Important Announcement
PubHTML5 Scheduled Server Maintenance on (GMT) Sunday, June 26th, 2:00 am - 8:00 am.
PubHTML5 site will be inoperative during the times indicated!

20

Published by pramahabancha, 2018-07-04 00:05:17

Description: 20

Search

Read the Text Version

มติมหาเถรสมาคม ครัง้ ที่ ๘/๒๕๔๖ สานกั เลขาธกิ ารมหาเถรสมาคมมตทิ ี่ ๑๒๕/๒๕๔๖เรอ่ื ง เชญิ ชวนชาวพุทธรว่ มใจต้านภยั ยาเสพตดิ ในการประชุมมหาเถรสมาคมคร้ังท่ี ๘/๒๕๔๖ เมื่อวันท่ี ๓๑ มีนาคม ๒๕๔๖ เลขาธิการมหาเถรสมาคมเสนอว่า ตามมติที่ประชุมมหาเถรสมาคมได้พิจารณา เรื่อง การตรวจการณ์คณะสงฆ์โดยไดก้ าหนดการจัดประชุมพระสังฆาธกิ ารไว้ ดงั น้ี ๑. ให้เจ้าคณะใหญ่จัดประชมุ เจา้ คณะภาค รองเจา้ คณะภาค และเลขานุการ ปลี ะ ๒ ครั้ง ๆ ละ๑ วนั โดยเริม่ เดอื นมนี าคม ส่วนคร้ังตอ่ ไปสุดแต่กาหนดตามความเหมาะสม ๒. ให้เจ้าคณะภาคจัดประชุมเจ้าคณะจังหวัด รองเจ้าคณะจังหวัดและเลขานุการ ปีละ๒ ครงั้ ๆ ละ ๑ วนั ๓. ให้เจ้าคณะจังหวัดจัดประชุมเจ้าคณะอาเภอ รองเจ้าคณะอาเภอ เจ้าคณะตาบลรองเจา้ คณะตาบล และเลขานกุ าร ปลี ะ ๒ ครั้ง ๆ ละ ๑ วัน ๔. ให้เจ้าคณะภาคร่วมกับเจ้าคณะจังหวัดจัดประชุมเจ้าอาวาส รองเจ้าอาวาส และผู้ชว่ ยเจ้าอาวาส ปีละ ๑ คร้งั ๆ ละ ๑ วนั เมื่อดาเนินการเสร็จแล้วให้รายงานมหาเถรสมาคมทราบ โดยผ่านเจ้าคณะผู้ปกครองตามลาดับ น้นั สานักงานพระพุทธศาสนาแห่งชาติพิจารณาเห็นว่า ตามท่ีมหาเถรสมาคมได้รับทราบให้สานักงานพระพุทธศาสนาแห่งชาติเชิญชวนพุทธศาสนิกชนร่วมใจต้านภัยยาเสพติด ด้วยการปฏิบัติตามแนวศีล ๕ โดยขอความร่วมมือวัดทุกวัดทั่วราชอาณาจักร ช่วยอบรม แนะนา สั่งสอน ตลอดจนจดั ทาป้ายในวดั เพอ่ื ชักชวนให้ประชาชนปฏบิ ัตติ ามแนวศีล ๕ อยา่ งจรงิ จงั แล้วนนั้ อย่างไรก็ตาม การท่ีจะช่วยในการป้องกันแก้ไขปัญหาของบ้านเมืองให้ประสบผลสาเร็จอย่างจริงจังได้น้ัน จะต้องได้รับความร่วมมือจากหลาย ๆ ฝ่าย โดยเฉพาะพระสงฆ์สามารถให้ความ ๑๙๕ คู่มอื พระสงั ฆาธิการ

ร่วมมือกบั รัฐบาลได้ โดยการชว่ ยอนุเคราะห์ในการปลูกฝงั อบรม แนะนา ส่ังสอน ตลอดจนจัดทาป้ายในวัดเพอื่ รณรงคช์ ักชวนให้ประชาชนปฏิบัติตามแนวศีล ๕ อย่างจริงจังให้เป็นท่ียอมรับกันในสังคมว่าศีล ๕ เป็นข้อปฏิบัติข้ันพื้นฐานของพุทธศาสนิกชนทุกคนก็จะสามารถช่วยในการป้องกันแก้ไขปัญหาของบ้านเมืองดังกล่าวให้ประสบผลสาเร็จได้แบบย่ังยืนเพราะเป็นการแก้ไขปัญหาท่ีบุคคล ซึ่งเป็นสาเหตุของปัญหา โดยสานักงานพระพุทธศาสนาแห่งชาติจะมีหนังสือนมัสการขอความร่วมมือจากคณะสงฆท์ กุ วัดทัว่ ราชอาณาจักรเพ่อื ดาเนนิ การในเรอื่ งนพี้ รอ้ มทั้งจกั ได้จัดทาคู่มือการดาเนินงานถวายต่อไป ทป่ี ระชมุ รบั ทราบ (นายสุทธิวงศ์ ตันตยาพิศาลสทุ ธ์)ิ รองอธบิ ดีกรมการศาสนา รกั ษาการแทน ผอู้ านวยการสานักงานพระพุทธศาสนาแหง่ ชาติ ๑๙๖ ค่มู อื พระสงั ฆาธิการ

มติมหาเถรสมาคม ครงั้ ที่ ๒๐/๒๕๔๖ สานกั เลขาธกิ ารมหาเถรสมาคมมติที่ ๓๖๕/๒๕๔๖เรอ่ื ง การใชค้ านาหนา้ นามของพระภิกษสุ ามเณร ในการประชุมมหาเถรสมาคม ครั้งท่ี ๒๐/๒๕๔๖ เม่ือวันที่ ๑๑ สิงหาคม ๒๕๔๖ เลขาธิการมหาเถรสมาคมเสนอว่า ตามท่ีปรากฏว่า สานักทะเบียนกลาง กรมการปกครอง กระทรวงมหาดไทยออกแบบรับรองรายการทะเบียนราษฎรจากฐานข้อมูลจากทะเบียน โดยใช้คาว่านาย นาหน้า นาม-ฉายาของพระสงฆ์ อาทิ พระเมธีธรรมาจารย์ เจ้าคณะกรุงเทพมหานคร วัดมหาธาตุฯ กรุงเทพมหานครถูกแก้ไขเป็นนายเมธีธรรมาจารย์ ผ่องสุภาพ และกรมการปกครองได้มีหนังสือขอข้อมูลเกี่ยวกับสมณศกั ดิ์ ความคิดเหน็ เก่ียวกับการใชค้ านาหน้านามของพระภิกษุสามเณรนนั้ สานักงานพระพุทธศาสนาแห่งชาติ ได้ร่วมประชุมปรึกษาหารือเป็นการภายในกับเจ้าหน้าท่ีสานักทะเบยี นกลางแล้ว ไดข้ อ้ สรุปเบอ้ื งตน้ ดงั นี้ ๑. การระบสุ มณศักดิ์ทีไ่ ด้รับพระราชทานของพระภิกษุในทะเบียนราษฎรของวัดให้พจิ ารณาดาเนนิ การตามหลักฐานหนงั สือสทุ ธิประกอบกบั หลักฐานการไดร้ บั พระราชทานสมณศักดิ์ของพระภิกษุและเพ่ือประโยชน์ในการบริหารงานทะเบยี นราษฎร ให้ระบุช่ือตัว ชือ่ สกลุ ของพระภกิ ษปุ ระกอบดว้ ยโดยวงเล็บต่อทา้ ยสมณศักดิท์ ี่ได้รบั พระราชทาน ๒. การใช้คานาหน้านามพระภกิ ษุทีไ่ ม่เคยได้รบั พระราชทานสมณศักดิ์ในทะเบียนราษฎรของวดั ใหใ้ ช้คาวา่ “พระ” เปน็ คานาหนา้ นาม โดยให้ใชค้ าว่า “พระ” แลว้ ตามด้วยชื่อตัว ช่อื สกุลของพระภิกษุ ๓. การใช้คานาหน้านามของสามเณรในทะเบียนราษฎรของวัด ให้ใช้คาว่า “สามเณร” เป็นคานาหน้านาม โดยใหใ้ ช้คาวา่ “สามเณร” แลว้ ตามด้วย ชอื่ ตัว ชื่อสกุล ของสามเณร สานักทะเบียนกลางจะได้ดาเนินการตรวจสอบทะเบียนราษฎรของวัดในพ้ืนที่ หากพบว่ามีข้อบกพร่อง หรือมีการลงรายการที่ไม่สอดคล้องตามข้อสรุปน้ี จะได้ดาเนินการปรับปรุงแก้ไขให้ถูกต้องท้ังนี้ ในการดาเนินการปรับปรุงแก้ไขรายการจะปฏิบัติด้วยความระมัดระวัง มิให้พระภิกษุสามเณรไดร้ บั ความเดือดรอ้ น ๑๙๗ คูม่ ือพระสงั ฆาธกิ าร

สานักงานพระพุทธศาสนาแห่งชาติพิจารณาแล้ว เห็นควรนาเสนอมหาเถรสมาคมเพื่อโปรดพิจารณาและขอดาเนนิ การทันที โดยไมต่ ้องรอรบั รองรายงานการประชุม ทปี่ ระชุมพจิ ารณาแล้วลงมติให้ความเหน็ ชอบ และให้ดาเนินการไดท้ ันที โดยไมต่ ้องรอรับรองรายงานการประชุม (นายสทุ ธิวงศ์ ตันตยาพิศาลสทุ ธ์)ิ เลขาธกิ ารมหาเถรสมาคม ๑๙๘ คมู่ ือพระสังฆาธกิ าร

มติมหาเถรสมาคม ครัง้ ที่ ๗/๒๕๔๗ สานกั เลขาธกิ ารมหาเถรสมาคมมติท่ี ๙๑/๒๕๔๗เรือ่ ง การโฆษณาพระพุทธรูป/พระเคร่อื งและวตั ถุมงคลในส่อื หนังสือพมิ พ์ สือ่ สง่ิ พิมพ์ และสื่อวิทยุโทรทัศน์ ในการประชุมมหาเถรสมาคม คร้ังที่ ๗/๒๕๔๗ เมื่อวันท่ี ๑๐ มีนาคม ๒๕๔๗ เลขาธิการมหาเถรสมาคมเสนอว่า ในคราวประชุมเร่ือง “การโฆษณาในส่ือหนังสือพิมพ์ สิ่งพิมพ์ และในส่ือวิทยุโทรทัศน์” ครั้งที่ ๑/๒๕๔๗ เม่อื วนั พธุ ที่ ๓ มนี าคม ๒๕๔๗ ณ ห้องประชุม ๓๐๑ ตึกบัญชาการ ชั้น ๓ทาเนียบรัฐบาล โดยมี นายวิษณุ เครืองาม รองนายกรัฐมนตรี เป็นประธาน ที่ประชุมได้ปรารภถึงการโฆษณาและการเรี่ยไรท่ีอวดอ้างสรรพคุณเกินสภาพที่น่าจะเป็นการชวนเชื่อ และใช้สื่อเพื่อแสวงหาประโยชนส์ ่วนตนมากกว่าจะเป็นประโยชน์สว่ นรวม ดงั น้ี ๑. การโฆษณาสรรพคุณพระบูชาและวัตถุมงคล โดยอ้างแหล่งที่มาของวัสดุท่ีนามาสร้างพระบชู าและวัตถมุ งคล จานวนพระบูชาและวัตถุมงคล ท่ีนามาจาหน่ายหรือแลกเปลี่ยนหรือมอบเป็นของท่ีระลึก โดยไม่รู้จักหมด ตลอดถึงอ้างอิทธิฤทธ์ิปาฏิหาริย์ต่าง ๆ อาจเข้าข่ายการโฆษณาชวนเชื่อซ่ึงหมน่ิ เหม่ต่อการอวดอตุ รมิ นุสสธรรม และเข้าลักษณะเบ่ียงเบนหลักพระสัทธรรม คือ ปริยัติ ปฏิบัติและปฏิเวธ ได้ ๒. การใช้สือ่ ตา่ ง ๆ ในการเรี่ยไร โดยไม่คานึงถึงหลกั ธรรมคาสงั่ สอนที่แท้จริงของพระพุทธ-ศาสนา มุ่งแต่ประโยชน์ส่วนตนหรอื กล่มุ บุคคล มากกว่ามุ่งการเผยแผ่ พระพุทธศาสนา ๓. การนาเอาพระพุทธรูปหรือสัญลักษณ์ทางพระพุทธศาสนา มาวางบริเวณทางเท้าหรือข้างถนน ที่คนเดินผ่านไป-มา ควรที่จะมีกฎหมายหรือกฎระเบียบห้าม และกาหนดให้มีการปฏิบัติที่ชดั เจน ในการน้ี ที่ประชุมไดส้ รปุ เป็นมติให้สานักงานพระพุทธศาสนาแหง่ ชาติดาเนินการ ดังน้ี ๑. นาสาระการประชมุ เสนอมหาเถรสมาคมเพ่ือทราบ ๒. ขอให้มหาเถรสมาคมมีมาตรการป้องกันและลงโทษพระสังฆาธิการ ผู้ฝ่าฝืนคาสั่ง มติหรือประกาศของมหาเถรสมาคม เร่ือง ควบคุมการเรี่ยไร การอวดอ้างคุณวิเศษ การทาเสน่ห์ยาแฝดโดยใหถ้ อื ปฏบิ ัติอย่างเคร่งครัด ๑๙๙ คมู่ ือพระสังฆาธิการ

๓. หากผู้จัดทาพระบูชาหรือวัตถุมงคลเป็นคฤหัสถ์ ขอให้พระสังฆาธิการช่วยกันสอดส่องดูแล แจง้ เจ้าหนา้ ที่ฝา่ ยบา้ นเมอื งดาเนนิ การตามกฎหมายตอ่ ไป ๔. ขอให้มีมาตรการควบคุมการเผยแพร่หรือโฆษณา การจัดสร้างพระบูชาหรือวัตถุมงคลทางสื่อหนงั สอื พมิ พ์ สอื่ สงิ่ พิมพ์ หรอื สอื่ วิทยุโทรทัศน์ ๕. กาหนดให้มีการควบคุมพระภิกษุที่จัดรายการธรรมะตามสถานีวิทยุต่าง ๆ อย่างใกล้ชิดเพอ่ื ใหม้ ีการเผยแผ่พทุ ธธรรมอยา่ งถูกตอ้ งชัดเจน ทป่ี ระชมุ พจิ ารณาแล้วลงมติว่า ให้สานักงานพระพุทธศาสนาแห่งชาติรวบรวมคาสั่งมหาเถร-สมาคม มติมหาเถรสมาคม และประกาศของคณะสงฆ์ ที่เก่ียวข้องกับเร่ืองดังกล่าว แจ้งเจ้าคณะจังหวัดทกุ จงั หวดั เพอ่ื แจง้ วัดในเขตปกครองทราบและปฏิบตั อิ ยา่ งเครง่ ครัดต่อไป พลตารวจโท (อดุ ม เจริญ) เลขาธกิ ารมหาเถรสมาคม ๒๐๐ คมู่ อื พระสงั ฆาธกิ าร

