Important Announcement
PubHTML5 Scheduled Server Maintenance on (GMT) Sunday, June 26th, 2:00 am - 8:00 am.
PubHTML5 site will be inoperative during the times indicated!

Home Explore ศาสนาในประเทศไทย

Description: ศาสนาในประเทศไทย

Search

Read the Text Version

ศาสนา ในประเทศไทย



“...เร่อื งศาสนานี้ จะเปน็ ศาสนาใด หากปฏิบัติโดยดีและถูกต้อง กย็ อ่ มจะมีประโยชนส์ ำ�หรบั แตล่ ะบคุ คล และเป็นประโยชนส์ �ำ หรับสว่ นรวมด้วย เพราะวา่ บคุ คลที่มคี วามคดิ ดี ท�ำ ดี ต้งั ใจดี ท�ำ ใหส้ ่วนรวมอยเู่ ยน็ เปน็ สขุ ...” พระราชด�ำ รสั พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยหู่ ัว พระราชทานแกค่ ณะกรรมการจัดงานเมาลดิ กลาง ณ พระต�ำ หนักจติ รลดารโหฐาน พระราชวังดสุ ติ เม่อื วันท่ี ๒๙ มถิ นุ ายน ๒๕๒๔

4

ค�ำปรารภ พลเอก ประยุทธ์ จนั ทร์โอชา นายกรัฐมนตรี เนอ่ื งในโอกาสจัดพิมพห์ นงั สอื “ศาสนาในประเทศไทย” พุทธศกั ราช ๒๕๕๘ ประเทศไทยมีความเจริญรุ่งเรือง และเป็นปึกแผ่นม่ันคงมาจวบจนปัจจุบันนี้ด้วยความ เข้มแข็งของสถาบันชาติ สถาบันศาสนา และสถาบันพระมหากษัตริย์ โดยเฉพาะพระมหากษัตริย์ไทยทุก พระองคท์ รงเปน็ องคเ์ อกอคั รศาสนปู ถมั ภก และใหก้ ารทำ� นบุ ำ� รงุ ศาสนา รวมทง้ั สง่ เสรมิ การดำ� เนนิ กจิ กรรม ทางศาสนาอย่างสม่�ำเสมอ เน่ืองจากหลักธรรมของทุกศาสนาล้วนมุ่งเน้นการสอนให้ศาสนิกชนกระท�ำแต่ ความดแี ละประพฤติปฏบิ ัติอยใู่ นศีลธรรม จรยิ ธรรม รฐั บาลใหค้ วามสำ� คญั ในการสง่ เสรมิ ทำ� นบุ ำ� รงุ อปุ ถมั ภท์ กุ ศาสนาทท่ี างราชการใหก้ ารรบั รอง และสนับสนุนให้องค์กรทางศาสนามีบทบาทส�ำคัญในการปลูกฝังคุณธรรม จริยธรรม และมีส่วนในการ สร้างความปรองดองสมานฉันท์ ความสามัคคีของคนในชาติ ตลอดจนการพัฒนาคุณภาพชีวิตของคน ในสังคมเพ่ือให้เป็นคนดีมีศีลธรรม รวมท้ังมุ่งหวังให้ศาสนาเป็นกลไกส�ำคัญในการส่งเสริมความเข้าใจอันดี ระหวา่ งศาสนิกชน เพื่อใหส้ ามารถอยู่รว่ มกันในสังคมไทยอยา่ งสันตสิ ุข หนังสือศาสนาในประเทศไทยเล่มนี้ เป็นการรวบรวมองค์ความรู้ทางศาสนาท่ีมีอยู่ใน ประเทศไทย เพื่อเผยแพร่ให้ศาสนิกชนและผู้ที่สนใจโดยท่ัวไปท้ังชาวไทยและชาวต่างชาติ ได้เกิดความรู้ ความเข้าใจศาสนาทุกศาสนาในประเทศไทยมากย่ิงขึ้น เพ่ือให้ทุกคนร่วมสร้างสรรค์ประเทศไทยให้มีความ ปรองดองสมานฉนั ท์ และรุง่ เรืองวฒั นาสถาพรสืบไป พลเอก (ประยุทธ์ จันทรโ์ อชา) นายกรฐั มนตรี 5

สารรัฐมนตรวี า่ การกระทรวงวัฒนธรรม ความผาสกุ รม่ เยน็ ของประเทศชาตนิ น้ั ศาสนาถอื เปน็ ปจั จยั สำ� คญั หลกั ธรรมของทกุ ศาสนา ลว้ นเปน็ เครอ่ื งยดึ เหนยี่ วจติ ใจ ชว่ ยดบั รอ้ นผอ่ นทกุ ข์ สอนใหป้ ระพฤตปิ ฏบิ ตั แิ ตค่ วามดี ไมเ่ บยี ดเบยี นซงึ่ กนั และกัน โดยงานด้านศาสนาถอื เปน็ หน่ึงในภารกิจสำ� คัญของกระทรวงวฒั นธรรม โดยมกี รมการศาสนาเป็น หนว่ ยงานหลกั ในการขบั เคลอ่ื นใหส้ มั ฤทธผิ ลตามภาระหนา้ ทใี่ นการทำ� นบุ ำ� รงุ สง่ เสรมิ และใหค้ วามอปุ ถมั ภ์ คมุ้ ครองกจิ การดา้ นศาสนาทที่ างราชการรบั รอง ไดแ้ ก่ พระพทุ ธศาสนา ศาสนาอสิ ลาม ศาสนาครสิ ต์ ศาสนา พราหมณ์ – ฮนิ ดู และศาสนาซกิ ข์ ตลอดจนการสรา้ งความสมานฉนั ทร์ ะหวา่ งศาสนกิ ชนของทกุ ศาสนา รวมทง้ั ด�ำเนินการเพื่อให้คนไทยน�ำหลักธรรมของศาสนามาใช้ในการพัฒนาคุณภาพชีวิต ให้เป็นคนดี มีคุณธรรม โดยมีพระมหากษตั รยิ ์ของไทยทรงเป็นอคั รศาสนปู ถัมภก ทรงอุปถมั ภบ์ �ำรงุ ทกุ ศาสนา เพ่อื ให้ศาสนกิ ชนมี ความรกั ความสามคั คี อยู่รว่ มกันอย่างสนั ติ สงบสุข หนังสือศาสนาในประเทศไทยที่จัดพิมพ์นี้ ได้รวบรวมสาระความรู้ส�ำคัญเกี่ยวกับศาสนา และเป็นหนึ่งในหนังสือศิลปวัฒนธรรมของไทยในมิติต่างๆ ที่รัฐบาลมอบหมายให้กระทรวงวัฒนธรรม โดยกรมการศาสนาด�ำเนินการจัดพิมพ์เผยแพร่ เพ่ือเป็นส่ือกลางสร้างความรู้ความเข้าใจและเผยแพร่ ประชาสมั พันธป์ ระเทศไทยในมิติของศาสนาให้กวา้ งขวางยง่ิ ขนึ้ กระทรวงวัฒนธรรมหวังเป็นอย่างยิ่งว่า หนังสือศาสนาในประเทศไทยเล่มนี้ จะเกิด ประโยชน์ในการศึกษา เรียนรู้ ช่วยสร้างความเข้าใจในความหลากหลายของวิถีปฏิบัติตามหลักของแต่ละ ศาสนา แต่มเี ปา้ หมายเดยี วกนั คือ ความรม่ เย็นเป็นสขุ อยา่ งย่ังยืนของสงั คมและประเทศชาติ (นายวรี ะ โรจน์พจนรัตน์) รฐั มนตรีวา่ การกระทรวงวัฒนธรรม 6

