370.78 สํานักงานเลขาธกิ ารครุ สุ ภา การประชุมทางวิชาการของคุรสุ ภา ประจาํ ปี 2557 เรอื่ ง “การวจิ ยั เพือ่ เพิ่มคุณภาพการศึกษาและการพฒั นาวชิ าชีพ” กรงุ เทพมหานคร: สาํ นักงานเลขาธิการคุรสุ ภา, 2557 350 หน้า ISBN: 978-616-7746-18-0 1. การประชมุ ทางวชิ าการ 2. การวิจยั 3. คณุ ภาพการศึกษา 4. การพฒั นาวชิ าชพี การประชุมทางวิชาการของคุรสุ ภา ประจําปี 2557เรื่อง “การวจิ ัยเพือ่ เพ่ิมคณุ ภาพการศกึ ษาและการพฒั นาวิชาชีพ”พิมพ์ครงั้ ที่ 1 กันยายน 2557จาํ นวน 1,500 เลม่จัดพมิ พ์เผยแพร่ สาํ นักพฒั นาและสง่ เสริมวิชาชพี สํานกั งานเลขาธิการคุรุสภา ถนนนครราชสมี า เขตดสุ ติ กรุงเทพฯ 10300 โทรศัพท์ 0 – 2280 - 6366 โทรสาร 0 – 2280 - 6366 Website: http://www.ksp.or.thพมิ พ์ที่ บริษทั ศรอี นนั ต์การพมิ พ์ จาํ กดั 67/21-22 ถนนประชาธปิ ไตย แขวงบางขนุ พรหม เขตพระนคร กรุงเทพฯ 10200 โทรศัพท์ 0 – 2282 - 0514 /0 – 2280 - 3552 /0 – 2281 - 9301 โทรสาร 0 – 2282 - 2996
การประชมุ ทางวิชาการของคุรุสภา ประจาํ ปี 2557 “การวิจยั เพอื่ เพิ่มคณุ ภาพการศกึ ษาและการพฒั นาวิชาชพี ” คาํ นํา ครุ ุสภา ในฐานะองค์กรวิชาชีพทางการศกึ ษา ได้ตระหนักในความสําคัญของการส่งเสริมให้ผู้ประกอบวิชาชีพทางการศกึ ษาไดส้ รา้ ง และใช้กระบวนการวิจยั เปน็ ฐานในการพฒั นาวชิ าชพี และผู้เรียนอยา่ งจริงจงั องค์ความรู้ท่ีได้จากการใชก้ ารวิจัยเป็นฐานในการพัฒนาที่เกิดจากการลงมือปฏิบัติจริง จะส่งผลโดยตรงต่อการพัฒนาคุณภาพผู้เรียนซึ่งเป็นเป้าหมายสูงสุดของการปฏิรูปการศึกษา นอกจากน้ี “การวิจัย” ยังเป็นนวัตกรรมสําคัญในการสร้างความก้าวหน้าทางวิชาการ และเป็นเครื่องมือในการพัฒนาทุนทางปัญญา (Intellectual Capital) ที่ส่งเสริมให้เกิดการเรียนรู้และการพัฒนานวัตกรรมใหม่ ๆ ผลผลิตและส่ิงประดษิ ฐค์ ดิ คน้ ใหม่ ๆ ทสี่ รา้ งสรรค์ อนั นําไปส่สู งั คมฐานแห่งความรู้(Knowledge – Based Society) ในกลุ่มผู้ประกอบวิชาชีพทางการศึกษา ซ่ึงจะเป็น “สังคมแห่งวิชาชีพครู” ท่ีมีการใชค้ วามรโู้ ดยมกี ารวิจัยเป็นฐานในการพฒั นา การจัดประชุมทางวิชาการของคุรุสภา ประจําปี 2557 เรื่อง “การวิจัยเพื่อเพิ่มคุณภาพการศึกษาและการพฒั นาวิชาชีพ” มวี ัตถปุ ระสงค์หลกั ที่มุ่งให้โอกาสแก่ผู้ประกอบวิชาชีพทางการศึกษา มีเวทีวิชาการระดับประเทศทีน่ ําเสนอและเผยแพร่ผลงานวิจยั และนวตั กรรมสถานศึกษาท่ีมีคุณภาพ มีคุณค่าทางวิชาการต่อการพัฒนาวิชาชีพและพัฒนาผู้เรียน ซึ่งเกิดขึ้นจากความมุ่งมั่น พยายาม และต้ังใจของผู้ที่เก่ียวข้องทุกระดับ และเพื่อเป็นเวทีในการแลกเปลย่ี นความรู้และประสบการณ์ทางวิชาชีพการศึกษา โดยจัดขึ้นระหว่างวันที่ 14 - 15 กันยายน 2557ณ ศูนย์ประชุมวายุภักษ์ โรงแรมเซ็นทราศูนย์ราชการและคอนเวนชันเซ็นเตอร์ แจ้งวัฒนะ กรุงเทพมหานครกิจกรรมทางวิชาการ ประกอบด้วย การนําเสนอผลงานวิจัยภาคบรรยายและภาคแผ่นป้ายนิทรรศการ การจัดแสดงนิทรรศการผลงาน “หน่ึงโรงเรียน หนึ่งนวัตกรรม” ประจําปี 2557 และนิทรรศการทางวิชาชีพ การปาฐกถาการบรรยาย และการเสวนาทีเ่ ปน็ ประเดน็ สําคญั ของการวิจยั การพฒั นาวชิ าชีพ และการพัฒนาผู้เรียน รวมทั้งการจัดให้มี “คลินิกวิจัย” ที่เปิดโอกาสให้ผู้ประกอบวิชาชีพทางการศึกษาเข้ารับคําปรึกษา และคําแนะนําจากผู้ทรงคุณวุฒิซึง่ มีผู้สนใจเข้าร่วมกจิ กรรมเป็นอยา่ งดีในทุก ๆ ปีทีล่ ่วงมา สํานักงานเลขาธิการคุรุสภา หวังเป็นอย่างย่ิงว่า หนังสือเล่มน้ี จะเอื้อประโยชน์แก่ผู้อ่านในการนําความรู้ไปปรับใช้ในการพัฒนาตนเองและพัฒนาวิชาชีพให้เข็มแข็ง และเป็นแหล่งข้อมูลสําคัญสําหรับการศึกษาเรียนรู้และนาํ ไปประยุกต์ใช้ให้เหมาะสมกับบริบท และความต้องการที่สามารถส่งผลต่อการพัฒนาวิชาชีพและผู้เรียนได้อยา่ งเป็นผลดมี ากยิ่งขึน้ ต่อไป ท้ายท่ีสุดน้ี ขอขอบคุณท่านศาสตราจารย์กิตติคุณ ดร.ไพฑูรย์ สินลารัตน์ ประธานกรรมการคุรุสภา และผู้ทรงคุณวุฒิทุกท่านที่ได้กรุณาสละเวลาในการเขียนบทความทางวิชาการ และสรุปย่อผลงานวิจัยให้กับหนังสือเล่มนี้ขอขอบคุณผู้ทรงคุณวุฒิท่ีได้กรุณาให้ความรู้ และแลกเปล่ียนประสบการณ์การเรียนรู้ที่ทรงคุณค่าในการปาฐกถาพิเศษการบรรยาย และการเสวนา รวมทั้งขอขอบคุณ “ผู้ประกอบวิชาชีพทางการศึกษาทุกคน” ที่ตระหนักและเห็นถึงความสําคัญของการใช้การวิจัยเป็นฐานในการพัฒนาวิชาชีพ ด้วยการส่งผลงานวิจัยและนวัตกรรมสถานศึกษาเข้ารว่ มคัดสรรกับครุ สุ ภา ท้ังยงั ได้เข้าร่วมประชุมทางวชิ าการของครุ สุ ภามาอยา่ งต่อเนือ่ ง ขอขอบคณุ คณะกรรมการคุรสุ ภา คณะกรรมการมาตรฐานวชิ าชีพ และคณะอนุกรรมการบริหารโครงการ ฯท่ีได้ร่วมกันส่งเสริม สนับสนุนการจัดประชุมทางวิชาการของคุรุสภา ตลอดจนผู้บริหาร และพนักงานเจ้าหน้าที่สํานักงานเลขาธิการคุรุสภาทุก ๆ คน ที่ได้ร่วมมือกันปฏบิ ัตงิ านในครง้ั นี้จนสาํ เร็จลลุ ว่ งด้วยดอี ยา่ งงดงาม (ดร.อาํ นาจ สนุ ทรธรรม) เลขาธิการคุรุสภา กันยายน 2557
การประชุมทางวิชาการของครุ สุ ภา ประจาํ ปี 2557 “การวิจัยเพอ่ื เพมิ่ คณุ ภาพการศกึ ษาและการพฒั นาวชิ าชพี ”สารบญัคํานาํ หน้าสารบัญ ก 1กําหนดการประชุมทางวชิ าการของคุรสุ ภา ประจําปี 2557 3เรือ่ ง “การวิจยั เพ่ือเพิ่มคณุ ภาพการศกึ ษาและการพฒั นาวิชาชพี ” 10 19บทความทางวิชาการ 31 32 ผู้นาํ ทางการศกึ ษาไทย: ถงึ เวลาของบทบาทเชงิ รุก ศาสตราจารยก์ ิตตคิ ณุ ดร.ไพฑรู ย์ สินลารัตน์ 40 เร่ืองนา่ วิจยั : การออกแบบการเรียนรเู้ พ่ือศตวรรษที่ 21 48 รองศาสตราจารย์ ดร.รสสคุ นธ์ 57 คาํ ถามท่ตี อ้ งการคาํ ตอบเกย่ี วกบั การวิจยั รองศาสตราจารย์ ดร.ทวิ ัตถ์ มณีโชติ และคณะ 65ผลงานวจิ ยั ระดับภมู ภิ าค ประจําปี 2557 • การพัฒนารูปแบบการเรียนการสอนแบบ 5A-S เพ่อื สง่ เสรมิ พฤตกิ รรมการดูแลสุขภาพ ในชอ่ งปาก ของนกั เรียนชั้นประถมศึกษาปที ่ี 5 นางสมสวย พรมหนู • การเปรยี บเทยี บผลสมั ฤทธ์ิทางการเรยี นวิชาวสั ดชุ า่ งอุตสาหกรรม (2100 - 1002) และทกั ษะกระบวนการกลุ่มแบบรว่ มมือของนักเรยี น ปวช. ชั้นปที ี่ 1 วิทยาลยั เทคนคิ สมทุ รสาคร ทจ่ี ัดการเรยี นการสอน โดยใช้รปู แบบร่วมมือดว้ ยวิธีการจิ๊กซอว์ (Jigsaw) กับการสอนตามปกติ นายชลิต ลว้ นศิริ • การพัฒนาชุดกิจกรรมเสรมิ สร้างคุณลักษณะท่ีพงึ ประสงค์สําหรบั นักเรียนชา่ งอุตสาหกรรม ที่สอดคลอ้ งกบั ความต้องการของสงั คมไทยและความเปน็ พลเมืองอาเซยี น นายอภิชาติ เนนิ พรหม • ชุดการสอน วิชางานเครอื่ งมือกลเบ้อื งต้น (2100 - 1008) ตามหลักสตู รประกาศนียบตั รวชิ าชพี พทุ ธศักราช 2556 ประเภทวิชาอุตสาหกรรม สาํ นกั งานคณะกรรมการการอาชวี ศกึ ษา นายอํานาจ ทองแสน • การพฒั นาผลสมั ฤทธทิ์ างการเรียน วชิ าวิทยาศาสตร์พน้ื ฐาน รหสั วิชา ว23101 และความสามารถในการคิดวิเคราะห์ของนกั เรียนชน้ั มธั ยมศกึ ษาปที ่ี 3 โดยใช้การจัดการเรียนรแู้ บบโครงงาน นางเบญ็ จพร ภิรมย์
การประชมุ ทางวชิ าการของครุ สุ ภา ประจําปี 2557 “การวจิ ัยเพื่อเพิม่ คณุ ภาพการศึกษาและการพฒั นาวชิ าชีพ”• การพัฒนากิจกรรมการเรยี นรูโ้ ดยการใช้ RDCP Chem – mation เป็นเครื่องมือสรา้ งองค์ความรู้ หนา้ ของนักเรียนช้ันมัธยมศึกษาปีที่ 5 เรอ่ื ง อตั ราการเกดิ ปฏกิ ริ ยิ าเคมี 75 นายธีรพงษ์ แสงสทิ ธิ์ 85• รายงานการนเิ ทศครผู สู้ อนกลมุ่ สาระการเรยี นรคู้ ณติ ศาสตร์ โดยใชแ้ นวทางการพัฒนา 95 การจดั กิจกรรมการเรียนรูก้ ารแกป้ ญั หาคณติ ศาสตร์ ช้นั ประถมศกึ ษาปที ่ี 3 101 สํานกั งานเขตพนื้ ที่การศึกษาประถมศกึ ษาเชยี งราย เขต 4 นางสาวนันทนา จนั ทร์ฟน่ั 109• การพัฒนาชุดสอื่ ประสมเพ่ือพฒั นาทกั ษะการอ่านออกเสียงคาํ ควบกลาํ้ 116 ของนักเรียนช้ันประถมศึกษาปีท่ี 3 นางไพรประนอม ประดับเพชร 126 136• ผลการจัดการเรยี นรบู้ ูรณาการไอซีที (ICT) เพอื่ พัฒนาผลสมั ฤทธท์ิ างการเรยี น 148 กลมุ่ สาระการเรียนรู้การงานอาชพี และเทคโนโลยี (คอมพวิ เตอรเ์ พิ่มเตมิ ) ของนักเรียนช้ันประถมศึกษาปที ่ี 4 โรงเรยี นอนบุ าลสุพรรณบุรี นางสาววชั ราภรณ์ เพง็ สุข• การศึกษาผลการจัดกจิ กรรมเรียนรูอ้ ะไร ทาํ อะไรได้ เรอ่ื ง ระบบสรุ ยิ ะและพลังงานแสง ที่มตี อ่ ผลสมั ฤทธ์ิทางการเรียนและความพงึ พอใจของนกั เรียนช้ันประถมศึกษาปที ่ี 4 โรงเรยี นวัดประทมุ ทายการาม นายทวศี ลิ ป์ ซ่อื สัตย์• การพัฒนารูปแบบการสอนด้วยบทเรยี นคอมพวิ เตอรช์ ว่ ยสอนและการสอนแบบกระบวนการ แก้ปญั หา เพือ่ เสรมิ สร้างการคิดอย่างมวี ิจารณญาณและผลสัมฤทธ์ทิ างการเรียน ของนักศึกษาระดบั ช้ันประกาศนยี บตั รวชิ าชีพชัน้ สูง นายวรวฒั น์ บญุ ดี• การพัฒนาสาระการเรียนร้ทู ้องถ่ิน เรื่อง เร่มิ ตน้ กบั วิทยาศาสตร์ทางทะเล ระดับชนั้ มธั ยมศึกษาปที ี่ 3 นางสาวสนุ ันท์ พทุ ธภูมิ• การพฒั นาบทเรยี นคอมพวิ เตอร์มลั ตมิ ีเดยี ภาคความรู้ รายวชิ า ง 21102 การงานอาชีพ 2 (งานชา่ ง) สาํ หรบั นักเรียนชั้นมัธยมศกึ ษาปที ี่ 1 โรงเรยี นอยธุ ยาวิทยาลัย นายศภุ กร การสมบตั ิ• การพัฒนาชุดการเรียนการสอน เร่ือง ความสมั พันธเ์ ชิงฟงั กช์ ันระหว่างขอ้ มูล สาํ หรบั นกั เรยี นชน้ั มัธยมศึกษาปที ่ี 6 โรงเรยี นเบญจมราชูทิศ จังหวัดปตั ตานี นายสุลายมาน บากา
การประชมุ ทางวชิ าการของคุรสุ ภา ประจาํ ปี 2557 “การวิจยั เพอื่ เพิม่ คณุ ภาพการศึกษาและการพฒั นาวิชาชพี ”• การพฒั นาชุดกิจกรรมการเรยี นรทู้ ักษะกระบวนการทางวิทยาศาสตร์ขนั้ พ้นื ฐาน หนา้ สําหรบั นกั เรียนชน้ั ประถมศกึ ษาปีท่ี 3 โรงเรยี นวัดสลุด 154 สังกัดสํานกั งานเขตพื้นที่การศกึ ษาประถมศกึ ษา สมทุ รปราการ เขต 2 161 นางสาวมณีรัตน์ รตั นวิชัย 170 178• ผลการจัดการเรียนรใู้ นกลมุ่ สาระการเรียนรู้สังคมศกึ ษา ศาสนา และวฒั นธรรม ตามแนวคิด 186 คอนสตรคั ตวิ ิสต์ทมี่ ีตอ่ ความสามารถในการสรา้ งองคค์ วามรู้ ผลสมั ฤทธ์ทิ างการเรียน 196 และความสุขในการเรยี นของนกั เรยี นชั้นประถมศึกษาปที ่ี 1 โรงเรียนบ้านเสาเลา้ ผักชีศรสี วสั ดิ์ 206 นางพจนี ศิรวิ รรณ 215 224• การพัฒนาชดุ การสอนแบบอิงประสบการณ์ สาระท่ี 5 ภูมศิ าสตร์ กลุม่ สาระการเรยี นรู้ สังคมศึกษา ศาสนา และวัฒนธรรม ชั้นประถมศึกษาปที ี่ 3 โรงเรยี นบ้านหนองสนม นางฐปะนีย์ บรุ าไกร• การสรา้ งและหาประสทิ ธิภาพการจดั การเรยี นการสอน เรอ่ื ง เสียงในภาษาไทย ด้วยกระบวนการ MIAP สําหรับนกั เรยี นช้ันมัธยมศกึ ษาปที ี่ 6 นางสาวสุวชิ า กุฎศี รี• รายงานผลการใชบ้ ทเรียนคอมพวิ เตอร์ช่วยสอน เรอ่ื ง เศรษฐกจิ พอเพียงตามแนวพระพุทธศาสนา และหนังสืออิเลก็ ทรอนกิ ส์ เรอ่ื ง วันสาํ คญั ทางพระพทุ ธศาสนา สาํ หรบั นักเรียนระดบั ชนั้ มธั ยมศึกษาปที ่ี 2 โรงเรียนสันทรายวิทยาคม จงั หวัดเชยี งใหม่ นางสาวจนั ทนา อินทจกั ร์• ผลของการจัดการเรียนรู้แบบวฏั จกั รการเรียนรู้ (4 MAT) และแบบรว่ มมอื ท่ีมีต่อผลสมั ฤทธ์ิทางการเรยี น วิชาสังคมศึกษา 2 ส 21102 การคิดวเิ คราะห์ และเจตคติตอ่ การเรียน ของนกั เรยี นชนั้ มัธยมศึกษาปีที่ 1 โรงเรยี นเมอื งนครศรีธรรมราช นางอภญิ ญา การิกาญจน์• การพัฒนารูปแบบการเรียนร้โู ดยใชเ้ กมรว่ มกบั แบบฝึกทกั ษะ (Games and Drills) เพ่อื พัฒนาผลการเรยี นรู้ เร่ือง ตวั ประกอบของจาํ นวนนับ กลมุ่ สาระการเรียนรคู้ ณิตศาสตร์ ช้ันประถมศึกษาปที ่ี 6 นางสดุ าจติ ป้านภมู ิ• การพัฒนารูปแบบการจดั การเรยี นรูเ้ พือ่ เสริมสร้างทกั ษะการเรียนรแู้ ละนวัตกรรม แหง่ ศตวรรษที่ 21 กลมุ่ สาระการเรียนรู้สังคมศึกษา ศาสนา และวฒั นธรรม สําหรับนักเรยี นชน้ั มธั ยมศึกษาตอนปลาย นายอนพุ งษ์ ชมุ แวงวาปี• การพัฒนารูปแบบการจดั การเรียนรู้ PISCEA Learning model เพื่อพฒั นาผลสมั ฤทธทิ์ างการเรยี นและความสามารถในการแก้ปญั หา เรื่อง ทรัพยากรธรรมชาติ และสิง่ แวดลอ้ ม สาํ หรับนกั เรียนช้นั มธั ยมศึกษาปที ี่ 5 นางรชั กร ประสรี ะเตสัง
การประชมุ ทางวชิ าการของครุ สุ ภา ประจาํ ปี 2557 “การวิจัยเพือ่ เพม่ิ คุณภาพการศกึ ษาและการพฒั นาวชิ าชพี ”• การพฒั นาการจัดกจิ กรรมการเรียนร้ทู ี่ประยกุ ต์ใชเ้ ครอื ข่ายสังคมออนไลน์ หน้า ในรายวิชาประวัตศิ าสตร์ เพือ่ เสริมสรา้ งทักษะการเรยี นรูใ้ นศตวรรษที่ 21 232 นักเรยี นชนั้ มัธยมศึกษาปีท่ี 4 โรงเรียนเบ็ญจะมะมหาราช จงั หวดั อบุ ลราชธานี นางสาวกนกพร สขุ สาย 241 250• การพฒั นารูปแบบการเรียนการสอนแบบผสมผสานเพ่ือเสรมิ สรา้ งความรู้ 259 และทักษะสําหรบั ผู้เรยี นอาชีวศึกษา นายวชิ ยั กงพลนันท์ 268 274• การพฒั นาเอกสารประกอบการสอนวชิ า วิถีธรรมวถิ ีไทย สาํ หรบั นกั ศกึ ษาระดบั ชน้ั ปวช. 2 สาขางานคอมพิวเตอร์ วทิ ยาลัยเทคนคิ ตาก 275 นางจุไรรตั น์ เดชภิรตั นมงคล 276 277• ผลการใช้การจดั กจิ กรรมแหลง่ เรยี นรทู้ อ้ งถน่ิ ตามแนวคิดวิทยาศาสตร์เทคโนโลยแี ละสงั คม (STS) รปู แบบ Q PER SEA Learning Model หนว่ ยการเรียนรู้ เร่ือง ชวี ิตและส่งิ แวดลอ้ ม กลุม่ สาระการเรยี นรู้วิทยาศาสตร์ ทม่ี ีต่อผลสัมฤทธท์ิ างการเรยี นและความตระหนัก สาํ หรบั นักเรียนช้ันมธั ยมศกึ ษาปีที่ 3 โรงเรยี นบา้ นโคกกลาง สํานกั งานเขตพืน้ ทีก่ ารศึกษาประถมศกึ ษาสุรินทร์ เขต 3 นางมณรี ตั น์ คงใจดี• การพฒั นาผลสมั ฤทธิท์ างการเรียนและทกั ษะการเรียนรตู้ ามศตวรรษท่ี 21 ของนกั เรยี นช้ันมัธยมศึกษาปีที่ 4 โดยการจดั การเรยี นร้แู บบโครงงาน เร่ือง พอลเิ มอร์ นายจาํ ลอง อบอุ่น• ผลการใช้ส่ือการสอนมัลตมิ ีเดยี English Discoveries ทีม่ ีผลตอ่ สมั ฤทธ์ทิ างการเรียน และเจตคตดิ า้ นทักษะการฟงั และการพดู ภาษาองั กฤษ ของนกั เรียนระดบั ประกาศนียบตั รวิชาชพี ชัน้ ปีท่ี 3 (ปวช.3) วทิ ยาลัยเทคโนโลยีวิศวกรรม บรหิ ารธุรกจิ นายมานิต ศริ เิ พ่มิ พนู• รายงานการสร้างหนงั สือพัฒนากจิ กรรม มหัศจรรย์โครงงานวิทยาศาสตรย์ คุ อาเซียน ช้นั มัธยมศกึ ษาปที ่ี 1 โรงเรยี นทุง่ เสลย่ี มชนปู ถมั ภ์ นางสาวทศั นยี ์ ธารานาถ• ผลการจดั กิจกรรมการเรียนรวู้ ิชาชีววิทยา เร่ือง ความหลากหลายทางชีวภาพของพืชนํ้า และปนู าํ้ จดื โดยใช้แหล่งเรียนรใู้ นชุมชน นางรชั นู บวั พันธ์• การจดั การเรยี นร้โู ดยใชน้ วัตกรรม “เกมปากระป๋อง ท่องบญั ช”ี ทีม่ ตี ่อผลสัมฤทธทิ์ างการเรยี น และเจตคติตอ่ การเรียนวิชาการบญั ชีเบ้อื งต้น 1 ของผ้เู รียนระดับประกาศนียบตั รวิชาชีพ ชั้นปีที่ 1 วทิ ยาลยั เทคโนโลยตี ้งั ตรงจิตรพณิชยการ กรงุ เทพมหานคร นายไพรัตน์ ลมิ้ ปองทรัพย์
การประชุมทางวิชาการของคุรสุ ภา ประจาํ ปี 2557 “การวจิ ยั เพื่อเพ่มิ คณุ ภาพการศึกษาและการพฒั นาวิชาชพี ”• การพัฒนาแบบฝึกทักษะการทาํ โครงงานวิทยาศาสตร์ กลมุ่ สาระการเรียนรู้วทิ ยาศาสตร์ หน้า สําหรบั นกั เรียนชัน้ มัธยมศึกษาปีท่ี 2 278 นายวิธิวัติ รักษาภักดี 279 280• การพฒั นาผลสัมฤทธิท์ างการเรยี น เรอ่ื ง ระบบนเิ วศ สาํ หรบั นกั ศึกษาระดบั ประกาศนียบัตรวิชาชีพ ชัน้ ปีท่ี 1 โดยใชบ้ ทเรยี นคอมพวิ เตอรม์ ัลตมิ เี ดียแบบมปี ฏิสัมพนั ธ์ 281 นางธัญพร พ่มุ พวง 282 283• การพฒั นาทักษะการคิดอยา่ งมีวจิ ารณญาณ ผลสัมฤทธิท์ างการเรยี นและเจตคติต่อการเรยี น 284 ของนักเรยี นช้ันประถมศึกษาปีท่ี 5 ทีไ่ ด้รับการเรยี นรู้แบบหมวกความคดิ หกใบตามแนวคิด 285 Socioscientific 286 นางรตั นพร สอนสมนกึ 287• การพัฒนารปู แบบการฝกึ ทกั ษะดว้ ยวดี ีทัศน์ออนไลน์โดยใช้รปู แบบการสอนแบบ SKLLS 288 เพอื่ พัฒนาทักษะพืน้ ฐานงานทัศนศิลป์ของนกั เรียนชั้นประถมศึกษาปที ่ี 6 นายรณชติ นราพันธ์• การพฒั นารปู แบบการจดั การเรียนร้แู บบ 4 S สาระท่ี 3 นาฏศลิ ป์ ชน้ั ประถมศึกษาปที ี่ 5 นายวิวัฒน์ เพชรศรี• การศึกษาผลการจดั กจิ กรรมการเรียนรใู้ นศตวรรษที่ 21 ทม่ี ตี ่อความคดิ สรา้ งสรรค์ ของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปที ่ี 4 โรงเรยี นสรุ นารีวิทยา 2 จังหวดั นครราชสีมา นายพรศักดิ์ ฉุยจอหอ• รปู แบบการพัฒนาโรงเรยี นมัธยมสิรวิ ัณวรี 1 อุดรธานีสู่ตน้ แบบโรงเรยี นในฝัน นายธรี ะเดช จิราธนทัต• รายงานการใช้การนิเทศเสรมิ พลงั (Empower Supervision) ในการพฒั นาครปู ฐมวยั ตามโครงการบ้านนกั วทิ ยาศาสตร์น้อย สาํ นกั งานเขตพื้นที่การศกึ ษาประถมศกึ ษาเชียงราย เขต 2 นางนรินทร ชมช่นื• การพฒั นาชดุ กจิ กรรม ประกอบกจิ กรรมพัฒนาผ้เู รยี น (ศนู ย์วิทยพฒั นา) เรอื่ ง รักความเป็นไทย โดยใช้การเรียนรู้แบบรว่ มมือ สาํ หรับนักเรียนชัน้ ประถมศึกษาปที ี่ 3 นางสริ ิมณฑน์ กลั ยาณรกั ษ์• ผลการพฒั นาทักษะการบรรเลงฆ้องวงใหญ่ของนักเรียนชั้นประถมศกึ ษาปที ี่ 6 โดยใช้บทเรียนโมดลู เรอื่ ง พืน้ ฐานการตฆี ้องวงใหญ่ และสือ่ วดี ที ศั น์การศกึ ษาเรียนรูป้ ฏิบตั ติ ีฆอ้ งวงใหญ่ นายรณชยั บุญลือ• การสรา้ งทักษะการป้องกันยาเสพติดโดยใช้บทเรยี น D.A.R.E. (Drug Abuse Resistance Education) ของนักเรียนโรงเรียนบา้ นนายผล (แม้นสวุ รรณอปุ ถัมภ์) พนั ตํารวจโทดิฐภัทร บวรชัย