มติมหาเถรสมาคม ครั้งท่ี ๘/๒๕๔๗ สานักเลขาธกิ ารมหาเถรสมาคมมตทิ ี่ ๑๑๙/๒๕๔๗เรอื่ ง กรณเี จา้ อาวาสวัดต่าง ๆ ถูกเจา้ หน้ีฟ้องเป็นคดใี นศาล ในการประชุมมหาเถรสมาคม ครั้งที่ ๘/๒๕๔๗ เม่ือวันที่ ๑๙ มีนาคม ๒๕๔๗ เลขาธิการมหาเถรสมาคมเสนอว่า ปัจจุบันมีวัดเป็นจานวนมากทาการก่อสร้างถาวรวัตถุภายในวัด โดยวิธีการขอสินเชื่อวัสดุก่อสร้างกับบริษัทหรือร้านค้าขายวัสดุก่อสร้างต่าง ๆ ซึ่งบริษัทหรือร้านค้าจะให้สินเช่ือกับทางวัด เพราะสว่ นใหญ่จะสนิทสนมและความเช่ือถือซึ่งกันและกัน และได้ทาการค้าขายกับวัดเป็นเวลานาน รวมท้ังมีกรรมการวัดเป็นพยานในการซ้ือเชื่อวัสดุก่อสร้าง หลังจากวิกฤติเศรษฐกิจ ทาให้รายได้ของวัดลดน้อยลงจากเดิม อาทิ ดอกเบ้ีย เงินกฐิน ผ้าป่า รวมท้ังผู้บริจาค ซึ่งบริษัทหรือร้านค้าเข้าใจในเร่ืองดังกล่าวดี ในช่วงระหว่างทาการก่อสร้างหรือก่อสร้างเสร็จแล้ว วัดยังชาระค่าวัสดุก่อสร้างยังไม่ครบถ้วน หรือเจ้าอาวาสพ้นจากตาแหน่งเจ้าอาวาส เพราะถึงมรณภาพ ลาสิกขา หรือย้ายไปอยู่วัดอ่ืน วัดก็คงเป็นลูกหน้ี เจ้าหน้ีก็ทาการฟ้องร้องต่อเจ้าคณะผู้ปกครองสงฆ์ ปัญหาส่วนใหญ่จะได้รบั การแก้ไข บางวัดไมส่ ามารถตกลงกันได้ เจา้ หน้จี งึ นาเรอื่ งไปฟอ้ งเป็นคดใี นศาล สานักงานพระพุทธศาสนาแห่งชาติพิจารณาแล้วเห็นว่า การที่วัดต่าง ๆ ถูกบริษัท ห้างร้านหรอื ร้านค้าขายวัสดุก่อสร้าง ฟ้องเป็นคดีในศาล เป็นการนาความเส่ือมเสียมาสู่คณะสงฆ์และสร้างมลทินให้แก่พระพุทธศาสนา ทั้งนี้ เม่ือวัดมีความประสงค์จะก่อสร้างอาคารเสนาสนะหรือศาสนวัตถุอ่ืนใดกค็ วรจัดทากาหนดแผนการใช้จ่ายเงิน รวมท้ังจัดเตรียมงบประมาณให้เพียงพอกับค่าก่อสร้าง หากวัดหรือเจ้าอาวาสไม่ยอมชาระหน้ี โดยอ้างเหตุผลต่าง ๆ และไม่สามารถตกลงกับเจ้าหน้ีได้ ก็จะเป็นตัวอย่างแก่วัดอื่นปฏิบัติตาม และสร้างความเดือดร้อนแก่พุทธศาสนิกชนท่ีทานิติกรรมกับทางวัดจึงเห็นควรกาชับให้วัดดาเนินการก่อสร้างตามงบประมาณที่ทางวัดเตรียมไว้ ไม่ควรไปก่อหน้ีหรือขอสินเชื่อเกินกว่างบประมาณท่ีทางวัดมีเพียงพอในการก่อสร้างน้ัน จึงเห็นควรนาเสนอมหาเถรสมาคมเพอ่ื โปรดพิจารณา ๒๐๑ คมู่ อื พระสงั ฆาธกิ าร

ท่ีประชุมพิจารณาแล้วลงมติว่า วัดใดมีความประสงค์จะดาเนินการก่อสร้างสิ่งใดขึ้นในวัดหรือนอกวัด ให้ปฏิบัติชอบด้วยพระธรรมวินัยและกฎหมายบ้านเมือง และให้สานักงานพระพุทธ -ศาสนาแห่งชาตแิ จ้งเจ้าคณะจังหวดั เพ่ือแจ้งวดั ทุกวัดในเขตปกครองไดท้ ราบ พลตารวจโท (อุดม เจรญิ ) เลขาธกิ ารมหาเถรสมาคม ๒๐๒ คูม่ อื พระสังฆาธกิ าร

มติมหาเถรสมาคม ครง้ั ที่ ๙/๒๕๔๗ สานักเลขาธกิ ารมหาเถรสมาคมมติที่ ๑๓๖/๒๕๔๗เร่ือง โจรกรรมและนาพระพทุ ธรูปออกขาย ในการประชุมมหาเถรสมาคม ครั้งท่ี ๙/๒๕๔๗ เมื่อวันที่ ๓๐ มีนาคม ๒๕๔๗ เลขาธิการมหาเถรสมาคมเสนอว่า ตามท่ีส่ือมวลชนได้ลงข่าว กรณีพระภิกษุได้ร่วมกับฆราวาสดาเนินการโจรกรรมพระพทุ ธรปู ตามวัดต่าง ๆ ทั้งในภาคเหนือและภาคกลางโดยนาไปขายและส่งออกในรูปเศียรพระพุทธรูปไปยังต่างประเทศเป็นจานวนมาก ประกอบกบั เจ้าพนกั งานตารวจได้กวดขันรวมทั้งขยายผลและล่อซื้อจงึ ทาให้สามารถจับกุมผู้กระทาผิดได้เป็นจานวนมาก สานักงานพระพุทธศาสนาแห่งชาติเห็นควรแจ้งเจา้ คณะผู้ปกครองในการให้วัดตา่ ง ๆ ระมัดระวงั ดูแลพระพุทธรูปและศาสนวัตถุในวัด โดยจัดทาบัญชีวัสดุครุภัณฑ์ รวมทั้งจัดทาหลักฐานเพ่ือสะดวกในการตรวจสอบและยื่นขอของกลางคืน หรือใช้เป็นแนวทางในการสบื สวนของเจา้ หน้าท่ีตารวจ ท่ีประชุมพิจารณาแล้วลงมติให้สานักงานพระพุทธศาสนาแห่งชาติแจ้งเจ้าคณะจังหวัดเพื่อแจ้งวัดทุกวัดในเขตปกครองได้ทราบและระมัดระวังดูแลพระพุทธรูปและศาสนวัตถุในวัดมิให้ถูกโจรกรรม พลตารวจโท (อดุ ม เจรญิ ) เลขาธิการมหาเถรสมาคม ๒๐๓ คมู่ ือพระสงั ฆาธิการ

มติมหาเถรสมาคม ครั้งท่ี ๙/๒๕๕๔ สานกั เลขาธกิ ารมหาเถรสมาคมมติท่ี ๔๒๙/๒๕๕๔เร่ือง ขอยก จังหวัดบึงกาฬ ขึน้ เป็นเขตปกครองจงั หวัดทางคณะสงฆ์เรียน ผ้อู านวยการสว่ นกิจการคณะสงฆ์ ในการประชุมมหาเถรสมาคมคร้ังที่ ๑๙/๒๕๕๔ เม่ือวันท่ี ๒๙ กรกฎาคม ๒๕๕๔ เลขาธิการมหาเถรสมาคมเสนอว่า สมเด็จพระพุฒาจารย์ เจ้าคณะใหญ่หนตะวันออก ได้มีลิขิต ที่ จญ.อ. ๗๒/๒๕๕๔ลงวันท่ี ๒๖ กรกฎาคม ๒๕๕๔ แจ้งตามรายงานของ พระพรหมเวที เจ้าคณะภาค ๘ ว่า ทางราชอาณาจักรไดม้ ีพระราชกฤษฎีกาให้แยก อาเภอบึงกาฬ อาเภอเซกา อาเภอโซ่พิสัย อาเภอบุ่งคล้า อาเภอบึงโขงหลงอาเภอปากคาด อาเภอพรเจริญ และอาเภอศรีวิไล ออกจากการปกครองของจังหวัดหนองคายรวมตงั้ ข้นึ เปน็ จังหวัดบึงกาฬ และประกาศในราชกิจจานุเบกษา เล่ม ๑๒๘ ตอนที่ ๑๘ ก เม่ือวันท่ี ๒๒มีนาคม ๒๕๕๔ เพ่อื ประโยชน์แก่การปกครอง และการใหบ้ ริการของรัฐแกป่ ระชาชน เจ้าคณะใหญ่หนตะวันออกพิจารณาแล้วเห็นว่า เพ่ือประโยชน์แก่การปกครองคณะสงฆ์สมควรยกจงั หวดั บงึ กาฬขึ้นเปน็ เขตปกครองจังหวดั ทางคณะสงฆ์ อนโุ ลมตามฝ่ายราชอาณาจกั ร การขอยก จังหวัดบึงกาฬ ขึ้นเป็นเขตปกครองจังหวัดทางคณะสงฆ์ ดังกล่าว ได้ปฏิบัติตามข้อ ๕ แห่งกฎมหาเถรสมาคม ฉบับท่ี ๑๔ (พ.ศ. ๒๕๓๕) ว่าด้วยจานวนและเขตปกครองคณะสงฆ์ส่วนภูมิภาค โดยได้รบั ความเห็นชอบจากเจา้ คณะใหญ่หนตะวันออกแล้ว พร้อมกับมีบัญชาให้นาเสนอมหาเถรสมาคมเพอื่ โปรดพจิ ารณา ทีป่ ระชุมพิจารณาแลว้ ลงมติอนุมัติให้ยกจังหวัดบึงกาฬข้ึนเป็นเขตปกครองจังหวัดทางคณะสงฆ์ จงึ เรียนมาเพื่อดาเนินการต่อไป (นายพศิ าล แช่มโสภา) ผูอ้ านวยการสว่ นงานมหาเถรสมาคมรักษาราชการแทน ผอู้ านวยการสานักเลขาธกิ ารมหาเถรสมาคม ๒๐๔ ค่มู อื พระสังฆาธกิ าร

มตมิ หาเถรสมาคม ครง้ั ท่ี พิเศษ/๒๕๕๗ สานกั เลขาธกิ ารมหาเถรสมาคมมติที่ พิเศษ ๕/๒๕๕๗เรอ่ื ง ขอความเหน็ ชอบโครงการสรา้ งความปรองดองสมานฉนั ทโ์ ดยใช้หลกั ธรรมทางพระพุทธศาสนา “หม่บู า้ นรกั ษาศีล ๕” สานักงานพระพุทธศาสนาแห่งชาติได้มีหนังสือ ด่วนที่สุด ที่ พศ ๐๐๐๖/๐๔๙๓๖ ลงวันที่๑๑ มิถุนายน ๒๕๕๗ แจ้งว่า สมเด็จพระมหารัชมังคลาจารย์ ผู้ปฏิบัติหน้าท่ีสมเด็จพระสังฆราชวัดปากน้า กรุงเทพมหานคร ได้มีดาริท่ีจะเสริมสร้างความปรองดองและสมานฉันท์ของคนในชาติให้เกิดความสงบ สันติสุข มีความสามัคคีกลมเกลียวกัน ลดปัญหาความขัดแย้ง สร้างความมั่นคงและความปลอดภัยในชีวิตและทรัพย์สินของประชาชน โดยให้พุทธศาสนิกชนได้น้อมนาหลักศีล ๕มาประพฤติปฏิบัติในการดาเนินชีวิตประจาวันสมดังโอวาทที่ได้ประทานไว้เมื่อวันท่ี ๑๗ พฤศจิกายน๒๕๕๖ ความตอนหนึ่งว่า “อันว่าศีล ๕ เป็นการสาคัญ มนุษย์เม่ือทุกคนมีศีล ๕ ด้วยกัน สังคมนั้น ๆคือ ประชาชนย่อมจะอยู่เย็นเป็นสุข” โดย พลเอก ประยุทธ จันทร์โอชา หัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติ ได้ให้แนวทางในการแก้ไขปัญหา ด้วยการให้ทุกภาคส่วนในประเทศร่วมมือกันดาเนินการในเรื่องการสร้างความปรองดองสมานฉันท์ และทาให้ประชาชนมีความรัก ความสามัคคีกัน โดยเร่ิมจากครอบครวั หมู่บา้ น ตาบล อาเภอ จังหวดั ซงึ่ จะนาพาประเทศก้าวไปข้างหน้าอย่างปลอดภัยยั่งยืนท้ังนี้ สมเด็จพระมหารัชมังคลาจารย์ ผู้ปฏิบัติหน้าท่ีสมเด็จพระสังฆราช ได้เป็นประธานในพิธีเปิดโครงการหมบู่ ้านรักษาศีล ๕ ของจังหวัดสระบุรี ณ วัดพระพุทธบาท อาเภอพระพุทธบาท จังหวัดสระบุรีโดยมี เจ้าคณะจังหวัดสระบุรี เจ้าคณะอาเภอทุกอาเภอร่วมโครงการ และผู้ว่าราชการจังหวัดนายอาเภอทุกอาเภอ องค์กรปกครองส่วนท้องถ่ิน กานัน ผู้ใหญ่บ้าน รวมท้ังผู้อานวยการสานักงานพระพุทธศาสนาจังหวัดหลายจังหวัดร่วมพิธี โดยมอบนโยบายให้ทุกภาคส่วนดาเนินโครงการสร้างความปรองดองสมานฉันท์ โดยใช้หลักธรรมทางพระพุทธศาสนา “หมู่บ้านรักษาศีล ๕” ให้เป็นรูปธรรมซึ่งมีจังหวัดสระบุรีเป็นต้นแบบและมีจังหวัดท่ีดาเนินการจัดโครงการนาร่องแล้ว คือ จังหวัดลพบุรีนครสวรรค์ พิจิตร เพชรบูรณ์ กาแพงเพชร พิษณุโลก ตาก อุตรดิตถ์ สุโขทัย เชียงใหม่ สระแก้วหนองคาย และเลย ๒๐๕ คู่มือพระสงั ฆาธิการ

ในการนี้ สานกั งานพระพุทธศาสนาแห่งชาติได้จัดทาโครงการ แนวทางการดาเนินงาน และขน้ั ตอนการนานโยบายสู่การปฏิบตั ิ ดงั น้ี ๑. จัดทาโครงการสร้างความปรองดองสมานฉันท์โดยใช้หลักธรรมทางพระพุทธศาสนา“หมู่บ้านรักษาศีล ๕” และรายละเอยี ดประกอบโครงการ ๒. เสนอมหาเถรสมาคมพิจารณาให้ความเห็นชอบโครงการ แต่งตั้งคณะกรรมการอานวยการโครงการ โดยมีประธานกรรมการมหาเถรสมาคมเป็นประธานกรรมการ มีกรรมการประกอบด้วย กรรมการมหาเถรสมาคม เจ้าคณะใหญ่ เจ้าคณะภาค หัวหน้าส่วนราชการที่เก่ียวข้องผู้ทรงคุณวุฒิ โดยให้ผู้อานวยการสานักงานพระพุทธศาสนาแห่งชาติเป็นกรรมการและเลขานุการและมผี อู้ านวยการกองพุทธศาสนศึกษาเป็นกรรมการและผู้ช่วยเลขานุการ มีหน้าท่ีในการอานวยการประสานงาน กาหนดยุทธศาสตร์ แผนงานเร่งรัดติดตามประเมินผลการดาเนินงานโครงการ เพื่อให้บรรลเุ ป้าหมายอยา่ งมีประสทิ ธิภาพ ๓. กาหนดให้มีคณะกรรมการดาเนินงานระดับจังหวัด ระดับอาเภอ ระดับตาบลและระดับหมู่บ้าน เพื่อดาเนนิ งานตามโครงการ ๔. ให้มีคณะกรรมการระดับจังหวัด ระดับอาเภอ ระดับตาบล และระดับหมู่บ้าน กาหนดรูปแบบ วิธีการดาเนินงาน กิจกรรม เพ่ือขับเคลื่อนการนาหลักการของศีล ๕ ให้ครอบคลุมกลุ่มเป้าหมายตามโครงการสร้างความปรองดองสมานฉันทโ์ ดยใชห้ ลักธรรมทางพระพทุ ธศาสนา “หมู่บา้ นรกั ษาศีล ๕” ๕. จัดประชุมชี้แจง สร้างความเข้าใจอันดีระหว่างวัด ส่วนราชการ สถานศึกษา ชุมชนองค์กรปกครองส่วนทอ้ งถนิ่ หมบู่ ้าน องค์กรภาคเอกชน ให้ทราบถึงความสาคัญของโครงการ แนวทางการดาเนินงานและการตดิ ตามประเมินผลรายละเอียดปรากฏตามสาเนาโครงการ ฯ และระเบยี บมหาเถรสมาคม วา่ ด้วยการดาเนินงานโครงการหมู่บ้านรกั ษาศลี ๕ พ.ศ. .......ทแี่ นบถวายมาพร้อมน้ี เพื่อให้การจัดโครงการดังกล่าวเป็นไปด้วยความเรียบร้อย สานักงานพระพุทธศาสนาแห่งชาติเห็นควรนาเสนอกรรมการมหาเถรสมาคมเพอ่ื โปรด ๑. ให้ความเห็นชอบโครงการสรา้ งความปรองดองสมานฉนั ท์โดยใช้หลกั ธรรมทางพระพุทธ-ศาสนา “หมู่บา้ นรักษาศีล ๕” ๒. ให้ความเห็นชอบระเบียบมหาเถรสมาคม ว่าด้วยการดาเนินงานโครงการหมู่บ้านรักษาศลี ๕ พ.ศ. .................. ๓. ให้ความเหน็ ชอบแต่งตัง้ คณะกรรมการอานวยการโครงการสร้างความปรองดองสมานฉนั ท์โดยใชห้ ลักธรรมทางพระพุทธศาสนา “หม่บู ้านรักษาศีล ๕” ๒๐๖ คูม่ ือพระสงั ฆาธกิ าร

