พุทธวจน คู่มือ
ชือ่ ของโสดาบนั ผู้สมบูรณ์แล้วด้วยทิฏฐิ ผู้สมบูรณ์แล้วด้วยทัสสนะ ผู้มาถึงพระสัทธรรมนี้แล้ว ได้เห็นอยู่ซึ่งพระสัทธรรมนี้ ผู้ประกอบแล้วด้วยญาณอันเป็นเสขะ ผู้ประกอบแล้วด้วยวิชชาอันเป็นเสขะ ผู้ถึงซึ่งกระแสแห่งธรรมแล้ว ผู้ประเสริฐ มีปัญญาเครื่องช�าแรกกิเลส ยนื อย่จู รดประตแู ห่งอมตะ. -บาลี นิทาน. สํ. ๑๖/๙๕-๙๖/๑๘๗.
พุทธวจน คู่มือโสดาบัน ธรรมวนิ ัยจากพุทธโอษฐ์ เพอื่ ตรวจสอบความเปน็ โสดาบันของตนเอง ดว้ ยตนเอง
พทุ ธวจน -หมวดธรรม เปิดธรรมที่ถกู ปดิ ๒ฉบับ โสดาบนั พุทธวจนสถาบัน รว่ มกนั มงุ่ มน่ั ศกึ ษา ปฏบิ ตั ิ เผยแผค่ �ำ ของตถาคต
พุทธวจน ฉบบั ๒ ค่มู ือโสดาบนั ข้อมูลธรรมะนี้ จัดทำ�เพื่อประโยชน์ทางการศึกษาสู่สาธารณชน เป็นธรรมทาน ลิขสทิ ธใิ์ นต้นฉบับน้ไี ดร้ ับการสงวนไว้ ในการจะจดั ทำ�หรือเผยแผ่ โปรดใชค้ วามละเอียดรอบคอบ เพอ่ื รักษาความถกู ตอ้ งของข้อมลู ใหข้ ออนุญาตเปน็ ลายลักษณอ์ กั ษร และปรกึ ษาดา้ นขอ้ มูลในการจดั ท�ำ เพื่อความสะดวกและประหยดั ตดิ ต่อไดท้ ี่ มลู นธิ พิ ุทธโฆษณ์ โทรศพั ท ์ ๐๘ ๒๒๒๒ ๕๗๙๐-๙๔ มลู นิธพิ ทุ ธวจน โทรศัพท ์ ๐๘ ๑๔๕๗ ๒๓๕๒ คุณศรชา โทรศัพท์ ๐๘ ๑๕๑๓ ๑๖๑๑ คณุ อารวี รรณ โทรศพั ท ์ ๐๘ ๕๐๕๘ ๖๘๘๘ ปที พี่ มิ พ์ ๒๕๖๓ ศลิ ปกรรม ปรญิ ญา ปฐวินทรานนท์, วิชชุ เสรมิ สวสั ดศิ์ รี, ณรงค์เดช เจรญิ ปาละ จัดทำ�โดย มูลนธิ ิพทุ ธโฆษณ์ (เวบ็ ไซต์ www.buddhakos.org)
มลู นิธพิ ทุ ธโฆษณ์ เลขท่ี ๒๙/๓ หมู่ที่ ๗ ต�ำ บลบึงทองหลาง อ�ำ เภอลำ�ลกู กา จงั หวดั ปทมุ ธานี ๑๒๑๕๐ โทรศัพท์ /โทรสาร ๐ ๒๕๔๙ ๒๑๗๕ เว็บไซต์ : www.buddhakos.org
อักษรย่อ เพ่ือความสะดวกแกผ่ ทู้ ่ียังไมเ่ ขา้ ใจเร่อื งอกั ษรยอ่ ท่ใี ช้หมายแทนชื่อคมั ภรี ์ ซงึ่ มีอย่โู ดยมาก มหาว.ิ ว.ิ มหาวภิ ังค์ วนิ ัยปิฎก. ภิกขฺ นุ .ี ว.ิ ภกิ ขุนีวภิ ังค์ วนิ ยั ปฎิ ก. มหา. ว.ิ มหาวรรค วินัยปฎิ ก. จุลลฺ . วิ. จลุ วรรค วนิ ัยปิฎก. ปริวาร. ว.ิ ปริวารวรรค วนิ ัยปฎิ ก. สี. ท.ี สีลขันธวรรค ทฆี นกิ าย. มหา. ท.ี มหาวรรค ทฆี นกิ าย. ปา. ท.ี ปาฏิกวรรค ทีฆนกิ าย. มู. ม. มูลปัณณาสก์ มชั ฌิมนิกาย. ม. ม. มัชฌมิ ปัณณาสก์ มชั ฌมิ นกิ าย. อปุ ริ. ม. อุปรปิ ัณณาสก์ มชั ฌิมนิกาย. สคาถ. สํ. สคาถวรรค สงั ยตุ ตนกิ าย. นทิ าน. สํ. นทิ านวรรค สงั ยตุ ตนกิ าย. ขนธฺ . สํ. ขันธวารวรรค สงั ยุตตนิกาย. สฬา. สํ. สฬายตนวรรค สังยุตตนิกาย. มหาวาร. ส.ํ มหาวารวรรค สังยุตตนกิ าย. เอก. อ.ํ เอกนิบาต อังคุตตรนกิ าย. ทกุ . อ.ํ ทกุ นบิ าต องั คตุ ตรนิกาย. ติก. อ.ํ ตกิ นิบาต อังคตุ ตรนิกาย. จตกุ ฺก. อ.ํ จตกุ กนบิ าต องั คตุ ตรนิกาย.
ปญฺจก. อํ. ปญั จกนบิ าต อังคุตตรนิกาย. ฉกฺก. อํ. ฉักกนบิ าต อังคตุ ตรนกิ าย. สตตฺ ก. อํ. สัตตกนิบาต องั คตุ ตรนกิ าย อฏฺ ก. อ.ํ อฏั ฐกนิบาต องั คุตตรนกิ าย. นวก. อ.ํ นวกนบิ าต องั คุตตรนิกาย. ทสก. อํ. ทสกนิบาต องั คุตตรนิกาย. เอกาทสก. อํ. เอกาทสกนบิ าต อังคุตตรนิกาย. ข.ุ ข.ุ ขุททกปาฐะ ขุททกนิกาย. ธ. ขุ. ธรรมบท ขทุ ทกนิกาย. อุ. ข.ุ อทุ าน ขทุ ทกนกิ าย. อิตวิ .ุ ขุ. อติ ิวตุ ตกะ ขุททกนกิ าย. สตุ ฺต. ขุ. สุตตนบิ าต ขทุ ทกนิกาย. วมิ าน. ขุ. วมิ านวัตถุ ขทุ ทกนกิ าย. เปต. ขุ. เปตวตั ถุ ขุททกนกิ าย. เถร. ขุ. เถรคาถา ขทุ ทกนิกาย. เถรี. ข.ุ เถรีคาถา ขทุ ทกนกิ าย. ชา. ขุ. ชาดก ขทุ ทกนกิ าย. มหาน.ิ ข.ุ มหานิทเทส ขุททกนิกาย. จฬู นิ. ขุ. จูฬนิทเทส ขุททกนกิ าย. ปฏิสม.ฺ ขุ. ปฏสิ มั ภิทามรรค ขุททกนิกาย. อปท. ข.ุ อปทาน ขทุ ทกนกิ าย. พทุ ธฺ ว. ข.ุ พุทธวงส์ ขุททกนิกาย. จรยิ า. ข.ุ จรยิ าปฎิ ก ขุททกนกิ าย ตัวอย่าง : ๑๔/๑๗๑/๒๔๕ ใหอ้ ่านว่า ไตรปฎิ กฉบับสยามรฐั เล่ม ๑๔ หนา้ ๑๗๑ ข้อท่ี ๒๔๕
คำ�อนโุ มทนา เพื่อต้องการให้ผู้ปฏิบัติทั้งหลาย ทราบถึงแง่มุม ความเป็นอัจฉริยจิตของบุคคลผู้สามารถเอาชนะความตาย หลุดพ้นจากการเวียนว่ายเกิดตายในสังสารวัฏ สามารถ นำ�ไปตรวจสอบตนเอง ภายใต้หลักธรรมขององค์สมเด็จ พระสัมมาสัมพุทธเจ้า ว่าเดินมาอย่างถูกต้อง ถูกทาง ก้าวหน้า ไปแค่ไหนอย่างไร โดยไม่ต้องพึ่งพาผู้อื่นมาตัดสินให้สมดังท่ี พระองค์ตรัสว่า ใหบ้ คุ คลทัง้ หลายพง่ึ ตนพง่ึ ธรรม คณะผ้จู ดั ท�ำ จึงได้รวบรวมคุณธรรมความเป็นโสดาบัน ในแง่มุมต่างๆ ทีพ่ ระผูม้ ีพระภาคเจา้ ไดต้ รสั ไว้ ขออนุโมทนากับคณะศิษย์งานธรรมและผู้สนับสนุน ทุกท่าน ที่ได้ร่วมแรงกาย แรงใจ กระทำ�ให้งานสำ�เร็จลุล่วง ไปได้อย่างดี และขออานิสงส์แห่งการช่วยเผยแผ่คำ�สอนของ องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า จงเป็นเหตุให้ท่านท้ังหลาย ท่ีได้ร่วมเก่ียวข้องกับผลงานชิ้นนี้ ทั้งท่ีเป็นผู้ทำ�และผู้อ่าน ได้ดวงตาเห็นธรรมตามเหตุปัจจัยท่ีกระทำ� ในอนาคตกาล อนั ใกล้นี้ดว้ ยเทอญ. ภกิ ขคุ กึ ฤทธ์ิ โสตถฺ ผิ โล
