Important Announcement
PubHTML5 Scheduled Server Maintenance on (GMT) Sunday, June 26th, 2:00 am - 8:00 am.
PubHTML5 site will be inoperative during the times indicated!

Home Explore 80 ปี เจษฏาจารย์ ประทีป มาร์ติน โกมลมาศ: ฝากไว้ในแผ่นดิน

80 ปี เจษฏาจารย์ ประทีป มาร์ติน โกมลมาศ: ฝากไว้ในแผ่นดิน

Published by AU Library, 2019-01-19 01:39:15

Description: 80 ปี เจษฏาจารย์ ประทีป มาร์ติน โกมลมาศ: ฝากไว้ในแผ่นดิน

Search

Read the Text Version

ปี 2553 ปาฐกถาพิเศษ สภาการศึกษาคาทอลิกแห่งประเทศไทย ในการ 151 สมั มนาประจ�ำ ปี ครง้ั ท่ี 40 หวั ขอ้ “การปฏริ ปู การศกึ ษาคาทอลกิ ” ระหวา่ งวนั อาทติ ยท์ ่ี 22 ถงึ วนั พธุ ท่ี 25 สงิ หาคม 2553 ณ โรงแรม 1. บราเดอร์ มารต์ ิน ขณะบรรยายในงานสมั มนาของสภาการศกึ ษาคาทอลิก เอเชยี พทั ยา ชลบรุ ี แห่งประเทศไทย ปี 2550 ปี 2554 ปาฐกถาพิเศษ สภาการศึกษาคาทอลิกแห่งประเทศไทย ในการ สมั มนาประจ�ำ ปี ครง้ั ท่ี 41 หวั ขอ้ “การบรู ณาการวฒั นธรรม ความ 2. บราเดอร์ มาร์ติน ในงานสมั มนาของสภาการศกึ ษาคาทอลิกแห่งประเทศ เชอ่ื และชวี ติ ในบรบิ ทของสงั คมไทยปจั จบุ นั ” ระหวา่ งวนั ท่ี 21-24 ไทย ปี 2551 สงิ หาคม 2554 ณ โรงแรมเอเชยี พทั ยา ชลบรุ  ี ปี 2555 ปาฐกถาพิเศษ สภาการศึกษาคาทอลิกแห่งประเทศไทย ในการ สมั มนาประจ�ำ ปี ครง้ั ท่ี 42 หวั ขอ้ “โรงเรยี นคาทอลกิ ไทย ในบรบิ ท ของประชาคมอาเซียน” ระหว่างวันท่ี 19-22 สิงหาคม 2555 ณ โรงแรมเอเชยี พทั ยา ชลบรุ ี ปี 2556 ปาฐกถาพิเศษ สภาการศึกษาคาทอลิกแห่งประเทศไทย ในการ สัมมนาประจำ�ปี คร้งั ท่ี 43 หัวข้อ “โรงเรียนคาทอลิกในมาตรฐาน สากล” วนั อาทติ ยท์ ่ี 18 ถงึ วนั พธุ ท่ี 21 สงิ หาคม 2556 ณ โรงแรม เอเชยี พทั ยา ชลบรุ ี

WORKS   ด้วยเหตุน้ี คริสตชนทุกคนจึงต้องรู้จักศึกษาศาสนธรรม หรือหลักคริสตธรรม และจะต้องนำ�ไปใช้เป็นหลักปรัชญา ศาสนธรรมและปรชั ญา ของการดำ�เนินชีวิตมนุษย์ในโลกน้ี บิดามารดามีหน้าท่ีๆ จะ อารมั ภบท ต้องให้ลูกของตนได้รับการศึกษาอบรมในเร่ืองน้ีซ่ึงถือว่าเป็น   ปรัชญาชีวิตของคริสตชนทุกคนข้ึน ประวตั ศิ าสตรแ์ หง่ ความรอด (salvation) อยู่กับความเช่ือความศรัทธาในศาสนา บทบาทของนกั ปรชั ญา และนกั เทวศาสตร์ ตามหลกั ครสิ ตธรรมนน้ั ศาสนธรรม คอื   เปน็ การยอมรบั กนั โดยทว่ั ไปวา่ การปฎบิ ตั ศิ าสนกจิ เปน็ เรอ่ื ง เทวศาสตรห์ รอื เทววทิ ยา ซง่ึ เปน็ ศาสตร์ ของความเช่อื ความศรัทธา ท่มี นุษย์จะยึดถือเป็นท่พี ่งึ ทางใจ หรือความรู้ท่ีเก่ียวกับพระเจ้า ความ หรือเป็นหนทางแห่งความรอด (salvation) ท่ีตนยึดถือเป็น สัมพันธ์ท่พี ระเจ้ามีต่อมนุษย์และมนุษย์ ปรัชญาชีวิต ดังน้ัน การศึกษาเก่ียวกับศาสนาจึงเป็นเร่ือง มีต่อพระเจ้า ส่งิ เหล่าน้คี ือ ศาสนธรรม สำ�คัญสำ�หรับทุกคน รวมท้งั นักปรัชญาและนักเทวศาสตร์ผ้มู ี และปรชั ญาชวี ติ ของครสิ ตชน บทบาทรับใช้ศาสนจักร และช่วยทำ�ให้ความเช่ือทางศาสนา   โดยนัยดังกล่าว การท่ีมีคำ�ถามว่า บรสิ ทุ ธอ์ิ ยใู่ นทศิ ทางทถ่ี กู ตอ้ งเหมาะสมจะเปน็ วถิ ชี วี ติ ทผ่ี ปู้ ฎบิ ตั ิ มนษุ ยเ์ กดิ มาท�ำ ไม มชี วี ติ อยเู่ พอ่ื อะไร จงึ ศาสนกจิ จะพง่ึ ได้ การสนทนาแลกเปลย่ี นความคดิ เหน็ เกย่ี วกบั เป็นคำ�ถามท่มี นุษย์จำ�นวนมากต้องการ เรอ่ื งศาสนาเปน็ กจิ วตั รประจ�ำ สปั ดาหข์ องชมุ ชนครสิ ตชน ทง้ั น้ี แสวงหาคำ�ตอบ ซ่ึงพิจารณาตามหลัก เพราะครสิ ตชนมหี นา้ ทแ่ี ละความผกู พนั (obligation) ทต่ี อ้ ง ครสิ ตธรรมแลว้ ค�ำ ตอบกค็ อื มนษุ ยเ์ กดิ ไปโบสถท์ กุ อาทติ ย์ มาเพ่ือรู้จักรัก และปรนนิบัติพระเจ้า และจะเปน็ สขุ กบั พระองคใ์ นทส่ี ดุ ตลอด นริ นั ดร

ตัวอย่างเช่น ข้อคิดของปรมาจารย์ Immanuel Kant ท่ี   อย่างไรก็ตาม St. Thomas Aquinas นักปราชญ์คน กลา่ วไวว้ า่ ส�ำ คญั ของศาสนจกั รคาทอลกิ และเปน็ นกั ปราชญผ์ ยู้ ง่ิ ใหญข่ อง   “Two things fill the mind with ever increasing โลกตะวนั ตก ไดแ้ สดงทรรศนะไวใ้ น Summa Theologica วา่   “เทวศาสตร์ ไม่จำ�เป็นต้องมีศาสตร์ทางปรัชญามา wonder and awe, the more often and the more ช่วยส่งเสริมความรู้ทางเทวศาสตร์ในเร่ืองของพระเจ้า แต่ อย่างไรก็ดี ศาสตร์ทางปรัชญาอาจช่วยทำ�ให้เราเข้าใจ intensely the mind of thought is drawn to them: เทวศาสตร์ดีข้ึน ท้ังนี้เพราะการพิสูจน์ว่าพระเจ้ามีจริง หรือไม่นั้น มีเหตุผลในตัวเอง หรือ self evident” แต่ the starry heavens above me and the moral law จะมีผู้คนนอกชุมชนคริสตชนสักก่ีคนที่สามารถเข้าใจใน เรอื่ งนไ้ี ด้ถกู ตอ้ ง within me.”   ความจริงข้อเขียนและระบบการคิดของ St. Thomas Aquinas นน้ั วางอยบู่ นรากฐาน ความคดิ ของ Aristotle และ บรรดานกั ปรชั ญาทง้ั หลายนน่ั เอง   ข้อคิดดังกล่าวของนักปรัชญา Immanuel Kant มีนัย ส�ำ คญั 2 ประการ คอื ค�ำ สอนของศาสนาจกั รคาทอลกิ ส�ำ หรบั สตั บรุ ษุ 153   1. สรรพสง่ิ สรรพสตั วท์ ง้ั หลายไมไ่ ดเ้ กดิ ขน้ึ เองหรอื โดยการ   เพอ่ื ชว่ ยใหค้ รสิ ตชนทกุ คนไดม้ หี นงั สอื คมู่ อื ประจ�ำ ครอบครวั บงั เอญิ แตม่ อี งคป์ ญั ญาอยเู่ บอ้ื งหลงั การเปน็ มาของสง่ิ เหลา่ น้ี ในการศึกษาศาสนธรรมและการปฎิบัติศาสนกิจ ดังน้นั ในปี   2. มนุษย์ทุกคนมีนโนธรรม อันเป็นคุณสมบัติเฉพาะของ มนษุ ยผ์ มู้ ปี ญั ญา ขอ้ ไตรต่ รองของนกั ปรชั ญา Immanuel Kant อาจมผี ลเชงิ บวก หรือเชิงลบต่อผ้ทู ่ศี ึกษาก็ได้ข้นึ อย่กู ับวิจารณญาณของผ้ศู ึกษา รวมทง้ั ผฟู้ งั เทศนใ์ นโบสถท์ กุ อาทติ ย์

WORKS ค.ศ. 2006 ส�ำ นกั วาตกิ นั จงึ ไดต้ พี มิ พห์ นงั สอื ค�ำ สอนท่ี มชี อ่ื วา่ ทจ่ี ะเลอื กท�ำ หรอื เลอื กไมท่ �ำ อยา่ งไรกด็ ี มนษุ ยต์ อ้ งรบั ผดิ ชอบตอ่ การกระท�ำ ของ COMPENDIUM: Catechism of the Catholic Church ตน (No.364) ซง่ึ ไดม้ กี ารปรบั ปรงุ มาจากค�ำ สอนหลายศตวรรษมาแลว้ คณุ ธรรมจรยิ ธรรม (Moral virtues)   หนงั สอื ค�ำ สอนเลม่ น้ี บรรจสุ าระเนอ้ื หาของศาสนธรรมตาม คอื อะไร? หลกั ครสิ ตธรรมหรอื เทวศาสตรค์ รบทง้ั ฉบบั ยอ่ จดั เปน็ รปู ค�ำ ถาม   คณุ ธรรมจรยิ ธรรม คอื การท�ำ ความ ค�ำ ตอบ จ�ำ นวน 598 ขอ้ ดเี ปน็ นสิ ยั โดยใชส้ มรรถภาพทางปญั ญา และปณิธาน (will) ควบคุมและช้ีนำ� การปฏบิ ตั คิ ณุ ธรรมจรยิ ธรรมตามหลกั ครสิ ตธรรม การกระทำ�หรือพฤติกรรมของตนอย่าง   คริสตศาสนาเช่ือและถือเป็นหลักการว่า มนุษย์ทุกคนมี สมำ�่ เสมอ ตามหลกั การของเหตุผลและ ศักด์ิศรี (dignity) เพราะพระเจ้าทรงสร้างเขามาตามพระ ความเชอ่ื ศรทั ธา (No.377) ฉายาลักษณ์ (image) ของพระองค์ (No.358) ด้วยเหตุน้ี   ตามหลักคริสตธรรม คุณธรรมจริย มนุษย์จึงมีวิญญาณ (soul) เป็นจิตและเป็นอมตะ วิญญาณ ธรรม (moral virtues) มี 2 ประเภท คอื ของมนุษย์ประกอบด้วย ปัญญาและอิสรภาพในการตัดสินใจ 1. Human Virtues หรือ คุณธรรม (free will) ความเป็นบุคคลของมนุษย์ (human person) ถกู ก�ำ หนดโดยพระเจา้ ใหม้ คี วามสขุ (beatitude) กบั พระองค์ จริยธรรมของความเป็นมนุษย์ ซ่งึ มี ตลอดนริ ันดรในภพหนา้ มนษุ ยจ์ ะบรรลุถงึ บรมสุขกบั พระเจ้า คุณธรรมจริยธรรมหลักสำ�คัญรวม โดยอาศยั บญุ บารมแี ละหรรษทานและการไถก่ ู้ (redemption) กัน เรียกว่า Cardinal Virtues ของพระเยชคู รสิ ต์   ดังน้นั ในชีวิตประจำ�วันคริสตชนควรสำ�นึกในศักด์ศิ รีของ (No.379) ตนและพึงปฏิบัติตนตามเสียงมโนธรรมของตนในการทำ�ดีหนี ชว่ั นอกจากน้ี พระเจา้ ไดท้ รงประทานเสรภี าพแกม่ นษุ ยท์ กุ คน 2. Theological virtues (แต่ขอ อนญุ าตทจ่ี ะไมอ่ ธบิ าย ณ ทน่ี )้ี

  ส�ำ หรบั Cardinal Virtues หรอื คณุ ธรรมจรยิ ธรรมหลกั ท่านน้ยี ังเสริมต่ออีกว่า เราต้องไม่สับสนกับคำ� Timidity or 155 ส�ำ คญั ประกอบดว้ ย fear หรอื Duplicity หรอื Dissimulation ซง่ึ หมายถงึ การ เสแสรง้ แกลง้ ท�ำ ไมต่ รงกบั ความรสู้ กึ ในใจทแ่ี ทจ้ รงิ โดยมเี จตนา  Prudence ไมบ่ รสิ ทุ ธแ์ิ ฝงเรน้   Justice หรอื ความยตุ ธิ รรม คอื คณุ ธรรมจรยิ ธรรม (moral  Justice virtues) ทอ่ี ยบู่ นพน้ื ฐานของการเคารพสทิ ธขิ องผอู้ น่ื ยอมรบั ความเท่าเทียมกันและความเสมอภาคของความเป็นมนุษย์  Fortitude และ อนั จะกอ่ ใหเ้ กดิ ความเปน็ ธรรมในสงั คม พระคมั ภรี ก์ ลา่ วถงึ ผทู้ ม่ี ี ความยตุ ธิ รรม (just man) วา่ “เจา้ ตอ้ งไมม่ คี วามล�ำ เอยี ง ปฏบิ ตั ิ  Temperance ต่อคนจนแตกต่างจากปฏิบัติต่อเศรษฐี แต่เจ้าต้องใช้ความถูก ต้องตัดสินเพื่อนบ้านของเจ้า” (LEV.19:15)   Prudence คอื ความฉลาด สขุ มุ คมั ภรี ภาพ ไมป่ ระมาท รจู้ กั   Fortitude หรือ ความพากเพียรอดทน คือ คุณธรรม ใชส้ ายตาของปญั ญา (discern) ในทกุ กรณี เพอ่ื แสวงหาความ จรยิ ธรรม (moral virtues) ของผทู้ ม่ี จี ติ ใจเขม้ แขง็ ไมย่ น่ ยอ่ ดที แ่ี ทจ้ รงิ และรจู้ กั ใชว้ ธิ กี ารทถ่ี กู ตอ้ งทจ่ี ะบรรลถุ งึ ความดนี น้ั ทอ้ ถอยเมอ่ื พบอปุ สรรค หรอื ความยากล�ำ บากของชวี ติ มคี วาม   St.Thomas Aquinas อา้ งองิ Aristotle และใหค้ วามเหน็ มานะบากบ่นั ท่จี ะแสวงหาความดีตลอดไป ยึดหลักของความ วา่ “Prudence is right reason in action.” และปราชญ์ ถกู ต้อง ไม่หว่นั ไหวเมอ่ื ถูกกล่นั แกลง้ แตม่ น่ั คงทจ่ี ะท�ำ ความดี ตอ่ ไป ทง้ั นเ้ี พราะ “พระเจา้ คอื พลงั และบทเพลงของขา้ พเจา้ ” (Ps 118:14)   Temperance หรือ ความอดกล้ัน ความพอดี (moderation) หรือ “ทางสายกลาง” คือ คุณธรรมจริย ธรรม (moral virtues) ท่ีช่วยให้ผู้ปฏิบัติรู้จักความพอดี

