อบรม B-NET ชั้นมธั ยมศึกษาตอนต้น พระมหาทพิ ย์ โอษฐงาม รองผู้อานวยการโรงเรียนพระปริยตั ธิ รรมสามญั ศึกษา วดั พระธาตุพนม จังหวดั นครพนม พระครูปริยตั โิ ชตยิ าภรณ์ : โรงเรียนสุเทพนครวชิ จังหวดั ร้อยเอด็
อบรมทดสอบทางการศึกษาระดบั ชาติ แผนกสามญั ศึกษา (B-net) วิชาธรรม : มัธยมศึกษาตอนต้น ปีการศึกษา 2561 (สอบ 2562)
ทกุ ะ หมวด ๒ ธรรมมีอปุ การมาก ๒ ๑. สติ : ความระลึกได้ ๒. สัมปชญั ญะ : ความรู้ตัว ธรรมเป็นโลกบาล คือ คุ้มครองโลก ๒ ๑. หิริ : ความละอายแก่ใจ ๒. โอตตัปปะ : ความเกรงกลวั
ธรรมอนั ทาให้งาม ๒ ๑. ขนั ติ : ความอดทน ๒. โสรจั จะ : ความสงบเสงี่ยม บุคคลหาไดย้ าก ๒ ๑. บพุ พการี : บคุ คลผทู้ าอปุ การะก่อน ๒. กตัญญกู ตเวที : บุคคลผรู้ ูอ้ ปุ การะที่ทา่ นทาแลว้ และตอบแทน
รตั นะ ๓ อย่าง ๑. พระพทุ ธ ๒. พระธรรม ๓. พระสงฆ์ • อาการที่พระพทุ ธเจา้ เจา้ ทรงสั่งสอน ๓ อย่าง • ๑. ทรงสง่ั สอน เพื่อจะใหผ้ ู้ฟังรยู้ ิ่งเห็นในธรรมที่ควรรคู้ วรเห็น • ๒. ทรงส่ังสอนมีเหตุทีผ่ ู้ฟังอาจตรองตามใหเ้ ห็นจริงได้ • ๓. ทรงส่ังสอนเปน็ อัศจรรย์ คือผู้ปฏิบตั ิตามยอ่ มได้ประโยชน์ โดยสมควรแกค่ วามปฏิบตั ิ • โอวาทของพระพทุ ธเจา้ ๓ อยา่ ง • ๑. เว้นจากทุจริต คือประพฤติชวั่ ดว้ ยกาย วาจา ใจ. • ๒. ประกอบสจุ ริต คือ ประพฤติชอบ ดว้ ยกาย วาจา ใจ. • ๓. ทาใจของตนใหห้ มดจดจากเครือ่ งเศรา้ หมองใจ มีโลภ โกรธ หลง เป็ นต้น
ธรรมขอ้ ใดทาใหค้ นไมป่ ระมาทเลินเล่อทาให้ การทาการทุกประเภทไม่เกิดความเสยี หาย 1. สติ สมั ปชญั ญะ 2. ฉนั ทะ วริ ิยะ 3. ขันติ โสรัจจะ 4. หิริ โอตตปั ปะ
ธรรมข้อใดทาให้คนไมป่ ระมาทเลินเล่อทาให้ การทาการทกุ ประเภทไมเ่ กิดความเสยี หาย 1. สติ สัมปชญั ญะ 2. ฉันทะ วิริยะ 3. ขนั ติ โสรัจจะ 4. หิริ โอตตปั ปะ
บุคคลในข้อใดมีความละอายเป็นทีต่ ง้ั 1. นาย ก เก็บโทรศัพท์ได้แล้วสง่ คืนเจ้าของ 2. นาย ข ตัง้ ใจทาขอ้ สอบดว้ ยความรอบคอบ 3. นาย ค เชื่อฟังคาสัง่ สอนของครูอาจารยด์ ้วยความเคารพ 4. นาย ง มีความขยนั หม่นั เพียรช่วยพอ่ แม่ทางานบ้าน
บุคคลในข้อใดมีความละอายเป็นที่ตง้ั 1. นาย ก เก็บโทรศัพทไ์ ดแ้ ล้วสง่ คืนเจา้ ของ 2. นาย ข ตัง้ ใจทาข้อสอบด้วยความรอบคอบ 3. นาย ค เชื่อฟังคาสัง่ สอนของครอู าจารย์ดว้ ยความเคารพ 4. นาย ง มีความขยนั หมน่ั เพียรชว่ ยพอ่ แม่ทางานบ้าน