คำ�นำ� หนังสือ “พุทธวจน ฉบับ คู่มือโสดาบัน” ได้จัดท�ำขึ้น ด้วยปรารภเหตุที่ว่า ปัจจุบันมีหลักเกณฑ์การพยากรณ์ความ เปน็ อรยิ บคุ คลเกดิ ขน้ึ มากมาย ซง่ึ ผปู้ ฏบิ ตั สิ ว่ นใหญก่ จ็ ะยึดถือ เอาตามแบบท่ีตนเองถูกส่ังสอนมา และในบรรดาหลักเกณฑ์ ทั้งหลายเหล่าน้ัน ผู้ปฏิบัติจะมั่นใจได้อย่างไรว่า สามารถใช้ ตรวจวัดสอบได้อย่างถูกต้องตรงจริง ตามท่ีพระศาสดา บัญญตั ไิ ว้ ดว้ ยพระศาสดาตรสั ไวว้ า่ บุคคล ๓ จ�ำ พวกน้ี ปรากฏข้ึนยากในโลก คือ ๑. พระตถาคตอรหนั ตสัมมาสัมพทุ ธเจา้ ๒. บคุ คลผแู้ สดงธรรมวนิ ัยทพ่ี ระตถาคตประกาศแล้ว ๓. กตัญญูกตเวทีบคุ คล เนอ้ื หาของหนงั สอื เลม่ น ้ี จงึ ไดร้ วบรวม พทุ ธวจน ทต่ี รสั ถงึ หลกั เกณฑส์ �ำ หรบั ตรวจสอบภาวะความเปน็ พระโสดาบนั ด้วย ตนเอง ไว้ถึง ๕๐ กว่านยั
ดังน้ัน คณะผู้จัดท�ำจึงหวังเป็นอย่างย่ิงว่า พุทธวจน ฉบับ “คู่มือโสดาบัน” จะช่วยให้พุทธบริษัทมีหลักเกณฑ์ วัดสอบความเป็นพระโสดาบันท่ีถูกต้อง ตรงตามพุทธวจน สมดังพุทธประสงค์ท่ีว่า “อริยสาวกน้ัน เมื่อปรารถนาอยู่ ก็พึงพยากรณ์ตนด้วยตนนั้นแหละว่า เราเป็นพระโสดาบัน ผู้มีอันไม่ตกต�่ำเป็นธรรมดา เท่ียงแท้ต่อพระนิพพาน มีอันจะตรัสรู้ธรรมในกาลเบ้ืองหน้า”. คณะงานธมั มะวดั นาปา่ พง สงิ หาคม ๒๕๕๔
สารบัญ 1. แว่นส่องความเปน็ พระโสดาบนั 2 2. พระโสดาบนั เป็นใคร (นัยทีห่ นึ่ง) 4 3. พระโสดาบนั เป็นใคร (นยั ท่ีสอง) 7 4. พระโสดาบนั ประกอบพร้อมแลว้ 10 ด้วยอรยิ มรรคมอี งค์แปด 5. หลกั เกณฑ์พยากรณ์ ภาวะโสดาบันของตนเอง 11 6. พระโสดาบนั รู้จักปัญจปุ าทานขนั ธ์ 19 7. พระโสดาบัน รจู้ กั อินทรียห์ ก 20 8. โสดาปตั ตมิ รรค ๒ จำ�พวก 23 9. โสดาปัตตผิ ล 25 10. พระโสดาบนั เปน็ ผบู้ รบิ ูรณใ์ นศลี (ปาฏโิ มกข)์ 27 ไดพ้ อประมาณในสมาธิและปัญญา 11. พระโสดาบันละสังโยชน์ไดส้ ามขอ้ มสี ามจำ�พวก 30 12. ละสงั โยชนส์ ามและกรรมทพ่ี าไปอบาย คอื โสดาบนั 31 13. พระโสดาบนั มีญาณหยั่งร้เู หตุให้ 33 เกิดข้นึ และเหตใุ ห้ดบั ไป ของโลก 14. พระโสดาบัน คอื ผเู้ หน็ ชัดรายละเอยี ดแตล่ ะสาย 39 ของปฏิจจสมุปบาทตลอดทงั้ สายโดยนัยแหง่ อรยิ สัจสี่ (เหน็ ตลอดสาย นยั ท่ีหนง่ึ ) 15. พระโสดาบนั คือ ผูเ้ ห็นชดั รายละเอียดแต่ละสาย 49 ของปฏจิ จสมุปบาทตลอดทงั้ สายโดยนัยแหง่ อรยิ สจั สี่ (เหน็ ตลอดสาย นัยทีส่ อง) 16. ผรู้ ู้ปฏจิ จสมปุ บาทแตล่ ะสายโดยนัยแห่งอริยสจั สี่ 63 ท้ังปจั จบุ นั อดีต อนาคตชอ่ื วา่ โสดาบัน (ญาณวัตถุ ๔๔)
17. ผรู้ ปู้ ฏจิ จสมปุ บาทแตล่ ะสายถงึ “เหตเุ กดิ ” และ “ความดบั ” 79 ทง้ั ปจั จบุ นั อดตี อนาคต กช็ อ่ื วา่ โสดาบนั (ญาณวัตถุ ๗๗) 18. ผมู้ ีธมั มญาณและอัน๎วยญาณ (พระโสดาบนั ) 91 19. ผู้สิ้นความสงสยั (พระโสดาบนั ) 95 ในกรณขี องความเหน็ ทเ่ี ป็นไปในลักษณะยึดถอื ตัวตน 20. ผู้สิน้ ความสงสัย (พระโสดาบนั ) 99 ในกรณีของความเหน็ ทีเ่ ป็นไปในลกั ษณะขาดสญู 21. ผลแหง่ ความเป็นโสดาบนั 105 22. ความเปน็ โสดาบนั ประเสริฐกวา่ เป็นพระเจา้ จกั รพรรดิ 106 23. ความเป็นพระโสดาบัน ไมอ่ าจแปรปรวน 108 24. ส่งิ ทีผ่ ้ถู ึงพรอ้ มด้วยทิฏฐิ (พระโสดาบัน) 110 ท�ำ ไมไ่ ด้โดยธรรมชาติ 25. ฐานะท่ีเป็นไปไมไ่ ด้ ส�ำ หรบั ผถู้ ึงพร้อมด้วยทิฏฐิ 112 (พระโสดาบนั ) นัยที่หน่งึ 26. ฐานะทีเ่ ปน็ ไปไม่ได้ สำ�หรับผูถ้ งึ พร้อมดว้ ยทฏิ ฐิ 114 (พระโสดาบัน) นยั ทส่ี อง 27. ฐานะทเ่ี ป็นไปไม่ได้ ส�ำ หรบั ผู้ถงึ พรอ้ มดว้ ยทฏิ ฐิ 116 (พระโสดาบนั ) นัยท่สี าม ธรรมะแวดลอ้ ม 119 หมวดธรรม ท่ีชว ยสรางความเขาใจแตไ มไดระบถุ งึ ความเปน โสดาบนั โดยตรง 28. อริยมรรคมีองค์แปด 120 29. คำ�ท่ใี ช้เรียกแทนความเปน็ พระโสดาบนั 125 30. สังโยชน์สิบ 127 31. อรยิ ญายธรรมคือ การรเู้ ร่ืองปฏจิ จสมปุ บาท 129
32. ฝนุ่ ปลายเล็บ 132 (พอรอู้ รยิ สจั ทกุ ขเ์ หลอื นอ้ ยขนาดฝนุ่ ตดิ ปลายเลบ็ เทยี บกบั ปฐพ)ี 33. สามัญญผลในพทุ ธศาสนาเทียบกันไมไ่ ด้ กับในลัทธิอืน่ 135 34. ลักษณะแหง่ ผ้เู จริญอนิ ทรยี ข์ ้ันอรยิ ะ 137 35. พระโสดาบันกบั พระอรหนั ต์ตา่ งกันในการเห็นธรรม 139 36. พระโสดาบนั กับพระอรหนั ต์ต่างกันในการเหน็ ธรรม 143 (อกี นัยหนึ่ง) 37. ความลดหลนั่ แหง่ พระอริยบุคคลผู้ปฏบิ ัตอิ ย่างเดียวกัน 145 38. คนตกน้ำ� ๗ จ�ำ พวก 150 (ระดบั ต่างๆ แห่งบุคคลผ้ถู อนตัวขึ้นจากทกุ ข)์ 39. คนมกี เิ ลสตกนรกท้ังหมดทุกคน จรงิ หรือ ? 155 (บุคคลทีม่ เี ชอื้ เหลอื ๙ จ�ำ พวก) 40. ผลแปดประการอนั เปน็ ภาพรวมของความเปน็ พระโสดาบนั 162 41. ระวงั ตายคาประตนู พิ พาน ! 167 42. ธรรมเป็นเคร่ืองอยู่ของพระอริยเจ้า 171 43. ผู้สามารถละอาสวะทงั้ หลายในสว่ นทลี่ ะไดด้ ้วยการเห็น 177 44. ความต่างแหง่ ผลเพราะความตา่ งแห่งอินทรยี ์ 181 45. ผู้ถึงไตรสรณคมนไ์ มไ่ ปสวู่ นิ บิ าต 185 46. ผสู้ ิ้นความสงสยั (พระโสดาบนั ) 189 ในกรณขี องความเหน็ ทเ่ี ปน็ ไปในลกั ษณะถอื มน่ั วา่ ของเรา 47. ผสู้ น้ิ ความสงสัย (พระโสดาบนั ) 192 ในกรณขี องความเหน็ ท่เี ปน็ สสั สตทฏิ ฐิ 48. ผสู้ ิน้ ความสงสัย (พระโสดาบนั ) 195 ในกรณีของความเหน็ ท่เี ป็นไปในลักษณะว่าเราไม่พึงมี