การประชมุ ทางวชิ าการของครุ สุ ภา ประจําปี 2557 “การวจิ ยั เพอ่ื เพมิ่ คณุ ภาพการศกึ ษาและการพฒั นาวชิ าชพี ”• ผลการพฒั นาสอ่ื การเรียนรชู้ ดุ ลกู เต๋า Multiple Music วิชาคณิตศาสตร์พื้นฐาน (ค23102) หน้า เร่อื ง ความนา่ จะเปน็ ระดบั ช้ันมัธยมศึกษาปที ี่ 3 289 นายแสงจันทร์ เพรดิ พราว 290 291• ผลการจัดกจิ กรรมการเรียนรู้ เร่อื ง สารรอบตวั ของนกั เรยี นช้ันมธั ยมศกึ ษาปีท่ี 1 292 ด้วยวิธีการเรียนรแู้ บบ 4 MAT นางรัตนา หริ ญั โรจน์ 293 294• การพฒั นาทกั ษะกระบวนการแกป้ ญั หา วชิ าการงานอาชีพ และเทคโนโลยี ชน้ั มธั ยมศกึ ษาปที ี่ 2 295 ทไ่ี ดร้ ับการจดั การเรียนรู้ดว้ ยกระบวนการแก้ปัญหาเทคนคิ 3P1M นางสาวนารี โอภาโส 296• การจัดการเรยี นการสอนโดยเนน้ กระบวนการเรียนรู้ดว้ ยตนเองเพือ่ พฒั นาผลสมั ฤทธิท์ างการเรียน 297 ในรายวชิ าภาษาอังกฤษเพื่องานบัญชี สําหรบั นกั ศกึ ษาระดบั ประกาศนียบัตรวชิ าชีพชนั้ ปที ี่ 3 298 สาขางานการบญั ชี วทิ ยาลยั อาชีวศกึ ษาบริหารธรุ กิจวทิ ยาสงขลา นางนพรัตน์ สุวรรณโณ• การพฒั นาชุดกิจกรรมการเรยี นร้แู บบปฏบิ ตั กิ ารคณติ ศาสตร์ในการสรา้ งความคิดรวบยอด เรือ่ ง ตรรกศาสตร์เบอ้ื งตน้ ของนักเรียนชัน้ มัธยมศึกษาปที ี่ 4 นายประดษิ ฐ์ รังสรรค์• ผลการจัดการเรยี นรูล้ กู เสอื - เนตรนารี สามญั เรอื่ ง การพง่ึ ตนเอง ชัน้ ประถมศึกษาปที ี่ 6 ตามรูปแบบการเรียนแบบร่วมมือ นางสวุ มิ ล ทองอินทร์• การศึกษาผลสมั ฤทธิท์ างการเรียนวทิ ยาศาสตร์ และแรงจูงใจในการเรียนวทิ ยาศาสตร์ ของนกั เรียน ปวช. 1 สาขาคอมพวิ เตอรท์ ไี่ ดร้ ับการจัดการเรียนรแู้ บบสรรคส์ รา้ งความรู้ และการจดั การเรยี นรแู้ บบสบื เสาะหาความรู้ นางนงคน์ ุช เวชประสทิ ธ์ิ• การพฒั นาผลสัมฤทธิ์ทางการเรยี นและความคดิ สรา้ งสรรคท์ างวิทยาศาสตร์ เรอื่ ง ชวี ิตกบั ส่ิงแวดลอ้ ม กลมุ่ สาระการเรียนรูว้ ทิ ยาศาสตร์ สําหรบั นักเรยี นชน้ั มธั ยมศกึ ษาปีท่ี 3 โรงเรยี นบา้ นหนองกงุ วิทยาคาร โดยใชป้ ญั หาเป็นฐาน นางพรรณภิ า เหม็ สมคั ร• ผลการจัดการเรยี นรูโ้ ดยใช้แบบฝึกทกั ษะ เรือ่ ง จํานวนเชิงซ้อน นายธนติ พงษ์รอด ของนกั เรียนชั้นมธั ยมศึกษาปที ี่ 5 โรงเรยี นหวั หิน• ผลการออกกาํ ลงั กายโดยใชแ้ นวการฝกึ แบบพลัยโอเมตรกิ และการฝกึ ทกั ษะพนื้ ฐานกฬี า ทม่ี ีตอ่ ความแขง็ แรงของกลา้ มเน้อื ใหญ่ และกล้ามเนอ้ื เลก็ และการประสานสมั พนั ธ์ ระหว่างมอื กบั ตาของเด็กปฐมวัย ชนั้ อนุบาลปที ่ี 2/2 โรงเรยี นบา้ นโปะหมอ (พรหมเทพราษฎรบ์ าํ รุง) อาํ เภอหาดใหญ่ จงั หวัดสงขลา นางปรศิ นา รัตนะ
การประชมุ ทางวชิ าการของครุ สุ ภา ประจาํ ปี 2557 “การวจิ ัยเพ่ือเพ่มิ คณุ ภาพการศึกษาและการพฒั นาวชิ าชพี ”• การสร้างและใชร้ ปู แบบการขับเคลอื่ นการจดั การเรียนรู้ IDEA D5 NAREE’S MODEL หนา้ เพ่ือพฒั นาความสามารถของผ้เู รียนดา้ นภาษาองั กฤษ ความรอบรสู้ ูอ่ าเซยี น 299 และทกั ษะแหง่ ศตวรรษที่ 21 นางนารี คูหาเรอื งรอง 300• ผลการจดั การเรยี นรโู้ ดยใช้สือ่ คอมพวิ เตอรโ์ ปรแกรม GSP กบั วิธสี อนแบบปกติ 301 ท่ีมีผลตอ่ ผลสมั ฤทธทิ์ างการเรยี นและความพงึ พอใจวิชาคณติ ศาสตร์พ้นื ฐาน ค 32101 เรอ่ื ง อัตราสว่ นตรโี กณมิติ สาํ หรับนักเรียนชนั้ มธั ยมศึกษาปีที่ 5 302 นางสาวสุดาวัลย์ โสตะจินดา 303• การพัฒนาหลักสตู รสาระเพ่ิมเติม เร่อื ง หลักการผลิตข้าวอินทรยี ์ สาํ หรบั นักเรยี นช้นั มธั ยมศึกษาปีที่ 4 305 307 นายเดช ยะมงคล 309 311• การศึกษาผลสมั ฤทธใ์ิ นการอา่ นจับใจความภาษาอังกฤษโดยวิธกี ารสอนแบบ SQ4R ของนักศึกษาระดับประกาศนียบตั รวิชาชีพชั้นสงู สาขาภาษาตา่ งประเทศ 314 วทิ ยาลยั เทคโนโลยพี าณชิ ยการลานนา นายศักดิช์ ัย แกว้ กริ ิยา 317 319• ผลของการจดั การเรียนรูแ้ บบโครงงานท่เี ชื่อมโยงปรชั ญาของเศรษฐกิจพอเพยี ง ที่มตี อ่ ผลสมั ฤทธท์ิ างเรียน ความสามารถในการทาํ โครงงานและเจตคตติ ่อการเรียน วิชาโครงงานอาชีพ ง 23102 ของนกั เรยี นชั้นมัธยมศกึ ษาปีท่ี 3 โรงเรยี นโยธนิ บํารุง นางวรรณิการ์ วงศ์มยุราภาคผนวก• โครงการประชุมทางวิชาการของครุ ุสภา ประจาํ ปี 2557• คําส่งั คณะกรรมการมาตรฐานวชิ าชีพท่ี 39/2556 เรอ่ื ง แต่งต้ังคณะอนกุ รรมการบรหิ ารโครงการประชมุ ทางวชิ าการของคุรสุ ภา ประจาํ ปี 2557• คาํ สง่ั สํานักงานเลขาธิการครุ สุ ภาที่ 25/2557 เรือ่ ง แต่งต้งั คณะกรรมการคดั สรรผลงานวิจัยเพ่อื นําเสนอในการประชุมทางวิชาการ ของครุ ุสภา ประจําปี 2557• คาํ สั่งสาํ นกั งานเลขาธิการคุรุสภาที่ 113/2557 เรื่อง แตง่ ต้งั คณะกรรมการพิจารณาคัดสรรบทความทางวชิ าการ และพจิ ารณาผลงานวิจัย เพื่อจัดทําหนังสอื ประชมุ ทางวิชาการของครุ ุสภา ประจาํ ปี 2557ทําเนียบนักวจิ ยั• ทะเบียนรายชื่อผ้ไู ด้รบั รางวลั ผลงานวิจยั ของครุ สุ ภา ประจาํ ปี 2557 “ผลงานวจิ ัยระดบั ภูมภิ าค”
การประชุมทางวิชาการของครุ สุ ภา ประจาํ ปี 2557 “การวิจัยเพ่ือเพ่มิ คณุ ภาพการศึกษาและการพฒั นาวชิ าชพี ” 1 บทความทางวิชาการ
2 การประชมุ ทางวชิ าการของครุ สุ ภา ประจําปี 2557 “การวิจยั เพื่อเพิ่มคณุ ภาพการศึกษาและการพัฒนาวชิ าชพี ”
การประชุมทางวชิ าการของคุรสุ ภา ประจาํ ปี 2557 “การวิจยั เพือ่ เพิม่ คณุ ภาพการศึกษาและการพฒั นาวิชาชพี ” 3 ผู้นาํ ทางการศึกษาไทย: ถึงเวลาของบทบาทเชงิ รุก ศาสตราจารยก์ ติ ตคิ ุณ ดร.ไพฑรู ย์ สินลารตั น์ ประธานกรรมการคุรสุ ภาสภาพเชิงอนุรกั ษข์ องการศกึ ษาไทย แม้การปฏิรูปประเทศจะได้เริ่มมาอย่างจริงจังในสมัยรัชกาลที่ 5 เป็นต้นมา แต่สังคมไทยก็ยังไม่เปลี่ยนแปลงมากนัก คนไทยโดยรวมและส่วนใหญ่ก็ยังคงใช้ชีวิตบนพื้นฐานแนวคิดและกิจกรรมของสังคมแบบเกษตรหรือบางส่วนก็เป็นอุตสาหกรรมบ้าง บางส่วนได้เรียนรู้เทคนิคของการใช้ชีวิตตามสภาพเดิมของสังคมผสมผสานเทคนิคสมัยใหม่ การศึกษาจึงยังคงสอนให้เด็กตามสังคมไปเร่ือย ๆ การเน้นให้ผู้เรียนนําสังคมยังมีน้อยครูเองก็สอนแบบป้อนอยู่ ผู้บริหารก็ยังคงบริหารโรงเรียนเน้นระเบียบกฎเกณฑ์และอยู่กับปัจจุบันมากกว่าอนาคตบทบาทของนักการศึกษาหรือผู้บริหารการศึกษาเท่าที่ผ่านมาจึงมีลักษณะในเชิงอนุรักษ์ และเน้นเทคนิคตามไปด้วยโดยมีลักษณะสําคัญ คือ อนุรักษ์วัฒนธรรมของการเป็นผู้ตามไว้ระดับหน่ึง และเรียนรู้เทคนิคของต่างประเทศบางประการ ซึง่ กท็ ําให้สงั คมไทยดาํ รงมาได้อย่างดีพอสมควร แต่เม่ือมาถึงปัจจุบันเห็นได้ชัดว่าไม่เพียงพอท่ีจะรับกับการเปลยี่ นแปลงใหมแ่ ล้วเมอ่ื ความเปลย่ี นแปลงใหมถ่ าโถมเขา้ มามาก ความเปลี่ยนแปลงของโลกอันเนื่องมาจากระบบโลกาภิวัตน์และการเตรียมการก้าวสู่ศตวรรษที่ 21เป็นผลทําให้โลกเปล่ียนแปลงไปอย่างมากทั้งในด้านเศรษฐกิจ การเมือง สังคม และวิถีการใช้ชีวิต เร่ิมตั้งแต่การขยายตัวของข้อมูลข่าวสารอย่างมากและอย่างเร็ว การแข่งขันมีอยู่ท่ัวไป ธุรกิจและการค้าขยายตัวอย่างรวดเร็วติดตามมาด้วยการค้าและการเมืองระหว่างประเทศกว้างขวางขึ้น ทําให้ผู้เรียนและเด็กไทยรวมทั้งคนไทยเองต้องเรียนรู้และปรับตัวอย่างมาก แนวคิดทิศทางและความเชื่อเดิมไม่สามารถรับกับการเปลี่ยนแปลงได้จําเป็นที่การศึกษาไทยจะต้องมีการเปลี่ยนแปลงเกิดข้ึน บทบาทของผู้นําทางการศึกษาไทยก็จะต้องเปลี่ยนแปลงไปในลักษณะท่ีจะทําให้คนส่วนใหญ่อยู่กับการเปลี่ยนแปลงใหม่ ๆ ได้อย่างรู้เท่าทัน และสามารถนําการเปล่ียนแปลงดว้ ยพรอ้ มกันไป
4 การประชุมทางวิชาการของครุ สุ ภา ประจําปี 2557 “การวิจัยเพื่อเพมิ่ คุณภาพการศกึ ษาและการพัฒนาวิชาชีพ” คุณลักษณะใหมข่ องเดก็ ยคุ ใหม่ คุณลกั ษณะใหม่ของเด็กยคุ ใหม่นั้น ควรประกอบดว้ ย คณุ ลกั ษณะอย่างนอ้ ย 5 ประการใหญ่ คอื 1. คิดเอง ทาํ เอง เป็นตวั ของตวั เอง 2. คิดใหม่ คิดสรา้ งสรรค์ มผี ลงาน 3. เรียนรตู้ ลอดชีวิต ตดิ ตามความก้าวหน้าอยูเ่ สมอ 4. เรียนรู้การเปล่ยี นแปลง ตามทนั สงั คมและโลก 5. แกป้ ญั หา/มองไปในอนาคต/มีบทบาทในสงั คม คิดเอง ทําเอง เป็นตัวของตัวเอง นั้น มีความสําคัญมากเพราะสังคมยุคใหม่ มีลักษณะเป็นปัจเจกบุคคล (Individualization) มากข้ึน ในขณะเดียวกันเด็กยุคใหม่ก็ต้องคิดวิเคราะห์ คิดวิจารณ์ คิดสร้างสรรค์ และมีผลงาน เปน็ รูปธรรมชดั เจน การเรียนรู้ตลอดชีวิต ติดตามความก้าวหน้าอยู่เสมอ ลักษณะน้ีก็เป็นคุณสมบัติท่ีสาํ คัญของคนยุคใหม่ เพราะสงั คมในอนาคต วชิ าการ และความรู้จะเปลี่ยนแปลงและพัฒนาข้ึนใหม่อย่างรวดเร็วควบคู่กันไปกับการเรียนรู้ การเปลี่ยนแปลง คือ การตามทันความเปล่ียนแปลงของสังคมและของโลก เพื่ออยู่ในโลกยุคใหม่ได้อย่างรู้เท่าทัน และไม่เสียเปรยี บ การแก้ปัญหาและการมองไปในอนาคต เป็นคุณสมบัติที่สําคัญเช่นเดียวกัน เพราะคนยุคใหม่มีหน้าที่ ท่ีจะต้องสร้างสังคมเพ่ือคนของเขาและยุคของเขาเอง คุณสมบัตินี้จึงควบคู่ไปกับการมีบทบาทในสังคมของ คนยคุ ใหมด่ ้วย เมือ่ วธิ กี ารเดมิ ไม่สามารถตามทันกบั ของใหมไ่ ด้ เมื่อการเปลี่ยนแปลงใหม่ได้ถาโถมเข้ามาอย่างมากเช่นนี้แล้ว แต่ระบบและบทบาทของการศึกษา ยงั คงมีลกั ษณะเชงิ อนรุ กั ษ์อยู่จึงไมส่ ามารถพัฒนาผ้เู รยี นให้ทนั กบั การเปลย่ี นแปลงได้ เพราะการสอนและการบริหาร เชิงอนุรักษ์จะทําให้เด็กเป็นคนที่เช่ือฟังทาํ ตามอย่างเดียวกัน ไม่คิดใหม่ ไม่สร้างสรรค์อะไรใหม่ ยึดตามระเบียบ และกฎเกณฑ์ ในขณะทีค่ ุณลักษณะใหม่ในโลกยุคใหมข่ องเด็ก เปน็ ไปในทางตรงกนั ขา้ ม (ดูตารางขา้ งลา่ งนี้) การสอนเชงิ อนรุ ักษ์ คณุ ลักษณะท่ไี ด้จากการสอนเดมิ• สอนให้เดก็ ทําตามท่ีครูบอก • เชอ่ื ฟงั /ทาํ ตาม• หาความร้เู บด็ เสรจ็ มาให้เด็ก • คดิ ตาม/ทาํ ตาม• ครตู ้องยดึ กฎเกณฑ์ • ทําอย่างเดียวกัน • ไมม่ ีความคดิ ใหม่ ระเบียบเดมิ ๆ • เดก็ ยึดตามระเบียบที่วางไว้• เนน้ ระเบยี บวินัยเป็นหลัก• ผ้บู ริหาร บริหารตามระเบียบ กฎเกณฑ์
การประชุมทางวิชาการของคุรสุ ภา ประจาํ ปี 2557 “การวิจัยเพอื่ เพิ่มคณุ ภาพการศึกษาและการพฒั นาวชิ าชพี ” 5 จากตารางดังกล่าว เราจะเห็นชัดเจนว่าบทบาทของบุคลากรในทางการศึกษาทั้งครูและผู้บริหาร รวมทั้งผนู้ าํ ทางการศกึ ษาของไทย ยังคงมบี ทบาทการสอนในเชิงอนุรักษ์กจ็ ะสรา้ งคุณลกั ษณะของเด็กได้ในลักษณะเช่ือฟังทําตามไม่คิดใหม่ แต่ความจําเป็นใหม่เราต้องการเด็กท่ีคิดเอง ทําเอง ซ่ึงการสอนแบบเดิมไม่อาจทําได้ โดยเหตุน้ีผู้นําของการศึกษาของไทยจะต้องคิดใหม่ มีบทบาทใหม่เป็นบทบาทในเชิงรุกมากข้ึน จึงจะสร้างและสอดคล้องกับคณุ ลกั ษณะใหม่ของผูเ้ รยี นจาํ เปน็ ท่จี ะต้องมีบทบาทใหม่ เม่ือพิจารณาจากเทคนิคและแนวคิดแล้ว เราสามารถแบ่งบทบาทของนักการศึกษาไทยและผู้นําทางการศึกษาไดเ้ ปน็ 4 ประการ คอื (ดแู ผนภาพประกอบ) อนุรักษ์ สรา้ งสรรค์เทคนิค กฎเกณฑ์ np คิดใหม่ ระเบยี บ oq สือ่ สารความคดิ มาตรฐาน ปรบั เปลยี่ นตามสมยั พัฒนาความเข้าใจ แบบอย่าง วเิ คราะหป์ ระเมนิ ยึดมั่น เป็นตวั ของตัวเอง รักษา พฒั นาเสริมสรา้ ง ถา่ ยทอด มุ่งม่ันในสิ่งทด่ี กี ว่าแนวคดิ ความเชื่อเดมิ บทบาทแรก บทบาทในเชิงเทคนิค/อนุรักษ์ บทบาทนกั การศกึ ษาและผู้นําทางการศึกษามักจะปฏิบัติและดําเนินมาโดยตลอดเป็นบทบาทสภาพที่คงเดิมไว้โดยผู้บริหารและหรือผู้นาํ วงการศึกษาไทยจะบริหาร และดําเนินการทางการศึกษาไทยใช้เทคนิคในเชิงกฎหมายซ่ึงจะเกี่ยวข้องกับการใช้อาํ นาจ ใช้การบังคับ ใช้ระเบียบกฎเกณฑ์เป็นหลัก และจะใช้ได้ดีตามกรอบและแนวทางที่ได้มีการวางไว้ ซึ่งเป็นระเบียบและมาตรฐาน อันเชื่อว่าเป็นแบบอย่างที่ดีอยู่แล้ว และแบบอย่างเหล่านี้มักจะเป็นแบบอย่างอันมีมาแต่อดีต ซึ่งเชื่อว่าคนสมัยก่อนได้เริ่มต้นมาด้วยดีแล้ว เราควรทําตามอย่างในแนวทางนี้มกั ยดึ กฎเกณฑข์ องการศึกษาและแบบอยา่ งของนกั การศกึ ษารุ่นเกา่ เปน็ เกณฑ์ตดั สนิ ความเหมาะสมและมคี ณุ ค่า บทบาทท่ีสอง บทบาทในเชิงแนวคิด/อนุรักษ์ ในบทบาทท่ีสองผู้บริหารมีภาระหน้าที่ในการรักษา ถ่ายทอด และส่งเสริมแนวคิดความเช่ือ ค่านิยมประเพณีด้านต่าง ๆ ให้คงอยู่หรือปรับเปลี่ยนน้อยที่สุด ทั้งนี้เพราะแนวคิดและค่านิยมดังกล่าว เป็นมรดกของสังคมท่ีจะต้องรักษาไว้ นักการศึกษาจึงต้องเน้นบทบาทให้ชัดเจนและแน่นอน แต่ในบทบาทน้ี มีข้อท่ีแตกต่างจากบทบาทแรกท่ีไม่ได้เน้นเทคนิคหรือวิธีการมากนัก แต่เน้นในเชิงแนวคิดการมองไปข้างหน้ามากกว่าเน้นเทคนิคเกณฑต์ ัดสินความดเี ลวจงึ อยู่ท่ีวฒั นธรรมประเพณีมากกวา่ ความเหมาะสมของสภาพการณ์ ส่ิงแวดลอ้ มและเวลา
6 การประชมุ ทางวชิ าการของคุรสุ ภา ประจําปี 2557 “การวจิ ยั เพ่ือเพิ่มคณุ ภาพการศกึ ษาและการพฒั นาวชิ าชพี ” บทบาทท่ีสาม บทบาทในเชิงเทคนคิ /สร้างสรรค์ บทบาทท่ีสามนี้เป็นบทบาทเชิงสร้างสรรค์ นักการศึกษาจะเน้นที่การสร้างสรรค์และมองหาคิดค้น เทคนิคใหม่ ๆ วิธีการสอน วิธีการบริหาร เพื่อให้ผู้เรียนแสดงออกซึ่งความคิด ทัศนะ และความรู้สึกของตนเอง ให้คนอื่นรู้ความเข้าใจตามที่คิด ในลักษณะนี้เทคนิคและการสอนจึงมักจะสอดคล้องและตามอย่างสังคมปัจจุบัน ซึง่ อาจจะแปรเปลยี่ นไปเรอ่ื ย ๆ ได้ บทบาทที่ส่ี บทบาทในเชิงแนวคิด/สร้างสรรค์ บทบาทที่สี่นี้ เน้นบทบาทในลักษณะที่จะใช้การศึกษาเป็นอุปกรณ์ให้เกิดแนวคิด ทัศนะใหม่ ๆ เพ่ือสร้างสรรค์และพัฒนาแนวคิด ค่านิยมไปสู่สิ่งท่ีดีกว่า ให้ครูและผู้เรียนได้อ่าน คิด วิเคราะห์สภาพการณ์ ท่ีเป็นอยู่แล้ว ประเมินสภาพการณ์น้ัน เพื่อสร้างความเป็นตัวของตัวเองขึ้นมา ในขณะเดียวกันก็มุ่งศึกษาที่จะ พัฒนาตัวเองและสังคมไปสสู่ ิง่ ท่ีดีกว่ายง่ิ ๆ ขน้ึ ไป ถงึ เวลาบทบาทเชิงรกุ ของผ้นู ํา แม้ท้ัง 4 บทบาทของผู้นําการศึกษาไทยที่กล่าวมาจะมีความสาํ คัญทั้ง 4 บทบาท แต่เมื่อคํานึงถึง การเปล่ยี นแปลงของสงั คมไทยและสงั คมโลกแล้วเหน็ ได้ชัดวา่ ผู้นําทางการศึกษารุ่นใหม่ของไทยควรให้ความสําคัญ กับบทบาทที่ 4 คือ บทบาทในเชิงแนวคิดและเป็นแนวคิดในเชิงสร้างสรรค์หรือเป็นแนวคิดใหม่ ๆ ที่คน ในวงการศึกษาเองจะต้องช่วยกันคิด และพัฒนาขึ้นมาเพื่อให้การศึกษาไทยและหรือการศึกษาของอาเซียน ได้พัฒนาก้าวหน้าตามทันต่อการเปลี่ยนแปลงของโลกได้ และยังต้องคํานึงบทบาทที่จะเข้าไปมีส่วนในการเป็น ผูน้ ําร่วมกับภูมิภาคและอาจจะถงึ การเปลีย่ นแปลงของโลกด้วย ในสภาพท่ีเป็นจริงแล้วแม้ทั้ง 4 บทบาทจะไม่แยกกันเด็ดขาดทีเดียว แต่จุดเน้นหรือจุดตั้งต้นจะเริ่มท่ี บทบาทเชงิ แนวคิดและคิดอยา่ งสรา้ งสรรค์เปน็ หลกั กอ่ น 4 กล่มุ ของผนู้ ําทางการศึกษา เมื่อเราต้องการให้ผู้นําทางการศึกษาไทยมีบทบาทเชิงรุก คือ มีแนวคิดใหม่ คิดสร้างสรรค์ เราคาดหวังว่า ใครจะเป็นผู้นําได้บ้าง 4 กลุ่มท่ีเราน่าจะถือว่าเป็นผู้นาํ คือ ผู้กําหนดนโยบายนํา ผู้กําหนดนโยบายบ้านเรานับแต่ นักการเมืองในวงการศึกษาตลอดจนมาถึงผู้บริหารระดับสูง ต้องมีบทบาทเชิงรุกก่อนและชัดเจน กลุ่มต่อมาคือ ผู้บริหารนํา ซึ่งครอบคลุมตั้งแต่รองเลขาธิการ ลงมาจนถึงผู้อํานวยการโรงเรียนที่ต้องชัดเจนในการนําและเชิงรุก ครูผู้นําเป็นบทบาทสําคัญของครูที่จะต้องสอนและนาํ ด้วยพร้อมกันไป (Teach and lead) นักชุมชนนํา บทบาท ของกลุม่ ทเ่ี กย่ี วข้องกบั การศึกษาท่นี อกระบบราชการท่ีมากขึ้นทุกที ท้ังกลุ่มองค์กรเอกชน องค์กรการศึกษาทางเลือก กลมุ่ นกั คิดอกี ไม่น้อยที่จําเปน็ จะต้องเนน้ เชิงแนวคดิ และมบี ทบาทในเชงิ สร้างสรรคม์ ากย่ิงขึ้น
การประชุมทางวิชาการของคุรุสภา ประจาํ ปี 2557 “การวจิ ัยเพ่ือเพม่ิ คณุ ภาพการศกึ ษาและการพฒั นาวิชาชพี ” 7ผู้นําเชงิ รุก: ผู้นําทม่ี สี ตปิ ัญญาอยา่ งไทย/ตามทันตา่ งประเทศ ของไทย ตา่ งประเทศเทคนิค เทคนิค/สังคมไทย เทคนิค/ต่างประทศ np oqสตปิ ัญญา/ สตปิ ัญญา/ตา่ งประเทศ สติปญั ญา/สงั คมไทยความคดิ การที่เราจะก้าวหน้าไปสู่ผู้นําเชิงรุกได้นั้น เราต้องเริ่มต้นด้วยการติดตามความก้าวหน้าของต่างประเทศอย่างจริงจังพร้อม ๆ กับการเรียนรู้เรื่องของไทยอย่างลึกซึ้งด้วยพร้อมกันไป ลึกซึ้งจนสามารถสร้างเป็นรูปแบบของเราขึน้ เองได้ ในฐานะผู้นําเราต้องเข้าใจรายละเอียดของการศึกษาโดยภาพรวมพร้อม ๆ กับรู้ลึกซ้ึงในรายละเอียดและการมองเห็นอนาคต (ไพฑูรย์ สินลารัตน์, 2538) ของแต่ละสาขาท่ีเกี่ยวข้องในการศึกษาได้ เมื่อเห็นภาพรวมและอนาคตแล้วบทบาทในเชิงของการชี้ทศิ ทางการนํากจ็ ะติดตามมา
