นวัตถุดิบหลักในอุตสาหกรรมอาหารสัตว์ที่มีการขยายตัวอย่าง ต่อเน่ืองตามสถานการณ์การเติบโตของภาคปศุสัตว์ ปัจจุบันไทยเป็นผู้ส่งออกผลิตภัณฑ์มันสาปะหลัง รายใหญ่ที่สุดของโลก โดยมีส่วนแบ่งตลาดสูงถึงร้อยละ 65 สาหรับตลาดในภูมิภาคอาเซียน ไทยก็ยัง สามารถครองอนั ดับ 1 ในการสง่ ออกมาเปน็ เวลานานกวา่ 10 ปี ในปี 2559/60 ประเทศไทยมีพ้ืนท่ีเพาะปลูก 9.1 ล้านไร่ ผลผลิต 31,161ล้านตัน และมี ผลผลิตต่อไร่ 3,500 กิโลกรัมต่อไร่ ซ่ึงมีแนวโน้มเพ่ิมขึ้นร้อยละ 2.9 จากปี 2558/59 นอกจากน้ียัง พบว่ามีปริมาณความต้องการใช้ภายในประเทศมีแนวโน้มขยายตัวเพ่ิมขึ้นทุกปี สาหรับความต้องการ ใชเ้ พอื่ ผลติ แปงู มนั สาปะหลงั มแี นวโน้มเพ่ิมขึ้นอย่างต่อเนื่อง ส่วนความต้องการใช้เพื่อผลิตมันเส้นเป็น วตั ถดุ ิบอาหารสตั ว์มีแนวโน้มลดลง เน่ืองจากผู้ประกอบการอาหารสตั วห์ นั ไปใช้กากมันสาปะหลงั หรอื พืชทดแทนอ่นื ๆ ผลผลิตมันสาปะหลังมากกว่า 90 เปอร์เซ็นต์ถูกนาไปใช้ในอุตสาหกรรมอาหารสัตว์ มีการ ขยายตัวอย่างสูงตามอุตสาหกรรมปศุสัตว์ท่ีขยายตัวอย่างต่อเน่ือง โดยเฉพาะอาหารสัตว์ปีกและสุกร มีการใช้ในปริมาณสูงในแต่ละปี นอกจากนี้ผลผลิตมันสาปะหลัง จะนาไปใช้ในด้านอื่นๆ เช่น อตุ สาหกรรมแปงู มันสาปะหลัง มนั สาปะหลังปนุ นา้ มันพชื และเคร่ืองสาอาง เปน็ ตน้
พชื ไร่เศรษฐกจิ | 97 แบบฝึกหดั ทา้ ยบท 1. ประเทศไทย เป็นผู้ผลิตมนั สาปะหลังอันดบั ทีเ่ ท่าไหร่ของโลก และมีพน้ื ปลกู เทา่ ไหร่ 2. แหล่งปลูกมันสาปะหลงั ท่สี าคัญของประเทศไทยอยู่ภาคไหน จงั หวดั อะไรบ้าง 3. ปจั จบุ ัน ประเทศไทยผลติ มนั สาปะหลังอาหารสตั ว์เพียงต่อการใชใ้ นประเทศหรือไม่ เพราอะไร 4. จงบอกการใช้ประโยชน์จากมันสาปะหลงั อาหาร มีอะไรบา้ ง 5. จงบอกผลติ ภัณฑจ์ ากมันสาปะหลงั อาหารทส่ี าคัญ
98 | ดรณุ ี พวงบตุ ร เอกสารอ้างอิง สมาคมการค้ามันสาปะหลังไทย. (2560). ปริมาณการส่งออกผลิตภัณฑ์มันสาปะหลัง. [Online]. Available: http://ttta-tapioca.org/ [2017, January 16]. สถาบันวิจัยและพัฒนาแห่งมหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์. (2015). มันสาปะหลัง: ลักษณะทาง พฤกษศาสตร.์ มหาวิทยาลยั เกษตรศาสตร์. [Online]. Available: http://www3.rdi.ku.ac.th/ [2017, January 16]. สานักงานเศรษฐกิจการเกษตร. (2560a). สถิติการเพาะปลูกของประเทศไทย ปี 2560. กระทรวง เกษตรและสหกรณ.์ 194 หนา้ . สานักงานเศรษฐกิจการเกษตร. (2560b). สถานการณ์สินค้าเกษตรที่สาคัญและแนวโน้ม ปี 2559. กระทรวงเกษตรและสหกรณ์. สานกั งานเศรษฐกจิ การเกษตร. (2560c). สารสนเทศเศรษฐกิจเกษตรรายสินค้า ปี 2560. กระทรวง เกษตรและสหกรณ์. 99 หน้า. อุดมศักด์ิ เลิศสุชาตวนชิ . (2555). โรคและแมลงศตั รขู องมันสาปะหลงั . สุพรมิ พรนิ้ จากัด. กรุงเทพฯ. 63 หนา้ . Alves A. A. C. (2002). Chapter 5. Cassava botany and physiology. Pp. 67-89. In R.J. Hillocks J. M. Thresh and A.C. Bellotti, eds. Cassava: Biology, production and utilization, CAB International. Food and Agriculture Organization [FAO]. (2017). Food and Agriculture Organization Corporate Statistical Database. Cassava. Rome. Kenneth, M. Olsen and A.S. Barbara. (1999). Evidence on the origin of cassava: Phylogeography of Manihot esculenta. PNAS. 96: 5586–5591. Mackean, D.G. (2002). GCSE Biology. Third edition. John Murray Publisher. London. pp 374. Okogbenin, E., T.L. Setter, M. Ferguson, R. Mutegi, H. Ceballos, B. Olasanmi and M. Fregene. 2013. Phenotypic approaches to drought in cassava: review. Frontiers in Physiology. 4: 1-15. Wikipedia. (2016). [Online]. Available: https://th.wikipedia.org/wiki/มันสาปะหลัง [2017, January 16].
แผนการสอนประจาบทที่ 5 ออ้ ย หัวข้อเนอ้ื หา ความสาคญั สถานการณ์การผลติ และการตลาด การแปรรูปและผลติ ภัณฑ์ 1.1 อ้อยและความสาคญั 1.2 ลักษณะทางพฤกษศาสตร์ 1.3 การปลูกและการเกบ็ เกีย่ ว 1.4 สถานการณ์การผลิตและการตลาด 1.5 ผลติ ภณั ฑ์จากการแปรรูป 1.6 สรปุ ประจาบท แบบฝึกหัดท้ายบทท่ี 5 เอกสารอ้างอิง วัตถปุ ระสงค์เชิงพฤติกรรม เมอ่ื เรียนจบบทนี้แลว้ ผู้เรียนสามารถ 1. อธิบายความสาคญั และลกั ษณะทางพฤกษศาสตร์ของอ้อย 2. วิเคราะห์สถานการณ์การเปล่ยี นแปลงการผลิตและการตลาดอ้อย ในปจั จุบนั ได้ 3. อธิบายเก่ียวกบั วธิ กี ารปลกู การดูแลรกั ษา และเก็บเกีย่ วอ้อย 4. สรปุ สาระเกี่ยวกบั การใช้เทคโนโลยีการผลิต การแปรรูปและผลติ ภัณฑ์จากอ้อย 5. ตระหนักถึงมลู ค่าทางเศรษฐกจิ ของอ้อยและน้าตาล ทส่ี รา้ งรายได้ให้กับประเทศ วธิ กี ารสอนและกิจกรรมประจาบทท่ี 5 1. ชแ้ี จงคาอธบิ ายรายวิชา วตั ถุประสงค์ เนื้อหา และเกณฑ์การให้คะแนนรายวชิ า 2. ทาแบบทดสอบก่อนเรยี น 3. ผสู้ อนอธบิ ายเนอื้ หาเรอื่ ง ความสาคัญของอ้อย สถานการณ์การผลติ และการตลาด รวมถึงการ แปรรปู และผลิตภัณฑจ์ ากอ้อย ตามเอกสารประกอบการสอน 4. บรรยายประกอบการฉายภาพสไลด์ (โปรแกรม Power Point) 5. ซักถาม และแลกเปลย่ี นแนวคิด และเสนอแนะแนวความคิด 6. สรุปเนอ้ื หาประจาบท 7. ใหผ้ ู้เรยี นทาแบบฝกึ หดั ทา้ ยบทประจาบทท่ี 5 เรื่องสถานการณ์การผลติ และการตลาด การแปร รปู และผลิตภัณฑ์จากอ้อย และกาหนดสง่ 8. ชีแ้ จงหวั ขอ้ ทีจ่ ะเรียนในครั้งต่อไป เพือ่ ให้ผ้เู รียนไปศึกษากอ่ นลว่ งหนา้ 9. เสริมสรา้ งคณุ ธรรมและจรยิ ธรรมใหก้ บั นกั ศึกษาก่อนเลิกเรียน
100 |ดรณุ ี พวงบตุ ร สื่อการเรยี นการสอน 1. เอกสารประกอบการสอน 2. เครือ่ งคอมพวิ เตอร์ 3. ภาพสไลด์ (โปรแกรม PowerPoint) 4. เครอื่ งฉายภาพสไลด์ 5. วที ีอาร์ท่ีเก่ียวข้อง 6. แบบทดสอบกอ่ นเรียนผ่านระบบออนไลน์ (google form) 7. แบบฝึกหัดหลงั เรยี นผา่ นระบบออนไลน์ (kahoot) การวัดผลและประเมินผล 1. จากการทาแบบทดสอบก่อนเรียนและหลงั เรยี นผา่ นระบบออนไลน์ 2. จากการทาแบบฝกึ หดั ท้ายบท 3. จากการการสอบระหวา่ งภาคการศึกษา
พืชไร่เศรษฐกจิ | 101 บทท่ี 5 ออ้ ย อ้อย เป็นพืชเศรษฐกิจหลักท่ีสาคัญของประเทศตามยุทธศาสตร์สินค้าเป็นพืชเศรษฐกิจ 4 สินค้า (ข้าวโพดเลี้ยงสัตว์ มันสาปะหลัง ปาล์มน้ามัน และอ้อย) และเป็นวัตถุดิบหลักท่ีใช้ในการผลิต นา้ ตาลทราย และพลังงานทดแทน ท่ีมีความสาคัญต่อระบบเศรษฐกิจของไทยเป็นอย่างมาก ประเทศ ไทยผลิตน้าตาลทรายได้มากเป็นอันดับ 5 ของโลก และส่งออกมากเป็นอันดับ 2 ของโลกรองจาก บราซิล โดยมีตลาดส่งออกที่สาคัญ คือ อินโดนีเซีย และกัมพูชา ในขณะที่ความต้องการบริโภค ภายในประเทศกม็ แี นวโนม้ เพ่ิมสูงขึ้น เน่ืองจากความต้องการของภาคอุตสาหกรรมมีมากขึ้น ส่งผลทา ใหม้ ีการขยายพ้ืนท่ปี ลกู ออ้ ยเปน็ จานวนมากในรอบ 5 ปที ีผ่ ่าน โดยแหลง่ ปลกู อ้อยที่สาคัญของประเทศ ส่วนใหญ่อยู่ในแถบภาคตะวันออกเฉียงเหนือ และพบว่ามีโรงงานน้าตาลทรายในพื้นท่ีภาค ตะวันออกเฉียงเหนือ ทั้งส้ินจานวน 20 โรงงาน (สานักงานคณะกรรมการอ้อยและน้าตาลทราย, 2560) อ้อยและความสาคัญ อ้อย (sugarcane) มีชื่อวิทยาศาสตร์ว่า Saccharum officinarum L. เป็นพืชวงศ์ Poaceae วงศ์เดียวกบั หญา้ และธญั พชื มถี ่นิ กาเนิดอยใู่ นเขตร้อนในทวีปเอเชีย สามารถเจริญเติบโตได้ ดีในเขตร้อนและเขตร้อนก่ึงแห้งแล้ง ซ่ึงแหล่งปลูกอ้อยที่สาคัญของโลกอยู่ที่ประเทศบราซิล ออสเตรเลีย และประเทศไทย โดยผลผลิตอ้อยส่วนใหญ่จะถูกนาไปใช้ในการผลิตน้าตาล และ อตุ สาหกรรมต่อเนือ่ ง รวมถงึ การใช้ในการผลิตเอทานอล เพือ่ ให้เปน็ พลังงานทดแทน อ้อยเป็นพชื เศรษฐกิจสาคัญท่ีสาคัญของประเทศไทย เพราะใช้เป็นวัตถุดิบในการผลิตน้าตาล และอุตสาหกรรมอีกหลายชนิด โดยในกระบวนการผลิตน้าตาลนั้น นอกจากจะได้น้าตาลเป็น ผลิตภัณฑ์หลักแล้ว ยังมีผลพลอย (by product) ได้อีกหลายชนิด ท่ีสามารถนาไปใช้ในการต่อยอด อุตสาหกรรมต่าง ๆ ได้แก่ กากน้าตาลหรือโมลาส (molasses) ชานอ้อยหรือกากอ้อย (bagasse) และขี้หม้อกรอง (filter cake) โดยเฉพาะส่วนของชานอ้อยและโมลาส ที่มีการนาไปใช้เป็นวัตถุดิบใน การผลิตในอุตสาหกรรมท่ีสาคัญ ท่ีเป็นการสร้างมูลค่าเพิ่มและสร้างรายได้เป็นจานวนมากในแต่ละปี เช่น การใชช้ านออ้ ยในการผลิตพลังงานไฟฟูาชีวมวล การใช้โมลาสในอุตสาหกรรมการผลิตเอทานอล การผลติ ผงชูรส นา้ สม้ สายชู อาหารเลย้ี งสัตว์ เป็นต้น
