สว่ นท่ี ๒ การรกั ษาจรยิ า ข้อ ๕๒ ให้ผู้บังคับบัญชาตามลาดับช้ัน มีหน้าท่ีควบคุม ดูแล แนะนา ชี้แจง หรือสั่งให้ผู้อยูใ่ นบงั คบั บญั ชา ปฏิบตั ติ ามจรยิ าโดยเคร่งครดั ถ้าผู้บังคับบัญชารู้อยู่ว่าผู้อยู่ในบังคับบัญชาละเมิดจริยา ต้องพิจารณาว่าความละเมิดของผู้อยู่ในบังคับบัญชารูปนั้น อยู่ในอานาจที่ตนจะสั่งลงโทษได้หรือไม่ ถ้าอยู่ในอานาจท่ีตนจะสั่งลงโทษได้ ก็ให้สั่งลงโทษ แล้วรายงานไปยังผู้บังคับบัญชาเหนือตน ถ้าเห็นว่าความละเมิดน้ันควรจะลงโทษหนักกว่าที่ตนมีอานาจจะลงโทษได้ ก็ให้รายงานผู้บังคับบัญชาเหนือตนข้ึนไปเพือ่ พิจารณาลงโทษตามควร ผู้บังคับบัญชารูปใด ไม่จัดการลงโทษผู้อยู่ในบังคับบัญชาที่ละเมิดจริยาหรือจัดการลงโทษโดยไมส่ ุจรติ ให้ถือวา่ ผู้บังคบั บญั ชารูปนน้ั ละเมดิ จริยา ข้อ ๕๓ พระสังฆาธิการรูปใด ถูกผู้บังคับบัญชาสั่งลงโทษฐานละเมิดจริยา ต้องปฏิบัติตามทันที ถ้าเห็นว่าคาสั่งลงโทษไม่เป็นธรรม ก็มีสิทธิร้องทุกข์ได้ตามวิธีการที่บัญญัติไว้ในระเบียบมหาเถรสมาคมว่าด้วยการร้องทุกข์ แต่ถ้าปรากฏว่าเป็นการร้องทุกข์เท็จ ให้ถือว่าเป็นการละเมิดจรยิ าอย่างรา้ ยแรง ส่วนท่ี ๓ การละเมิดจริยา ข้อ ๕๔ พระสังฆาธิการรูปใดประพฤติละเมิดจริยา ต้องได้รับโทษฐานละเมิดจริยาอย่างใดอยา่ งหนึ่ง ดงั ตอ่ ไปนี้ (๑) ถอดถอนจากตาแหนง่ หน้าท่ี (๒) ปลดจากตาแหนง่ หน้าที่ (๓) ตาหนิโทษ (๔) ภาคทัณฑ์ ข้อ ๕๕ การถอดถอนจากตาแหน่งหน้าท่ีน้ัน จะทาได้ต่อเม่ือพระสังฆาธิการละเมิดจริยาอย่างร้ายแรง แมข้ ้อใดข้อหนงึ่ ดังตอ่ ไปนี้ (๑) ทุจรติ ต่อหนา้ ที่ (๒) ละทง้ิ หน้าทโี่ ดยไม่มีเหตุผลอันสมควรเกนิ กว่า ๓๐ วัน (๓) ขดั คาส่ังอันชอบด้วยการคณะสงฆ์ และการขดั คาส่งั น้ันเปน็ เหตุให้เกิดความเสียหายอยา่ งรา้ ยแรงแกก่ ารคณะสงฆ์ ๙๕ คูม่ ือพระสังฆาธกิ าร
(๔) ประมาทเลินเล่อในหน้าที่ เป็นเหตุให้เกิดความเสียหายอย่างร้ายแรงแก่การคณะสงฆ์ (๕) ประพฤติชว่ั อย่างร้ายแรง ในกรณีเช่นน้ี ให้ผู้บังคับบัญชาใกล้ชิดรายงานโดยลาดับจนถึงผู้มีอานาจแต่งตั้ง เมื่อได้สอบสวนและไดค้ วามจรงิ ตามรายงานนั้นแล้ว ให้ผมู้ อี านาจแต่งตง้ั สัง่ ถอดถอนจากตาแหน่งหนา้ ท่ไี ด้ ข้อ ๕๖ พระสังฆาธิการรูปใดต้องอธิกรณ์ หรือถูกฟ้องเป็นจาเลยในคดีอาญา และอยู่ในระหว่างพิจารณาวินิจฉัย หรือมีกรณีต้องหาว่าละเมิดจริยาอย่างร้ายแรง และอยู่ในระหว่างสอบสวน ถ้าผู้บังคับบัญชาใกล้ชิดเห็นว่า จะให้คงอยู่ในตาแหน่งหน้าท่ีในระหว่างพิจารณาหรือสอบสวน จะเปน็ การเสียหายแกก่ ารคณะสงฆ์ จะสง่ั ให้พกั ตาแหน่งหนา้ ท่กี ็ได้ การให้พักจากตาแหน่งหน้าที่น้ัน ให้พักตลอดเวลาที่พิจารณาหรือสอบสวน เมื่อพิจารณาหรือสอบสวนเสร็จแล้ว ถ้าปรากฏว่าพระสังฆาธิการท่ีถูกสั่งให้พักน้ันไม่มีความผิด และไม่มีมลทินความผิดเลย ผู้บังคับบญั ชาผสู้ ง่ั ให้พกั ต้องสัง่ ให้พระสงั ฆาธกิ ารรปู นัน้ กลับดารงตาแหน่งเดิม เม่ือได้สั่งพักจากตาแหน่งหน้าที่นั้น หรือสั่งให้กลับดารงตาแหน่งเดิมแล้ว ให้รายงานโดยลาดบั จนถงึ ผมู้ อี านาจแตง่ ตั้ง และจงึ ให้กรมการศาสนาทราบภายใน ๓๐ วนั นับแต่วนั สัง่ แต่ถ้าปรากฏว่าถึงแม้การพิจารณาหรือสอบสวนจะไม่ได้ความสัตย์ว่าได้กระทาผิด แต่มีมลทินหรือมัวหมอง ให้ผู้มีอานาจแต่งต้ังพิจารณา ถ้าเห็นว่าจะให้กลับเข้ารับหน้าที่อีก อาจเสียหายแก่การคณะสงฆ์ ก็สั่งปลดจากตาแหนง่ หน้าทไี่ ด้ ขอ้ ๕๗ พระสังฆาธกิ ารรูปใด ได้รับโทษฐานละเมิดจรยิ าตามข้อ ๕๔ (๑) หรือ (๒) ต้องพ้นจากตาแหน่งพระสงั ฆาธกิ ารทุกตาแหนง่ ข้อ ๕๘ การตาหนิโทษน้ัน จะกระทาได้ต่อเม่ือพระสังฆาธิการรูปใดละเมิดจริยาซ่ึงไม่ร้ายแรงถึงกับถอดถอนหรือปลดจากตาแหน่งหน้าที่ มีเหตุท่ีผู้บังคับบัญชาเห็นควรปรานี ในกรณีเช่นน้ี ให้ผู้บังคับบัญชาสั่งตาหนิโทษ โดยแสดงความผิดของพระสังฆาธิการรูปน้ัน ให้ปรากฏเป็นลายลักษณอ์ ักษร และจะให้ทาทัณฑ์บนไวด้ ้วยกไ็ ด้ การตาหนโิ ทษเช่นน้ี ให้มีการกาหนดไม่เกนิ ๓ ปี นบั แตว่ นั สัง่ ลงโทษ แตเ่ ม่ือผ้บู ังคับบัญชาเหน็ ว่าพระสงั ฆาธิการรปู นั้นกลับปฏิบัตดิ ีในทางการคณะสงฆพ์ อควรแล้ว จะสง่ั ลบลา้ งการตาหนิโทษก่อนครบกาหนดก็ได้ หากในระหวา่ งกาหนดที่ส่งั ลงโทษไว้ พระสงั ฆาธิการ รปู นั้นละเมิดจริยาในกรณีเดียวกนั หรือคล้ายคลึงกันซ้าอีก ให้ถือว่าเปน็ การละเมดิ จริยาอยา่ งรา้ ยแรง ข้อ ๕๙ กรณีดังกล่าวแล้วในข้อ ๕๘ ถ้าผู้บังคับบัญชาเห็นว่ายังไม่ควรลงโทษถึงตาหนิโทษควรลงโทษเพียงภาคภัณฑ์ ก็ให้มีอานาจลงโทษภาคทัณฑ์ได้ โดยแสดงความผิดของพระสังฆาธิการรปู นั้นใหป้ รากฏเป็นลายลักษณอ์ กั ษร และจะให้ทาทัณฑบ์ นไว้ดว้ ยก็ได้ ๙๖ ค่มู ือพระสังฆาธกิ าร
การลงโทษภาคภัณฑน์ ี้ ให้มกี าหนดไมเ่ กนิ ๑ ปี นับแต่วันสั่งลงโทษ แต่เมื่อผู้บังคับบัญชาเห็นวา่ พระสังฆาธิการรปู นน้ั กลับปฏิบัติดีในทางการคณะสงฆ์พอควรแล้ว จะสั่งลบล้างการภาคทัณฑ์ก่อนครบกาหนดก็ได้ หากในระหว่างกาหนดท่ีสั่งลงโทษไว้ พระสังฆาธิการรูปน้ันละเมิดจริยาอีกให้ลงโทษสถานอ่ืนถดั ขนึ้ ไปตามควรแก่กรณี ข้อ ๖๐ เมื่อได้มีการลงโทษตามข้อ ๕๘ หรือข้อ ๕๙ แล้ว ให้ผู้ส่ังลงโทษรายงานผบู้ ังคับบัญชาเหนือตนทราบ หมวด ๕ บทเฉพาะกาล ข้อ ๖๑ เจ้าคณะภาค รองเจ้าคณะภาค ซ่ึงดารงตาแหน่งอยู่ก่อนวันประกาศใช้กฎมหา-เถรสมาคมน้ี ให้พ้นจากตาแหน่ง ตั้งแต่วนั ถัดจากวันประกาศกฎมหาเถรสมาคมในแถลงการณ์คณะสงฆ์เป็นต้นไป ตราไว้ ณ วนั ท่ี ๑ เดือนตุลาคม พ.ศ. ๒๕๔๑ (สมเดจ็ พระญาณสงั วร) สมเด็จพระสงั ฆราช สกลมหาสังฆปริณายก ประธานกรรมการมหาเถรสมาคม ๙๗ คมู่ ือพระสงั ฆาธิการ
บนั ทกึ หลักการและเหตุผล ประกอบกฎมหาเถรสมาคม ว่าดว้ ยการโอนอานาจหน้าทีข่ องกรมการศาสนา กระทรวงศกึ ษาธกิ าร มาเปน็ อานาจหนา้ ที่ของสานกั งานพระพุทธศาสนาแหง่ ชาติ พ.ศ. ๒๕๔๕ --------------------- หลักการ โอนกิจการบริหารและอานาจหน้าที่ของกรมการศาสนา กระทรวงศึกษาธิการ มาเป็นของสานกั งานพระพทุ ธศาสนาแหง่ ชาติ เหตุผล ด้วยได้มีพระราชกฤษฎีกาแก้ไขบทบัญญัติให้สอดคล้องกับการโอนอานาจหน้าท่ีของส่วนราชการให้เปน็ ไปตามพระราชบัญญัติปรับปรุงกระทรวง ทบวง กรม พ.ศ. ๒๕๔๕ และพระราช-กฤษฎีกาโอนกิจการบริหารและอานาจหน้าที่ของส่วนราชการให้เป็นไปตามพระราชบัญญัติปรับปรุงกระทรวง ทบวง กรม พ.ศ. ๒๕๔๕ กาหนดให้มีสานักงานพระพุทธศาสนาแห่งชาติ และให้โอนบรรดากิจการ อานาจ หน้าท่ี ทรัพย์สิน งบประมาณ หนี้ สิทธิ ภาระผูกพัน ข้าราชการ ลูกจ้างและอัตรากาลังของกระทรวงศึกษาธิการในส่วนของกรมการศาสนา เฉพาะส่วนราชการที่เกี่ยวกับกจิ การคณะสงฆ์มาเปน็ ของสานกั งานพระพทุ ธศาสนาแห่งชาติ เพอ่ื ใหก้ ารปฏิบตั ริ าชการของสานักงานพระพุทธศาสนาแห่งชาติ เปน็ ไปตามระราชบญั ญตั ิและพระราชกฤษฎีกาดังกลา่ วขา้ งต้น จึงจาเปน็ ตอ้ งตรากฎมหาเถรสมาคมนี้ ๙๘ คู่มอื พระสงั ฆาธกิ าร
กฎมหาเถรสมาคม ฉบับท่ี ๒๕ (พ.ศ. ๒๕๔๕)๔๔ วา่ ดว้ ยการโอนอานาจหนา้ ที่ของกรมการศาสนา กระทรวงศกึ ษาธิการ มาเปน็ อานาจหนา้ ที่ของสานกั งานพระพทุ ธศาสนาแห่งชาติ --------------------- อาศัยอานาจตามความในมาตรา ๑๕ ตรี แห่งพระราชบัญญัติคณะสงฆ์ พ.ศ. ๒๕๐๕แก้ไขเพิ่มเติมโดยพระราชบัญญัติคณะสงฆ์ (ฉบับที่ ๒) พ.ศ. ๒๕๓๕ มหาเถรสมาคมตรากฎมหาเถรสมาคมไว้ ดงั ตอ่ ไปน้ี ข้อ ๑ กฎมหาเถรสมาคมนี้ เรยี กวา่ “กฎมหาเถรสมาคม ฉบบั ท่ี ๒๕ (พ.ศ.๒๕๔๕) ว่าด้วยการโอนอานาจหน้าที่ของกรมการศาสนา กระทรวงศึกษาธิการ มาเป็นอานาจหน้าที่ของสานักงานพระพุทธศาสนาแห่งชาติ” ข้อ ๒ กฎมหาเถรสมาคมน้ี ใหใ้ ชบ้ ังคับตงั้ แตว่ นั ถดั จากวนั ประกาศในแถลงการณ์คณะสงฆ์เปน็ ต้นไป ข้อ ๓ ในกฎมหาเถรสมาคมทุกกฎ ให้แก้ไขคาว่า “กรมการศาสนา” เป็น “สานักงานพระพุทธศาสนาแห่งชาติ” และคาว่า “อธิบดีกรมการศาสนา” เป็น “ผู้อานวยการสานักงานพระพุทธ-ศาสนาแหง่ ชาติ” ตราไว้ ณ วันที่ ๒๕ ธนั วาคม พ.ศ. ๒๕๔๕ (สมเด็จพระญาณสังวร) สมเด็จพระสังฆราช สกลมหาสังฆปรณิ ายก ประธานกรรมการมหาเถรสมาคม๔๔ ประกาศในแถลงการณค์ ณะสงฆ์ เล่มท่ี ๙๐ ตอนท่ี ๑๒ วนั ท่ี ๒๕ ธันวาคม ๒๕๔๕ ๙๙ คมู่ อื พระสังฆาธิการ
บนั ทกึ หลักการและเหตุผล ประกอบกฎมหาเถรสมาคม ฉบบั ท่ี ๒๖ (พ.ศ ๒๕๔๖) แก้ไขเพม่ิ เติม กฎมหาเถรสมาคม ฉบับท่ี ๑๗ (พ.ศ. ๒๕๓๖) วา่ ดว้ ยการแตง่ ตงั้ ถอดถอนพระอปุ ชั ฌาย์ --------------------- หลกั การ ยกเลิกข้อความในข้อ ๓๗ แห่งกฎมหาเถรสมาคม ฉบับท่ี ๑๗ (พ.ศ. ๒๕๓๖) ว่าด้วยการแตง่ ต้งั ถอดถอนพระอุปชั ฌาย์ เหตผุ ล เนื่องจากความในข้อ ๓๗ แห่งกฎมหาเถรสมาคม ฉบับที่ ๑๗ (พ.ศ. ๒๕๓๖) ว่าด้วยการแต่งต้ังถอดถอนพระอุปัชฌาย์ ได้อ้างข้อความบางตอนแห่งกฎมหาเถรสมาคม ฉบับที่ ๑๖(พ.ศ. ๒๕๓๕) วา่ ด้วยการแต่งต้งั ถอดถอนพระสังฆาธิการ ซ่ึงในปัจจุบัน กฎมหาเถรสมาคม ฉบับที่ ๑๖(พ.ศ. ๒๕๓๕) ว่าด้วยการแต่งตั้งถอดถอนพระสังฆาธิการได้ถูกยกเลิกโดยกฎมหาเถรสมาคมฉบบั ท่ี ๒๔ (พ.ศ. ๒๕๔๑) ว่าด้วยการแต่งต้ังถอดถอนพระสังฆาธิการ ดังนั้น สมควรแก้ไขข้อความให้ถูกต้องตามทีป่ ระกาศบังคบั ใชอ้ ยใู่ นปจั จุบนั จงึ จาเปน็ ต้องตรากฎมหาเถรสมาคมฉบบั นี้ ๑๐๐ คูม่ ือพระสังฆาธิการ
กฎมหาเถรสมาคม ฉบับท่ี ๒๖ (พ.ศ. ๒๕๔๖)๔๕ แกไ้ ขเพม่ิ เตมิ กฎมหาเถรสมาคม ฉบบั ท่ี ๑๗ (พ.ศ. ๒๕๓๖) วา่ ดว้ ยการแตง่ ต้ังถอดถอนพระอุปชั ฌาย์ --------------------- อาศัยอานาจตามความในมาตรา ๑๕ ตรี แห่งพระราชบัญญัติคณะสงฆ์ พ.ศ. ๒๕๐๕แก้ไขเพิ่มเติมโดยพระราชบัญญัติคณะสงฆ์ ฉบับที่ ๒ (พ.ศ. ๒๕๓๕) และมาตรา ๒๓ แห่งพระราชบัญญัติคณะสงฆ์ พ.ศ. ๒๕๐๕ มหาเถรสมาคมตรากฎมหาเถรสมาคมไว้ ดงั ต่อไปน้ี ข้อ ๑ กฎมหาเถรสมาคมน้ี เรียกว่า “กฎมหาเถรสมาคม ฉบับท่ี ๒๖ (พ.ศ.๒๕๔๖)แกไ้ ขเพิ่มเติมกฎมหาเถรสมาคม ฉบับที่ ๑๗ (พ.ศ. ๒๕๓๖) วา่ ด้วยการแต่งตั้งถอดถอนพระอุปัชฌาย์” ข้อ ๒ กฎมหาเถรสมาคมน้ี ใหใ้ ชบ้ ังคับตง้ั แตว่ นั ถดั จากวนั ประกาศในแถลงการณ์คณะสงฆ์เป็นต้นไป ข้อ ๓ ให้ยกเลกิ ข้อความในข้อ ๓๗ แหง่ กฎมหาเถรสมาคม ฉบบั ท่ี ๑๗ (พ.ศ. ๒๕๓๖)วา่ ด้วยการแต่งตัง้ ถอดถอนพระอปุ ชั ฌาย์ และให้ใช้ข้อความตอ่ ไปนแี้ ทน “ขอ้ ๓๗ พระอปุ ัชฌาย์รูปใด ถูกระงับหน้าท่ีพระอุปัชฌาย์ก็ดี ถูกระงับหน้าที่พระอุปัชฌาย์ตามขอ้ ๓๓ (๒) ก็ดี ถูกพักหน้าท่ีพระอุปัชฌาย์ ตามข้อ ๓๔ วรรค ๓ ก็ดี หากฝ่าฝืนให้การบรรพชาอุปสมบทอีก หรือถูกลงโทษตามความใน ข้อ ๓๓ (๒) แล้ว ไม่เข็ดหลาบ ละเมิดซ้าอีกให้ถือว่าเป็นการละเมิดจริยาพระสังฆาธิการอย่างร้ายแรง ฐานขัดคาส่ังผู้บังคับบัญชา ตามความในข้อ ๕๕ (๓)แหง่ กฎมหาเถรสมาคม ฉบับท่ี ๒๔ (พ.ศ. ๒๕๔๑) ว่าดว้ ยการแต่งตัง้ ถอดถอนพระสงั ฆาธกิ าร๔๕ ประกาศในแถลงการณค์ ณะสงฆ์ เลม่ ที่ ๙๑ ตอนท่ี ๕ วันที่ ๒๕ พฤษภาคม ๒๕๔๖ ๑๐๑ คมู่ ือพระสังฆาธกิ าร
