โครงการจัดการเรียนรู้ แบบโครงการเป็นฐาน PJBL วชิ าสัมมนาการตลาด รหสั วชิ า ๓๒๐๒ – ๒๑๐๔ มุ้งเน้นสมรรถนะอาชพี บรู ณาการหลักปรัชญาของเศรษฐกจิ พอเพยี ง หลกั สูตรประกาศนียบตั รวิชาชีพชั้นสงู (ปวส.) พทุ ธศักราช ๒๕๕๗
แผนกวชิ าการตลาด ภาคเรยี นท่ี ๑ ปีการศกึ ษา ๒๕๖๓ คานา วชิ าสมั มนาการตลาด รหัสวชิ า ๓๒๐๒ – ๒๑๐๔ หน่วยกติ ๓ หนว่ ยกติ ไดจ้ ดั แผนการเรยี นรตู้ ามโครงงานฐาน PJBL อย่รู ะหว่าง การทดลองใช้ ในการพัฒนาการเรยี นการสอนความรดู้ ้วยวธิ กี ารสอนท่ี หลากหลาย ใช้กบั ผเู้ รยี นระดบั ประกาศนียบตั รวิชาชีพช้ันสงู (ปวส.) ช้ันปีท่ี ๒ สาขาวิชาการตลาด กาลังอยู่ระหว่างทดลองใช้ ประสทิ ธิภาพยังต้องรออีกสกั ระยะจึงจะใหค้ าตอบประสทิ ธิภาพการจัดการเรียนดงั กล่าวเปน็ อยา่ งไร
ตารางวเิ คราะหห์ ลักสูตร หนว่ ยกติ ๓ รหสั ๓๒๐๒ – ๒๑๐๔ วชิ าสมั มนาการตลาด หนว่ ยกติ ชัน้ ปวส. ๒ สาขาวชิ าการตลาด พทุ ธพิ สิ ัย(๖๐) พฤตกิ รรม ความรู้(๑๐) ความเข้าใจ(๑๐) ชือ่ หนว่ ย การนาไปใช้(๑๐) การวิเคราะห์(๑๐) ๑. ความหมายและความสาคญั การ ัสงเคราะห์(๑๐) ของการปฏบิ ัติงานด้าน การประเมิน(๑๐) การตลาด ๒. หลกั การสัมมนาการตลาด ทักษะพิ ัสย (๓๐) จิตพิ ัสย (๑๐) รวม ลาดับความสา ัคญ จานวนช่ัวโมง ๔๑ ๑ ๓ ๑ ๑๐ ๓๑ ๒ ๓ ๑ ๑๐ ๓. รูปแบบการสัมมนาและ ๓๑ ๒ ๓ ๑ ๑๐ โครงการฝึกอบรม ๓๑ ๒ ๓ ๑ ๑๐ ๔. บุคคลท่ีเกยี่ วขอ้ งกบั การจดั ๓๑ ๒ ๓ ๑ ๑๐ ประชมุ สมั มนา ๓๑ ๒ ๓ ๑ ๑๐ ๕. เอกสารที่เก่ยี วข้องกบั การ ๓๑ ๒ ๓ ๑ ๑๐ สัมมนา ๓ ๑ ๑๐ ๖. การจัดสถานทเ่ี พื่อการ ๓ ๑ ๑๐ สัมมนา ๓ ๑ ๑๐ ๗. การใช้สื่อโสตทัศนปู กรณ์ ๓ ๑ ๑๐ ๘. กระบวนการจดั สัมมนา ๓๑ ๒ ๐๐ ๐ ๙. การตดิ ตามประเมินผลการ ๓๑ ๒ สมั มนา ๓๑ ๒ ๑๐. การวิเคราะหป์ ัญหา การตลาดจากกรณศี กึ ษา สอบปลายภาค รวม ๓ ๑ ๑๙ ๑๐
หมายเหตุ การสอบปลายภาคเรยี นข้นึ อย่กู บั ครผู ้สู อน ลาดบั ช่วั โมง ท่ี สมรรถนะประจาหนว่ ยการเรยี นรู้ ๑ ความหมายและความสาคญั ของการปฏบิ ตั งิ านดา้ น ๓ การตลาด ความหมายของการตลาด ความสาคัญของ การปฏบิ ตั งิ านด้านการตลาด เทคนิคการดาเนินงาน เพอื่ ความสาเร็จในงานอาชีพ การวางแผนทาง การตลาดใหป้ ระสบความสาเรจ็ กรณีศกึ ษา ๒ หลกั การสมั มนาการตลาด ๖ ความหมายของการสัมมนา วตั ถปุ ระสงคข์ อง การสัมมนา ประโยชนข์ องการประชมุ สมั มนา องคป์ ระกอบของการประชุมสมั มนา ขัน้ ตอนของการ ประชุมสมั มนา ลกั ษณะของการประชุมสัมมนา การ ดาเนินการสัมมนา เวลาของการสมั มนา สถานท่ี จดั การสัมมนา การเขียนโครงการสมั มนา ความสาเรจ็ ของการสัมมนา ๓ รูปแบบการสมั มนาและโครงการฝกึ อบรม ๖ องคป์ ระกอบท่ีเกยี่ วขอ้ งกบั การจัดรปู แบบการ ประชมุ สมั มนา การเลือกใชร้ ูปแบบและเทคนคิ ในการ จดั ประชมุ สมั มนา วธิ ีการเขยี นโครงการฝกึ อบรม ๔ บคุ คลที่เกย่ี วข้องกับการจดั ประชมุ สัมมนา ๖ กลุม่ ผดู้ าเนนิ การ กลุ่มวทิ ยากร กลุม่ ผเู้ ข้ารับ การสมั มนา ๕ เอกสารท่เี ก่ียวข้องกบั การสัมมนา ๙ โครงการสมั มนา เอกสารประกอบการสมั มนา เอกสารท่เี กี่ยวข้องกับการสมั มนา ๖ การจดั สถานที่เพอ่ื การสมั มนา ๖ การศกึ ษาข้อมูลเกยี่ วกับการสมั มนา การ เตรียมสถานที่ รปู แบบจดั หอ้ งสัมมนา การจดั หอ้ ง
รบั ประทานอาหาร ๖ ๗ การใช้สอ่ื โสตทศั นูปกรณ์ ๖ ๓ ความหมายของสอ่ื คุณค่าของสือ่ หลักการ เลอื กใช้สอื่ ชนดิ และประเภทของสอ่ื ข้อดีและ ๓ ข้อจากัดในการใช้ส่ือ ๘ กระบวนการจัดสัมมนา ข้ันตอนการจดั สัมมนา ข้ันดาเนนิ การจดั สัมมนา ขนั้ หลงั การจัดสมั มนา ๙ การตดิ ตามประเมินผลการสัมมนา ความหมายของการประเมนิ ผลโครงการ สมั มนา ประโยชน์ของการประเมนิ ผลสมั มนา ประเภทของการประเมินผลโครงการสมั มนา ขน้ั ตอน การประเมนิ ผลโครงการสัมมนา ๑๐ การวเิ คราะหป์ ัญหาการตลาดจากกรณศี ึกษา วตั ถุประสงค์ของการวเิ คราะห์ปัญหา การตลาดจากกรณศี กึ ษา องคป์ ระกอบของกรณศี ึกษา การเตรียมตวั ในการวเิ คราะห์กรณีศกึ ษา การเขยี นรายงานกรณศี กึ ษา
โครงการสอนรายหนว่ ย รหสั วชิ า ๓๒๐๒-๒๑๐๔ วชิ าสมั มนาการตลาด จานวน ๓ หนว่ ยกติ แผนกวชิ าการตลาด วทิ ยาลยั พณชิ ยการบางนา หนว่ ย เนอื้ หา/เรอื่ ง สปั ดาห์ จานวน คะแนน ที่ ที่ ๑๓๕ ๑ ความหมายและความสาคญั ของการ ๒–๓ ๖ ๕ ปฏบิ ตั งิ านดา้ นการตลาด ๔–๕ ๖ ๑๐ ๒ หลกั การสมั มนาการตลาด ๓ รปู แบบการสัมมนาและโครงการ ๖–๗ ๖ ๕ ฝกึ อบรม ๘– ๙ ๑๐ ๔ บุคคลทเี่ กยี่ วข้องกบั การจัด ๑๐ ประชมุ สมั มนา ๖ ๑๐ ๑๑ – ๕ เอกสารท่เี กี่ยวขอ้ งกบั การสมั มนา ๑๒ ๖ ๕ ๖ การจัดสถานท่ีเพือ่ การสัมมนา ๑๓ – ๖ ๑๐ ๑๔ ๓ ๑๐ ๗ การใชส้ อ่ื โสตทัศนปู กรณ์ ๓ ๑๐ ๑๕ – ๘ กระบวนการจัดสมั มนา ๑๖ ๑๗ ๙ การติดตามประเมินผลการสมั มนา ๑๘ ๑๐ การวิเคราะหป์ ญั หาการตลาดจาก ๑๐ กรณศี ึกษา จติ พิสัย รวม ๑๘ ๕๔ ๑๐๐
แผนการจัดการเรยี นรู้ (โครงการพฒั นาหลกั สตู รฐานสมรรถนะรายวชิ า ปี การศกึ ษา ๒๕๕๗) รหสั วชิ ารหสั วชิ า ๓๒๐๒ - ๒๑๐๔ (๒ * ๒ * ๓ ) หลกั สตู รประกาศนยี บตั รวชิ าชพี ชนั้ สงู (ปวส.) สาขาวชิ า การตลาด หนว่ ยการเรยี นรู้ : LU (Learning หนว่ ยสมรรถนะ : UoCs(Unit of Units) Competences) สมรรถนะยอ่ ย : EoCs (Elements of Competences) หนว่ ยท่ี ๑ ความหมายของ สมรรถนะหลกั ที่ ๑ ความหมายของ การตลาดและความสาคัญของการ การตลาดและความสาคัญของการ ปฏิบัตงิ านด้านการตลาด ปฏบิ ตั งิ านด้านการตลาด - ความหมายการตลาด มีความรมู้ คี วามเขา้ ใจความหมายและ และความสาคัญของการ ความสาคญั ของการปฏบิ ัตงิ านดา้ น ปฏบิ ัตงิ านด้านการตลาด การตลาด - ความสาคัญของการ ๑.๑ อธบิ ายความหมายและ ปฏิบตั งิ านด้านการตลาด ความสาคญั ของการปฏิบัติงานด้าน - เทคนิคการดาเนินงาน การตลาด เพอ่ื ความสาเร็จในงาน ๑.๒ บอกความสาคัญของการ อาชีพ การควบคมุ งาน ปฏบิ ัติงานดา้ นการตลาด การตลาด ๑.๓ บอกเทคนคิ การดาเนินงานเพอ่ื - การวางแผนทาง ความสาเรจ็ ในงานอาชีพ ได้ การตลาดใหป้ ระสบ ๑.๔ บอกการวางแผนทางการตลาด ความสาเรจ็ ให้ประสบความสาเรจ็ ได้ - กรณศี กึ ษา หนว่ ยที่ ๒ หลักการสมั มนา สมรรถนะหลกั ที่ ๒ หลกั การสัมมนา การตลาด การตลาด - ความหมายของการ ๒.๑ อธบิ ายความหมายของการ สมั มนา สัมมนาได้ - วตั ถุประสงค์ของการ สามา ๒.๒ บอกวตั ถุประสงค์ของการ สมั มนา สัมมนาได้ - ประโยชนข์ องการ
ประชมุ สมั มนา ๒.๓ บอกประโยชนข์ องการ - องคป์ ระกอบของการ ประชมุ สมั มนาได้ ประชมุ สมั มนา ๒.๔ บอกองค์ประกอบของการ - ขัน้ ตอนของการ ประชมุ สมั มนาได้ ประชุมสมั มนา ๒.๕ บอกข้นั ตอนของการ - การดาเนนิ การสัมมนา ประชุมสมั มนาได้ - เวลาของการสัมมนา - สถานทีจ่ ัดการสัมมนา ๒.๖ บอกลกั ษณะของการสมั มนา - การเขยี นโครงการ ได้ สัมมนา ๒.๗ อธบิ ายการดาเนนิ การสมั มนา - ความสาเรจ็ ของการ ได้ สัมมนา ๒.๘ เขียนกาหนดการของของการ จดั สัมมนาได้ หนว่ ยท่ี ๓ รปู แบบการสมั มนาและ โครงการฝกึ อบรม ๒.๙ เลอื กสถานทจ่ี ดั สัมมนาได้ ๒.๑๐ เขียนโครงการสัมมนาได้ - องคป์ ระกอบทเ่ี กย่ี วขอ้ ง ๒.๑๑ บอกทมี่ าของความสาเร็จ กับการจัดรูปแบบการ ของการสมั มนาได้ ประชมุ สมั มนา สมรรถนะท่ี ๓ รูปแบบการสัมมนา และโครงการฝกึ อบรม - การเลอื กใชร้ ูปแบบและ ๓.๑ บอกองคป์ ระกอบทีเ่ กยี่ วขอ้ งกับ เทคนิคในการจดั การจัดรปู แบบการประชุมสัมมนาได้ ประชมุ สมั มนา ๓.๒ อธิบายการเลอื กใช้รูปแบบและ เทคนิคในการจัดประชมุ สมั มนาได้ - วิธกี ารเขยี นโครงการ ๓.๓ เขียนโครงการฝกึ อบรมได้ หนว่ ยท่ี ๔ บุคคลที่เกี่ยวขอ้ งกับการ จัดประชมุ สมั มนา สมรรถนะหลกั ท่ี ๔ บคุ คลทเี่ กี่ยวขอ้ ง กบั การจดั ประชมุ สมั มนา - กลุ่มผดู้ าเนนิ การ - กลมุ่ วทิ ยากร ๔.๑ อธิบายหน้าทีข่ องกลุ่ม - กลมุ่ ผ้เู ขา้ รบั การสมั มนา ผู้ดาเนนิ การ ๔.๒ อธบิ ายความพรอ้ มของกลมุ่ วทิ ยากร ๔.๓ อธิบายหนา้ ทีข่ องกลุ่มผรู้ บั ฟงั การสัมมนา
หนว่ ยที่ ๕ เอกสารทเ่ี กีย่ วขอ้ งกบั สมรรถนะที่ ๕ เอกสารทีเ่ กีย่ วขอ้ งกบั การสัมมนา การสมั มนา - โครงการสัมมนา ๕.๑ บอกความหมายโครงการ - เอกสารประกอบการ สมั มนาได้ สัมมนา ๕.๒ อธิบายเอกสารประกอบการ - เอกสารท่ีเกี่ยวขอ้ งกบั สัมมนาได้ การสัมมนา ๕.๓ บอกเอกสารท่ีเกีย่ วขอ้ งกับการ สมั มนา หนว่ ยที่ ๖ การจดั สถานทเ่ี พ่อื การ สมรรถนะที่ ๖ การจดั สถานที่เพ่อื การ สมั มนา สัมมนา - ศึกษาข้อมูลเก่ยี วกบั การ ๖.๑ บอกการศกึ ษาข้อมลู เกีย่ วกบั สมั มนา การสัมมนาได้ - การเตรียมสถานที่ ๖.๒ อธบิ ายกรจดั เตรียมสถานท่ี - รูปแบบการจัด ได้ ห้องสัมมนา ๖.๓ บอกรปู แบบการจดั - การจัดห้องรับประทาน ห้องสัมมนาได้ อาหาร หนว่ ยที่ ๗ การใชส้ อ่ื สมรรถนะท่ี ๗ การใชส้ ื่อ โสตทัศนปู กรณ์ โสตทัศนปู กรณ์ - ความหมายของส่อื ๗.๑ บอกความหมายของสอื่ ได้ - คณุ ค่าของสอ่ื ๗.๒ บอกคณุ ค่าของสื่อได้ - หลักการเลอื กใชส้ อื่ ๗.๓ บอกหลกั การเลือกใช้สอ่ื ได้ - ชนดิ และประเภทของสื่อ ๗.๔ อธบิ ายชนดิ และประเภท - ขอ้ ดแี ละข้อจากัดในการ ของสื่อได้ ใช้สื่อ ๗.๕ บอกขอ้ ดแี ละขอ้ จากดั ใน การใชส้ อ่ื ได้ หนว่ ยที่ ๘ กระบวนการจดั สัมมนา สมรรถนะท่ี ๘ กระบวนการจดั สมั มนา - ขั้นตอนการจัดสมั มนา ๘.๑ บอกขน้ั ตอนของการจดั - ขั้นดาเนนิ การจดั สัมมนา ประชุมสมั มนาได้ - ขน้ั หลังการจัดสัมมนา ๘.๒ อธบิ ายขน้ั ตอนดาเนนิ การ จัดประชมุ สมั มนาได้ ๘.๓ บอกข้ันหลงั การจัดสมั มนา ได้ หนว่ ยที่ ๙ การติดตามประเมนิ ผล สมรรถนะที่ ๙ การติดตาม การสัมมนา ประเมินผลการสมั มนา - ความหมายของการ ๙.๑ บอกความหมายของการ