102 |ดรณุ ี พวงบตุ ร การจาแนกชนิดของออ้ ย จากการศึกษาของ Daniels and Roach (1987) ได้จาแนกชนิดอ้อยโดยใช้แหล่งกาเนิดเป็น เกณฑ์ สามารถแบ่งออกได้เปน็ 6 ชนิด คือ 1. อ้อยปลูกด้ังเดิม (Saccharum officinarum L.) เป็นอ้อยท่ีเกิดในแถบเกาะนิวกินี มี ลักษณะสาคญั คอื ลาใหญ่ ใบยาวและกว้าง มีน้าตาลมาก เปลอื กและเน้ือนิม่ เรียกว่า อ้อยเค้ียว ซึ่งใน ประเทศไทย คอื ออ้ ยมอริเชียส (Mauritius) และอ้อยบาดลิ า (Badila) 2. อ้อยปุาเขตร้อน (Saccharum spontaneum L.) อ้อยชนิดนี้พบทั่วไปในแถบร้อนและชุ่ม ชื้น มีลักษณะสาคัญ คือ มีอายุหลายปี ข้ึนอยู่เป็นกอ มีลาต้นใต้ดิน ลาต้นเหนือดินผอมและแข็ง ไส้ กลวง มคี วามหวานน้อย ในประเทศไทย เรยี กวา่ แขมพงหรอื อ้อยปุา (wild cane) 3. อ้อยอินเดีย (Saccharum barberi Jeswiet) มีถ่ินกาเนิดในอินเดียตอนเหนือ มีลักษณะ สาคญั คือลาต้นเลก็ ใบเล็ก ข้อโปรง่ มีความหวานสงู เปลือกและเนอ้ื นิม่ 4. อ้อยปุานิวกินี (Saccharum robustum Brandes et Jeswiet Ex Grassl) เป็นอ้อยท่ีพบ ในปุานิวกินี มีลักษณะสาคัญ คือเปลือกแข็ง ไส้ฟุาม มีลาต้นใหญ่ แข็งแรง สูงเกือบ 10 เมตร มีความ หวานต่า ซง่ึ ไมพ่ บในประเทศไทย 5. อ้อยจีน (Saccharum sinense Hassk) มีต้นกาเนิดบริเวณกลางแผ่นดินใหญ่ของจีน เป็น อ้อยที่ใชท้ านา้ ตาลในอินเดยี ตอนเหนือ จีน ไต้หวัน ตอนใต้ของญ่ีปุน ฟิลิปปินส์ และฮาวาย มีลักษณะ สาคัญ คือลาขนาดเล็ก แต่มีปล้องยาว ใบยาวแคบ มีความแข็งแรงสูง ทนทานต่อโรค ทนความแห้ง แล้งไดด้ ี มีปรมิ าณเยื่อใยสูง ปริมาณนา้ ตาลต่า 6. อ้อยน้าหรอื หนอ่ ไมน้ ้า (Saccharum edule Hassk) เปน็ อ้อยสามารถใช้สว่ นชอ่ ดอกอ่อนใน การบริโภคเป็นผัก ส่วนใหญ่ดอกจะเป็นหมัน มีลักษณะต่างๆ ใกล้เคียงกับ S. robustum เช่ือว่าเกิด จากการผสมข้ามระหว่าง Miscanthus floridus กับ S. robustum ข้ึนได้ดีในท่ีน้าท่วมขัง ไม่มี ความสาคญั ในแง่ของการเปน็ เช้อื พันธกุ รรมของออ้ ย ปัจจุบัน มีการปรับปรุงพันธุ์ขึ้นใหม่หลายพันธุ์ ซ่ึงเป็นการผสมข้ามระหว่างสายพันธ์ุ เรียกว่า อ้อยลูกผสม (Saccharum hybrid) ในญาติวงศ์ของออ้ ยทงั้ หมดน้ีสามารถผสมข้ามพันธุ์กันได้ โดยนัก ปรับปรงุ พนั ธุไ์ ดท้ าการผสมขา้ มเพื่อนาลักษณะทนทานต่อสภาพแวดล้อมที่ไม่เหมาะสมจากอ้อยปุามา ใส่ไวใ้ นออ้ ยปลูก จงึ ทาให้พนั ธุอ์ อ้ ยทเ่ี ราปลกู เป็นการคา้ ในปจั จบุ นั ส่วนใหญ่จะเปน็ ลูกผสม ลกั ษณะทางพฤกษศาสตร์ อ้อยเป็นไม้ล้มลุก สูง 2-5 เมตร มีการแตกกอเป็นลาต้นเด่ียว ไม่แตกก่ิงก้าน ลาต้นสีม่วงแดง ต้ังหรือมีโคนทอดเอน มีไขสีขาวปกคลุม ลาต้นมีผ่านศูนย์กลาง 5 เซนติเมตร (ภาพที่ 5-1) ซ่ึงมี ลักษณะทางพฤกษศาสตรท์ ส่ี าคญั ดงั นี้
พชื ไรเ่ ศรษฐกิจ| 103 ภาพที่ 5-1 ลกั ษณะทางพฤกษศาสตรข์ องออ้ ย ทีม่ า: Sandhu et al (2009) 1. ราก (root) อ้อยมีรากอยู่ 2 ประเภท คือรากของท่อนพันธ์ุ (set root) ใช้ลาเลียงน้าและธาตุอาหาร จนกว่าหนอ่ อ่อนจะเตบิ โต และรากชนดิ นจี้ ะหมดสภาพไปเอง และรากของหน่อ (shoot root) ซ่ึงเป็น รากขนาดใหญท่ เ่ี จรญิ ออกจากปมุ รากของหน่อท่ีเตบิ โตแล้ว (ภาพที่ 5-2) ภาพที่ 5-2 ลักษณะรากอ้อย ที่มา: James (2004)
104 |ดรุณี พวงบุตร รากอ้อย เป็นระบบรากฝอย (fibrous root system) โดยแบ่งชนิดของรากตามหน้าท่ีได้ 3 ชนิด (ภาพท่ี 5-3) คอื 1. Superficial root เกิดจากปมุ รากของข้อที่อยู่ใกล้ผิวดิน มีขนาดเล็ก แตกแขนงมาก มีความ ยาว 50-250 ซม. ทาหนา้ ท่ีดดู น้าและธาตุอาหารใหอ้ ้อยเปน็ ส่วนใหญ่ 2. Buttress root เกิดจากปุมรากของข้อที่อยู่ต่ากว่ารากชนิดแรก มีสีขาวอวบ ขนาดใหญ่กว่า รากชนดิ อืน่ ๆ มคี วามยาว 50-150 ซม. ทาหนา้ ทีด่ ดู นา้ และธาตอุ าหาร และพยุงลาต้น 3. Deep root หรอื rope system เกิดบริเวณเดยี วกบั buttress root หรือต่ากว่า รากชนดิ น้ี จะหยั่งลึกลงในแนวดิ่ง มักสานกันเป็นกลุ่ม จึงมีหน้าที่หลักในการพยุงลาต้น รากอาจมีความยาว 4-6 เมตร ภาพที่ 5-3 ชนิดของรากของอ้อย ทีม่ า: Smith et al (2005) 2. ลาตน้ (stalk) ลาต้นออ้ ยมี 2 ส่วน ไดแ้ ก่ ส่วนทอ่ี ยู่ใต้ดินและเหนือดิน ส่วนท่อี ยู่ใต้ดินเรียกว่า ตอ หรือ เหง้า ส่วนที่อยู่เหนือดิน เป็นส่วนท่ีรองรับใบ และช่อดอก ลาต้นเหนือดินจะมองเห็นข้อและปล้องอย่าง ชัดเจน ขอ้ เป็นสว่ นรองรบั ใบ เมื่อใบหลุดจะปรากฏรอยกาบให้เห็น ความยาวระหว่างรอยกาบใบหนึ่ง ถึงรอยกาบถัดไป เรียกวา่ ปล้อง บริเวณใต้รอยกาบใบมีวงแหวนข้ีผึ้งหรือไขเกาะเรียกว่า wax (ภาพที่ 5-4) เหนอื รอยกาบใบมปี ุมกาเนดิ ราก เรยี กวา่ root primordial ในแตล่ ะขอ้ มี 1 ตา เกิดสลับตามข้อ บนลาต้น อ้อยบางพันธุ์อาจมี ร่องตา (bud furrow) ผิวของลาต้นอาจมีรอยแตกต้ืนหรือรอยลายงา และรอยแตกลกึ การเกิดรอยข้ึนอยู่กบั พันธ์ุออ้ ย
พืชไร่เศรษฐกิจ| 105 ภาพท่ี 5-4 ลกั ษณะลาตน้ อ้อย ท่มี า: ผู้เขียน 3. ใบ (leaves) ใบอ้อย เกดิ เรยี งสลับกนั บนลาต้น ใบติดกบั ขอ้ ของลาต้นตรงส่วนของฐานใบ โครงสรา้ งของ ใบ ประกอบดว้ ย 2 ส่วนหลกั คอื กาบใบ ไมม่ เี สน้ กลางใบ มีสเี ขียวอ่อนหรือมว่ งแดง ส่วนแผน่ ใบของ แผ่นใบมีสเี หลอื งจนถงึ เขยี วเข้ม ขอบแผ่นใบมลี กั ษณะเปน็ ฟนั เลื่อย รอยตอ่ ระหว่างกาบใบและแผน่ ใบ ดา้ นในมลี ิ้นใบ (ligule) และมีหูใบ (auricle) (ภาพที่ 5-5) รูปท่ี 5-5 ลักษณะใบอ้อย ท่ีมา: ผูเ้ ขยี น 4. ดอก (Inflorescence) ชอ่ ดอกออ้ ย เรยี กว่า arrow หรอื tassel เป็นแบบ panicle ลักษณะช่อดอกมีแกนกลางก้าน แขนงแรกแตกจากแกนกลาง ก้านแขนงที่สองแตกออกจากก้านแรก ซ่ึงก้านแขนงที่สองเป็นตาแหน่ง ของกลุ่มดอกย่อย(spikelet) เกิดเป็นคู่ ประกอบด้วย กลุ่มดอกมีก้านและไม่มีก้านในกลุ่มดอก ประกอบด้วยดอกยอ่ ย (floret) 2 ดอก ละอองเกสรตวั ผู้มสี ีเหลอื ง ดอกอ้อยมีทั้งเกสรตัวผู้และเกสรตัว เมยี อย่ใู นดอกเดยี วกนั (ภาพที่ 5-6)
106 |ดรุณี พวงบตุ ร ภาพที่ 5- 6 ลกั ษณะดอกอ้อย ที่มา: ผเู้ ขียน; Blackburn (1984) ถิน่ กาเนิดและสภาพแวดล้อม อ้อยมีแหล่งกาเนิดด้ังเดิมของอ้อยอยู่ในนิวกีนี ซึ่งเป็นเกาะใหญ่ในมหาสุมทรแปซิฟิก มี หลักฐานยืนยันว่าชาวพ้ืนเมืองของเกาะน้ีปลูกอ้อยไว้ในสวนสาหรับเคี้ยวกินเล่นมาต้ังแต่สมัยโบราญ นักพฤกษศาสตร์ในยุคหลัง ๆ ได้สันนิษฐานตรงกันว่า Saccharum officinarum L. น้ีมีกาเนิดจาก เกาะนิวกีนีอย่างแน่นอน และเช่ือวา่ อ้อยพันธุด์ ง้ั เดิมนเี้ ปน็ อ้อยที่เรียกขานกันต่อมาว่า “อ้อยมีตระกูล” (noble canes) และนอกจากนั้น “ออ้ ยมตี ระกูล” นย้ี งั มพี ืชในสกุลเดียวกนั คือ ออ้ และแขม ออ้ ยได้ถูกนาไปจากเกาะนวิ กีนี โดยการติดต่อค้าขาย และการล่าเมืองขึ้นของมนุษย์สมัยก่อน ประวตั ิศาสตร์ อยา่ งไรกด็ ี (Daniels and Daniels, 1993) ไดส้ ันนิษฐานการแพร่กระจายของอ้อยจาก นวิ กนิ ไี วเ้ ปน็ สามทาง ตามลาดับเวลา คือ 1. ไปทางทิศตะวนั ออกเฉียงใต้สู่หมู่เกาะโซโลมอน นิวเฮบริดิส และนิวคาเลโดเนีย เกิดข้ึนนาน นับจานวนหมนื่ ๆ ปกี ่อนครสิ ตศ์ ักราช 2. ไปทางทิศตะวันตกสู่หมู่เกาะชวา ประเทศอินโดนีเซีย แหลมมลายู ฟิลิปปินส์ อินโดจีน ซ่ึง รวมถึงประเทศไทย ตลอดถึงชายฝ่ังแถบอ่าวเบงกอล ประเทศอินเดีย การกระจายตัวด้านนี้เริ่มเม่ือ ประมาณ 6,000 ปีก่อนคริสต์ศักราช กว่าที่อ้อยจะกระจายจากนิวกินีไปถึงอินเดียนั้น ต้องใช้เวลาถึง 3,000 ปี การกระจายตัวทางทิศตะวันตกน้ีมีความสาคัญมาก เพราะได้ก่อให้เกิดการพัฒนา อุตสาหกรรมนา้ ตาล จนมีความเจรญิ อยา่ งท่ีเห็นอยใู่ นปัจจุบนั 3. ไปทางทิศตะวันออกสู่เกาะต่างๆ คือ ฟิจิ ตองกา ซามัว คุก มาร์เคซัส โซไซเอตี อิสเทอร์ และฮาวาย รวมทัง้ เกาะอนื่ ๆ ในมหาสมทุ รแปซิฟกิ ดว้ ย การกระจายตัวตามทิศทางดังกล่าวเกิดข้ึนเม่ือ ประมาณไม่เกนิ 500 ปี หลังจากทีอ่ ้อยถึงอา่ วเบงกอลแลว้
