Important Announcement
PubHTML5 Scheduled Server Maintenance on (GMT) Sunday, June 26th, 2:00 am - 8:00 am.
PubHTML5 site will be inoperative during the times indicated!

Home Explore การพัฒนาหนังสืออิเล็กทรอนิกส์ เรื่อง ลักษณะนาม

การพัฒนาหนังสืออิเล็กทรอนิกส์ เรื่อง ลักษณะนาม

Published by WorkPaper UpdateWork, 2019-10-04 00:40:33

Description: งานวิจัยในหลักสูตร

Search

Read the Text Version

39 เรื่องนนั้ ๆ มาทาการบนั ทึกการสอนและจดั ทาเป็ นสื่อการสอนลงบน e-book ก็จะชว่ ยแก้ไขปัญหา ผ้เู ช่ียวชาญการสอนเนือ้ หานนั้ ๆ ได้อยา่ งดี 3. เป็ นการนาเทคโนโลยีการนาเสนอข้อมูลจากหน้าจอคอมพิวเตอร์ มาให้ใช้เกิด ประโยชน์ การที่เราให้ผ้เู รียนศกึ ษาจากหนงั สือเอกสารตาราท่ีเป็ นกระดาษนนั้ จะพบข้อจากัดของ กระดาษว่าไม่สามารถแสดงภาพและสีได้ครบตามที่ต้องการ ไม่สามารถสร้างมิติได้ ไม่สามารถ สร้างภาพประกอบเสียงได้ ไมส่ ามารถแสดงเนือ้ หาในแผน่ เดียวและเล่ือนหน้าเนือ้ หาในกระดาษได้ ไม่สามารถมีปฏิสมั พนั ธ์ระหว่างหนงั สือกบั ผ้เู รียนได้ แตจ่ อคอมพิวเตอร์สามารถตอบสนองความ ต้องการข้างต้นนีไ้ ด้ทงั้ หมด 4. เป็ นการจัดกิจกรรมการเรียนรู้แบบผสมผสานทัง้ ในชัน้ เรียนและนอกชัน้ เรียน สื่อ e-Book ที่ครูได้สร้างขนึ ้ และกาหนดให้ผ้เู รียนศึกษานนั้ หลงั จากท่ีได้ทากิจกรรมการเรียนการ สอนในชัน้ เรียนเสร็จสิน้ ลงแล้ว ผู้สอนยังสามารถนาผู้เรียนออกจากชัน้ เรียนเพ่ือไปเรียนกับ สถานการณ์จริง เชน่ เร่ืองพืชผกั สวนครัว ผ้เู รียนก็สามารถเปิด e-Book และอาจใช้เคร่ืองมืออ่าน บาร์โค๊ดท่ีต้นไม้เพื่อเปิดเนือ้ หาจากสว่ นกลางบนระบบเครือข่ายเรียนประกอบไปได้ทนั ที 5. e-Book เป็นการเชื่อมโยงเวลา เหตกุ ารณ์และสถานที่เข้าไว้ด้วยกนั โดยที่หนงั สือจะ มีข้อจากดั ในการนาเสนอดงั กลา่ ว โดยที่ e-Book เป็ นการเช่ือมโยงอดีต อนาคต ท่ีมีเหตกุ ารณ์ และสถานที่ตา่ งๆ ไว้ โดยครูผ้สู อนสามารถสร้าง e-Book ที่มี link เช่ือมโยงเนือ้ หาในอดีต อาทิ เหตกุ ารณ์สงครามโลกครัง้ ท่ีสองและสามารถเชื่อมโยงเหตกุ ารณ์ในอนาคตท่ีมีผ้ทู านายสถิติและ สร้างเป็ นส่ือไว้ เช่น พยากรณ์อากาศ และยงั สามารถเชื่อมสถานที่ เช่นการสอนวิชาภูมิศาสตร์ ผ้สู อนสามารถเช่ือมสถานที่ท่ีต้องการสอนโดยไมต่ ้องออกไปสถานท่ีจริง เสาวลกั ษณ์ ญาณสมบตั ิ (2545, หน้า 33 – 35) อ้างอิงใน ชวนพิศ ปะกิระนา (2554, หน้า 34) ได้กลา่ วถึงประโยชน์ของหนงั สืออิเล็กทรอนิกส์ไว้ดงั นี ้ 1. ช่วยให้ผ้เู รียนสามารถย้อนกลบั เพื่อทบทวนบทเรียนหากไมเ่ ข้าใจ และสามารถเลือก เรียนได้ตามเวลาและสถานท่ีที่ตนเองสะดวก 2. การตอบสนองท่ีรวดเร็วของคอมพิวเตอร์ที่ให้ทงั้ สีสนั ภาพ และเสียง ทาให้เกิดความ ต่ืนเต้นและไมเ่ บอ่ื หนา่ ย 3. ช่วยให้การเรียนมีประสิทธิภาพและประสิทธิผล มีประสิทธิภาพในแง่ลดเวลา ลดคา่ ใช้จา่ ย สนองความต้องการและความสามารถของบคุ คล มีประสทิ ธิผลในแง่ที่ทาให้นกั เรียน บรรลจุ ดุ มงุ่ หมาย

40 4. นักเรียนสามารถเลือกเรียนหวั ข้อท่ีสนใจข้อใดก่อนก็ได้ และสามารถย้อนกลับไป กลบั มาในเอกสาร หรือกลบั มาเร่ิมต้นที่จดุ เริ่มต้นใหมไ่ ด้อยา่ งสะดวกรวดเร็ว 5. สามารถแสดงได้ทงั้ ข้อความ ภาพนิ่ง ภาพเคลื่อนไหว และเสียงได้พร้อมกนั หรือจะ เลือกให้แสดงเพียงอยา่ งใดอยา่ งหนงึ่ ก็ได้ 6. การจัดเก็บข้อมูลจะสามารถจัดเก็บเอกสาร (file) แยกระหว่างตัวอักษรภาพน่ิง ภาพเคล่ือนไหว และเสียง โดยใช้แฟ้ มข้อความ (text file) เป็นศนู ย์รวมแล้วเรียกมาใช้ร่วมกนั ได้ โดยการเชื่อมโยงข้อมลู จากส่ือตา่ งๆ ท่ีอยคู่ นละท่ีเข้าด้วยกนั 7. สามารถปรับเปล่ียน แก้ไข เพิ่มเตมิ ข้อมลู ได้ง่าย สะดวก และรวดเร็ว ทาให้สามารถ ปรับปรุงบทเรียนให้ทนั สมยั กบั เหตกุ ารณ์ได้เป็ นอยา่ งดี 8. นกั เรียนสามารถค้นหาข้อมลู ท่ีเกี่ยวข้องกนั กับเร่ืองที่กาลงั ศึกษา จากแฟ้ มเอกสาร อ่ืนๆ ที่เช่ือมโยงอยไู่ ด้อยา่ งจากดั ทวั่ โลก 9. เสริมสร้างให้นกั เรียนเป็ นผ้มู ีเหตผุ ล มีความคดิ และทศั นที่มีเหตผุ ลเพราะการโต้ตอบ กบั เครื่องคอมพิวเตอร์ นกั เรียนจะต้องทาอยา่ งมีขนั้ ตอน มีระเบียบ และมีเหตผุ ลพอสมควรเป็ น การฝึกลกั ษณะนิสยั ท่ีดใี ห้กบั นกั เรียน 10. ครูมีเวลาตดิ ตามและตรวจสอบความก้าวหน้าของนกั เรียนได้มากขนึ ้ 11. ครูมีเวลาศกึ ษาตารา และพฒั นาความสามารถของตนเองได้มากขนึ ้ 12. ชว่ ยพฒั นาทางวิชาการ สรุปได้ว่า จดุ ประสงค์และประโยชน์ของหนงั สืออิเล็กทรอนิกส์ จะชว่ ยทบทวนความรู้ท่ี ได้เรียนในชนั้ เรียน และชว่ ยแก้ปัญหาในการเรียนการสอน สามารถตอบสนองได้อยา่ งรวดเร็วให้ ความตื่นเต้นและเร้ าความสนใจ เพราะมีทงั้ ภาพ เสียง วีดีโอ ภาพเคล่ือนไหว และหนงั สือ อิเล็กทรอนิกส์สามารถเชื่อมโยงเนือ้ หาของแตล่ ะเนือ้ หาส่งผลให้สามารถย้อนกลบั ไปอ่านเนือ้ หา ต่างๆ ในเอกสารได้ทนั ที และผ้เู รียนสามารถศึกษาเนือ้ หาต่างๆ ได้อย่างอิสระตามที่ต้องการใน ทกุ ๆ เวลา ทกุ ๆ สถานที่ 4.4 องค์ประกอบของหนังสืออิเลก็ ทรอนิกส์ เขมณฏั ฐ์ ม่ิงศริ ิธรรม (2559, หน้า 56 - 58) กลา่ วว่า โดยทว่ั ไปบทเรียนอิเล็กทรอนิกส์ จะมีองค์ประกอบไปด้วยข้อความ เสียง ภาพนิ่ง ภาพเคลื่อนไหว และการเช่ือมโยงปฏิสมั พนั ธ์ แตห่ ากต้องการให้ผ้เู รียนเกิดการเรียนรู้ อยากรู้อยากเห็น มีความคดิ จินตนาการนนั้ อาจจะต้อง ออกแบบให้มีลกั ษณะเดน่ และจดุ สนใจเพ่ิมมากขนึ ้ เพื่อกระต้นุ ความสนใจของผ้เู รียน ดงั นี ้

41 1. ข้อความ อาจเป็ นตวั อักษร ตวั เลข หรือเคร่ืองหมายเว้นวรรค ที่มีแบบ (style) หลากหลาย มีความแตกต่างกันทงั้ ตวั พิมพ์ (font) ขนาด (size) และสี (color) รูปแบบของ ตวั อกั ษรแตล่ ะแบบยงั สามารถสง่ เสริมหรือเป็นข้อจากดั ในการแสกงข้อความได้ ดงั นนั้ การนาเสนอ เนือ้ หายงั ไมส่ ามารถยึดตดิ กบั รูปแบบของตวั อกั ษรใดๆ เพราะตวั อกั ษรแบบหนง่ึ อาจเหมาะสมใน การใช้เป็ นหวั เร่ือง ในขณะที่อีกแบบหน่ึงสามารถใช้อธิบายเนือ้ หาได้อย่างดี เพราะมีความชดั เจน อ่านง่าย ไม่ต้องใช้สายตามาก ส่วนขนาดของตวั อกั ษรจะสามารถเลือกใช้เพ่ือเขียนหวั เรื่อง และ เนือ้ หาให้มองเห็นได้อยา่ งชดั เจน ยกตวั อยา่ งเช่น ผ้เู รียนอายนุ ้อยการอา่ นเนือ้ หาอาจทาได้ช้า จงึ ควรเลือกตวั อกั ษรขนาดใหญ่และเลือกรูปแบบตวั อักษรแบบมาตรฐานเพื่อช่วยให้ผู้เรียนอ่านได้ ชดั เจนขนึ ้ 2. เสียง เสียงท่ีเราใช้ในบทเรียนอิเล็กทรอนิกส์มี 3 ชนิด คือ เสียงพูด (voice) เสียงดนตรี (Music) และเสียงประกอบ (Sound Effect) เสียงพดู อาจเป็ นเสียงบรรยาย หรือ เสียงจากการสนทนาที่ใช้ในบทเรียนอิเล็กทรอนิกส์ สาหรับเสียงดนตรีจะเป็ นทว่ งทานองของเสียง เคร่ืองดนตรีตา่ งๆ และเสียงประกอบเพื่อให้ผ้เู รียนเข้าใจได้ง่ายขนึ ้ ก็คือ เสียงพิเศษท่ีเพิ่มเติมเข้า มา เชน่ เสียงรถยนต์ เสียงร้องของแมว เป็นต้น ควรเลือกเสียงให้สอดคล้องกบั เนือ้ หาและระดบั ผ้เู รียน มีความชดั เจนและผ้บู รรยายหรือผ้พู ูดมีลีลาการใช้เน้นถ้อยคาท่ีน่าสนใจชวนติดตาม ใช้ ถ้อยคาให้สละสลวย ส่ือความหมาย กะทดั รัด จงู ใจ มีจงั หวะคล้องจองกบั การนาเสนอภาพและ ข้อความหน้าจอและสอดคล้องกบั ตวั ผ้เู รียน 3. ภาพน่ิง ภาพถ่าย ภาพลายเส้น ซึ่งภาพนิ่ง อาจเป็ นภาพขาวดาหรือสีอื่นๆ ก็ได้ อาจมี 2 มิติ หรือ 3 มิติ โดยขึน้ อย่กู ับความสามารถของเคร่ืองคอมพิวเตอร์ใช้อยู่ ส่วนขนาด ของภาพนิ่งก็อาจจะมีขนาดใหญ่เต็มจอหรือมีขนาดเล็กกว่านนั้ ในบทเรียนอิเล็กทรอนิกส์จะมี ภาพน่งิ เป็นองคป์ ระกอบสาคญั เพราะมนษุ ย์ได้รับอิทธิพลมาจากการรับรู้ด้วยภาพเป็ นอยา่ งดี ใน การออกแบบควรเสนอภาพให้เป็ นระเบียบ มีลาดบั ขัน้ ตอนท่ีสอดคล้องกับเนือ้ หาและดูง่าย สอดคล้องกบั จดุ ประสงค์การเรียนรู้ เนือ้ หาและวยั ของผ้เู รียน หลีกเลี่ยงการใช้ภาพจานวนมากๆ หรือภาพท่ีมีรายละเอียดมากหรือน้อยเกินไป ให้ผ้เู รียนควบคมุ การเรียนรู้ภาพๆ หน่งึ ควรใช้เสนอ แนวคดิ หลกั แนวคดิ เดียว 4. ภาพเคลื่อนไหว ชว่ ยสง่ เสริมการเรียนรู้เร่ืองการเคลื่อนที่และเคล่ือนไหว ท่ีไมส่ ามารถ อธิบายได้ด้วยตวั อีกษร หรือภาพเพียงไม่กี่ภาพ ภาพเคล่ือนไหวมีคณุ ลกั ษณะเดน่ ท่ีช่วยเร้าความ สนใจของผ้เู รียนได้ ทงั้ การเคล่ือนไหว (Animation) ที่เปลี่ยนตาแหนง่ และรูปทรงของภาพและการ เคลื่อนท่ี (Moving) ท่ีเปลี่ยนเฉพาะตาแหนง่ หน้าจอ

42 5. การเชื่อมโยงแบบปฏิสมั พนั ธ์ การนาเสนอเนือ้ หาในบทเรียนอิเล็กทรอนิกส์บางครัง้ การนาเสนอเนือ้ หาอาจจะต้องมีการเช่ือมโยงไปยงั คาสัญบางคาในเนือ้ หาจึงจาเป็ นต้องมีการ เชื่อมโยงเนือ้ หาเข้าด้วยกนั ทงั้ ในรูปแบบของการเชื่อมโยงแบบ Hypertext (การเช่ือมโยงด้วย ตวั อกั ษร) และ Hypermedia (การเชื่อมโยงด้วยภาพ) เป็นการอธิบายข้อมลู เพิม่ เตมิ นอกจากนี ้ บทเรียนอิเล็กทรอนิกส์ยงั มีลกั ษณะเดน่ ท่ีสามารถให้ข้อมูลย้อนกลบั (Feedback) เพื่อตอบสนอง หรือมีปฏิสมั พนั ธ์กบั ผ้เู รียนได้ทนั ที ในการออกแบบควรพิจารณาให้โอกาสผ้เู รียนในการตอบผิด ซา้ ๆ มากเกินไปจะทาให้ผ้เู รียนขาดแรงจงู ใจ ส่วนการให้ข้อมลู ย้อนกลบั เพ่ือเสริมแรงแก่ผู้เรียน อาจทาได้โดยใช้คากล่าวชม เมื่อผู้เรียนเลือกคาตอบได้ถูกต้องแต่ควรอยู่ในระดบั ท่ีเหมาะสม เชน่ กนั เชาวลิต ประดิษฐ์ (2550, หน้า 1) กล่าวว่าองค์ประกอบของหนงั สืออิเล็กทรอนิกส์ มี ดงั นี ้ 1. หน้าปก 2. คานา 3. สารบญั 4. คาอธิบายรายวิชา 5. บทเรียน 6. ภาพประกอบบทเรียน 7. เสียงประกอบคาบรรยาย 8. แบบทดสอบหลงั เรียน 9. ดรรชนี สุรศกั ด์ิ ไวทยวงศ์สกุล (2550) อ้างอิงใน นายสุวรรณ บวั ศรี (2554) ได้กล่าวไว้ว่า หนงั สืออเิ ล็กทรอนิกส์ท่ีสมบรู ณ์ควรจะต้องประกอบด้วยสื่อมากกว่า 2 สื่อตามองค์ประกอบ ดงั นี ้ ตวั อกั ษรภาพน่ิง เสียง ภาพเคลื่อนไหวการเชื่อมโยงแบบปฏิสมั พนั ธ์ และวีดทิ ศั น์ เป็ นต้น โดยท่ี องคป์ ระกอบเหลา่ นีม้ ีความสาคญั ตอ่ การออกแบบ ดงั นี ้ 1. อกั ขระ (Text) หรือข้อความเป็ นองค์ประกอบของโปรแกรมมลั ติมีเดีย สามารถนา อักขระมาออกแบบเป็ นส่วนหนึ่งของภาพ หรือสัญลักษณ์ กาหนดหน้าท่ีการเชื่อมโยงนาเสนอ เนือ้ หา เสียง กราฟิ ก หรือวีดิทศั น์ เพื่อให้ผ้ใู ช้เลือกข้อมูลที่จะศึกษาการใช้อกั ขระเพ่ือกาหนด หน้าที่ในการสื่อสารความหมายในคอมพวิ เตอร์ ควรมีลกั ษณะดงั นี ้

43 1.1 ส่ือความหมายให้ชัดเจน เพื่ออธิบายความสาคัญที่ต้องการนาเสนอส่วนของ เนือ้ หาสรุปแนวคดิ ที่ได้เรียนรู้ 1.2 การเชื่อมโยงอกั ขระบนจอภาพสาหรับการมีปฏิสมั พนั ธ์ในมลั ตมิ ีเดีย การเชื่อมโยง ทาได้หลายรูปแบบจากจุดหนงึ่ ไปจดุ หนง่ึ ในระบบเครือขา่ ยด้วยแฟ้ มเอกสารข้อมลู ด้วยกนั หรือตา่ ง แฟ้ มกันได้ทันที ในลักษณะรูปแบบตัวอักษร (Font) เคร่ืองหมายหรือสัญลักษณ์ (Symbol) การเลือกใช้แบบอกั ขระ เคร่ืองหมายหรือสญั ลกั ษณ์ และการให้สีแบบใดให้ดอู งค์ประกอบการจดั วางองคป์ ระกอบด้านศลิ ป์ ที่ดแู ล้วมีความเหมาะสม 1.3 กาหนดความยาวเนือ้ หาให้เหมาะสม ผู้ผลิตโปรแกรมสามารถใช้เทคนิคแบ่ง ข้อมลู ออกเป็นสว่ นยอ่ ย แล้วเช่ือมโยงข้อมลู เข้าด้วยกนั หากต้องการศกึ ษาข้อมลู สว่ นใดก็สามารถ เข้าถงึ ข้อมลู สว่ นตา่ งๆ ที่เช่ือมโยงกนั ได้ การเชื่อมโยงเนือ้ หาสามารถกระทาได้ 3 ลกั ษณะด้วยกนั คอื ลกั ษณะเส้นตรง ลกั ษณะสาขา และลกั ษณะผสมผสานหลายมติ ิ 1.4 สร้างการเคลื่อนไหวให้อกั ขระ เพื่อสร้างความสนใจก่อนนาเสนอข้อมลู สามารถทา ได้หลายวิธี เช่น การเคลื่อนไหวย้ายตาแหน่ง, การหมนุ , การกาหนดให้เห็นเป็ นช่วงๆ จงั หวะ เป็ นต้น ข้อสาคัญ คือ ควรศึกษาถึงจิตวิทยาความต้องการรับรู้กับความถ่ีการใช้เทคนิคการ เคล่ือนไหวของผ้ศู กึ ษาโปรแกรมแตล่ ะวยั ให้เหมาะสมกบั กลมุ่ เป้ าหมาย 1.5 เครื่องหมายและสัญลักษณ์ เป็ นสื่อกลางท่ีสาคญั ในการติดต่อกับผู้ศึกษาใน บทเรียนมัลติมีเดียปฏิสัมพันธ์ การนาเสนอหรือออกแบบสัญลักษณ์หรือเครื่องหมายควรให้ สมั พนั ธ์กบั เนือ้ หาในบทเรียน สามารถทาความเข้าใจกบั ความหมายและสญั ลกั ษณ์ต่างๆ นนั้ ได้ อย่างรวดเร็วอักขระเป็ นส่วนหน่ึงที่สาคัญต่อการเรียนรู้ การทาความเข้าใจ การนาเสนอ ความหมายที่ก่อประโยชน์กบั ผ้เู รียน อกั ขระมีประสิทธิผลในการสื่อข้อความที่ตรงและชดั เจนได้ดี ในขณะที่รูปภาพลญั ลกั ษณ์ภาพ ภาพเคล่ือนไหวและเสียง ชว่ ยทาให้ผ้ใู ช้นึกและจาสารสนเทศได้ ง่ายขึน้ มัลติมีเดียนนั้ เป็ นเครื่องมือที่มีความสามารถในการประสมประสานอกั ขระ สัญลักษณ์ ภาพ รวมถึงสี เสียงภาพน่ิง และภาพวิดีทศั น์เข้าด้วยกัน ทาให้ข้อมลู ข่าวสารมีคณุ คา่ และน่า ตดิ ตามมากขนึ ้ 2. ภาพน่ิง (Still Images) ภาพนิ่งเป็ นภาพกราฟิ กท่ีไม่มีการเคลื่อนไหว เช่น ภาพถ่าย หรือภาพวาด เป็ นต้น ภาพนิ่งมีบทบาทสาคญั ต่อมลั ติมีเดียมาก ทงั้ นีเ้ นื่องจากภาพจะให้ผลใน เชิงของการเรียนรู้ด้วยการมองเห็น ไม่วา่ จะดโู ทรทศั น์ หนงั สือพิมพ์ วารสาร ฯลฯ จะมีภาพเป็น องค์ประกอบเสมอ ดงั คากลา่ วท่ีว่า “ภาพหน่งึ ภาพมีคณุ คา่ เท่ากบั คาถึงพนั คา” ดงั นนั้ ภาพน่ิงจงึ มีบทบาทมาก ในการออกแบบมัลติมีเดียท่ีมีตัวอักษรและภาพน่ิงเป็ น GUI (Graphical User