49. ผู้ส้ินความสงสัย (พระโสดาบนั ) 198 ในกรณีของความเหน็ ที่เป็นอกิริยาทฏิ ฐิ 202 205 50. ผสู้ ้ินความสงสยั (พระโสดาบนั ) 210 ในกรณขี องความเหน็ ทเ่ี ปน็ อเหตุกทฏิ ฐิ 51. ผสู้ น้ิ ความสงสยั (พระโสดาบนั ) ในกรณขี องความเหน็ ทเ่ี ปน็ มจิ ฉาทฏิ ฐิ 52. ผสู้ น้ิ ความสงสยั (พระโสดาบนั ) ในกรณีของความเห็นทวี่ ่าโลกเที่ยง ภาคผนวก พระสตู รทค่ี น้ ควา้ เพม่ิ เตมิ 213 53. คุณสมบตั พิ ระโสดาบนั (นัยที่ ๑) 214 54. คุณสมบัตพิ ระโสดาบนั (นัยที่ ๒) 215 55. คณุ สมบตั ิพระโสดาบัน (นัยท่ี ๓) 216 56. คณุ สมบัตพิ ระโสดาบัน (นยั ท่ี ๔) 222 232 (โสตาปตั ติยังคะ ๔ จ�ำ แนกดว้ ยอาการ ๑๐) 236 57. อานสิ งสข์ องธรรม ๔ ประการ 58. ผู้ตัง้ อยใู่ นเสขภมู ิ 59. คุณธรรมของผูต้ �่ำ กวา่ โสตาปัตติมรรค 238 และเปน็ เหตใุ ห้ไมไ่ ปสอู่ บายในชาตนิ ้ัน 60. ธรรม ๗ ประการของผ้ตู ้งั อยู่ในโสดาปัตตผิ ล 240 61. ธรรมท่ีควรสงเคราะห์ 248
คูมือโสดาบัน ธรรมวินัยจากพุทธโอษฐ เพื่อตรวจสอบความเปนโสดาบันของตน ดวยตนเอง
พุทธวจน - หมวดธรรม เปิดธรรมที่ถูกปดิ : คู่มือโสดาบัน แว่นสอ่ งความเป็นพระโสดาบนั 01 -บาลี มหาวาร. ส.ํ ๑๙/๔๕๐-๔๕๑/๑๔๗๙-๑๔๘๐. อานนท์ ! เราจักแสดง ธรรมปริยายอันชื่อว่า แว่นธรรม ซึ่งหากอริยสาวกผู้ใด ได้ประกอบพร้อมแล้ว เมื่อจำ�นงจะพยากรณ์ตนเอง ก็พึงทำ�ได้ในข้อที่ตนเปน็ ผมู้ นี รกสน้ิ แลว้ มกี �ำ เนดิ เดรจั ฉานสน้ิ แลว้ มเี ปรตวสิ ยั สน้ิ แลว้ มอี บาย ทคุ ติ วนิ บิ าตสน้ิ แลว้ ในขอ้ ทต่ี นเปน็ พระโสดาบนั ผมู้ ีอันไม่ตกต�ำ่ เปน็ ธรรมดา เทย่ี งแทต้ อ่ พระนพิ พาน เปน็ ผมู้ อี นั จะตรสั รธู้ รรมไดใ้ นกาลเบอ้ื งหนา้ ดังน้.ี อานนท์ ! ก็ธรรมปริยายอันชื่อว่า แว่นธรรม ในที่นี้ เป็นอย่างไรเล่า ? อานนท์ ! อริยสาวกในธรรมวินัยนี้ เป็นผู้ ประกอบพร้อมแล้วด้วยความเลื่อมใสอันหยั่งลงมั่น ไม่หว่ันไหวในองค์พระพุทธเจ้า... ในองค์พระธรรม... ในองค์พระสงฆ์... และอริยสาวกในธรรมวินัยน้ี เป็นผู้ ประกอบพร้อมแล้วด้วยศีลทั้งหลายชนิดเป็นที่พอใจ ของเหล่าอริยเจ้า คือ เป็นศีลที่ไม่ขาด ไม่ทะลุ ไม่ด่าง 2
เปดิ ธรรมทถี่ กู ปิด : คมู่ ือโสดาบนั ไม่พร้อย เป็นศีลที่เป็นไทจากตัณหา เป็นศีลที่ผู้รู้ท่าน สรรเสริญ เป็นศีลท่ีทิฏฐิไม่ลูบคลำ� และเป็นศีลท่ีเป็นไป เพื่อสมาธิ. อานนท ์ ! ธรรมปรยิ ายอนั นแี้ ลทช่ี อ่ื วา่ แวน่ ธรรม ซ่ึงหากอริยสาวกผู้ใดได้ประกอบพร้อมแล้ว เมื่อจำ�นง จะพยากรณต์ นเอง กพ็ ึงท�ำ ได้ ดงั นแ้ี ล. 3
พทุ ธวจน - หมวดธรรม เปดิ ธรรมที่ถกู ปิด : คู่มอื โสดาบัน พระโสดาบันเป็นใคร 02 (นยั ท่ีหนึ่ง) -บาลี มหาวาร. สํ. ๑๙/๔๒๙-๔๓๐/๑๔๑๔-๑๔๑๕. ภิกษุท้ังหลาย ! สาวกของพระอริยเจ้าใน ธรรมวนิ ยั น ้ี เปน็ ผถู้ งึ พรอ้ มแลว้ ดว้ ย ธรรม ๔ ประการนเ้ี อง จงึ เปน็ พระโสดาบนั ผมู้ อี นั ไมต่ กต�ำ่ เปน็ ธรรมดา เทย่ี งแท้ ตอ่ พระนพิ พาน เปน็ ผมู้ อี นั จะตรสั รธู้ รรมไดใ้ นกาลเบอ้ื งหนา้ . ธรรม ๔ ประการนน้ั เปน็ อยา่ งไร ? ๔ ประการนน้ั คอื (๑) ภิกษุทั้งหลาย ! สาวกของพระอริยเจ้าใน ธรรมวนิ ยั น้ี เปน็ ผปู้ ระกอบพรอ้ มแลว้ ดว้ ยความเลอ่ื มใส อนั หยง่ั ลงมน่ั ไมห่ วน่ั ไหว ในองคพ์ ระพทุ ธเจา้ วา่ เพราะ เหตอุ ยา่ งนๆ้ี พระผมู้ พี ระภาคเจา้ นน้ั เปน็ ผู้ไกลจากกเิ ลส ตรัสรู้ชอบได้โดยพระองค์เอง เป็นผู้ถึงพร้อมด้วยวิชชา และขอ้ ปฏบิ ตั ใิ หถ้ งึ ซง่ึ วชิ ชา เปน็ ผไู้ ปแลว้ ดว้ ยดี เปน็ ผรู้ โู้ ลก อย่างแจ่มแจ้ง เป็นผ้สู ามารถฝึกคนท่คี วรฝึกได้อย่างไม่มี ใครย่งิ กว่า เป็นครูของเทวดาและมนุษย์ท้งั หลาย เป็นผ้รู ู้ ผตู้ น่ื ผเู้ บกิ บานดว้ ยธรรม เปน็ ผมู้ คี วามจ�ำ เรญิ จ�ำ แนกธรรม สงั่ สอนสัตว์ ดังนี้. 4
เปดิ ธรรมที่ถกู ปิด : คู่มอื โสดาบัน (๒) ภิกษุท้ังหลาย ! สาวกของพระอริยเจ้าใน ธรรมวนิ ยั น้ี เปน็ ผปู้ ระกอบพรอ้ มแลว้ ดว้ ยความเลอ่ื มใส อนั หยง่ั ลงมน่ั ไมห่ วน่ั ไหว ในองคพ์ ระธรรม วา่ พระธรรม เปน็ สง่ิ ทพ่ี ระผมู้ พี ระภาคเจา้ ตรสั ไวด้ แี ลว้ เปน็ สง่ิ ทผ่ี ศู้ กึ ษา และปฏิบัติพึงเห็นได้ด้วยตนเอง เป็นสิ่งที่ปฏิบัติได้และ ให้ผลได้ไมจ่ ำ�กดั กาล เปน็ สง่ิ ท่คี วรกลา่ วกะผ้อู น่ื ว่าท่านจง มาดูเถิด เป็นส่ิงท่ีควรน้อมเข้ามาใส่ตัว เป็นส่ิงท่ีผู้รู้ก็รู้ได้ เฉพาะตน ดังนี้. (๓) ภิกษุท้ังหลาย ! สาวกของพระอริยเจ้าใน ธรรมวนิ ยั น้ี เปน็ ผปู้ ระกอบพรอ้ มแลว้ ดว้ ยความเลอ่ื มใส อนั หยง่ั ลงมน่ั ไมห่ วน่ั ไหว ในพระสงฆ์ วา่ สงฆส์ าวกของ พระผมู้ พี ระภาคเจา้ เปน็ ผปู้ ฏบิ ตั ดิ แี ลว้ เปน็ ผปู้ ฏบิ ตั ติ รงแลว้ เปน็ ผปู้ ฏบิ ตั ใิ หร้ ธู้ รรมเครอ่ื งออกจากทกุ ขแ์ ลว้ เปน็ ผปู้ ฏบิ ตั ิ สมควรแล้ว อันได้แก่บุคคลเหล่านี้ คือ คู่แห่งบุรุษสี่คู่ นบั เรยี งตวั ไดแ้ ปดบรุ ษุ นน่ั แหละ คอื สงฆส์ าวกของพระผมู้ -ี พระภาคเจา้ เป็นสงฆค์ วรแก่สักการะทเี่ ขานำ�มาบชู า เปน็ สงฆ์ควรแก่สักการะท่ีเขาจัดไว้ต้อนรับ เป็นสงฆ์ควรรับ ทักษิณาทาน เป็นสงฆ์ท่ีบุคคลทั่วไปจะพึงทำ�อัญชลี เป็น สงฆ์ทเ่ี ปน็ นาบุญของโลก ไม่มีนาบุญอืน่ ยิ่งกวา่ ดังน.ี้ 5