8 การประชุมทางวิชาการของคุรสุ ภา ประจาํ ปี 2557 “การวิจยั เพื่อเพิ่มคณุ ภาพการศกึ ษาและการพฒั นาวชิ าชีพ” บทสรปุ : กา้ วสู่ต้มยาํ กุ้งโมเดลต้มยาํ กุง้ โมเดลในระบบผู้นาํ การศกึ ษาไทยต้มยํากุง้ ส่วนประกอบ สร้างสรรค์ ระบบผู้นาํ การศึกษาไทย1. ของใชใ้ นทอ้ งถนิ่ ท้องถิ่น แบบตา่ งๆ 1. คิดและทําในท้องถิ่น2. จัดสูตรแบบต่างๆ 2. พฒั นารูปแบบตา่ งๆ3. ใหค้ ุณคา่ ทางอาหารสงู สนองทุกฝา่ ย 3. มีคณุ คา่ /ประโยชน์สูง4. ปรงุ รสไดห้ ลากหลาย 4. ยืดหยนุ่ ไดห้ ลากหลาย5. บรกิ ารในและ หลากหลายรส คณุ ค่าครบ 5. จดั ได้ทงั้ ใน/นอกประเทศ นอกประเทศ แสดงลกั ษณะของต้มยาํ ก้งุ โมเดลในการศกึ ษาไทย รูปแบบของการพัฒนาการศึกษาและการสร้างผู้นาํ ทางการศึกษาของไทยในปัจจุบัน เราใช้ระบบของรูปแบบแมคโดนัลด์ท่ีเรียกว่า McDonaldization(Ritzer, 1998 อ้างใน ดรุณศักดิ์ ตติยะลาภะ, 2549) ที่ให้นักการศึกษาท่ัวโลกคิดแบบเดียวกัน อาหารแบบเดียวกัน ใช้ชีวิตแบบเดียวกัน การศึกษาแบบเดียวกันไมม่ คี วามคิดใหม่ คดิ สรา้ งสรรค์ หรอื คิดแตกตา่ งแต่อย่างใด ซง่ึ ตรงข้ามกับอาหารไทยเรา คือ ต้มยํากุ้งท่ีเป็นระบบการปรุงอาหารที่ใช้เครื่องปรุงที่มีคุณค่าทางอาหารและเป็นของท้องถิ่น แต่ขณะเดียวกันก็เป็นนานาชาติได้โดยปรับปรุงคุณค่า รสชาติ และรูปแบบให้แตกต่างไม่ได้แต่ยังคงความเป็นตัวของตัวเองของต้มยํากุ้งไว้ได้ผู้นําทางการศึกษาหรือเป็นผู้นําทางด้านอื่นของไทยจึงต้องเป็นผู้นําในระบบของต้มยํากุ้งโมเดล ที่ใช้กระบวนการTomyam Kung - ization คือ คิดและทําในแนวทางของไทยเองที่เช่ือมโยงกับนานาชาติได้และพัฒนาขึ้นมาเปน็ ของสากลไดใ้ นทสี่ ดุ
การประชุมทางวิชาการของคุรสุ ภา ประจาํ ปี 2557 “การวิจัยเพ่อื เพมิ่ คณุ ภาพการศึกษาและการพฒั นาวิชาชพี ” 9เอกสารอา้ งอิงดรุณศักดิ์ ตตยิ ะลาภะ. (2549). แนวคิดเชิงธุรกิจกับการเปลย่ี นแปลงมหาวทิ ยาลัยไทย: การวิเคราะห์การจดั หลกั สูตรโครงการพเิ ศษ. วิทยานิพนธม์ หาบณั ฑิต มหาวทิ ยาลัยรามคําแหงไพฑูรย์ สนิ ลารัตน์. (2538). เพ่อื ความเปน็ ผนู้ าํ ของการครศุ ึกษาไทย. พมิ พ์ครัง้ ที่ 2. กรงุ เทพ ฯ: วิทยาลัย ครุ ศาสตร์ มหาวทิ ยาลยั ธรุ กจิ บณั ฑติ ย์ไพฑูรย์ สินลารัตน.์ (2007). ภาวะผนู้ าํ ใหมก่ บั โลกาภิวฒั นใ์ หม่ในระบบอดุ มศึกษาไทย: เสน้ ทางสคู่ วามเปน็ ตัว ของตวั เอง. Asahil Journal Vol. 10 No.2 Nov. 2007
10 การประชุมทางวชิ าการของครุ สุ ภา ประจําปี 2557 “การวิจัยเพ่ือเพิ่มคุณภาพการศึกษาและการพฒั นาวิชาชีพ” เรื่องน่าวิจยั : การออกแบบการเรียนรูเ้ พื่อศตวรรษที่ 21 รองศาสตราจารย์ ดร.รสสุคนธ์ มกรมณี แบบวา่ เออื ม... บทความนี้ เขียนขึ้นด้วยความอยากเหน็ การเปลีย่ นแปลงในการทําวิจัยของครูไปสู่ทิศทางใหม่ ตามความเห็น ของนักวิชาการนอกแถวคนหนึ่ง เพราะเอือมต่องานวิจัยประเภทเปรียบเทียบการสอนด้วยวิธีการต่าง ๆ นานา กับการสอนปกติ ทําราวกับว่าการสอนปกติไม่ดี การจะเป็น “ปกติ” ได้ก็ย่อมแสดงว่ามวลมหาประชากรครูปฏิบัติกัน เป็นปกตวิ สิ ัย คนเป็นครคู งไมท่ ํากนั อยูห่ รอกถา้ ไม่ดี รวมทั้งเออื มตอ่ งานวิจยั พฒั นานวัตกรรมท่ีเรียกกันสารพัดชื่อ... อาทิ บทเรียนสําเร็จรูป ชุดการเรียน คอมพิวเตอร์ช่วยสอน ฯลฯ ด้วยระเบียบวิธีวิจัยแบบลอก ๆ กันมา โดยขาด ความลึกซึ้งและจริงจังต่อการจัดเนื้อหาสาระที่นํามาใช้ทําให้องค์ความรู้และทักษะที่นํามาจัดทําต้ืนเขินผิวเผิน จนไม่แปลกใจเลยว่าวิจัยพัฒนาผู้เรียนก็ทํากันอยู่เร่ือย ๆ แต่คุณภาพการเรียนรู้ของเด็กไทยกลับอ่อนด้อยไม่ว่า จะวัดด้วยด้วยเกณฑ์ระดับชาติหรือระดับนานาชาติ (สํานักงานเลขาธิการสภาการศึกษา, 2556: 50 - 64) ช่วยกันทาํ วิจยั ทีม่ งุ่ ผลลพั ธอ์ นั จะเกดิ แกเ่ ด็กอยา่ งจรงิ จงั มากขนึ้ จะดีกวา่ ไหม ? เวลาอ่านงานวิจัยในช้ันเรียน มักจะเกิดคําถามในใจว่าผลที่เกิดกับผู้เรียนนั้นมัน “ใช่” สิ่งท่ีเราอยากเห็น คนไทยมีคุณสมบัติอย่างน้ันหรือเปล่า เป็นคุณสมบัติสําหรับการมีคุณภาพชีวิตท่ีดีในอีกสิบปียี่สิบปีข้างหน้ารึเปล่า เรากําลังสอนแบบฉาบฉวยหรือจรงิ จัง ยงิ่ อ่านงานวจิ ยั ท่ีครแู ละนกั ศกึ ษาระดับบณั ฑิตศึกษาทําเก่ียวกับการใช้ไอซีที ในการเรียนการสอนยิ่งเกิดข้อสงสัยว่านวัตกรรมเหล่านั้นมีคุณค่าต่อผู้เรียนจริงหรือ แต่ไม่สงสัยคุณค่าต่อการได้ เล่ือนตําแหน่งทางวิชาการหรือได้ปริญญาสูงข้ึนของผู้ทํา การวิจัยทํานองน้ีสมควรจะยุติได้หรือยังนะ มองประเด็น วิจัยใหม่ ๆ เพื่อพัฒนาการเรียนรู้กันบ้างจะได้ไหม?ทําเพื่อสร้างคุณภาพชีวิตให้เด็กสามารถอยู่รอดได้อย่างดี ในยคุ เทคโนโลยีก้าวกระโดด ร้บู ้างไหมวา่ .... เวลาท่ีครูทําวิจัยในชั้นเรียนล้วนร่ําเรียนมาว่าให้เร่ิมจากการมองปัญหาการเรียนรู้ที่เกิดตรงหน้า บางคน มองเท่าไรก็ไม่เห็นปัญหาเหมาะ ๆ เลยไม่รู้ว่าจะวิจัยเพ่ือจะช่วยอะไรแก่ผู้เรียน ถ้าใครไม่เห็นอะไรในห้องเรียน ลองมองออกไปนอกห้องบ้างก็ได้ มองไปในชุมชน ในสังคม มองไปในอนาคต มีปัญหาเยอะแยะที่จะทําวิจัย ในช้ันเรียนได้ เป็นวิจัยท่ีไม่ต้องลอกหรือทําซํ้าอยู่กับการแก้ปัญหาที่เผชิญหน้าอยู่ในห้องเรียน ไม่ทําซ้ําในเรื่องท่ี สามารถแก้ปัญหาได้โดยไม่ต้องทําวิจัยห้าบท หากแต่เป็นการวิจัยในชั้นเรียนเพ่ือเตรียมคนให้มีทักษะสําหรับ ดําเนินชีวิตในอนาคต... ทักษะแห่งศตวรรษท่ี 21 เรื่องนี้พูดกันมาต้ังแต่ปี 2551 แต่จนบัดน้ี ยังเข้าไปไม่ถึงห้องเรียน อย่างจรงิ จงั สักที เรากาํ ลังอยู่ในยคุ เทคโนโลยีก้าวกระโดด ขณะน้ีเปน็ ปี 2557 ครูรไู้ หมวา่ เทคโนโลยสี ารสนเทศและการส่ือสาร เปล่ียนโฉมหน้าชีวิตคนอย่างพริบตาทุกวัน (Rose, 2012; Rose, Fisch, McLeod & Brenman, 2014) ลองถามตัวเอง หลังจากอ่านข้อมูลที่หยิบมาเสนอเพื่อชวนคิดต่อไปนี้ ว่ามีผลกระทบอะไรบ้างต่อการเรียนการสอนเพื่อเตรียมคนไทย สู่อนาคต คนจนี และคนอินเดียประมาณร้อยละ 25 มีไอคิวสูง ซึ่งเมื่อคิดเป็นจํานวนคนแล้วมากกว่าประชากรทั้งหมด ของทวปี อเมรกิ า (World Bank, U.S. Census Bureau, 2012)
การประชุมทางวิชาการของคุรุสภา ประจาํ ปี 2557 “การวิจยั เพื่อเพ่มิ คณุ ภาพการศึกษาและการพฒั นาวชิ าชพี ” 11 ข้อมูลที่ปรากฏในหนังสือพิมพ์นิวยอร์คไทม์หนึ่งสัปดาห์ ประมาณการว่ามีมากกว่าข้อมูลท่ีคนในศตวรรษทส่ี ิบแปดเรยี นรทู้ ง้ั ชวี ติ ข้อมูลความรู้ใหม่ทางเทคนคิ ต่าง ๆ เพิ่มข้ึน 2 เท่าทกุ สองปี ยืนยนั ไดจ้ ากปี 2443 ความรู้เพ่ิมข้ึนสองเท่าทุกร้อยปี ปี 2488 เพิ่มขึ้นสองเท่าทุกย่ีสิบห้าปี ปี 2557 เพ่ิมขึ้นสองเท่าทุกสิบสามเดือน และปี 2563จะเพิม่ ขึ้นสองเท่าทุกสบิ สองชัว่ โมง ดังน้ัน สิ่งท่ผี ู้เรยี นหลักสตู ร 4 ปี ในมหาวทิ ยาลัยเรยี นในช้นั ปีที่หน่ึงจะหมดอายุลงครึ่งหน่งึ ตอนอย่ชู ้ันปีทีส่ าม (Schilling, 2013) จํานวนการส่งข้อความผ่านเทคโนโลยีสารสนเทศและการส่ือสารแต่ละวัน มีมากกว่าสองเท่าของจํานวนประชากรในโลก (Statistic Brain, 2013) การเผยแพร่ส่งข่าวสารให้ครอบคลุมประชากร 50 ล้านคน ซึ่งวิทยุต้องใช้เวลา 38 ปี โทรทัศน์ใช้เวลา 13 ปี นั้น อินเตอร์เน็ตใช้เวลาเพียง 4 ปี ไอโฟน 3 ปี อินสตราแกรม 2 ปีและแองกรเี บิร์ดสเปส 35 วนั ! (ITU, 2013; Kincaid, 2010; Taylor, 2012; Smith, 2012) นักวิจัยอนาคตทํานายว่านักเรียนร้อยละ 65 จะเติบโตขึ้นไปเพื่อทําอาชีพท่ียังไม่ปรากฏว่ามีในยุคน้ี(Carroll, J., 2008;Davidson, C., 2012; Miselowski, M., 2014) ผู้มีงานทําจะเปลี่ยนงานประมาณ 10 - 14 งานก่อนอายุ 38 ปี ซึ่งขณะน้ีพบว่า 1 ใน 5 คน เปลี่ยนงานภายในหน่ึงปี และ 1 ใน 2 คนเปลี่ยนงานภายในห้าปี(U.S. Department of Labor, 1999 & 2013) จํานวนเครื่องมืออุปกรณ์ด้านอินเตอร์เน็ตที่ในปี 2527 มีเพียง 1,000 ชิ้น ปี 2557 น้ีมีจํานวนเพิ่มเป็น10,000,000,000 ช้นิ ! (Clark, 2014) แต่ละวันมีผู้เข้าใช้ Google ค้นหาข้อมูล 5.9 พันล้านครั้ง Instagram 2.4 พันล้านครั้ง Face book175 ล้านครั้ง (Statistic Brain, 2014) และหากเปรียบ Face book เป็นประเทศจะใหญ่เป็นอันดับสองรองจากประเทศจีน (Population Clock, 2014) ขอ้ มลู เลก็ น้อยเหล่าน้ี ชวนให้ครูคดิ บา้ งไหมวา่ เดก็ ของเราจะต้องเรียนอะไรบ้าง เพราะความรู้จํานวนหนึ่งที่เรียนแล้วจะหมดอายุและมีความรู้ใหม่เพ่ิมขึ้นอย่างรวดเร็ว เด็กของเราจะมีอาชีพที่วันน้ียังไม่รู้ว่าจะเป็นอะไรเพราะตัวอย่างท่ีเห็นชัด ๆ กันอยู่ขณะนี้ คือ อาชีพที่มีความต้องการสูงสุด 10 อันดับแรกในปี 2553 เป็นอาชีพทไี่ มเ่ คยมมี าก่อนปี 2547 และเด็กของเราจะใชเ้ ทคโนโลยีทย่ี ังไมม่ ีในขณะนี้ เพ่อื แก้ปญั หาทย่ี งั ไมร่ วู้ า่ จะเปน็ ปญั หาอะไรไอซีทกี บั ทักษะแห่งศตวรรษท่ี 21 บทความ เร่ือง ครูไทยกับ ICT (รสสุคนธ์ มกรมณี, 2556) ต้องการกระตุ้นให้ครูยอมรับว่า การใช้ไอซีทีหรือเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสารในการเรียนการสอนยุคนี้ เป็นเรื่องของ “ครูทุกคน” ไม่ใช่เรื่องของครูสอนคอมพิวเตอร์ ครูส่วนใหญ่และคนส่วนมากมักจะเข้าใจว่าไอซีทีเป็นเรื่องเกี่ยวข้องกับคอมพิวเตอร์ที่ซับซ้อนและมีราคาแพง แต่ความจริงแล้วไอซีทียังหมายถึงเทคโนโลยีธรรมดาอย่างวิทยุ โทรทัศน์ และโทรศัพท์ด้วยชวี ิตต้ังแต่ต่ืนขนึ้ มาจนเขา้ นอนในแตล่ ะวันแวดล้อมไปด้วยส่ือต่าง ๆ ทั้งหนังสือพิมพ์ วิทยุ โทรทัศน์และคอมพิวเตอร์นค่ี ือภาพรวมของส่ิงที่เรียกว่า “ไอซีที” การใช้ไอซีทีจึงเรื่องประจําวันในสังคมฐานความรู้ที่เปล่ียนแปลงอย่างรวดเร็วครูจะใชไ้ อซที กี นั อย่างไรในการพัฒนาผูเ้ รยี นให้มคี ณุ สมบตั ิเหมาะสมสําหรับอนาคต ในการเตรียมคนเพ่ือศตวรรษต่อไป Partnership for 21st Century Skills ซึ่งประกอบข้ึนด้วยหลายหน่วยงานจากหลายประเทศ ได้รว่ มกันศกึ ษาวจิ ัยข้อมูลเพือ่ กําหนดกรอบการเรียนรแู้ ห่งศตวรรษที่ 21 สรุปผลว่า มีทักษะหลัก3 ประการ ท่ีจําเป็นต้องพัฒนาให้เกิดข้ึนในตัวคนรุ่นใหม่ ได้แก่ 1) ทักษะชีวิตและอาชีพ 2) ทักษะการเรียนรู้และนวัตกรรม 3) ทักษะสารสนเทศ ส่ือ และเทคโนโลยี โดยให้เช่ือมโยงการพัฒนาทักษะเหล่าน้ีในทุกวิชาที่เรียนไม่ใช่ให้นําไปจัดการเรียนรู้เป็นรายวิชาแต่บูรณาการอยู่ภายในวิชาต่าง ๆ อย่างไรก็ตาม บทความน้ีจะเน้นท่ีทักษะข้อ 3 จากความโดดเด่นของเทคโนโลยีตามท่ีเสนอข้อมูลไว้ในตอนต้น ดังนั้น “ครูทุกคน” ต้องมีความรู้ความสามารถในการใชไ้ อซีที จงึ จะจัดการเรียนรไู้ ดอ้ ยา่ งกลมกลืนเพื่อพัฒนาทกั ษะขอ้ ทีส่ ามใหแ้ ก่ผูเ้ รียนได้
12 การประชมุ ทางวิชาการของครุ ุสภา ประจาํ ปี 2557 “การวิจยั เพื่อเพ่ิมคุณภาพการศกึ ษาและการพัฒนาวชิ าชีพ” ทักษะหลัก ข้อ 3 แบ่งการพัฒนาความรู้ความสามารถ(Literacy) ออกเป็น 3 ด้าน โดยเป้าหมายด้าน สารสนเทศ (Information) มุง่ ใหผ้ เู้ รียนมที ักษะในการเข้าถึงและรู้แหล่งสารสนเทศได้อย่างรวดเร็ว มีทักษะในการ ประเมนิ ความน่าเช่ือถอื ของสารสนเทศ และทักษะในการใช้สารสนเทศอยา่ งสร้างสรรค์ เป้าหมายด้านสื่อ (Media) มุง่ ใหผ้ ้เู รยี นมที ักษะในการเขา้ ถึง วิเคราะห์ ประเมนิ และสรา้ งสารในรูปแบบของส่ือตา่ ง ๆ อาทิ มลั ตมิ ีเดีย กราฟิค แอนิเมช่ัน เว็บไซต์ ฯลฯ ได้อย่างมีคุณภาพ ส่วนเป้าหมายด้านเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสาร (ICT) มุ่งให้ ผู้เรียนมีทกั ษะการใช้เคร่ืองมือเทคโนโลยสี ่อื สาร อาทิ คอมพวิ เตอร์ สมาร์ทโฟน ฯลฯ โดยเชื่อมโยงกับเครือข่ายต่าง ๆ เพื่อเข้าถึงจัดการบูรณาการประเมินและสร้างสารสนเทศในสังคมเศรษฐกิจฐานความรู้ได้อย่างมีคุณภาพ และคุณธรรม ครทู ส่ี อนรายวชิ าแตกตา่ งกนั จะออกแบบการเรียนรู้อย่างไร ท่ีแสดงวา่ ได้บรู ณาการทกั ษะขอ้ 3 ให้แก่ผเู้ รียน? สมรรถนะดา้ นไอซีทีของครูไทย กอ่ นจะออกแบบการเรียนรเู้ พอ่ื ศตวรรษที่ 21 โดยเน้นทักษะข้อ 3 ครูต้องเขา้ ใจขีดความสามารถของตนเอง ในดา้ นไอซีที ซึ่งเท่าท่ีรู้มา...ครูไทยส่วนใหญ่คุ้นเคยกับการใช้เคร่ืองมือไอซีที เพราะสํานักงานปลัดกระทรวงศึกษาธิการ (2551, 2554) พบว่าครูเกินกว่าร้อยละ 83 มีคอมพิวเตอร์เป็นของตนเอง มีการใช้คอมพิวเตอร์เพื่อการสอน ประมาณ 8 ชั่วโมงต่อสัปดาห์ มีการเข้ารับการอบรมด้าน IT ประมาณร้อยละ 66 ใช้อินเตอร์เน็ตร้อยละ 76 ใช้โปรแกรมประยุกต์/สําเรจ็ รปู ในการผลติ ส่อื การสอนรอ้ ยละ 70 มีการใชไ้ อซที ีเพอ่ื เพิ่มพูนกจิ กรรมการเรียนการสอน รอ้ ยละ 85 มกี ารใช้ไอซที ใี นการสร้างและจดั การนวตั กรรมการเรยี นการสอนรอ้ ยละ 82 ตวั เลขเหล่านแ้ี สดงทิศทาง ทีด่ ดี า้ นการใชไ้ อซีทีของครู จึงไม่นา่ เกินความสามารถของครูที่จะบรู ณาการไอซที ใี นการจดั การเรียนการสอน ครูจะบูรณาการไอซีทีเข้าไปในวิชาที่ตนสอนไม่ได้ ถ้าตนเองไม่มีสมรรถนะด้านไอซีทีดังนั้น ในเบ้ืองต้น ควรตรวจสอบตนเองได้ง่าย ๆ โดยใช้แผนแม่บทด้านไอซีทีของกระทรวงศึกษาธิการซึ่งระบุสมรรถนะด้านไอซีที ของครูไว้ 4 ระดับตามโมเดลของ UNESCO (Anderson, 2010) เรียงจากน้อยไปหามาก คือ ระดับเร่ิมต้น (emerging) ระดับประยุกต์ (applying) ระดับแพร่กระจาย (infusing) ระดับปรับโฉมใหม่ (transforming) มาเป็นเกณฑ์ ในการประเมิน ตัวอย่างเช่น ครูที่มีสมรรถนะระดับเริ่มต้น สามารถใช้คอมพิวเตอร์ ใช้โทรศัพท์มือถือระบบ IOS หรือ Android ได้อย่างคล่องแคล่ว รู้ว่าเคร่ืองมือไอซีทีต่าง ๆ ทําหน้าที่อะไร มีวิธีการใช้อย่างไร มีความรู้ความเข้าใจและมีทักษะ เบือ้ งต้นเกย่ี วกับการใช้เครอ่ื งมอื ไอซีทีและนําไปสร้างผลผลิตได้ อาทิ ใช้โปรแกรมประมวลคํา ใช้โปรแกรมสร้างภาพ สาํ หรับทํางานนําเสนอ ใชฐ้ านขอ้ มลู ต่าง ๆ เพ่ือทาํ งานประจาํ วันในหน้าท่คี รู ครูท่ีมีสมรรถนะระดับประยุกต์ สามารถใช้ไอซีทีในการสอนได้อย่างหลากหลาย อาทิ ใช้โปรแกรมประยุกต์ เพิม่ เขา้ ไปในการสอนเพ่ือช่วยการเรียนรู้ของนักเรียน ใช้ในวชิ าหรอื เนื้อหาสาระท่ีแตกตา่ งกนั ครูที่มีสมรรถนะระดับแพร่กระจาย สามารถใช้ไอซีทีอํานวยการเรียนรู้ด้วยรูปแบบการสอนท่ีหลากหลาย อาทิ ใช้เครื่องมือประเภทมัลติมีเดียเพื่อช่วยการเรียนรู้ของนักเรียน สามารถเลือกเครื่องมือที่เหมาะสมกับงาน และใช้เคร่ืองมืออย่างหลากหลายเพื่อแก้ไขปัญหาในชีวิตจริงได้ รู้ว่าสถานการณ์แบบใดที่เครื่องมือชนิดนั้น ๆ จะเป็นประโยชน์ตอ่ การเรยี นการสอนมากทสี่ ดุ ครูท่ีมีสมรรถนะระดับปรับโฉมใหม่ สามารถสอนหรือแนะนําเพื่อนครูให้ใช้ไอซีทีเพื่อส่งเสริมการเรียนรู้ได้ สร้างและจัดการส่ิงแวดล้อมการเรียนรู้ท่ีแปลกใหม่และเปิดกว้าง ปรับโฉมใหม่แก่การเรียนรู้ในห้องเรียน มีการใช้ ไอซีทีเพ่ืออํานวยการให้นักเรียนสามารถสร้างองค์ความรู้ได้ด้วยตนเอง และนักเรียนมีความคิดระดับสูงในวิชาต่าง ๆ ตลอดหลักสตู ร ครูรู้ไหมว่าตนเองมีสมรรถนะด้านไอซีทีระดับไหน ถ้าไม่มีเลยแม้แต่ระดับเดียว ก็ต้องหาทางปรับปรุงตนเอง โดยเร่งดว่ น
การประชุมทางวชิ าการของคุรุสภา ประจาํ ปี 2557 “การวจิ ัยเพ่ือเพ่ิมคณุ ภาพการศกึ ษาและการพฒั นาวิชาชพี ” 13แนวคิดในการออกแบบการเรียนรู้เพอื่ ศตวรรษท่ี 21 การออกแบบการเรยี นร้เู พอื่ ศตวรรษท่ี 21(21st Century Learning Design หรือ 21CLD:) เป็นผลงานการวิจัยและพัฒนาในโครงการ Innovative Teaching and Learning หรือ ITL Research ของ Stanford ResearchInstitute (SRI International, n.d.) ท่ีให้แนวปฏิบัติและเคร่ืองมือแก่ครูในการสร้างโอกาสทางการเรียนรู้เพ่ือศตวรรษที่ 21 ให้แก่นักเรียน คู่มือที่จัดทําขึ้นประกอบด้วย แนวทางการออกแบบทักษะแห่งศตวรรษที่ 21ซึ่งผลวิจัยสรุปว่าจําเป็นต้องพัฒนาผู้เรียนอย่างเร่งด่วน จํานวน 6 ด้าน คือ การทํางานร่วมกัน (collaboration)การสร้างองค์ความรู้ (knowledge construction) ความมีวินัยในตนเอง (self - regulation) การแก้ปัญหาจริงของโลกและนวัตกรรม (real - world problem - solving and innovation) การใช้ไอซีทีเพ่ือการเรียนรู้ (the use of ICTfor learning) และการสื่อสารอย่างคล่องแคล่ว (skilled communication) อย่างไรก็ตาม บทความน้ีจะกล่าวถึงด้านการใช้ไอซีทีเพ่ือการเรียนรู้เท่านั้น ซึ่งด้านนี้มีคําถามให้คิด คือ ในการใช้ไอซีทีน้ัน นักเรียนเป็นผู้ถูกกระทําเป็นผูก้ ระทํา หรอื เปน็ ผู้ออกแบบผลิตผลจากไอซีทสี ําหรบั ผูอ้ นื่ ? แนวปฏิบัติในการออกแบบการเรียนรู้ด้านนี้ มาจากฐานความคิดท่ีว่านักเรียนอยู่ในโลกที่เชื่อมต่อกันด้วยการเข้าถึงข้อมูลและประสบการณ์ดิจิตอลอันมากมายมหาศาล การใช้เทคโนโลยีจะเปลี่ยนวิถีชีวิตและวิธีการทํางานไปทุกวัน การปรับตัวเพื่อรับเทคโนโลยีใหม่ ๆ จะเป็นกระบวนการที่ต่อเนื่องตลอดชีวิต จึงไม่เพียงต้องฉลาดในการบริโภคข้อมูลและแนวคิดต่าง ๆ แต่ต้องสามารถออกแบบ และสร้างข้อมูลใหม่และแนวคิดใหม่ โดยใช้ไอซีทีได้ด้วยรวมทั้งพบเห็นว่า ในขณะที่ไอซีทีเริ่มกลายไปเรื่อง “ปกติ” ในห้องเรียนและสิ่งแวดล้อมทางการเรียนรู้ในสถานศึกษาต่าง ๆ ไอซีทีมักใช้เพ่ือนําเสนอหรือบริโภคข้อมูลแบบทําซ้ํา มากกว่าใช้ปรับเปล่ียนประสบการณ์การเรียนรู้จึงมุ่งเน้นการออกแบบการเรียนรู้ที่นักเรียนได้ใช้ไอซีทีเพ่ือสร้างองค์ความรู้หรือออกแบบผลิตผลท่ีใช้ความรเู้ ปน็ ฐาน คําว่าไอซีทีที่ใช้ในการออกแบบนี้ ครอบคลุมเคร่ืองมือดิจิตอลทุกอย่าง ทั้งที่เป็นฮาร์ตแวร์อย่างคอมพิวเตอร์แทปเล็ต โน้ตบุค สมาร์ทโฟน ไวท์บอร์ดอิเล็กทรอนิกส์ ฯลฯ และซอฟต์แวร์อย่างอินเตอร์เน็ต โปรแกรมต่าง ๆโซเชียลมีเดีย เพลตฟอร์มต่าง ๆ ฯลฯ ทั้งน้ี ต้องไม่ลืมว่าไอซีทีเป็นเคร่ืองมือที่มีประสิทธิภาพในการสร้างเสริมทกั ษะแห่งศตวรรษท่ี 21 อกี 5 ดา้ น ได้ดว้ ยเช่นกัน ขึน้ อยกู่ บั ครวู า่ จะนาํ มาใช้ได้อยา่ งสร้างสรรค์เพยี งใด แนวคิดหลักในการออกแบบ คือ การใช้ไอซีทีของนักเรียนเกิดขึ้นเม่ือนักเรียนใช้ไอซีทีโดยตรงเพ่ือทํากิจกรรมการเรียนรู้ท้ังหมดหรือบางส่วน การท่ีครูใช้ไอซีทีนําเสนอเนื้อหาให้กับนักเรียน ไม่ถือว่าเป็นการใช้ไอซีทีของนักเรียน ความสําคัญอยู่ตรงท่ีนักเรียนต้องเป็นผู้ควบคุมการใช้ไอซีทีด้วยตัวเอง จริงอยู่ท่ีครูสามารถใช้ไอซีทีเพื่อเพ่ิมประสิทธิภาพการสอนของตน เช่น ใช้แสดงภาพจําลองสามมิติเพ่ือทําให้เน้ือหาท่ีซับซ้อนง่ายขึ้นสําหรับนักเรียน แต่น่ันไม่ใช่การพัฒนาทักษะการใช้ไอซีทีให้แก่นักเรียน การออกแบบตามแนวคิดน้ีจึงพิจารณาโอกาสท่ีนักเรียนจะได้ใช้ไอซีทีในการทํากิจกรรมการเรียนรู้ 2 ประเด็นคือ “ความจําเป็น” และ “ความสามารถ”ในการใช้ไอซที ี ตวั อย่างการใชไ้ อซีทขี องนกั เรยี น ใช่ ไม่ใช่นกั เรยี นทาํ กจิ กรรมวชิ าคณติ ศาสตร์โดยใช้โปรแกรม นกั เรยี นทาํ กจิ กรรมวิชาคณิตศาสตร์โดยใชใ้ บงานExcel ท่ีครพู ิมพ์ออกมาจากคอมพิวเตอร์นกั เรียนใช้โปรแกรมสถานการณจ์ ําลองเพอ่ื ศึกษา นกั เรียนศึกษากระบวนการแบง่ เซลโดยชมจากกระบวนการแบ่งเซล โปรแกรมสถานการณจ์ าํ ลองทค่ี รูนาํ มาสาธิต