ค�ำน�ำอธบิ ดกี รมการศาสนา กรมการศาสนา ได้รับสนองนโยบายจากรัฐมนตรีว่าการกระทรวงวัฒนธรรม ให้จัดทำ� หนังสือเผยแพร่ประชาสัมพันธ์งานด้านศาสนา เพ่ือให้ประชาชนในทุกศาสนาต่างเข้าใจในศาสนาของ กันและกันตามที่ตนเคารพนับถืออย่างถ่องแท้ และเป็นองค์ความรู้ให้ชาวต่างชาติเข้าใจและช่ืนชมใน ความสมานฉันทข์ องประชาชน ดงั จะเหน็ ไดว้ า่ ประเทศไทยเปน็ ดนิ แดนทใ่ี หเ้ สรภี าพในการนบั ถอื ศาสนาอยา่ งกวา้ งขวาง แม้จะมีผคู้ นนับถือศาสนาแตกต่างกนั แตด่ ว้ ยความเข้าใจ ความเคารพในสิทธิและหน้าท่ี จึงท�ำใหส้ ามารถ อยู่ร่วมกันได้อย่างสันติ ท้ังนี้เพราะพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ทรงเป็นศูนย์รวมจิตใจของชาวไทย ทง้ั ชาติ ทรงใหค้ วามอปุ ถมั ภบ์ ำ� รงุ ทกุ ศาสนา ศาสนกิ ชนในแตล่ ะศาสนาจงึ ตา่ งเคารพ เทดิ ทนู และซาบซง้ึ ใน พระมหากรุณาธคิ ณุ อยา่ งหาทส่ี ดุ มไิ ด้ตลอดมา หนงั สอื เรอ่ื ง “ศาสนาในประเทศไทย” มเี นอ้ื หาสาระวา่ ดว้ ย ความเปน็ มาของศาสนาตา่ งๆ ทเ่ี ผยแพรแ่ ละประดษิ ฐานในดนิ แดนประเทศไทย ซงึ่ พระมหากษตั รยิ ไ์ ทยในทกุ ยคุ ทกุ สมยั ทรงใหก้ ารอปุ ถมั ภ์ โดยเฉพาะศาสนาหลักและศาสนาที่ส่วนราชการรับรอง ได้แก่ พระพุทธศาสนา ศาสนาอิสลาม ศาสนา ครสิ ต์ ศาสนาพราหมณ์ - ฮนิ ดู และศาสนาซิกข์ รวมทง้ั หลกั ค�ำสอน หลกั ปฏิบัติ ศาสนสถาน ศาสนวตั ถุ ศาสนพิธี ข้อก�ำหนดด้านประเพณี และวันส�ำคัญของแต่ละศาสนา เพ่ือให้ศาสนิกชนรับรู้ร่วมกันและ พร้อมท่ีจะประพฤติปฏิบัติตนเป็นคนดีประกอบประโยชน์ให้ชาติบ้านเมืองสืบไป นอกจากน้ัน ได้น�ำหลัก ปรัชญาของเศรษฐกจิ พอเพยี งของพระบาทสมเดจ็ พระเจา้ อยู่หัว ซ่งึ สอดคลอ้ งกับหลกั ธรรมของทกุ ศาสนา เพ่ือให้ชาวไทยได้น้อมน�ำหลักปฏิบัติของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวมาประยุกต์ใช้ให้เกิดประโยชน์แก่ ชาตบิ ้านเมืองอย่างยง่ั ยืนสืบไป กรมการศาสนา หวังเป็นอย่างยิง่ วา่ หนังสือเลม่ น้ีจักอ�ำนวยประโยชน์แกป่ ระชาชนทัว่ กนั และมผี ลผลกั ดันให้บรรลวุ ตั ถุประสงคข์ องรัฐบาลอย่างดยี ง่ิ (นายกฤษศญพงษ์ ศิร)ิ อธิบดกี รมการศาสนา 7

สารบัญ คำ�ปรารภของนายกรฐั มนตร ี ๕ สารรัฐมนตรวี า่ การกระทรวงวฒั นธรรม ๖ คำ�นำ�อธิบดีกรมการศาสนา ๗ บทที่ ๑ ปฐมบทแหง่ ศาสนาในดินแดนประเทศไทย ๑๑ • พระพุทธศาสนา ๑๕ • ศาสนาอสิ ลาม ๒๕ • ศาสนาครสิ ต ์ ๓๕ • ศาสนาพราหมณ์ – ฮินด ู ๔๓ • ศาสนาซิกข์ ๕๑ บทท่ี ๒ อคั รศาสนูปถัมภก ๕๕ • พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยหู่ ัวกบั การอุปถัมภศ์ าสนา ๕๕ • ปรัชญาของเศรษฐกจิ พอเพียงกับหลักธรรมของศาสนา ๗๖ • ศาสนิกสัมพันธ ์ ๘๕ ๘๙ บทท่ี ๓ ศาสนาในประเทศไทย ๘๙ ๙๓ พระพุทธศาสนา ๙๖ • พระบรมศาสดา ศาสนบคุ คล ๑๐๓ ๑๑๙ • ศาสนธรรม หลักคำ�สอน หลกั ปฏิบตั ิ • ศาสนสถาน ศาสนวัตถุ • ศาสนพธิ ี วันสำ�คญั ทางศาสนา 8

ศาสนาอสิ ลาม ๑๒๙ • ศาสดา ศาสนบคุ คล ๑๓๑ • ศาสนธรรม หลักคำ�สอน หลักปฏิบัติ ๑๓๓ • ศาสนสถาน ศาสนวตั ถ ุ ๑๓๙ • ข้อกำ�หนดประเพณี ๑๔๑ • วนั สำ�คญั ทางศาสนา ๑๔๓ ศาสนาคริสต ์ ๑๔๙ • ศาสดา และบรรดาอัครสาวก ๑๕๗ ๑๖๑ • ศาสนธรรม หลกั คำ�สอน หลักปฏบิ ัต ิ ๑๖๕ • ศาสนสถาน ศาสนวัตถ ุ ๑๗๐ • ศาสนพิธี วันสำ�คญั ทางศาสนา ๑๗๗ ศาสนาพราหมณ์ – ฮนิ ด ู ๑๘๐ • ศาสดา ศาสนบุคคล ๑๘๓ • ศาสนธรรม หลกั คำ�สอน หลักปฏิบตั ิ ๑๘๗ • ศาสนสถาน ศาสนวตั ถ ุ ๑๙๑ • ศาสนพิธี วันสำ�คัญทางศาสนา ๑๙๗ ศาสนาซกิ ข์ ๑๙๙ • ศาสดา ศาสนบคุ คล ๒๐๓ • ศาสนธรรม หลกั คำ�สอน หลกั ปฏบิ ัติ ๒๐๗ • ศาสนสถาน ศาสนวตั ถ ุ ๒๐๘ • ศาสนพิธี วันสำ�คัญทางศาสนา ๒๑๐ บรรณานกุ รม 9

10

บทที่ ๑ ปฐมบทแห่งศาสนา ในดินแดนประเทศไทย ประเทศไทยเปดิ กวา้ งและใหส้ ทิ ธปิ ระชาชนในการนบั ถอื ศาสนามาตง้ั แตอ่ ดตี กาล โดยการ 11 นบั ถอื ธรรมชาติ ผสี าง เทวดา และบรรพบุรษุ มาตง้ั แต่สมยั ก่อนประวัติศาสตร์ ปรากฏหลกั ฐานราว พทุ ธศตวรรษที่ ๓ หลังจากการสงั คายนาพระไตรปิฎกคร้ังท่ี ๓ พระเจ้าอโศกมหาราช ทรงสง่ สมณทูต ไปเผยแผพ่ ระพทุ ธศาสนายงั ดนิ แดนตา่ งๆ ๙ สาย รวมถงึ ดนิ แดนสวุ รรณภมู ิ ซงึ่ เชอื่ วา่ คอื ดนิ แดนเอเชยี ตะวนั ออกเฉียงใต้ อนั เปน็ ส่วนหนึ่งของไทยในปจั จุบนั จนกระท่ังปรากฏหลกั ฐานชดั เจนว่า พระพุทธ ศาสนาไดป้ ระดษิ ฐานอยา่ งมนั่ คงในดนิ แดนประเทศไทยสมยั ทวารวดี และเปน็ ศาสนาหลกั สบื ตอ่ เนอ่ื ง มาถึงปัจจุบนั อยา่ งไรก็ดี ปรากฏหลักฐานวา่ ศาสนาพราหมณ์ – ฮนิ ดู ได้เผยแผม่ าพรอ้ มๆ กับพระพุทธ ศาสนา และเปน็ ศาสนาทเี่ จรญิ รงุ่ เรอื งควบคมู่ ากบั พระพทุ ธศาสนา สว่ นความเชอ่ื ดงั้ เดมิ กผ็ สมผสานกบั ความเชอ่ื ในพระพทุ ธศาสนา ต่อมาศาสนาอิสลาม คริสต์ ซกิ ข์ ไดเ้ ผยแผ่เข้ามาภายหลงั ผคู้ นส่วนหนึ่ง ไดย้ อมรับนับถือในศาสนาดงั กลา่ ว ดงั ที่ปรากฏในปจั จบุ ัน จติ รกรรมฝาผนัง เล่าเรอื่ ง พระพทุ ธประวตั ิ ตอนเสดจ็ ลงจากสวรรคช์ ้ันดาวดงึ ส์ พระทน่ี ่งั พุทไธสวรรย์ พพิ ธิ ภัณฑสถานแหง่ ชาติ พระนคร

๑ พระพุทธมหามณรี ตั นปฏมิ ากร (พระแกว้ มรกต) ทรงเครอ่ื งฤดูร้อน ๑ ประดษิ ฐานในบษุ บก วัดพระศรีรตั นศาสดาราม ในพระบรมมหาราชวัง ๒ ๒ วัดพระศรีรตั นศาสดาราม ในพระบรมมหาราชวัง 12