พุทธวจน - หมวดธรรม (๔) ภิกษุท้ังหลาย ! สาวกของพระอริยเจ้าใน ธรรมวินัยน้ี เป็นผู้ประกอบพร้อมแล้ว ด้วยศีลทั้งหลาย ชนิดเป็นที่พอใจของเหล่าอริยเจ้า เป็นศีลท่ีไม่ขาด ไม่ ทะลุ ไม่ด่าง ไม่พร้อย เป็นศีลที่เป็นไทจากตัณหา เป็นศีลที่ผู้รู้ท่านสรรเสริญ เป็นศีลท่ีทิฏฐิไม่ลูบคล�ำ และ เปน็ ศลี ท่ีเปน็ ไปเพ่อื สมาธิ ดงั น.ี้ ภิกษุทัง้ หลาย ! สาวกของพระอรยิ เจา้ ผปู้ ระกอบ พรอ้ มแลว้ ดว้ ยธรรม ๔ ประการนแ้ี ล ชอ่ื วา่ เปน็ พระโสดาบนั ผมู้ อี นั ไมต่ กต�ำ่ เปน็ ธรรมดา เทย่ี งแทต้ อ่ พระนพิ พาน เปน็ ผมู้ อี นั จะตรสั รธู้ รรมไดใ้ นกาลเบอ้ื งหนา้ . 6
พุทธวจน - หมวดธรรม เปิดธรรมที่ถกู ปิด : คมู่ ือโสดาบนั พระโสดาบันเป็นใคร 03 (นัยทสี่ อง) -บาลี มหาวาร. สํ. ๑๙/๔๖๕-๔๖๖/๑๕๑๑-๑๕๑๒. อย่ากลัวเลย มหานาม ! อยา่ กลวั เลย มหานาม ! ความตายของท่านจักไม่ต่ำ�ทราม กาลกิริยาของท่าน จักไม่ต่ำ�ทราม. มหานาม ! อริยสาวกผู้ประกอบด้วย ธรรม ๔ ประการ ย่อมเป็นผู้มีปกติน้อมไปในนิพพาน โนม้ ไปสู่นิพพาน เอนไปทางนพิ พานโดยแท้. ธรรม ๔ ประการ อยา่ งไรเล่า ? ธรรม ๔ ประการ คือ มหานาม ! อรยิ สาวกในกรณนี ้ี (๑) เปน็ ผปู้ ระกอบพรอ้ มแลว้ ดว้ ยความเลอ่ื มใส อันไม่หว่ันไหวในพระพุทธเจ้า ว่า “เพราะเหตุอย่างนี้ๆ พระผมู้ พี ระภาคเจา้ นั้น เป็นผ้ไู กลจากกิเลส ตรสั รู้ชอบได้ โดยพระองค์เอง เป็นผู้ถึงพร้อมด้วยวิชชาและข้อปฏิบัติ ใหถ้ งึ ซง่ึ วชิ ชา เปน็ ผไู้ ปแลว้ ดว้ ยดี เปน็ ผรู้ โู้ ลกอยา่ งแจม่ แจง้ เป็นผู้สามารถฝึกคนที่ควรฝึกได้อย่างไม่มีใครยิ่งกว่า 7
พุทธวจน - หมวดธรรม เป็นครูผู้สอนของเทวดาและมนษุ ย์ท้งั หลาย เปน็ ผรู้ ู้ ผู้ต่นื ผู้เบิกบาน ด้วยธรรม เป็นผู้มีความจำ�เริญ จำ�แนกธรรม สัง่ สอนสตั ว”์ ดังนี้. (๒) เปน็ ผปู้ ระกอบพรอ้ มแลว้ ดว้ ยความเลอ่ื มใส อันไม่หวั่นไหวในพระธรรม ว่า “พระธรรม เป็นสิ่งที่ พระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสไว้ดีแล้ว เป็นสิ่งที่ผู้ศึกษาและ ปฏบิ ตั พิ งึ เหน็ ไดด้ ว้ ยตนเอง เปน็ สง่ิ ทป่ี ฏบิ ตั ไิ ดแ้ ละใหผ้ ลได้ ไม่จำ�กัดกาล เป็นส่งิ ท่คี วรกล่าวกะผ้อู ่นื ว่าท่านจงมาดูเถิด เปน็ สง่ิ ทค่ี วรนอ้ มเขา้ มาใสต่ วั เปน็ สง่ิ ทผ่ี รู้ กู้ ร็ ไู้ ดเ้ ฉพาะตน” ดงั น.ี้ (๓) เปน็ ผปู้ ระกอบพรอ้ มแลว้ ดว้ ยความเลอ่ื มใส อันไม่หวั่นไหวในพระสงฆ์ ว่า “สงฆ์สาวกของพระผู้มี- พระภาคเจ้า เป็นผู้ปฏิบัติดีแล้ว เป็นผู้ปฏิบัติตรงแล้ว เป็นผู้ปฏิบัติให้รู้ธรรมเป็นเคร่ืองออกจากทุกข์แล้ว เป็น ผปู้ ฏิบัติสมควรแล้ว อันได้แก่บุคคลเหล่านี้ คือ คู่แห่ง บุรุษส่ีคู่ นับเรียงตัวได้แปดบุรุษ น่ันแหละสงฆ์สาวกของ พระผมู้ พี ระภาคเจา้ เปน็ สงฆค์ วรแกส่ กั การะทเ่ี ขาน�ำ มาบชู า เปน็ สงฆค์ วรแก่สักการะที่เขาจัดไว้ต้อนรับ เป็นสงฆ์ควร 8
เปดิ ธรรมท่ถี ูกปิด : คู่มอื โสดาบัน รับทักษิณาทาน เป็นสงฆ์ที่บุคคลทั่วไปจะพึงทำ�อัญชลี เปน็ สงฆท์ เ่ี ปน็ นาบญุ ของโลก ไมม่ นี าบญุ อน่ื ยง่ิ กวา่ ” ดังนี้. (๔) เปน็ ผปู้ ระกอบพรอ้ มแลว้ ดว้ ยศลี ทง้ั หลาย ชนิดเป็นที่พอใจของเหล่าพระอริยเจ้า เป็นศีลท่ีไม่ขาด ไม่ทะลุ ไม่ด่าง ไม่พร้อย เป็นศีลที่เป็นไทจากตัณหา เป็นศีลที่ผู้รู้ท่านสรรเสริญ เป็นศีลที่ทิฏฐิไม่ลูบคลำ� และ เปน็ ศีลทีเ่ ป็นไปพร้อมเพ่ือสมาธิ ดงั น้.ี มหานาม ! เปรียบเหมือนต้นไม้น้อมไปใน ทิศปราจีน โน้มไปสู่ทิศปราจีน เอนไปทางทิศปราจีน. ตน้ ไม้น้ัน เมอื่ เขาตัดท่ีโคนแลว้ มนั จะล้มไปทางไหน ? “มนั จะลม้ ไปทางทศิ ทม่ี นั นอ้ มไป โนม้ ไป เอนไปพระเจา้ ขา้ !”. มหานาม ! ฉันใดก็ฉันนั้น อริยสาวกประกอบ แลว้ ดว้ ยธรรม ๔ ประการเหลา่ น้ี ยอ่ มเปน็ ผมู้ ปี กตนิ อ้ มไป ในนิพพาน โน้มไปสู่นิพพาน เอนไปทางนิพพานโดยแท้ แล. 9
พทุ ธวจน - หมวดธรรม เปิดธรรมท่ถี กู ปิด : ค่มู อื โสดาบนั พระโสดาบนั ประกอบพร้อมแล้ว 04 ด้วยอรยิ มรรคมอี งคแ์ ปด -บาลี มหาวาร. ส.ํ ๑๙/๔๓๕/๑๔๓๒-๑๔๓๓. สารีบุตร ! ท่ีมักกล่าวกันว่า โสดาบัน-โสดาบัน ดงั นี้ เปน็ อยา่ งไรเลา่ สารบี ตุ ร ? “ขา้ แตพ่ ระองคผ์ เู้ จรญิ ! ทา่ นผใู้ ด เปน็ ผปู้ ระกอบพรอ้ มแลว้ ดว้ ยอรยิ มรรคมอี งคแ์ ปดนอ้ี ย ู่ ผเู้ ชน่ นน้ั แล ขา้ พระองคเ์ รยี กวา่ เป็น พระโสดาบนั ผมู้ ชี อ่ื อยา่ งนๆ้ี มโี คตรอยา่ งนๆ้ี พระเจา้ ขา้ !”. สารีบุตร ! ถกู แลว้ ถกู แลว้ ผทู้ ป่ี ระกอบพรอ้ มแลว้ ด้วยอริยมรรคมีองค์แปดนี้อยู่ ถึงเราเองก็เรียกผู้เช่นน้ัน วา่ เป็น พระโสดาบนั ผู้มชี ื่ออย่างนๆี้ มโี คตรอย่างนีๆ้ . 10