การประพฤติปฏิบัติแล้วทาใหส้ ังคม สงบสุข ตรงตามหลกั ธรรมใด 1. หิริ โอตตัปปะ 2. ขนั ติ โสรัจจะ 3. สติ สมั ปัชชัญญะ 4. ขันติ สัมปัชชัญญะ
การประพฤติปฏบิ ัติแล้วทาใหส้ ังคมสงบสุข ตรงตามหลักธรรมใด 1. หิริ โอตตปั ปะ 2. ขันติ โสรจั จะ 3. สติ สัมปัชชัญญะ 4. ขันติ สัมปัชชัญญะ
สภุ าษิตทีว่ ่า “นา้ ขุ่นไวใ้ น นา้ ใสไว้นอก” จดั เข้าในหลกั ธรรมข้อใด 1. หิริ 2. ขันติ 3. โสรจั จะ 4. โอตตปั ปะ
สภุ าษิตทีว่ ่า “นา้ ขนุ่ ไว้ใน นา้ ใสอยู่นอก” จัดเขา้ ในหลักธรรมใด 1. หิริ 2. ขนั ติ 3. โสรจั จะ 4. โอตตัปปะ
พระพุทธเจ้าตรัสว่า “การฆา่ ความโกรธไดย้ อ่ มเปน็ สขุ ” แสดงวา่ บุคคลนัน้ มีความอดทนอยา่ งไร 1. อดทนตอ่ ทุกขเวทนา 2. อดทนต่อความเจบ็ ใจ 3. อดทนตอ่ อานาจกิเลส 4. อดทนตอ่ ความลาบากตรากตรา
พระพุทธเจ้าตรัสว่า “การฆา่ ความโกรธไดย้ อ่ มเปน็ สขุ ” แสดงวา่ บุคคลนัน้ มีความอดทนอยา่ งไร 1. อดทนตอ่ ทุกขเวทนา 2. อดทนต่อความเจบ็ ใจ 3. อดทนตอ่ อานาจกิเลส 4. อดทนตอ่ ความลาบากตรากตรา
พฤตกิ รรมใดจัดเปน็ บุพพการชี น 1. ตัง้ ใจเรียน 2. เชื่อฟังคาสั่งสอนพอ่ แม่ 3. บริจาคเงินสมทบทนุ มลู นิธิสัตว์ของลกู 4. ซือ่ สัตย์ต่อลกู ค้าผ้บู ริโภค
พฤตกิ รรมใดจดั เปน็ บุพพการชี น 1. ต้ังใจเรียน 2. เชื่อฟังคาสงั่ สอนพ่อแม่ 3. บริจาคเงินสมทบทนุ มูลนิธิสัตว์ของลกู 4. ซื่อสัตย์ต่อลกู ค้าผูบ้ ริโภค
การประกอบความเพียรโดยการตื่นอยู่เสมอ การทากิจ ตา่ งๆด้วยความมีสติสมั ปชญั ญะไมใ่ ห้ความเกียจครา้ น เขา้ มาครอบงาจิตใจได้ตรงกบั อปัณณกปฎิปทา ในข้อใด 1. อินทรียสงั วร 2. ชาคริยานุโยค 3. โภชเนมัตตัญญตุ า 4. สปั ปุริสบัญญตั ิ
การประกอบความเพียรโดยการตืน่ อยูเ่ สมอ การทากิจ ต่างๆดว้ ยความมีสติสมั ปชัญญะไม่ใหค้ วามเกียจคร้านเขา้ มาครอบงาจิตใจไดต้ รงกับ อปณั ณกปฎิปทาในข้อใด 1. อินทรียสังวร 2. ชาคริยานุโยค 3. โภชเนมัตตัญญตุ า 4. สปั ปุริสบญั ญัติ
อปัณณกปฏิปทา หมายถึง ข้อปฏิบัติที่บุคคลทาแล้วไม่มี ความผิดพลาดจากความดีหรือวตั ถุประสงค์ที่ต้งั ไว้ มี ๓ อย่างคือ ๑. อินทรียสงั วร สารวมอินทรีย์ ๖ คือ ตา หู จมูก ลิ้น กาย และใจ มิให้ยินดี ยินร้ายในเวลาเหน็ รูป ฟังเสียง ดมกลิน่ ล้มิ รส ถกู ต้อง โผฏฐัพพะ และร้ธู รรมารมณ์ด้วยใจ ๒. โภชเนมัตตัญญตุ า รู้จักประมาณในการกินอาหารแต่ พอสมควร ไม่มากไม่น้อย จนเกินไป ๓. ชาคริยานุโยค ประกอบความเพียรเพือ่ ชาระจิตใจให้หมดจด ไม่เหน็ แก่การนอนมากนัก