14 การประชุมทางวิชาการของคุรุสภา ประจาํ ปี 2557 “การวิจัยเพ่อื เพ่ิมคณุ ภาพการศกึ ษาและการพฒั นาวชิ าชีพ”แนวปฏิบตั ใิ นการออกแบบการเรยี นรู้เพือ่ พัฒนาทักษะการใช้ไอซที ี การออกแบบการเรยี นรเู้ พอ่ื พัฒนาทกั ษะการใชไ้ อซที ี ถือว่าการสรา้ งองค์ความรโู้ ดยใชไ้ อซีทีเป็นเป้าหมายของกิจกรรมการเรียนรู้ ไม่ใช่การให้นักเรียนเรียนรู้วิธีการใช้ไอซีที ตัวอย่างเช่น นักเรียนอาจจะเรียนรู้เก่ียวกับPowerPoint เพอ่ื สร้างงานนําเสนอในวิชาประวตั ิศาสตร์ แต่จะถือว่าเปน็ การสร้างองค์ความรู้โดยใช้ไอซีทีได้ นักเรียนจะต้องสามารถใช้ PowerPoint เพื่อทําให้การตีความ การวิเคราะห์ การสังเคราะห์ หรือการประเมินแนวคิดเชิงประวตั ิศาสตร์มีความลุ่มลกึ มากขน้ึ ไม่ใชแ่ ค่มคี วามรคู้ วามชาํ นาญเพ่ิมขน้ึ ในการใช้ PowerPoint เท่านัน้ การประเมนิ แหล่งข้อมูลในอินเตอร์เน็ตถือว่าเป็นการสร้างองค์ความรู้ กิจกรรมการเรียนรู้บางอย่างสามารถออกแบบให้นักเรียนเกิดความฉลาด และมีจริยธรรมในการใช้แหล่งข้อมูลจากอินเตอร์เน็ตได้ มากกว่าการเป็นผู้บริโภคข้อมูลแบบทําซ้ํา โดยจัดให้นักเรียนสืบค้นข้อมูลจากหลาย ๆ แหล่ง ทําการประเมินความน่าเช่ือถือและเลือกข้อมูลท่ีเหมาะสมท่ีสุดการที่จะสรุปว่านักเรียนสร้างองค์ความรู้ได้ หมายถึง นักเรียนเกิดความคิดและความเขา้ ใจในส่งิ ท่ี “ใหม่” สาํ หรบั ตนเอง โดยผ่านการตีความ วิเคราะห์ สงั เคราะห์ หรือประเมนิ ผล แนวปฏิบตั ใิ นการออกแบบการเรยี นรูเ้ พอ่ื พฒั นาทกั ษะการใช้ไอซที ี มหี ลักการดังนี้ 1. การใชไ้ อซีทีต้องสนับสนนุ การสรา้ งองคค์ วามรู้ การออกแบบการเรียนรู้เพื่อพัฒนาทักษะการใช้ไอซีที ให้ความสําคัญต่อกิจกรรมการเรียนรู้ท่ีกําหนดให้นักเรยี นใช้ไอซีทีโดยทางตรงหรือทางอ้อมเพื่อสนับสนุนการสร้างองค์ความรู้ ตัวอย่างเช่น นักเรียนใช้ไอซีทีโดยตรงเพื่อสร้างองค์ความรู้ในกิจกรรมการเรียนรู้ที่กําหนดให้ใช้คอมพิวเตอร์วิเคราะห์ข้อมูลทางวิทยาศาสตร์ หรือนักเรียนใช้ไอซีทีทางอ้อมเพื่อสนับสนุนการสร้างองค์ความรู้โดยใช้อินเตอร์เน็ตสืบค้นข้อมูลในขั้นตอนแรกของกิจกรรมแล้วนาํ ข้อมูลทีไ่ ด้ไปวเิ คราะห์เพ่ือสร้างองค์ความรใู้ นขน้ั ตอนตอ่ ไป ตัวอย่างการใชไ้ อซที ที สี่ นบั สนนุ การสรา้ งองคค์ วามรู้ ใช่ ไม่ใช่ นกั เรยี นใชโ้ ปรแกรม Excel เพือ่ บวกเลขนักเรียนใชโ้ ปรแกรม Excel วิเคราะหผ์ ลการทดลองวทิ ยาศาสตร์ นกั เรียนชมวีดที ัศน์เก่ยี วกับการเกิดดาวเคราะห์นกั เรียนใช้สถานการณจ์ าํ ลองในคอมพิวเตอรเ์ พ่ือศึกษาการเกดิ ของดาวเคราะห์ นกั เรยี นใช้โปรแกรม Sticky Sorter สรา้ งรายชอ่ืนกั เรยี นใชโ้ ปรแกรม Sticky Sorter สร้างแผนผัง ตวั ละครในวรรณคดที ีอ่ า่ นในชน้ั เรยี นความสมั พนั ธ์ของตัวละครในวรรณคดที ี่อา่ นในชั้นเรยี น นกั เรียนใชโ้ ปรแกรม OneNoteนกั เรยี นเขียนเรยี งความด้วยคอมพิวเตอร์ พมิ พ์เรียงความท่เี ขยี นไว้โดยใช้โปรแกรม OneNote เพ่ือชว่ ยจดั ระบบและสังเคราะหค์ วามคิดในการเขยี น 2. การใชไ้ อซที ีต้องจําเป็นในการสร้างองคค์ วามรู้ ไอซีทีจะ “จําเป็น” ในกิจกรรมการสร้างองค์ความรู้ก็ต่อเมื่อนักเรียนจะสร้างองค์ความรู้ตามที่ครูกําหนดให้ไม่ได้ ถ้าไม่ใช้ไอซีที ตัวอย่างเช่น ครูให้นักเรียนติดต่อส่ือสารกับเพื่อนนักเรียนประเทศอ่ืนภายในเวลาสองสัปดาห์ เพื่อศึกษาผลกระทบท่ีเกิดจากพายุไต้ฝุ่นซ่ึงเพิ่งเกิดขึ้นในประเทศน้ัน ในกรณีน้ี นักเรียนต้องใช้อีเมล์เพ่ือสร้างองค์ความรู้ ไม่ใช้ก็ไม่ได้ เพราะการส่งจดหมายทางไปรษณีย์กินเวลานาน การใช้ไอซีทีจึงจําเป็นในการสร้างองค์ความรู้ ขณะเดียวกัน กิจกรรมบางอย่างก็ไม่จําเป็นต้องใช้ไอซีที ตัวอย่างเช่น ครูให้นักเรียนค้นหาข้อมูลเกี่ยวกับลักษณะจะงอยปากของนกพันธ์ุต่าง ๆ ท่ีกินอาหารต่างกัน แล้วจัดประเภทของจะงอยปากนก ถ้านักเรียน
การประชมุ ทางวชิ าการของครุ สุ ภา ประจาํ ปี 2557 “การวิจัยเพื่อเพม่ิ คณุ ภาพการศึกษาและการพฒั นาวิชาชพี ” 15ใชอ้ นิ เตอร์เน็ตในกจิ กรรมนี้ นกั เรียนกส็ รา้ งองคค์ วามรไู้ ด้ แต่ไอซีทีไม่ใช่ส่ิงจําเป็นในกรณีน้ี เพราะนักเรียนสามารถทาํ งานตามที่กาํ หนดไดด้ ้วยการใช้หนังสอื ในห้องสมดุตัวอยา่ งการใชไ้ อซที ีทจี่ าํ เปน็ ในการสรา้ งองคค์ วามรู้ใช่ ไมใ่ ช่นกั เรียนใชอ้ ินเตอร์เน็ตเพอื่ หาบทความในหนงั สือพิมพ์ นักเรยี นอ่านหนงั สอื พมิ พท์ ้องถิ่นออนไลน์ของ 3 ประเทศ เกีย่ วกับเหตุการณ์ปัจจบุ ันทเ่ี กิดขน้ึ เพือ่ ศึกษาเหตุการณ์ปจั จุบนั แลว้ วิเคราะห์แลว้ นาํ มาวิเคราะหเ์ ปรียบเทียบความเหมอื นและแตกตา่ ง เร่ืองท่ีพบ จํานวน 3 เรอื่ ง ท้ังน้ี มหี นังสอื พิมพ์โดยที่โรงเรยี นไม่มีหนังสือพมิ พ์ของต่างประเทศ ท้องถน่ิ ฉบับกระดาษในโรงเรียนนกั เรยี นใช้สถานการณ์จําลองในคอมพิวเตอร์เพอื่ ศกึ ษา นกั เรียนใชโ้ ปรแกรม Excel หาผลรวมของตวั เลขการระเบดิ ของภูเขาไฟ สถานการณ์จาํ ลองชว่ ยใหน้ กั เรียน ทจ่ี ะนาํ ไปใชใ้ นการวิเคราะห์ข้อมูล ซ่ึงการร้ลู กึ ในเหตุการณท์ ่ีไม่สามารถเห็นของจริงได้ คาํ นวณเช่นนี้ สามารถทําด้วยมือไดใ้ นกระดาษ 3. การใชไ้ อซที ตี ้องสร้างผลิตผล/นวตั กรรม การพัฒนาทกั ษะการใช้ไอซที อี ย่างได้ผลดี ต้องออกแบบการเรียนรู้ท่ีให้นักเรียนเป็นนักออกแบบผลิตผลด้านไอซีทีที่คนอ่ืนสามารถนําไปใช้ได้ ตัวอย่างเช่น นักเรียนทํา Podcast บทสวดมนต์ และเพลงส่งเสริมคุณธรรมเพ่ือเผยแพรท่ างอินเตอรเ์ น็ต แมก้ ิจกรรมการเรียนจะส้ินสุดลงแตผ่ ลิตผลนจ้ี ะยงั คงอยใู่ ห้บุคคลอนื่ ได้ใช้ประโยชน์ การออกแบบผลิตผลของนักเรียนทําให้ไอซีทีมีบทบาทในการสนับสนุนการแก้ปัญหาจริงในโลกและการสร้างนวตั กรรมอนั เป็น 1 ใน 6 ทกั ษะทต่ี อ้ งเร่งพัฒนา นักเรยี นทเ่ี ปน็ นักออกแบบจะต้องมีกลุ่มเป้าหมายทเ่ี ป็นจรงิอาทิ ชุมชนท่ีต้องการข้อมูล Podcast ซึ่งนักเรียนคิดจะจัดทํา เด็กอนุบาลท่ีจะใช้บทเรียนแบบสถานการณ์จําลองเรื่อง การป้องกันโรคท่ีนักเรียนคิดจะสร้างข้ึน การออกแบบต้องสนองความต้องการและความพึงพอใจของกลุ่มเป้าหมายน้ัน ๆ ส่วนกลุ่มเป้าหมายจะนําไปใช้จริงหรือไม่น้ัน ไม่ถือว่าสําคัญนัก นักเรียนที่ออกแบบผลิตผลโดยไม่มีกลุ่มเป้าหมาย ไม่ถือว่าเป็นนักออกแบบ ดังนั้น การออกแบบการเรียนรู้เพ่ือพัฒนาทักษะการใช้ไอซีทีท่ีมีประสิทธิผล นักเรียนต้องใช้ ICT ในการส่งเสริมการแก้ปัญหาที่เป็นจริงและสร้างผลิตผล/นวัตกรรม นอกจากนั้นหากครูตอ้ งการพัฒนาทกั ษะการทาํ งานร่วมกนั เพ่ิมเข้าไปดว้ ย กจ็ ัดใหน้ กั เรยี นทาํ งานเป็นกลมุ่ ตวั อยา่ งการใชไ้ อซีทที สี่ รา้ งผลติ ผล/นวัตกรรม ใช่ ไม่ใช่ ในชน้ั เรียนวชิ าการสร้างโปรแกรมคอมพิวเตอร์ในชน้ั เรยี นวิชาการสรา้ งโปรแกรมคอมพิวเตอร์ นกั เรียนใช้ Touch Develop สร้าง app ที่ทําให้นกั เรยี นใช้ Touch Develop ออกแบบและสร้าง app สมาร์ทโฟนสัน่ เมื่อใชถ้ ่ายรูปสาํ หรับสมารท์ โฟนทช่ี ่วยให้ผู้สงู อายุใชช้ ีวิตประจําวนัได้สะดวกขนึ้ นกั เรยี นใชโ้ ปรแกรม Songsmith สรา้ งเพลงเก่ียวกบันกั เรียนใชโ้ ปรแกรม Songsmith สร้างเพลงทใ่ี ห้ “ไดโนเสาร”์ เพือ่ เผยแพร่ในอินเตอร์เนตแก่คนทว่ั ไปความรู้ เรื่อง “ไดโนเสาร”์ แก่ผ้ทู ่ีมาชมพพิ ิธภณั ฑธ์ รรมชาติสําหรบั เด็ก นักเรยี นสรา้ งวดี ที ศั นก์ ารสัมภาษณ์สมาชกิ ในชุมชนนกั เรียนสร้างวดี ที ศั น์การสัมภาษณ์สมาชกิ ในชุมชน เรอื่ ง “ชมุ ชนของเรา” เพอื่ สง่ ครูเร่อื ง “ชมุ ชนของเรา” เพ่ือออกอากาศในรายการโทรทศั น์ทอ้ งถนิ่
16 การประชุมทางวิชาการของครุ สุ ภา ประจาํ ปี 2557 “การวจิ ยั เพื่อเพิม่ คณุ ภาพการศึกษาและการพัฒนาวชิ าชีพ” เกณฑ์ประเมนิ การใช้ไอซีทเี พือ่ การเรียนรู้ ในการออกแบบการเรียนรู้เพื่อพัฒนาทักษะการใช้ไอซีทีให้แก่นักเรียน SRI International ได้กําหนด เกณฑ์ประเมินคณุ ภาพกิจกรรมการเรียนรู้เปน็ 5 ระดบั ดงั นี้ 1 - นักเรยี นไมม่ โี อกาสใช้ไอซีทใี นกจิ กรรมการเรยี นรู้ 2 - นักเรยี นใชไ้ อซที ีในการเรียนหรือการฝึกทักษะพน้ื ฐานหรือทาํ ซาํ้ ข้อมลู ไม่ได้สร้างองค์ความรู้ 3 - นักเรียนใชไ้ อซที เี ป็นเคร่ืองสนบั สนุนในการสรา้ งองค์ความรู้ - แตน่ กั เรยี นสามารถสรา้ งองคค์ วามร้เู ช่นเดียวกนั ได้ โดยไม่ต้องใชไ้ อซที ี 4 - นกั เรียนใชไ้ อซที เี ป็นเคร่อื งมอื สนับสนนุ ในการสร้างองค์ความรู้ - และไอซีทีเปน็ สงิ่ จาํ เปน็ ต้องใชใ้ นการสร้างองคค์ วามรู้น้ี - แตน่ กั เรียนไมไ่ ด้สรา้ งผลิตผลด้านไอซีทีสาํ หรับกลุม่ เป้าหมายทเี่ ป็นจรงิ 5 - นกั เรยี นใชไ้ อซีทีเปน็ เครือ่ งสนับสนุนในการสรา้ งองค์ความรู้ - และไอซีทเี ปน็ สิ่งจําเป็นต้องใชใ้ นการสร้างองคค์ วามรนู้ ้ี - และนักเรียนสรา้ งผลติ ผลดา้ นไอซีทีสาํ หรบั กลุ่มเป้าหมายทีเ่ ป็นจริง กรอบการเรียนรู้แห่งศตวรรษที่ 21 ให้คุณค่าอย่างย่ิงต่อการออกแบบการเรียนรู้ท่ีเน้นผู้เรียนเป็นสําคัญ การจัดกจิ กรรมการเรียนรทู้ ใ่ี ห้ผู้เรียนมีโอกาสได้ใช้ไอซีที หรือเทคโนโลยีสารสนเทศและการส่ือสารในการส่งเสริม/ สนับสนุนการแก้ปัญหา/สถานการณ์ที่เกิดขึ้นจริงในชีวิต และช่วยสร้างนวัตกรรม/ผลิตผลเพ่ือสนองความต้องการ จาํ เป็นสาํ หรับแก้ปญั หา/สถานการณน์ ้ันได้ จึงเป็นการใหค้ วามสําคัญแก่ผเู้ รยี นอย่างย่งิ วิจยั เพอ่ื พฒั นาผู้เรยี นให้มที กั ษะแหง่ ศตวรรษที่ 21 ทกุ วนั นเี้ ทคโนโลยีการสื่อสารโดยเฉพาะอย่างยิง่ อุปกรณ์ส่อื สารไรส้ าย อาทิ โมบายโฟน สมารท์ โฟน แทปเล็ต มีบทบาทในชีวติ ประจาํ วันอย่างมาก สามารถนาํ เทคโนโลยีไรส้ ายมาใช้จดั การเรียนรู้ได้ท้ังในห้องเรียนและแบบเคลื่อนท่ี ถ้าสามารถนํามาเป็นตัวช่วยให้ผู้เรียนเข้าถึงบทเรียนได้ง่าย จะสามารถสนองตอบการเรียนรู้ได้อย่างรวดเร็ว ทั่วถึง และมปี ระสทิ ธิภาพ การประยุกตใ์ ช้ app ต่าง ๆ ในการเรยี นการสอนกเ็ ปน็ เรอ่ื งทค่ี รูจะทาํ การวจิ ยั ได้ สามสิบปีที่ผู้เขียนมีประสบการณ์เก่ียวกับงานวิจัยด้านการใช้เทคโนโลยีในการเรียนการสอนจากผลงาน ของครูในการเล่ือนวิทยฐานะและผลงานวิทยานิพนธ์ ดุษฎีนิพนธ์ของนักศึกษาสถาบันต่าง ๆ พบว่า งานวิจัยเกินกว่าครึ่ง มิไดม้ เี ปา้ หมายเพ่อื เพิม่ คุณภาพการเรียนรู้ให้แก่ผเู้ รยี นอย่างแทจ้ รงิ การวจิ ยั เก่ยี วกับบทเรียนคอมพวิ เตอรช์ ว่ ยสอน บทเรียนบนเวบ็ ชุดการสอน บทเรียนสําเร็จรปู ใช้ระเบียบวิธีวิจัยแบบเดียวกัน แตกต่างกันเฉพาะเน้ือหาที่นํามาสร้าง แสดงผลการวิจยั วา่ เครือ่ งมอื ที่ตนสรา้ งขนึ้ มปี ระสทิ ธิภาพ แตเ่ มอื่ พิจารณาโดยละเอียดจะพบวา่ องคป์ ระกอบด้านเน้ือหา อาทิ การเลอื ก คดั สรร จดั ลําดบั และนําเสนอ ขาดหลักการเชิงทฤษฎีการเรียนรู้ ขาดความเหมาะสมทั้งด้านปริมาณ และความลุ่มลึก จนนักเรียนได้เรียนรู้น้อยมาก ขาดเทคนิคและจิตวิทยาการเรียนรู้ กําหนดให้ผู้เรียนต้องเรียนเหมือนกัน เท่ากัน พร้อมกัน ซึ่งไม่ตอบสนองความแตกต่างระหว่างบุคคล และไม่ได้ใช้ศักยภาพของสื่อให้เกิดประโยชน์ อย่างแทจ้ รงิ การวิจยั ทท่ี าํ ในลักษณะน้จี ึงเป็นเร่อื งเสียเวลาท้งั ของครูและนกั เรียนไปอย่างไม่คุ้มคา่ และไม่เกิดประโยชน์ ในการพฒั นาผ้เู รยี นอยา่ งจริงจัง ในยุคท่ีมีความหลากหลายของสื่อไอซีทีเช่นน้ี ยังส่งผลให้มีงานวิจัยเปรียบเทียบการสอนโดยใช้ส่ือ/ เคร่ืองมือไอซีทีกับการสอนแบบปกติเกิดขึ้นอีก ซ่ึงเป็นสภาพที่เคยปรากฏมากเมื่อครึ่งศตวรรษที่แล้ว สมัยท่ี โสตทัศนูปกรณต์ า่ ง ๆ เรม่ิ เข้ามามีบทบาทในวงการศกึ ษา งานวจิ ยั เชน่ น้ี ผ้เู ขยี นเห็นว่าไม่มีคณุ ค่าตอ่ การพัฒนาผเู้ รียน และเสียเวลาอันมีค่าของครูเช่นกัน ส่ือแต่ละอย่างมีข้อดีและข้อจํากัดของตัวเอง งานวิจัยที่ครูทาํ ควรเป็นเรื่อง การหาคําตอบว่าครูจะใช้สื่อ/เครื่องมือไอซีทีอย่างไร จึงจะเกิดประสิทธิภาพสูงสุดในการพัฒนาผู้เรียนของตน เปน็ งานวิจัยพฒั นาการเรียนรทู้ ่สี ามารถทําไดอ้ ย่างกวา้ งขวางและต่อเนื่อง ท่ีสําคัญคือ เกิดขึ้นโดยเป็นส่วนหน่ึงของ กระบวนการเรยี นการสอนท่ีครูปฏิบัตอิ ยู่เป็นประจํา
การประชุมทางวิชาการของครุ ุสภา ประจาํ ปี 2557 “การวิจยั เพื่อเพิ่มคณุ ภาพการศกึ ษาและการพฒั นาวิชาชพี ” 17 ในเมอ่ื ทิศทางการจัดการศกึ ษาเพอ่ื พฒั นาทักษะแห่งศตวรรษท่ี 21 ไมไ่ ด้เสนอให้สอนเรื่องไอซีทีเป็นวิชาแกนแต่ให้บูรณาการอยู่ในวิชาแกนต่าง ๆ ย่อมแสดงว่า “ครูทุกคน” สามารถนําหลักการและแนวปฏิบัติในการพัฒนาทักษะการใช้ไอซีที่กล่าวมาแล้ว มาออกแบบการเรียนรู้ในวิชาของตนได้ รวมท้ังสามารถใช้เป็นประเด็นปัญหาในการทําวิจัยพัฒนาการเรียนรู้ เพราะไอซีทีมีวัสดุอุปกรณ์ให้เลือกใช้อย่างหลากหลาย มีผลิตภัณฑ์ใหม่ ๆ เกิดข้ึนตลอดเวลา สามารถนํามาประยุกต์ใช้ในการออกแบบนวัตกรรมการเรียนการสอน และการทําการวิจัยเพ่ือพัฒนานักเรยี นได้อยา่ งไม่มีที่ส้ินสดุ แม้บทความนี้จะกล่าวถึงการออกแบบการเรียนรู้เพื่อศตวรรษที่ 21 เฉพาะรายละเอียดด้านการพัฒนาทักษะการใช้ไอซีทีท่ีอยากให้ครูผู้สอนทุกวิชานําไปเป็นประเด็นปัญหาสําหรับทําวิจัยในช้ันเรียน หรือการพัฒนาการเรียนการสอน แต่ครูที่สนใจอยากทําวิจัยพัฒนาทักษะอีก 5 ด้านท่ีเหลือ คือ การทํางานร่วมกัน การสร้างองค์ความรู้ความมีวินัยในตนเอง การแก้ปัญหาจริงของโลกและนวัตกรรมและการสื่อสารอย่างคล่องแคล่ว ก็สามารถศึกษารายละเอียดเกี่ยวกับแนวปฏิบัติและเกณฑ์ประเมินได้จากเอกสาร 21st Century Learning Designของ SRIInternational ซ่ึงเผยแพร่ออนไลน์ให้ใช้ได้ฟรีโดย Microsoft Partners in Learning จึงหวังว่าในอนาคตอันใกล้นี้จะได้เห็นผลงานวิจัยของครูที่ทํากันจริงจังเพื่อพัฒนานักเรียน Gen Z ในปัจจุบัน ให้มีทักษะการดํารงชีวิตได้อย่างดีมีความสขุ ในโลกแห่งเทคโนโลยีบรรณานกุ รมรสสคุ นธ์ มกรมณี. (2556). “ครูไทยกบั ICT”. การประชุมทางวชิ าการชองคุรสภาประจําปี 2556 เรื่อง การวิจยั เพื่อเพ่มิ คณุ ภาพการศึกษาและพัฒนาวิชาชพี . กรงุ เทพ ฯ: สํานกั งานเลขาธกิ ารคุรุสภา.สาํ นักงานปลดั กระทรวงศึกษาธิการ. (2551). รายงานการศกึ ษาสถานภาพการใช้เทคโนโลยสี ารสนเทศและ การส่อื สารของหนว่ ยงานและสถานศึกษา. กรงุ เทพมหา ฯ: โรงพมิ พส์ กสค.สํานักงานปลัดกระทรวงศึกษาธิการ. (2554). รายงานการวิจัยสถานภาพการประยุกตใ์ ช้ ICT เพอ่ื การศึกษา ระดับการศึกษาข้ันพนื้ ฐานรองรับการปฏิรปู การศกึ ษาในทศวรรษทส่ี อง. กรงุ เทพ ฯ: ศนู ย์เทคโนโลยี สารสนเทศและการสื่อสาร.สํานักงานเลขาธกิ ารสภาการศึกษา. (2556). สภาวการณก์ ารศึกษาไทยในเวทีโลก พ.ศ. 2556. กรงุ เทพ ฯ: พรกิ หวานกราฟฟิค.สํานกั งานเลขาธิการสภาการศึกษา. (2556). มองสถิตแิ ละตวั ชว้ี ัดทางการศกึ ษา. 1(5) ธันวาคม, หน้า 1 - 4.Anderson, J. (2010). ICT Transforming Education: A Regional Guide. Bangkok: UNESCO.Carroll, J. (2008). JimCarroll. Available at http://www.jimcarroll.com/2008/05/65-of-the-kids-in- preschool-today-will-work-in-jobs-or-careers-that-dont-yet-exist/#.U6dCQ41aJb4Clark. D. (2014).“Internet of things' in reach”.The Wall Street Journal. Available at http://online.wsj.com/news/articles/SB10001424052702303640604579296580892973264Davidson, C. (2012). Now You See It: How Technology and Brain Science Will Transform Schools and Business for the 21st Century. New York: Viking Penguin.Rose, D. (2012). Did You Know?/Shift Happens. Available at http://www.youtube.com/watch?v=XVQ1ULfQawkRose, D., Fisch, K., & McLeod, S.(2014).Did You Know2014. Available at http://www.youtube.com/watch?v=XrJjfDUzD7M