ในกรณีเช่นน้ีให้ผู้บังคับบัญชารายงานโดยลาดับจนถึงผู้มีอานาจแต่งตั้งพระสังฆาธิการผ้เู ปน็ พระอุปัชฌายร์ ูปนั้น เพื่อพิจารณาถอดถอนจากตาแหนง่ หน้าที่พระสงั ฆาธิการ” ตราไว้ ณ วันที่ ๑๓ พฤษภาคม พ.ศ. ๒๕๔๖ (สมเด็จพระญาณสงั วร) สมเดจ็ พระสังฆราช สกลมหาสังฆปริณายก ประธานกรรมการมหาเถรสมาคม ๑๐๒ คมู่ อื พระสังฆาธกิ าร
บนั ทกึ หลกั การและเหตุผล ประกอบกฎมหาเถรสมาคม ฉบบั ที่ ๒๗ (พ.ศ ๒๕๔๖) แก้ไขเพิม่ เตมิ กฎมหาเถรสมาคม ฉบบั ท่ี ๒๓ (พ.ศ. ๒๕๔๑) ว่าดว้ ยระเบยี บการปกครองคณะสงฆ์ --------------------- หลักการ ยกเลิกข้อความในข้อ ๒๙ แห่งกฎมหาเถรสมาคม ฉบับที่ ๒๓ (พ.ศ. ๒๕๔๑) ว่าด้วยระเบียบการปกครองคณะสงฆ์ เหตุผล เพื่อยกย่องเชิดชูพระสังฆาธิการทุกระดับ ให้เป็นท่ีปรึกษาของเจ้าคณะทุกชั้น ท้ังในส่วนกลางและส่วนภูมิภาค ๑๐๓ คู่มอื พระสังฆาธกิ าร
กฎมหาเถรสมาคม ฉบบั ท่ี ๒๗ (พ.ศ. ๒๕๔๖) แกไ้ ขเพ่ิมเตมิ กฎมหาเถรสมาคม ฉบบั ท่ี ๒๓ (พ.ศ. ๒๕๔๑) ว่าด้วยระเบียบการปกครองคณะสงฆ์ ---------------------------- อาศยั อานาจตามความในมาตรา ๑๕ ตรี และมาตรา ๒๐ แห่งพระราชบญั ญตั ิคณะสงฆ์พ.ศ. ๒๕๐๕ แก้ไขเพ่ิมเตมิ โดยพระราชบัญญัตคิ ณะสงฆ์ (ฉบบั ที่ ๒) พ.ศ. ๒๕๓๕ มหาเถรสมาคมตรากฎมหาเถรสมาคมไว้ดังต่อไปนี้ ขอ้ ๑ กฎมหาเถรสมาคมน้ี เรียกว่า “กฎมหาเถรสมาคม ฉบับท่ี ๒๗ (พ.ศ.๒๕๔๖)แกไ้ ขเพมิ่ เติมกฎมหาเถรสมาคม ฉบับที่ ๒๓ (พ.ศ. ๒๕๔๑) ว่าด้วยระเบียบการปกครองคณะสงฆ์” ข้อ ๒ กฎมหาเถรสมาคมนี้ ให้ใช้บังคับต้ังแต่วันถัดจากวันประกาศในแถลงการณ์คณะสงฆ์เปน็ ตน้ ไป ข้อ ๓ ให้ยกเลิกข้อความในข้อ ๒๙ แห่งกฎมหาเถรสมาคม ฉบับท่ี ๒๓ (พ.ศ.๒๕๔๑)วา่ ด้วยระเบยี บการปกครองคณะสงฆ์ และใหใ้ ชค้ วามตอ่ ไปนี้แทน “เพื่อยกย่องเชิดชูพระสังฆาธิการผู้ปฏิบัติหน้าที่มาโดยความเรียบร้อย มหาเถรสมาคมจะให้มที ีป่ รกึ ษาของเจา้ คณะในชัน้ ใด ๆ ก็ไดใ้ หท้ ่ีปรกึ ษามีหน้าทีใ่ ห้คาปรึกษาแก่เจา้ คณะชน้ั น้นั ๆ” ตราไว้ ณ วันที่ ๙ ตลุ าคม พ.ศ. ๒๕๔๖ (สมเดจ็ พระญาณสังวร) สมเดจ็ พระสงั ฆราช สกลมหาสงั ฆปรณิ ายก ประธานกรรมการมหาเถรสมาคม ๑๐๔ คูม่ ือพระสงั ฆาธิการ
บันทึกหลกั การและเหตุผล ประกอบกฎมหาเถรสมาคม ฉบับที่ ๒๘ (พ.ศ ๒๕๔๖) แก้ไขเพ่ิมเติม กฎมหาเถรสมาคม ฉบบั ท่ี ๒๔ (พ.ศ. ๒๕๔๑) ว่าดว้ ยการแตง่ ตั้งถอดถอนพระสังฆาธิการ ---------------------------- หลักการ ยกเลิกข้อความในข้อ ๓๔ แหง่ กฎมหาเถรสมาคม ฉบับท่ี ๒๔ (พ.ศ. ๒๕๔๑) วา่ ดว้ ยการแต่งตงั้ ถอดถอนพระสังฆาธิการ เหตผุ ล เพื่อยกย่องเชดิ ชูพระสังฆาธิการผู้ดารงตาแหน่ง หรือเคยดารงตาแหน่งต้ังแต่ระดับเจ้าคณะภาคลงมาจนถงึ รองเจา้ คณะตาบล ได้ปฏบิ ัตหิ นา้ ท่มี าโดยเรยี บร้อย จนมอี ายุ ๘๐ ปีบริบูรณ์ หรือมีอายุยังไม่ถึง ๘๐ ปี แต่ผู้บังคับบัญชาใกล้ชิดเห็นสมควรยกย่องเชิดชู ให้เสนอแต่งต้ังเป็นที่ปรึกษาเจ้าคณะในชั้นนั้น ๆ ได้ และสมควรให้พระสังฆาธิการแต่งต้ังเจ้าคณะจังหวัดขึ้นไปเสนอพระสังฆาธิการผู้สมควรยกยอ่ งเชดิ ชูแต่งตั้งให้เป็นท่ีปรึกษาเจา้ คณะในชั้นน้ัน ๆ ได้ ๑๐๕ ค่มู ือพระสงั ฆาธิการ
กฎมหาเถรสมาคม ฉบบั ที่ ๒๘ (พ.ศ. ๒๕๔๖) แกไ้ ขเพ่ิมเตมิ กฎมหาเถรสมาคม ฉบับท่ี ๒๔ (พ.ศ. ๒๕๔๑) ว่าด้วยการแต่งต้ังถอดถอนพระสังฆาธกิ าร ---------------------------- อาศัยอานาจตามความในมาตรา ๑๕ ตรี และมาตรา ๒๐ แห่งพระราชบัญญัติคณะสงฆ์พ.ศ. ๒๕๐๕ แก้ไขเพิ่มเติมโดยพระราชบัญญัติคณะสงฆ์ (ฉบับท่ี ๒) พ.ศ. ๒๕๓๕ มหาเถรสมาคมตรากฎมหาเถรสมาคมไว้ดังตอ่ ไปน้ี ข้อ ๑ กฎมหาเถรสมาคมนี้ เรียกว่า “กฎมหาเถรสมาคม ฉบับท่ี ๒๘ (พ.ศ.๒๕๔๖)แก้ไขเพ่ิมเติมกฎมหาเถรสมาคม ฉบับที่ ๒๔ (พ.ศ.๒๕๔๑) วา่ ดว้ ยการแต่งต้ังถอดถอนพระสังฆาธกิ าร” ขอ้ ๒ กฎมหาเถรสมาคมนี้ ให้ใช้บังคับต้ังแต่วันถัดจากวันประกาศในแถลงการณ์คณะสงฆเ์ ปน็ ต้นไป ขอ้ ๓ ให้ยกเลิกข้อความในข้อ ๓๔ แห่งกฎมหาเถรสมาคม ฉบับท่ี ๒๔ (พ.ศ.๒๕๔๑)วา่ ดว้ ยการแต่งตัง้ ถอดถอนพระสังฆาธิการ และให้ใช้ความต่อไปน้ีแทน “การแต่งตั้งท่ีปรกึ ษาเจ้าคณะตามข้อ ๒๙ แหง่ กฎมหาเถรสมาคม ฉบับที่ ๒๓ (พ.ศ.๒๕๔๑)แก้ไขเพ่ิมเติมโดยกฎมหาเถรสมาคม ฉบับที่ ๒๗ (พ.ศ.๒๕๔๖) ว่าด้วยระเบียบการปกครองคณะสงฆใ์ ห้เปน็ ไปดงั นี้ พระสังฆาธิการผู้ดารงตาแหน่ง หรือเคยดารงตาแหน่งเจ้าคณะภาค รองเจ้าคณะภาคเจ้าคณะจังหวัด รองเจ้าคณะจังหวัด เจ้าคณะอาเภอ รองเจ้าคณะอาเภอ เจ้าคณะตาบล และรองเจ้าคณะตาบล ได้ปฏิบัติหน้าท่ีมาโดยเรียบร้อยจนมีอายุครบ ๘๐ ปี บริบูรณ์ หรือผู้บังคับบัญชาใกล้ชดิ เหน็ สมควรยกยอ่ งเชิดชู ใหย้ กยอ่ งเชดิ ชูเปน็ ทีป่ รกึ ษาเจ้าคณะในช้นั นนั้ ๆ ๑๐๖ คูม่ ือพระสังฆาธิการ
พระสังฆาธิการผู้ดารงตาแหน่งดังกล่าว ตามความในวรรคสอง ท่ีมีอายุครบ ๘๐ ปีบริบูรณ์ แต่ไม่ทุพพลภาพ หรือพิการ ถ้ายังมีความเหมาะสม หรือยังหาผู้ดารงตาแหน่งในช้ันนั้น ๆไม่ได้ หรือได้แต่ไม่เหมาะสม มหาเถรสมาคมจะพิจารณาให้ดารงตาแหน่งเดิมต่อไปอีกไม่เกิน ๓ ปีเฉพาะกรณี การแตง่ ตั้งที่ปรึกษาตามความในวรรคสอง หรือให้ดารงตาแหน่งเดิมตามความในวรรคสามให้ผู้บังคับบัญชาใกล้ชิดเสนอตามลาดับจนถึงมหาเถรสมาคมพิจารณา เพ่ือมีพระบัญชาแต่งต้ังตามมติมหาเถรสมาคม ในกรณีพระสังฆาธิการผู้ดารงตาแหน่งต้ังแต่เจ้าคณะจังหวัดขึ้นไปเห็นสมควรยกย่องเชิดชูพระสังฆาธิการรูปใดให้เป็นที่ปรึกษาในช้ันน้ัน ๆ ให้ดาเนินการเสนอตามลาดับ จนถึงมหาเถรสมาคมพิจารณา เพอื่ มีพระบญั ชาแตง่ ต้ังตามมติมหาเถรสมาคม” ตราไว้ ณ วนั ที่ ๙ ตุลาคม พ.ศ. ๒๕๔๖ (สมเดจ็ พระญาณสังวร) สมเดจ็ พระสงั ฆราช สกลมหาสังฆปริณายก ประธานกรรมการมหาเถรสมาคม ๑๐๗ คู่มือพระสงั ฆาธิการ
๑๐๘ คู่มอื พระสงั ฆาธกิ าร
๑๐๙ คู่มอื พระสงั ฆาธกิ าร
ระเบียบมหาเถรสมาคม กาหนดวธิ ปี ฏิบตั ใิ นการไปต่างประเทศสาหรับพระภิกษสุ ามเณร พ.ศ. ๒๕๓๗ ๔๖ ---------------------------- อาศัยอานาจตามความในมาตรา ๑๕ ตรี แห่งพระราชบัญญัติคณะสงฆ์ พ.ศ. ๒๕๐๕แก้ไขเพ่ิมเติมโดยพระราชบัญญัติคณะสงฆ์ (ฉบับท่ี ๒) พ.ศ. ๒๕๓๕ มหาเถรสมาคมวางระเบียบไว้ดงั ตอ่ ไปน้ี ข้อ ๑ ระเบียบมหาเถรสมาคมนี้เรียกว่า “ระเบียบมหาเถรสมาคม กาหนดวิธีปฏิบัติในการไปตา่ งประเทศสาหรบั พระภิกษสุ ามเณร พ.ศ. ๒๕๓๗” ขอ้ ๒ ระเบียบมหาเถรสมาคมน้ี ให้ใช้บังคับต้ังแต่วันถัดจากวันประกาศในแถลงการณ์คณะสงฆเ์ ปน็ ต้นไป ข้อ ๓ ตั้งแต่วันใช้ระเบียบมหาเถรสมาคมน้ี ให้ยกเลิกระเบียบมหาเถรสมาคมกาหนดวธิ ปี ฏิบัตใิ นการไปต่างประเทศสาหรับพระภกิ ษุสามเณร พ.ศ. ๒๕๐๗ หมวด ๑ บททัว่ ไป ขอ้ ๔ การเดนิ ทางไปต่างประเทศของพระภิกษุสามเณร แบ่งเป็น ๒ ประเภท คือ ก. ไปราชการหรือกจิ ของคณะสงฆ์ ข. ไปเป็นส่วนบคุ คล ขอ้ ๕ การเดนิ ทางไปต่างประเทศ ในประเภท ก. เป็นอานาจหน้าทข่ี องมหาเถรสมาคม ข้อ ๖ การเดินทางไปต่างประเทศ ในประเภท ข. ต้องปฏิบัติ ตามข้อกาหนดท่ีวางไว้ในระเบยี บมหาเถรสมาคมนี้๔๖ ประกาศในแถลงการณค์ ณะสงฆ์ เลม่ ๘๒ ตอนที่ ๒ : วนั ท่ี ๒๕ กุมภาพนั ธ์ ๒๕๓๗ ๑๑๐ คูม่ ือพระสังฆาธิการ
หมวด ๒ คณุ สมบตั ขิ องพระภกิ ษสุ ามเณรผ้เู ดินทางไปต่างประเทศ ข้อ ๗ พระภิกษุ ผู้จะเดนิ ทางไปตา่ งประเทศ ต้องประกอบดว้ ยคณุ สมบตั ิทว่ั ไป ดังนี้ ๑. มพี รรษาพน้ ๕ เวน้ แตก่ รณีที่ระบุไว้ในข้อ ๘ ๒. มีความรู้พระธรรมวนิ ัยพอรักษาตัวได้ ๓. เปน็ ปกตตั ตะ และมีความประพฤติเรียบร้อยดงี าม ข้อ ๘ พระภิกษุผู้มีพรรษาต่ากว่า ๕ หรือสามเณรต้องมีพระภิกษุผู้มีคุณสมบัติตามข้อ ๗ เปน็ ผู้กากับหรอื เจา้ อาวาส เจ้าคณะในต่างประเทศขอไปเพื่อการพระศาสนาหรือการคณะสงฆ์ในสานักหรอื ในเขตปกครองของตน จงึ จะมสี ิทธไิ ด้รบั การพิจารณา ในการไปต่างประเทศ ตามระเบียบมหาเถรสมาคมน้ี หมวด ๓ กรณียะในการไปต่างประเทศ ขอ้ ๙ ในกรณียะท่ยี กเปน็ เหตุในการขอเดนิ ทางไปตา่ งประเทศได้ มีกาหนดดงั นี้ ๑. ไปสอนพระปรยิ ตั ธิ รรม หรือสอนพระพุทธศาสนาในถ่นิ อันสมควร ๒. ไปศกึ ษาวชิ าอนั ไม่ขัดตอ่ พระธรรมวนิ ัยและสมควรแกส่ มณวสิ ยั ๓. ไปนมัสการปูชนียวัตถุ และหรือปูชนียสถาน เป็นหมู่คณะ ตามที่คณะกรรมการศ.ต.ภ. เหน็ สมควร หรือ ๔. ไปบาเพ็ญกุศลเน่อื งด้วยถวายผ้ากฐนิ ตามเทศกาลหรือผ้าป่า ๕. ไปเย่ียมพระอุปัชฌาย์ อาจารย์ หรือญาติช้ันบุรพการี หรือญาติอื่นใด ตามท่ีคณะกรรมการ ศ.ต.ภ. เห็นสมควร ๖. ไปกิจนิมนต์ตามที่คณะกรรมการ ศ.ต.ภ. เห็นสมควร ข้อ ๑๐ พระภิกษุผู้ได้รับอาราธนาไปเป็นครูสอนพระปริยัติธรรม หรือสอนพระพุทธศาสนาจากเจ้าอาวาส เจ้าคณะ องค์การ สมาคม หรือสถาบันอื่นใดในต่างประเทศให้เป็นหน้าท่ีของผู้ได้รับอาราธนาแจ้งรายละเอียดพร้อมด้วยหลักฐานการอาราธนาสถานที่จะทาการกิจที่จะทาวิธีดาเนินการ การอปุ ถมั ภ์ในการเดินทาง และการเป็นอยู่ ท่พี ักอาศยั ถ้าหลักฐานต่างๆ เป็นภาษาต่างประเทศ ให้แปลเป็นภาษาไทย โดยผู้แปลและผู้ไปนั้นลงนามรับรองคาแปลดว้ ย ๑๑๑ คู่มือพระสงั ฆาธิการ