WORKS สามารถควบคมุ อารมณแ์ ละความอยาก กระหาย สามารถใช้ will power ของ ตนอยเู่ หนอื สญั ชาตญิ าณ   คุณธรรมจริยธรรม (moral vir- tues) ทง้ั 4 ประการนเ้ี รยี กวา่ Cardinal Virtues ซ่ึงเป็นคุณธรรมหลักของคุณ ธรรมอน่ื ๆ เชน่ ความซอ่ื สตั ย์ ความกลา้ หาญ ความน่าเช่ือถือ ความจงรักภักดี ความน่าไว้ใจ ความเล่ือมใสศรัทธา (faithfulness) ความเมตตากรุณา (generosity) เปน็ ตน้   หลกั ของการปฏบิ ตั ิ คอื การใหก้ าร ศึกษาอบรมด้านทัศนคติ เจตคติ หรือ อุปนิสัยและลักษณนิสัยของผู้ฝึกปฏิบัติ ทง้ั น้ี เพอ่ื พฒั นาศกั ยภาพ (human po- tential) ของความเปน็ มนษุ ย์   ขณะเดียวกันเราต้องไม่ลืมว่า อะไร ก็ตามท่เี ป็นข้อส่งั สอน และ “คำ�สอน” ในหนังสือดังกล่าวข้างต้น ส่ิงน้ันจะ ช่วยพัฒนาคุณธรรมจริยธรรม (moral virtues) ในตัวเรา และในชุมชนท่ีเรา อาศยั อยู่

ความจรงิ ความดี และความงาม (The true, the good, and the beautiful) ปรชั ญาของจดุ มงุ่ หมายและหลกั สตู รการศกึ ษา   เปา้ หมายสดุ ทา้ ยของชวี ติ มนษุ ยค์ อื อะไร? เปา้ หมายสดุ ทา้ ย 157   สงั คมใดท่ตี อ้ งการด�ำ เนนิ กจิ การทางการศกึ ษา เพอ่ื อบรม ของชวี ติ มนษุ ย์ คอื การเกดิ มาและด�ำ รงชวี ติ อยเู่ พอ่ื รจู้ กั รกั และ ลกู หลานของตนตามเจตนารมยข์ องความเชอ่ื ศรทั ธาในศาสนา ปรนนบิ ตั พิ ระเจา้ เพอ่ื เปน็ สขุ กบั พระองคใ์ นทส่ี ดุ และตอ้ งการจะถา่ ยทอดคณุ คา่ หรอื คา่ นยิ มของสงั คมตนใหเ้ ปน็   เม่อื จุดม่งุ หมายของการศึกษาวางอย่บู นพ้นื ฐานของความ มรดกทางวฒั นธรรมแกอ่ นชุ นรนุ่ หลงั สบื ไป จ�ำ เปน็ ตอ้ งมจี ดุ มงุ่ เชอ่ื ศรทั ธาในศาสนา และคา่ นยิ มทางวฒั นธรรมของสงั คมนน้ั ๆ หมายทางการศึกษาเป็นหลักปรัชญาเพ่ือเป็นแนวทางปฏิบัติ การเขยี นหลกั สตู รตามหลกั ปรชั ญาของจดุ มงุ่ หมายจงึ เปน็ เรอ่ื ง ส�ำ หรบั ผเู้ รยี นรู้ และผถู้ า่ ยทอดมรดกทางวฒั นธรรมนน้ั ๆ สำ�คัญท่ฝี ่ายวิชาการของสถาบันการศึกษาน้นั ๆ ต้องให้ความ   ในบรบิ ทดงั กลา่ วขา้ งตน้ จดุ มงุ่ หมายของการศกึ ษาคาทอลกิ เอาใจใสเ่ ปน็ พเิ ศษ คอื การใหก้ ารศกึ ษาอบรมบคุ คลทง้ั ครบ ตามหลกั ครสิ ตธรรมน่ี   ปรมาจารยท์ างการศกึ ษา เชน่ John S. BRUBACHER คอื หลกั ปรชั ญาของจดุ มงุ่ หมายของการศกึ ษาคาทอลกิ ใหค้ วามเหน็ วา่ หลกั สตู รทด่ี แี ละสมบรู ณท์ ส่ี ดุ ควรประกอบดว้ ย   โดยนยั เดยี วกนั น้ี สมเดจ็ พระสนั ตปาปาปโี อท่ี 11 ทรงกลา่ ว คา่ นยิ ม (Values) หรอื คา่ นยิ ม 3 ประการ คอื “ความจรงิ ความ ไวใ้ นสมณลขิ ติ ขอ้ 7 วา่ “การศกึ ษากอปรดว้ ยการเตรยี มคนให้ ดี และความงาม” ซง่ึ เปน็ สง่ิ ทม่ี คี ณุ คา่ อนั สงู สง่ ของอารยธรรม เปน็ สง่ิ ทเ่ี ขาจะตอ้ งเปน็ และสง่ิ ทเ่ี ขาจะตอ้ งท�ำ ในโลกนเ้ี พอ่ื ทจ่ี ะ ของมนุษยชาติมาแต่โบราณกาล ในทำ�นองเดียวกันน้ี สมเด็จ ไดบ้ รรลเุ ปา้ หมายตามความหมายทเ่ี ขาถกู สรา้ งมา จะไมม่ กี าร พระสนั ตะปาปา Benedict ท่ี XVI ไดท้ รงเขยี นไวใ้ นหนงั สอื ศกึ ษาทแ่ี ทจ้ รงิ เกดิ ขน้ึ ไดเ้ ลยหากจดุ มงุ่ หมายของการศกึ ษานน้ั ไม่ ไดน้ �ำ คนไปสเู่ ปา้ หมายสดุ ทา้ ยของชวี ติ ” COMPENDIUM: The Catechism of the Catholic Church ในข้อ 359 ว่า “โดยอาศัยพระหรรษทานของพระ

WORKS ครสิ ตเจา้ มนษุ ยท์ กุ คนทด่ี �ำ เนนิ ชวี ติ อยา่ งถกู ตอ้ งตาม มโนธรรม …ท�ำ อยา่ งไรบคุ คล   เราคงเคยเห็นภาพวาดแบบ ab- คอื ผทู้ แ่ี สวงหาความจรงิ และความดแี ละหลกี หนคี วามชว่ั ” ทเ่ี จรญิ แลว้ จะได้ stract ท่ีมีการตีราคามากมายเป็น   นค่ี ือวิธหี น่งึ ของการปฏิบัติตนตามหลกั สตู รทเ่ี ขยี นข้นึ ตาม รจู้ กั ชมชอบแต่ ล้านกันมาแล้ว ซึ่งเป็นภาพท่ีคนท่ัวไป ปรชั ญาของจดุ มงุ่ หมายของโรงเรยี นคาทอลกิ ความจรงิ ไม่สามารถมองออกว่าเป็นภาพอะไร ความเปน็ มาของคา่ นยิ มอนั สงู สง่ ของมนษุ ยชาติ ความดี เป็นรูปคนหรือรูปสัตว์ หรือแมลงหรือ   ประมาณ 400 ปกี อ่ นครสิ ตกาล ในยคุ สมยั ของกรกี โบราณ และความงาม?… ภาพธรรมชาติอะไร ในสมัย Plato ได้มีการโต้วาทีกันอย่างเผ็ดร้อนด้วยเร่ืองศีลธรรม ความจริง นั้น ศิลปินที่วาดภาพดังกล่าวจะถูก ความดี และความงาม ระหวา่ งนักปรชั ญานามอุโฆษ 2 คน คอื ตัดสินให้ติดคุกโทษฐานวาดภาพขึ้นมา Plato และ Aristotle ทไ่ี ดใ้ ชว้ าทศลิ ปข์ องตนท�ำ ใหป้ ระชาชน หลอกลวงประชาชน แต่ในสมัยของ กรีกโบราณสนใจท่ีจะถกเถียงกันด้วยเร่ืองศีลธรรมและวิธีแก้ Aristotle นั้น ศิลปินคนเดียวกันน้ัน ปญั หาดงั กลา่ วในสงั คมของตน มอี ยคู่ รง้ั หนงึ่ ของการโตว้ าทไี ด้ จะได้รับการสรรเสริญว่าเป็นบุคคลที่มี ยกประเดน็ ทว่ี า่ ท�ำ อยา่ งไรบคุ คลทเ่ี จรญิ แลว้ จะไดร้ จู้ กั ชมชอบ ความคิดสร้างสรรค์ สามารถบรรยาย แต่ ความจรงิ ความดี และความงาม? และประพฤตติ นให้อยู่ ความหมายของชวี ติ ไดอ้ ยา่ งนา่ อศั จรรย์ ในกรอบของศีลธรรมตลอดไป การถกเถียงด้วยเรื่องดังกล่าว   สองพันปีต่อมา คือในยุคพระธรรม ไดม้ าถงึ จุดเนน้ ค�ำ ถามวา่ ศลิ ปนิ ที่แทจ้ รงิ คอื ใคร? เขาสามารถ ใหม่ได้มีบันทึกชีวประวัติและคำ�สอน ใช้ศิลปะของเขานำ�มนุษย์ไปสู่ชีวิตที่ดีกว่า หรือนำ�มนุษย์ไปสู่ ของพระเยซคู รสิ ตโ์ ดยผเู้ ขยี นพระวรสาร ความเสื่อม? ทั้ง 4 ฉบับ ไดม้ กี ารโตว้ าทีกันด้วยเรอ่ื ง ศลี ธรรมของโลกในยคุ นน้ั เปน็ ไปอยา่ งเผด็ รอ้ น ไมแ่ พใ้ นยคุ Plato และ Aristotle

  ในยุคดังกล่าว ดินแดนปาเลสไตน์เป็นเมืองข้ึนในการ ถกู จบั ฐานลว่ งประเวณี และเขาใหห้ ญงิ ผนู้ ย้ี นื อยหู่ นา้ ฝงู ชน เขา 159 ปกครองของพวกโรมันก็จริง แต่ชีวิตสังคมของประชาชน ทลู พระองคว์ า่ “พระอาจารยเ์ จา้ ขา้ หญงิ คนนถ้ี กู จบั เมอ่ื ก�ำ ลงั ถูกกำ�กับอย่างเคร่งครัดโดยผู้ปกครองฝ่ายศาสนจักร พวก ลว่ งประเวณอี ยู่ ในธรรมบญั ญตั นิ น้ั โมเสสสง่ั ใหเ้ ราเอาหนิ ขวา้ ง ธรรมาจารย์เช่น พวกฟาริสี และพวกผู้ใหญ่ฝ่ายศาสนาเป็น คนเชน่ นใ้ี หต้ าย สว่ นทา่ นจะวา่ อยา่ งไรในเรอ่ื งน”้ี เขาพดู อยา่ งน้ี พวกให้ความเห็นและชี้ขาดในเร่ืองของการตีความเกี่ยวกับ เพอ่ื ทดลองพระองค์ หวงั จะหาเหตฟุ อ้ งพระองค์ แตพ่ ระเยซทู รง ชีวิตสังคม ซ่ึงในบางคร้ังพวกเขาเหล่าน้ันก็ขัดแย้งกันเอง มี นอ้ มพระกายลงเอานว้ิ พระหตั ถเ์ ขยี นทด่ี นิ และเมอ่ื พวกเขายงั ความเหน็ ไมต่ รงกนั เสมอื นดงั สงั คมของกรกี โบราณหรอื สงั คม ทลู ถามอยเู่ รอ่ื ยๆ พระองคก์ ท็ รงลกุ ขน้ึ ตรสั ตอบเขาวา่ “ผใู้ ดใน ปัจจุบันเช่นกนั พวกทา่ นทไ่ี มม่ ผี ดิ กใ็ หผ้ นู้ น้ั เอาหนิ ขวา้ งเขากอ่ น” แลว้ พระองค์   เมื่อพระเยซูเจา้ ทรงเร่มิ เทศนา พระองค์ไดต้ กเป็นเป้าของ กท็ รงนอ้ มพระกายลงเอานว้ิ พระหตั ถเ์ ขยี นทด่ี นิ อกี แตเ่ มอ่ื เขา การถูกจบั ผิด และการโต้เถยี งกนั ไมผ่ ิดอะไรกับชาวกรกี ในยคุ ทง้ั หลายไดย้ นิ นน้ั เขาทง้ั หลายจงึ ออกไปทลี ะคนๆ เรม่ิ จากคน ของ Plato และ Aristotle ทถี่ กเถยี งกนั ดว้ ยเรอื่ งของศลี ธรรม เฒ่าคนแก่ เหลือแต่พระเยซูตามลำ�พังกับหญิงคนน้นั ท่อี ย่ตู ่อ และบทบาทของศิลปนิ พระพกั ตรพ์ ระองค์ พระเยซทู รงเงยพระพกั ตรข์ น้ึ ตรสั กบั นาง ศลี ธรรมตามหลกั พระครสิ ตธรรม วา่ “หญงิ เอย๋ พวกเขาไปไหนหมด ไมม่ ใี ครเอาโทษเจา้ หรอื ”   นกั บญุ ยอหน์ ไดบ้ นั ทกึ ไวใ้ นบทพระวรสารท่ี 8 วา่ ในตอนเชา้ นางนน้ั ทลู วา่ “พระองคเ์ จา้ ขา้ ไมม่ ผี ใู้ ดเลย” และพระเยซตู รสั ตรวู่ นั หนง่ึ พระองคเ์ สดจ็ เขา้ ในบรเิ วณพระวหิ ารอกี คนทง้ั หลาย วา่ “เรากไ็ มเ่ อาโทษเจา้ เหมอื นกนั จงไปเถดิ และอยา่ ท�ำ ผดิ อกี ” พากันมาหาพระองค์ พระองค์ก็ประทับน่งั และเร่มิ ส่งั สอนเขา   ทรรศนะของพระเยซูคริสต์เก่ียวกับศีลธรรมในสังคม พวกธรรมาจารยแ์ ละพวกฟารสิ ไี ดพ้ าผหู้ ญงิ คนหนง่ึ มา หญงิ ผนู้ ้ี ปาเลสไตน์ แตกต่างจากพวกธรรมาจารย์โดยส้ินเชิง ไม่มี ธรรมาจารย์คนใดกล้าคิดมาก่อนว่าคำ�ตอบของพระองค์จะ