18 การประชมุ ทางวิชาการของครุ ุสภา ประจําปี 2557 “การวิจยั เพ่อื เพ่มิ คุณภาพการศึกษาและการพฒั นาวิชาชพี ” ITU, United Nations. (2013). UN Broadband Commission Releases Latest Country-by-Country Data on State of Broadband Access Worldwide. Available at http://www.un.org/en/events/pastevents/pdfs/We_The_Peoples.pdf James, I. (2014). Did You Know 2014. Available at http://dionysus.co.za/?p=947 Kincaid, J.(2010).“Apple has sold 450,000 iPads, 50 million iPhones to date”. TechCrunch. Available at http://techcrunch.com/2010/04/08/apple-has-sold-450000-ipads-50-million- iphones-to-date/ Miselowski, M. (2014).“Futurist Morris Miselowskipredicts the jobs we’ll be doing in 2050”. News.Com.Au. Available at http://www.news.com.au/finance/business/futurist-morris- miselowski-predicts-the-jobs-well-be-doing-in-2050/story-fn5lic6c-1226894721996 Population Clock.(2014). Wikipedia. Available at http://en.wikipedia.org/wiki/List_of_countries_by_population Schilling, D. (2013).“Knowledge doubling every 12 months, soon to be every 12 hours”.Industry Tap. Available at http://www.industrytap.com/knowledge-doubling-every-12-months- soon-to-be-every-12-hours/3950 Smith, M. (2012).“Angry Birds Space hits 50 million milestone, smashes It, crushes pigs in the process”. Engadget. Available at http://www.engadget.com/2012/04/30/angry-birds- space-50-million-downloads/ SRI Internatinal.(n.d.).21st Century Learning Design. Available at http://www.21cld.com/Account/Login orhttp://www.pil- network.com/pd/21CLD/Overview or http://www.itlresearch.com/itl-leap21 Statistics Brain.(2014).Google Annual Search Statistics. Available at http://www.statisticbrain.com/google-searches/ Statistics Brain.(2013).Text Message Statistics. Available at http://www.statisticbrain.com/facebook-statistics/ Taylor, C. (2012). “Instagram passes 50 million users, adds 5 million a week”. Mashable. Available at http://mashable.com/2012/04/30/instagram-50-million-users/ U.S. Department of Labor.(1999).Futurework - Trends and Challenges for Work in the 21st Century.Available at http://www.dol.gov/oasam/programs/history/herman/reports/futurework/report.htm U.S. Department of Labor.(2013). Spotlight on Statistics. Available at http://www.bls.gov/spotlight/2013/tenure/home.htm
การประชุมทางวชิ าการของครุ ุสภา ประจาํ ปี 2557 “การวิจัยเพ่อื เพมิ่ คณุ ภาพการศกึ ษาและการพฒั นาวชิ าชพี ” 19 คาํ ถามที่ต้องการคําตอบเกี่ยวกบั การวิจยั รองศาสตราจารย์ ดร.ทิวัตถ์ มณีโชติ และคณะ บทความน้ีมีลักษณะแตกต่างจากบทความอ่ืน คือ เขียนเป็นคําถาม - คําตอบ ทุกคําถามเป็นความเข้าใจคลาดเคลอ่ื นท่ีผทู้ รงคุณวุฒิพบในการตรวจผลงานวิจัยของผู้ประกอบวิชาชีพทางการศึกษาที่ส่งเข้าร่วมคัดสรรกับคุรุสภาตลอดระยะเวลา 10 ปี บางเรื่องคุรุสภาได้ให้ความรู้ความเข้าใจไปแล้วในหลากหลายลักษณะ ทั้งการบรรยายและการจัดคลินกิ ในการประชมุ ทางวิชาการของคุรุสภา และการทําเป็นเอกสารเผยแพร่ เช่น “ไขข้อข้องใจการวิจัยแด่เพื่อนครู” เอกสารชุด “การวิจัยเพื่อพัฒนาวิชาชีพทางการศึกษา: แนวคิดสู่การปฏิบัติ” แต่ก็ยังพบความผิดพลาดดังกลา่ วในงานวิจัยของผู้ประกอบวิชาชพี ทางการศกึ ษา ดังน้ัน จึงยกประเด็นท่ีสําคัญมาเขียนเป็นคําถามและคําตอบในบทความนอ้ี กี ครงั้ หน่ึง หวังเปน็ อยา่ งยิ่งว่าเมอ่ื ผ้อู ่านไดอ้ ่านคาํ ถาม - คาํ ตอบในบทความนี้ จะทําให้เกิดความเข้าใจทีถ่ ูกต้องและเกิดความกระจ่างในประเด็นท่ีเสนอ ส่วนประเดน็ อ่ืน ๆ และรายละเอียดเพ่ิมเติม ผอู้ ่านสามารถศึกษาได้จากเอกสารที่กล่าวถงึ รวมทัง้ ศึกษาจากหนังสือและตาํ ราทางการวิจัยท่ัวไปคาํ ถาม ทําไมต้องแสดงหลกั ฐานความตรงของเครอื่ งมอื ท่ีใช้รวบรวมขอ้ มลู ในรายงานวิจยั ?คําตอบ คุณภาพเคร่ืองมือท่ีใช้ในการเก็บรวบรวมข้อมูลในงานวิจัยด้านความตรง (validity) เป็นหลักฐานสําคัญ ทีแ่ สดงถงึ คุณภาพของผลการวจิ ัย คําอธิบาย ผลการวิจัย คือ คําตอบของคําถามวิจัยที่นักวิจัยกําหนดข้ึน คําตอบที่ได้เป็นข้อความท่ีได้จากการนําข้อมูลเชงิ ประจักษ์ทรี่ วบรวมไดจ้ ากเคร่ืองมอื ท่ีคัดสรรตามลักษณะเฉพาะของตัวแปรในคําถามวิจัย ดังนั้นเคร่ืองมอื ท่ีใช้ในการเก็บข้อมูลจงึ ตอ้ งออกแบบใหม้ ีลกั ษณะเฉพาะตรงกบั ตัวแปรทีต่ อ้ งการ จึงจะได้ขอ้ มูลทถี่ ูกต้อง ลําดับการดําเนินการวิจัย n เริ่มจากการทําความชัดเจนในคําถามวิจัย o แยกแยะเป็นคําถามย่อยอาจจะมีมากกว่า 1 คาํ ถาม เพื่อให้เห็นตัวแปรที่ต้องหาข้อมูลเชิงประจักษ์มาตอบคําถามวิจัยที่กําหนดไว้ได้Z เขียนคําอธิบายตวั แปรหรือนิยามตวั แปรให้ชดั เจนวา่ ข้อมูลท่จี ะนาํ มาประมวลผลน้ัน จะไดม้ าอย่างไร เรียกการให้ความหมายแบบนี้ว่า นิยามปฏิบัติการ (operational definition) ตัวแปรบางตัว อาจไม่จําเป็นต้องมีคําอธิบายเพราะมคี วามหมายตามธรรมชาติของตวั แปรน้ันชัดเจน เช่น คําถามวิจัย “นักเรียนหญิงมีทักษะทางภาษามากกว่านักเรียนชายหรือไม่” ตัวแปร “เพศ” ไม่จาํ เป็นต้องเขียนคาํ อธิบายว่า อย่างไร คือ “หญิง” อย่างไร คือ “ชาย”แต่มักพบว่าตัวแปรในคาํ ถามวจิ ยั เป็นตวั แปรท่ีเกี่ยวกับลักษณะมีความเฉพาะที่จําเป็นต้องมีคําอธิบาย บางคําเป็นคําท่ีมีความหมายทางทฤษฎีท่ีต้องระบุ มิฉะน้ันอาจทําให้การเก็บข้อมูลขาดความชัดเจน และนําไปสู่คําตอบวิจัยท่ีกํากวมได้ เช่น “ทักษะทางภาษา” เป็นตัวแปรที่ต้องมีคําอธิบายถึงพฤติกรรมที่บ่งบอกระดับทักษะ ขอบเขตเนื้อหาท่ีนํามาสร้างสิ่งเร้าหรือสถานการณ์ให้กลุ่มเป้าหมายตอบสนองต่อคําถามหรือข้อสอบ [ สร้างเคร่ืองมือรวบรวมขอ้ มูล ผู้วิจยั ตอ้ งสร้างอยา่ งพถิ พี ิถัน มีคาํ อธบิ ายอยา่ งนอ้ ย 3 ประการ ในเครื่องมือท่ีสร้าง คือ (1) ลักษณะท่ีตอ้ งการวัดหรือตัวแปรนน้ั เปน็ อยา่ งไร (2) ประเภทของเครอ่ื งมอื เชน่ แบบทดสอบ แบบสอบถาม หรอื แบบสมั ภาษณ์เป็นตน้ ตอ้ งระบุวิธีการรวบรวมข้อมูลเพ่ือให้ได้ข้อมูลท่ีมีความผิดพลาดน้อยท่ีสุด (3) การแปลความหมายของข้อมูลท่รี วบรวมได้ เช่น แบบทดสอบวัดทักษะการเขียนเรียงความ มีวิธีให้คะแนนรายข้ออย่างไร และมีวิธีแปลความหมายคะแนนดิบเป็นระดับทักษะอย่างไร การเขียนที่ชัดเจนเป็นหลักฐานที่ประกันคุณภาพเคร่ืองมือเบื้องต้นท่ีสําคัญเม่ือกระบวนการสร้างเคร่ืองมอื ขนั้ ต้นจบลง นักวิจยั ตอ้ งมหี ลกั ฐานแสดงความตรงของเคร่ืองมือท่ีสร้างขน้ึ หลกั ฐานที่นํามาแสดงมีหลายวิธี ขึ้นอยู่กับประเภทของความตรงของเครื่องมือแต่ละชนิดที่จะนําไปใช้ตามจุดประสงค์ของการวจิ ัย ทพี่ บมากในการวิจัยทางการศึกษา ได้แก่ ความตรงเชิงเนื้อหา (content validity) ความตรงเชิงทฤษฎี
20 การประชมุ ทางวชิ าการของคุรุสภา ประจาํ ปี 2557 “การวิจยั เพือ่ เพ่ิมคณุ ภาพการศึกษาและการพัฒนาวชิ าชพี ” (construct validity) r เมื่อได้เคร่ืองมือที่มีคุณภาพ นักวิจัยจะนําไปเก็บข้อมูลจากตัวอย่างประชากรท่ีกําหนดไว้ การเก็บข้อมูลต้องปฏิบัติตามวิธีที่ระบุไว้ในเครื่องมือ (2) นั้นๆ อย่างเคร่งครัด s ข้อมูลดิบที่ได้จากเครื่องมือ ต้องตรวจความสมบูรณ์ก่อนประมวลผล ตามที่ระบุในเครื่องมือ (3) t นําข้อมูลมาวิเคราะห์ตามแผนการวิเคราะห์ ท่ีวางไว้ และสงั เคราะหต์ ามประเด็นคําถามวจิ ัย u เขียนคําตอบตามคาํ ถามวจิ ัยท่ีกําหนดไว้ ลําดับการแสดงหลักฐานคณุ ภาพเคร่ืองมอื ประกอบดว้ ย รายงานกระบวนการสร้างเครื่องและหาหลักฐาน ความตรงเชิงประจักษ์ตามประเภทของเครือ่ งมอื สรปุ ดังภาพ คาํ ถามวจิ ยั เป็นจุดกาํ หนดนิยามตวั แปร นิยามตวั แปรกาํ หนดลกั ษณะเฉพาะของเครื่องมือเครื่องมือที่มีคุณภาพเม่ือใชถ กู ตอ งจะไดข อ มูลที่นาํ ไปตอบคาํ ถามวจิ ยั ได วจิ ยั [ sคําถาม คาํ ถามวิจัย 1 ตวั แปร 1 เครื่องมือ1 ขอ มูล n o นิยาม r ตวั อยา ง ขอ มูล u ประชากร pคําตอบ เคร่ืองมือ2 นิยาม คาํ ถามวิจัย 2 ตวั แปร 2 t22 กรกฎาคม 2553 รศ.ดร.ภาวณิ ี ศรีสุขวฒั นานนั ท 2 (รศ.ดร.ภาวณิ ี ศรสี ขุ วฒั นานนั ท์)คาํ ถาม การแสดงหลกั ฐานความตรงเชิงเนื้อหาทาํ อย่างไร?คําตอบ การแสดงหลักฐานความตรงของเครอ่ื งมือ ตอ้ งแสดงเอกสาร 2 ตอน ตอนที่ 1 แสดงกระบวนการสร้างเครอ่ื งมอื ตามวัตถุประสงค์ของการใช้ มรี ายการท่เี สนอรายละเอยี ด ดงั นี้ 1.1 จากวัตถุประสงค์ของเครื่องมือ ระบุตัวแปรหรือคุณลักษณะที่ต้องการวัด นิยามตัวแปร ในรปู ปฏบิ ัตกิ ารภายในขอบเขตเน้อื หาทีก่ าํ หนด 1.2 แสดงผังการสร้างข้อกระทงหรือข้อสอบ ที่มีลักษณะเฉพาะที่วัดตรงตามจุดประสงค์ มเี น้ือหาทมี่ ีความเป็นตัวแทนและครอบคลมุ ทกุ จุดประสงค์ของเครื่องมอื 1.3 สร้างข้อกระทงหรือข้อสอบตามลักษณะเฉพาะใน 1.2 ตรวจทานความสอดคล้องของรายขอ้ กบั จุดประสงค์ แล้วสรปุ เปน็ ชดุ ของเครอ่ื งมือ มคี ําชี้แจงการตอบ และการบริหารการเกบ็ ข้อมูล 1.4 เขยี นคูม่ ือการตรวจหรือกําหนดรหสั ให้กบั การตอบ และการแปลความหมาย 1.5 ตรวจทานกระบวนการสร้างข้อกระทง (ข้อสอบ) ข้อ 1 ถึง 5 นําไปขอความเห็นผู้เชี่ยวชาญ ด้านเน้ือหาของเคร่อื งมอื นน้ั ๆ (subject - matter experts)
การประชุมทางวิชาการของคุรสุ ภา ประจาํ ปี 2557 “การวจิ ัยเพอ่ื เพมิ่ คณุ ภาพการศึกษาและการพฒั นาวิชาชพี ” 21 ตอนที่ 2 แสดงหลักฐานระบบการพัฒนาความตรงเชิงเน้ือหาโดยใช้ความเห็นผู้เช่ียวชาญ (The Experts Agreed) เป็นกระบวนการให้ได้หลักฐานสนับสนุนเชิงปริมาณ ใช้ข้อมูลเชิงประจักษ์จากการใช้ ความเชี่ยวชาญในเนื้อหาของผู้เช่ียวชาญ (subject - matter experts) พิจารณาถึงสาระความรู้ หรือทักษะท่ีจะถูกประเมินในข้อสอบว่าสอดคล้องกับจุดประสงค์ตามขอบเขตที่นิยามหรือไม่ (item - objective congruence) ขัน้ ตอนต่าง ๆ ในตอนที่ 2 นี้ สรุปไดด้ งั น้ี 2.1 ขอให้ผู้เช่ียวชาญประเมินข้อกระทง (ข้อสอบ) รายข้อ อย่างเป็นระบบ (systematically assess item match to objectives) ว่าข้อกระทงหรือข้อสอบนั้นเป็นตัวแทนในการวัด จดุ ประสงคน์ ้ันหรือไม่ 2.2 สรุปผลการพิจารณาของผู้เช่ียวชาญ หากพบว่าข้อกระทง (ข้อสอบ)ที่มีอยู่ไม่เพียงพอ หรือควรปรบั ปรงุ ก็จะสร้างเพิ่ม หรอื แกไ้ ข แล้วตรวจทานความเหมาะสมอกี ครั้ง 2.3 ทบทวน 1.4 และ 1.5 อีกครั้ง แล้วสรุปเป็นเอกสารเพื่อเป็นหลักฐานแสดงความตรงเชิงเนื้อหา ของเครอื่ งมือนั้น ๆมาตรฐานการใช้ความเห็นผู้เช่ยี วชาญ (the standard procedure)1 1. กําหนดความหมายพฤตกิ รรมทแี่ สดงในขอบเขตเนอ้ื หาท่ีต้องการประเมิน 2. เลือกคณะบคุ คลทมี่ คี วามเช่ียวชาญในขอบเขตเนื้อหานนั้ 3. ทํากรอบการทํางานท่ีให้ผู้เชี่ยวชาญลงความเห็นของการพิจารณาสอดคล้องของข้อกระทงกับการปฏิบัติ ของขอบเขตเนือ้ หาทกี่ าํ หนดทีละข้อ 4. รวบรวมผลการพิจารณาของผเู้ ช่ียวชาญ และสรุปกระบวนการทงั้ หมด เทคนิคการใช้ความเห็นผู้เชี่ยวชาญ มีหลายวิธี แต่ละวิธีมีจุดแข็ง จุดอ่อนที่แตกต่างกัน เทคนิคที่ใช้ในงานวิจัยทางการศึกษาของไทยมากเทคนิคหน่ึง คือ การหาดัชนีความสอดคล้องของข้อกระทงกับวัตถุประสงค์Rovinelli & Hambleton’s Index of Item - Objective Congruence2 (1977) มขี ้นั การปฏิบัติโดยสรปุ ดงั นี้ 1. ผู้เช่ยี วชาญด้านเนื้อหา พิจารณาใหร้ ะดับความตรงของรายข้อกระทง (ข้อสอบ) ว่าตรง (หรือไม่ตรง)กับ จดุ ประสงค์ท่กี ําหนดเพยี งไร 2. การใหร้ ะดบั ตัวเลข ดังน้ี : • 1: ตรงกับวตั ถปุ ระสงคอ์ ย่างชดั เจน • 0: ไมม่ ีความชดั เจน • -1: ไมต่ รงกบั วัตถุประสงค์อย่างชดั เจน 3. คาํ นวณค่าเฉลี่ยความเหน็ ของคณะผู้เชย่ี วชาญในแตล่ ะข้อ ค่าเฉลีย่ ท่ไี ด้เป็นค่าดัชนคี วามสอดคล้อง 4. คา่ ดัชนคี วามสอดคล้อง มีค่า จาก -1 ถึง +1 5. แปลความหมายค่าดชั นเี ปน็ ระดับความตรงเชิงเนือ้ หา ดงั น้ี • คา่ ดัชนที ส่ี งู กวา่ หรือเท่ากับ 0.5 แปลวา่ วา่ ข้อนนั้ วัดจุดประสงคน์ นั้ ได้อย่างชัดเจนจริง • คา่ ดัชนที ่ตี ่าํ กวา่ 0.5 แปลว่าข้อกระทงนนั้ ไม่ไดว้ ดั จุดประสงคท์ ีก่ าํ หนด 6. ปรบั ปรงุ ขอ้ กระทงทม่ี ีคา่ ดัชนีตาํ่ กวา่ .05 อาจตัดออกหรือแกไ้ ขปรบั ปรงุ แล้วนํามาให้ผู้เชยี่ วชาญพจิ ารณาใหม่1 Crocker & Algina (1986) Introduction to Classical and Modern Test Theory,2 Rovinelli, R. J., & Hambleton, R. K. On the use of content specialists in the assessment of criterion-referenced test item validity. Dutch Journal ofEducational Research, 1977, 2, 49 - 60
22 การประชุมทางวิชาการของคุรสุ ภา ประจําปี 2557 “การวิจัยเพือ่ เพมิ่ คณุ ภาพการศึกษาและการพฒั นาวิชาชีพ” สรุปการนําเสนอหลักฐานความตรงเชิงเนอื้ หา • หลักฐานความตรงเชิงเนื้อหาของเครื่องมือรวบรวมข้อมูลที่เป็นแบบทดสอบ แบบสอบถาม หรือ แบบสัมภาษณ์ ต้องแสดงทั้งหลักฐานการสร้างและผลการวิเคราะห์ความสอดคล้องระหว่างข้อกระทง กับจุดประสงค์ของการวัดในเครื่องมือชุดนั้น เพ่ือแสดงให้เห็นคุณภาพเคร่ืองมือในด้านความเพียงพอ และความเป็นตัวแทนของขอ้ กระทงในชุดเคร่อื งมือนน้ั • ความตรงเชิงเนือ้ หาจะพจิ ารณาเชงิ ปริมาณเพยี งอย่างเดยี วไม่ไดเ้ สมอไป อนั เน่ืองมาจาก o เนื้อหาที่เป็นตัวต้ังต้นของการสร้าง ต้องกําหนดกรอบเนื้อหาท่ีชัดเจน มีการอ้างอิงแนวคิดทฤษฎี และความสามารถในการใช้เหตผุ ลของผสู้ ร้าง o ผลการวิเคราะห์เชิงปรมิ าณขึน้ อยูก่ ับการยอมรบั ได้ของขั้นตอนการดําเนินการให้ได้ความเห็นของ ผู้เชยี่ วชาญ (expert agreement procedures) โดยเฉพาะคณุ สมบัตขิ องผเู้ ช่ียวชาญด้านเนื้อหา และการวางแผนการเกบ็ ขอ้ มูลความเห็นทีม่ คี วามชดั เจน นา่ เชอ่ื ถอื • การวิเคราะห์ความตรงเชิงเน้ือหา เป็นงานท่ีนักวิจัยต้องให้ความสําคัญและหากพบว่าเคร่ืองมือยังมี ความบกพร่องในด้านนี้ ควรแก้ไขเสียก่อนที่จะใช้เครื่องมือไปเก็บข้อมูล และแปลผลการวิจัย ทค่ี ลาดเคลอื่ นได้ (รศ.ดร.ภาวิณี ศรสี ุขวฒั นานนั ท์) คาํ ถาม ทําไมต้องนยิ ามศัพท์ ศพั ทอ์ ะไรทต่ี อ้ งนํามานยิ าม นิยามอยา่ งไร? คําตอบ ทําไมตอ้ งนิยามศัพท์ การนิยามศัพท์เป็นการส่ือสารระหว่างผู้ทําวิจัยและผู้ใช้ผลการวิจัยหรือผู้อ่านงานวิจัยน้ัน จะช่วยให้เกิด ความชัดเจนระหว่างผู้ทําวิจัยและผู้ใช้ผลการวิจัยได้เข้าใจตรงกันถึงศัพท์ต่าง ๆ ที่นํามาใช้กล่าวถึงในงานวิจัยน้ัน เช่น รูปแบบการจัดการเรียนการสอนต่าง ๆ ที่ผู้วิจัยนํามาใช้หรือพัฒนาข้ึนในการวิจัย วิธีการเรียนรู้ของผู้เรียน ท่ีผู้วิจัยต้องการพัฒนาให้เกิดข้ึน หรือผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนของผู้เรียนท่ีผู้วิจัยต้องการให้เกิดข้ึนกับผู้เรียน จากการวิจยั น้ัน เป็นต้น ศัพทอ์ ะไรทตี่ ้องนํามานิยาม ศัพท์ท่ีนํามานิยามศัพท์ คือ ตัวแปรของการวิจัยท่ีผู้วิจัยต้องกําหนดไว้หรือเรียกขานอย่างสอดคล้องกัน ต้ังแต่ในชื่อเรื่องของการวิจัย ในความเป็นมาของการวิจัย ในวัตถุประสงค์ของการวิจัย และในขอบเขตของการวิจัย เช่น ผู้วิจัยต้องการพัฒนากิจกรรมการเรียนรู้เพื่อส่งเสริมความสามารถในการแก้ปัญหาของนักเรียนระดับ ช้ันมัธยมศึกษาปีท่ี 2 ในวิชาวิทยาศาสตร์ สําหรับการวิจัยนี้มีตัวแปรที่สําคัญ อยู่ 2 ตัว คือ “กิจกรรมการเรียนรู้” ที่ผวู้ จิ ัยพัฒนาขึ้น กับ “ความสามารถในการแกป้ ัญหาทางวทิ ยาศาสตร์” เหตุท่ีเป็นตัวแปรเพราะมีค่าเปลี่ยนแปลงไป เป็นค่าหรือเป็นระดบั ตา่ ง ๆ นน่ั คือ Â หากกิจกรรมการเรียนรู้ที่ผู้วิจัยพัฒนาขึ้นมีลักษณะกิจกรรมที่หลากหลายแตกต่างกัน เช่น มีท้ังกิจกรรมที่ผู้เรียนเรียนรู้ร่วมกันกับเพ่ือนในช้ันเรียน กิจกรรมท่ีศึกษาค้นคว้าจากแหล่งเรียนรู้ต่าง ๆ นอกห้องเรียน กิจกรรมการเรียนรู้น้ันก็เป็นตัวแปรเพราะแปรเป็นสองระดับ คือ เรียนในห้องเรียนกับเรียนนอกห้องเรียน แต่หาก กิจกรรมการเรียนรู้ท่ีผู้วิจัยพัฒนาขึ้นนั้น มีรูปแบบเดียวเท่านั้น เช่น ใช้รูปแบบกิจกรรมการสอนแบบวงจรการเรียนรู้ 5 E กิจกรรมการเรยี นรูน้ ้กี ไ็ มใ่ ช่ตัวแปรเพราะไม่แปร แต่เรยี กว่าเป็นระดับของตัวแปร (treatment or intervention) ซึ่งผู้วจิ ยั มักจะเรียกกนั อย่างคลาดเคลื่อนว่าเป็นตัวแปรต้น ทั้ง ๆ ที่ไม่ได้แปรค่าอะไรเลยหากผู้วิจัยได้พัฒนากิจกรรม หรอื วิธกี ารขึ้นมาเพยี งรปู แบบเดียวเทา่ นั้น