๔. ให้สานักงานพระพุทธศาสนาแห่งชาติแจ้งเจ้าคณะจังหวัดท้ัง ๒ ฝ่าย ให้ความร่วมมือและให้การสนับสนุนกิจกรรมตามโครงการดังกล่าว และแจ้งวดั ในเขตปกครองดาเนนิ การ ๕. ให้สานักงานพระพุทธศาสนาแห่งชาติแจ้งผู้ว่าราชการจังหวัดทุกจังหวัด เพื่อมอบหมายใหส้ านกั งานพระพทุ ธศาสนาจงั หวัดทุกจังหวัดประสานงานกับเจา้ คณะจงั หวัดดาเนนิ การตามโครงการ เนื่องจากมหาเถรสมาคมได้เล่ือนการประชุมมหาเถรสมาคมคร้ังท่ี ๑๓/๒๕๕๗ วันที่ ๑๐มิถุนายน ๒๕๕๗ ออกไปเป็นวันท่ี ๒๐ มิถุนายน ๒๕๕๗ แต่เรื่องดังกล่าวเป็นเร่ืองสาคัญและเร่งด่วนสานักงานพระพทุ ธศาสนาแห่งชาติจงึ ขออนญุ าตเสนอเปน็ เรื่องเวียนเพ่ือขออนุมตั ิ สานกั งานพระพุทธศาสนาแห่งชาตไิ ด้ทาหนังสือเวียนขออนุมตั ิกรรมการมหาเถรสมาคมเปน็รายรปู แลว้ แตล่ ะรูปไม่มีความเหน็ เป็นอยา่ งอืน่ จึงถือเป็นอันอนุมัตติ ามทส่ี านกั งานพระพทุ ธศาสนา-แห่งชาตเิ สนอ (นายนพรัตน์ เบญจวัฒนานันท์) เลขาธิการมหาเถรสมาคม ๒๐๗ คูม่ อื พระสังฆาธกิ าร

๒๐๘ คู่มอื พระสงั ฆาธกิ าร

๒๐๙ คู่มอื พระสงั ฆาธกิ าร

กฎมหาเถรสมาคม ฉบับที่ ๑๗ (พ.ศ. ๒๕๓๖)๕๗ ว่าด้วยการแตง่ ต้ังถอดถอนพระอุปชั ฌาย์ ---------------------------- อาศัยอานาจตามความในมาตรา ๑๕ ตรี แห่งพระราชบัญญัติคณะสงฆ์ พ.ศ. ๒๕๐๕แก้ไขเพ่ิมเติมโดยพระราชบัญญัติคณะสงฆ์ (ฉบับท่ี ๒) พ.ศ. ๒๕๓๕ และมาตรา ๒๓ แห่งพระราช-บัญญัตคิ ณะสงฆ์ พ.ศ. ๒๕๐๕ มหาเถรสมาคมตรากฎมหาเถรสมาคมไวด้ ังต่อไปน้ี ขอ้ ๑ กฎมหาเถรสมาคมนี้เรียกว่า “กฎมหาเถรสมาคมฉบับท่ี ๑๗ (พ.ศ. ๒๕๓๖) ว่าด้วยการแต่งต้งั ถอดถอนพระอปุ ัชฌาย์” ข้อ ๒ กฎมหาเถรสมาคมน้ี ให้ใช้บังคับตั้งแต่วันถัดจากวันประกาศในแถลงการณ์คณะสงฆ์เป็นต้นไป ขอ้ ๓ ตง้ั แต่วันใช้กฎมหาเถรสมาคมนี้ ให้ยกเลกิ (๑) กฎมหาเถรสมาคม ฉบับท่ี ๗ (พ.ศ. ๒๕๐๖) ว่าด้วยการแต่งต้ังถอดถอนพระอปุ ัชฌาย์ (๒) กฎมหาเถรสมาคม ฉบบั ที่ ๗ แก้ไขเพ่ิมเตมิ (พ.ศ. ๒๕๑๕) บรรดากฎ ข้อบังคับ ระเบียบ คาสั่ง มติ หรือประกาศอื่นใด ในส่วนที่กาหนดไว้แล้วในกฎมหาเถรสมาคมน้ี หรอื ซ่ึงขัดหรือแย้งกบั กฎมหาเถรสมาคมน้ี ให้ใชก้ ฎมหาเถรสมาคมน้แี ทน๕๗ ประกาศในแถลงการณ์คณะสงฆ์ เลม่ ๘๑ ตอนท่ี ๓ วันที่ ๒๕ มีนาคม ๒๕๓๖ ๒๑๐ คมู่ อื พระสงั ฆาธกิ าร

ประกาศ ห้ามไม่ให้ภิกษุประกอบการหากินนอกธรรมเนยี มของสมณะ ---------------------------- สมเด็จพระเจ้าบรมวงศ์เธอ กรมพระยาวชิรญาณวโรรสพระมหาสมณะเสด็จประทับในเถรสมาคม ทรงพระปรารภถึงภิกษุผู้ประกอบการหากินนอกธรรมเนียมของสมณะว่า มีภิกษุบางรูปถูกฟ้องว่า บุกรุกที่ดินอันราษฎรเขาหวงห้าม และโค่นสร้างไว้เดิมเพ่ือจะทานา ภิกษุจะทานาบ้าง เข้าจับจองทับท่ีของราษฎรจนเกิดเป็นคดีขึ้น ภิกษุบางรูปทาการค้าขายอย่างคฤหัสถ์ติดเงินผู้ซื้อทวงไม่ได้ ฟ้องขอยึดทรัพย์ในศาล และฟ้องขอเรียกเงินใช้จากผู้พาไปซ้ือ ทรงดาริเห็นว่าภกิ ษมุ คี วามเลยี้ งชีพดว้ ยคฤหสั ถ์ เขาออกกาลงั กาย กาลังความคิดได้ความเหน่ือยยากออกกาลังทรัพย์เส่ียงได้เสียงเสียประกอบการน้ัน ๆ จึงได้ทรัพย์เป็นผล เขายังมีแก่ใจบริจาคทรัพย์น้ันถวายบิณฑบาตและปัจจัยอย่างอ่ืน ทานุบารุงภิกษุให้ได้ความสะดวกเพื่อจะได้ปฏิบัติสืบอายุพระพุทธศาสนาฝ่ายภิกษุเองมาประพฤติเอาอย่างคฤหัสถ์ ทามาหากินด้วยตนแย่งชิงตัดรอนผลประโยชน์ของเขาทาเช่นน้ีหาสมควรไม่ เอาเปรียบเขาเกินไป การหากินเช่นน้ีผิดอย่างผิดธรรมเนียมของสมณะ ดังมีแจ้งในจุลศีลอันมาในบาลีฝ่ายพระสูตร พระอรรถกถาจารย์ถือเอาความน้ัน กล่าวห้ามไว้ในพระวินัยด้วยทรงถือเอาพระอนุมัติของพระเถระท้ังหลายตรัสห้ามไว้ว่าอย่าให้ภิกษุประกอบการหากินผิดอย่างผิดธรรมเนยี มของสมณะ เปน็ การแย่งชงิ กับคฤหัสถ์ เช่น แย่งท่ีเขาทานา ตั้งการค้าขาย อันเป็นเหตุจะให้เป็นเจ้าหน้ีหรือลูกหนี้ของเขาและจะเกิดทวงถามเป็นคดีข้ึนในศาล แต่ข้อน้ีไม่ได้หมายถึงการรับช่วยธุระทาความสะดวกให้แก่ผู้อื่น เช่น รับจัดการศพให้ และได้รับผลประโยชน์ในทางนั้น เป็นการสมนาคุณ หรือรักษาไข้เจ็บเหมือนกันและไม่ได้หมายถึงที่นาหรือที่ธรณีสงฆ์อย่างอ่ืน อันเป็นกัลปนาของวัด ทไี่ วยาวัจกรจะจัดใหค้ นเชา่ ถอื เปน็ ส่วนของวัด ฯ ถ้าภิกษุใดปรารถนาจะทาการหากินท่ีห้ามไว้ภกิ ษุนั้นจงลาสกิ ขาถือเป็นคฤหสั ถ์เสีย ถ้าขนื ทาการหากินที่ห้ามไว้ทั้งเป็นภิกษุ ความปรากฏขึ้น จักถูกสง่ั ใหล้ ะการหากินนนั้ เสียหรอื ใหส้ ึกเสยี ตามรูปความ ขอ้ หา้ มน้ี ให้ท่วั ถงึ แก่สามเณรดว้ ย ๒๑๑ ค่มู อื พระสงั ฆาธิการ

ให้เจ้าคณะท้ังหลาย คอยสอดส่องดูในเขตของตน ถ้ามีภิกษุหรือสามเณรทาการหากินท่หี ้ามไว้ จงหา้ มให้เลิกเสยี ถา้ ยงั ขนื ทาอยู่ จงนาความกราบทลู ขึ้นมาโดยลาดบั แหง่ ผ้ใู หญ่เหนอื ตน ประกาศไว้ ณ วนั ท่ี ๑๑ กุมภาพนั ธ์ ๒๔๕๖ (ลงพระนาม) กรม-วชริ ญาณวโรรส ๒๑๒ ค่มู อื พระสังฆาธิการ

ประกาศ ห้ามไม่ใหภ้ กิ ษเุ ป็นหมอทาเสนห่ ์ยาแฝดอาถรรพณ์ ---------------------------- ด้วยมีข่าวว่า มีภิกษุตั้งตนเป็นหมอทาเสน่ห์ยาแฝดให้คฤหัสถ์ ทาแก่บุคคลตามประสงค์ของเขา การทาเสน่ห์ยาแฝดหรืออาถรรพณ์ จะเป็นไปได้จริงหรือไม่ก็ตาม แต่ภิกษุทาย่อมไม่ควรอย่างยิ่ง เพราะการทาเช่นน้ันให้แก่ผู้ใด ผู้น้ันหาได้ประพฤติสุจริตไม่ มุ่งแต่จะประพฤติทุจริตฝ่ายเดียว แต่มีความประสงค์จะให้แลเห็นว่าประพฤติสุจริต จึงต้องหาผู้รู้ทาเสน่ห์ยาแฝดแก่ผู้ที่ตนประสงค์จะได้หลงเช่ือว่าตนเป็นคนดี หรือแกล้งจะให้ผู้ใดผู้หน่ึงถึงความพินาศ ถ้าบุคคลประพฤติโดยซ่ือสัตย์สจุ รติ เป็นปกติแล้ว หาตอ้ งการผ้รู ู้ทาเสน่หย์ าแฝดให้ใคร ๆ หลงไม่ ภิกษุผู้มีศีลเป็นที่รัก ย่อมเห็นโทษในเรื่องนี้ไม่กล้าทาเลย ส่วนภิกษุผู้มีความปรารถนาเปน็ บาป อยากได้ลาภยศสรรเสริญ ใหค้ นนับหน้าถือตา จึงกล้าทาเช่นนน้ั เมอ่ื ภกิ ษุทาเช่นนั้น คนโง่เขลาย่อมนยิ มนับถือมาก โดยเข้าใจวา่ เปน็ ผู้มีศีล อาจทาไดข้ ลังย่งิ กว่าคฤหัสถ์ทา ส่วนผู้ที่มีปัญญาทราบชัดซ่งึ ความเป็นไปของภกิ ษุผตู้ ้ังตนเป็นหมอทาเสน่หย์ าแฝด ไม่นบั ถอื เลยทเี ดยี ว การทาเสน่ห์ยาแฝดนั้นไม่น่าเชื่อว่าเป็นได้จริง ถ้าภิกษุผู้ทาโง่เขลา เข้าใจเสียว่าอาจเป็นได้จริง ก็คงมีโทษเฉพาะล่วงละเมิดพระพุทธบัญญัติห้าม ถ้ารู้ตัวอยู่ว่าไม่อาจเป็นได้จริง แต่อาศัยมงุ่ โลกามสิ ก็ชื่อวา่ ลวงใหค้ นหลงมโี ทษมากขนึ้ อกี ก็พระพุทธบัญญัติห้ามเรื่องนี้มาในจุลลวัคค์ว่า น ภิกฺขเว ติรจฺฉานวิชฺชา ปริยาปุณิตพฺพาโย ปริยาปุเณยฺย อาปตฺติ ทุกฺกฏสฺส ฯ น ภิกฺขเว ติรจฺฉานวิชฺชา วาเจตพฺพา โย วาเจยฺยอาปตฺติ ทุกฺกฏสฺส ดังนี้ ฯ แปลว่า ภิกษุไม่ควรเรียนหรือบอกดิรัจฉานวิชา ห้ามไม่ให้ภิกษุเรียนแลบอกฯ ถา้ เรียนหรือบอกต้องทกุ กฏาบตั ิฯ ทาเสน่ห์ยาแฝดอาถรรพณ์หรือหมอปลุกใช้ผีเหล่านั้น ชื่อว่าดิรัจฉานวิชา ห้ามมิให้ภิกษุเรียนและบอกฯ ภิกษุผู้มีความปรารถนาลามกกล้าทาเสน่ห์ยาแฝดได้ ก็เพราะเรียนรู้มาแล้วโดยฝ่าฝืนพระพุทธบัญญัติ ภิกษุผู้ฝ่าฝืนพระพุทธบัญญัตินี้ มีโทษเพียงเป็นทุกกฏาบัติ แต่ก็จัดเป็นมิจฉาชพี แทท้ เี ดียว เม่ือวา่ ตามวบิ ตั ิ ๔ ทาดังนีก้ ช็ ่ือว่าอาชวี วบิ ตั ฯิ ๒๑๓ คมู่ อื พระสังฆาธกิ าร

ทางปกครองคณะสงฆ์เห็นว่า ภิกษุผู้ตั้งตนเป็นหมอทาเสน่ห์ยาแฝด หรืออาถรรพณ์เป็นผู้เลวทรามมาก ทาให้เส่ือมเสียเกียรติคุณของตนตลอดจนคณะสงฆ์ เพราะฉะน้ันตั้งแต่บัดนี้ไปอย่าให้ภิกษุทาเสน่ห์ยาแฝดหรืออาถรรพณ์ ถ้าไม่ฟังยังขืนทา มีผู้ฟ้องหรือมีผู้เล่า บอกเป็นหลักฐานหรอื เจ้าคณะรู้เหน็ เองว่า ภิกษุช่ือน้ีได้เป็นหมอทาเสน่ห์ยาแฝดหรืออาถรรพณ์ ให้พิจารณาความจริงจกั ลงโทษให้สึกภกิ ษนุ ัน้ เสียฯ ประกาศหา้ มไว้ ณ วันที่ ๒๘ กรกฎาคม พ.ศ. ๒๔๖๗ กรมหมน่ื ชินวรสิรวิ ัฒน์ ๒๑๔ คู่มือพระสงั ฆาธกิ าร

ประกาศ ห้ามพระเณรไม่ใหบ้ วชหญงิ เป็นบรรพชิต ---------------------------- หญิงซึ่งจักได้สมมุติตนเป็นสามเณรี โดยถูกต้องพระพุทธานุญาตนั้น ต้องสาเร็จด้วยนางภิกษุณีให้บรรพชา เพราะพระองค์ทรงอนุญาตให้นางภิกษุณีมีพรรษา ๑๒ ล่วงแล้วเป็นปวัตตินีคือเป็นอุปัชฌาย์ไม่ได้ทรงอนุญาตให้ภิกษุเป็นอุปัชฌาย์ นางภิกษุณีหมดสาบสูญขาดเชื้อสายมานานแล้ว เม่ือนางภิกษุณีผู้รักษาขนบธรรมเนียมสืบต่อสามเณรีไม่มีแล้ว สามเณรีผู้บวชสืบต่อมาจากภิกษุณีก็ไม่มี เป็นอันเสื่อมสูญไปตามกัน ผู้ใดให้บรรพชาเป็นสามเณรี ผู้น้ันช่ือว่าบัญญัติสิ่งท่ีพระพุทธเจ้าไม่บัญญัติ เลิกถอนสิ่งท่ีพระพุทธเจ้าทรงบัญญัติไว้แล้ว เป็นเสี้ยนหนามแก่พระศาสนาเป็นตัวอยา่ งที่ไมด่ ี ฯ เพราะเหตุนี้ ห้ามไม่ให้พระเณรทุกนิกาย บวชหญิงเป็นภิกษุณีเป็นสิกขมานาแลเป็นสามเณรีตั้งแตน่ ไี้ ปฯ ประกาศตง้ั แตว่ ันท่ี ๑๘ มิถุนายน พ.ศ. ๒๔๗๑ กรมหลวงชนิ วรสิริวัฒน์ ๒๑๕ ค่มู อื พระสงั ฆาธกิ าร