13

14

พระพุทธศาสนา ประเทศไทยเปน็ ดนิ แดนแหง่ พระพทุ ธศาสนามาตง้ั แตโ่ บราณกาล ดงั ปรากฏหลกั ฐาน ทางโบราณคดที ง้ั ทเ่ี ปน็ โบราณสถานและโบราณวตั ถวุ า่ พระพทุ ธศาสนาไดเ้ ขา้ มาเผยแผใ่ นดนิ แดน ประเทศไทยตง้ั แตร่ าวพทุ ธศตวรรษที่ ๘ - ๙ และประดษิ ฐานอยา่ งมนั่ คงเมอ่ื ราวพทุ ธศตวรรษที่ ๑๑ ทง้ั ฝา่ ยเถรวาท และฝา่ ยมหายาน ๑ จิตรกรรมฝาผนงั เรอ่ื งพทุ ธประวัติ ๒ ตอนท้าวสกั กเทวราชเชญิ พระโพธิสัตวใ์ ห้จตุ ิ วดั คงคาราม จังหวัดราชบุรี 15 ๒ พระพทุ ธรูปศลิ าปางนาคปรก ศิลปะลพบรุ ี ๑

16

อย่างไรก็ดี ในคัมภีร์ทางพระพุทธศาสนาระบุว่า เมื่อ ๒ ราวพุทธศตวรรษที่ ๓ หลังจากสังคายนาพระธรรมวินัยครั้งท่ี ๓ ๓ พระเจา้ อโศกมหาราชโปรดใหส้ ง่ พระโสณะและพระอตุ ตระ ไปเผยแผ่ พระพทุ ธศาสนายงั ดนิ แดนสวุ รรณภมู ิ ซง่ึ เชอื่ กนั วา่ คอื ดนิ แดนในเอเชยี ตะวนั ออกเฉียงใต้ บรเิ วณประเทศไทย และประเทศพม่าในปจั จุบัน ในราวพทุ ธศตวรรษที่ ๙ - ๑๑ เปน็ ตน้ มา ผคู้ นในบรเิ วณ ลุ่มแม่น�้ำเจ้าพระยา เริ่มคุ้นเคยกับวัฒนธรรมอินเดีย เช่น การจัด ระเบียบสังคมแบบอินเดีย ระบบการปกครอง การใช้ระบบเหรียญ กษาปณ์ การใช้ตราประทับ เทคนิคการใช้อิฐและหินในการก่อสร้าง ศาสนสถาน รูปแบบตวั อักษร และศาสนา ได้แก่ ศาสนาพราหมณ์ – ฮินดู และพระพุทธศาสนา จนกระท่ังชุมชนในสมัยน้ีพัฒนาการเป็น บา้ นเมอื งขน้ึ มา ซง่ึ เรยี กกนั วา่ “ทวารวด”ี เจรญิ รงุ่ เรอื งอยใู่ นชว่ งพทุ ธ ศตวรรษท่ี ๑๑ - ๑๖ พระพุทธศาสนาฝ่ายเถรวาทเป็นศาสนาหลักของชาว ทวารวดี ดังพบหลักฐานด้านศิลปกรรมส่วนใหญ่สร้างข้ึนเนื่องใน พระพุทธศาสนาฝ่ายเถรวาท ได้แก่ ประติมากรรมรูปเคารพ และ จารึกคาถา “เย ธมมฺ า” ภาษาบาลี ซงึ่ พบเปน็ จำ� นวนมาก ภาษาบาลี นน้ั เปน็ ภาษาทใ่ี ชใ้ นการเขยี นคมั ภรี ท์ างพระพทุ ธศาสนาฝา่ ยเถรวาท ทง้ั ท่แี ต่งขึน้ ในอนิ เดียใต้และลงั กา อนง่ึ ในการเขยี นคมั ภรี ท์ างพระพทุ ธศาสนาฝา่ ยมหายาน และศาสนาพราหมณ์ – ฮนิ ดู ใช้ภาษาสนั สกฤต พระพุทธศาสนาในสมัยทวารวดีเผยแผ่มาจากแหล่ง ตา่ งๆ หลายแหง่ ได้แก่ ลุม่ แมน่ ้ำ� กฤษณา - โคธาวารี (อินเดียภาคใต)้ อินเดียภาคตะวันตก อินเดียภาคเหนือ อินเดียภาคตะวันออกเฉียง เหนอื และลังกา ๑ ธรรมจกั รศิลา สมัยทวารวดี ๒ พระโพธสิ ตั ว์ สมยั ทวารวดี พบทีเ่ มืองโบราณคบู ัว จงั หวดั ราชบรุ ี ๓ พระพมิ พ์ดนิ เผา สมัยทวารวดี ๑ 17

18

๑ วัดพระบรมธาตไุ ชยา ๒ จังหวดั สรุ าษฎรธ์ านี นอกจากนี้ ยงั พบหลกั ฐานทางโบราณคดที แ่ี สดงวา่ พระพทุ ธศาสนาฝา่ ยมหายาน และ ๒ พระโพธสิ ตั วอ์ วโลกเิ ตศวร ศาสนาพราหมณ์ – ฮนิ ดู มบี ทบาทในสงั คมของชาวทวารวดดี ว้ ยเชน่ กนั แตไ่ มเ่ ดน่ ชดั หรอื กวา้ งขวาง ศลิ ปะศรีวิชัย เทา่ กบั พระพทุ ธศาสนาฝา่ ยเถรวาท ดงั ปรากฏหลกั ฐานทางโบราณคดี เชน่ ภาพปนู ปน้ั พระโพธสิ ตั ว์ ณ ศาสนสถานเมอื งโบราณคบู วั จงั หวดั ราชบรุ ี ภาพสลกั บนผนงั ถำ้� ถมอรตั น์ ใกลเ้ มอื งโบราณศรเี ทพ ๑ จังหวดั เพชรบูรณ์ เป็นต้น สว่ นบรเิ วณภาคใตข้ องประเทศไทยในชว่ งเวลาประมาณพทุ ธศตวรรษท่ี ๑๓ – ๑๘ พบ หลกั ฐานวา่ ผ้คู นในวฒั นธรรมทเี่ รียกว่า “ศรวี ิชยั ” นบั ถอื พระพทุ ธศาสนาฝ่ายมหายาน ดงั ได้พบ ศาสนสถาน ศาสนวตั ถเุ นอื่ งในพระพทุ ธศาสนาฝา่ ยมหายานกระจายอยใู่ นพนื้ ทอี่ ำ� เภอไชยา จงั หวดั สรุ าษฎรธ์ านี คาบสมทุ รภาคใต้ ลงไปถงึ หมเู่ กาะในประเทศอนิ โดนเี ซยี เชน่ ประตมิ ากรรมพระโพธสิ ตั ว์ อวโลกิเตศวร พระโพธสิ ตั ว์ปัทมปาณิ พระพทุ ธรูปนาคปรก และพระพิมพ์ดินดบิ เปน็ ตน้ 19

20

ในราวพุทธศตวรรษที่ ๑๖ พระพุทธศาสนาฝ่ายเถรวาทจากท่ีราบลุ่มภาคกลางได้ เผยแผไ่ ปยงั แควน้ หรภิ ญุ ชยั จงั หวดั ลำ� พนู ในปจั จบุ นั หลงั จากนนั้ พระพทุ ธศาสนาในดนิ แดนลา้ นนา ได้ประดิษฐานอย่างม่ันคง และเป็นศูนย์กลางพระพุทธศาสนาท่ีส�ำคัญ โดยเฉพาะเม่ืออาณาจักร ลา้ นนาไดส้ ถาปนาขน้ึ ในชว่ งพุทธศตวรรษท่ี ๑๙ ซ่งึ ได้รบั พระพทุ ธศาสนาจากแหล่งตา่ งๆ ทงั้ จาก สุโขทยั เมืองพัน (มอญหรือเมืองมอญ) และลงั กา อาจกล่าวได้ว่า ในดินแดนประเทศไทยนับต้ังแต่พุทธศตวรรษท่ี ๑๑ เป็นต้นมา พระพุทธศาสนาทั้งเถรวาทและมหายานเจริญรุ่งเรืองสืบเน่ืองมาตามล�ำดับ โดยเฉพาะพระพุทธ ศาสนาเถรวาทไดป้ ระดิษฐานอยา่ งมัน่ คง เปน็ ศาสนาหลักของบา้ นเมืองสบื เน่อื งมา ในสมยั สโุ ขทยั พอ่ ขนุ รามคำ� แหงมหาราชทรงรบั พระพทุ ธศาสนาลทั ธลิ งั กาวงศ์ โดยทรงนมิ นตพ์ ระมหาเถรสงั ฆราช จากเมืองนครศรีธรรมราช พร้อมกับพระภิกษุในคณะจ�ำนวนมากมายังสุโขทัย ต่อมา ภายหลัง พระอโนมทสั สี และพระสมุ นเถระนำ� พระพทุ ธศาสนาลทั ธลิ งั กาวงศเ์ กา่ หรอื รามญั วงศจ์ ากนครพนั มาเผยแผใ่ นกรงุ สโุ ขทยั และในช่วงทีส่ โุ ขทัยตกเป็นเมืองขึน้ กรุงศรอี ยุธยา พระญาณคัมภรี เ์ ถระนำ� พระพุทธศาสนานกิ ายลังกาวงศใ์ หมจ่ ากลงั กามายงั อยธุ ยาและพษิ ณุโลก ๑ พระธาตหุ รภิ ุญชยั จังหวัดล�ำพูน ๒ ๒ อทุ ยานประวตั ศิ าสตร์สโุ ขทยั 21 จงั หวดั สุโขทยั ๑