WORKS ทง้ั หลายจงึ ออกไปทลี ะคนๆ เรม่ิ จากคน เฒา่ คนแก่ เหลอื แตพ่ ระเยซตู ามล�ำ พงั เปน็ เชน่ นน้ั เพราะค�ำ ตอบของพระองคอ์ ยเู่ หนอื ปรชี าญาณใดๆ กับหญิงคนน้ัน นักบุญยอห์นสังเกตว่า เพราะพระองค์ คอื พระวจนะหรอื พระธรรมค�ำ สอนของพระเจา้ พระองค์ทรงน้อมพระกายลงและเอา พระองคเ์ ปน็ แหลง่ ชวี ติ และชวี ติ นน้ั เปน็ ความสวา่ งของมนษุ ย์ น้ิวพระหัตถ์เขียนท่ีดินหลายคร้ัง เขียน   การเอาหินท่มุ ฆ่าผ้ทู ำ�บาปทำ�ผิดเป็นวิธีการของสังคมท่แี ก้ อะไร? ไมม่ ใี ครทราบไดแ้ ตค่ วามหมายคง แคน้ กนั แบบฟนั ตอ่ ฟนั ตาตอ่ ตา เราคงจ�ำ ไดด้ วี า่ นกั บญุ สตเี ฟน่ เปน็ ทย่ี อมรบั กนั คอื คนเฒา่ คนแกย่ อม ได้ถูกเขาเอาหินทุ่มฆ่าตายต่อหน้า เซาโลผู้ท่ีออกมาประหัต จ�ำ นนเดนิ ออกไป เพราะในมโนธรรมของ ประหารผู้ติดตามพระเยซูคริสต์ตามท่ีมีบันทึกไว้ในหนังสือ เขาเหลา่ นน้ั ยงั กอ้ งดว้ ยเสยี งสายฟา้ ผา่ ท่ี กจิ การอคั รสาวก พวกธรรมาจารยเ์ หลา่ นน้ั คนุ้ เคยกบั การปฏบิ ตั ิ วา่ “ใครบา้ งทไ่ี มเ่ คยท�ำ บาป? ใครบา้ งท่ี อยา่ งทารณุ โหดรา้ ย ไมเ่ หน็ ความขดั แยง้ ในตวั ของมนั เองกบั การ ไมเ่ คยท�ำ ผดิ ” ปฏบิ ตั จิ รยิ ธรรมและคณุ ธรรมในสงั คม นน่ั คอื ความจรงิ ความ ดี และความงาม   ตามบันทึกของนักบุญยอห์น บทท่ี 8 เร่ืองหญิงผู้ถูกจับ ฐานล่วงประเวณี กับการโต้เถียงของพวกธรรมาจารย์ เราจะ เหน็ วา่ พระเยซคู รสิ ตท์ รงใหค้ �ำ ตอบดจุ ดงั สายฟา้ ผา่ ในมโนธรรม ของฝูงชนท่ียืนอยู่ พระองค์ทรงกล่าวว่า “ผู้ใดในพวกท่านท่ี ไม่มีผิด ก็ให้ผู้น้ันเอาหินขว้างเขาก่อน” แล้วพระองค์ก็ทรง นอ้ มพระกายลงเอานว้ิ พระหตั ถเ์ ขยี นทด่ี นิ ใครจะขวา้ งหนิ เปน็ คนแรก? ใครบา้ งทไ่ี มเ่ คยท�ำ บาป? ใครบา้ งทไ่ี มเ่ คยท�ำ ผดิ ? นกั บญุ ยอหน์ ไดบ้ นั ทกึ ตอ่ ไปวา่ “แตเ่ มอ่ื เขาทง้ั หลายไดย้ นิ ดงั นน้ั เขา

ในบรบิ ทดงั กลา่ วขา้ งตน้ ความจรงิ ความดี และ ความดี คอื อะไร? ความงาม คอื อะไร? 161 ความงาม คอื อะไร?   ในทำ�นองเดียวกัน ใครบ้างท่ีกล้า   หญิงเอ๋ย พวกเขาไปไหนหมด ไม่มี   ตามหลักพระคริสตธรรม ความจรงิ คือ มนุษย์ทกุ คนเป็น ยืนยันว่าตนมีความดี? นักบุญมัตธิว ใครเอาโทษเจ้าหรือ? นางน้ันทูลว่า คนบาปท้ังนั้น เราทุกคนจึงควรยอมรับสถานภาพของตนว่า บนั ทกึ ไวใ้ นบทท่ี 5 วา่ “เหตฉุ ะนน้ั ทา่ น “พระองคเ์ จา้ ขา้ ไมม่ ผี ใู้ ดเลย” และพระ เปน็ คนบาป จงึ ควรถอ่ มตนตอ่ หนา้ พระเจา้ ดว้ ยเหตนุ พ้ี ระองค์ ท้ังหลายจงเป็นคนดีรอบคอบ เหมือน เยซูตรัสว่า “เราก็ไม่เอาโทษเจ้าเหมือน ทรงทรงสอนว่า “จงอย่าพิพากษาใครด้วยเบาความและท่าน อย่างพระบิดาของท่าน ผู้ทรงสถิตย์ใน กัน จงไปเถิดและอย่าทำ�ผิดอีก” จะไม่ถูกพิพากษา” “จงอย่าเสแสร้งจะเอาเศษไม้ออกจากตา สวรรค์ เปน็ ผดู้ รี อบคอบ” หรอื อกี นยั หนง่ึ   ผู้ท่ีได้รับการอภัยย่อมเป็นสุข น่ีคือ ของเพือ่ นบา้ น ในเมือ่ ทา่ นมที ่อนซงุ อยู่ในตาของท่าน” ความ ก็คือ จงเป็นผู้ท่ีดีสมบูรณ์ด้วยคุณธรรม ความงาม จรงิ นน้ั พระองคป์ รารถนาใหเ้ ราทกุ คนเปน็ อสิ ระไมเ่ ปน็ ทาสของ แล้วท่านจะเป็นท่ีโปรดปรานของพระ   ดังน้นั ปรัชญาของจุดม่งุ หมายและ บาป เพราะ“ความจรงิ จะทำ�ให้ท่านเปน็ ไทแกต่ ัวเอง” บดิ าเจา้ ในสรวงสวรรค์ หลักสูตรการศึกษาท่เี หมาะสมจะนำ�มา   นักบุญลูกา ได้เขียนบันทึกไว้ในบท ใช้อบรมลูกหลานและเยาวชนเพ่ือให้ ท่ี 6 เกย่ี วกบั ความดวี า่ “ทา่ นทง้ั หลาย เกดิ การสบื ทอดมรดกทางวฒั นธรรมและ จงมคี วามเมตตากรณุ าเหมอื นอยา่ งพระ แสดงออกถึงอารยธรรมของมนุษยชาติ บิดาของท่านมีพระทัยเมตตากรุณา” จะต้องประกอบด้วย ความจริง ความ ท้ังในพระธรรมเก่าและพระธรรมใหม่ ดี และความงาม ซ่ึงถือว่าเป็นคุณค่าท่ี พระธรรมคำ�สอนท่ีก้องกังวาลอยู่เสมอ ส�ำ คญั และจ�ำ เปน็ ทง้ั ในอดตี ปจั จบุ นั และ คือ “เราต้องการความเมตตาไม่ใช่ อนาคตของมนษุ ยชาติ เครอ่ื งบชู า”

WORKS ต้องให้นักเรียน นักศึกษามีเคร่อื งมือ มี concept และขอ้ มลู ตา่ งๆ เพอ่ื ใชใ้ นการ การเรยี นเพอ่ื รู้ อ้างองิ อันเปน็ ผลของความกา้ วหนา้ ทาง   ขา้ พเจา้ ไดอ้ า่ นบทความ “การเรยี นเพอ่ื ร”ู้ ของผเู้ ชย่ี วชาญ วทิ ยาศาสตร์ ของยูเนสโกหลายคร้งั จึงเข้าใจว่า “การเรียนเพ่อื รู้ คือ การ   ในบริบทดังกล่าว ข้าพเจ้าจำ�ได้ว่า รจู้ กั วธิ แี สวงหาความรมู้ ากกวา่ การแสวงหาเพอ่ื สะสมขอ้ มลู เคยพบเหน็ คุณครูท่านหนึ่ง แสดงความ ตา่ งๆ” สง่ิ ส�ำ คญั คอื การท�ำ อยา่ งไรจงึ สามารถใหผ้ เู้ รยี นแตล่ ะ สามารถในการกระต้นุ ให้เด็กช้นั ประถม คนเข้าใจ ส่ิงแวดล้อมท่ีตนอาศัยอยู่อย่างน้อยท่ีสุดเราต้องมี หน่ึง เกิดความอยากรู้อยากเห็นทาง ความรู้ พอท่ีจะทำ�ให้เรามีชีวิตอยู่ได้อย่างมีศักด์ิศรี สามารถ ปญั ญาโดยวธิ กี ารทดลองแบบงา่ ยๆ เชน่ ประกอบสมั มาชพี สามารถตดิ ตอ่ สมั พนั ธก์ บั ผอู้ น่ื ไดเ้ ปน็ อยา่ งดี การทดลองวา่ ลกู น�ำ้ สามารถเหน็ แสงได้   โดยอกี นยั หนง่ึ การรจู้ กั วธิ แี สวงหาความรู้ กค็ อื “Learn หรอื ไม่? และสามารถไดย้ ินเสยี งได้หรอื how to learn” หรือ เรียนรู้ท่ีจะเรียนอย่างไรจึงได้ผลดี ไม่ โดยการนำ�อ่างนำ้�ซึ่งมีลูกน้ำ�อยู่ใน มนษุ ย์เราแตล่ ะคนมวี ธิ ีการเรยี นร้ตู ่างกนั ข้นึ อยกู่ ับความถนดั อา่ งนน้ั เขา้ มาในหอ้ งเรยี นทค่ี อ่ นขา้ งทบึ ของแต่ละคน คือ เขาต้องค้นพบส่ิงท่ีกระต้นุ ให้เขาเกิดความ แสง เมอ่ื ฉายไฟฉายลงไปทีอ่ ่างน�้ำ เด็ก อยากรอู้ ยากเหน็ ทางปญั ญา รจู้ กั พนิ จิ พเิ คราะห์ เขา้ ใจสง่ิ ตา่ งๆ จะสงั เกตเหน็ ปฏกิ ริ ยิ าโตต้ อบของลกู น�ำ้ อยา่ งถอ่ งแท้ โดยอาศยั วจิ ารณญาณของตนเอง โดยนยั ดงั กลา่ ว กับแสงไฟ อีกสักครู่หนึ่งเมื่อทุกอย่าง ผเู้ ชย่ี วชาญของยเู นสโกจงึ กลา้ ฟนั ธงวา่ เดก็ ทกุ คนไมว่ า่ จะอยู่ ณ สงบลง คุณครทู ่านนั้นก็น�ำ ซอ่ มเสยี งมา ทใ่ี ด จะตอ้ งเรยี นรวู้ ธิ กี ารทางวทิ ยาศาสตร์ จนกลายเปน็ “เพอ่ื น เคาะ เด็กสามารถสังเกตปฏิกิริยาของ ของวทิ ยาศาสตร”์ ไปตลอดชวี ติ ผเู้ ชย่ี วชาญฯ ยงั ใหค้ วามเหน็ ลูกนำ้�ต่อเสียงนั้น การโต้เถียงก็เกิดขึ้น ตอ่ ไปวา่ ในระดบั มธั ยมและอดุ มศกึ ษานน้ั การสอนในชน้ั ตน้ จะ

ในห้องเรียนวา่ ลกู น�ำ้ สามารถมองเหน็ หรอื ไดย้ นิ เสยี งไดห้ รอื 163 ไม่ การกระตนุ้ ความอยากรอู้ ยากเหน็ ของเดก็ มหี ลายวธิ มี ากมาย กา่ ยกอง ทกุ อยา่ งขน้ึ อยกู่ บั ความคดิ รเิ รม่ิ ของครทู ง้ั นน้ั   ทา่ นทง้ั หลายคงจ�ำ ไดว้ า่ เมอ่ื ประมาณ 20 กวา่ ปมี าแลว้ ทส่ี ภา การศกึ ษาคาทอลกิ โดยความรว่ มมอื กบั องคก์ าร MISEREOR ไดพ้ าครแู ละซสิ เตอรก์ ลมุ่ หนง่ึ โดยมี ดร.เมธี ปลิ นั ธนานนท์ เปน็ หวั หนา้ คณะไปรบั การอบรมวธิ สี อนวทิ ยาศาสตรด์ ว้ ยการปฏบิ ตั ิ จาก Dr. George Schwarz นกั วทิ ยาศาสตรช์ าวเยอรมนั และเปน็ นกั บวชคณะซาเลเซยี น ณ ประเทศฟลิ ปิ ปนิ ส์ ขา้ พเจา้ ไดร้ ว่ มเดนิ ทางไปดวู ธิ กี ารสอนของนกั วทิ ยาศาสตรท์ า่ นน้ี ไดร้ บั ประสบการณ์และความร้มู ากมายจากท่าน ข้าพเจ้าพบความ จริงจากท่านว่า บัณฑิตในสาขาวิทยาศาสตร์จำ�นวนมาก ยัง ไมม่ ี concept ทถ่ี กู ตอ้ งเกย่ี วกบั วทิ ยาศาสตร์ ทง้ั นเ้ี พราะไมร่ ู้ จักวิธีแสวงหาความรู้ ไม่รู้จักเรียนรู้วิธีเรียนโดยวิธีการปฏิบัติ และทดลอง จนเกดิ ปญั ญา กลายเปน็ “เพอ่ื นของวทิ ยาศาสตร”์ ทา่ นไดแ้ สดงใหข้ า้ พเจา้ เหน็ วา่ ชาวไรช่ าวนาทเ่ี ราคดิ วา่ ขาดการ ศึกษาข้นั พ้นื ฐานก็สามารถเข้าใจเร่อื งของวิทยาศาสตร์ในชีวิต ประจ�ำ วนั ได้ ถา้ ไดร้ บั การเรยี นรทู้ ถ่ี กู วธิ ี เชน่ สามารถใชเ้ ทอร์ มอมิเตอร์เป็นอ่านอุณหภูมิได้ สามารถอ่านบาร์โรมิเตอร์เป็น

WORKS ต่างๆ” อันเป็นผลของการติดต่อ การ รว่ มมอื กนั ระหวา่ งนกั วจิ ยั และผแู้ สวงหา และเข้าใจเร่ืองของบรรยากาศได้และภัยธรรมชาติท่ีอาจเกิด ความรใู้ หม่ ข้นึ ในส่งิ แวดล้อมของตน ข้าพเจ้านำ�ตัวอย่างดังกล่าวมาเล่าสู่   ผู้เช่ียวชาญของยูเนสโกได้เตือนสติ กนั ฟงั โดยไมม่ เี จตนาจะไปต�ำ หนใิ คร เพยี งแตต่ อ้ งการยนื ยนั สง่ิ เราว่า ก่อนเรียนเพ่ือรู้น้ัน เราต้องรู้จัก ทผ่ี เู้ ชย่ี วชาญของยเู นสโกกลา่ วถงึ คอื “การเรยี นเพอ่ื รู้ คอื การ วิธีเรียนเสียก่อน วิธีเรียนก็คือ 1) การ รจู้ กั วธิ แี สวงหาความร”ู้ และเปน็ ตน้ ส�ำ หรบั เดก็ ๆ นน้ั ไมว่ า่ จะ รจู้ กั ใชพ้ ลงั ของสมาธิ 2) ความจ�ำ และ อยู่ ณ ทใ่ี ดตอ้ งเรยี นรวู้ ธิ กี ารทางวทิ ยาศาสตร์ 3) ความคดิ   ผู้เช่ียวชาญของยูเนสโกยังกล่าวต่อไปว่า ความรู้น้ันมี   การใชพ้ ลงั สมาธ*ิ หรอื concentra- มากมายหลายแบบและเปลย่ี นแปลงอยเู่ สมอ แตก่ ารเรยี นเพอ่ื tion of mind คอื การฝกึ การมวี นิ ยั ตอ่ รไู้ มไ่ ดห้ มายความวา่ เราตอ้ งพยายามเรยี นรทู้ กุ วชิ า รทู้ กุ สง่ิ ทกุ ตนเอง ไมค่ ดิ ฟงุ้ ซา่ น รจู้ กั ควบคมุ อากปั อยา่ ง ซง่ึ ยอ่ มเปน็ ไปไมไ่ ดแ้ ละเปน็ การไรป้ ระโยชนท์ จ่ี ะท�ำ เชน่ กริยาและอารมณ์ของตนเอง สามารถ นน้ั ผเู้ ช่ยี วชาญของยเู นสโกใหค้ วามเหน็ ว่า แมก้ ระทง่ั นกั วจิ ยั ใชค้ วามสนใจมงุ่ ไปยงั สง่ิ ทต่ี นก�ำ ลงั ศกึ ษา เองกไ็ มจ่ �ำ เปน็ ตอ้ งรทู้ กุ สง่ิ ทกุ อยา่ งไปหมดจงึ สามารถท�ำ วจิ ยั ได้ อยโู่ ดยไมเ่ กดิ distraction หรอื อาการ หลังจากเรียนรู้ข้ันพ้ืนฐานมาอย่างดีแล้ว และมีภูมิหลังอย่าง วอกแวก ผู้เช่ียวชาญยูเนสโก บอกว่า กวา้ งขวาง อนั ไดม้ าจากความรทู้ ว่ั ไปและการฝกึ ปฏบิ ตั ิ เรากจ็ ะ เดก็ ๆ ในยคุ ปจั จบุ นั น้ี ทช่ี อบเปลย่ี นชอ่ ง มโี อกาสศกึ ษาบางวชิ าอยา่ งลกึ ซง้ึ ได้ การศกึ ษาทว่ั ไปจะชว่ ยให้ ทวี บี อ่ ยๆ จะตอ้ งฝกึ วธิ โี ฟกสั ความสนใจ เราเรยี นรภู้ าษาอน่ื ๆ และวชิ าตา่ งๆ และสามารถสอ่ื สารตดิ ตอ่ ตอ่ มนษุ ยแ์ ละสง่ิ ของหรอื ตอ่ สง่ิ ของทต่ี น กนั ได้ ซง่ึ จะชว่ ยใหน้ กั วจิ ยั และผเู้ รยี นได้ เกดิ ความรว่ มมอื กนั ใน ก�ำ ลงั ศกึ ษาอยู่ การแสวงหาความรใู้ หมๆ่ หรอื รอู้ ยา่ งลกึ ซง้ึ สาขาวชิ าตา่ งๆ เรา ตอ้ งไมล่ มื วา่ “การวจิ ยั เกดิ ขน้ึ ทพ่ี รมแดนระหวา่ งศาสตรส์ าขา *เร่อื งของสมาธิ ไมใ่ ชค่ วามหมายท่ีคนทว่ั ไปมักเข้าใจกันไปในทำ�นองเขา้ ญาน สะกดจติ อะไรท�ำ นองนน้ั