ประเมนิ ผลโครงการ ประเมนิ ผลโครงการสมั มนาได้ สัมมนา ๙.๒ บอกประโยชนข์ องการ - ประโยชนข์ องการ ประเมนิ ผลสัมมนาได้ ประเมนิ ผลสมั มนา ๙.๓ อธิบายประเภทของการ - ประเภทของการ ประเมินผลโครงการสัมมนาได้ ประเมนิ ผลโครงการ ๙.๔ อธบิ ายขนั้ ตอนการ สัมมนา ประเมินผลโครงการสัมมนาได้ - ขั้นตอนการประเมนิ ผล โครงการสัมมนา หนว่ ยที่ ๑๐ การวิเคราะหป์ ญั หา สมรรถนะท่ี ๑๐ การวเิ คราะหป์ ญั หา การตลาดจากกรณีศึกษา การตลาดจากกรณีศึกษา - วตั ถปุ ระสงค์ของการ ๑๐.๑ อธบิ ายวตั ถปุ ระสงค์ของ วิเคราะหป์ ญั หา การวิเคราะหป์ ัญหาการตลาดจาก การตลาดจาก กรณศี ึกษาได้ กรณีศกึ ษา ๑๐.๒ บอกองค์ประกอบของ - องค์ประกอบของ กรณีศึกษาได้ กรณศี ึกษา ๑๐.๓ บอกวธิ กี ารเตรยี มตวั ใน - การเตรยี มตัวในการ การวเิ คราะห์กรณศี กึ ษาได้ วิเคราะหก์ รณศี กึ ษา ๑๐.๔ เขยี นรายงานกรณศี ึกษา - การเขยี นรายงาน ได้ กรณีศกึ ษา แผนการจัดการเรยี นรู้ หนว่ ยท่ี ๑ รายหนว่ ย รหสั วชิ า ๓๒๐๒-๒๑๐๔ สปั ดาหท์ ่ี ๑ รวม ๓ ชว่ั โมง ชอ่ื เรอ่ื ง ความหมายของการตลาดและ จานวน ๓ ความสาคญั ของการปฏบิ ตั งิ านดา้ นการตลาด ช่วั โมง ๑. สาระสาคญั ความหมายของการตลาด (Marketing) คอื กระบวนการ วางแผนและบรหิ ารแนวความคดิ การกาหนดราคา การสง่ เสรมิ สนบั สนนุ และการกระจายสนิ คา้ บรกิ าร การวางแผน การบริหาร องคก์ ร และเหตุการณต์ ่าง ๆ ด้วยการแลกเปล่ยี นท่จี ะสรา้ งความพงึ พอใจใหแ้ กบ่ ุคคล และบรรลวุ ตั ถปุ ระสงคข์ องกจิ การ
ความสาคญั ของการปฏิบตั งิ านดา้ นการตลาด ความสาคัญ ของการตลาดสินคา้ และบรกิ ารได้เปล่ียนแปลงไปตามกาลสมัย ความ เหมาะสม และความตอ้ งการของระบบเศรษฐกติ การปฏบิ ตั ิงานด้าน การตลาดเจา้ มามีบทบาทในการดารงชวี ติ ประจาวนั ท้ังหน้าท่ี งาน อาชีพ และเร่อื งส่วนตวั การเรียนรงู้ านทางด้านการตลาดทาไดห้ ลาย วิธีท้ังจากภาคทฤษฏีและภาคปฏิบตั ิจากประสบการณข์ องผปู้ ระกอบ ธรุ กจิ การสัมมนาการตลาดและการฝึกอบรมในรปู แบบตา่ ง ๆ เข้ามามี บทบาทรว่ มในการแกไ้ ขปญั หา แล้วชว่ ยกนั คดิ ระดมสมองในการ แก้ปญั หา โดยใชค้ วามร้ทู ่เี รียนมาเพอ่ื เตรยี พรอ้ มในการออกไปเปน็ นัก ธุรกจิ ทดี่ ีในอนาคต ๒.สมรรถนะประจาหนว่ ย ความหมายของการตลาดและความสาคญั ของการปฏิบัตงิ าน ดา้ นการตลาด ๒.๑ อธบิ ายความหมายและความสาคัญของการปฏิบตั งิ าน ด้านการตลาดได้ ๒.๒ บอกความสาคัญของการปฏบิ ตั งิ านดา้ นการตลาด ได้ ๒.๓ บอกเทคนิคการดาเนนิ งานเพือ่ ความสาเรจ็ ในงาน อาชีพได้ ๒.๔ บอกการวางแผนทางการตลาดใหป้ ระสบความสาเรจ็ ได้ ๓. จดุ ประสงค์การเรยี นรปู้ ระจาหนว่ ย ความหมายของการตลาดและความสาคญั ของการ ปฏิบตั งิ านด้านการตลาด ๒.๑ เขา้ ใจความหมายของการตลาด ๒.๒ เหน็ ความสาคญั ของการปฏิบัตงิ านดา้ นการตลาด ๒.๓ สามารถนาเทคนคิ การดาเนินงานเพื่อความสาเร็จ ในงานอาชีพ
๒.๔ สามารถวางแผนทางการตลาดใหป้ ระสบ ความสาเร็จ ๒.๕ วิเคราะหก์ รณศี กึ ษา ๔. สาระการเรยี นรู้ (แสดงเฉพาะหวั ขอ้ หลกั หวั ข้อรองและหวั ขอ้ ย่อย) ความหมายของการตลาดและความสาคญั ของการ ปฏบิ ตั ิงานดา้ นการตลาด อาชีพ ๔.๑ ความหมายของการตลาด ๔.๒ ความสาคัญของการปฏิบัติงานด้านการตลาด ๔.๓ เทคนิคการดาเนนิ งานเพอ่ื ความสาเร็จในงาน ๔.๔ การวางแผนทางการตลาดให้ประสบความสาเรจ็ ๔.๕ กรณีศกึ ษา ความหมายของการตลาด (Marketing) คอื กระบวนการ วางแผนและบรหิ ารแนวความคิด การกาหนดราคา การส่งเสริม สนบั สนนุ และการกระจายสนิ ค้า บรกิ าร การวางแผน การบริหาร องค์กร และเหตกุ ารณ์ตา่ ง ๆ ดว้ ยการแลกเปลย่ี นทจ่ี ะสร้าวความพงึ พอใจใหแ้ กบ่ ุคคล และบรรลุวตั ถปุ ระสงคข์ องกิจการ ความสาคัญของการปฏบิ ตั งิ านด้านการตลาด ความสาคญั ของการตลาดสินค้าและบริการไดเ้ ปล่ียนแปลงไปตามกาลสมัย ความ เหมาะสม และความตอ้ งการของระบบเศรษฐกิต การปฏบิ ตั ิงานด้าน การตลาดเขา้ มามบี ทบาทในการดารงชีวติ ประจาวันท้ังหนา้ ท่ี งาน อาชพี และเร่ืองสว่ นตวั การเรยี นรงู้ านทางดา้ นการตลาดทาไดห้ ลายวิธี ท้งั จากภาคทฤษฏแี ละภาคปฏบิ ัตจิ ากประสบการณข์ องผู้ประกอธรุ กิจ การสัมมนาการตลาดและการฝึกอบรมในรปู แบบต่าง ๆ เขา้ มามบี ทบาท รว่ มในการแก้ไขปญั หา แล้วช่วยกนั คดิ ระดมสมองในการแก้ปญั หา โดยใช้ความร้ทู เ่ี รยี นมาเพอื่ เตรยี พร้อมในการออกไปเป็นนักธุรกิจท่ดี ี ในอนาคต เทคนคิ การดาเนินงานเพอื่ ความสาเรจ็ ในงานอาชพี ๓ ประการ ดงั น้ี
๑. การครองตน ดแู ลสุภาพตนเองใหม้ สี ุขภาพดี มคี วาม ขยนั หมนั่ เพียร มงุ่ ม่นั ตงั้ ใจสร้างความสาเรจ็ ๒. การครองคน ดแู ลเอาใจใส่สภาพแวดล้อมของคนใน องค์กร ลกู ค้า และคูแ่ ขง่ ขัน ๓. การครองงาน พฒั นางานใหเ้ จรญิ ก้าวหน้าทันกับสภาวะ ตลาดทเ่ี ปล่ยี นแปลงไปตามภาวะเศรษฐกจิ การควบคมุ งานการตลาด มีการจดั ลาดบั ขั้นตอนการทางาน กระจายงาน และมอบหมายหนา้ ท่ใี หค้ นรับผดิ ชอบ และตดิ ตามผลงาน ใหบ้ รรลเุ ปา้ หมาย ๕. กิจกรรมการเรยี นรู้ ๑. ข้ันนาเข้าสู่บทเรียน ผู้สอนอาจจะนาสถานการณ์ที่เป็น ข่าว ภาพข่าวจากแหล่งต่าง ๆ ซึ่งเกิดขึ้นจริง บทความ หรือกรณีศึกษา มากระตุ้นให้ผู้เรียนได้ตอบคาถามในประเด็นสาคัญท่ีผู้สอนกาหนด เพ่ือให้เกิดความตระหนักในปัญหาที่เกิดขึ้น หรือเห็นความสาคัญที่ จะต้องศึกษาในเร่ืองท่ีผู้สอนนาเสนอ ซ่ึงเป็นเรื่องที่สอดคล้องกับ บทเรียน ๒. ขนั้ สอน ๑) การรวบรวมขา่ วสาร ขอ้ มูล ขอ้ เทจ็ จรงิ ความรู้ และ หลกั การ ขั้นตอนนี้เป็นขั้นพ้ืนฐานของการเผชิญสถานการณ์และการ แก้ปัญหา ผู้สอนอาจจะมอบหมายให้ผู้เรียนได้ไปศึกษาค้นคว้าหา ความรู้ เพื่อให้ได้ข้อมูลเก่ียวกับเร่ืองที่ศึกษา หรือข่าวสารการกระทาที่ สอดคล้องกับเร่ืองท่ีศึกษา ซึ่งผู้สอนอาจจะหาแหล่งข้อมูล ความรู้หรือ แหลง่ ขา่ วสารให้แก่ผู้เรียน ประวตั คิ วามเปน็ มา เหรยี ญโปรยทาน มาทาความร้จู ักคาวา่ “การโปรยทาน” กนั ก่อน ในอดตี เชื่อ กนั ว่าพระพทุ ธเจา้ ทรง สละราชยส์ มบัตแิ ล้วออกผนวช โดยไมป่ รารถนาทจ่ี ะเป็นพระเจ้า แผน่ ดิน ทรงสละเงนิ ทองทรพั ยส์ มบตั มิ ากมายให้แกผ่ อู้ ื่นโดยไมห่ วงั ผลตอบแทน ดังนั้น การโปรยทาน หมายถงึ การสละเงนิ ทองทรพั ย์ สมบัตเิ ปน็ ทานแกผ่ ู้อน่ื โดยไม่หวังผลตอบแทน โดยถอื คตติ ามท่ี พระพทุ ธเจ้าทรงสละราชย์สมบตั อิ อกผนวช การโปรยทานก่อนเขา้
โบสถ์เป็นการแสดงว่าต่อจากน้ไี ปนาคได้สละสมบัติทกุ อย่างแล้ว เพ่ือ ดาเนนิ ชวี ติ ตามแบบอย่างองคส์ มเดจ็ พระสมั มาสัมพทุ ธเจ้า นอกจากนนั้ การโปรยทานยงั เปน็ การสอนคนให้รูจ้ กั เสยี สละโดยปราศจากเงอ่ื นไข ใดๆ ทงั้ สนิ้ การโปรยทานนนั้ จะมกี ไ็ ดไ้ มม่ กี ไ็ ด้ ไมใ่ ชข่ ้อกาหนดตายตวั เน่อื งจากไม่ใชพ่ ิธที เี่ กย่ี วเนอ่ื งกับการบวช ถงึ ไมม่ กี ารโปรยทานก็บวช สาเร็จเปน็ พระได้เช่นกัน การทาเหรยี ญโปรยทาน เหรียญโปรยทานทาข้ึนเพอื่ ใช้ในพธิ ตี า่ งๆ หรือเปน็ ของท่ี ระลึกสาหรบั แจกคนในงาน เช่น งานบวช งานแต่ง และงานศพ เปน็ ต้น ซ่ึงพิธบี วชนาคแตก่ อ่ นนาคกอ่ นจะบวชเปน็ พระต้องมีการโปรยทานก่อน เขา้ โบสถ์ ดงั ฉะนเี้ องจึงมีเหรยี ญโปรยทานข้นึ มาในรปู แบบการห่อ เหรียญดว้ ยกระดาษสีตา่ งๆ เพือ่ ให้เหน็ ชัดเจน วสั ดุทีใ่ ช้ เช่น กระดาษ แก้ว ริบบนิ้ เป็นตน้ ซึง่ แตก่ ่อนจะโปรยด้วยเหรียญธรรมดาไมม่ กี ารห่อ เวลาโปรยแล้วผรู้ อเกบ็ จะหาไม่เจอ และเก็บเข้ากระเปา๋ สตางค์ทาใหร้ วม ไปกับเหรยี ญอ่นื ๆ ได้ จงึ ตอ้ งมีการห่อเหรียญขน้ึ มาครบั พบั เหรียญโปรยทาน ดว้ ยรบิ บ้นิ การพบั เหรียญโปรยทาน หรือการทาเหรยี ญโปรยทานจาก การหอ่ ดว้ ยริบบ้ินหลากสสี นั เป็นรูปทรงต่างๆ สาหรบั เป็นของทีร่ ะลึก เปน็ เหรยี ญขวญั ถงุ การประดิษฐเ์ หรียญโปรยทาน ไดแ้ บ่งออกเปน็ ๓ ประเภท ไดแ้ ก่ ๑.เหรยี ญโปรยทานสาหรบั งานอปุ สมบท การประดิษฐเ์ หรียญโปรยทานสาหรับงานอปุ สมบท สรี ิบบิ้นทใี่ ช้ สว่ นมากใชส้ ีเหลอื งทอง สีสม้ บางงานมหี ลากสแี ล้วแตช่ อบ โปรยทาน ก่อนนานาคเขา้ โบสถ์ ตามประเพณีนยิ ม เมอ่ื แห่นาคไปยงั โบสถ์ เวียน โบสถส์ ามรอบพรอ้ มด้วยเคร่ืองอัฏฐบริขารท่ใี ช้ในการบวช และของท่ี ถวายพระส่วนเคร่อื งอฏั ฐบรขิ ารและของถวายพระ จะนาไปตั้งในโบสถ์ กอ่ นการวันทาสีมา นาคจะจดุ ธปู เทยี น ที่เสมาหนา้ โบสถ์แลว้ นัง่ คุกเข้า