สามัญลักษณะ แปลว่า ลกั ษณะที่เสมอกนั แก่สงั ขารท้งั ปวง เรียกอีกอย่างว่า ไตรลกั ษณะ หรือ ไตรลักษณ์ แปลว่า ลกั ษณะ ๓ ๑. อนิจจตา ความเป็นของไมเ่ ที่ยง หมายถึง ความที่สงั ขารท้งั ปวง ไม่อย่คู งที่มีการ เปลีย่ นรูป แปรสภาพ อย่ตู ลอดเวลา มีลกั ษณะคือเกิดมาแล้วดบั ไป ผนั แปรเปลี่ยนสภาพ ตลอดเวลา ๒. ทกุ ขตา ความเป็นทกุ ข ์ หมายถึง ความที่สังขารท้งั ปวงทนได้ยาก ไม่สามารถ ดารงอย่อู ย่างเดิมได้ มีลกั ษณะ คือ ถกู บีบค้ัน โดยการเกิดและดบั ตลอดเวลา ๓. อนตั ตตา ความเปน็ ของไมใ่ ชต่ น หมายถึง สภาพที่เปน็ ไปตามเหตุตามปจั จัยไม่ มีใครบังคับให้เปน็ ไปตามปรารถนาได้ เช่น ห้ามไม่ให้เกิด ไม่ให้แก่ ไม่ให้เจ็บ ไม่ให้ตาย ไม่ได้
สิ่งทีปิดกั้น สามญั ลกั ษณะไม่ให้คนพิจารณาเหน็ สภาพความเป็นจริงของสงั ขาร คือ ๑. สันตติ คือ การเกิดและดบั ทีต่ ่อเนือ่ งติดต่อกนั จนทาให้รู้สึกไม่มีอะไรเกิด ดับ คอยปิดบังอนิจจตาไว้ ทาให้ไม่ให้เห็นความเปลีย่ นแปลง ๒. อิริยาบถ คือ การผลดั เปลีย่ นความเคลื่อนไหวของร่างกายอยู่ตลอดเวลา คอยปิดบังทกุ ขตาไว้ ทาให้ไม่เห็นสงั ขารว่าทนอย่ใู นสภาพเดิมไม่ได้ ๓. ฆนสญั ญา คือ ความสาคัญผิดว่า สังขารน้อยใหญ่แน่นหนาคงทน คือ ความเป็นปึกแผ่นของสังขาร คอยปิดบังอนัตตตาไว้ ทาให้มองไม่เป็นว่าแท้จริงแล้ว สงั ขารท้งั ปวงเป็นของทีไม่ใช่ของตน ไม่มีตัวตนทีแท้จริง เพราะทุกอย่างเกิดจาก ส่วนประกอบต่าง ๆ ประกอบกนั ข้นึ มา และไม่สามารถบังคับได้
สภาพทั้งปวงไมเ่ ปน็ ไปตามเหตตุ ามปจั จยั คือขอ้ ใด 1. อนจิ จตา ความเป็นของไมเ่ ทยี่ ง 2. ทุกขตา ความเป็นทกุ ข์ 3. อนตั ตตา ความเปน็ ของมิใชต่ ัวตน 4. กมั มัสกตา ความมีกรรมเป็นของตนเอง
สภาพทั้งปวงไมเ่ ปน็ ไปตามเหตุตามปจั จยั คือขอ้ ใด 1. อนิจจตา ความเป็นของไม่เทีย่ ง 2. ทุกขตา ความเปน็ ทกุ ข์ 3. อนตั ตตา ความเป็นของมิใชต่ ัวตน 4. กมั มัสกตา ความมีกรรมเป็นของตนเอง
นาย ก เศร้าใจการจากไปของสตั ว์เลีย้ งอนั เปน็ ทีร่ กั ควรให้คาแนะนาหลกั ธรรมข้อใด 1. อนจิ จตา 2. ทุกขตา 3. อนัตตตา 4. กตัญญุตา
นาย ก เศร้าใจการจากไปของสัตวเ์ ลีย้ งอนั เป็นทีร่ กั ควรใหค้ าแนะนาหลกั ธรรมใด 1. อนจิ จตา 2. ทุกขตา 3. อนตั ตตา 4. กตญั ญตุ า
นาย ข ถกู ความเศรา้ โศกครอบงาเพราะการพลัดพราก จากญาติทีล่ ่วงลบั ไป เพือ่ ให้บรรเทาความทุกข์ให้ นาย ข ทา่ นควรแนะนาตามหลกั ธรรมในข้อใด 1. บญุ กิริยาวตั ถุ 2. ไตรลักษณ์ 3. สจุ ริต 4. อกศุ ลมูล