ประกาศ หา้ มมใิ หภ้ ิกษุสามเณรเทศนม์ หาชาติตลกคะนองเสยี สมณสารูป ---------------------------- เรื่องการเทศน์มหาชาตินิยมกันแพร่หลายว่า เป็นเรื่องมีคติมาก จับใจผู้อ่านผู้ฟัง แม้ในเมืองไทยคร้ังโบราณก็นิยม เคยมีคฤหัสถ์สวดให้อุบาสกอุบาสิกาฟัง ในกาลต่อมาเปลี่ยนเป็นภิกษุสามเณรเทศน์ เพราะเป็นเหตุปลูกความเช่ือความเล่อื มใสได้มั่นคงกว่าคฤหสั ถส์ วด ภายหลังปรากฏว่า การเทศน์มหาชาติกลายเป็นเร่ืองสนุกเฮฮาขบขัน เพราะผู้เทศน์นาเรื่องไม่เป็นสาระมาแทรกแซงคลุกเคล้า ยักย้ายทานองโลดโผนไปต่างๆ ตามใจของตน บางทีก็ยกเอามหาชาติข้ึนนาตอนต้นเพียงเล็กน้อย ตอนปลายกลายเป็นเล่นแหล่ต่างๆ แสดงอาการตลกคะนองจนเสียสมณสารูป ไม่ควรแก่วิสัยของบรรพชิต เป็นเหตุให้วิญญูชนติเตียนตลอดจนชาวต่างประเทศก็ดหู มิน่ อาศยั เหตุนี้ มหาเถรสมาคมพจิ ารณาแลว้ ลงมตเิ ห็นพร้อมกนั ให้ประกาศวา่ ๑. ห้ามเทศน์แหล่ต่าง ๆ นอกเรื่องมหาชาติที่สารากหยาบโลน ทานองโลดโผนและทาตลกคะนองตา่ งๆ จนเสียสมณสารูป ๒. ภิกษุสามเณรประพฤติฝ่าฝืนข้อห้ามน้ีในวัดใดในแขวงใด ให้เจ้าอาวาสวัดน้ันเสนอเร่ืองให้เจ้าคณะแขวงน้ันบังคับให้สึกเสีย แล้วรายงานให้เจ้าคณะเหนือตนทราบ ถ้าภิกษุสามเณรรูปน้ันเป็นเปรียญหรือมีสมณศักดิ์ให้เจ้าคณะแขวงแจ้งการกระทาพร้อมท้ังหลักฐานให้เจ้าอาวาสซึ่งผู้ เทศน์น้ันสงั กดั อยทู่ ราบ แลว้ ใหเ้ จ้าอาวาสน้นั ขอพระราชทานพระบรมราชานุญาตให้สกึ เสีย ๓. ถ้าเจ้าอาวาสหรือเจ้าคณะสนับสนุนยินยอมให้ภิกษุสามเณรกระทาการฝ่าฝืนข้อห้ามน้ีให้เจ้าคณะผู้มีอานาจเหนือถอดเสียจากตาแหน่ง ถ้ามีสัญญาบัตรให้นาเรื่องขอเสนอพระราชทานพระบรมราชานุญาตใหถ้ อดเสียจากสมณศกั ดิ์ และให้ออกเสียจากวดั น้ัน ๔. ใหเ้ จา้ อาวาสเจ้าคณะเป็นผู้ควบคมุ และปฏิบตั ิการให้เป็นไปตามประกาศน้ีทุกประการ ประกาศแตว่ นั ที่ ๑๖ มกราคม พ.ศ. ๒๔๗๙ สมเดจ็ พระพุทธโฆษาจารย์ ประธานกรรมการมหาเถรสมาคม บญั ชาการคณะสงฆ์แทนพระองคส์ มเดจ็ พระสงั ฆราชเจา้ ๒๑๖ คู่มือพระสงั ฆาธิการ

ประกาศ เร่ือง ภกิ ษุสามเณรเซน็ นาม แสดงภาวะไมแ่ นน่ อนวา่ เปน็ บรรพชติ หรอื คฤหัสถ์ ---------------------------- เน่ืองด้วยพระวินิจฉัยของสมเด็จพระมหาสมณเจ้า กรมพระยาวชิรญาณวโรรส และมติของมหาเถรสมาคมมีว่า ภิกษุเซ็นนามเป็นนาย........................เป็นการแสดงภาวะที่ไม่แน่นอนว่าถือเพศเป็นคฤหัสถ์หรือบรรพชิต ปรับโทษถึงสึกมาแล้วทุกราย และคณะสงฆ์ได้ถือเป็นหลักในการพิจารณาและวินิจฉัยต่อมาฯ ภายหลงั มภี ิกษบุ างรูปเซน็ นามเปน็ นาย..............................................เช่นนัน้ แต่มีหมายเหตุกากับว่า เวลาน้ีเป็นภิกษุ เกิดฟ้องร้องเป็นอธิกรณ์ขึ้น เร่ืองถึงมหาเถรสมาคม ๆ พิจารณาแล้วเห็นว่าแม้จะมีพระมหาสมณวินิจฉัย และมติของมหาเถรสมาคมเป็นหลักอยู่แล้วก็จริง แต่เฉพาะเรื่องน้ีจะปรับโทษถึงเพียงนั้น ยังไม่ถนัดทีเดียว เพราะมีหมายเหตุกากับแสดงว่ายังถือภาวะเป็นภิกษุอยู่แม้ถึงอยา่ งน้นั กช็ ่ือว่าไม่ควรทีภ่ กิ ษุจะกระทา ควรใหป้ ระกาศห้ามเสยี ด้วย ฯ อาศัยเหตุน้ี จึงประกาศให้ทราบท่ัวกันว่า ตั้งแต่วันที่ประกาศน้ีเป็นต้นไป ภิกษุสามเณรเซ็นนามเป็นนาย......................................................อันแสดงภาวะไม่แน่นอนอย่างนั้น ถึงจะมีหมายเหตุกากับว่าเวลานี้เป็นภิกษุสามเณรอยู่หรือไม่ก็ตาม ให้ถือว่ามีผิดตามพระมหาสมณวินิจฉัย และมตขิ องมหาเถรสมาคมดังกล่าวแล้วนั้นทุกประการ ฯ ประกาศแต่วันที่ ๒๔ พฤศจกิ ายน พทุ ธศกั ราช ๒๔๗๙ สมเด็จพระพุทธโฆษาจารย์ ประธานกรรมการมหาเถรสมาคม บัญชาการคณะสงฆ์แทนพระองคส์ มเด็จพระสังฆราชเจ้า ๒๑๗ ค่มู อื พระสังฆาธกิ าร

ประกาศ เร่อื ง หา้ มภิกษุสามเณรไปจดเลขสลากกนิ แบ่ง และซอ้ื หรือมสี ลากกินแบ่งไว้เป็นของตวั ---------------------------- หนังสือพิมพ์ลงรูปถ่ายภิกษุกาลังนั่งจดเลขสลากกินแบ่งในสถานท่ีออกสลาก และลงข้อความติเตียนว่า ไม่ชอบด้วยพระวินัย สานักงานโฆษณาการตัดข่าวส่งกองส่ือข่าวกรมธรรมการ และเสนอคณะสงฆ์ มหาเถรสมาคมพิจารณาเห็นว่า ภิกษุสามเณรไปจดเลขสลากในสถานที่ชุมนุมชนก็ดีซ้ือสลากกินแบ่งในสถานท่ีต่าง ๆ ก็ดี มีไว้เป็นของตัวก็ดี ผิดพระวินัยบัญญัติและอาณัติคณะสงฆ์เพราะสลากกินแบง่ จัดเขา้ ในการพนันอยา่ งหนง่ึ ควรประกาศห้าม เพราะฉะน้นั จึงประกาศห้ามภิกษสุ ามเณรไมใ่ หจ้ ดเลขสลากกินแบง่ ในสถานที่ชุมนุมชน และห้ามไม่ให้ซ้ือสลากกินแบ่ง หรือมีสลากกินแบ่งไว้เป็นส่วนตัว ภิกษุสามเณรรูปใดฝ่าฝืน ให้เจ้าคณะเจ้าอาวาสส่ังบังคับให้ภิกษุสามเณรรูปนั้นสึกเสีย ถ้าเจ้าหน้าที่จับมาส่งพิจารณาได้ความจริง จงบังคับใหส้ กึ เสีย ประกาศไว้แตว่ นั ท่ี ๒๑ พฤศจกิ ายน พุทธศักราช ๒๔๘๐ สมเด็จพระพุทธโฆษาจารย์ ประธานกรรมการมหาเถรสมาคม บัญชาการคณะสงฆ์ ๒๑๘ คู่มือพระสงั ฆาธิการ

ประกาศคณะสงฆ์ เรื่อง หา้ มภกิ ษสุ ามเณรเรียกเงินคา่ เวทมนตร์ และห้ามทดลองของขลัง ---------------------------- ด้วยปรากฏว่า มีภิกษุบางรูปเห็นแก่อามิส มุ่งลาภสักการะ ตั้งตนเป็นอาจารย์ปลุกเสกลงเลขยันต์ท่ีศีรษะบ้าง ที่หน้าผากบ้าง ตามเนื้อตามตัวบ้าง เพ่ืออยู่คงต่อศัตราอาวุธ สอนเวทมนตร์เพ่ือแคล้วคลาดศัตราอาวุธ โดยเรียกเงินจากผู้มาขอเรียนบ้าง มาขอให้ปลุกเสกบ้าง เป็นการผิดสมณวสิ ยั จดั เข้าในอาชีววบิ ัติ มีโทษทางพระวินัยเสื่อมความเชอื่ ความเลื่อมใสของพทุ ธศาสนกิ ชน อนึ่ง เพื่อเรียกร้องความสนใจจากประชาชน ภิกษุผู้ตั้งตนเป็นอาจารย์ ยังให้ทดลองของขลังความศกั ดส์ิ ทิ ธิข์ องเวทมนตร์ทส่ี อนให้และปลุกเสกให้ดว้ ยการยิง ฟนั แทง ดว้ ยศัตราอาวธุ ซึ่งเป็นการเส่ียงอันตราย ไม่ใช่ข้อปฏิบัติตนในทางพระพุทธศาสนา เพราะพระพุทธศาสนาที่ดารงอยู่และเจริญแพร่หลายมามิใชด่ ว้ ยการกระทาเชน่ น้ี ตรงข้ามกลบั เปน็ ท่ตี าหนิของสาธุชน เพราะไม่ทนต่อการพิสูจน์ทงั้ เป็นช่องทางให้พาลชนช่วยโฆษณาชวนให้คนหลงเช่ือเพ่ือทุจริต โดยแอบอ้างยึดเอาเป็นอาชีพอันมิชอบ เปน็ ความเสอื่ มเสียแกค่ ณะสงฆแ์ ละพระศาสนา ความจริงในเร่ืองนี้ ทางคณะสงฆ์ก็ได้มีประกาศของสมเด็จพระสังฆราชเจ้าห้ามเป็นระเบียบอยูแ่ ล้ว แมเ้ ชน่ น้ันกย็ ังมีภกิ ษุบางรปู พยายามหลบเลย่ี งระเบยี บน้นั ฝ่าฝืนประพฤติกนั อยู่ เพราะฉะน้ัน เพื่อธารงไว้ซ่ึงพระธรรมวินัย จึงประกาศให้ภิกษุสามเณรทราบท่ัวกันว่าการเรียกเงินค่าเวทมนตร์ก็ดี การทดลองของขลังก็ดี เป็นพฤติการณ์ท่ีไม่ชอบของภิกษุสามเณรนับเป็นความผิดตามประกาศห้ามไม่ให้ภิกษุเป็นหมอทาเสน่ห์ยาแฝด อาถรรพณ์ ของสมเด็จพระสังฆราชเจ้า ลงวันท่ี ๒๘ กรกฎาคม พ.ศ. ๒๔๖๗ ถ้าภิกษุสามเณรรูปใดประพฤติล่วงละเมิดเมื่อพิจารณาได้ความจริงให้เจ้าอาวาสหรือเจ้าคณะในท้องท่ีท่ีเกิดอธิกรณ์ลงโทษให้สึกเสียแลว้ รายงานตามลาดับจนถึงคณะสังฆมนตรี ประกาศ ณ วนั ที่ ๑ ธันวาคม พ.ศ. ๒๔๙๕ สมเดจ็ พระวันรัต สังฆนายก ๒๑๙ คมู่ ือพระสงั ฆาธกิ าร

ประกาศคณะสงฆ์ เรื่อง ห้ามพระภิกษุสามเณรแสดงตนเปน็ อาจารย์ บอกเลขสลากกนิ แบ่งหรอื สลากกนิ รวบ ---------------------------- ด้วยคณะสังฆมนตรีได้ประชุมปรึกษาว่า ในปัจจุบันนี้ปรากฏว่า มีพระภิกษุสามเณรบางรูปแสดงตนเป็นอาจารย์ขลัง บอกเลขสลากกินแบ่ง สลากกินรวบ หรือบอกใบ้หวยชนิดต่าง ๆ ให้แก่ประชาชน ซึ่งเป็นเหตุให้ประชาชนหลงเช่ือ และหมกมุ่นในการพนัน ไม่ประกอบอาชีพโดยชอบประพฤติผิดศีลธรรม กระทาผิดกฎหมายของบ้านเมือง การท่ีภิกษุสามเณรประพฤติเช่นนั้นไม่ชอบดว้ ยพระธรรมวินัยผดิ วิสยั ของสมณะ เพราะฉะนัน้ คณะสังฆมนตรีจึงให้ประกาศห้ามพระภิกษุสามเณรแสดงตนเป็นอาจารย์และบอกเลขสลากกินแบ่ง หรือสลากกินรวบ หรือบอกใบ้หวยชนิดต่าง ๆ หากพระภิกษุรูปใดสามเณรรูปใดประพฤติฝ่าฝืนประกาศน้ี ให้เจ้าอาวาสหรือเจ้าคณะลงทัณฑกรรมหรือปัพพาชนียกรรมจนถึงให้สึกเปน็ ท่ีสุด ทงั้ นต้ี ้งั แตบ่ ัดนี้เป็นตน้ ไป ประกาศ ณ วนั ที่ ๑ กนั ยายน พ.ศ. ๒๔๙๘ สมเด็จพระวันรัต สงั ฆนายก ๒๒๐ คู่มอื พระสังฆาธิการ

ประกาศคณะสงฆ์ เร่อื ง หา้ มการแสวงหาลาภดว้ ยวธิ ีออกบตั รคลา้ ยธนบตั รรัฐบาล ด้วยปรากฏว่า ได้มีการแสวงหาลาภด้วยวิธีออกบัตรคล้ายธนบัตรรัฐบาล ชนิดราคา ๑๐๐บาท เรียกว่า ธนบัตรขวัญถุงบ้าง ธนบัตรมหาลาภบ้าง คณะสังฆมนตรีพิจารณาแล้วเห็นว่าการทาเชน่ นนั้ ส่อเจตนาหลอกลวงประชาชนให้หลงเช่ือในทางที่ผิด จึงให้กรมการศาสนากระทรวงวัฒนธรรมขออารักขาไปยังกระทรวงมหาดไทยกับแจ้งให้กระทรวงการคลังทราบคร้ังหน่ึงแล้ว และกระทรวงการคลังกข็ อให้กาชบั วัดทัง้ หลายใหง้ ดเวน้ การกระทาดังกล่าวแล้วนั้นโดยทว่ั กัน คณะสังฆมนตรีจึงพิจารณาอีกคร้ังหน่ึงคงเห็นว่า การแสวงหาลาภด้วยวิธีเช่นน้ันส่อเจตนาหลอกลวงประชาชนให้หลงเชื่อในทางที่ผิด ไม่ชอบด้วยพระวินัยพุทธบัญญัติมีโทษท้ังปัณณัตติวัชชะและโลกวัชชะ เป็นมิจฉาชีพ เป็นการนาความเสื่อมเสียแก่วัดและคณะสงฆ์ตลอดถึงพระพุทธศาสนาไมช่ อบด้วยนโยบายของกระทรวงการคลัง อันผู้มีศีลเป็นท่ีรักไม่พึงทาเช่นนั้น จึงมีมติให้ห้ามพระภิกษุสามเณรและวัดทั้งหลายมิให้แสวงหาลาภด้วยวิธีออกบัตรคล้ายธนบัตรรัฐบาลทุกชนิด หรือบัตรอ่ืนในทานองเดียวกนั อาศัยมติคณะสังฆมนตรีนี้ จึงประกาศห้ามพระภิกษุสามเณรและวัดท้ังหลาย มิให้แสวงหาลาภด้วยวธิ ีออกบัตรคล้ายธนบัตรรฐั บาลทกุ ชนิด หรอื บตั รอื่นในทานองเดียวกัน ถ้าพระภกิ ษสุ ามเณรฝ่าฝนื ละเมิดประกาศน้ี ใหเ้ จา้ อาวาส เจ้าคณะอาเภอ เจ้าคณะจังหวัดเจ้าคณะตรวจการภาค แล้วแตก่ รณี จัดการสึกเสีย ถ้าคฤหสั ถ์ทาในนามของวัด ใหเ้ จา้ อาวาสวัดนนั้ ขออารกั ขา ถ้าคฤหัสถ์ทาในนามของวัดท่ีไม่มีจริง ให้กรมการศาสนา กระทรวงวัฒนธรรม จัดการตามกฎหมาย ประกาศ ณ วนั ท่ี ๑๒ พฤศจกิ ายน พทุ ธศักราช ๒๔๙๘ สมเดจ็ พระวนั รัต สงั ฆนายก ๒๒๑ คูม่ ือพระสงั ฆาธิการ

