Important Announcement
PubHTML5 Scheduled Server Maintenance on (GMT) Sunday, June 26th, 2:00 am - 8:00 am.
PubHTML5 site will be inoperative during the times indicated!

Home Explore TC1207

TC1207

Published by nattawan300941, 2020-03-23 01:45:12

Description: TC1207

Search

Read the Text Version

(2)(1) ผลของการใชบ้ ทเรียน Augmented Reality Code เร่อื งคาศัพท์ภาษาจนี พน้ื ฐาน สาหรับนักเรียนชน้ั ประถมศึกษาปีที่ ๓ โรงเรียนเทศบาล ๒ วดั ตานนี รสโมสร Effecting Augmented Reality Code of Chinese Vocabularies Lesson for Grade 3 Students at Tessaban 2 Wattaninarasamosorn School พรทิพย์ ปริยวาทิต Porntip Pariyawatid วิทยานิพนธน์ เ้ี ปน็ สว่ นหนง่ึ ของการศึกษาตามหลกั สตู รปริญญาศกึ ษาศาสตรมหาบณั ฑิต สาขาวิชาเทคโนโลยีและสือ่ สารการศึกษา มหาวิทยาลัยสงขลานครนิ ทร์ A Thesis Submitted in Partial Fulfillment of the Requirements for the Degree of Master of Education in Educational Technology and Communications Prince of Songkla University 2558 ลิขสทิ ธข์ิ องมหาวิทยาลัยสงขลานครนิ ทร์

(2)(2) ชือ่ วทิ ยานพิ นธ ผลของการใชบทเรียน Augmented Reality Code เร่อื งคําศัพทภ าษาจนี ผูเขยี น พน้ื ฐานสาํ หรับนกั เรยี นชั้นประถมศึกษาปท ี่ 3 สาขาวิชา โรงเรียนเทศบาล ๒ วัดตานนี รสโมสร นางสาวพรทิพย ปรยิ วาทิต เทคโนโลยแี ละส่ือสารการศึกษา อาจารยที่ปรกึ ษาวทิ ยานพิ นธห ลัก คณะกรรมการสอบ ………………………………………………........................... ………………………………………...ประธานกรรมการ (รองศาสตราจารย ดร.วชิ ัย นภาพงศ) (ดร.วทุ ธศิ ักดิ์ โภชนุกูล) …………………………................................กรรมการ อาจารยท ี่ปรกึ ษาวทิ ยานพิ นธรว ม (รองศาสตราจารย ดร.วิชยั นภาพงศ) ……………………………………………….......................... …………………………................................กรรมการ (ดร.ชวลติ เกิดทพิ ย) (ดร.ชวลิต เกดิ ทิพย) …………………………................................กรรมการ (ดร.จิรานุวฒั น สวัสดิ์นะที) บัณฑิตวิทยาลยั มหาวิทยาลัยสงขลานครนิ ทร อนมุ ตั ิใหนบั วทิ ยานพิ นธฉ บับน้ี เปนสว นหนง่ึ ของการศึกษาตามหลกั สตู รปรญิ ญาศกึ ษาศาสตรมหาบัณฑิต สาขาวิชาเทคโนโลยแี ละ ส่ือสารการศกึ ษา .…….……………………………..…….…………. (รองศาสตราจารย ดร.ธรี ะพล ศรีชนะ) คณบดบี ัณฑติ วิทยาลัย

(3) ขอรบั รองว่า ผลงานวจิ ัยน้ีมาจากการศึกษาวจิ ยั ของนักศกึ ษาเอง และได้แสดงความขอบคุณบคุ คล ท่ีมีส่วนช่วยเหลือแล้ว ลงช่อื …………………………………………………………. (รองศาสตราจารย์ ดร.วชิ ัย นภาพงศ)์ อาจารย์ท่ีปรกึ ษาวทิ ยานพิ นธ์หลกั ลงชื่อ………………………………………………………… (นางสาวพรทิพย์ ปริยวาทิต) นักศกึ ษา

(4) ข้าพเจา้ ขอรบั รองว่า ผลงานวิจยั นี้ไมเ่ คยเป็นส่วนหนง่ึ ในการอนุมตั ปิ ริญญาในระดบั ใดมาก่อน และไมไ่ ดถ้ กู ใชใ้ นการยนื่ ขออนุมตั ปิ ริญญาในขณะนี้ ลงชื่อ…………………………………………………………… (นางสาวพรทิพย์ ปรยิ วาทติ ) นกั ศึกษา

(5) ช่อื วิทยานพิ นธ์ ผลของการใช้บทเรียน Augmented Reality Code เรื่องคาศัพท์ภาษาจีน พ้ืนฐาน สาหรับนกั เรียนชน้ั ประถมศึกษาปีท่ี 3 โรงเรียนเทศบาล ๒ ผู้เขยี น วัดตานีนรสโมสร สาขาวชิ า นางสาวพรทิพย์ ปริยวาทิต ปกี ารศึกษา เทคโนโลยีและสอ่ื สารการศึกษา 2557 บทคัดย่อ การวิจัยครง้ั น้ี มีวัตถปุ ระสงค์เพอ่ื 1) พฒั นาบทเรยี น Augmented Reality Code เร่อื ง คาศัพท์ภาษาจีนพนื้ ฐาน สาหรบั นักเรียนชั้นประถมศกึ ษาปีที่ 3 ใหม้ ีประสิทธภิ าพตามเกณฑ์ 80/80 2) เปรียบเทียบผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนของนักเรยี นก่อนและหลงั การจัดการเรียนรโู้ ดยใชบ้ ทเรยี น Augmented Reality Code เร่ืองคาศพั ทภ์ าษาจนี พน้ื ฐาน สาหรับนักเรยี นชั้นประถมศึกษาปที ่ี 3 3) ศกึ ษาความพึงพอใจของผเู้ รยี นทมี่ ีตอ่ บทเรยี น Augmented Reality Code เรอ่ื งคาศัพทภ์ าษาจนี พืน้ ฐาน สาหรับนกั เรยี นช้ันประถมศึกษาปีที่ 3 และ 4) ศึกษาความคงทนในการเรียนรู้คาศัพท์ ภาษาจนี พืน้ ฐานของผ้เู รียนทเ่ี รียนโดยใชบ้ ทเรียน Augmented Reality Code เรอ่ื งคาศัพทภ์ าษาจนี พน้ื ฐาน สาหรับนกั เรยี นชนั้ ประถมศกึ ษาปที ่ี 3 และ 5) เพื่อรวบรวมความคดิ เหน็ ของผู้เรยี นทีม่ ีตอ่ บทเรียน AR Code เรือ่ งคาศัพทภ์ าษาจีนพ้ืนฐาน ประชากรทใี่ ชใ้ นการวจิ ยั คือ ผูเ้ รียนช้ัน ประถมศึกษาปที ่ี 3 โรงเรียนเทศบาล ๒ วดั ตานีนรสโมสร สังกดั เทศบาลเมืองปตั ตานี จานวน 66 คน เครอ่ื งมือท่ีใชใ้ นการวจิ ัยในครัง้ นี้ ประกอบด้วยเครื่องมือทใ่ี ชใ้ นการทดลองและเคร่ืองมือทใ่ี ชใ้ นการ เก็บรวบรวมข้อมลู โดยแบง่ ออกเป็น 2 ตอน ตอนที่ 1 เปน็ เครือ่ งมอื หาประสิทธิภาพบทเรียน AR Code เรอ่ื งคาศพั ท์ภาษาจนี พน้ื ฐาน เรอื่ งความคงทน ซ่งึ มีค่าคะแนนเฉลี่ย เท่ากับ 21.33 คะแนน คิดเป็นรอ้ ยละ 71.11 ตอนท่ี 2 เปน็ แบบสอบถามเกีย่ วกับความคิดเห็นท่ีมีต่อบทเรยี น AR Code เร่ืองคาศัพทภ์ าษาจนี พน้ื ฐาน โรงเรยี นเทศบาล ๒ วัดตานนี รสโมสร ผลการวจิ ยั สรปุ ไดด้ งั น้ี 1) การพัฒนาบทเรยี น Augmented Reality Code เรื่องคาศพั ทภ์ าษาจนี พืน้ ฐาน สาหรับ นักเรียนชั้นประถมศึกษาปที ่ี 3 โรงเรยี นเทศบาล ๒ วัดตานนี รสโมสร สังกัดเทศบาลเมืองปตั ตานี มีประสิทธภิ าพเทา่ กบั 80.97/86.67 ซึ่งสูงกวา่ เกณฑ์ 80/80 2) ผลการเปรียบเทียบผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนรู้คาศัพทภ์ าษาจนี พ้ืนฐานท่ีเรียนดว้ ย บทเรียน AR Code เรอื่ งคาศัพท์ภาษาจนี พ้ืนฐานระหว่างก่อนเรยี นและหลังเรียน ผลการศกึ ษาพบวา่ ผลสมั ฤทธ์ิทางการเรียนรู้คาศัพท์ภาษาจีนพน้ื ฐานหลงั เรียนสูงกว่ากอ่ นเรยี นอยา่ งมนี ัยสาคญั ทางสถิติ ทรี่ ะดบั .00 แสดงว่าการเรยี นด้วยบทเรยี น AR Code เรอื่ งคาศัพท์ภาษาจนี พื้นฐาน ช่วยใหผ้ ู้เรยี นมี ผลสมั ฤทธท์ิ างการเรียนท่สี งู ข้ึน

(6) 3) ผลการวิเคราะห์แบบสอบถามวัดความพงึ พอใจของผ้เู รยี นท่ีมตี อ่ บทเรยี น AR Code เรื่องคาศัพท์ภาษาจนี พ้ืนฐาน โรงเรยี นเทศบาล ๒ วดั ตานีนรสโมสร สังกดั เทศบาลเมืองจังหวดั ปตั ตานี พบว่า นักเรียนกลมุ่ ตัวอย่างจานวน 30 คนมีความพึงพอใจต่อการเรียนท่เี รยี นด้วยบทเรยี น AR Code ในการเรยี นรู้คาศัพทภ์ าษาจีนพ้นื ฐาน อยใู่ นระดับความพงึ พอใจมากทีส่ ุด 4) ผลการศกึ ษาความคงทนในการเรยี นรคู้ าศัพท์ของผเู้ รยี นทีเ่ รียนดว้ ยบทเรยี น Augmented Reality Code เรื่องคาศพั ทภ์ าษาจีนพนื้ ฐาน สาหรบั นักเรยี นชน้ั ประถมศึกษาปีที่ 3 โรงเรยี นเทศบาล ๒ วัดตานนี รสโมสร สังกดั เทศบาลเมืองปัตตานี นักเรยี นมคี วามคงทนในการเรยี นรู้ คาศัพทภ์ าษาจนี พ้นื ฐานคิดเป็นร้อยละ 81.00 และคา่ เฉลีย่ ของผลสมั ฤทธิ์ทางการเรยี นรู้คาศัพท์ ภาษาจีนพน้ื ฐานหลงั เรียน 2 สปั ดาห์ท่ีได้จากการทาแบบทดสอบวดั ความคงทนในการเรียนรคู้ าศัพท์ ภาษาจนี พ้นื ฐานเทา่ กบั 24.30 5) ผเู้ รยี นมีความคดิ เห็นของต่อบทเรียน AR Code เร่อื งคาศพั ทภ์ าษาจนี พืน้ ฐาน ดา้ นส่อื พบว่า นกั เรียนมคี วามคิดเหน็ ว่า ชอบ ภาพสวย มีความชัด การ์ตนู สวย เสียงชัดเจน สีสัน สวยงาม นา่ อ่าน นักเรยี นมีสีหนา้ ยิม้ แยม้ มีความสขุ มีความตน่ื เตน้ ในส่วนการสงั เกตและสัมภาษณ์ แสดงความคดิ เหน็ ของนกั เรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 3 ที่เรยี นโดยใช้บทเรียน Augmented Reality Code เรื่องคาศัพท์ภาษาจนี พื้นฐาน ในด้านบทเรียนพบว่า นกั เรยี นมคี วามคิดเหน็ ว่า บทเรียนมีความ น่าสนใจ สีสวยงาม การต์ นู สวย เรียนสนุก คาศพั ทง์ า่ ย เข้าใจง่าย จาคาศัพท์ไดง้ ่ายและรวดเรว็ เร็ว แบบทดสอบสนุก นักเรียนสามารถเอาไปใชใ้ นชวี ติ ประจาวนั ได้ คาสาคัญ:บทเรียน Augmented Reality Code, ความคงทนในการเรยี นรู้, คาศพั ทภ์ าษาจีน, ผลสัมฤทธ์ิ

(7) Thesis Title Effecting Augmented Reality Code of Chinese Vocabularies Lesson for Grade 3 Student at Tessaban 2 Author Wattaninarasamosorn School Major Program Miss Porntip Pariyawatid Academic Year Educational Technology and Communications 2014 ABSTRACT The purposes of this research were to developed of Augmented Reality Code of basic Chinese vocabularies for grade 3 students, in efficiency 80/80. To compare the achievement of students before and after using Augmented Reality Code of basic Chinese vocabulary for grade 3 students. To study satisfied of students with lessons on Augmented Reality Code of basic Chinese vocabulary for grade 3 students. To study durability of Chinese vocabularies learning by using Augmented Reality Code lessons for grade 3 students. To collect opinions of students on the lessons learned about the AR Code basic Chinese vocabularies. The samples used in this research covers 66 students in Tessaban 2 Wattaninarasamosorn school. The instruments were Augmented Reality Code of basic Chinese vocabularies lesson. They included qualitative questions. The durability of Chinese learning vocabularies by using Augmented Reality Code lessons is 21.33 or 71.11 percents. The research findings were as follows: 1) development of Augmented Reality Code of basic Chinese vocabulary Grade 3 students at school efficiency of 80.97 / 86.67 which was higher than 80/80 2) the achievement of learning basic Chinese vocabularies learned by AR Code of Chinese vocabularies before, during and after learning the basics is higher than the previous. The level of statistical significance. 00 shows that the lessons learned with AR Code's basic Chinese vocabularies. It helps students with higher academic achievement. 3) the analysis of the satisfaction of students with lessons on basic Chinese vocabulary AR Code is high.