ประนมมอื กลา่ วคาวันทาสา แล้วกราบ ปักดอกไมธ้ ูปเทียน ณ ที่จัดไว้ นา นาคมาท่ีหนา้ โบสถ์ ‘นาคจะโปรยทาน’ เสรจ็ แล้วจะจงู นาคเขา้ โบสถ์โดย บิดาจงู มือข้างขวา มารดาจงู มอื ข้างซา้ ย พวกญาติคอยจับชายผา้ ตาม สง่ ขา้ งหลังเม่ือพน้ ประตูแลว้ ให้เดนิ ตรงไปที่พระประธานประกอบพธิ ี ตอ่ ไป ๒.เหรยี ญโปรยทานสาหรบั งานมงคลสมรส การประดษิ ฐเ์ หรยี ญโปรยทานสาหรบั งานมงคลสมรส สี ริบบ้ินทใ่ี ช้ส่วนมากใชส้ สี ดใสเยน็ ตา สีหวาน เชน่ ชมพู สแี ดง สีฟา้ และ สอี ืน่ ๆ จากคาวา่ เหรยี ญโปรยทาน เรยี กว่า ซองมงคล เพือ่ ใชเ้ หมาะกับ งานมงคลสมรสจะใช้ตอนกน้ั ประตู เดมิ ทีเพือ่ ความสนุก แต่ภายหลงั แทบ จะเป็นองคป์ ระกอบหลักของงานแต่งงาน การกั้นประตู คือการขวางทาง ขบวนขนั หมากฝา่ ยเจ้าบา่ วไว้ เม่อื เคล่อื นเข้ามาในเขตบา้ นเจา้ สาว โดย ใช้คนสองคนถอื สร้อยเงิน สร้อยทอง กน้ั ประตูไว้ หากไม่มอบของกานลั ใหก้ ็จะไม่ยอมใหผ้ า่ นเข้าไปได้ ในแตล่ ะประตเู ถา้ แกข่ องเจ้าบา่ ว จะต้อง เจรจาเพอ่ื มอบซองมงคลก่อนจะผา่ นประตไู ปได้ ๓.เหรยี ญโปรยทานสาหรบั งานศพ การประดิษฐ์เหรียญโปรยทานสาหรับงานศพ สรี ิบบ้ินทใ่ี ช้ สว่ นมากเป็นสีขาว สดี า ตามความเชอ่ื ทมี่ าแต่โบราณ วา่ เมือ่ คนในครอบครัวลว่ งลบั ไป หลังจาก งานเผาศพ ลูกหลานไมอ่ ยากใหว้ ญิ ญาณ เปน็ วิญญาณท่ีเรร่ ่อน กบ็ อก เจ้าท่ี เจา้ ทาง ขอใหด้ วงวิญญาณไปสถิตท่บี า้ น โดยการโปรยทานเพ่ือ เปน็ การซอ้ื ทาง ใหด้ วงวญิ ญาณผ่านไปไดไ้ ม่ตดิ ขดั แขกท่ีไปรว่ มงานท่ี เกบ็ เหรยี ญได้ จะนาไปทาบญุ ตอ่ เพ่อื อทุ ิศบญุ กศุ ลใหผ้ ลู้ ่วงลบั และก็จะ ไดบ้ ญุ กศุ ลนไ้ี ปดว้ ย ทม่ี า www.blocksport.com คาส่งั ใหผ้ เู้ รียนวางแผนการตลาดของเหรียญโปรยทาน ๒) การประเมนิ คณุ คา่ และประโยชน์ เมอ่ื ผ้เู รยี นไดศ้ กึ ษาความรู้ หรอื ข่าวสารขอ้ มลู หรือ สถานการณ์ท่ผี ู้สอนมอบหมายแล้ว จะต้องนามาศึกษาวิเคราะหค์ ณุ ค่า
หรือประโยชน์ ในข้ันตอนนจ้ี ะตอ้ งฝกึ ให้ผู้เรียนรูจ้ กั หลกั และวิธกี ารคดิ ในรปู แบบตา่ ง ๆ เพือ่ ใหไ้ ดข้ ้อคดิ วา่ สถานการณ์ หรอื ข้อมลู ทไี่ ด้ศกึ ษา นน้ั มคี ณุ ค่ามากนอ้ ย หรอื มปี ระโยชน์เพยี งไร อาจจะใชเ้ กณฑห์ รือ วธิ กี ารประเมินตามความเหมาะสม ซงึ่ อาจจะใช้เกณฑ์ด้านคณุ ธรรม จรยิ ธรรม เกณฑม์ าตรฐานและค่านยิ มของสงั คม หรอื กรอบทฤษฎี การ คดิ ประเมนิ ค่ามีความสาคญั และมีผลตอ่ การเลอื กการตดั สินใจ ในขั้น การประเมนิ คณุ ค่าน้ี ผู้สอนอาจจะจดั ทาเปน็ แบบฝกึ หรอื มีคาถามเพือ่ ฝึก ใหผ้ เู้ รยี นไดร้ จู้ กั วเิ คราะห์ เพอื่ เปน็ พื้นฐานของการประเมนิ ค่า และ ประโยชน์หรอื โทษของเรอ่ื งทีศ่ ึกษาก็ได้ ๓) การเลือกและการตดั สนิ ใจ ข้ันตอนน้ี จะเปน็ ขนั้ ตอนที่ตอ่ เนอ่ื งจากข้ันตอนที่ ๒ เมือ่ ผู้เรยี นไดป้ ระเมนิ คณุ ค่า และประโยชน์จากข้อมลู และขา่ วสารแลว้ จะมองเหน็ ชอ่ งทางวา่ ถา้ ตนเองไดป้ ระสบกบั สถานการณ์ดงั กล่าวหรือสถานการณท์ ่ีคลา้ ยคลึงกัน นน้ั ผเู้ รยี นจะสามารถเลอื กและตดั สนิ ใจอยา่ งไร จงึ จะถกู ต้องหรอื ไดร้ บั ประโยชน์อย่างแท้จริง เพอื่ จะได้ไมเ่ กิดปญั หาจากการตัดสินใจที่ ผดิ พลาด ในขั้นน้ผี สู้ อนอาจจะสรา้ งสถานการณ์ทเี่ ปน็ กรณีตวั อยา่ ง ปญั หาในชีวิตจรงิ ของผู้เรยี น อาจจะเปน็ ปญั หาในครอบครวั โรงเรยี น สังคม และต้ังประเด็นคาถามใหผ้ ู้เรยี นไดฝ้ กึ ทกั ษะในการเลือกและการ ตัดสนิ ใจในการแก้ปญั หาอยา่ งมหี ลกั การ ๔) การปฏบิ ตั ิ เมอื่ ผ้เู รยี นได้ฝึกทกั ษะตงั้ แต่ขนั้ การรวบรวมข่าวสาร ขอ้ มูล ขอ้ เทจ็ จรงิ ความรแู้ ละหลกั การ ไดฝ้ ึกการประเมนิ คณุ คา่ และประโยชน์ ตลอดจนการเลอื กและตัดสนิ ใจไปแล้ว ขนั้ ตอนท่สี าคญั คือควรจะฝึกให้ ผเู้ รียนไดร้ ูจ้ กั นาไปปฏิบัติ ซ่ึงในบางสถานการณ์ ผเู้ รยี นสามารถนาไป ปฏิบตั ิไดจ้ รงิ จะทาให้ผ้เู รียนไดพ้ ิสูจนว์ ่าการที่ตนได้ตดั สินใจเลอื กนนั้ เมือ่ นาไปปฏิบัตจิ รงิ แล้ว ไดผ้ ลดหี รอื ไดร้ ับประโยชน์อยา่ งไร ตดั สินใจ ถกู ตอ้ งหรือไม่ แตใ่ นกรณีสถานการณ์นนั้ ไมเ่ หมาะสมกับการนาไป ปฏิบตั ิดว้ ยตนเอง ผสู้ อนอาจจะออกแบบกจิ กรรมใหผ้ เู้ รยี นได้พสิ ูจน์ ความรูใ้ นแงป่ ฏบิ ตั ิ โดยการสมั ภาษณจ์ ากบคุ คล ผู้ทมี่ ปี ระสบการณ์หรือ ผู้มคี วามรู้ หรอื จากผลงานของนักวชิ าการ ทไ่ี ดพ้ ิสจู นห์ รือทดลองปฏบิ ตั ิ แล้วเปน็ การยืนยันและเป็นการสนับสนุนการตดั สินใจของผู้เรยี น ๓. ขัน้ สรปุ เม่อื ผู้สอนได้ดาเนนิ การให้ผู้เรยี นทากิจกรรมจน ครบทกุ ขนั้ ตอนของกระบวนการเผชญิ สถานการณแ์ ล้ว ผูส้ อนควรให้
ผเู้ รียนไดช้ ว่ ยกันสรุปแนวคดิ หรอื ความรูแ้ ละประสบการณท์ ตี่ นไดร้ บั เปน็ การยา้ เตอื นใหเ้ กดิ ความกระจ่างชดั ขึ้น ๔. ขนั้ การวดั และการประเมนิ ผล ผสู้ อนควรมวี ธิ กี ารวัดและ การประเมนิ ผลใหค้ รอบคลมุ ท้ังด้านพุทธพสิ ยั จิตพสิ ยั และทักษะพิสัย มี การกาหนดเคร่ืองมอื วัดและประเมิน พร้อมทงั้ กาหนดเกณฑ์การวดั และ การประเมินผลใหช้ ดั เจน ๖. ส่อื การเรยี นการสอน/การเรยี นรู้ ๖.๑ หนงั สอื วิชาสมั มนาการตลาด ๖.๒ เร่อื งจากอนิ เตอรเ์ นต็ ๖.๓ ใบงาน ๗. แหลง่ การเรยี นรู้ ๗.๑ ใบความรทู้ ี่ ๑ ๗.๒ อนิ เตอร์เนต็ ๗.๓ นิตยสาร วารสาร ๘. หลกั ฐานการเรยี นรู้ ๘.๑ ใบงานท่ี ๑ ๘.๒ แบบฝกึ หัด ๙. การบรู ณาการ/ความสมั พนั ธ์กบั วชิ าอนื่ ๙.๑ วิชาเทคนคิ การนาเสนอ ๙.๒ กจิ กรรมชมรมวชิ าชพี การตลาด ๑๐. การวดั และประเมนิ ผลตามสภาพจรงิ เครอ่ื งมอื ประเมนิ ๑๐.๑ ใบประเมนิ ผลความพึงพอใจของผรู้ ว่ มกจิ กรรม ๑๐.๒ แบบสงั เกตพฤติกรรมการทางานรว่ มกันเป็นกลุ่ม
๑๐.๓ การสอบเกบ็ คะแนน
แผนการจดั การเรยี นรรู้ าย หนว่ ยที่ ๑ หนว่ ย สปั ดาหท์ ่ี ๑ รหสั วชิ า ๓๒๐๒-๒๑๐๔ รวม..๓.. ชวั่ โมง จานวน ๓ ช่วั โมง PJBL ช่ือเรอ่ื ง ความหมายของการตลาดและความสาคญั ของการปฏบิ ตั งิ านดา้ นการตลาด ใบงานท่ี ๑ คาสัง่ ใหน้ ักเรียนแบ่งกลมุ่ ละ ๔ คน ระดมความคิดว่าการ ปฏบิ ัตงิ านทางดา้ นการตลาดมีความสาคัญอยา่ งไรต่อการพัฒนาความ เป็นอยขู่ องผู้คนในยคุ ปัจจบุ ันโดยตอบตามความคิดเหน็ ของกลมุ่ พร้อม ยกตวั อยา่ ง ๔ ตัวอยา่ ง ความยาวไมเ่ กิน ๑ หน้ากระดาษ ใช้เวลา ๓๐ นาที พร้อมกบั นาเสนอหนา้ ห้อง กลมุ่ ละ ๕ นาที แผนการจดั การเรยี นรรู้ าย หนว่ ยท่ี ๑ หนว่ ย สปั ดาหท์ ี่ ๑ รหสั วชิ า ๓๒๐๒-๒๑๐๔ รวม ๓ ชั่วโมง จานวน ๓ ชว่ั โมง ชือ่ เรอื่ ง ความหมายของการตลาดและความสาคญั ของการปฏบิ ตั งิ านดา้ นการตลาด ใบความรทู้ ่ี ๑ ตัวอยา่ งหลักธรรมาภบิ าลขององคก์ รชั้นนาในประเทศไทย สานกั งานปลดั กระทรวงการคลงั สานักงานปลัดกระทรวงการคลังมกี ารบริหารงานในทุก กระบวนการหลักอยา่ งมีธรรมาภบิ าล
โดยการดาเนินงานจะคานึงถึงดลุ ยภาพระหว่างองคก์ รผูร้ บั บรกิ ารและผู้ มสี ว่ นไดส้ ่วนเสียโดยยึดหลกั ธรรมาภบิ าลสากล ซ่งึ มอี งคป์ ระกอบ ๙ ประการได้แก่ ๑. การมสี ว่ นรว่ ม(Participation) ๒. นติ ิธรรม (Rule of Law) ๓. ความโปรง่ ใส (Transparency) ๔. การตอบสนอง (Responsiveness) ๕. การมุง่ ฉนั ทามติ (Consensus Oriented) ๖. ความเสมอภาค/ความเทย่ี งธรรม (Equity and Inclusiveness) ๗. ประสทิ ธิภาพและประสิทธิผล (Efficiency and Effectiveness) ๘. ภาระรบั ผดิ ชอบ (Accountability) และ ๙. วิสยั ทศั น์เชงิ กลยทุ ธศาสตร์ (Strategic Vision) และมีการกาหนดผรู้ ับผิดชอบตลอดจนกลไกในการส่งเสริมและ ตรวจสอบดูแลธรรมาภิบาลในทุก กระบวนการอย่างชดั เจน การประปานครหลวง หลักธรรมาภบิ าลหรือหลักการกากบั ดูแลกจิ การที่ดขี อง กปน. ประกอบด้วยหลัก ๖ ประการ ๑. หลักนติ ิธรรม (The Rule of Law) หมายถงึ การมกี ฎ ระเบยี บ ที่เป็นธรรมกับทุกฝา่ ย มีการบังคับใช้ อยา่ งเสมอภาค และไม่มีการเลือกปฏิบตั ิแบบสองมาตรฐาน (Double Standard) มกี ารดแู ลการปฏิบัตใิ หเ้ ป็นไปตามกรอบของกฎ ระเบยี บ และกรอบเวลาการปฏบิ ตั ิ ไมใ่ ห้มกี ารใชไ้ ปแสวงหาประโยชนโ์ ดยมชิ อบ มกี รอบการปฏบิ ตั ทิ เ่ี คารพสทิ ธิและเสรีภาพ และมีการปรบั ปรงุ กฎระเบียบใหท้ นั สมัยสอดคล้องกับสถานการณ์ ๒. หลกั คณุ ธรรม (Virtue) หมายถงึ การยึดมน่ั ในความถกู ต้องดงี ามในการปฏบิ ตั ิหนา้ ที่ เพ่ือใหเ้ ปน็ ตวั อยา่ งที่ดีแก่สงั คม และส่งเสริมสนบั สนนุ ใหป้ ระชาชน พัฒนาตนเองไปพร้อมกัน เพือ่ รว่ มสร้างสรรคใ์ หส้ งั คมไทยเป็นสังคม