พชื ไร่เศรษฐกิจ| 107 สภาพนเิ วศวิทยาของออ้ ย พบว่าออ้ ยสามารถปลูกไดด้ ีในแถบร้อนและชมุ่ ชื้นในระหว่างเส้นรุ้งที่ 35 องศาเหนือ และ 35 องศาใต้ ประเทศผปู้ ลูกออ้ ยทสี่ าคัญ ไดแ้ ก่ บราซิล ควิ บา อินเดีย ออสเตรเลยี ระยะการเจริญเตบิ โตและการพฒั นาของออ้ ย การเจรญิ เตบิ โตของออ้ ยนน้ั แบ่งออกได้เป็น 4 ระยะ คอื 1. ระยะงอก (germination phase) ระยะนเ้ี ร่ิมต้นตัง้ แตป่ ลูกจนกระทั่งหน่อโผล่พันดิน โดยจะ ใชเ้ วลาประมาณ 2-3 สัปดาห์ ซึง่ ก็ขน้ึ อยู่กับปัจจัยหลายอย่าง เช่น พันธุ์ ความหนาของดินที่กลบท่อน พนั ธ์ุ และการปฏบิ ตั ติ อ่ ทอ่ นพนั ธุ์ เป็นต้น หนอ่ ที่เกิดจากตาของท่อนพันธ์ุ เรียกว่า หน่อแรก (primary shoot) หรือหน่อแม่ (mother shoot) จานวนท่อนพันธุ์ท่ีงอกต่อไร่จะเป็นตัวกาหนดจานวนกออ้อย ในพ้นื ทีน่ ั้น 2. ระยะแตกกอ (tillering phase) การแตกกอ จะเร่ิมจากราว ๆ 1.5 เดือน หลังปลูก และ อาจนานถึง 2.5-4 เดือน การแตกกอ เป็นกระบวนการทางสรีรวิทยาของแบบการทาซ้าภายใต้พ้ืนดิน โดยแยกออกจากข้อตาที่เป็นหน่อแม่ โดยการแตกกออ้อย ให้มีจานวนข้อท่ีเหมาะสม จะทาให้ได้ผล ผลิตทดี่ ี โดยปัจจัยตา่ งๆ ท่มี ผี ลตอ่ การแตกกอ มหี ลากหลาย ไดแ้ ก่ ความชืน้ ในดนิ แสง อุณหภูมิ และ ปยุ๋ หนอ่ ท่เี กิดขึ้น ในช่วงต้นนั้นก่อให้เกดิ ลาท่ีใหญ่และหนกั แตห่ นอ่ ที่เกิดข้ึน ในช่วงปลายจะมีโอกาส ทั้งตายหรือ ซ่ึงจะเกิดขึ้นในระยะส้ัน คือโตไม่เต็มที่เท่านั้น การปลูกอ้อยในระยะการแตกกอน้ัน การ ควบคุม น้า และ วชั พืช ทมี่ คี วามสาคัญต่อการแตกกอเป็นอย่างมาก ซ่ึงจะช่วยกระตุ้นการแตกกอ ให้ มปี ระมาณหน่อลกู ท่เี หมาะสม ส่งผลตอ่ การไดผ้ ลผลติ ตันตอ่ ไรทีด่ ี 3. ระยะย่างปล้อง (stalk elongation phase) ระยะนี้เป็นระยะต่อเน่ืองกับการแตกกอ อ้อย จะมีการเพ่ิมความยาวและขนาดเส้นผ่านศูนย์กลางของปล้องอย่างรวดเร็ว ทาให้อ้อยทั้งลาต้น เจริญเติบโตได้อยา่ งรวดเร็วด้วย โดยจะเร่ิมตั้งแต่อายุประมาณ 3-4 เดือน ถึงอายุประมาณ 7-8 เดือน ซงึ่ หลงั จากนั้นการเจริญเตบิ โตจะมลี ดลง และจะเรมิ่ มีการสะสมนา้ ตาลเพม่ิ มากขึน้ 4. ระยะแกแ่ ละสกุ (maturity and ripening phase) เปน็ ระยะที่มอี ัตราการเจริญเติบโตช้าลง มากเมอ่ื เปรยี บเทียบกับระยะต่างๆข้างต้น เมือ่ การเจรญิ เติบโตเริม่ ช้าลง นา้ ตาลทีจากท่ใี บสร้างขึ้นโดย การสงั เคราะหแ์ สงน้นั จะถกู ใช้น้อยลง และมีเหลือสะสมในลาต้นมากขึ้น ซ่ึงระยะนี้เป็นการเริ่มต้นของ การสุกน่ันเอง การสะสมน้าตาลนั้นจะเริ่มจากส่วนโคนไปหาปลาย ดังนั้นส่วนโคนจึงมีความหวาน มากกว่าส่วนปลาย การสะสมน้าตาลจะมีมากข้ึนตามลาดับ จนกระทั่งทุกส่วน มีความหวานใกล้เคียง กนั เรียกว่า สุก
108 |ดรณุ ี พวงบตุ ร ภาพที่ 5-7 ระยะการเจรญิ เติบโตและพฒั นาการของออ้ ย ท่มี า: กรมวชิ าการเกษตร (2547) การปลกู และการเกบ็ เกยี่ ว ฤดูกาลปลูกออ้ ยแบ่งออกเป็น 3 ฤดู คอื 1. อ้อยปลายฝนหรอื ออ้ ยขา้ มแล้ง พ้ืนที่ส่วนใหญ่เป็นดินร่วนทรายที่มีความชื้นเหลือในดินพอสาหรับการงอกและเติบโตใน ชว่ งแรก โดยไถรอ้ื ตออ้อยเก่าในเดือนเมษายนถึงพฤษภาคม อาจมีการปลูกพืชอายุสั้นระหว่างรอปลูก อ้อย หรือปล่อยให้วัชพืชขึ้นแล้วไถกลบเศษพืชในเดือนสิงหาคม และไถอีกครั้งเม่ือพร้อมจะปลูกอ้อย เมื่อหมดฝน แลว้ จึงไถเปิดร่อง การปลูกอ้อยโดยวางลาในร่องด้วยแรงงานคน แล้วสับลาให้ขาดจากกันทุกๆ 3 ข้อ โรยปุ๋ย แล้วกลบร่อง ประมาณ 1 เดือนอ้อยจะงอกพ้นดินแล้วเติบโตข้ามช่วงฤดูแล้งท่ีไม่มีน้าฝน (ต.ค.-มี.ค.) กาจัดวัชพืชด้วยเครื่องจักรและแรงงานหรือใช้สารกาจัดวัชพืช ใส่ปุ๋ยคร้ังท่ีสอง จากน้ันต้นอ้อยจะ เตบิ โต อาจจะต้องมีการกาจัดวชั พืชอีกครั้งในชว่ งเดือนกรกฎาคม-สิงหาคม เกบ็ เกี่ยวออ้ ยเม่อื โรงงานเปดิ หบี ในระหวา่ งเดอื นธันวาคมถงึ เมษายน 2. ออ้ ยนา้ ราด เป็นวธิ ีการที่เกษตรกรที่อยใู่ นเขตท่ตี ้องปลกู อ้อยในฤดฝู นต้องการปลูกอ้อยให้ เร็วขึ้น ใหน้ า้ ตามร่องหลังวางลา แล้วจึงกลบดนิ ความชื้นจะชว่ ยใหอ้ ้อยจะงอกและเติบโตได้ในระยะ สนั้ ก่อนเขา้ สู่ฤดฝู น การดแู ลรักษาทาเชน่ เดยี วกับอ้อยฤดฝู น
พชื ไรเ่ ศรษฐกจิ | 109 3. อ้อยฤดฝู น ปลูกในเขตทีป่ รมิ าณน้าฝนน้อย และมีเนอื้ ดินรว่ นเหนยี ว อ้อยจะไมส่ ามารถอยู่ รอดขา้ มแล้งได้ ต้องรอให้เข้าฤดูฝนกอ่ นจึงปลกู อ้อยได้ ส่วนอ้อยในเขตชลประทาน จะปลกู ได้ตลอดปี แต่นยิ มปลูกในช่วงเดือนมกราคมถงึ เมษายน และมีการใหน้ ้าเปน็ ระยะในช่วงทไ่ี ม่มฝี น ภาพท่ี 5-8 วิธกี ารปลกู อ้อยด้วยเครอื่ งปลกู และการใชแ้ รงงานคน ทม่ี า: ผ้เู ขียน การเกบ็ เกย่ี ว กาหนดเวลาเก็บเกีย่ วอ้อยขึ้นอยู่กับเวลาเปิดหีบของโรงงาน ซ่ึงทางราชการเป็นผู้กาหนดเป็น รายปีเทา่ ที่ผ่านมา โรงงานส่วนมากมักจะเปิดหีบในราวปลายเดือนพฤศจิกายนถึงกลางเดือนธันวาคม ดังน้ันเวลาเก็บเกย่ี วออ้ ยจงึ ผันแปรไปตามเวลาเปิดหบี ของโรงงานด้วย การเก็บเกี่ยวอ้อยส่วนใหญ่ใช้คนตัด โดยทั่วไปเก็บเก่ียวโดยไม่เผา นอกจากจาเป็นเช่นมีโรค หรือแมลงระบาด หรือต้องการให้ทางานได้เร็วขึ้น เพราะอ้อยเผาเสื่อมคุณภาพเร็วกว่าอ้อยท่ีไม่เผา การตัดเร่ิมด้วยการใช้มีดริดใบออก ตัดลาต้นชิดดิน แล้วตัดยอดอ่อนท้ิงไป นาอ้อยที่ได้มัดรวมกันมัด ละ ๘-๑๕ ลา ท้ังนี้ขึ้นอยู่กับขนาดและน้าหนักของอ้อย ท่ีจะบรรทุกได้สะดวก วางมัดอ้อยเป็นแถวๆ เพ่ือสะดวกในการบรรทกุ หลังจากน้นั จงึ ใช้รถบรรทกุ สิบล้อเข้าไปบรรทกุ ในไร่ เพ่ือส่งเข้าโรงงานต่อไป โดยเฉล่ียคนงานคนหน่ึงตดั อ้อยได้วนั ละ (8 ชัว่ โมง) 1 ตนั ในกรณีท่ีเก็บเกี่ยวด้วยรถตัดอ้อย ส่วนมากจะมีการเผาก่อน แล้วใช้รถเข้าไปตัดยอดและลา ต้นติดพื้นดิน จากน้ัน ต้นอ้อยก็จะถูกตัดออกเป็นท่อน ท่อนละประมาณ 30 เซนติเมตร ท่อนอ้อยจะ ถูกส่งไปตามสายพานซ่งึ มกี ะพ้อผา่ นพดั ลม ซง่ึ จะแยกสงิ่ สกปรกออกก่อนที่จะถูกพ่นลงในรถบรรทุกซึ่ง ว่ิงเคียงคู่กนั เมื่อบรรทุกเตม็ คันรถกจ็ ะมีคันใหม่มาแทนเรื่อยไป รถตัดอ้อยตัดได้วันละประมาณ 30 ไร่ ทั้งนี้ขึ้นอยู่กับสภาพของอ้อย และสภาพไร่ ข้อเสียของเคร่ืองตัดอ้อยชนิดน้ีก็คือ ต้องเผาอ้อยก่อนตัด
110 |ดรุณี พวงบตุ ร ทาให้อ้อยเสื่อมคุณภาพเร็วกว่าอ้อยสด ปัจจุบันได้มีการพัฒนาเคร่ืองตัดอ้อยสด ซ่ึงคาดว่า คงจะมีใช้ ในประเทศเราในไมช่ ้า โรคและแมลงทีส่ าคัญของอ้อย โรคและแมลงศัตรูอ้อย ทาให้อ้อยแสดงอาการผิดปกติ ส่งผลเสียทาให้อ้อยไม่สามารถ เจริญเติบโตได้อย่างเป็นปกติ ไม่สามารถให้ผลผลิตได้ ซึ่งสามารถจาแนกโรคที่สาคัญ (ธวัช, 2559) ดังน้ี 1. โรคใบขาวอ้อย โรคใบขาวเกิดได้ในทกุ ระยะการเจรญิ เติบโต พบเห็นอ้อยมีการแตกกอเป็น ฝอยเล็ก ๆ มีใบขาวจานวนมากคล้ายกอหญ้า หน่อไม่เจริญเป็นลา อาจตายท้ังกอในท่ีสุด หากหน่อ เป็นโรคเจริญเป็นกอได้ อาจมีใบขาวท่ีปลายยอดหรือมีเพียงหน่อขาวเล็ก ๆ แต่พบอาการชัดเจนใน อ้อยตอ ระบาดไปกับทอ่ นพนั ธุ์และแมลงพาหะคือเพลีย้ จักจั่นสนี า้ ตาลซ่ึงพบมากในหน้าฝน อ้อยแสดง อาการใบขาวได้ในทุกระยะการเจรญิ เติบโต ออ้ ยอาจตายทั้งกอและผลผลิตลดลงอยา่ งมาก 2. โรคเหี่ยวเน่าแดง อ้อยมีอาการใบเหลือง ยอดแห้ง ลาเน่าอ้อยยืนต้นตาย อาจมีการหักล้ม เมื่อผาดูภายในลาต้นพบมีการเน่า อาจยุบเป็นโพรง มีเส้นใยของเชื้อราเจริญอยู่ภายในปล้อง และใน สภาพท่ีมคี วามช้นื สงู อาจพบกลมุ่ สปอร์ของเชอ้ื ราบรเิ วณข้อออ้ ย 3. โรคกอตะไคร้ ออ้ ยจะมกี ารแตกใบฝอยคล้ายกอตะไคร้ ใบมีสีเขียวปกติ หรืออาจซีดใบเล็ก มาก ขนาดลาอาจจะเล็กลงหรืออาจจะให้ลาในแต่ละกอน้อยมาก ในอ้อยตอแสดงอาการรุนแรงอาจ ไม่ใหล้ าเลย 4. โรคแส้ดา ส่วนยอดสุดของอ้อยมีลักษณะคล้ายแส้สีดา พบเห็นผลสปอร์สีดา กออ้อยจะมี การแคระแกร็นแตกกอมาก อ้อยไม่ย่างปล้องและลาอ้อยผอมลีบกว่าปกติ พบในอ้อยตอรุนแรงกว่า ออ้ ยปลกู 5. โรคราสนิม ลักษณะอาการเริ่มเป็นจุดสีแดงเล็ก ๆ และเห็นได้ชัดขึ้นเม่ือใบแก่ จุด เปลย่ี นเป็นสีน้าตาลแดง มแี ผลนนู ที่ด้านหลังใบ มผี ลสปอรส์ ีส้มอยู่ภายในรอยแผลและกระจายไปตาม แรงลมได้ แผลกระจายท่วั ไปหากรุนแรงแผลติดต่อกันจนแทบไม่เห็นผิวใบ ทาให้อ้อยสูญเสียพื้นที่การ สังเคราะห์แสง ทาใหอ้ อ้ ยโทรม ผลผลติ อ้อยลดลง แต่หากเป็นโรคไมม่ ากก็ไม่สง่ ผลตอ่ ผลผลติ 6. โรคตอแคระแกร็น อ้อยแคระแกร็น หรือโตช้ากว่าปกติ ซึ่งพบว่าเกิดกับบางพันธุ์เท่าน้ัน ถา้ ผา่ ตน้ ออ่ นดูตามท่อนา้ ท่ออาหารทีอ่ ยู่ตรงข้อหรือใต้ตา (bud base) จะพบว่าท่อนน้าท่ออาหารจะมี สีแดงแทนท่ีจะเป็นสีเหลืองหรือชมพูอ่อนตามปกติ แต่ถ้าอ้อยแก่จะมีสีแดง หรือสีส้มจนถึงน้าตาลปน แดงกไ็ ด้ 7. โรคยอดเน่า อาการเร่ิมเกิดรอยขีดเล็ก ๆ ฉ่าน้าบนใบของต้นกล้าอ้อยต่อมาแผลขยายเป็น รอยขีดยาวสีแดงกว้าง 0.5-4 มิลลิเมตร อาจยาว 1-2 เซนติเมตร หรือยาวตลอดความยาวใบ รอยขีด อาจเกิดติดกันเป็นปื้นบนใบ มักพบคราบแห้งของหยดแบคทีเรียบริเวณรอยขีดด้านหลังใบ เมื่อฝนตก