การประชุมทางวิชาการของครุ สุ ภา ประจาํ ปี 2557 “การวิจยั เพ่ือเพม่ิ คณุ ภาพการศึกษาและการพฒั นาวิชาชพี ” 23 Â สําหรับความสามารถในการแก้ปัญหาทางวิทยาศาสตร์เป็นตัวแปร เหตุท่ีเป็นตัวแปรเพราะนักเรียนช้ันมธั ยมศกึ ษาปที ่ี 2 ท่ีเปน็ ผ้คู รอบครองตวั แปรน้ีในแตล่ ะคนน้นั จะมีระดับความสามารถแตกต่างกัน ไม่เท่ากันจึงเป็นส่ิงที่มีค่าเปลี่ยนแปลงไปจึงเป็นตัวแปร และเรียกว่าเป็นตัวแปรตามของการวิจัย อันเน่ืองมาจากเป็นผลท่ีเกิดข้ึนมาจากการที่ผูว้ จิ ยั จดั กิจกรรมทพี่ ัฒนาขน้ึ กับนกั เรียน นิยามอย่างไร การนิยามศัพท์เป็นการให้ความหมายของศัพท์หรือตัวแปรน้ันในเชิงรูปธรรม ให้สามารถสังเกตและวดั ตวั แปรน้นั ได้ ซงึ่ เปน็ การนยิ ามปฏิบัติการ (operational definition) โดยเฉพาะการนิยามตัวแปรตามในการวิจัยที่ผู้วิจัยจะต้องดําเนินการเก็บรวบรวมข้อมูลตัวแปรตามเพ่ือนํามาเป็นข้อสรุปและเป็นผลการวิจัยน้ัน เพ่ือให้ท้ังผู้วิจัยเองและผู้ใช้หรืออ่านงานวิจัยได้เข้าใจตรงกัน ว่าตัวแปรท่ีผู้วิจัยเรียกช่ือเดียวกันในงานวิจัยต่าง ๆ นั้น ผู้วิจัยหมายถึงตัวแปรที่มีลักษณะ มีองค์ประกอบ มีค่า มีระดับ วัดมาด้วยเคร่ืองมือใด และมีความหมายของผลการวัดนั้นอย่างไร เช่น ตัวแปรตามของการวิจัยคือ ความสามารถในการแก้ปัญหาทางวิทยาศาสตร์ ผู้วิจัยคนท่ีหนึ่งอาจให้นิยามว่า หมายถึง คะแนนที่ได้มาจากผลการตอบแบบวัดความสามารถในการแก้ปัญหา ส่วนผู้วิจัยคนท่ีสองระดับคะแนนที่ได้มาจากผลการตอบแบบวัดความสามารถในการแก้ปัญหาทางวิทยาศาสตร์ แบ่งออกเป็นระดับความสามารถ 3 ระดับ จากคะแนนทไ่ี ด้ คือ ระดบั ต่ํา มคี ะแนนไมถ่ งึ ร้อยละ 50 ระดับปานกลาง มีคะแนน ร้อยละ51 - 70 ระดับสูง มีคะแนนร้อยละ 71 ข้ึนไป ส่วนผู้วิจัยคนที่สาม อาจนิยาม ว่า เป็นผลของการประเมินตนเองจากสถานการณ์ที่กําหนดใหว้ ่าสามารถแกป้ ญั หาน้นั ๆ ไดม้ ากน้อยเพียงใด ใน 5 ระดับ คือ ดีมาก ดี ปานกลาง น้อยน้อยมาก จะเห็นได้ว่าการนิยามความสามารถในแก้ปัญหาดังกล่าวเป็นนิยามปฏิบัติการ คือ ใช้คะแนนแทนความสามารถท่ีกล่าวถึง โดยวัดจากแบบวัดความสามารถในการแก้ปัญหา ซ่ึงถ้าเป็นแบบวัดมาตรฐานควรมีช่ือของแบบวัดน้ันกํากับไว้ แต่หากเป็นแบบวัดที่ผู้วิจัยสร้างเองจะต้องอธิบายต่อไปในประเด็นของการสร้างเครื่องมือสําหรับผู้วิจัยคนท่ีหนึ่งและสอง ความสามารถในการแก้ปัญหาเกิดจากการท่ีผู้ตอบต้องแก้ปัญหาจากสถานการณ์ในแบบวัดจริงเพียงแต่ว่า คนที่หน่ึงไม่ได้แสดงถึงความหมายของผลการวัดจากแบบวัดที่ใช้ซ่ึงข้ึนอยู่กับคําถามของการวิจัยท่ีผู้วิจัยนั้นต้องการหาคําตอบเกี่ยวกับความสามารถในการแก้ปัญหาน้ัน แต่ผู้วิจัยคนท่ีสองได้ให้ความหมายของผลการวัดไว้ชัดเจนว่าจะแบ่งความสามารถในแก้ปัญหาออกเป็น 3 ระดับ ส่วนผู้วิจัยคนท่ีสามวัดความสามารถในแก้ปัญหาจากการให้ผู้ตอบประเมินตนเอง ว่าสามารถแก้ปัญหาน้ันได้มากน้อยเพียงใด ซ่ึงเป็นเพียงความคิดเห็นเท่าน้ันยังไม่ใช่ความสามารถในการแก้ปัญหาที่เป็นลักษณะของตัวแปรตามชื่อของตัวแปรท่กี าํ หนดไวว้ า่ คอื ความสามารถ การกาํ หนดนิยามศัพทจ์ งึ มคี วามสําคัญทั้งกับผู้วิจัยเองซึ่งจะต้องมีการศึกษาเอกสารเกย่ี วกบั ทฤษฎีที่เก่ียวข้องเพื่อนํามากําหนดนิยามศัพท์น้ัน และศึกษาข้อมูลเชิงประจักษ์จากงานวิจัยที่เก่ียวข้องกับตัวแปรนั้นว่ามีวิธีการวัดหรือแปลความหมายผลการวัดอย่างไร และมีความสําคัญกับผู้ใช้หรืออ่านงานวิจัยเพื่อจะได้ชัดเจนถึงการนําผลการวิจัยไปใช้ในตัวแปรที่ผู้วิจัยเรียกช่ือเหมือนกันแต่แตกต่างท่ีแนวคิดในการกําหนดนิยามของตัวแปร การวัดตวั แปร และการแปลความหมายผลการวัดตวั แปรนน้ั นอกจากน้ีจากตัวอย่างท่ีกล่าวถึง นักเรียนไม่ใช่ตัวแปร จึงไม่ต้องนิยามแต่ต้องกําหนดไว้ในหัวข้อขอบเขตของการวิจัยในกลุ่มประชากรเป้าหมายหรือกลุ่มที่ผู้วิจัยศึกษาว่าศึกษากับใคร เป็นนักเรียนชั้นใดท่สี ถานศึกษาใด เม่อื ใด จํานวนเท่าใด อย่างไรก็ตามในขอบเขตของการวิจัยมีการกําหนดถึงตัวแปรในการวิจัยด้วยซึ่งการกําหนดตวั แปรในขอบเขตการวิจัยน้นั ไมไ่ ดม้ วี ัตถปุ ระสงค์เชน่ เดยี วกับการนิยามศัพท์ท่ีต้องการทํา ให้ตัวแปรนั้นมีลักษณะเป็นรูปธรรมท่ีสังเกตและวัดได้ แต่การกําหนดตัวแปรในขอบเขตการวิจัยเพ่ือให้ผู้ใช้และผู้อ่านงานวิจัยได้รับทราบถึงขอบเขตของการวิจัยน้ีว่าจะศึกษากับตัวแปรใดบ้าง และตัวแปรเหล่านั้นมีขอบเขตเนื้อหาครอบคลุมในเรือ่ งใดบ้าง เพื่อทีเ่ ม่ือผลการวิจัยสรุปมาได้นั้นจะสรุปอยู่ในขอบเขตของการวิจัยทีก่ ําหนดไว้น้เี ทา่ นนั้ (รศ.ดร.พรทพิ ย์ ไชยโส)
24 การประชมุ ทางวชิ าการของคุรสุ ภา ประจาํ ปี 2557 “การวิจัยเพอ่ื เพ่มิ คุณภาพการศึกษาและการพฒั นาวิชาชีพ” คาํ ถาม กรอบแนวคิดการวจิ ัยทีถ่ กู ต้องเป็นอย่างไร? คําตอบ กรอบแนวคิดการวิจัย (Conceptual Framework) คือ ความคิด ความเชื่อ หรือข้อสรุปเบื้องต้นของ ผู้วิจัยว่า สิ่งท่ีศึกษานั้นน่าจะเป็นอย่างไร (Maxwell, 1996 อ้างถึงใน วรรณี แกมเกตุ, 2549) ซึ่งอยู่ในรูปแบบ การพรรณนาความ หรือแผนภาพ (diagram) ทีม่ กี ารบรรยายประกอบ ทแี่ สดงถึงความสมั พันธร์ ะหวา่ งตัวแปรทศ่ี กึ ษา และจะนําไปตรวจสอบว่ามีความสอดคลอ้ งกับขอ้ มูลเชิงประจักษ์หรอื ไม่ เพยี งใด กรอบแนวคิดการวิจัยท่ีดีต้องมาจากการศึกษาเอกสารท่ีเก่ียวข้องกับประเด็นหรือปัญหาวิจัยท่ีผู้วิจัย ต้องการศึกษา ทั้งเอกสารที่เป็นทฤษฎีหรืองานวิจัยของผู้อื่นที่ทําก่อนหน้านั้น เอกสารท่ีเก่ียวข้องมีหลายประเภท เช่น ตํารา บทความวิชาการ บทความวิจัย รายงานวิจัยฉบับสมบูรณ์ ซึ่งเอกสารเหล่าน้ีอาจอยู่ในรูปหนังสือที่ตีพิมพ์ หรืออยู่ในส่ืออินเทอร์เน็ต ที่สามารถสืบค้นได้ด้วยการใช้คําค้นท่ีสําคัญ (key words) เพ่ือความน่าเชื่อถือของข้อมูล ท่ีสืบค้น ผู้วิจัยควรมีการตรวจสอบความน่าเช่ือถือของแหล่งข้อมูลท่ีสืบค้น เช่น เป็นบทความที่ตีพิมพ์ในวารสาร หรือผลติ โดยองค์กรหรอื หน่วยงานทเี่ ปน็ ทยี่ อมรับ นอกจากเอกสารท่ีเกีย่ วข้องทเ่ี ป็นทฤษฎหี รืองานวิจัยแล้ว ผู้วิจัยอาจนําข้อมูลจากแนวคิดของบุคคล เช่น ในต่างประเทศจะให้ความสําคัญกับความคิด การคาดการณ์ และประสบการณ์ของผู้เชี่ยวชาญในเรื่องนั้น ๆ รวมท้งั ข้อมูลจากการศึกษานาํ ร่อง หรอื ผลการสาํ รวจท่เี คยทํามาแลว้ มาใช้ในการสร้างกรอบแนวคดิ การวิจัย จากการที่กรอบแนวคิดการวิจัยที่ดีมาจากการศึกษาเอกสารที่เก่ียวข้องท้ังแนวคิด ทฤษฎี และงานวิจัย ดงั นน้ั การนาํ เสนอกรอบแนวคดิ การวิจยั จงึ ควรนําเสนอหลังผลการศึกษาเอกสารที่เกี่ยวข้อง เพ่ือให้ผู้อ่านเข้าใจถึง ที่มาของความสัมพันธ์ระหว่างตัวแปรเหล่านั้นได้ชัดเจน ซึ่งในรายงานการวิจัยจึงควรเขียนอยู่ในท้ายบทท่ี 2 หลงั การนําเสนอการทบทวนเอกสารและงานวิจัยทเี่ กย่ี วขอ้ ง ไมค่ วรเขยี นในบทท่ี 1 ท่ียงั ไม่ไดม้ ีการทบทวนเอกสาร และงานวจิ ยั ทเี่ กย่ี วขอ้ ง เพราะจะทาํ ใหผ้ อู้ า่ นสงสัยในเร่ืองแนวคิดหรือเหตผุ ลในการกาํ หนดตัวแปรมาศกึ ษา ประโยชน์ของกรอบแนวคิดการวิจัย คือ ผู้วิจัยใช้เป็นเครื่องมือในการรวบรวมประเด็นที่เกี่ยวข้องและ แปลประเด็นเหล่านั้นออกมาเป็นคําถาม เพ่ือใช้ในการรวบรวมข้อมูลต่อไป ส่วนประโยชน์ของกรอบแนวคิดการวิจัย ต่อผู้อ่านงานวิจัย คือ ทําให้ทราบว่านักวิจัยมีแนวคิดอย่างไรในการวิจัย ต้องการศึกษาอะไร มีตัวแปรอะไรบ้าง และตัวแปรเหล่าน้ันมีความสัมพันธ์กันอย่างไร รวมท้ังให้ประโยชน์ในการติดตามความถูกต้องเหมาะสมของ วิธีดําเนินการวิจัยและผลวิจัยท่ีเกิดข้ึน เช่น การออกแบบการวิจัย การกําหนดขอบเขตการวิจัย ข้อตกลงเบ้ืองต้น การเก็บรวบรวมข้อมูล การวิเคราะห์ข้อมูล การสรุปและแปลผลการวิเคราะห์ข้อมูล เป็นต้น (สุวิมล ว่องวาณิช (บรรณาธิการ), 2538 สชุ าติ ประสิทธิ์รัฐสินธุ์, 2544 และ อานันท์ กาญจนพันธุ์, 2544 อ้างถึงใน วรรณี แกมเกตุ, 2549) การนาํ เสนอกรอบแนวคิดการวิจัย มไี ดห้ ลายแบบ ไดแ้ ก่ แบบพรรณนาความ แบบแผนภาพ แบบจําลอง ทางคณิตศาสตร์ แบบตาราง แบบรูปภาพ แต่ท่ีนิยมใช้และสามารถสื่อความหมายได้ชัดเจนคือ ใช้การบรรยาย ประกอบการใช้แผนภาพ เพ่อื ให้เห็นภาพชัดผู้เขียนขอนําเสนอตัวอย่างการวิจัย เรื่อง “การเปรียบเทียบผลสัมฤทธ์ิ ทางการเรียน ระดับการคิดวิเคราะห์ เจตคติต่อการเรียน ความคงทนของการเรียนรู้ และกระบวนการเรียนรู้ ระหว่างกลุ่มนักเรียนระดับช้ันมัธยมศึกษาท่ีได้จากการสอนตามหลักการเรียนรู้ใช้สมองเป็นฐาน และการสอนปกติ” ท่ีศาสตราจารย์ ดร.นงลักษณ์ วริ ชั ชยั (2553) ได้ยกตัวอยา่ งการเขียนกรอบแนวคิดการวิจยั ไวด้ งั น้ี กรอบแนวคิดการวิจัย กรอบแนวคดิ ในการวจิ ยั ครง้ั น้ี เป็นการศึกษาผลของการสอนตามหลักการเรยี นรู้ใช้สมองเป็นฐาน ท่ีมีต่อ ผลสมั ฤทธท์ิ างการเรยี น เจตคติต่อการเรียน ความคงทนในการเรียนรู้ ผลการคิดวิเคราะห์ และกระบวนการเรียนรู้ โดยเน้นการเปรียบเทียบผลการสอนระหว่างการสอน 2 วิธี คือ การสอนตามหลักการเรียนรู้ใช้สมองเป็นฐานและ การสอนแบบปกติ ดังภาพตอ่ ไปน้ี
การประชุมทางวิชาการของครุ ุสภา ประจาํ ปี 2557 “การวิจัยเพื่อเพม่ิ คณุ ภาพการศึกษาและการพฒั นาวิชาชพี ” 25 ตัวอย่างประเด็นที่เปน็ จดุ อ่อนทีม่ กั พบในการกําหนดกรอบแนวคดิ การวิจัย มดี งั นี้ 1. ไม่มีการกําหนดกรอบแนวคิดการวิจัย ผู้วิจัยหลายท่านไม่ทราบว่ากรอบแนวคิดการวิจัยคืออะไรมีความสําคัญอย่างไร จะเห็นได้จากเอกสารการประชุมวิชาการของหน่วยงานหลายแห่ง มีการนําเสนอบทความวิจัยท่ีได้นําเสนอในการประชุมวิชาการ ในเอกสารจะมีบทความวิจัยจํานวนมากท่ีไม่ได้นําเสนอกรอบแนวคิดการวิจัยหรอื เขียนกรอบแนวคิดการวิจัยที่ไม่ถูกต้อง อาจเน่ืองมาจากการท่ีไม่ได้มีการกําหนดหัวข้อในการเขียนบทความวิจัยให้ชัดเจนว่ามีหัวข้ออะไรบ้าง หรือไม่ได้กําหนดหัวข้อกรอบแนวคิดการวิจัยให้เขียน ซ่ึงถึงแม้ไม่ได้กําหนดไว้ ผู้วิจัยก็ควรนาํ เสนอกรอบแนวคดิ การวจิ ยั ในบทความดว้ ย เพอ่ื ให้ผอู้ ่านเขา้ ใจชัดเจนมากขึน้ ในการวจิ ัยน้ัน 2. กรอบแนวคดิ การวจิ ยั ทนี่ าํ เสนอไมม่ ีฐานมาจากผลการศึกษาเอกสารและงานวิจัยท่ีน่าเชื่อถือ เนื่องจากเอกสารและงานวิจัยท่ีศึกษาไม่ครอบคลุมประเด็นสําคัญในการวิจัย ส่วนที่นํามาไม่เชื่อมโยงหรือเช่ือมโยงน้อยกบั เรือ่ งท่จี ะศกึ ษา รวมทั้งขอ้ มูลทน่ี ําเสนอมาจากแหล่งขอ้ มูลทไ่ี ม่นา่ เช่อื ถือหรอื ล้าสมยั 3. กรอบแนวคิดการวจิ ัยทน่ี าํ เสนอไมใ่ ช่กรอบแนวคิดการวจิ ยั ไม่ไดแ้ สดงความสัมพันธ์ระหว่างตัวแปรท่ีศึกษาแต่เป็นการแสดงข้ันตอนของการวิจัย ตัวอย่างเช่น การวิจัยเร่ือง “การพัฒนาบทเรียนภาษาญี่ปุ่นท่ีเน้นเน้ือหาในวงการธรุ กจิ เพ่อื สง่ เสรมิ ความสามารถในการพดู ภาษาญ่ปี นุ่ ของนกั ศกึ ษาทเี่ รียนรายวิชาการพดู ภาษาญ่ปี ุน่ ”
26 การประชุมทางวชิ าการของคุรุสภา ประจาํ ปี 2557 “การวิจัยเพื่อเพ่มิ คณุ ภาพการศกึ ษาและการพัฒนาวิชาชีพ” กรอบแนวคดิ การวิจยั (เป็นกรอบแนวคดิ การวจิ ัยทผ่ี ดิ ) 4. กรอบแนวคิดการวิจัยท่ีนําเสนอไม่ครอบคลุมชื่อเรื่อง หรือใช้ช่ือตัวแปรผิด และเขียนกรอบแนวคิด ไม่ถกู ต้องโดยมกี ารกาํ หนดวธิ ีการวิเคราะห์ข้อมูลในกรอบแนวคิดการวิจัย ตัวอย่างเช่น การวิจัย เร่ือง “การพัฒนา ผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนและคุณลักษณะท่ีพึงประสงค์วิชาคณิตศาสตร์ ช้ันมัธยมศึกษาปีที่ 4 โดยการสอนแบบ โครงงาน” กรอบแนวคดิ การวจิ ยั (เป็นกรอบแนวคิดการวจิ ัยทผ่ี ดิ ) 5. กรอบแนวคิดการวิจัยที่นําเสนอเป็นแผนภาพอย่างเดียวโดยไม่มีการบรรยายหรืออธิบายประกอบ ท่แี สดงใหถ้ ึงความเช่ือมโยงระหว่างตัวแปรที่ศึกษา ทําให้กรอบแนวคิดการวิจัยขาดน้ําหนัก ไม่น่าเชื่อถือ และอาจทําให้ ผู้อ่านไม่มีความชัดเจนเกี่ยวกับตัวแปรท่ีนํามาศึกษา ตัวอย่างเช่น การวิจัยเร่ือง “การพัฒนาผลสัมฤทธ์ิทางการเรียน และการคิดอยา่ งมวี จิ ารณญาณในวิชาคณิตศาสตร์ โดยใช้กระบวนการเรียนรแู้ บบ 4 MAT”
การประชุมทางวชิ าการของคุรสุ ภา ประจาํ ปี 2557 “การวิจยั เพือ่ เพิม่ คณุ ภาพการศกึ ษาและการพฒั นาวชิ าชพี ” 27 กรอบแนวคดิ การวจิ ัย (เปน็ กรอบแนวคดิ การวิจยั ที่ผิด)หมายเหตุ กรอบแนวคดิ การวจิ ัยในบทความนี้ได้ปรับปรุงและเพิ่มเติมจากบทความ เรื่อง แนวคดิ /ทฤษฎที ่ีเก่ียวขอ้ ง/ กรอบแนวคิดท่ีใช้ในการวิจัย ที่เขียนโดยรองศาสตราจารย์ดร.สนานจิตร สุคนธทรัพย์ ในหนังสือ ไขข้อข้องใจการวจิ ยั แดเ่ พ่อื นครู ของสํานักงานเลขาธิการครุ ุสภา พ.ศ. 2554รายการอา้ งองินงลกั ษณ์ วิรชั ชัย. (2553). หน่วยที่ 7 การค้นควา้ และการนาํ เสนอวรรณกรรมที่เกี่ยวข้อง. ประมวลสาระชุดวิชา การวิจัยหลักสตู รและการเรยี นการสอน. นนทบุรี: สาํ นกั พมิ พ์ มหาวทิ ยาลัยสุโขทยั ธรรมาธริ าช.วรรณี แกมเกตุ. (2549). วิธวี ทิ ยาการวิจัยทางพฤติกรรมศาสตร.์ กรุงเทพมหานคร: ภาควิชาวจิ ยั และจิตวิทยา การศกึ ษา คณะครุศาสตร์ จฬุ าลงกรณม์ หาวิทยาลยั .สาํ นกั งานเลขาธิการครุ สุ ภา. (2554). ไขข้อขอ้ งใจการวจิ ัยแดเ่ พอื่ นครู. กรงุ เทพมหานคร: สาํ นกั งานเลขาธกิ ารครุ ุสภา (รศ.ดร.อวยพร เรอื งตระกูล)คาํ ถาม ตวั แปร คอื อะไร มกี ี่ประเภท?คําตอบ ตัวแปร (variable) คือ คุณลักษณะของสิ่งที่ผู้วิจัยต้องการศึกษาซึ่งสามารถเปลี่ยนแปลงหรือแปรค่าได้ตัวแปรมีหลายประเภทข้ึนอยู่กับเกณฑ์ที่ใช้พิจารณา และมีการเรียกช่ือต่าง ๆ กันไป ในท่ีนี้จะกล่าวถึงประเภทของตัวแปรเพยี งบางกรณี ตามเกณฑด์ ังน้ี 1. พิจารณาตามลักษณะของคุณสมบตั ิทีแ่ ปรคา่ ออกมา สามารถแบง่ ตัวแปร ได้ 2 ประเภท คอื 1.1 ตัวแปรเชิงปริมาณ (quantitative variable) เป็นตัวแปรที่สามารถแสดงออกมาเป็นจํานวน หรืออยูใ่ นรูปของปริมาณได้ เช่น อายุ นา้ํ หนกั คะแนนสอบ เป็นตน้ 1.2 ตัวแปรเชิงคุณภาพ (qualitative variable) เป็นตัวแปรที่ไม่สามารถแสดงออกมาเป็นจํานวนหรืออยู่ในรูปของปริมาณได้ แต่ระบุความแตกต่างตามคุณลักษณะได้ เช่น ศาสนา อาจแบ่งออกเป็น 3 รายการ คือพทุ ธ ครสิ ต์ และอิสลาม อาชพี อาจแบ่งออกเปน็ 2 รายการ คือ รับราชการ และไม่ไดร้ บั ราชการ เปน็ ตน้ 2. พิจารณาตามความสัมพันธข์ องตวั แปร ในการวิจยั เร่อื งหนงึ่ ๆ หากพจิ ารณาความสัมพันธ์ของตัวแปรสามารถแบง่ ตัวแปรออกเปน็ 3 ประเภทใหญ่ ๆ ได้ดงั นี้ 2.1 ตัวแปรอิสระ เป็นตัวแปรที่เป็นสาเหตุให้ตัวแปรอื่นเปลี่ยนแปลง บางครั้งเรียกว่าตัวแปรต้นตัวแปรอิสระหรอื ตวั แปรต้น สําหรับการวิจัยเชิงทดลอง อาจเรียกว่าตัวแปรทดลอง (treatment variable) หรือตัวแปรที่จัดกระทําขึ้น (manipulated variable) ตัวแปรอิสระบางตัวที่ผู้วิจัยไม่สามารถจัดกระทําได้ เน่ืองจากเป็นคุณลักษณะที่ติดตัวกลุ่มตัวอย่างมาอยู่แล้ว ผู้วิจัยไม่สามารถจะเปล่ียนแปลงเพิ่มหรือลดตามความต้องการได้ เช่น เพศ อายุสถานภาพสมรส เป็นต้น ผู้วิจัยทําได้เพียงจัดตัวแปรที่มีอยู่แล้วออกเป็นกลุ่ม ๆ ตามสภาพท่ีเป็นอยู่เท่าน้ันตัวแปรลักษณะน้ีเรยี กวา่ ตัวแปรคุณลกั ษณะ (attribute variable or organismic variable)
28 การประชมุ ทางวชิ าการของครุ สุ ภา ประจาํ ปี 2557 “การวจิ ยั เพือ่ เพิ่มคุณภาพการศึกษาและการพัฒนาวชิ าชพี ” 2.2 ตัวแปรตาม เป็นตัวแปรที่ผู้วิจัยต้องการทราบการเปลี่ยนแปลงค่าอันเน่ืองมาจากตัวแปรอิสระ บางครั้งเรียกว่าตัวแปรผล (effect variable) ในงานวิจัยเชิงทดลอง การพิจารณาตัวแปรอิสระค่อนข้างชัดเจน ตัวแปรอิสระดูจากตัวแปรที่เป็นสาเหตุหรือตัวแปรที่เกิดก่อน และตัวแปรตามก็ดูผลที่เกิดข้ึนหรือท่ีเกิดภายหลัง แต่ในการวิจยั ทีไ่ ม่ใช่เชิงทดลอง การกําหนดตัวแปรอิสระ ตัวแปรตาม บางคร้ังต้องอาศัยหลักความเป็นเหตุเป็นผล ช่วยเป็นกรอบในการพิจารณาว่าตัวแปรใดควรเกิดก่อนหรือตัวแปรใดมีความคงทนมากกว่า หรือเปลี่ยนแปลง ได้ยากกว่า (ตัวแปรอิสระ) และตัวแปรใดเกิดภายหลัง หรือมีความคงทนน้อยกว่า หรือเปลี่ยนแปลงได้ง่ายกว่า (ตัวแปรตาม) เช่น ความยากจนกับความเจ็บป่วย สามารถเป็นได้ทั้งตัวแปรอิสระและตัวแปรตาม ทั้ง 2 ตัว การจะตัดสินว่าตัวแปรใดเป็นตัวแปรอิสระ ตัวแปรใดเป็นตัวแปรตาม ผู้วิจัยต้องพิจารณากรอบระยะเวลาที่ศึกษา และหลกั ของความเป็นเหตเุ ปน็ ผลทส่ี อดคลอ้ งกับประเดน็ ปัญหาวิจยั ใหร้ อบคอบ 2.3 ตัวแปรเกิน หรือตัวแปรแทรกซ้อน (extraneous variable) เป็นตัวแปรที่ผู้วิจัยไม่สนใจจะศึกษา แต่ตามธรรมชาติแล้วตัวแปรน้ีจะมีความสัมพันธ์กับตัวแปรอิสระ และตัวแปรตามคู่ที่ผู้วิจัยสนใจและจะมีผลทําให้ ค่าของตัวแปรอิสระหรือตัวแปรตามที่วัดได้ผิดไปจากความเป็นจริง ในการทําวิจัยผู้วิจัยจึงต้องพยายามควบคุม ตวั แปรชนิดนีใ้ หม้ ีอทิ ธพิ ลน้อยที่สุด ตวั อย่างตวั แปรอสิ ระและตวั แปรตาม จากคาํ ถามวิจัย: ผลสัมฤทธิท์ างการเรียนของนักเรยี นทีเ่ รยี นด้วยบทเรยี นคอมพวิ เตอรช์ ว่ ยสอนกับเรียนด้วย บทเรยี นโมดูลจะแตกตา่ งกันหรอื ไม่ ตวั แปรอิสระ คือ วธิ ีการเรยี น แบ่งเปน็ 2 วธิ ี คอื การเรียนด้วยบทเรียนคอมพิวเตอร์ช่วยสอน และการเรียน ดว้ ยบทเรยี นโมดูล ตวั แปรตาม คือ ผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน (รศ.ดร.พชิ ิต ฤทธิ์จรูญ) คําถาม ส่ือและเคร่ืองมอื ท่ีใชใ้ นการพฒั นาผูเ้ รียนเป็นตวั แปรหรือไม่ ถา้ จะเขียนใหเ้ ป็นตัวแปรจะต้องเขยี นอย่างไร? คาํ ตอบ คําถามน้ีพบมากในการผลงานวิจัยของครูและบุคลากรทางการศึกษาท่ีส่งมายังคุรุสภา คือ ใช้ชื่อส่ือหรือ เครื่องมือวิจัย เป็นตัวแปรต้นหรือตัวแปรอิสระ ซ่ึง ไม่ถูกต้อง จากข้อท่ีผ่านมาจะเห็นว่า คุณลักษณะที่สําคัญ ของตวั แปร คือ สามารถเปลย่ี นแปลงหรอื แปรค่าได้ หรือมีค่ามากกว่า 1 ค่า เช่น เพศ เป็น ตัวแปร เพราะมีมากกว่า 1 ค่า คือ เพศหญงิ กับเพศชาย แตเ่ ฉพาะ เพศหญงิ หรอื เพศชาย เพศใดเพศหน่ึงอย่างเดียว ไม่เป็นตัวแปร เพราะมีค่าเดียว ดังนั้น สื่อและเครื่องมือที่ใช้ในการพัฒนาผู้เรียนไม่เป็นตัวแปร เพราะมีค่าเดียว ถ้าจะกําหนดให้เป็นตัวแปร ตอ้ งกําหนดใหม้ ีค่ามากกวา่ 1 ค่า เช่น การใช้สื่อ หรือการสอนโดยใช้ส่ือ มี 2 ค่า คือ การใช้กับไม่ใช้ส่ือ จากตัวอย่าง ข้อทีผ่ ่านมา “การพัฒนาผลสัมฤทธ์ิทางการเรียนของนักเรียนท่ีเรียนด้วยบทเรียนคอมพิวเตอร์ช่วยสอนกับเรียน ดว้ ยบทเรียนโมดูล” จากตัวอย่างน้ี “คอมพิวเตอร์” หรือ “บทเรียนโมดูล” ไม่เป็นตัวแปร แต่ “การเรียนด้วยบทเรียน คอมพิวเตอร์ช่วยสอน” หรือ “การเรียนด้วยบทเรียนโมดูล” เป็นตัวแปร เพราะมี 2 ค่า คือ “เรียนโดยใช้ บทเรียนคอมพิวเตอร์ช่วยสอน” กับ “เรียนโดยไม่ใช้บทเรียนคอมพิวเตอร์ช่วยสอน” หรือ “เรียนโดยใช้บทเรียน โมดูล” กบั “เรยี นโดยไมใ่ ช้บทเรยี นโมดลู ” เปน็ ตน้ ส่วน ตัวแปรตาม “ผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน” เป็นตัวแปรตาม ไม่ควรเขียนเป็น “ผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน ของนกั เรียน” หรือ “ผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนของนักเรียนท่ีเรียนด้วย...” ยิ่งไม่สมควรอย่างย่ิง เพราะไม่กระชับ