ข้อ ๑๑ พระภิกษุผู้ประสงค์จะเดินทางไปศึกษาวิชา อันไม่ขัดต่อพระธรรมวินัยและสมควรแกส่ มณวิสัย ตอ้ งประกอบด้วยคุณสมบัติเฉพาะอีกสว่ นหนึ่ง ดงั นี้ ๑. เปน็ เปรียญ ๒. มพี น้ื ความรสู้ ามัญศึกษา ไมต่ ่ากวา่ ช้ันมธั ยมศึกษาตอนปลาย หรอื เทียบเท่า ๓. มีสุขภาพอนามัยดี ซึ่งนายแพทย์แผนปัจจุบันช้ัน ๑ ตรวจและรับรองเป็นหลักฐานว่าสามารถไปศึกษาได้ ๔. มีสติปัญญาและฉนั ทะ วิริยะ ขันติ ปานกลาง เป็นอย่างต่า ในกรณีนี้ให้ผู้ขออนุญาตแสดงหลักฐานและคะแนนวชิ าครัง้ สดุ ทา้ ยท่ีตนสอบไล่ได้ ขอ้ ๑๒ พระภกิ ษุผ้ขู ออนุญาตเพื่อไปศึกษาในต่างประเทศต้องแจ้งรายละเอียดพร้อมด้วยหลักฐานเกยี่ วกับสถานศึกษา การรับเข้าศึกษา รายวิชาท่ีศึกษา สถานที่พักเพื่อการศึกษาค่าใช้จ่ายในการศึกษาแต่ละปี และผู้อุปถัมภ์ในการเดินทาง ตลอดถึงการอุปถัมภ์ในการศึกษาจนกว่าจะจบหลักสูตร ถ้าหลักฐานต่าง ๆ เป็นภาษาต่างประเทศ ให้แปลเป็นภาษาไทย โดยผู้แปลและผู้ไปนั้นลงนามรับรองคาแปลดว้ ย หมวด ๔ วิธกี ารขออนญุ าตไปตา่ งประเทศ ข้อ ๑๓ พระภิกษุสามเณรผู้ประสงค์จะเดินทางไปต่างประเทศ ตามข้อ ๖ ให้ยื่นหนังสือขออนุญาตตามแบบของคณะกรรมการ ศ.ต.ภ. ตอ่ ผ้บู งั คับบญั ชาตามชนั้ ดงั น้ี (๑) รองเจ้าอาวาส ผ้ชู ่วยเจา้ อาวาส พระภิกษสุ ามเณรในวดั ย่ืนตอ่ เจา้ อาวาส (๒) รองเจ้าคณะตาบล เจ้าอาวาส นอกจากพระอารามหลวง ยนื่ ต่อเจ้าคณะตาบล (๓) รองเจา้ คณะอาเภอ เจา้ คณะตาบล ยน่ื ตอ่ เจา้ คณะอาเภอ (๔) รองเจา้ คณะจังหวัด เจา้ คณะอาเภอ เจ้าอาวาสพระอารามหลวง รองหรอืผู้ช่วยเจา้ อาวาสของพระอารามหลวง ย่ืนตอ่ เจ้าคณะจงั หวัด (๕) รองเจา้ คณะภาค เจา้ คณะจงั หวัด ย่ืนต่อเจ้าคณะภาค (๖) เจ้าคณะภาค ยนื่ ตอ่ เจา้ คณะใหญ่ (๗) กรรมการมหาเถรสมาคม เจ้าคณะใหญ่ ยน่ื ตอ่ ประธานกรรมการมหาเถรสมาคม ข้อ ๑๔ ให้ผู้มีหน้าท่ีรับหนังสือขออนุญาตช้ันต้น ตามความในข้อ ๑๓ (๑) (๒) (๓) (๔) (๕)ชี้แจงแสดงความเห็นในเรื่องถูกต้องตามระเบียบหรือไม่ ในเร่ืองสมควรไม่สมควร ในกรณีจะอนุญาตแล้วเสนอตามลาดบั จนถึงเจ้าคณะภาค ๑๑๒ คู่มือพระสังฆาธิการ
เมื่อเจ้าคณะภาคพิจารณาเห็นว่าถูกต้องตามระเบียบสมควรอนุญาต ให้เสนอไปยังคณะกรรมการ ศ.ต.ภ. ถ้าคณะกรรมการ ศ.ต.ภ. เห็นชอบตามความเห็นของเจ้าคณะภาค ให้แจ้งไปยงั กรมการศาสนาเพอื่ ดาเนนิ การต่อไป ถ้าเจ้าคณะภาค หรือคณะกรรมการ ศ.ต.ภ. เห็นไม่สมควรอนุญาต ให้แจ้งแก่เจ้าคณะจังหวัดหรอื เจา้ คณะภาคแล้วแต่กรณี ทราบถึงการไมอ่ นญุ าต การสัง่ ไม่อนญุ าตนั้นๆ ให้เป็นอันสิ้นสุด ข้อ ๑๕ ผู้มีหน้าท่ีรับหนังสือขออนุญาต ตามความในข้อ ๑๓ (๖) (๗) มีอานาจพิจารณาอนมุ ตั หิ รอื ไม่อนมุ ตั กิ ไ็ ด้ และแจ้งการอนุมตั พิ รอ้ มดว้ ย เร่อื งท่ขี ออนุญาตไปยังคณะกรรมการ ศ.ต.ภ. ข้อ ๑๖ ในกรณีท่ีพระภิกษุสามเณรซ่ึงสังกัดในจังหวัดชายแดน ขออนุญาตเดินทางไปต่างประเทศท่ีมีเขตติดต่อกับจังหวัดที่ตนสังกัดน้ัน ตามความในข้อ ๔ เป็นการชั่วคราว ให้ยื่นคาขออนุญาตต่อเจ้าอาวาสท่ีตนสังกัด เม่ือเจ้าอาวาสเห็นสมควรอนุญาต ให้เสนอต่อเจ้าคณะผูม้ หี น้าทีต่ ิดต่อกบั ทางราชการในเรื่องอนุญาตการเดินทางไปต่างประเทศในจังหวัดน้ัน เพ่ือพิจารณาอนุมัติและติดต่อกับทางราชการผู้ออกหนังสือเดินทางผ่านแดนช่ัวคร้ังคราวตามระเบียบของทางราชการ ถ้าผู้ขออนุญาตเป็นเจ้าอาวาสหรือเจ้าคณะ ให้ยื่นคาขออนุญาตต่อเจ้าคณะผู้มีหน้าท่ีตดิ ตอ่ กับทางราชการดงั กลา่ วแลว้ ในวรรคแรก การพิจารณาอนุมัติของเจ้าคณะตามความในสองวรรคแรก ให้ดาเนินการตามข้อ ๗ขอ้ ๘ และขอ้ ๙ โดยอนุโลม เม่ือผู้เดินทางได้รับอนุญาตจากทางราชการแล้ว ให้เจ้าคณะผู้อนุมัติรายงานไปยังคณะกรรมการ ศ.ต.ภ. ทราบ ข้อ ๑๗ การได้รับอนุญาตให้เดินทางไปต่างประเทศ ตามระเบียบมหาเถรสมาคมน้ีให้ถือวา่ เป็นการอนญุ าตให้ไปเฉพาะครั้งเดยี ว และเฉพาะกรณียะทอ่ี นุญาตเทา่ น้นั เม่ือจะขอวีซ่าเดินทางไปต่างประเทศครั้งต่อๆ ไปอีก เฉพาะกรณียะตามข้อ ๙ (๓) (๔) (๕)หรือ (๖) ให้ขออนุญาตต่อเจ้าอาวาสหรือเจ้าคณะผู้บังคับบัญชาโดยใกล้ชิดแล้วแต่กรณี เม่ือเจ้าอาวาสหรือเจ้าคณะผูบ้ ังคับบัญชาโดยใกล้ชิดอนญุ าตแล้ว ให้รายงานคณะกรรมการ ศ.ต.ภ. ทราบ ให้นาความในวรรคสอง มาใช้ในกรณีที่เจ้าคณะใหญ่ หรือประธานกรรมการมหาเถรสมาคมอนมุ ัติให้วีซ่าด้วย ข้อ ๑๘ การขอตอ่ อายุหนังสือเดินทางไปต่างประเทศให้ปฏิบตั ิเชน่ เดียวกับการขอคร้ังแรก ๑๑๓ คู่มือพระสงั ฆาธิการ
หมวด ๕ การพานกั ในต่างประเทศ ข้อ ๑๙ การพักแรมในระหว่างเดินทางหรือพักช่ัวคราวในถ่ินที่ไปถึงของพระภิกษุสามเณรผู้เดินทางไปต่างประเทศ ให้พักในสถานท่ีอันสมควรแก่สมณวิสัย หากจาเป็นต้องพักในเคหะท่ีสมควรของบคุ คลให้พักไดไ้ ม่เกิน ๑๕ วนั ในกรณีท่ีพระภิกษุสามเณรผู้ไปอยู่ประจาในต่างประเทศ เม่ือจะเดินทางไปพักแรมหรือพกั ช่วั คราวในถิน่ อืน่ ใหป้ ฏิบัตติ ามความในวรรคแรก ข้อ ๒๐ พระภิกษุสามเณรผู้ได้รับอนุญาตให้เดินทางไปต่างประเทศ จะเดินทางไปได้เฉพาะในประเทศที่ได้รับอนุญาตเท่าน้ัน ถ้าประสงค์จะเดินทางต่อไปยังประเทศอื่นใดจากประเทศท่ีได้รับอนุญาตต้องแจง้ เรือ่ งราวพร้อมท้ังรายละเอยี ดให้คณะกรรมการ ศ.ต.ภ. อนมุ ตั ิก่อน จึงจะเดินทางตอ่ ไปได้ ขอ้ ๒๑ การขอต่ออายุหนังสือเดินทางในต่างประเทศก็ดี การขอเปล่ียนวัตถุประสงค์ในหนังสือเดินทางเป็นอย่างอื่นในต่างประเทศก็ดี ให้ผู้ขอทารายงานช้ีแจงเหตุผลในการที่จะต้องอยู่ต่อไป หรือที่จะต้องเปลี่ยนวัตถุประสงค์ พร้อมท้ังระบุสถานทูตไทยหรือสถานกงสุลไทย ท่ีจะขอให้ต่ออายุหรือให้เปลี่ยนวัตถุประสงค์น้ัน เสนอคณะกรรมการ ศ.ต.ภ. เพ่ือพิจารณาล่วงหน้าไม่ต่ากว่า ๖ เดือน ก่อนวันครบกาหนดอายุการใช้หนังสือเดินทาง หรือไม่ต่ากว่า ๓ เดือน ก่อนย่ืนเร่ืองราวขอเปล่ียนวตั ถุประสงค์ในหนังสือเดนิ ทางแลว้ แต่กรณี ในการพิจารณาดังกล่าวในวรรคแรก ให้คณะกรรมการ ศ.ต.ภ. สืบสวนสอบสวนก่อนเมื่ออนุมัติหรือไม่อนุมัติประการใดแล้ว ให้แจ้งผลไปยังผู้ขอ หากอนุมัติก็ให้ส่งสาเนาหนังสืออนมุ ตั นิ ัน้ ไปยงั สถานทตู ไทย หรอื สถานกงสลุ ไทยตามทรี่ ะบไุ ว้ในคาขอเพ่ือรบั ทราบ เม่ือผู้ขอได้รับอนุมัติจากคณะกรรมการ ศ.ต.ภ. ให้อยู่ในต่างประเทศต่อไปได้ หรือให้เปลี่ยนวัตถุประสงค์ในหนังสือเดินทางได้แล้ว ให้นาหลักฐานการอนุมัตินั้นไปแสดงพร้อมกับคาร้องขอตอ่ อายหุ นงั สือเดินทาง หรือขอเปล่ียนวัตถุประสงค์ในหนงั สอื เดนิ ทาง หมวด ๖ คณะกรรมการ ศ.ต.ภ. ข้อ ๒๒ ให้มีศูนย์ควบคุมการไปต่างประเทศสาหรับพระภิกษุสามเณร เรียกช่ือย่อว่าศ.ต.ภ. ประกอบด้วยคณะกรรมการคณะหน่ึง ซึ่งมหาเถรสมาคมแต่งต้ัง มีจานวนไม่น้อยกว่า ๓ รูปและไมเ่ กนิ ๕ รปู คณะกรรมการ ศ.ต.ภ. สังกัดมหาเถรสมาคม ปฏิบัติหน้าท่ีคราวละ ๔ ปี และอาจได้รับแต่งต้งั อกี ได้ ๑๑๔ คู่มอื พระสงั ฆาธิการ
ข้อ ๒๓ คณะกรรมการ ศ.ต.ภ. มีอานาจหน้าท่ีตามที่กาหนดไว้ในระเบียบมหาเถรสมาคมน้ีนอกจากน้ีให้มีหน้าท่ีควบคุมทะเบียนและสอดส่องความเป็นไปเกี่ยวกับทุกข์สุข หรืออย่างอ่ืนใดของพระภิกษุสามเณรผู้ไปหรืออยู่ในต่างประเทศ กับให้มีอานาจกาหนดแบบหนังสือขออนุญาตและแบบพิมพต์ ่างๆ โดยอนุมตั ิมหาเถรสมาคม เมื่อมีความจาเป็นในการที่จะต้องรักษาความเรียบร้อยดีงามให้ดีย่ิงขึ้น มหาเถรสมาคมจะได้ขยายอานาจหน้าที่ของคณะกรรมการ ศ.ต.ภ. ใหก้ ว้างขวางออกไปอีกตามความเหมาะสม ข้อ ๒๔ ให้มีเลขานุการคณะกรรมการ ศ.ต.ภ. ทาหนา้ ที่การเลขานกุ าร ซ่ึงคณะกรรมการศ.ต.ภ. จะไดพ้ ิจารณาแตง่ ต้งั มีจานวน ๑ รูป หรือหลายรปู แลว้ แต่จะเห็นสมควร ให้เลขานุการคณะกรรมการ ศ.ต.ภ. พ้นจากหน้าที่เมื่อคณะกรรมการ ศ.ต.ภ. ผู้แต่งตั้งใหพ้ ้น หรือคณะกรรมการ ศ.ต.ภ. ผแู้ ต่งตงั้ พน้ จากหนา้ ท่ตี ามวาระ หมวด ๗ เบ็ดเตลด็ ขอ้ ๒๕ ให้มีพระภิกษุควบคุมดูแลพระภิกษุสามเณรท่ีไปปฏิบัติศาสนกิจอยู่ในต่างประเทศซึ่งพระเถระทมี่ หาเถรสมาคมแต่งตั้งจะได้พิจารณาแต่งตัง้ ตามทเี่ หน็ สมควร ในประเทศท่ีมิได้แต่งตั้งพระภิกษุให้มีหน้าท่ีควบคุมดูแล พระภิกษุสามเณรท่ีไปปฏิบัติศาสนกิจในต่างประเทศ ให้พระภิกษุสามเณรที่ไปปฏิบัติศาสนกิจในต่างประเทศนั้น ๆ แจ้งทุกข์สุขหรือความเป็นไปของตนต่อสถานทูตไทยหรือสถานกงสุลไทย เพ่ือขอให้ส่งเร่ืองมายังพระเถระที่มหาเถรสมาคมแต่งตง้ั สาหรับพระภิกษุสามเณรท่ีไปศึกษาอยู่ในต่างประเทศ ให้แจ้งทุกข์สุขหรือความเป็นไปของตนต่อสถานทูตไทยหรือสถานกงสุลไทยในประเทศน้ัน ๆ เพ่ือขอให้ส่งเรื่องมายังคณะกรรมการศ.ต.ภ. ข้อ ๒๖ พระภิกษุสามเณรผู้เดินทางไปหรือพักอยู่ในต่างประเทศด้วยกรณีใดก็ตามให้ถือว่ายังอยู่ในสังกัดการปกครองของเจ้าอาวาสและเจ้าคณะผู้บังคับบัญชาเหนือตนตามเดิมเชน่ เดยี วกับเม่ือยังมไิ ดเ้ ดินทางไปต่างประเทศ หากพระภิกษุสามเณรท่ีพักอยู่ในต่างประเทศรูปใด ถูกกล่าวโทษหรือต้องอธิกรณ์ให้พระภิกษุท่ีได้รับแต่งต้ังเป็นผู้ควบคุมในประเทศน้ัน ๆ หรือสถานทูตไทย หรือสถานกงสุลไทยสอบสวนแล้วรายงานมายังพระเถระท่ีมหาเถรสมาคมแต่งต้ัง หรือคณะกรรมการ ศ.ต.ภ. แล้วแต่กรณี เพ่ือพจิ ารณาดาเนนิ การและแจ้งเจ้าอาวาสวดั ท่พี ระภิกษสุ ามเณรรปู นน้ั สังกัด ๑๑๕ คมู่ ือพระสังฆาธกิ าร
ในประเทศท่ีไม่มีพระภิกษุผู้ควบคุมดูแล ให้สถานทูตไทยหรือสถานกงสุลไทยในประเทศนั้น ๆ รายงานการถูกกล่าวโทษหรือต้องอธิกรณ์มายังพระเถระท่ีมหาเถรสมาคมแต่งตั้งหรือคณะกรรมการ ศ.ต.ภ. แล้วแต่กรณี เพ่ือพิจารณาดาเนินการและแจ้งเจ้าอาวาสวัดที่พระภิกษุสามเณรรูปนั้นสงั กดั อยู่ ให้เจ้าอาวาสและเจ้าคณะผู้บังคับบัญชาตามวรรคแรก สืบสวนสอบสวนข้อเท็จจริงถ้าเห็นสมควรจะเรียกตัวกลับ ก็ขอให้สถานทูตไทยหรือสถานกงสุลไทยในประเทศนั้น ๆ ส่งตัวกลับประเทศไทย เพือ่ ดาเนนิ การตามควรแก่กรณี หากพระภิกษุสามเณรรูปนั้นไม่ปฏิบัติตาม ให้รายงานมหาเถรสมาคม หรอื คณะกรรมการ ศ.ต.ภ. แลว้ แต่กรณีพิจารณา ขอ้ ๒๗ พระภิกษุสามเณรรูปใดฝ่าฝืนระเบียบมหาเถรสมาคมนี้ ให้เจ้าอาวาสเจ้าคณะพิจารณาลงโทษตามสมควรแล้วรายงานเจ้าคณะเหนือตนและมหาเถรสมาคม หรือคณะกรรมการศ.ต.ภ. ทราบ ประกาศ ณ วันที่ ๑๕ กุมภาพันธ์ พ.ศ. ๒๕๓๗ (สมเด็จพระญาณสงั วร) สมเดจ็ พระสงั ฆราช สกลมหาสงั ฆปริณายก ประธานกรรมการมหาเถรสมาคมหมายเหตุ :- เหตุผลในการประกาศใช้ระเบียบมหาเถรสมาคม กาหนดวิธีปฏิบัติในการไปต่างประเทศสาหรับพระภิกษุสามเณร พ.ศ. ๒๕๓๗ เน่ืองจากได้มีการยกเลิกมาตรา ๑๘ แห่งพระราชบัญญัติคณะสงฆ์ พ.ศ. ๒๕๐๕ให้อานาจมหาเถรสมาคม ตรากฎมหาเถรสมาคม ออกข้อบังคับวางระเบียบ หรือออกคาส่ังมหาเถรสมาคม และมีบทบญั ญัติกาหนดอานาจหนา้ ท่ขี องมหาเถรสมาคมดงั กลา่ วใหม่ ตามมาตรา ๑๕ ตรี แห่งพระราชบัญญัตคิ ณะสงฆ์พ.ศ. ๒๕๐๕ แก้ไขเพ่ิมเติมโดยพระราชบัญญัติคณะสงฆ์ (ฉบับที่ ๒) พ.ศ. ๒๕๓๕ จึงจาเป็นต้องออกระเบียบมหาเถรสมาคมนี้ ๑๑๖ คมู่ ือพระสงั ฆาธิการ