พืชไรเ่ ศรษฐกิจ| 111 ชุกในฤดูฝน เช้ือจะลุกลามเข้าทาลายยอดและลาอ้อย ทาให้ยอดและลาอ้อยเน่า ใบอ้อยเหลือง ยอด แหง้ ถูกดงึ หลุดจากลาได้ง่าย ผิวลาบริเวณปล้องเน่ายุบลง ลักษณะฉ่าน้า เน้ืออ้อยภายในปล้องเน่าฉ่า นา้ มีกลิน่ เหมน็ เปร้ียว มกั มีขอบสีแดงเข้มใกล้ผวิ เปลอื ก ลาอ้อยเนา่ ตายในทส่ี ดุ 8. หนอนกออ้อย เป็นแมลงศัตรูอ้อยท่ีสาคัญท่ีสุดของประเทศไทย เน่ืองจากเข้าทาลายอ้อย ได้ในทุกระยะการเจริญเติบโตของอ้อย หนอนเจาะเข้าไปตรงส่วนโคนระดับดินและกัดกินเข้าไปใน ส่วนท่ีกาลังเจริญของใบอ้อยที่ยังไม่คล่ี ทาให้เกิดยอดแห้งตาย ซ่ึงจะพบรอยเจาะเล็ก ๆ อยู่บริเวณ หน่อออ้ ย และพบระบาดไดม้ ากในสภาพภูมิอากาศท่อี ุณหภมู ิค่อนข้างสงู ความชืน้ ตา่ และไม่มฝี น 9. ด้วงหนวดยาว ตัวหนอนมีอายุอยู่ในดิน 1-2 ปี พบอาศัยกัดกินอยู่ภายในลาต้นอ้อย โดย สามารถเขา้ ทาลายต้งั แต่ระยะท่อนพันธ์ุอ้อยทาใหอ้ อ้ ยไม่งอก เม่ืออ้อยอายุ 1-3 เดือน หนอนกัดกินอยู่ บริเวณโคนท่ีติดกับเหง้า และเม่ืออ้อยโตข้ึน อาจพบตัวหนอนกัดกินอยู่ภายในลาต้นอ้อย โดยอาจสูง จากโคนออ้ ยขนึ้ ไปประมาณ 40 เซนตเิ มตร ทาให้ออ้ ยตายและหกั ล้ม 10. ปลวก จะเข้าทาลายอ้อยในทุกระยะการเจริญเติบโตโดยในระยะท่อนพันธุ์อาจกัดกินจน ทอ่ นพันธไุ์ ม่งอก ในระยะทอี่ อ้ ยโต ปลวกจะกัดกินบริเวณต่ากว่าผิวดินเล็กน้อยและเข้าไปในลาต้นเป็น โพรงสูงข้นึ ไปเร่ือย ๆ โดยเน้ืออ้อยที่ถกปลวกกนิ จะมดี นิ เข้าไปบรรจุแทนท่ี ทาใหอ้ อ้ ยหักล้มได้
112 |ดรณุ ี พวงบตุ ร สถานการณก์ ารผลติ และการตลาดของออ้ ย 1. สถานการณ์การผลติ ออ้ ยของโลก จากการวิเคราะห์พื้นเก็บเกี่ยวอ้อยของโลก ในช่วงปี 2556-2559 พบว่าพ้ืนท่ีปลูกมีแนวโน้ม เพมิ่ ข้นึ อย่างตอ่ เน่ือง โดยประเทศทม่ี พี ้ืนที่เก็บเก่ียวอ้อย 10 อันดับแรกของโลก ได้แก่ บราซิล อินเดีย จีน ไทย ปากีสถาน เม็กซิโก อินโดนีเซีย ออสเตรเลีย คิวบา และโคลัมเบีย (ภาพท่ี 5-9) โดยประเทศ บราซิล มีพ้ืนที่เก็บเก่ียวสูงสุด 60 ล้านไร่ มี รองลงมา คือ อินเดีย (30 ล้านไร่) และจีน (10.5 ล้านไร่) สาหรบั ประเทศไทยมพี นื้ เกบ็ เกีย่ วอยู่อันดับท่ี 4 โดยมีพื้นทเี่ กบ็ เกยี่ ว 9.6 ล้านไร่ (FAO, 2017) ภาพท่ี 5-9 พืน้ ที่ปลกู อ้อยของประเทศ 10 อันดบั แรกของโลกในปีการผลิต 2556-59 ทีม่ า: FAO (2017) จากการวิเคราะห์สถานการณ์การผลผลิตอ้อยของโลก ในช่วงปี 2555-2556 พบว่าผลผลิตมี แนวโน้มเพิ่มข้ึน และหลังจากปี 2556-59 มีผลผลิตคงท่ี (ภาพท่ี 5-10) โดยประเทศท่ีมีผลผลิตอ้อย มากที่สุด คือ ประเทศบราซิล พบว่ามีผลผลิต 768 ล้านตัน รอลงมา คือ ประเทศอินเดีย มีผลผลิต 348 ล้านตัน สาหรับประเทศไทยมีผลผลิตอยู่อันดับท่ี 4 โดยมีพื้นที่เก็บเก่ียว 87 ล้านตัน (FAO, 2017) นอกจากน้ียังพบว่าโคลัมโบมีผลผลิตต่อพื้นที่สูงสุด คือ 14 ตันต่อไร่ รองลงมา คือ ประเทศ ออสเตรเลียและบราซลิ โดยมผี ลผลิตต่อพ้ืนท่ี 12.3 และ 12.0 ตันต่อไร่ ส่วนประเทศไทยมีผลผลิตต่อ พื้นท่ีอยู่ที่ 10 ตันต่อไร่ (ภาพท่ี 5-11) จากข้อมูลชี้ให้เห็นว่าประเทศบราซิลมีผลผลิตรวมสูงที่สุด เนื่องจากมพี นื้ ทป่ี ลูกมากทส่ี ุด ประกอบกับมีผลผลติ ตอ่ พืน้ ท่ีอยใู่ นระดบั ทีสูงดว้ ย
พชื ไรเ่ ศรษฐกจิ | 113 รปู ที่ 5-10 ผลผลติ อ้อยของประเทศ 10 อันดับแรกของโลกในปีการผลิต 2556-59 ที่มา: FAO (2017) รปู ที่ 5-11 ผลผลติ ตอ่ พืน้ ท่ีอ้อยของประเทศ 10 อนั ดับแรกของโลกในปีการผลิต 2556-59 ทีม่ า: FAO (2017)
114 |ดรณุ ี พวงบตุ ร สาหรับการผลติ นา้ ตาล ในปี 2555–2559 ผลผลติ น้าตาลทรายดิบของโลกลดลงร้อยละ 0.92 ต่อปี จากปริมาณ 172.35 ล้านตัน ในปี 2554/55 ลดลงเหลือ 164.92 ล้านตัน ในปี 2558/59 เนอื่ งจากประเทศผู้ผลติ ท่ีสาคญั ได้แก่ บราซลิ อนิ เดีย ไทย และจนี ผลติ ได้ลดลง (ตารางที่ 4-1) สาหรับปี 2559 ผลผลิตน้าตาลทรายดิบของโลกลดลงจาก 177.22 ล้านตัน ในปี 2558 ร้อย ละ 6.94 ส่วนในปี ปี 2560 กระทรวงเกษตรสหรัฐฯ (USDA, 2016) ประมาณการผลผลิตน้าตาล ทรายดิบของโลกมีปริมาณ 169.33 ล้านตัน เพ่ิมข้ึนจาก 164.92 ล้านตัน ในปี 2559 ร้อยละ 2.67 เน่ืองจากประเทศผู้ผลิตท่ีสาคัญหลายประเทศ ได้แก่ บราซิล สหภาพยุโรป ไทย และจีน ผลิตน้าตาล ได้เพมิ่ ข้นึ (ตารางท่ี 5-1) 2. สถานการณก์ ารตลาดออ้ ยของโลก 2.1 ความต้องการบริโภค ในปี 2555–2559 การบริโภคน้าตาลทรายดิบของโลกเพ่ิมขึ้นร้อยละ 1.77 ต่อปี จากปริมาณ 159.60 ล้านตัน ในปี 2555 เพ่ิมข้ึนเป็น 171.80 ล้านตัน ในปี 2559 เนื่องจากความต้องการบริโภค นา้ ตาลของประเทศในภมู ภิ าคเอเชียเพิม่ ขน้ึ โดยเฉพาะประเทศอินเดีย (ตารางท่ี 5-1) สาหรับปี 25559 ปริมาณความต้องการบริโภคน้าตาลทรายดิบของโลกเพ่ิมข้ึนจาก 170.44 ลา้ นตัน ในปี 2558 ร้อยละ 0.80 ส่วนในปี 2560 คาดว่าการบริโภคน้าตาลของโลกมีปริมาณ 173.64 ล้านตัน เพิม่ ขึ้นจาก 171.80 ลา้ นตัน ในปี 2559 รอ้ ยละ 1.07 โดยคาดวา่ ความตอ้ งการบริโภคน้าตาล ของประเทศอนิ เดีย จีน บราซิล และสหรัฐอเมริกา มแี นวโนม้ เพิ่มข้นึ (ตารางที่ 5-1) 2.2 การสง่ ออก ในปี 2555–2559 การสง่ ออกน้าตาลทรายดบิ ของโลกลดลงร้อยละ 0.16 ต่อปี 54.99 ลา้ น ตนั ในปี 2555 ลดลงเหลือ 54.87 ล้านตัน ในปี 2558/59 เน่ืองจากประเทศออสเตรเลีย กวั เตมาลา และเม็กซโิ ก ผลิตนา้ ตาลไดล้ ดลง สาหรับปี 2559 ปริมาณส่งออกน้าตาลทรายดิบของโลกลดลงจาก 55.03 ลา้ นตัน ในปี 2558 รอ้ ยละ 0.29 ส่วนในปี 2560 คาดวา่ การสง่ ออกนา้ ตาลของโลกมีปรมิ าณ 55.63 ลา้ นตัน เพ่ิมข้ึนจาก 54.87 ลา้ นตนั ในปี 2559 รอ้ ยละ 1.39 เนอ่ื งจากประเทศผผู้ ลติ ท่ีสาคญั ของโลก ได้แก่ บราซิล ไทย ออสเตรเลีย กัวเตมาลา และเม็กซิโก ผลิตนา้ ตาลได้มากข้นึ และเพยี งพอตอ่ ความต้องการใช้ในประเทศ จึงมนี า้ ตาลเหลือส่งออกเพิ่มข้ึน (ตารางที่ 5-1)
พชื ไร่เศรษฐกิจ| 115 2.3 การนาเข้า ในปี 2555–2559 การนาเข้าน้าตาลทรายดิบของโลกเพิ่มข้ึนร้อยละ 2.11 ต่อปี จากปริมาณ 48.56 ล้านตัน ในปี 2555 เพิ่มขึ้นเป็น 54.44 ล้านตัน ในปี 2559 เนื่องจากต้องการเพ่ิม ปริมาณ สตอ็ กนา้ ตาลภายในประเทศ เพื่อลดความเส่ียงจากความผันผวนด้านราคาของประเทศผู้นาเข้าสาคัญ ของโลก ไดแ้ ก่ จีน สหภาพยุโรป อนิ โดนเี ซีย และสหรฐั อาหรับเอมเิ รตส์ (ตารางท่ี 5-1) สาหรับปี 2559 ปริมาณนาเข้าน้าตาลทรายดิบของโลกเพ่ิมขึ้นจาก 50.88 ล้านตัน ในปี 2557/58 ร้อยละ 7.00 ส่วนในปี 2560 คาดว่าการน้าเข้าน้าตาลของโลกมีปริมาณ 55.62 ล้านตัน เพิ่มขึนจาก 54.44 ล้านตนั ในปี 2558/59 รอ้ ยละ 2.17 ตารางท่ี 5-1 ผลผลติ การบรโิ ภค การสง่ ออก และการนาเข้าของน้าตาลของโลก ปี 2555-60 หนว่ ย: ล้านตันนา้ ตาลทรายดิบ ปี ผลผลิต การบรโิ ภค การส่งออก การนาเขา้ 2555 172.35 159.65 54.99 48.56 2556 177.96 165.66 55.69 51.88 2557 176.12 166.95 57.88 51.35 2558 177.22 170.44 55.03 50.88 2559 164.92 171.80 54.87 54.44 2560* 169.33 173.64 55.63 55.62 ทมี่ า: USDA (2016) * ตัวเลขประมาณการโดย USDA 3. สถานการณ์การผลิตอ้อยของไทย ในปี 2555–2559 เนื้อที่เก็บเก่ียวเพิ่มขึ้นร้อยละ 2.75 ต่อปี โดยปี 2555 มีเน้ือท่ีเก็บเกี่ยว 8.01 ล้านไร่ เพิ่มข้ึนเป็น 8.91 ล้านไร่ ในปี 2559 เนื่องจากมีการส่งเสริมการปลูกอ้อยจากโรงงาน นา้ ตาลและภาครัฐ เพ่อื ให้เกษตรกรขยายพ้ืนทเี่ พาะปลูกเพ่ิมข้ึน (ตารางท่ี 5-2) พ้ืนที่ปลูกอ้อยที่สาคัญในประเทศไทย อยู่ในจังหวัด กาแพงเพชร นครสวรรค์ อุดรธานี กาญจนบุรี และนครราชสมี า (ภาพท่ี 5-12) สาหรับผลผลิตและผลผลิตต่อไร่ของอ้อยโรงงานลดลงร้อยละ 0.28 และร้อยละ 2.93 ต่อปี ตามลาดับ โดยมีผลผลิต 98.40 ล้านตัน และผลผลิตต่อไร่เฉลี่ย 12.28 ตัน ในปี 2555 ลดลงเหลือ 94.14 ล้านตัน และ 10.57 ตัน ในปี 2559 (ตารางที่ 5-2) เน่ืองจากบางพ้ืนท่ีประสบปัญหาภัยแล้ง ฝนท้ิงชว่ ง และการระบาดของโรคใบขาวทาใหต้ ้นออ้ ยเจริญเติบโตไมด่ ี (สานกั งานเศรษฐกิจการเกษตร , 2560b)
116 |ดรุณี พวงบตุ ร ภาพท่ี 5-12 พื้นทปี่ ลูกอ้อยของไทย ทม่ี า: สานกั งานเศรษฐกจิ การเกษตร (2560a) สาหรับปี 2560 มีเนื้อที่เก็บเก่ียว 9.07 ล้านไร่ ผลผลิต 105.15 ล้านตัน และผลผลิตต่อไร่ 11.60 ตัน เพ่ิมขึ้นจาก 8.91 ล้านไร่ ผลผลิต 94.14 ล้านตัน และผลผลิตต่อไร่ 10.57 ตัน ในปี 2559 ร้อยละ 1.80 ร้อยละ 11.70 และร้อยละ 9.74 ตามลาดับ เน่ืองจากโรงงานน้าตาลมีการส่งเสริมการ ปลูกอ้อย และมีนโยบายภาครัฐส่งเสริมให้เกษตรกรปรับเปล่ียนการปลูกพืชที่เหมาะสม เกษตรกร เลือกใช้ท่อนพันธ์ุท่ีดี มีการดูแลรักษาจัดหาแหล่งน้า และบารุงใส่ปุ๋ย ประกอบกับสภาพอากาศที่ เอื้ออานวย ปรมิ าณนา้ ฝนปกติ (สานกั งานเศรษฐกจิ การเกษตร, 2560a) ใน ปี 2555–2559 ผลผลิตน้าตาลเพิ่มขึ้นร้อยละ 0.32 ต่อปี จากปริมาณ 10.25 ล้านตัน ใน ปี 2555 และเพิ่มขึ้น ในปี 2557 และปี 2558 แล้วลดลงเหลือ 9.79 ล้านตัน ในปี 2559 คิดเป็น สาหรับปี 2559 ผลผลติ น้าตาลลดลงจาก 11.34 ลา้ นตนั เป็น 9.79 ในปี 2558 คิดเป็นรอ้ ยละ 13.67