ประกาศคณะสงฆ์ เร่ือง ห้ามพระภกิ ษสุ ามเณรประกอบอาชีพเปน็ หมอ หรอื แพทยร์ กั ษาโรค ---------------------------- ด้วยในปัจจุบันน้ีเราปรากฏว่า มีพระภิกษุสามเณรในพระพุทธศาสนาประกอบอาชีพเป็นหมอหรือแพทย์รักษาโรคต่าง ๆ แก่คฤหัสถ์ชายหญิง โดยลักษณะเป็นแพทย์แผนโบราณบ้าง แพทย์แผนปัจจุบันบ้าง เช่น ต้ังสานักงานตรวจและรักษาโรคต่าง ๆ ปรุงยาออกจาหน่าย ฉีดยา ผ่าตัดเป็นต้น ท้ังนี้ ได้เคยมีพระภิกษุรักษาโรค และฉีดยาแก่คนไข้โดยรู้เท่าไม่ถึงการณ์ หรือขาดหลักวิชาการแพทย์ เปน็ เหตุให้คนไขม้ ีอาการสลบจนเกดิ เปน็ คดีอาญามีตวั อย่างมาแลว้ เร่ืองน้ี คณะสังฆมนตรีได้พิจารณาแล้วเห็นว่า การกระทาดังกล่าวน้ีเป็นการประกอบอาชีพอย่างคฤหัสถ์ ซ่ึงบรรพชิตไม่สมควรกระทา เพราะอาจนาความเส่ือมเสียมาสู่พระศาสนา และเป็นการกระทาท่ีผิดพระวินัย ผิดวิสัยของสมณะ นอกจากนี้ยังเป็นการฝ่าฝืนกฎหมายทางราชอาณาจักรเป็นความผิดตามพระราชบญั ญัติการแพทย์ และพระราชบญั ญัติควบคมุ การประกอบโรคศลิ ป์ดว้ ย เพราะฉะน้ัน คณะสังฆมนตรีจึงลงมติให้ประกาศห้ามพระภิกษุสามเณรประกอบอาชีพเป็นหมอหรอื แพทย์รกั ษาโรคตา่ ง ๆ แกค่ ฤหัสถ์ชายหญงิ โดยลักษณะดงั กลา่ วแลว้ ถ้าพระภกิ ษสุ ามเณรรูปใดประพฤติฝ่าฝืนประกาศนี้ ให้เจ้าอาวาส เจ้าคณะอาเภอ เจ้าคณะจังหวดั หรือเจา้ คณะตรวจการภาค แล้วแต่กรณีจดั การลงทัณฑกรรมหรือปัพพาชนียกรรม จนถึงให้สึกเป็นท่ีสุด โดยสมควรแก่ความผดิ ท้งั น้ี ตั้งแตบ่ ดั น้ีเป็นต้นไป ประกาศ ณ วนั ที่ ๒๔ มนี าคม พทุ ธศักราช ๒๔๙๙ สมเด็จพระวันรัต สังฆนายก ๒๒๒ คมู่ อื พระสังฆาธกิ าร

ประกาศคณะสงฆ์ เร่ือง หา้ มพระภิกษสุ ามเณรพกั แรมในสถานทเ่ี ป็นทีร่ งั เกยี จทางพระวินยั ---------------------------- ด้วยปรากฏว่า พุทธศาสนิกชนผู้เล่ือมใสในพระพุทธศาสนาได้ตาหนิติเตียนพระภิกษุสามเณรผู้พักแรมในโรงแรมซึ่งทางคณะสงฆ์ได้วางระเบียบห้ามไว้ต้ังแต่วันท่ี ๑ มกราคม พุทธศักราช ๒๔๘๖หรือในสถานท่ีพักตากอากาศสาธารณะของคฤหัสถ์ชายหญิง เพราะสถานที่เช่นนั้นเป็นท่ีพักแรมของคฤหสั ถช์ ายหญิง ไมส่ มควรทพ่ี ระภิกษุสามเณรจะเข้าไปพักแรมร่วมสถานท่ีเดียวกัน อันเป็นท่ีน่ารังเกียจทางพระวนิ ัยพทุ ธบญั ญตั ิ คณะสงั ฆมนตรีจึงมีมติให้ประกาศเพิ่มเติมดังต่อไปน้ี ๑. ห้ามพระภกิ ษุสามเณรมใิ ห้เขา้ ไปพักแรมในโรงแรม ซงึ่ เป็นท่ีพักแรมของคฤหัสถ์ชายหญิงหรอื ในสถานท่ีพักตากอากาศสาธารณะของคฤหสั ถ์ชายหญิง ๒. ถ้าพระภิกษุสามเณรผู้เดินทาง จาเป็นต้องพักแรมในระหว่างทาง ก็ให้เข้าไปขออาศัยพักแรมในวัดใกล้เคียง หรือในสถานท่ีซึ่งควรแก่สมณะที่จัดไว้สาหรับพระภิกษุสามเณรโดยเอกเทศอันไม่เปน็ ท่รี ังเกยี จทางพระวินยั ๓. พระภกิ ษสุ ามเณรผูเ้ ดินทาง ตอ้ งปฏิบัติให้สมควรแก่ความเป็นพระภิกษุสามเณรที่ดีตามทางพระวินัยให้สนใจเอ้ือเฟื้อในคมิกวัตรและอาคันตุกวัตร เม่ือเข้าไปขออาศัยพักแรมในวัดใด ๆจงปฏบิ ตั ิให้ชอบด้วยกติกาของวัดน้นั ๆ ๔. ถ้าปรากฏว่า พระภิกษุสามเณรเข้าไปพักแรมในโรงแรมเป็นที่พักของคฤหัสถ์ชายหญิงก็ดีในสถานท่ีพักตากอากาศสาธารณะของคฤหัสถ์ชายหญิงก็ดี ให้เจ้าอาวาสหรือเจ้าคณะท้องถ่ินซ่งึ อย่ใู นเขตน้นั จดั การให้พระภกิ ษุสามเณรผูล้ ะเมดิ ประกาศน้ีออกไปจากสถานท่เี ชน่ นั้น ก. ถ้าพระภิกษุสามเณรนั้นไม่เช่ือฟัง ให้เจ้าอาวาสหรือเจ้าคณะท้องถิ่นซึ่งอยู่ในเขตนั้นขออารักขาทางบ้านเมืองในฐานล่วงละเมิดประกาศคณะสงฆ์ และจัดการให้เป็นไปโดยชอบด้วยประกาศน้ี ข. ถ้าพระภกิ ษุสามเณรนั้นประพฤติเสียหายทางพระวินัยให้เจ้าอาวาสหรือเจ้าคณะท้องถิ่นซึ่งอยู่ในเขตน้ัน จัดการให้เป็นไปโดยชอบด้วยพระวินัยพุทธบัญญัติและอาณัติคณะสงฆ์ แล้วรายงานให้เจา้ คณะเหนอื ทราบ ๒๒๓ ค่มู อื พระสงั ฆาธิการ

๕. ให้กรมการศาสนา กระทรวงวัฒนธรรม ขอความร่วมมือกับกระทรวงมหาดไทยแจ้งประกาศคณะสงฆ์นี้ แกเ่ จา้ หน้าท่ีฝ่ายปกครองท้องถ่ิน และขอความร่วมมือกับผู้จัดการโรงแรม และผู้จัดการสถานที่พักตากอากาศสาธารณะ เพ่ือให้ประกาศคณะสงฆ์ได้ผลธารงไว้ซ่ึงความเล่ือมใสของพุทธศาสนิกชนสืบต่อไป ประกาศ ณ วนั ท่ี ๓๑ มกราคม พุทธศกั ราช ๒๕๐๑ สมเด็จพระวนั รตั สังฆนายก ๒๒๔ คมู่ อื พระสังฆาธิการ

ประกาศคณะสงฆ์ เรือ่ ง เก่ียวกบั วทิ ยุและโทรทัศน์ ---------------------------- ด้วยปรากฏว่า ได้มีการเปิดฟังเพลงวิทยุดังลั่น ดูละครดูมวย ทางโทรทัศน์ในวัดบางวัดท้ังได้มีผู้พบเห็นพระภิกษุสามเณรยืนดูโทรทัศน์ปะปนกับคฤหัสถ์ตามหน้าบ้านหรือตามท่ีสาธารณะเปน็ ที่ครหา ไม่น่าเล่อื มใส คณะสังฆมนตรไี ด้พิจารณาเหน็ วา่ การเปดิ วิทยดุ ังเกนิ สมควร เป็นการไมส่ มควร โดยท่ัวไปดังทรี่ าชการ ไดป้ ระกาศหา้ มแลว้ เมอ่ื การเปิดเช่นนน้ั มใี นวัด ทั้งเปดิ ฟงั ในรายการภาคบันเทิง เช่น เพลงหรือละครยิ่งไม่สมควร ทางคณะสงฆ์ได้เคยประกาศให้เจ้าอาวาสแนะนาตักเตือน พระภิกษุสามเณรและศิษย์วัดเก่ียวกับการเปิดวิทยุฟังภายในวัด อย่าให้ผิดพระวินัย และก่อความราคาญแก่ผู้อื่นมาครั้งหน่ึงแล้ว โทรทัศน์ก็เช่นเดียวกัน เม่ือเปิดดูละคร เต้นรา และมวย เป็นต้น ซ่ึงผิดพระวินัยผิดวิสัยของสมณะเป็นการไม่สมควร เพราะเป็นข้าศึกหลักต่อกุศล เข้ากันกับส่ิงที่ไม่สมควร ขัดกันต่อสิ่งท่ีควร ตามหลักใหญ่แห่งข้อสาหรับอ้างอนุโลมในพระวินัย ไม่เหมาะสมแก่สถาบันของวัด ของสมณะผู้ประพฤติพระวินัย ทั้งเมื่อไปยืนดูตามหน้าบ้านหรือตามท่ีสาธารณะก็ย่ิงไม่ควร แม้พระอรหันต์ผู้ได้ทิพยจ์ กั ษุ พระบรมศาสดากต็ รัสหา้ มดูสิ่งทมี่ ใิ ช่วสิ ัยของพระสาวก เพราะฉะน้ัน เพื่อป้องกันเหตุเสื่อมเสียดังกล่าว คณะสังฆมนตรีจึงมีมติให้ประกาศห้ามพระภิกษสุ ามเณรดังต่อไปนี้ วทิ ยุ ห้ามเปิดวิทยุดังเกินสมควรในวัด ห้ามเปิดฟังเพลง ดนตรี หรือละคร เป็นต้น ในภาคบันเทิงซึ่งผิดพระวินัย ผิดวิสัยสมณะเว้นไว้แต่มีงานเก่ียวกับคฤหัสถ์ในวัด แต่ก็ให้รู้จักพอดี ให้กาชับกวดขันศิษย์อุปัฏฐากหรือผู้อาศัย ให้ปฏิบัติตามประกาศนี้ ให้สังวรในการใช้วิทยุเคร่ืองเล็ก ห้ามถือ หรือใส่ย่ามเปดิ ฟังไปในถนนหลวงหรือในทีส่ าธารณะต่างๆ ๒๒๕ คูม่ อื พระสงั ฆาธกิ าร

โทรทัศน์ ห้ามเปดิ โทรทัศนด์ ลู ะคร เตน้ รา และมวย เป็นต้น ซึ่งผิดพระวินัย ผิดวิสัยสมณะ แม้เป็นเร่ืองท่ีควรดู ห้ามเปิดให้มีเสียงดังเกินควร เว้นไว้แต่มีงานเก่ียวกับคฤหัสถ์ในวัด แต่ก็ให้รู้จักพอดี ให้กาชับศิษย์อุปัฏฐากหรือผู้อาศัยให้ปฏิบัติตามประกาศน้ีเช่นเดียวกับวิทยุ ห้ามเท่ียวยืนดูโทรทัศน์ ตามหน้าบา้ นหรือตามท่สี าธารณะทั่วไป พระคณาธิการหรือพระภิกษุสามเณรรูปใด ประพฤติฝ่าฝืนละเมิดข้อห้ามตามประกาศนี้ให้พระคณาธิการผู้มีอานาจเหนือลงโทษฐานละเมิดจริยาพระคณาธิการ ถ้าเป็นพระภิกษุสามเณรในวัด ให้เจ้าอาวาสวัดนน้ั ลงโทษฐานละเมิดอานาจเจา้ อาวาส ขอให้เจ้าคณะทุกชั้น เจ้าอาวาส ตรวจตราดูแลวัดและพระภิกษุสามเณรในสังกัด ให้ปฏิบัติตามประกาศนโี้ ดยท่วั กนั ประกาศ ณ วันท่ี ๒๘ ตุลาคม พทุ ธศกั ราช ๒๕๐๓ สมเด็จพระมหาวรี วงศ์ สงั ฆนายก ๒๒๖ คมู่ อื พระสังฆาธกิ าร

ประกาศคณะสงฆ์ เร่อื ง เกีย่ วกบั กล้องถา่ ยรปู กล้องส่องทางไกล ---------------------------- ด้วยปรากฏว่า ได้มีพระภิกษุสามเณรบางรูป ถือหรือสะพายกล้องถ่ายรูป เที่ยวถ่ายรูปบคุ คลและสถานทีใ่ นที่ต่าง ๆ ส่องกลอ้ งดบู ุคคลเป็นต้น ทีไ่ มเ่ ปน็ สมณสารปู คณะสังฆมนตรีได้พิจารณาเห็นว่า ความประพฤติเช่นนี้เป็นเหตุเสื่อมศรัทธาเล่ือมใส ของผู้พบเห็น แม้ผไู้ ม่รูพ้ ระวนิ ยั ไดพ้ บเห็น ก็รไู้ ดด้ ้วยความรูส้ กึ อย่างสามญั วา่ ไม่ควรแก่สมณะ ในบัดนี้ ปรากฏว่าได้มีชาวไทยและชาวต่างประเทศเป็นอันมากสนใจในพระพุทธศาสนามักสังเกตพฤติการณ์ต่าง ๆ ในวัดตลอดถึงความประพฤติของพระภิกษุสามเณร จึงสมควรท่ีทุกๆ วัดและพระภิกษุสามเณรทกุ รูปพึงสังวร ไม่ใหเ้ กดิ มีพฤติการณแ์ ละความประพฤติเป็นท่ีครหาเส่ือมศรัทธาเลอ่ื มใส เพราะฉะน้ัน เพื่อป้องกันเหตุเสื่อมเสียดังกล่าว คณะสังฆมนตรีจึงมีมติให้ประกาศห้ามพระภิกษุสามเณรถือหรือสะพายกล้องถ่ายรูปเท่ียวไปในที่ต่าง ๆ ห้ามถ่ายรูปบุคคลหรือสถานที่ในทีต่ า่ งๆ อยา่ งคฤหัสถ์ หา้ มสอ่ งกล้องดบู ุคคลเป็นต้น ทีไ่ มเ่ ปน็ สมณสารูป พระคณาธิการ หรือพระภิกษุสามเณรรูปใดประพฤติฝ่าฝืนละเมิดข้อห้ามตามประกาศนี้ใหพ้ ระคณาธกิ ารผู้มอี านาจเหนอื ลงโทษฐานละเมดิ จริยาของพระคณาธิการ ถ้าเป็นพระภิกษุสามเณรในวดั ใหเ้ จา้ อาวาสวัดนน้ั ลงโทษฐานละเมดิ อานาจเจ้าอาวาส ขอใหเ้ จ้าคณะทุกช้ัน เจา้ อาวาส ตรวจตราดแู ลวดั และพระภกิ ษุสามเณรในสงั กดั ใหป้ ฏบิ ัติตามประกาศน้โี ดยทั่วกนั ประกาศมา ณ วันท่ี ๒๘ ตลุ าคม พุทธศักราช ๒๕๐๓ สมเดจ็ พระมหาวีรวงศ์ สงั ฆนายก ๒๒๗ คู่มอื พระสังฆาธิการ