แห่งความซอ่ื สตั ย์ จรงิ ใจ อดทน มรี ะเบยี บวินยั และประกอบอาชพี ดว้ ย ความสุจรติ โดยไมก่ ระทาหรือไม่สนบั สนุนการคอรร์ ัปชนั พรอ้ มทั้ง ร่วมมือกันควบคุมไมใ่ ห้เกิดการคอร์รปั ชนั ในองคก์ ร ๓. หลกั ความโปร่งใส (Transparency) หมายถึง การมคี วามโปร่งใสเก่ยี วกบั การบริหารจดั การที่สามารถ ตรวจสอบไดใ้ นทกุ ๆ ด้าน อาทิ การมีระบบงานทีช่ ัดเจน เปดิ เผยได้ มี กระบวนการให้สามารถตรวจสอบความถกู ตอ้ งชัดเจนได้ และมีการ เปิดเผยขอ้ มลู ข่าวสารทเ่ี ปน็ ประโยชนต์ ่อสาธารณะอย่างตรงไปตรงมา ถกู ต้อง โปรง่ ใส สอดคลอ้ งกับเวลาและสถานการณ์ ๔. หลกั การมสี ่วนร่วม (Participation) หมายถึง การกระจายโอกาสใหพ้ นกั งานไดม้ สี ว่ นร่วมทางการ จัดการและการบรหิ ารท่เี กย่ี วกบั การให้ขอ้ เสนอแนะและการตัดสนิ ใจใน เรอ่ื งตา่ งๆ รวมทั้งการจัดสรรทรพั ยากรขององคก์ ร ซงึ่ จะส่งผลกระทบ ต่อการดาเนินงาน พนักงาน และเจา้ ของ โดยการใหข้ ้อมูล การรบั ฟัง และแสดงความคดิ เหน็ ให้คาแนะนาปรึกษา ร่วมวางแผน รว่ มปฏบิ ัติ ตลอดจนการควบคุมจากผมู้ ีส่วนไดส้ ่วนเสยี ๕. หลกั ความรบั ผดิ รับชอบตอ่ ผลการปฏิบตั ิหนา้ ท่ี (Accountability) หมายถึง การตระหนักในสทิ ธิหนา้ ท่ี ความสานกึ ในความ รับผดิ ชอบ การใสใ่ จ การกระตอื รือรน้ ในการแก้ไขปญั หา การเปดิ โอกาส และพรอ้ มท่ีจะใหต้ รวจสอบ ประเมนิ ผลทีส่ ะทอ้ นถึงความ รบั ผดิ ชอบตอ่ ผมู้ สี ว่ นได้สว่ นเสยี การยอมรบั ผลทเ่ี กิดขึ้นจากการปฏบิ ตั ิ หนา้ ทแี่ ละจากการดาเนินงาน ๖. หลกั ความมีประสิทธิภาพและประสิทธผิ ล (Efficiency& Effectiveness) หมายถงึ การบรหิ ารจดั การอยา่ งมีประสิทธภิ าพและประสทิ ธผิ ล ใช้ทรัพยากรท่ีมอี ยู่อย่างคมุ้ ค่า เพอื่ ให้เกดิ ประโยชนส์ งู สดุ แกส่ ว่ นรวม สรา้ งสินคา้ และบรกิ ารที่มีคุณภาพ สามารถแขง่ ขนั ไดแ้ ละดแู ลรกั ษา สงั คม สง่ิ แวดลอ้ มใหส้ มบรู ณ์ย่งั ยนื โดยมกี ารกาหนดตวั ชีว้ ัดผลการ ปฏบิ ตั ิงาน และมอี งค์กรหรอื บุคคลทีเ่ ปน็ อิสระและเป็นทยี่ อมรับของ สังคมทาหนา้ ท่เี ปน็ ผปู้ ระเมนิ ธนาคารกรงุ ไทย
ธนาคารได้ส่งเสรมิ การปฏิบตั ิงานด้านบรรษทั ภบิ าล โดยกาหนด แนวทางการปฏิบตั ไิ ว้อย่างชดั เจนเพอื่ ให้ผูบ้ รหิ ารและพนักงานทกุ ระดับ ยดึ ถือปฏบิ ตั ภิ ายใต้การกากบั ดูแลของคณะกรรมการบรรษัทภบิ าลและ ความรบั ผิดชอบตอ่ สงั คม ซงึ่ ทาหนา้ ท่กี ากบั ดูแลการปฏบิ ัตงิ านโดยรวม ของธนาคารใหเ้ ปน็ ไปตามหลกั บรรษทั ภิบาลของหน่วยงานกากับ ภายนอก โดยเครง่ ครัดในเรอื่ งจรยิ ธรรม ความโปร่งใส ตรวจสอบได้ และรับผดิ ชอบต่อสังคมและส่ิงแวดลอ้ ม นอกจากนีย้ งั ได้ขยายผลการ ปฏิบัติงานด้านบรรษัทภบิ าล และสรา้ งความรคู้ วามเข้าใจด้านบรรษทั ภิ บาลเพิ่มขน้ึ ผ่านโครงการและกิจกรรมตา่ งๆ ดงั ต่อไปน้ี ๑. ประเมินผลการปฏบิ ตั งิ านตามหลกั บรรษัทภิบาลของทุก หน่วยงานของธนาคารโดยมกี ารประเมินจากภายนอกซงึ่ เปน็ การสารวจ ความพงึ พอใจของผูใ้ ชบ้ รกิ ารท่ีมีตอ่ การใหบ้ รกิ ารของธนาคาร และ ประเมินจากภายในซ่ึงเปน็ การประเมนิ ผลการจัดกจิ กรรมด้านบรรษทั ภิ บาลของทกุ หน่วยงาน ๒. จดั โครงการ KTB FIRST: Firm – Corporate Governance Awards เพ่อื มอบรางวลั ให้กบั หน่วยงานท่ีปฏบิ ตั ติ ามหลกั บรรษทั ภิบาล ดีเดน่ ๓. จดั ทาค่มู อื การปฏบิ ัตงิ านตามหลกั บรรษทั ภบิ าลเพ่อื ให้ พนกั งานรบั ทราบ และนาไปปฏิบัติรว่ มกนั ๔. เผยแพร่บทความ และข่าวสารเก่ยี วดา้ นบรรษัทภบิ าล ผ่านทาง E-Mail ของพนกั งานในชื่อ “CG TIMES” พรอ้ มให้พนกั งานทุกระดบั เขา้ มามสี ว่ นร่วมในกิจกรรมในรปู แบบการตอบคาถาม ๕. จัดกจิ กรรมวนั “CG&CSR Day” (เดอื นมีนาคมของทกุ ปี) เพือ่ เผยแพร่ และส่งเสรมิ ใหพ้ นกั งานทกุ ระดับไดต้ ระหนกั ถึงความสาคัญ ของการปฏบิ ัติตามหลักบรรษทั ภบิ าล ๖. มกี ารเผยแพรข่ อ้ มูลดา้ นบรรษทั ภบิ าลในรายงานประจาปี, Intranet และInternet ๗. จัดการบรรยายเร่ืองบรรษัทภบิ าลใหก้ ับพนกั งานในหลักสตู ร ต่างๆ ๘.จัดประชมุ สัญจรคณะกรรมการบรรษัทภบิ าลและความ รับผดิ ชอบต่อสังคม ในภมู ภิ าคต่างๆเพื่อมอบนโยบายและติดตามผลการ ดาเนินงาน
๙.กาหนดใหเ้ ร่อื งบรรษทั ภบิ าลเป็น ๑ ใน ๑๐ วชิ า ในเนื้อหาการ เรียนรู้ Core Course ท่ีใชท้ ดสอบพนักงานตามโครงการพัฒนา บุคคลากรในการปฏิบตั งิ านของธนาคาร ซไี อเอม็ บี ไทย การกากบั ดแู ลกจิ การ เป็นระบบการจดั ให้มีโครงสร้างและกระบวนการ ความสัมพนั ธร์ ะหวา่ งหน้าท่ีและความรว่ มมอื กนั ของคณะกรรมการ ฝา่ ย จัดการ และผมู้ สี ว่ นไดส้ ว่ นเสยี เปน็ กรอบในการกาหนดทศิ ทาง วตั ถปุ ระสงค์ และวิธกี ารต่างๆ เพื่อให้องค์กรบรรลตุ ามเปา้ หมายและ พันธกิจ เพ่มิ ขดี ความสามารถในการแข่งขนั และมลู คา่ ในกจิ การ อัน นาไปสคู่ วามเจรญิ เติบโตและความมน่ั คงในระยะยาว ธนาคารไดก้ าหนดกรอบโดยยดึ หลักการสาคัญอันเป็นหลกั มาตรฐานสากลสาหรบั คณะกรรมการ ผูบ้ รหิ าร และพนกั งาน ดงั นี้ ๑.ความรบั ผิดชอบต่อการตดั สนิ ใจ และการกระทาทีส่ ามารถ อธบิ ายและชแ้ี จงได้(Accountability) ๒.ความสานกึ รับผดิ ชอบในภาระหนา้ ท่ีและปฏบิ ตั หิ น้าทีด่ ้วยขดี ความสามารถ สาหรบั การกระทาของตนทีม่ ตี อ่ ผ้มู ีสว่ นได้เสยี ทงั้ หลาย โดยเฉพาะต่อผู้ถอื หนุ้ (Responsibility) ๓.การเคารพในสทิ ธิและการปฏบิ ตั ติ ่อผมู้ ีสว่ นได้เสียอย่างเท่า เทยี มกัน (Equitable Treatment) ๔.การเปิดเผยขอ้ มลู ด้วยความโปรง่ ใส สามารถตรวจสอบได้ (Transparency) ๕.ยึดถือหลักจรยิ ธรรมและจรรยาบรรณเปน็ พน้ื ฐานในการ ประกอบธรุ กจิ (Code of Conduct and Code of Ethics) ๖.สรา้ งความเจรญิ เติบโตใหก้ บั ธนาคารและเพมิ่ คุณค่าใหก้ ับผู้ถอื หุ้นในระยะยาว (Creation of Long Term Value Added) โดย คานึงถงึ สทิ ธิของผ้มู สี ว่ นไดส้ ว่ นเสียอน่ื ประกอบ ประสานดุลยภาพท่ีดี ระหว่างความแตกตา่ งของผู้มีสว่ นได้สว่ นเสียแตล่ ะกลมุ่ และกับธนาคาร ดว้ ยความเปน็ ธรรมแก่ทกุ ฝา่ ย ขอ้ มลู จาก: https://www.gotoknow.org/posts/๕๓๒๗๙๐
แผนการจัดการเรยี นรรู้ าย หนว่ ยท่ี ๒ หนว่ ย สัปดาหท์ ่ี ๒ – ๓ รหสั วชิ า ๓๒๐๒-๒๑๐๔ รวม ๖ ชั่วโมง จานวน ๖ ช่วั โมง ช่ือเรอื่ ง หลกั การสัมมนาการตลาด ๑. สาระสาคญั การสมั มนา คอื การอภิปรายแบบเปิดอภปิ รายทัว่ ไปรว่ มกบั การอภิปรายแบบ Panel Discussion กล่าวคือใชผ้ ูน้ าในการ อภปิ รายแต่เพยี งผเู้ ดียวและผูน้ ัน้ เปน็ ผเู้ ชี่ยวชาญทไ่ี ดร้ ับเชิญให้มา บรรยายเรอื่ งนนั้ เมือ่ บรรยายแลว้ ให้ผฟู้ งั ซง่ึ จะตั้งคาถาม หรือแสดง ความคิดเหน็ บางทีอาจใช้การคเปดิ อภปิ รายทั่วไปร่วมกบั การอภิปราย กลุม่ เช่น ภาคเชา้ ฟังวทิ ยากรพูดใหค้ วามรู้ ภาคบา่ ยเปน็ การประชุม กลุ่มย่อย หลังจากนั้นนามตขิ องทป่ี ระชมุ กลมุ่ ยอ่ ยมาเสนอท่ีประชุม ใหญ่ ถา้ มีปัญหาก็อาจขอใหว้ ทิ ยากรผู้ใดผู้หนง่ึ ทีเ่ ชิญมาเปน็ ผูอ้ ธบิ าย ขยายความได้ วิธีการสัมมนานี้ ในประเทศไทยนิยมนามาใช้สาหรับการ สอน และการปรบั ปรุงเป็นสว่ นใหญ่ ๒.สมรรถนะประจาหนว่ ย หลกั การสัมมนาการตลาด ๒.๑ อธิบายความหมายของการสัมมนาได้ ๒.๒ บอกวตั ถปุ ระสงค์ของการสมั มนาได้ ๒.๓ บอกประโยชน์ของการประชุมสมั มนาได้ ๒.๔ บอกองค์ประกอบของการประชมุ สัมมนาได้ ๒.๕ บอกขั้นตอนของการประชมุ สมั มนาได้ ๒.๖ บอกลักษณะของการสัมมนาได้ ๒.๗ อธบิ ายการดาเนนิ การสัมมนาได้ ๒.๘ เขียนกาหนดการของของการจดั สมั มนาได้
๒.๙ เลือกสถานทจี่ ดั สมั มนาได้ ๒.๑๐ เขียนโครงการสัมมนาได้ ๒.๑๑ บอกทม่ี าของความสาเรจ็ ของการสมั มนาได้ ๓. จดุ ประสงค์การเรยี นรปู้ ระจาหนว่ ย หลักการสัมมนาการตลาด ๓.๑ เขา้ ใจความหมายของการสัมมนา ๓.๒ เข้าใจวัตถปุ ระสงคข์ องการสัมมนา ๓.๓ สามารถบอกประโยชนข์ องการประชุมสัมมนา ๓.๔ สามารถบอกองค์ประกอบของการประชมุ สัมมนา ๓.๕ สามารถบอกข้ันตอนของการประชุมสมั มนา ๓.๖ สามารถบอกลกั ษณะของการสัมมนา ๓.๗ สามารถดาเนนิ การสมั มนา ๓.๘ สามารถเขียนกาหนดการของของการจดั สัมมนา ๓.๙ สามารถเลอื กสถานทจ่ี ดั สมั มนาทีเ่ หมาะสม ๓.๑๐ สามารถเขยี นโครงการสมั มนา ๓.๑๑ บอกท่ีมาของความสาเรจ็ ของการสมั มนา ๔. สาระการเรยี นรู้ (แสดงเฉพาะหัวขอ้ หลัก หวั ข้อรองและหัวขอ้ ย่อย) หลกั การสมั มนาการตลาด ๔.๑ ความหมายของการสมั มนา ๔.๒ วัตถุประสงคข์ องการสมั มนา ๔.๓ ประโยชนข์ องการประชุมสัมมนา ๔.๔ องคป์ ระกอบของการประชุมสมั มนา ๔.๕ ขน้ั ตอนของการประชมุ สมั มนา ๔.๖ ลกั ษณะของการประชมุ สัมมนา ๔.๗ การดาเนนิ การสัมมนา ๔.๘ เวลาของการสัมมนา ๔.๙ สถานที่จัดการสัมมนา ๔.๑๐ การเขียนโครงการสัมมนา