พทุ ธวจน - หมวดธรรม เปดิ ธรรมทถี่ กู ปดิ : คู่มือโสดาบัน หลักเกณฑพ์ ยากรณ์ 05 ภาวะโสดาบันของตนเอง -บาลี ทสก. อํ. ๒๔/๑๙๕-๑๙๘/๙๒. คหบดี ! ในกาลใด ภัยเวร ๕ ประการอัน อรยิ สาวกท�ำ ใหส้ งบร�ำ งบั ไดแ้ ลว้ ดว้ ย อรยิ สาวกประกอบ พร้อมแล้วด้วยโสตาปัตติยังคะส่ี ด้วย อริยญายธรรม เป็นธรรมที่อริยสาวกเห็นแล้วด้วยดี แทงตลอดแล้ว ดว้ ยดีดว้ ยปญั ญา ด้วย ในกาลนนั้ อรยิ สาวกนนั้ เมอื่ หวงั อยกู่ พ็ ยากรณ์ ตนดว้ ยตน นน่ั แหละว่า “เราเปน็ ผมู้ นี รกสน้ิ แลว้ มกี �ำ เนดิ เดรจั ฉานสน้ิ แลว้ มเี ปรตวสิ ยั สน้ิ แลว้ มอี บายทคุ ตวิ นิ บิ าตสน้ิ แลว้ เราเปน็ ผูถ้ ึงแล้วซงึ่ กระแส (แหง่ นพิ พาน) มคี วามไม่ตกต�ำ่ เป็น ธรรมดา เป็นผู้เที่ยงแท้ต่อนิพพาน มีการตรัสรู้พร้อม เปน็ เบอื้ งหน้า” ดงั น้ี. คหบดี ! ภัยเวร ๕ ประการ เหล่าไหนเล่า อนั อริยสาวกท�ำ ใหส้ งบร�ำ งับไดแ้ ลว้ ? 11
พทุ ธวจน - หมวดธรรม (๑) คหบดี ! บุคคลผู้ฆ่าสัตว์อยู่เป็นปกติ ย่อมประสพภัยเวรใดในทิฏฐธรรม (ปัจจุบัน) บ้าง ย่อม ประสพภัยเวรใดในสัมปรายิก (ในเวลาถัดต่อมา) บ้าง ย่อมเสวยทุกขโทมนัสแห่งจิตบ้าง เพราะปาณาติบาต เป็นปัจจัย ภัยเวรนั้นๆ เป็นส่ิงท่ีอริยสาวกผู้เว้นขาดแล้ว จากปาณาติบาต ทำ�ใหส้ งบรำ�งับไดแ้ ลว้ . (๒) คหบดี ! บคุ คลผถู้ อื เอาสง่ิ ของทเ่ี ขาไมไ่ ด้ ให้อยู่เป็นปกติ ย่อมประสพภัยเวรใดในทิฏฐธรรมบ้าง ยอ่ มประสพภยั เวรใดในสมั ปรายกิ บา้ ง ยอ่ มเสวยทกุ ขโทมนสั แห่งจิตบ้าง เพราะอทินนาทานเป็นปัจจัย ภัยเวรน้ันๆ เป็นสิ่งที่อริยสาวกผู้เว้นขาดแล้วจากอทินนาทาน ทำ�ให้ สงบรำ�งบั ได้แลว้ . (๓) คหบด ี! บคุ คลผปู้ ระพฤตผิ ดิ ในกามทงั้ หลาย อยเู่ ปน็ ปกติ ยอ่ มประสพภยั เวรใดในทฏิ ฐธรรมบา้ ง ยอ่ ม ประสพภัยเวรใดในสัมปรายิกบ้าง ย่อมเสวยทุกขโทมนัส แห่งจิตบ้าง เพราะกาเมสุมิจฉาจารเป็นปัจจัย ภัยเวรนั้นๆ เป็นสิ่งที่อริยสาวกผู้เว้นขาดแล้วจากกาเมสุมิจฉาจาร ท�ำให้สงบร�ำงับได้แลว้ . 12
เปิดธรรมท่ถี กู ปิด : คมู่ ือโสดาบนั (๔) คหบด ี ! บคุ คลผกู้ ลา่ วค�ำ เทจ็ อยเู่ ปน็ ปกติ ยอ่ มประสพภยั เวรใดในทฏิ ฐธรรมบา้ งยอ่ มประสพภยั เวร ใดในสัมปรายิกบ้าง ย่อมเสวยทุกขโทมนัสแห่งจิตบ้าง เพราะมุสาวาทเป็นปัจจัย ภัยเวรน้ันๆ เป็นสิ่งท่ีอริยสาวก ผเู้ วน้ ขาดแลว้ จากมสุ าวาท ท�ำ ใหส้ งบร�ำ งบั ไดแ้ ลว้ . (๕) คหบดี ! บคุ คลผดู้ ม่ื สรุ าและเมรยั อนั เปน็ ที่ตั้งของความประมาทอยู่เป็นปกติย่อมประสพภัยเวร ใดในทฏิ ฐธรรมบา้ งยอ่ มประสพภยั เวรใดในสมั ปรายกิ บา้ ง ย่อมเสวยทุกขโทมนัสแห่งจิตบ้าง เพราะสุราและเมรัย เป็นปัจจัย ภัยเวรนั้นๆ เป็นส่ิงท่ีอริยสาวกผู้เว้นขาดแล้ว จากสุราและเมรยั ทำ�ให้สงบร�ำ งบั ไดแ้ ล้ว. คหบดี ! ภัยเวร ๕ ประการเหล่าน้ีแล อัน อรยิ สาวกท�ำให้สงบร�ำงบั ได้แล้ว. … … … … คหบดี ! อริยสาวก เป็นผู้ประกอบพร้อมแล้ว ดว้ ย องคแ์ หง่ โสดาบนั ๔ ประการ เหลา่ ไหนเลา่ ? 13
พทุ ธวจน - หมวดธรรม (๑) คหบดี ! อริยสาวกในธรรมวินัยนี้ เป็น ผ้ปู ระกอบพร้อมแล้ว ด้วยความเลื่อมใสอันหยั่งลงมั่น ไม่หวั่นไหว ในพระพุทธเจ้า ว่า “เพราะเหตุอย่างนี้ๆ พระผมู้ พี ระภาคเจา้ นน้ั เปน็ ผไู้ กลจากกเิ ลส ตรสั รชู้ อบได้ โดยพระองค์เอง เป็นผ้ถู ึงพร้อมด้วยวิชชาและจรณะ เป็น ผู้ไปแล้วด้วยดี เป็นผู้รู้โลกอย่างแจ่มแจ้ง เป็นผู้สามารถ ฝึกคนท่คี วรฝึกได้อย่างไม่มีใครย่งิ กว่า เป็นครูของเทวดา และมนุษย์ท้ังหลาย เป็นผู้รู้ ผู้ต่ืน ผู้เบิกบาน ด้วยธรรม เปน็ ผ้มู ีความจำ�เรญิ จำ�แนกธรรมส่งั สอนสัตว์” ดังนี.้ (๒) คหบดี ! อริยสาวกในธรรมวินัยน้ี เป็น ผู้ประกอบพร้อมแล้ว ด้วยความเลื่อมใสอันหยั่งลงมั่น ไมห่ วน่ั ไหว ในพระธรรม วา่ “พระธรรม เปน็ สง่ิ ทพ่ี ระผมู้ -ี พระภาคเจ้าตรัสไว้ดีแล้ว เป็นสิ่งที่ผู้ศึกษาและปฏิบัติ พึงเห็นได้ด้วยตนเอง เป็นสิ่งท่ีปฏิบัติได้ และให้ผลได้ ไม่จ�ำ กดั กาล เปน็ สง่ิ ทค่ี วรกลา่ วกะผอู้ น่ื วา่ ทา่ นจงมาดเู ถดิ เปน็ สง่ิ ทค่ี วรนอ้ มเขา้ มาใสต่ วั เปน็ สง่ิ ทผ่ี รู้ กู้ ร็ ไู้ ดเ้ ฉพาะตน” ดงั น.้ี 14
เปดิ ธรรมทถ่ี ูกปิด : คมู่ อื โสดาบัน (๓) คหบดี ! อริยสาวกในธรรมวินัยนี้ เป็น ผู้ประกอบพร้อมแล้ว ด้วยความเลื่อมใสอันหยั่งลงมั่น ไม่หวั่นไหว ในพระสงฆ์ ว่า “สงฆ์สาวกของพระผู้มี- พระภาคเจ้า เป็นผู้ปฏิบัติดีแล้ว เป็นผู้ปฏิบัติตรงแล้ว เป็นผู้ปฏิบัติเพื่อรู้ธรรมเป็นเครื่องออกจากทุกข์แล้ว เป็นผู้ปฏิบัติสมควรแล้ว ได้แก่บุคคลเหล่าน้ี คือ คู่แห่ง บุรุษสี่คู่ นับเรียงตัวได้แปดบุรุษ นั่นแหละ คือ สงฆ์สาวก ของพระผู้มีพระภาคเจ้า เป็นสงฆ์ควรแก่สักการะท่ีเขานำ� มาบูชา เป็นสงฆ์ควรแก่สักการะที่เขาจัดไว้ต้อนรับ เป็น สงฆ์ควรรับทักษิณาทานเป็นสงฆ์ที่บุคคลทั่วไปจะพึงทำ� อญั ชลี เปน็ สงฆท์ เ่ี ปน็ นาบญุ ของโลก ไมม่ นี าบญุ อน่ื ยง่ิ กวา่ ” ดงั น.้ี (๔) คหบดี ! อริยสาวกในธรรมวินัยนี้ เป็น ผู้ประกอบพร้อมแล้ว ด้วยศีลทั้งหลายในลักษณะเป็น ท่ีพอใจของพระอรยิ เจา้ เป็นศลี ทไ่ี ม่ขาด ไมท่ ะลุ ไม่ด่าง ไม่พร้อย เป็นศีลที่เป็นไทจากตัณหา วิญญูชนสรรเสริญ ไม่ถกู ทิฏฐลิ บู คลำ� เปน็ ศีลทีเ่ ปน็ ไปพรอ้ มเพอ่ื สมาธิ ดงั นี้. 15