22

๒๓ ๑ พระพทุ ธชนิ ราช ภายในพระวิหารหลวง พระสงฆฝ์ า่ ยเถรวาทในสมยั สโุ ขทยั สมยั อยธุ ยา และสมยั รตั นโกสนิ ทรต์ อนตน้ ยงั แบง่ วดั พระศรรี ตั นมหาธาตุ ออกเปน็ ฝา่ ยคามวาสี คอื พระทอี่ ยใู่ นเมอื งหรอื ใกลเ้ มอื ง และฝา่ ยอรญั วาสหี รอื พระปา่ นอกจากน้ี จังหวดั พษิ ณุโลก ยงั มพี ระสงฆฝ์ า่ ยเถรวาท รามญั นกิ ายซง่ึ เปน็ พระมอญ และพระสงฆฝ์ า่ ยมหายาน ทงั้ จนี นกิ าย และ อนัมนิกายด้วย ๒ จิตรกรรมฝาผนงั ภาพเทพชุมนมุ พระทน่ี ัง่ พทุ ไธสวรรย์ ต่อมา เมื่อพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว (พ.ศ. ๒๓๙๔ - ๒๔๑๑) พพิ ธิ ภณั ฑสถานแหง่ ชาติ พระนคร ทรงตง้ั คณะสงฆธ์ รรมยุติกนิกายขึ้น คณะสงฆ์ที่มอี ยูเ่ ดมิ เรียกว่า ฝา่ ยมหานกิ าย ๓ จิตรกรรมฝาผนัง เลา่ เรอ่ื งพระมาลยั สว่ นศาสนาพราหมณ์ – ฮินดนู ั้น ยงั คงมบี ทบาทสำ� คัญและเจริญรงุ่ เรืองควบคู่มากับ วดั ทงุ่ ศรีเมือง พระพุทธศาสนา โดยเฉพาะในราชสำ� นกั ที่มคี วามเกยี่ วขอ้ งกบั พระราชพิธที ี่ส�ำคัญของบา้ นเมือง จังหวัดอุบลราชธานี พระมหากษัตริยาธิราชเจ้าของชาวไทยทุกพระองค์ทรงเป็นพุทธมามกะ ในเวลา เดยี วกนั ทรงเปน็ อคั รศาสนปู ถมั ภกศาสนาตา่ งๆ ในพระราชอาณาเขตใหเ้ จรญิ วฒั นาเปน็ ศนู ยร์ วมใจ และเปน็ ท่พี ่ึงของอาณาประชาราษฎรม์ าทุกยุคทุกสมัยตราบปัจจุบนั ๑ 23

24

ศาสนาอสิ ลาม ศาสนาอสิ ลาม ถอื กำ� เนดิ ในดนิ แดนตะวนั ออกกลาง บรเิ วณคาบสมทุ รอาหรบั คอื นคร มกั กะห์ ประเทศซาอดุ อิ าระเบยี ประมาณตน้ ครสิ ตศ์ ตวรรษที่ ๗ หลงั จากทศี่ าสดามฮุ มั มดั (ซ.ล.) ๑ ไดร้ บั ววิ รณ์ (revelation) จากอลั ลอฮ์ (ซ.บ.) ๒ ไดเ้ ผยแผศ่ าสนาอสิ ลามจนแพรห่ ลายทวั่ คาบสมทุ ร อาหรบั และเมอื่ ทา่ นเสยี ชวี ติ ศาสนาอสิ ลามกไ็ ดแ้ ผข่ ยายไปยงั ดนิ แดนอนื่ ๆ อยา่ งกวา้ งขวางทวั่ โลก ๑ มสั ยดิ กลาง จังหวัดสงขลา ๒ ๒ พระมหาคัมภีร์อลั กุรอาน ๑ เป็นอักษรยอ่ มาจาก “ซอลลอลลอฮอุ ะลยั ฮวิ ะซลั ลัม” ซึ่งชาวมสุ ลมิ ใช้เม่ือกล่าวเอย่ นามทา่ นนบมี ฮุ มั มัด ตอ่ ท้าย ต้นฉบับเขียนดว้ ยลายมอื มีความหมายวา่ “ขอความโปรดปรานจากอัลลอฮ์และความสนั ติจงมีแด่ท่าน” ๑ ๒ เปน็ อกั ษรย่อ มาจาก “ซุบฮานะฮวู ะตะอาลา” ซ่งึ ชาวมสุ ลิมใช้เม่อื กลา่ วเอย่ พระนามอลั ลอฮ์ มีความหมายว่า “มหาบริสทุ ธิ์และความสูงส่งย่งิ แดพ่ ระองค”์ 25

“อิสลาม” เป็นค�ำภาษาอาหรับ แปลว่า การยอมจ�ำนน การปฏิบัติตาม และการ นอบน้อม เม่ือน�ำคำ� ว่า อสิ ลาม มาเปน็ ชือ่ ของศาสนาจึงมคี วามหมายว่า เป็นศาสนาแห่งการยอม นอบน้อม จ�ำนนต่อพระเจ้าคือ อัลลอฮ์ อิสลามเป็นศาสนาสุดท้ายที่ประทานลงมาจากชั้นฟ้า ดว้ ยความพอพระทยั ของอลั ลอฮท์ จี่ ะมอบใหแ้ กม่ วลมนษุ ยชาติ พระองคท์ รงสง่ ทา่ นศาสดามฮุ มั มดั บุตรอับดุลลอฮ์มาน�ำทางมนุษย์และญิน เพื่อให้ความเอกะแด่พระองค์ในการเป็นพระผู้อภิบาล และการเปน็ พระเจา้ พรอ้ มทง้ั ยอมจำ� นนตอ่ พระประสงคข์ องพระองคด์ ว้ ยความพอใจและสมคั รใจ ปฏบิ ตั ติ ามคำ� บญั ชาใชข้ องพระองคแ์ ละออกหา่ งไกลจากคำ� สง่ั หา้ มของพระองค์ และพพิ ากษาความ ผดิ ตามทพ่ี ระองคไ์ ดท้ รงกำ� หนดไว้ พรอ้ มทง้ั ยดึ มน่ั ในจริยธรรมอนั สงู สง่ แหง่ อสิ ลาม โดยการปฏบิ ตั ิ ศาสนกิจตามหลกั การอิสลาม ๕ ประการ และหลักศรทั ธาอกี ๖ ประการ เพอื่ ใหเ้ กิดคณุ ธรรมใน จติ ส�ำนึกอันจะนำ� มาซึง่ การเกอ้ื กูลกนั ในสงั คม 26

“มสุ ลมิ ” เปน็ คำ� ภาษาอาหรับเช่นกนั หมายถงึ ผทู้ นี่ อบน้อมยอมจำ� นนต่อขอ้ บญั ญตั ิ ของอลั ลอฮ์ น่นั ก็หมายถงึ ผทู้ ยี่ อมรบั นับถือศาสนาอิสลาม อิสลาม เป็นศาสนาท่ีก�ำหนดมาจากพระเจ้าผู้ทรงสร้างโลกมีพระนามว่า อัลลอฮ์ ดงั นนั้ อสิ ลามจงึ เรมิ่ ตน้ ตง้ั แตม่ มี นษุ ยค์ นแรกในโลกน้ี คอื อาดมั และในทกุ ยคุ ทกุ สมยั อลั ลอฮไ์ ดแ้ ตง่ ตง้ั ศาสนทตู ของพระองค์ เพอื่ ทำ� หนา้ ทสี่ ง่ั สอนผคู้ นใหร้ จู้ กั พระเจา้ ทแี่ ทจ้ รงิ และปฏบิ ตั ติ ามขอ้ บญั ญตั ิ ของพระองค์ ตามที่ปรากฏในพระมหาคัมภีร์อัลกุรอาน บรรดาศาสนาก่อนหน้าศาสดามุฮัมมัด น้ันยังมิได้เรียกชื่อว่าเป็น ศาสนาอิสลาม จนกระท่ังถึงยุคของศาสดามุฮัมมัด ท่านได้เผยแพร่ ข้อบญั ญตั จิ ากอัลลอฮ์โดยใชช้ ื่อว่า อิสลาม หรือศาสนาอิสลาม ดงั น้นั ผ้คู นทั้งหลายจงึ มักเขา้ ใจว่า ศาสนาอสิ ลามเป็นศาสนาท่ีเกิดข้นึ ใหม่ เมือ่ ๑,๔๐๐ กวา่ ปีทผ่ี า่ นมา อิสลาม เป็นค�ำสอนท่ีอัลลอฮ์ได้ก�ำหนดให้แก่มวลมนุษยชาติในโลกนี้ ไม่ใช่ค�ำสอนท่ี ถูกก�ำหนดมาเพื่อเฉพาะกลุ่มชนชาวอาหรับเท่านั้น เพียงแต่ว่าศาสดามุฮัมมัด เป็นชาวอาหรับ จึงเริ่มเผยแพร่จากถ่ินท่อี ยขู่ องทา่ นและได้ขยายออกสู่ดนิ แดนตา่ งๆ ของโลก 27