44 Interface) ภาพน่ิงสามารถผลิตได้หลายวิธี อย่างเช่น การวาด (Drawing) การสแกนภาพ (Scanning) เป็นต้น 3. ภาพเคล่ือนไหว (Animation) ภาพเคล่ือนไหวจะหมายถึง การเคล่ือนไหวของ ภาพกราฟิ ก อาทิ การเคลื่อนไหวของลูกสูบและวาล์วในระบบการทางานของเครื่องยนต์ 4 จังหวะ เป็ นต้น ซึ่งจะทาให้สามารถเข้าใจระบบการทางานของเครื่องยนต์ได้เป็ นอย่างดี ดังนัน้ ภาพเคลื่อนไหว จึงมีขอบข่ายตงั้ แต่การสร้ างภาพด้วยกราฟิ กอย่างง่าย พร้ อมทัง้ การ เคลื่อนไหวกราฟิ กนนั้ จนถึงกราฟิ กท่ีมีรายละเอียดแสดงการเคลื่อนไหวโปรแกรมท่ีใช้ในการสร้าง ภาพเคลื่อนไหวในวงการธุรกิจ ก็มีโปรแกรมสร้ างภาพเคล่ือนไหว (AutoDesk Animation) ซง่ึ มีคณุ สมบตั ดิ ที งั้ ในด้านของการออกแบบกราฟิกละเอียดสาหรับใช้ในมลั ตมิ ีเดยี ตามต้องการ 4. เสียง (Sound) เสียงในมลั ตมิ ีเดียจะจดั เก็บอย่ใู นรูปของข้อมูลดจิ ิตอล และสามารถ เล่นซา้ (Replay) ได้จากเครื่องคอมพิวเตอร์พีซี การใช้เสียงในมัลติมีเดียก็เพื่อนาเสนอข้อมูล หรือสร้ างสภาพแวดล้อมให้น่าสนใจย่ิงขึน้ เช่น เสียงนา้ ไหล, เสียงหัวใจเต้น เป็ นต้น เสียง สามารถใช้เสริมตวั อักษรหรือนาเสนอวัสดุที่ปรากฏบนจอภาพได้เป็ นอย่างดี เสียงท่ีใช้ร่วมกับ โปรแกรมประยกุ ต์สามารถบนั ทึกเป็ นข้อมลู แบบดิจิตอลจากไมโครโฟน แผ่นซีดีเสียง เทปเสียง และวทิ ยุ เป็นต้น 5. วีดทิ ศั น์ การใช้มลั ตมิ ีเดียในอนาคตจะเก่ียวข้องกบั การนาเอาภาพยนตร์วีดิทศั น์ซึง่ อยู่ ในรูปของดจิ ิตอลรวมเข้าไปกบั โปรแกรมประยกุ ต์ที่เขียนขนึ ้ โดยทวั่ ไปของวีดิทศั น์จะนาเสนอด้วย เวลาจริงท่ีจานวน 30 ภาพตอ่ วินาที ในลกั ษณะนีจ้ ะเรียกวา่ วีดทิ ศั น์ดิจิตอล คณุ ภาพของวีดิทัศน์ ดจิ ติ อลจะทดั เทียมกบั คณุ ภาพที่เห็นจากจอโทรทศั น์ ดงั นนั้ ทงั้ วีดทิ ศั น์ดจิ ติ อลและเสียงจงึ เป็ นส่วน ที่ผนวกเข้าไปสกู่ ารนาเสนอและการเขียนโปรแกรมมลั ตมิ ีเดยี วีดทิ ศั น์สามารถนาเสนอได้ทนั ทีด้วย จอคอมพิวเตอร์ ในขณะท่ีเสียงสามารถเลน่ ออกไปยงั ลาโพงภายนอกได้โดยผา่ นการ์ดเสียง 6. การเช่ือมโยงแบบปฏิสัมพันธ์ (Interactive Links) การเช่ือมโยงแบบปฏิสัมพันธ์จะ หมายถึง การท่ีผ้ใู ช้มลั ตมิ ีเดียสามารถเลือกข้อมลู ได้ตามต้องการ โดยใช้ตวั อกั ษรหรือป่ มุ สาหรับ ตวั อกั ษรที่จะสามารถเชื่อมโยงได้จะเป็ นตวั อักษรท่ีมีสีแตกตา่ งจากอกั ษรตวั อื่นๆ ส่วนป่ มุ ก็จะมี ลกั ษณะคล้ายกบั ป่ มุ เพ่ือชมภาพยนตร์ หรือคลิกลงบนป่ มุ เพ่ือเข้าหาข้อมลู ท่ีต้องการ หรือเปล่ียน หน้าตา่ งของข้อมลู ตอ่ สรุปได้ว่า องค์ประกอบของหนงั สืออิเล็กทรอนิกส์ จะประกอบไปด้วยข้อความ ภาพนิ่ง ภาพถ่าย เสียง ภาพเคลื่อนไหว วีดีทศั น์ การเช่ือมโยงแบบมีปฏิสมั พนั ธ์ เพื่อเป็ นการเร้าและ กระต้นุ ความสนใจให้ผ้อู ่านมีความสนใจอยากเรียนรู้และศกึ ษาเนือ้ หาตา่ งๆ

45 4.5 ขัน้ ตอนการพฒั นาหนังสืออเิ ลก็ ทรอนิกส์รูปแบบ ADDIE การพฒั นาหนงั สืออิเล็กทรอนิกส์ในครัง้ นีไ้ ด้อิงหลกั การพฒั นาตามรูปแบบของ ADDIE Model ซึ่งเป็ นแบบท่ีได้รับการยอมรับการอย่างกว้างขวาง มีกระบวนการทางานของ ADDIE Model มีดงั นี ้ Richey, Klein, & Tracey (2011, หน้า 19 อ้างถึงใน สมจติ ร จนั ทร์ฉาย 2557, หน้า 11) กล่าวว่า การออกแบบการเรียนการสอนตามรูปแบบแอดดี (ADDIE model) ประกอบด้วย กิจกรรมใน การดาเนินงาน 5 กิจกรรม ได้แก่ การวิเคราะห์ (analyze) การออกแบบ (design) การพัฒนา (develop) การนาไปใช้ (implement) และการประเมินผล (evaluate) ซ่ึงเม่ือ พิจารณาให้ดีแล้วมีลกั ษณะคล้ายกระบวนการแก้ปัญหาอย่างเป็ นระบบ เร่ิมจากการวิเคราะห์ ปัญหา (analyze) การนาเสนอแนวทางการแก้ ปัญหา (design) การเตรียมการแก้ ปั ญหา (develop) การทดลองการแก้ปัญหา (implement) และสดุ ท้ายประเมินแนวทางการแก้ปัญหาวา่ ประสบความสาเร็จหรือไม่ (evaluate) รูปแบบ ADDIE นี ้ จึงเป็ นรูปแบบที่สามารถนาไป ประยกุ ต์ใช้ในการออกแบบการเรียนการสอนในเรื่องตา่ งๆ ได้อยา่ งกว้างขวาง โดยเฉพาะมีผ้นู ิยม นาไปใช้ในการออกแบบส่ือ วัสดุการเรียนการสอน เช่น การออกแบบชุดการเรียนการสอน การออกแบบบทเรียนแบบโปรแกรม เป็ นต้น ตลอดจนนาไปใช้ในการออกแบบการเรียนการสอน ในระดบั มหภาค คือระบบการศกึ ษาในชมุ ชนและการออกแบบการเรียนการสอนในระดบั ห้องเรียน เพ่ือพฒั นาผลการเรียนรู้ของผ้เู รียนในด้านตา่ ง ๆ องค์ประกอบของกิจกรรมทงั้ 5 งานนี ้ มีความสมั พนั ธ์ดงั แสดงในภาพ 1 การประเมิน การนาไปใช้ การวเิ คราะห์ การออกแบบ การพฒั นา ภาพ 1 แสดงองค์ประกอบ ADDIE model ที่มา : Richey, Klein, & Tracey, 2011, หน้า 19

46 จากภาพ 1 กิจกรรมที่จะต้องปฏิบตั ใิ นแต่ละขนั้ ตอนของการออกแบบการเรียนการสอน ตามรูปแบบของ ADDIE model มีดงั ตอ่ ไปนี ้ ขนั้ ที่ 1 การวิเคราะห์ กิจกรรมท่ีปฏิบตั ใิ นขนั้ นี ้ ได้แก่ 1) การวเิ คราะห์ปัญหาและความต้องการในการเรียนการสอนหรือการฝึกอบรม 2) การวิเคราะห์ระบบ สิ่งแวดล้อม และสภาพขององค์กร เพื่อพิจารณาถึงทรัพยากร และ อปุ สรรคตา่ ง ๆ 3) การศกึ ษาลกั ษณะของกลมุ่ ประชากร 4) การวิเคราะห์เป้ าหมายและจุดประสงค์ว่าเป็ นการเรียนรู้ในลกั ษณะใด เช่น การ เรียนรู้ เนือ้ หา การเรียนรู้ทกั ษะ หรือการเรียนรู้ท่ีเป็นความต้องการเฉพาะ ขนั้ ท่ี 2 การออกแบบ กิจกรรมท่ีปฏิบตั ใิ นขนั้ นี ้ ได้แก่ 1) การกาหนดเป้ าหมาย จดุ ประสงคท์ ี่สามารถสงั เกตได้ วดั ได้ 2) การจดั ลาดบั เป้ าหมายและจดุ ประสงค์ให้ง่ายตอ่ การเรียนและการปฏิบตั ิ 3) การวางแผนการประเมินผลการเรียนรู้และการปฏิบตั ิ 4) การพิจารณากลวิธีการเรียนการสอนให้เหมาะกับเนือ้ หา การจัดกลุ่มการทา กิจกรรม ของผ้เู รียนในลกั ษณะตา่ ง ๆ ในลกั ษณะกลมุ่ และรายบคุ คล 5) การคดั เลือกส่ือการเรียนการสอน ขนั้ ท่ี 3 การพฒั นา กิจกรรมที่ปฏิบตั ใิ นขนั้ นี ้ ได้แก่ 1) การสร้างส่ือ/กิจกรรมหรือโปรแกรมการเรียนการสอนตามที่ได้ออกแบบไว้ 2) การทดสอบ (try out) สื่อ/กิจกรรมหรือโปรแกรมการเรียนการสอนกบั กลมุ่ เป้ าหมาย 3) การปรับปรุงส่ือ/กิจกรรมหรือโปรแกรมการเรียนการสอน ขนั้ ที่ 4 การนาไปใช้กิจกรรมท่ีปฏิบตั ใิ นขนั้ นี ้ ได้แก่ 1) การเผยแพร่ส่ือ/กิจกรรมหรือโปรแกรมการเรียนการสอนท่ีสร้างขนึ ้ เชน่ การติดตงั้ การซอ่ มบารุงสื่อ การจดั อบรมให้ครูรู้วิธีการใช้สื่อ/กิจกรรมหรือโปรแกรมการเรียนการสอนท่ีสร้าง ขนึ ้ การให้คาแนะนาและนเิ ทศการใช้ส่ือ/กิจกรรมหรือโปรแกรมการเรียนการสอน 2) การให้ความช่วยเหลือ สนบั สนนุ ให้ครูยอมรับส่ือ/กิจกรรมหรือโปรแกรมการเรียน การสอน ที่สร้างขนึ ้ และนาสื่อไปใช้ ขนั้ ที่ 5 การประเมนิ กิจกรรมที่ปฏิบตั ใิ นขนั้ นี ้ ได้แก่ 1) การสร้ างเครื่องมือเพ่ือประเมินส่ือ/กิจกรรมหรือโปรแกรมการเรียนการสอนตาม จดุ ประสงค์ท่ีกาหนดไว้

47 2) การทดสอบ (try-out) ส่ือ/กิจกรรมหรือโปรแกรมการเรียนการสอนและเคร่ืองมือวัด ประเมินผลกบั กลมุ่ ตวั อยา่ ง เพ่ือวินจิ ฉยั ผลการเรียนรู้ท่ีเกิดจากผ้เู รียน และรวบรวมข้อมลู เก่ียวกบั ความสาเร็จและความล้มเหลวในการใช้โปรแกรมการเรียนการสอนที่สร้างขนึ ้ เพื่อนาไปปรับปรุงให้ สมบรู ณ์ 3) การประเมินภายหลงั การนาสื่อ/กิจกรรมหรือโปรแกรมการเรียนการสอนไปใช้กับ กลมุ่ ประชากร ผ้ศู กึ ษาได้นามาใช้กระบวนการและขนั้ ตอนของ ADDIE Model มาใช้เป็นกรอบแนวคิด ในการพฒั นาหนงั สืออิเล็กทรอนิกส์โดยครอบคลุมทงั้ 5 ขนั้ ตอน ได้แก่ ขนั้ การวิเคราะห์โดย ศึกษาปัญหาที่เกิดรวมทงั้ หาวิธีการแก้ปัญหา ออกแบบและพฒั นาบทเรียนให้มีองค์ประกอบท่ี สมบรู ณ์ โดยนาผลการวิเคราะห์ข้อมูลมาใช้เป็ นข้อมลู พืน้ ฐานในการออกแบบและพฒั นา แล้ว นาไปทดลองหาประสทิ ธิภาพว่าหนงั สืออิเล็กทรอนิกส์ท่ีได้มีคณุ ภาพและประสิทธิภาพหรือไม่ เพ่ือ ปรับปรุงและพัฒนาให้ดีขึน้ พร้ อมทงั้ นาผลการประเมินมาหาค่าทางสถิติและเขียนรายงานผล การศกึ ษา 5. การประเมินหนังสืออเิ ลก็ ทรอนิกส์ ชวนพิศ ปะกิระนา (2554, หน้า 37) กล่าวว่าหนงั สืออิเล็กทรอนิกส์เป็ นหนงั สือท่ีใช้ โปรแกรมคอมพิวเตอร์ประเภทหนึ่งที่ประยกุ ต์ใช้ในด้านการศกึ ษา ดงั นนั้ เมื่อพฒั นาแล้วจึงจะต้อง รับการประเมินเพ่ือตรวจสอบโครงสร้างภายใน ประเมินผลลพั ธ์ ประเมินสิ่งตา่ งๆ ท่ีประกอบเป็ น โครงสร้างภายใน เชน่ ด้านเนือ้ หา ด้านการออกแบบเก่ียวกบั จอภาพ ความยากงา่ ยในการใช้งาน เป็ นต้น ในการประเมินจะใช้แบบสอบถาม โดยส่วนใหญ่จะใช้แบบมาตราส่วนประมาณค่า สอบถามผ้ทู ดลองใช้ส่ือ ได้แก่ ผ้เู ชี่ยวชาญในการพฒั นาโปรแกรม ผ้เู ชี่ยวชาญในด้านสื่อ ผ้สู อน และนกั เรียนทว่ั ๆ ไป ทงั้ นีก้ ารท่ีจะใช้ประเมินเป็ นกล่มุ ใดผ้อู อกแบบจะต้องเลือกอย่างเหมาะสม สอดคล้องกบั รายการท่ีจะประเมนิ รายละเอียดท่ีผ้อู อกแบบสามารถเลือกใช้ประเมนิ ส่ือ ดงั ตอ่ ไปนี ้ (พิสทุ ธา อารีราษฎร์, 2551, หน้า 141 อ้างอิงใน ชวนพิศ ปะกิระนา, 2554, หน้า 37) 5.1 การประเมินองค์ประกอบ การประเมินองค์ประกอบ หมายถงึ การประเมนิ ตามแนวทางการศกึ ษาท่ีเน้นประเมินใน ด้านเนือ้ หาและแบบทดสอบในด้านการออกแบบ เชน่ สี เสียง หรือภาพ เป็นต้น ด้านการจดั การ ของบทเรียนตลอดจนการทาเอกสาร (พิสุทธา อารีราษฎร์, 2551, หน้า 147 - 151 อ้างอิงใน ชวนพศิ ปะกิระนา, 2554, หน้า 37)

48 5.1.1 ด้านเนือ้ หา เนือ้ หาถือเป็ นส่วนที่สาคญั ในการพฒั นาสื่อ เน่ืองจากเนือ้ หา เป็นสว่ นท่ีจะให้ความรู้แกน่ กั เรียน ดงั นนั้ ในการประเมนิ จะประเมินในประเดน็ ตา่ งๆ ดงั นี ้ 1) ด้านความเหมาะสมของเนือ้ หา หมายถึง การประเมินในด้านความ เหมาะสมของเนือ้ หากบั นกั เรียน บทเรียนที่ดีควรจะมีคณุ ลกั ษณะอย่างหนึ่งคือมีเนือ้ หาท่ีตรงกับ ระดบั ของนกั เรียน โดยมีการใช้ภาษาที่เหมาะสม มีการสอดแทรกการอธิบายด้วยภาพนิ่งหรือ ภาพเคล่ือนไหว 2) ด้านความถูกต้องของเนือ้ หาความถูกต้องของเนือ้ หาเป็ นประเด็น สาคญั ที่จะต้องมีการตรวจสอบและประเมนิ เนือ้ หาที่นาเสนอในส่ือจะต้องเป็ นเนือ้ หาท่ีถกู ต้องและ ครบถ้วน ไม่คลุมเครือ นอกจากนีจ้ ะต้องใช้ภาษา สะกดคาหรือใช้ไวยากรณ์ได้อย่างถูกต้อง เชน่ กนั 3) คณุ คา่ ของเนือ้ หา หมายถึง เนือ้ หาที่นาเสนอในสื่อมีคณุ คา่ เพียงไรตอ่ นกั เรียน เชน่ เนือ้ หาท่ีมงุ่ แตค่ วามเพลิดเพลนิ ความรุนแรง หรือเนือ้ หาที่นาเสนอในแง่การเหยียด ผิว เชือ้ ชาติ เป็ นต้น ซง่ึ เนือ้ หาที่กลา่ วถึงนีถ้ ือวา่ เป็ นเนือ้ หาที่ไม่มีคณุ คา่ และไม่เกิดประโยชน์ตอ่ นกั เรียนแตอ่ ยา่ งใด โดยเฉพาะอยา่ งยิง่ ถ้านกั เรียนเป็นเดก็ เล็กผ้อู อกแบบควรจะระมดั ระวงั ดงั นนั้ การประเมินคณุ คา่ ของเนือ้ หาจงึ เป็นสงิ่ ท่ีสาคญั 5.1.2 ด้านการออกแบบ หมายถึง การออกแบบลกั ษณะโครงสร้างของงจอภาพที่ นาเสนอการใช้สีและตวั อกั ษร และการใช้ส่ือประสม ดงั รายละเอียดตอ่ ไปนี ้ 1) การใช้พืน้ ท่ีหน้าจอ เนื่องจากจอภาพคอมพิวเตอร์เป็ นสว่ นที่จะใช้ติดตอ่ กับนักเรียน ดงั นนั้ การออกแบบการใช้พืน้ ท่ีของจอกภาพ จึงควรออกแบบให้มีความง่ายและ สะดวกต่อการใช้ของนักเรียน จัดรูปแบบนาเสนอขอจอภาพอย่างเป็ นสัดส่วนชัดเจนและเป็ น รูปแบบการนาเสนอตลอดทงั้ บทเรียน 2) การใช้สีและตวั อกั ษร การออกแบบเพ่ือการใช้สีและตวั อกั ษรถือว่าเป็ น องค์ประกอบหนึ่งในการนาเสนอของจอภาพ สีท่ีใช้ควรเป็ นสีที่สบายตาและผ่อนคลายนกั เรียน นอกจากนีจ้ ะต้องเน้นความสวยงามและความชดั เจน ในส่วนของตวั อกั ษรก็เช่นกันควรจะเป็ น ตวั อกั ษรที่มีขนาดเหมาะสม และใช้สีของตวั อกั ษรโดยมีหลกั คือ สีของตวั อกั ษรเข้มบนสีพืน้ ท่ีอ่อน หรือใช้สีตวั อกั ษรออ่ นบนพืน้ เข้ม 3) การใช้ส่ือประสม หมายถึง การใช้เสียง ภาพนิ่ง ภาพเคล่ือนไหว หรือ ข้อความในบทเรียน ซง่ึ จะทาให้บทเรียนมีการอธิบายท่ีหลากหลาย แตอ่ ยา่ งไรก็ตามการใช้ส่ือประ

49 สมควรจะพิจารณาให้เหมาะสมกบั วยั หรือระดบั ของนกั เรียน สถานการณ์ในบทเรียนและควรเปิ ด โอกาสให้นกั เรียนได้ควบคมุ การแสดงผลบนจอภาพในด้านส่ือประสมด้วยตนเองได้ 5.1.3 ด้านกิจกรรม ในการออกแบบสื่อส่วนหน่ึงท่ีจะต้องออกแบบควบคู่กันไป ได้แก่ กิจกรรมท่ีจะให้นกั เรียนได้มีปฏิสมั พนั ธ์เพ่ือให้มีส่วนร่วมหรือเพื่อทาการทดสอบความรู้ นกั เรียน กิจกรรมท่ีออกแบบในบทเรียนจะต้องสอดคล้องกับเนือ้ หาท่ีกาลงั นาเสนอ และถ้าเป็ น กิจกรรมที่เป็ นแบบการตอบคาถามหรือแบบทดสอบจะต้องเป็ นแบบทดสอบท่ีผ่านการหาความ ยากงา่ ย คา่ อานาจจาแนก หรือคา่ ความเชื่อมนั่ มาก่อน และจะต้องเป็นคาถามท่ีชดั เจน ตลอดจน สอดคล้องกบั เนือ้ หาที่จะนาเสนอ นอกจากนีก้ ิจกรรมตา่ งๆ ที่นกั เรียนได้มีปฏิสมั พนั ธ์ควรจัดให้มี การเสริมแรง (Reinforcement) ในจงั หวะที่เหมาะสมกบั เวลาและระดบั ของนกั เรียน 5.1.4 ด้านการจดั การบทเรียน หมายถึง วธิ ีการควบคมุ บทเรียน ความชดั เจนของ คาสง่ั ในตวั บทเรียน การจดั ทาเอกสารประเดน็ ตา่ งๆ เหลา่ นี ้ จะต้องมีการออกแบบอยา่ งเหมาะสม และสมบรู ณ์ ดงั นี ้ 1) ส่วนของวิธีการควบคุมบทเรียน หมายถึง นักเรียนมีโอกาสในการ ควบคมุ บทเรียนเป็ นอย่างไร บทเรียนเสนอหวั ข้อหลกั หรือหวั ข้อย่อยสอดคล้องกันหรือไม่อย่างไร ตลอดจนการมีส่ิงอานวยความสะดวกในสื่อที่ให้นกั เรียนได้จดั การเองได้ เช่น การปรับแต่งเร่ือง การตงั้ เวลาให้ความชว่ ยเหลือ เป็นต้น 2) ความชัดเจนของคาสั่งในบทเรียน หมายถึง การที่นักเรี ยนสามารถ จดั การบทเรียนได้ง่ายไมส่ บั สน โดยไมต่ ้องร้องขอความชว่ ยเหลือจากผ้สู อน หรือนกั เรียนท่ีไมม่ ีพืน้ ความรู้ด้านคอมพิวเตอร์ก็สามารถใช้งานบทเรียนได้ 3) ส่วนการจัดทาเอกสาร ถือเป็ นส่วนหนึ่งที่จาเป็ นต้องจัดทาเนื่องจาก สามารถใช้เอกสารเป็ นแหล่งอ้างอิงได้ และสามารถใช้เป็ นค่มู ือในการใช้บทเรียนได้ เอกสารท่ีดี ควรประกอบด้วยรายละเอียดที่เกี่ยวกับอปุ กรณ์ท่ีจาเป็ น การแนะนาบทเรียน วตั ถุประสงค์ของ บทเรียน การใช้งานบทเรียนและปัญหาท่ีอาจจะพบได้ในการใช้บทเรียน สรุปได้ว่า ผ้อู อกแบบต้องประเมินองค์ประกอบของหนงั สืออิเล็กทรอนิกส์ให้ครอบคลมุ ทงั้ ด้านเนือ้ หา การออกแบบ ด้านกิจกรรม และด้านจดั การบทเรียน ซึ่งแตล่ ะองค์ประกอบของ หนงั สือต้องมีผ้เู ช่ียวชาญที่มีความรู้ความสามารถเป็นผ้ปู ระเมิน

50 5.2 การประเมนิ ประสิทธิภาพ 5.2.1 ความหมายของประสิทธิภาพ ไชยยศ เรืองสุวรรณ (2533, หน้า 127) ให้ความหมายของการหาประสิทธิภาพไว้ว่า การหาประสิทธิภาพเป็ นการพิจารณาหาประสิทธิภาพและคณุ ภาพส่ือที่ใช้ในการจดั การเรียนการ สอน โดยเริ่มจากกการกาหนดปัญหา หรือคาถามเช่นเดียวกับการวิจัย จึงเรียกว่า การวิจัย ประเมนิ (Evaluation research) นุชจรี สละริม (2558, หน้ า 53) ให้ ความหมายของการหาประสิทธิภาพไว้ ว่า การประเมินส่ือการสอนเพื่อตรวจสอบคณุ ภาพ และหาข้อผิดพลาดของส่ือการเรียนการสอน โดย การนาไปทดลองกบั กลมุ่ ตวั อย่างแล้วนาผลการทดลองมาปรับปรุงคณุ ภาพสื่อการเรียนการสอนให้ มีคณุ ภาพตามเกณฑ์ท่ีกาหนด บุญชม ศรีสะอาด (2533, หน้า 23) ให้ความหมายของการหาประสิทธิภาพไว้ว่า เป็นการประเมนิ ผลสื่อการสอนวา่ มีคณุ ภาพ และมีคณุ คา่ ระดบั ใด พสิ ทุ ธา อารีราษฎร์ (2551, หน้า 151) อ้างอิงใน ชวนพิศ ปะกิระนา (2554, หน้า 40) กล่าวว่า ประสิทธิภาพของบทเรียน (efficiency) หมายถึง ความสามารถของบทเรียนในการ สร้างผลสมั ฤทธิ์ให้นกั เรียนบรรลุวตั ถุประสงค์ตามระดบั ที่คาดหวงั โดยการทาแบบทดสอบหรือ แบบฝึกหดั ระหวา่ งบทเรียนและแบบทดสอบหลงั เรียน จากความหมายที่กล่าวว่า สรุปได้วา่ การหาประสิทธิภาพ หมายถึง การตรวจสอบหา ประสิทธิภาพและคณุ ภาพของสื่อการสอน บทเรียนบนส่ือการสอน วา่ มีคณุ ภาพหรือข้อผิดพลาด หรือไม่ โดยการนาไปทดลองแล้วนาผลมาปรับปรุงแก้ไขคณุ ภาพของส่ือการสอนและบทเรียนบน สื่อการสอนให้มีคณุ ภาพและบรรลวุ ตั ถปุ ระสงค์ 5.2.2 ขัน้ ตอนการหาประสทิ ธิภาพ ชัยยงค์ พรหมวงศ์ (2521) กล่าวถึงขัน้ ตอนการหาประสิทธิภาพของชุดการสอน (developmental testing) ไว้ว่าเป็ นการนาชดุ การสอนไปทดลองใช้ (try out) เพ่ือปรับปรุงแล้ว นาไปใช้สอนจริง โดยมีขนั้ ตอนการหาประสทิ ธิภาพ ดงั นี ้ 1. แบบเดี่ยว (1 : 1) คือทดลองกบั ผ้เู รียน 3 คน โดยใช้เด็กอ่อน ปานกลาง และเก่ง คานวณหาประสทิ ธิภาพ เสร็จแล้วปรับปรุงให้ดีขนึ ้ โดยปกตคิ ะแนนที่ได้จากการทดลองแบบเดี่ยว นีจ้ ะได้คะแนนต่ากวา่ เกณฑ์มากแตเ่ มื่อปรับปรุงแล้วจะสงู ขนึ ้ มาก