พืชไรเ่ ศรษฐกจิ | 117 ตารางท่ี 5-2 เน้อื ทเี่ พาะปลกู ผลผลติ ผลผลิตต่อไร่ และผลผลติ นา้ ตาลของไทย ปี 2555–2560 ปี พนื้ ทเ่ี ก็บเกี่ยว ผลผลิต ผลผลติ ต่อไร่ ผลผลติ น้าตาล (ล้านไร)่ (ลา้ นตัน) (ตนั ) (ลา้ นตนั ) 2555 8.01 98.40 12.28 10.25 12.12 10.02 2556 8.26 100.10 12.26 11.33 12.15 11.34 2557 8.46 103.70 10.57 9.79 11.60 10.94 2558 8.76 106.33 2559 8.91 94.14 2560* 9.07 105.15 * ประมาณการโดยสานักงานเศรษฐกจิ การเกษตร ท่ีมา: สานกั งานเศรษฐกจิ การเกษตร (2560a) 4. สถานการณ์การตลาดออ้ ยของไทย 4.1 ความตอ้ งการใช้ ในปี 2555 - 2559 การบริโภคน้าตาลภายในประเทศ และความต้องการใช้ใน ภาคอุตสาหกรรมเพิ่มข้ึนร้อยละ 1.63 ต่อปี จาก 2.46 ล้านตัน ในปี 2556 เพ่ิมขึ้นเป็น 2.60 ล้านตัน ในปี 2560 (ตารางที่ 5-3) สาหรับปี 2560 การบริโภคน้าตาลภายในประเทศมีจานวน 2.60 ล้านตัน ทรงตัวเท่ากับปี 2559 เนื่องจากความต้องการใช้ในภาคอุตสาหกรรม และการขยายการลงทุนใน อุตสาหกรรมอาหารและเคร่ืองดื่มใกลเ้ คียงกบั ปีท่ผี ่านมา 4.2 การส่งออก ในปี 2556 - 2560 การส่งออกน้าตาลและมูลค่าของประเทศไทยเพ่ิมขึ้นร้อยละ 4.52 และ รอ้ ยละ 6.92 ตอ่ ปี ตามลาดบั จากปริมาณ 5.99 ล้านตนั มูลค่า 85,495 ล้านบาท ในปี 2556 เพิ่มข้ึน เปน็ 7.43 ล้านตัน มูลคา่ 121,369 ลา้ นบาท (ตวั เลขคาดการณ)์ ในปี 2560 สาหรับปี 2560 ปริมาณการส่งออกเพิ่มขึน้ จาก 6.36 ลา้ นตัน มลู คา่ 85,209 ล้านบาท ในปี 2559 ร้อยละ 16.82 และรอ้ ยละ 42.44 ตามลาดับ 4.3 การนาเข้า น้าตาลท่ีนาเข้าส่วนใหญ่ของประเทศไทย จะเป็นน้าตาลทรายชนิดพิเศษท่ีไม่มีการผลิต ภายในประเทศและมีปริมาณนาเข้าไม่แน่นอน โดยปี 2556 - 2560 การนาเข้าเพิ่มข้ึนร้อยละ 38.32 ต่อปี จากปริมาณ 314 ตัน มูลค่า 11 ล้านบาท ในปี 2556 เป็น 700 ตัน มูลค่า 28 ล้านบาท ในปี 2560 สาหรบั ในปี 2560 ปริมาณและมลู คา่ การนาเขา้ ลดลงจาก 2,192 ตันมูลคา่ 47 ลา้ นบาท ในปี 2559 ร้อยละ 68.07 และรอ้ ยละ 40.70 ตามลาดับ
118 |ดรณุ ี พวงบตุ ร ตารางที่ 5-3 ปรมิ าณการบริโภคในประเทศและการสง่ ออกน้าตาลของไทย ปี 2555–2560 ปี บรโิ ภคในประเทศ (ลา้ นตนั ) การสง่ ออก (ล้านตัน) การนาเข้า (ตนั ) 2555 2.46 6.85 560 314 2556 2.46 5.99 425 499 2557 2.47 6.29 2,500 700 2558 2.48 7.59 2559 2.60 6.36 2560* 2.60 7.43 * ตัวเลขประมาณ ทม่ี า: สานักงานคณะกรรมการออ้ ยและน้าตาลทราย (2560) 4.4 ราคาที่เกษตรกรขายได้ ราคาออ้ ยที่เกษตรกรขายไดป้ รับตวั ในทศิ ทางเดียวกับราคาน้าตาลในตลาดโลก โดยราคาอ้อย ทีเ่ กษตรกรขายได้ ณ ไร่นา ในช่วงปี 2556–2560 ลดลงร้อยละ 0.94 ต่อปี อย่างไรก็ดีราคาน้าตาลใน ตลาดโลกที่ปรับตัวสูงขึ้นในปี 2559 ทาให้ราคาอ้อยของปี 2560 ปรับตัวเพ่ิมข้ึนด้วย จาก 917 บาท ต่อตนั ในปี 2556 เพิ่มขึ้นเป็น 942 บาทต่อตัน ในปี 2560 และราคาอ้อยขั้นสุดท้ายในช่วงปี 2556 – 2559 ลดลงรอ้ ยละ 4.78 ต่อปี จาก 999 บาทตอ่ ตนั ในปี 2555/56 ลดลงเหลือ 881 บาทต่อตัน ในปี 2559 สาหรบั ปี 2560 ราคาอ้อยข้ันตน้ 1,050 บาทตอ่ ตนั ณ ระดบั ความหวานที่10 ซี.ซี.เอส. โดยมี อตั ราข้ึน/ลงของราคาต่อความหวาน 1 ซี.ซี.เอส. เท่ากับ 63.00 บาทต่อตัน เพิ่มขึ้นจาก 808 บาทต่อ ตนั ณ ระดบั ความหวานที่10 ซ.ี ซี.เอส. โดยมีอัตราขึ้น/ลงของราคาต่อความหวาน 1 ซี.ซี.เอส. เท่ากับ 48.48 บาทต่อตัน ในปี 2559 หรือราคาอ้อยขนั้ ต้นเพ่มิ ขน้ึ ร้อยละ 29.95 4.5 ราคาส่งออกน้าตาล ในปี 2556 - 2560 ราคาสง่ ออกนา้ ตาลทรายดบิ เพ่ิมขนึ้ ร้อยละ 1.53 ต่อปี จาก 13,167 บาท ต่อตนั ในปี 2556 เพิ่มข้ึนเป็น 15,069 บาทต่อตัน ในปี 2560 และราคาสง่ ออกนา้ ตาลทรายขาว ปี 2556 - 2560 เพ่ิมขน้ึ รอ้ ยละ 2.77 ต่อปี จาก 15,449 บาทตอ่ ตัน ในปี 2556 เพ่มิ ขึ้นเป็น 17,511 บาทตอ่ ตนั ในปี 2560 สาหรับปี 2560 ราคาสง่ ออกน้าตาลทรายดิบเพิม่ ขนึ้ จาก 11,669 บาทตอ่ ตนั ในปี 2559 ร้อยละ 29.14 และราคาส่งออกนา้ ตาลทรายขาวเพิ่มขึ้นจาก 15,393 บาทตอ่ ตัน ในปี 2559 รอ้ ยละ 13.76
พืชไรเ่ ศรษฐกจิ | 119 ผลติ ภัณฑแ์ ละผลพลอยจากออ้ ย อ้อยใช้เป็นวัตถุดิบในการผลิตน้าตาล และอุตสาหกรรมอีกหลายชนิด โดยในกระบวนการ ผลิตน้าตาลน้ัน นอกจากจะได้น้าตาลเป็นผลิตภัณฑ์หลักแล้ว ยังมีผลพลอย (by product) ได้อีก หลายชนิด ท่ีสามารถนาไปใช้ในการต่อยอดอุตสาหกรรมต่าง ๆ ได้แก่ กากน้าตาลหรือโมลาส (molasses) ชานออ้ ยหรือกากอ้อย (bagasse) และข้หี ม้อกรอง (filter cake) ดงั ภาพที่ 5-13 ภาพที่ 5-13 ผลิตภณั ฑ์และผลพลอยจากอ้อย ท่ีมา: บรษิ ัทมิตรผล จากัด (2017) ผลิตภณั ฑ์หลักจากออ้ ย คือน้าตาล โดยอ้อย 1 ตนั สามารถผลิตน้าตาลทรายได้ 100 กิโลกรัม โดยน้าตาลท่ผี ลติ ได้ จะแบง่ ออก เปน็ 3 ประเภท ดงั น้ี นา้ ตาล • น้าตาลทรายขาว/ ขาวบริสุทธ์ิ ที่ กอน. กาหนดให้โรงงานน้าตาลผลิตเพ่อื บรโิ ภคในประเทศ โควตา ก. ปจั จบุ ันประมาณ 2.5 ล้านตนั นา้ ตาลทราย น้าตาล • น้าตาลทรายดบิ ท่ี กอน. กาหนดใหโ้ รงงานนา้ ตาลผลิตแลว้ สง่ มอบให้ บ.อ้อยและน้าตาลไทย โควตา ข จก. เพอื่ สง่ ออก นา้ ตาล • นา้ ตาลทรายดบิ หรือ นา้ ตาลทรายขาว หรือ น้าตาลทรายขาวบรสิ ุทธ์ทิ ่ี กอน. กาหนดให้ โควตา ค. โรงงานนา้ ตาลผลติ เพื่อสง่ ออกไดห้ ลงั จากที่ไดผ้ ลติ นา้ ตาลโควตา้ ก. และ ข. ครบแลว้
120 |ดรณุ ี พวงบตุ ร น้าตาลทรายดิบ (raw sugar) เป็นผลิตภัณฑ์ที่ได้จากอ้อย โดยผ่านกระบวนการผลิตขั้นต้น ซึ่งประกอบด้วยกระบวนการหีบสกัดน้าอ้อย, กระบวนการทาใส, การต้มน้าอ้อย, การเค่ียวและทาให้ เกดิ ผลกึ ผลิตภัณฑท์ ีไ่ ด้จะมีคุณภาพไม่สูงมากนัก ชานอ้อยหรือกากอ้อย (bagasse) เป็นผลพลอยได้ ท่ีได้จากกระบวนการหีบอ้อย กากอ้อย เป็นชีวมวลประเภทหนึ่งท่ีมีคุณสมบัติเหมาะสมสาหรับการเผาไหม้ จึงถูกนามาใช้เป็นเชื้อเพลิงเพื่อ ผลิตพลังงานไฟฟูาโดยผ่านกระบวนการเผาไหม้ในหม้อต้มไอน้า ซ่ึงในปัจจุบันบริษัทน้าตาลส่วนใหญ่ ไดม้ ีการนาชานออ้ ย ไปใชใ้ นการผลติ พลังงานไฟฟูา เพ่ือใชภ้ ายในโรงงานน้าตาล โรงงานไฟฟูา และส่ง ขายให้การไฟฟูา โดยประเทศไทย สามารถผลิตกรแสไฟฟูาจากชานอ้อยได้ถึงปีละ 3,885 ล้าน กิโลวัตต์ โดยกลุ่มบริษัทน้าตาลมิตรผล เป็นผู้ผลิตรายใหญ่ท่ีสุด และยังมีการนาชานอ้อยไปใช้ในการ ผลิตเป็นผลิตภัณฑ์ไบโอพลาสติก (bioplastics) หรือพลาสติกชีวภาพย่อยสลายได้ ช่วยลดปัญหา มลพิษในสิ่งแวดลอ้ ม ในปจั จบุ ันมีการนามาใช้ทดแทนการใช้พลาสติกอยา่ งแพรห่ ลาย โมลาส (molass) เป็นผลพลอยที่ได้จากกระบวนการผลิตน้าตาลทราย ซึ่งไม่สามารถจะตก ผลึกนา้ ตาลไดอ้ กี ลกั ษณะเป็นของเหลวเหนียวข้น สีน้าตาลเข้ม ซึ่งมีการนาไปใช้ในการผลิตเป็นเอทา นอลเป็นหลกั ที่นาไปใชเ้ ปน็ พลงั งานทดแทนในการผลิตน้ามันแก๊สโซฮอล์ แต่อย่างไรก็ตามในบางช่วง ท่ีมีผลผลิตอ้อยเข้าสู่โรงงานในปริมาณท่ีน้อย ทาให้มีปริมาณโมลาสไม่เพียงพอต่อการผลิตเอทานอล โดยเฉพาะในช่วงต้นหีบ คือช่วงเดือนธันวาคม-มกราคม และช่วงปลายหีบคือช่วงเดือนมีนาคม- เมษายน ทาใหบ้ างบริษัทมกี ารนาพชื ทีม่ ศี ักยภาพ ที่สามารถนามาใช้ในการผลิตเอทานอลได้ ก็คือข้าว ฟาุ งหวาน ซ่งึ ทดแทนการผลติ เอทานอลจากอ้อยได้ในชว่ งท่ีมีอ้อยเขา้ สู่โรงงานน้อย นอกจากนี้ยังมีการนาเอทานอลที่ผลิตได้จากโมลาสไปใช้ในการผลิตสุรา และน้าส้มสายชู และในกระบวนการผลิตเอทานอลจากโมลาส ยังได้กากน้าตาลหรือน้าวีนัส ซึ่งมีโปรตีนสูง สามารถ นาไปใช้ในการเล้ียงสตั ว์ และยงั มสี ่วนที่ชว่ ยในการปรับปรุงบารุงดิน ทาให้พืชมีการเจริญเติบโตดี จึงมี การนาไปใช้ในการรดแปลงปลูกอ้อยกันอย่างแพร่หลาย และยังพบว่ามีการสกัดสารสารประกอบ ฟินอลิกจากโมลาส เพื่อนาไปใช้ในการผลิตเป็นผลิตภัณฑ์เครื่องสาอาง ซ่ึงผลิตภัณฑ์ดังกล่าวยังอยู่ใน ขั้นตอนการศกึ ษาความเปน็ ไปไดท้ างการตลาด จากกระบวนการผลิตน้าตาลจากอ้อย ชี้ให้เห็นว่าผลพลอยได้ท่ีเป็นชานอ้อยและโมลาส สามารถนาไปใช้เป็นวตั ถุในการผลิตเป็นผลิตภัณฑ์มากมายหลายชนิดดังที่กล่าวมาข้างต้น แสดงให้ถึง การนาวัสดุเหลือใช้ทางการเกษตรมาใช้ให้เกิดประโยชน์สูงสุดและมีความม่ันคงทางการผลิตใน ภาคอุตสาหกรรมการเกษตร ก่อให้เกิดรายได้จานวนมหาศาล ซ่ึงจะส่งผลต่อเกษตรกรผู้ปลูกอ้อย ทา ใหส้ ามารถขายผลผลติ ออ้ ยไดใ้ นราคาทด่ี ีขนึ้ ต่อไปในอนาคต