ศาสนาอสิ ลามไดเ้ ผยแผเ่ ขา้ มาสเู่ อเชยี ตะวนั ออกเฉยี งใต้ ๒ เสน้ ทางหลกั คอื ทางบก โดยเส้นทางการค้าของกองคาราวานอันต่อจากเส้นทางสายไหม (Silk Road) ผ่านจีน อินเดีย ทางทะเล จากเรือสินค้าของชาวมสุ ลมิ สญั ชาตติ ่างๆ เชน่ อาหรับ เตริ ์ก เปอรเ์ ซีย อินเดีย ที่เขา้ มา ติดต่อคา้ ขายยงั เมืองทา่ ส�ำคญั ในคาบสมทุ รมลายู คือบริเวณทีเ่ ป็นอินโดนเี ซยี มาเลเซยี และบรูไน ปจั จบุ นั จนถงึ ตอนใต้ของประเทศไทย บรเิ วณจังหวดั นครศรีธรรมราช บริเวณน้จี ึงเป็นศนู ยก์ ลาง ของอารยธรรมอิสลามและศูนย์กลางการค้าที่ส�ำคัญ คนในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ไดย้ อมรบั นบั ถอื ศาสนาอสิ ลามโดยเรมิ่ จากในดนิ แดนแถบหมเู่ กาะและคาบสมทุ รกอ่ นจะขยายเขา้ สู่ภายในภาคพนื้ ทวปี ในสว่ นของดนิ แดนประเทศไทย สมยั สโุ ขทยั ศาสนาอสิ ลามไดแ้ ผเ่ ขา้ มาในดนิ แดนแถบ ที่เป็นหัวเมืองประเทศราชของอาณาจักรสุโขทัยสมัยพ่อขุนรามค�ำแหงมหาราชซึ่งขยายพระราช อาณาเขตไปทางทศิ ใต้ ไดแ้ ก่ เมอื งนครศรธี รรมราช เมอื งมะละกา เมอื งยะโฮร์ หวั เมอื งตา่ งๆ เหลา่ น้ี นับต้ังแต่นครศรีธรรมราชลงไปจนสุดภาคใต้เลยไปจนถึงมาเลเซีย ท้ังสิงคโปร์ สุมาตรา มะละกา และหมู่เกาะอนิ โดนเี ซยี (สุมาตรา-ชวา) เปน็ หวั เมอื งทีม่ ีพลเมืองนบั ถือศาสนาอิสลามท้งั ส้ิน ๑ 28

นอกจากน้ียังพบหลักฐานถ้วยชามสังคโลก สินค้าส�ำคัญของอาณาจักรสุโขทัยใน ประเทศที่นับถือศาสนาอิสลาม เช่น อินโดนีเซีย อิหร่านและประเทศในทวีปแอฟริกา หลักฐาน เหลา่ นแ้ี สดงวา่ ไดม้ กี ารคา้ ขายระหวา่ งสโุ ขทยั กบั มสุ ลมิ มาชา้ นานและในศลิ าจารกึ หลกั ที่ ๑ ดา้ นที่ ๓ ระบุค�ำว่า “ปสาน” ซึ่งมาจากภาษาเปอร์เซียว่า “บาซาร์” หมายถึงตลาดท่ีต้ังประจ�ำหรือถนนที่ มีห้องเป็นร้านค้า แสดงว่าสมัยสุโขทัยมีชนชาติที่นับถือศาสนาอิสลามได้เข้ามาค้าขายและตั้งบ้าน เรือนอยใู่ นบรเิ วณตลาดดังกล่าว สมยั อยธุ ยามกี ารตดิ ตอ่ คา้ ขายกบั เปอรเ์ ซยี มชี าวเปอรเ์ ซยี เขา้ มาตง้ั ถนิ่ ฐานคา้ ขายและ รบั ราชการในราชส�ำนักและไดร้ ับแต่งต้ังเป็นขุนนาง เชน่ เจ้าพระยารัตนราชเศรษฐี (เฉกอะหมัด) สมยั สมเดจ็ พระเจา้ ทรงธรรม และมลี ูกหลานสบื บทบาททางการเมอื งการปกครองตอ่ มาจนถึงสมัย รตั นโกสนิ ทร์ การคน้ พบโบราณวตั ถชุ นิ้ สำ� คญั คอื เหรยี ญทองคำ� ทที่ ำ� ขนึ้ ในแควน้ แคชเมยี ร์ คน้ พบใน กรพุ ระปรางคว์ ดั ราชบรู ณะ จงั หวดั พระนครศรอี ยธุ ยา จารกึ อกั ษรอาหรบั จงึ เปน็ สง่ิ ยนื ยนั ถงึ ความ สมั พนั ธร์ ะหวา่ งกรงุ ศรอี ยธุ ยากบั ประเทศทน่ี บั ถอื ศาสนาอสิ ลาม นอกจากนย้ี งั มพี อ่ คา้ ชาวอนิ เดยี ที่ นบั ถอื ศาสนาอสิ ลามเขา้ มาคา้ ขายในกรงุ ศรอี ยธุ ยาดว้ ย ทงั้ ไดร้ บั ความไวว้ างพระราชหฤทยั จนไดร้ บั แตง่ ตง้ั เปน็ ขนุ นาง มหี ลกั ฐานการเรยี กชาวมสุ ลมิ โดยรวมวา่ “แขก” ซงึ่ หมายถงึ อาคนั ตกุ ะ แขกบา้ น แขกเมอื ง ในสมัยอยุธยาจึงมีชาวมสุ ลมิ หลายชนชาติ เชน่ อนิ เดยี อิหรา่ น อาหรบั มลายู อินโดนีเซยี ชนชาตจิ าม ปรากฏชมุ ชนมสุ ลมิ ในหลายบรเิ วณ สว่ นใหญอ่ ยนู่ อกเกาะเมอื งทางทศิ ใต้ ปจั จบุ นั ชมุ ชน มุสลมิ ยงั คงมอี ยบู่ รเิ วณใกล้วัดพทุ ไธศวรรย์ ทล่ี ุมพลี และบริเวณมัสยดิ ตะเกยี่ ๓ ๑ มสั ยดิ กรอื เซะ จงั หวดั ปัตตานี ๒ ๒ เหรียญทองค�ำ อักษรอาหรบั ๓ เป็นมัสยิดทส่ี รา้ งขน้ึ ในสมยั อยธุ ยา รัชกาลสมเด็จพระเจ้าทรงธรรม ภายในมัสยิดมีตะเกียงโบราณท่ีไดร้ ับพระราชทาน จากพระบาทสมเดจ็ พระจุลจอมเกล้าเจา้ อยู่หวั จากกรพุ ระปรางค์วดั ราชบรู ณะ จังหวัดพระนครศรีอยธุ ยา 29

๑ ในสมัยรัตนโกสินทร์ มีชาวมุสลิมเช้ือชาติต่างๆ เข้ามาตั้งถ่ินฐานกระจายไปตาม ๑ ศูนยบ์ ริหารกจิ การศาสนา พน้ื ท่ตี ่างๆ ของประเทศ อาทิ มุสลิมดั้งเดมิ ครัง้ กรุงศรอี ยุธยา เมื่อกรงุ ศรอี ยธุ ยาเสยี แก่พม่า พ.ศ. อสิ ลามประจ�ำจงั หวดั ๒๓๑๐ ได้อพยพลงมาตามล�ำน�้ำเจ้าพระยา เกิดเป็นชุมชน เช่น ตลาดแก้ว ตลาดขวัญ บางอ้อ พระนครศรอี ยุธยา คลองบางกอกน้อย คลองบางกอกใหญ่ (คลองบางหลวง) ปากลดั และบรเิ วณชานเมอื ง เปน็ ตน้ มุสลิมจากหัวเมืองมลายู และมุสลิมจากเขมร ท่ีเรียกว่า จาม มุสลิมในบังคับของต่างชาติ ซึ่งเข้า ๒ การละหมาดของชาวมสุ ลมิ มาประกอบอาชีพและตั้งหลักแหล่งอยู่ในกรุงเทพมหานครและจังหวัดใกล้เคียง ได้แก่ ชาวมุสลิม ยะวา (ชวา) และมุสลิมเชื้อสายอินเดีย มุสลิมท่ีเป็นชาวต่างชาติแต่เดิม ซึ่งอพยพเข้ามาตั้งหลัก ๒ แหล่งอยู่ในจังหวัดทางภาคเหนือและภาคตะวันออกเฉียงเหนือ ได้แก่ ชาวมุสลิมเชื้อสายปาทาน (บังกลาเทศ) พม่า และชาวมุสลิมเช้ือสายจีน จากมณฑลยูนนาน (ประเทศจีน) มาตั้งรกรากที่ เชียงใหม่ เชียงราย ลำ� ปาง เป็นต้น 30