(8) 4) the durability of Chinese learning vocabularies by using Augmented Reality Code for grade 3 students, score is 24.30 or 81.00 percent. 5) the review of lessons learned on the AR Code of basic Chinese vocabulary is very interested to learning, the comics were cute and colorful. Keyword: Augmented Reality Code, The durability learning, Chinese vocabularies, achievement

(9) กติ ติกรรมประกาศ วิทยานพิ นธฉ์ บับนส้ี าเร็จลุลว่ งไดด้ ว้ ยดีเป็นเพราะผวู้ จิ ยั ได้รับความกรุณาอยา่ งยิ่งจากอาจารย์ ดร.วิชยั นภาพงศ์ อาจารย์ที่ปรกึ ษาวิทยานิพนธ์ท่เี สยี สละเวลาอันมคี ่าเพือ่ ใหค้ าปรึกษาแนะนา ตรวจสอบและตดิ ตามความก้าวหน้าในการทาวทิ ยานิพนธ์อย่างต่อเน่ืองอีกทัง้ ทาใหผ้ วู้ จิ ยั ได้รบั ประสบการณ์แนวคิดในการทาวิทยานิพนธ์ใหม้ ีความสมบูรณย์ ิ่งขน้ึ นอกจากน้ีผวู้ ิจยั ยังได้รบั ความ อนุเคราะห์จากอาจารย์ดร.วุทธศิ กั ดิ์ โภชนกุล อาจารย์ดร.ชวลติ เกิดทิพย์ และ อาจารย์ดร.จริ านวุ ฒั น์ สวัสดน์ิ ะทีคณะกรรมการสอบวิทยานิพนธท์ ี่กรณุ าให้ข้อเสนอแนะท่เี ปน็ ประโยชนใ์ นการปรบั ปรงุ วิทยานพิ นธเ์ พมิ่ เติมจนกระทง่ั วทิ ยานพิ นธฉ์ บับนมี้ ีความสมบูรณ์ผูว้ จิ ยั จึง ขอกราบขอบพระคุณดว้ ยความเคารพย่ิง ขอขอบพระคณุ คณาจารยภ์ าควิชาเทคโนโลยแี ละส่อื สารการศึกษาคณะศึกษาศาสตร์ มหาวทิ ยาลยั สงขลานครนิ ทร์วทิ ยาเขตปัตตานีทกุ ท่านเป็นอย่างสูงท่ีได้ถา่ ยทอดความรูใ้ ห้คาปรึกษา และแนะนาเพ่ิมเติมจนทาให้วิทยานิพนธ์ฉบบั นีส้ มบรู ณ์ ขอขอบพระคุณ ดร.กิจติพงษ์ ประชาชติ อาจารย์ประจาภาควิชาศิลปะและการออกแบบ มหาวิทยาลยั ราชภัฏศรสี ะเกษ อาจารย์โพธ์พิ งศ์ ฉตั รนนั ทภรณ์ อาจารยป์ ระจาภาควชิ าศิลปะและ การออกแบบ มหาวทิ ยาลัยราชภฏั ศรีสะเกษ อาจารย์จิระชัย แซต่ ้งั อาจารย์ประจาภาควชิ าภาษา ตะวันออก(ภาษาจนี ) นางเรณู บบุ ผะเรณู ศึกษานเิ ทศก์กองการศึกษาเทศบาลเมืองปตั ตานี และ นางปยิ ะภรณ์ ดว้ งตุด รองผู้อานวยการสถานศกึ ษาโรงเรยี นเทศบาล ๒ วัดตานีนรสโมสร สงั กัดเทศบาลเมอื งปตั ตานี ที่ใหค้ วามอนเุ คราะห์เป็นผูเ้ ชี่ยวชาญพจิ ารณาในการตรวจสอบเครอื่ งมือ ในการวิจยั ให้สมบรู ณ์ยงิ่ ข้ึน ขอขอบพระคุณผู้อานวยการสถานศึกษา โรงเรียนเทศบาล ๒ วัดตานีนรสโมสร สังกดั เทศบาลเมอื งปตั ตานี และขอบคณุ นักเรียนชน้ั ประถมศกึ ษาปีที่ 3 โรงเรียนเทศบาล ๒ วดั ตานีนรสโมสร สังกดั เทศบาลเมืองปัตตานี ท่ีให้ความรว่ มมอื เกย่ี วกับ การให้ข้อมลู ในการตอบแบบสอบถามเป็นอย่างดี ซ่งึ มีสว่ นชว่ ยให้การวจิ ยั ครัง้ นส้ี าเร็จไปดว้ ยดี ขอขอบพระคุณบิดา มารดา ท่คี อยให้กาลังใจและให้การสนบั สนนุ ในดา้ นต่างๆ ตลอดจน เพอื่ นๆสาขาเทคโนโลยแี ละสอื่ สารการศึกษา และพ่ๆี น้องๆ ที่รว่ มงานทกุ คนที่คอยให้กาลังใจเอ้ือ อาทรเกื้อกลู สนับสนนุ เอาใจใสด่ ูแลซงึ่ กนั และกันมาโดยตลอดจน ทาให้งานวิทยานิพนธ์สาเร็จคุณคา่ และประโยชนข์ องวทิ ยานิพนธฉ์ บับนผ้ี ู้วิจัยขอมอบคณุ ความดีแด่บุพการีและบรู พาจารย์ทุกทา่ นท่ี ประสทิ ธปิ์ ระสาทวชิ าความรู้และผ้มู พี ระคณุ ทุกทา่ น รวมไปถึงกาลังใจจาก เพื่อนๆพ่ๆี น้องๆ กัลยาณมิตรทุกท่าน ท่ที าใหผ้ ู้วจิ ัยประสบความสาเรจ็ ไดใ้ นวันนี้ พรทิพย์ ปรยิ วาทิต

(10) สารบัญ บทคดั ย่อ……………………………………………………………………………………………………………….… หนา้ กติ ติกรรมประกาศ………………………………….………………………………………………………………… (5) สารบัญ…………………………………………………………………………………..………………………..……… (9) รายการตาราง…………………………………………….……………………………………………………………. (10) รายการภาพประกอบ............................................................................................................. (14) บทท่ี 1 บทนา………………………………………………………………………………………………………..… (16) 1 ความเปน็ มาของปัญหาและปญั หา…………………………………………………….……………. 1 วัตถปุ ระสงค์ของการวิจยั ………………………………………….……………….…………….……. 5 สมมตฐิ านการวิจยั …………………………………………………….………………………..…….….. 6 ความสาคัญและประโยชน์ของการวจิ ยั …………………………………………….……..…….… 6 ขอบเขตของการวิจยั …………………………………………………….………………………………. 7 กรอบแนวคดิ การวิจยั ………………………………………………………………….………………… 9 นยิ ามศัพทเ์ ฉพาะ...................................................................................................... 10 บทท่ี 2 เอกสารและงานวจิ ยั ท่ีเกีย่ วข้อง……………………………………….……………………….…….. 13 เทคโนโลยAี R Code...................………………………………………..……………..…………… 13 13 ความหมายของเทคโนโลยี AR Code…………………………………………….………….. 14 ประเภทของ AR Code………………………………………….………………………………… 15 องคป์ ระกอบหลกั ของ AR Code ………………………………..…………….……………... 15 หลักการทางานของ AR Code…………………………………………………….……………. 15 Aurasma Application...................................................................................... 16 คณุ สมบัติของ Aurasma..................................................................................... 16 การผลิตส่อื ความจรงิ เสมอื น Aurasma Application………………………………….. 17 การใช้งาน Aurasma Application…………………………………………………………… 18 ทฤษฏีการเรยี นรโู้ ดยใชก้ ารค้นพบของ Bruner…………………………………………… 18 แนวคดิ เกี่ยวกับพัฒนาการทางปญั ญาของ Bruner……………………………………… 19 แนวคิดเก่ียวกบั การเรยี นรู้โดยการค้นพบของ Bruner………………………………… 19 หลักสูตรภาษาจนี โรงเรยี นเทศบาล ๒ วัดตานีนรสโมสร…………………………………… 23 การเรยี นรแู้ ละพัฒนาทางภาษา................................................................................ 23 ความหมายของภาษา..........................................................................................

(11) สารบัญ (ตอ่ ) หน้า กระบวนการเรยี นรภู้ าษา..................................................................................... 24 ทฤษฎพี ัฒนาการทางภาษา.......………………………….…………….…….………………… 24 ความสาคญั ของภาษา....…………….…………………………………………………….….…… 25 การพฒั นาทางภาษา...………………………………………..…………………………..……….. 27 การเรยี นการสอนภาษาจนี .................................................................................. 27 แนวคดิ พ้นื ฐานของการเรียนการสอนภาษาจีน.................................................... 28 การเรียนรู้ภาษาจีน.…………………………………………………………………………….…… 29 อกั ษรจนี ................................................................................................................... 30 เสน้ ของตวั อักษร.................................................................................................. 31 การประกอบเป็นตัวอักษร................................................................................... 32 โครงสรา้ งอักษรจนี .............................................................................................. 33 การเรียนการสอนภาษาจีนในประเทศไทย................................................................ 34 ผลสมั ฤทธิท์ างการเรียน.............................................................................................. 34 ความหมายของผลสัมฤทธิท์ างการเรียน................................................................ 34 ความพงึ พอใจ............................................................................................................. 35 ทฤษฎเี กีย่ วกับความพึงพอใจ................................................................................. 36 การวัดความพึงพอใจ............................................................................................. 37 หลักการและเกณฑ์ความพงึ พอใจ.......................................................................... 38 ความจาและความคงทน............................................................................................. 39 ระบบความจา........................................................................................................ 40 วิธศี กึ ษาความจา.................................................................................................... 41 วิธที ดสอบความจา................................................................................................. 42 จติ วิทยาการเรียนรแู้ ละความจา............................................................................ 42 กระบวนการเรียนรแู้ ละความจา............................................................................ 44 ทฤษฎกี ารจาสองกระบวนการ............................................................................... 45 ความจาจากการมองเห็น....................................................................................... 46 การปรับปรุงความจา............................................................................................. 47 ความสนใจ............................................................................................................. 47 อิทธพิ ลทสี่ ร้างความสนใจ...................................................................................... 48

(12) สารบญั (ต่อ) หน้า สาเหตทุ ท่ี าใหส้ นใจของแตล่ ะคนมีความแตกต่างกนั ................................................. 49 ความคงทนในการเรียนรู้............................................................................................ 50 การทดสอบความคงทนในการเรียนรู้......................................................................... 51 ระยะเวลาในการวัดความคงทนในการเรยี นรู้............................................................ 52 การวิจัยแบบผสมผสาน................................................................................................... 52 ความหมายของการวิจัยแบบผสมผสาน..................................................................... 52 แบบแผนการวจิ ัยแบบผสมผสาน............................................................................... 54 ขอ้ ดีและข้อจากัดของวจิ ัยแบบผสมผสาน.................................................................. 56 วิธกี ารวิจยั แบบผสมผสาน......................................................................................... 56 รปู แบบการทดลองสองระยะวธิ ีการเชงิ ปรมิ าณเปน็ หลัก........................................... 58 หลกั การออกแบบประยกุ ต์............................................................................................ 58 งานวิจัยท่เี กยี่ วข้อง........................................................................................................ 62 บทท่ี 3 วธิ ีดาเนนิ การวจิ ัย………………………………………….……………………………..………….………... 67 วิจยั เชงิ ปริมาณ.............................................................................................................. 67 ประชากรและกลุม่ ตวั อยา่ ง…………………………..……………………………………………..… 67 แบบแผนการวิจยั ..................................................................................................... 68 ตวั แปรทใี่ ช้ในการศึกษา........................................................................................... 68 เคร่ืองมอื ทใ่ี ช้ในการวิจยั …………………………………………..…..……………………….......... 69 การสรา้ งเครือ่ งมือในการวิจัย………………………………………………………………..…….... 69 การเก็บรวบรวมข้อมูล.............................................................................................. 80 การวิเคราะห์ข้อมูล................................................................................................... 81 สถิตทิ ีใ่ ช้ในการวจิ ยั .................................................................................................. 81 วิจยั เชิงคุณภาพ.....…………………………………………………..……………….……….…….……..… 86 ผใู้ ห้ขอ้ มลู สาคญั .....……….……………………………………………………………..……………... 86 เคร่อื งมือทใี่ ช้ในการวิจัย........................................................................................... 86 การสรา้ งเคร่ืองมอื ในการวิจัย................................................................................... 87 การเก็บรวบรวมข้อมลู .............................................................................................. 87 วเิ คราะห์ขอ้ มูล......................................................................................................... 88

(13) สารบัญ (ตอ่ ) หนา้ บทท่ี 4 ผลการวเิ คราะห์ข้อมูล..........................……..……………………………………………..…..……. 89 ผลการวเิ คราะหข์ ้อมูลการวจิ ยั เชงิ ปรมิ าณ................................................................... 90 ผลการวิเคราะห์ขอ้ มูลการวจิ ยั เชงิ คณุ ภาพ.................................................................. 94 บทท่ี 5 สรปุ ผล อภิปรายผล และข้อเสนอแนะ……..……………………………………………..…..……. 99 วัตถปุ ระสงคข์ องการวจิ ยั ............................................................................................ 99 สมมติฐานการวิจัย....................................................................................................... 99 ขอบเขตการวจิ ยั .......................................................................................................... 100 เคร่อื งมอื ที่ใช้ในการวิจัย.............................................................................................. 101 วจิ ยั เชงิ ปรมิ าณ....................................................................................................... 101 วธิ ีดาเนนิ การวจิ ัย.............................................................................................. 102 การวเิ คราะหข์ ้อมูล........................................................................................... 105 วิจยั เชิงคณุ ภาพ...................................................................................................... 105 การเกบ็ รวบรวมขอ้ มูล...................................................................................... 106 การวิเคราะห์ข้อมลู ........................................................................................... 106 สรุปผลการวจิ ัย............................................................................................................ 107 การอภปิ รายผล........................................................................................................... 108 ขอ้ เสนอแนะ................................................................................................................ 113 บรรณานุกรม……………………………………………………………………..…………………………….………… 114 ภาคผนวก………………………………………………………………………..…………………………….………….. 127 ภาคผนวก ก รายชื่อผ้เู ชีย่ วชาญ................................................................................ 128 ภาคผนวก ข เครอื่ งมือทใี่ ช้ในการวิจัย....................................................…..………..… 135 ภาคผนวก ค ผลการวิเคราะห์ข้อมูล.......................................................................... 221 ประวัตผิ เู้ ขยี น…..……………………………………………………………………………………….…..………...... 229