51 2. แบบกลุ่ม (1 : 10) คือ ทดลองกับผู้เรียน 6 – 10 คน คละผู้เรียนท่ีเก่งกับอ่อน คานวณหาประสิทธิภาพแล้วปรับปรุง ในคราวนีค้ ะแนนของผ้เู รียนจะเพิ่มขึน้ อีกเกือบเท่าเกณฑ์ โดยเฉลี่ยจะหา่ งจากเกณฑ์ประมาณ 10% นนั่ คือ E1/E2 ท่ีจะได้มีคา่ ประมาณ 70/70 3. แบบภาคสนาม (1 : 100) คือทดลองกับผู้เรียนทัง้ ชัน้ 30 คน คานวณหา ประสิทธิภาพแล้วให้เทียบคา่ E1/E2 ที่จะได้จากชดุ การสอนกบั E1/E2 เกณฑ์ เพ่ือดวู า่ จะยอมรับ ประสทิ ธิภาพหรือไม่ การยอมรับประสิทธิภาพให้ถือคา่ แปรปรวน 2.5 – 5% นน่ั คือ ประสิทธิภาพ ของบทเรียนไมค่ วรตา่ กว่าเกณฑ์ 5% แตโ่ ดยปกตจิ ะกาหนดไว้ 2.5% เชน่ ตงั้ เกณฑ์ประสิทธิภาพ ไว้ 90/90 เม่ือทดลองแบบ 1 : 100 แล้ว บทเรียนนัน้ มีประสิทธิภาพ 87.5/87.5 ก็สามารถ ยอมรับได้วา่ บทเรียนนนั้ มีประสิทธิภาพ วิธีการหาประสิทธิภาพสื่อ จะใช้คะแนนเฉล่ียจากการทาแบบทดสอบหรือกิจกรรม ระหว่างเรียนมาคานวณร้อยละซ่ึงจะเรียกว่า Event1 หรือ E1 มาเปรียบเทียบกบั คะแนนเฉลี่ยใน รูปของร้ อยละจากการทาแบบทดสอบหลังเรียนซ่ึงจะเรียกว่า Event2 หรือ E2 โดยนามา เปรียบเทียบกันในรูปแบบ E1/E2 อย่างไรก็ตามคา่ ร้อยละของ E1/E2 ท่ีคานวณได้จะต้องนามา เปรียบเทียบกบั เกณฑ์มาตรฐานท่ีตงั้ ไว้ 5.2.3 เกณฑ์การหาประสทิ ธิภาพ การกาหนดเกณฑ์ประสิทธิภาพเป็ นการคาดหมายว่า นกั เรียนจะบรรลจุ ุดประสงค์หรือ เปลี่ยนพฤตกิ รรมเป็นท่ีพงึ พอใจของผ้ปู ระเมิน โดยกาหนดเป็นเปอร์เซ็นต์ ผลเฉล่ียของคะแนนการ ทางานและการประกอบกิจกรรมของนกั เรียนทงั้ หมดต่อเปอร์เซ็นต์ของผลการสอนหลงั เรียนของ นกั เรียนทงั้ หมด นนั่ คอื E1/E2 มีนกั วชิ าการได้กลา่ วถึงเกณฑ์การหาประสทิ ธิภาพไว้ดงั นี ้ ชยั ยงค์ พรหมวงศ์ และคณะ (2521, หน้า 134) กลา่ วถึงเกณฑ์การหาประสิทธิภาพไว้ วา่ เกณฑ์การหาประสิทธิภาพของสื่อที่ใช้ในการเรียนการสอน หมายถึง ระดบั ประสิทธิภาพของ สื่อการเรียนการสอนท่ีจะช่วยให้ผู้เรียนเกิดการเรียนรู้ เป็ นระดับที่ผู้ผลิตส่ือพึงพอใจว่ามี ประสทิ ธิภาพส่ือการเรียนการสอนนนั้ จงึ จะมีคณุ คา่ ที่จะนาไปใช้สอนนกั เรียน และค้มุ กบั การลงทนุ ผลิตออกมาเป็ นจานวนมาก สาหรับการกาหนดเกณฑ์ประสิทธิภาพ กระทาได้โดยประเมินผล พฤตกิ รรมของผ้เู รียน 2 ประการ คอื พฤตกิ รรมตอ่ เนื่อง (กระบวนการ) และพฤตกิ รรมขนั้ สดุ ท้าย (ผลลพั ธ์) โดยกาหนดคา่ ประสิทธิภาพเป็น E1 คือประสทิ ธิภาพของงานและแบบฝึกหดั กระทาได้ โดยคะแนนงานทกุ ชิน้ ของนกั เรียนแต่ละคนมารวมกัน แล้วหาคา่ เฉลี่ยและเทียบส่วนเป็ นร้อยละ

52 และ E2 คือประสิทธิภาพของผลลพั ธ์ของแตล่ ะชดุ การสอนมารวมกนั โดยนาคะแนนของนกั เรียน ทงั้ หมดมารวมกนั หาคา่ เฉลี่ยและเทียบสว่ นเพ่ือหาคา่ ร้อยละ เกณฑ์มาตรฐานเป็ นส่ิงที่กาหนดขึน้ มาเพื่อใช้ เป็ นเกณฑ์ในการวัดและประเมิน ประสิทธิภาพของบทเรียน เกณฑ์ที่ใช้วดั โดยทว่ั ไปจะกาหนดไว้ไม่ต่ากว่าร้อยละ 80 เชน่ 80/80 โดยคา่ ท่ีกาหนดไว้มีความหมายดงั นี ้ 80 ตวั แรก คือ เกณฑ์ของประสิทธิภาพของบทเรียนจากการทาแบบฝึ กหัดหรือการ ปฏิบตั กิ ิจกรรมในระหวา่ งเรียนบทเรียน 80 ตวั หลงั คือ เกณฑ์ของประสิทธิภาพของบทเรียนจากการทาแบบทดสอบหลงั การ เรียน การกาหนดเกณฑ์มาตรฐานไม่ควรกาหนดให้มีค่าสูงเกินไปหรือต่าเกินไป แต่ควร กาหนดให้สอดคล้องกับระดบั นกั เรียนที่จะเป็ นผู้ใช้บทเรียน โดยมีแนวทางการกาหนดไว้กว้างๆ ดงั นี ้ (พิสทุ ธา อารีราษฎร์, 2551, หน้า 152 อ้างองิ ใน ชวนพิศ ปะกิระนา, 2554, หน้า 40) 1. บทเรียนสาหรับเดก็ เลก็ ควรจะกาหนดเกณฑ์ไว้ระหวา่ งร้อยละ 95 – 100 2. บทเรียนสาหรับเนือ้ หาทฤษฎีหลักการความคิดรวบยอดและเนือ้ หาพืน้ ฐานควร กาหนดเกณฑ์ไว้ระหวา่ งร้อยละ 90 – 95 3. บทเรียนที่มีเนือ้ หาวิชาที่ยากและซับซ้อนต้องใช้ระยะเวลาในการวิจัยมากกว่าปกติ ควรกาหนดไว้ระหวา่ งร้อยละ 85 – 90 4. บทเรียนวิชาปฏิบตั ิวิชาประลองหรือวิชาทฤษฎีถึงปฏิบตั ิ ควรกาหนดไว้ระหว่างร้ อย ละ 80 – 85 5. สื่อสาหรับบุคคลทว่ั ไปได้ระบกุ ล่มุ เป้ าหมายท่ีชดั เจน ควรกาหนดไว้ระหว่างร้อยละ 80 – 85 การกาหนดเกณฑ์ E1/E2 ให้มีคา่ เทา่ ใดนนั้ ควรพิจารณาตามความเหมาะสม โดยปกติ เนือ้ หาที่เป็ นความรู้ความจา มกั จะตงั้ ไว้ 80/80, 85/85 และ 90/901 ส่วนเนือ้ หาท่ีเป็ นทักษะ อาจตงั้ ไว้ต่ากว่านี ้ เช่น 75/75 เป็ นต้น เมื่อกาหนดเกณฑ์แล้วนาไปทดลองจริงอาจได้ผลไม่ตรง ตามเกณฑ์ แต่ไม่ควรได้ต่ากว่าท่ีกาหนดไว้ร้ อยละ 5 เช่น กาหนดไว้ 90/90 ก็ไม่ควรต่ากว่า 85.5/85.5 สรุปได้ว่า การหาประสิทธิภาพควรมีการกาหนดเกณฑ์ตามความเหมาะสม ความ สอดคล้อง และกระบวนการใช้สื่อการสอนแตล่ ะประเภท

53 5.2.4 วิธีการคานวณหาประสิทธิภาพ ชยั ยงค์ พรหมวงค์ (2537) มีสตู รคานวณหาประสิทธิภาพ ดงั นี ้ การคานวณหาประสิทธิภาพของกระบวนการ ∑ ������ E1 = [ ������ ] × 100 ������ E1 หมายถึง ประสิทธิภาพของกระบวนการท่ีจดั ไว้ในชุดการสอน คือ เป็ น ร้อยละจากการทาแบบฝึกหดั และ/หรือประกอบกิจกรรมการเรียน ∑ ������ หมายถงึ คะแนนรวมของผ้เู รียนจากการทาแบบฝึ กหดั และ/หรือประกอบ กิจกรรมการเรียน N หมายถงึ จานวนผ้เู รียน A หมายถงึ คะแนนเตม็ ของแบบฝึกหดั และ/หรือกิจกรรมการเรียน การคานวณหาประสิทธิภาพของผลลพั ธ์ ∑ ������ E2 = [ ������ ] × 100 ������������ E2 หมายถึง ประสิทธิภาพของผลลพั ธ์ พฤติกรรมที่เปล่ียนแปลงในตวั ผ้เู รียน เป็นร้อยละจากการทาแบบทดสอบหลงั เรียนและ/หรือประกอบกิจกรรมหลงั เรียน ∑ ������ หมายถงึ คะแนนรวมของผ้เู รียนจากการทาการทดสอบหลงั เรียนและ/หรือ ประกอบกิจกรรมหลงั เรียน N หมายถึง จานวนผ้เู รียน A หมายถงึ คะแนนเตม็ ของแบบทดสอบหลงั เรียนและ/หรือกิจกรรมหลงั เรียน จากวิธีการคานวณหาประสิทธิภาพ จะมีวิธีการคานวณหาประสิทธิภาพหลายแนวทาง แต่ในการพัฒนาหนังสืออิเล็กทรอนิกส์เรื่องลักษณนาม กลุ่มสาระการเรียนรู้ภาษาไทย ชนั้ ประถมศึกษาปี ท่ี 3 นนั้ ผู้วิจยั ได้ใช้เกณฑ์การหาประสิทธิภาพของหนงั สืออิเล็กทรอนิกส์ท่ี

54 บรรจเุ นือ้ หาเร่ืองลกั ษณนามไว้ โดยใช้ขนั้ ตอนการหาประสิทธิภาพ เกณฑ์ประสิทธิภาพ 80/80 และวิธีการคานวณหาประสทิ ธิภาพของ (ชยั ยงค์ พรหมวงศ,์ 2553, หน้า 490 – 497) 5.3 การประเมินโดยใช้ผลสัมฤทธ์ิทางการเรียน ผลสมั ฤทธ์ิทางการเรียน (Achievement) หมายถึง ความสามารถของนกั เรียนในการ แสดงออก โดยการทาแบบทดสอบให้ถกู ต้องหลงั จากได้ผา่ นการวจิ ยั จากบทเรียนแล้ว ถ้านกั เรียน แสดงออกถึงความสามารถมากโดยทดสอบแล้วได้คะแนนสูงจะถือว่า นักเรียนมีผลสัมฤทธิ์ ทางการเรียนสงู ซึง่ ความสามารถท่ีมีของนกั เรียนนีเ้ป็ นผลมาจากการได้ศึกษาเนือ้ หาความรู้จาก บทเรียน ดงั นัน้ จึงเป็ นการวัดคุณภาพของบทเรียนได้เช่นกัน ถ้าบทเรียนมีคุณภาพดีเมื่อให้ นกั เรียนได้เรียนเนือ้ หาผ่านส่ือแล้วทาให้นกั เรียนมีผลสมั ฤทธิ์ทางการเรียนที่ดีด้วย ในทางตรงกนั ข้ามถ้าบทเรียนไมม่ ีคณุ ภาพเม่ือนกั เรียนผ่านส่ือแล้ว อาจจะมีผลทาให้ผลสมั ฤทธิ์ทางการเรียนต่า หรือคอ่ นข้างต่าได้เช่นกนั (พิสทุ ธา อารีราษฎร์, 2551, หน้า 157 อ้างอิงใน ชวนพิศ ปะกิระนา, 2554, หน้า 41) การหาผลสมั ฤทธิ์ทางการเรียนโดยทว่ั ไปจะหาได้โดยการเปรียบเทียบกับเหตกุ ารณ์หรือ เงื่อนไขต่างๆ หรือเปรียบเทียบระหว่างกลุ่มนักเรียนหรือเปรียบเทียบในกลุ่มเดียวกันแต่ภายใน เหตกุ ารณ์ 2 เหตกุ ารณ์ขนึ ้ ไป ซง่ึ เมื่อเปรียบเทียบแล้วจาทาให้ทราบวา่ แตกตา่ งกนั หรือดีขนึ ้ หรือ ดีกว่าอย่างไร โดยสถิติท่ีใช้ทดสอบได้แก่ z-test, t-test และ f-test นอกจากนีใ้ นการหา ผลสมั ฤทธ์ิทางการเรียนของนกั เรียนจะต้องใช้รูปแบบการทดลอง (Experimental) เพ่ือเป็ นแบบ แผนในการทดลองและจะต้องเขียนสมมติฐานในการทดลองเพ่ือเป็ นตวั ชีน้ าในการทดลองด้วย (พิสทุ ธา อารีราษฎร์, 2551, หน้า 155 อ้างองิ ใน ชวนพิศ ปะกิระนา, 2554, หน้า 41) แบบทดสอบวดั ผลสมั ฤทธิ์ทางการเรียนเป็ นเครื่องมือวดั ผลสมั ฤทธิ์ทางการเรียนอย่าง หนง่ึ มีนกั การศกึ ษาได้กลา่ วถงึ การสร้างเคร่ืองมือวดั ผลสมั ฤทธ์ิทางการเรียนภาษาไทยไว้ดงั นี ้ พิชิต ฤทธิ์จรูญ (2555, หน้า 97 – 98) กล่าวถึงการสร้ างแบบทดสอบวดั ผลสมั ฤทธิ์มี ขนั้ ตอนดงั นี ้ 1. วิเคราะห์หลกั สตู รและสร้างตารางวิเคราะห์หลกั สูตร ซ่ึงจะใช้เป็ นกรอบในการออก ข้อสอบโดยการระบจุ านวนข้อสอบในแตล่ ะเรื่องและพฤตกิ รรมท่ีต้องการจะวดั ไว้ 2. กาหนดจดุ ประสงค์การเรียนรู้ซง่ึ ผ้สู อนจะต้องกาหนดไว้ล้วงหน้าสาหรับเป็ นแนวทาง ในการจดั การเรียนการสอนและการสร้างข้อสอบวดั ผลสมั ฤทธ์ิ

55 3. กาหนดชนิดของข้อสอบและศึกษาวิธีสร้าง โดยศึกษาตารางวิเคราะห์หลกั สตู รและ จดุ ประสงคก์ ารเรียนรู้ ผ้อู อกข้อสอบต้องพิจารณาและตดั สนิ ใจเลือกใช้ชนิดของข้อสอบ โดยเลือก ให้สอดคล้องกบั จดุ ประสงค์การเรียนรู้และเหมาะสมกบั วยั ของผ้เู รียน โดยศึกษาวิธีเขียนข้อสอบ ชนดิ นนั้ ให้มีความรู้ความเข้าใจในหลกั และวิธีการเขียนข้อสอบ 4. เขียนข้อสอบ โดยลงมือเขียนข้อสอบตามรายละเอียดท่ีกาหนดไว้ในตารางวิเคราะห์ หลกั สตู ร และให้สอดคล้องกบั จดุ ประสงค์การเรียนรู้ โดยอาศยั หลกั และวิธีการเขียนข้อสอบตามท่ี ได้ศกึ ษามา 5. ตรวจทานข้อสอบ ผ้อู อกข้อสอบต้องพิจารณาทบทวนตรวจทานข้อสอบอีกครัง้ ก่อน จะจดั พมิ พ์และนาไปใช้ 6. จดั พิมพ์แบบทดสอบฉบบั ทดลอง โดยมีคาชีแ้ จงหรือคาอธิบานวิธีตอบแบบทดสอบ (Direction) และจดั วางรูปแบบการพมิ พ์ให้เหมาะสม 7. ทดลองสอบและวิเคราะห์ข้อสอบ การทดสองสอบและวิเคราะห์ข้อสอบเป็ นวิธีการ ตรวจสอบคณุ ภาพของแบบทดสอบก่อนนาไปใช้จริง โดยนาแบบทดสอบไปทดสอบกับกลุ่มท่ีมี ลกั ษณะคล้ายคลึงกันกับกลุ่มท่ีต้องการสอบจริง และนาผลการสอบมาวิเคราะห์และปรับปรุง ข้อสอบให้มีคณุ ภาพกอ่ นนาไปใช้จริง 8. จดั ทาแบบทดสอบฉบบั จริงจากผลการวิเคราะห์ข้อสอบ หากพบวา่ ข้อสอบข้อใดไม่มี คณุ ภาพหรือมีคณุ ภาพไม่ดีพอ อาจจะต้องตดั ทงิ ้ หรือปรับปรุงแก้ไขข้อสอบให้มีคณุ ภาพดีขนั้ แล้ว จงึ ทาเป็นแบบทดสอบฉบบั จริงที่จะนาไปทดสอบ สรุปได้วา่ ขนั้ ตอนในการสร้างแบบทดสอบวดั ผลสมั ฤทธ์ิทางการเรียนภาษาไทยมีดงั นี ้ 1. วิเคราะห์หลกั สตู รและสร้างตารางวเิ คราะห์หลกั สตู ร 2. กาหนดพฤตกิ รรมการและจดุ ประสงค์การเรียนรู้ 3. กาหนดชนดิ ของข้อสอบและศกึ ษาวธิ ีสร้าง 4. กาหนดขอบเขตเนือ้ หา 5. เขียนข้อสอบและตรวจทาน 6. จดั พิมพ์เพ่ือทดลองใช้ 7. ทดลองสอบและวิเคราะห์ข้อสอบ 8. จดั ทาแบบทดสอบฉบบั จริง การหาคณุ ภาพของแบบทดสอบ แบบทดสอบเป็ นเคร่ืองมือวดั ผลท่ีครูผ้สู อนสร้างขึน้ เพ่ือ ใช้วดั พฤติกรรมหรือคณุ ลกั ษณะที่ต้องการให้เกิดกับผ้เู รียน จึงจาเป็ นต้องสร้ างอย่างมีหลักการ

56 และต้องหาคณุ ภาพของเคร่ืองมือด้วย เพราะเครื่องมือที่มีคณุ ภาพจึงจะทาให้การวดั ผลมีความ ถกู ต้องเช่ือถือได้ การตรวจสอบคณุ ภาพเคร่ืองมือเป็ นการตรวจสอบในเรื่องความเที่ยงตรง ความ เช่ือมน่ั ความยาก อานาจจาแนก และความเป็นปรนยั ซงึ่ เคร่ืองมือวดั ผลบางชนดิ อาจไมจ่ าเป็น ที่จะต้องตรวจสอบคณุ ภาพครบทงั้ 5 ประการท่ีกลา่ วถึง ดงั นี ้ พิชิต ฤทธิ์จารูญ (2555, หน้า 136 – 142) ได้กล่าวถึงรายละเอียดของการตรวจสอบ คณุ ภาพเคร่ืองมือวดั ผล ดงั นี ้ 1. ความเที่ยงตรง (Validity) เป็ นคุณสมบัติของเคร่ืองมือที่สามารถวัดได้ ตาม วตั ถปุ ระสงค์ท่ีต้องการวดั แบง่ ออกเป็น 3 ประเภท คือ 1.1 ความเท่ียงตรงเชิงเนือ้ หา (Content Validity) หมายถึง คุณสมบัติของข้อ คาถามที่สามารถวดั ได้ตรงตามเนือ้ หาและพฤติกรรมที่ต้องการวดั และเมื่อรวบรวมข้อคาถามทกุ ข้อเป็นเคร่ืองมือทงั้ ฉบบั จะต้องวดั ได้ครอบคลมุ เนือ้ หาและพฤตกิ รรมทงั้ หมดที่ต้องการวดั ด้วย 1.2 ความเที่ยงตรงเชงิ โครงสร้าง (Construct Validity) เป็นคณุ สมบตั ขิ องเคร่ืองมือ ท่ีสามารถวดั ได้ตรงตามทฤษฎีหรือแนวคดิ ของโครงสร้างที่ต้องการจะวดั 1.3 ความตรงตามเกณฑ์ท่ีเก่ียวข้อง (Criteria Relative Validity) เป็ นคณุ สมบตั ิ ของเคร่ืองมือที่สามารถวดั ได้สอดคล้องกบั เกณฑ์ภายนอกบางอย่าง แบง่ ออกเป็ น 2 ประเภทคอื ความเที่ยงตรงเชิงสภาพ (Concurrent Validity) เป็ นคณุ สมบตั ขิ องเคร่ืองมือที่สามารถวดั ได้ตรง กับสภาพความเป็ นจริงที่เกิดขึน้ ในปัจจุบนั และความตรงเชิงพยากรณ์ (Predictive Validity) เป็นคณุ สมบตั ขิ องเครื่องมือที่สามารถวดั ได้ตรงกบั สภาพความเป็ นจริงท่ีเกิดขนึ ้ ในอนาคต 2. ความเชื่อมน่ั (Reliability) เป็ นคณุ สมบตั ิของเคร่ืองมือที่แสดงให้ทราบว่าเคร่ืองมือ นนั้ ๆ ให้ผลของการวดั ท่ีคงที่ไมว่ า่ จะใช้วดั กี่ครัง้ ก็ตามกบั กลมุ่ เดมิ 3. ความยาก (Difficulty) เป็ นคณุ สมบตั ิของข้อสอบที่บอกให้ทราบว่าข้อสอบข้อนนั้ มี คนตอบถูกมากหรือน้อย ถ้ามีคนตอบถูกมากข้อสอบนนั้ ก็ง่าย ถ้ามีคนตอบถูกน้อยข้อสอบนนั้ ก็ ยาก ข้อสอบที่ดคี วรมีคา่ ความยากพอเหมาะท่ี 0.2 – 0.8 4. อานาจจาแนก (Discrimination) เป็ นคณุ สมบตั ิของข้อสอบที่สามารถจาแนกผ้เู รียน ได้ตามความแตกตา่ งของบคุ คลว่าใครเก่ง ปานกลาง ออ่ น ใครรอบรู้ ไม่รอบรู้ โดยยดึ หลกั การ วา่ คนเก่งจะต้องตอบข้อนนั้ ถกู คนไมเ่ กง่ จะต้องตอบผดิ ข้อสอบท่ีดจี ะต้องแยกคนเกง่ กบั คนไม่เก่ง ออกจากกนั ได้ 5. ความเป็นปรนยั (Objectivity) หมายถึงความชดั เจน ความถกู ต้องตามหลกั วิชาและ ความเข้าใจตรงกนั ซงึ่ มีความหมายตรงข้ามกบั ความเป็นอตั นยั ซงึ่ มีคณุ ลกั ษณะ 3 ประการ คอื