พทุ ธวจน - หมวดธรรม คหบดี ! อริยสาวก เป็นผู้ประกอบพร้อมแล้ว ดว้ ยองค์แห่งโสดาบนั ๔ ประการ เหล่านแ้ี ล. … … … … คหบดี ! ก็ อริยญายธรรม เป็นส่งิ ท่อี ริยสาวก เห็นแล้วด้วยดี แทงตลอดแล้วด้วยดีด้วยปัญญา เป็น อย่างไรเล่า ? คหบดี ! อริยสาวกในธรรมวินัยน้ี ย่อมทำ�ไว้ ในใจโดยแยบคาย เปน็ อยา่ งดี ซง่ึ ปฏจิ จสมปุ บาทนน่ั เทยี ว ดังน้ีว่า “เพราะส่ิงน้ีมี ส่ิงน้ีจึงมี เพราะความเกิดข้ึน แห่งส่ิงน้ี ส่ิงน้ีจึงเกิดข้ึน. เพราะส่ิงน้ีไม่มี ส่ิงน้ีจึงไม่มี เพราะความดับไปแห่งสิ่งนี้ สิ่งนี้จึงดับไปข้อนี้ได้แก่ สง่ิ เหลา่ น ้ี คอื เพราะมอี วชิ ชาเปน็ ปจั จยั จงึ มสี งั ขารทง้ั หลาย เพราะมีสังขารเป็นปัจจัย จึงมีวิญญาณ ...ฯลฯ... ...ฯลฯ... ...ฯลฯ... เพราะมีชาติเป็นปัจจัย ชรามรณะ โสกะปริเทวะทุกขะโทมนัสอุปายาสท้ังหลาย จึงเกิดข้ึน ครบถ้วน ความเกิดขึ้นพร้อมแห่งกองทุกข์ทั้งส้ินน้ี ยอ่ มมีด้วยอาการอยา่ งน้ี. 16
เปดิ ธรรมที่ถูกปดิ : ค่มู อื โสดาบัน เพราะความจางคลายดบั ไปโดยไมเ่ หลอื แหง่ อวชิ ชา น้ันน่ันเทียว จึงมีความดับแห่งสังขาร เพราะมีความดับ แหง่ สงั ขาร จงึ มคี วามดบั แหง่ วญิ ญาณ ...ฯลฯ... ...ฯลฯ... ...ฯลฯ... เพราะมีความดับแห่งชาตินั่นแล ชรามรณะ โสกะปริเทวะทุกขะโทมนัสอุปายาสทั้งหลาย จึงดับสิ้น ความดับลงแห่งกองทุกข์ทั้งสิ้นนี้ ย่อมมี ด้วยอาการ อย่างนี”้ . คหบดี ! อริยญายธรรม1 นี้แล เป็นธรรมที่ อริยสาวกน้ันเห็นแล้วด้วยดี แทงตลอดแล้วด้วยดีด้วย ปัญญา. คหบดี ! ในกาลใดแล ภัยเวร ๕ ประการ เหล่านี้ เป็นส่ิงที่อริยสาวกทำ�ให้สงบรำ�งับได้แล้วด้วย อริยสาวกเป็นผู้ประกอบพร้อมแล้วด้วยโสตาปัตติยังคะส่ี เหล่าน้ี ด้วย อริยญายธรรมน้ี เป็นธรรมอันอริยสาวก เห็นแล้วด้วยดี แทงตลอดแล้วด้วยดี ด้วยปัญญาด้วย ในกาลน้ัน อริยสาวกน้ันปรารถนาอยู่ ก็พยากรณ์ตน 1. ด คู ำ� อธบิ ายความหมายของคำ� นโี้ ดยละเอยี ดไดใ้ นหมวด “ธรรมะแวดลอ้ ม” ในหวั ขอ้ ที่ ๓๑ หนา้ ๑๒๙. 17
พทุ ธวจน - หมวดธรรม ด้วยตนนั้นแหละว่า “เราเป็นผู้มีนรกสิ้นแล้ว มีกำ�เนิด เดรัจฉานส้ินแล้ว มีเปรตวิสัยส้ินแล้ว มีอบายทุคติ วินิบาตสิ้นแล้ว เราเป็นผู้ถึงแล้วซ่ึงกระแส (แห่งนิพพาน) มีความไม่ตกตำ่�เป็นธรรมดา เป็นผู้เท่ียงแท้ต่อนิพพาน มีการตรัสร้พู ร้อมเปน็ เบอ้ื งหน้า” ดังน้.ี หมายเหตผุ รู้ วบรวม : ยงั มสี ตู รอกี สตู รหนงึ่ ขอ้ ความอยา่ งเดยี วกนั กับสูตรนี้ ผิดกันแต่เพียงตรัสแก่ภิกษุท้ังหลายแทนที่จะตรัสกับ อนาถบณิ ฑกิ คหบดี คอื สตู รที่ ๒ แหง่ คหปตวิ รรค อภสิ มยสงั ยตุ ต์ นทิ าน. ส.ํ ๑๖/๘๕/๑๕๖. และยงั มสี ตู รอกี สตู รหนงึ่ (เวรสตู รที่ ๒ อุปาสกวรรค ทสก. อํ. ๒๔/๑๙๕/๙๒.) มีเค้าโครงและใจความ ของสูตรเหมือนกันกับสูตรข้างบนนี้ ต่างกันแต่เพียงในสูตรนั้น มคี �ำวา่ “ยอ่ มพจิ ารณาเหน็ โดยประจกั ษ”์ แทนค�ำวา่ “ยอ่ มกระท�ำ ไวใ้ นใจ โดยแยบคายเปน็ อยา่ งดี ซงึ่ ปฏจิ จสมปุ บาทนนั่ เทยี ว” แหง่ สตู รข้างบนนี้ เทา่ น้นั . 18
พุทธวจน - หมวดธรรม เปดิ ธรรมที่ถกู ปดิ : คู่มือโสดาบนั พระโสดาบนั ร้จู ักปญั จปุ าทานขนั ธ์ 06 -บาลี ขนธฺ . ส.ํ ๑๗/๑๙๖/๒๙๖. ภิกษุท้ังหลาย ! เมอ่ื ใดแล สาวกของพระอรยิ เจา้ ในธรรมวนิ ยั น้ี มารจู้ ักความกอ่ ขึน้ แหง่ อุปาทานขันธห์ ้า ร้จู ักความตง้ั อยู่ไมไ่ ดข้ องอปุ าทานขนั ธห์ ้า รจู้ กั รสอรอ่ ยของอุปาทานขนั ธห์ ้า ร้จู ักโทษอันร้ายกาจของอุปาทานขนั ธห์ ้า รจู้ กั อบุ ายทไ่ี ปใหพ้ น้ อปุ าทานขนั ธห์ า้ นเ้ี สยี ตามทถ่ี กู ทจ่ี รงิ ภกิ ษทุ ัง้ หลาย ! เมอ่ื นน้ั แหละ สาวกของพระอรยิ เจา้ ผนู้ น้ั เราเรยี กวา่ เปน็ พระโสดาบนั ผมู้ อี นั ไมต่ กต�ำ่ เปน็ ธรรมดา เทย่ี งแทต้ อ่ พระนพิ พาน จกั ตรสั รธู้ รรมไดใ้ นกาลเบอ้ื งหนา้ . 19
พทุ ธวจน - หมวดธรรม เปิดธรรมทีถ่ ูกปิด : คู่มอื โสดาบัน พระโสดาบัน รู้จกั อินทรยี ห์ ก 07 -บาลี มหาวาร. ส.ํ ๑๙/๒๗๑/๙๐๒-๙๐๓. ภิกษุทง้ั หลาย ! อนิ ทรีย1์ ๖ อยา่ งเหล่านี้ มอี ย.ู่ ๖ อยา่ งอะไรเลา่ ? ๖ อยา่ ง คอื จกั ขนุ ทรยี ์ โสตนิ ทรีย์ ฆานินทรีย์ ชิวหินทรยี ์ กายนิ ทรีย์ มนนิ ทรีย์ ภกิ ษทุ ั้งหลาย ! เมอ่ื ใดแล อริยสาวกมา รจู้ ักความกอ่ ขนึ้ แหง่ อินทรยี ท์ งั้ หกเหลา่ น้ี รู้จกั ความตัง้ อยู่ไม่ได้แห่งอนิ ทรยี ท์ งั้ หกเหลา่ นี้ รจู้ ักรสอรอ่ ยของอนิ ทรยี ์ท้งั หกเหล่านี้ รจู้ กั โทษอนั ร้ายกาจของอินทรีย์ท้ังหกเหลา่ นี้ รูจ้ กั อุบายท่ีไปใหพ้ ้นอินทรยี ท์ ัง้ หกเหลา่ นี้ ตามทถ่ี กู ทจ่ี รงิ . 1. อนิ ทรยี ์ แปลวา่ อำ� นาจหรอื ความเปน็ ใหญ่ เมอ่ื รวมกบั คำ� วา่ ตา (จกั ขนุ ทรยี )์ ก็จะหมายถึง ความเป็นใหญ่ในเร่ืองการมองเห็น หรือ ก็คือความเป็นใหญ่ ในหน้าท่ีน้ันๆ (เช่นการไดย้ นิ การไดก้ ล่ิน ...). 20