การฝึกตนให้มีสมาธิ หรือ รู้จักใช้พลัง ไดส้ มั ผสั ฯ จะมปี ฏสิ มั พนั ธข์ น้ึ มา สามารถเชอ่ื มโยงกบั สง่ิ อน่ื ๆ 165 ของสมาธิ มีหลายวิธีด้วยกัน เช่น การ สรา้ งเปน็ กระบวนการของความคดิ เปน็ ไอเดยี เราอาจส�ำ รวจ รู้จักรักษาความเงียบสักครู่หน่ึง การ สมรรถภาพความจำ�ของเราว่าใช้ได้หรือไม่ โดยการทดสอบ ร้จู ักชมความงามของธรรมชาติในความ ตนเอง เช่น เราอ่านหนังสือไปได้หน่งึ บท เราลองถามตนเอง เงยี บ ฯลฯ วา่ ไดอ้ า่ นอะไรไป มปี ระเดน็ อะไรบา้ ง จ�ำ ไดบ้ า้ งไหมวา่ มสี าระ   ผู้เช่ียวชาญยูเนสโกยังบอกต่อไปว่า อะไร นน่ั คอื การถามตนเองวา่ สมองของเราบนั ทกึ สง่ิ ทต่ี นอยาก การรจู้ กั ใชค้ วามจ�ำ เปน็ สง่ิ ทข่ี าดเสยี มไิ ด้ เรียนรู้หรือไม่ ถ้าสมองมีประสิทธิภาพค่อนข้างตำ่� เราก็ต้อง เพราะความจ�ำ ชว่ ยปอ้ งกนั ไมใ่ หเ้ ราส�ำ ลกั ฝกึ บอ่ ยๆ โดยวธิ กี ารตา่ งๆ ทพ่ี อจะหาเรยี นไดจ้ าก “จติ วทิ ยา ขอ้ มลู ทส่ี อ่ื ตา่ งๆ น�ำ เสนออยา่ งรวดเรว็ การเรียนรู้” เป็นต้น ผู้เช่ียวชาญยูเนสโกเห็นพ้องต้องกันว่า   สมองของเราเปรยี บเสมอื นสมองกล เราจะตอ้ งฝกึ เรอ่ื งความจ�ำ ตง้ั แตว่ ยั เดก็ แตต่ อ้ งไมใ่ ชเ่ ปน็ การฝกึ คอมพิวเตอร์ กระน้ันคอมพิวเตอร์ต้อง แบบนกแกว้ นกขนุ ทอง มี memory ถา้ คอมพวิ เตอรห์ รอื เครอ่ื ง คดิ เลขไมม่ ี memory หรอื บนั ทกึ ความ จำ�ไม่ได้ เคร่ืองคอมพิวเตอร์น้ันก็ไร้ค่า สมควรจะโยนท้ิงไปเสีย ใช้ไม่ได้ ไม่มี ประโยชน์ สมองของคนเรากเ็ ชน่ กนั ตอ้ ง มคี วามจ�ำ เปน็ สมรรถนะของการบนั ทกึ ท่ี มปี ระสทิ ธภิ าพ สง่ิ ตา่ งๆ ทถ่ี กู บนั ทกึ ใน สมอง โดยการเหน็ ไดย้ นิ ไดฟ้ งั ไดค้ ดิ

WORKS   กระบวนการคิดเป็นส่ิงยากท่ีจะสอนให้เด็กเข้าใจได้ง่ายๆ อย่างไรก็ดี ผู้เช่ียวชาญยูเนสโกยังเห็นความจำ�เป็นของการ   การรู้จักคิดเป็นเร่ืองสำ�คัญอีกเร่ือง พฒั นากระบวนการคดิ ของผเู้ รยี นตง้ั แตเ่ ยาวว์ ยั ในเรอ่ื ง การคดิ หนง่ึ ทต่ี อ้ งมกี ารฝกึ พอ่ แมเ่ ปน็ ผฝู้ กึ สอน เชิงวิเคราะห์ การคิดเปรียบเทียบ การคิดสังเคราะห์ การคิด คนแรก ตอ่ มากเ็ ปน็ ครู การฝกึ ใหเ้ ขา้ ใจถงึ เชงิ วพิ ากษ์ การคดิ เชงิ ประยกุ ต์ การคดิ เชงิ สรา้ งสรรค์ การคดิ ความแตกต่างระหว่างส่งิ ท่เี ป็นรูปธรรม เชิงบูรณาการฯลฯ ซง่ึ เป็นกระบวนการหาเหตผุ ลท่เี ร่มิ มาจาก และนามธรรม รวมท้ังวิธีอุปนัยและวิธี บทสรปุ โดยทว่ั ไป น�ำ ไปสคู่ วามจรงิ ขอ้ ใดขอ้ หนง่ึ นริ นยั เป็นเรอ่ื งจ�ำ เป็นทผ่ี ้เู รียนจะเลือก   ผเู้ ชย่ี วชาญยเู นสโกพดู ถงึ การใชพ้ ลงั สมาธิ การใชค้ วามจ�ำ ใชใ้ นการท�ำ วจิ ยั และการสอน ทง้ั สองวธิ ี และการใช้ความคิดในการเรียนเพ่ือรู้ ซ่ึงเป็นการอธิบายถึง ดงั กลา่ วมาน้ี เปน็ เรอ่ื งของการหาเหตผุ ล การท�ำ งานสว่ นหนง่ึ ของสมอง เกย่ี วกบั เรอ่ื งน้ี เราตอ้ งไมล่ มื วา่ โดย รจู้ กั ใชค้ วามรทู้ ต่ี นไดร้ บั และขอ้ มลู ในระยะสองทศวรรษทผ่ี า่ นมานกั วทิ ยาศาสตร์ สาขาประสาท ท่ีตนมี เพ่ือเข้าใจปัญหาบางอย่าง จน วทิ ยา (neuroscience) ไดท้ �ำ การวจิ ยั มากมายเกย่ี วกบั การ สามารถใหค้ วามเหน็ เกย่ี วกบั สง่ิ นน้ั ๆ ได้ ท�ำ งานของสมองมนษุ ย์ จนสามารถใหข้ อ้ มลู อนั เปน็ ประโยชน์ เราเรียกว่า วิธีอุปนัยหรือวิธี Deduc- ตอ่ การเรยี นรใู้ นปจั จบุ นั ซง่ึ เรารจู้ กั กนั ในชอ่ื ของ Brain-based learning เชน่ ขอ้ มลู ทส่ี มองไดร้ บั จะถกู เกบ็ ไวใ้ นทต่ี า่ งๆ ของ tive: from general to the particular สมองและเราสามารถนำ�ออกมาใช้ได้โดยผ่านการบันทึกของ ความจ�ำ หลายแบบโดย ทางเดนิ ของใยประสาท (neural path- สว่ นวธิ นี ริ นยั หรอื inductive คอื การ ways) เรายงั ทราบอกี วา่ การแสวงหาความหมายในชวี ติ เปน็ หาเหตุผล ท่ีมาจากข้อเท็จจริงอันหน่ึง และน�ำ ไปเป็นบทสรุปโดยท่วั ไป (from particular instances to a general conclusion)

ธรรมชาติของสมองมนุษย์อีกด้วย และ 167 ส่ิงสำ�คัญ ก็คือ สมองของแต่ละคนไม่ เหมอื นกนั ผเู้ รยี นแตล่ ะคนมวี ธิ เี รยี นแตก ตา่ งกนั ครตู อ้ งยอมรบั วธิ เี รยี นของเดก็ ใน การแสวงหาความรู้และการสร้างสรรค์ ในการเรียน เพราะฉะน้นั การฝึกให้เด็ก รจู้ กั สงั เกต รจู้ กั การฟงั ฝกึ การอา่ น การ คน้ ควา้ ฝกึ การตง้ั ค�ำ ถาม และอน่ื ๆ จงึ เป็นวิธีการพัฒนากระบวนการคิด ส่ิง สำ�คัญท่ีครูควรรับรู้คือ “each brain is unique” สมองของผเู้ รยี นแตล่ ะคน ไม่เหมือนกัน แตกต่างกัน เด็กจึงมีวิธี เรียนไม่เหมือนกัน จึงต้องสร้างสภาวะ แวดลอ้ มของการเรยี นรทู้ ต่ี นถนดั ในขณะเดียวกัน นักการศึกษา ชาวพุทธบางท่าน เรียกการพัฒนา กระบวนการคิดว่า “โยนิโสมนสิการ” และถอื วา่ เปน็ วถิ พี ทุ ธ คอื การคดิ อยา่ งมี

WORKS ล�ำ ดบั ขน้ั ตอน การคดิ อยา่ งเขา้ ใจ ความ   ในบริบทดังกล่าวข้างต้น พระราช หมายวา่ “การสอนส�ำ คญั กจ็ รงิ แตก่ าร เปน็ จรงิ การคดิ อยา่ งมเี หตผุ ล และอน่ื ๆ บัญญัติการศึกษาแห่งชาติพุทธศักราช เรียนร้ดู ้วยตนเองสำ�คัญกว่า” จุดเน้น ตามปรัชญาชาวพุทธ ซ่ึงเป็นเร่ืองท่ีน่า 2542 แกไ้ ข เพม่ิ เตมิ (ฉบบั ท่ี 2) พ.ศ. ของทฤษฎนี ้ี คอื ครตู อ้ งชว่ ยเดก็ ใหร้ จู้ กั ศกึ ษาทง้ั สน้ิ 2545 ขอ้ 22 เขยี นวา่ “การจดั การศกึ ษา แสวงหาวิธีเรียนของตนและเด็กเรียนรู้   ในบริบทน้ี นักการศึกษาคาทอลิก ต้องยึดหลักว่าผู้เรียนทุกคนมี ความ ดว้ ยวธิ ี “Learning by Doing” ควรจะรบั การทา้ ทายทม่ี าจากพระวรสาร สามารถเรยี นรแู้ ละพฒั นาตนเองไดแ้ ละ   ในขณะเดียวกันเม่ือเดือนกันยายน ซ่ึงเน้นเร่ืองของ “ความเช่ือศรัทธา” ถือว่าผู้เรียนมีความสำ�คัญท่ีสุด…” จุด พ.ศ.2544 นกั การศกึ ษาวถิ พี ทุ ธไดแ้ ถลง เปน็ วถิ ขี องชาวครสิ ต์ เชน่ “ถา้ เจา้ มคี วาม เนน้ หรอื ปรชั ญาการศกึ ษายคุ ใหมค่ อื “ผู้ ทฤษฎพี ทุ ธศาสตร์ การสรา้ งความรดู้ ว้ ย เช่อื เท่า…” “เป็นบุญของผ้ทู ่เี ช่อื โดยไม่ เรียนทุกคนมีความสามารถและพัฒนา ตนเองวา่ Buddhist Construction- เห็น…” กระบวนการคิดดังกล่าวเป็น ตนเองได”้ ซง่ึ ความคดิ ดงั กลา่ วไดก้ ลาย ism และได้อธิบายว่า “ทำ�อย่างไรท่ี สว่ นหนง่ึ ของปรชั ญาการศกึ ษาคาทอลกิ เป็นปรัชญาการศึกษายุคใหม่ไปแล้วท่ี จะให้ผู้เรียนเกิดการเรียนรู้ โดยเฉพาะ ไดอ้ ยา่ งไร? เรารู้จักกันในช่ือของ CONSTRUC- การเรียนรู้ด้วยตนเอง…” ต้องให้รู้ถึง   การแสวงหาความรู้ เปน็ กระบวนการ TIONISM ศาสตราจารย์ Seymour ความจริงคือ “รู้สาระสัจจะ” “ความรู้ ท่ีไม่มีวันส้ินสุดและอาจเสริมเติมกันได้ Papert ได้ทำ�การวิจัยเก่ียวกับการ ใดๆ กต็ ามถ้าน�ำ ไปใชไ้ มไ่ ด้ หรือ รแู้ ลว้ โดยอาศยั ประสบการณใ์ นทกุ รปู ทกุ แบบ เรียนรู้ต้ังแต่ทศวรรษ 1980 และได้ตี ไม่สามารถสร้างประโยชน์อันใด หรือ ความส�ำ เรจ็ ของการศกึ ษาในเบอ้ื งตน้ คอื พิมพ์ผลงานในหนังสือท่านเม่ือปี ค.ศ. ไม่ทำ�ให้มนุษย์เกิดความเจริญงอกงาม การชว่ ยวางพน้ื ฐานใหแ้ กผ่ เู้ รยี น สามารถ 1991 เรยี กทฤษฎกี ารเรยี นรขู้ องทา่ นวา่ ความรนู้ น้ั กเ็ ปน็ เพยี ง “ขยะความร”ู้ เรยี นรตู้ ลอดชวี ติ CONSTRUCTIONISM อันมีความ

  การเรยี นร้ทู ่ใี ช้เทคโนโลยีเปน็ เคร่อื ง มอื จะมแี นวโนม้ ใหผ้ เู้ รยี นเขา้ ถงึ “ความ ร”ู้ มากกวา่ “ความจรงิ ” กลา่ วคอื ถา้ ผู้ เรียนจะหลงเสน่ห์ แต่ความร้หู ลงเพลิน ไปกับส่ิงท่ีรู้ แต่ไม่เอาจริงกับความจริง ความจริงในความรู้ หมายถึง ความรู้ท่ี ท�ำ ให้ผเู้ รยี น “พน้ ความเปน็ ทาส” ทาง วตั ถนุ ยิ ม 169