31

๑ มุสลิมต่างๆ เหล่าน้ีได้หล่อหลอมกับสังคมไทย เป็นมุสลิมท่ีมิได้แบ่งแยก เชอ้ื ชาติ และมสี ว่ นรว่ มในการพฒั นาประเทศและสรา้ งความสมั พนั ธอ์ นั ดรี ะหวา่ งกนั ดำ� รงชวี ติ รว่ มกนั อยา่ งสงบสขุ ในสังคมไทย ในปัจจุบันมุสลิมได้ต้ังหลักแหล่งของตนในภูมิภาคต่างๆ ของประเทศไทย ไดแ้ ก่ ภาคใต้ หลายจังหวัด ประชากรส่วนใหญ่นับถือศาสนาอิสลามมาแต่แรก ของการเผยแผ่ศาสนาอิสลามมายังดินแดนประเทศไทย โดยเฉพาะจังหวัดยะลา ปัตตานี นราธวิ าสและสตูล ภาคกลาง บรเิ วณกรงุ เทพฯ ชนั้ ใน กระจายเปน็ วงกวา้ งสองฝง่ั แมน่ ำ้� เจา้ พระยา กรงุ เทพฯ ชั้นนอก กระจายตามลำ� คลองสายหลกั ไดแ้ ก่ คลองแสนแสบ จากประตนู �้ำเลย ไปถึงจังหวดั ฉะเชิงเทรา เขตปรมิ ณฑล ทางทิศเหนอื ได้แก่ ยา่ นปทุมธานี และย่านทา่ อฐิ บางตลาด บางบวั ทอง ไทรนอ้ ย ในจงั หวัดนนทบรุ ี เลยมาถึงบางเขน ทิศใต้ ไดแ้ ก่ ปากลัด พระประแดง ทุ่งครุ ทศิ ตะวันออก ได้แก่ บางนำ�้ เปรย้ี ว จงั หวดั ฉะเชิงเทรา 32

๒ ภาคเหนอื เป็นภูมภิ าคท่มี ชี าวมุสลมิ ตั้งถิน่ ฐานมาอยา่ งยาวนาน กระจายอยูเ่ กอื บ ๙ ๑ มสั ยิดกลาง จังหวดั ปตั ตานี จงั หวัดในภาคเหนือ โดยจังหวดั เชยี งใหม่ มชี าวมุสลมิ มากที่สดุ ๒ มัสยิดตน้ สน กรุงเทพมหานคร ภาคตะวนั ออกเฉยี งเหนอื มชี าวมสุ ลมิ หลายเชอื้ ชาตอิ พยพมาตง้ั หลกั แหลง่ ในภมู ภิ าคนี้ จงึ มคี วามหลากหลายดา้ นเชอ้ื ชาติ เช่น มุสลิมเชื้อสายปากสี ถาน มุสลมิ เชอ้ื สายมลายู และมสุ ลิม เช้ือสายบงั กลาเทศ เป็นตน้ รวมความแลว้ มสุ ลมิ กลมุ่ ตา่ งๆ มปี ระวตั คิ วามเปน็ มาและภมู หิ ลงั ทแี่ ตกตา่ งกนั ทง้ั ดา้ น การเมือง เศรษฐกิจ สังคมและการศึกษา เช่น ถูกกวาดต้อนเป็นเชลยในช่วงต้นกรุงรัตนโกสินทร์ ทางด้านการค้า และการประกอบอาชพี เปน็ ตน้ ปจั จบุ ันมีมสุ ลมิ ในประเทศไทยประมาณ ๘ – ๑๐ ล้านคนหรือประมาณร้อยละ ๑๐ ของประชากรท่วั ประเทศซงึ่ ภาคใต้มจี ำ� นวนมากทส่ี ุด 33

34

ศาสนาคริสต์ ศาสนาคริสต์เข้ามาในประเทศไทยต้ังแต่คริสต์ศตวรรษท่ี ๑๖ เริ่มแรกคือศาสนาคริสต์นิกายโรมันคาทอลิก เม่ือสมเด็จพระรามาธิบดี ท่ี ๒ ทรงท�ำสัญญาทางพระราชไมตรีกับโปรตุเกสที่เข้ามายึดครองเกาะ มะละกา ชาวโปรตุเกสเดินทางเข้ามาประกอบกิจการต่างๆ ในกรุงศรีอยุธยา ต่อมาในแผ่นดินสมเด็จพระมหาจักรพรรดิท่ีทรงสร้างความสัมพันธ์อันดี กับชาวโปรตุเกส คณะมิชชันนารีมายังสยามในช่วงระหว่าง พ.ศ. ๒๑๐๗ - ๒๑๑๐ คณะนักบวชท่ีตอบรับและเดินทางเข้ามายังสยามประเทศรุ่นแรก พ.ศ. ๒๑๑๐ ได้แก่ คณะนักบวชโดมินิกันโดยท่ีบาทหลวงเฟอร์นันโด เอด ซงั ตา มารีอา อธกิ ารเจา้ คณะแหง่ เมืองมะละกา ไดส้ ง่ บาทหลวงเยโรมินา ดา ครู้ส และบาทหลวงเซบาสติดอ โด กันโต มาจากมะละกานั้นได้รับ พระราชทานบ้านพักและเร่ิมงานเผยแผศ่ าสนา ถอื เป็นครั้งแรกของการเผยแผ่ ครสิ ต์ศาสนาอย่างเปน็ ทางการในกรงุ สยาม คณะมิชชันนารีชาวตะวันตกท่ีเข้ามารุ่นแรกคือ ชาวโปรตุเกส และสเปนมากกว่าชาติอื่นๆ ต่อมาในแผ่นดินสมเด็จพระนารายณ์มหาราช กรุงวาติกันได้ต้ังสมณกระทรวงเผยแพร่ความเช่ือ เนื่องจากแต่เดิมอาศัย พระราชอำ� นาจของกษตั รยิ โ์ ปรตเุ กสและสเปนทบี่ ญั ชาใหอ้ อกไปคน้ หาดนิ แดนใหม่ และถอื โอกาสนำ� เอาคำ� สอนศาสนาครสิ ตไ์ ปเผยแผด่ ว้ ย ซงึ่ ตอ่ มามคี วามขดั แยง้ ในแนวทางปฏิบัติท่ีต้องอยู่ภายใต้การอุปถัมภ์ของโปรตุเกสและสเปน จึงเป็น เหตุให้ศาสนจักรโดยพระสันตะปาปาต้องหาทางเผยแผ่ศาสนาตามแนวทาง ของศาสนจกั รเอง ๒ ๑ พระเยซคู รสิ ต์ ถกู ลงโทษประหารชีวติ ดว้ ยการตรึงกางเขนจนสิ้นพระชนม์ ตวั อกั ษร I.N.R.I เปน็ ตวั ยอ่ ของภาษาละตินมีความหมายวา่ “เยซูชาวนาซาเร็ท กษตั ริย์ของยวิ ” ภายในโบถสว์ ดั ซางตาคร้สู กรุงเทพมหานคร ๒ รปู ปัน้ พระเยซู ภายในโบถส์วัดซางตาครูส้ กรงุ เทพมหานคร ๑ 35