การประชุมทางวชิ าการของครุ สุ ภา ประจาํ ปี 2557 “การวิจัยเพื่อเพิม่ คณุ ภาพการศกึ ษาและการพฒั นาวิชาชพี ” 29ดังนั้น ไม่ควรขยายความชื่อของตัวแปร เช่น ผลสัมฤทธ์ิทางการเรียนของนักเรียน หรือ ผลสัมฤทธ์ิทางการเรียนของนักเรียนช้ันมัธยมศึกษาปีที่ 1 ก็ไม่สมควร แต่ถ้าจะให้ชัดเจนโดยเพิ่มเรื่องเข้าไปน้ันทําได้ เช่น “ผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน เร่ือง รอ้ ยละ” เปน็ ต้น (รศ.ดร.ทิวัตถ์ มณโี ชติ)คําถาม การเขียนอภิปรายผลการวิจัยกรณีสนับสนุนผลการวิจัยว่าสอดคล้องหรือไม่สอดคล้องกับงานวิจัย ที่ผ่านมา มีหลักการเขยี นอย่างไร?คาํ ตอบ การอภิปรายว่าผลการวิจัยสอดคล้องกับงานวิจัยที่ผ่านมาควรพิจารณาเร่ืองประชากร และตัวแปรเพราะถ้าผู้วิจัยอภิปรายว่าสอดคล้องกับผลงานวิจัยในอดีต เช่น การใช้สื่อมัลติมีเดียส่งผลต่อผลสัมฤทธ์ิทางการเรียนและควรเลือกงานวิจัยท่ีสอดคล้องกันในสื่อเดียวกัน และกลุ่มประชากรใกล้เคียงกัน เช่นทดลองกับช้ันมัธยมศึกษาปีที่ 3 ไม่ควรอภิปรายว่าสอดคล้องกับชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 5 เพราะประชากรต่างกลุ่มกันมาก หรือ ส่ือท่ีต่างกันอาจไมเ่ หมาะสมในการนํามาเปรียบเทยี บกนั เช่น เลอื กผลงานวจิ ยั ทีท่ ดลองกบั ส่อื ชนิดอื่นที่มีความแตกต่างจากสื่อมลั ติมีเดยี (ผศ.ดร.ปัญญา ธรี ะวทิ ยเลศิ )คาํ ถาม การเขียนข้อเสนอแนะจากผลการวจิ ัยมีหลักในการเขียนอยา่ งไร?คําตอบ หลักการเขยี นขอ้ เสนอแนะจากผลการวจิ ยั มีดงั น้ี 1. ข้อเสนอแนะจะต้องเปน็ สาระข้อมลู จากผลการวจิ ยั ที่ทํามาเป็นพ้ืนฐานในการเสนอแนะ ไม่ใช่เกิดจากความคดิ เหน็ ของผูว้ จิ ัย หรือนําเรื่องท่นี อกเหนือจากผลวจิ ยั น้ันมาเสนอแนะ 2. โดยทั่วไปการเขียนข้อเสนอแนะจากผลการวิจัยมุ่งเสนอใน 2 ประเด็น ได้แก่ ข้อเสนอแนะเชิงนโยบายหรือขอ้ เสนอแนะในการนาํ ผลวจิ ัยไปใชใ้ นทางปฏบิ ตั ิ และขอ้ เสนอแนะในการทาํ วจิ ยั คร้ังต่อไป 3. ข้อเสนอแนะในการนําผลวิจัยไปใช้ในทางปฏิบัติ เป็นการเขียนให้ผู้อ่านทราบว่า จากผลการวิจัยท่ีได้สามารถนําไปใช้ประโยชน์อะไรได้บ้าง โดยผู้วิจัยจะต้องให้ความชัดเจนและความละเอียดอย่างเพียงพอว่า ให้ใครทําอะไรอย่างไร เพอ่ื ให้สามารถนาํ ไปปฏบิ ัตไิ ดท้ นั ที 4. เขียนข้อเสนอแนะเพ่ือช้ีแนวทางให้ผู้อ่านสามารถนําไปปรับปรุงการวิจัยในอนาคต เพื่อช่วยขจัดหรือลดปัญหาหรือขอ้ บกพร่องทีอ่ าจเกดิ ข้ึนได้ในทาํ นองเดยี วกนั 5. ข้อเสนอแนะในการทําวิจัยครัง้ ต่อไป เป็นการเสนอแนะให้ผู้อ่านที่จะทําวิจัยคร้ังต่อไปในลักษณะเดียวกันได้ทราบว่า ควรจะทําวิจัยในประเด็นปัญหาอะไร ควรศึกษาตัวแปรอะไรอีกบ้าง รวมท้ังควรเปล่ียนระเบียบวิธีวิจัยหรือไม่หรือควรต่อยอดจากท่ีนักวิจัยได้ทําไว้แล้ว เพื่อที่จะให้ได้ผลการวิจัยหรือข้อสรุปที่สมบูรณ์มากกว่าการวิจัยเรือ่ งทํานองเดยี วกันน้ี 6. ข้อเสนอแนะต้องเป็นเร่ืองท่ีใหม่ ไม่ใช่เร่ืองท่ีทราบกันอยู่แล้ว กรณีเป็นเร่ืองเดิม ผู้วิจัยต้องยืนยันว่าขอ้ เสนอแนะนั้นมีความสาํ คัญท่จี ะต้องเน้นยํา้ 7. ข้อเสนอแนะท่ีเสนอแนะไปจะต้องสามารถปฏิบัติได้หรือทําได้จริงในขอบเขตและเง่ือนไขที่กําหนดของการวจิ ัยนัน้ 8. ข้อเสนอแนะทุกขอ้ ตอ้ งมรี ายละเอียดมากพอท่ีผู้อ่านหรือผู้ท่ีจะทําวิจัยในทํานองเดียวกัน สามารถนําไปปฏิบัติได้ทันที เช่น งานวิจัยที่ทํานั้นมีจุดอ่อน หรือจุดแข็งอย่างไร และมีแนวทาง หรือข้อเสนอแนะในการทําหรือพฒั นางานวจิ ัยในเรอื่ งนีไ้ ด้อยา่ งไร?
30 การประชุมทางวิชาการของครุ ุสภา ประจาํ ปี 2557 “การวิจัยเพอ่ื เพมิ่ คุณภาพการศกึ ษาและการพฒั นาวิชาชีพ” ตัวอยา่ งข้อเสนอแนะ การนาํ ผลวจิ ัยไปใช้ในทางปฏิบัติ 1. การติดภาพโปสเตอร์เก่ียวกับอันตรายที่เกิดจากการสูบบุหร่ี ณ จุดต่าง ๆ บริเวณโรงเรียนเพ่ือให้วัยรุ่น รบั รู้ถึงอันตรายและโอกาสเสี่ยงของการเกิดโรค ทาํ ใหว้ ัยรุ่นเกดิ ความกลัวและอยากเลิกบุหร่ี 2. การตรวจหาสารโคตินินในปัสสาวะของวัยรุ่นที่เข้าโครงการเลิกบุหร่ีเป็นคร้ังคราวโดยความสมัครใจ ของวัยรุ่นเอง เพอื่ เปน็ โอกาสใหร้ างวัลแก่วยั รนุ่ ทต่ี รวจไม่พบสารโคตินินในปัสสาวะนับเป็นแรงจูงใจท่ีสําคัญท่ีทําให้ เลิกบุหร่สี ําเร็จ ตวั อยา่ งขอ้ เสนอแนะในการวิจัยคร้งั ต่อไป การวิจัยครั้งต่อไปควรศึกษาติดตามผลนักเรียนที่เลิกบุหรี่ได้แล้วเป็นระยะทุกเดือนอย่างต่อเนื่อง เพ่ือดคู วามคงทนของการปรับเปลย่ี นพฤตกิ รรมการเลิกบหุ รี่ (รศ.ดร.จินตนา สรายทุ ธพิทกั ษ)์ คําถาม ข้อเสนอแนะเชิงนโยบายกบั ข้อเสนอแนะการนําไปใชป้ ระโยชน์แตกต่างกนั อย่างไร? คาํ ตอบ ในการพัฒนาและวางแผนงานสําหรับองค์กร ข้อเสนอแนะเชิงนโยบายจึงเป็นสิ่งที่นําเสนอต่อองค์กรว่า ควรกําหนดนโยบายหรือแผนงานอย่างไรจึงจะเป็นการแก้ปัญหาหรือพัฒนาองค์กรให้เจริญก้าวหน้า แต่การวิจัยอื่น ๆ ท่ีไม่ใช่การวิจัยสถาบัน น้ันมีวัตถุประสงค์เพื่อสร้างองค์ความรู้หรือเพื่อนําไปใช้แก้ปัญหาจึงอาจไม่ต้องมี ข้อเสนอแนะเชิงนโยบาย เพราะคําตอบจากงานวิจัยเพียงบางประเด็นไม่เพียงพอท่ีจะนําไปกําหนดนโยบายได้ แต่อาจเสนอแนะในหัวข้อข้อเสนอแนะการนําไปใช้ประโยชน์ โดยเสนอแนะว่าผลงานวิจัยนี้จะเป็นแนวทางในการ กําหนดนโยบายเพื่อพัฒนาองค์กรได้ และอาจเพิ่มในข้อเสนอแนะในการวิจัยครั้งต่อไปว่า ควรมีการศึกษาวิจัย เร่อื งใดเพ่ิมเตมิ เพอื่ ให้ได้ข้อสารสนเทศทีค่ รอบคลมุ ทุกประเดน็ อนั จะนําไปส่กู ารกําหนดนโยบายได้อย่างเชื่อถือได้ งานวิจัยทั่วไปส่วนมากมีแต่ข้อเสนอแนะการนําไปใช้ประโยชน์เท่าน้ัน งานวิจัยที่จะเสนอแนะเชิงนโยบายได้ต้องมี ความน่าเชอ่ื ถอื ได้จริงๆ (ผศ.ดร.ปญั ญา ธีระวทิ ยเลิศ) จากที่กล่าวมาล้วนเป็นประเด็นสําคัญที่พบมากในงานวิจัยของผู้ประกอบวิชาชีพทางการศึกษา ซ่ึงต้องทํา ความเข้าใจให้ถูกต้อง ยังมีประเด็นความผิดพลาดอีกหลายประเด็นที่ไม่ได้นํามากล่าวไว้ในบทความนี้ ผู้ทําวิจัย ควรศึกษาและทาํ ความเข้าใจให้ถกู ต้องจากเอกสารทกี่ ลา่ วไวใ้ นตอนตน้ บทความ
การประชุมทางวชิ าการของครุ สุ ภา ประจาํ ปี 2557 “การวจิ ยั เพอ่ื เพิ่มคณุ ภาพการศึกษาและการพฒั นาวิชาชพี ” 31 ผลงานวิจยั ระดับภมู ภิ าค ประจําปี 2557
32 การประชมุ ทางวิชาการของคุรสุ ภา ประจําปี 2557 “การวจิ ยั เพ่อื เพ่มิ คณุ ภาพการศึกษาและการพัฒนาวชิ าชพี ”ผลงานวจิ ยั การพฒั นารูปแบบการเรียนการสอนแบบ 5A-S เพ่อื ส่งเสริมพฤตกิ รรมการดูแลสขุ ภาพในชอ่ งปาก ของนักเรยี นช้ันประถมศกึ ษาปีที่ 5ผวู้ ิจัย นางสมสวย พรมหนูปที ว่ี จิ ัย 2556 บทคัดย่อ การวิจัยนี้ เป็นการวิจัยและพัฒนา มีวัตถุประสงค์เพ่ือ 1) พัฒนารูปแบบการเรียนการสอนแบบ 5A-Sเพื่อส่งเสริมพฤติกรรมการดูแลสุขภาพในช่องปากของนักเรียนช้ันประถมศึกษาปีท่ี 5 ให้มีประสิทธิภาพ2) ประเมินประสิทธิผลรูปแบบการเรียนการสอนที่พัฒนาข้ึน 3) ศึกษาความพึงพอใจต่อรูปแบบการจัดการเรียนการสอนท่ีพัฒนาขึ้น กลุ่มตัวอย่างเป็นนักเรียนช้ันประถมศึกษาปีท่ี 5 ภาคเรียนที่ 2 ปีการศึกษา 2556 โรงเรียนเทศบาล 2 วัดเสนหา (สมัครพลผดุง) สังกัดเทศบาลนครนครปฐม แบ่งเป็นกลุ่มทดลองและกลุ่มควบคุมกลุ่มละ 45 คนซึ่งได้มาจากการสุม่ อยา่ งง่าย เคร่ืองมือที่ใช้ในการวิจัย ได้แก่ แบบวัดทักษะการแปรงฟันมีค่าความเที่ยงเท่ากับ 0.91และแบบวัดทกั ษะการตรวจฟนั ดว้ ยตนเองมีค่าความเท่ียงเท่ากับ 0.93 สถิติท่ีใช้ในการวิเคราะห์ข้อมูล ได้แก่ ร้อยละค่าเฉลีย่ ส่วนเบ่ยี งเบนมาตรฐาน การทดสอบค่าที ผลการวจิ ยั พบว่า 1. รูปแบบการเรียนการสอนที่พัฒนาขึ้นประกอบด้วย กระบวนการจัดการเรียนรู้ 6 ขั้นตอน แบ่งเป็นในช้นั เรยี น 5 ขั้นตอน และนอกชั้นเรยี น 1 ข้ันตอน คือ 1) Attention 2) Awareness 3) Action learning 4) Assessment5) Application และ 6) Sustainable มปี ระสทิ ธิภาพระดับมาก 2. นักเรียนกลุ่มทดลองที่ได้รับรูปแบบการเรียนการสอนแบบ 5A-S มีพฤติกรรมการดูแลสุขภาพช่องปากสูงขึ้นกว่าก่อนการทดลอง และสูงกว่ากล่มุ ควบคุม อย่างมนี ยั สาํ คัญทางสถิติท่รี ะดบั .01 3. นกั เรียนรอ้ ยละ 91.11 มคี วามพงึ พอใจต่อรปู แบบการจัดการเรยี นการสอนท่พี ฒั นาขึ้นความเป็นมาและความสาํ คัญของปญั หาการวิจยั จากการสํารวจสภาวะสุขภาพช่องปากระดับประเทศ พ.ศ.2555 แสดงให้เห็นว่า เด็กกลุ่มอายุ 12 ปีเป็นโรคฟันผุ ร้อยละ 52.3 โดยมีค่าเฉลี่ยฟันผุ ถอน อุด 1.3 ซี่/คน ทั้งนี้พบเด็กที่ฟันผุและยังไม่ได้รับการรักษาถึงร้อยละ 29.1 ส่วนสภาวะปริทันต์ คือ การมีเหงือกอักเสบและหินน้ําลาย พบว่า ร้อยละ 50.3 มีเหงือกอักเสบเลอื ดออก โดยร้อยละ 20.7 มหี นิ นํ้าลายร่วมด้วย นอกจากน้ยี งั พบอกี ว่ารอ้ ยละ 4.29 เคยขาดเรียนด้วยอาการปวดฟนัโดยเฉล่ีย 2.52 วนั (สาํ นักทนั ตสาธารณสขุ , 2556: 13 - 24) ผู้วิจัยได้สํารวจสภาวะช่องปากของนักเรียนในโรงเรียนเทศบาล 2 วัดเสนหา (สมัครพลผดุง) พบว่านกั เรยี นชัน้ ประถมศึกษาปที ี่ 5 - 6 ปีการศกึ ษา 2555 มีฟันแท้ผุเฉลี่ยร้อยละ 43.88 และมีเหงือกอักเสบท่ีต้องการรักษาเร่งด่วนเฉลี่ย ร้อยละ 36.19 และจากการสํารวจข้อมูลเบ้ืองต้นในนักเรียนช้ันประถมศึกษาปีท่ี 5 ภาคเรียนท่ี 1ปีการศึกษา 2555 จํานวน 135 คน พบว่า นักเรียนมีความรู้ความเข้าใจเก่ียวกับทันตสุขภาพในระดับต่ํา ผู้วิจัยได้สมั ภาษณแ์ บบเจาะลกึ กับนกั เรียนท่ีมีปญั หาโรคฟันผุและเหงอื กอักเสบ จาํ นวน 20 คน พบว่า สาเหตสุ าํ คญั ทส่ี ่งผลให้เกิดปัญหาโรคฟันผุและเหงือกอักเสบ คือ ขาดความเอาใจใส่ต่อการดูแลสุขภาพช่องปากส่วนบุคคล ไม่เห็นความสาํ คัญของการปฏบิ ตั ทิ ่ีถูกต้อง ทัง้ ยังนยิ มบรโิ ภคขนมและอาหารวา่ งแล้วไม่บ้วนปากหรอื แปรงฟัน ไม่ทราบว่าโรคฟันผแุ ละเหงือกอักเสบสามารถป้องกนั ไดห้ ากมกี ารปฏบิ ตั ติ นอย่างถูกวิธี และจากการสังเกตพฤติกรรมการแปรงฟันของนักเรียนท้ัง 20 คน พบวา่ นักเรยี นยังแปรงฟันไม่ถูกวธิ ี
การประชมุ ทางวิชาการของครุ สุ ภา ประจาํ ปี 2557 “การวิจยั เพอื่ เพม่ิ คณุ ภาพการศึกษาและการพฒั นาวชิ าชพี ” 33 จากการศึกษาแนวคิดทฤษฎีเพ่ือนํามาเป็นพื้นฐานในการพัฒนารูปแบบการเรียนการสอนพบว่า ทฤษฎีพัฒนาการทางสติปัญญาของบรูเนอร์และเพียเจท์ (สุรางค์ โค้วตระกูล, 2552: 48 - 49, 213) ซ่ึงให้ความสําคัญกับกระบวนการเรียนรู้ท่ีผ่านประสาทสัมผัสท้ังห้า ทฤษฎีการเรียนรู้ทางสังคมของแบนดูรา (Bandura, 1977: 80 - 85)ท่ีช้ีให้เห็นว่า บุคคลจะกระทําพฤติกรรมใดหรือไม่นั้น ขึ้นอยู่กับความคาดหวังหรือมีความเช่ือในความสามารถของตนเอง แนวคิดการพัฒนาด้านพุทธิพิสัยของกาเย (Gagne, 1985: 70 - 90) ที่เน้นการกระตุ้นความสนใจและเห็นคุณค่าของสิ่งที่จะได้เรียนรู้ แนวคิดด้านจิตพิสัยของบลูม (Bloom, 1956: 185) ที่เช่ือในเร่ืองของการติดตามผลการปฏิบัติและให้ข้อมูลป้อนกลับและการเสริมแรงเป็นระยะ ๆ แนวคิดด้านทักษะพิสัยตามรูปแบบของแฮร์โรว์(Harrow, 1972: 96 - 99) ซิมพ์ซัน (Simpson, 1972 อ้างถึงใน ทิศนา แขมมณี, 2550: 245) และเดวีส์(Davies, 1971: 50 - 56) แนวคิดทางการศึกษาของดิวอี้ (วรวิทย์ วศินสรากร, 2549: 673 - 675) และกฎแห่งการฝึกหัดของธอร์นไดค์ (Hergenhahn & Olson,1993: 56) ที่แสดงให้เห็นถึงความสําคัญของการเรียนรู้ด้วยการลงมือกระทํา ซึ่งจะช่วยให้เกิดการเรียนรู้และปรับการกระทําให้ถูกต้องสมบูรณ์ โดยเร่ิมฝึกปฏิบัติจากระดับท่ีซับซอ้ นน้อยไปจนถึงมาก มีความเหมาะสมท่ีจะนาํ มาสังเคราะหเ์ ปน็ องคป์ ระกอบสําคญั ของรูปแบบการเรียนการสอนเพื่อส่งเสริมพฤติกรรมการดแู ลสุขภาพในช่องปากของนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีท่ี 5 ให้สามารถดูแลสุขภาพช่องปากโดยการแปรงฟันและการตรวจฟันด้วยตนเองท่ถี กู วิธแี ละสมาํ่ เสมอวัตถุประสงคก์ ารวจิ ัย 1. พัฒนารูปแบบการเรียนการสอนแบบ 5A-S เพื่อส่งเสริมพฤติกรรมการดูแลสุขภาพในช่องปากของนักเรียนชนั้ ประถมศกึ ษาปที ี่ 5 ให้มีประสิทธภิ าพ 2. ประเมนิ ประสิทธผิ ลรปู แบบการเรยี นการสอนแบบ 5A-S ทพ่ี ัฒนาข้ึน 3. ศกึ ษาความพงึ พอใจของนกั เรยี นต่อรปู แบบการจดั การเรยี นการสอนท่ีพัฒนาข้ึนนิยามศัพท์เฉพาะ 1. รูปแบบการเรียนการสอนแบบ 5A-S หมายถึง กระบวนการจัดประสบการณ์เรียนรู้ ประกอบด้วยการจัดการเรียนรู้ 6 ขั้นตอน ได้แก่ 1) Attention 2) Awareness 3) Action learning 4) Assessment5) Application และ 6) Sustainable ซึง่ เป็นการจดั การเรียนรใู้ นชน้ั เรียน 5 ข้นั ตอน และนอกชนั้ เรยี น 1 ขนั้ ตอน 2. พฤติกรรมการดแู ลสขุ ภาพช่องปาก หมายถึง ความรู้เกี่ยวกับทันตสุขภาพ การรับรู้ความสามารถตนเองต่อการดูแลสุขภาพช่องปาก ความคาดหวังในผลท่ีเกิดจากการดูแลสุขภาพช่องปาก ทักษะการแปรงฟันท่ีถูกวิธีและทักษะการตรวจฟันดว้ ยตนเองทถ่ี กู วธิ ี 3. ความรู้เก่ียวกับทันตสุขภาพ หมายถึง ความรู้ ความเข้าใจเกี่ยวกับสาเหตุ อาการ และผลเสียของโรคฟันผุและเหงือกอักเสบ รวมถึงการแปรงฟันท่ีถูกวิธี การตรวจฟันด้วยตนเองที่ถูกวิธี ซ่ึงประเมินโดยใช้แบบทดสอบวดั ความรู้ทีผ่ วู้ จิ ัยสร้างข้ึน 4. การรับรู้ความสามารถตนเองต่อการดูแลสุขภาพช่องปาก หมายถึง ความมั่นใจในความสามารถของตนเองที่จะแปรงฟันได้อย่างถูกวิธี รวมท้ังการตรวจฟันด้วยตนเองท่ีถูกวิธีหลังการแปรงฟัน ซึ่งประเมินโดยแบบสอบถามที่ผู้วจิ ัยสรา้ งขึ้น 5. ความคาดหวังในผลท่ีเกิดจากการดแู ลสขุ ภาพชอ่ งปาก หมายถึง การประเมินค่าและการรับรู้ในผลท่ีจะไดจ้ ากการดูแลสขุ ภาพช่องปากตนเอง ได้แก่ การแปรงฟนั ที่ถูกวิธี และการตรวจฟันด้วยตนเองที่ถูกวิธี จะส่งผลให้ผู้ปฏิบัติมีสุขภาพช่องปากดี ไม่มีรอยผุท่ีเกิดข้ึนใหม่บนตัวฟัน ไม่มีสภาวะเหงือกอักเสบ ซ่ึงประเมินจากแบบสอบถามท่ีผู้วจิ ยั สรา้ งข้นึ