ระเบยี บมหาเถรสมาคม กาหนดวธิ ปี ฏบิ ตั ใิ นหนา้ ทพ่ี ระอปุ ัชฌาย์ พ.ศ. ๒๕๓๗๔๗ ---------------------------- อาศัยอานาจตามความในมาตรา ๑๕ ตรี แห่งพระราชบัญญัติคณะสงฆ์ พ.ศ.๒๕๐๕แก้ไขเพิ่มเติมโดยพระราชบัญญัติคณะสงฆ์ (ฉบับที่ ๒) พ.ศ.๒๕๓๕ และในข้อ ๔๑ แห่งกฎมหาเถร-สมาคม ฉบับที่ ๑๗ (พ.ศ.๒๕๓๖) ว่าด้วยการแต่งตั้งถอดถอนพระอุปัชฌาย์ มหาเถรสมาคมวางระเบียบไว้ ดงั ต่อไปนี้ ข้อ ๑ ระเบียบมหาเถรสมาคมนี้เรียกว่า “ระเบียบมหาเถรสมาคมกาหนดวิธีปฏิบัติในหน้าท่ี พระอุปชั ฌาย์ พ.ศ. ๒๕๓๗” ข้อ ๒ ระเบียบมหาเถรสมาคมนี้ ให้ใช้บังคับตั้งแต่วันถัดจากวันประกาศในแถลงการณ์คณะสงฆเ์ ป็นต้นไป ข้อ ๓ ต้ังแต่วันใช้ระเบียบมหาเถรสมาคมน้ีให้ยกเลิกระเบียบมหาเถรสมาคมกาหนดวธิ ีปฏบิ ัติในหน้าท่ีพระอุปัชฌาย์ พ.ศ. ๒๕๐๗ หมวด ๑ การฝกึ ซ้อมอบรมหรอื สอบความรู้พระอปุ ชั ฌาย์ ข้อ ๔ ในการฝกึ ซอ้ มอบรมหรอื สอบความร้พู ระอุปัชฌาย์ ใหด้ าเนนิ การตามหวั ขอ้ ต่อไปนี้ (๑) หน้าทเ่ี จ้านาค เชน่ การขานนาค (๒) หน้าทพ่ี ระกรรมวาจาจารย์ เช่น สวดญัตติ อนุสาวนา ไดค้ ล่องแคลว่ เปน็อักขรสมบตั ิ๔๗ ประกาศในแถลงการณ์คณะสงฆ์ เล่ม ๘๒ ตอนท่ี ๓ วนั ที่ ๒๕ มีนาคม ๒๕๓๗ ๑๑๗ คูม่ อื พระสงั ฆาธกิ าร
(๓) หน้าที่พระอุปัชฌาย์ คือ สอนนาค สอนกรรมฐาน ให้ผ้า ให้นิสัย บอกบริขารเผดียงสงฆ์ ซงึ่ เรียกว่าอปโลกน์ และบอกอนุศาสน์ (๔) สมบตั ิ คอื วัตถุ สีมา ปรสิ กรรมวาจา และวบิ ัติซงึ่ ตรงกันข้าม (๕) อัฏฐบริขารที่สาคัญขาดไมไ่ ด้ (๖) การนบั อายุอุปสมั ปทาเปกข์ และการต้ังนามฉายาตามวนั เกดิ (๗) การสวดนาคเดีย่ ว หรือหลายนาค ตอ้ งสมมตใิ หส้ วด เพื่อรู้จักเปลยี่ นวิภตั ติและการนั ต์เฉพาะที่ใชใ้ นกรรมวาจา (๘) การนบั เวลาสาเรจ็ ญัตตจิ ตตุ ถกรรมและการออกหนงั สือสทุ ธิ (๙) หน้าที่พระอุปัชฌาย์ตามหนังสือวินัยมุขและกฎมหาเถรสมาคม ว่าด้วยการแต่งต้งั ถอดถอนพระอปุ ชั ฌาย์ ข้อ ๕ ถ้ามิได้กาหนดเป็นอย่างอ่ืน การฝึกซ้อมอบรมน้ันให้เป็นไปตามวิธีการให้บรรพชาอปุ สมบทแห่งลัทธินิกายสงฆ์ หมวด ๒ การทาใบสมัครและใบรบั รองผจู้ ะบรรพชาอปุ สมบท ข้อ ๖ ในการทาใบสมัครขอบรรพชาอุปสมบท และใบรับรองผู้บรรพชาอุปสมบท ให้ทาตามแบบทา้ ย ระเบยี บมหาเถรสมาคมน้ี หมวด ๓ การออกหนังสอื สทุ ธิใหแ้ กส่ ัทธวิ ิหาริก ข้อ ๗ หนังสือสุทธิที่พระอุปัชฌาย์ออกให้แก่สัทธิวิหาริกของตน ให้ใช้หนังสือสุทธิซงึ่ กรมการศาสนาจัดพิมพ์ โดยอนมุ ตั ิมหาเถรสมาคม ข้อ ๘ เม่ือพระอุปัชฌาย์ออกหนังสือสุทธิให้แก่สัทธิวิหาริกผู้ใดแล้ว ให้บันทึกรายการในหนงั สือสทุ ธิ ของสทั ธวิ ิหาริกผู้นน้ั ไวเ้ ป็นหลักฐานในทะเบยี นสัทธวิ หิ ารกิ ๑๑๘ คมู่ ือพระสังฆาธิการ
หมวด ๔ การส่งบัญชีสทั ธวิ หิ าริก ข้อ ๙ ให้พระอุปัชฌาย์ ทาบัญชีสัทธิวิหาริกของตน ที่บรรพชาอุปสมบทใหม่ในปีหน่ึง ๆสง่ พระสังฆาธกิ ารผูบ้ งั คบั บญั ชาเหนือตามกาหนดดังนี้ (๑) ส่งเจา้ คณะอาเภอก่อนวนั สิ้นเดือน ๙ ของปี (๒) เจ้าคณะอาเภอรวบรวมส่งเจา้ คณะจังหวัดกอ่ นวันกลางเดือน ๑๐ ของปี (๓) เจ้าคณะจังหวัดรวบรวมสง่ เจา้ คณะภาคก่อนวนั ส้ินเดือน ๑๐ ของปี (๔) เจา้ คณะภาครวบรวมสง่ เจ้าคณะใหญ่กอ่ นวนั กลางเดือน ๑๑ ของปี ขอ้ ๑๐ ในการทาบัญชีสทั ธวิ ิหารกิ ให้ทาตามแบบบญั ชที า้ ยระเบยี บมหาเถรสมาคมน้ี ประกาศ ณ วันที่ ๙ มนี าคม พ.ศ. ๒๕๓๗ (สมเดจ็ พระญาณสงั วร) สมเดจ็ พระสงั ฆราช สกลมหาสังฆปรณิ ายก ประธานกรรมการมหาเถรสมาคมหมายเหตุ :- เหตุผลในการประกาศใช้ระเบียบมหาเถรสมาคม ว่าด้วยการกาหนดวิธีปฏิบัติหน้าท่ีพระอุปัชฌาย์พ.ศ. ๒๕๓๗ เน่ืองจากมาตรา ๑๕ ตรี แห่งพระราชบัญญัติคณะสงฆ์ พ.ศ. ๒๕๐๕ แก้ไขเพ่ิมเติมโดยพระราชบัญญัติคณะสงฆ์ (ฉบับท่ี ๒) พ.ศ. ๒๕๓๕ ได้บัญญัติให้มหาเถรสมาคมมีอานาจในการวางระเบียบมหาเถรสมาคม และตามขอ้ ๔๑ แหง่ กฎมหาเถรสมาคม ฉบับท่ี ๑๗ (พ.ศ. ๒๕๓๖) ว่าด้วยการแต่งตั้งถอดถอนพระอุปัชฌาย์ ได้กาหนดวิธีปฏิบัติในหน้าท่ีพระอุปัชฌาย์ ให้เป็นไปตามระเบียบมหาเถรสมาคม จึงจาเป็นต้องออกระเบียบมหาเถรสมาคมน้ี ๑๑๙ คมู่ อื พระสังฆาธกิ าร
ใบสมัครของบรรพชาอุปสมบท เขยี นท่.ี ................................................. วนั ที.่ ...........เดอื น..............................พ.ศ. ................. ข้าพเจา้ .......................................................นามสกลุ .........................................................มีศรัทธาเลื่อมใส ขอสมัครบรรพชาอุปสมบทในพระพุทธศาสนา จึงขอมอบตัวเป็นสัทธิวิหาริกใน...........................................พระอุปัชฌาย์และขอสังกัดอยู่ในวัด....................... ...................ซึ่งมี..........................................................................เป็นเจ้าอาวาส โดยขอถวายคาปฏิญญาดังตอ่ ไปน้ี ข้อ ๑ ข้าพเจ้าขอปฏิญญาว่า ข้าพเจ้ามีคุณลักษณะควรแก่การบรรพชาอุปสมบท และไม่มีลักษณะของคนต้องห้ามบรรพชาอุปสมบท ดังแจ้งตามรายการคุณสมบัติของข้าพเจ้าแนบท้ายใบสมคั รน้ี ซ่ึงเป็นความจริงทุกประการ ข้อ ๒ ข้าพเจ้าขอปฏิญญาว่า เมื่อได้บรรพชาอุปสมบทแล้ว จะเคารพนับถือเชื่อฟังต้งั อยู่ในโอวาทของพระอุปัชฌาย์อาจารย์ และจะประพฤติดีประพฤติชอบตามพระธรรมวินัย ระเบียบแบบแผนของวัดและคณะสงฆ์ตลอดไป ถ้าข้าพเจ้าละเมิดข้อปฏิญญาดังกล่าวข้างต้น ข้าพเจ้ายอมรับโทษตามควรแกค่ วามผิดทุกประการ ขอได้โปรดอนเุ คราะห์ให้ข้าพเจ้าไดบ้ รรพชาอปุ สมบทในพระพุทธศาสนาดว้ ยเถดิ (ลงช่ือ).................................................ผสู้ มัครขอบรรพชาอุปสมบท ๑๒๐ คมู่ อื พระสังฆาธิการ
รายการคณุ สมบตั ิแนบท้ายใบสมัครขอบรรพชาอปุ สมบทของ........................................................................................ ๑. เชอื้ ชาต.ิ ................................สญั ชาต.ิ ..................................นับถอื ศาสนา................................ ๒. เกดิ ท่ีบ้าน..............................ตาบล.....................................อาเภอ......................................... จังหวดั ..................................เมอื่ วันท.ี่ ..............เดือน......................................พ.ศ.................. ตรงกับวันฯ ค่า ป.ี .................................................................................................................. ๓. นามบดิ า.........................................................นามมารดา....................................................... ๔. สัณฐาน....................................สีเน้ือ.......................................ตาหน.ิ ...................................... ๕. วิทยฐานะ............................................................................................................................... ๖. อาชีพ..................................................................................................................................... ๗. ปจั จบุ นั มอี ายุ..........ปี มภี มู ิลาเนาอยูบ่ ้านเลขที่.........หมูท่ ี่......... ตรอก/ซอย…...................... ถนน.........................ตาบล..........................อาเภอ...........................จงั หวดั ............................ ๘. เป็นสุภาพชน มีความประพฤติดีประพฤติชอบ ไม่มีความประพฤติเสียหาย เช่น ติดสุรา หรือยาเสพติดใหโ้ ทษเปน็ ตน้ และไม่เปน็ คนจรจดั ใช่หรือไม่? ...................................................................................................................... ........................ ๙. มคี วามรอู้ ่าน และเขียนหนงั สือไทยไดใ้ ชห่ รือไม่?.......................................................................๑๐. ไมเ่ ป็นผมู้ ที ิฐวิ บิ ตั ิ ใชห่ รอื ไม่?...................................................................................................๑๑. ไม่เปน็ คนล้มละลาย หรือไม่มีหนส้ี นิ ผกู พนั ใชห่ รือไม่?............................................................๑๒. เป็นผู้ปราศจากบรรพชาโทษ และมีร่างกายสมบรู ณ์ อาจบาเพ็ญสมณกิจได้ ไม่เปน็ คนชรา ไร้ความสามารถ หรือทุพพลภาพ หรือพกิ ลพิการ ใช่หรอื ไม่?..................................................๑๓. มีสมณบรขิ ารครบถว้ นและถูกต้องพระวนิ ัย ใช่หรือไม่?...................................................๑๔. เปน็ ผูส้ ามารถกลา่ วคาขอบรรพชาอปุ สมบทไดด้ ว้ ยตนเองและถูกต้อง ไมว่ ิบตั ิ ใชห่ รอื ไม่? ............................................................................................................................................... (ลกั ษณะคนต้องหา้ มบรรพชาอุปสมบท)๑๕. เป็นคนทาความผดิ หลบหนีอาญาแผน่ ดนิ ใชห่ รือไม่?...............................................................๑๖. เปน็ คนหลบหนีราชการ ใชห่ รอื ไม่?.........................................................................................๑๗. เป็นคนต้องหาในคดีอาญา ใช่หรือไม่?...................................................................................... ๑๒๑ คูม่ ือพระสงั ฆาธกิ าร
๑๘. เปน็ คนเคยถูกตดั สินจาคุกฐานเปน็ ผู้ร้ายคนสาคญั ใชห่ รือไม่?...................................................๑๙. เป็นคนถกู ห้ามอุปสมบทเด็ดขาดทางพระศาสนา ใชห่ รอื ไม่?...................................................๒๐. เป็นคนมโี รคติดต่ออันน่ารังเกียจ เชน่ วัณโรคในระยะอันตราย ใช่หรือไม่?..............................๒๑. เป็นคนมอี วยั วะพิการจนไม่สามารถปฏบิ ัตกิ จิ พระศาสนาได้ ใชห่ รอื ไม.่ ................................... (ลงช่อื ).............................................ผู้สมคั รขอบรรพชาอุปสมบท ๑๒๒ ค่มู อื พระสงั ฆาธกิ าร