ความสัมพันธ์ระหว่างราชส�ำนักอยุธยากับส�ำนักวาติกันเริ่มเม่ือ พ.ศ. ๒๒๑๒ เม่ือสมเด็จพระสันตะปาปา เคลเมนต์ ท่ี ๙ ทรงมีพระสมณ สาสน์มาถวายสมเด็จพระนารายณ์มหาราชผ่านพระสังฆราชหรือบิช็อปปัลลือ ชาวฝรั่งเศสท่ีมาปฏิบัติภารกิจเผยแผ่ศาสนา เข้าเฝ้าฯ วันที่ ๑๘ ตุลาคม พ.ศ. ๒๒๑๓ ตอ่ มา พ.ศ. ๒๒๒๒ สมเดจ็ พระสันตะปาปา อนิ โนเซนต์ ที่ ๑๑ มพี ระสมณสาสนม์ าถวายสมเดจ็ พระนารายณม์ หาราช ผา่ นพระสงั ฆราชปลั ลอื เช่นเดิม ก่อนน�ำข้ึนทูลเกล้าฯ ถวายใน พ.ศ. ๒๒๒๕ ต่อมา พ.ศ. ๒๒๓๑ คณะทูตสยามมีบาทหลวง กีย์ เดอ ตาชารด์ ซ่ึงเป็นทูตพิเศษของสมเด็จ พระนารายณม์ หาราช เขา้ เฝา้ สมเดจ็ พระสนั ตะปาปา อนิ โนเซนต์ ท่ี ๑๑ ไดถ้ วาย พระราชสาสน์ของสมเด็จพระนารายณ์มหาราชพร้อมเครื่องราชบรรณาการ ศาสนคริสต์นิกายโรมันคาทอลิกได้ด�ำเนินกิจการแห่งพระศาสนาต้ังมั่น เร่อื ยมาตราบกรุงศรอี ยธุ ยาลม่ สลาย สมยั รตั นโกสนิ ทร์ รชั กาลพระบาทสมเดจ็ พระพทุ ธยอดฟา้ จฬุ าโลก มหาราช กล่าวกันว่ามีคริสต์ศาสนิกชนในกรุงเทพฯ ราว ๓,๐๐๐ คน และในช่วงรัชกาลพระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัว พ.ศ. ๒๓๗๗ ชาวเวียดนามท่ีนับถือศาสนาคริสต์จ�ำนวนมากถูกกวาดต้อนมาจากสงคราม ระหว่างสยามกับญวน “อานามสยามยุทธ” ได้ต้ังรกรากบริเวณถนน สามเสน กรุงเทพฯ เรียกกันว่า “บ้านญวน” ในปัจจุบัน ได้สร้างโบสถ์เซนต์ ฟรังซิส ซาเวียร์ ใน พ.ศ. ๒๓๙๕ พระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว มีพระราชสาสน์ไปถวายสมเด็จพระสันตะปาปา ปีอุส ที่ ๙ โดยมอบให้ พระสังฆราชปัลเลอกัว เป็นผู้น�ำไปถวาย และสันตะปาปา ปีอุส ท่ี ๙ ทรงมี พระสมณสาสน์ตอบ ในรัชสมัยพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ใน พ.ศ. ๒๔๒๔ พระสงั ฆราชหลยุ ส์ เวย์ ไดม้ อบหมายใหบ้ าทหลวง ยวง บปั ตสิ ต์ โปรดม และบาทหลวง เซเวยี ร์ เกโก จากคณะมิสซงั ตา่ งประเทศแหง่ กรงุ ปารีส เดนิ ทางไปประกาศศาสนาในภาคอสี าน จงั หวดั อบุ ลราชธานี นบั เปน็ การกอ่ ตงั้ คริสตศ์ าสนานกิ ายโรมนั คาทอลกิ ในภาคอีสานเปน็ ครัง้ แรก อาสนวิหารแมพ่ ระบงั เกดิ จงั หวัดสมทุ รสงคราม 36

37

38

ครสิ ต์ศาสนกิ ชนประกอบ ในชว่ งเวลาไลเ่ ลย่ี กนั มชิ ชนั นารขี องศาสนาครสิ ตน์ กิ ายโปรเตสแตนทช์ ดุ แรกเรมิ่ เขา้ มา พิธกี รรมรว่ มกันในโบสถ์ ทำ� งานเผยแผศ่ าสนาเช่นกัน คือ ศาสนาจารย์ คาร์ล ออกัสตสั ฟรดิ ริค กุตสลาฟ เป็นนายแพทย์ วดั แมพ่ ระลกู ประคำ� (กาลหวา่ ร)์ สังกดั สมาคมมชิ ชันนารแี ห่งเนเธอร์แลนด์ พรอ้ มกับ ศาสนาจารย์ เจคอบ ทอมลิน สงั กดั สมาคม กรุงเทพมหานคร มชิ ชนั นารแี หง่ ลอนดอน เดนิ ทางมาถงึ กรงุ เทพฯ เมอื่ วนั ที่ ๒๓ สงิ หาคม พ.ศ. ๒๓๗๑ มชิ ชนั นารคี น สำ� คญั เปน็ ทรี่ จู้ กั กนั กวา้ งขวางและมบี ทบาทในการพฒั นาความรหู้ ลายดา้ นของโลกตะวนั ตกในสงั คม ไทย ไดแ้ ก่ ศาสนาจารย์ แดน บชี บรดั เลย์ ทช่ี าวสยามร้จู ักในนามหมอปลัดเล ได้สร้างคุณปู การ อย่างยิ่งแก่ชาวสยาม อาทิ การผ่าตัด การปลูกฝีป้องกันไข้ทรพิษ การพัฒนาด้านการพิมพ์ภาษา ไทย เป็นต้น หมอบรัดเลย์สังกัดคณะกรรมาธิการพันธกิจคริสตจักรโพ้นทะเลแห่งอเมริกา (The American Board of Commissioners for Foreign Missions (ABCFM) เข้ามาถึงกรงุ เทพฯ ใน พ.ศ. ๒๓๗๗ คณะมชิ ชนั นารีโปรเตสแตนท์ทีเ่ ขา้ มาปฏิบตั ิงานอยา่ งมบี ทบาทส�ำคัญในชว่ งแรก คือ คณะอเมรกิ ันแบป๊ ตสิ ต์ เขา้ มายังสยามใน พ.ศ. ๒๓๗๖ ศาสนาจารย์ วลิ เลยี ม ดีน แห่งคณะ ดงั กลา่ วไดก้ อ่ ตง้ั ครสิ ตจกั รของชาวจนี แหง่ แรก (ทเ่ี ชอื่ กนั วา่ เปน็ แหง่ แรกในเอเชยี ดว้ ย) ชอื่ ครสิ ตจกั ร จิงกวง (ต่อมาเปล่ียนชื่อเป็นคริสตจักรไมตรีจิต) เพื่อบุกเบิกการเผยแผ่ศาสนาไปยังประเทศจีน เมื่อวันท่ี ๑ กรกฎาคม พ.ศ. ๒๓๘๐ 39

คณะอเมริกันเพรสไบเทเรียน (American Presbyterian) เขา้ มายังกรุงเทพฯ ในช่วง ๑ โบสถ์วดั ซางตาครู้ส พ.ศ. ๒๓๙๐ ตงั้ ครสิ ตจกั รขน้ึ ในวนั ที่ ๓๑ สงิ หาคม พ.ศ. ๒๓๙๒ คณะมชิ ชนั นารี ๕ คนประกอบดว้ ย ฝ่งั ธนบรุ ซี ง่ึ ถอื เปน็ ยา่ นของชุมชนครสิ ต์ ศาสนาจารย์ สตเี ฟน แมตตูนและภรรยา ศาสนาจารย์ สตเี ฟน บชุ และภรรยา และศาสนาจารย์ ท่ีเก่าแกแ่ ห่งหนงึ่ ในกรงุ เทพมหานคร ซามูเอล เรโนลด์ เฮาส์ ไดร้ ว่ มกันกอ่ ต้ังครสิ ตจกั รเพรสไบเทเรียนที่ ๑ กรุงเทพฯ ทีบ่ ้านพักบรเิ วณ กฎุ ีจนี (หลังวดั อรุณราชวราราม) ในเวลาตอ่ มามีครสิ ตศ์ าสนานิกายโปรเตสแตนทไ์ ดข้ ยายตัวออก ๒-๓ ภาพประดบั กระจกสีภายในโบสถ์ ไปในหวั เมืองอีกหลายแหง่ เชน่ เพชรบุรี พ.ศ. ๒๔๐๔ เชยี งใหม่ พ.ศ. ๒๔๑๐ ล�ำปาง พ.ศ. ๒๔๒๓ วัดซางตาครสู้ เชยี งราย พ.ศ. ๒๔๓๑ เป็นตน้ การด�ำเนินกิจการต่างๆ ของคณะบาทหลวงและมิชชันนารีในการเผยแผ่ศาสนา สืบเนื่องต่อกันมายาวนาน นอกจากจะเป็นการขยายศรัทธาของคริสต์ศาสนิกชนแล้ว ยังส่งผลให้ เกดิ พัฒนาการท่ดี ีในสงั คมไทยหลายด้าน เปน็ ต้นวา่ ดา้ นการศึกษา การแพทย์ ฯลฯ ในหลายพ้นื ท่ี อนั เป็นผลดีตอ่ สังคมไทยตลอดมา ๑๒ 40 ๓