WORKS การเรยี นรเู้ พอ่ื ชวี ติ ถอ้ ยแถลงของยเู นสโกในปี ค.ศ. 1972 ในรายงานทม่ี ชี อ่ื แบบ   นบั แตก่ ารประชมุ ครง้ั แรกทเี ดยี วทผ่ี ู้ เดยี วกนั นค้ี อื Learning to Be หรอื การเรยี นรเู้ พอ่ื ชวี ติ ใน เช่ียวชาญทางการศึกษาของยูเนสโกได้ รายงานฉบบั ดงั กลา่ ว ผเู้ สนอรายงานไดย้ �ำ้ ใหเ้ หน็ วา่ การศกึ ษา เน้น ถึงหลักการสำ�คัญพ้ืนฐานว่า การ จะตอ้ งชว่ ยใหผ้ เู้ รยี นทกุ คน “แกไ้ ขปญั หาของตนเอง ตดั สนิ ใจ ศึกษาจะต้องช่วยพัฒนาผู้เรียนในทุก ดว้ ยตนเอง และมคี วามรบั ผดิ ชอบตอ่ ตนเอง” หลงั จากปี ค.ศ. ด้าน ท้ังจิตใจและร่างกาย สติปัญญา 1972 เปน็ ตน้ มา สงั คมโลกเรามกี ารเปลย่ี นแปลงไปอยา่ งมาก ความอ่อนไหว สุนทรียภาพ ความร้สู ึก ส่ือมวลชนได้เข้ามามีบทบาทและอิทธิพลต่อเด็กและเยาวชน รับผดิ ชอบส่วนบคุ คลและคุณคา่ ฝ่ายจิต อยา่ งทไ่ี มเ่ คยมมี าแตก่ อ่ น เกดิ พฤตกิ รรมเรยี นแบบกนั ในชวี ติ มนุษย์เราทุกคนจะต้องสามารถพัฒนา อิสระทางเพศและต่อต้านสังคม ปรากฏการณ์น้เี รียกว่า การ ความคิดอย่างอิสระเสรี มีวิจารณญาณ ระเบดิ ของกลมุ่ sub-cultures ตา่ งๆ ทเ่ี กดิ ขน้ึ มากมาย เชน่ และดลุ ยพนิ จิ ของตนเอง สามารถตดั สนิ พวกฮปิ ป้ี ฮารากฤษณะ เปน็ ตน้ ใจดว้ ยตนเอง เมอ่ื เผชญิ กบั สถานการณ์   การศึกษาดูจะมีบทบาทสำ�คัญท่ีจะทำ�ให้คนเรามีเสรีภาพ ตา่ งๆ ในชวี ติ ในความคดิ อา่ น มดี ลุ ยพนิ จิ ตดั สนิ ใจเปน็ มคี วามรสู้ กึ นกึ คดิ และ   เราทราบกันดีแล้วว่า เสาหลักท่ี 4 จนิ ตนาการ เพอ่ื จะไดพ้ ฒั นาความสามารถของตนสามารถคมุ ของการศกึ ษาในศตวรรษท่ี 21 คอื การ ชะตาชวี ติ ของตนเองเทา่ ทจ่ี ะท�ำ ได้ เรยี นรเู้ พอ่ื ชวี ติ ซง่ึ มคี วามเปน็ มาจาก

ในโลกท่ีมีการเปล่ียนแปลงตลอดเวลา นวัตกรรมด้านสังคม และเศรษฐกิจดูจะเป็นแรงผลักดันคุณภาพของชีวิตให้แปร ผันไปตามกระแสสังคมน้ันๆ ด้วยเหตุน้ีเราจึงควรให้ความ สำ�คัญแก่จินตนาการและความคิดริเร่ิมสร้างสรรค์ของมนุษย์ เพราะสง่ิ เหลา่ นล้ี ว้ นเปน็ การแสดงออก ซง่ึ อสิ รภาพและเสรภี าพ ของความเปน็ มนษุ ยอ์ ยา่ งชดั เจน ดงั ค�ำ กลา่ วของกวชี าวเยอรมนั ทา่ นหนง่ึ วา่ “The Winds of Freedom Blow”   เก่ียวกับการส่งเสริม จินตนาการและความคิดริเร่ิม สรา้ งสรรค์ ผเู้ ชย่ี วชาญของยเู นสโกย�ำ้ วา่ การแสดงออกดงั กลา่ ว อาจเปน็ ไปไมไ่ ดถ้ า้ เราบงั คบั ใหท้ กุ คนท�ำ เหมอื นกนั หมด กลาย เปน็ Standardization of individual behavior ในท�ำ นอง เดียวกันน้ี กฤษฎีกาท่ีว่าด้วยการศึกษาคาทอลิกของวาติกัน ท่ี 2 ได้ขอร้องให้นักการศึกษาคาทอลิกม่งุ ท่จี ะอบรมเด็กของ เราใหม้ วี ฒุ ภิ าวะ รจู้ กั รบั ผดิ ชอบ และรจู้ กั ใชเ้ สรภี าพทแ่ี ทจ้ รงิ (authentic freedom) มเี สรภี าพในการเลอื กทจ่ี ะปฏบิ ตั ติ าม หรอื ไม่ นค่ี อื สทิ ธขิ องเขา ในศตวรรษท่ี 21 เราต้องการความสามารถทางปัญญา และ ความหลากหลายทางบุคลิกภาพ เราต้องการบุคคลท่ีมีความ สามารถพเิ ศษ ซ่งึ เปน็ ทรัพยากรบคุ คลอันจะขาดเสียไม่ได้ ในอารยธรรมใดๆ กต็ าม เพราะฉะนน้ั เราจะตอ้ งจดั ใหม้ หี รอื เปิดโอกาสให้มากท่ีสุดเท่าท่ีจะทำ�ได้เพ่ือเด็กและเยาวชนจะ ได้พัฒนาตนเองตามศักยภาพท่ีเขามีจนถึงขีดสูงสุด เขาจะ ได้คิดค้นและทดลองในด้านต่างๆ เช่น สุนทรียภาพ ศิลปะ

WORKS การกฬี า วทิ ยาศาสตร์ วฒั นธรรม และ สงั คม ขณะเดยี วกนั ครบู าอาจารย์ จะ ต้องรู้จักช้ีแนะให้เด็กช่ืนชมในผลงาน สร้างสรรค์ของผู้ท่ีอยู่ร่วมสมัยหรือคน รุ่นก่อน ถ้าเราปรารถนาท่ีจะพัฒนา จนิ ตนาการและความคดิ รเิ รม่ิ สรา้ งสรรค์ ของเดก็

การเรยี นรเู้ พอ่ื ปฏบิ ตั ไิ ดจ้ รงิ   การเรียนเพ่ือรู้และการเรียนเพ่ือ การพฒั นาการทางเครอ่ื งจกั ร เครอ่ื งกลคอ่ ยๆ ทดแทนแรงงาน 173 ปฏบิ ตั แิ ทบจะแยกจากกนั ไมไ่ ด้ แตก่ าร คนนบั วนั ยง่ิ มากขน้ึ ดงั นน้ั การพฒั นาสมรรถภาพหรอื เพม่ิ ขดี เรียนเพ่ือปฏิบัติน้ันมีส่วนเก่ียวกับการ ความสามารถของแรงงานคนยงั มคี วามสมั พนั ธก์ บั การปรบั ปรงุ ฝึกวิชาชีพมากกว่า ปัญหาก็คือ เราจะ หลกั สตู รในเศรษฐกจิ เชงิ อตุ สาหกรรมไปอกี นาน สอนใหเ้ ดก็ น�ำ ความรไู้ ปปฏบิ ตั ไิ ดอ้ ยา่ งไร   ส่วนเศรษฐกิจท่ีเน้นความอิสระของการทำ�งานและเน้น เป็นต้น ให้สอดคล้องกับลักษณะของ ความรเู้ ปน็ ฐาน ซง่ึ Peter Drucker เรยี กวา่ knowledge งานปจั จบุ นั และในอนาคต? worker ก�ำ ลงั มบี ทบาทในสงั คมโลกาภวิ ตั น์ หรอื knowledge   ผู้เช่ียวชาญยูเนสโกให้ความเห็น society อนั มี ICT เปน็ เทคโนโลยขี องพลงั ขบั เคลอ่ื น ระบบ ว่า เก่ียวกับเร่ืองน้ีเราควรพิจารณา ของงานในอนาคตยงั เนน้ การบรกิ ารในดา้ นตา่ งๆ เชน่ การเปน็ ความแตกต่างระหว่างเศรษฐกิจเชิง ทป่ี รกึ ษาในดา้ นการเงนิ การบรหิ ารจดั การ และอน่ื ๆ อนั มนี ยั อุตสาหกรรมกับเศรษฐกิจท่ีเน้นความ ของความไมแ่ นน่ อน ปญั หาส�ำ คญั ทผ่ี เู้ รยี นตอ้ งเรยี นรทู้ จ่ี ะปรบั อสิ ระและความรเู้ ปน็ ฐานรวมทง้ั งานการ ส่งิ ท่ตี นได้เรียนร้มู าให้สอดคล้องกับเศรษฐกิจท่ไี ม่แน่นอนของ บรกิ าร อนาคต สง่ิ ทเ่ี ราเรยี กวา่ The New Economy ของศตวรรษท่ี   เศรษฐกิจเชิงอุตสาหกรรมเน้นเร่อื ง 21 น้ี ซง่ึ นกั การศกึ ษาบางคนกลา้ เสนอแนะวา่ หลกั สตู รส�ำ หรบั ของทกั ษะและคา่ แรงงาน ในยคุ ปจั จบุ นั ระดับมัธยมศึกษาปัจจุบันควรถูกยกเลิกไปเสีย และแทนด้วย

WORKS หลักสูตรใหม่ ซ่ึงเตรียมคนสำ�หรับโลก   ส่วนในมุมคิดของนักการศึกษา ใหม่สังคมใหม่ท่ีนักเศรษฐศาสตร์บาง คาทอลกิ นน้ั เราควรใหก้ ารศกึ ษาอบรม กลุ่มเรียกว่า The New Economy ท่ีถูกต้อง ท้ังน้ี เพราะการทำ�งานมีนัย ท้ังน้ีเพราะหลักสูตรปัจจุบันรับใช้โลก เชิงเทววิทยา กล่าวคือ ศักด์ิศรีของ ของเมอ่ื วานซง่ึ ก�ำ ลงั ตายลง ไม่ function มนุษย์อย่ทู ่กี ารทำ�งาน และผลของงาน อกี แลว้ (นติ ยสาร Business Review, เพราะโดย September 2000)   1. การทำ�งาน มนุษย์มีบทบาท   อย่างไรก็ดี ผู้เช่ียวชาญยูเนสโกให้ สร้างสรรค์ร่วมกับพระเจ้าผู้ทรงสร้าง ความเหน็ วา่ คนสว่ นใหญข่ องโลก เชน่ ใน สรรพส่ิงสรรพสัตว์ ท้ังปวงในจักรวาล แถบอาฟรกิ า ลาตนิ อเมรกิ า และ เอเชยี การทำ�งานคือ การน้อมรับชะตาชีวิตท่ี ยงั ท�ำ มาหาเลย้ี งชพี ดว้ ยวธิ ปี ระเพณเี ดมิ ๆ ก�ำ หนดโดยพระเจา้ เปน็ การบชู าใหส้ งู สง่ คือ การเกษตรกรรม และ เศรษฐกิจ ทม่ี นษุ ยพ์ งึ ถวายแดพ่ ระเจา้ พ้ืนบ้าน เราจะให้การศึกษาข้ันพ้ืนฐาน   2. การทำ�งานมีคุณค่าของการ อย่างไรดีจึงจะทำ�ให้คนส่วนใหญ่มีชีวิต ไถ่บาป (redemptive value) หรือ อยู่อย่างมีศักด์ิศรีในระบบการครองชีพ การปลดปล่อย (liberate) มนุษย์ แบบเดิมของเขา ปัญหาของลักษณะ ให้พ้นจากกิเลสตัณหา ในพระคัมภีร์ งานในอนาคตยังคงสะท้อนถึงความไม่ ฉบับปฐมกาล พระเจ้าทรงตรัสว่า แนน่ อนตอ่ ไป

“From the sweat of thy brow การเรียนรู้เพ่ืออยู่ร่วมกัน และการ เรยี นรเู้ พอ่ื อยรู่ ว่ มกบั ผอู้ น่ื thou shalt eat thy bread” การเรยี นรปู้ ระเภทน้ี เปน็ การทา้ ทายตอ่ นักการศึกษาปัจจุบัน ว่าเราจะให้การ  3. ในการทำ�งานน้นั มนุษย์มีโอกาส ศึกษาอบรมแก่เด็กและเยาวชนของเรา ทจ่ี ะใหส้ ง่ิ ทด่ี งี ามแกส่ งั คม คอื positive อย่างไร เพ่อื เขาจะได้ร้จู ักมีชีวิตอย่รู ่วม contribution ในเชิงเศรษฐกิจ การ กนั ดว้ ยความเออ้ื อาทร และรจู้ กั อยรู่ ว่ ม อยู่ดีกินดี รวมท้ังการพัฒนา อันจะก่อ กับผู้อ่ืนในสันติไม่ว่าคนเช้ือชาติศาสนา ให้เกิดความผาสุกและความยุติธรรม ใด รู้จักแก้ไขข้อขัดแย้งกันด้วยสันติวิธี ในสงั คม มนั เปน็ การทา้ ทายนกั การศกึ ษากเ็ พราะ ว่าผู้ใหญ่ในอดีตยังไม่เคยให้แบบฉบับ หรือตัวอย่างท่ีดีแก่อนุชนรุ่นหลัง นับ 175 แต่พระคัมภีร์ฉบับปฐมกาลเป็นต้นมา ประวตั ศิ าสตรข์ องมนษุ ยชาตเิ ตม็ ไปดว้ ย ความรุนแรงของความเกลียดชัง การ ข่มเหง เบียดเบียนซ่ึงกันและกัน การ ประหัดประหารชีวิตกันในสงคราม ผู้

WORKS ท่อี ่อนแอกว่าถูกกำ�จัดไปด้วยวิธีการอันแยบยลนานาประการ ผู้เช่ยี วชาญของยูเนสโกให้ความเห็นว่า ในช่วงศตวรรษท่ี 20 มนุษย์ได้แสดงให้เห็นถึงความสามารถท่ีจะทำ�ลายตนเองได้ อยา่ งนา่ สะพรงึ กลวั ดว้ ยการผลติ อาวธุ มหาประลยั เพอ่ื ท�ำ ลาย ลา้ งแคน้ กนั ความรทู้ ไ่ี ดเ้ ลา่ เรยี นมา คน้ ควา้ กนั มาดว้ ยวธิ กี าร วจิ ัยและทดลองในห้องปฏบิ ตั กิ าร ถกู น�ำ ไปใช้เพ่อื การประหัด ประหารกนั ท�ำ ลายชวี ติ กนั มนษุ ยไ์ ดก้ ลายเปน็ สนุ ขั ปา่ ตอ่ กนั และกนั   เมอ่ื สปั ดาหท์ แ่ี ลว้ สถานโี ทรทศั น์ CNN ไดเ้ สนอสารคดี เรอ่ื ง God’s Warriors หรอื “นกั รบของพระเจา้ ” ซง่ึ มที ง้ั ในครสิ ต ชน ศาสนาอสิ ลาม และศาสนายวิ มนั เปน็ สารคดที ส่ี ะเทอื นขวญั แกท่ กุ คนทม่ี กี ารศกึ ษา สะเทอื นขวญั กเ็ พราะวา่ ความรนุ แรงได้ ระเบดิ ขน้ึ ในวงการศาสนา ซง่ึ ไดถ้ กู คาดหวงั ใหเ้ ปน็ ผนู้ �ำ สนั ติ และ ความสงบสขุ มาสสู่ งั คมมนษุ ย์ และดเู หมอื นวา่ ผเู้ ครง่ ศาสนาได้