๔.๑๑ ความสาเรจ็ ของการสัมมนา การสมั มนาการตลาด เป็นการประชมุ สมั มนาเพอ่ื ปรึกษษ ใช้เหตผุ ล เพ่ือนาผลสรปุ ออกมาเพ่อื แก้ปญั หางานสาเรจ็ ลุลว่ งไปดว้ ยดี อนั จะเป็นประโยชนร์ ่วมกัน หรอื เป็นการฝกึ อบรมเพอื่ พัฒนาศักยภาพ ของผ้เู ขา้ อบรมใหม้ ีความรคู้ วามเข้าใจงานเพิ่มขนึ้ วัตถปุ ระสงคข์ องการสัมมนา เพ่อื เรียนรปู้ ญั หาสภาพงาน ต่าง ๆ ทเ่ี กดิ ขน้ึ ร่วมกนั หาขอ้ มลู ยุติเพื่อนามาพฒั นางานในองค์กร หรือแลกเปลยี่ นความรคู้ วามสามารถเปน็ แนวทางตดั สินใจหรือกาหนด นโยบายรว่ มกัน ประโยชนข์ องการประชุมสมั มนา เพ่ือประชมุ ปรกึ ษาและ หาขอ้ ยตุ ิในการทางานร่วมกนั แลกเปลี่ยนความคิดเห็นและหาขอ้ สรุป ในการปฏบิ ัตงิ านใหเ้ ปน็ ไปในทศิ ทางเก่ยี วกันหรอื ใหม้ มี าตรฐาน เดียวกัน องคป์ ระกอบของการประชมุ สัมมนา ประกอบดว้ ย ผดู้ าเนนิ การจัดประชมุ สัมมนาและผู้ใหค้ วามรู้เรื่องการประชมุ สมั มนา ขัน้ ตอนการประชมุ สมั มนา 1. กาหนดเรอื่ งท่ีทาสมั มนาหรือปัญหาไวแ้ น่นอน 2. มผี ู้ทรงคุณวฒุ ิหรอื ผูเ้ ชย่ี วชาญเปน็ ผใู้ ห้ความรู้และ เสนอแนะความคดิ 3. มกี ารเปิดโอกาสใหส้ มาชกิ รว่ มแสดงความคดิ เห็นซักถาม เพ่อื ใหไ้ ดข้ อ้ ยตุ แิ ละเปน็ แนวทางนาไปใชไ้ ด้ 4. ประเมินผลการประชุมสัมมนา เพ่ือมแี นวทางการปรับปรุง แก้ไขในการจดั คร้งั ตอ่ ไป 5. เม่ือส้นิ สดุ การประชมุ สัมมนา ควรมกี ารสรปุ ผลรายงาน และจัดทารูปเลม่ เพ่อื จัดสง่ ให้แกห่ นว่ ยงานทีเ่ กีย่ วข้อง และผู้เขา้ ร่วมสมั มนาจะได้ใช้เป็นแนวทางในการพฒั นา หน่วยงาน บุคลากร และสงั คมโดยรวมตอ่ ไป ลักษณะการสัมมนา มีลกั ษระสาคญั ทาใหก้ ารแตกต่างจาก การประชมุ รปู แบบอืน่ ๆ คอื มีการเตรยี มการลว่ งหน้า สมาชิกเข้าร่วม สมั มนาทกุ คนทราบวัตถุประสงคข์ องการประชมุ
การดาเนนิ การสมั มนา อยู่ในความรับผิดชอบของ คณะกรรมการดาเนนิ การสมั มนา บุคคลท่ีเกย่ี วข้องในการสัมมนา ได้แก่ ผนู้ าสัมมนาและผู้เขา้ ร่วมสมั มนา เวลาของการสมั มนา ข้ึนอยู่กับขอบข่ายของปัญหา ความ สะดวก และความสนใจของสมาชกิ ควรกาหนดเวลาเร่ิมสมั มนาและ กาหนดเรอื่ งรายละเอยี ดใหช้ ัดเจน ประกอบด้วยหวั ขอ้ เรยี งลาดบั การเขียนโครงการสัมมนา ดงั น้ี 1. ชอื่ โครงการ 2. หลกั การและเหตผุ ลหรอื ภูมหิ ลัง 3. วตั ถุประสงคข์ องโครงการ 4. หลกั สตู ร 5. เทคนิคการฝกึ อบรม/สัมมนา 6. ระยะเวลา 7. สถานท่ี 8. ผ้เู ข้ารับการสมั มนา 9. วทิ ยากรในการฝอึ อบรมสัมมนา 10. วธิ ดี าเนนิ การ 11. งบประมาณ 12. การแจกประกาศนยี บตั ร(ถา้ มี) 13. ผรู้ ับผิดชอบโครงการ ความสาเร็จของการสัมมนา ขึน้ อยกู่ บั การยอมรับปญั หานนั้ ๆ ตอ้ งใหค้ วามรว่ มมือในการแกป้ ญั หาจงึ จะเกดิ ผลสัมฤทธิ์ ๕. กจิ กรรมการเรยี นรู้ ๑. ข้ันนาเข้าสู่บทเรียน ผู้สอนอาจจะนาสถานการณ์ท่ีเป็น ข่าว ภาพข่าวจากแหล่งต่าง ๆ ซึ่งเกิดข้ึนจริง บทความ หรือกรณีศึกษา มากระตุ้นให้ผู้เรียนได้ตอบคาถามในประเด็นสาคัญที่ผู้สอนกาหนด เพ่ือให้เกิดความตระหนักในปัญหาท่ีเกิดขึ้น หรือเห็นความสาคัญท่ี
จะต้องศึกษาในเรื่องท่ีผู้สอนนาเสนอ ซ่ึงเป็นเร่ืองที่สอดคล้องกับ บทเรียน ๒. ขน้ั สอน ครผู สู้ อนบรรยายตามหวั ขอ้ และมกี ารนาขอ้ มลู มาใหผ้ ้เู รยี น โครงการพฒั นาและสง่ เสรมิ SMEs ใชร้ ะบบไอทชี ่วยบรหิ ารซพั พลายเซนเพอ่ื เพิ่มผลติ ภาพ ปี ๒๕๕๘ นโยบายของรฐั บาลในปจั จบุ ัน ไดผ้ ลักดันใหม้ ีการ เสริมสร้างศักยภาพของธรุ กจิ วิสาหกจิ ขนาดกลางและขนาดยอ่ ม (SMEs) เพ่อื เพ่มิ ขีดความสามารถในการแข่งขนั ท้ังในด้านการเพม่ิ ประสิทธภิ าพขององคก์ ร รวมทงั้ สง่ เสริมสนับสนุนให้เกิดนวตั กรรมใน สินคา้ หรอื บรกิ ารเพ่อื ใหเ้ กดิ โอกาสทางตลาดใหม่ๆ โดยเฉพาะอยา่ งย่ิง ในยุคทีก่ ารเปลยี่ นแปลงทางดา้ นเทคโนโลยสี ารสนเทศ หรอื ไอที มกี าร เปล่ยี นแปลงและพัฒนาอยา่ งรวดเร็วซึ่งทาใหป้ ระเทศไทยเข้าสยู่ ุค เศรษฐกจิ ดจิ ิตอล หรือ Digital Economy ผู้บรโิ ภคสามารถตดิ ตอ่ สอ่ื สาร และแลกเปลย่ี นซือ้ ขายกันไดโ้ ดยใช้เทคโนโลยี และการสอ่ื สารที่ ทันสมัยต่างๆ แทนการเดนิ ทางไปติดต่อซอื้ ขายกันโดยตรง ซึ่งจะเปน็ การเพม่ิ ประสทิ ธภิ าพทางด้านชอ่ งทางการขาย การตลาดใหม้ ากขึ้น ช่วยในการลดตน้ ทนุ ค่าใชจ้ า่ ยต่างๆ ที่เก่ียวขอ้ งกบั การตลาด ดังนน้ั เพ่อื ใหก้ ารดาเนนิ งานดังกล่าว เปน็ ไปตามนโยบาย ของรฐั บาล และสอดคลอ้ งกับ Digital Economy กระทรวงอตุ สาหกรรม โดยกรมสง่ เสรมิ อตุ สาหกรรม และภาควชิ าวิศวกรรมขนถา่ ยวสั ดุ และโล จสิ ตกิ ส์ มหาวทิ ยาลัยเทคโนโลยีพระจอมเกลา้ พระนครเหนอื ได้รว่ ม ดาเนนิ กจิ กรรมพฒั นาและส่งเสรมิ SMEs ใชร้ ะบบไอทีช่วยบริหารซพั พลายเซนเพ่อื เพิ่มผลติ ภาพ ภายใตโ้ ครงการพัฒนาขดี ความสามารถใน การแขง่ ขนั ของอตุ สาหกรรมไทยดว้ ยเทคโนโลยสี ารสนเทศ หรือ โครงการ ECIT ปีงบประมาณ ๒๕๕๘ ขนึ้ เพื่อเปน็ การกระตุน้ ให้ SMEs ใช้ประโยชนจ์ ากเทคโนโลยสี ารสนเทศในการบรหิ ารจดั การงานต่างๆ เพอื่ เปน็ เครอ่ื งมอื หนึง่ ในการลดต้นทุนและเพ่ิมผลติ ภาพของกจิ การให้ สูงข้ึนซึ่งกจิ กรรมจะเปน็ การส่งเสริมให้ SMEs ในภาคการผลติ มีการ ใช้งานระบบเทคโนโลยสี ารสนเทศในการซอื้ การขายออนไลนใ์ น รูปแบบ B to B (ธุรกิจกบั ธุรกิจ) ในกลมุ่ ซพั พลายเชนเดยี วกนั เช่นระบบ e-Procurement และ e-Supply Chain ในการตดิ ตอ่ ซอื้ ขายสนิ ค้าใน
ห่วงโซ่อปุ ทานเดยี วกัน ทจี่ ะเปน็ สว่ นหนง่ึ ในการเชือ่ มต่อระบบซพั พลาย เชนใหส้ มบรูณ์ซง่ึ จะชว่ ยให้ SMEs มรี ะบบรา้ นค้าออนไลน์และระบบ หลงั บา้ นที่เชื่อมตอ่ ไดเ้ ป็นทั้งผู้ซือ้ -ผู้ขายไดอ้ ยา่ งสะดวก รวดเรว็ และ Real Time ซ่ึงจะชว่ ยให้ SMEs มเี คร่อื งมือในการลดตน้ ทนุ ในกิจการ และเพิ่มยอดขายอกี ทางหนงึ่ ท่มี า สสว. ๑) การรวบรวมขา่ วสาร ขอ้ มูล ขอ้ เทจ็ จรงิ ความรู้ และ หลกั การ ข้ันตอนน้ีเป็นข้ันพ้ืนฐานของการเผชิญสถานการณ์และการ แก้ปัญหา ผู้สอนอาจจะมอบหมายให้ผู้เรียนได้ไปศึกษาค้นคว้าหา ความรู้ เพ่ือให้ได้ข้อมูลเก่ียวกับเร่ืองท่ีศึกษา หรือข่าวสารการกระทาที่ สอดคล้องกับเร่ืองที่ศึกษา ซึ่งผู้สอนอาจจะหาแหล่งข้อมูล ความรู้หรือ แหลง่ ข่าวสารให้แกผ่ เู้ รยี น ๒) การประเมนิ คณุ คา่ และประโยชน์ เมอื่ ผู้เรียนได้ศึกษาความรู้ หรอื ขา่ วสารขอ้ มูล หรอื สถานการณ์ทผี่ ้สู อนมอบหมายแลว้ จะตอ้ งนามาศึกษาวิเคราะห์คณุ คา่ หรือประโยชน์ ในข้ันตอนนจี้ ะตอ้ งฝึกใหผ้ ู้เรยี นรู้จกั หลกั และวิธกี ารคดิ ในรูปแบบต่าง ๆ เพ่อื ใหไ้ ดข้ อ้ คิดวา่ สถานการณ์ หรอื ข้อมลู ทไี่ ด้ศกึ ษา นัน้ มีคุณค่ามากน้อย หรอื มีประโยชน์เพยี งไร อาจจะใชเ้ กณฑห์ รอื วธิ ีการประเมินตามความเหมาะสม ซ่ึงอาจจะใช้เกณฑด์ ้านคุณธรรม จรยิ ธรรม เกณฑม์ าตรฐานและค่านิยมของสังคม หรอื กรอบทฤษฎี การ คิดประเมนิ คา่ มคี วามสาคัญและมีผลตอ่ การเลอื กการตดั สนิ ใจ ในขัน้ การประเมนิ คณุ คา่ นี้ ผู้สอนอาจจะจัดทาเป็นแบบฝึกหรือมีคาถามเพื่อฝกึ ใหผ้ เู้ รยี นไดร้ ู้จกั วิเคราะห์ เพื่อเป็นพนื้ ฐานของการประเมนิ คา่ และ ประโยชนห์ รือโทษของเรอ่ื งทศ่ี ึกษาก็ได้ ๓) การเลือกและการตัดสนิ ใจ ข้ันตอนน้ี จะเปน็ ขนั้ ตอนท่ตี อ่ เน่ืองจากข้นั ตอนท่ี ๒ เม่อื ผู้เรียนได้ประเมนิ คณุ คา่ และประโยชนจ์ ากขอ้ มูลและข่าวสารแล้ว จะมองเหน็ ชอ่ งทางว่าถา้ ตนเองไดป้ ระสบกบั สถานการณด์ งั กล่าวหรือสถานการณท์ ค่ี ลา้ ยคลึงกัน นน้ั ผเู้ รยี นจะสามารถเลอื กและตดั สนิ ใจอยา่ งไร จึงจะถกู ตอ้ งหรือไดร้ ับ ประโยชนอ์ ยา่ งแท้จริง เพื่อจะได้ไมเ่ กดิ ปญั หาจากการตดั สนิ ใจท่ี ผิดพลาด
ในขั้นน้ีผสู้ อนอาจจะสร้างสถานการณท์ เ่ี ป็นกรณีตัวอยา่ ง ปัญหาในชวี ติ จริงของผ้เู รียน อาจจะเป็นปญั หาในครอบครัว โรงเรยี น สังคม และตงั้ ประเด็นคาถามให้ผเู้ รยี นไดฝ้ ึกทกั ษะในการเลือกและการ ตดั สนิ ใจในการแกป้ ัญหาอยา่ งมหี ลกั การ ๔) การปฏิบตั ิ เมอ่ื ผเู้ รียนได้ฝกึ ทกั ษะตั้งแต่ข้นั การรวบรวมข่าวสาร ข้อมลู ขอ้ เทจ็ จริง ความรแู้ ละหลักการ ไดฝ้ กึ การประเมินคุณคา่ และประโยชน์ ตลอดจนการเลอื กและตดั สนิ ใจไปแลว้ ขนั้ ตอนทีส่ าคญั คือควรจะฝึกให้ ผู้เรียนไดร้ จู้ ักนาไปปฏิบตั ิ ซ่ึงในบางสถานการณ์ ผู้เรยี นสามารถนาไป ปฏิบตั ไิ ดจ้ รงิ จะทาใหผ้ ู้เรียนได้พสิ ูจน์ว่าการท่ตี นไดต้ ดั สินใจเลอื กนนั้ เมอื่ นาไปปฏบิ ตั จิ รงิ แลว้ ไดผ้ ลดีหรอื ไดร้ บั ประโยชนอ์ ยา่ งไร ตดั สนิ ใจ ถูกต้องหรือไม่ แตใ่ นกรณีสถานการณ์นนั้ ไมเ่ หมาะสมกบั การนาไป ปฏิบตั ดิ ้วยตนเอง ผู้สอนอาจจะออกแบบกิจกรรมใหผ้ เู้ รยี นไดพ้ สิ ูจน์ ความรใู้ นแงป่ ฏบิ ตั ิ โดยการสัมภาษณ์จากบคุ คล ผูท้ ม่ี ปี ระสบการณห์ รือ ผมู้ ีความรู้ หรือจากผลงานของนักวชิ าการ ทไี่ ดพ้ ิสจู นห์ รือทดลองปฏิบตั ิ แล้วเป็นการยืนยันและเปน็ การสนบั สนนุ การตดั สินใจของผู้เรียน ๓. ข้นั สรปุ เมอื่ ผู้สอนไดด้ าเนินการใหผ้ ้เู รยี นทากจิ กรรมจน ครบทกุ ขน้ั ตอนของกระบวนการเผชญิ สถานการณ์แลว้ ผู้สอนควรให้ ผเู้ รียนได้ช่วยกนั สรุปแนวคดิ หรือความรูแ้ ละประสบการณท์ ่ตี นไดร้ ับ เป็นการยา้ เตอื นใหเ้ กดิ ความกระจ่างชดั ขน้ึ ๔. ขน้ั การวดั และการประเมนิ ผล ผสู้ อนควรมวี ิธกี ารวดั และ การประเมินผลใหค้ รอบคลมุ ทัง้ ด้านพุทธพสิ ยั จิตพิสัยและทักษะพิสยั มี การกาหนดเครอื่ งมอื วดั และประเมิน พร้อมทงั้ กาหนดเกณฑ์การวดั และ การประเมินผลใหช้ ดั เจน ๖. สอ่ื การเรยี นการสอน/การเรยี นรู้ ๖.๑ หนังสอื วิชาสัมมนาการตลาด ๖.๒ เรอ่ื งจากอินเตอรเ์ นต็ ๖.๓ ใบงาน ๗. แหลง่ การเรยี นรู้ ๗.๑ ใบความรทู้ ี่ ๑