41

42

๑ พธิ โี ลช้ งิ ช้า ตอนหนึ่งของ ศาสนาพราหมณ์ - ฮนิ ดู พระราชพธิ ตี รียัมปวาย จิตรกรรมฝาผนงั แหล่งโบราณสถานคือ ร่องรอยความเจริญของบรรพชนในอดีต คือประวัติศาสตร์ วดั ราชประดิษฐสถติ มหาสีมาราม ของบ้านเมือง มีโบราณวัตถุ ส่งิ เคารพสักการะ คือประจกั ษ์พยานท่ยี ืนยันการนบั ถอื ศาสนา ดังได้ ปรากฏความเจรญิ ของศาสนาพราหมณ์ – ฮนิ ดู อนั แสดงถงึ วฒั นธรรม ศรทั ธา ความเชอ่ื ในแผน่ ดนิ ๒ เอกมุขลงึ ค์หิน เกา่ ทีส่ ุดใน ไทยที่มีมาแตโ่ บราณกาล โดยเฉพาะเมอ่ื กลา่ วถงึ เมืองสวุ รรณภูมทิ ี่มีอายยุ าวนานกว่า ๒,๐๐๐ ปี ประเทศไทย พบทสี่ ถานรี ถไฟ หนองหวาย อำ� เภอท่าชนะ จังหวัด สุราษฎร์ธานี พทุ ธศตวรรษ ท่ี ๑๐ - ๑๓ ปจั จบุ นั จดั แสดงที่ พพิ ิธภัณฑสถานแห่งชาติ พระนคร ๓ ปราสาทพนมรุ้ง จงั หวัดบรุ ีรมั ย์ เทวสถานในศาสนาพราหมณ์ ๒ ๓ ๑ 43

พน้ื ทร่ี าบระหวา่ งภเู ขาในภาคใต้ และอาณาบรเิ วณอนื่ ๆ ๑ ปราสาทเมอื งต่�ำ จังหวัดบรุ รี มั ย์ มกี ลมุ่ ชมุ ชนโบราณนบั ถอื ศาสนาพราหมณ์ – ฮนิ ดู หลายกลมุ่ กระจาย เทวสถานในศาสนาพราหมณ์ เป็นบริเวณกว้างขวาง บ่งบอกวัฒนธรรมอินเดียตอนใต้ แพร่เข้ามา สู่ดินแดนประเทศไทยด้วยเส้นทางการค้าทางเรือหลายเส้นทาง เมื่อ ๒ วดั ศรสี วาย เมืองเกา่ สโุ ขทัย เดิมเปน็ ระยะเวลาระหวา่ งปลายพุทธศตวรรษ ที่ ๑๐ - ๑๔ ปรากฏหลักฐาน เทวสถานในศาสนาพราหมณ์ ประดษิ ฐาน ประตมิ ากรรมเก่าท่ีสดุ ในลทั ธไิ ศวนกิ ายและไวษณพนกิ าย ในท้องที่ เทวรปู พระอิศวร พระนารายณ์ จังหวัดนครศรีธรรมราช อ�ำเภอสชิ ล ท่าศาลา ร่อนพิบลู ย์ และอ�ำเภอ ศลิ ปะสมัยสโุ ขทัย เมืองนครศรธี รรมราช โดยเฉพาะเทวสถาน เขาคา เรยี กว่า วิมานแห่ง พระศวิ ะมหาเทพ หรอื ไศวภมู มิ ณฑล เปน็ การจำ� ลองจกั รวาล คอื เขา พระสเุ มรุ (ไกรลาส) ทสี่ ถติ ของพระศวิ ะ พระผเู้ ปน็ เจา้ ยงิ่ ใหญพ่ ระองค์ หน่ึงของศาสนาพราหมณ์ – ฮนิ ดู ๑ 44 ๒

45

นอกจากดินแดนภาคใต้ เทวสถานพราหมณ์ –ฮนิ ดู และ ๑ ประตมิ ากรรมรปู เคารพ ยงั ปรากฏอยทู่ ว่ั ผนื แผน่ ดนิ ไทย ภาคตะวนั ออก ๒ ท่ีจังหวัดปราจีนบุรี หลายจังหวัดในภาคตะวันออกเฉียงเหนือ เช่น นครราชสีมา บุรีรมั ย์ ภาคตะวนั ตก ทกี่ าญจนบรุ ี และภาคเหนอื ตอนล่าง ที่จังหวัดสุโขทัย ชาวไทยต้ังอาณาจักรสุโขทัยเป็นราชธานี เมอ่ื พ.ศ. ๑๘๐๐ นั้น ศาสนาพราหมณ์ – ฮนิ ดูเจริญคู่อย่กู บั พระพทุ ธ ศาสนาแลว้ แมพ้ ระพทุ ธศาสนาลทั ธลิ งั กาวงศจ์ ะแพรเ่ ขา้ มาอกี ระลอก กต็ าม คตคิ วามเชือ่ ศาสนาพราหมณ์ – ฮินดู มีอทิ ธิพลมากขึ้นในการ ปกครองของชาวไทยสมยั กรงุ ศรีอยธุ ยา ยึดถือว่า พระมหากษัตรยิ ค์ อื สมมุติเทวราช การพระราชพิธีและพิธีกรรมท้ังปวงเพ่ือความมั่นคง และความอุดมสมบูรณ์ จึงข้องอยู่ในธรรมเนียมจารีตของศาสนา พราหมณ-์ ฮนิ ดู ในลัทธไิ วษณพ ซ่ึงนับถอื พระนารายณ์เปน็ เจา้ ดังนน้ั สถานะของพระมหากษัตริย์จึงประดุจพระนารายณ์อวตาร สืบเน่ือง ต่อถึงสมัยกรุงธนบุรีและการสถาปนากรุงรัตนโกสินทร์เป็นราชธานี พ.ศ. ๒๓๒๕ เมื่อพระมหากษัตริย์ทรงสร้างบ้านสร้างเมืองแล้วเสร็จ จงึ สรา้ งเทวสถานสำ� หรบั บชู าพระผเู้ ปน็ เจา้ สำ� หรบั พระนคร ในบรเิ วณ ท่ีเป็นพ้ืนท่ีศักด์ิสิทธ์ิใจกลางพระนคร เพ่ือประกอบพิธีกรรมส�ำคัญ ของบา้ นเมอื งตามราชประเพณี อนั จะนำ� ความม่นั คง มัง่ คั่ง ยั่งยนื ใน พระราชอาณาจกั ร ดงั ปรากฏรปู เคารพ คอื พระผเู้ ปน็ เจา้ ในศาสนาตาม ยคุ สมยั ที่กลา่ วมา เปน็ ศลิ า ส�ำรดิ ในศิลปกรรมหลายสมยั ลักษณะท่ี แสดงพลานุภาพ สง่างาม แฝงไว้ด้วยศรัทธาความเชื่อที่มั่นคง ได้แก่ ศวิ ลงึ ค์ พระปรเมศวร พระพรหมธาดา พระนารายณ์ พระเทวกรรม พระพฆิ เนศวร พระอมุ าเทวี พระลักษมี เป็นอาทิ ๑ เทวรปู พระนารายณ์ สมัยสโุ ขทยั ๒ เทวรปู พระอศิ วร สมยั สโุ ขทยั 46

47

๑ ประวตั ศิ าสตรแ์ ละวฒั นธรรมของไทยทป่ี รากฏถงึ การเกยี่ วขอ้ งกบั ศาสนาพราหมณ์ - ฮนิ ดจู ะเหน็ ไดจ้ ากชอื่ สถานท่ี เชน่ อโยธยา ลพบรุ ี ทวารวดี ฯลฯ ในวรรณคดี ได้แก่ รามเกียรติ์ อนิรุทธ์ิค�ำฉันท์ พาลีสอนน้อง กฤษณาสอนน้องค�ำฉันท์ แม้ในเทศกาลต่าง ๆ เช่น สงกรานต์ ลอยกระทง โดยเฉพาะการพระราชพธิ ที ปี่ ระกอบขนึ้ เกย่ี วกบั สถาบนั พระมหากษตั รยิ แ์ ละความสวสั ดิ มงคลของบ้านเมือง เช่น พระราชพิธีบรมราชาภิเษก พระราชพิธีฉัตรมงคล พระราชพิธีโสกันต์ พระราชพิธจี รดพระนังคัลแรกนาขวญั พระราชพิธีตรียมั ปวาย – ตรปี วาย เปน็ ต้น ปจั จบุ นั ความสำ� คญั ของเทวสถานโบสถพ์ ราหมณเ์ ปน็ สว่ นหนง่ึ ของชาตบิ า้ นเมอื ง เปน็ ๑ พระพิฆเนศ ในสถานพฆิ เนศวร มรดกทางวฒั นธรรมบนผนื แผน่ ดนิ ไทย คณะพราหมณย์ งั คงนำ� การสาธยายพระเวทสรรเสรญิ พระผู้ เทวสถานโบสถ์พราหมณ์ เปน็ เจา้ อำ� นวยความสถาพรมง่ั คงั่ ไพบลู ยม์ าสปู่ ระเทศและประชาชน และทำ� หนา้ ทถ่ี า่ ยทอดศรทั ธา ในธรรมอนั เปน็ สายใยวฒั นธรรม ประเพณี เพอื่ ธำ� รงรกั ษาความศกั ดสิ์ ทิ ธแิ์ ละสริ มิ งคลแกบ่ า้ นเมอื ง ๒ ร�ำเขนงโดยนาลวิ ัน ในขณะพธิ ีโล้ชงิ ชา้ อยา่ งตอ่ เน่ืองสืบมา จิตรกรรมฝาผนงั วดั เสนาสนาราม จังหวัดพระนครศรีอยุธยา 48 ๒

49

50