กลายเปน็ ผคู้ ลง่ั ศาสนา กอ่ ความหายนะแกม่ นษุ ยร์ ว่ มโลกอยา่ ง มนษุ ยท์ ง้ั หลายเสมอื นรกั ตวั เจา้ เอง” จะ 177 โหดรา้ ยหาทเ่ี ปรยี บไดย้ าก ต้องได้รับการเผยแพร่พร้อมด้วยการ   นอกจากน้ี ผู้เช่ียวชาญยูเนสโกให้ความเห็นเพ่ิมว่า ใน สอนและการปฏิบัติต่อไปในบรรดาครู ปจั จบุ นั เศรษฐกจิ ก�ำ ลงั ด�ำ เนนิ ไปในบรรยากาศของการแขง่ ขนั อาจารย์ และนกั เรยี นสนั ตศิ กึ ษากด็ ี สทิ ธิ อยา่ งเอาเปน็ เอาตายภายในชาตแิ ละระหวา่ งชาติ สว่ นนกั เรยี น มนษุ ยชนกด็ ี สมควรไดร้ บั การบรรจเุ ปน็ กเ็ รง่ ศกึ ษาเลา่ เรยี นเพอ่ื เรยี นรกู้ ารไดเ้ ปรยี บเชงิ เศรษฐกจิ เราจงึ ส่วนหน่ึงของหลักสูตรในโรงเรียนของ มกั ใหค้ วามส�ำ คญั มากกบั จติ วญิ ญาณของการแขง่ ขนั และความ เรา การสอนจรยิ ธรรมหรอื ศลี ธรรมจงึ มี ส�ำ เรจ็ สว่ นบคุ คล ซง่ึ ในขณะนก้ี ารแขง่ ขนั ดงั กลา่ ว ไดก้ ลายเปน็ ความหมาย ยง่ิ กวา่ น้ี นกั เรยี นของเรา สงครามเศรษฐกจิ อยา่ งไรค้ วามปราณี กอ่ ใหเ้ กดิ ความตงึ เครยี ด ควรได้รับการส่งเสริมสนับสนุนให้ร่วม ระหวา่ งประเทศร�ำ่ รวย และประเทศทย่ี ากจนกวา่ ซง่ึ ก�ำ ลงั แบง่ กิจกรรมของคณะกรรมการท่ีว่าด้วย แยกประเทศตา่ งๆ กอ่ ใหเ้ กดิ ความรา้ วฉานขน้ึ ในโลก ความยุติธรรมและสันติ มีบทบาทร่วม   ส�ำ หรบั เราโรงเรยี นคาทอลกิ และนกั การศกึ ษาคาทอลกิ เรา กนั ก�ำ จดั ความยากจนกอ่ ใหเ้ กดิ การอยดู่ ี ตอ้ งไมท่ อ้ ถอย ยอมแพต้ อ่ การทา้ ทายน้ี บญั ญตั ทิ องทว่ี า่ “จงรกั กนิ ดใี นสงั คม พระเจา้ ดว้ ยสน้ิ สดุ จติ ใจ ดว้ ยสน้ิ สดุ สตกิ �ำ ลงั ปญั ญา และจงรกั ภราดามารต์ นิ ประทปี โกมลมาศ



ผเหา่ นลกยี าวลหเลวงัลาแล8ห0นปา้ ี

PERSPECTIVE เหลียวหลัง แลหนา้ ผ่านกาลเวลา 80 ปี   ครู อาจารย์ นกั การศกึ ษา นกั บกุ เบกิ คณะเซนตค์ าเบรยี ล เพือ่ เจรญิ รอยตาม และพฒั นา นกั บรหิ ารการพฒั นา นกั การ เจตนารมณ์และอุดมการณ์ของท่านนัก ศาสนา และผู้นำ�จิตวญิ ญาณ คือ เกียรติ บุญหลุยส์ มารีย์ เดอ มงฟอร์ต ผู้ซ่ึง ตำ�แหน่ง หน้าท่ีและบทบาทท่ีนักเรียน สถาปนาภราดาคณะเซนต์คาเบรียลขึ้น นักศึกษา ผปู้ กครอง ศษิ ยเ์ ก่า และสงั คม มาในโลกน้ี เจตนารมณแ์ ละอดุ มการณ์ ไทย รวมถึงนักการศึกษาต่างชาติที่รู้จัก อนั สงู สง่ นน้ั คอื การใหก้ ารศกึ ษาพฒั นา ทา่ นตา่ งยกยอ่ ง ยอมรบั พดู ถงึ และมอบ เยาวชนใหห้ ลดุ พ้นจากอวิชชา สามารถ ให้ “ภราดาประทีป ม. โกมลมาศ” หรอื ดำ�รงชีวิตอยู่ในสังคมได้อย่างมีเกียรติ ที่เรียกขานกันจนติดปากว่า “บราเดอร์ และศักดิ์ศรีตามอัตภาพ และการช่วย มารต์ ิน” ของเหลา่ บรรดาศิษย์เกา่ และ เหลอื ผตู้ กทกุ ขไ์ ดย้ าก หรอื ผดู้ อ้ ยโอกาส ผู้ปกครอง ในสังคม ตลอดระยะเวลาท่ที อดยาวมา   ภราดาประทีป ม. โกมลมาศ (บรา ถึง 80 ปี ภราดาประทีป ไดท้ ำ� ไดส้ ร้าง เดอร์มาร์ติน) ได้อุทิศตัวรับใช้พระ ได้สั่งสอน ได้แบ่งปันและอุทิศให้สังคม ศาสนานิกายโรมันคาทอลิก ปฏิบัติ ไทยมากมาย เปน็ คุณปู การต่อการสร้าง ตามพันธกิจของพระเจ้าในนามภราดา และพัฒนาประเทศไทยผ่านทางการ

ให้การศึกษา อบรมนักเรียน นักศึกษา ...เพอ่ื เจรญิ รอยตาม 181 และการท�ำ งานในดา้ นตา่ งๆ ผา่ นองคก์ ร เจตนารมณแ์ ละ และคณะบุคคลเพ่ือสังคมและประเทศ อดุ มการณข์ องทา่ น ชาติ โดยไม่เห็นแก่ความเหน็ดเหน่ือย นกั บญุ หลยุ ส์ มารยี ์ ถึ ง แ ม้ ท่ า น จ ะ มี ปั ญ ห า สุ ข ภ า พ ด้ า น เดอ มงฟอรต์ ... สายตาและการมองเห็น แต่ท่านก็ยัง ไม่เคยหยุดคิด หยุดทำ�งานเพื่อมหา 1. ภราดามารต์ นิ ไปเป็นผสู้ ังเกตการณก์ ารประชุมสมชั ชาใหญข่ ององค์การ วิทยาลัยอัสสัมชัญ นักศึกษา ศิษย์เก่า UNESCO ที่กรงุ ปารสี (เปน็ ผู้แทนรัฐวาตกิ ัน ไปประชุม UNESCO ณ และสังคมท่ัวไป กรุงนวิ เดลฮ)ี ขอ้ มลู หน้า 62 จากหนงั สือชอ่ื ครู อาจารย์ฯ   ขอ้ เขยี นตอ่ ไปนค้ี อื ขอ้ คดิ ความเหน็ ความในใจ และแรงบันดาลใจ ท่ีท่านได้ ถ่ายทอดมาให้สาธารณชนโดยท่ัวไปได้ รบั ทราบ อนั เปน็ การ “ฝากไวใ้ นแผน่ ดนิ ” ในกรอบของ “เหลยี วหลงั แลหนา้ ผ่าน กาลเวลา 80 ปี” ของภราดาประทปี

PERSPECTIVE การเปลย่ี นแปลงในสงั คมไทย   ภราดาประทีป ได้กรุณาถ่ายทอด ให้ฟังเก่ียวกับประสบการณ์ชีวิตของ ท่านท่ีผ่านช่วงเวลา 80 ปี ในบทบาท หน้าที่ต่างๆ โดยท่านได้เล่าให้ฟังว่า สังคมไทยได้เปลี่ยนแปลงไปมากในทุก มิติ ไม่ว่าจะเป็นเร่ืองคติความเชื่อ ค่า นยิ ม ทศั นคติ วถิ ชี ีวติ ระบบการศกึ ษา ในทศิ ทางทวี่ ฒั นา การทม่ี คี �ำ พดู วา่ “คน สมัยกอ่ นไม่มคี วามฉลาด ยังโง่ มีความ เชื่อถือที่ไม่อยู่บนสัจธรรม ความจริง” การมองสังคมแบบนี้เป็นการมองโลก ในแง่ร้าย เป็นพวก Pessimism แต่ เมื่อคิดใคร่ครวญไตร่ตรองให้ดีก็จะ พบว่าบรรพบุรุษของเรารุ่นปู่ ย่า ตา

ยาย พ่อแม่ของเรา ได้สร้างได้พัฒนา ศิลปกรรมไทยอันแสดงถึงความวิจิตรพิสดาร ความเป็น 183 หลายสิ่งท่ีแสดงถึงความเฉลียวฉลาด อจั ฉรยิ ะของบรรพบรุ ษุ จากวดั พระศรรี ตั นศาสดาราม พระบรม ความเป็นอัจฉริยะในความคดิ และการ มหาราชวัง หรือพระปฐมเจดีย์ท่ีใหญ่โต สูงเสียดฟ้า ซึ่ง สรา้ งสรรค์ อยา่ งทคี่ นในปจั จบุ นั เรยี กวา่ ออกแบบและก่อสร้างโดยช่างไทย คนไทยเม่ือ 230 กว่าปี “นวตั กรรม” ไวเ้ ปน็ มรดกทางวฒั นธรรม มาแล้ว ซ่ึงคนปัจจุบันก็ยอมรับในความเป็นสุดท้ายในเรื่อง ไทยเป็นจำ�นวนมาก เช่น ดูจากศาลา คุณค่าแห่งศิลป์และความม่ันคงแข็งแรงมากกว่าคุณค่าในเชิง ไทย ไม่ว่าจะเป็นศาลาไทยท่ีวิทยาเขต ธุรกิจ หรือเศรษฐกิจของช่าง หรือผู้รับเหมาอย่างเช่นช่างใน หัวหมาก “ศาลาประทีปาลัย” หรือ ยุคปัจจุบัน ผลงานเหล่านี้ย่อมแสดงและยืนยันว่าคนสมัย ศาลาไทยทวี่ ิทยาเขตสุวรรณภูมิ “ศาลา ก่อนเป็นผู้มีสติปัญญา ไม่ใช่คนโง่เขลา เพราะฉะน้ัน จะบอก จตุรมุขไพจิตร” ที่มีความงดงาม อ่อน ว่าแต่ก่อนคนเรายังโง่คงไม่ได้ หรือจะพิจารณาอีกตัวอย่าง ช้อย วิจิตรพิสดาร ซ่ึงทั้งสองศาลาไทย หน่ึงท่ีแสดงถึงความฉลาดอันลึกล้ำ� หรือความเจริญทางด้าน นี้เป็นรูปแบบท่ีบรรพบุรุษได้ออกแบบ ศิลปวัฒนธรรมของคนสมัยโบราณที่สามารถก่อสร้างปราสาท เป็นต้นแบบของ “ศาลาไทย” มายาว เขาพนมร้งุ ทจ่ี งั หวดั บุรีรัมย์ อันมีความวจิ ิตรพสิ ดารอยา่ งมาก นานกว่า 100 ปีมาแล้ว หรือถ้าดูจาก การออกแบบสวยงามเหนอื พรรณนา และแยบยลมาก สถาปนกิ ประติมากรรมของความเป็นไทยท่ีเป็น ผ้อู อกแบบสามารถออกแบบและจัดวางตัวปราสาทให้ต้งั ฉาก 1. พระบาทสมเดจ็ พระเจา้ อยหู่ วั ฯ พระราชทานถุงเงนิ รางวัลประเภท โรงเรยี นดเี ด่น 1 ใน 10 โรงเรยี นของประเทศ แก่ ภราดา ประทปี ม. โกมลมาศ อธกิ ารโรงเรียนเซนตค์ าเบรียล ณ สนามกรฑี าแหง่ ชาติ เม่ือ ปี พ.ศ. 2510 ข้อมลู หน้า 62 จากหนังสือชอ่ื ครู อาจารยฯ์ และหน้า 71 หนังสอื ชอ่ื อสีตยวสั สาภสิ มโภช

PERSPECTIVE กับทิศตะวันออกและจบท่ีทิศตะวัน ตกได้อย่างลงตัว จนสามารถมองเห็น พระอาทิตย์ต้ังฉากตรงช่องประตูได้ทุก ชอ่ งประตู เมอ่ื พจิ ารณาจากผลงาน หรอื มรดกทางวัฒนธรรมท่มี นุษย์ยุคโบราณ ไดส้ รา้ งและรงั สรรคไ์ วใ้ หอ้ นชุ นรนุ่ หลงั ได้ ศกึ ษาเรยี นรู้ ไดป้ ระหลาดใจในศกั ยภาพ ความสามารถของมนุษยชาติในสมัยน้นั ท�ำ นองเดยี วกบั ปราสาทเขาพนมรงุ้ หรอื ปราสาทนครวัด นครธมท่ีแกะสลักหิน เปน็ รปู หนา้ ทก่ี ลา่ วอา้ งวา่ เปน็ พระพกั ตร์ ของพระเจา้ สรุ ยิ วรมนั ท่ี 2 เปน็ พระพกั ตร์ เหมือนกับพระเจ้าท่ีมองดูเห็นหมดทุก ดา้ นไมว่ า่ จะอยทู่ ไ่ี หน ทศิ ไหนกเ็ หน็ พระ พกั ตรน์ น้ั ความสามารถเชน่ นเ้ี หมอื นดงั ค�ำ กลา่ วของ Thomas ทว่ี า่ All Need Present เปน็ ความคดิ ทช่ี าญฉลาดและ สูงส่งย่งิ นัก ผ้ทู ่คี ิดเช่นน้ไี ด้จะต้องเป็นผู้ ยง่ิ ใหญแ่ ละชาญฉลาดมาก เมอ่ื พจิ ารณา

จากตัวอย่างดังท่กี ล่าวมาแล้ว ไม่ว่าจะเป็นศาลาไทย วัดพระ 185 ศรรี ตั นศาสดาราม พระบรมมหาราชวงั พระปฐมเจดยี ์ ปราสาท เขาพนมรงุ้ นครวดั นครธม อนั เปน็ ฝมี อื และผลงานของคนโบราณ ทง้ั สน้ิ ดงั นน้ั เราจะบอกวา่ คนโบราณโงเ่ งา่ คงไมไ่ ด้ เชน่ เดยี วกนั กบั เมอ่ื เรามองไปถงึ ยคุ แรกๆ ของมนษุ ยชาติ เชน่ อารยธรรม ของอยิ ปิ ตโ์ บราณ ซง่ึ มมี าตง้ั แตด่ กึ ด�ำ บรรพ์ ยอ่ มเปน็ การยนื ยนั วา่ ความฉลาด ความมปี ญั ญาอนั เปน็ เลศิ มมี าอยกู่ อ่ นแลว้ ไมไ่ ดโ้ ง่ เขลา งมงาย เลอะเทอะอยา่ งมกี ารคดิ กนั และสอนกนั จากหลกั ฐานแสดงใหเ้ หน็ ประจกั ษว์ า่ คนสมยั กอ่ นมคี วามรู้ มปี ญั ญามาก เพราะสามารถสรา้ งถาวรวตั ถทุ เ่ี ปน็ สง่ิ มหศั จรรยข์ องโลกไดอ้ ยา่ ง นา่ ทง่ึ ทง้ั ๆ ทเ่ี ครอ่ื งมอื อปุ กรณ์ หรอื เทคโนโลยกี ารกอ่ สรา้ งสมยั ใหมอ่ ยา่ งทใ่ี ชก้ นั อยใู่ นปจั จบุ นั นไ้ี มม่ ี นน่ั แสดงวา่ คนในยคุ นน้ั สมยั นน้ั ตอ้ งเปน็ คนทฉ่ี ลาดหลกั แหลมมาก จงึ สามารถสรา้ งไดเ้ ชน่ นน้ั ดงั นน้ั ใครทจ่ี ะพดู หรอื กลา่ ววา่ คนยคุ นฉ้ี ลาดกวา่ คนยคุ กอ่ นคง ไมไ่ ด้ เหน็ แตว่ า่ คนยคุ นศ้ี กึ ษาผลงานของคนยคุ กอ่ นแลว้ ตา่ งกท็ ง่ึ ฉงนสนเท่ห์ใจว่าคนยุคโบราณน้นั ก่อสร้างส่งิ เหล่าน้นั ข้นึ มาได้ อยา่ งไร ชา่ งมหศั จรรยจ์ รงิ ๆ 1. บรรยากาศยามเย็น บริเวณศาลาไทย ดา้ นหน้าอาคารอาสนวิหาร แห่งการเรยี นรู้ 2. ภาพปฏิมากรรมนูนสงู สงครามยุทธหตั ถี บริเวณลานนำ้�พุฝงั่ โดม 2