(14) รายการตาราง ตาราง หนา้ 1 วิเคราะห์ประสิทธภิ าพของการจดั การเรียนรู้โดยใชบ้ ทเรียน AR Code เร่ืองคาศพั ท์ ภาษาจีนพ้นื ฐาน ชั้นประถมศึกษาปีท่ี 3 ที่มปี ระสทิ ธภิ าพตามเกณฑ์ 80/80 (T1/ T2) แบบหน่ึงต่อหนง่ึ ……………………………………………………………………………………………… 90 2 วิเคราะห์ประสทิ ธภิ าพของการจดั การเรียนรู้โดยใชบ้ ทเรียน AR Code เร่ืองคาศพั ท์ ภาษาจนี พนื้ ฐาน ชัน้ ประถมศึกษาปที ่ี 3 ที่มปี ระสทิ ธิภาพตามเกณฑ์ 80/80 (T1/ T2) แบบหน่งึ ต่อสาม........................................................................................................... 90 3 วเิ คราะห์ประสิทธิภาพของการจดั การเรียนรโู้ ดยใชบ้ ทเรียน AR Code เรื่องคาศพั ท์ ภาษาจีนพน้ื ฐาน ชน้ั ประถมศึกษาปที ่ี 3 ท่ีมปี ระสิทธิภาพตามเกณฑ์ 80/80 (T1/ T2) แบบภาคสนาม………………………………………………………………...................................... 91 4 ประสทิ ธภิ าพของการจดั การเรยี นรู้โดยใช้บทเรียน AR Code เรือ่ งคาศัพทภ์ าษาจีน พืน้ ฐาน ชัน้ ประถมศกึ ษาปีที่ 3 ท่มี ปี ระสิทธภิ าพตามเกณฑ์ 80/80 (T1/ T2) และ ความคงทนทางการเรียนรู้ (T3) ของกลุ่มตวั อย่าง........................................................ 91 5 เปรียบเทยี บผลสัมฤทธ์ทิ างการเรียนของผเู้ รยี นก่อนและหลังการจัดการเรียนรโู้ ดยใช้ บทเรียน Augmented Reality Code เรือ่ งคาศัพท์ภาษาจีนพน้ื ฐาน สาหรบั นักเรียนช้ันประถมศกึ ษาปีท่ี 3......................................................................... 92 6 ค่าเฉลยี่ ส่วนเบยี่ งเบนมาตรฐานความพงึ พอใจของผู้เรียนช้ันประถมศกึ ษาปที ี่ 3 ท่มี ตี อ่ การเรียนโดยใช้บทเรียน Augmented Reality Code เรอื่ งคาศัพทภ์ าษาจนี พืน้ ฐาน โรงเรยี นเทศบาล ๒ วดั ตานีนรสโมสร สังกัดเทศบาลเมืองปัตตานี……………... 92 7 ผลการศึกษาความคงทนในการเรยี นรูค้ าศพั ท์ของผเู้ รียนทเี่ รียนด้วยบทเรยี น Augmented Reality Code เร่อื งคาศพั ทภ์ าษาจนี พน้ื ฐาน สาหรบั นกั เรยี นช้ัน ประถมศึกษาปที ่ี 3 โรงเรียนเทศบาล ๒ วดั ตานีนรสโมสร……….……………................. 94 8 ค่าเฉลย่ี และส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐานของคุณภาพแผนการจัดการเรยี นรู้ประกอบการ ใชบ้ ทเรียน AR Code เร่ืองคาศพั ท์ภาษาจนี พน้ื ฐาน สาหรับนกั เรยี น ชนั้ ประถมศึกษาปีท่ี 3โรงเรียนเทศบาล ๒ วัดตานนี รสโมสร…………………………………. 210 9 ค่าเฉล่ียและสว่ นเบีย่ งเบนมาตรฐานของคณุ ภาพบทเรียน AR Code เร่อื งคาศัพท์ ภาษาจนี พ้ืนฐานสาหรับนกั เรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 3 โรงเรียนเทศบาล ๒ วดั ตานีนรสโมสร..............................................................................…………………..…… 213

(15) รายการตาราง (ต่อ) ตาราง หนา้ 10 ผลการวิเคราะหก์ ารตรวจหาคา่ ความตรงเชงิ เน้ือหา (IOC) ของแบบทดสอบ 217 วัดผลสัมฤทธ์ิทางการเรียนและความคงทนในการเรียนรู้โดยใชบ้ ทเรียน AR Code เร่อื งคาศัพท์ภาษาจีนพื้นฐาน สาหรับนักเรยี นชั้นประถมศกึ ษาปีที่ 3 219 โรงเรยี นเทศบาล ๒ วัดตานีนรสโมสร................................................................. 11 ค่าความยากง่าย (P) และค่าอานาจจาแนก (D) ของแบบทดสอบวดั ผลสมั ฤทธิ์ 220 ทางการเรยี นกอ่ นและหลังการจัดการเรยี นรโู้ ดยใช้บทเรียน AR Code เร่อื ง 222 คาศัพท์ภาษาจนี พน้ื ฐาน สาหรบั นักเรียนชั้นประถมศกึ ษาปีท่ี 3.......................... 223 12 ผลการประเมินความสอดคล้องของแบบสอบถามวัดความพงึ พอใจของนักเรยี น 224 ชั้นประถมศึกษาปที ี่ 3 ทม่ี ีต่อการเรยี นโดยใช้บทเรียน AR Code เรือ่ งคาศัพท์ ภาษาจีนพ้ืนฐาน โรงเรยี นเทศบาล ๒ วดั ตานนี รสโมสร....................................... 226 13 คะแนนการทดลองหาประสทิ ธิภาพของนวัตกรรมแบบหนึ่งต่อหนึง่ .................... 14 คะแนนการทดลองหาประสิทธิภาพของนวตั กรรมแบบหนึง่ ตอ่ สาม………………… 228 15 คะแนนการทดลองหาประสิทธภิ าพของนวตั กรรมแบบภาคสนาม....................... 16 คะแนนการทดสอบวดั ผลสมั ฤทธทิ์ างการเรียนกอ่ นและหลังการจดั การเรยี นรู้ คะแนนของแบบทดสอบระหว่างเรยี น และคะแนนความคงทนในการเรียนรู้ เพ่ือหาประสทิ ธภิ าพของบทเรียน Augmented Reality Code เรือ่ งคาศัพท์ ภาษาจนี พ้ืนฐาน ของนกั เรียนชน้ั ประถมศึกษาปที ี่ 3 ของกล่มุ ตวั อย่าง ตามเกณฑ์มาตรฐาน 80/80 (E1/ E2) และ T3……………………………………………… 17 ระดับความพงึ พอใจของนักเรียนชน้ั ประถมศึกษาปีท่ี 3 ทม่ี ตี อ่ การเรยี นโดยใช้ บทเรยี น Augmented Reality Code เรือ่ งคาศัพทภ์ าษาจีนพื้นฐาน โรงเรียนเทศบาล ๒ วดั ตานนี รสโมสร สงั กัดเทศบาลเมืองปัตตานี.......................

(16) รายการตาราง ตาราง หนา้ 1 กรอบแนวคิดเกี่ยวกบั ผลของการใช้บทเรียน Augmented Reality Code เรื่องคาศัพทภ์ าษาจีนพน้ื ฐาน สาหรบั นักเรียนชน้ั ประถมศกึ ษาปีท่ี 3 โรงเรียนเทศบาล ๒ วัดตานนี รสโมสร.......................................................................... 9 2 เสน้ ขีดอกั ษรจีน............................................................................................................ 31 3 ความสัมพนั ธข์ ององคป์ ระกอบหลกั ในการออกแบบแผนการวิจัย................................ 57 4 รูปแบบการทดลองสองระยะวธิ กี ารเชิงปรมิ าณเป็นหลัก............................................. 58 5 ขั้นตอนการออกแบบสอื่ ใหเ้ กิดแรงจงู ใจและมีผลตอ่ ความคงทน ตามทฤษฎี Alessi และ Trollip……………………………………………………………..…….…… 59 6 แบบจาลองขัน้ ตอนการออกแบบสือ่ ตามทฤษฎี Alessi และ Trollip……………………… 70 7 ผังงานแสดงขั้นตอนการสร้างบทเรียน AR Code เร่อื งคาศัพทภ์ าษาจนี พนื้ ฐาน 73

1 บทที่ 1 บทนำ ควำมเปน็ มำและควำมสำคัญของปัญหำ การดาเนนิ ชีวิตของมนษุ ย์ได้มีการพฒั นาอย่างต่อเนื่อง เมื่อประมาณห้าแสนปกี ่อนมนุษย์ได้ อาศัยอยใู่ นถา มีการส่ือสารระหวา่ งกนั ด้วยทา่ ทางและการขีดเขียนภาพคน สตั ว์ สิ่งของ เครอ่ื งใช้ ต่างๆ ไว้ตามผนงั ถา จนกระทั่งเมือ่ ประมาณหา้ หมื่นปที ่ีแลว้ มนษุ ยม์ ีความรู้ ความเข้าใจในการใชภ้ าษา พูด ได้มีการประดษิ ฐ์สัญลกั ษณ์ต่างๆ เพื่อการสอ่ื สารความหมายให้เข้าใจตรงกัน ต่อมาเม่อื ห้าพันปที ่ี ผ่านมา มนษุ ย์มีการสรา้ งตัวอักษรท่ีใช้ในการสื่อสารและสามารถบันทึกเรื่องราวตา่ งๆ ลงในหนังสือ ซ่ึงนาไปสู่การติดต่อสอ่ื สารด้วยภาษาข้อความ และเมื่อหา้ ร้อยปีท่แี ลว้ มนุษยไ์ ด้มกี ารนาเทคโนโลยี เข้ามามบี ทบาทในเรื่องของการพิมพ์ มกี ารบนั ทึกเรื่องราวต่างในอดตี ท่เี กิดขึนโดยการพมิ พ์ลงใน หนังสอื (ยืน ภู่วรรณ, 2551) ด้วยการติดต่อสื่อสารทมี่ ากขึน มนษุ ย์จงึ มีการพัฒนามาอย่างตอ่ เนื่อง จนกา้ วเขา้ ส่ยู ุคอิเลก็ ทรอนกิ ส์ มีการนาคอมพวิ เตอรแ์ ละระบบโทรคมนาคม เข้ามาใช้ในการสื่อสาร ทาใหก้ ารส่ือสารของมนษุ ย์มีการพฒั นาในดา้ นต่างๆ ทังดา้ นสังคม เศรษฐกิจ การเมืองและด้านอืน่ ๆ อีกมากมาย จนกระท่งั ปจั จุบันการส่อื สารได้มกี ารพฒั นาไปอย่างรวดเรว็ ไม่วา่ จะเป็นภาษาเทคโนโลยี ระบบเครือขา่ ยอินเทอรเ์ นต็ ท่ีแพรห่ ลายและอปุ กรณใ์ นการส่อื สารทีท่ ันสมยั กต็ าม ยังช่วยให้ ประหยดั เวลา ประหยัดคา่ ใชจ้ า่ ยและเพ่ิมความสะดวกรวดเร็วขึนอกี ด้วย สงิ่ เหลา่ นลี ้วนเปน็ ส่ิงสาคัญ ท่ีสง่ ผลตอ่ การติดตอ่ สื่อสาร การศึกษา สังคม เศรษฐกจิ และวฒั นธรรมของมนุษย์ทังสนิ ภาษาเปน็ สิ่งท่ที าใหเ้ กดิ การส่ือสารอยา่ งเปน็ ระบบและมีประสิทธภิ าพ ภาษาเป็นการ ปฏสิ มั พันธร์ ะหวา่ งมนษุ ย์กบั มนษุ ย์ มนุษย์กบั สิง่ แวดล้อม นาไปส่กู ารเกดิ ความคดิ เหน็ การกระทา ตา่ งๆ ท่ีนามาซึง่ ความสุขและความสาเรจ็ ร่วมกนั (วรรณวดี ชยั ชาญกุล, 2549) ภาษาเป็น องคป์ ระกอบทส่ี าคัญของการสอ่ื สาร สารจะไมส่ ามารถถ่ายทอดได้หากไมม่ ีภาษา (คณะมนษุ ยศาสตร์ มหาวิทยาลัยราชภฏั เทพสตรี) ภาษาประกอบดว้ ย วัจนภาษาและอวัจนภาษา ทังสองไมส่ ามารถแยก ออกจากกนั ได้ เนื่องจากผสู้ ่งสารมกั จะใชว้ จั นภาษาเปน็ ถ้อยคาในการสื่อสารและใช้อวัจนภาษาเปน็ ภาษาทา่ ทางประกอบ เพื่อการสือ่ สารท่ีสมบรู ณ์ (สรุ ตั น์ ตรีสกลุ , 2546) ดังพระราชดารัสของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หวั ซงึ่ ทรงตรัสไว้ว่า“ภาษาทังหลาย เป็นเครือ่ งมอื ของมนุษยช์ นิดหนึง่ คือ เป็นทางสาหรบั แสดงความเห็นอย่างหนงึ่ เป็นสิ่งสวยงาม อยา่ งหนึ่ง เช่น ในทางวรรณคดี เป็นต้น ฉะนันจงึ จาเป็นต้องรักษาเอาไว้ให้ดี ประเทศไทยนันมีภาษา ของเราเองซ่ึงต้องหวงแหนไวใ้ หม้ ั่น เราโชคดีทีม่ ภี าษาของตนเองแตโ่ บราณกาล จึงสมควรอย่างยิ่งที่