ประกาศคณะสงฆ์ เรอื่ ง ห้ามพระภิกษุสามเณรเข้าไปเก่ยี วข้องกบั วดั หรอื สานกั สงฆ์ทส่ี ร้างไมถ่ กู ต้อง ---------------------------- คณะสังฆมนตรีพิจารณาเห็นว่า ในบัดนี้มีผู้สร้างวัดหรือสานักสงฆ์ข้ึนในที่ของตนเองบ้างในที่สาธารณะบ้าง โดยไม่ถูกต้องตามกฎกระทรวงศึกษาธิการ ที่ออกตามความในมาตรา ๔ และมาตรา ๓๙ แห่งพระราชบัญญัติคณะสงฆ์ พุทธศักราช ๒๔๘๔ เป็นการละเมิดต่อกฎหมายบ้านเมืองและพระราชบัญญัติคณะสงฆ์ เป็นเหตุให้เกิดความเสียหายแก่พระราชอาณาจักรและคณะสงฆ์อยู่เนืองจึงมีมติใหป้ ระกาศห้ามพระภิกษุสามเณรเข้าไปเกีย่ วข้องกับวดั หรือสานกั สงฆ์ เช่นนโี้ ดยการ ๑. เข้าไปเปน็ หวั หนา้ จดั การ ๒. เข้าไปเป็นทปี่ รกึ ษาหรอื ผู้ช่วย ๓. เขา้ ไปพานักแรมคืนทนี่ ัน่ ถ้าปรากฏวา่ พระภกิ ษสุ ามเณรรูปใดฝ่าฝนื ให้พระคณาธกิ ารผ้ปู กครองในถ่ินน้ันปฏิบตั ดิ งั นี้ ๑. ใหเ้ จา้ คณะตาบลจดั การห้ามปรามแลว้ รายงานไปยงั คณะกรรมการสงฆ์อาเภอ ก. ลงโทษฐานฝา่ ฝืนแกพ่ ระภิกษุสามเณรรูปน้นั ตามควรแก่กรณี ข. แจ้งเหตุการณ์ และขออารักขาไปยังนายอาเภอท้องถ่ิน แล้วรายงานไปยังคณะกรรมการสงฆ์จงั หวัด ๓. ถ้ายังฝ่าฝืน ใหค้ ณะกรรมการสงฆ์จงั หวัด ก. ปิดประกาศห้ามพระภิกษสุ ามเณรไวใ้ นวัด หรอื สานกั สงฆท์ ่ีสร้างไมถ่ ูกต้องนัน้ ข. แจ้งพฤติการณ์ และขออารักขาไปยังคณะกรรมการจังหวัดท้องถิ่นแล้วรายงานพฤติการณแ์ กส่ ังฆมนตรีว่าการองค์การปกครอง ประกาศ ณ วนั ท่ี ๑๖ พฤศจิกายน ๒๕๐๕ สมเด็จพระมหาวีรวงศ์ สงั ฆนายก ๒๒๘ คูม่ อื พระสังฆาธกิ าร

ประกาศกรมการศาสนา เร่อื ง การเรยี กคานาหนา้ ชือ่ ของพระสงฆ์ ---------------------------- โดยที่กรมการศาสนาพิจารณาเห็นว่า ปัจจุบันน้ี การเรียกคานาหน้าชื่อพระสงฆ์ยังเรียกกันสับสนไม่เป็นท่ียุติแน่นอนเป็นอย่างเดียวกัน โดยเฉพาะพระสงฆ์ที่ยังไม่มีสมณศักด์ิ ยังใช้คานาหน้าเรียกชื่อว่า “พระภิกษุ” ก็มี “พระ.....” ก็มี สมควรที่จะได้ใช้คานาหน้าเรียกช่ือย่ออย่างใดอย่างหน่ึงใหเ้ ป็นการแน่นอน ท้ังน้ีเพื่อจะได้ถือปฏิบัติเป็นหลักอันเดียวกัน สาหรับพระสงฆ์ที่มีสมณศักด์ิน้ันไม่มีปญั หาประการใด เพราะใชเ้ รียกชอ่ื ตามราชทินนามสมณศักด์ิท่ีได้รับพระราชทานอยู่แล้ว จึงได้ตรวจสอบเร่ืองราวประเพณีในหนังสือแถลงการณ์คณะสงฆ์ พ.ศ. ๒๔๗๐ และตามเชิงอรรถข้อ ๑๕ อันเป็นพระนิพนธ์ของสมเด็จพระมหาสมณเจ้า กรมพระยาวชิรญาณวโรรส ในหนังสือพระราชบัญญัติลักษณะปกครองคณะสงฆ์ ร.ศ. ๑๒๑ แล้วนาเสนอมหาเถรสมาคมพิจารณา มหาเถรสมาคมในการประชุมครั้งท่ี ๑๕/๒๕๒๗ วันท่ี ๓๑ พฤษภาคม ๒๕๒๗ พิจารณาแล้ว มีมติเห็นชอบตามที่กรมการศาสนาเสนอและให้ถอื เป็นหลักปฏิบัติไดด้ ังนี้ ๑. พระภิกษุธรรมดาทั่วไป ใช้คานาหน้าชื่อว่า “พระ” เช่น พระสวัสดิ์ ควรต่อท้ายด้วยฉายาเป็นพระสวัสดิ์ สิริปุญฺโญ แต่ถ้าเป็นเปรียญตั้งแต่ ๓ ประโยคขึ้นไป ใช้คานาหน้าช่ือว่า “พระมหา”ต่อทา้ ยดว้ ยฉายา เชน่ พระมหาสวสั ดิ์ สิรปิ ญโฺ ญ ๒. ถ้าเป็นเจ้าอาวาส ใช้คานาหน้าชื่อว่า “พระอธิการ” ต่อท้ายด้วยฉายา เช่น พระอธิการสวัสดิ์ สิรปิ ญโฺ ญ ๓. ถ้าเป็นเจ้าคณะตาบล หรือเป็นพระอุปัชฌาย์ ใช้คานาหน้าเรียกชื่อว่า “เจ้าอธิการ”ตอ่ ท้ายด้วยฉายา เชน่ เจา้ อธกิ ารสวสั ด์ิ สิรปิ ญโฺ ญ กรมการศาสนาจึงประกาศให้ใช้คานาหน้าเรียกช่ือพระภิกษุธรรมดาทั่วไปว่า “พระ...”ใชค้ านาหนา้ เรยี กช่ือเจา้ อาวาสท่ไี ม่มีสมณศักดิ์วา่ “พระอธิการ.....” ใชค้ านาหน้าเรียกชื่อเจ้าคณะตาบลและพระอุปัชฌาย์ที่ไม่มีสมณศักดิ์ว่า “เจ้าอธิการ...” ต่อท้ายชื่อด้วยฉายาตามระเบียบการคณะสงฆ์ให้เปน็ แบบเดียวกนั ตอ่ ไป ประกาศ ณ วันท่ี ๓ กรกฎาคม ๒๕๒๗ (นายชาเลอื ง วุฒจิ ันทร)์ อธบิ ดีกรมการศาสนา ๒๒๙ คู่มือพระสงั ฆาธิการ

๒๓๐ คู่มอื พระสงั ฆาธกิ าร

๒๓๑ คู่มอื พระสงั ฆาธกิ าร

คาพิพากษาศาลฎกี าเกยี่ วกับเจา้ อาวาสเป็นเจ้าพนักงาน ฎีกาท่ี ๒๐๐๓-๒๐๐๕ / ๒๕๐๐ ขณะเกิดเหตุจาเลยเป็นพระภิกษุได้รับแต่งต้ังเป็นเจ้าอาวาส ใช้อานาจในตาแหน่งหน้าท่ีการงานในทางทุจริต เรียกเอาเงินสินบนในการให้เช่าที่ดินของวัดมีความผิดฐานเป็นเจ้าพนักงานรบั สินบน การท่ีพระราชบัญญัติคณะสงฆ์บัญญัตไิ วว้ ่า พระภิกษุซ่ึงได้รับแต่งต้ังให้ดารงตาแหน่งตามบทแห่งพระราชบัญญัติน้ี ให้ถือว่าเป็นเจ้าพนักงานตามกฎหมายลักษณะอาญาน้ัน บ่งชัดถึงอานาจและหน้าท่ี กล่าวคือเม่ือมีอานาจในวัดเหมือนเจ้าพนักงานแล้ว หากกระทาความผดิ ในหนา้ ท่ีก็จะตอ้ งเปน็ ผดิ ฐานเป็นเจา้ พนกั งานกระทาความผดิ ด้วย ฎีกาที่ ๓๐๔/๒๕๑๗ พระภิกษุจาเลยไม่อยู่ในโอวาทของเจ้าอาวาส เวลาไปไหนไม่ลาเจา้ อาวาสนาบุคคลภายนอกและพระภิกษุวัดอื่นมาพานักในกุฏิของจาเลย ไม่ปฏิบัติกิจทางสงฆ์ตามที่เจ้าอาวาสบอก เจา้ อาวาสมีคาส่งั ใหอ้ อกจากวัดภายใน ๕ วัน จาเลยทราบแล้ว ครบกาหนดไม่ปฏิบัติตามคาสั่งโดยไม่มีเหตุหรือข้อแก้ตัวอันสมควร จาเลยจึงต้องมีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญาฐานไมป่ ฏิบตั ิตามคาสั่งเจ้าพนักงานซ่งึ สั่งการตามอานาจท่มี ีกฎหมายให้ไวโ้ ดยไม่มีเหตุผลหรือข้อแก้ตัวอันสมควรตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา ๓๖๘ ฎีกาท่ี ๔๔๙๙/๒๕๓๙ คณะสงฆ์ผพู้ ิจารณาชั้นต้นมีคาวินิจฉัยว่าจาเลยกระทาผิดล่วงละเมิดพระธรรมวินัยให้จาเลยสึกจากการเป็นพระภิกษุ จาเลยได้ยื่นอุทธรณ์คัดค้านคาวินิจฉัยดังกล่าวต่อคณะสงฆ์ การยื่นอุทธรณจ์ ะกระทาโดยชอบหรือไม่ก็ไม่เป็นเหตุใหจ้ าเลยซ่ึงได้สึกจากการเป็นพระภิกษุไปแล้วกลับมาเป็นพระภิกษุใหม่อีก การที่จาเลยแต่งกายเป็นพระภิกษุเพ่ือให้บุคคลอ่ืนเช่ือว่าตนเป็นพระภิกษุและไม่ยอมออกไปจากวัดตามคาสั่งของเจ้าอาวาสวัดดังกล่าว จึงเป็นความผิดตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา ๒๐๘, ๓๖๘ วรรคแรก พรบ.คณะสงฆ์ พ.ศ. ๒๕๐๕ มาตรา ๔๕ มาตรา ๓๘(๑), ๔๕ คาพพิ ากษาศาลฎกี าเก่ียวกับศาสนา ฎีกาท่ี ๙๙๕/๒๔๗๕ อัยการโจทก์ฟ้องจาเลยหาว่าดูหมิ่นเหยียดหยามศาสนา ข้อเท็จจริงได้ความว่า จาเลยเข้าไปขุดพ้ืนโบสถ์เพื่อหาพระของเก่าในวัดร้างจนเป็นป่า มีแต่พ้ืนโบสถ์ ไม่มีผู้ใดเคารพบูชา พิพากษาว่า ไม่เป็นความผิด เพราะจาเลยมิได้เพ่งเล็งจะทาลายสถานที่อันเป็นการดูหม่ินเหยียดหยามศาสนา ฎีกาที่ ๔/๒๔๗๗ ข้อเท็จจริงได้ความว่า จาเลยกับพวกได้บุกรุก ทาลายเจดีย์วัดพระศรีสรรเพชญ์อันเปน็ วัตถุโบราณสาคญั เปน็ ทีเ่ คารพทางพระพทุ ธศาสนา พพิ ากษาวา่ จาเลยมีความผิด ๒๓๒ ค่มู อื พระสังฆาธิการ

ฎีกาท่ี ๘๔๖/๒๔๘๓ จาเลยกับพวกขุดทาลายพระเจดีย์อันเป็นท่ีสักการบูชาทางพระพุทธ-ศาสนาแมจ้ ะมงุ่ หาทรพั ย์ เม่ือจาเลยรู้อยวู่ ่าเจดยี ์นน้ั เปน็ ท่ีสกั การบูชาทางพุทธศาสนายอ่ มมีความผดิ ฏีกาท่ี ๓๙๒/๒๕๐๐ มีพิธีทาบุญในวัด จาเลยมีเหตุโกรธเคืองพระภิกษุรูปหนึ่งมาก่อน ได้เข้าไปในทป่ี ระชุมกลา่ ววาจาหยาบ ดา่ ประจานพระภิกษุรูปนน้ั แล้วเอาปราสาทผึ้งท่ีพุทธศาสนิกชนแห่ไปรว่ มพิธไี ปเตะเลน่ จาเลยยอ่ มมีความผิด ฎีกาที่ ๑๑๐๙/๒๕๐๐ มีพิธีแห่นาคไปตามถนน เพื่ออุปสมบท จาเลยเมาสุราชักมีดออกมาร่ายรา และไล่แทงคนในกระบวนแห่งนาค ศาลฎีกาเห็นว่า การแห่นาคไปตามถนนหลวงไม่ใช่การประชุม ทาพิธกี รรมทางศาสนา เป็นการกระทาตามประเพณีของประชาชนบางหมู่ จึงไม่เป็นความผดิ ฎีกาท่ี ๗๓๖/๒๕๐๕ จาเลยขณะเป็นพระภิกษุได้ร่วมประเวณีกับหญิงในกุฏิของจาเลยบนเขาวัง จังหวัดเพชรบุรี มีกุฏิของพระภิกษุรูปอ่ืนอยู่ใกล้เคียงหลายหลัง และมีพระพุทธรูปพระฉายอยดู่ ้วย เป็นสถานทป่ี ระชาชนเคารพนับถอื เห็นว่าเปน็ การไม่สมควร แต่จะถือว่าเป็นการเหยียดหยามศาสนายงั ไม่ถนัด ใหย้ กฟ้อง ฎีกาที่ ๑๑๐๐/๒๕๑๖ จาเลยส่งเสียงเอะอะอ้ือฉาว ในงานพิธีทางศาสนากล่าวถ้อยคาก้าวร้าวพระภิกษุ ใช้มือตบพ้ืนกระดานหลายครั้ง แล้วชักปืนออกมา แม้ผู้ท่ีประชุมไม่มีกิริยาวุ่นวาย จาเลยกม็ ีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา ๒๐๗ ฎีกาที่ ๔๔๙๙/๒๕๓๙ คณะสงฆ์ผพู้ ิจารณาช้ันต้นมีคาวินิจฉัยว่าจาเลยกระทาผิดล่วงละเมิดพระธรรมวินัยให้จาเลยสึกจากการเป็นพระภิกษุ จาเลยได้ย่ืนอุทธรณ์คัดค้านคาวินิจฉัยดังกล่าวต่อคณะสงฆ์ การย่ืนอทุ ธรณจ์ ะกระทาโดยชอบหรอื ไมก่ ไ็ มเ่ ป็นเหตใุ หจ้ าเลยซึ่งได้สึกจากการเป็นพระภิกษุไปแล้วกลับมาเป็นพระภิกษุใหม่อีก การที่จาเลยแต่งกายเป็นพระภิกษุเพื่อให้บุคคลอื่นเช่ือว่าตนเป็นพระภิกษุและไม่ยอมออกไปจากวัดตามคาส่ังของเจ้าอาวาสวัดดังกล่าว จึงเป็นความผิดตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา ๒๐๘, ๓๖๘ วรรคแรก พ.ร.บ.คณะสงฆ์ พ.ศ. ๒๕๐๕ มาตรา ๔๕ มาตรา ๓๘(๑), ๔๕ คาพพิ ากษาศาลฎีกาเกีย่ วกบั การบรหิ ารจดั การวัด ฎีกา ๓๗๐/๒๔๗๐ ผู้ถือศีลกินเจ ซึ่งอาศัยอยู่ในบริเวณวัดน้ัน เมื่อก่อความราคาญให้เป็นที่รังเกียจ หรือไม่อยู่ในโอวาทของเจ้าอธิการผู้ปกครองวัด เจ้าอธิการมีอานาจฟ้องขับไล่ได้ เจ้าอธิการฟ้องขับไล่จาเลยออกจากวัด จาเลยจะยกระเบียบราชการ ระหว่างวัดกับกระทรวงธรรมการ ในข้อท่ีว่าไม่ใหฟ้ ้องก่อนไดร้ บั อนญุ าต ขึน้ ตดั ฟอ้ งของโจทกน์ ั้นไม่ได้ ตามกฎเสนาบดกี ระทรวงยตุ ธิ รรมที่ ๑๕ ฎีกาท่ี ๕๓๘/๒๕๑๒ เจ้าอาวาสมีหน้าท่ีตามกฎหมายในการบารุงรักษาวัด จัดกิจการและศาสนสมบัตขิ องวัดให้เปน็ ไปด้วยดี ยอ่ มมสี ทิ ธิทจี่ ะพิเคราะหส์ ง่ั การในการซ่อมวิหารซ่ึงชารุด ว่าจะเป็นการสมควรประการใด เมื่อเจ้าอาวาสเห็นว่า การซ่อมแซมควรหันหน้าวิหารและพระประธานไปทางทิศตะวันออก เพื่อให้เป็นแนวเดียวกับโบสถ์ เป็นระเบียบตามแผนผังของคณะสงฆ์ ใครจะอ้างความ ๒๓๓ ค่มู อื พระสังฆาธกิ าร