ใบรับรองผสู้ มัครขอบรรพชาอปุ สมบท เขียนท่.ี .................................................... วนั ที่.............เดอื น...............................พ.ศ.................... ข้าพเจ้า....................................................นามสกุล.............................................อายุ......... .ปีอาชีพ...................................................ตาแหน่งหน้าท่ี......................................................................อยบู่ ้านเลขที่...............หมู่ท.ี่ .............ตรอก/ซอย....................................ถนน......................................ตาบล............................................อาเภอ.........................................จังหวัด............................................เก่ียวข้องกบั ผู้สมัครขอบรรพชาอุปสมบทโดยเป็น.............................................................................. ขอถวายคารับรองไว้แด่.................................................................................พระอุปัชฌาย์และ.......................................................เจา้ อาวาสวดั ..........................................ดังต่อไปนี้ ขอ้ ๑ ข้าพเจา้ รับรองว่า ตามรายการในใบสมัครขอบรรพชาอุปสมบท ของ.......................…………………………..…………………………………..ขา้ งต้นน้ัน เปน็ ความจริงทกุ ประการ ข้อ ๒ ถ้าปรากฏภายหลังวา่ ตามรายการในใบสมัครขอบรรพชาอปุ สมบทของ.....................................................................................................มิได้เปน็ ความจริงตามที่ข้าพเจา้ รบั รองไว้ หรอื เมอ่ื................................................ได้บรรพชาอุปสมบทแล้ว มิได้ปฏิบัติตามคาปฏิญาณด้วยประการใด ๆขา้ พเจา้ ยอมรบั ผดิ ในความเสียหายทีเ่ กดิ ขึ้นทกุ ประการ ข้าพเจ้าเข้าใจข้อความข้างต้นนี้ตลอดแล้ว จึงลงลายมือช่ือไว้เป็นสาคัญต่อหน้าพยานขา้ งทา้ ยน้ี (ลงช่อื )....................................................ผรู้ ับรอง (ลงช่ือ).......................................................พยาน (ลงชอื่ )........................................................พยาน ๑๒๓ ค่มู ือพระสงั ฆาธกิ าร
บัญชีสทั ธิวิหาริก ประจาปี พ.ศ. ...................ของพระ...........................อปุ ชั ฌาย์ วดั ........................อาเภอ............................จงั หวัด.................... นาส่งวันท่ี..............เดอื น..................พ.ศ.................เลข ชื่อ นามสกลุ ฉายา บรรพชาอปุ สมบท สงั กดั อยู่ อาชีพ หมายที่ วนั เดอื น พ.ศ. วดั อาเภอ จังหวัด วัด อาเภอ จงั หวดั เดิม เหตุ ลงนาม.....................................พระอุปชั ฌาย์ รบั รองตามนี้ (ลงนาม)................เจ้าคณะอาเภอ................หมายเหตุ “ พระภิกษุกบั สามเณรใหท้ าบัญชีแยกกนั ” ๑๒๔ ค่มู อื พระสงั ฆาธกิ าร
ระเบียบมหาเถรสมาคม กาหนดจานวนและเขตปกครองตาบล พ.ศ. ๒๕๓๗๔๘ ---------------------------- อาศยั อานาจตามความในมาตรา ๑๕ ตรี แหง่ พระราชบญั ญัตคิ ณะสงฆ์ พ.ศ. ๒๕๐๕แกไ้ ขเพ่ิมเตมิ โดยพระราชบัญญัตคิ ณะสงฆ์ (ฉบบั ที่ ๒) พ.ศ. ๒๕๓๕ และข้อ ๕ แหง่ กฎมหาเถรสมาคมฉบบั ที่ ๑๔ (พ.ศ. ๒๕๓๕) ว่าด้วยจานวนและเขตปกครองคณะสงฆส์ ว่ นภูมิภาค มหาเถรสมาคมวางระเบียบไว้ดงั ต่อไปนี้ ข้อ ๑ ระเบียบมหาเถรสมาคมนี้ เรียกว่า “ระเบียบมหาเถรสมาคมกาหนดจานวนและเขตปกครองตาบล พ.ศ. ๒๕๓๗” ข้อ ๒ ระเบียบมหาเถรสมาคมน้ี ให้ใช้บังคับต้ังแต่วันถัดจากวันประกาศในแถลงการณ์คณะสงฆ์เปน็ ตน้ ไป ขอ้ ๓ ต้ังแต่วันใช้ระเบียบมหาเถรสมาคมน้ี ให้ยกเลิกระเบียบมหาเถรสมาคมกาหนดจานวนและเขตปกครองตาบล พ.ศ. ๒๕๐๖ ขอ้ ๔ การกาหนดเขตปกครองตาบลในกรณีพิเศษ ย่อมทาได้ตามที่กาหนดไว้ในระเบียบมหาเถรสมาคมน้ี ขอ้ ๕ ตาบลที่มีวัดต่ากว่า ๕ วัด ให้รวมข้ึนในปกครองของเจ้าคณะตาบลอื่นที่มีเขตติดต่อกนั ถ้ารวมวัดใน ๒ ตาบลเข้าด้วยกัน มีจานวนวัดต้ังแต่ ๑๐ วัดขึ้นไป เพ่ือสะดวกแก่การปกครอง หรอื เพอ่ื ความเจริญแห่งคณะสงฆ์ จะแบ่งวัดใน ๒ ตาบลท่ีรวมกันน้ีเป็น ๒ เขต หรือหลายเขต ใหม้ เี จ้าคณะตาบลเขตละรปู กไ็ ด้๔๘ ประกาศในแถลงการณค์ ณะสงฆ์ เล่ม ๘๒ ตอนที่ ๗ วนั ที่ ๒๕ กรกฎาคม ๒๕๓๗ ๑๒๕ คูม่ ือพระสงั ฆาธกิ าร
ในกรณีเช่นนี้ การเรียกช่ือเจ้าคณะตาบล จะเรียกอนุโลมตามชื่อตาบลแห่งราชอาณาจักรก็ได้หรือจะเรียกชื่อตาบลตามเขตว่าตาบลช่ือนี้ เขตหน่ึงตาบลชื่อนี้ เขตสองก็ได้ แล้วแต่ความเหมาะสม ข้อ ๖ ตาบลท่ีมีเขตติดต่อกัน ตั้งแต่สามตาบลข้ึนไป ถ้าแต่ละตาบลมีวัดไม่ถึง ๕ วัดหากรวมวัดในตาบลเหล่านั้นเข้าด้วยกัน มีจานวนตั้งแต่ ๕ วัดข้ึนไป ก็ให้รวมยกขึ้นเป็นเขตตาบลเดียวกันหรือหลายเขต แล้วตามความเหมาะสม ให้มีเจ้าคณะตาบลเป็นผู้ปกครองเขตละหนึ่งรูปการเรียกช่ือเจ้าคณะตาบลให้อนุโลมตาม ข้อ ๕ ข้อ ๗ แม้ตาบลท่มี วี ดั ครบ ๕ วดั จะใหร้ วมข้ึนในปกครองของเจา้ คณะตาบลอืน่ ที่มีเขตติดต่อกันก็ได้ ถ้าเปน็ การเหมาะสมและจาเปน็ ในทางปกครอง ข้อ ๘ ตาบลท่ีมีวัดเกินกว่า ๑๐ วัด จะแยกวัดที่เกินน้ันไปรวมข้ึนในปกครองของเจ้าคณะตาบลอ่นื ที่มเี ขตตดิ ตอ่ กันก็ได้ ถา้ เปน็ ความสะดวกในทางปกครอง ข้อ ๙ ในตาบลที่มีวัดตั้งแต่ ๑๐ วัดข้ึนไป เพ่ือสะดวกแก่การปกครอง หรือเพ่ือความเจริญแห่งคณะสงฆ์ จะแบ่งเขตตาบลออกเป็น ๒ เขต หรือหลายเขต และให้มีเจ้าคณะตาบลเขตละรูปก็ได้ ในกรณีเช่นนี้ การเรียกชื่อเจ้าคณะตาบล ให้เรียกตามเขตว่า เจ้าคณะตาบลนี้เขตหน่ึงเขตสอง เป็นต้น ข้อ ๑๐ ในตาบลเดียวกันท่ีมีวัดต้ังแต่ ๘ วัดข้ึนไป หรือหลายตาบลรวมกัน มีวัดต้ังแต่๘ วดั ข้ึนไป จะให้มรี องเจา้ คณะตาบล ๑ รปู ก็ได้ ในกรณี ท่ีมีการรวมวัดในหลายตาบล ให้ขึ้นในปกครองของเจ้าคณะตาบลรูปเดียวถ้ารวมกันเพียงสองตาบลให้คงช่ือไว้ท้ังคู่ ถ้ารวมกันเกินกว่านั้นให้คงชื่อไว้แต่ตาบลเดียวจะคงช่ือตาบลใดไว้ แล้วแต่จะพิจารณาเห็นสมควร ข้อ ๑๑ ให้เป็นหน้าท่ีของเจ้าคณะอาเภอ พิจารณากาหนดเขตตาบล จานวนวัด ในตาบลและชื่อตาบล ตามระเบียบมหาเถรสมาคมน้ีเสนอเจ้าคณะจังหวัดเพื่อพิจารณา เมื่อเจ้าคณะจังหวัดได้ประกาศโดยอนุมัติของเจ้าคณะภาค ตามแบบท้ายระเบียบมหาเถรสมาคมน้ี ในแถลงการณ์คณะสงฆ์แล้ว ใหถ้ ือเปน็ เขตปกครองตาบลของคณะสงฆ์ ข้อ ๑๒ จานวนและเขตปกครองตาบลที่ได้กาหนดไว้แล้วกอ่ นใชร้ ะเบยี บมหาเถรสมาคมน้ีใหถ้ ือเปน็ จานวนและเขตปกครองตาบล ตามระเบียบมหาเถรสมาคมน้ี ๑๒๖ คู่มอื พระสังฆาธกิ าร
ประกาศ ณ วนั ท่ี ๒๓ มิถนุ ายน พ.ศ. ๒๕๓๗ (สมเด็จพระญาณสังวร) สมเด็จพระสงั ฆราช สกลมหาสงั ฆปริณายก ประธานกรรมการมหาเถรสมาคมหมายเหตุ :- เหตผุ ลในการประกาศใชร้ ะเบียบมหาเถรสมาคม กาหนดจานวนและเขตปกครองตาบล พ.ศ. ๒๕๓๗เนื่องจากได้มีการยกเลิกมาตรา ๑๘ แห่งพระราชบัญญัติคณะสงฆ์ พ.ศ. ๒๕๐๕ ให้อานาจมหาเถรสมาคมตรากฎ ออกข้อบังคับ วางระเบียบ ออกคาส่ัง ออกประกาศมหาเถรสมาคม และมีบทบัญญัติ กาหนดอานาจหน้าท่ีของมหาเถรสมาคมดังกล่าวใหม่ ตามมาตรา ๑๕ ตรี แห่งพระราชบัญญัติคณะสงฆ์ พ.ศ. ๒๕๐๕แก้ไขเพ่ิมเติมโดยพระราชบัญญัติคณะสงฆ์ (ฉบับที่ ๒) พ.ศ. ๒๕๓๕ และตามข้อ ๕ แห่งกฎมหาเถรสมาคมฉบับท่ี ๑๔ พ.ศ. ๒๕๓๕) จึงจาเป็นตอ้ งออกระเบียบมหาเถรสมาคมนี้ ๑๒๗ คมู่ อื พระสงั ฆาธกิ าร
ระเบยี บมหาเถรสมาคม วา่ ดว้ ยการเพ่ิมคาอนโุ มทนาเป็นภาษาไทย ในวนั พระหรอื วนั ธรรมสวนะ พ.ศ. ๒๕๓๗๔๙ ---------------------------- อาศัยอาจตามความในมาตรา ๑๕ ตรี แห่งพระราชบัญญัติคณะสงฆ์ พ.ศ. ๒๕๐๕ แก้ไขเพ่ิมเติมโดยพระราชบัญญัติคณะสงฆ์ (ฉบับที่ ๒) พ.ศ. ๒๕๓๕ มหาเถรสมาคมวางระเบียบไว้ดังต่อไปนี้ ข้อ ๑ ระเบียบมหาเถรสมาคมนี้ เรียกว่า “ระเบียบมหาเถรสมาคม ว่าด้วยการเพิ่มคาอนุโมทนาเป็นภาษาไทย ในวันพระหรอื วนั ธรรมสวนะ พ.ศ. ๒๕๓๗” ข้อ ๒ ระเบียบมหาเถรสมาคมน้ี ให้ใช้บังคับตั้งแต่วันถัดจากวันประกาศในแถลงการณ์คณะสงฆ์ เป็นตน้ ไป ข้อ ๓ ตั้งแต่วันใช้ระเบียบมหาเถรสมาคมน้ี ให้ยกเลิกระเบียบมหาเถรสมาคม ว่าด้วยการเพมิ่ คาอนโุ มทนาเป็นภาษาไทย ในวันพระหรือวันธรรมสวนะ พ.ศ. ๒๕๒๘ ข้อ ๔ คาอนุโมทนาเป็นภาษาบาลีท่ีพระภิกษุสงฆ์เคยอนุโมทนาในวันพระหรือวันธรรมสวนะในวัดของตนอย่างใด ก็ยังคงเป็นไปตามน้ัน ไม่มีการเปลี่ยนแปลงแต่ประการใด ตามระเบียบมหาเถรสมาคมน้ี ให้เพิม่ คาอนโุ มทนาเปน็ ภาษาไทยเขา้ รว่ มดว้ ยอกี ส่วนหนึง่ เท่านั้น ข้อ ๕ เร่ืองท่ีจะนามาอนุโมทนาเป็นภาษาไทยน้ัน ให้อยู่ในขอบเขตแห่งหัวข้อหรือหมวดเรื่องตามที่มหาเถรสมาคมจะได้กาหนดไว้ และหัวข้อหรือหมวดเร่ืองนั้นอาจมีการเปลี่ยนแปลงได้ตามความเหมาะสมโดยมหาเถรสมาคม๔๙ ประกาศในแถลงการณ์คณะสงฆ์ เล่ม ๘๒ ตอนที่ ๑๑ วันที่ ๒๕ พฤศจิกายน ๒๕๓๗ ๑๒๘ ค่มู อื พระสังฆาธกิ าร
ข้อ ๖ โดยปกติ การอนุโมทนาเป็นภาษาไทยเป็นหน้าท่ีของเจ้าอาวาสแห่งวัดน้ัน ๆจะพึงอนุโมทนา แต่ถ้าเจ้าอาวาสขัดข้องหรือเห็นเป็นการสมควรจะมอบหมายให้รองเจ้าอาวาสผู้ช่วยเจ้าอาวาส หรือพระภิกษุรูปใดรูปหนึ่งทาหน้าท่ีอนุโมทนาแทนก็ได้แต่ต้องอยู่ในเขตที่เจ้าอาวาสมอบหมาย ขอ้ ๗ กาหนดเขตการอนุโมทนาเป็นภาษาไทยนั้น กาหนดในทุกวันพระหรือวันธรรมสวนะในเทศกาลเข้าพรรษา ในเวลาทายกทายิการ่วมประชุมทาบุญตักบาตร แต่ถ้าวัดใดเห็นเป็นการสมควรท่ีจะขยายการอนุโมทนาเป็นภาษาไทยออกไปในทุกวันพระหรือวันธรรมสวนะ ในเวลานอกพรรษาหรือในวันทีป่ ระชาชนมารว่ มบาเพญ็ กุศลในวดั เปน็ การพเิ ศษกย็ อ่ มกระทาได้ตามความเหมาะสม ขอ้ ๘ สถานทนี่ ง่ั อนุโมทนา จะใช้บนอาสน์สงฆ์ที่นั่งฉัน หรือจัดท่ีเป็นพิเศษข้ึนใหม่ โดยใช้เกา้ อีห้ รือจะใชบ้ นธรรมาสน์ สุดแตเ่ จา้ อาวาสจะเหน็ สมควร ข้อ ๙ กาหนดเวลาที่จะอนุโมทนาเป็นภาษาไทย ไม่ควรจะต่ากว่า ๑๐ นาที และไม่เกิน๒๐ นาที เว้นแต่ทายกทายกิ าจะขอให้เพ่มิ เวลาออกไปอีก เมอ่ื จบการอนโุ มทนาเป็นภาษาไทยแล้วจึงอนุโมทนาเป็นภาษาบาลี ตามทเ่ี คยปฏบิ ัตมิ า ข้อ ๑๐ เป็นหน้าที่ของเจ้าอาวาสวัดนั้น ทารายงานการอนุโมทนาตามรายการที่กาหนดไว้เสนอเจา้ คณะตามลาดบั จนถึงเจา้ คณะจงั หวัดเจ้าสงั กัด ไม่เกินเดือนธันวาคมของทุกปี ส่วนจะให้กาหนดนาส่งในระหว่างกนั อย่างไร เป็นหนา้ ทข่ี องเจ้าคณะจังหวดั เจ้าสงั กัดจะกาหนด อนง่ึ ใหเ้ จา้ คณะจังหวดั จดั ส่งรายงานการอนุโมทนาไปยังเจ้าคณะภาคเจ้าสงั กัดไม่เกนิ เดือนมกราคมของปีถดั ไป ประกาศ ณ วันท่ี ๑๕ เดอื นพฤศจิกายน พ.ศ. ๒๕๓๗ (สมเด็จพระญาณสงั วร) สมเด็จพระสังฆราช สกลมหาสงั ฆปริณายก ประธานกรรมการมหาเถรสมาคม ๑๒๙ ค่มู อื พระสังฆาธกิ าร