เปิดธรรมที่ถูกปดิ : คมู่ ือโสดาบนั ภิกษุท้ังหลาย ! เมื่อนั้นแหละ อริยสาวกนั้น เราเรยี กวา่ เปน็ พระโสดาบนั ผมู้ อี นั ไมต่ กต�ำ่ เปน็ ธรรมดา เทย่ี งแทต้ อ่ พระนพิ พาน จกั ตรสั รธู้ รรมไดใ้ นกาลเบอ้ื งหนา้ . 21
พุทธวจน - หมวดธรรม เปดิ ธรรมท่ถี ูกปดิ : ค่มู อื โสดาบนั 22
พทุ ธวจน - หมวดธรรม เปิดธรรมที่ถูกปดิ : คมู่ ือโสดาบนั โสดาปตั ติมรรค ๒ จ�ำพวก 08 -บาลี ขนธฺ . ส.ํ ๑๗/๒๗๘/๔๖๙. ก. สทั ธานสุ ารี ภิกษุทั้งหลาย ! ตา...หู...จมูก...ล้นิ ...กาย...ใจ เปน็ สง่ิ ไมเ่ ทย่ี ง มคี วามแปรปรวนเปน็ ปกติ มคี วามเปลย่ี น เปน็ อยา่ งอน่ื เปน็ ปกต.ิ ภกิ ษทุ ง้ั หลาย ! บคุ คลใด มคี วามเชอ่ื นอ้ มจติ ไป ในธรรม ๖ อย่างน้ี ดว้ ยอาการอยา่ งนี้ บคุ คลนีเ้ ราเรียกวา่ เป็น สทั ธานสุ ารี หยั่งลงสูส่ มั มตั ตนิยาม (ระบบแหง่ ความถูกต้อง) หยงั่ ลงส่สู ัปปรุ สิ ภมู ิ (ภูมแิ ห่งสัตบรุ ุษ) ลว่ งพน้ บถุ ชุ นภมู ิ ไมอ่ าจทจ่ี ะกระท�ำกรรม อนั กระท�ำแลว้ จะเข้าถึงนรก ก�ำเนิดเดรัจฉาน หรือเปรตวิสัย และ ไมค่ วรทจี่ ะท�ำกาละกอ่ นแตท่ จี่ ะท�ำใหแ้ จง้ ซง่ึ โสดาปตั ตผิ ล. 23
พทุ ธวจน - หมวดธรรม ข. ธมั มานสุ ารี ภิกษุท้ังหลาย ! ธรรม ๖ อย่างเหล่าน้ี ทนต่อ การเพ่งโดยประมาณอันยิ่งแห่งปัญญาของบุคคลใด ด้วยอาการอยา่ งนี้ บุคคลนเี้ ราเรยี กว่า ธัมมานสุ ารี หย่งั ลงสู่สมั มตั ตนยิ าม (ระบบแหง่ ความถกู ตอ้ ง) หยั่งลงสสู่ ัปปรุ สิ ภมู ิ (ภมู ิแห่งสตั บุรุษ) ลว่ งพน้ บถุ ชุ นภมู ิ ไมอ่ าจทจ่ี ะกระท�ำ กรรม อนั กระท�ำ แลว้ จะเข้าถึงนรก กำ�เนิดเดรัจฉาน หรือเปรตวิสัย และ ไมค่ วรทจ่ี ะท�ำ กาละกอ่ นแตท่ จ่ี ะท�ำ ใหแ้ จง้ ซง่ึ โสดาปตั ตผิ ล. 24
พทุ ธวจน - หมวดธรรม เปดิ ธรรมท่ถี กู ปดิ : คมู่ ือโสดาบนั โสดาปตั ตผิ ล 09 -บาลี ขนฺธ. ส.ํ ๑๗/๒๗๘/๔๖๙., -บาลี มหาวาร. ส.ํ ๑๙/๔๓๔-๔๓๕/๑๔๓๑. ภิกษุท้ังหลาย ! บุคคลใดย่อมรู้ ย่อมเห็นซึ่ง ธรรม ๖ อยา่ งเหลา่ น้ี ดว้ ยอาการอยา่ งน้ี (ตามทก่ี ลา่ วแลว้ ในโสดาปตั ตมิ รรค ๒ จ�ำ พวก มกี ารเหน็ ความไมเ่ ทย่ี งเปน็ ตน้ ) บุคคลนี้เราเรียกว่า โสดาบัน (ผู้ถึงแล้วซ่ึงกระแส) ผมู้ อี นั ไมต่ กต�ำ่ เปน็ ธรรมดา เปน็ ผเู้ ทย่ี งแทต้ อ่ พระนพิ พาน มกี ารตรัสร้พู รอ้ มเป็นเบ้ืองหน้า. สตู รขา้ งบนน้ี (ขนธฺ . ส.ํ ๑๗/๒๗๘/๔๖๙.) ทรงแสดงอารมณ์ แห่งอนิจจังเป็นต้น ด้วยธรรม ๖ อย่าง คือ อายตนะภายในหก ในสูตรถัดไปทรงแสดงอารมณ์น้ัน ด้วยอายตนะภายนอกหก คือ รปู เสยี ง กลนิ่ รส โผฏฐพั พะ ธรรมารมณ์ กม็ ี แสดงดว้ ยวญิ ญาณหก ก็มี ด้วยสัมผัสหก ก็มี ด้วยเวทนาหก ก็มี ด้วยสัญญาหก ก็มี ดว้ ยสัญเจตนาหก ก็มี ด้วยตัณหาหก ก็มี ด้วยธาตุหก ก็มี และ ด้วยขนั ธห์ า้ กม็ ี ทรงแสดงไวด้ ว้ ยหลกั การปฏบิ ตั อิ ยา่ งเดยี วกนั . 25
พทุ ธวจน - หมวดธรรม สารบี ตุ ร ! อรยิ อฏั ฐงั คกิ มรรค นนี้ น่ั แหละ ชอื่ วา่ กระแส ได้แก่ สัมมาทิฏฐิ สัมมาสังกัปปะ สัมมาวาจา สัมมากัมมันตะ สัมมาอาชีวะ สัมมาวายามะ สัมมาสติ สมั มาสมาธิ. 26
พทุ ธวจน - หมวดธรรม เปดิ ธรรมท่ถี กู ปิด : คมู่ อื โสดาบัน พ(แปลราะฏะโิโปมสัญกดขญ์)าบไาดันพ้เปอน็ ปผรู้บะมรบิาณรู ณใน์ในสศมีลาธิ 10 -บาลี ตกิ . อ.ํ ๒๐/๒๙๗-๒๙๙/๕๒๖. ภิกษุทั้งหลาย ! สิกขาบทร้อยห้าสิบสิกขาบทน้ี ย่อมมาสู่อุทเทส (การยกข้ึนแสดงในท่ามกลางสงฆ์) ทุกกึ่ง แห่งเดือนตามลำ�ดับ อันกุลบุตรผู้ปรารถนาประโยชน์ พากันศกึ ษาอยู่ในสกิ ขาบทเหลา่ น้นั . ภิกษุท้ังหลาย ! สิกขาสามอย่างเหล่านี้มีอยู่ อนั เปน็ ทปี่ ระชุมลงของสกิ ขาบททัง้ ปวงนน้ั . สกิ ขาสามอย่างน้นั เป็นอยา่ งไรเล่า ? คอื อธิสลี สกิ ขา อธจิ ติ ตสิกขา อธิปัญญาสกิ ขา ภิกษุท้ังหลาย ! เหล่านี้แล สิกขาสามอย่าง อนั เปน็ ที่ประชุมลงแห่งสกิ ขาบททงั้ ปวงน้นั . 27
พทุ ธวจน - หมวดธรรม ภิกษุทั้งหลาย ! ภกิ ษใุ นกรณนี ้ี เปน็ ผู้ ท�ำ ใหบ้ รบิ รู ณ์ ในศลี ท�ำ พอประมาณในสมาธ ิ ท�ำ พอประมาณในปญั ญา. เธอยังล่วงสิกขาบทเล็กน้อย1บ้าง และต้องออกจากอาบัติ เลก็ นอ้ ยเหลา่ นน้ั บา้ ง. ขอ้ น้นั เพราะเหตไุ รเลา่ ? ขอ้ นน้ั เพราะเหตวุ า่ ไมม่ ผี รู้ ใู้ ดๆ กลา่ วความอาภพั ต่อการบรรลุโลกุตตรธรรม จักเกิดขึ้น เพราะเหตุสักว่า การลว่ งสกิ ขาบทเลก็ นอ้ ย และการตอ้ งออกจากอาบตั เิ ลก็ นอ้ ย เหลา่ น.้ี ส่วนสิกขาบทเหล่าใดท่ีเป็นเบ้ืองต้นแห่ง พรหมจรรย2์ ทเ่ี หมาะสมแกพ่ รหมจรรย์ เธอเปน็ ผมู้ ศี ลี ย่งั ยืน มีศีลม่ันคงในสิกขาบทเหล่าน้ัน สมาทานศึกษา อยู่ในสิกขาบททั้งหลาย. 1. สิกขาบทเล็กน้อย คือ อภิสมาจาริกาสิกขา เป็นสิกขาบทท่ีบัญญัติเพื่อให้ เกิดความเล่ือมใสแก่คนที่ยังไม่เล่ือมใส และเลื่อมใสยิ่งเกิดข้ึนแก่คนที่ เลื่อมใสแล้ว. 2. สิกขาบทเหล่าใดทเี่ ป็นเบ้ืองต้นแหง่ พรหมจรรย์ คอื สกิ ขาบทปาฏโิ มกข.์ 28