2 จะรักษาไวแ้ ละพัฒนาให้เจริญรุ่งเรือง” (วรนชุ อษุ ณกร, 2543) จากคากล่าวข้างต้นจะเห็นไดว้ ่า พระบาทสมเดจ็ พระเจ้าอยู่หวั ทรงตระหนกั ถงึ ความสาคัญของภาษา ซ่ึงเปน็ เอกลักษณ์และวฒั นธรรม ทม่ี ีคุณคา่ ในการสอื่ สารและควรทานุบารุงวฒั นธรรมทางภาษาให้ดารงอย่แู ละพัฒนาใหเ้ จริญรุ่งเรือง ตอ่ ไป จะเห็นไดว้ ่าภาษาเป็นเคร่ืองมือท่ีสาคัญและมีคุณคา่ อย่างยิง่ ตอ่ มวลมนุษย์ ในแต่ละชมุ ชน ตา่ งก็มีการคิดประดิษฐ์ภาษาพดู และภาษาเขยี นเป็นของตนเองโดยพยายามท่ีจะเผยแพร่ ไปสชู่ ุมชน อ่ืนๆ เมื่อรวมตวั กันเป็นชุมชนท่ีใหญข่ นึ ก็จะมีการประกาศเปน็ ประเทศแสวงหาอาณานิคม เพ่อื เผยแพรข่ นบธรรมเนียมประเพณแี ละภาษาของตนเองไปสู่นานาประเทศ จนทาให้บรรดาประเทศ ทย่ี อมรับหรือไดร้ ับอิทธิพลก็สามารถส่อื สารโดยใชภ้ าษาพดู และภาษาเขยี นของตนได้ สาธารณรัฐ ประชาชนจนี กเ็ ช่นเดียวกัน มีการคดิ ค้นประดิษฐภ์ าษาพดู และภาษาเขียนเปน็ ตัวภาษาจีน ซ่งึ ตวั อักษร จนี ก็ถอื วา่ เป็นตัวอักษรท่เี ก่าแกท่ สี่ ุดที่ใช้มาถงึ ยุคปจั จุบนั และยงั เปน็ ตวั อักษรท่ีมีคนใชม้ ากทสี่ ุดใน โลกเชน่ กนั เนือ่ งจากคนจนี กระจายอยู่ทั่วทกุ มุมโลก ประกอบกบั ที่จีนเปน็ ประเทศท่ีมอี ิทธิพลอยา่ ง มากในเวทีโลกในยุคปัจจบุ ัน ทกี่ าลงั มีการขยายตัวทางด้านเศรษฐกจิ อย่างรวดเรว็ ดงั นนั ภาษาจีนจงึ เปน็ ภาษาท่มี ีบทบาทสาคัญ ท่ีใช้ในการติดต่อสือ่ สารและการเรยี นรู้ (ธนานนั ท์ ตรงดี, 2552 ) ตัวอักษรจนี มวี ิวัฒนาการพืนฐานมาจากตวั อกั ษรภาพ โดยตัวอักษรจีนทีเ่ ก่าแกท่ ส่ี ดุ ท่ีได้ ค้นพบในขณะนคี ือ “เจ๋ยี กเู่ หวิน” หรือ “อกั ษรจารกึ บนกระดูกสตั ว์”(甲骨文)ซ่งึ เป็น ตัวอกั ษรท่ีมีอายมุ ากกว่า 3,400 ปีที่แล้ว และยงั ถือเปน็ ตัวอักษรทส่ี มบูรณ์มาก ตัวอักษรจนี มี วิวัฒนาการมาเร่อื ยๆ เร่มิ จากเจี๋ยก่เู หวนิ (甲骨文)จินเหวนิ หรืออักษรโลหะ(金文) อกั ษรเสีย่ วจว้ น(小篆)อกั ษรล่ซี ู(隶书)อักษรข่ายซู(楷书)อกั ษรเฉ่าซู (草书)และอักษรสิงซู(行书)ดว้ ยตวั อกั ษรจีนมีความเปน็ เอกลักษณ์ท่ีมีเสน่หแ์ ละ นา่ สนใจ จึงทาให้ตัวอกั ษรจีนได้แพรห่ ลายไปทว่ั โลก และส่งอทิ ธพิ ลต่อประเทศรอบข้างเพราะไม่วา่ จะเปน็ ตัวอักษรของภาษาญี่ปุ่น เกาหลี เวียดนาม ฯลฯ ก็เกิดขึนจากพนื ฐานของตวั อักษรจนี ทงั สนิ (任启亮, 2007)จีนพยายามท่จี ะเผยแพร่ ภาษาพูด ภาษาเขียน วฒั นธรรมขนบธรรมเนยี ม ประเพณีของตน เพ่อื ขยายไปสู่นานาประเทศ ปจั จบุ นั สาธารณรัฐประชาชนจีนเปน็ ประเทศท่ี เศรษฐกจิ กาลังพฒั นาและเจริญเตบิ โตไปอย่างรวดเรว็ ยงั มกี ารคาดการณ์ว่าอีกไม่ก่ีทศวรรษจากนไี ป สาธารณรฐั ประชาชนจีนจะเปน็ ประเทศขวั อานาจใหม่ทางเศรษฐกจิ โลก ทาใหภ้ าษาจีนไดเ้ พมิ่ บทบาท และความสาคญั มากขึน ซึง่ ถือว่าเป็นภาษาท่ีมีใช้กนั อย่างกว้างขวางและมีจานวนผูใ้ ช้เพิ่มขนึ อยา่ ง รวดเรว็ ในแต่ละปี ดงั นันภาษาจีนจงึ กลายเป็นภาษาทสี่ าคัญ 1 ใน 9 ของภาษาสากลของโลก ด้วยความเจริญเติบโตทางดา้ นเศรษฐกจิ สงั คม อุตสาหกรรม ของสาธารณรฐั ประชาชนจีน ส่งผลให้ภาษาจีนเป็นภาษาต่างประเทศในอันดับต้นๆที่ไดร้ ับความสนใจจากผู้เรียนภาษาในหลาย

3 ประเทศท่ัวโลกสาหรบั การศึกษาภาษาจนี ในประเทศไทยนัน เราจะเหน็ ได้วา่ ภาษาจนี ได้รบั ความนิยม เพมิ่ ขึนอยา่ งต่อเน่ือง อนั เน่ืองมาจากการทภี่ าษาจีนได้เขา้ มามีบทบาทต่อตลาดแรงงานของไทย ในทกุ ระดับ ไมว่ ่าจะเป็นในเร่ืองของธรุ กจิ ค้าขาย อุตสาหกรรมการท่องเท่ยี ว รวมถงึ การร่วมลงทุน ของนักธุรกิจชาวจีนมจี านวนมากขนึ เร่ือยๆ ทาใหม้ คี วามต้องการบุคลากรที่มีความรู้ในการใช้ภาษาจนี เพ่มิ มากขนึ เปน็ เงาตามตัว จากเหตุผลดังกล่าวทาให้มกี ารจัดการเรียนการสอนภาษาจีนในประเทศ ไทยเป็นไปอยา่ งกวา้ งขวาง โดยจะเห็นได้ว่ามีการสอนภาษาจนี มอี ยูใ่ นทุกระดบั ตงั แตช่ ันอนบุ าล ประถมศึกษา มัธยมศึกษา และในระดับมหาวิทยาลยั ตลอดจนสถาบันสอนภาษาจนี ให้กบั ผทู้ ่สี นใจ นับว่าภาษาจนี เป็นอีกภาษาหนึ่งทีม่ ีความสาคญั มาก เม่ือไม่นานมานที างรัฐบาลไทยได้ กาหนดให้ภาษาจีนเปน็ ภาษาต่างประเทศภาษาทส่ี องสาหรับคนไทย ดงั นนั ในปจั จุบันจึงมกี ารจัด กจิ กรรมการเรยี นการสอนภาษาจนี ภายในโรงเรียนเปน็ จานวนมาก บางโรงเรียนเปดิ สอนเปน็ ชมรม บางโรงเรียนเปดิ สอนเป็นรายวชิ าเพ่มิ เติม บางโรงเรยี นมีการบรรจุภาษาจนี อยใู่ นหลักสูตรการศกึ ษา ของโรงเรยี น และมีการจดั การเรยี นการสอนอย่างเป็นระบบ (อุทยั วรรณ เฉลิมชัย, 2552) ซึ่งทาง เทศบาลเมืองปตั ตานี ไดต้ ระหนักและเห็นความสาคญั ของการจดั การเรยี นการสอนภาษาจนี อีกทงั ยัง เหน็ ถงึ ประโยชน์ในการไดใ้ ชภ้ าษาจีนในอนาคตข้างหนา้ จึงจดั ให้ทางโรงเรยี นเทศบาล ๒ วัดตานนี รสโมสร ซ่งึ เป็นโรงเรียนในสงั กดั เทศบาลเมืองปตั ตานี ไดจ้ ัดการเรยี นการสอนรายวิชา ภาษาจีน เปน็ รายวชิ าเพม่ิ เติมขึน เปน็ ครังแรกใน ปกี ารศึกษา 2551 หลังจากการจดั ใหม้ ีการเรียนการ สอน พบว่า ผลสมั ฤทธทิ์ างการเรยี นของนักเรียนยังอยู่ในระดบั ท่ีควรได้รับการปรับปรงุ แก้ไข ผู้เรียน ยงั ขาดส่ือการเรียนการสอนท่ีนา่ สนใจ ทงั นี อาจเปน็ เพราะภาษาจีนยังเป็นภาษาที่ใหม่สาหรับ นกั เรียนโรงเรยี นเทศบาล ๒ วัดตานีนรสโมสร และภาษาจีนเปน็ ภาษาทย่ี าก จึงทาใหผ้ ูเ้ รยี นรูส้ ึก นา่ เบอื่ ไม่อยากเรยี นภาษาจีน นอกจากนปี ระเดน็ ท่ีสาคัญมากอกี ประเดน็ หน่ึงก็คือ เอกสาร ประกอบการเรยี นทใ่ี ห้ผ้เู รียนใชศ้ ึกษาค้นคว้า สอ่ื การเรยี นการสอนกย็ ังมีอยนู่ อ้ ยมาก ข้อมลู ตา่ งๆ ที่จะสนบั สนุนการเรยี นรูข้ องผเู้ รียนในหอ้ งสมดุ ของสถานศึกษามีน้อยมากเมื่อเทยี บกับรายวชิ าอนื่ ๆ ดว้ ยเหตนุ ี ผวู้ จิ ัยในฐานะครูผ้สู อนจงึ เหน็ ความสาคัญ และตระหนักถึงปญั หาทเ่ี กิดขนึ จงึ พัฒนาสอ่ื การ เรียนการสอนเพือ่ เร้าความสนใจในการเรยี นภาษาจนี แกผ่ ู้เรียนมากขนึ นักการศึกษาต่างยอมรับวา่ สื่อการสอนเป็นรากฐานของการเรียนรู้ทดี่ ี ทีท่ าให้การเรียนการ สอนบรรลุตามวตั ถปุ ระสงค์ ส่ือการสอนเปน็ สอ่ื กลางในการถ่ายทอดเนือหาผูส้ อนไปสผู่ ้เู รียน เพือ่ เป็น การกระตุ้นให้ผู้เรยี นเกดิ ความสนใจ ส่งเสรมิ ใหผ้ ้เู รยี นมีส่วนรว่ มในการจดั กจิ กรรมการเรียนการสอน มผี ลทาให้ผูเ้ รยี นเกิดความรู้ ความเข้าใจและเกิดความคดิ รวบยอดได้รวดเรว็ ยิ่งขึน ส่ือการสอนจงึ จาเปน็ อยา่ งย่งิ ท่จี ะใชเ้ ป็นตัวกลางในกระบวนการจดั การเรียนรู้ สือ่ การเรยี นการสอนจะมีคณุ คา่ ก็ ต่อเมื่อผูส้ อนไดน้ าไปใช้อยา่ งเหมาะสมและถูกวธิ ี ดงั นันกอ่ นทจ่ี ะนาสื่อแต่ละอยา่ งไปใช้ ผสู้ อนจึงควร ที่จะศึกษาถงึ ลักษณะและคณุ สมบตั ิของสื่อการเรยี นการสอน ข้อดแี ละข้อจากัดของการใช้ส่ือ