ศรัทธา ฝ่าฝืนเข้าซ่อมวิหารโดยไม่ปฏิบัติตามคาสั่งของเจ้าอาวาสนั้นมิได้ หากยังขัดขืนเข้าซ่อมโดยพลการ เจ้าอาวาสย่อมมีสิทธิยับย้ังขัดขวางได้ โดยไม่เป็นการทาละเมิดด้วยการใช้สิทธิอันมีแต่จะเกดิ ความเสยี หายแกผ่ ู้อื่น ฎีกาที่ ๑๔๙๕/๒๕๑๗ จาเลยท่ี ๑ เป็นเจ้าอาวาส ส่ังให้จาเลยท่ี ๒ กับพวก ร้ือกุฏิ ๖ หลังรวมทั้งกุฏิที่จาเลยที่ ๑ และกุฏิที่พระภิกษุโจทก์อาศัยเพื่อไปปลูกรวมกับกุฏิอื่น ให้เป็นกลุ่มเดียวกันเป็นการบารุงรักษาวัด จัดกิจการและศาสนสมบัติของวัดให้เป็นไปด้วยดี ซึ่งจาเลยที่ ๑ ในฐานะเจ้าอาวาสมีอานาจกระทาได้ตามพระราชบัญญัติคณะสงฆ์ พ.ศ. ๒๕๐๕ มาตรา ๓๗ (๑) การกระทาของจาเลยไม่เป็นความผิดฐานบกุ รกุ ฎกี าที่ ๑๖๐๕/๒๕๒๑ กฎมหาเถรสมาคม ฉบับที่ ๕ (พ.ศ. ๒๕๐๖) ข้อ ๔๕ พระสังฆาธิการถูกลงโทษฐานละเมิดจริยา ต้องปฏิบัติตามหน้าท่ี แม้ในระหว่างอุทธรณ์คาส่ังน้ันจึงถือว่า ตาแหน่งเจ้าอาวาสว่างต้ังแต่มีคาสั่งถอดถอนโจทก์ เจ้าคณะตาบลต้ังผู้รักษาการแทนได้ ตามมาตรา ๓๙พ.ร.บ. คณะสงฆ์ พ.ศ. ๒๕๐๕ ฎีกาท่ี ๑๖๕๓/๒๕๒๕ เจ้าคณะจังหวัด ได้ให้ยุบรวมวัดใหม่เข้ากับวัดโจทก์เป็นวัดเดียวกันเม่ือ พ.ศ. ๒๔๘๑ ในขณะที่วัดใหม่ยังมีพระภิกษุอยู่ จึงหาใช่เป็นวัดร้างสงฆ์ไม่อาศัยไม่ การไม่ได้บัญญัติไว้แต่ตามพระราชบัญญัติคณะสงฆ์ ร.ศ. ๑๒๑ ซ่ึงใช้บังคับอยู่ในขณะน้ัน จะไม่ได้บัญญัติไว้แต่ตามพระราชบัญญัติคณะสงฆ์ พ.ศ. ๒๔๘๔ ยอมรับให้มีการรวมวัด ท่ีใกล้ชิดต่อกันเป็นวัดเดียวกันเพื่อประโยชน์แก่การบารุงวัดให้เจริญยิ่งขึ้น หรือเพื่อประโยชน์แก่การปกครองคณะสงฆ์ ร.ศ. ๑๒๑ก็ไม่มีบัญญัติห้ามไว้ ดังนั้น การที่เจ้าคณะจังหวัดสั่งรวมวัดใหม่เข้าเป็นวัดเดียวกับโจทก์ จึงเป็นการชอบด้วยกฎหมาย ฎีกาที่ ๓๙๘๑/๒๕๓๓ เจา้ คณะจังหวัดส่ังลงโทษถอดถอนโจทก์ออกจากตาแหน่งเจ้าอาวาสฐานลงช่ือเป็นนายแสดงภาวะไม่แน่นอนว่าเป็นบรรพชิตหรือคฤหัสถ์อันเป็นการประพฤติช่ัวอย่างรา้ ยแรง ไมส่ ง่ คาร้องทกุ ข์นน้ั ผ่านผู้ส่งั ลงโทษภายในกาหนด ๑๕ วนั นับแต่วันทราบคาส่ังลงโทษ คาส่ังลงโทษจึงเปน็ ทสี่ ุด ฎีกาท่ี ๗๔๙๐/๒๕๔๒ วัดโจทก์แม้จะได้รับอนุญาตให้สร้างวัดแล้วแต่เม่ือยังไม่ได้มีการดาเนินการเพื่อขอตั้งเป็นวัดและยังไม่ได้รับอนุญาตจากทางราชการให้ต้ังวัดตามกฎหมาย (ไม่ได้มีการประกาศต้งั เป็นวดั ในราชกจิ จานุเบกษา) จึงยังไมม่ ีฐานะเป็นนติ ิบคุ คล โจทก์จงึ ไม่มอี านาจฟอ้ ง ฎีกาที่ ๒๗๒๑/๒๕๔๘ หน้ีสนิ ท่พี ระครู ก. ซ่ึงรักษาการแทนเจ้าอาวาส กู้ยมื เงินโจทก์เป็นหนี้ท่ีใช้ในการก่อสร้างกุฏิอันเป็นศาสนสมบัติของวัดจาเลย มิใช่เป็นการกู้ยืมเพ่ือตนเอง พระครู ก.กระทาการดังกล่าวแทนวัด โดยอาศัยอานาจตาม มาตรา ๓๗ และ ๓๙ แห่ง พ.ร.บ. คณะสงฆ์พ.ศ. ๒๕๐๕ วดั จึงตอ้ งรับผิดชดใช้เงินกู้พร้อมดอกเบย้ี แกโ่ จทก์ ๒๓๔ คมู่ ือพระสงั ฆาธิการ

คาพิพากษาศาลฎีกาเกยี่ วกับทว่ี ดั ท่ธี รณสี งฆ์ ฎกี าท่ี ๒๓๘/๒๔๖๑ ที่วัด แม้ผู้ใดจะได้ครอบครองมาโดยเป็นปรปักษ์ จนรับโฉนดแล้วนานเท่าใดกด็ ี ที่นน้ั ก็หาเป็นกรรมสิทธิ์แกต่ นได้ไม่ ฎีกาท่ี ๓๔๙/๒๔๖๒ การอุทิศมรดกถวายวัด ด้วยปากเปล่านั้น ถ้าทรัพย์มรดกอันอุทิศตกถึงวัดแล้ว นับว่าเปน็ อนั สาเรจ็ ผูใ้ ดจะเรียกร้องเอามาแบ่งปนั ไมไ่ ด้ อ้างคาพิพากษาฎีกาที่ ๔๕๙/๑๒๘ ฎีกาท่ี ๑๒๑/๒๔๗๐ จาเลยนาศพเข้าไปฝังในที่ธรณีสงฆ์ เจ้าอาวาสและกรรมการอาเภอได้ห้ามจาเลย จาเลยกลับขัดขืนไม่ปฏิบัติตาม ดังน้ี ต้องมีความผิดฐานขัดคาส่ังเจ้าพนักงาน ตามกฎหมายลักษณะอาญา มาตรา ๓๓๔ ข้อ ๒ ท่ีธรณีสงฆ์ก็เป็นท่ีของวัด ซึ่งกรรมการอาเภอมีอานาจตรวจตราอุดหนุนผู้ปกปักรักษา มิให้ผู้ใดรุกล้าเบียดเบียน ตามความในมาตรา ๑๒๓ แห่งพระราชบัญญัติลักษณะการปกครองท้องถิ่น พ.ศ. ๒๔๕๗ ฎีกาที่ ๖๐๓/๒๔๗๔ การยกท่ีดินโฉนดอย่างเก่าถวายแก่คณะสงฆ์ ให้เป็นท่ีวัดน้ัน เมื่อเจ้าของท่ีดนิ ได้มอบโฉนดและที่ดินถวายสงฆ์ โดยคณะสงฆ์ได้ทาพิธีรับอุทิศ ตามลัทธิในพระพุทธศาสนา และมีพระภกิ ษุสงฆ์เข้าครอบครองมาตั้ง ๑๐ ปีเศษแล้ว แม้จะมิได้ทาเป็นหนังสือตามกฎหมายก็ดี ท่านว่าการใหน้ ั้นสมบรู ณเ์ ป็นสิทธิแ์ ก่วดั ฎีกาที่ ๙๖๖/๒๔๗๔ ท่ีวัดร้างน้ัน แม้ผู้ใดจะเข้าถืออานาจปกครองมานานต้ัง ๒๐ ปี ก็ไม่ได้กรรมสทิ ธ์อิ ัยการมอี านาจฟ้องขับไล่ผูบ้ กุ รุกเข้าปกครองท่วี ดั ร้างได้ ฎีกาท่ี ๙๘๖/๒๔๗๔ ท่ีดินซ่ึงวัดได้ปกครองมาช้านาน โดยไม่ปรากฏว่าได้มาทางจับจองหรือมีบุคคลอุทิศให้ ดังน้ี สันนิษฐานว่า ท่ีนั้นเป็นที่ธรณีสงฆ์ ที่ธรณีสงฆ์ของวัดนั้น ท่านว่าผู้หน่ึงผู้ใดจะอ้างอานาจปกครองโดยปรปักษ์หาได้ไม่ ผู้ว่าราชการจังหวัด มีอานาจเป็นโจทก์ฟ้องขับไล่ผู้บุกรุกธรณีสงฆแ์ ทนวดั ได้ ฎกี าที่ ๒๗๓/๒๔๗๔ ทรัพย์สินของพระภิกษุท่ีถึงแก่มรณภาพ อันจะตกเป็นของพระอารามตามกฎหมายลักษณะมฤดกบทที่ ๓๖ น้ัน หมายถึง เฉพาะทรัพย์ ที่ได้มาในระหว่างอุปสมบท พระภิกษุไดร้ บั มฤดกทีด่ นิ กอ่ นอปุ สมบท แต่มาโอนใสช่ ื่อในโฉนด เมอ่ื อุปสมบทแล้ว เม่ือพระภิกษุมรณะลงที่ดินหาตกเปน็ ของพระอารามไม่ ฎีกาท่ี ๑๒๕๓/๒๔๘๑ วัดเป็นนิติบุคคล ตาม ป.พ.พ. มาตรา ๗๒ และนิติบุคคลย่อมมีสิทธิเสมือนบคุ คลธรรมดาตามมาตรา ๗๐ ทั้งวดั กถ็ ือกรรมสิทธิ์ในที่ดินได้ ตาม พ.ร.บ. คณะสงฆ์ มาตรา ๖(พ.ร.บ. ลกั ษณะปกครองคณะสงฆ์ ร.ศ. ๑๒๑) วดั จงึ อาจไดม้ าซึง่ ที่ดินโดยการครอบครองปรปักษ์ ตามป.พ.พ. มาตรา ๑๓๘๒ ๒๓๕ คมู่ ือพระสังฆาธิการ

ฎีกาที่ ๘๔๓/๒๔๘๗ ทีธ่ รณีสงฆ์ หมายถงึ ทีซ่ ึ่งเปน็ สมบตั ิของวัด แตไ่ ม่จากดั วา่ จะต้องเป็นท่ที ม่ี ีผู้ยกให้ อาจได้มาโดยทางอ่นื เชน่ ทางซื้อก็ได้ ใครจะอ้างครอบครองปรปกั ษ์แก่ทีข่ องวดั ไม่ได้ ฎีกาที่ ๓๐๕/๒๔๙๗ ที่วดั และที่ธรณีสงฆ์ จะโอนกรรมสทิ ธิ์ไดแ้ ต่โดยพระราชบัญญตั ิ เอกชนจะอา้ งว่า ได้กรรมสิทธิ์โดยทางครอบครองปรปักษ์ในท่ีของวัดไมไ่ ด้ ฎีกาที่ ๖๖๒/๒๔๙๗ ท่ีธรณีสงฆ์นั้น แม้ผู้ใดจะครอบครองมาช้านานเพียงใด ก็ไม่ได้กรรมสิทธิ์หรอื สิทธิครอบครอง ท้ังนีเ้ พราะมกี ฎหมายบัญญตั ิไว้เป็นแนวเดียวกัน ตามนัยท่ีว่าน้ีมาแต่เดิม คือ พ.ร.บ.ลักษณะปกครองคณะสงฆ์ ร.ศ. ๑๒๑ มาตรา ๗ ว่า “ท่ีวัดก็ดี ท่ีธรณีสงฆ์ก็ดี เป็นสมบัติสาหรับพระศาสนา พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ผู้เป็นอัครศาสนูปถัมภกทรงปกครองรักษาโดยพระบรม-ราชานุภาพ ผู้ใดผู้หนึ่งจะโอนกรรมสิทธ์ิท่ีน้ันไปไม่ได้” แม้กฎหมายมาตราน้ีจะได้ถูกแก้ไขไปโดย พ.ร.บ.ลักษณะปกครองคณะสงฆ์ พ.ศ. ๒๔๗๗ ให้มีการโอนกรรมสิทธิ์ได้แต่โดยพระราชบัญญัติ หลักการในเร่อื งสทิ ธขิ องบุคคลเก่ยี วกับที่วดั กค็ งเป็นไปเช่นเดิม กล่าวคือ บุคคลจะอ้างเอาที่วัดหรือท่ีธรณีสงฆ์เป็นกรรมสทิ ธ์ิของตน โดยอาศัยอานาจครอบครองปรปกั ษ์หรือโดยอายุความไมไ่ ด้ ฎีกาท่ี ๘๕๑/๒๔๙๙ ซ้ือท่ีวัดที่ธรณีสงฆ์โดยสุจริต จากการขายทอดตลาดตามคาส่ังศาลผซู้ อ้ื ไม่ได้กรรมสทิ ธ์ิ ฎีกาที่ ๙๔๗-๙๔๘/๒๕๐๓ ศาลฎีกาโดยท่ีประชุมใหญ่เห็นว่า จริงอยู่ได้มี พ.ร.บ.คณะสงฆ์พ.ศ. ๒๔๘๘ มาตรา ๔๑ บญั ญตั วิ ่า “ทวี่ ัดและที่ธรณีสงฆจ์ ะโอนกรรมสิทธ์ิได้ แต่โดยพระราชบัญญัติ”แตใ่ นคดวี ัดได้ยนิ ยอมให้มีการขยายเขตถนนเดิม ซ่ึงได้ใช้เป็นทางหลวงอยู่แล้ว เข้าไปในท่ีวัด และเม่ือทางหลวงนีเ้ ปน็ สาธารณสมบัตแิ ผ่นดินตาม ป.พ.พ. มาตรา ๑๓๐๔ (๒) กรณีจึงเป็นว่า วัดได้อุทิศที่ดินสว่ นนีโ้ ดยปรยิ ายใหท้ างหลวง และการอทุ ศิ เช่นน้ีมิได้ไม่ขัดต่อ พ.ร.บ. คณะสงฆ์ พ.ศ. ๒๔๘๘ มาตรา ๔๑เพราะกรณีเชน่ นี้ ไมเ่ ขา้ ลกั ษณะเป็นการโอนกรรมสทิ ธิต์ ามที่ระบุไว้ ฎีกาท่ี ๑๐๖๘/๒๕๐๓ เจ้าของที่ดินทาพินัยกรรมยกที่ดินให้วัด โดยระบุให้ยายและมารดามีสิทธิเก็บกินตลอดชีวิต เมื่อเจ้าของท่ีดินตายแล้ว วัดมิได้ใช้สิทธิแก่ที่ดินนั้นประการใด ปล่อยให้มารดาของเจ้าของมรดกครอบครองท่ีดินและจดทะเบียนรับโอนมรดกเป็นของตนด้วย ซึ่งเป็นเวลาเกินกว่า๑๐ ปีแล้ว ดังน้ี เม่ือปรากฏว่ามารดาของเจ้าของมรดกก็ได้รับประโยชน์ตามพินัยกรรมจึงขาดอายุความไปแล้ว ตาม ป.พ.พ. มาตรา ๑๗๔๕ ผู้สืบสิทธิของมารดาเจ้ามรดกย่อมยกอายุความดังกล่าวตอ่ สู้วัดได้ ฎีกาท่ี ๗๒๑/๒๕๐๔ ท่ีธรณีสงฆ์น้ัน ผู้ใดจะยกอายุความครอบครองปรปักษ์ข้ึนใช้ยันกับวัดไม่ได้ ฎีกาท่ี ๙๕๓/๒๕๐๘ ตาม พ.ร.บ. คณะสงฆ์ พ.ศ. ๒๔๘๔ (กฎหมายที่ใช้อยู่ขณะเกิดกรณีพิพาทและในขณะฟ้อง) มาตรา ๔๑ เป็นบทบัญญัติเรื่องเปล่ียนกรรมสิทธิ์ หรือความเป็นเจ้าของท่ีได้กาหนดบังคับไว้วิธีเดียว คือโอนโดยพระราชบัญญัติเท่านั้น นอกจากนี้แล้วใครจะเอาที่ดินวัดไปเป็นของตนไม่ได้ ไมว่ ่าจะโอนไปโดยนติ ิกรรม หรือโดยการแย่งการครอบครอง ๒๓๖ คูม่ อื พระสังฆาธกิ าร