เปิดธรรมท่ีถูกปิด : คมู่ ือโสดาบนั ภกิ ษนุ น้ั เพราะความสน้ิ ไปรอบแหง่ สงั โยชนส์ าม เป็นโสดาบัน เป็นผู้มีอันไม่ตกต่ำ�เป็นธรรมดา เป็น ผเู้ ทยี่ งตอ่ พระนพิ พาน มกี ารตรสั รพู้ รอ้ มในเบอ้ื งหนา้ . 29
พุทธวจน - หมวดธรรม เปดิ ธรรมทถ่ี ูกปิด : คู่มือโสดาบัน พระโสดาบนั ละสังโยชนไ์ ด้สามข้อ 11 มีสามจ�ำพวก -บาลี ติก. อ.ํ ๒๐/๒๙๙-๓๐๑/๕๒๗. ภกิ ษนุ น้ั เพราะความสน้ิ ไปรอบแหง่ สงั โยชนส์ าม1 เป็นผู้สัตตักขัตตุปรมะ ยังต้องท่องเที่ยวไปในภพแห่ง เทวดาและมนุษย์อีกเจ็ดครั้ง เป็นอย่างมาก แล้วย่อม กระท�ำ ท่สี ุดแห่งทกุ ขไ์ ด้. (หรือว่า) ภิกษุน้ัน เพราะความส้ินไปรอบแห่ง สงั โยชนส์ าม เปน็ ผโู้ กลงั โกละ จกั ตอ้ งทอ่ งเทย่ี วไปสสู่ กลุ อกี สองหรอื สามครง้ั แลว้ ยอ่ มกระท�ำ ทส่ี ดุ แหง่ ทกุ ขไ์ ด.้ (หรือว่า) ภิกษุน้ัน เพราะความสิ้นไปรอบแห่ง สงั โยชนส์ าม เปน็ ผเู้ ปน็ เอกพชี ี คอื จกั เกดิ ในภพแหง่ มนษุ ย์ อกี หนเดยี วเทา่ นน้ั แลว้ ยอ่ มกระท�ำ ทส่ี ดุ แหง่ ทกุ ขไ์ ด.้ 1. สงั โยชน์ คอื เครอ่ื งรอ้ ยรดั จติ ๑๐ ประการ ดใู นธรรมะแวดลอ้ มหวั ขอ้ ที่ ๓๐ หนา้ ๑๒๗. 30
พุทธวจน - หมวดธรรม เปิดธรรมทถี่ ูกปิด : คมู่ ือโสดาบัน ละสงั โยชนส์ ามและกรรมทพ่ี าไปอบาย 12 คือ โสดาบัน -บาลี ฉกกฺ . อ.ํ ๒๒/๔๘๘/๓๖๐. ภิกษุท้ังหลาย ! ภิกษุไม่ละธรรม ๖ อยา่ งแล้ว เปน็ ผไู้ มค่ วรเพอื่ กระท�ำใหแ้ จง้ ซง่ึ ทฏิ ฐสิ มั ปทา (ความเปน็ โสดาบัน). ไม่ละธรรม ๖ อยา่ ง เหลา่ ไหนเลา่ ? ไม่ละธรรม ๖ อย่าง เหล่าน้ี คือ ไมล่ ะ สักกายทิฏฐิ (ความเห็นผิดว่าขันธ์ ๕ เป็นตัวตน) ไมล่ ะ วิจกิ ิจฉา (ความลังเลในปฏปิ ทาทางดับทกุ ข)์ ไม่ละ สีลัพพตปรามาส (การถอื เอาศลี และพรตผดิ ความ มงุ่ หมายทแ่ี ทจ้ รงิ ) ไม่ละ อปายคมนิยราคะ (ราคะทค่ี วรแกก่ ารถงึ ซง่ึ อบาย) ไมล่ ะ อปายคมนิยโทสะ (โทสะทค่ี วรแกก่ ารถงึ ซง่ึ อบาย) ไมล่ ะ อปายคมนิยโมหะ (โมหะทค่ี วรแกก่ ารถงึ ซง่ึ อบาย). 31
พทุ ธวจน - หมวดธรรม ภกิ ษุท้งั หลาย ! ภกิ ษไุ มล่ ะธรรม ๖ อยา่ ง เหลา่ นแ้ี ล เป็นผไู้ มค่ วรกระท�ำ ใหแ้ จ้งซง่ึ ทิฏฐิสัมปทา. ภิกษุทั้งหลาย ! ภิกษุละธรรม ๖ อย่างแล้ว เป็นผคู้ วรกระทำ�ให้แจง้ ซ่ึงทฏิ ฐสิ ัมปทา. ละธรรม ๖ อยา่ ง เหล่าไหนเลา่ ? ละธรรม ๖ อย่าง เหล่าน้ี คือ ละ สักกายทฏิ ฐิ (ความเห็นผิดวา่ ขนั ธ์ ๕ เปน็ ตวั ตน) ละ วจิ กิ ิจฉา (ความลังเลในปฏิปทาทางดบั ทกุ ข์) ละ สีลัพพตปรามาส (การถอื เอาศีลและพรต ผดิ ความมงุ่ หมายทีแ่ ทจ้ ริง) ละ อปายคมนยิ ราคะ (ราคะทค่ี วรแกก่ ารถงึ ซง่ึ อบาย) ละ อปายคมนยิ โทสะ (โทสะท่คี วรแกก่ ารถึงซง่ึ อบาย) ละ อปายคมนิยโมหะ (โมหะทีค่ วรแกก่ ารถงึ ซง่ึ อบาย). ภิกษุท้ังหลาย ! ภกิ ษลุ ะธรรม ๖ อยา่ งเหลา่ นแ้ี ลว้ เปน็ ผคู้ วรกระทำ�ใหแ้ จง้ ซึง่ ทฏิ ฐสิ ัมปทา ดังน้ีแล. 32
Search
Read the Text Version
- 1
- 2
- 3
- 4
- 5
- 6
- 7
- 8
- 9
- 10
- 11
- 12
- 13
- 14
- 15
- 16
- 17
- 18
- 19
- 20
- 21
- 22
- 23
- 24
- 25
- 26
- 27
- 28
- 29
- 30
- 31
- 32
- 33
- 34
- 35
- 36
- 37
- 38
- 39
- 40
- 41
- 42
- 43
- 44
- 45
- 46
- 47
- 48
- 49
- 50
- 51
- 52
- 53
- 54
- 55
- 56
- 57
- 58
- 59
- 60
- 61
- 62
- 63
- 64
- 65
- 66
- 67
- 68
- 69
- 70
- 71
- 72
- 73
- 74
- 75
- 76
- 77
- 78
- 79
- 80
- 81
- 82
- 83
- 84
- 85
- 86
- 87
- 88
- 89
- 90
- 91
- 92
- 93
- 94
- 95
- 96
- 97
- 98
- 99
- 100
- 101
- 102
- 103
- 104
- 105
- 106
- 107
- 108
- 109
- 110
- 111
- 112
- 113
- 114
- 115
- 116
- 117
- 118
- 119
- 120
- 121
- 122
- 123
- 124
- 125
- 126
- 127
- 128
- 129
- 130
- 131
- 132
- 133
- 134
- 135
- 136
- 137
- 138
- 139
- 140
- 141
- 142
- 143
- 144
- 145
- 146
- 147
- 148
- 149
- 150
- 151
- 152
- 153
- 154
- 155
- 156
- 157
- 158
- 159
- 160
- 161
- 162
- 163
- 164
- 165
- 166
- 167
- 168
- 169
- 170
- 171
- 172
- 173
- 174
- 175
- 176
- 177
- 178
- 179
- 180
- 181
- 182
- 183
- 184
- 185
- 186
- 187
- 188
- 189
- 190
- 191
- 192
- 193
- 194
- 195
- 196
- 197
- 198
- 199
- 200
- 201
- 202
- 203
- 204
- 205
- 206
- 207
- 208
- 209
- 210
- 211
- 212
- 213
- 214
- 215
- 216
- 217
- 218
- 219
- 220
- 221
- 222
- 223
- 224
- 225
- 226
- 227
- 228
- 229
- 230
- 231
- 232
- 233
- 234
- 235
- 236
- 237
- 238
- 239
- 240
- 241
- 242
- 243
- 244
- 245
- 246
- 247
- 248
- 249
- 250
- 251
- 252
- 253
- 254
- 255
- 256
- 257
- 258
- 259
- 260
- 261
- 262
- 263
- 264
- 265
- 266
- 267
- 268
- 269
- 270
- 271
- 272
- 273
- 274
- 275
- 276
- 277
- 278
- 279
- 280
- 281
- 282
- 283
- 284
- 285
- 286
- 287
- 288
- 289
- 290
- 291
- 292
- 293
- 294
- 295
- 296
- 297
- 298
- 299
- 300