พืชไรเ่ ศรษฐกิจ| 121 สรุป ออ้ ยเป็นพชื เศรษฐกิจสาคัญท่ีสาคัญของประเทศไทย เพราะใช้เป็นวัตถุดิบในการผลิตน้าตาล และอุตสาหกรรมอีกหลายชนิด โดยในกระบวนการผลิตน้าตาลน้ัน นอกจากจะได้น้าตาลเป็น ผลิตภัณฑ์หลักแล้ว ยังมีผลพลอย (by product) ได้อีกหลายชนิด ที่สามารถนาไปใช้ในการต่อยอด อุตสาหกรรมต่าง ๆ ได้แก่ กากน้าตาลหรือโมลาส (molasses) ชานอ้อยหรือกากอ้อย (bagasse) และข้ีหมอ้ กรอง (filter cake) โดยเฉพาะส่วนของชานอ้อยและโมลาส ท่ีมีการนาไปใช้เป็นวัตถุดิบในการผลิตใน อุตสาหกรรมที่สาคัญ ที่มีเป็นการสร้างมูลค่าเพ่ิมและสร้างรายได้เป็นจานวนมากในแต่ละปี เช่น การ ใช้ชานอ้อยในการผลติ พลงั งานไฟฟาู ชีวมวล การใช้โมลาสในอุตสาหกรรมการผลิตเอทานอล การผลิต ผงชูรส น้าส้มสายชู อาหารเล้ยี งสัตว์ เป็นตน้ จากสถติ ิ ช้ใี หเ้ ห็นวา่ ประเทศมพี นื้ ที่การผลิตอ้อยอยู่อันดับ 4 ของโลก แต่มีการส่งออกน้าตาล อย่อู นั ดบั ท่ี 2 ของโลก รองจากบราซิล สาหรบั อตุ สาหกรรมน้าตาลในไทย ปจั จบุ ันมีโรงงานน้าตาล 51 โรง กาลังการผลิตรวม 105.96 ล้านตัน โดยผลิตน้าตาลได้ 11.34 ล้านตัน มีผู้ประกอบการที่สาคัญ คือ กลมุ่ มิตรผลและกลมุ่ ไทยร่งุ เรือง ซ่ึงทั้ง 2 กลุม่ ซ่ึงเป็นผสู้ ่งออกสาคัญอนั ดับต้น ๆ ของโลก
122 |ดรณุ ี พวงบตุ ร แบบฝึกหดั ทา้ ยบท 1. ประเทศไทย เปน็ ผผู้ ลิตอ้อยอันดับที่เทา่ ไหรข่ องโลก และมีพ้นื ปลูกเท่าไหร่ 2. แหล่งปลกู อ้อยทีส่ าคัญของประเทศไทยอยภู่ าคไหน จงั หวัดอะไรบา้ ง 3. ประเทศไทยมแี นวโนม้ การปลูกอ้อยเปน็ อย่างไร และแนวโนม้ ผลผลติ เฉล่ียตอ่ ไรเ่ ป็นอยา่ งไร 4. จงบอกการใช้ประโยชน์จากอ้อย มอี ะไรบ้าง 5. จงบอกผลิตภณั ฑ์จากอ้อยและผลพลอยได้ทสี่ าคัญ
พชื ไรเ่ ศรษฐกิจ| 123 เอกสารอา้ งองิ กรมวิชาการเกษตร. (2547). อ้อย. กรมวิชาการเกษตร. (2547). อ้อย. [Online]. Available: http://agebook.lib.ku.ac.th/ index.php/component/content/article/556 [2017, January 10]. . กรมศุลกากร. (2560). สถิติการส่งออกน้าตาลทราย. [ Online]. Available: http://www.customs.go.th [2017, January 10]. ธวัช หะหมาน. (2559). คู่มือโรควินิจฉัยโรคอ้อย. สานักงานคณะกรรมการอ้อยและน้าตาลทราย. กระทรวงอตุ สาหกรรม. สานักงานคณะกรรมการอ้อยและน้าตาลทราย. (2560). สถานการณ์อ้อยและน้าตาลทราย ภายในประเทศ. กระทรวงอตุ สาหกรรม. สานักงานเศรษฐกิจการเกษตร. (2560a). สถิติการเพาะปลูกของประเทศไทย ปี 2560. กระทรวง เกษตรและสหกรณ์. สานักงานเศรษฐกิจการเกษตร. (2560b). สถานการณ์สินค้าเกษตรที่สาคัญและแนวโน้มปี 2560. กระทรวงเกษตรและสหกรณ์. Blackburn, F. 1984. Sugarcane. 1st edition. Longman, London and New York. Pp. 414. Daniels, J. and B.T. Roach. (1987). Taxonomy and evolution. In: Sugarcane Improvement through Breeding (ed. D.J. Heinz), Elsevier, Amsterdam. pp. 7–84. Daniels, J. and C. Daniels. (1993). Sugarcane in Prehistory. Archaeology in Oceania. 28: 1-7. Food and Agriculture Organization [FAO]. 2017. Food and Agriculture Organization. Corporate Statistical Database. Sugarcane. Rome. James G L. 2004. Sugarcane. 2ndEdition. AnIntroductiontoSugarcane. Blackwell. Oxford Sandhu, H.S., M.P. Singh, R.A. Gilbert, and D.C. Odero. (2009). Sugarcane botany: A brief view. Sugarcane Handbook. University of Florida. Smith, D.M., N.G. Inman-Bamber, and P.J. Thorburn. (2005). Growth and function of the sugarcane root system. Field Crops Research. 92: 169-183. United States Department of Agriculture [USDA]. 2016. Sugar: World Markets and Trade. [Online]. Available: https://apps.fas.usda.gov/psdonline/circulars/sugar. pdf [2017, January 12]. บริษัทมิตรผล จากัด. (2017). ผลิตภัณฑ์และผลพลอยจากอ้อย. Available: https://www.mitrphol.com [2017, January 12].
แผนการสอนประจาบทท่ี 6 ปาลม์ นามัน หัวข้อเนื้อหา ความสาคัญ สถานการณ์การผลติ และการตลาด การแปรรูปและผลิตภัณฑ์ 1.1 ปาล์มน้ามันและความสาคญั 1.2 ลักษณะทางพฤกษศาสตร์ 1.3 วธิ กี ารปลกู การเก็บเกย่ี ว 1.4 สถานการณ์การผลิตและการตลาด 1.5 ผลิตภัณฑจ์ ากการแปรรปู 1.6 สรปุ ประจาบท แบบฝกึ หดั ทา้ ยบทที่ 6 เอกสารอ้างอิง วัตถุประสงค์เชิงพฤติกรรม เมอ่ื เรยี นจบบทน้ีแล้ว ผเู้ รยี นสามารถ 1. อธบิ ายความสาคญั และลกั ษณะทางพฤกษศาสตร์ของปาลม์ น้ามนั 2. วเิ คราะหส์ ถานการณก์ ารเปลี่ยนแปลงการผลิตและการตลาดปาลม์ นา้ มัน ในปจั จบุ ันได้ 3. อธิบายเก่ียวกับวิธกี ารปลกู การดแู ลรักษา และเกบ็ เกย่ี วปาลม์ น้ามนั 4. สรุปสาระเกี่ยวกับการใช้เทคโนโลยกี ารผลติ การแปรรูปและผลิตภัณฑ์ปาล์มน้ามัน 5. ตระหนักถงึ มลู ค่าทางเศรษฐกจิ ของปาลม์ น้ามนั ทสี่ ร้างรายไดใ้ ห้กับประเทศ วธิ ีการสอนและกจิ กรรมประจาบทท่ี 6 1. ชีแ้ จงคาอธิบายรายวชิ า วัตถุประสงค์ เนอื้ หา และเกณฑ์การใหค้ ะแนนรายวชิ า 2. ทาแบบทดสอบก่อนเรียน 3. ผู้สอนอธิบายเน้อื หาเร่อื ง ความสาคัญของปาลม์ น้ามนั สถานการณ์การผลติ และการตลาด รวมถึงการแปรรูปและผลิตภัณฑจ์ ากปาล์มน้ามัน ตามเอกสารประกอบการสอน 4. บรรยายประกอบการฉายภาพสไลด์ (โปรแกรม Power Point) 5. ซักถาม และแลกเปล่ียนแนวคิด และเสนอแนะแนวความคิด 6. สรปุ เนื้อหาประจาบท 7. ใหผ้ ู้เรียนทาแบบฝกึ หัดท้ายบทประจาบทที่ 6 เร่ืองสถานการณก์ ารผลติ และการตลาด การแปร รูปและผลติ ภัณฑ์จากปาล์มน้ามนั และกาหนดสง่ 8. ชแี้ จงหัวข้อที่จะเรยี นในครัง้ ต่อไป เพือ่ ให้ผู้เรยี นไปศึกษากอ่ นลว่ งหน้า 9. เสรมิ สร้างคุณธรรมและจริยธรรมใหก้ ับนกั ศกึ ษาก่อนเลกิ เรียน
126 |ดรุณี พวงบตุ ร ส่อื การเรียนการสอน 1. เอกสารประกอบการสอน 2. เครอื่ งคอมพวิ เตอร์ 3. ภาพสไลด์ (โปรแกรม PowerPoint) 4. เคร่อื งฉายภาพสไลด์ 5. แบบทดสอบก่อนเรยี นผ่านระบบออนไลน์ (google form) 6. แบบทดสอบหลังเรยี นผ่านระบบออนไลน์ (kahoot) การวดั ผลและประเมนิ ผล 1. จากการทาแบบทดสอบก่อนเรยี นและหลังเรียนผ่านระบบออนไลน์ 2. จากการทาแบบฝึกหัดท้ายบท 3. จากการสอบปลายภาคการศึกษา
พืชไร่เศรษฐกิจ| 127 บทท่ี 6 ปาล์มนามัน ปาล์มนา้ มนั เปน็ พชื เศรษฐกจิ ของไทยท่ีมคี วามสาคัญดา้ นความมัน่ คงทางอาหารและพลังงาน ทดแทน โดยปาล์มน้ามันเป็นพืชท่ีมีบทบาทสาคัญในธุรกิจน้ามันพืชเพ่ือการบริโภคและเป็นวัตถุดิบ อุตสาหกรรมต่อเน่ืองอีกหลายอุตสาหกรรม เช่น สบู่ บะหม่ีก่ึงสาเร็จรูป นมข้นหวาน เนยเทียม ขนม ขบเคี้ยว เป็นต้น นอกจากน้ีปาล์มน้ามันยังจะมีบทบาทสาคัญในการใช้เป็นสวนผสมในการผลิตไบโอ ดีเซล ทาให้มีความต้องการใช้น้ามันปาล์มเพ่ิมขึ้น ส่งผลทาให้มีการขยายพ้ืนที่ปลูกปาล์มน้ามันเพิ่ม มากขึ้น ประกอบกับภาครัฐได้กาหนดยทุ ธศาสตร์ปาล์มน้ามัน ในการขยายพื้นที่ปลูกเพื่อทดแทนพื้นที่ ปลูกเก่า เพ่ือเพิ่มผลผลิตให้เพียงพอต่อความต้องการใช้เพื่อการบบริโภคและใช้เป็นพลังงานทดแทน ทาให้ประเทศไทยเป็นแหล่งปลูกปาล์มท่ีสาคัญของโลก โดยมีพ้ืนปลูกเป็นอันดับ 3 รองจากประเทศ อนิ โดนีเซียและมาเลเซยี ปาลม์ และความสาคัญ ปาล์มน้ามัน (oil palm) มีช่ือวิทยาศาสตร์ว่า Elaeis guineensis Jacq เป็นพืชตระกูล ปาล์มซ่ึงเป็นตระกูลเดียวกับมะพร้าว ตาลโตนด และอินทผาลัม (Palmae หรือ Arecaceae) ปาล์ม เปน็ พืชน้ามันท่ีมีความสาคัญทางเศรษฐกิจชนิดหน่ึง ท่ีมีศักยภาพในการผลิตน้ามันต่อพ้ืนท่ีสูงสุด เม่ือ เปรยี บเทยี บกบั พืชน้ามนั ชนดิ อนื่ ๆ ทาให้สัดส่วนของการผลิตน้ามันปาล์มสูงถึง 40% ของการผลิตพืช น้ามันในโลก โดยน้ามันปาล์มดิบท่ีได้ส่วนใหญ่มีการนาไปใช้ในอุตสาหกรรมอาหาร อุตสาหกรรมสบู่ อุตสาหกรรมเคร่ืองสาอางและยา อุตสาหกรรมฟอกหนัง อุตสาหกรรมอาหารสัตว์และใช้เป็น น้ามันหลอ่ ล่ืนเคร่อื งจกั รในอุตสาหกรรมสิง่ ทอและถลุงแร่ เป็นต้น สาหรับประเทศไทย ปาล์มน้าเป็นพืชไร่ท่ีมีศักยภาพสูงสุดในการสกัดน้ามันเมื่อเปรียบเทียบกับ พืชน้ามันชนิดอ่ืน เช่น ถั่วเหลือง ทานตะวัน ถั่วลิสง เป็นต้น โดยน้ามันปาล์มดิบท่ีสกัดได้นาไปใช้ใน การบริโภคโดยตรงสาหรับปรุงอาหารร้อยละ 65 ของการผลิตท้ังหมด และนาไปใช้ในการผลิตไบโอ ดเี ซล ซึง่ คาดว่าจะมคี วามตอ้ งการใช้น้ามนั ปาลม์ ดบิ จะเพ่ิมข้ึนอย่างต่อเน่ือง เน่ืองจากน้ามันปาล์มเป็น น้ามันพืชที่ราคาถูกกว่าน้ามันพืชชนิดอ่ืน ๆ ประกอบกับยังมีความต้องการใช้น้ามันปาล์มเพ่ือผลิต ไบโอดเี ซลเพ่มิ ขึ้น เนื่องจากคณะกรรมการนโยบายพลังงานแห่งชาติ มีมติเห็นชอบให้มีการใช้น้าไบโอ ดเี ซล B10 เปน็ พลงั งานทางเลือกภายในหนว่ ยงานราชการเพ่ิมขน้ึ ลกั ษณะทางพฤกษศาสตร์ ปาล์มน้ามัน เป็นพืชยืนต้นใบเล้ียงเด่ียว จัดอยู่ในตระกูลปาล์ม ลักษณะลาต้นเดี่ยว ขนาดลา ต้นประมาณ 12-20 น้ิว เม่ืออายุประมาณ 1-3 ปี ลาต้นจะถูกหุ้มด้วยโคนกาบใบ แต่เม่ืออายุมากขึ้น โคนกาบใบจะหลุดร่วงเห็นลาต้นชัดเจน ผิวของลาต้นคล้ายๆ ต้นตาล ลักษณะใบเป็นภาพก้างปลา