57 ความชดั เจนของคาถาม ความชดั ในในการให้คะแนน ความชดั เจนในการแปลความหมายของ คะแนน จากหลกั การตรวจสอบคณุ ภาพของเคร่ืองมือวดั ผลท่ีกล่าวมาแล้วผ้วู ิจยั ได้นาวิธีการมา ตรวจสอบคณุ ภาพของแบบทดสอบวดั ผลสมั ฤทธิ์วิชาภาษาไทย ซึ่งเป็ นข้อสอบแบบอิงกล่มุ คือ วิเคราะห์แบบทดสอบทงั้ ฉบบั โดยตรวจสอบ 1. ความเท่ียงตรงเชิงเนือ้ หา 2. ความเช่ือมน่ั โดยวิธีของคเู ดอร์ – ริชาร์ดสนั และวิเคราะห์หาความยาก คา่ อานาจ จาแนก ดงั รายละเอียดตอ่ ไปนี ้ พิชิต ฤทธิ์จารูญ (2555, หน้า 150 – 151) กลา่ ววา่ การตรวจสอบความตรงเชิงเนือ้ หา มีวิธีการตรวจสอบดงั นี ้ 1. ตรวจสอบข้อคาถามในแบบทดสอบมีความครอบคลุมเนือ้ หาท่ีต้องการวัด และ สอดคล้องระหวา่ งนา้ หนกั พฤตกิ รรมท่ีจะวดั กบั จานวนข้อคาถามซง่ึ ดจู ากตารางวิเคราะห์หลกั สตู ร 2. ตรวจสอบความสอดคล้องระหว่างเนือ้ หาที่วดั กบั จดุ ประสงค์ที่ต้องการจะวดั โดยให้ ผ้เู ชี่ยวชาญพิจารณาวา่ ข้อคาถามวดั ได้ตรงตามจดุ ประสงค์ที่ต้องการวดั หรือไม่ เป็นการหาคา่ ดชั นี ความสอดคล้องระหว่างข้อคาถามกับจุดประสงค์ (Index of item – objextive congruence หรือ IOC) โดยผ้เู ช่ียวชาญไมน่ ้อยกวา่ 3 คน เป็นผ้พู ิจารณาให้คะแนนแตล่ ะข้อ ดงั นี ้ -1 เม่ือแนใ่ จวา่ ข้อคาถามนนั้ ไมส่ อดคล้องกบั จดุ ประสงค์ 0 เม่ือไมแ่ นใ่ จวา่ ข้อคาถามนนั้ สอดคล้องกบั จดุ ประสงค์ +1 เม่ือแนใ่ จวา่ ข้อคาถามนนั้ สอดคล้องกบั จดุ ประสงค์ จากนนั้ นาคะแนนผลการพิจารณาของผ้เู ช่ียวชาญมาหาคา่ ดชั นีความสอดคล้องระหวา่ ง ข้อคาถามกบั จดุ ประสงค์ (ล้วน สายยศ และองั คณา สายยศ, 2538, หน้า 249 อ้างถงึ ใน พชิ ติ ฤทธ์ิจรูญ, 2555, หน้า 150 – 151) IOC =  R N เมื่อ IOC แทน คา่ ดชั นีความสอดคล้อง  R แทน ผลรวมของคะแนนการพจิ ารณาของผ้เู ชี่ยวชาญ N แทน จานวนผ้เู ช่ียวชาญ โดยใช้เกณฑ์การคัดเลือกข้อคาถามคือ ข้อคาถามที่มีค่า IOC ตัง้ แต่ 0.5 – 1.0 คดั เลือกไว้ใช้ได้ ข้อคาถามที่มีคา่ IOC ต่ากวา่ 0.5 ควรพจิ ารณาปรับปรุงหรือตดั ทงิ ้

58 การตรวจสอบความเท่ียงโดยวิธีคูเดอร์ – ริชาร์ดสัน (Kuder – Richardson) (พิชิต ฤทธิ์จรูญ 2555, หน้า 157) ตรวจสอบจากการทดสอบกับกลุ่มตวั อย่างเพียงครัง้ เดียว โดยมี ข้อตกลงว่าแบบทดสอบฉบบั นนั้ จะต้องวดั องค์ประกอบร่วมกัน มีความยากเท่ากนั และมีระบบ การให้คะแนนแบง่ เป็ น 2 ส่วน คือ ตอบถกู ให้ 1 คะแนน ตอบผิดให้ 0 คะแนน โดยคานวณ จากสตู ร KR-20 ������������������ = ������ {1 − ∑���������2���������} ������−1 เมื่อ ������������������ แทน สมั ประสิทธ์ิความเที่ยงของแบบทดสอบ n แทน จานวนข้อสอบ S2 แทน ความแปรปรวนของคะแนนรวมทงั้ ฉบบั P แทน สดั สว่ นของผ้ทู ่ีตอบถกู ในข้อหนงึ่ ๆ = ������ ������ q แทน สดั สว่ นของคนท่ีทาผิดในแตล่ ะข้อ (q = 1 – p) พิชิต ฤทธิ์จารูญ (2555, หน้า 140 – 142) การตรวจสอบค่าความยากและค่าอานาจ จาแนก มีวิธีการตอ่ ไปนี ้ 1. ตรวจข้ อสอบให้ คะแนนและเรียงกระดาษคาตอบตามลาดับคะแนนจากมากไปหาน้ อย 2. แบง่ กระดาษคาตอบออกเป็ น 2 กลมุ่ กลมุ่ แรกเรียกวา่ กลมุ่ สงู ลงมาประมาณ 33% ของกระดาษคาตอบทัง้ หมด และกลุ่มหลังเรียกว่ากลุ่มต่า โดยนับจากคะแนนต่าสุดขึน้ ไป ประมาณ 33% ของกระดาษคาตอบทงั้ หมด 3. หาจานวนคนท่ีตอบถกู ของแตล่ ะข้อในกลมุ่ สงู และกลมุ่ ตา่ 4. หาค่าความยาก (P) ของแตล่ ะข้อโดยรวมจานวนท่ีตอบถูกในกล่มุ สงู และกลุ่มต่า แล้วหารด้วยจานวนคนในกลมุ่ สงู และกลมุ่ ตา่ รวมกนั 5. หาคา่ อานาจจาแนก (r) ของแตล่ ะข้อ โดยเอาจานวนคนที่ตอบถกู ในกล่มุ สงู ตงั้ ลบ ด้วยจานวนคนที่ตอบถกู ในกลมุ่ ต่า แล้วหารด้วยจานวนคนในกลมุ่ สงู หรือกลมุ่ ตา่ เกณฑ์ในการพิจารณาคา่ ความยาก คา่ ความยากมีคา่ ตงั้ แต่ 0.00 ถึง 1.00 โดยทวั่ ไปข้อสอบที่มีความยากพอเหมาะควรมี คา่ ความยากตงั้ แต่ 0.20 – 0.80 ซง่ึ มีรายละเอียดดงั นี ้ 0.8 < P ≤ 1.00 แสดงวา่ เป็นข้อสอบงา่ ยมากควรตดั ทงิ ้ หรือปรับปรุง

59 0.6 < P ≤ 0.80 แสดงวา่ เป็นข้อสอบคอ่ นข้างง่าย (ด)ี 0.4 ≤ P < 0.60 แสดงวา่ เป็นข้อสอบยากง่ายปานกลาง (ดมี าก) 0.2 ≤ P < 0.40 แสดงวา่ เป็นข้อสอบคอ่ นข้างยาก (ด)ี 0.0 ≤ P < 0.20 แสดงวา่ เป็นข้อสอบยากมากควรตดั ทงิ ้ หรือปรับปรุง ถ้าข้อสอบข้อใดมีผ้ตู อบถกู หมด แสดงวา่ ข้อนนั้ งา่ ยมาก มีคา่ p = 1.00 แตถ่ ้าข้อสอบ ข้อใดมีผ้ตู อบผดิ หมด แสดงวา่ ข้อนนั้ ยากมาก มีคา่ P = 0.00 เกณฑ์ในการพจิ ารณาคา่ อานาจจาแนก คา่ อานาจจาแนกมีค่าตงั้ แต่ -1.00 ถึง +1.00 ข้อสอบท่ีดีควรมีค่าอานาจจาแนกตงั้ แต่ 0.20 ขนึ ้ ไป สว่ นคา่ อ่ืนๆ มีความหมายดงั นี ้ 0.40 < r ≤ 1.00 แสดงวา่ จาแนกได้ดเี ป็นข้อสอบท่ีดี 0.30 < r ≤ 0.39 แสดงว่าจาแนกได้เป็ นข้อสอบท่ีดีพอสมควรอาจต้อง ปรับปรุงบ้าง 0.20 < r ≤ 0.20 แสดงวา่ จาแนกพอใช้ได้ แตต่ ้องปรับปรุง -1.00 ≤ r ≤ 0.19 แสดงว่าไม่สามารถจาแนกได้ต้องปรับปรุงใหม่หรือ ตดั ทงิ ้ ถ้าคา่ r มีคา่ เป็นลบหรือน้อยกว่า 0 แสดงวา่ ข้อสอบนนั้ จาแนกกลบั วา่ คนเก่งทาไมไ่ ด้ คนออ่ นทาได้ ต้องปรับปรุงใหมห่ รือตดั ทงิ ้ 5.4 การประเมินความพงึ พอใจ จากการศึกษาทฤษฎีในเรื่องของความพึงพอใจนนั้ พบว่า ได้มีผู้ให้ความหมายของ ความพงึ พอใจไว้ดงั นี ้ กิตมิ า ปรีดดี ลิ ก (2529, หน้า 321) อ้างอิงใน พวงผกา ลือยศ (2554, หน้า 40) กลา่ ว ว่า ความพึงพอใจ หมายถึง ความรู้สึกพอใจในงานท่ีทา เม่ืองานนนั้ ให้ประโยชน์ตอบแทนทงั้ ทางด้านวตั ถแุ ละทางด้านจิตใจซึ่งสามารถตอบสนองความต้องการพืน้ ฐานของเขาได้ และยงั ได้ กล่าวถึงแนวคิดที่เก่ียวกับพืน้ ฐานความต้ องการของมนุษย์ตามทฤษฎีของมาสโลว์ (Maslow) ว่า หากความต้องการพืน้ ฐานของมนุษย์ได้รับการตอบสนองก็จะทาให้เขาเกิดความพึงพอใจ ซงึ่ มาสโลว์ได้บางความต้องการพืน้ ฐานออกเป็น 5 ขนั้ คอื 1. ความต้องการทางร่างกาย 2. ความต้องการความปลอดภยั

60 3. ความต้องการทางสงั คม 4. ความต้องการที่จะได้รับการยกยอ่ งจากสงั คม 5. ความต้องการความคาดหวงั ในชีวิต นชุ จรี สละริม (2558, หน้า 58) กล่าวว่า ความพึงพอใจนนั้ เป็ นเรื่องเก่ียวกบั อารมณ์ ความรู้สกึ และทศั นคตขิ องบคุ คลอนั เนื่องมาจากสง่ิ เร้า แรงจงู ใจ ซงึ่ ปรากฏออกมาทางพฤตกิ รรม และเป็ นองค์ประกอบท่ีสาคญั ในการทากิจกรรมตา่ งๆ ของบคุ คลนนั้ คือ ถ้าหากบคุ คลมีความพงึ พอใจในกิจกรรมหรืองานใด การกระทากิจกรรมหรืองานนนั้ ก็ย่อมจะบรรลตุ ามวตั ถุประสงค์ของ งานนนั้ ได้อยา่ งดี จงึ ถือไว้วา่ ความพงึ พอใจเป็นองคป์ ระกอบที่สาคญั ในการทากิจกรรมตา่ งๆ ความ ต้องการพืน้ ฐานที่เป็นองค์ประกอบให้บคุ คลเกิดความพงึ พอใจ พิสทุ ธา อารีราษฎร์ (2550, หน้า 178) อ้างอิงใน ชวนพิศ ปะกิระนา (2554, หน้า 42) กล่าวว่าความพึงพอใจ (Satisfaction) หมายถึง ความรู้สึกของบุคคลที่มีต่อสิ่งใดส่ิงหนึ่ง โดยเฉพาะความรู้สึกนนั้ ทาให้บุคคลเอาใจใส่และอาจกระทาการบรรลถุ ึงความม่งุ หมายท่ีบุคคลมี ตอ่ สิ่งนนั้ จากความหมายท่ีได้กลา่ วมาข้างต้นสรุปได้ว่า ความพงึ พอใจคือ อารมณ์และความรู้สกึ ของบคุ คลที่มีตอ่ ส่ิงใดสงิ่ หนง่ึ หรือกิจกรรมใดกิจกรรมหนงึ่ โดยเฉพาะ การวัดความพงึ พอใจ ในการวดั หรือประเมินประสิทธิภาพของสื่อคอมพิวเตอร์ การประเมินในด้านความพึง พอใจของผู้ใช้สื่อคอมพิวเตอร์โดยอาจจะเป็ นผ้สู อนหรือนักเรียน ก็ถือเป็ นวิธีการหน่ึงในการวดั ประสิทธิภาพของส่ือคอมพิวเตอร์ ถ้ามีผู้ใช้งานมีความพึงพอใจต่อส่ือจะเป็ นผลทาให้นกั เรียน ยอมรับและตอบสนองการเรียนด้วยความเตม็ ใจ โดยการสนใจในการเรียนหรือการเข้าร่วมกิจกรรม ซง่ึ มีผลทาให้นกั เรียนมีผลการเรียนดยี ง่ิ ขนึ ้ ในการวดั หรือประเมินความพึงพอใจจะใช้แบบสอบถามวดั ทศั นคติตามวิธีของลิเคิร์ท (LiKert) ซง่ึ จะแบง่ ความรู้สกึ ออกเป็น 5 ชว่ ง หรือ 5 ระดบั ดงั นี ้ ระดบั 5 หมายถงึ มีความพงึ พอใจมากท่ีสดุ ระดบั 4 หมายถึง มีความพงึ พอใจมาก ระดบั 3 หมายถงึ มีความพงึ พอใจปานกลาง ระดบั 2 หมายถงึ มีความพงึ พอใจน้อย ระดบั 1 หมายถงึ มีความพงึ พอใจที่สดุ

61 6. เอกสารท่เี ก่ียวกับทฤษฎีการเรียนรู้และจติ วทิ ยา ถนอม เลาหจรัสแสง (2541) อ้างอิงใน นุชจรี สละริม (2558, หน้า 42 - 45) ได้ อธิบายถึงทฤษฎีการเรียนรู้และจิตวิทยาที่เกี่ยวเน่ืองกบั การออกแบบส่ืออิเล็กทรอนิกส์ โดยทฤษฏี หลกั ๆ ที่เกี่ยวกับการเรียนรู้ของมนุษย์และส่งผลกระทบตอ่ แนวคิดในการออกแบบโครงสร้างของ หนงั สืออิเล็กทรอนิกส์ ได้แก่ ทฤษฎีพฤตกิ รรมนิยม ทฤษฎีปัญญานิยม ทฤษฎีโครงสร้างความรู้ และทฤษฎีความยืดหยนุ่ ทางปัญญาซงึ่ มีแนวคดิ ดงั นี ้ 1. ทฤษฎีพฤติกรรมนิยม หนังสืออิเล็กทรอนิกส์ที่ออกแบบตามแนวคิดของทฤษฎี พฤติกรรมนิยมจะมีโครงสร้างของบทเรียนในลกั ษณะเชิงเส้นตรง โดยนกั เรียนทกุ คนจะได้รับการ เสนอเนือ้ หาตามลาดบั จากง่ายไปหายาก ซึ่งเป็ นลาดบั ที่ผ้สู อนได้พิจารณาแล้วว่าเป็ นลาดบั การ สอนที่ดี และนกั เรียนจะสามารถเรียนรู้ได้อยา่ งมีประสิทธิภาพท่ีสดุ การออกแบบหนังสืออิเล็กทรอนิกส์ตามแนวทางการเรียนรู้ทฤษฎีในกลุ่มนี ้ มีการ ประยกุ ต์แนวคดิ และทฤษฎีพฤติกรรมนิยม ออกแบบบทเรียนหนงั สืออิเล็กทรอนิกส์สามารถนามา ประยกุ ต์ใช้ในการออกแบบบทเรียนได้ดงั นี ้ 1.1 ควรแบง่ เนือ้ หาบทเรียนออกเป็นย่อยๆ 1.2 แตล่ ะหนว่ ยยอ่ ยความบอกเป้ าหมาย และวตั ถปุ ระสงค์ให้ชดั เจนวา่ ต้องการให้ นกั เรียนศกึ ษาอะไร และศกึ ษาอยา่ งไร 1.3 ควรใช้ภาพหรือเสียงท่ีเหมาะสม 1.4 กระต้นุ ให้นกั เรียนสร้างจินตนาการท่ีเหมาะสมกบั วยั โดยการใช้ข้อความ ใช้ภาพ เสียง หรือการสร้างสถานการณ์สมมุติ โดยให้นกั เรียนมีส่วนร่วมในสถานการณ์นนั้ ๆ ซ่ึงอาจให้ ภาพ เสียง หรือกราฟิกแทนที่จะใช้คาอา่ นเพียงอยา่ งเดียว 1.5 ควรสอดแทรกคาถามเพ่ือกระต้นุ ให้นกั เรียนเกิดความสงสยั หรือประหลาดใจเม่ือ เริ่มต้นบทเรียนหรือระหวา่ งเนือ้ หาแตล่ ะตอน 1.6 ให้ตวั อย่างหรือหลักเกณฑ์กว้างๆ เพ่ือกระตุ้นให้นักเรียนคิดค้นหาคาตอบเอง การคอ่ ยๆ ชีแ้ นะหรือบอกใบ้อาจจาเป็นซง่ึ จะชว่ ยสร้างและรักษาระดบั ความอยากรู้อยากเห็น 2. ทฤษฎีปัญญานิยม ทาให้เกิดแนวคดิ เกี่ยวกบั การออกแบบในลกั ษณะสาขาของคราว เดอร์ ซึ่งเป็ นการออกแบบบทเรียนในลกั ษณะสาขา จะทาให้นกั เรียนมีอิสระมากขึน้ ในการเลือก ลาดบั เนือ้ หาของบทเรียนท่ีเหมาะสมกบั ตวั เองโดยนกั เรียนจะสามารถเลือกเรียนได้ตามความสนใจ 3. ทฤษฎีโครงสร้ างความรู้และความยืดหยุ่นทางปัญญา จะมีความแตกต่างกันทาง แนวความคิดอยู่มาก แต่ทฤษฎีทัง้ สองต่างก็ส่งผลต่อการออกแบบ หนังสืออิเล็กทรอนิกส์ใน

62 ลักษณะที่ใกล้เคียงกัน กล่าวคือทฤษฎีทัง้ สองต่างก็สนับสนุนแนวคิดเกี่ยวกับการจัดระเบียบ โครงสร้างการนาเสนอเนือ้ หาหนงั สืออิเล็กทรอนิกส์ในลกั ษณะสื่อหลายมิติจะตอบสนองตอ่ วิธีการ เรียนรู้ของมนุษย์ ในความพยายามท่ีจะเชื่อมโยงเนือ้ หาบทเรียนในลักษณะส่ือหลายมิติจะ ตอบสนองตอ่ การเรียนรู้ของมนษุ ย์ ในความพยายามท่ีจะเชื่อมโยงความรู้ใหมก่ บั ความรู้เดมิ ได้เป็ น อย่างดี ซ่ึงตรงกับแนวคิดทฤษฎีโครงสร้างความรู้ นอกจากนีจ้ ากการนาเสนอเนือ้ หาบทเรียนใน ลักษณะสื่อหลายมิติสามารถที่จะตอบสนองความแตกต่างของโครงสร้ างขององค์ความรู้ ที่ไม่ ชดั เจนหรือมีความสลบั ซบั ซ้อน ซึ่งเป็ นแนวคิดของทฤษฎีความยืดหย่นุ ทางปัญญาอีกด้วย โดย การจดั ระเบียบโครงสร้างการนาเสนอบทเรียนในลกั ษณะสื่อหลายมติ ิ จะอนญุ าตให้นกั เรียนทกุ คน สามารถท่ีจะมีอิสระในการควบคมุ การเรียนของตนตามความสามารถ ความสนใจ ความถนดั และพืน้ ฐานความรู้ของตนได้อยา่ งเตม็ ท่ี จิตวิทยาที่เก่ียวเนื่องกับการออกแบบหนงั สืออิเล็กทรอนิกส์ แนวคิดทางด้านจิตวิทยา พทุ ธพิสยั ท่ีเกี่ยวกบั การเรียนรู้ของมนษุ ย์ท่ีเกี่ยวเน่ืองกับการออกแบบหนงั สืออิเล็กทรอนิกส์นนั้ ได้แก่ ความสนใจ และการรับรู้อย่างถูกต้อง การจดจา ความเข้าใจ ความกระตือรือร้นในการ เรียน แรงจูงใจ การควบคมุ การเรียน การถ่ายโอนการเรียนรู้และการตอบสนองความแตกต่าง ระหวา่ งบคุ คล (ถนอมพร เลาหจรัสแสง, 2541 อ้างองิ ใน นชุ จรี สละริม, 2558 : 43) 1. ความสนใจและการรับรู้อย่างถกู ต้อง หนงั สืออิเล็กทรอนิกส์ที่ดีจะต้องออกแบบให้ เกิดการรับรู้ท่ีง่ายดายและเท่ียงตรงท่ีสดุ การที่จะให้นกั เรียนเกิดความสนใจกบั ส่ิงเร้าและรับรู้ ส่ิง เร้าตา่ งๆ ได้แก่ รายละเอียดและความเหมือนจริงของบทเรียน การใช้ส่ือประสมและการใช้เทคนิค พิเศษทางภาพตา่ งๆ เข้ามาเสริมบทเรียน เพ่ือกระต้นุ ให้นกั เรียนเกิดความสนใจ ไมว่ า่ จะเป็ นการ ใช้เสียง การใช้ภาพน่ิง ภาพเคลื่อนไหว นอกจากนีผ้ ้สู ร้างยงั ต้องพิจารณาถงึ การออกแบบหน้าจอ การวางตาแหน่งของสื่อต่างๆ บนหน้าจอ รวมทงั้ การเลือกชนิดและขนาดของตวั อกั ษร หรือการ เลือกสีท่ีใช้ในบทเรียนด้วย 2. การจดจา ผ้สู ร้างบทเรียนต้องออกแบบบทเรียนโดยคานึงถึงหลกั เกณฑ์สาคญั ท่ีจะ ชว่ ยในการจดจาได้ดี 2 ประการ คือ หลกั ในการจดั ระเบียบหรือโครงสร้างเนือ้ หาและหลกั ในการ ทาซา้ ซงึ่ สามารถแบง่ การวางระเบียบหรือจดั ระบบเนือ้ หาออกเป็น 3 ลกั ษณะด้วยกนั คอื ลกั ษณะ เชงิ เส้นตรง ลกั ษณะสาขา และลกั ษณะสื่อหลายมติ ิ 3. การเข้าใจ ผ้สู ร้างบทเรียนต้องออกแบบบทเรียนโดยคานึงถึงหลกั การเกี่ยวกับการ ได้มาซ่ึงแนวคิดและการประยุกต์ใช้กฎต่างๆ ซึ่งหลกั การทงั้ สองนีเ้ กี่ยวข้องโดยตรงกับแนวคิดใน การออกแบบหนงั สืออเิ ลก็ ทรอนกิ ส์ ในการทบทวนความรู้ การให้คานิยามตา่ งๆ การแทรกตวั อย่าง

63 การประยกุ ต์กฎและการให้นกั เรียนเขียนอธิบายโดยใช้ข้อความของตน โดยมีวตั ถปุ ระสงคข์ องการ เรียนเป็ นตวั กาหนดรูปแบบการนาเสนอหนงั สืออิเล็กทรอนิกส์และกิจกรรมต่างๆ ในบทเรียน เชน่ การเลือกออกแบบฝึกหดั หรือแบบทดสอบในลกั ษณะปรนยั หรือคาถามสนั้ ๆ เป็นต้น 4. การกระตือรือร้นในการเรียน ข้อได้เปรียบสาคญั ของหนงั สืออิเล็กทรอนิกส์ที่มีเหนือ ส่ือการสอนอ่ืนๆ ก็คือ ความสามารถในเชิงโต้ตอบกับนักเรียนท่ีจะออกแบบบทเรียนท่ีทาให้เกิด ความกระตือรือร้ นในการเรียนได้นัน้ จะต้องออกแบบให้ผู้ใช้มีปฏิสัมพันธ์กับบท เรียนอย่าง สม่าเสมอและความปฏิสมั พันธ์นนั้ จะต้องเก่ียวข้องกับเนือ้ หาและเอือ้ อานวยต่อการเรียนรู้ของ นกั เรียน 5. แรงจูงใจ ทฤษฎีแรงจูงใจท่ีสามารถนามาประยุกต์ใช้ในการออกแบบหนังสือ อิเล็กทรอนิกส์ ได้แก่ ทฤษฎีแรงจงู ใจภายในและทฤษฎีแรงจงู ใจภายนอกของเลปเปอร์ ซง่ึ เช่ือวา่ แรงจูงใจที่ใช้ในบทเรียน ควรจะเป็ นแรงจูงใจภายในหรือแรงจูงใจท่ีเกี่ยวกับบทเรียนมากกว่า แรงจงู ใจภายนอก ซง่ึ เป็นแรงจงู ใจที่ไม่เกี่ยวเน่ืองกบั บทเรียน การสอนท่ีทาให้เกิดแรงจงู ใจภายใน นัน้ คือการสอนท่ีนักเรียนรู้สึกสนุกสนาน เลปเปอร์ ได้เสนอแนวคิดในการออกแบบบทเรียน คอมพิวเตอร์ท่ีทาให้เกิดแรงจงู ใจภายในไว้ ดงั นี ้ 5.1 การใช้เทคนคิ ของเกมในบทเรียน 5.2 การใช้เทคนิคพิเศษในการนาเสนอ 5.3 จดั บรรยากาศการเรียนรู้ท่ีนกั เรียนสามารถมีอสิ ระในการเลือกเรียนหรือสารวจสิ่ง ตา่ งๆ รอบตวั 5.4 ให้โอกาสนกั เรียนในการควบคมุ การเรียนของตน 5.5 มีกิจกรรมที่ท้าทายนกั เรียน 5.6 ทาให้นกั เรียนเกิดความอยากรู้อยากเหน็ 6. การออกแบบควบคุมบทเรียน ในการออกแบบนัน้ ควรพิจารณาการผสมผสาน ระหว่างการให้นกั เรียนและโปรแกรมเป็ นผ้คู วบคมุ บทเรียน และจะมีประสิทธิภาพอย่างไรนนั้ ก็ ขนึ ้ อยกู่ บั ความเหมาะสมในการออกแบบการควบคมุ ทงั้ สองฝ่ าย 7. การถ่ายโอนความรู้ โดยปกตแิ ล้วการเรียนรู้จากหนงั สืออิเล็กทรอนิกส์นนั้ จะเป็ นการ เรียนรู้ในขนั้ แรกก่อนท่ีจะนาไปประยุกต์ใช้จริงก็คือ การนาความรู้ที่ได้จากการเรียนและขดั เกลา แล้ วนัน้ ไปประยุกต์ใช้ ในชีวิตจริงก็คือ การถ่ายโอนการเรียนรู้นั่นเอง ส่ิงท่ีมีอิทธิพลต่อ ความสามารถของมนษุ ย์ในการถ่ายโอนการเรียนรู้ ได้แก่ ความเหมือนจริงของบทเรียน ประเภท