นาย ข ถกู ความเศรา้ โศกครอบงาเพราะการพลัดพราก จากญาติทีล่ ่วงลบั ไป เพือ่ ให้บรรเทาความทุกข์ให้ นาย ข ทา่ นควรแนะนาตามหลกั ธรรมในข้อใด 1. บญุ กิริยาวตั ถุ 2. ไตรลักษณ์ 3. สจุ ริต 4. อกศุ ลมูล
• อกุศลมูล คือ รากเหง้าของอกุศล เพราะเหตุว่าเมือ่ อกุศลมูล เหล่าน้มี ีอย่แู ล้ว อกศุ ลอืน่ ที่ยังไม่เกิดก็เกิดขึ้น ทีเ่ กิดแล้วกเ็ จริญ มากขึ้น เหตุน้ันควรละเสีย มี ๓ อย่าง คือ ๑. โลภะ โลภอยากได้ของเขา ๒. โทสะ คิดประทษุ ร้ายเขา ๓. โมหะ หลงไม่รู้จริง โมหะถือวา่ เป็นต้นตอท่ีแท้จริงของอกศุ ลมลู เหลา่ นี ้ เนื่องจากโลภะและ โทสะจะเกิดก็เนื่องจากโมหะนนั้ เอง
ผทู้ ีไ่ มเ่ ชือ่ เรื่องบาปบุญคุณโทษ ว่ามีอยจู่ ริงจดั อยใู่ นขอ้ ใด 1. โลภะ 2. โทสะ 3. โมหะ 4. ราคะ
ผทู้ ีไ่ ม่เชื่อเรื่องบาปบญุ คณุ โทษ ว่ามีอย่จู ริงจัดอยู่ในขอ้ ใด 1. โลภะ 2. โทสะ 3. โมหะ 4. ราคะ
เป็นชาวพุทธหยดุ ทาซึง่ กรรมชว่ั เร่งสร้างตัวแต่กรรมดีมีกศุ ล ม่งุ ทาใจใสสะอาดปราศหมองมล เป็นคาทศพลวิมลญาณ บทกลอนขา้ งตน้ มุ่งกลา่ วถึงหัวขอ้ ธรรมใด 1. กุศลมลู 2. ไตรลักษณ์ 3. โอวาทของพระพทุ ธเจ้า 4. บญุ กิริยาวัตถุ
เป็นชาวพุทธหยุดทาซึง่ กรรมชว่ั เรง่ สร้างตัวแต่กรรมดีมีกศุ ล มุ่งทาใจใสสะอาดปราศหมองมล เปน็ คาทศพลวิมลญาณ บทกลอนขา้ งต้นม่งุ กล่าวถึงหวั ขอ้ ธรรมใด 1. กุศลมลู 2. ไตรลกั ษณ์ 3. โอวาทของพระพทุ ธเจา้ 4. บุญกริ ิยาวตั ถุ
โอวาท คือ พระธรรมคาสงั่ สอนของพระพทุ ธเจ้า ทีถ่ ือว่าเป็นหวั ใจหรือเปน็ หลกั การทีส่ าคัญของพระพุทธศาสนา เรียกว่า โอวาทปาฎิโมกข์ มี ๓ อย่าง คือ ๑. เว้นจากการทจุ ริต คือ ประพฤติชว่ั ด้วยกาย วาจา ใจ ๒. ประกอบสจุ ริต คือ ประพฤติชอบด้วยกาย วาจา ใจ ๓. ทาใจของตนใหห้ มดจากเครื่องเศร้าหมองใจ มีโลภ โกรธ หลง เป็นต้น โอวาททง้ั ๓ จัดลงในไตรสิกขาได้ดงั นี้ ข้อ ๑ เว้นจากการทจุ ริต จดั เข้าใน สีลสิกขา ข้อ ๒ ประกอบสุจริต จัดเข้าใน สมาธิสิกขา ข้อ ๓ ทาใจใหผ้ ่องแผว้ จดั เข้าใน ปัญญาสิกขา
การใสบ่ าตรพระทุก ๆ เช้า เพราะปฏิบตั ิ ตามหลักธรรมขอ้ ใด 1. รกั ษาศีล 2. เจริญปัญญา 3. เจริญภาวนา 4. บริจาคทาน
การใส่บาตรพระทกุ ๆ เช้า เพราะ ปฏิบตั ิตามหลกั ธรรมข้อใด 1. รกั ษาศีล 2. เจรญิ ปญั ญา 3. เจรญิ ภาวนา 4. บริจาคทาน