128 |ดรุณี พวงบตุ ร โคนกาบใบจะมีลักษณะเปน็ ซ่ี คลา้ ยหนามแต่ไม่คมมาก เม่ือไปถึงกลางใบหนามดังกล่าวจะพัฒนาเป็น ใบ การออกดอกเป็นพืชท่ีแยกเพศ คือต้นที่เป็นเพศผู้ก็จะให้เกสรตัวผู้อย่างเดียว ต้นท่ีให้เกสรตัวเมีย จึงจะตดิ ผล (ภาพท่ี 6-1) ปาล์มนา้ มนั มลี กั ษณะทางพฤกษศาสตร์ ดงั นี้ ใบ ผล เมลด็ เกสรตวั ผู้ ทลาย เกสรตวั เมยี ลาตน้ ภาพที่ 6-1 ลักษณะทางพฤกษศาสตร์ปาลม์ นา้ มนั ท่ีมา: Chao (2007) 1. ราก (root) รากเป็นระบบรากฝอย (fibrous root system) ประกอบด้วยราก 4 ชุด ได้แก่ รากแรก (primary root) ที่หย่ังลึกลงผิวดินช่วยยึดลาต้นบ้างเล็กน้อย และมีรากสอง (secondary root) ราก สาม (tertiary root) และรากสี่ (quaternary root) ท่ีแตกแขนงออกมาตามลาดับ ทอดไปตาม แนวนอน จะเป็นระบบรากสานกันอย่างหนาแน่นอยู่บริเวณผิวดินระดับลึก 30 - 50 เซนติเมตร โดย รากแต่ละชุดจะช่วยกนั ทาหน้าทีค่ า้ จนุ ตน้ และดดู ซบั น้าและสารอาหาร (ภาพท่ี 6-2) ภาพท่ี 6-2 ลักษณะรากปาล์มน้ามัน ท่ีมา: Chao (2007)
พชื ไรเ่ ศรษฐกจิ | 129 2. ลาต้น (trunk) ปาล์มน้ามนั มีลาต้นตัง้ ตรง มียอดเดีย่ วภาพกรวยประกอบด้วยใบอ่อนและเน้ือเย่ือเจริญ ทางใบ บนลาตน้ มีการจดั เรียงตวั เวยี นตามแกนลาตน้ รอบละ 8 ทาง ใบ 2 ทิศทาง คือเวียนซ้ายและเวียนขวา (ภาพที่ 6-3) ภาพที่ 6-3 ลกั ษณะลาตน้ ปาลม์ นา้ มนั ท่ีมา: ผเู้ ขยี น 3. ใบ (leaf) ในระยะแรกของต้นกลา้ มใี บท่ีเรยี กว่า plumular sheath จานวน 2 ใบ หลงั จากนั้นจะมีใบ จรงิ เจริญเติบโตออกมาใบแรกซึ่งมีภาพรา่ งแบบ lanceolate โดยมเี สน้ กลางแบง่ แยกออกเปน็ สอง ทาง แตย่ งั คงมใี บย่อยตดิ กันอยู่ ใบปาล์มนา้ มันประกอบด้วยแกนทางใบ ก้านใบ และใบย่อย ลักษณะ เป็นใบประกอบภาพขนนก (pinnate) แบ่งออกได้ 2 สว่ นคอื สว่ นแกนกลางจะมใี บย่อยอยู่ 2 ขา้ ง และสว่ นกา้ นทางจะมหี นามสั้นๆ อยู่ 2 ข้าง (ภาพท่ี 6-4) ภาพท่ี 6-4 ลักษณะใบปาลม์ น้ามนั ทมี่ า: Barreveld (1993)
130 |ดรุณี พวงบุตร 4. ชอ่ ดอกและดอก (inflorescences) ปาล์มน้ามันเป็นพืชพวก Monoecious plant คือมีทั้งช่อดอกตัวผู้ (male inflorescences) และช่อดอกตัวเมีย (female inflorescences) อยู่ในต้นเดียวกัน ลักษณะการเกิดช่อดอกซึ่งจะเป็น เพศใดเพศหน่ึงในช่วงระยะเวลา 4 ถึง 5 เดือน จานวนช่อดอกท่ีเกิดในแต่ละช่วงมี จานวน 8 ถึง 10 ช่อ (ภาพท่ี 6-5) เกสรตัวผู้ เกสรตวั เมยี ภาพท่ี 6-5 ลักษณะดอกปาล์มน้ามัน ทมี่ า: Forero et al (2012) 5. ผลและเมลด็ (Fruit) ผลเป็นแบบ drupe เหมือนมะพร้าว ส่วนของ pericarp ซึ่งเป็นส่วนเปลือกของผล แบ่ง ออกเป็น 3 ส่วนอย่างชัดเจน คือ exocarp อยู่ด้านนอกสุด ผิวเป็นมันและแข็ง mesocarp (pulp) เป็นส่วนท่ีอยู่ถัดไปท่ีเป็นเส้นใย เป็นส่วนทีมีน้ามันสูง นาไปสกัดเป็นน้ามันปาล์ม (palm Oil) และ endocarp (กะลา) ลักษณะเป็นเปลือกแข็งสีดา เม่ือสกัดน้ามันจาก mesocarp ออกมาจะเหลือส่วน น้ซี ง่ึ ห่อหุ้มเมล็ดอยู่ สามารถส่งไปขายหรือเพ่ือสกัดสกัดเอาน้ามันปาล์มจากเมล็ด (palm kernel oil) ถัดจากสว่ นของ endocarp เป็นสว่ นของเมล็ดซ่งึ มเี ยือ่ หมุ้ เมล็ดสีน้าตาลหุ้มเอนโดเสปิร์มท่ีมีความแข็ง และแน่น มีน้ามันสูง มีสีเทาหรือขาว และจะพบส่วนของคัพภะบริเวณตาของผล (germ pore) (ภาพ ท่ี 6-6) ภาพที่ 6-6 ลกั ษณะผลและเมล็ดปาล์มน้ามนั ทม่ี า: พิมพ์เพ็ญและนิธยิ า (2017)
พืชไรเ่ ศรษฐกิจ| 131 ถ่นิ กาเนิดและสภาพแวดล้อม ปาล์มน้ามันมีถ่ินกาเนิดอยู่ในทวีปแอฟริกาและพบมากอยู่ทางฝ่ังตะวันตกของประเทศกินิ (Ergo, 1997) และได้นาเข้ามาปลูกในประเทศไทย โดยผ่านทางอินโดนีเซีย และมาเลเซีย เม่ือ ประมาณ พ.ศ. 2470 ที่สถานีทดลองยางคอหงษ์ จังหวัดสงขลา และสถานีกสิกรรมพลิ้ว จังหวัด จันทบุรี ส่วนการปลูก เพ่ือเป็นการค้า เริ่มต้นภายหลังสงครามโลกครั้งท่ี 2 ที่จังหวัดสงขลา แต่ก็ได้ ล้มเลิกกิจการไปจนกระท่ังในปี พ.ศ. 2511 ได้มีการส่งเสริมอีกคร้ังหน่ึง และพ้ืนที่เพาะปลูกขยายตัว ออก อย่างรวดเร็ว ในปี พ.ศ. 2530 มีเนื้อท่ีการปลูกน้ามัน 6 แสนไร่ โดยแยกออกเป็นสวนปาล์มของ บรษิ ทั ร้อยละ 57 สวนของเอกชนร้อยละ 28 และในสหกรณน์ ิคม ร้อยละ 15 พ้ืนท่ีเพาะปลูกปาล์มยัง ขยายตัวออกไปอีกทุกปี ปาล์มน้ามันเจริญเติบโต และให้ผลิตผลดีในสภาพอากาศท่ีร้อนและช้ืน มี ปริมาณน้าฝนตั้งแต่ 2,000 มิลลิเมตรต่อปีขึ้นไป จึงปลูกกันมากในภาคใต้ และชายฝ่ังทะเลด้าน ตะวันออกของอ่าวไทย ซึ่งพ้ืนที่ปลูกที่เหมาะสมต่อการปลูกปาล์มน้ามันอยู่บริเวณเส้นศูนย์สูตร อยู่ ระหว่างเสน้ ร้งุ ท่ี 10 องศาเหนอื และใต้ ส่วนใหญ่พ้ืนท่ีปลูกปาล์มน้ามันเป็นพ้ืนท่ีประเทศในแถบเอเชีย ตะวนั ออกเฉยี งใต้ คอื อนิ โดนีเซยี มาเลเซีย และไทย (ธรี ะพงศ,์ 2559) ระยะการเจริญเติบโตและการพัฒนาของปาลม์ น้ามนั จากการศึกษาของ Hormaza et al (2012) ได้แบ่งการเจริญเติบโตของปาล์มน้ามันลูกผสม ออกเปน็ 8 ระยะ ดงั น้ี 1. ระยะการงอกของเมล็ด (Germination) โดยในระยะการงอกนี้ เมล็ดปาล์มจะงอกเป็นต้น ออ่ น ออกมา และมใี บแรกเกิดขึน้ มา 2. ระยะการเจริญเติบโตทางใบ (Leaf development) 3. ระยะการเจรญิ เติบโตทางลาตน้ (stem elongation) 4. ระยะการแทงชอ่ ดอก (Inflorescence Emergence) 5. ระยะดอกบาน (Flowering) 6. ระยะการพฒั นาของผล (Development of fruit) 7. ระยะการสกุ แก่ของผล (Ripening of fruit) 8. ระยะการหลดุ ร่วงของใบ (Senescence) ฤดูกาลปลกู ปาล์มนา้ มัน ฤดูที่เหมาะสมในการปลูกปาล์มน้ามัน คือ ต้นฤดูฝน ประมาณเดือนพฤษภาคม -มิถุนายน ควรปลูกเมอ่ื ฝนเรม่ิ ตกแล้ว เพราะดินจะมีความชน้ื เพ่ือให้ต้นไดม้ ีเวลาตั้งตวั ได้นาน
132 |ดรณุ ี พวงบตุ ร การปลกู และการเก็บเกยี่ ว ระบบการปลูกปาล์มน้ามันท่ีนิยมปลูก คือ ปลูกแบบสามเหล่ียมด้านเท่า ระยะ 9 x 9 x 9 เมตร แนวปลกู ขวางตะวนั ใหป้ าล์มน้ามันรบั แสงมากท่ีสุด (ภาพท่ี 6-7) โดยปลูกปาล์มน้ามันในช่วงฤดู ฝน (ไม่ควรปลูกช่วงปลายฤดูฝนต่อเน่ืองถึงฤดูแล้ง) หรือหลังจากปลูกต้นกล้าแล้วจะต้องมีฝนตกอีก อย่างน้อยประมาณ 3 เดือนจึงจะเข้าฤดูแล้ง การปลูกปาล์มน้ามันจะต้องใช้ต้นกล้าพันธ์ุดีมีอายุ ประมาณ 8 ถงึ 14 เดือน จานวน 22 ถงึ 25 ตน้ ตอ่ ไร่ ภาพที่ 6-7 วิธีการปลกู ปาล์มนา้ มันท่ีเหมาะสม ทมี่ า: สรุ กิตติ (2547) การให้ปุ๋ย ในระยะแรกของการเจริญเติบโต ต้นอ่อนอาจจะยังไม่จาเป็นต้องใส่ปุ๋ย เน่ืองจาก จะใชอ้ าหารสารองภายในเมล็ด แตเ่ มือ่ อาหารสารองภายในเมล็ดหมด ก็จาเป็นจะต้องใส่ปุ๋ย โดยปุ๋ยท่ี ใช้จะเป็นปุ๋ยสูตร 15-15 โดยใส่ปุย๋ ทุกสปั ดาห์ และหลังจากตน้ กล้ามีอายุประมาณ 1 เดือน ก็ใช้ปุ๋ยใน อัตรา 7 กรัมผสมน้า 5 ลิตร แลว้ ทาการฉีดพ่นใหต้ ้นกลา้ การใหน้ า้ ในระยะนี้มีความสาคัญมาก เนื่องจากต้นกล้าปาล์มยังมีขนาดเล็ก และยังต้องการ ความชืน้ อยา่ งเพียงพอต่อการเจริญเติบโต หากขาดน้าจะทาให้การเจริญเติบโตช้า มีภาพร่างผิดปกติ และอ่อนแอต่อการทาลายของโรค ปกติต้องให้น้าต้องให้น้าอย่างน้อยวันละ 2 ครั้ง ในช่วงเวลาเช้า และเยน็ การเกบ็ เก่ียว การเก็บเกี่ยวปาล์มน้ามันจัดเป็นกิจกรรมท่ีมีความสาคัญเป็นอย่างมากเน่ืองจากเป็นกิจกรรม ทเ่ี ป็นปัจจยั ที่มีผลต่อการกาหนดปรมิ าณและคุณภาพของปาลม์ น้ามันท่ีได้จากการสกัดน้ามันปาล์มดิบ ปาลม์ น้ามัน สามารถเก็บเก่ียวผลผลิตได้ครั้งแรกอายุเมื่อ 3-4 ปี โดยสีผลปาล์มมีการเปล่ียนสี ซ่ึงการ เปลี่ยนสเี ปลอื กปาล์มน้ามนั มี 3 ประเภท คือ