64 ปริมาณความหลากหลายของปฏิสัมพันธ์ การถ่ายโอนการเรียนรู้จึงถือเป้ นผลการเรียนรู้ที่พึง ปรารถนามากท่ีสดุ 8. ความแตกตา่ งระหวา่ งบคุ คล นกั เรียนแตล่ ะคนมีความเร็วช้าในการเรียนรู้แตกตา่ งกนั ไป การออกแบบให้บทเรียนมีความยืดหย่นุ เพ่ือที่จะตอบสนองความสามารถของนกั เรียนแต่ละ คนได้นนั้ เป็นสาคญั หลักจติ วทิ ยาท่ีควรนามาใช้ในการเรียนการสอนภาษาไทย คณาจารย์สมานมิตร (2547, หน้า 100 - 107) ได้กล่าวว่าหลักจิตวิทยาพืน้ ฐานท่ี นามาใช้ประกอบการเรียนการสอนวิชาภาษาไทยมี 2 กลมุ่ คือ จิตวิทยาการศกึ ษาและจิตวิทยา พฒั นาการ อธิบายได้ดงั นี ้ 1. จิตวิทยาการศกึ ษา (Education Psychology) หมายถึง วิธีการและกระบวนการท่ี จะทาให้การศึกษาเป็ นไปอย่างมีประสิทธิภาพและประสิทธิผล จิตวิทยาด้านนีย้ งั แบง่ ออกไปอีก 10 ประการ คือ 1.1 ความแตกต่างระหว่างบุคคล (Individual Difference) เด็กทุกคนมีความ แตกตา่ งกนั ในเร่ืองลกั ษณะ นิสยั สติปัญญา ความสามารถ ความสนใจ และความถนดั ตาม ธรรมชาติ 1.2 ความพร้อม (Readiness) เป็ นสภาพความเจริญเติบโต ความรู้สึกพืน้ ฐานและ ความสนใจท่ีจะทาให้การเรียนพร้อมท่ีจะรับรู้ในสิ่งท่ีครูจะสอนหรือป้ อนให้ องคป์ ระกอบของความ พร้อมมีหลายรายการ คอื 1) วฒุ ิภาวะ (Maturition) หมายถึง ความพร้อมท่ีจะรับรู้เรื่องราวตา่ งๆ ตาม อายุ เดก็ ย่งิ เจริญวยั หรือเตบิ โตเพียงใดก็ย่ิงมีความพร้อมที่จะรับรู้มากขนึ ้ 2) ประสบการณ์ หรือความรู้เดมิ (Experience) หมายถึง ความพร้อมท่ีเกิด จากประสบการณ์ตา่ งๆ ที่เดก็ ได้ผา่ นพบมา เม่ือมาพบใหมจ่ ะทาให้เกิดการรับรู้ได้ง่ายขนึ ้ 3) ความตอ่ เนื่องในบทเรียน การรับรู้จะง่ายขนึ ้ ถ้าสอนสงิ่ ที่เดก็ สนใจเรื่องราว ตอ่ เนื่องกนั เป็นลาดบั 4) บทเรียนสมั พนั ธ์กบั เดก็ หมายถงึ การจดั บทเรียนที่มีลกั ษณะหรือธรรมชาติ สมั พนั ธ์กบั ความสนใจของเดก็ จะทาให้เดก็ รับรู้ได้เร็วขนึ ้ 1.3 กระบวนการเรียนรู้ Learning Process) คือ การเปลี่ยนแปลงพฤติกรรมของ ผู้เรียน ซึ่งเป็ นผลเนื่องจากการมีประสบการณ์ตรง การฝึ กปฏิบัติและการได้มีปฏิกิริยากับ

65 สิ่งแวดล้อม กระบวนการเรียนรู้ขนั้ ตอนของความรู้หรือการรับรู้ 4 ระดบั คือ ข้อมูล (Factor Data) มโนทัศน์ (Concept) การจาแนกหรื อวิเคราะห์ (Generalization) และหลักการ (Principle) 1.4 เป้ าหมายการเรียนรู้ (Purposeful Learning) การตงั้ เป้ าหมายหรือจดุ มงุ่ หมาย ก่อนสอนเป็ นสิ่งที่จาเป็ นเพราะเป็ นการกระต้นุ ความสนใจในบทเรียนให้มากขึน้ จะได้เรียนรู้ว่า เรียนแล้วจะได้สารประโยชน์อย่างไร วิธีท่ีนิยมกันมากในเรื่องนี ้ คือ ให้นักเรียนช่วยกัน ตงั้ เป้ าหมายหรือจุดประสงค์เชิงพฤติกรรม ครูมีหน้าที่ดาเนินการสอนให้บรรลเุ ป้ าหมายท่ีช่วยกัน วางไว้โดยร่วมทากิจอรรมอย่างใกล้ชิด สามารถนาความรู้จากบทเรียนไปใช้ให้เกิดประโยชน์ใน ชีวิตประจาวนั ด้วย 1.5 การเรียนรู้โดยการฝึ กฝน (Law of Exercise) การเรียนรู้จะเกิดขนึ ้ ได้ดีตอ่ เม่ือได้ มีการฝึ กฝนหรือการกระทาซา้ ๆ ภาษาไทยเป็ นวิชาทกั ษะโดยลกั ษณะวิชาแล้ วผ้เู รียนจะมีทกั ษะ ทางภาษาดี มีความรู้ความเข้าใจและเกิดทศั นคตทิ ่ีดีตอ่ ภาษาไทยได้ก็ตอ่ เมื่อได้ฝึ กฝนและกระทา ซา้ 1.6 การเรียนรู้โดยการกระทา (Learning by Doing) ภาษาไทยเป็ นวิชาทักษะ นกั เรียนจะมีความคลอ่ งแคล่ว ชานาญในทกั ษะภาษาเพราะประสบการณ์ตรง ได้ลงมือเอง การ เรียนภาษาไทยโดยมีครูเป็นผ้บู รรยายโดยไมเ่ ปิ ดโอกาสให้นกั เรียนได้ลงมือกระทาหรือมีโอกาสน้อย มาก นกั เรียนจะได้รับประโยชน์จากการเรียนน้อยที่สดุ การจดั กิจกรรมให้นกั เรียนได้ศกึ ษาและลง มือทาจริงๆ จะทาให้นกั เรียนได้รับความรู้เน้นขนึ ้ 1.7 กฎแห่งผล (Law of Effect) เมื่อได้เรียนรู้แล้วผู้เรียนย่อมต้องการจะทราบผล การเรียนของตนว่าเป็ นอย่างไร เป็ นท่ีพอใจของผ้สู อนหรือไม่ ฉะนนั้ เม่ือมีงานให้นกั เรียนทาแล้ว ผ้สู อนควรรีบตรวจและสง่ คืนแจ้งผลให้ทราบโดยเร็ว การเขียนติชมก็ควรทาด้วยความระมดั ระวงั การติดควรเป็ นการติเพ่ือก่อ มีข้อเสนอแนะลงไปด้วย นกั เรียนจะได้ทราบส่วนดีที่ภูมิใจ ส่วน บกพร่องที่ต้องแก้ไข 1.8 กฎแห่งการนาไปใช้ (Law of Use and Disuse) การเรียนรู้จะเกิดผลดีเม่ือนา ความรู้นนั้ ไปใช้ ตรงข้ามถ้าไมน่ าไปใช้พอเวลาผา่ นไปนานๆ เข้าก็จะลืม 1.9 กฎแหง่ แรงจงู ใจ (Law of Motivation) ครูควรสร้างสถานการณ์ตา่ งๆ เพื่อเป็ น ส่ิงเร้าเพ่ือจงู ใจให้นกั เรียนตงั้ ใจฝึ กฝนทกั ษะและทศั นคตทิ ่ีดีตอ่ ภาษาไทย แรงจงู ใจมี 2 ประเภท คือ

66 1) แรงจงู ใจภายใน เกิดภายในตวั ผ้เู รียนเอง เชน่ ความกระตือรือร้น ความ ใคร่รู้ใคร่เรียน ความรู้สกึ อยากเสาะแสวงหาความรู้ อยากร่วมทากิจกรรม 2) แรงจูงใจภายนอก เกิดจากสิ่งเร้ าภายนอกที่ครูจัดขึน้ เช่น การสร้ าง บรรยากาศ การทากิจกรรมและประสบการณ์ต่างๆ ท่ีน่าสนใจ สนุกสนาน เป็ นแรงกระต้นุ ให้ ผู้เรียนเกิดความกระตือรือร้ นท่ีจะเรียน นอกจากนัน้ ยังมี บุคลิกภาพของครู วิธีการสอน ความสาเร็จของผ้เู รียน การยกยอ่ งชมเชนหรือการตาหนิ สื่อการเรียน แรงจงู ใจภายนอกมกั มีความสมั พนั ธ์กบั แรงจงู ใจภายใน กล่าวคือ แรงจงู ใจภายในสว่ น ใหญ่มกั เกิดขนึ ้ เนื่องจากผลของแรงจงู ใจภายนอก 1.10 กฎแห่งการเสริมแรง (Reinforcement) ผู้สอนควรเห็นเป็ นเรื่องสาคญั และ ควรทาเป็ นระยะๆ ในทางบวก เมื่อทาถูกต้องหรือได้ผลดีจะช่วยให้นกั เรียนเกิดความภาคภูมิใจ และพยายามทากิจกรรมให้ดยี ิง่ ขนึ ้ ในกรณีท่ีนกั เรียนทาผิดพลาด ครูไมค่ วรแสดงกิริยาอาการหรือ ใช้คาพดู ที่กระทบกระเทือนใจ 2. จิตวิทยาพัฒนาการ ( Development Psychology) เป็ นวิชาท่ีศึกษาความ เจริญเตบิ โตทงั้ ร่างกาย อารมณ์ สงั คม และสตปิ ัญญาเพ่ือช่วยการเรียนการสอนให้ได้ผลดี แบง่ การพฒั นามนษุ ย์ออกเป็น 4 ลกั ษณะ 2.1 พฒั นาการทางการ (Body Development) ความเปล่ียนแปลงทางร่างกายของ เด็กวยั รุ่นจะเป็ นไปอย่างรวดเร็ว เห็นได้ชดั ระหว่างเด็กผู้หญิงกบั เด็กชายจะมีความแตกต่างกัน มาก ครูพึงสงั เกตพฤติกรรมเหล่านี ้ เด็กชายอาจเก้งก้าง จึงชอบนงั่ มากกวา่ จะลกุ ทากิจกรรมใดๆ ครูไมค่ วรเค่ยี วเขญ็ มากเกินควร เดก็ ชายวยั รุ่นเริ่มเสียงแตกพร่า อาจไมช่ อบอา่ นทานองเสนาะ ครู อาจแก้ไขด้วยการให้นกั เรียนหญิงอ่านเป็ นแบบหรือให้ฟังเทปโดยมุ่งให้รู้มากกว่าปฏิบตั ิ ครูพึง สงั เกตการณ์เจริญเตบิ โตและพยายามหลีกเลี่ยงการใช้ถ้อยคาที่จะทาให้เดก็ เกิดปมด้อย 2.2 พฒั นาการทางอารมณ์ (Emotional Development) เด็กวัยรุ่นอาจมีอารมณ์ รุนแรง เปลี่ยนแปลงง่าย จิตใจอ่อนไหว หรือลงั เลใจเพราะความเจริญทางกายเป็ นโดยรวดเร็ว ทาให้อารมณ์แปรปรวนงา่ ย การจดั สภาพการเรียนการสอนพงึ คานงึ ถงึ สภาพ ดงั นี ้ 1) ควรมีวิธีการเร้าใจในการสอน โดยอาจทาเป็นชว่ งๆ ไมใ่ ห้ขาดตอน อาจจะ จดั กิจกรรมแทรกบทเรียนเพื่อแสดงให้เห็นว่าวิชาภาษาไทยน่าสนใจ น่าสนุก มีคณุ ค่ามากมาย หลายด้าน 2) ตวั ครูเองต้องสอนอย่างรู้สึกสนุก ยิม้ แย้มแจ่มใส พร้ อมเต็มใจท่ีจะช่วย แก้ปัญหาให้แก่นกั เรียน

67 3) การจดั กิจกรรมใดๆ ควรให้นกั เรียนมีส่วนร่วมและมีการเสริมกาลงั ใจอย่าง เหมาะสม 4) ครูควรอธิบายสง่ิ ท่ีนกั เรียนทาผิดพลาดอยา่ งบกพร่อง ควรสร้างความเข้าใจ ชดั เจนมาก การตาหนิ พยายามหลีกเลี่ยงการใช้ถ้อยคาท่ีจะไปสะกิดอารมณ์ทงั้ ในระหว่างสอน และการเขียนบนั ทกึ ในตอนตรวจงานที่สง่ คืนให้แก่นกั เรียน 5) ครูไม่ทาตัวเป็ นตุลาการในทางภาษา และการสอนควรเปิ ดโอกาสให้ นกั เรียนวพิ ากษ์วจิ ารณ์ แสดงความรู้สกึ นกึ คดิ ได้อยา่ งเตม็ ที่ 2.3 พัฒนาการทางสังคม (Social Development) ครูควรสอนโดยอยู่ในลักษณะ ดงั นี ้ 1) เปิ ดโอกาสให้นกั เรียนซกั ถาม อภิปรายความรู้อย่างกว้างขวางทงั้ ในและ นอกห้องเรียน 2) สนบั สนนุ ให้ได้แสดงความรู้ความสามารถในทางภาษาวรรณคดีและอื่นๆ ที่ สอดคล้องกบั การเรียนภาไทยให้มากท่ีสดุ 3) จัดกิจกรรมท่ีนกั เรียนจะมีส่วนร่วมได้มากที่สุด ให้แสดงแนวคิด วิธีการ ดาเนินการด้วยตนเองให้มากท่ีสดุ ครูเป็ นเพียงผ้คู อยชว่ ยเหลืออยหู่ า่ งๆ อย่างมีเหตผุ ลขอบเขตอนั เหมาะสม 4) จดั ให้มีกิจกรรมเสริมหลกั สตู รด้านภาษาไทยให้อา่ นมากขนึ ้ เพ่ือเปิดโอกาส ให้นกั เรียนได้แสดงความสามารถให้เหน็ ประจกั ษ์ 2.4 พฒั นาการทางสติปัญญา (Intellectual Development) ครูพึงดาเนินการสอน เพ่ือตอบสนองความต้องการของเดก็ ดงั นี ้ 1) เนือ้ หาท่ีจะสอนไมค่ วรยดึ ตามหลกั สตู รจนเกินไป 2) เปิ ดโอกาสให้นกั เรียนได้มีบทบาทและโอกาสในการแสวงหาความรู้ให้มาก ท่ีสดุ และครูควรเป็นที่ปรึกษาไมป่ ลอ่ ยตามใจมากเกินไป 3) พยายามใช้ส่ือการสอนมากกวา่ ตวั ครู 4) กอ่ นมอบหมายงานครูควรสารวจเอกสารการค้นคว้าให้ดเี สียก่อน 5) การจัดกิจกรรมใดๆ ควรเป็ นไปอย่างสอดคล้องกับความต้องการของ นกั เรียน 6) ส่งเสริมให้มีการจดั กิจกรรม เสริมความรู้และประสบการณ์ทางภาษาไทย ให้มากท่ีสดุ

68 7. เอกสารและงานวิจัยท่เี ก่ียวข้องทงั้ ในและต่างประเทศ 7.1 งานวิจัยในประเทศ Khin Thida Soe (2559) ได้ทาการวิจัยเร่ืองการพัฒนาหนังสืออิเล็กทรอนิกส์ เรื่อง มาตราตวั สะกดไทย สาหรับนกั ศกึ ษาเมียนมา ระดบั ปริญญาตรี มหาวทิ ยาลยั ภาษาตา่ งประเทศ ย่างกุ้ง สาธารณรัฐเมียนมา โดยมีวัตถุประสงค์เพ่ือ 1) เพื่อสร้ างหนังสืออิเล็กทรอนิกส์ เร่ือง มาตราตวั สะกดไทย 2) เพ่ือเปรียบเทียบผลสมั ฤทธ์ิทางการเรียนก่อนและหลงั เรียนของนกั ศกึ ษาที่ ใช้หนงั สืออิเล็กทรอนิกส์ เร่ือง มาตราตวั สะกดไทย 3) เพ่ือศกึ ษาความพงึ พอใจของนกั ศกึ ษาที่มี ตอ่ หนงั สืออิเล็กทรอนิกส์ เร่ืองมาตราตวั สะกดไทย โดยผลการวิจยั พบว่า 1) การสร้างหนงั สือ อิเล็กทรอนิกส์ เร่ืองมาตราตวั สะกดไทย สาหรับนักศึกษาเมียนมามีคณุ ภาพในภาพรวมด้าน เนือ้ หาอย่ใู นระดบั มาก ( X = 4.37, S.D. = 0.55) และมีคณุ ภาพในภาพรวมด้านการออกแบบ อย่ใู นระดบั มาก ( X = 4.40, S.D. = 0.49) 2) ผลสมั ฤทธ์ิทางการเรียนของนกั ศกึ ษาเมียนมาท่ี เรียนด้วยหนงั สืออิเล็กทรอนิกส์ เร่ืองมาตราตวั สะกดไทย มีผลสมั ฤทธ์ิทางการเรียนหลงั เรียนสงู กว่าก่อนเรียน อย่างมีนยั สาคญั ทางสถิตทิ ่ีระดบั .05 3) ความพึงพอใจของนกั ศกึ ษาเมียนมาท่ีมี ตอ่ หนงั สืออิเล็กทรอนิกส์ มีความพงึ พอใจอยใู่ นระดบั มาก ( X = 4.22, S.D. = 0.66) Ohnmar Aung (2559) ได้ทาการวิจัยเร่ืองการพัฒนาหนังสืออิเล็กทรอนิกส์ เรื่อง พยญั ชนะและสระภาษาไทย สาหรับนักศึกษาเมียนมาระดบั ปริญญาตรี สาขาวิชาภาษาไทย มหาวิทยาลยั ภาษาต่างประเทศยา่ งด้งุ สาธารณรัฐแห่งสหภาพเมียนมา โดยมีวตั ถุประสงค์เพื่อ 1) พัฒนาหนังสืออิเล็กทรอนิกส์ เร่ืองพยัญชนะและสระภาษาไทย สาหรับนกั ศึกษาเมียนมา 2) เปรียบเทียบผลสมั ฤทธิ์ทางการเรียนก่อนเรียนและหลงั เรียนของนกั ศึกษาเมียนมาท่ีเรียนด้วย หนงั สืออิเล็กทรอนิกส์ เร่ืองพยญั ชนะตวั สะกดภาษาไทย 3) ศึกษาความพึงพอใจของนกั ศกึ ษา เมียนมาท่ีมีต่อการใช้หนงั สืออิเล็กทรอนิกส์ เรื่องพยญั ชนะและสระภาษาไทย โดยผลการวิจยั พบว่า 1) หนังสืออิเล็กทรอนิกส์ เรื่องพยัญชนะและสระภาษาไทยสาหรับนักศึกษาเมียนมา ระดบั ปริญญาตรี สาขาวิชาภาษาไทย มหาวิทยาลยั ภาษาตา่ งประเทศย่างกุ้ง สาธารณรัฐแห่ง สหภาพเมียนมา ท่ีพัฒนาขึน้ มีคุณภาพในภาพรวมด้านเนือ้ หาอยู่ในระดับมาก ( X = 4.04, S.D. = 0.32) และมีคุณภาพในภาพรวมด้ านการออกแบบอยู่ในระดับมาก ( X = 4.06, S.D. = 0.31) 2) นักศึกษาเมียนมา มีคะแนนผลสมั ฤทธิ์ทางการเรียนเรื่องพยัญชนะและสระ ภาษาไทยหลงั เรียนสงู กวา่ ก่อนเรียนอยา่ งมีนยั สาคญั ทางสถิติท่ีระดบั .05 3) นกั ศกึ ษาเมียนมามี ความพึงพอใจตอ่ การใช้หนงั สืออิเล็กทรอนิกส์ เร่ืองพยัญชนะและสระภาษาไทยอย่ใู นระดบั มาก ( X = 4.31, S.D. = 0.61)

69 กาญจนา แก้วมณีและคณะ (2552) ได้ทาการวิจยั เร่ืองการพฒั นาหนงั สืออเิ ล็กทรอนิกส์ สง่ เสริมความสามารถด้านการอ่านจบั ใจความ กล่มุ สาระการเรียนรู้ภาษาไทย ชดุ ท้องถ่ินเราชาว พิษณุโลก สาหรับนกั เรียนชนั้ ประถมศึกษาปี ที่ 6 โดยมีจุดมุ่งหมายเพื่อ 1) เพ่ือสร้ างและหา ประสิทธิภาพหนงั สืออเิ ล็กทรอนกิ ส์ สง่ เสริมความสามารถด้านการอา่ นจบั ใจความ กลมุ่ สาระการ เรียนรู้ภาษาไทย ชดุ ท้องถิ่นเราชาวพิษณโุ ลก สาหรับนกั เรียนชนั้ ประถมศกึ ษาปี ที่ 6 ตามเกณฑ์ 80/80 2) เพ่ือใช้หนงั สืออิเลก็ ทรอนิกส์ สง่ เสริมความสามารถด้านการอา่ นจบั ใจความ กลมุ่ สาระ การเรียนรู้ภาษาไทย ชดุ ท้องถ่ินเราชาวพิษณุโลก สาหรับนกั เรียนชนั้ ประถมศึกษาปี ท่ี 6 โดย เปรียบเทียบความสามารถด้านการอ่านจบั ใจความระหว่างก่อนเรียนกบั หลงั เรียน 3) เพ่ือศกึ ษา ความพึงพอใจของนกั เรียนชนั้ ประถมศกึ ษาปี ที่ 6 ท่ีมีตอ่ การเรียนโดยใช้หนงั สืออิเล็กทรอนิกส์ สง่ เสริมความสามารถด้านการอ่านจบั ใจความ กล่มุ สาระการเรียนรู้ภาษาไทย ชดุ ท้องถิ่นเราชาว พิษณุโลก สาหรับนกั เรียนชนั้ ประถมศึกษาปี ที่ 6 ผลการวิจยั พบว่า 1) หนงั สืออิเล็กทรอนิกส์ สง่ เสริมความสามารถด้านการอา่ นจบั ใจความ กล่มุ สาระการเรียนรู้ภาษาไทย ชดุ ท้องถิ่นเราชาว พิษณโุ ลก สาหรับนกั เรียนชนั้ ประถมศกึ ษาปี ที่ 6 มีองคป์ ระกอบของปก คานา คาชีแ้ จง สารบญั เรื่องคาอธิบายศัพท์ แบบฝึ กหัดท้ายเล่ม บรรณานุกรม คณะผู้จัดทา ผลการประเมินโดย ผ้เู ช่ียวชาญพบวา่ มีความเหมาะสมอยใู่ นระดบั มากท่ีสุด ( X = 4.75) เม่ือนาไปหาประสิทธิภาพ พบวา่ มีประสิทธิภาพเทา่ กบั 81.47/81.83 2) ผ้เู รียนที่เรียนโดยใช้หนงั สืออิเลก็ ทรอนิกส์ สง่ เสริม ความสามารถด้านการอ่านจบั ใจความหลงั เรียนสงู กว่าก่อนเรียนอย่างมีนยั สาคญั ทางสถิตทิ ี่ระดบั .01 3) นกั เรียนชนั้ ประถมศกึ ษาปี ที่ 6 ที่เรียนด้วยหนงั สืออิเล็กทรอนิกส์ สง่ เสริมความสามารถ ด้านการอ่านจบั ใจความ กลุ่มสาระการเรียนรู้ภาษาไทย ชุดท้องถิ่นเราชาวพิษณุโลก สาหรับ นกั เรียนชนั้ ประถมศกึ ษาปี ท่ี 6 มีความพงึ พอใจอยรู่ ะดบั มากท่ีสดุ ( X = 4.81) คะซุโอะ นะงะมะสึ (2550) ได้ทาการวิจยั เร่ืองการศึกษาเปรียบเทียบคาลกั ษณนาม ภาษาไทยกบั ญี่ป่ นุ โดยมีจดุ ม่งุ หมายเพื่อวิเคราะห์อรรถลกั ษณ์ของคาลกั ษณนามภาษาไทยกบั ภาษาญ่ีป่ นุ เพื่อจะทาให้ทราบความเหมือนและความแตกตา่ งของการใช้ลกั ษณนามของทงั้ สอง ภาษา ผลการวิจยั พบว่า คาลกั ษณนามของทงั้ สองภาษาแตกต่างกันอย่างเห็นได้ชดั คือ คา ลกั ษณนามภาษาไทยมีสถานภาพทางสงั คม คาลกั ษณนามของภาษาญ่ีป่ นุ ไม่มีสถานภาพทาง สงั คม สว่ นความเหมือนกนั หรือความคล้ายคลงึ กนั ที่เห็นได้ชดั มี 2 ประการ ได้แก่ ผ้พู ดู ทงั้ สอง ภาษาจะเลือกคาลกั ษณนามตามรูปลกั ษณ์ภายนอกของคานาม และคานามบางคาไมร่ ะบรุ ูปร่าง ชดั เจน คานามคาใดท่ีผ้ใู ช้ภาษานกึ คาลกั ษณนามไมอ่ อกหรือมีความรู้ไมเ่ พียงพออาจใช้คาลกั ษณ นาม “อนั ” ในภาษาไทย และใช้คาลกั ษณนาม “tsu” ในภาษาญ่ีป่ นุ อรรถลกั ษณ์ท่ีนามาเป็ น