๗.๒ อินเตอร์เนต็ ๗.๓ นิตยสาร วารสาร ๘. หลกั ฐานการเรยี นรู้ ๘.๑ ใบงานที่ ๑ ๘.๒ แบบฝึกหดั ๙. การบรู ณาการ/ความสมั พนั ธ์กับวชิ าอน่ื ๙.๑ วิชาเทคนคิ การนาเสนอ ๙.๒ กจิ กรรมชมรมวิชาชีพการตลาด ๑๐. การวดั และประเมนิ ผลตามสภาพจรงิ เครอื่ งมอื ประเมนิ ๑๐.๑ ใบประเมนิ ผลความพึงพอใจของผู้รว่ มกิจกรรม ๑๐.๒ แบบสงั เกตพฤตกิ รรมการทางานรว่ มกนั เป็นกลุ่ม ๑๐.๓ การสอบเกบ็ คะแนน แผนการจดั การเรยี นรรู้ าย หนว่ ยท่ี ๒ หนว่ ย สปั ดาหท์ ่ี ๒ – ๓ รหสั วชิ า ๓๒๐๒-๒๑๐๔ รวม ๖ ชว่ั โมง จานวน ๖ ชว่ั โมง PJBL ชอื่ เรอื่ ง หลักการสมั มนาการตลาด ใบงานท่ี ๑ คาสัง่ ให้นกั ศกึ ษาแบ่งออกเปน็ ๔ กลุ่ม โดยให้แต่ละกลมุ่ เขยี นโครงการสมั มนาเชิงปฏบิ ัติการ กลมุ่ ละ ๑ โครงการ พร้อมจดั สมั มนาฯ เต็มรปู แบบ
แผนการจดั การเรยี นรรู้ าย หนว่ ยท่ี ๒ หนว่ ย สปั ดาหท์ ่ี ๒ – ๓ รหสั วชิ า ๓๒๐๒-๒๑๐๔ รวม ๖ ชว่ั โมง จานวน ๖ ชว่ั โมง PjBL ช่อื เรอื่ ง หลักการสัมมนาการตลาด ใบความรทู้ ่ี ๑ การสัมมนา เรือ่ ง “กลยุทธก์ ารตลาดและการเพม่ิ มลู คา่ สนิ คา้ และบริการเพื่อรกุ ตลาด ยโุ รปและอเมริกา” วันจันทรท์ ี่ ๒๐ กรกฎาคม ๒๕๕๘ เวลา ๐๙.๐๐ – ๑๓.๐๐ น. ณ หอ้ งประชมุ ใหญ่ สถาบันองคค์ วามรูด้ า้ นการค้าระหว่างประเทศ กรมสง่ เสริมการค้าระหวา่ งประเทศ ถ.รัชดาภเิ ษก **************************** ในชว่ งไตรมาศที่ ๒ ของปี ๒๕๕๘ สถานการณ์เศรษฐกจิ โลกยังคงชะลอตวั ทาให้ความ ตอ้ งการนาเขา้ สนิ คา้ ลดลงสง่ ผลใหก้ าร นาเขา้ ของประเทศตา่ งๆท่วั โลกลดลงอยา่ งเหน็ ไดช้ ดั ซ่งึ เกิดจาก ผลกระทบของหลายปจั จยั เชน่ การคา้ โลกทย่ี งั คงออ่ นแอ ความเส่ียงที่ เศรษฐกจิ ในประเทศ ในเขตยโุ รปโซนที่สืบเนอื่ งจากความผนั ผวนของ อตั ราแลกเปล่ยี น คา่ เงินบาทแขง็ ค่า เมอ่ื เทยี บกับคา่ เงินของประเทศ คู่ ค้า/คู่แขง่ โดยเฉพาะสหภาพยุโรปและสหรฐั อเมริกาส่งผลให้สนิ ค้าไทย ในสายตาของผซู้ อื้ ในตลาดเหล่า นัน้ แพงขน้ึ นอกจากน้ยี งั มีอปุ สรรคทางการค้าอ่นื ๆ กระะทบการส่งออก ของประเทศไทยเช่นอปุ สรรคทาง การคา้ ท่ไี ม่ใชภ่ าษี (NTBs) มาตรการสุขอนามยั ในสหภาพยุโรปและ สหรฐั อเมรกิ า การทีไ่ ทยถูกตัดสทิ ธพิ ิเศษด้านภาษี หรอื GSP ของยโุ รป เนื่องจาก GDP ของไทยท่สี งู ข้ึน (ปี ๒๕๕๗ มมี ูลคา่ ๓๗๓.๖ พนั ล้าน เหรยี ญสหรฐั ) ทาใหไ้ ทยถกู จดั อยู่ในกลุ่ม ประเทศท่ีมีรายได้ระดับปาน กลางขนึ้ ไป (Upper- Middle Income) รวมถึงการท่ีตน้ ทนุ การผลติ ของ
ไทยสงู กว่าคแู่ ข่งสง่ ผลใหร้ าคาสินคา้ ไม่สามารถ แขง่ ขนั กบั ราคาตลาด ได้ จากการท่มุ ตลาดของสนิ ค้าราคาถูก เชน่ สินค้าจากประเทศจีน ผปู้ ระกอบการไทยควรได้รบั ทราบขอ้ มลู ทางการตลาดที่ ทนั สมัยรวมถงึ แนวโนม้ ของ ตลาดสหภาพยโุ รปและสหรัฐอเมริกา นอกจากนี้ ผ้ปู ระกอบการไดท้ ราบ ถงึ ชอ่ งทางการตลาด และการสรา้ งมลู ค่าเพิ่มให้สนิ ค้าเพ่อื สรา้ งความ แตกตา่ งจากคู่แขง่ และกระตนุ้ ความสนใจของผู้ซอื้ โดยเฉพาะในตลาด ยโุ รปและอเมรกิ าซงึ่ เปน็ ตลาดหลกั ของไทยและยังมกี าลงั ซื้อจากกลมุ่ ผู้ มีรายไดร้ ะดับ กลาง – สงู ท่ีต้องการสนิ ค้าคุณภาพดี ทม่ี ีความแปลกใหม่ และแตกตา่ ง จากสนิ ค้าประเภทเดยี วกนั ในตลาด ทาให้ผู้ประกอบการไทยไม่ จาเปน็ ตอ้ งตดั ราคาขาย เพ่อื ให้จาหนา่ ยสนิ ค้าได้ นอกจากน้ี ผ้ปู ระกอบการยงั ควรศึกษาถึงการเพิม่ ถงึ ชอ่ งทางการคา้ ผา่ นพาณชิ ย์ อิเล็กทรอนิกส์ รวมทงั้ พฒั นา ผลติ ภัณฑ์ใหต้ อบสนองต่อการ เปลี่ยนแปลงของความตอ้ งการของผูบ้ รโิ ภคในแตล่ ะตลาด กรมสง่ เสริมการคา้ ระหว่างประเทศ โดยสถาบนั องคค์ วามรู้ ด้านการค้าระหวา่ ง ประเทศ จึงไดก้ าหนดจดั โครงการสัมมนาเร่อื ง “กล ยุทธ์การตลาดและการเพมิ่ มลู ค่าสินค้า และบริการเพอ่ื รกุ ตลาดยุโรป และอเมรกิ า” วันจนั ทรท์ ่ี ๒๐ กรกฎาคม ๒๕๕๘ โดยมวี ตั ถุประสงค์ เพื่อ ถ่ายทอดความรู้ เทคนคิ และประสบการณ์ด้านการคา้ เพอ่ื ใหผ้ ู้สง่ ออก ผู้ประกอบการ ได้นาไปประยกุ ตใ์ ช้ในธรุ กจิ ของตนเองต่อไป สถาบนั องค์ความรู้ด้านการค้าระหวา่ งประเทศ กรมสง่ เสริมการค้าระหวา่ งประเทศ ๒๒/๗๗ ถ.รัชดาภเิ ษก จตจุ กั ร กรุงเทพฯ ๑๐๙๐๐ โทร. ๐ ๒๕๑๒ ๐๐๙๓ - ๑๐๔ ตอ่ ๓๖๖ ๖๙๓ ๓๖๒ โทรสาร ๐ ๒๕๑๓ ๒๔๔๖, ๐ ๒๕๑๑ ๕๕๐๑, ๐ ๒๕๑๓ ๑๙๐๔ กาหนดการสมั มนา เรอ่ื ง “กลยทุ ธก์ ารตลาดและการเพม่ิ มลู ค่าสนิ ค้าและบรกิ ารเพอ่ื รกุ ตลาด ยโุ รปและอเมรกิ า” วนั จันทรท์ ี่ ๒๐ กรกฎาคม ๒๕๕๘ เวลา ๐๙.๐๐ – ๑๓.๐๐ น. ณ หอ้ งประชมุ ใหญ่ สถาบนั องคค์ วามรู้ดา้ นการค้าระหวา่ งประเทศ กรมสง่ เสรมิ การค้าระหวา่ งประเทศ ถ.รชั ดาภเิ ษก ****************************************************
๐๙.๐๐ – ๐๙.๓๐ น. - ลงทะเบยี น ๐๙.๓๐ – ๑๓.๐๐ น. - ภาพรวมสถานการณ์ตลาดยโุ รปและอเมริกา - ข้อควรรใู้ นการทาธุรกจิ ในตลาดยโุ รปและอเมริกา - สนิ ค้าและบริการไทยใดอนาคตสดใสในตลาดยุโรป และอเมริกา - กลยทุ ธก์ ารเพ่ิมมลู คา่ ให้สนิ คา้ เพอ่ื โอกาสทางธุรกจิ - โอกาส ปญั หา และอปุ สรรคทผ่ี ู้ประกอบการอาจได้ พบในการดาเนนิ ธรุ กจิ จากการคิดนอกกรอบ - ถาม - ตอบ โดย คณุ นฤมล อนศุ ิรกิ ลุ กรรมการผจู้ ดั การ บรษิ ัท เทอรโ์ บ การ์เมนท์ จากัด ผ้ผู ลิตผลติ เสอื้ ผา้ สาเร็จรูปทมี่ ปี ระสบการณม์ ากกวา่ ๒๐ ปี ดร. โอภาส เพ้ยี นสงู เนนิ อาจารย์ประจา คณะการสร้างเจา้ ของธรุ กจิ และการ บริหารกจิ การ มหาวทิ ยาลยั กรุงเทพ หวั หนา้ โครงการวิจยั การศกึ ษาการสืบทอดวสิ าหกิจ ครอบครัวที่ประสบความสาเรจ็ **************************************************** หมายเหตุ : ๑. วัน เวลา สถานท่ี หวั ขอ้ การบรรยาย และวทิ ยากรอาจ เปล่ียนแปลง ตามความเหมาะสม ๒. เวลา ๑๑.๑๕ – ๑๑.๓๐ น. พักรับประทานอาหารวา่ ง น้า ชา กาแฟ สถาบนั องค์ความรดู้ า้ นการค้าระหว่างประเทศ กรมสง่ เสรมิ การคา้ ระหว่างประเทศ ๒๒/๗๗ ถ.รชั ดาภิเษก จตุจกั ร กรงุ เทพฯ ๑๐๙๐๐ โทร. ๐ ๒๕๑๒ ๐๐๙๓ - ๑๐๔ ต่อ ๓๖๖ ๖๐๔
โทรสาร ๐ ๒๕๑๓ ๒๔๔๖, ๐ ๒๕๑๑ ๕๕๐๑, ๐ ๒๕๑๓ ๑๙๐๔ ใบสมคั รการสมั มนา เรอื่ ง “กลยทุ ธก์ ารตลาดและการเพม่ิ มลู ค่าสนิ คา้ และบรกิ ารเพอื่ รกุ ตลาด ยโุ รปและอเมรกิ า” วนั จนั ทรท์ ี่ ๒๐ กรกฎาคม ๒๕๕๘ เวลา ๐๙.๐๐ – ๑๓.๐๐ น. ณ หอ้ งประชมุ ใหญ่ สถาบนั องค์ความร้ดู ้านการค้าระหวา่ งประเทศ กรมสง่ เสรมิ การคา้ ระหวา่ งประเทศ ถ.รชั ดาภเิ ษก *************************************************** ใบสมคั ร (โปรดเขยี นตวั บรรจงและกรอกข้อมลู ให้ครบทกุ ช่อง) ๑. นาย/นาง/น.ส. ………………………………………………………………………… …………… (Mr./Mrs./Miss) ………………………………………………………………………… ……… ตาแหน่ง ………………………………………………………………………… …………… Position……………………………………….………………………… …………………… ๒. นาย/นาง/น.ส. ………………………………………………………………………… …………………
(Mr./Mrs./Miss) ………………………………………………………………………… ……………… ตาแหนง่ ………………………………………………………………………… ………… Position…………………………………….…………………………… ………………… บรษิ ทั /หจก./ร้าน ………………………………………………………………………… ……… Company/ Name ………………………………………………………………………… ………… ที่อยู่ ………………………………………………………………………… …………………………. รหสั ไปรษณีย…์ …………………….… โทรศพั ท…์ ……………………..…………...โทรสาร …………………...……………… E-mail ………………………………………………………………………… ……… ท่านเปน็ สมาชิก Exporters List ของกรมส่งเสริมการค้าระหว่าง ประเทศหรือไม่ ( ) เป็นสมาชิก ( ) ไมเ่ ป็น สมาชกิ สินค้าทสี่ ่งออก (โปรดกรอกท้ังภาษาไทยและภาษาองั กฤษ) ……………..………………………….……… Products ………………………………………………………………………… …..…...… ประเภทธุรกิจ ( ) ผู้ผลิต ( ) ผสู้ ่งออก ( ) บริษทั การคา้ ระหวา่ งประเทศ ( ) อน่ื ๆ ตลาดทส่ี ง่ ออก ……………………ก…ลมุ่ เป…้ าหม…าย …………………………………………… ……… ลงช่ือ....................................................... วันที.่ ........................................................