4 แตล่ ะอย่าง ทงั นีเพอ่ื ให้การจัดกจิ กรรมการสอนบรรลผุ ลตามจดุ ม่งุ หมายและวัตถปุ ระสงค์ทวี่ างไว้ สือ่ การสอนเปน็ สื่อทีบ่ รรจุเนือหาเกย่ี วกบั การเรยี นการสอนในรปู แบบต่างๆ รวมถงึ การนาเทคโนโลยี สารสนเทศในรูปแบบเครอื ขา่ ยมาใช้ร่วมในการสอนและฝึกอบรมใหม้ ีประสิทธภิ าพและประสทิ ธผิ ล สูงสดุ ยิ่งขึนด้วย (กดิ านันท์ มลิทอง, 2543) ประกอบกบั ในปัจจบุ นั นเี ปน็ ยุคที่เทคโนโลยมี กี ารเปลี่ยนแปลงและพฒั นาอยู่ตลอดเวลา จนกลายเปน็ อีกปจั จยั หน่งึ ท่ีสาคญั ตอ่ มนุษย์ ในด้านการศกึ ษาก็เชน่ เดียวกัน ได้มกี ารนาเทคโนโลยี มาประยุกตใ์ ชส้ าหรับการเรียนร้กู ารสอน ทาให้ผู้เรียนมกี ระบวนการเรยี นรู้ง่ายขนึ จนนาไปสู่ การพฒั นาการเรยี นการสอนท่ีดียิง่ ขนึ มนุษย์มีพฤติกรรมในการใช้เทคโนโลยีในด้านอุปกรณ์ไอที เชน่ สมาร์ทโฟนหรอื แท็บเลต็ ทีก่ ลายเป็นส่วนหน่ึงในชวี ติ ประจาวนั ซงึ่ อุปกรณเ์ หลา่ นีสามารถใช้ ประโยชน์ได้มากมาย อาทิเช่น การสืบค้นข้อมูล การตดิ ต่อสอ่ื สารเพื่อความสะดวกรวดเร็วและ ยงั ประหยัดคา่ ใช้จา่ ยได้อกี ดว้ ย นักการศึกษาในปจั จุบันมกี ารนาสอ่ื การสอนชนิดต่างๆ มารวมกันกบั เทคโนโลยีไดอ้ ยา่ งเป็นระบบ ทาใหเ้ กิดประสิทธิภาพทางการเรยี นการสอน และในปกี ารศึกษา 2554 ทางรัฐบาลไดม้ ีนโยบายจัดหาแท็บเลต็ “หนง่ึ ผู้เรียนหนึ่งแท็บเล็ต”สาหรบั ผู้เรยี นชนั ประถมศกึ ษาปที ่ี 1 เพอื่ ใช้เปน็ สอ่ื การเรยี นการสอน ซ่งึ เปน็ แนวคิดที่จะนาเอาเทคโนโลยแี ละการสอื่ สารทางการศกึ ษามา ประยกุ ตใ์ ช้กบั ผู้เรียนในรปู แบบใหม่ โดยการใชแ้ ท็บเล็ต เป็นเครือ่ งมอื ในการเข้าถึงแหลง่ ความรู้ ทีม่ ี ทังในรปู แบบออฟไลน์และออนไลน์ แทบ็ เล็ตจะชว่ ยสรา้ งความนา่ สนใจให้แกผ่ ู้เรียน ทาให้ผ้เู รยี นตงั ใจ เรียนมากขนึ เปน็ การเปิดโลกทัศน์ในการเรยี นซึ่งทาใหก้ ารเรยี นเปน็ เรือ่ งสนุกและเข้าใจง่าย ผลการวิจยั ติดตามการใช้งานคอมพวิ เตอร์พกพาหรือแท็บเลต็ ของผูเ้ รยี นชันประถมศึกษาปีท่ี 1 ของผเู้ รียนสังกัด สพฐ.โดยได้มกี ารสารวจกลุม่ ตวั อย่างโรงเรยี น 503 โรง จากผ้เู รียน 7,078 คน ผู้สอน 533 คน และผูบ้ ริหาร 503 คน พบว่าผู้เรียนมีพัฒนาการทางด้านภาษาอย่างรวดเร็วขึนไมว่ า่ จะเปน็ การฟงั การพดู และการอ่าน (ชินภัทร ภมู ิรตั น, 2556) ซงึ่ ในปจั จบุ นั เทคโนโลยีมีบทบาทเขา้ มา เปน็ ส่วนหน่งึ ในการจดั การเรียนการสอนจงึ ทาใหผ้ ู้สอนจดั การเรียนการสอนไดง้ ่ายขึน ท่ีสาคญั ผู้ปกครองมกี ารสนบั สนุนผ้เู รียนในการใช้เทคโนโลยอี ย่างจรงิ จัง ทังนเี พ่ือใหผ้ เู้ รียนไดท้ บทวนบทเรียน ไดด้ ว้ ยตนเอง ปจั จุบนั มอี กี เทคโนโลยีที่เรียกวา่ Augmented Reality Code เปน็ การพัฒนาเทคโนโลยีท่ี ผสานเอาโลกแห่งความจริงและความเสมือนจริงเขา้ ด้วยกันผา่ นซอฟต์แวรแ์ ละอุปกรณเ์ ช่อื มต่อต่างๆ เชน่ เวบ็ แคมคอมพิวเตอร์ สมาร์ทโฟนหรอื แทบ็ เลต็ จงึ เปน็ ทน่ี า่ สนใจในการนามาพฒั นาสอ่ื การเรยี น การสอนได้ จากงานวจิ ยั ของ สพุ รรณพงศ์ วงษศ์ รีเพ็ง (2554) ได้วิจัยเกย่ี วกบั การประยุกต์ใช้เทคนิค ความจริงเสมอื นเพื่อใช้ในการสอนเรื่องพยญั ชนะภาษาไทย ผลการวจิ ัยพบวา่ ชว่ ยเรา้ ความสนใจให้ นกั เรยี นสนใจในการเรียนพยัญชนะภาษาไทยได้ อานาจ ชิดทอง (2555) ได้ทาการวิจัยเกย่ี วกบั การ ประยุกตเ์ ทคนิคความเป็นจรงิ เสรมิ เพ่ือผลติ สื่อการสอนสาหรบั โครงสรา้ งไม้ ผลการศึกษาจากการ

5 ประเมนิ การใชง้ านโดยผู้ใช้ ซึ่งแบง่ ออกเปน็ 2 กลุ่ม คือกลุ่มผู้สอนและกลุ่มผ้เู รียน ผลการประเมนิ โดย สรุปคอื ระบบทพี่ ัฒนาขึนมีความน่าสนใจและสามารถกระตุ้นใหเ้ กิดการเรยี นรู้ และ กัณฑรี วรอาจ (2557) ไดว้ จิ ัยเกย่ี วกับ การพัฒนาหนังสืออา่ นเพ่มิ เติมท่ีมีความจรงิ เสมือน เร่อื งประเทศสิงคโปร์ สาหรับนกั เรียนชันมธั ยมศึกษาปีที่ 1 พบวา่ หนงั สืออ่านเพ่ิมเติมท่ีมีความจริงเสมือน เรือ่ งประเทศ สงิ คโปร์ มีคณุ ภาพอยู่ในระดับดีและมปี ระสทิ ธภิ าพ วศกร เพ็ชรชว่ ย (2557) ไดท้ าการวิจัยเกย่ี วกับ การพฒั นาสื่อความจรงิ เสมือนบนเอกสารประกอบการเรียนเร่อื ง อุปราคา สาหรับนกั เรียนชัน มัธยมศกึ ษาปที ี่ 3 โรงเรียนเศรษฐบุตรบารงุ ผลการวิจัยพบว่า สื่อความจรงิ เสมอื นบนเอกสาร ประกอบการเรยี น มีคณุ ภาพในระดับดมี าก และมีประสทิ ธิภาพ 80.50/79.83 สว่ นทางด้าน ผลสัมฤทธิ์ทางการเรยี นของนักเรียนกลุ่มตวั อย่าง สูงกวา่ นักเรยี นทเ่ี รยี นแบบปกติ และ Enyedy (2012) ทาการวิจยั เกี่ยวกับการเรยี นการสอนฟสิ กิ ส์ โดยการเล่นผ่านสภาพแวดลอ้ มความจรงิ เสมือน กบั ผูเ้ รยี นอายุ 6 – 8 ปี ผลการวจิ ัย พบว่า ผูเ้ รียนมคี วามเข้าใจและมีความคดิ รวบยอดในเรื่องของ แรง, แรงลพั ธ์ และแรงเสียดทาน หลังจากทาการเรยี นด้วยหลกั สูตรการเรยี นรู้ฟิสกิ สผ์ ่านการเลน่ จากปัญหาท่เี กิดขนึ กบั ผู้เรยี นไม่วา่ จะเป็นภาษาจนี ทยี่ าก น่าเบื่อ ทาให้ผ้เู รียน ไม่อยากเรียน เอกสารท่ีใช้ประกอบการเรียนการสอน ส่ือการเรยี นการสอน ในห้องสมุดของ สถานศกึ ษาทย่ี ังมอี ยนู่ ้อยมาก เมื่อเทียบกบั รายวิชาอนื่ ๆ และจากผลสัมฤทธทิ์ างการเรียนในแตล่ ะ ปีการศกึ ษายังอยู่ในระดบั ท่ีควรไดร้ บั การปรับปรุง แก้ไข สาหรับชันประถมศึกษาปีที่ 3 ก็มปี ญั หา ดังกล่าวเช่นเดยี วกนั ดังนันผ้วู จิ ยั ในฐานะครผู ู้สอนจึงเห็นความสาคัญ และตระหนักถงึ ปญั หาท่ีเกดิ ขนึ ในขา้ งต้นของโรงเรียนเทศบาล ๒ วัดตานนี รสโมสร ผู้วิจัยจงึ สนใจทาวิจัยเรอ่ื งผลของการใช้บทเรยี น Augmented Reality Code เรอ่ื งคาศพั ท์ภาษาจีนพืนฐาน สาหรับนกั เรียนชันประถมศึกษาปีท่ี 3 โรงเรียนเทศบาล ๒ วดั ตานนี รสโมสรเพอื่ เร้าความสนใจในการเรียนการสอนภาษาจนี และ เพื่อพัฒนาการเรียนภาษาจนี ใหด้ ขี ึนตอ่ ไป วัตถุประสงค์ของกำรวิจัย 1. เพอ่ื พัฒนาบทเรยี น Augmented Reality Code เรอ่ื งคาศัพท์ภาษาจีนพืนฐาน สาหรับนกั เรียนชนั ประถมศกึ ษาปีที่ 3 ให้มปี ระสิทธิภาพตามเกณฑ์ 80/80 2. เพ่ือเปรียบเทยี บผลสมั ฤทธิท์ างการเรยี นของนักเรียนก่อนและหลงั การจัดการเรยี นรู้ โดยใชบ้ ทเรียน Augmented Reality Code เร่อื งคาศัพท์ภาษาจีนพนื ฐาน สาหรับนกั เรียน ชันประถมศึกษาปีท่ี 3 3. เพอื่ ศึกษาความพึงพอใจของผูเ้ รียนที่มตี ่อบทเรียน Augmented Reality Code เรื่องคาศพั ท์ภาษาจนี พนื ฐาน สาหรับนกั เรียนชันประถมศึกษาปีที่ 3

6 4. เพ่ือศึกษาความคงทนในการเรียนรูค้ าศัพท์ภาษาจนี พืนฐานของผเู้ รียนท่ีเรยี นโดยใช้ บทเรยี น Augmented Reality Code เร่อื งคาศัพท์ภาษาจีนพนื ฐาน สาหรับนักเรยี น ชันประถมศึกษาปีท่ี 3 5. เพื่อรวบรวมความคดิ เหน็ ของผู้เรียนที่มตี ่อบทเรียน AR Code เรื่องคาศัพทภ์ าษาจนี พนื ฐาน สมมติฐำนของกำรวจิ ัย 1. การจัดการเรยี นรู้โดยใช้บทเรียน Augmented Reality Code เร่ืองคาศัพท์ภาษาจนี พืนฐาน ที่พฒั นาขึนมีประสิทธภิ าพตามเกณฑ์ 80/80 2. ผลสมั ฤทธิท์ างการเรยี นรขู้ องนักเรียนหลังการจัดการเรยี นรูส้ งู กวา่ ก่อนการจัดการเรียนรู้ โดยใช้บทเรยี น Augmented Reality Code เรอื่ งคาศัพท์ภาษาจีนพืนฐาน สาหรบั นักเรียน ชนั ประถมศึกษาปที ่ี 3 3. ผูเ้ รียนทเ่ี รียนโดยใช้บทเรียน Augmented Reality Code เรอ่ื งคาศพั ทภ์ าษาจีน พนื ฐาน มคี วามพึงพอใจในการเรยี นรู้คาศัพท์ภาษาจีนพืนฐาน อย่ใู นระดับมาก 4. ผูเ้ รยี นท่ีเรยี นโดยใช้บทเรยี น Augmented Reality Code เรื่องคาศพั ท์ภาษาจีน พนื ฐาน จะมีความคงทนในการเรยี นรคู้ าศพั ท์ภาษาจนี พืนฐานสูงการกลุ่มทเ่ี รยี นแบบปกติ 5. ความคิดเห็นของผู้เรยี นมีความชอบในบทเรยี น Augmented Reality Code เร่อื ง คาศัพทภ์ าษาจนี พืนฐาน สนุกสนาน และอยากเรยี นภาษาจีน ควำมสำคญั และประโยชนข์ องกำรวิจัย ในการวิจยั ครังนี ผวู้ ิจัยคาดว่าจะได้รบั ประโยชน์ดังนี คือ 1. บทเรียน Augmented Reality Code เรอื่ งคาศัพทภ์ าษาจนี พนื ฐาน ทมี่ คี ุณภาพและมี ประสิทธิภาพตามเกณฑ์ 80/80 สามารถใชเ้ ป็นสื่อการเรยี นการสอนได้ 2. ผลของการใช้บทเรยี น Augmented Reality Code เรอ่ื งคาศพั ทภ์ าษาจีนพนื ฐาน สาหรบั นกั เรียนชันประถมศกึ ษาปที ่ี 3 โรงเรียนเทศบาล ๒ วัดตานนี รสโมสร ทีเ่ รยี นโดยใช้บทเรียน Augmented Reality Code เรอ่ื งคาศพั ท์ภาษาจีนพืนฐาน ระหว่างกอ่ นเรียนและหลงั เรียน 3. ผลความพงึ พอใจของผ้เู รยี นที่เรียนโดยใช้บทเรียน Augmented Reality Code เร่อื ง คาศัพทภ์ าษาจนี พืนฐาน สาหรับนักเรียนชนั ประถมศึกษาปีท่ี 3 โรงเรยี นเทศบาล ๒ วัดตานีนรสโมสร