70 เกณฑ์ในการจาแนกกล่มุ คาลกั ษณนามของภาษาไทยและภาษาญี่ป่ นุ พบว่ามีทงั้ ความคล้ายคลึง และความแตกตา่ งกนั อรรถลกั ษณ์เดน่ ท่ีสดุ ของคาลกั ษณนามแตล่ ะประเภทนนั้ แสดงให้เห็นวา่ ผู้ พดู ภาษาไทยและภาษาญี่ป่ นุ มกั จะเลือกคาลกั ษณนามกบั คานามประเภทต่างๆ ตามเกณฑ์และ เงื่อนไขทางวัฒนธรรมหรือขนบธรรมเนียมที่แต่ละภาษากาหนดเกณฑ์ต่างๆ นอกจากนีใ้ นคา ลกั ษณนามภาษาไทยยงั แบง่ เงื่อนไขรายละเอียดมากกวา่ คาลกั ษณนามภาษาญ่ีป่ นุ นุชจรี สละริม (2558) ได้ทาการวิจัยเรื่องการพัฒนาหนังสืออิเล็กทรอนิกส์แบบมี ปฏิสมั พนั ธ์ เรื่อง สานวน สภุ าษิต คาพงั เพย กลมุ่ สาระการเรียนรู้ภาษาไทย สาหรับนกั เรียนชนั้ ประถมศึกษาปี ที่ 6 โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อ 1) เพ่ือสร้ างและหาประสิทธิภาพหนังสือ อิเลก็ ทรอนิกส์แบบมีปฏิสมั พนั ธ์ เร่ือง สานวน สภุ าษิต คาพงั เพย กลมุ่ สาระการเรียนรู้ภาษาไทย สาหรับนกั เรียนชนั้ ประถมศึกษาปี ที่ 6 2) เพ่ือศกึ ษาผลสมั ฤทธิ์ทางการเรียนระหว่างก่อนเรียน และหลังเรียนของนักเรียนท่ีเรียนด้วยหนังสืออิเล็กทรอนิกส์แบบมีมีปฏิสัมพันธ์ เรื่อง สานวน สุภาษิต คาพังเพย กลุ่มสาระการเรียนรู้ภาษาไทย สาหรับนักเรียนชนั้ ประถมศึกษาปี ที่ 6 3) เพ่ื อศึกษาความพึงพอใจของนักเรี ยนที่มี ต่อการใช้ หนังสืออิเล็กทรอนิกส์ แบบมีปฏิสัมพันธ์ เร่ือง สานวน สภุ าษิต คาพงั เพย กลมุ่ สาระการเรียนรู้ภาษาไทย สาหรับนกั เรียนชนั้ ประถมศกึ ษา ปี ที่ 6 ผลการวิจัยพบว่า 1) การประเมินคุณภาพของหนงั สืออิเล็กทรอนิกส์แบบมีปฏิสมั พนั ธ์ เรื่อง สานวน สภุ าษิต คาพงั เพย กลมุ่ สาระการเรียนรู้ภาษาไทย สาหรับนกั เรียนชนั้ ประถมศกึ ษา ปี ที่ 6 โดยผู้เชี่ยวชาญด้านเนือ้ หา ด้านเทคโนโลยีและส่ือสารการศึกษา และด้านวัดและ ประเมนิ ผล พบวา่ คณุ ภาพโดยรวมอยใู่ นเกณฑ์การประเมินผลระดบั มาก ( X = 4.20) 2) หนงั สือ อเิ ล็กทรอนิกส์แบบมีปฏิสมั พนั ธ์ เร่ือง สานวน สภุ าษิต คาพงั เพย กลมุ่ สาระการเรียนรู้ภาษาไทย สาหรับนกั เรียนชนั้ ประถมศึกษาปี ท่ี 6 ประสิทธิภาพเท่ากับ 83.69/82.80 ซ่ึงมีประสิทธิภาพสงู กว่าเกณฑ์ที่กาหนดไว้ 80/80 3) ผลสมั ฤทธ์ิทางการเรียนของนกั เรียนหลงั เรียนสงู กวา่ ก่อนเรียน อย่างมีนัยสาคญั ทางสถิติที่ระดบั .01 ซึ่งเป็ นไปตามสมมุติฐานท่ีตงั้ ไว้ 4) ความพึงพอใจของ นักเรียนต่อการใช้หนงั สืออิเล็กทรอนิกส์แบบมีปฏิสัมพันธ์ เร่ือง สานวน สุภาษิต คาพังเพย กล่มุ สาระการเรียนรู้ภาษาไทย สาหรับนกั เรียนชนั้ ประถมศึกษาปี ท่ี 6 โดยรวมอย่ใู นระดบั มาก ( X = 4.19) นา้ ผึง้ เอสโคบาร์ (2557) ได้ทาการวิจยั แบบเรียนเร่ืองการใช้คาลกั ษณนามสาหรับ ผู้เรียนชาวต่างชาติ โดยมีจุดมุ่งหมาย ดงั นี ้ 1) เพื่อสร้ างแบบเรียนเร่ืองการใช้คาลกั ษณนาม สาหรับผ้เู รียนต่างชาติ 2) เพ่ือหาประสิทธิภาพของแบบเรียนเรื่องการใช้คาลกั ษณนามสาหรับ ผ้เู รียนชาวตา่ งชาตติ ามเกณฑ์ 80/80 3) เพื่อให้ผ้เู รียนชาวตา่ งชาตใิ ช้ลกั ษณนามได้อยา่ งถกู ต้อง

71 โดยผลการวิจัยพบว่า แบบเรียนเรื่องการใช้ คาลักษณนามสาหรับผู้เรี ยนชาวต่างชาติ มีประสทิ ธิภาพทางสถิติ E1/E2 = 94.60/92 สงู กวา่ เกณฑ์ที่กาหนด แสดงวา่ แบบเรียนเร่ืองการใช้ คาลกั ษณนามสาหรับผ้เู รียนชาวตา่ งชาตมิ ีประสิทธิภาพ ทาให้ผ้เู รียนเกิดความรู้ ความเข้าใจใน การใช้คาลกั ษณนามอยา่ งถกู ต้องและสามารถนาแบบเรียนเลม่ นีไ้ ปใช้ได้จริงอยา่ งมีประสทิ ธิภาพ ประภากร นูวบุตร (2554) ได้ทาการวิจัยเร่ืองการพัฒนาหนังสืออิเล็กทรอนิกส์ เร่ืองมาตราตวั สะกด กลมุ่ สารการเรียนรู้ภาษาไทย ชนั้ ประถมศกึ ษาปี ที่ 1 โดยมีวตั ถปุ ระสงค์เพื่อ 1) พฒั นาหนงั สืออิเลก็ ทรอนิกส์ เรื่องมาตราตวั สะกด กลมุ่ สารการเรียนรู้ภาษาไทย ให้มีคณุ ภาพ 2) ศึกษาประสิทธิภาพของหนงั สืออิเล็กทรอนิกส์ เร่ืองมาตราตวั สะกด กลุ่มสาระการเรียนรู้ ภาษาไทย ตามเกณฑ์ E1/E2 (80/80) 3) เปรียบเทียบผลสมั ฤทธ์ิทางการเรียนก่อนเรียนและหลงั เรียนของผ้เู รียนหลงั ได้รับการจดั การเรียนรู้ด้วยหนงั สืออิเล็กทรอนิกส์ท่ีพฒั นาขึน้ 4) ศกึ ษาดชั นี ประสิทธิผลของหนงั สืออิเล็กทรอนิกส์ท่ีพฒั นาขึน้ 5) ศกึ ษาความคงทนในการเรียนรู้ของผ้เู รียน หลังได้รับการจดั การเรียนรู้ด้วยหนังสืออิเล็กทรอนิกส์ท่ีพฒั นาขึน้ 6) ศึกษาความพึงพอใจของ ผู้เรียนหลงั ได้รับการจดั การเรียนรู้ด้วยหนังสืออิเล็กทรอนิกส์ท่ีพฒั นาขึน้ โดยผลการวิจัยพบว่า 1) หนงั สือท่ีผ้วู จิ ยั สร้างขนึ ้ มีคณุ ภาพอยใู่ นระดบั มากที่สดุ ( X = 4.51, S.D. = 0.51) 2) หนงั สือ อิเล็กทรอนิกส์มีประสทิ ธิภาพ E1/E2 เทา่ กบั 86.71/85.65 3) ผลสมั ฤทธ์ิทางการเรียนของผ้เู รียน ท่ีเรียนด้วยหนงั สืออิเล็กทรอนิกส์หลงั เรียนสงู กว่าก่อนเรียนอย่างมีนยั สาคญั ทางสถิติที่ระดบั .05 4) ดชั นีประสิทธิผลของการเรียนรู้ด้วยหนังสืออิเล็กทรอนิกส์ท่ีพัฒนาขึน้ พบว่ามีความก้าวหน้า สงู ขึน้ ร้อยละ 73.73 5) ผ้เู รียนมีความคงทนในการเรียนรู้อย่ใู นเกณฑ์ท่ีกาหนดไว้ 6) ผ้เู รียนมี ความพึงพอใจในระดบั มากที่สุด ( X = 4.85, S.D. = 0.36) สรุปได้ว่าหนงั สืออิเล็กทรอนิกส์ที่ พฒั นาขนึ ้ มีคณุ ภาพและมีประสิทธิผลสามารถนาไปจดั การเรียนรู้ได้ พวงผกา ลือยศ (2554) ได้พฒั นาหนงั สืออิเล็กทรอนกิ ส์ เร่ือง มาตราตวั สะกด สาหรับ นกั เรียนชนั้ ประถมศึกษาปี ที่ 4 ที่เป็ นชาวเขาเผ่าม้ง โดยมีจุดม่งุ หมายการวิจยั 1) เพ่ือพฒั นา หนงั สืออเิ ล็กทรอนกิ ส์ เร่ือง มาตราตวั สะกด สาหรับนกั เรียนชนั้ ประถมศกึ ษาปี ท่ี 4 ที่เป็นชาวเขา เผ่าม้ง ให้มีประสิทธิภาพตามเกณฑ์ 80/80 2) เพ่ือเปรียบเทียบผลสมั ฤทธิ์ทางการเรียนก่อนและ หลังเรียนโดยใช้หนังสืออิเล็กทรอนิกส์ 3) เพื่อศึกษาความพึงพอใจของนักเรียนที่มีต่อหนังสือ อิเล็กทรอนิกส์ กลุ่มตัวอย่างที่ใช้ เป็ นนักเรียนชัน้ ประถมศึกษาปี ที่ 4 ท่ีเป็ นชาวเขาเผ่าม้ง โรงเรียนบ้านปางแก สานักงานเขตพืน้ ท่ีการศึกษาประถมศึกษาน่าน เขต 2 จานวน 42 คน ซ่ึงได้มาจากการเลือกแบบเจาะจง เคร่ืองมือท่ีใช้ในการศึกษา ได้แก่ 1) หนงั สืออิเล็กทรอนิกส์ เร่ื อง มาตราตัวสะกด สาหรับนักเรี ยนชัน้ ประถมศึกษาปี ที่ 4 ท่ีเป็ นชาวเขาเผ่าม้ ง

72 2) แบบประเมินคุณภาพของหนังสืออิเล็กทรอนิกส์ สาหรับผู้เชี่ยวชาญ 3) แบบทดสอบวัด ผลสมั ฤทธ์ิทางการเรียน 4) แบบสอบถามความพึงพอใจของนกั เรียนที่มีตอ่ หนงั สืออิเล็กทรอนิกส์ เรื่อง มาตราตวั สะกด สาหรับนกั เรียนชนั้ ประถมศกึ ษาปี ที่ 4 ท่ีเป็ นชาวเขาเผา่ ม้ง ผลการศกึ ษา พบวา่ หนงั สืออิเล็กทรอนิกส์ เรื่อง มาตราตวั สะกด สาหรับนกั เรียนชนั้ ประถมศกึ ษาปี ที่ 4 ที่เป็น ชาวเขาเผา่ ม้ง ท่ีพฒั นามีประสิทธิภาพ 80.86/83.02 ผลสมั ฤทธ์ิทางการเรียนของนกั เรียนที่เรียน โดยใช้หนงั สืออิเล็กทรอนิกส์ คะแนนหลงั เรียนสงู กว่าก่อนเรียนอย่างมีนยั สาคญั ทางสถิติท่ีระดบั .05 และนกั เรียนมีความพงึ พอใจตอ่ หนงั สืออเิ ลก็ ทรอนิกส์โดยภาพรวมอยใู่ นระดบั มาก ภาวิณี ภูมิเอี่ยม (2558) ได้พฒั นาหนงั สืออิเล็กทรอนิกส์ เพื่อพัฒนาทกั ษะการอ่าน บทร้อยกรอง ประเภทกาพย์ยานี 11 สาหรับนกั เรียนชนั้ ประถมศึกษาปี ท่ี 5 โดยมีวตั ถปุ ระสงค์ การวิจยั ดงั นี ้ 1) เพ่ือสร้างและหาประสิทธิภาพของหนงั สืออิเล็กทรอนิกส์ เพ่ือพฒั นาทกั ษะการ อ่านบทร้ อยกรอง ประเภทกาพย์ยานี 11 สาหรับนกั เรียนชนั้ ประถมศึกษาปี ท่ี 5 ตามเกณฑ์ 80/80 2) เพื่อเปรียบเทียบผลสมั ฤทธ์ิก่อนเรียนและหลงั เรียนของหนงั สืออเิ ล็กทรอนิกส์ เพื่อพฒั นา ทักษะการอ่านบทร้ อยกรอง ประเภทกาพย์ยานี 11 สาหรับนักเรียนชัน้ ประถมศึกษาปี ที่ 5 3) เพื่อศึกษาความพึงพอใจของนักเรียนท่ีเรียนด้วยหนังสืออิเล็กทรอนิกส์ ซึ่งดาเนินการตาม กระบวนการวิจัยและพัฒนา 3 ขัน้ ตอน คือ 1) สร้ างและหาประสิทธิภาพของหนังสือ อเิ ลก็ ทรอนกิ ส์ เพ่ือพฒั นาทกั ษะการอา่ นบทร้อยกรอง ประเภทกาพย์ยานี 11 สาหรับนกั เรียนชนั้ ประถมศกึ ษาปี ท่ี 5 2) เปรียบเทียบผลสมั ฤทธิ์ก่อนและหลงั เรียนของหนงั สืออิเล็กทรอนิกส์ เพื่อ พฒั นาทกั ษะการอา่ นบทร้อยกรอง ประเภทกาพย์ยานี 11 สาหรับนกั เรียนชนั้ ประถมศกึ ษาปี ท่ี 5 3) ศึกษาความพึงพอใจของนักเรียนท่ีเรียนด้วยหนงั สืออิเล็กทรอนิกส์ ชนั้ ประถมศึกษาปี ที่ 5 จานวน 15 คน ปี การศึกษา 2557 โรงเรียนสี่แยกเขาดิน วิเคราะห์ข้อมลู โดยใช้คา่ เฉลี่ย ( X ) ค่าเบี่ยงเบนมาตรฐาน (S.D.) และการทดสอบค่า (t-test) ผลการศึกษาค้ นคว้ า พบว่า 1) ผลการสร้างหนงั สืออิเล็กทรอนิกส์ เพื่อพฒั นาทกั ษะการอา่ นบทร้อยกรอง ประเภทกาพย์ยานี 11 สาหรับนักเรียนชัน้ ประถมศึกษาปี ที่ 5 มีความเหมาะสมอยู่ในระดับ มาก ( X = 4.24, S.D. = 0.56) และนาไปทดสอบกับนักเรียนจานวน 15 คน มีประสิทธิภาพ 80.41 / 81.33 ซ่ึงเป็ นไปตามเกณฑ์ 80/80 2) นกั เรียนท่ีเรียนด้วยหนงั สืออิเล็กทรอนิกส์ เพื่อพฒั นาทกั ษะการ อา่ นบทร้อยกรอง ประเภทกาพย์ยานี 11 มีผลสมั ฤทธ์ิหลงั เรียนสงู กว่าก่อนเรียนอยา่ งมีนยั สาคญั ท่ีระดบั .05 3) นกั เรียนมีความพงึ พอใจท่ีเรียนด้วยหนงั สืออิเล็กทรอนิกส์โดยรวมอยใู่ นระดบั มาก ที่สดุ

73 วิไลพร จีนเมือง (2545) ได้ทาการวิจยั เรื่อง การพฒั นาบทเรียนคอมพิวเตอร์ช่วยสอน เรื่องคาลกั ษณนาม สาหรับสอนภาษาไทยให้กับชาวต่างประเทศ โดยมีวตั ถปุ ระสงค์เพ่ือพฒั นา และหาประสิทธิภาพของบทเรียนคอมพวิ เตอร์ชว่ ยสอน เรื่องคาลกั ษณนาม สาหรับสอนภาษาไทย ให้ชาวต่างประเทศ เพ่ือเปรียบเทียบผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนก่อนและหลังเรียนด้วยบทเรียน คอมพิวเตอร์และเพื่อศึกษาความคิดเห็นของกลุ่มตวั อย่างที่มีต่อบทเรียนคอมพิวเตอร์ช่วยสอน เรื่องคาลกั ษณนาม ผลการวิจยั พบว่า 1) ประสิทธิภาพของบทเรียนคอมพิวเตอร์ชว่ ยสอนเร่ืองคา ลกั ษณนามมีคา่ เทา่ กบั 76.67/78.33 ซ่งึ ถือวา่ บทเรียนมีประสิทธิภาพดี 2) ผลสมั ฤทธ์ิทางการ เรียนเรื่องคาลักษณนามของผ้เู รียนหลงั เรียนด้วยบทเรียนคอมพิวเตอร์ช่วยสอนสงู กว่าก่อนการ เรียนอย่างมีนัยสาคัญทางสถิติที่ระดับ 0.01 3) กลุ่มตัวอย่างมีความคิดเห็นต่อบทเรียน คอมพวิ เตอร์ชว่ ยสอน อยใู่ นระดบั ดี วรดา นาคเกษม (2554) ได้ทาการวจิ ยั เรื่องการพฒั นาหนงั สืออเิ ลก็ ทรอนิกส์แบบหนงั สือ ส่ือประสม เร่ืองกระบวนการงานก่อนผลิตสื่อ โดยมีวัตถุประสงค์ 1) เพื่อการพัฒนาหนังสือ อิเล็กทรอนิกส์แบบหนงั สือสื่อประสม เร่ืองกระบวนการงานก่อนผลิตส่ือ 2) เพื่อประเมินคณุ ภาพ ของหนังสืออิเล็กทรอนิกส์แบบหนังสือส่ือ ประสม เรื่ องกระบวนการงานก่อนผลิตสื่อ 3) เพื่อเปรียบเทียบผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนก่อนเรียนกับ หลังเรียนของผู้เรียนจากหนังสือ อิเล็กทรอนิกส์แบบหนงั สือสื่อประสม เรื่องกระบวนการงานก่อน ผลิตสื่อ 4) เพ่ือประเมินความพึง พอใจของผ้เู รียนที่มีตอ่ อิเล็กทรอนิกส์แบบหนงั สือส่ือประสม เร่ือง กระบวนการงานก่อนผลิตสื่อที่ สร้างขนึ ้ ผลปรากฏวา่ คณุ ภาพสื่อมีคา่ เฉล่ียเทา่ กบั 4.05 มีคณุ ภาพอยใู่ นระดบั ดี สว่ น คณุ ภาพด้าน เนือ้ หามีค่าเฉล่ียเท่ากับ 3.76 มีคณุ ภาพอยู่ในระดบั ดี จากนนั้ ได้นาไปทดลองกับกลุ่ม ตวั อย่าง คือ นักศึกษาชัน้ ปี ท่ี 2 จานวน 40 คน จากภาควิชาเทคโนโลยีการพิมพ์และบรรจุภัณฑ์ คณะครุศาสตร์อตุ สาหกรรมและเทคโนโลยี มหาวิทยาลยั เทคโนโลยีพระจอมเกล้าธนบรุ ี ผลปรากฏ ว่าผลสมั ฤทธิ์ทางการเรียนของผ้เู รียนสงู ขนึ ้ อย่างมีนยั สาคญั ที่ระดบั 0.05 และความพงึ พอใจของ กลุ่ม ตัวอย่างที่มีต่อสื่อนัน้ มีความพึงพอใจระดับมาก ค่าเฉล่ียเท่ากับ 4.39 แสดงว่าหนังสือ อิเล็กทรอนิกส์ แบบหนังสือส่ือประสม เรื่องกระบวนการงานก่อนผลิตสื่อมีความน่าสนใจและ สามารถนาไปใช้ใน การเรียนรู้ได้เป็นอยา่ งดี วรรณี จันทร์พ่วง (2550) ได้ ทาการวิจัยเร่ือง บทเรียนคอมพิวเตอร์ช่วยสอน เรื่อง ลกั ษณนาม สาหรับนกั เรียนชนั้ ประถมศกึ ษาปี ที่ 5 โดยมีวตั ถปุ ระสงค์ ดงั นี ้ 1) เพื่อสร้าง บทเรียนคอมพวิ เตอร์ชว่ ยสอน เรื่องลกั ษณนาม สาหรับนกั เรียนชนั้ ประถมศกึ ษาปี ท่ี 5 2) เพื่อหา ประสิทธิภาพของบทเรียนคอมพิวเตอร์ชว่ ยสอน เรื่องลกั ษณนาม สาหรับนกั เรียนชนั้ ประถมศกึ ษา

74 ปี ที่ 5 3) เพ่ือเปรียบเทียบผลสัมฤทธิ์ของนักเรียนก่อนเรียนและหลังเรียนด้วยบทเรียน คอมพิวเตอร์ช่วยสอน เร่ือง ลักษณนาม สาหรับนักเรียนชัน้ ประถมศึกษาปี ที่ 5 4) เพื่อ เปรียบเทียบผลสมั ฤทธิ์ทางการเรียนของนกั เรียนท่ีเรียนด้วยการสอนแบบปกติในชนั้ เรียนและใช้ บทเรียนคอมพิวเตอร์ช่วยสอน เร่ือง ลกั ษณนาม สาหรับนกั เรียนชนั้ ประถมศกึ ษาปี ท่ี 5 กบั การ สอนปกติในชนั้ เรียนเพียงอย่างเดียว โดยผลการวิจยั พบว่า 1) บทเรียนคอมพิวเตอร์ช่วยสอน เร่ือง ลกั ษณนาม สาหรับนกั เรียนชนั้ ประถมศกึ ษาปี ที่ 5 มีประสิทธิภาพตามเกณฑ์ 85.5/87.5 ซงึ่ สงู กวา่ เกณฑ์มาตรฐานท่ีตงั้ ไว้ คือ 80/80 2) ผลสมั ฤทธ์ิทางการเรียนของนกั เรียนท่ีเรียนด้วย บทเรียนคอมพิวเตอร์ช่วยสอน เรื่อง ลักษณนาม ชนั้ ประถมศึกษาปี ท่ี 5 แตกต่างกันอย่างมี นยั สาคญั ทางสถิติ 0.05 โดยมีคะแนนหลงั เรียนสงู กวา่ กอ่ นเรียน 3) ผลสมั ฤทธ์ิทางการเรียนของ นักเรียนที่เรียนด้ วยการสอบแบบปกติในชัน้ เรียนและใช้ บทเรียนคอมพิวเตอร์ช่วยสอน เรื่องลักษณนาม สาหรับชนั้ ประถมศึกษาปี ท่ี 5 สูงกว่าการสอนแบบปกติในชนั้ เรียน อย่างมี นยั สาคญั ทางสถิตทิ ี่ 0.05 สิริวงษ์ หงส์สวรรค์ (2540) ได้ทาการวจิ ยั เรื่อง คาลกั ษณะนามในภาษาไทยและภาษา เวียดนาม : การศกึ ษาเปรียบเทียบ โดยมีวตั ถปุ ระสงค์เพ่ือศกึ ษาคาลกั ษณนามในภาษาไทยและ ภาษาเวียดนาม โดยมงุ่ ศกึ ษาคาลกั ษณะนามในโครงสร้างนามวลีบอกจานวน เพ่ือวเิ คราะห์อรรถ ลกั ษณ์ของคาลกั ษณะนาม และจาแนกกล่มุ คาลกั ษณะนาม รวมทงั้ ศกึ ษาเปรียบเทียบโลกทัศน์ ของผ้พู ดู ภาษาไทยและภาษาเวียดนามที่สะท้อนให้เห็นจากการใช้คาลกั ษณะนาม ผลการศกึ ษา พบว่า คาลกั ษณนามแท้ในภาษาไทยและภาษาเวียดนามมีการจาแนกกล่มุ แตกตา่ งกนั กลา่ วคือ คาลักษณะนามในภาษาไทยจาแนกได้ 3 กลุ่ม คือ คาลักษณนามท่ีแสดงส่วนของร่างกาย คาลักษณนามท่ีแสดงการรับรู้และคาลักษณนามที่แสดงความรู้สึก รวบรวมได้ทงั้ หมด 73 คา ปรากฏร่วมอรรถลักษณ์ทงั้ หมด 52 อรรถลกั ษณ์ส่วนคาลักษณนามในภาษาเวียดนามจาแนกได้ 5 กลมุ่ คือคาลกั ษณนามท่ีแสดงส่วนของร่างกาย คาลกั ษณนามท่ีแสดงการรับรู้ คาลกั ษณนามท่ี แสดงความรู้สึก คาลกั ษณะนามท่ีแสดงความเปรียบแบบบุคลาธิษฐาน และคาลักษณนามท่ี แสดงความเปรียบแบบอปุ ลกั ษณ์ รวบรวมได้ทงั้ หมด 74 คา ปรากฏร่วมกบั อรรถลกั ษณ์ทงั้ หมด 70 อรรถลกั ษณ์ นอกจากนี ้ อรรถลกั ษณ์ท่ีนามาเป็ นเกณฑ์ในการจาแนกกลมุ่ คาลกั ษณนามของ ภาษาไทยและภาษาเวียดนามพบว่ามีความคล้ ายคลึงกัน อรรถลักษณ์ดังกล่าว ได้แก่ อรรถลกั ษณ์ของสิ่งท่ีมีมาแตเ่ ดิม อรรถลกั ษณ์ที่แสดงการรับรู้โดยประสาทสมั ผสั อรรถลกั ษณ์ท่ี แสดงหน้ าที่ และอรรถลักษณ์ท่ีแสดงลักษณะพิเศษ จากการวิเคราะห์อรรถลักษณ์ต่างๆ ของคาลกั ษณนาม ยงั พบด้วยวา่ อรรถลกั ษณ์เดน่ ที่สดุ ของคาลกั ษณนามแตล่ ะประเภทนนั้ แสดงให้