PERSPECTIVE

  คนยคุ โบราณไดบ้ กุ เบกิ คน้ หา และ วทิ ยาเขตสวุ รรณภมู ิ เพอ่ื จะบอกกบั นกั ศกึ ษา และคนทง้ั หลาย 187 สร้างผลงานให้นักวิทยาศาสตร์ นัก วา่ นกั วทิ ยาศาสตรท์ ง้ั 2 ทา่ นนไ้ี ดค้ น้ คดิ กฏและทฤษฎพี น้ื ฐาน วิชาการในยุคต่อๆมา ได้ศึกษาค้นคว้า ท่นี ักวิทยาศาสตร์คนต่อๆ มานำ�ไปพัฒนาและคิดต่อยอด อัน และพฒั นาตอ่ อยา่ งมากมายจนโลกมนษุ ย์ ทำ�ให้โลกมนุษย์เราเจริญก้าวหน้าและเปล่ียนแปลงไปอย่าง เจรญิ กา้ วหนา้ มาจวบจนทกุ วนั น้ี และกจ็ ะ รวดเร็ว น่เี ป็นการยืนยันว่าคนสมัยก่อน หรือสมัยโบราณเป็น เจรญิ เตบิ โตกา้ วหนา้ ตอ่ ไปอยา่ งไมห่ ยดุ ยง้ั คนฉลาด รจู้ กั คดิ รจู้ กั ดน้ิ รนตอ่ สเู้ พอ่ื การมชี วี ติ ทด่ี ี รวมถงึ การ เพราะบรรพบุรุษในอดีตได้วางรากฐาน สร้างสรรค์ส่งิ ซ่งึ เป็นศิลปวัฒนธรรมและสถาปัตยกรรมอันบ่ง หรือท้งิ ร่องรอยเอาไว้ การเปล่ยี นแปลง บอกถงึ ความมอี ารยธรรม การทม่ี นษุ ยส์ มยั กอ่ นสรา้ งถาวรวตั ถุ หรือพัฒนาการของสังคมมนุษย์ หรือ สถาปตั ยกรรม ปราสาทราชวงั ทว่ี จิ ติ รพสิ ดารขน้ึ มาได้ ทง้ั ทไ่ี มม่ ี สงั คมไทยกท็ �ำ นองเดยี วกนั คอื เปน็ การ เทคโนโลยกี ารกอ่ สรา้ งทท่ี นั สมยั เชน่ ปจั จบุ นั ตอ้ งถอื วา่ บรรพชน สืบสาน การสานต่อ การพัฒนาต่อจาก เหลา่ นน้ั เปน็ Genius ยอดเปน็ ทส่ี ดุ เมอ่ื มองในความหมายทล่ี กึ ท่ีบรรพชนได้ทำ�ไว้ท้ังส้ิน ยกตัวอย่าง ซง้ึ เปน็ นามธรรม (Abstract) ตอ้ งบอกวา่ คนยคุ น้ี สมยั น้ี ท�ำ ไม่ เช่น เซอร์ ไอแซค นิวตัน (Sir Isaac ได้ การแสดงออกถงึ ความปราชญเ์ ปรอ่ื ง ความมศี ลิ ปวฒั นธรรม Newton) ไดค้ น้ พบกฏแรงโนม้ ถว่ งของ และมวี ทิ ยาการทง้ั หลายเกดิ ขน้ึ ในทกุ ยคุ ทกุ สมยั จะบอกวา่ คน โลก และอัลเบิร์ต ไอน์ไสตน์ (Albert โบราณโงก่ วา่ คนยคุ ใหมก่ ไ็ มไ่ ด้ หรอื คนยคุ ใหมโ่ งก่ วา่ คนโบราณ Einstein) ท่คี ้นพบทฤษฎีสัมพันธภาพ กไ็ มไ่ ดอ้ กี ตวั อยา่ งเชน่ เราบอกวา่ ในปจั จบุ นั คอมพวิ เตอร์ หรือ นักวิทยาศาสตร์คนสำ�คัญของโลกท้งั 2 ทา่ น ทบ่ี ราเดอรน์ �ำ เอารปู ปน้ั ของทง้ั สอง 1. The Confernment of the Honorary Degree of Doctor of Laws ท่านน้ีมาต้ังไว้ท่ีมหาวิทยาลัยอัสสัมชัญ on His Eminence Cardinal Crescenzio Sepe

PERSPECTIVE สถาปัตยกรรมคอมพิวเตอร์มีความ กา้ วหนา้ ทนั สมยั มากกต็ อ้ งยอมรบั ความ จริงว่าคอมพิวเตอร์ที่เราใช้กันอยู่ทุกวัน น้เี อาพนื้ ฐานจากคณติ ศาสตรท์ ่เี ป็น Bi- nary Theorem ซึง่ คนเก่าแก่เขาคดิ ไว้   สังคมมนุษย์ก็ดี สังคมไทยก็ดี ก็ อยู่ในกระบวนการเปลี่ยนแปลงท่ีดีข้ึน เจรญิ ข้ึนมาเปน็ ลำ�ดับ จะเกิดขนึ้ ชา้ หรือ เร็วน้ันย่อมข้ึนอยู่กับคุณภาพของคนใน สังคมน้ัน หรือประเทศนั้น รวมถึงข้ึนอยู่ กับประวตั ศิ าสตร์ ภมู ศิ าสตร์ วัฒนธรรม ประเพณี และภูมิหลังความเป็นมาของ สังคมและประเทศนั้นๆด้วยกล่าวโดย สรุป บราเดอร์เห็นว่าสังคมไทยในภาพ รวมมีพัฒนาการและเปล่ียนแปลงดี

ข้ึนตามลำ�ดับในแง่ของความเจริญทาง เก่า ขี่ช้าง ขี่ม้า รบกัน ไม่ใช่ของง่ายๆ 189 วัตถุ ตามกระแสวัตถุนิยม (Material- ตอ้ งมรี ะเบยี บวนิ ยั จติ ใจหา้ วหาญ จงึ จะ ism) แต่ที่บราเดอร์เห็นและเป็นห่วง กล้าทำ�อย่างนั้น กล้าข่ีช้างข้ึนไปฟันกัน มาก คือ การเปล่ยี นแปลงทางด้านจิตใจ หรืออย่างกรณีพันท้ายนรสิงห์ที่ถือหาง คณุ ธรรม และจรยิ ธรรมทด่ี จู ะกา้ วไมท่ นั เสือเรือพระที่นั่งแล้วไปชนจนเรือเสีย ความเจริญทางด้านวัตถุ จึงทำ�ให้เกิด หาย พันท้ายนรสิงห์ขอรับโทษตามกฎ สิ่งท่ี William F. Ogburn เรียกว่า มณเฑียรบาลท่ีวางไว้ แม้พระเจ้าเสือ “ความเฉี่อย ความล้าทางวัฒนธรรม จะให้อภัยโทษ แต่พันท้ายนรสิงห์ก็มิ (Cultural Lag)” วตั ถุ ศิลปวัฒนธรรม ยอม ขอรับโทษเพ่ือมิให้เป็นเย่ียงอย่าง และสถาปัตยกรรมที่มนุษย์สร้างข้ึนมัน และถือเป็นเกียรติสูงสุดท่ีเคารพกฎ จะอยู่ไม่ได้ถ้าปราศจากหลักจริยธรรม มณเฑยี รบาลทวี่ างไว้ ซง่ึ คนยคุ ใหมค่ งไม่ เป็นพ้ืนฐานรองรับ คนโบราณจะให้ ทำ�อยา่ งนนั้ คนยุคใหมเ่ ห็นแกต่ ัว มุ่งแต่ ความส�ำ คญั กับคณุ ธรรม จรยิ ธรรมมาก ประโยชนส์ ว่ นตัวเป็นส�ำ คญั หรือเอาตวั เคร่งกฏ เครง่ ระเบยี บ มีวนิ ยั สงู ไม่ตอ้ ง รอดเป็นสำ�คัญ ส่ิงท่ีตัวเองได้เปรียบได้ ดูอะไร ดูจากการทำ�สงครามของคนยุค ประโยชน์จะถอื ไว้ แตค่ นสมัยกอ่ นไม่ใช่ 1. ลานน�้ำ พบุ ริเวณหน้าอาคารเรยี น 4 ช้ัน ด้านซ้มุ ประตูปราสาทอสั สมั ชัญ

PERSPECTIVE ความเปล่ียนแปลงด้านการศึกษา ยึดถือปฏิบัติมาอย่างไม่ขาดสาย โดย …เปน็ ผนู้ อ้ ยคอยกม้ ของคนไทย เฉพาะการอบรมสงั่ สอนในเรอื่ งคณุ ธรรม ประนมกร ล�ำ บากไป   บราเดอร์เห็นวา่ การศกึ ษาของไทย จริยธรรม ความมีสัมมาคารวะ ความ กอ่ นจะไดส้ บายเมอ่ื มีวิวัฒนาการมากข้ึน คนแต่ก่อนเมื่อ อ่อนน้อมถ่อมตน ความซื่อสัตย์สุจริต ปลายมอื … 80 – 100 ปีที่แล้ว เขียนบันทึกไว้น่า เพราะสิ่งเหล่าน้ีเป็นพื้นฐานของชีวิตที่ อ่านอย่างย่ิง และเด็กยุคนี้ไม่รู้จักอ่าน จ�ำ เปน็ มาก หากปราศจากสงิ่ เหลา่ นแ้ี ลว้ สิ่งเหล่านี้ก็จะเสียโอกาสและความเป็น ชวี ติ และสงั คมจะยงุ่ เหยงิ และสบั สนมาก มนุษย์ที่สมบูรณ์จะขาดหายไป ดังเช่น ตัวอย่างท่ีเรามักได้ยินคำ�ส่ังสอนของ บทประพนั ธข์ องโทมสั เกรย์ (Thomas ผู้ใหญ่สมัยก่อน คือ ท่านให้เช่ือฟังและ Gray) ท่ีอ่านแล้วจับใจอยู่ตลอดเวลา เคารพผู้ใหญ่ เช่น เดินตามหลังผู้ใหญ่ ซ่ึงคนแต่ก่อนมักจะสอนลูกหลานโดย หมาไมก่ ัด เพราะฉะนน้ั ยุคก่อนเดก็ มกั ใช้เขียนคำ�ประพันธ์ บทกลอน อย่าง จะให้ความเคารพนับถือผู้ใหญ่มาก ซึ่ง เช่น พระราชนพิ นธข์ องพระบาทสมเดจ็ ไม่ได้หมายความว่าเด็กสมัยนั้นโง่ แต่ พระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ท่ีทรงเขียน เป็นวิธีการอบรมส่ังสอนของคนโบราณ บทกลอนสอนพระราชโอรสต่างๆ ที่ไป หรือท่ที ่านสอนวา่ “เปน็ ผ้นู ้อยคอยก้ม ศึกษาในต่างประเทศ เป็นต้น เมื่ออ่าน ประนมกร ลำ�บากไปก่อนจะได้สบาย จะได้รับความรู้มาก คนยุคใหม่ต้อง เม่ือปลายมือ” เป็นต้น ซึ่งท่านสอนให้ รู้จักการถ่ายทอดความรู้ให้ลูกหลานใน เดก็ ๆ เป็นคนออ่ นนอ้ มถ่อมตน วา่ นอน อนาคตด้วย อย่างท่ีบรรพบุรุษไทยได้ สอนงา่ ย สิ่งเหลา่ น้ีแสดงและสะทอ้ นให้

เห็นถึงวิธีการอบรม สั่งสอน และการ อนิ เทอร์เน็ต อันทำ�ให้เกดิ โลกทัศน์ทีก่ ว้างมาก แทบไม่มีที่ส้นิ 191 ใหก้ ารศกึ ษาแกล่ ูกหลานและเดก็ ๆ โดย สุด ทำ�ให้เราตกใจต่อการเปลี่ยนแปลงท่ีเกิดข้ึนอย่างพลวัตร ทั่วไป การอบรมส่ังสอนแบบน้ีจึงทำ�ให้ ตดิ ตอ่ ถงึ กนั ดว้ ยความสะดวกรวดเรว็ มาก จนกระทงั่ Thomas เด็กๆ อยู่ในโอวาท ไม่กล้าโต้เถียง ซ่ึง Friedman บอกว่าโลกเรานม้ี นั แบน (The World is Flat) ผดิ กบั เดก็ สมยั นท้ี เ่ี ราสง่ เสรมิ ใหเ้ ดก็ กลา้ ท�ำ ใหเ้ ราเหน็ โลกในแนวทางใหมๆ่ แตแ่ นน่ อน พวกอนิ เทอรเ์ นต็ แสดงออก และเปน็ ตวั ของตวั เองสงู เดก็ และคอมพิวเตอร์เหล่าน้ีมันไม่ได้เพิ่งมาเดี๋ยวน้ีหรอก มันมีมา สมัยนี้จึงกล้าเถียงพ่อแม่ เด็กสมัยก่อน นานแลว้ มาจากพนื้ ฐานคณติ ศาสตร์ Binary Theorem ทบี่ รา ผู้ใหญ่หรือครูพูดอะไรเด็กหรือนักเรียน เดอร์กลา่ วมาแล้ว พอมาถึงจุดน้ีเหมอื นมนั ระเบดิ (Explode) ตอ้ งฟงั ตามนน้ั เช่ือตามนน้ั โตแ้ ยง้ ไม่ได้ เลยไปใหญ่ ไมม่ ใี ครร้ังอยู่ อาจจะเพราะด้วยเหตุน้ีกระมังถึงมีการ   จากความเจริญ ความก้าวหน้าของวิทยาศาสตร์และ กล่าววา่ แต่กอ่ นคนเรายังโง่ เชอ่ื งมงาย เทคโนโลยใี นปจั จบุ นั จงึ ท�ำ ใหเ้ กดิ การพฒั นาการเรยี นการสอน ความจริงในยุคกอ่ นเขาไม่กลา้ เถยี ง เลย ของนกั เรียน นักศึกษา และอาจารย์ สมัยใหมก่ ้าวหนา้ ไปมาก แลดูเหมือนว่าเช่ืองมงาย ในยุคใหม่พอ ทำ�ให้การเรียนการสอนสะดวกสบาย กว้างขวางมาก ผิดกับ เรียนสงู ขนึ้ กฉ็ ลาดขึน้ คอื รมู้ ากขึ้น โดย สมัยก่อนสง่ิ เหลา่ นีไ้ ม่มี การเรียนการสอนเปน็ แบบที่เรยี กวา่ เฉพาะในยุคใหม่มี Social Media คือ Talk and Chalk แต่สมัยกอ่ นนักเรียนจะมีสมาธใิ นการเรยี น