7 4. ผลความคงทนในการเรียนรู้คาศัพทภ์ าษาจนี ของผู้เรียนท่เี รยี นโดยใช้บทเรยี น Augmented Reality Code เร่ืองคาศพั ทภ์ าษาจีนพนื ฐาน สาหรับนักเรียนชันประถมศึกษาปีที่ 3 โรงเรยี นเทศบาล ๒ วดั ตานีนรสโมสร หลงั เรยี นสินสุดไปแล้ว 2 สปั ดาห์ 5. ความคดิ เหน็ ความน่าสนใจ บทเรยี นทีส่ ง่ เสริมให้ผู้เรียน สามารถเกิดการเรียนรู้ได้อย่าง รวดเร็วขนึ โดยการใช้เทคโนโลยีเขา้ มาช่วยแก้ปัญหาเรื่องการเบื่อหน่ายในการเรียนรู้ ภาษาจีนยาก ไมส่ นุก งว่ งนอน ไม่อยากเรียนและผู้เรียนยังสามารถนาสิง่ ท่ีเรยี น ไปประยุกตใ์ ชใ้ นชีวติ ประจาวันได้ ขอบเขตของกำรวจิ ยั การวิจัยในครงั นเี ป็นแบบผสมผสาน โดยผูว้ จิ ัยดาเนินการวิจยั เชิงปริมาณ และวิจยั เชิง คณุ ภาพแบบคู่ขนานกนั ดังมีรายละเอียดต่อไปนี 1. ขอบเขตดำ้ นเนื้อหำ เนือหาท่ใี ชใ้ นการวจิ ัย คอื เร่อื งคาศพั ท์ภาษาจีน ตามหลักสตู รภาษาจีน โรงเรยี นเทศบาล ๒ วดั ตานีนรสโมสร ที่ใช้สอนในระดบั ชนั ประถมศกึ ษาปที ่ี 3 แบง่ ออกเป็น 4 หมวดๆ ละ 10 คา รวมทงั สนิ 40 คา ดังนี หมวดท่ี 1 “你喜欢什么颜色?” (เธอชอบสีอะไร) หมวดที่ 2 “这是什么动物?” (น่ีคือสตั ว์อะไร) หมวดท่ี 3 “那是什么?” (นั่นคืออะไร) หมวดท่ี 4 “你喜欢吃什么?” (เธอชอบกนิ อะไร) 2. ประชำกร กลุ่มตัวอยำ่ งและผู้ให้ข้อมูลสำคัญ การวิจยั ครังนเี ป็นการวจิ ยั ผสมผสาน (Mixed Method Research) ซึง่ ผู้วจิ ัยไดก้ าหนด ประชากร กลมุ่ ตวั อยา่ ง และผู้ใหข้ อ้ มลู สาคัญ ดังนี 2.1 การวจิ ยั เชิงปริมาณ ในการวิจัยครังนี ประกอบดว้ ยประชากรและกลุ่มตวั อย่าง ดงั นคี ือ 2.1.1 ประชากรท่ีใช้ในการวิจยั คอื ผู้เรยี นชันประถมศึกษาปีท่ี 3 ภาคเรียนท่ี 1 ปีการศึกษา 2558 โรงเรยี นเทศบาล ๒ วัดตานนี รสโมสร สังกัดเทศบาลเมืองปัตตานี จานวน 66 คน 2.1.2 กลุม่ ตวั อย่าง กลุม่ ตัวอย่างที่ใชใ้ นการวิจยั คอื ผู้เรยี นชันประถมศกึ ษาปีท่ี 3/1 ภาคเรยี นท่ี 1 ปกี ารศกึ ษา 2558 โรงเรียนเทศบาล ๒ วัดตานีนรสโมสร สังกดั เทศบาลเมือง

8 ปตั ตานี จานวน 30 คน ทีไ่ ด้มาโดยการเลือกแบบสุ่มตวั อย่างแบบงา่ ย(Simple Random Sampling) ด้วยวธิ ีการจบั สลาก (วชิ ยั นภาพงศ์, 2552) 2.2 การวิจยั เชงิ คณุ ภาพ ประกอบดว้ ยผู้ใหข้ ้อมลู สาคัญ ไดแ้ ก่ นกั เรยี น ชันประถมศึกษาปที ี่ 3 โรงเรียนเทศบาล ๒ วดั ตานีนรสโมสร ท่ีเป็นกลุม่ ทดลอง จานวน 24 คน 3. ตัวแปรที่ใช้ในกำรศกึ ษำ การวจิ ยั ครงั นีเป็นการวจิ ัยแบบผสมผสาน (Mixed Method Research) ประกอบดว้ ยการวิจัยเชงิ ปรมิ าณและการวจิ ัยเชงิ คณุ ภาพ ซ่งึ ผู้วิจัยไดก้ าหนดตัวแปรอสิ ระและ ตัวแปรตามทีใ่ ชใ้ นการวิจัย ดังนี 3.1 ตวั แปรที่ใช้ในการวจิ ัยเชิงปริมาณ ประกอบด้วย 3.1.1 ตวั แปรอสิ ระ ประกอบด้วย คือ บทเรยี น Augmented Reality Code เรือ่ งคาศพั ท์ภาษาจีนพนื ฐาน 3.1.2 ตัวแปรตาม ประกอบด้วย 3.1.2.1 ผลสัมฤทธท์ิ างการเรียนรายวิชาภาษาจีนหลงั เรยี น โดยใช้บทเรียน Augmented Reality Code เร่อื งคาศัพท์ภาษาจนี พืนฐาน 3.1.2.2 ความพงึ พอใจในการเรียนโดยใช้บทเรียน Augmented Reality Code เรื่องคาศัพทภ์ าษาจนี พนื ฐาน 3.1.2.3 ความคงทนในการเรยี นรู้คาศัพท์ภาษาจนี ของผเู้ รยี นหลงั เรยี น ด้วยบทเรยี น Augmented Reality Code เรื่องคาศัพท์ภาษาจนี พนื ฐาน 3.2 ตัวแปรทีใ่ ช้ในการวจิ ัยเชิงคณุ ภาพ ประกอบด้วย 3.2.1 ความคิดเห็นของผเู้ รยี นหลงั เรยี นด้วยบทเรยี น Augmented Reality Code เร่ืองคาศัพท์ภาษาจนี พืนฐาน ในด้านสอ่ื 3.2.1.1 ภาพ ความคมชดั สือ่ Augmented Reality Code 3.2.1.2 การออกเสยี งท่ีชดั ของสื่อ Augmented Reality Code 3.2.1.3 ความสวยงามของสือ่ Augmented Reality Code 3.2.2 ความคดิ เห็นของผู้เรียนหลังเรยี นด้วยบทเรยี น Augmented Reality Code เรอ่ื งคาศัพทภ์ าษาจนี พนื ฐาน ในดา้ นบทเรียน 3.2.2.1 บทเรียน Augmented Reality Code สรา้ งความน่าสนใจ ในการเรยี นรู้ 3.2.1.2 บทเรยี น Augmented Reality Code เกิดการเรียนรู้ในเนอื หา ได้เรว็ ขึน

9 3.2.1.3 บทเรยี น Augmented Reality Code มปี ระโยชน์สามารถ นาไปใชใ้ นชวี ิตประจาวนั ได้ กรอบแนวคดิ กำรวจิ ยั จากการท่ีผวู้ จิ ยั ไดศ้ ึกษาผลของการใช้บทเรยี น Augmented Reality Code เรื่องคาศัพท์ ภาษาจนี พืนฐาน สาหรับนกั เรียนชนั ประถมศึกษาปีท่ี 3 โรงเรยี นเทศบาล ๒ วัดตานีนรสโมสร ผ้วู ิจัย จงึ ได้กาหนดกรอบแนวคิดในการวิจยั ดังตอ่ ไปนี หลักสตู รภาษาจีนโรงเรยี นเทศบาล ๒ ทฤษฎีการเรยี นรู้ของ Burner บทเรียน Augmented Reality Code เร่อื งคาศพั ทภ์ าษาจีนพนื ฐาน วิจัยเชงิ ปริมาณ วจิ ัยเชงิ คณุ ภาพ - การทดลองแบบหน่ึงต่อหนง่ึ ความคิดเหน็ ในด้านการสรา้ งส่ือ - การทดลองแบบหนึง่ ต่อสาม ความคิดเห็นในด้านบทเรยี น - การทดลองแบบภาคสนาม - ผลสมั ฤทธท์ิ างการเรยี น - ความความพงึ พอใจของผู้เรียน - ความคงทนในการเรียนรู้ อภิปรายผลโดยใช้เชิงปรมิ าณเป็นหลักและเชิงคุณภาพรอง ภาพประกอบ 1 กรอบแนวคิดเกยี่ วกับผลของการใช้บทเรียน Augmented Reality Code เร่อื ง คาศัพทภ์ าษาจีนพนื ฐาน สาหรบั นักเรียนชันประถมศึกษาปีที่ 3 โรงเรียนเทศบาล ๒ วดั ตานนี รสโมสร จากกรอบแนวคิด สามารถอธิบายไดว้ า่ บทเรียน Augmented Reality Code เร่ือง คาศัพท์ภาษาจนี พืนฐาน ผ้เู รยี นจะสามารถเห็นภาพเสมือนจรงิ ผ่านจอแท็บเล็ต ทาให้เกิดการเรียนรู้

10 ซง่ึ Burner เช่อื ว่าผเู้ รยี นสามารถถ่ายทอดประสบการณก์ ารเรยี นด้วยการสร้างภาพแทนใจ สรา้ ง สัญลักษณต์ า่ งๆ ในกระบวนการเรยี นรู้ และการพัฒนาบทเรยี น Augmented Reality Code เรื่อง คาศัพทภ์ าษาจนี พนื ฐาน ได้อาศัยแนวคิดจากทฤษฎกี ารเรียนรูข้ อง Burner เพือ่ ใหเ้ กดิ การเรยี นรู้ ระหวา่ งการพัฒนาบทเรยี น Augmented Reality Code เร่อื งคาศัพท์ภาษาจนี พนื ฐาน ผู้วจิ ยั ไดม้ ี การสมั ภาษณ์เพื่อถามความคิดเหน็ ของกลมุ่ ทดลองเพื่อนาผลท่ไี ดม้ าปรบั ปรงุ พฒั นาบทเรียน Augmented Reality Code ให้มปี ระสทิ ธภิ าพเพิ่มมากขึน ทาใหผ้ ู้เรยี นเกดิ ความสนใจ รู้สึก สนุกสนาน ไมร่ ูส้ ึกนา่ เบื่อหนา่ ย ทาใหเ้ กิดความพึงพอใจ สรา้ งแรงจงู ใจให้แก่ผ้เู รียน สร้างความสนใจ ทาให้เกิดการเรียนรู้และพัฒนาการทางความคิด เพ่ือนาไปสู่ผลสัมฤทธท์ิ างการเรยี นรู้ที่ดขี ึน เกิดความ พึงพอใจในการเรียนของผูเ้ รียนทีเ่ รียนดว้ ยบทเรียน Augmented Reality Code เรื่องคาศัพท์ ภาษาจีนพืนฐาน จนนาไปสู่ความคงทนในการเรียนคาศพั ท์ภาษาจนี พนื ฐานในที่สุด นยิ ำมศพั ท์เฉพำะ 1. บทเรยี น Augmented Reality Code หรอื บทเรียน AR-Code หมายถึง เป็น เทคโนโลยที ผ่ี สมผสานระหว่างโลกความจริงเข้าไว้ด้วยกนั เป็นการนาภาพ ภาพเคล่อื นไหว หรอื ภาพ สามมิตมิ าซ้อนทบั กับภาพท่ตี ้องการทารหสั AR Code ซงึ่ มกี ารทางานโดยผ่านกล้อง Smartphone และ Tablet ส่องไปยงั ภาพที่มีรหสั AR code ไวแ้ ลว้ จอภาพก็จะประมวลผลเพอ่ื แสดงภาพตา่ งๆ ตามทีผ่ ้พู ัฒนาได้สร้างไว้ 2. ศัพทภ์ าษาจนี หมายถึง กลุ่มคาพืนฐานในภาษาจีนที่ใช้สาหรบั นกั เรียน ชันประถมศึกษาปที ี่ 3 จานวน 4 หมวดหมู่ ซึ่งประกอบดว้ ย หมวดท่ี 1 คาพืนฐานเร่ืองสี จานวน 10 คา หมวดที่ 2 คาพนื ฐานเรื่องสัตว์ จานวน 10 คา หมวดท่ี 3 คาพนื ฐานเรื่องคานาม จานวน 10 คา หมวดที่ 4 คาพนื ฐานเรื่องผลไม้ จานวน 10 คา 3. ประสทิ ธิภาพตามเกณฑ์ 80/80 หมายถงึ ผลการหาคณุ ภาพของนวตั กรรมบทเรียน Augmented Reality Code เมอ่ื ผเู้ รยี นได้ดาเนินกิจกรรมตามขันตอนตา่ งๆ ของนวัตกรรมนนั ครบถว้ นทกุ ขนั ตอนแล้ว คะแนนเฉลย่ี ร้อยละที่ไดจ้ ากการดาเนนิ การ อยใู่ นเกณฑ์ 80/80 (E1/E2) 80 ตวั แรก (E1) หมายถึง ร้อยละ 80 ของคะแนนเฉลีย่ ของนักเรียนทุกคนที่ได้จากการทา แบบทดสอบระหว่างเรยี น และการทาแบบทดสอบหลังเรยี นจากการเรยี น โดยใช้บทเรียน AR Code คาศัพทภ์ าษาจนี พืนฐาน จานวน 4 หมวดๆ ละ 5 ชดุ ๆ ละ 10 ขอ้