สิ่งเป็นทีต่ ัง้ แห่งการบาเพญ็ บญุ หรือหลักการทาบุญ ในพระพทุ ธศาสนา เรียกว่า “บญุ กิริยาวัตถุ” โดยยอ่ มี ๓ อยา่ ง คือ ๑. ทานมยั : บญุ สาเร็จได้ด้วยการบริจาคทาน ๒. สีลมยั : บุญสาเรจ็ ได้ด้วยการรกั ษาศีล ๓. ภาวนามยั : บญุ สาเรจ็ ได้ด้วยการเจริญภาวนา
วจสี ุจริตข้อใดส่งเสริมใหเ้ กิดความปรองดอง 1. ไม่พดู เทจ็ 2. ไม่พดู คาหยาบ 3. ไม่พูดสอ่ เสียด 4. ไม่พูดเพอ้ เจ้อ
วจสี ุจริตขอ้ ใดสง่ เสริมให้เกิดความปรองดอง 1. ไม่พูดเทจ็ 2. ไม่พดู คาหยาบ 3. ไม่พูดสอ่ เสียด 4. ไม่พูดเพ้อเจ้อ
“สจุ ริต ๓” สจุ ริต แปลวา่ การประพฤติชอบ การประพฤติดี มี ๓ อยา่ ง คือ ๑. ประพฤติชอบด้วยกาย เรียก กายสจุ ริต ๒. ประพฤติชอบด้วยวาจา เรียก วจีสจุ ริต ๓. ประพฤติชอบด้วยใจ เรียก มโนสุจริต
คบคนดี ฟงั วจีโดยเคารพ นอบนบดว้ ยพินิจ ทากิจดว้ ย ปฏิบัติ เปน็ คาจากัดความที่คล้องจองกบั ธรรมใด 1. จกั ร 4 2. อคติ 4 3. ปธาน 4 4. วฑุ ฒิ 4
คบคนดี ฟังวจีโดยเคารพ นอบนบด้วยพินิจ ทากิจดว้ ย ปฏิบตั ิ เปน็ คาจากดั ความที่คลอ้ งจองกบั ธรรมใด 1. จักร 4 2. อคติ 4 3. ปธาน 4 4. วฑุ ฒิ 4
Search
Read the Text Version
- 1
- 2
- 3
- 4
- 5
- 6
- 7
- 8
- 9
- 10
- 11
- 12
- 13
- 14
- 15
- 16
- 17
- 18
- 19
- 20
- 21
- 22
- 23
- 24
- 25
- 26
- 27
- 28
- 29
- 30
- 31
- 32
- 33
- 34
- 35
- 36
- 37
- 38
- 39
- 40
- 41
- 42
- 43
- 44
- 45
- 46
- 47
- 48
- 49
- 50
- 51
- 52
- 53
- 54
- 55
- 56
- 57
- 58
- 59
- 60
- 61
- 62
- 63
- 64
- 65
- 66
- 67
- 68
- 69
- 70
- 71
- 72
- 73
- 74
- 75
- 76
- 77
- 78
- 79
- 80
- 81
- 82
- 83
- 84
- 85
- 86
- 87
- 88
- 89
- 90
- 91
- 92
- 93
- 94
- 95
- 96
- 97
- 98
- 99
- 100
- 101
- 102
- 103
- 104
- 105
- 106
- 107
- 108
- 109
- 110
- 111
- 112
- 113
- 114
- 115
- 116
- 117
- 118
- 119
- 120
- 121
- 122
- 123
- 124
- 125
- 126
- 127
- 128
- 129
- 130
- 131
- 132
- 133
- 134
- 135
- 136
- 137
- 138
- 139
- 140
- 141
- 142
- 143
- 144
- 145
- 146
- 147
- 148
- 149
- 150
- 151
- 152
- 153
- 154
- 155
- 156
- 157
- 158
- 159
- 160
- 161
- 162
- 163
- 164
- 165
- 166
- 167
- 168
- 169
- 170
- 171
- 172
- 173
- 174
- 175
- 176
- 177
- 178
- 179
- 180
- 181
- 182
- 183
- 184
- 185
- 186
- 187
- 188
- 189
- 190
- 191
- 192
- 193
- 194
- 195
- 196
- 197
- 198
- 199
- 200
- 201
- 202
- 203
- 204