แผนการจัดการเรยี นรรู้ าย หนว่ ยท่ี ๓ หนว่ ย สปั ดาหท์ ี่ ๔ – ๕ รหสั วชิ า ๓๒๐๒-๒๑๐๔ รวม ๖ ช่ัวโมง ชอ่ื เรอื่ ง รูปแบบการสมั มนาและโครงการฝกึ อบรม จานวน ๖ ชั่วโมง ๑. สาระสาคญั รูปแบบของการสมั มนานั้น มคี วามหลากหลาย ดังน้นั ผู้จดั การสัมมนาสามารถท่จี ะเลือกใช้รูปแบบใดรปู แบบหน่งึ หรือหลาย ๆ รปู แบบรว่ มกนั เพอ่ื นามาประยกุ ตใ์ ชไ้ ดต้ ามความเหมาะสมและตรง กับจดุ มุ่งหมายของการจัดสมั มนา แตจ่ ะต้องคานึงถงึ ความสอดคล้องกบั หวั ขอ้ เรอื่ ง เวลา สถานที่ ตลอดจนผูเ้ กยี่ วขอ้ งกบั การสมั มนาทกุ ๆ ฝ่าย โดยเฉพาะการทราบข้อมูลเกยี่ วกับเพศ อายุ อาชีพและพ้ืน ฐานความรูข้ องผเู้ ขา้ ร่วมสัมมนาทุกคน ซึ่งจาเปน็ ตอ้ งใชเ้ ป็น องค์ประกอบที่สาคญั ในการจัดสมั มนาแต่ละครง้ั ก็จะทาให้การจดั สมั มนาบรรลุวตั ถปุ ระสงคไ์ ดอ้ ย่างดี ๒.สมรรถนะประจาหนว่ ย รปู แบบการสัมมนาและโครงการฝึกอบรม ๒.๑ บอกองคป์ ระกอบทเี่ กยี่ วขอ้ งกบั การจดั รูปแบบการ ประชมุ สมั มนาได้ ๒.๒ อธบิ ายการเลือกใชร้ ปู แบบและเทคนคิ ในการจัด ประชมุ สมั มนาได้ ๒.๓ เขยี นโครงการฝกึ อบรมได้ ๓. จุดประสงค์การเรยี นรปู้ ระจาหนว่ ย หลกั การสัมมนาการตลาด ๓.๑ เข้าใจองคป์ ระกอบที่เกี่ยวข้องกับการจดั รูปแบบ การประชมุ สัมมนา
ประชุมสมั มนา ๓.๒ สามารถเลือกใชร้ ปู แบบและเทคนคิ ในการจัด ๓.๓ สามารถเขียนโครงการฝึกอบรม ๔. สาระการเรยี นรู้ (แสดงเฉพาะหวั ขอ้ หลัก หวั ขอ้ รองและหวั ขอ้ ย่อย) รปู แบบการสมั มนาและโครงการฝึกอบรม ๔.๑ องคป์ ระกอบท่เี กี่ยวขอ้ งกบั การจดั รปู แบบการ ประชมุ สมั มนา ๔.๒ การเลอื กใช้รปู แบบและเทคนิคในการจดั ประชมุ สมั มนา ๔.๓ วธิ ีการเขยี นโครงการฝึกอบรม รปู บบการสมั มนา มีหลากหลายรปู บบ ผูจ้ ดั การสมั มนา สามารถเลือกใชต้ ามความเหมาะสมใหต้ รงกบั จุดมุ่งหมายของการ สมั มนา องคป์ ระกอบท่เี ก่ียวข้องกับการจดั รูปแบบการประชมุ สมั มนา ควรคานงึ ถงึ สงิ่ ต่อไปน้ี 1. ขนาดของกล่มุ ผเู้ ข้ารับการสัมมนา 2. หวั ขอ้ เร่อื งและจดุ มงุ่ หมายของการจัดประชุมสมั มนา 3. สื่อกลางและสถานท่สี าหรบั ประชมุ สมั มนา มี การเลอื กใชร้ ูปแบบและเทคนิคในการจดั ประชมุ สมั มนา หลายรปู แบบ ดังน้ี 1. การอภิปรายแบบคณะ(Panel Discussion) 2. การอภิปรายแบบซมิ โพเซยี ม 3. การอภิปรายแบบระดมสมอง 4. การอภปิ รายแบบเสียงกระซบิ 5. การอภปิ รายแบบบทบาทสมมติ 6. การอภิปรายแบบตอบกลบั 7. การอภิปรายแบบโต๊ะกลม 8. การอภปิ รายแบบถามตอบ
9. การอภปิ รายฟอรัม 10. การอภปิ รายแบบกลุ่ม 11. การอภปิ รายแบบปจุ ฉาวสิ ัชนา 12. การประชมุ แบบร่วมโครงการ 13. การประชมุ รบั ชว่ ง 14. การประชมุ แบบคอนเวนช่นั 15. การประชมุ วชิ าการ 16. การประชมุ เชงิ ปฏิบตั กิ าร การเขยี นโครงการฝกึ อบรม ประกอบดว้ ย ช่ือโครงการ ฝึกอบรม หลักการและเหตุผล วตั ถุประสงค์ของการฝึกอบรม หลักสตู ร ทใี่ ชใ้ นการฝึกอบรม คุณสมบตั ขิ องผูเ้ ข้ารับการฝึกอบรม วทิ ยากรใน การฝกึ อบรมแต่ละหัวข้อวิชา หรือวธิ ีการในการฝึกอบรม การ ประเมินผลและตดิ ตามผลการฝกึ อบรม ผ้รู บั ผดิ ชอบโครงการ และ ประโยชน์หรอื ผลท่ีคาดหวงั ว่าจะไดร้ ับ ๕. กจิ กรรมการเรยี นรู้ ๑. ขั้นนาเข้าสู่บทเรียน ผู้สอนอาจจะนาสถานการณ์ที่เป็น ข่าว ภาพข่าวจากแหล่งต่าง ๆ ซ่ึงเกิดข้ึนจริง บทความ หรือกรณีศึกษา มากระตุ้นให้ผู้เรียนได้ตอบคาถามในประเด็นสาคัญที่ผู้สอนกาหนด เพ่ือให้เกิดความตระหนักในปัญหาที่เกิดข้ึน หรือเห็นความสาคัญที่ จะต้องศึกษาในเรื่องที่ผู้สอนนาเสนอ ซ่ึงเป็นเรื่องท่ีสอดคล้องกับ บทเรยี น ๒. ขนั้ สอน ครผู สู้ อนบรรยายตามหวั ขอ้ และมกี ารนาขอ้ มลู มาใหผ้ เู้ รยี น สอนใหน้ กั ศึกษาแต่ละคนรา่ งโครงการฝึกอบรม ฯ ในหวั ขอ้ ที่นักศึกษาคิดวา่ นา่ สนใจและ โดยกาหนดรายละเอียดโครงการทจ่ี ัด ฝกึ อบรมจะตอ้ งเนน้ ไปในภาคธุรกจิ (ตลาด) โดยนาเสนอผสู้ อนเฉพาะ ชอ่ื โครงการกอ่ นหลงั ผา่ นโครงการ/หัวขอ้ แล้วจึงค่อยเขียนโครงการ ท้งั หมดตามขน้ั ตอน โดยให้นกั ศกึ ษาคน้ คว้าหาข้อมูลจากอนิ เตอรเ์ นต็
๑) การรวบรวมขา่ วสาร ขอ้ มูล ขอ้ เทจ็ จรงิ ความรู้ และ หลกั การ ขั้นตอนน้ีเป็นขั้นพื้นฐานของการเผชิญสถานการณ์และการ แก้ปัญหา ผู้สอนอาจจะมอบหมายให้ผู้เรียนได้ไปศึกษาค้นคว้าหา ความรู้ เพ่ือให้ได้ข้อมูลเกี่ยวกับเร่ืองที่ศึกษา หรือข่าวสารการกระทาท่ี สอดคล้องกับเรื่องท่ีศึกษา ซ่ึงผู้สอนอาจจะหาแหล่งข้อมูล ความรู้หรือ แหล่งขา่ วสารให้แก่ผเู้ รยี น ๒) การประเมนิ คณุ คา่ และประโยชน์ เม่ือผเู้ รยี นได้ศกึ ษาความรู้ หรือขา่ วสารข้อมลู หรอื สถานการณ์ท่ผี ้สู อนมอบหมายแลว้ จะต้องนามาศึกษาวิเคราะหค์ ุณค่า หรือประโยชน์ ในขน้ั ตอนนี้จะต้องฝกึ ใหผ้ ู้เรียนรู้จักหลักและวิธกี ารคิด ในรปู แบบต่าง ๆ เพื่อใหไ้ ด้ข้อคิดว่าสถานการณ์ หรอื ข้อมลู ทไ่ี ดศ้ กึ ษา นนั้ มคี ณุ ค่ามากนอ้ ย หรอื มปี ระโยชน์เพียงไร อาจจะใช้เกณฑห์ รอื วิธีการประเมนิ ตามความเหมาะสม ซง่ึ อาจจะใชเ้ กณฑด์ ้านคณุ ธรรม จริยธรรม เกณฑม์ าตรฐานและค่านยิ มของสังคม หรือกรอบทฤษฎี การ คดิ ประเมนิ ค่ามีความสาคัญและมผี ลต่อการเลอื กการตดั สินใจ ในขั้น การประเมนิ คุณค่านี้ ผ้สู อนอาจจะจัดทาเปน็ แบบฝกึ หรือมีคาถามเพ่อื ฝกึ ใหผ้ เู้ รยี นได้ร้จู กั วิเคราะห์ เพ่อื เปน็ พน้ื ฐานของการประเมินค่า และ ประโยชน์หรือโทษของเรอื่ งทศ่ี ึกษาก็ได้ ๓) การเลือกและการตดั สินใจ ขั้นตอนน้ี จะเปน็ ขนั้ ตอนท่ีตอ่ เนือ่ งจากขนั้ ตอนท่ี ๒ เมอ่ื ผเู้ รยี นไดป้ ระเมนิ คณุ คา่ และประโยชนจ์ ากข้อมูลและขา่ วสารแลว้ จะมองเหน็ ชอ่ งทางวา่ ถา้ ตนเองไดป้ ระสบกบั สถานการณ์ดงั กล่าวหรอื สถานการณท์ คี่ ล้ายคลงึ กัน นน้ั ผเู้ รยี นจะสามารถเลอื กและตดั สนิ ใจอยา่ งไร จงึ จะถกู ตอ้ งหรอื ไดร้ บั ประโยชนอ์ ยา่ งแทจ้ ริง เพอื่ จะได้ไมเ่ กิดปญั หาจากการตัดสนิ ใจท่ี ผดิ พลาด ในข้ันนผี้ สู้ อนอาจจะสร้างสถานการณ์ทเ่ี ป็นกรณีตวั อยา่ ง ปัญหาในชีวิตจรงิ ของผ้เู รียน อาจจะเป็นปญั หาในครอบครวั โรงเรยี น สงั คม และตง้ั ประเด็นคาถามให้ผเู้ รยี นได้ฝึกทกั ษะในการเลือกและการ ตดั สนิ ใจในการแก้ปัญหาอย่างมหี ลกั การ ๔) การปฏิบัติ เมือ่ ผเู้ รียนได้ฝกึ ทกั ษะตงั้ แตข่ น้ั การรวบรวมข่าวสาร ข้อมลู ข้อเทจ็ จริง ความรแู้ ละหลักการ ไดฝ้ กึ การประเมนิ คณุ คา่ และประโยชน์ ตลอดจนการเลอื กและตัดสนิ ใจไปแล้ว ขั้นตอนที่สาคญั คอื ควรจะฝกึ ให้
ผูเ้ รยี นไดร้ ู้จกั นาไปปฏิบตั ิ ซ่งึ ในบางสถานการณ์ ผเู้ รยี นสามารถนาไป ปฏบิ ัตไิ ดจ้ ริง จะทาใหผ้ เู้ รยี นไดพ้ สิ ูจนว์ ่าการท่ตี นได้ตดั สินใจเลอื กนนั้ เมื่อนาไปปฏิบตั ิจรงิ แลว้ ไดผ้ ลดีหรอื ไดร้ ับประโยชนอ์ ยา่ งไร ตดั สนิ ใจ ถูกต้องหรอื ไม่ แตใ่ นกรณีสถานการณน์ ้ันไม่เหมาะสมกับการนาไป ปฏิบตั ิดว้ ยตนเอง ผู้สอนอาจจะออกแบบกจิ กรรมให้ผู้เรียนไดพ้ สิ ูจน์ ความรใู้ นแง่ปฏิบตั ิ โดยการสมั ภาษณจ์ ากบคุ คล ผู้ทีม่ ปี ระสบการณ์หรอื ผู้มีความรู้ หรือจากผลงานของนักวิชาการ ทไ่ี ดพ้ สิ จู นห์ รือทดลองปฏิบตั ิ แลว้ เปน็ การยนื ยนั และเป็นการสนับสนนุ การตดั สินใจของผู้เรยี น ๓. ข้ันสรปุ เมอ่ื ผสู้ อนไดด้ าเนินการใหผ้ ูเ้ รยี นทากจิ กรรมจน ครบทกุ ขนั้ ตอนของกระบวนการเผชญิ สถานการณ์แล้ว ผู้สอนควรให้ ผู้เรยี นได้ชว่ ยกนั สรปุ แนวคดิ หรอื ความรแู้ ละประสบการณท์ ี่ตนได้รบั เปน็ การยา้ เตือนใหเ้ กดิ ความกระจา่ งชดั ขนึ้ ๔. ขน้ั การวัดและการประเมนิ ผล ผ้สู อนควรมวี ธิ ีการวดั และ การประเมินผลใหค้ รอบคลมุ ทัง้ ดา้ นพุทธพสิ ัย จิตพิสยั และทกั ษะพิสยั มี การกาหนดเครือ่ งมอื วดั และประเมนิ พรอ้ มทัง้ กาหนดเกณฑก์ ารวดั และ การประเมินผลใหช้ ดั เจน ๖. สื่อการเรยี นการสอน/การเรยี นรู้ ๖.๑ หนังสอื วชิ าสมั มนาการตลาด ๖.๒ เรอื่ งจากอินเตอร์เนต็ ๖.๓ ใบงาน ๗. แหลง่ การเรยี นรู้ ๗.๑ ใบความรทู้ ี่ ๑ ๗.๒ อินเตอรเ์ นต็ ๗.๓ นิตยสาร วารสาร ๘. หลกั ฐานการเรยี นรู้ ๘.๑ ใบงานที่ ๑ ๘.๒ แบบฝกึ หัด
๙. การบรู ณาการ/ความสมั พนั ธ์กบั วชิ าอน่ื ๙.๑ วิชาเทคนิคการนาเสนอ ๙.๒ กจิ กรรมชมรมวิชาชพี การตลาด ๑๐. การวดั และประเมนิ ผลตามสภาพจรงิ เครอื่ งมอื ประเมนิ ๑๐.๑ ใบประเมนิ ผลความพึงพอใจของผรู้ ว่ มกจิ กรรม ๑๐.๒ แบบสังเกตพฤตกิ รรมการทางานรว่ มกันเป็นกลมุ่ ๑๐.๓ การสอบเกบ็ คะแนน