11 80 ตวั หลัง (E2) หมายถึง รอ้ ยละ 80 ของคะแนนเฉลีย่ ของนักเรยี นทุกคนที่ไดจ้ ากการ ทาแบบทดสอบวัดผลสมั ฤทธิ์ทางการเรยี น โดยใชบ้ ทเรยี น AR Code คาศัพท์ภาษาจีนพืนฐาน จานวน 30 ขอ้ 4. ผลสัมฤทธ์ิทางการเรยี น คือ การวัดระดบั ของความสาเร็จ ดา้ นคุณลกั ษณะและ ความสามารถของบุคคลซ่ึงเกิดจากการเรยี นการสอน การฝึกฝน โดยสามารถวดั ระดบั ได้เปน็ แบบทดสอบท่มี ุ่งวดั ความสาเรจ็ จากแบบทดสอบวัดผลสมั ฤทธท์ิ างการเรยี น ซ่งึ มจี านวน 30 ขอ้ 5. ความพึงพอใจของผู้เรยี น หมายถึง ระดับความรู้สึกเชิงบวกของผ้เู รียนทม่ี ตี ่อบทเรยี น AR Code คาศัพท์ภาษาจนี พืนฐาน โดยมกี ารวดั ความพงึ พอใจโดยการตอบแบบสอบถามความ พงึ พอใจแบบ (Scale) โดยใชว้ ัดคณุ ลักษณะบางอย่าง ทม่ี ีความลกึ ซงึ กวา่ แบบสอบถาม ผลการตอบ แตล่ ะข้อจะมคี ะแนนที่แน่นอน และคะแนนจะแตกตา่ งกันตามระดับทีก่ าหนดไว้ 6. ความคงทนในการเรียนรู้คาศพั ท์พืนฐานภาษาจีน หมายถึง ความสามารถในการจาได้ใน สิง่ ที่เรียนร้มู าแล้ว หลงั จากผ่านมาในช่วงระยะเวลาหนงึ่ และสามารถนาประสบการณ์เดิมมา ประยุกต์ใช้กบั ประสบการณ์ใหม่ทเี่ กดิ ขึนในชวี ติ ประจาวนั โดยผวู้ จิ ัยจะวัดจากคะแนนการทา แบบทดสอบวดั ความคงทน (ขอ้ สอบเป็นข้อสอบชุดเดยี วกันกับข้อสอบวัดผลสมั ฤทธ์ิแต่มกี ารสลับข้อ กัน) ท่ีผ้วู ิจัยจัดทาขึนหลงั จากเรียนสินสดุ ลงไปแล้ว 2 สปั ดาห์ 7. ความคดิ เหน็ หมายถึง การแสดงอารมณ์ ความร้สู กึ ความคิด ที่เปน็ ข้อเท็จจรงิ ทีเ่ กิดขึน ความน่าสนใจของตวั บทเรยี น AR Code เรอ่ื งคาศัพทภ์ าษาจีนพืนฐาน เมือ่ ผู้เรยี นได้เรยี นเกดิ การ เรยี นรู้ในเนือหาไดเ้ รว็ ขึนและมีประโยชนส์ ามารถนาไปใช้ในชีวติ ประจาวันได้ แบ่งเปน็ 7.1 แบบสัมภาษณด์ ้านการสรา้ งสือ่ บทเรียน Augmented Reality Code 7.1.1 ภาพ ความคมชัดของบทเรยี น Augmented Reality Code 7.1.2 การออกเสียงท่ีชดั ของตัวบทเรียน Augmented Reality Code 7.1.3 ความสวยงาม น่าอ่านของบทเรยี น Augmented Reality Code 7.2 แบบสมั ภาษณด์ า้ นบทเรียน Augmented Reality Code 7.2.1 บทเรยี น Augmented Reality Code สร้างความน่าสนใจในการเรยี นรู้ 7.2.2 บทเรยี น Augmented Reality Code เกดิ การเรยี นรู้ในเนือหาไดเ้ รว็ ขึน 7.2.3 บทเรยี น Augmented Reality Code มปี ระโยชน์สามารถนาไปใชใ้ น ชวี ติ ประจาวันได้ 8. ผ้เู รียน หมายถึง นักเรยี นชนั ประถมศึกษาปที ี่ 3 ภาคเรยี นที่ 1 ปีการศึกษา 2558 โรงเรียนเทศบาล ๒ วดั ตานนี รสโมสร สงั กดั เทศบาลเมืองปัตตานี 9. ผลการใช้ หมายถงึ ผลสัมฤทธข์ิ องการทาวิจัย ซ่ึงประกอบด้วยผลสัมฤทธ์ทิ างการเรียน

12 ความคงทนในการเรยี น และผลจากการสัมภาษณ์และสงั เกตการเรยี นโดยใช้บทเรยี น Augmented Reality Code เรื่องคาศพั ท์ภาษาจีนพืนฐาน

12 บทที่ 2 เอกสารและงานวจิ ัยท่ีเกี่ยวขอ้ ง ในการวิจยั เร่อื ง ผลของการใช้บทเรียน Augmented Reality Code เรอ่ื งคาศัพทภ์ าษาจีน พื้นฐาน สาหรบั นกั เรียนช้นั ประถมศกึ ษาปีท่ี 3 โรงเรียนเทศบาล ๒ วดั ตานนี รสโมสรได้มีการศึกษา ตาราและเอกสารทเี่ กีย่ วข้อง เพือ่ นามาประกอบการวจิ ัยดังรายละเอยี ดทีจ่ ะนาเสนอตามลาดบั และ งานวจิ ัยท่เี กี่ยวข้องดังรายระเอยี ดตอ่ ไปน้ี 1. เทคโนโลยีความจรงิ เสมือน Augmented Reality : AR CODE 2. Application 3. ทฤษฎีการเรยี นรโู้ ดยการค้นพบของ Bruner 4. หลกั สูตรภาษาจนี โรงเรยี นเทศบาล ๒ วดั ตานีนรสโมสร ช้นั ประถมศึกษาปีที่ 3 5. การเรียนรู้และการพัฒนาทางภาษา 6. การเรียนการสอนภาษาจีน 7. อักษรจีน 8. การเรียนการสอนภาษาจีนในประเทศไทย 9. ผลสมั ฤทธท์ิ างการเรียน 10. ความพงึ พอใจ 11. ความจาและความคงทน 12. ความคงทนในการเรียนรู้ 13. การวจิ ยั เชงิ ผสมผสาน (Mixed Method Research) 14. หลกั การออกแบบประยุกต์ Alessi and Trollip 15. งานวจิ ยั ที่เกี่ยวข้อง เทคโนโลยี AR Code AR Code มกี ารพฒั นามาจาก QR Code แต่แตกต่างกันคือ QR Code เป็นบาร์โคด้ ท่ีล้ิงค์ ไปทเี่ ว็บไซต์ทบ่ี รรจอุ ยู่ในบาร์โคด้ ส่วน AR Code เป็นบาร์โคด้ ทโี่ ค้ดแล้วจะมภี าพเสมือนจรงิ ออกมา จากบาร์โค้ดนน้ั โดยการดูผา่ นกล้องเว็ปแคม กล้องสมาร์ทโฟน หรือกล้องแท็บเล็ต ดังที่ ไพฑูรย์ ศรีฟ้า กลา่ วไวว้ ่า AR Code เป็นเทคโนโลยีใหม่ ท่ีผสานเอาโลกแหง่ ความเป็นจรงิ เขา้

13 กบั โลกเสมอื น ซงึ่ จะทาให้ภาพที่เห็นในจอภาพเสมือนจริง ทาใหน้ าไปสู่ความตืน่ เตน้ เร้าใจ AR Code เปน็ การเปลี่ยนแปลงส่ือยุคใหม่ ไม่เพียงแต่ทางด้านการศึกษาในทางธุรกจิ การค้าก็เชน่ เดียวกัน เม่ือ ตีพิมพร์ หสั บนวัตถุตา่ งๆ ไม่ว่าจะเปน็ บนเสอื้ ผา้ แกว้ น้า กระดาษ หนังสือหรอื นามบตั รต่างๆ แล้วสอ่ ง ด้วยกลอ้ งเวบ็ แคม สมาร์ทโฟน หรือแทบ็ เล็ต กจ็ ะเห็นภาพสนิ คา้ ตา่ งๆ หรือเหน็ สญั ลักษณข์ องร้านค้า ต่างๆ รวมไปถึงรปู คนเสมือนจริงกาลงั พูดผา่ นหนา้ จอ ทาให้ต่นื ตาตืน่ ใจ AR Code จงึ กลายเปน็ ส่ิงท่ี ถกู กลา่ วถึงกนั มากข้ึนและหากนา AR Code มาผลิตเป็นบทเรยี น AR Code เรอ่ื งคาศัพทภ์ าษาจนี พน้ื ฐานจะทาให้เกิดแรงจูงใจในการเรียน เรา้ ความสนใจของผเู้ รยี นเพิ่มมากขน้ึ เน่ืองจากเปน็ บทเรยี น ใหม่ที่ไมเ่ คยเรยี น จึงทาใหเ้ กิดความประทบั ใจนาไปส่คู วามจาและความคงทนในการเรยี นรู้ ความหมายของเทคโนโลยี AR Code AR Code คอื การผสมผสานระหวา่ งเทคโนโลยีและโลกความจรงิ เข้าไว้ดว้ ยกนั ซึ่งจาก การศกึ ษาเอกสารตา่ งๆ พบว่ามนี กั วชิ าการหลายท่านไดใ้ ห้ความหมายของคาศัพท์ AR Code ไว้ หลากหลายคา เชน่ เทคโนโลยคี วามจริงเสมอื น เทคโนโลยคี วามจรงิ เสรมิ เทคโนโลยีโลกเสมือนผสาน โลกจริง และ AR Code สาหรบั ในงานวิจยั น้ี ผวู้ จิ ัยใชค้ าวา่ AR CODE เพ่ือให้เกิดความเข้าใจตรงกนั ในการศึกษาต่อไป ซง่ึ คมกฤช ทิพย์เกษร และ สยาม เจริญเสยี ง (2550) ไดก้ ลา่ วถงึ เทคโนโลยคี วาม จริงเสมือน เปน็ ระบบทช่ี ว่ ยเพ่ิมเติมข้อมลู ตา่ งๆ ให้กับผใู้ ช้งานไม่วา่ จะเป็นในรปู แบบตัวหนงั สอื และ ภาพกราฟกิ ให้เหมาะสมในการนาไปใช้ในการเรยี นรู้ อกี ท้ัง วัฒนา พรหมอนุ่ (2551) กล่าวว่า เทคโนโลยคี วามจรงิ เสมือน เปน็ ววิ ัฒนาการของเทคโนโลยีที่เรมิ่ จากการวิจยั และพฒั นาเทคโนโลยี สาหรบั การทหารและการจาลองการบินของประเทศสหรฐั อเมรกิ า ได้มีการพัฒนาอย่างต่อเนอื่ ง และ ไดน้ ามาประยกุ ต์ใช้กับงานด้านตา่ งๆ อาทิ ด้านวิศวกรรม ด้านการแพทย์ ด้านบนั เทิง ท้ังน้ี พนดิ า ตันศิริ (2553) กลา่ วว่า AR Code เป็นเทคโนโลยคี วามจริงเสมอื นที่มีการนาระบบความจริงเสมือน มาผนวกกบั เทคโนโลยีภาพเพื่อสรา้ งสิ่งทเ่ี สมือนจรงิ ให้กบั ผใู้ ชแ้ ละเปน็ นวัตกรรมหรือเทคโนโลยี วา่ ดว้ ยการเพิม่ ภาพเสมือนของโมเดลสามมิติท่สี รา้ งจากคอมพิวเตอร์ลงไปในภาพทถ่ี ่ายมาจากกลอ้ ง วิดโี อ เวบ็ แคม หรอื กลอ้ งในโทรศัพท์มอื ถอื แบบเฟรมต่อเฟรม ดว้ ยเทคนิคทางด้านคอมพวิ เตอร์ กราฟิก ซง่ึ ให้ความคดิ เหน็ สอดคลอ้ งกับชตุ ิสันต์ เกิดวบิ ูลยเ์ วช (2554) ทก่ี ล่าววา่ AR Code กค็ ือ เทคโนโลยกี ารผสมผสานโลกเสมือนเขา้ ไปในโลกจริง เพ่ือทาให้เห็นภาพสามมิตใิ นหนา้ จอโดยทีม่ ี องคป์ ระกอบของสิ่งแวดล้อมจรงิ ๆ ปริวฒั น์ พิศิษฐพงศ์ และ มนัสวี แก่นอาพรพันธ์ (2555) ยังได้ กลา่ วไวว้ ่า เป็นเทคโนโลยีทีส่ รา้ งวัตถุจาลองขึ้นมา จากการนาเขา้ ของข้อมลู แล้วทาการประมวลผล ทางคณิตศาสตร์เพ่อื แสดงวัตถุสามมติ ิหรือแสดงสภาพแวดลอ้ มท่ีจาลองไว้ ทาให้ผู้ใช้สามารถมองเห็น สภาพแวดลอ้ ม ความเป็นจริงทถี่ กู แทรกดว้ ยวัตถุสามมติ ิ เช่นเดยี วกบั วศกร เพ็ชรชว่ ย (2557)