หมายเหตุ :- เหตุผลในการประกาศใช้ระเบียบมหาเถรสมาคม ว่าด้วยการเพิ่มคาอนุโมทนาเป็นภาษาไทยในวันพระหรือวันธรรมสวนะ พ.ศ. ๒๕๓๗ เน่ืองจากได้มีการยกเลิกมาตรา ๑๘ แห่งพระราชบัญญัติคณะสงฆ์พ.ศ. ๒๕๐๕ ให้อานาจมหาเถรสมาคม ตรากฎมหาเถรสมาคม ออกข้อบังคับ วางระเบียบ ออกคาสั่ง ออกประกาศมหาเถรสมาคม และมีบทบัญญัติกาหนดอานาจหน้าที่ของมหาเถรสมาคมดังกล่าวใหม่ ตามมาตรา ๑๕ ตรีแห่งพระราชบญั ญตั คิ ณะสงฆ์ พ.ศ. ๒๕๐๕ แก้ไขเพมิ่ เตมิ โดยพระราชบัญญตั ิคณะสงฆ์ (ฉบับท่ี ๒) พ.ศ. ๒๕๓๕จงึ จาเปน็ ตอ้ งออกระเบยี บมหาเถรสมาคมนี้ ๒. การอนุโมทนาในโรงฉัน เป็นพระบรมพุทธานุญาต มีหลักฐานปรากฏชัดอยู่ในพระวินัยปิฎกคัมภีร์จุลวรรค ตอนวัตตขันธกะ มีพระบาลีเป็นหลักยืนยันอยู่ว่า อนุชานามิ ภิกฺขเว ภตฺตคฺเค อนุโมทิตุ ดูกรภิกษุทง้ั หลายเราอนุญาตเพื่ออนโุ มทนาในโรงฉันดังนี้ คาอนุโมทนาตามพระบรมพุทธานุญาตดังกล่าวนั้น เป็นคาสอนหรือคาให้ศีลให้พรท่ีพระพุทธสาวกกล่าวให้แก่ผู้ถวายภัตตาหาร ในเร่ืองน้ีเมื่อได้พิเคราะห์ตามคัมภีร์แล้ว น่าจะเช่ือได้เป็นม่ันเป็นเหมาะว่า คร้ังพุทธกาลคือในสมัยที่พระพุทธเจ้ายังทรงพระชนม์อยู่ คาอนุโมทนาอยู่ในระบบคาสอนทั้งส้ิน แม้ในสมัยที่พระพุทธเจ้านพิ พานแล้วแตพ่ ระพทุ ธศาสนายงั ตงั้ อย่ใู นชมพทู วปี คาอนุโมทนาก็ยังคงอยู่ในระบบคาสอน ครั้นพระพุทธศาสนาได้แผ่ขยายออกมาต้ังอยู่ในประเทศอ่ืนแล้วในระยะต้นๆ น้ัน คาอนุโมทนาก็อยู่ในระบบคาสอนแล้วจึงค่อย ๆขยายออกมาเปน็ คาให้ศีลใหพ้ รเพ่ิมขึ้นอีกสว่ นหน่ึงในภายหลัง คาอนโุ มทนาที่พระภิกษสุ งฆ์ใช้อยูใ่ นชมพูทวปี ก็ดี ในลงั กาทวีปก็ดี ลว้ นใชค้ าภาษาบาลที ้งั สนิ้ พุทธบรษิ ัทท่รี ับฟงั คาอนโุ มทนาย่อมรเู้ ร่อื งในคาอนุโมทนานั้นเหมอื นคนไทยฟังคนไทยพูด ยอ่ มรเู้ ร่อื งในขณะท่ฟี งั นั่นเอง ขอกล่าวเฉพาะในประเทศไทยของเราในปจั จบุ นั นห้ี รอื แม้ในอดตี ก็ตาม คาอนุโมทนาท่ีพระภิกษสุ งฆไ์ ทยใชอ้ ย่กู ็ล้วนเปน็ ภาษาบาลเี ชน่ เดียวกนั หากผูใ้ ดแปลคาอนุโมทนาได้หรือรู้คาที่ท่านผู้รู้แปลเป็นคาไทยไว้ จะรู้เห็นได้เองวา่ คาอนโุ มทนาที่พระภิกษุสงฆ์ไทยใช้อนโุ มทนาอยซู่ ึ่งท่านจัดรวบรวมไวใ้ นหมวดอนโุ มทนาวธิ ี ในหนงั สอื สวดมนต์ฉบับหลวง มีทงั้ เปน็ คาสอนมที ้งั เป็นคาให้ศีลให้พร ซ่ือว่าเจริญรอยตามพระบรมพุทธานุญาตเร่ืองอนุโมทนา และตามจารตี ทีท่ า่ นแต่ปางก่อนกาหนดไว้ บัดนี้ ถึงกาลสมัยอันสมควรอย่างยิ่งแล้ว ในการท่ีวัดท้ังหลายจะหาโอกาสท่ีถ่ายเทความรู้ให้ทายกทายิกาแหง่ วดั นนั้ ๆ ตามหน้าที่ เพื่อใหท้ ายกทายิกาเหล่านน้ั เจริญด้วยวิทยสมบัติตามควรแก่อัตภาพ และเป็นการชี้ช่องทางให้เขาเหล่าน้ันมีโอกาสท่ีจะได้ละส่ิงท่ีควรละ ประพฤติสิ่งท่ีควรประพฤติ การเจริญด้วยวิทยสมบัติก็ดีการละส่ิงท่ีควรละ และการประพฤติสิ่งท่ีควรประพฤติก็ดี ล้วนเป็นส่ิงที่ควรปรารถนาท้ังสิ้น ไม่ว่าจะเป็นทางโลกหรือทางธรรม โอกาสที่จะช้ีแจงแนะนาอบรมสั่งสอนทายกทายิกาโดยไม่ต้องนัดหมายกันน้ันมีอยู่ คือในวันเวลาที่ทายกทายิกาแห่งวัดนน้ั ๆ มาร่วมกนั ทาบญุ ตักบาตรในวันพระหรอื วนั ธรรมสวนะตอนเวลาที่พระภิกษุฉันภัตตาหารเสร็จแล้วก่อนจะยถาสัพพี อนุโมทนาในโอกาสนั้น อันเป็นการอนุโมทนาในรูปแบบคาสอนตามพระบรมพุทธานุญาตดงั กล่าวแลว้ แต่ถ้าท่านผู้มีหน้าท่าอนุโมทนาเห็นสมควรจะอนุโมทนาก่อนฉัน หรือในเวลาที่พระภิกษุรูปอื่นฉันอยู่กย็ อ่ มกระทาได้ ๑๓๐ คู่มอื พระสังฆาธกิ าร
ระเบยี บมหาเถรสมาคม ว่าด้วยการรอ้ งทกุ ข์ พ.ศ. ๒๕๓๗๕๐ ---------------------------- อาศัยอานาจตามความในมาตรา ๑๕ ตรี แห่งพระราชบัญญัติคณะสงฆ์ พ.ศ.๒๕๐๕ แก้ไขเพิ่มเติมโดยพระราชบัญญัติคณะสงฆ์ (ฉบับที่ ๒) พ.ศ.๒๕๓๕ และข้อ ๕๒ แห่งกฎมหาเถรสมาคมฉบับท่ี ๑๖ (พ.ศ.๒๕๓๕) ว่าด้วยการแต่งต้ังถอดถอนพระสังฆาธิการมหาเถรสมาคมวางระเบียบไว้ดงั ต่อไปนี้ ข้อ ๑ ระเบียบมหาเถรสมาคมน้ี เรียกว่า “ระเบียบมหาเถรสมาคม ว่าด้วยการร้องทุกข์พ.ศ.๒๕๓๗” ขอ้ ๒ ระเบียบมหาเถรสมาคมน้ี ให้ใช้บังคับต้ังแต่วันถัดจากวันประกาศในแถลงการณ์คณะสงฆ์ เป็นต้นไป ขอ้ ๓ ต้ังแต่วันใช้ระเบียบมหาเถรสมาคมนี้ ให้ยกเลิกระเบียบมหาเถรสมาคมว่าด้วยการรอ้ งทกุ ข์ พ.ศ. ๒๕๐๕ ขอ้ ๔ พระสังฆาธิการรูปใด ถูกผู้บังคับบัญชาสั่งลงโทษฐานละเมิดจริยา ถ้าเห็นว่าคาสั่งลงโทษน้ันไม่เป็นธรรม ประสงค์จะร้องทุกข์ ก็ให้ร้องทุกข์ต่อผู้บังคับบัญชาเหนือผู้ส่ังลงโทษขึ้นไปชั้นหน่ึง ข้อ ๕ ในการร้องทุกข์นั้น ต้องทาเป็นคาร้องมีสาเนาหน่ึงฉบับ ระบุสถานที่และวันเดือนปีที่ร้องทุกข์ ช้ีแจงแสดงเหตุผลหรือข้อผิดถูก แล้วลงลายมือช่ือของผู้ร้องทุกข์นั้น พร้อมกับสาเนาคาส่ังลงโทษ ย่ืนต่อผู้มีหน้าท่ีรับคาร้องทุกข์ตามความในข้อ ๔ โดยให้ส่งผ่านผู้ส่ังลงโทษภายในกาหนด ๑๕ วัน นับจากวันทราบคาสั่งลงโทษ และให้ผู้ส่ังลงโทษ ส่งคาร้องทุกข์ไปให้ผู้มีหน้าที่รบั คาร้องทุกข์ภายใน ๗ วนั นบั แต่วนั ไดร้ ับคาร้องทกุ ข์ ข้อ ๖ เม่ือผู้มีหน้าที่รบั คาร้องทุกข์ไดร้ ับคาร้องทุกข์แล้ว ให้พิจารณาสง่ั การตามควรแก่กรณี๕๐ ประกาศในแถลงการณ์คณะสงฆ์ เล่ม ๘๒ ตอนท่ี ๗ วันที่ ๒๕ กรกฎาคม ๒๕๓๗ ๑๓๑ คมู่ อื พระสังฆาธิการ
ถ้าเห็นว่า สมควรได้รับคาช้ีแจงของผู้สั่งลงโทษประกอบการพิจารณาด้วย ให้ส่งสาเนาคาร้องทุกข์น้ันไปยังผู้ส่ังลงโทษภายในกาหนด ๗ วัน นับแต่วันได้รับคาร้องทุกข์ เพื่อให้ช้ีแจงในการสั่งลงโทษ เม่ือผู้สั่งลงโทษทาคาชี้แจงแล้ว ให้ส่งคาช้ีแจงนั้นไปยังผู้มีหน้าท่ีรับคาร้องทุกข์พร้อมด้วยสาเนาเอกสารอ่ืน ๆ อันเก่ียวกับการส่ังลงโทษ ซึ่งรับรองว่าถูกต้อง ถ้าจะพึงมีภายในกาหนด ๑๕ วันนบั แต่วนั ได้รับสาเนาคาร้องทกุ ข์ ขอ้ ๗ เม่ือผู้มีหน้าที่รับคาร้องทุกข์ได้รับคาช้ีแจงตามความในข้อ ๖ วรรค ๒ แล้วให้พจิ ารณาสง่ั การตอ่ ไป แต่ถ้าเห็นว่าเป็นเร่ืองที่ควรต้ังกรรมการพิจารณาก็ให้ต้ังกรรมการได้ไม่น้อยกว่า๓ รปู และไมเ่ กนิ ๕ รปู เพอ่ื พิจารณาเสนอความเหน็ ขอ้ ๘ ในการพิจารณาของคณะกรรมการนั้น จะเชิญบุคคลใด ๆ มาให้ถ้อยคาเพ่ือประกอบการพิจารณาก็ได้ ขอ้ ๙ ให้การพิจารณาส่ังการของผู้รับคาร้องทุกข์ตามความในข้อ ๖ วรรคแรกตอ้ งพิจารณาสงั่ การให้เสรจ็ ส้นิ ภายในกาหนด ๑๕ วนั นับแตว่ ันทีไ่ ด้รบั คารอ้ งทกุ ข์ ถ้ามีการสั่งให้ส่งคาชี้แจงของผู้สั่งลงโทษ ตามความในข้อ ๖ วรรค ๒ ต้องพิจารณาสั่งการใหเ้ สรจ็ สิน้ ภายในกาหนด ๓๐ วนั นับแต่วนั ได้รับคารอ้ งทุกข์ แต่ถ้ามีการต้ังกรรมการพิจารณาตามความในข้อ ๗ ต้องพิจารณาสั่งการให้เสร็จสิ้นภายในกาหนด ๖๐ วัน นบั แต่วนั ได้รบั คาร้องทุกข์ ข้อ ๑๐ ให้ผรู้ บั คารอ้ งทุกขแ์ จง้ ผลการพจิ ารณาชีข้ าดแกผ่ ้สู ั่งลงโทษและใหผ้ ู้สัง่ ลงโทษแจง้ แกผ่ รู้ ้องทุกขท์ ราบภายในกาหนด ๑๕ วัน นบั แตว่ ันท่ตี นไดร้ บั คาส่งั แจ้งผลการพจิ ารณาช้ขี าดนนั้ ข้อ ๑๑ ถ้าผู้รับคาร้องทุกข์ พิจารณาสั่งการยืนตามคาสั่งของผู้ส่ังลงโทษหรือเบากว่าผู้ร้องทุกข์จะร้องทุกข์ต่อไปอีกไม่ได้ แต่ถ้าผู้รับคาร้องทุกข์พิจารณาสั่งการให้เพ่ิมโทษ ผู้ร้องทุกข์มีสิทธิร้องทุกข์ต่อผู้บังคับบัญชาเหนือข้ึนไปอีกชั้นหน่ึงได้ การพิจารณาสั่งการของผู้บังคับบัญชาชั้นน้ีเป็นท่สี ุด การย่ืนคาร้องทุกข์ และการพิจารณาส่ังการตามความในวรรคต้น ให้นาความในข้อ ๕-๖-๗-๘ และข้อ ๙ มาใช้บงั คับโดยอนโุ ลม ข้อ ๑๒ การรอ้ งทุกข์ตามระเบยี บมหาเถรสมาคมน้ี ใหถ้ อื ว่าเป็นสิทธิเฉพาะตัว จะรอ้ งทุกข์แทนกนั มิได้ ประกาศ ณ วันท่ี ๒๕ พฤศจกิ ายน พ.ศ. ๒๕๓๗ สมเดจ็ พระญาณสงั วร สมเด็จพระสังฆราช สกลมหาสังฆปริณายก ประธานกรรมการมหาเถรสมาคม ๑๓๒ คู่มอื พระสงั ฆาธกิ าร
หมายเหตุ :- เหตุผลในการประกาศใช้ระเบียบมหาเถรสมาคม ว่าด้วยการร้องทุกข์ พ.ศ. ๒๕๓๗ เนื่องจากได้มีการยกเลิกมาตรา ๑๘ แห่งพระราชบัญญัติคณะสงฆ์ พ.ศ. ๒๕๐๕ ให้อานาจมหาเถรสมาคม ตรากฎมหาเถรสมาคมออกข้อบังคับ วางระเบียบ ออกคาส่ัง ออกประกาศมหาเถรสมาคม และมีบทบัญญัติกาหนดอานาจหน้าท่ีของมหาเถรสมาคมดังกล่าวใหม่ ตามมาตรา ๑๕ ตรี แห่งพระราชบัญญัติคณะสงฆ์ พ.ศ. ๒๕๐๕ แก้ไขเพิ่มเติมโดยพระราชบญั ญัติคณะสงฆ์ (ฉบบั ท่ี ๒) พ.ศ. ๒๕๓๕ จงึ จาเปน็ ตอ้ งออกระเบียบมหาเถรสมาคมน้ี ๑๓๓ คมู่ ือพระสงั ฆาธิการ
ระเบยี บมหาเถรสมาคม วา่ ดว้ ยการจัดงานวัด พ.ศ. ๒๕๓๗๕๑ ---------------------------- อาศัยอานาจตามความในมาตรา ๑๕ ตรี แห่งพระราชบัญญัติคณะสงฆ์ พ.ศ. ๒๕๐๕แก้ไขเพ่ิมเติม โดยพระราชบัญญัติคณะสงฆ์ (ฉบับที่ ๒) พ.ศ. ๒๕๓๕ มหาเถรสมาคมวางระเบียบไว้ดงั ตอ่ ไปน้ี ขอ้ ๑. ระเบียบมหาเถรสมาคมน้ี เรียกว่า “ระเบียบมหาเถรสมาคม ว่าด้วยการจัดงานวัดพ.ศ. ๒๕๓๗” ข้อ ๒. ระเบียบมหาเถรสมาคมน้ี ให้ใช้บังคับตั้งแต่วันถัดจากวันประกาศในแถลงการณ์คณะสงฆ์ เปน็ ต้นไป ขอ้ ๓. ต้ังแต่วันใช้ระเบียบมหาเถรสมาคมน้ี ให้ยกเลิกระเบียบมหาเถรสมาคม ว่าด้วยการจดั งานวดั พ.ศ. ๒๕๑๐ หมวด ๑ บททั่วไป ขอ้ ๔ ในระเบยี บนี้ (๑) “เจ้าคณะ”หมายถึงผู้ปกครองคณะสงฆ์ตามลาดับชั้น ในเขตซ่ึงวัดท่ีจะจัดงานน้ันตั้งอยู่ (๒) “เจ้าหน้าที่ฝ่ายบ้านเมือง”สาหรับในกรุงเทพมหานคร ให้หมายถึงผู้ว่าราชการกรุงเทพมหานคร ผู้อานวยการเขต และผู้กากับการสถานีตารวจ ในจังหวัดอ่ืน ให้หมายถึงผู้ว่าราชการจังหวัด นายอาเภอและผู้บังคับการตารวจภูธรจังหวัด หรือรองผู้บังคับการทาหน้าท่ีหัวหน้าตารวจภูธรจังหวัด หรือผู้กากับการสถานีตารวจภูธรอาเภอ หรือรองผู้กากับการทาหน้าที่หัวหนา้ สถานีตารวจภธู รอาเภอ (๓) งานชุมชน ได้แกง่ านที่วดั จดั ข้ึนเองหรือมีผู้ขอจัดข้นึ ภายในวัด๕๑ ประกาศในแถลงการณค์ ณะสงฆ์ เล่ม ๘๒ ตอนท่ี ๖ วนั ท่ี ๒๕ มถิ ุนายน ๒๕๓๗ ๑๓๔ คมู่ ือพระสังฆาธกิ าร