แผนการจดั การเรยี นรรู้ าย หนว่ ยท่ี ๓ หนว่ ย สปั ดาหท์ ี่ ๔ – ๕ รหสั วชิ า ๓๒๐๒-๒๑๐๔ รวม ๖ ชวั่ โมง ชอ่ื เรอื่ ง รปู แบบการสัมมนาและโครงการฝกึ อบรม จานวน ๖ ชว่ั โมง ใบงานท่ี ๑ คาสง่ั ให้นกั ศกึ ษาแตล่ ะคนร่างโครงการฝกึ อบรมฯ ในหวั ขอ้ ทน่ี ักศึกษาคิดวา่ นา่ สนใจและอยากให้ผเู้ ขา้ รบั การฝึกอบรมมคี วามร้มู าก ข้ึน โดยกาหนดรายละเอยี ดตามที่เห็นสมควร โดยโครงการที่จดั ฝกึ อบรมจะต้องเนน้ ไปในภาคธรุ กิจ(ตลาด) โดยนาเสนอผ้สู อนเฉพาะ ชอ่ื โครงการก่อนหลังผ่านโครงการ/หัวข้อ แลว้ จงึ ค่อยเขยี นโครงการ ทง้ั หมด
แผนการจัดการเรยี นรรู้ าย หนว่ ยท่ี ๓ หนว่ ย สปั ดาหท์ ี่ ๔ – ๕ รหสั วชิ า ๓๒๐๒-๒๑๐๔ รวม ๖ ช่ัวโมง ชือ่ เรอ่ื ง รูปแบบการสมั มนาและโครงการฝกึ อบรม จานวน ๖ ชัว่ โมง
ใบความรทู้ ่ี ๑
แผนการจดั การเรยี นรรู้ าย หนว่ ยท่ี ๔ หนว่ ย สัปดาหท์ ี่ ๖ – ๗ รหสั วชิ า ๓๒๐๒-๒๑๐๔ รวม ๖ ชั่วโมง จานวน ๖ ชว่ั โมง ชื่อเรอ่ื ง บคุ คลทเี่ ก่ยี วข้องกบั การจัดประชมุ สัมมนา ๑. สาระสาคญั การสัมมนาจะเกดิ ขน้ึ ไดน้ ้ัน ต้องมกี ลุ่มบคุ คลเขา้ มา เกี่ยวข้องด้วยกนั ๓ กลุ่มคือ ผ้ดู าเนนิ การ กลุม่ วิทยากรและกลมุ่ ผ้เู ข้ารว่ มการสัมมนา โดยแตล่ ะฝา่ ยจะมคี ุณสมบตั ิและบทบาทหนา้ ที่ แตกตา่ งกันไป ซึ่งการจัดสัมมนาในแต่ละคร้ังจะบรรลตุ ามเป้าหมาย ได้มากนอ้ ยพยี งใดน้ัน กม็ ไิ ดห้ มายความวา่ ฝ่ายใดฝา่ ยหนง่ึ จะตอ้ ง เปน็ ผู้รับผดิ ชอบแต่เพียงฝา่ ยเดยี ว เพราะฉะนนั้ บุคคลท่ีเกย่ี วขอ้ งทง้ั ๓ ฝ่าย จงึ มคี วามสาคญั ทีไ่ มน่ อ้ ยไปกว่ากันและประการสาคญั ท่จี ะมีผลต่อ ความสาคัญในการจดั สมั มนาอีกประการหนึ่งก็คือ การยอมรบั ซงึ่ กนั และกัน ซ่งึ การยอมรบั ซง่ึ กนั และกนั น้ี หมายถงึ การยอมรบั ใน กระบวนการต่าง ๆ ทีเ่ กยี่ วขอ้ งกับการดาเนนิ งานสัมมนาท้งั หมด เชน่ การเชิญวทิ ยากร การเชญิ สมาชกิ เขา้ รว่ มการสัมมนา และหวั ขอ้ เร่อื งท่ี จะสมั มนา ๒.สมรรถนะประจาหนว่ ย บุคคลทเี่ กย่ี วข้องกับการจัดประชมุ สัมมนา ๒.๑ อธิบายหน้าทข่ี องกลุ่มผูด้ าเนนิ การได้ ๒.๒ อธบิ ายความพร้อมของกล่มุ วทิ ยากรได้
๒.๓ อธบิ ายหน้าท่ีของกลมุ่ ผรู้ บั ฟังการสมั มนาได้ ๓. จดุ ประสงค์การเรยี นรปู้ ระจาหนว่ ย บคุ คลที่เกย่ี วขอ้ งกบั การจดั ประชมุ สมั มนา ๓.๑ รูห้ นา้ ทค่ี วามรับผดิ ชอบกลุม่ ผดู้ าเนนิ การ ๓.๒ เข้าใจความสาคัญของกล่มุ วิทยากร ๓.๓ ร้บู ทบาทหนา้ ท่ขี องกล่มุ ผูเ้ ขา้ รบั การสมั มนา ๔. สาระการเรยี นรู้ (แสดงเฉพาะหัวขอ้ หลกั หวั ขอ้ รองและหวั ข้อย่อย) บุคคลทเ่ี กีย่ วข้องกบั การจัดประชมุ สมั มนา ๔.๑ กลุ่มผู้ดาเนนิ การ ๔.๒ กลุ่มวทิ ยากร ๔.๓ กลุม่ ผ้เู ขา้ รับการสัมมนา บุคคลที่เกีย่ วขอ้ งกบั การจดั ประชุมสัมมนา ประกอบด้วย ๓ ฝา่ ย ดงั นี้ 1. กลมุ่ ผู้ดาเนนิ การ 2. กล่มุ วทิ ยากร 3. กลุ่มผู้เข้ารบั การสมั มนา คณะบคุ คลหรือ กลุ่มผู้ดาเนินการ หมายถงึ บุคคล ประกอบดว้ ย คณะกรรมการท่ที าหน้าที่เก่ียวขอ้ งกับการจัดสมั มนา คณะกรรมการฝา่ ย ๆ ไดแ้ ก่ ประธาน รองประธาน เลขานุการ ผชู้ ว่ ยเลขานุการ ฝ่ายทะเบยี น ฝ่ายเอกสาร ฝ่ายสถานที่ ฝ่าย สวสั ดกิ าร ฝา่ ยเหรญั ญิก ฝา่ ยประชาสัมพนั ธ์ ฝา่ ยประเมนิ ผล กลุ่มวทิ ยากร คือ บคุ คลทท่ี าหน้าที่ในการถา่ ยทอดความรู้ ความสามารถ ประสบการณต์ ลอดจนเสนอแนวคดิ ท่กี วา้ งไกล เพือ่ ให้ ผฟู้ งั เกิดความรู้ ทกั ษะ และเจตคติ ตลอดจนแนวคิดรเิ ริม่ สรา้ งสรรค์ สามารถนาความรู้ทไ่ี ด้รบั ไปใชใ้ หเ้ กิดประโยชน์ กลุ่มผเู้ ข้ารบั การสมั มนา คือ กลมุ่ บุคคลทีเ่ ขา้ ร่วมสมั มนา เพ่ือรบั ความรู้ แลกเปล่ียนความคิดเห็นกับวทิ ยากรและบคุ คลอ่นื ๆ
เพ่อื ให้ได้ความรู้ แนวความคดิ วธิ กี ารปฏิบตั ิ อนั จะสามารถนาไปใช้ ใหเ้ กดิ ประโยชนแ์ ก่ตนเอง หนว่ ยงาน และสังคม ๕. กจิ กรรมการเรยี นรู้ ๑. ข้ันนาเข้าสู่บทเรียน นาสถานการณ์ที่เป็นข่าว ภาพข่าว จากแหล่งต่าง ๆ ซ่ึงเกิดขึ้นจริง บทความ หรือกรณีศึกษามากระตุ้นให้ ผู้เรียนได้ตอบคาถามในประเด็นสาคัญท่ีกาหนด เพ่ือให้เกิดความ ตระหนักในปัญหาที่เกิดขึ้น หรือเห็นความสาคัญที่จะต้องศึกษาในเรื่อง ท่ีนาเสนอ ซง่ึ เปน็ เรอื่ งท่สี อดคลอ้ งกับบทเรยี น ๒. ข้ันสอน ครูผ้สู อนบรรยายตามหวั ขอ้ และมกี ารนาขอ้ มูล มาใหผ้ เู้ รยี น ใหน้ กั ศกึ ษาดาเนนิ การแตง่ ตั้งผรู้ ับผดิ ชอบจัดทากิจกรรม ประกวดบอรด์ กจิ กรรมวนั แมห่ รอื วันสาคัญอน่ื ๆ ๑) การรวบรวมขา่ วสาร ขอ้ มลู ขอ้ เทจ็ จรงิ ความรู้ และ หลกั การ ขั้นตอนน้ีเป็นข้ันพื้นฐานของการเผชิญสถานการณ์และการ แก้ปัญหา โดยจะมอบหมายให้ผู้เรียนได้ไปศึกษาค้นคว้าหาความรู้ เพื่ อให้ ได้ข้ อมูลเก่ียวกับเร่ืองท่ี ศึกษา ห รือข่าวสารการกระท าที่ สอดคล้องกับเรื่องท่ีศึกษา ซ่ึงอาจจะหาแหล่งข้อมูล ความรู้หรือแหล่ง ขา่ วสารใหแ้ กผ่ เู้ รียน ๒) การประเมนิ คณุ คา่ และประโยชน์ เม่ือผเู้ รียนได้ศกึ ษาความรู้ หรอื ข่าวสารขอ้ มูล หรอื สถานการณท์ ีผ่ สู้ อนมอบหมายแล้ว จะตอ้ งนามาศึกษาวิเคราะห์คณุ คา่ หรือประโยชน์ ในข้ันตอนนี้จะต้องฝึกใหผ้ เู้ รียนรู้จักหลกั และวธิ ีการคดิ ในรปู แบบตา่ ง ๆ เพอื่ ให้ได้ข้อคดิ ว่าสถานการณ์ หรอื ขอ้ มูลทไ่ี ดศ้ กึ ษา นน้ั มคี ุณคา่ มากนอ้ ย หรอื มปี ระโยชน์เพยี งไร อาจจะใชเ้ กณฑห์ รอื วิธีการประเมนิ ตามความเหมาะสม ซงึ่ อาจจะใชเ้ กณฑ์ดา้ นคณุ ธรรม จรยิ ธรรม เกณฑม์ าตรฐานและค่านิยมของสังคม หรอื กรอบทฤษฎี การ คิดประเมนิ คา่ มคี วามสาคัญและมีผลต่อการเลอื กการตัดสนิ ใจ ในขน้ั การประเมินคุณคา่ นี้ โดยจะจัดทาเปน็ แบบฝึกหรอื มีคาถามเพอ่ื ฝึกให้ ผูเ้ รียนได้รจู้ ักวเิ คราะห์ เพ่อื เป็นพ้ืนฐานของการประเมนิ คา่ และ ประโยชนห์ รอื โทษของเรื่องที่ศกึ ษา ๓) การเลือกและการตัดสินใจ ขั้นตอนนี้ จะเป็นขน้ั ตอนที่ตอ่ เนื่องจากข้ันตอนท่ี ๒ เมื่อ ผ้เู รียนไดป้ ระเมนิ คณุ ค่า
และประโยชน์จากขอ้ มลู และขา่ วสารแล้ว จะมองเห็นชอ่ งทางว่าถา้ ตนเองไดป้ ระสบกบั สถานการณ์ดังกลา่ วหรือสถานการณ์ทีค่ ล้ายคลงึ กัน นน้ั ผเู้ รยี นจะสามารถเลอื กและตดั สนิ ใจอยา่ งไร จงึ จะถกู ตอ้ งหรอื ไดร้ บั ประโยชน์อยา่ งแทจ้ รงิ เพื่อจะได้ไมเ่ กิดปญั หาจากการตัดสินใจท่ี ผิดพลาด ในขัน้ น้ีจะสรา้ งสถานการณ์ท่เี ป็นกรณตี วั อย่างปัญหาใน ชีวิตจรงิ ของผเู้ รยี น อาจจะเปน็ ปัญหาในครอบครวั โรงเรยี น สงั คม และตั้งประเดน็ คาถามให้ผเู้ รยี นได้ฝึกทักษะในการเลือกและการ ตัดสินใจในการแกป้ ญั หาอย่างมีหลกั การ ๔) การปฏบิ ัติ เมือ่ ผู้เรียนได้ฝึกทกั ษะต้ังแตข่ ้นั การรวบรวมขา่ วสาร ข้อมูล ข้อเทจ็ จรงิ ความรแู้ ละหลักการ ได้ฝกึ การประเมนิ คณุ คา่ และประโยชน์ ตลอดจนการเลอื กและตัดสนิ ใจไปแลว้ ข้นั ตอนทีส่ าคญั คอื ควรจะฝึกให้ ผเู้ รียนได้รู้จักนาไปปฏิบัติ ซึ่งในบางสถานการณ์ ผเู้ รยี นสามารถนาไป ปฏบิ ัตไิ ดจ้ รงิ จะทาให้ผเู้ รียนได้พิสูจน์ว่าการทต่ี นไดต้ ดั สินใจเลอื กน้ัน เมอื่ นาไปปฏบิ ัตจิ รงิ แล้ว ไดผ้ ลดหี รือไดร้ ับประโยชนอ์ ยา่ งไร ตัดสินใจ ถกู ตอ้ งหรอื ไม่ แตใ่ นกรณสี ถานการณ์นน้ั ไมเ่ หมาะสมกบั การนาไป ปฏิบัตดิ ้วยตนเอง โดยจะออกแบบกิจกรรมใหผ้ ้เู รียนได้พิสูจนค์ วามรูใ้ น แงป่ ฏบิ ัติ โดยการสมั ภาษณจ์ ากบุคคล ผทู้ ม่ี ปี ระสบการณห์ รือผู้มีความรู้ หรอื จากผลงานของนกั วชิ าการ ทไ่ี ด้พิสจู นห์ รอื ทดลองปฏบิ ตั ิแล้วเปน็ การยืนยนั และเปน็ การสนับสนุนการตัดสินใจของผูเ้ รียน ๓. ข้นั สรปุ เมอ่ื ไดด้ าเนนิ การใหผ้ ู้เรียนทากิจกรรมจนครบ ทกุ ขน้ั ตอนของกระบวนการเผชิญสถานการณแ์ ล้ว ใหผ้ ้เู รียนได้ ช่วยกนั สรปุ แนวคดิ หรอื ความร้แู ละประสบการณท์ ตี่ นไดร้ บั เป็นการยา้ เตอื นให้เกิดความกระจา่ งชดั ขนึ้ ๔. ขน้ั การวดั และการประเมนิ ผล มีวธิ ีการวดั และการ ประเมินผลให้ครอบคลุมทัง้ ด้านพุทธพิสยั จติ พสิ ัยและทักษะพิสยั มกี าร กาหนดเคร่ืองมือวัดและประเมนิ พรอ้ มทัง้ กาหนดเกณฑ์การวดั และการ ประเมินผลให้ชัดเจน ๖. สือ่ การเรยี นการสอน/การเรยี นรู้ ๖.๑ หนังสือวิชาสมั มนาการตลาด ๖.๒ เรอื่ งจากอินเตอร์เนต็
Search
Read the Text Version
- 1
- 2
- 3
- 4
- 5
- 6
- 7
- 8
- 9
- 10
- 11
- 12
- 13
- 14
- 15
- 16
- 17
- 18
- 19
- 20
- 21
- 22
- 23
- 24
- 25
- 26
- 27
- 28
- 29
- 30
- 31
- 32
- 33
- 34
- 35
- 36
- 37
- 38
- 39
- 40
- 41
- 42
- 43
- 44
- 45
- 46
- 47
- 48
- 49
- 50
- 51
- 52
- 53
- 54
- 55
- 56
- 57
- 58
- 59
- 60
- 61
- 62
- 63
- 64
- 65
- 66
- 67
- 68
- 69
- 70
- 71
- 72
- 73
- 74
- 75
- 76
- 77
- 78
- 79
- 80
- 81
- 82
- 83
- 84
- 85
- 86
- 87
- 88
- 89
- 90
- 91
- 92
- 93
- 94
- 95
- 96
- 97
- 98
- 99
- 100
- 101
- 102
- 103
- 104
- 105
- 106
- 107
- 108
- 109
- 110
- 111
- 112
- 113
- 114
- 115
- 116
- 117
- 118
- 119
- 120