ฎีกาท่ี ๑๗๕๘,๑๗๕๙/๒๕๑๖ ท่ีดินของวัดน้ัน กรรมสิทธิ์จะโอนไปได้ก็แต่โดยออกพระราชบัญญัติเท่าน้ัน ท่ีพิพาทอยู่ในเขตพระพุทธบาท ซ่ึงพระเจ้าทรงธรรมได้ทรงอุทิศไว้แต่โบราณกาลโดยมีวัดพระพุทธบาทเป็นผู้ดูแลรักษา แม้จาเลยจะได้รับโฉนดสาหรับท่ีดินพิพาทมา ได้ครอบครองท่ีพิพาทอย่างเป็นเจ้าของเป็นเวลานานเท่าใด และแม้ทางวัดจะได้ปล่อยปละละเลยไว้เป็นเวลานานกวา่ จะไดใ้ ช้สิทธิตดิ ตามว่ากลา่ วเอาจากจาเลย กรรมสทิ ธิ์ในทดี่ นิ ของวัด กห็ าระงบั ส้ินสุดไปไม่ ฎกี าที่ ๑๑๒๗/๒๕๒๔ สานกั สงฆ์เปน็ นติ บิ คุ คล และเป็นผู้จัดการมรดกของพระภกิ ษุได้ ฎีกาท่ี ๔๐๒๗-๔๐๓๐/๒๕๒๔ วัดร้างสงฆ์ไม่อาศัย กรมการศาสนาย่อมมีอานาจดูแลรักษาและจัดการทรพั ย์สนิ ของวดั นัน้ ฎีกาท่ี ๒๑๘๔-๒๔๘๕/๒๕๒๕ เจ้าอาวาสมีอานาจฟ้องคดีแทนวัด หรือมอบอานาจให้ผู้อ่ืนฟ้องคดีแทนได้ เมื่อข้อเท็จจริงฟังได้ว่า ท่ีพิพาทเป็นของวัด แม้บางแปลงจะได้มีการออกโฉนดเป็นชื่อของจาเลย จาเลยก็หาได้กรรมสิทธ์ิในที่ดินน้ันไม่ เพราะที่วัดจะโอนกรรมสิทธิ์ได้ก็แต่โดยพระราช-บัญญัติและบุคคลใดจะยกอายคุ วามขึน้ ต่อสวู้ ดั เรอ่ื งทรัพยส์ นิ อนั เปน็ ของวดั ไม่ได้ ฎีกาที่ ๑๙๓๒/๒๕๒๖ วัดโจทก์ตั้งเป็นสานักสงฆ์มาตงั้ แต่ พ.ศ. ๒๕๐๖ ตามพระราชบัญญัติคณะสงฆ์ พ.ศ. ๒๕๐๕ มาตรา ๓๑ บัญญัติว่า วัดมีสองอย่าง คือ วัดที่ได้รับพระราชทานวิสุงคามสีมาและสานักสงฆ์ สานักสงฆ์ท่ีได้รับอนุญาตให้จัดต้ังข้ึนตามกฎหมายแล้ว แม้จะยังมิได้รับพระราชทานวสิ งุ คามสีมา กเ็ ป็นนติ บิ คุ คลตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณชิ ย์ จึงมีสิทธคิ รอบครองท่ีดิน ที่มีผู้ยกใหเ้ ปน็ ของวัดได้ ฎกี าที่ ๑๒๐๖/๒๕๓๐ โจทก์เป็นวัดท่ีต้ังข้ึนโดยชอบด้วยกฎหมาย แม้บางครั้งจะไม่มีพระภิกษุจาพรรษาอยู่ในวัด โดยมีลักษณะเป็นวัดร้าง แต่เมื่อไม่มีการยุบเลิกวัด จึงต้องถือว่า ยังคงมีฐานะเป็นวัดอยู่ ฎีกาที่ ๓๗๖๐/๒๕๔๕ วัดยอมให้ทางราชการใช้ที่ดินพิพาทเป็นโรงเรียนหาใช่เป็นการยกท่ีพิพาทใหจ้ าเลยไม่ การที่จาเลยนาที่ดินพิพาทไปออกเป็น น.ส. ๓ ก. เป็นชื่อจาเลย แล้วขึ้นทะเบียนเปน็ ท่ีราชพสั ดุจึงเปน็ การไมช่ อบ ที่ดนิ พพิ าทยงั คงสภาพเปน็ ที่วัดและท่ธี รณีสงฆอ์ ยูเ่ ช่นเดมิ ฎีกาที่ ๒๐๒๓-๒๐๒๖/๒๕๕๒ การออกโฉนดในบริเวณรอบ ๆ องค์พระพุทธบาทไม่ชอบเป็นการออกโฉนดทับที่ธรณีสงฆ์ พระบรมราชโองการที่พระเจ้าทรงธรรมพระราชทานที่ดินให้แก่วัดมศี ักด์ทิ างกฎหมายสูงกวา่ พระราชกฤษฎกี า จึงไม่สามารถลบล้างพระบรมราชโองการได้ ฎีกาท่ี ๔๘๕/๒๕๕๓ แม้ในหนังสือพินัยกรรมท่ีผู้ตายทาพินัยกรรมยกท่ีดินถวายวัด จะไม่มีพยาน ๒ คนลงลายมือชื่อรับรอง จึงไม่เป็นพินัยกรรมตามกฎหมาย แต่เอกสารดังกล่าวถือได้ว่าเป็นหนงั สอื ยืนยันการยกที่ดินถวายวดั เม่อื วดั เข้าทาประโยชน์ในท่ีดนิ พิพาทแลว้ ท่ีพพิ าทจึงเป็นท่ธี รณีสงฆ์ ๒๓๗ คมู่ อื พระสงั ฆาธิการ

คาพิพากษาศาลฎกี าเกยี่ วกับมรดกของพระภิกษุ ฎีกาที่ ๔๓๙/๒๔๗๙ พระภกิ ษุถึงแกม่ รณภาพโดยไม่มีพนิ ยั กรรมก่อนทม่ี รดกตกเป็นของวดัจะตอ้ งใช้หน้แี ก่เจา้ หนี้ของผู้มรณภาพเสยี ให้สน้ิ เชิงก่อน ฎีกาท่ี ๒๗๓/๒๔๗๕ พระภิกษุได้รับมรดกที่ดินก่อนอุปสมบทแต่มาโอนใส่ช่ือในโฉนดเมื่ออปุ สมบทแล้ว เมือ่ พระภิกษมุ รณะลงทีด่ นิ หาตกเป็นของพระอาราม ฎีกาท่ี ๗๗๙/๒๔๘๔ โจทก์เป็นพระภิกษุฟ้องว่า ได้รับมรดกที่ดินพิพาทมาจากบิดา บัดนี้จาเลยบกุ รกุ เขา้ ทานา ขอใหข้ ับไล่ จาเลยตัดฟ้องว่า โจทก์เป็นพระภิกษุฟ้องเรียกมรดกโดยไม่สึกเสียก่อนไมช่ อบดว้ ยมาตรา ๑๖๒๒ ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า คดีนี้เป็นเร่ืองที่โจทก์ได้รับท่ีดินครอบครองเป็นเจ้าของมาก่อนแล้ว จึงฟ้องจาเลยผู้บุกรุก ไม่ใช่เร่ืองทายาทฟ้องเรียกมรดกของผู้ตาย โจทก์ไม่จาต้องสึกกฟ็ อ้ งจาเลยได้ พพิ ากษาให้ขับไล่จาเลย ฎีกาที่ ๓๔๑/๒๔๙๕ โจทก์ฟ้องเรียกที่ดินและบ้าน จากจาเลยซ่ึงเป็นพระภิกษุ อ้างว่า มารดายกให้โจทก์ จาเลยเพียงอยู่อาศัย ทางพิจารณาได้ความว่า ที่ดินและบ้านพิพาทเป็นมรดกได้แก่โจทก์จาเลย ศาลชั้นต้นวินิจฉัยว่า แม้โจทก์ฟ้องขอให้แสดงว่า ท่ีดินและบ้านเรือนเป็นของโจทก์ผู้เดียวเม่ือไดค้ วามว่า เป็นมรดกอันควรแบ่ง ศาลอาจแบง่ ให้ได้ พิพากษาใหแ้ บง่ ทด่ี นิ บ้านเรือนให้โจทก์จาเลยตามส่วน ศาลอุทธรณ์วินิจฉัยว่า คดีไม่มีประเด็นทางมรดก ท้ังจาเลยเป็นพระภิกษุ การให้แบ่งมรดกจึงไม่สมควรและอาจขัดกับมาตรา ๑๖๒๒ พิพากษายกฟ้อง ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า แม้โจทก์จะมิฟ้องขอแบ่งมรดก แตก่ ล่าวฟ้องวา่ เปน็ ทดี่ นิ ของมารดาโจทกแ์ ละบดิ ามารดาจาเลย ซึ่งตายไปแล้ว จาเลยก็รับในข้อน้ี คงเถียงกันว่าเป็นของตนฝ่ายเดียว หากทางพิจารณาฟังได้ว่า เป็นมรดกอันควรแบ่ง ศาลพิพากษาใหโ้ จทกไ์ ดร้ บั แต่ส่วนแบ่ง ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา ๑๔๒ ส่วนข้อที่ผู้มีส่วนควรไดร้ ับมรดกอาจมอี ยู่นนั้ เปน็ เรื่องของผู้น้ันจะรอ้ งเขา้ มาเอง หาใชเ่ ปน็ หน้าที่ของศาลไม่ ส่วนข้อที่ว่าจาเลยเป็นพระภิกษุน้ัน จาเลยไม่ใช่ผู้เรียกร้องเอาทรัพย์มรดก แต่ถูกฟ้องเป็นจาเลยจึงไม่ขัดกับมาตรา ๑๖๒๒ พพิ ากษากลบั คาพพิ ากษาศาลอุทธรณ์ ให้บังคับคดีตามคาพพิ ากษาศาลชั้นตน้ ฎีกาที่ ๑๒๖๕/๒๔๙๕ พระภิกษุมรณภาพในขณะที่เป็นพระภิกษุอยู่ โดยมิได้ทาพินัยกรรมยกทรัพย์มรดกให้ใคร มรดกของพระภิกษุนั้นย่อมตกได้แก่วัดท่ีพระภิกษุนั้นสังกัดอยู่ แม้ทายาทจะครอบครองท่ีดินมรดกของพระภิกษุนั้นเกิน ๑๐ ปี นับแต่วันมรณภาพ ทายาทจะเอาที่ดินมรดกน้ันไมไ่ ด้ เพราะท่ีดนิ มรดกนั้นเป็นของวัดจะใชอ้ ายุความ ๑๐ ปี ยนั วัดให้เสยี สทิ ธหิ าไดไ้ ม่ ฎีกาที่ ๔๐๖/๒๕๑๐ เจ้ามรดกมีบุตร ๖ คน ๆ หน่ึงบวชเป็นพระภิกษุก่อนเจ้ามรดกตายมาเป็นเวลา ๒๐ ปี ไม่ได้ร่วมครอบครองทรัพย์มรดกคงมีแต่โจทก์ จาเลยและทายาทอื่นครอบครองร่วมกันแล้วฟอ้ งขอแบ่งมรดกกัน ศาลฎีกาโดยท่ีประชมุ ใหญใ่ ห้แบ่งมรดกออกเป็น ๕ ส่วน ให้โจทก์จาเลยและ ๒๓๘ คมู่ ือพระสงั ฆาธกิ าร

ทายาทอื่นรวม ๕ คน ๆ ละส่วน ตามฎีกานี้ทายาทท่ีเป็นพระภิกษุ ไม่ได้ส่วนแบ่ง เพราะไม่ได้สึกออกมาเรียกร้อง ฎีกาที่ ๓๗๑๒/๒๕๒๖ ทด่ี นิ พพิ าทเป็นทรพั ยส์ ินที่ ผ.จดทะเบียนยกใหพ้ ระภิกษุ ฮ. ระหวา่ งเวลาที่อย่ใู นสมณเพศ เมือ่ พระภิกษุ ฮ. ถึงแก่มรณภาพที่ดินพิพาทจงึ ตกเปน็ สมบตั ิของวัดโจทกซ์ ่ึงเป็นภมู ลิ าเนาของพระภิกษุ ฮ. ตามมาตรา ๑๖๒๓ ฎีกาที่ ๑๐๖๔/๒๕๓๒ บิดามารดายกท่ีนาให้แก่พระภิกษุ ข. ภายหลังที่พระภิกษุ ข. บวชเป็นพระภิกษุ เม่ือพระภิกษุ ข. ขายท่ีนาแปลงดังกล่าวและนาเงินท่ีขายได้ไปฝากธนาคาร เงินท่ีนาไปฝากธนาคารรวมทงั้ ดอกเบ้ียท่ีได้รบั ถอื วา่ เปน็ ทรพั ยท์ ่ไี ด้มาในระหวา่ งท่ีอยูใ่ นสมณเพศ เมื่อพระภิกษุ ข.ถึงแก่มรณภาพ เงนิ ฝากดังกล่าวยอ่ มตกเป็นของวัดโจทก์ ซ่ึงเป็นภมู ลิ าเนาของพระภิกษุ ข. ฎีกาที่ ๕๖๔/๒๕๓๖ หนังสือสุทธิสาหรับพระภิกษุ ใบมรณบัตร ใบแต่งต้ังเป็นพระครูคาขอรับมรดกของมรดกของมารดา และบัญชีเงินฝากต่างระบุว่าผู้ตายอยู่วัดผู้ร้อง แสดงว่าผู้ตายถือเอาวัดผู้ร้องเป็นสถานท่ีอยู่ เป็นแหล่งสาคัญ ทรัพย์สินของผู้ตายท่ีได้มาในระหว่างเวลาที่อยู่ในสมณเพศ จึงตกเป็นสมบัติของวัด ฎีกาท่ี ๙๐๓/๒๕๓๖ ก่อนพระภิกษุ ช. มรณภาพ พระภิกษุ ช. ได้จดทะเบียนรับโอนท่ีพิพาทท่ีเช่าซื้อมาในระหว่างเวลาท่ีอยู่ในสมณเพศ แต่พระภิกษุ ช. ได้เช่าซื้อท่ีดินและชาระค่าเช่าซ้ือจนครบถว้ นแลว้ กอ่ นทีม่ าบวชเป็นพระภิกษุ จึงต้องถือว่าพระภิกษุ ช. ได้ท่ีดินพิพาทมาก่อนที่จะบวชเป็นพระภิกษุ การจดทะเบียนการได้มาในภายหลังเป็นแต่เพียงการทาให้การได้มาบริบูรณ์ ท่ีพิพาทจึงไม่ตกเปน็ สมบตั ิวัด แตเ่ ปน็ ทรพั ย์มรดกตกแกบ่ รรดาทายาท ๒๓๙ คู่มือพระสังฆาธิการ

บรรณานกุ รม๑. กรมการศาสนา, ค่มู ือพระสงั ฆาธกิ าร วา่ ด้วยพระราชบัญญตั ิ กฎ ระเบียบและคาสง่ั คณะสงฆ์, โรงพิมพ์กรมการศาสนา, ๒๕๔๒๒. กนก แสนประเสริฐ, เอกสารคู่มือว่าด้วยประมวลพระราชบญั ญตั ิคณะสงฆ์, โรงพิมพส์ านักงานพระพุทธศาสนาแหง่ ชาต,ิ ๒๕๔๙๓. ปลมื้ โชติษฐยางกูร, คาบรรยายกฎหมายคณะสงฆ์, โรงพมิ พม์ หาจุฬาลงกรณราชวิทยาลยั , ๒๕๕๓๔. สถาบันพระสังฆาธิการ, คู่มือพระสงั ฆาธกิ าร, โรงพิมพ์สานักงานพระพทุ ธศาสนาแห่งชาต,ิ ๒๕๕๕๕. สานักงานคณะกรรมการกฤษฎีกา, ๒๕๕๗, พระราชบัญญัติคณะสงฆ์ พ.ศ. ๒๕๐๕ (ออนไลน์), แหล่งที่มา : http.//krisdika.go.th ๑๑ พฤศจิกายน ๒๕๕๗ ๒๔๐ คูม่ ือพระสงั ฆาธกิ าร


Like this book? You can publish your book online for free in a few minutes!
Create your own flipbook