พชื ไรเ่ ศรษฐกิจ| 133 1. Virescens fruit ผลปาล์มดิบมีสีเขียว เม่ือสุกเป็นสีส้ม และจุกของผลหลุดร่วง ที่ปลาย ยอดของผลมี persistent stigma ซ่งึ มวี งแหวนสเี ขียวอยู่รอบๆ 2. Nigrescens fruit ผลปาล์มดิบมสี มี ่วงเข้มจนถึงดา เมอ่ื สกุ เป็นสีแดงส้ม และจกุ ของผลมี สนี ้าตาลหรอื ดาเหมอื นเดมิ ไมว่ า่ ดบิ หรือสกุ 3. Albescens มสี ผี ิวเปลือกเมื่อสุกเป็นสีเหลืองซดี โดยทัว่ ไปพบน้อยมาก การเกบ็ เกี่ยวผลปาลม์ นา้ มันสดรวมถึงการรวมผลปาล์มส่งโรงงาน มีข้นั ตอนโดยทัว่ ไปดงั นี้ 1. ลาดับแรกจะต้องแต่งช่อทางลาเลียงแถวปาล์มน้ามันในแต่ละแปลงให้เรียบร้อยและมีความ สะดวกกบั การลาเลยี ง และตรวจสอบทะลายปาล์มทต่ี ดั แล้วให้เรียบรอ้ ยเพือ่ รอรวบรวมต่อไป 2. คัดเลือกทะลายปาล์มน้ามันสุกโดยยึดมาตรฐานจากการสังเกตสีของผลปาล์มน้ามัน ซ่ึงจะ เปลี่ยนเป็นสีส้มและจานวนผลทสี่ กุ จะรว่ งหลน่ ลงบนดินประมาณ 10 ถึง 12 ผล ผลดังกล่าวให้ถือเป็น ผลปาลม์ สุกที่สามารถใชไ้ ด้ 3. หากปรากฏว่าทะลายปาล์มสุกท่ีจะตัดมีขนาดใหญ่ ท่ีติดแน่นกับลาต้นมากไม่สะดวกกับการใช้ เสียมแทงเพราะจะทา ใหผ้ ลร่วงมาก กใ็ ชม้ ดี ขอหรือมีดด้ามยาวธรรมดา ตัดแชะขั้วทะลายกันเสียก่อน แล้วจึงใช้เสียมแทงทะลายกันเสียก่อน แล้วจึงใช้เสียมแทงทะลายปาล์มก็จะหลุดออกคอต้นปาล์มได้ งา่ ยขนึ้ 4. ให้ตัดแต่งขั้วทะลายปาล์มที่ตัดออกมาแล้วให้สั้นท่ีสุดเท่าที่จะทาได้ เพื่อสะดวกในการขนส่ง หรอื เมือ่ ถึงโรงงาน ทางโรงงานกส็ ามารถบรรจุปาล์มลงในถงั ต้นลูกปาล์มไดส้ ะดวก 5. รวบรวมผลปาล์มทั้งท่ีเป็นทะลายย่อยและลูกร่วงนามารวมไว้เป็นกองในพื้นท่ีว่างบริเวณโคน ต้น และเก็บผลปาล์มท่ีร่วงใส่ตะกร้าหรือเข่งเตรียมไว้ ในกรณีต้นปาล์มมีอายุน้อย ทางใบปาล์มอาจ เกบ็ ยาก 6. สาหรับทางใบปาล์มที่กองไว้หลังจากตัดแล้วอย่าให้กีดขวางทางเดิน หรือวางปิดก้ันทางระบาย นา้ เพราะอาจจะทาให้เกิดน้าท่วมขัง หรือทางระบายนา้ ทข่ี งั ตามทางเดนิ 7. รวบรวมผลปาล์มน้ามันท้ังทะลายสดและผลปาล์มร่วงไปยังศูนย์รวมผลปาล์มในกองท่ีเป็นกอง ยอ่ ย เช่น ในการกระบะบรรทุกทีล่ ากด้วยแทรกเตอร์ 8. การเก็บเกี่ยวผลปาล์ม เจ้าของสวนปาล์มน้ามันจะต้องสนับสนุนให้ผู้เก็บเก่ียวร่วมทางานกัน เปน็ ทมี ในทีมก็แยกใหเ้ ข้าคูก่ นั 2 คน โดยคนหน่ึงทาหน้าท่ีตัดหรือแทงผลปาล์มและอีกคนหน่ึงก็เก็บ รวมรวมผลปาลม์ 9. การเก็บรวมรวมผลปาล์ม การเก็บพยายามลดจานวนครั้งในการถ่ายเทเป็นกองย่อย ๆ เมื่อผล ปาล์มชอกช้ามีบาดแผล จะทาให้ปริมาณของกรดไขมันอิสระจะมีจานวนเพ่ิมมากข้ึน การส่งปาล์ม ออกจากสวนปาลม์ เองกค็ วรมีการตรวจสอบโดยการลงทะเบียนผลปาล์ม และการบรรทุกควรจะมีตา ข่ายคลมุ เพอื่ ไมใ่ ห้ผลปาลม์ ร่วงระหว่างทางขณะขนสง่
134 |ดรณุ ี พวงบตุ ร โรคและแมลงท่สี าคัญของปาล์มนา้ มนั โรคปาล์มน้ามันสามารถเกิดข้ึนได้กับต้นปาล์มน้ามันในทุกระยะของการเจริญเติบโต ซึ่งโรค ต่างๆ นนั้ มรี ะดับความรุนแรงในการสรา้ งความเสียหายให้กบั ปาล์มน้ามันแตกต่างกนั ไป ดงั นี้ 1. โรคใบไหม้ (curvularia seedling blight) ผลมีลักษณะบุ๋มตรงกลางมีสีน้าตาล ขอบแผล นูนมีลักษณะฉ่าน้า รอบแผลมีวงสีเหลืองล้อมรอบ แผลรูปร่างกลมรีความยาวของแผลอาจถึง 7-8 มลิ ลเิ มตร เมือ่ เกิดระบาดรุนแรง แผลขยายตัวรวมกันทาให้ใบแห้งม้วนงอ และเปราะฉีกขาดง่าย การ เจริญเติบโตของต้นกล้าชะงักไมเ่ หมาะในการนาไปปลูกในกรณีท่ีโรครุนแรงทาใหต้ ้นกลา้ ถึงตายได้ 2. โรคกา้ นทางใบบิด (crown disease) พบในกับต้นปาล์มน้ามันอายุ 1-3 ปี หลังจากนาลง ปลูกในแปลง โรคน้มี ีผลให้การเจรญิ เติบโตของต้นปาลม์ นา้ มันหยุดชะงกั ไประยะหนง่ึ ใบยอดท่ียงั ไม่ คล่ีมีอาการอ่อนโค้งไม่ตัง้ ตรง เกดิ แผลสนี ้าตาลแดงลักษณะฉา่ น้าท่กี ลางใบยอด เมื่อทางยอดคลี่ออก ก้านทางโคง้ งอลงตรงบริเวณทเ่ี กดิ แผล ในบางครั้งไมเ่ กดิ แผลแตท่ างจะโคง้ งอทก่ี ่งึ กลางทาง 3. โรคยอดเน่า (spear rot) โรคนร้ี ะบาดมากในฤดูฝน เข้าทาลายต้นปาลม์ นา้ มันต้งั แต่ใน ระยะกลา้ แตส่ ว่ นใหญม่ ักจะพบโรคนก้ี บั ต้นปาลม์ นา้ มนั อายุ 1-3 ปี เกิดแผลเน่าสีนา้ ตาลดาขอบแผล ลักษณะฉ่าน้าทบ่ี ริเวณใกล้ ๆ โคนใบยอดทย่ี ังไม่คลี่ บางคร้งั จะพบอาการเนา่ ดาเรมิ่ จากปลายใบย่อยท่ี ยังไม่คล่ี จากน้นั แผลเน่าดาจะขยายทาให้ใบยอดท้ังใบเน่าแห้งเป็นสนี า้ ตาลแดง สามารถดงึ หลุด ออกมาไดง้ า่ ย 4. โรคทะลายเน่า (marasmius bunch rot) โรคจะเข้าทาลายผลปาล์มก่อนที่จะสุก พบ เสมอกับต้นปาล์มน้ามันที่มีอายุ 3-9 ปี ระบาดมากในฤดูฝนท่ีมีความชื้นสูง เป็นมากกับปาล์มที่มีการ ผสมไม่ดี เช้ือราจะสร้างเส้นใยสีขาวปกคลุมอยู่บนทะลายปาล์มน้ามันที่ยังไม่สุก โดยเจริญอยู่ระหว่าง ผลปาล์มน้ามัน เมื่อผลปาล์มน้ามันใกล้จะสุกเส้นใยของเช้ือจะเจริญเข้าไปในผลปาล์ม ทาให้ เปอรเ์ ซ็นตก์ รดไขมนั อสิ ระเพ่ิมข้ึนประสิทธภิ าพในการให้นา้ มันนอ้ ยลง ผลนมิ่ เกิดการเน่าเป็นสีน้าตาล ซง่ึ เมือ่ ปล่อยไว้นาน ๆ ผลที่เนา่ นนั้ จะมสี ดี า 5. โรคลาตน้ เนา่ (stem rot) พบมากกบั ต้นปาล์มน้ามันท่ีมีอายุมากกว่า 30 ปี ปัจจุบันพบว่า โรคน้ีเริ่มระบาดมากกับต้นปาล์มอายุ 10-15 ปี เชื้อราจะเข้าทาลายท่ีรากเข้าสู่โคนต้น อาการ ภายนอกที่พบคือใบมีสีซีดจางกว่าปกติ ทางแก่ล่างจะหักพับท้ิงตัวห้อยลงรอบ ๆ ลาต้น เมื่ออาการ ปรากฏให้เห็นท่ีใบ แสดงว่าเน้ือเย่ือบริเวณโคนต้นถูกเช้ือเข้าทาลายอย่างน้อย 50% จานวนใบยอดท่ี ยังไม่คล่ีจะมากผิดปกติ เกิดการตายของทางใบที่แก่ท่ีสุด ซึ่งจะเร็วหรือช้าขึ้นกับฤดูกาล ต้นจะตาย ภายใน 6-12 เดอื น โดยตน้ จะหกั หรอื ล้มลง 6. ดว้ งแรด (rhinoceros) ตัวเต็มวยั เท่าน้นั ที่เปน็ ศัตรพู ืช โดยบินขึ้นไปกดั เจาะโคนทางใบ ทา ให้ทางใบหักง่าย และยังกัดเจาะทาลายยอดอ่อนทาให้ทางใบทีเ่ กดิ ใหม่ไมส่ มบูรณ์ มีรอยขาดแหว่งเป็น ร้วิ ๆ คลา้ ยรูปสามเหลี่ยม ถา้ รนุ แรงจะทาให้ต้นตายได้
พืชไรเ่ ศรษฐกิจ| 135 สถานการณก์ ารผลิตและการตลาดของปาลม์ น้ามนั 1. สถานการณ์การผลิตปาล์มน้ามนั ของโลก จากการวเิ คราะห์พื้นทีเ่ กบ็ เกยี่ วปาล์มนา้ มันของโลก ในช่วงปี 2555-2559 พบว่าพื้นท่ีเก็บเก่ียว มีแนวโน้มเพิ่มขึน้ รอ้ ยละ 3.19 ต่อปี โดยเฉพาะในปี 2557-2559 มพี ืน้ ท่เี ก็บเกี่ยวเพิ่มข้ึนอย่างต่อเนื่อง โดยประเทศท่มี พี ืน้ ทเ่ี กบ็ เก่ยี วขา้ ว 5 อนั ดับแรกของโลก ไดแ้ ก่ อนิ โดนีเซีย มาเลเซีย ไทย ไนจีเรีย และ กัมพูชา (ภาพที่ 6-8) โดยประเทศอินโดนีเซีย มีพ้ืนท่ีเก็บเกี่ยวสูงสุด 58.3 ล้านไร่ รองลงมา คือ มาเลเซีย (31.2 ลา้ นไร่) สาหรับประเทศไทยมีพ้ืนท่ีเกบ็ เกย่ี ว 4.4 ลา้ นไร่ (Pacheco et al., 2017) 70 60 Indonesia () 50 Mlaysia 40 Thailand 30 Nigeria 20 10 Cambodia 0 2556 2557 2558 2559 2555 ภาพท่ี 6-8 พ้ืนท่เี ก็บเกย่ี วปาล์มน้ามันใน 5 ประเทศผู้ผลติ สาคญั ตงั้ แต่ปี 2555 ถงึ 2559 ทีม่ า: FAO (2017) จากการวิเคราะห์ผลผลิตรวมปาล์มน้ามันสดของโลก พบว่าในปี 2555-2559 พบว่าผลผลิต รวมมีแนวโนม้ เพม่ิ ขึ้น ในปี 2559 อินโดนีเซียผลิตน้ามันปาล์มดิบ 160 ล้านตัน เพ่ิมขึ้นจาก 149 ล้าน ตัน ในปี 2557 ร้อยละ 6.87 ส่วนมาเลเซียสามารถผลิตน้ามันปาล์มได้ 86.3 ล้านตัน ลดลงจาก 98.3 ล้านตัน ในปี 2558 ร้อยละ 12.2 ท้ังสองประเทศมีสัดส่วนการผลิตร้อยละ 84.5 ของ ผลผลติน้ามัน ปาลม์ โลก สาหรับไทยผลผลติ ได้เป็นอันดับ 3 ของโลก และสามารถผลิตได้ 11.4 ล้านตัน คิดเป็นร้อย ละ 1.79 ของผลผลติ น้ามันปาล์มโลก (ภาพท่ี 6-9) ในส่วนผลผลิตต่อพ้ืนท่ี พบว่าประเทศกัมพูชามีผลผลิตต่อพื้นที่สูงสุด 3,264 กิโลกรัมต่อไร่ รองลงมา คือ อินโดนีเซียและมาเลเซีย ส่วนประเทศไทยมีผลผลิตอยู่ท่ี 2,605 กิโลกรัมต่อไร่ (ภาพท่ี 6-10) จากขอ้ มลู ชใ้ี หเ้ ห็นว่าประเทศอินโดนีเซียมีผลผลิตรวมสูงท่ีสุด เน่ืองจากมีผลผลิตต่อพื้นที่สูงสุด ด้วย
Search
Read the Text Version
- 1
- 2
- 3
- 4
- 5
- 6
- 7
- 8
- 9
- 10
- 11
- 12
- 13
- 14
- 15
- 16
- 17
- 18
- 19
- 20
- 21
- 22
- 23
- 24
- 25
- 26
- 27
- 28
- 29
- 30
- 31
- 32
- 33
- 34
- 35
- 36
- 37
- 38
- 39
- 40
- 41
- 42
- 43
- 44
- 45
- 46
- 47
- 48
- 49
- 50
- 51
- 52
- 53
- 54
- 55
- 56
- 57
- 58
- 59
- 60
- 61
- 62
- 63
- 64
- 65
- 66
- 67
- 68
- 69
- 70
- 71
- 72
- 73
- 74
- 75
- 76
- 77
- 78
- 79
- 80
- 81
- 82
- 83
- 84
- 85
- 86
- 87
- 88
- 89
- 90
- 91
- 92
- 93
- 94
- 95
- 96
- 97
- 98
- 99
- 100
- 101
- 102
- 103
- 104
- 105
- 106
- 107
- 108
- 109
- 110
- 111
- 112
- 113
- 114
- 115
- 116
- 117
- 118
- 119
- 120
- 121
- 122
- 123
- 124
- 125
- 126
- 127
- 128
- 129
- 130
- 131
- 132
- 133
- 134
- 135
- 136
- 137
- 138
- 139
- 140
- 141
- 142
- 143
- 144
- 145
- 146
- 147
- 148
- 149
- 150
- 151
- 152
- 153
- 154
- 155
- 156
- 157
- 158
- 159
- 160
- 161
- 162
- 163
- 164
- 165
- 166
- 167
- 168
- 169
- 170
- 171
- 172
- 173
- 174
- 175
- 176
- 177
- 178
- 179
- 180
- 181
- 182
- 183
- 184
- 185
- 186
- 187
- 188
- 189
- 190
- 191
- 192
- 193
- 194
- 195
- 196
- 197
- 198
- 199
- 200
- 201
- 202
- 203
- 204
- 205
- 206
- 207
- 208
- 209
- 210
- 211
- 212
- 213
- 214
- 215
- 216
- 217
- 218
- 219
- 220
- 221
- 222
- 223
- 224
- 225
- 226
- 227
- 228
- 229
- 230
- 231
- 232
- 233
- 234
- 235
- 236
- 237
- 238
- 239
- 240
- 241
- 242
- 243
- 244
- 245
- 246
- 247
- 248
- 249
- 250
- 251
- 252
- 253
- 254
- 255
- 256
- 257
- 258
- 259
- 260
- 261
- 262
- 263
- 264
- 265
- 266