ข้อ ๕ งานวดั ตามระเบียบนี้ มี ๓ ประเภท คอื (๑) งานเทศกาล ได้แก่ งานนมสั การปชู นยี วัตถุ ปูชนียสถาน หรืองานประเพณีที่มกี ารออกร้านและมหรสพ ซง่ึ เปน็ งานประจาปี (๒) งานมหกรรม ได้แก่งานฉลองหรืองานกุศล ท่ีมีการออกร้านหรือมหรสพซง่ึ จดั ขึ้นเปน็ คร้งั คราว (๓) งานชุมนมุ ไดแ้ ก่งานที่วดั จัดขึ้นเอง หรอื มีผู้ขอจดั ข้นึ ภายในวดั ขอ้ ๖ การจดั งานวดั ทุกประเภท จะตอ้ งให้เป็นไปดว้ ยความเรยี บรอ้ ย ไมข่ ดั ต่อพระธรรมวินยั ศีลธรรม กฎหมาย และระเบียบ หรอื คาสัง่ ของผ้บู ังคับบญั ชา ข้อ ๗ การจดั งานวัดทุกประเภท หา้ มมิใหม้ ี (๑) การแสดงใด ๆ อนั เปน็ การลบหลดู่ หู มิ่นพระพุทธ พระธรรม หรอื พระสงฆ์ (๒) การพนนั และการหารายได้โดยวิธเี สย่ี งโชคเลยี นแบบการพนัน (๓) การเต้นรา ราวง และการแสดงภาพนงิ่ หรือภาพยนตรล์ ามกอนาจาร (๔) การแสดงระบาหรอื การแสดงอย่างอ่นื ท่เี ป็นการยว่ั ยุกามารมณ์ (๕) การแขง่ ขันมวย การทรมานสัตว์ เช่น กัดปลา ชนไก่ ชนโค เป็นต้น (๖) การจาหน่ายสุราเมรยั และการเลี้ยงสุราเมรัย (๗) การประกวดสาวงามและการแสดงการแต่งกายทขี่ ดั ต่อศลี ธรรมและวฒั นธรรม หมวด ๒ งานเทศกาล ข้อ ๘ ในการจัดงานเทศกาลของวัด ให้มีกรรมการจัดงานคณะหนึ่งอย่างน้อย ๗ คนมีหนา้ ท่วี างโครงการและดาเนินการใหเ้ ป็นไปตามระเบียบมหาเถรสมาคมนี้ ข้อ ๙ คณะกรรมการจดั งานเทศกาลของวัดดังกล่าวในข้อ ๘ ประกอบด้วย (๑) กรรมการโดยตาแหน่ง ได้แก่ เจ้าอาวาสวัดน้ันเป็นประธานกรรมการ และเจา้ หน้าที่ฝ่ายบ้านเมืองหรอื ผแู้ ทน และถ้า (ก) งานมีกาหนดตั้งแต่ ๓ วันข้ึนไป ให้เจา้ คณะตาบลหรือผู้แทนเป็นทป่ี รึกษา (ข) งานกาหนดต้ังแต่ ๕ วนั ข้นึ ไป ให้เจา้ คณะอาเภอหรอื ผูแ้ ทนเปน็ ท่ีปรึกษา (ค) งานมกี าหนดต้ังแต่ ๗ วนั ขน้ึ ไป ให้เจา้ คณะจังหวดั หรอื ผู้แทนเป็นที่ปรกึ ษาและอธิบดีกรมการศาสนา หรือผู้แทนเข้ารว่ มด้วย (๒) กรรมการโดยการแต่งตั้ง ไดแ้ กพ่ ระภกิ ษุในวัดนน้ั อุบาสกอุบาสิกาผู้บารุงวัดนั้นหรอื บรรพชิต หรือคฤหสั ถ์อน่ื ทเ่ี จ้าอาวาสวัดนนั้ แตง่ ต้ัง (๓) ถา้ เป็นการสมควร เจา้ อาวาสจะเชญิ บุคคลอืน่ เป็นกรรมการอีกคณะหนึ่งก็ได้ ๑๓๕ คมู่ ือพระสังฆาธกิ าร
ข้อ ๑๐ ในโครงการจดั งานเทศกาลดงั กล่าวในขอ้ ๘ ให้ระบุ (๑) รายนามกรรมการจดั งาน (๒) วตั ถุประสงค์ของการจดั งาน (๓) กาหนดวันเวลาท่จี ัดงาน (๔) ประเภทมหรสพทว่ี ัดจะจดั ให้มาแสดงในงาน (๕) ประเภทการแสดงท่วี ดั จะนาออกแสดงในงาน (๖) ประเภทการประกวดแข่งขันทว่ี ัดจะจัดขึ้นในงาน (๗) ประเภทผลประโยชน์ท่ีวดั จะได้จากการจัดงาน (๘) รายการอนื่ ทส่ี มควรจะรายงานให้ทราบ ข้อ ๑๑ ใหเ้ จ้าอาวาสเสนอโครงการจัดงานเทศกาล ขออนุญาตต่อผู้บังคบั บญั ชา ดงั นี้ (ก) งานมกี าหนดต้ังแต่ ๓ วันขึน้ ไป ให้ขออนุญาตต่อเจ้าคณะอาเภอ (ข) งานมีกาหนดต้ังแต่ ๕ วนั ข้ึนไป ใหข้ ออนญุ าตต่อเจ้าคณะจังหวัด (ค) งานมกี าหนดต้ังแต่ ๗ วันข้นึ ไป ใหข้ ออนญุ าตต่อเจา้ เจ้าคณะภาค ทั้งน้ี นอกจากการขออนุญาตตามระเบียบแบบแผนของฝ่ายบ้านเมืองแล้วต้องได้รับอนญุ าตจากเจา้ คณะดังกลา่ วข้างตน้ จงึ จัดให้มีงานได้ ข้อ ๑๒ หา้ มมิใหด้ าเนนิ การดังต่อไปน้ี ในงานเทศกาลของวัด คือ (๑) กยู้ ืมเงนิ ผู้อื่นมาลงทนุ อันจะทาใหว้ ดั เกิดขอ้ ผูกพันชดใชห้ น้สี นิ (๒) ให้เอกชนผูกขาดการจดั งานเทศกาลทั้งหมดหรือส่วนใดสว่ นหนง่ึ ขอ้ ๑๓ ผลประโยชนจ์ ากงานเทศกาลของวดั ใด ใหเ้ ปน็ ศาสนสมบตั ิของวดั น้ัน การดูแลรักษา และการจัดผลประโยชน์จากงานเทศการของวัดให้ปฏิบัติตามวิธีการที่กาหนดในกฎกระทรวง ตามความในมาตรา ๔๐ แห่งพระราชบัญญัติคณะสงฆ์ พ.ศ. ๒๕๐๕ แก้ไขเพิ่มเติมโดยพระราชบญั ญตั ิคณะสงฆ์ (ฉบบั ที่ ๒) พ.ศ. ๒๕๓๕ ข้อ ๑๔ เม่ือเสร็จงานเทศกาลแล้ว ให้คณะกรรมการทารายงานผล พร้อมด้วยบัญชีแสดงประเภทรายได้รายจ่าย เสนอต่อผู้บังคับบัญชาตามลาดับ จนถึงเจ้าคณะผู้อนุญาตให้จัดงานเทศกาลน้ันภายใน ๖๐ วัน หมวด ๓ งานมหกรรม ขอ้ ๑๕ ในการจัดงานมหกรรม ซ่ึงมีวัตถุประสงค์เพื่อหารายได้บารุงวัด หรือบารุงกิจการใด ๆ ของวัด ให้จัดได้ไม่เกิน ๗ วัน ถ้ากาหนดงานต้ังแต่ ๕ วันข้ึนไปให้เจ้าอาวาสวัดนั้นแต่งตั้งกรรมการจัดงานข้ึนคณะหน่ึง ตามความในข้อ ๙ และให้ทาโครงการจัดงานตามความในข้อ ๑๐เสนอผู้บังคับบัญชาตามลาดับ เฉพาะงานมีกาหนดต้ังแต่ ๕ วันขึ้นไป ให้ขออนุญาตต่อเจ้าคณะจังหวัดถ้ามกี าหนดตง้ั แต่ ๗ วนั ขนึ้ ไป ให้ขออนุญาตต่อเจ้าคณะภาค เม่ือได้รับอนุญาตจากเจ้าคณะดังกล่าวแล้ว จงึ จัดใหม้ งี านได้ ๑๓๖ คมู่ ือพระสังฆาธิการ
ในการดาเนินงานมหกรรมดังกล่าวในวรรคแรก ใหน้ าความในขอ้ ๑๒ มาใช้บงั คับโดยอนุโลม ขอ้ ๑๖ เมอ่ื เสร็จงานมหกรรมตามความในข้อ ๑๕ แลว้ ให้รายงานผลการจัดงานตอ่ ผบู้ งั คับบัญชา โดยอนุโลมตามความในข้อ ๑๔ หมวด ๔ งานชุมนุม ข้อ ๑๗ ผู้ใดจะจัดงานชุมนุมในวัด ซึ่งมิใช่งานเทศกาล หรืองานมหกรรม ให้ผู้นั้นขออนุญาตตอ่ เจ้าอาวาส เมอ่ื เจ้าอาวาสอนญุ าตแลว้ จงึ จดั ได้ เว้นแตก่ รณที ีว่ ดั จดั ขน้ึ เอง ข้อ ๑๘ งานชุมนุมซ่ึงจัดขึ้นในบริเวณวัดได้ ต้องเป็นงานเก่ียวกับการบาเพ็ญกุศลทางพระพุทธศาสนา การส่งเสริมวัฒนธรรมอันดีงามของประชาชน การส่งเสริมการศึกษา การส่งเสริมศีลธรรม การส่งเสริมกิจการทางราชการ และการบาเพญ็ ศาสนกจิ ของบรรพชติ และคฤหสั ถ์ ข้อ ๑๙ ผู้ได้รับอนุญาตจากเจ้าอาวาสให้จัดงานชุมนุมในวัด จะต้องรับผิดชอบต่อวัดในกรณที ่ีทาให้เกิดความเสือ่ มเสยี แกว่ ดั หมวด ๕ เบ็ดเตล็ด ข้อ ๒๐ เจ้าอาวาสรูปใด ฝ่าฝืนระเบียบมหาเถรสมาคมนี้ ให้ถือว่าละเมิดจริยาพระสังฆาธิการและต้องได้รับโทษฐานละเมิดจริยาพระสังฆาธิการ ตามความในหมวด ๔ แห่งกฎมหาเถรสมาคมฉบับท่ี ๑๖ (พ.ศ. ๒๕๓๕) ว่าด้วยการแต่งตั้งถอดถอนพระสงั ฆาธกิ าร ประกาศ ณ วนั ที่ ๕ มถิ ุนายน พ.ศ. ๒๕๓๗ (สมเดจ็ พระญาณสังวร) สมเด็จพระสังฆราช สกลมหาสังฆปรนิ ายก ประธานกรรมการมหาเถรสมาคมหมายเหตุ :- เหตุผลในการประกาศใช้ระเบียบมหาเถรสมาคม ว่าด้วยการจัดงานวัด พ.ศ. ๒๕๓๗ เนื่องจากได้มีการยกเลิกมาตรา ๑๘ แห่งพระราชบัญญัติคณะสงฆ์ พ.ศ. ๒๕๐๕ ให้อานาจมหาเถรสมาคมตรากฎมหาเกรสมาคม ออกข้อบังคับ วางระเบียบ ออกคาสั่ง ออกประกาศมหาเถรสมาคม และมีบทบัญญัติกาหนดหน้าท่ีของมหาเถรสมาคมดังกล่าวใหม่ ตามมาตรา ๑๕ ตรี แห่งพระราชบัญญัติคณะสงฆ์ (ฉบับท่ี ๒)พ.ศ. ๒๕๓๕ จึงจาเปน็ ต้องออกระเบยี บมหาเถรสมาคมน้ี ๑๓๗ คู่มือพระสงั ฆาธกิ าร
ระเบยี บมหาเถรสมาคม วา่ ดว้ ยการขอพระราชทานพระบรมราชูปถัมภ์ พ.ศ. ๒๕๓๙ ---------------------------- อาศัยอานาจตามความในมาตรา ๑๕ ตรี แห่งพระราชบัญญัติคณะสงฆ์ พ.ศ.๒๕๐๕แก้ไขเพิ่มเติมโดยพระราชบัญญัติคณะสงฆ์ (ฉบับท่ี ๒) พ.ศ. ๒๕๓๕ มหาเถรสมาคมวางระเบียบไว้ดงั ต่อไปนี้ ข้อ ๑ ระเบียบมหาเถรสมาคมน้ี เรียกว่า “ระเบียบมหาเถรสมาคม ว่าด้วยการขอพระราชทานพระบรมราชูปถัมภ์ พ.ศ. ๒๕๓๙” ข้อ ๒ ระเบียบมหาเถรสมาคมน้ี ให้ใช้บังคับต้ังแต่วันถัดจากวันประกาศในแถลงการณ์คณะสงฆ์ เป็นต้นไป ขอ้ ๓ ตั้งแต่วันใช้ระเบียบน้ี ให้ยกเลิกระเบียบมหาเถรสมาคมว่าด้วยการขอพระราชทานพระบรมราชปู ถมั ภ์ พ.ศ. ๒๕๒๓ ขอ้ ๔ วดั ที่สมควรขอพระราชทานพระบรมราชูปถมั ภ์ ต้องมลี ักษณะทว่ั ไป ดังนี้ (๑) วัดที่มีเสนาสนะหรือปูชนียสถานท่ีได้รับการบูรณะปฏิสังขรณ์เป็นระเบียบเรียบรอ้ ยและเป็นหลกั ฐานม่ันคง หรือมีการพัฒนาวัดเปน็ ระเบยี บ สะอาด ร่มรน่ื (๒) ท่ดี นิ ท่ตี ้ังวัดมีบริเวณกวา้ งขวางพอสมควร ไม่คบั แคบเกินไป มคี วามปลอดภยัและการคมนาคมสะดวก (๓) ประชาชนบารุงวัดมีความพร้อมเพรียงสมานฉันท์ให้การสนับสนุนแก่วัดเป็นอยา่ งดี (๔) การปกครองพระภิกษุสามเณรภายในวัดเป็นระเบียบเรียบร้อยตามธรรมวินัยกฎหมาย กฎ ระเบยี บ คาส่ัง มติ และประกาศของมหาเถรสมาคม มีการจัดการศาสนศึกษาการศึกษาสงเคราะห์ การเผยแผ่พระพุทธศาสนา การสาธารณูปการ และการสาธารณสงเคราะห์ตามระเบียบแบบแผนของคณะสงฆเ์ ปน็ อยา่ งดี (๕) เจ้าอาวาสเป็นผู้ทรงเกียรติคุณเป็นท่ีเคารพนับถือของบรรพชิต และคฤหัสถ์ในถิ่นน้ัน ๑๓๘ คู่มอื พระสงั ฆาธกิ าร
ข้อ ๕ การขอพระราชทานอัญเชิญเสด็จพระราชดาเนินไปทรงประกอบพิธีตัดลูกนิมิตอุโบสถให้เจ้าอาวาสทารายงานเสนอเจ้าคณะผู้บังคับบัญชาตามลาดับช้ันและนายอาเภอ ผู้ว่าราชการจังหวัดและผู้บังคับบัญชาทหารในท้องถ่ินน้ัน (ถ้ามี) จนถึงเจ้าคณะใหญ่ตามแบบท้ายระเบียบนี้ พร้อมด้วยสาเนาประกาศพระราชทานวิสุงคามสีมา สาเนารายงานการประชุมของคณะกรรมการจัดงานวัดประวตั วิ ัด ประวตั ิเจา้ อาวาสปัจจุบนั และภาพถ่ายอุโบสถ อย่างละ ๒ ชุด ข้อ ๖ การขอพระราชทานอัญเชิญเสด็จพระราชดาเนินไปทรงประกอบพิธียกช่อฟ้าอุโบสถ วิหาร หรือศาลาการเปรียญ ทรงเททองหล่อพระพุทธรูป หรือทรงประกอบพิธีอ่ืน ๆ ให้เจ้าอาวาสทารายงานเสนอเจ้าคณะผู้บังคับบัญชา ตามลาดับชั้นและนายอาเภอ ผู้ว่าราชการจังหวัด และผู้บังคับบัญชาทหารในท้องถิ่นนั้น (ถ้ามี) จนถึงเจ้าคณะใหญ่ ตามแบบท้ายระเบียบนี้ พร้อมด้วยสาเนารายงานการประชุมของคณะกรรมการจัดงานวัด ประวัติวัด ประวัติเจ้าอาวาสปัจจุบันภาพถ่ายอโุ บสถหรอื เสนาสนะ อยา่ งละ ๒ ชุด ข้อ ๗ การขอพระราชทานพระบรมราชานุญาตอัญเชิญอักษรพระปรมาภิไธย หรืออักษรพระนามาภิไธย เพื่อประดิษฐานที่หน้าบันอุโบสถ หรือเสนาสนะอื่นใด หรือบนผ้าทิพย์ของพระพุทธรูปให้เจ้าอาวาสทารายงานเสนอเจ้าคณะผู้บังคับบัญชาตามลาดับชั้น จนถึงเจ้าคณะใหญ่ตามแบบท้ายระเบียบน้ี พร้อมด้วยประวัติวัด ซึ่งมีหลักฐานการเสด็จพระราชดาเนิน หรือทรงเกี่ยวข้องโดยตรงกับวัดน้ีในอดีต ประวัติวัด ประวัติเจ้าอาวาสปัจจุบัน พร้อมภาพถ่ายอุโบสถ เสนาสนะหรือพระพทุ ธรูป อยา่ งละ ๒ ชดุ ขอ้ ๘ การขอพระราชทานนามพระพุทธรูปหรือนามศาสนวัตถุ หรือศาสนสถาน ให้เจ้าอาวาสทารายงานเสนอเจ้าคณะผู้บังคับบัญชาตามลาดับชั้น จนถึงเจ้าคณะใหญ่ พร้อมด้วยประวัติการสร้างและภาพถ่ายพระพุทธรูป หรือศาสนวัตถุ หรือศาสนสถานนั้น ประวัติวัด ประวัติเจ้าอาวาสปจั จบุ ันพร้อมภาพถา่ ยพระพุทธรปู ศาสนวัตถุ หรือศาสนสถาน อย่างละ ๒ ชดุ ข้อ ๙ รายงานการขอพระราชทานพระบรมราชูปถัมภ์ ตามข้อ ๕ หรือข้อ ๖ ให้เจ้าคณะผู้บังคับบัญชาตามลาดับช้ัน และนายอาเภอ ผู้ว่าราชการจังหวัด และผู้บังคับบัญชาทหารในท้องถิ่นนั้น (ถ้ามี) พิจารณาให้ความเห็นชอบ หรือความเห็นสมควรสนับสนุนในการขอพระราชทานอัญเชิญเสด็จพระราชดาเนิน และตามข้อ ๗ หรือข้อ ๘ ให้เจ้าคณะผู้บังคับบัญชาตามลาดับชั้นพิจารณาให้ความเห็นชอบหรือความเห็นควรสนับสนุนในการขอพระราชทานลงในรายงานนั้นแล้วให้เจ้าคณะใหญ่ส่งรายงานนั้นพร้อมด้วยเอกสารหลักฐานประกอบท้ัง ๒ ชุด ไปยังกรมการศาสนาก่อนกาหนด ๖๐ วัน ถ้าพิจารณาไม่เห็นชอบด้วย หรือไม่เห็นสมควรก็ให้ระงับเสีย หรือจะส่ังการตามแตจ่ ะเห็นสมควร ๑๓๙ คูม่ อื พระสงั ฆาธกิ าร