75 เห็นว่า ผู้พูดภาษาไทยและภาษาเวียดนามจะเลือกใช้คาลักษณนามกับคานามประเภทต่าง ๆ ตามเกณฑ์และเง่ือนไขทางวฒั นธรรมที่แตล่ ะภาษากาหนดเกณฑ์ตา่ ง ๆ ดงั กล่าวเป็ นส่วนหน่ึงท่ี สะท้อนให้เหน็ โลกทศั น์ท่ีเหมือนกนั และแตกตา่ งกนั ของผ้พู ดู ทงั้ สองภาษา สนุ ทรี ชยั สถาผล (2543) ได้ทาการวิจยั เร่ือง การศกึ ษาเปรียบเทียบคาลกั ษณนามใน ภาษาจีนกลางกบั ภาษาไทย โดยมีวตั ถปุ ระสงค์ที่จะศกึ ษาการใช้คาลกั ษณนามในภาษาจีนกลาง โดยมงุ่ ศกึ ษาคาลกั ษณนามที่ปรากฏในโครงสร้างนามวลีและกริยาวลี ด้วยการวิเคราะห์ประเภท คาลกั ษณนาม และศกึ ษาลกั ษณะการปรากฎร่วมกบั คาบอกจานวนของคาลกั ษณนามในภาษาจีน กลาง รวมทงั้ ศกึ ษาเปรียบเทียบกบั คาลกั ษณนามในภาษาไทย ผลการศกึ ษาวิจยั สามารถสรุปได้ ดงั นี ้ ประการแรก เม่ือพิจารณาจากหน้าที่ทางไวยากรณ์แล้วพบว่าคาลกั ษณนามในภาษาจีน กลาง สามารถแบ่งได้เป็ น 2 ประเภทใหญ่ คือคาลกั ษณนามที่ใช้ประกอบกับคานาม และคา ลักษณนามที่ใช้ประกอบกับคากริยา ประการที่สอง ในภาษาจีนกลางนัน้ คาลักษณนามไม่ สามารถนามาใช้ตามลาพงั ตวั เดยี วโดดๆ ได้ จาเป็นต้องใช้ประกอบกบั คาอ่ืนๆ คาที่ปรากฏการใช้ ร่วมมากท่ีสุด คือคาบอกจานวนจากการศึกษาพบว่า การปรากฎร่วมกบั คาบอกจานวนของคา ลกั ษณนามในภาษาจีนกลางทงั้ สองประเภทข้างต้นสามารถวิเคราะห์ได้เป็ น 2 ประเด็นหลกั คือ คาบอกจานวนท่ีปรากฎร่วมได้นัน้ มีไม่จากัดและคาบอกจานวนท่ีปรากฎร่วมได้นัน้ มีจากัด ประการท่ีสาม เมื่อนาคาลกั ษณนามในภาษาจีนกลางมาเปรียบเทียบกบั ภาษาไทยแล้ว จะพบวา่ ตาแหน่งที่ปรากฎในโครงสร้ างนามวลีและกริยาวลีของทัง้ สองภาษามีความแตกต่างกัน เมื่อวิเคราะห์และแยกประเภทคาลักษณนามของทัง้ สองภาษาแล้ว พบว่าคาลักษณนามบาง ประเภทพบในทัง้ สองภาษา บางประเภทพบเฉพาะในภาษาใดภาษาหนึ่งเท่านัน้ ในส่วนของ การศึกษาลักษณะการปรากฎร่วมกับคาบอกจานวน พบว่าในภาษาจีนกลางคาบอกจานวน สามารถปรากฎร่วมกบั คาลกั ษณนามได้สองลกั ษณะดงั ท่ีกลา่ วมาแล้วข้างต้น ในขณะที่ภาษาไทย คาบอกจานวนสามารถปรากฎร่วมกบั คาลกั ษณนามได้ไมจ่ ากดั เสาวลกั ษณ์ ญาณสมบตั ิ (2545) ได้ทาการวิจยั เร่ือง การพฒั นาหนงั สืออิเล็กทรอนิกส์ เรื่อง \"นวตั กรรมการสอนที่ยดึ ผ้เู รียนเป็นสาคญั \" โดยมีวตั ถปุ ระสงค์เพ่ือพฒั นาและหาประสิทธิภาพ ของหนังสืออิเล็กทรอนิกส์ เรื่อง นวัตกรรมการสอนที่ยึดผู้เรียนเป็ นสาคัญ กลุ่มทดลองเป็ น ครูผ้สู อนในโรงเรียนสังกัดสานกั งานการประถมศึกษาอาเภอพระนครศรีอยุธยา จานวน 40 คน ได้มาโดยวิธีสมุ่ แบบง่าย ผ้วู จิ ยั ทดสอบก่อนเรียนแล้วนาหนงั สืออเิ ล็กทรอนิกส์ เรื่อง นวตั กรรมการ สอนท่ียดึ ผ้เู รียนเป็นสาคญั ท่ีผ้วู ิจยั สร้างขนึ ้ ให้ครูเรียนเม่ือจบบทเรียนแล้วทาการ ทดสอบหลงั เรียน ด้วยแบบวัดผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน หลังจากนัน้ วิเคราะห์ข้อมูลหาค่าเฉลี่ยและ สถิติ t-test

76 ผลการวจิ ยั พบว่า ผลสมั ฤทธ์ิทางการเรียนของครูที่เรียนจากหนงั สืออเิ ล็กทรอนิกส์ เร่ือง นวตั กรรม การสอนท่ียดึ ผ้เู รียนเป็นสาคญั หลงั เรียนสงู กวา่ กอ่ นเรียนอยา่ งมีนยั สาคญั ทางสถิติ 7.2 งานวจิ ัยต่างประเทศ Auberg, Sally Nadine (1999) อ้ างอิงใน Ohnmar Aung (2559, หน้ า 51) ได้ ศึกษาวิจัยเรื่องการประยุกต์ใช้มัลติมีเดียและไฮเปอร์เท็กซ์เพ่ือสอนวรรณกรรมของ William Shakespeare ดาเนินวิธีการวิจยั โดยใช้เครื่องมือ CD-ROM ที่บรรจุเสียงและวิดีโอในลักษณะ ส่ือผสมผ่านการเชื่อมโยงข้อมูลข่าวสาร ในลกั ษณะมลั ติมีเดียไฮเปอร์เท็กซ์ที่บรรจุเนือ้ หาและ วรรณกรรมเป็ นบทเรียนที่เน้นถึงลกั ษณะการแสดง (Cast) และการเล่นบทบาท (play) ของตวั ละครในเธียเตอร์บทบาทการสอนท่ีเน้นการปฏิบตั ิ Chin – Lung Wei. (1991, หน้า 51 – 53) อ้างอิงใน วารุณี ไกรศรและคณะ (2550, หน้า 49) ได้ทาการวิจยั เร่ืองการเปรียบเทียบความเหมือนและความแตกตา่ งระหวา่ งไฮเปอร์เทก็ ซ์ กบั การพิมพ์ด้วยวตั ถดุ ิบดงั้ เดิม ซึง่ สามารถสรุปผลได้คือ ไฮเปอร์เท็กซ์ดีกว่าการพิมพ์แบบดงั้ เดิม ดงั นี ้ 1. ไฮเปอร์เท็กซ์เป็นข้อความที่ไมห่ ยดุ นิ่งสามารถลงิ ค์ไปมาได้ 2. วสั ดทุ ี่ใช้ในการจดั เก็บมีรูปร่างเลก็ แตส่ ามารถบรรจขุ ้อมลู ได้มาก 3. เป็นสื่อท่ีมีประสทิ ธิภาพสงู สามารถสร้างแรงจงู ใจให้กบั ผ้เู รียนได้เป็นอยา่ งดี 4. ไฮเปอร์เท็กซ์สามารถพฒั นาทกั ษะการเรียนรู้ของผ้เู รียนได้ดี 5. ง่ายตอ่ การสร้างสรรค์สง่ิ ใหมๆ่ และยงั สามารถนาขนึ ้ สรู่ ะบบเครือขา่ ยอนิ เตอร์เน็ตได้ David W. Ambrose (1991, หน้า 51-54) อ้างอิงใน วารุณี ไกรศรและคณะ (2550, หน้า 49) ศกึ ษาผลการใช้ไฮเปอร์มีเดียในการเรียนรู้ กลา่ วโดยสรุปคือ สื่อที่เรียกว่าไฮเปอร์มีเดีย นนั้ ยงั มีความสาคญั และยังดาเนินต่อไปในยุคของการเปลี่ยนแปลงเทคโนโลยีและยังคงพฒั นา อย่างต่อเน่ือง รูปแบบของไฮเปอร์มีเดียจะมีรูปแบบที่แตกตา่ งกนั ออกไปขนึ ้ อย่กู บั ความสามารถ ของนกั ออกแบบการจดั การเรียนรู้ ซึ่งใช้วตั ถดุ บิ และพฒั นาการของเทคโนโลยีท่ีเปล่ียนไป และยงั ใช้ผลจากการวจิ ยั เพ่ือนาไปพฒั นาได้ตอ่ ไป Riddle M. Elizabeth (1995) อ้างอิงใน พวงผกา ลือยศ (2554, หน้า 54) ได้ศึกษา โปรแกรมมัลติมีเดียในห้ องเรี ยนซึ่งพบว่ามัลติมี เดียท่ีมี ประสิทธิ ภาพจะทาให้ นักเรี ยน บ รรลุ เป้ าหมายท่ีตัง้ ไว้ นักเรียนสามารถใช้โปรแกรมมัลติมีเดียได้โดยง่ายและรวดเร็วด้วยตนเอง ซง่ึ ได้ผลดีกว่าการเรียนแบบดงั้ เดิมในห้องเรียน นกั เรียนท่ีเรียนจากคอมพิวเตอร์จะพฒั นาในเรื่อง

77 ของความคิด ความรู้สึก สามารถใช้กราฟิ ก ภาพเคลื่อนไหวและเสียงในการเสริมความคิดได้ นกั เรียนจะสนใจในกิจกรรมเหลา่ นีม้ ากกวา่ การสอนในห้องเรียนแบบธรรมดา Shiratudin, Monica, Forbes and Shahizan (2001) อ้างองิ ใน Khin Thida Soe (2559, หน้า 51) ได้ศึกษาเทคโนโลยีหนังสืออิเล็กทรอนิกส์และการสร้ างหนังสืออิเล็กทรอนิกส์โดยได้ รายงานเกี่ยวกับสภาพแวดล้ อม ความสะดวกในการใช้ ซอฟแวร์ของผู้ใช้ บริการหนังสือ อิเล็กทรอนิกส์ผ่านเว็บท่ีมีรูปแบบต่างกัน โดยใช้ หนังสืออิเล็กทรอนิกส์ในการปรับปรุงการมี ปฏิสมั พนั ธ์กนั ระหวา่ งผ้สู อนและผ้เู รียนในการเรียนทางไกลในระยะเวลา 1 ภาคเรียนใช้การสอน เครื่องมือการเรียนและการนาเสนอเกี่ยวกบั การมอบหมายงานเพื่อใช้ในการศกึ ษา ผลการศกึ ษา พบว่า นักเรียนมีความสนใจในการใช้เทคโนโลยีหนังสืออิเล็กทรอนิกส์ เพราะสามารถกระต้นุ ความต้องการในการเรียนและมีผลตอ่ การศกึ ษาทางไกล Wilson (2003) อ้างอิงใน Khin Thida Soe (2559, หน้า 52) ได้ศึกษาโครงสร้ างของ หนงั สืออิเล็กทรอนิกส์ม่งุ ประเด็นไปที่ความเข้าใจและเจตคติ และจุดเด่นที่สาคญั ของผ้เู รียนใน โรงเรียนแห่งสหราชอาณาจักรกับการสังเกตไปที่การปรับปรุงออกแบบของ E-Book Reader เพื่อการเรียนการสอนในอนาคต ผู้เรียนมีโอกาสในการอ่านหนงั สืออิเล็กทรอนิกส์ และให้ผล ป้ อนกลบั ผ่านแบบสอบถาม พบว่า ผ้เู รียนสนใจและเอาใจใส่ในการอ่านหนงั สืออิเล็กทรอนิกส์ มากขนึ ้ จากทฤษฎีและงานวิจัยที่เกี่ยวข้ องทัง้ ในและต่างประเทศ ในการนาหนังสือ อิเล็กทรอนิกส์มาใช้ในการจดั การเรียนการสอน พบว่าหนงั สืออิเล็กทรอนิกส์ท่ีนามาใช้ในการเรียน การสอนทาให้นกั เรียนมีผลสมั ฤทธิ์ทางการเรียนสูงขึน้ จึงทาให้ผู้วิจยั เชื่อว่าการจดั การเรียนการ สอนด้วยหนงั สืออิเล็กทรอนิกส์ท่ีใช้รูปแบบไฮเปอร์เท็กซ์ ผสมผสานกบั การใช้เทคโนโลยีตา่ งๆ ท่ี สร้ างขึน้ ในรูปแบบมัลติมีเดีย มีความสาคัญและมีบทบาทต่อการเรียนการสอน อีกทัง้ มี ประสิทธิภาพมากกวา่ การใช้หนงั สือแบบทวั่ ๆ ไป เพราะสามารถสร้างแรงจงู ใจ กระต้นุ ให้ผ้เู รียน สนใจท่ีจะเรียนรู้มากกว่าการเรียนรู้จากหนงั สือรูปแบบเดิม และเม่ือพิจารณาจากความพงึ พอใจ ของนกั เรียนท่ีได้เรียนด้วยหนงั สืออเิ ล็กทรอนกิ ส์แล้ว พบวา่ นกั เรียนมีความพงึ พอใจท่ีจะเรียนรู้ด้วย หนงั สืออิเล็กทรอนิกส์ จึงเห็นได้ว่าหนงั สืออิเล็กทรอนิกส์มีความสาคญั ตอ่ กิจกรรมการเรียนการ สอนจึงส่งผลให้หนังสืออิเล็กทรอนิกส์สามารถช่วยยกระดบั และขยายโอกาสทางการศึกษาแก่ นกั เรียนโดยไม่ต้องนงั่ ศึกษาอย่แู ต่ในห้องเรียนแต่สามารถได้ทุกเวลาและทุกสถานที่ ทาให้การ เรียนการสอนไม่น่าเบ่ือหน่ายและตื่นเต้น ทาให้ผ้วู ิจยั สนใจท่ีจะนามาเป็ นแนวทางในการพฒั นา

78 หนังสืออิเล็กทรอนิกส์ เร่ืองลักษณนาม กลุ่มสาระการเรียนรู้ภาษาไทย สาหรับนักเรียนชัน้ ประถมศกึ ษาปี ที่ 3 เพื่อให้เกิดการเรียนรู้และฝึกทกั ษะการใช้ลกั ษณนามให้มีประสิทธิภาพยิง่ ขนึ ้ หนังสืออเิ ล็กทรอนิกส์ เร่ืองลักษณนาม ลักษณนาม 1. ความหมายของหนงั สืออเิ ล็กทรอนกิ ส์ 1. ความหมายของคาลกั ษณนาม 2. ลกั ษณะและประเภทของหนงั สืออิเล็กทรอนิกส์ 2. ท่ีมาของลกั ษณนาม 3. จดุ ประสงคแ์ ละประโยชน์ของหนงั สือ 3. การจาแนกประเภทคาลกั ษณนาม อิเลก็ ทรอนกิ ส์ 4. หน้าท่ีของลกั ษณนาม 4. องคป์ ระกอบของหนงั สืออิเล็กทรอนกิ ส์ 5. การใช้ลกั ษณนาม 5. ขัน้ ตอนการพัฒนาหนังสืออิเล็กทรอนิกส์ รูปแบบ ADDIE หนังสืออเิ ลก็ ทรอนิกส์ เร่ือง ลักษณนาม กลุ่มสาระการเรียนรู้ภาษาไทย ชัน้ ประถมศึกษาปี ท่ี 3 ประสทิ ธิภาพของ ผลสมั ฤทธ์ิทางการเรียน ความพงึ พอใจ หนงั สืออิเลก็ ทรอนิกส์ ก่อนและหลงั เรียนโดยใช้ ของนกั เรียนท่ีมีตอ่ หนงั สืออิเล็กทรอนิกส์ หนงั สืออเิ ลก็ ทรอนกิ ส์ เร่ือง ลกั ษณนาม เร่ือง ลกั ษณนาม เร่ือง ลกั ษณนาม ภาพ 2 แสดงกรอบแนวคดิ ทางการวจิ ัย

บทท่ี 3 วิธีดำเนินงำนวจิ ยั การพฒั นาหนังสืออิเล็กทรอนิกส์ เร่ือง ลักษณนาม กลุ่มสาระการเรียนรู้ภาษาไทย สาหรับนกั เรียนชนั้ ประถมศึกษาปี ที่ 3 ผ้ศู ึกษาค้นคว้าได้จัดสร้ างเคร่ืองมือและดาเนินการตาม ขนั้ ตอน ตอ่ ไปนี ้ 1. ประชากรและกลมุ่ ตวั อยา่ ง 2. เครื่องมือที่ใช้ในการวิจยั 3. การสร้างเครื่องมือท่ีใช้ในการศกึ ษาค้นคว้า 4. การเก็บรวบรวมข้อมลู 5. การวเิ คราะห์ข้อมลู และสถิตทิ ่ีใช้ในการวจิ ยั ประชำกรและกลุ่มตัวอย่ำง ประชากรที่ใช้ในการศกึ ษาครัง้ นี ้ คือ นกั เรียนโรงเรียนบ้านชายเคือง ตาบลวงั ชะโอน อาเภอบึงสามัคคี จงั หวดั กาแพงเพชร สานกั งานเขตพืน้ ท่ีการศึกษาประถมศึกษากาแพงเพชร เขต 2 ภาคเรียนท่ี 2 ปี การศกึ ษา 2559 จานวน 237 คน กลุ่มตัวอย่าง คือ นักเรี ยนชัน้ ประถมศึกษาปี ที่ 3 โรงเรี ยนบ้ านชายเคือง ตาบลวังชะโอน อาเภอบึงสามัคคี จังหวัดกาแพงเพชร ที่กาลังเรียนใน ภาคเรียนที่ 2 ปี การศกึ ษา 2559 จานวน 27 คน ได้มาโดยการเลือกแบบเจาะจง (Purposive Sampling) เคร่ืองมือท่ใี ช้ในกำรวิจัย เคร่ืองมือที่ใช้ในการศกึ ษาครัง้ นีป้ ระกอบไปด้วย 1. หนังสืออิเล็กทรอนิกส์ เร่ือง ลักษณนาม กลุ่มสาระการเรียนรู้ภาษาไทย ชนั้ ประถมศกึ ษาปี ท่ี 3 2. แบบประเมนิ คณุ ภาพหนงั สืออิเลก็ ทรอนกิ ส์ของผ้เู ชี่ยวชาญ 3. แบบทดสอบวดั ผลสมั ฤทธ์ิทางการเรียนก่อนเรียนและหลงั เรียน ซึง่ เป็ นแบบทดสอบ ชดุ เดยี วกนั ทงั้ นีจ้ ะเป็นแบบทดสอบแบบปรนยั ชนดิ 4 ตวั เลือก รวมทงั้ สนิ ้ จานวน 30 ข้อ 4. แบบประเมนิ ความพงึ พอใจของนกั เรียนที่มีตอ่ การใช้หนงั สืออิเล็กทรอนกิ ส์

80 กำรสร้ำงเคร่ืองมือท่ใี ช้ในกำรศกึ ษำค้นคว้ำ การออกแบบและพัฒนาหนงั สืออิเล็กทรอนิกส์ เร่ืองลักษณนาม กลุ่มสาระการเรียนรู ภาษาไทย สาหรับนกั เรียนชนั้ ประถมศกึ ษาปี ที่ 3 มีขนั้ ตอนและรายละเอียดในการสร้างเคร่ืองมือ ในการวิจยั ดงั นี ้ 1. หนังสืออิเล็กทรอนิกส์ เร่ือง ลักษณนำม กลุ่มสำระกำรเรียนรู้ภำษำไทย สำหรับนักเรียนชัน้ ประถมศึกษำปี ท่ี 3 ผ้วู ิจยั ได้ออกแบบโดยแบ่งเนือ้ หาออกเป็ น 8 หน่วย คอื หนว่ ยที่ 1 ความหมายของคาลกั ษณนาม หนว่ ยท่ี 2 คาลกั ษณนามบอกชนิด หนว่ ยที่ 3 คาลกั ษณนามบอกหมวดหมู่ หนว่ ยท่ี 4 คาลกั ษณนามบอกสณั ฐาน หนว่ ยที่ 5 ลกั ษณนามบอกจานวนและมาตรา หนว่ ยที่ 6 คาลกั ษณนามบอกอาการ หนว่ ยท่ี 7 คาลกั ษณนามซา้ ช่ือ หนว่ ยที่ 8 คาลกั ษณนามที่ควรรู้ ในการสร้างหนงั สืออเิ ล็กทรอนกิ ส์ เร่ือง ลกั ษณนาม กลมุ่ สาระการเรียนรู้ภาษาไทย สาหรับเรียนชนั้ ประถมศึกษาปี ที่ 3 ผ้วู ิจยั ได้ดาเนินการตามขนั้ ตอนการสร้าง และพฒั นาระบบ การสอน ADDIE MODEL 5 ขนั้ ตอน ดงั ตอ่ ไปนี ้ 1.1 ขนั้ การวเิ คราะห์ (Analysis) 1.2 ขนั้ การออกแบบ (Design) 1.3 ขนั้ การพฒั นา (Development) 1.4 ขนั้ การนาไปใช้ (Implementation) 1.5 ขนั้ การประเมินผล (Evaluation)

81 กาหนดปัญหา ขนั้ การวเิ คราะห์ วเิ คราะห์ปัญหา/หลกั สตู ร/สาระ/มาตรฐาน, เนอื ้ หา, วตั ถปุ ระสงค์, ผ้เู รียน, Analysis องค์ประกอบของหนงั สอื อิเลก็ ทรอนกิ ส์, งานกิจกรรม, ทรัพยากรทเ่ี กี่ยวข้อง ขนั้ การออกแบบ ออกแบบองค์ประกอบหนงั สอื , กาหนดเนอื ้ หา, ออกแบบโครงสร้างหนงั สอื , Design ออกแบบแบบประเมิน, ออกแบบแบบทดสอบ, ออกแบบแบบสอบถาม ขนั้ การพฒั นา สร้างหนงั สอื อิเลก็ ทรอนิกส์, สร้างแบบประเมิน, Development สร้างแบบทดสอบ, สร้างแบบสอบถาม ประเมนิ โดยผ้เู ชี่ยวชาญ ปรับปรุงแก้ไข ทดลองใช้รายบคุ คล ปรับปรุงแก้ไข ขนั้ การนาไปใช้ ทดลองใช้กลมุ่ เลก็ ปรับปรุงแก้ไข Implementation ทดลองใช้ภาคสนาม ปรับปรุงแก้ไข นาไปใช้กบั กลมุ่ ตวั อยา่ ง ขนั้ การประเมนิ ผล วเิ คราะห์และประเมนิ Evaluation เขียนรายงานการวจิ ยั ภำพ 3 แสดงขัน้ ตอนกำรสร้ำงหนังสืออเิ ล็กทรอนิกส์ เร่ืองลักษณนำม