PERSPECTIVE

   ทด่ี กี วา่ เพราะไมม่ ปี จั จยั กระตนุ้ เรา้ มาก การศึกษาในปัจจุบันเจริญข้ึนกว่าแต่ก่อน โอกาสท่ีผู้ใหญ่จะ 193 เหมือนสมัยน้ที ่ที ำ�ให้นักเรียน นักศึกษา พฒั นาตนเองกม็ ตี ลอดเวลา การศกึ ษายคุ ใหมเ่ ราถอื วา่ ไมม่ สี น้ิ ไมค่ อ่ ยมสี มาธกิ บั การเรยี น ผใู้ หญบ่ น่ วา่ สดุ ยคุ ใหมน่ ส้ี ามารถคน้ ควา้ ดว้ ยตวั เองได้ มบี รกิ ารอน่ื ๆ ทจ่ี ะ เดก็ สมยั นต้ี ดิ เกมสม์ าก ส�ำ หรบั บราเดอร์ ช่วยพัฒนาตนเอง ส่ือมวลชนก็เป็นหน่วยการศึกษาท่ีสำ�คัญ เหน็ วา่ เดก็ จ�ำ เปน็ ตอ้ งเลน่ เกมส์ เพราะวา่ หนว่ ยหนง่ึ ทวี ี วทิ ยุ สง่ิ เหลา่ นก้ี ช็ ว่ ยในการพฒั นาการศกึ ษา ซง่ึ เกมสท์ างคอมพวิ เตอรช์ ว่ ยพฒั นาปญั ญา มมี ากมายจนรบั ไมไ่ หว และเปน็ หนว่ ยของการศกึ ษาแบบหนง่ึ และทักษะ เกมส์เป็นเคร่อื งช่วยสอนได้ เหมือนกัน มีมากมายกว่าสมัยก่อนมาก การศึกษายุคใหม่ถือ ดีอย่างย่งิ เช่น วิชาบริหารธุรกิจ เกมส์ ปรัชญาการศกึ ษาแบบใหม่ คือ เนน้ ผ้เู รยี นเป็นสำ�คญั ผเู้ รียน คอมพิวเตอร์บางโปรแกรมใช้เหตุผล สามารถเรยี นไดด้ ว้ ยตนเอง พฒั นาตนเองได้ ในสมยั ทบ่ี ราเดอร์ ดมี าก เปน็ กรรมการคณะกรรมการปฏริ ปู การศกึ ษา เมอ่ื ปี 2540 นน้ั   การเรียนการสอนยุคใหม่ต้องใช้ มกี ารจดั ท�ำ พระราชบญั ญตั กิ ารศกึ ษาแหง่ ชาติ พ.ศ. 2542 ขน้ึ วิธีใหม่ ต้องอยู่กับเด็ก เล่นเกมส์กับ มา ไดก้ �ำ หนดแนวการจดั การศกึ ษาไวอ้ ยา่ งชดั เจน ดงั น้ี เด็ก ใช้คอมพิวเตอร์กับเด็ก วิธีการมัน    เปลย่ี นแปลง แตก่ อ่ นนผ้ี ใู้ หญอ่ ยทู่ างหนง่ึ เดก็ เลน่ อกี ทางหนง่ึ แตย่ คุ ใหมไ่ มไ่ ด้ พอ่ 1. เข้าเฝ้าสมเดจ็ พระเทพรตั นราชสดุ าฯ สยามบรมราชกมุ ารี เพือ่ ถวาย แมต่ อ้ งอยกู่ บั ลกู จงึ จะรทู้ นั คอื วธิ กี ารมนั เคร่ืองคอมพิวเตอร์ เปลย่ี นไป เดก็ กเ็ อาอยา่ งผใู้ หญ่ ท�ำ เลยี น แบบผ้ใู หญ่ เขาอาจจะกำ�ลังมองเห็นว่า เดก็ หรอื ผใู้ หญศ่ กั ดศ์ิ รมี นั เทา่ กนั

PERSPECTIVE “มาตรา 22 การจัดการศึกษาต้องยึด หลักว่าผู้เรียนทุกคนมีความสามารถ เรียนรู้และพัฒนาตนเองได้ และถือว่า ผ้เู รียนมีความสำ�คัญท่สี ุด กระบวนการ จัดการศึกษาต้องส่งเสริมให้ผู้เรียน สามารถพัฒนาตามธรรมชาติและเต็ม ตามศกั ยภาพ   มาตรา 23 การจดั การศกึ ษา ทง้ั การ ศกึ ษาในระบบ การศกึ ษานอกระบบ และ การศึกษาตามอัธยาศัย ต้องเน้นความ ส�ำ คญั ทง้ั ความรู้ คณุ ธรรม กระบวนการ

เรียนรู้ และบูรณาการตามความเหมาะ   4.ความรู้และทกั ษะดา้ นคณติ ศาสตร์ ใฝร่ อู้ ยา่ งตอ่ เนอ่ื ง 195 สมของแตล่ ะระดบั การศกึ ษาในเรอ่ื งตอ่ และด้านภาษา เน้นการใช้ภาษาไทย   4. จัดการเรียนการสอนโดยผสมผสานสาระความรู้ด้าน ไปน้ี อยา่ งถกู ตอ้ ง ตา่ งๆ อยา่ งไดส้ ดั สว่ นสมดลุ กนั รวมทง้ั ปลกู ฝงั คณุ ธรรม คา่ นยิ ม   1. ความรู้เก่ียวกับตนเอง และ   5. ความรู้ และทกั ษะในการประกอบ ทด่ี งี ามและคณุ ลักษณะอนั พึงประสงคไ์ ว้ในทุกวิชา ความสมั พนั ธข์ องตนเองกบั สงั คม ไดแ้ ก่ อาชพี และการด�ำ รงชวี ติ อยา่ งมคี วามสขุ   5. ส่งเสริมสนับสนุนให้ผู้สอนสามารถจัดบรรยากาศ ครอบครวั ชมุ ชน ชาติ และสงั คมโลก รวม   มาตรา 24 การจัดกระบวนการ สภาพแวดล้อม สื่อการเรยี น และอำ�นวยความสะดวกเพื่อให้ผู้ ถึงความรู้เก่ียวกับประวัติศาสตร์ความ เรียนรู้ให้สถานศึกษาและหน่วยงานท่ี เรยี นเกดิ การเรยี นรรู้ วมทงั้ สามารถใชก้ ารวจิ ยั สว่ นหนงึ่ ของกระ เปน็ มาของสงั คมไทยและระบบการเมอื ง เกย่ี วขอ้ งด�ำ เนนิ การดงั ตอ่ ไปน้ี บวนการเรยี นรู้ การปกครองในระบอบประชาธปิ ไตยอนั   1. จัดเน้ือหาสาระและกิจกรรมให้ ทง้ั น้ี ผสู้ อนและผเู้ รยี นอาจเรยี นรไู้ ปพรอ้ มกนั จากสอ่ื การเรยี น มพี ระมหากษตั รยิ ท์ รงเปน็ ประมขุ สอดคลอ้ งกบั ความสนใจและความถนดั การสอนและแหลง่ วทิ ยาการประเภทตา่ งๆ   2. ความรู้และทักษะด้านวิทยา ของผู้เรียน โดยคำ�นึงถึงความแตกต่าง   6. จัดการเรียนรู้ให้เกิดข้ึนได้ทุกเวลาทุกสถานท่ี มีการ ศาสตร์ และเทคโนโลยี รวมท้ังความรู้ ระหวา่ งบคุ คล ประสานความรว่ มมอื กบั บดิ ามารดา ผปู้ กครอง และบคุ คลใน ความเข้าใจและประสบการณ์เร่ืองการ   2. ฝึกทักษะ กระบวนการคิด การ ชมุ ชนทกุ ฝา่ ย เพอ่ื รว่ มกนั พฒั นาผเู้ รยี นตามศกั ยภาพ จดั การ การบ�ำ รงุ รกั ษาการใชป้ ระโยชน์ จดั การ การเผชญิ สถานการณ์ และการ   มาตรา 25 รัฐต้องส่งเสริมการดำ�เนินงานและการจัด จากทรพั ยากรธรรมชาตแิ ละสง่ิ แวดลอ้ ม ประยุกต์ความรู้มาใช้เพ่ือป้องกันและ ต้ังแหล่งการเรียนรู้ตลอดชีวิตทุกรูปแบบ ได้แก่ ห้องสมุด อยา่ งสมดลุ ยง่ั ยนื แกไ้ ขปญั หา ประชาชน พพิ ธิ ภณั ฑ์ หอศลิ ป์ สวนสตั ว์ สวนสาธารณะ สวน   3. ความรู้เก่ียวกับศาสนา ศิลปะ   3. จดั กจิ กรรมใหผ้ เู้ รยี นไดเ้ รยี นรจู้ าก พฤกษศาสตร์ อทุ ยานวทิ ยาศาสตรแ์ ละเทคโนโลยี ศนู ยก์ ารกฬี า วฒั นธรรม การกฬี า ภมู ปิ ญั ญาไทย และ ประสบการณจ์ รงิ ฝกึ การปฏบิ ตั ิ ใหท้ �ำ ได้ และนนั ทนาการ แหลง่ ขอ้ มลู และแหลง่ การเรยี นรอู้ น่ื อยา่ งพอ การประยกุ ตใ์ ชภ้ มู ปิ ญั ญา คดิ เปน็ ท�ำ เปน็ รกั การอา่ นและเกดิ การ เพยี งและมปี ระสทิ ธภิ าพ” 1. งาน PAN-ASIA International Conference ณ ศูนย์ประชุม John XXIII

PERSPECTIVE   ถ้าทุกภาคส่วนท่ีเก่ียวข้องสามารถ จัดการศึกษาได้ตามท่ีกฎหมายกำ�หนด ไวด้ งั กลา่ ว ปา่ นนค้ี ณุ ภาพการศกึ ษาของ ไทยก็คงไปไกลกว่าน้ีมากแล้ว แต่การ ปฏริ ปู การศกึ ษาตามพระราชบญั ญตั กิ าร ศกึ ษาแหง่ ชาตดิ งั กลา่ ว กไ็ มค่ อ่ ยประสบ ความสำ�เร็จมากนัก เพราะนโยบาย และการเมืองท่ีไม่ต่อเน่ือง ซำ้�ยังทำ�ให้ ปรัชญาและวัตถุประสงค์ทางการศึกษา เปล่ียนแปลงไขว้เขวไปด้วย ถ้าหากมี การปฏิบัติตามท่ีกำ�หนดไว้ในพระราช บัญญัติการศึกษาแห่งชาติอย่างจริงจัง และต่อเน่ือง บราเดอร์เช่ือว่า เด็กไทย คณุ ภาพการศกึ ษาไทยจะมคี ณุ ภาพและ เจรญิ กา้ วหนา้ การจดั อนั ดบั คณุ ภาพการ ศกึ ษาของไทยกจ็ ะไมต่ กต�ำ่ อยา่ งเปน็ อยู่   ท่ีบราเดอร์เห็นตัวอย่างอันหน่ึงท่ี เศร้าใจมากท่ีมีรัฐบาล โดยรัฐมนตรี ว่าการกระทรวงศึกษาธิการเสนอให้ซ้ือ คอมพิวเตอร์ช้ันหน่ึงให้เด็กนักเรียนช้ัน ประถม 1 ใช้ แตค่ รไู มม่ ใี ชแ้ ละไมเ่ คยเหน็ และบางพ้นื ทก่ี ไ็ มม่ กี ระแสไฟฟ้าทจ่ี ะน�ำ มาใชก้ บั คอมพวิ เตอรด์ ว้ ยซ�ำ้ ไป

  การศึกษาของไทยท่ีบราเดอร์ห่วง ก้าวหน้า แต่ก็ไม่ได้รับการแก้ไขอย่าง ผ้ใู หญ่ยุคน้อี าจจะเข้าใจผิดคิดว่าต้องส่ง มากอยู่อย่างหน่ึง คือ การแก้ปัญหา จรงิ จงั ความจรงิ พอ่ แมจ่ �ำ นวนมากอยาก เสริมให้ลูกหลานเรียนแต่อุดมศึกษาจะ เด็กวัยรุ่น โดยเฉพาะเด็กวัยรุ่นท่ีเรียน ส่งลูกไปเรียนอาชีวศึกษา เพราะจะหา ได้สบาย จบแล้วจะได้ทำ�มาหากินแบบ อาชีวศึกษาแล้วเกิดปัญหายกพวกตีกัน งานท�ำ ไดง้ า่ ย แตก่ ไ็ มก่ ลา้ สง่ ลกู หลานไป สบายๆ มนั ไมเ่ พยี งพอไมไ่ ดห้ รอก ตอ้ งมี ยงิ กนั บาดเจบ็ ลม้ ตาย ถกู จบั ตอ้ งตดิ คกุ เรียน เพราะกลัวลูกหลานมาเรียนแล้ว วชิ าชพี ทางชา่ งดว้ ย ถา้ ขาดการศกึ ษาใน ตดิ ตาราง เสยี เวลา เสยี อนาคต ผใู้ หญท่ ่ี ตีกัน ตอนน้ีประเทศของเราขาดแคลน วิชาวิศวกรรมศาสตร์ ด้านอาชีวะ ด้าน เก่ยี วข้องก็ไม่สามารถจะแก้ไขปัญหาได้ แรงงานมีฝีมือพวก High-Skilled ใน แพทยศ์ าสตร์ แลว้ ประเทศชาตจิ ะพฒั นา ท้ังๆ ท่ีการศึกษาในระดับอาชีวศึกษา ระดบั ปวส. เปน็ จ�ำ นวนมาก ไม่ได้ ย่งิ เก่ยี วกับการแพทย์น้เี รายังมีไม่ นน้ั มคี วามส�ำ คญั ตอ่ การพฒั นาประเทศ   การศึกษาไม่ใช่จะอยู่ท่ีเร่ืองอ่านใน เพียงพอ เพราะเรายังคิดว่าต้องคัดคน เปน็ อยา่ งมาก ประเทศชาตจิ ะพฒั นา จะ วรรณคดี บทกลอน หรอื วชิ าการชน้ั สงู ๆ พเิ ศษไปเรยี น บางประเทศ เชน่ ประเทศ ต้องมีการปรับปรุงอาชีวศึกษาให้เจริญ อย่างเดียว วิชาชีพต่างๆ ก็ต้องมีด้วย ควิ บา เขาใหน้ กั เรยี นเรยี นแพทยศ์ าสตร์ 197 1. บารเ์ ดอร์มารต์ ินรว่ มพิธีมิสซาในวันครสิ ตม์ าสท่ีโบสถ์ ปี พ.ศ. 2553

PERSPECTIVE เยอะแยะหมด เด๋ียวน้ีประเทศของเขา เจรญิ มาก เพราะมหี มอเพยี งพอทจ่ี ะดแู ล สุขภาพ พลานามัยของประชาชน การ ศึกษาทางวิทยาศาสตร์ ทางเทคโนโลยี ตอ้ งมกี ารปรบั ปรงุ กนั ขนานใหญป่ ระเทศ จงึ จะเจรญิ ตอ้ งหาวธิ กี ารทจ่ี ะจงู ใจและ สง่ เสรมิ ใหน้ กั เรยี นหนั มาสนใจเรยี นทาง ดา้ นคณติ ศาสตร์ และวทิ ยาศาสตร์ เชน่ สอนโดยการให้เด็กนักเรียนได้ฝึกได้ ลงมือทำ�มากๆ เป็นการเรียนรู้จากการ ปฏบิ ตั แิ บบ Learning by doing จะ ท�ำ ให้เดก็ รสู้ กึ สนุกสนานและสนใจเรียน อย่างเร่ืองน้ีประเทศเยอรมนีมีช่ือเสียง และประสบความส�ำ เรจ็ มาก เพราะเดก็ ตอ้ งลงมอื ปฏบิ ตั หิ มด ฝกึ งานหมด การ จะพัฒนาประเทศให้เจริญก้าวหน้าทัน

ประเทศอน่ื เขา เราจะตอ้ งหนั มาใหค้ วาม 199 ส�ำ คญั กบั การศกึ ษาทางดา้ นคณติ ศาสตร์ วิทยาศาสตร์ วิศวกรรมศาสตร์ และ อาชีวศึกษาให้มากข้ึน การแข่งขันกัน ในเร่อื งการเรียนต้องมีมากกว่าน้ี ต้งั แต่ มัธยมศึกษาตอนปลายสำ�คัญมาก เพ่ือ เตรยี มตวั นกั เรยี นใหเ้ รยี นตอ่ แตถ่ า้ เดก็ เหล่าน้ีไม่มีนิสัยขวนขวายอย่างจริงจัง แล้ว ก็จะไม่มีเด็กเรียนมหาวิทยาลัย ด้วย บราเดอร์เป็นห่วงมากท่เี ด็กสมัยน้ี ชอบเรยี นตามเพอ่ื นฝงู ในสาขาวชิ าทไ่ี มม่ ี คณติ ศาสตร์ วทิ ยาศาสตร์ อปุ นสิ ยั ทร่ี กั ความสะดวกสบายผิดกับเด็กนักเรียน นักศึกษาของประเทศเพ่ือนบ้าน เช่น สงิ คโปร์ มาเลเซยี เวยี ดนาม และเมยี น มารท์ ก่ี �ำ ลงั เปดิ ประเทศ 1. ภาพงานจิตรกรรมบนก�ำ แพง บรเิ วณซ้มุ ประตูศรอี ยธุ ยาอนสุ รณ์ 2. ความทรงจำ�กบั การปฏริ ูปการศกึ ษา

PERSPECTIVE