ข้อ ๑๐ เม่ือกรมการศาสนารับรายงานขอพระราชทานพระบรมราชูปถัมภ์ตามข้อ ๙ แล้วให้ดาเนินการต่อไป หากเห็นว่ามีความจาเป็น อาจส่งเจ้าหน้าท่ีไปตรวจสอบยังสถานท่ีนั้นอีกทางหน่ึงกอ่ นจะพจิ ารณาดาเนินการเสนอความเห็นไปยงั สานักราชเลขาธิการกไ็ ด้ ข้อ ๑๑ เม่ือกรมการศาสนาได้รับแจ้งผลการขอพระราชทานจากสานักราชเลขาธิการแล้วให้กรมการศาสนาแจ้งผู้ว่าราชการจังหวัด และผู้บังคับบัญชาทหารในท้องถ่ินน้ัน (ถ้ามี) นมัสการเจ้าคณะใหญ่และเจ้าคณะภาคเพ่ือทราบ และนมัสการเจ้าคณะจังหวัดเพื่อแจ้งเจ้าอาวาสผู้ขอพระราชทานทราบ วัดท่ีขอพระราชทานตามระเบียบน้ี จะดาเนินการโฆษณาประชาสัมพันธ์ หรือจะดาเนินการอยา่ งหนง่ึ อย่างใดไมไ่ ด้ จนกวา่ จะไดร้ บั แจง้ ผลการขอพระราชทานตามความในวรรคตน้ ก่อน ประกาศ ณ วนั ที่ ๓ เดือนมิถนุ ายน พ.ศ. ๒๕๓๙ (สมเด็จพระญาณสังวร) สมเดจ็ พระสงั ฆราช สกลมหาสงั ฆปรณิ ายก ประธานกรรมการมหาเถรสมาคม ๑๔๐ คู่มือพระสงั ฆาธิการ
(แบบรายงานการขอพระราชทานพระบรมราชูปถัมภ์) เขียนที่ ……………...............……………… วันท่ี……...เดอื น……...........……….พ.ศ….…….....เรื่อง ขอพระราชทานพระบรมราชูปถัมภ์เรียน เจา้ คณะตาบล……………………………………….สิง่ ทส่ี ่งมาดว้ ย ๑…………………………..........................……………….………….……....จานวน ๒ ชุด ๒…………………………………….........................……………..…………..จานวน ๒ ชุด ๓………………………………………………….….........................…..…….จานวน ๒ ชุด ๔……………………………………………….………..........................……..จานวน ๒ ชุด กระผม พระ....................................................เจ้าอาวาสวัด……………….........………….ต้ังอยู่ที่……………........................……ตาบล………...........…….…………..อาเภอ………….…………….……….จังหวัด……….....................………......…………….มีความประสงค์……......……………..……………………….………………………………………………….............………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………….……………………………………………………………………………………………………………………………………................. …………………………………….…………ระหว่างวันท่ี……….………………………………………………...................................………………………………และในการน้ี ทางวดั และคณะกรรมการจดั งานวดั เหน็ สมควร ๑.ขอพระราชทานอัญเชิญ……………………………….......................….………………..…..….………………………………………………………………………………………….....................................……..…………………………………………………………………………………………..................................... …………………เสด็จพระราชดาเนินไปทรงประกอบพิธี…………………………….......................…………………..…….…….………………………………………………………………... ... ... ... ... ... .. ... ... ... . .. ... .. ………………………………..….…ณ วดั ดงั กล่าว ส่วนกาหนดการและเวลาใด สดุ แต่จะทรงพระกรณุ าโปรด ๒. ขอพระราชทานพระบรมราชานุญาตเชิญอักษรพระปรมาภิไธย หรืออักษรพระนา มา ภิไธ ย……………………………...………(ระบุ) เพื่อประดิษฐานท่ี…………..………………………..……………………………………...................................…………………………………………………………...…….…......................................................................................................................................................................................................................................................................................................... ๑๔๑ ค่มู อื พระสงั ฆาธกิ าร
๓. ขอพระราชทานนามพระพุทธรูป หรือนามศาสนวัตถุ หรือนามศาสนสถานให้แนบสาเนาเอกสารตามระเบียบมหาเถรสมาคม เร่ือง การขอพระราชทานพระบรมราชูปถัมภ์พร้อมกับประวัติวัด ประวัติเจ้าอาวาสปัจจุบัน และภาพถ่าย จานวน ๒ ชุด มาพร้อมกับรายงานนี้ดว้ ยแลว้ เรียนมาดว้ ยความเคารพ …………………...................………………… (……………..................……………………..) เจา้ อาวาสวัด.........................................บันทึกความเห็นของเจา้ คณะตาบล………………………………………………………………………………………....................................................…………………………………………………………………………....................................………………………………………………………………………………....................................……………………………………………………………….........…… (……………..................……………………..) เจ้าคณะตาบล.......................................บันทึกความเห็นของเจา้ คณะอาเภอ………………………………………………………………………………………....................................………................…………………………………………………………………....................................………………………………………………………………………………....................................……………………………………………………………………........ (……………..................……………………..) เจา้ คณะอาเภอ..................................... ๑๔๒ คู่มอื พระสังฆาธกิ าร
บันทึกความเห็นของนายอาเภอ………………………………………………………………………………………..............................................…………………………………………………………………………...........................................……………………………………………………………………………….................................... …………………………………………………………………… (……………..................……………………..) นายอาเภอ...........................................บันทึกความเห็นของเจา้ คณะจังหวดั………………………………………………………………………………………....................................…………………………………………………………………………....................................………………………………………………………………………………....................................…………………………………………………………………… (……………..................……………………..) เจา้ คณะจงั หวัด.......................................บันทึกความเห็นของผู้วา่ ราชการจังหวัด………………………………………………………………………………………....................................…………………………………………………………………………....................................………………………………………………………………………………....................................…………………………………………………………………… (……………..................……………………..) ผู้วา่ ราชการจังหวัด................................ ๑๔๓ คมู่ อื พระสงั ฆาธกิ าร
บันทึกความเห็นของผบู้ งั คับบัญชาทหาร (ถ้ามี)………………………………………………………………………………………....................................…………………………………………………………………………....................................………………………………………………………………………………....................................…………………………………………………………………… (……………..................……………………..) ตาแหนง่ ...............................................บนั ทึกความเหน็ ของเจา้ คณะภาค………………………………………………………………………………………....................................…………………………………………………………………………....................................………………………………………………………………………………....................................…………………………………………………………………… (……………..................……………………..) เจา้ คณะภาค.......................................บันทกึ ความเหน็ ของเจ้าคณะใหญ่………………………………………………………………………………………....................................…………………………………………………………………………....................................………………………………………………………………...................……........................................................................................................……… (……………..................……………………..) เจา้ คณะใหญ.่ ....................................... ๑๔๔ คมู่ อื พระสังฆาธิการ
Search
Read the Text Version
- 1
- 2
- 3
- 4
- 5
- 6
- 7
- 8
- 9
- 10
- 11
- 12
- 13
- 14
- 15
- 16
- 17
- 18
- 19
- 20
- 21
- 22
- 23
- 24
- 25
- 26
- 27
- 28
- 29
- 30
- 31
- 32
- 33
- 34
- 35
- 36
- 37
- 38
- 39
- 40
- 41
- 42
- 43
- 44
- 45
- 46
- 47
- 48
- 49
- 50
- 51
- 52
- 53
- 54
- 55
- 56
- 57
- 58
- 59
- 60
- 61
- 62
- 63
- 64
- 65
- 66
- 67
- 68
- 69
- 70
- 71
- 72
- 73
- 74
- 75
- 76
- 77
- 78
- 79
- 80
- 81
- 82
- 83
- 84
- 85
- 86
- 87
- 88
- 89
- 90
- 91
- 92
- 93
- 94
- 95
- 96
- 97
- 98
- 99
- 100
- 101
- 102
- 103
- 104
- 105
- 106
- 107
- 108
- 109
- 110
- 111
- 112
- 113
- 114
- 115
- 116
- 117
- 118
- 119
- 120
- 121
- 122
- 123
- 124
- 125
- 126
- 127
- 128
- 129
- 130
- 131
- 132
- 133
- 134
- 135
- 136
- 137
- 138
- 139
- 140
- 141
- 142
- 143
- 144
- 145
- 146
- 147
- 148
- 149
- 150
- 151
- 152
- 153
- 154
- 155
- 156
- 157
- 158
- 159
- 160
- 161
- 162
- 163
- 164
- 165
- 166
- 167
- 168
- 169
- 170
- 171
- 172
- 173
- 174
- 175
- 176
- 177
- 178
- 179
- 180
- 181
- 182
- 183
- 184
- 185
- 186
- 187
- 188
- 189
- 190
- 191
- 192
- 193
- 194
- 195
- 196
- 197
- 198
- 199
- 200
- 201
- 202
- 203
- 204
- 205
- 206
- 207
- 208
- 209
- 210
- 211
- 212
- 213
- 214
- 215
- 216
- 217
- 218
- 219
- 220
- 221
- 222
- 223
- 224
- 225
- 226
- 227
- 228
- 229
- 230
- 231
- 232
- 233
- 234
- 235
- 236
- 237
- 238
- 239
- 240
- 241
- 242
- 243
- 244
- 245
- 246