82 1.1 ขัน้ กำรวิเครำะห์ (Analysis) ขนั้ การวิเคราะห์เพ่ือกาหนดการสร้างหนงั สืออิเล็กทรอนิกส์ ได้วเิ คราะห์โดยคานึงถึง จุดประสงค์ในการพฒั นาหนงั สืออิเล็กทรอนิกส์ เพื่อพฒั นาทักษะในการเรียนวิชาภาษาไทยให้ ความรู้ความเข้าใจ สาหรับนกั เรียนชนั้ ประถมศกึ ษาปี ท่ี 3 ดงั นี ้ 1.1.1 วิเคราะห์ปัญหา พบว่า นกั เรียนชนั้ ประถมศกึ ษาปี ท่ี 3 มีปัญหาเกี่ยวกับ การใช้คาลกั ษณนาม นกั เรียนยังคงใช้ลกั ษณนามเรียกถึงส่ิงต่างๆ ไม่ถูกต้อง นักเรียนยังคงมี ปัญหาในการใช้ลกั ษณนามที่ผิดหรือสบั สนวา่ สง่ิ ตา่ งๆ เหลา่ นนั้ จะใช้คาลกั ษณนามใดถงึ จะถูกต้อง และตรงกบั ความหมาย 1.1.2 วิเคราะห์หลักสูตร ศึกษาหลักสูตรแกนกลางการศึกษาขัน้ พืน้ ฐาน พุทธศกั ราช 2551 สาระการเรียนรู้ภาษาไทย ได้กาหนดมาตรฐานการเรียนรู้ ชนั้ ประถมศกึ ษา ปี ท่ี 3 กาหนดให้ผ้เู รียนได้เรียน 5 สาระ ซงึ่ ขอนาเสนอเฉพาะในสว่ นท่ีเกี่ยวข้อง ดงั นี ้ สาระท่ี 4 หลกั การใช้ภาษาไทย มาตรฐาน ท 4.1 เข้าใจธรรมชาติของภาษาและหลักภาษาไทยการ เปลี่ยนแปลงของภาษาและพลงั ของภาษา ภมู ิปัญญาทางภาษา และรักษาภาษาไทยไว้เป็นสมบตั ิ ของชาติ 1. เขียนสะกดคาและบอกความหมายของคา 2. ระบชุ นิดและหน้าท่ีของคาในประโยค 3. ใช้พจนานกุ รมค้นหาความหมายของคา 4. แตง่ ประโยคง่ายๆ 5. แตง่ คาคล้องจองและคาขวญั 6. เลือกใช้ภาษาไทยมาตรฐานและภาษาถ่ินได้เหมาะสมกบั กาลเทศะ 1.1.3 ศึกษาเอกสาร งานวิจัยและตาราเรียน ท่ีเกี่ยวข้องกับการสร้ างหนังสือ อิเล็กทรอนิกส์ เร่ือง ลักษณนาม สาหรับนักเรียนชัน้ ประถมศึกษาปี ท่ี 3 ที่ครอบคลุมวิชา ภาษาไทย ชัน้ ประถมศึกษาปี ที่ 3 เพื่อกาหนดจุดประสงค์การเรียนรู้ ในการพัฒนาหนงั สือ อิเล็กทรอนิกส์ เรื่อง ลกั ษณนาม กลมุ่ สาระการเรียนรู้ภาษาไทย สาหรับนกั เรียนชนั้ ประถมศกึ ษา ปี ที่ 3 ใช้เวลาเรียน 12 ชว่ั โมง จดั แบง่ เลือกเนือ้ หาวิชาโดยแบง่ เนือ้ หาออกเป็น 8 หนว่ ย ดงั นี ้ หนว่ ยที่ 1 ความหมายของคาลกั ษณนาม หนว่ ยที่ 2 คาลกั ษณนามบอกชนดิ หนว่ ยท่ี 3 คาลกั ษณนามบอกหมวดหมู่

83 หนว่ ยท่ี 4 คาลกั ษณนามบอกสณั ฐาน หนว่ ยท่ี 5 ลกั ษณนามบอกจานวนและมาตรา หนว่ ยท่ี 6 คาลกั ษณนามบอกอาการ หนว่ ยท่ี 7 คาลกั ษณนามซา้ ช่ือ หนว่ ยที่ 8 คาลกั ษณนามที่ควรรู้ 1.1.4 จัดทาแผนการจัดการเรียนรู้ สาหรับนามาใช้กับหนังสืออิเล็กทรอนิกส์ เร่ือง ลกั ษณนาม สาหรับนกั เรียนชนั้ ประถมศกึ ษาปี ท่ี 3 จานวน 8 แผน จานวนรวม 12 ชวั่ โมง ซง่ึ แผนดงั กลา่ วที่สร้างขนึ ้ มีองคป์ ระกอบหลกั ดงั นี ้ 1) สาระสาคญั 2) จดุ ประสงคก์ ารเรียนรู้ 3) เนือ้ หาสาระ 4) กิจกรรมการเรียนรู้ 5) ส่ือการสอน 6) การวดั และประเมนิ ผล 1.1.5 ศกึ ษาเอกสารและแนวทางการสร้างหนงั สืออิเลก็ ทรอนิกส์ 1.1.6 ศกึ ษาเอกสารและงานวจิ ยั ท่ีเก่ียวข้องกบั การสร้างสื่อสาหรับเดก็ ความสนใจ ความต้องการในการอ่านตามหลกั จิตวิทยาและพฒั นาการของเด็ก เพ่ือเป็ นแนวทางในการสร้าง หนงั สืออิเล็กทรอนิกส์ 1.1.7 วิเคราะห์องค์ประกอบของหนังสืออิเล็กทรอนิกส์ ผู้วิจัยได้ดาเนินการตาม ขนั้ ตอน โดยได้กาหนดรายละเอียดองค์ประกอบของหนังสืออิเล็กทรอนิกส์ เรื่อง ลกั ษณนาม กล่มุ สาระการเรียนรู้ภาษาไทย สาหรับนกั เรียนชนั้ ประถมศกึ ษาปี ท่ี 3 ซึ่งมีองค์ประกอบ ได้แก่ ปกหน้า คานา คาชีแ้ จง สารบญั เนือ้ หา บรรณานกุ รม ปกหลงั ซง่ึ หนงั สือจะจดั องค์ประกอบ และตกแตง่ โดยมีข้อความ ภาพประกอบ เสียง ภาพเคล่ือนไหว วดิ ีโอ การเช่ือมโยง 1.2 ขัน้ กำรออกแบบ (Design) 1.2.1 ขนั้ ตอนการออกแบบ ในขนั้ ตอนนีผ้ ้วู ิจยั ได้เลือกใช้โปรแกรมสาเร็จรูปสาหรับ การพฒั นาหนงั สืออิเล็กทรอนิกส์ ผ้วู ิจยั ได้ศกึ ษาและนาคณุ สมบตั ิโปรแกรมหลายๆ โปรแกรมมา ประยกุ ตเ์ ข้าด้วยกนั เพื่อนามาใช้พฒั นาหนงั สืออิเลก็ ทรอนกิ ส์ มีขนั้ ตอนการสร้างดงั นี ้ - ส่วนรูปแบบต่างๆ เป็ นต้นแบบที่จะนามาสร้ างเป็ นหนังสืออิเล็กทรอนิกส์ ใช้โปรแกรมสาเร็จรูปที่เป็ นโปรแกรมสาหรับสร้ าง e-book เอกสารท่ีสร้ างด้วยโปรแกรมนีจ้ ะ

84 สามารถใส่เนือ้ หา ภาพน่ิง ภาพเคล่ือนไหว เสียง วิดีโอ และสามารถเชื่อมโยงเนือ้ หาแต่ละ เนือ้ หาได้ - ส่วนข้อความ (Text) ภาพประกอบ (Graphics) ส่วนป่ มุ ตา่ งๆ (Buttons) ส่วนภาพเคล่ือนไหว (Video Clip) ใช้โปรแกรมสาเร็จรูปท่ีมีความสามารถในการตกแตง่ ตวั อกั ษร ภาพน่งิ ภาพเคลื่อนไหวและป่ มุ ตา่ งๆ ให้สวยงามเพื่อนาไปใช้ในสว่ นเนือ้ หาหนงั สืออิเล็กทรอนิกส์ 1.2.2 กาหนดเนือ้ หา ประกอบด้วยเนือ้ หาเกี่ยวกบั ลกั ษณนามที่สามารถพบเจอใน ชีวติ ประจาวนั ได้เป็นประจา แบง่ เป็นหนว่ ย ได้ 8 หนว่ ย ดงั นี ้ หนว่ ยท่ี 1 ความหมายของคาลกั ษณนาม หนว่ ยท่ี 2 คาลกั ษณนามบอกชนดิ หนว่ ยท่ี 3 คาลกั ษณนามบอกหมวดหมู่ หนว่ ยท่ี 4 คาลกั ษณนามบอกสณั ฐาน หนว่ ยท่ี 5 ลกั ษณนามบอกจานวนและมาตรา หนว่ ยท่ี 6 คาลกั ษณนามบอกอาการ หนว่ ยท่ี 7 คาลกั ษณนามซา้ ชื่อ หนว่ ยที่ 8 คาลกั ษณนามที่ควรรู้ 1.2.3 ออกแบบโครงสร้ างหนงั สืออิเล็กทรอนิกส์ เรื่อง ลกั ษณนาม มีโครงสร้ าง เนือ้ หาโดยผงั งานแสดงโครงสร้างดงั นี ้ ปกหน้า หนว่ ยที่ 1 คานา หนว่ ยที่ 2 หนว่ ยท่ี 3 คาชีแ้ จง หนว่ ยที่ 4 บรรณานกุ รม จดุ ประสงค์การเรียนรู้ หนว่ ยท่ี 5 ปกหลงั หนว่ ยท่ี 6 สารบญั หนว่ ยท่ี 7 หนว่ ยท่ี 8 ภำพ 4 แสดงโครงสร้ำงหนังสืออิเลก็ ทรอนิกส์

85 1.2.4 ออกแบบองค์ประกอบของหนงั สืออิเล็กทรอนิกส์ ให้เหมาะสมกบั ผ้เู รียน 1.2.5 ออกแบบแบบประเมินประสิทธิภาพของหนงั สืออิเลก็ ทรอนิกส์ 1.2.5 ออกแบบแบบทดสอบวดั ผลสมั ฤทธ์ิทางการเรียน 1.2.5 ออกแบบแบบประเมินความพงึ พอใจ 1.3 ขัน้ กำรพัฒนำ (Development) 1.3.1 การสร้างหนงั สืออิเล็กทรอนิกส์ เรื่อง ลกั ษณนาม กล่มุ สาระการเรียนรู้ ภาษาไทย สาหรับนกั เรียนชนั้ ประถมศกึ ษาปี ที่ 3 ตามท่ีได้ออกแบบไว้ ซง่ึ ประกอบด้วย 1) หน้าปก 2) คานา 3) คาชีแ้ จง 4) จดุ ประสงคก์ ารเรียนรู้ 5) สารบญั 6) เนือ้ หา 7) บรรณานกุ รม 8) ปกหลงั 1.3.2 นาส่วนตา่ งๆ ท่ีกล่าวมารวมกนั จะได้หนงั สืออิเล็กทรอนิกส์ เร่ืองลกั ษณนาม กล่มุ สาระการเรียนรู้ภาษาไทย สาหรับนกั เรียนชนั้ ประถมศกึ ษาปี ท่ี 3 ในรูปแบบการนาเสนอท่ี ประกอบด้วย ข้อความ ภาพนิง่ การเชื่อมโยง เสียง และวีดีโอ 1.3.3 ผ้วู ิจยั ได้นาหนงั สืออิเล็กทรอนิกส์ เรื่อง ลกั ษณนาม กล่มุ สาระการเรียนรู้ ภาษาไทย สาหรับนักเรียนชัน้ ประถมศึกษาปี ท่ี 3 พร้ อมแบบประเมินคุณภาพหนังสือ อิเล็กทรอนิกส์ฯ เสนอต่อผ้เู ช่ียวชาญ จานวน 5 ท่าน ที่มีประสบการณ์การสอนมากกว่า 5 ปี ดงั นี ้ 1) นายนพดล โคตรมลู ตาแหนง่ ครู วิทยฐานะชานาญการพิเศษ 2) นางสวุ รรณา เหลา่ ทอง ตาแหนง่ ครู วิทยฐานะชานาญการพิเศษ 3) นางศรัณยา ฤกษ์หร่าย ตาแหนง่ ครู วิทยฐานะชานาญการ 4) นางสาวบุญประคอง อามาตร์ทัศน์ ตาแหน่งครู วิทยฐานะชานาญการพิเศษ 5) นางสาวพรรณทพิ า กณุ าตรี ตาแหนง่ ครู วิทยฐานะชานาญการพิเศษ

86 1.3.3 นาหนงั สืออิเล็กทรอนิกส์ เร่ือง ลกั ษณนาม กล่มุ สาระการเรียนรู้ภาษาไทย สาหรับนกั เรียนชนั้ ประถมศกึ ษาปี ท่ี 3 ท่ีผา่ นการประเมินคณุ ภาพโดยผ้เู ช่ียวชาญแล้วไปทดลองใช้ กบั นกั เรียนเพื่อหาประสิทธิภาพตามเกณฑ์ 80/80 จานวน 3 ครัง้ ดงั นี ้ ครัง้ ที่ 1 ทดสอบแบบรายบุคคล (One to One Test) จานวน 3 คน จากนกั เรียนชนั้ ประถมศึกษาปี ท่ี 4 ที่มีผลสมั ฤทธิ์ทางการเรียนในรายวิชาภาษาไทยอยู่ในระดบั สงู กลาง ต่า อย่างละ 1 คน โดยเป็ นนกั เรียนท่ีมีผลการเรียนวิชาภาษาไทย อย่ใู นระดบั เก่ง ปานกลาง และออ่ น อย่างละ 1 คน จากการสมุ่ แบบเจาะจง จากนกั เรียนที่ไมใ่ ช่กล่มุ ตวั อย่าง โดยผ้วู จิ ยั ได้แจ้งให้นกั เรียนทราบวา่ การเรียนครัง้ นีไ้ มใ่ ชก่ ารทดสอบและไมม่ ีผลตอ่ ผลการเรียนของ นักเรียน จากนัน้ จึงให้นักเรียนเริ่มจากการทาแบบทดสอบก่อนเรียน แล้วศึกษาเนือ้ หาไป ตามลาดบั เพ่ือตรวจสอบความเหมาะสมด้านภาษา เนือ้ หา เวลา เสียง สี ขนาดตวั อกั ษรและ ความเหมาะสมของส่วนประกอบตา่ งๆ ในหนงั สืออเิ ล็กทรอนิกส์ เรื่อง ลกั ษณนาม กลมุ่ สาระการ เรียนรู้ภาษาไทย แล้วนาผลมาปรับปรุงแก้ไขเพ่ือนาไปใช้ทดลองแบบกลุ่มเล็กต่อไป พบว่ามี ข้ อบกพร่องคือขนาดตัวหนังสือมีขนาดเล็ก สีตัวหนังสือมีลักษณะกลมกลื่นกับพืน้ หลัง ภาพประกอบมีน้อย อีกทงั้ ข้อความมีมากเกินไป ผ้วู ิจยั จงึ นาข้อบกพร่องมาปรับปรุงและแก้ไข ครัง้ ที่ 2 ทดสอบแบบกลุ่มเล็ก (Small Group Testing) จานวน 9 คน จากนกั เรียนชนั้ ประถมศกึ ษาปี ท่ี 4 ท่ีมีผลสมั ฤทธิ์ทางการเรียนในรายวิชาภาษาไทยอย่ใู นระดบั สงู กลาง ต่า อยา่ งละ 3 คน โดยนาหนงั สืออิเล็กทรอนิกส์ เร่ือง ลกั ษณนาม ท่ีปรับปรุงแก้ไข แล้วมาทดลองเพื่อตรวจสอบความเหมาะสมและตรวจสอบความถกู ต้องของสว่ นประกอบตา่ งๆ ใน หนังสืออิเล็กทรอนิกส์ พบว่าการสะกดคายังเจอคาผิดเล็กน้อย และนาผลคะแนนจากการทา แบบทดสอบมาคานวณหาค่าประสิทธิภาพของหนังสืออิเล็กทรอนิกส์ (E1 / E2) แล้วนาผลมา ปรับปรุงและแก้ไขเพ่ือนาไปใช้ทดลองภาคสนามตอ่ ไป ครัง้ ที่ 3 ทดสอบแบบภาคสนาม (Field Testing) จากนักเรี ยนชัน้ ประถมศกึ ษาปี ท่ี 4 จานวน 1 ห้องเรียน ที่มีผลสมั ฤทธ์ิทางการเรียนในรายวิชาภาษาไทยอยใู่ น ระดบั สงู กลาง ต่า โดยนาหนงั สืออิเล็กทรอนกิ ส์ เร่ือง ลกั ษณนาม ที่ปรับปรุงแล้วมาทดลองใช้ กบั นกั เรียนที่ไมใ่ ชก่ ลมุ่ ตวั อย่างเพ่ือหาประสิทธิภาพของหนงั สืออิเล็กทรอนิกส์ให้ได้ตามเกณฑ์ท่ีตงั้ ไว้ 1.4 ขัน้ กำรนำไปใช้ (Implementation) เป็ นขนั้ ตอนที่ผ้วู ิจยั ได้นาหนงั สืออิเล็กทรอนิกส์ เรื่องลกั ษณนาม กลมุ่ สาระการ เรียนรู้ภาษาไทย สาหรับนกั เรียนชนั้ ประถมศึกษาปี ท่ี 3 โดยผา่ นการพิจารณาความคิดเห็นของ

87 ผ้เู ช่ียวชาญวา่ มีความถกู ต้อง สามารถนาไปใช้ได้จริง และมีประสิทธิภาพตามเกณฑ์ไปทดลอง ใช้กบั กลมุ่ ตวั อย่าง จานวน 27 คน โดยการเลือกแบบเจาะจง (Purposive Sampling) โดยทา แบบทดสอบก่อนเรียน ศกึ ษาเนือ้ หาและทาแบบทดสอบหลงั เรียนเพ่ือวดั ผลสมั ฤทธิ์ทางการเรียน เร่ืองลกั ษณนามตอ่ ไป 1.5 ขัน้ กำรประเมินผล (Evaluation) เป็ นการวดั ผลประสิทธิภาพและประสิทธิผลการสอนโดยใช้หนงั สืออิเล็กทรอนิกส์ การประเมินผลเกิดขึน้ ตลอดกระบวนการออกแบบสื่อการสอนทัง้ หมด และการใช้สื่อหนังสือ อิเล็กทรอนิกส์ในการสอน กล่าวคือ ภายในขนั้ ตอนตา่ งๆ และระหวา่ งขนั้ ตอนตา่ งๆ และภายหลงั การดาเนินการให้เป็ นผลแล้ว การประเมินผลอาจเป็ นการประเมินผลเพ่ือการพัฒนาหรือการ ประเมนิ ผลรวม การประเมินผลเพ่ือการพฒั นาดาเนินการ เม่ือผา่ นการนาไปทดลองใช้แล้ว ผ้วู ิจยั ได้นาข้อมูลการทดลองที่ได้ โดยนาผลการทดลองมาวิเคราะห์และศึกษาการใช้งานหนังสือ อิเลก็ ทรอนกิ ส์ ดงั นี ้ 1.5.1 เปรียบเทียบผลสมั ฤทธิ์ทางการเรียนของกลมุ่ ตวั อย่าง โดยใช้คะแนนจาก การทาแบบทดสอบก่อนเรียนและหลงั เรียนนามาจาแนกตามระดบั ความสามารถของนักเรียน โดยหาคา่ เฉล่ียและสว่ นเบ่ียงเบนมาตรฐานและแปลคา่ ตามเกณฑ์ 1.5.2 วิเคราะห์หาค่าความพึงพอใจของกลุ่มตัวอย่างท่ีได้เรียนด้วยหนังสือ อเิ ลก็ ทรอนกิ ส์ เรื่อง ลกั ษณนาม โดยหาคา่ เฉลี่ยแล้วแปลคา่ ตามเกณฑ์ 2. กำรสร้ำงแบบประเมนิ คุณภำพของหนังสืออิเลก็ ทรอนิกส์สำหรับผู้เช่ียวชำญ ในขัน้ ตอนการสร้ างแบบประเมินประสิทธิภาพของหนังสืออิเล็กทรอนิกส์ เรื่อง ลักษณนาม กลุ่มสาระการเรียนรู้ภาษาไทย สาหรับนักเรียนชัน้ ประถมศึกษาปี ท่ี 3 เพื่อสอบถามความคิดเห็นของผู้เช่ียวชาญท่ีมีต่อความเหมาะสมของหนังสืออิเล็กทรอนิกส์ มีขนั้ ตอนการสร้างดงั นี ้ 2.1 ศกึ ษาเอกสาร วิธีการ ที่เก่ียวกบั การสร้างแบบประเมินคณุ ภาพจากเอกสารตา่ งๆ ที่เก่ียวข้อง 2.2 กาหนดขอบขา่ ยของเนือ้ หาที่จะนามาสร้างแบบสอบถามโดยการจะมีการประเมิน ดงั นี ้ 2.2.1 หนงั สืออเิ ล็กทรอนิกส์ ประกอบด้วย 1) ด้านส่วนนาของบทเรียน 2) ด้านเนือ้ หาของบทเรียน

88 3) ด้านการใช้ภาษา 4) ด้านการออกแบบกราฟิก และมลั ตมิ ีเดีย 5) ด้านปฏิสมั พนั ธ์ 3.2.2 แบบทดสอบผลสมั ฤทธ์ิทางการเรียนหลงั เรียน 2.3 กาหนดเกณฑ์การประเมินแบบมาตราส่วนประมาณค่า (Rating Scale) ซึ่ง โดยทั่วไปจะกาหนดค่านา้ หนักตามวิธีการของลิเคิร์ท ( Likert) ที่แบ่งออกเป็ น 5 ระดับ (ธานนิ ท์ ศลิ ป์ จารุ, 2550) ดงั นี ้ ดีมาก กาหนดให้มีคา่ เทา่ กบั 5 ดี กาหนดให้มีคา่ เทา่ กบั 4 ปานกลาง กาหนดให้มีคา่ เทา่ กบั 3 พอใช้ กาหนดให้มีคา่ เทา่ กบั 2 ควรปรับปรุง กาหนดให้มีคา่ เทา่ กบั 1 โดยการวิเคราะห์ข้อมูลทางสถิติในกรณีแบบสอบถามเป็ นมาตราส่วนประมาณค่า (Rating Scale) มักจะใช้ค่าเฉล่ีย ( X ) เป็ นตัวสถิติเพื่อวิเคราะห์ข้อมูลท่ีเก็บมาได้ทัง้ หมด ค่าเฉล่ีย ( X ) ที่คานวณได้ส่วนใหญ่จะมีทศนิยม 2 ตาแหน่ง ดงั นนั้ จึงต้องกาหนดเกณฑ์การ แปลความหมายเพื่อจดั ระดบั คา่ เฉล่ียออกเป็นชว่ งดงั ตอ่ ไปนี ้ คา่ เฉลี่ย 4.50 – 5.00 กาหนดให้อยใู่ นเกณฑ์ ดมี าก คา่ เฉล่ีย 3.50 – 4.49 กาหนดให้อยใู่ นเกณฑ์ ดี คา่ เฉล่ีย 2.50 – 3.49 กาหนดให้อยใู่ นเกณฑ์ ปานกลาง คา่ เฉลี่ย 1.50 – 2.49 กาหนดให้อยใู่ นเกณฑ์ พอใช้ คา่ เฉลี่ย 1.00 – 1.49 กาหนดให้อยใู่ นเกณฑ์ ควรปรับปรุง 2.4 ร่างแบบสอบถามตามประเด็นที่กาหนดไว้ซึ่งเป็ นแบบประเมินประสิทธิภาพของ องค์ประกอบของหนงั สืออิเล็กทรอนิกส์ ซึ่งประกอบด้วย หนงั สืออิเล็กทรอนิกส์และแบบทดสอบ ผลสมั ฤทธ์ิทางการเรียน 2.5 นาแบบสอบถามไปให้อาจารย์ที่ปรึกษาพิจารณาและให้ข้อเสนอแนะเก่ียวกับ การใช้ภาษา ความชดั เจน ความเหมาะสม แล้วนาคาแนะนาท่ีได้มาปรับปรุงแก้ไขตามคาแนะนา จนเสร็จสมบรู ณ์ 2.6 นาแบบสอบถามที่ปรับปรุงแล้ว ไปสอบถามผู้เช่ียวชาญเพ่ือประเมินคุณภาพ หนงั สืออเิ ลก็ ทรอนิกส์ตอ่ ไป


Like this book? You can publish your book online for free in a few minutes!
Create your own flipbook