34 การประชมุ ทางวชิ าการของครุ สุ ภา ประจําปี 2557 “การวิจยั เพอ่ื เพมิ่ คุณภาพการศึกษาและการพัฒนาวชิ าชีพ” 6. ทักษะการแปรงฟันทถี่ กู วธิ ี หมายถงึ ความสามารถในการกําจัดเศษอาหารท่ีติดบนตัวฟันและระหว่าง ซอกฟัน โดยการแปรงฟันแบบขยับปัด นานประมาณ 3 - 5 นาที เก็บข้อมูลด้วยแบบประเมินทักษะการแปรงฟัน ซึง่ ประยุกตจ์ ากดชั นี Skill Achievement Index (S.A.I.) 7. ทักษะการตรวจฟันด้วยตนเองท่ีถูกวิธี หมายถึง ความสามารถในการตรวจความสะอาดหรือความผิดปกติ ภายในช่องปาก เช่น รอยดําบนตัวฟัน คราบเศษอาหารบนตัวฟัน ระหว่างซอกฟัน ลักษณะของเหงือกและล้ิน ภายหลังการแปรงฟันช่วงเช้า กลางวัน และก่อนนอน เก็บข้อมูลจากแบบประเมินทักษะการตรวจฟันด้วยตนเอง ซึ่งประยุกตจ์ ากการตรวจฟันดว้ ยตนเองทถ่ี ูกวิธขี องกองทนั ตสาธารณสขุ 8. ความพึงพอใจ หมายถึง ความรู้สึกของนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 5 ที่มีต่อรูปแบบการเรียนการสอน ท่ีพัฒนาข้ึน เกี่ยวกับการจัดกิจกรรมการเรียนรู้ บรรยากาศในการเรียนรู้ ส่ือท่ีใช้ และผลที่ได้รับจากรูปแบบ การเรยี นการสอน ซงึ่ ประเมนิ จากการเขยี นบรรยายความรู้สกึ ลงในกระดาษ A4 แนวคิด/ทฤษฎที ี่เก่ยี วข้อง ผู้วิจัยจึงได้พัฒนารูปแบบการเรียนการสอนแบบ 5A-S โดยอาศัยทฤษฎี และแนวคิดที่เกี่ยวกับการจัด ประสบการณ์เพื่อส่งเสริมพฤติกรรมท่ีพึงประสงค์ และทฤษฎีการเรียนรู้ ดังนี้ ทฤษฎีพัฒนาการทางสติปัญญาของ บรูเนอร์ (สุรางค์ โค้วตระกูล, 2552: 213) และแนวคิดการพัฒนาด้านพุทธิพิสัยของกาเย (Gagne, 1985: 70 - 90) ท่ีกล่าวไว้ว่า การกระตนุ้ ความสนใจให้นกั เรยี นเกิดความต้องการเรียนรู้ เป็นวิธีการที่ดีที่สุดท่ีจะพัฒนาให้เกิดการเรียนรู้ อย่างมีความหมายและสามารถนาํ เอาความรู้ไปใช้ได้ ดังน้ันจึงถือได้ว่า การกระตุ้นให้อยากเรียน (Attention: A) เป็นวิธีการที่ทรงพลังอย่างย่ิงในการส่งเสริมพฤติกรรมการดูแลสุขภาพช่องปากของนักเรียน ทฤษฎีพัฒนาการ ทางสติปัญญาของเพียเจท์และบรูเนอร์ (สุรางค์ โค้วตระกูล, 2552: 48 - 49, 213) ที่เช่ือว่า กระบวนการเรียนรู้ เร่ิมจากการรับความรู้ผ่านประสาทสัมผัสทั้งห้า และแปลงรูปของความรู้ท่ีได้รับให้สัมพันธ์กับประสบการณ์เดิม รวมทั้งประเมินผลสิ่งที่ได้รับมาให้เป็นความรู้ใหม่ ตลอดจนทฤษฎีการเรียนรู้ทางสังคมของแบนดูรา (Bandura, 1977: 80 - 85) ที่เชื่อว่า การท่ีบุคคลตัดสินใจว่า จะกระทําพฤติกรรมหรือไม่นั้น ส่วนหนึ่งจะขึ้นอยู่กับการรับรู้ ความสามารถตนเอง และอีกส่วนหน่ึงขึ้นกับความคาดหวังในผลลัพธ์ของการกระทํา ดังน้ัน เพียรรู้จนเจนจัด (Awareness: A) ด้วยการสร้างความรู้จนเกิดความตระหนัก โดยครูจัดกิจกรรมการเรียนรู้ด้วยการกําหนดเน้ือหา สาระทีต่ ้องการใหน้ ักเรียนไดเ้ รียนรทู้ ่ีเหมาะสมกับวัย คํานึงถึงลําดับความยากง่าย และจัดสภาพแวดล้อมให้เอ้ือต่อ การเรยี นรู้ จัดหาข้อมลู ขา่ วสารทจ่ี ะช่วยให้นักเรียนศึกษาค้นคว้า ใช้ส่ิงท่ีเป็นรูปธรรม และเร่ิมให้ประสบการณ์จาก ส่ิงท่ีนักเรียนคุ้นเคยหรือมีประสบการณ์มาก่อน แล้วจึงเสนอสิ่งใหม่ท่ีมีความสัมพันธ์กับสิ่งเก่า สร้างประสบการณ์ ท่ปี ระสบความสาํ เรจ็ ใหน้ กั เรยี นไดค้ ดิ วิเคราะห์ ค้นควา้ หาความรู้และค้นพบด้วยตนเอง พร้อมกับมีการปรับประยุกต์ แนวคิดให้เหมาะสมกับการดําเนินกิจกรรมในชีวิตประจําวัน จนเกิดความตระหนักถึงความสําคัญของการดูแล สุขภาพช่องปาก ก็จะช่วยให้นักเรียนเกิดการเรียนรู้ได้ดีขึ้น นอกจากนี้ ทฤษฎีการเรียนรู้ทางสังคมของแบนดูรา ยงั มีความเห็นวา่ การเรียนร้ทู ักษะต่าง ๆ เกดิ จากการสังเกต หรือการเลยี นแบบจากตัวแบบทมี่ ชี วี ติ จริง กับตัวแบบ สัญลักษณ์ อีกท้ังแนวคิดการพัฒนาด้านทักษะพิสัยของแฮร์โรว์ (Harrow, 1972: 96 - 99) ท่ีกล่าวว่า ประสบการณ์ ในการลงมือทํา จะช่วยให้เกิดการเรียนรู้และปรับการกระทําให้ถูกต้องสมบูรณ์ และควรเร่ิมจากระดับท่ีซับซ้อนน้อย ไปจนถึงระดับมาก แนวคิดการพัฒนาด้านทักษะพิสัยของซิมพ์ซัน (ทิศนา แขมมณี. 2550: 245) ที่ระบุว่า ทักษะ ปฏิบัติสามารถพัฒนาได้ด้วยการฝึกฝน ด้วยการให้นักเรียนรับรู้ในสิ่งท่ีจะปฏิบัติ และเปิดโอกาสให้นักเรียน เลียนแบบการกระทํา และแนวคิดการพัฒนาด้านทักษะพิสัยของเดวีส์ (Davies, 1971: 50 - 56) ที่ได้เสนอว่า การฝึกให้นักเรียนสามารถทําทักษะย่อย ๆ แล้วค่อยเชื่อมโยงต่อกันไปเป็นทักษะใหญ่ จะช่วยให้นักเรียนประสบ ผลสาํ เร็จได้ดีและรวดเร็วข้ึน รวมท้ังแนวคิดทางการศึกษาของดิวอ้ี (วรวิทย์ วศินสรากร, 2549: 673 - 675) ที่ช้ีให้เห็นถึงความสําคัญของการเรียนรู้โดยการลงมือกระทํา จะทําให้นักเรียนสามารถนําประสบการณ์เรียนรู้ ที่ได้รับไปใช้ได้จริงในชีวิตประจําวัน จึงถือได้ว่าปฏิบัติจนชํานาญ (Action learning: A) ด้วยการฝึกหัดหรือลงมือ
การประชมุ ทางวิชาการของคุรสุ ภา ประจาํ ปี 2557 “การวจิ ัยเพอื่ เพิ่มคณุ ภาพการศึกษาและการพฒั นาวชิ าชพี ” 35กระทํากิจกรรมต่าง ๆ ด้วยตนเอง ภายหลังจากได้ผ่านขั้นตอนการเรียนรู้จนเกิดความตระหนัก จะช่วยให้นักเรียนเกิดการเรียนรู้ด้านทักษะการดูแลสุขภาพช่องปากได้อย่างถูกต้อง แนวคิดการพัฒนาด้านพุทธิพิสัยของกาเย(Gagne, 1985: 70 - 90) ที่ว่าการประเมนิ ผลการแสดงออกของนกั เรียนจะช่วยให้นักเรียนทราบว่าตนเองสามารถบรรลุวัตถุประสงค์มากน้อยเพียงใด ดังนั้น การประเมินค่าจนรู้จริง (Assessment: A) จะช่วยให้นักเรียนได้รับทราบผลการเรียนรู้หรือการฝึกปฏิบัติ เพื่อจะได้นํามาใช้ปรับปรุงหรือพัฒนาการเรียนรู้ของตนให้ดีข้ึน กฎแห่งการฝึกหัดของธอร์นไดค์ (Hergenhahn & Olson, 1993: 56) ท่ีเช่ือว่า การลงมือกระทําบ่อย ๆ ด้วยความเข้าใจ จะทําให้การเรียนรู้น้ันคงทนถาวร ดังนนั้ การนําสง่ิ ทีเ่ รียนไปใช้ (Application: A) ดว้ ยการเปิดโอกาสใหน้ ักเรยี นได้มีโอกาสแบง่ ปนั /แลกเปล่ียนความรแู้ ละประสบการณ์ทไี่ ดร้ ับจากการคน้ คว้า หรอื การลงมอื กระทํากับคนอนื่ ๆ ในรูปแบบตา่ ง ๆกจ็ ะช่วยให้นักเรยี นมองเหน็ การเช่ือมโยงสิ่งทไี่ ด้เรียนรู้กบั เร่ืองอ่นื ๆ ที่อาจพบในสถานการณใ์ หม่ได้ แนวคิดการพัฒนาด้านพุทธิพิสัยของกาเย (Gagne, 1985: 70 - 90) ที่กล่าวว่า การส่งเสริมความคงทนโดยการให้โอกาสนักเรียนได้มีการฝึกฝนอย่างพอเพียง และในสถานการณ์ท่ีหลากหลาย จะช่วยให้นักเรียนเกิดความเข้าใจที่ลึกซึ้งขึ้น แนวคิดการพัฒนาด้านจิตพิสัยตามแนวคิดของบลูม (Bloom, 1956: 98 - 185) ท่ีเช่ือว่าหากนักเรียนได้รับการสง่ เสริมให้นักเรียนปฏิบัติตนตามค่านิยมอย่างสม่ําเสมอ โดยติดตามผลการปฏิบัติและให้ข้อมูลป้อนกลับและการเสริมแรงเป็นระยะ ๆ จะช่วยสร้างค่านิยมที่ดีได้ จะทําให้นักเรียนได้รับการปลูกฝังค่านิยมท่ีพึงประสงค์จนถึงระดับที่สามารถปฏิบัติจนเป็นนิสัย และทฤษฎีการเรียนรู้ทางสังคมของแบนดูรา (Bandura,1977: 83 - 85) ซึ่งเช่ือว่า การท่ีบุคคลตัดสินใจว่าจะกระทําพฤติกรรมหรือไม่นั้น ส่วนหนึ่งจะขึ้นอยู่กับการรับรู้ความสามารถตนเอง ซ่ึงการพัฒนาการรับรู้ความสามารถตนเอง คือ การใช้คําพูดชักจูงร่วมกับการทําให้บุคคลไดร้ ับประสบการณ์ของความสําเร็จ และการกระตุ้นทางอารมณ์ จึงอาจกล่าวได้ว่า การใส่ใจให้ย่ังยืน (Sustainable)ก็จะเปน็ การสง่ เสรมิ ให้เกิดพฤตกิ รรมการดูแลสขุ ภาพชอ่ งปากท่ตี อ่ เน่อื งและย่ังยนื ทําใหน้ ักเรียนไมเ่ ปน็ โรคในชอ่ งปากกรอบแนวคิดการวจิ ัย ทฤษฎีพัฒนาการทางสตปิ ัญญาของเพยี เจท์ และบรูเนอร์ ทฤษฎีการเรียนรูท้ างสังคมของแบนดูรา แนวคิดการพัฒนาดา้ นพทุ ธพิ ิสยั ของกาเยและด้านจิตพสิ ยั ของบลูม แนวคิดการพฒั นาด้านทักษะพิสยั ตามแบบของแฮรโ์ รว์ ซิมพซ์ ัน และเดวีส์ แนวคดิ ทางการศกึ ษาของดวิ อ้ี และกฎแหง่ การฝึกหดั ของธอรน์ ไดค์ สาระสาํ คญั ของรปู แบบ กระบวนการจดั การเรียนการสอนตามรูปแบบ 1. ความรูเ้ ก่ยี วกบั ทันตสขุ ภาพ การเรยี นการสอนแบบ 5A-S การเรียนการสอนแบบ 5A-S 2. การรบั รู้ความสามารถตนเอง1. การกระตุ้นความสนใจ 1. ขั้นสรา้ งความรู้ ต่อการดูแลสขุ ภาพชอ่ งปาก2. การสร้างประสบการณ์ 1.1 ข้ันกระตุ้นให้อยากเรียน (Attention: A) 3. ความคาดหวงั ในผลทเ่ี กดิ จาก 1.2 ขั้นเพยี รรจู้ นเจนจัด (Awareness: A) ความรู้ การดูแลสุขภาพช่องปาก3. การตอบสนองตอ่ สิ่งทรี่ บั รู้ 2. ขน้ั สกู่ ารปฏบิ ัติ 4. ทกั ษะการแปรงฟนั ทถ่ี กู วิธี4. การประเมินผล 2.1 ขั้นปฏิบัตจิ นชาํ นาญ (Action learning: A) 5. ทักษะการตรวจฟัน5. การประยกุ ตใ์ ช้6. การส่งเสรมิ ความคงทน 3. ข้ันพัฒนานําไปใช้ ดว้ ยตนเองทีถ่ กู วิธี 3.1 ขน้ั ประเมนิ คา่ จนรูจ้ รงิ (Assessment: A) 6. ความพงึ พอใจของนกั เรียน 3.2 ขั้นนาํ สง่ิ เรียนไปใช้ (Application: A) ต่อรูปแบบ 5A-S 4. ขั้นใส่ใจใหย้ ัง่ ยนื (Sustainable: S)
36 การประชุมทางวิชาการของครุ ุสภา ประจาํ ปี 2557 “การวจิ ัยเพอ่ื เพม่ิ คณุ ภาพการศกึ ษาและการพฒั นาวชิ าชีพ” วิธีดาํ เนนิ การวิจัย แบบแผนการวิจัย แบบแผนการวิจัย เป็นการวิจัยและพัฒนา ในการพัฒนาใช้การวิจัยก่ึงทดลองแบบ 2 กลุ่ม วัดก่อนและหลัง การทดลอง ประชากรและกลุ่มตัวอย่าง ประชากรในการวิจัยครั้งน้ี ได้แก่ นักเรียนชั้นประถมศึกษาปีท่ี 5 ภาคเรียนที่ 2 ปีการศึกษา 2556 โรงเรยี นเทศบาล 2 วัดเสนหา (สมัครพลผดุง) สังกัดเทศบาลนครนครปฐม จาํ นวน 3 ห้องเรยี น นักเรียน 135 คน กลุ่มตัวอย่าง จําแนกเป็น 2 กลุ่ม ได้แก่ กลุ่มทดลอง คือ นักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 5/3 และกลุ่ม ควบคุม คือ นักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 5/1 ได้มาโดยใช้การสุ่มอย่างง่าย (Simple Random Sampling) ด้วยวธิ ีจับสลาก จาํ นวนกลมุ่ ละ 45 คน เครอื่ งมือท่ใี ช้ในการเก็บรวบรวมข้อมูล 1. เคร่อื งมือทใ่ี ช้ในขนั้ การสํารวจ/ศึกษาข้อมลู พน้ื ฐาน ประกอบด้วย 1.1 แบบสอบถามข้อมูลพื้นฐานเพื่อสํารวจความจําเป็นและความต้องการของนักเรียนชั้นประถมศึกษา ปีท่ี 5 แบง่ ออกเปน็ 2 ตอน คือ 1) สถานภาพและขอ้ มลู ท่ัวไป และ 2) ความรู้เก่ียวกับทันตสขุ ภาพ 1.2 แบบสัมภาษณแ์ บบเจาะลึกกบั นักเรียนชัน้ ประถมศกึ ษาปีท่ี 5 ท่ีมีปัญหาทั้งโรคฟันผุและเหงือกอักเสบ เพื่อศึกษาเจตคติเกี่ยวกับการดูแลสุขภาพช่องปาก ปัจจัยเอ้ือและปัจจัยเสริมพฤติกรรมเก่ียวกับการดูแลสุขภาพช่องปาก รปู แบบและความต้องการในการเรยี นร้เู กี่ยวกับการดูแลสขุ ภาพช่องปาก 1.3 แบบสัมภาษณ์แบบมีโครงสร้าง เพ่ือศึกษาความคิดเห็นเกี่ยวกับการพัฒนารูปแบบการเรียนการสอน เพอ่ื สง่ เสริมพฤติกรรมการดูแลสุขภาพในช่องปาก จากผู้เชีย่ วชาญ 2. รูปแบบการเรียนการสอนท่ีพัฒนาขึ้น และผ่านการตรวจสอบความตรงเชิงโครงสร้าง และเน้ือหา จากผู้ทรงคุณวุฒิ ด้วยแบบประเมินที่ผู้วิจัยสร้างข้ึน ลักษณะของคําถามเป็นแบบมาตราส่วนประมาณค่า (Rating Scale) 5 ระดับ ได้ค่าเฉลี่ยเท่ากับ 4.49 แสดงว่า มีความเหมาะสมมาก และนําไปทดลองใช้กับนักเรียน ชั้นประถมศึกษาปีท่ี 5/1 ท่ีกําลังศึกษาอยู่ในภาคเรียนที่ 2 ปีการศึกษา 2555 ที่ได้มาโดยใช้การสุ่มอย่างง่าย (Simple Random Sampling) ด้วยวิธีจับสลาก จํานวน 45 คน ที่ไม่ใช่กลุ่มตัวอย่าง เพ่ือตรวจสอบความเหมาะสม ของรปู แบบ เนือ้ หา ลําดบั ข้นั ตอนในการจัดการเรยี นการสอน ระยะเวลาท่ใี ชใ้ นการจดั การเรียนการสอน 3. แบบประเมนิ ประสทิ ธผิ ลของรปู แบบการเรยี นการสอนแบบ 5A-S ประกอบด้วย 3.1 แบบวดั ความรูเ้ กี่ยวกบั ทนั ตสุขภาพ เป็นแบบปรนัย มี 4 ตัวเลือก จํานวน 15 ข้อ ผ่านการพิจารณา ความสอดคล้องกับวัตถุประสงค์จากผู้ทรงคุณวุฒิ ได้ค่าดัชนีความสอดคล้องทั้งฉบับเท่ากับ 0.91 มีค่าความยากง่าย อยู่ในระหว่าง 0.50 - 0.67 และค่าอํานาจจาํ แนกตัง้ แต่ 0.33 ขนึ้ ไป มคี า่ ความเทีย่ ง (Reliability) เท่ากบั 0.86 3.2 แบบวดั การรับรู้ความสามารถตนเองต่อการดูแลสุขภาพช่องปาก และความคาดหวังในผลท่ีเกิดจาก การดูแลสุขภาพช่องปาก เปน็ แบบมาตราสว่ นประมาณค่า 3 ระดับ ผ่านการพิจารณาจากผู้ทรงคุณวุฒิ มีค่าความตรง เทา่ กบั 0.92 แล้วนํามาวิเคราะห์หาค่าความเที่ยง โดยหาค่าสัมประสิทธิ์แอลฟา (α - Coefficient) ของครอนบาค (Cronbach) ซงึ่ ตอนท่ี 1 การรับรู้ความสามารถของตนเอง ได้ค่าความเที่ยงเท่ากับ 0.89 และตอนท่ี 2 ความคาดหวัง ในผลท่เี กิดจากการดแู ลสขุ ภาพชอ่ งปาก ได้ค่าความเท่ยี งเทา่ กบั 0.87 3.3 แบบวัดทักษะการดแู ลสขุ ภาพช่องปาก แบง่ ออกเปน็ 2 ตอน ตอนท่ี 1 แบบวัดทักษะการแปรงฟัน ท่ีถกู วิธี ได้ประยุกตจ์ ากดชั นี Skill Achievement Index (S.A.I.) โดยนีเดอร์แมน และซัลลิแวนส์ (Niederman & Sullivans, 1981: 143 - 156) ได้คา่ ความเที่ยง เท่ากับ 0.91 และตอนที่ 2 แบบวัดทักษะการตรวจฟันด้วยตนเอง ทถี่ กู วิธี ไดป้ ระยกุ ต์จากกองทันตสาธารณสขุ (2547: 290 – 291) ได้ค่าความเทย่ี ง เทา่ กบั 0.93
การประชุมทางวิชาการของคุรสุ ภา ประจาํ ปี 2557 “การวิจยั เพอื่ เพิม่ คณุ ภาพการศกึ ษาและการพฒั นาวชิ าชพี ” 37 3.4 แบบบันทึกการแปรงฟันและการตรวจฟันด้วยตนเอง ระหว่างการใช้รูปแบบการเรียนการสอนแบบ 5A-S ซึ่งนักเรียนจะเป็นผู้บันทึกพฤติกรรมด้วยตนเอง ในช่วงเวลาหลังอาหารเช้า กลางวัน และก่อนนอนและมีผู้นํานักเรียนด้านทันตสุขภาพลงลายมือช่ือเป็นผู้ตรวจสอบช่วงเวลากลางวัน ในขณะอยู่ที่โรงเรียน สําหรับช่วงเวลาเชา้ และกอ่ นนอนในวันหยดุ ผู้ปกครองเปน็ ผ้ลู งลายมอื ช่ือตรวจสอบ 4. แบบประเมินความพึงพอใจรูปแบบการเรียนการสอนแบบ 5A-S เป็นแบบบันทึกความคิดเห็นต่อรูปแบบการเรยี นการสอนแบบ 5A-S หลงั ใช้ โดยให้นักเรียนกลุ่มทดลองเขยี นบรรยายความคดิ เหน็ หรือบรรยายความรู้สึกท่ีมตี ่อรูปแบบ 5A-S ในการส่งเสรมิ พฤตกิ รรมการดแู ลสุขภาพช่องปากลงในกระดาษ A4 การเกบ็ รวบรวมข้อมลู 1. วดั ความร้เู กยี่ วกบั ทันตสขุ ภาพ การรับรู้ความสามารถของตนเองตอ่ การดแู ลสุขภาพชอ่ งปาก ความคาดหวังในผลที่เกิดจากการดูแลสุขภาพช่องปาก และการส่งเสริมทักษะการดูแลสุขภาพช่องปากที่ถูกวิธี ก่อนการทดลองดว้ ยแบบวัดที่ผวู้ จิ ัยพัฒนาข้ึน 2. ดาํ เนินการทดลองกบั นกั เรยี นกลุ่มทดลองระยะเวลา 5 สปั ดาห์ ในภาคเรยี นท่ี 2 ปกี ารศกึ ษา 2556 3. วดั ความรู้เกย่ี วกบั ทันตสขุ ภาพ การรบั รคู้ วามสามารถของตนเองต่อการดูแลสุขภาพช่องปาก ความคาดหวังในผลที่เกิดจากการดูแลสุขภาพช่องปาก และการส่งเสริมทักษะการดูแลสุขภาพช่องปากท่ีถูกวิธี หลังการทดลองด้วยแบบวดั ชุดเดยี วกบั กอ่ นการทดลอง 4. ประเมนิ ความพึงพอใจของนักเรยี นท่มี ีตอ่ รปู แบบการเรยี นการสอนด้วยแบบประเมนิ การวเิ คราะหข์ อ้ มูล 1. เปรียบเทียบพฤติกรรมการดูแลสุขภาพในช่องปากของนักเรียนก่อนและหลังการทดลองของกลุ่มทดลองและของกลุ่มควบคุม ด้วยสถิติ t - test dependent และเปรียบเทียบพฤติกรรมการดูแลสุขภาพในช่องปากหลังการทดลองระหวา่ งกลมุ่ ทดลองกบั กล่มุ ควบคมุ ด้วยสถิติ t - test independent 2. วเิ คราะห์ความพึงพอใจของนักเรียนที่มีต่อรปู แบบการเรียนการสอนแบบ 5A-S ด้วยแจงนับ แล้วนําเสนอเป็นคา่ ร้อยละสรุปผลการวิจยั 1. รูปแบบการเรียนการสอนที่พัฒนาขึ้น ประกอบด้วย การจัดการเรียนรู้ 6 ข้ันตอน แบ่งเป็นในช้ันเรียน5 ข้ันตอน และนอกชั้นเรียนอีก 1 ข้ันตอน คือ 1) Attention 2) Awareness 3) Action learning 4) Assessment5) Application และ 6) Sustainable มีประสทิ ธิภาพระดับมาก 2. นกั เรยี นกลุ่มทดลองท่ไี ดร้ ับรปู แบบการเรียนการสอนท่ีพัฒนาข้ึน มีพฤติกรรมการดูแลสุขภาพช่องปากหลงั การทดลองสงู กว่ากอ่ นการทดลอง และสูงกว่ากลุ่มควบคุม อย่างมนี ยั สาํ คัญทางสถิติทรี่ ะดับ .01 3. นักเรียนรอ้ ยละ 91.11 มีความพงึ พอใจต่อรูปแบบการจัดการเรยี นการสอนท่พี ฒั นาขึน้อภิปรายผลการวิจัย 1. รูปแบบการเรียนการสอนแบบ 5A-S ทพ่ี ัฒนาขึ้น มีประสิทธิภาพระดับมาก เน่ืองจากผู้วิจัยได้สร้างรูปแบบการเรียนการสอนบนพื้นฐานของทฤษฎีที่เก่ียวกับพฤติกรรมการดูแลสุขภาพ และทฤษฎีการเรียนรู้ รวมทั้งนําผลการศึกษาข้อมูลพ้ืนฐาน ความจําเป็น และความต้องการของนักเรียน มาสังเคราะห์เป็นรูปแบบการเรียนการสอนสอดคล้องกับแนวคิดของจอยส์และเวล (Joyce & Weil, 1996: 20) ท่ีได้เสนอขั้นตอนในการดําเนินการพัฒนารูปแบบการเรียนการสอนว่า ควรเริ่มจากการศึกษาแนวคิดและองค์ประกอบสําคัญท่ีเกี่ยวข้องกับการสอน โดยมีทฤษฎรี องรบั
Search
Read the Text Version
- 1
- 2
- 3
- 4
- 5
- 6
- 7
- 8
- 9
- 10
- 11
- 12
- 13
- 14
- 15
- 16
- 17
- 18
- 19
- 20
- 21
- 22
- 23
- 24
- 25
- 26
- 27
- 28
- 29
- 30
- 31
- 32
- 33
- 34
- 35
- 36
- 37
- 38
- 39
- 40
- 41
- 42
- 43
- 44
- 45
- 46
- 47
- 48
- 49
- 50
- 51
- 52
- 53
- 54
- 55
- 56
- 57
- 58
- 59
- 60
- 61
- 62
- 63
- 64
- 65
- 66
- 67
- 68
- 69
- 70
- 71
- 72
- 73
- 74
- 75
- 76
- 77
- 78
- 79
- 80
- 81
- 82
- 83
- 84
- 85
- 86
- 87
- 88
- 89
- 90
- 91
- 92
- 93
- 94
- 95
- 96
- 97
- 98
- 99
- 100
- 101
- 102
- 103
- 104
- 105
- 106
- 107
- 108
- 109
- 110
- 111
- 112
- 113
- 114
- 115
- 116
- 117
- 118
- 119
- 120
- 121
- 122
- 123
- 124
- 125
- 126
- 127
- 128
- 129
- 130
- 131
- 132
- 133
- 134
- 135
- 136
- 137
- 138
- 139
- 140
- 141
- 142
- 143
- 144
- 145
- 146
- 147
- 148
- 149
- 150
- 151
- 152
- 153
- 154
- 155
- 156
- 157
- 158
- 159
- 160
- 161
- 162
- 163
- 164
- 165
- 166
- 167
- 168
- 169
- 170
- 171
- 172
- 173
- 174
- 175
- 176
- 177
- 178
- 179
- 180
- 181
- 182
- 183
- 184
- 185
- 186
- 187
- 188
- 189
- 190
- 191
- 192
- 193
- 194
- 195
- 196
- 197
- 198
- 199
- 200
- 201
- 202
- 203
- 204
- 205
- 206
- 207
- 208
- 209
- 210
- 211
- 212
- 213
- 214
- 215
- 216
- 217
- 218
- 219
- 220
- 221
- 222
- 223
- 224
- 225
- 226
- 227
- 228
- 229
- 230
- 231
- 232
- 233
- 234
- 235
- 236
- 237
- 238
- 239
- 240
- 241
- 242
- 243
- 244
- 245
- 246
- 247
- 248
- 249
- 250
- 251
- 252
- 253
- 254
- 255
- 256
- 257
- 258
- 259
- 260
- 261
- 262
- 263
- 264
- 265
- 266
- 267
- 268
- 269
- 270
- 271
- 272
- 273
- 274
- 275
- 276
- 277
- 278
- 279
- 280
- 281
- 282
- 283
- 284
- 285
- 286
- 287
- 288
- 289
- 290
- 291
- 292
- 293
- 294
- 295
- 296
- 297
- 298
- 299
- 300
- 301
- 302
- 303
- 304
- 305
- 306
- 307
- 308
- 309
- 310
- 311
- 312
- 313
- 314
- 315
- 316
- 317
- 318
- 319
- 320
- 321
- 322
- 323
- 324
- 325
- 326
- 327
- 328
- 329
- 330
- 331
- 332
- 333
- 334
- 335
- 336
- 337
- 338
- 339