14 ทกี่ ล่าวได้อย่างน่าสนใจวา่ เทคโนโลยีความจรงิ เสมอื น เปน็ เทคโนโลยที ีผ่ สมผสานเอาโลกความจริง และโลกเสมือนทีส่ รา้ งขึน้ จากคอมพิวเตอร์ มาผสานเขา้ ดว้ ยกันผ่านซอฟต์แวรแ์ ละอุปกรณ์เชอ่ื มต่อ ตา่ ง ๆ เชน่ กลอ้ งวดิ ีโอ เว็บแคม หรือกลอ้ งในโทรศัพท์มือถือ เปน็ ระบบซึ่งชว่ ยเพม่ิ เติมข้อมลู ต่างๆ ใหก้ ับผใู้ ช้งานทง้ั ในรูปแบบของตัวหนังสือภาพกราฟิก และภาพเคลอื่ นไหว ซ่งึ สามารถนาเสนอ สภาพแวดล้อมจาลองได้ทนั ที มุมมองของ Aurasma Inc. (2012) โดยผ้ใู ชง้ านสามารถเข้าถงึ เนอ้ื หา ตา่ งๆได้ ผ่านสมารท์ โฟน หรือ คอมพวิ เตอร์แท็บเลต็ กลา่ วโดยสรุป กลา่ ววา่ AR CODE เปน็ เทคโนโลยที ่ีผสมผสานระหว่างโลกความจรงิ เขา้ ไว้ ด้วยกันเปน็ การนาภาพ ภาพเคลือ่ นไหว หรอื ภาพสามมติ ิมาซอ้ นทับกับภาพทต่ี อ้ งการทารหสั AR Code ซ่ึงมีการทางานโดยผา่ นกล้องแทบ็ เล็ต สมารท์ โฟนหรอื เว็บแคม ส่องไปยังภาพท่มี ีรหสั AR code ไว้แล้ว จอภาพกจ็ ะประมวลผลเพ่อื แสดงภาพต่างๆ ตามท่ผี ู้พฒั นาไดส้ ร้างไว้ ประเภทของ AR CODE นกั วชิ าการมกี ารแบ่งประเภทของ AR Code ทแ่ี ตกต่างกนั คอื พนิดา ตันศิริ (2553) ไดแ้ บง่ ประเภทของ AR Code ตามการวเิ คราะห์ภาพ (Image Analysis) ซึง่ สามารถแบ่งไดเ้ ป็น 2 ประเภท ดังนี้ คอื การวเิ คราะหภ์ าพโดยอาศัยมาร์คเกอร์เป็นหลักในการทางาน (Marker Based Augmented Reality) และ การวเิ คราะห์ภาพโดยใชล้ กั ษณะต่างๆ ทอี่ ยู่ในภาพมาวเิ คราะห์ (Marker-less Based Augmented Reality) ส่วน สุพรรณพงศ์ วงษศ์ รีเพ็ง (2554) ได้แบง่ ประเภท ของเทคโนโลยี AR Code ตามรปู แบบการแสดงผลภาพโดยแบง่ ออกเป็น 3 ประเภทดงั น้ี คือ 1. แบบแสดงผลโดยการมองผ่านกล้องวิดีโอ คอื ภาพของสภาพแวดล้อมจรงิ ในมมุ มองของ ผใู้ ช้ จะถกู บันทึกภาพดว้ ยกล้องวิดีโอจากนน้ั จะถูกนามารวมกบั ภาพกราฟิกที่แสดงผลดว้ ย คอมพิวเตอร์ แล้วนาผลทไ่ี ดส้ ง่ ไปยงั จอแสดงผลที่อยูต่ รงสายตาของผู้ใช้ในอุปกรณ์ Head-Mounted Display (HMD) เพอ่ื แสดงผลให้ผูใ้ ชม้ องเห็น 2. แบบแสดงผลโดยจอภาพ มีลักษณะการทางานคือ การใชก้ ลอ้ งวดิ ีโอทาหนา้ ท่รี บั ภาพจรงิ เขา้ มา โดยตาแหน่งของกลอ้ งจะถกู สง่ ไปยงั คอมพวิ เตอร์ เพื่อใชเ้ ป็นข้อมูลในการสรา้ งภาพกราฟิก กราฟิกทไ่ี ด้จะถกู นาไปรวมกับภาพจริงทไ่ี ดจ้ ากกล้องวิดโี อ และผลทไ่ี ด้จะถูกนาไปแสดงผลยงั หนา้ จอ 3. แบบแสดงผลโดยการมองผ่านเลนส์ โดยจะมีอปุ กรณ์ทห่ี น้าทาทีร่ วมแสงอย่ดู า้ นหน้าของ ตาผู้ใช้ โดยทาหน้าทลี่ ดแสงที่ผ้ใู ชม้ องเหน็ จากสภาพแวดลอ้ มจรงิ และสะทอ้ นแสงทีไ่ ด้มาจากจอภาพ กราฟิก เขา้ ไปยงั ตาของผู้ใช้ ผลรวมของแสงทั้งสองจะทาใหเ้ กดิ ภาพเสมือน จากคากลา่ วขา้ งตน้ ผวู้ จิ ัยสามารถสรปุ ไดว้ ่า AR Code สามารถแบง่ ประเภทโดยการ วเิ คราะหภ์ าพ ซ่ึงมี 2 ประเภทใหญ่ๆ คือ การวเิ คราะหภ์ าพโดยใช้มารค์ เกอร์เป็นหลักในการทางาน

15 และการวเิ คราะหภ์ าพโดยใช้ลกั ษณะต่างๆของภาพ และยังสามารถแบ่งเป็นรปู แบบในการ ประมวลผลได้ 3 รปู แบบ คือ 1)แบบแสดงผลโดยการมองผ่านกลอ้ งวีดโี อ 2) แบบแสดงผลผ่าน จอภาพ และ 3) แบบแสดงผลโดยผา่ นการมองผ่านเลนส์ องค์ประกอบหลกั ของ AR Code สิ่งทใี่ ชป้ ระกอบเปน็ สิ่งใหญ่ของ AR Code ที่ไดแ้ บ่งเป็นส่วนประกอบสาคัญในการใช้สื่อ AR Code จนทาให้เกิดภาพท่ีเสมือนจรงิ พนดิ า ตันศริ ิ (2553) ได้กลา่ ววา่ องคป์ ระกอบหลักของ เทคโนโลยี AR Code ทอี่ าศัยตัวมารค์ เกอรใ์ นการทางาน ประกอบดว้ ย มาร์คเกอร์ (Marker) หรือ เออารโ์ คด้ (AR-Code) ส่วนตอ่ มาคือ ตัวจบั สัญญาณภาพ เชน่ กลอ้ งวิดโี อ กลอ้ งเวบ็ แคม กล้อง สมารท์ โฟน กลอ้ งแท็บเลต็ หรือตวั จับสัญญาณ (Sensor) อน่ื ๆ อีกสว่ นคือ ส่วนแสดงผล เชน่ จอภาพ คอมพิวเตอร์ จอสมาร์ทโฟนหรือจอแท็บเลต็ แลว้ อีกองค์ประกอบสาคัญที่ขาดไม่ได้เลย คือ ซอฟตแ์ วร์ทใ่ี ชใ้ นการประมวลผลเพอื่ สร้างภาพ หลกั การทางานของ AR Code ในดา้ นหลักการทางานของ AR Code พนดิ า ตันศริ ิ (2553) ไดก้ ลา่ วว่า หลกั การทางานของ AR code ประกอบดว้ ย 3 กระบวนการ ได้แก่ การวเิ คราะหภ์ าพ (Image Analysis) เป็นขน้ั ตอนการ ค้นหา Marker จากภาพท่ีทาการสืบคน้ จากฐานขอ้ มูล (Marker Database) ทีม่ ีการเกบ็ ข้อมูลขนาด และรูปแบบของ Marker เพอื่ นามาวิเคราะหร์ ูปแบบของ Marker กระบวนการต่อมา คือ การคานวณ ค่าตาแหนง่ เชิงสามมติ ิ (Pose Estimation) ของ Marker เทยี บกบั กล้อง และกระบวนการสุดท้าย คือ กระบวนการสร้างภาพสองมติ ิจากโมเดลสามมิติ (3D Rendering) เปน็ การเพ่ิมข้อมูลเข้าไปใน ภาพ จนไดภ้ าพกราฟิกไปซอ้ นทบั รปู จริง Aurasma Application Aurasma เป็นโปรแกรมสาเร็จที่ใช้บนอุปกรณเ์ คล่ือนท่ี (Mobile hDevices) ทใ่ี ชใ้ นการ เรยี กดแู ละสรา้ งวัตถขุ องเทคโนโลยคี วามจริงเสมอื น เปน็ การผลิตสือ่ สมยั ใหมแ่ บบเสมือนจริงโดยใช้ เทคโนโลยี AR บนแทป็ เล็ตพีซีและสมารท์ โฟนด้วย Aurasma เหมาะสาหรบั การพัฒนาสือ่ ทีใ่ ช้กบั มือ ถือประเภท สมารท์ โฟน รวมถงึ อุปกรณ์คอมพวิ เตอร์พกพาต่างๆ ทใ่ี ชร้ ะบบปฏิบัติการ iOS และ Android Aurasma จะเป็นตัวกลางสาหรบั การเชอ่ื มโยงโลกของความจรงิ และโลกของความจริง

16 เสมอื นเข้าดว้ ยกัน โดยแสดงผลออกมาในรปู แบบสอ่ื ปฏสิ มั พันธท์ ่มี องเหน็ ควบคุมและสัมผสั ไดผ้ ่าน ทางหน้าจอ ท้ังท่เี ปน็ ภาพนิง่ ภาพเคลอ่ื นไหว เสียง และการเชื่อมโยงไปยังเวบ็ ไซตต์ ามที่กาหนดไว้ (ไพฑรู ย์ ศรฟี ้า, 2556) จงึ เหมาะสมสาหรบั การเรยี นรใู้ นศตวรรษท่ี 21” Aurasma Application สามารถติดตั้งไดฟ้ รโี ดยผ่านระบบปฏิบัติการ iOS สามารถดาว์โหลด Application ได้ที่ App Store สว่ น ระบบปฏิบตั กิ าร Android ดาวโ์ หลด Application ไดท้ ่ี Play Store ไพฑรู ย์ ศรฟี า้ (2556) ยงั ได้กล่าวว่า Aurasma เป็น Application สาหรับการสรา้ งส่ือในโลกแห่งความจรงิ เสมือน เหมาะสาหรบั การพัฒนาส่ือที่ใชก้ ับอุปกรณ์ คอมพวิ เตอร์พกพาต่างๆทีใ่ ชร้ ะบบปฏิบัติการ iOS และ Android โดยจะแสดงผลออกมาในรูปแบบ ส่ือปฏิสมั พันธ์ ท่ีมองเหน็ ควบคุมและสัมผสั ได้ผ่านทางหนา้ จอ ทั้งท่ีเป็นภาพน่งิ ภาพเคลอื่ นไหว เสยี ง การเชือ่ มโยงไปยังเว็บไซตต์ ามท่ีกาหนดไว้ วศกร เพ็ชรช่วย (2557) ยงั ได้กล่าวไวอ้ กี วา่ Application Aurasma จะสามารถนามาผลติ ส่ือท่ีสามารถชว่ ยกระต้นุ การเรยี นรแู้ ละความสนใจได้ Aurasma จึงเปน็ โปรแกรมสาเรจ็ รูปท่จี ะชว่ ยอานวยความสะดวก ในการพัฒนาส่ือประเภท AR Code โดยการเพิ่มความคดิ สร้างสรรคข์ องผพู้ ัฒนาสื่อและการประยกุ ต์ใช้ใหม้ ีความสอดคล้อง และเหมาะสมกับผู้เรียน คุณสมบัตขิ อง Aurasma Aurasma เป็น Application ที่นาโลกแห่งความจรงิ กับโลกของความจริงเสมือนทีส่ รา้ งข้ึน ทาใหผ้ ู้ใช้สามารถเขา้ ถึงข้อมลู ทีถ่ ูกเข้ารหัสด้วย Aurasma โดยมองดว้ ยตาเปล่าไมเ่ ห็น ให้ปรากฏเหน็ ภาพผ่านหน้าจออุปกรณ์ประเภท Smart Devices เชน่ สมาร์ทโฟน แท็บเลต็ ท่มี กี ล้องหลังได้ โดยไม่ ตอ้ งใช้ Marker ไม่ต้องเขียนโปรแกรมควบคุมใดๆ ท้ังสิ้น มีการใชง้ านง่าย สามารถนา Aurasma มาประยุกต์ใช้กบั การสร้างเป็นส่ือได้หลากหลาย ไพฑรู ย์ ศรฟี ้า (2556) ไดก้ ล่าวอีกว่า Aurasma ยงั สามารถประยุกตส์ รา้ งส่ือไดท้ ง้ั ระบบออนไลนแ์ ละออฟไลน์ ผลผลติ ทส่ี รา้ งดว้ ย Aurasma จะมไี ด้ ทงั้ ภาพนง่ิ ภาพเคล่อื นไหว ภาพ 3 มติ ิ เสียง แล้วแต่ผ้สู รา้ งสรรคง์ านจะเลือกใช้ หากสรา้ งเป็นส่อื แบบ ออนไลน์ยังสามารถเช่ือมโยงไปยงั เวบ็ ไซตไ์ ด้อีกด้วย การผลติ สอ่ื ความจรงิ เสมือนดว้ ย Aurasma Application Aurasma Inc. (2012) ไดแ้ นะนาวธิ กี ารผลติ และพฒั นาผา่ นบนเว็บไซต์ ท่ี http://studio.aurasma.com ซง่ึ ขั้นตอนหลักท่ีผูพ้ ฒั นา Application ไดร้ ะบุไว้ในคู่มือแนะนาการ ใชง้ าน มี 4 ข้นั ตอนหลัก ดงั น้ี

17 1. การอัพโหลด รปู ภาพตัวนา (Trigger Image) ข้ันตอนนสี้ ามารถอัพโหลดภาพ หรือใช้วัตถุ ตา่ งๆ ทีจ่ ะให้เป็นตัวนาในการเปิด AR โดยสามารถอพั โหลดไฟล์นามสกุล PNG หรือ JPEG โดยท่มี ีขนาดไม่เกิน 50,000 พิกเซล 2. การอัพโหลดสิ่งซ้อนทับ (Overlay) สิง่ ซอ้ นทบั สามารถมีได้หลายรปู แบบ ได้แก่ รปู ภาพ ไฟลว์ ิดโี อ ฉากสามมิติ หรอื วตั ถุสามมิติได้ โดยสนบั สนนุ ไฟล์ในรปู แบบ MP4, FLV, PNG, JPEG และ TAR (3D) 3. การสรา้ งช่อง (Channel) ชอ่ ง เปรียบเสมอื น โฟลเดอร์ทีจ่ ดั เก็บรวบรวมสอ่ื Aura โดย สามารถกาหนดชื่อของช่อง คาอธิบาย และใสร่ ูปภาพประกอบ 4. การสร้าง Aura สามารถทาไดโ้ ดยนาส่งิ ซ้อนทบั (Overlay) ลงไปบนภาพตวั นา (Trigger Image) และเลือกต้ังค่าคาส่งั เพื่อใหแ้ สดงผลต่างๆ นา Aura ไปใส่ไวย้ ังช่องทางทเ่ี ปิดไว้ และ แนบจุดเช่ือมโยงไปยังเว็บไซต์ เพื่อเผยแพรต่ ่อไป การใช้งาน Aurasma Application เพอื่ เปดิ ส่อื AR Code มวี ิธกี ารดังน้ี 1. ดาวนโ์ หลด Aurasma Application จาก App Store สาหรบั ระบบปฏบิ ตั ิการ iOS หรือ Google Play Store สาหรับระบบปฏบิ ัตกิ าร Android 2. เปิดเข้าใช้งาน Aurasma Application โดยกดทีส่ ญั ลักษณ์ ด้านล่างของ จอภาพ เพ่ือเข้าสหู่ นา้ เมนหู ลัก 3.ไปที่หน้าค้นหา (Search) พิมพ์ชือ่ ช่อง (channel) เพื่อค้นหา channel ท่ีตอ้ งการติดตาม และ กด Follow เพือ่ ติดตามชอ่ งนั้น 4. ใช้อุปกรณ์ที่ตดิ ตงั้ Application เรยี บร้อยแล้วตามข้นั ตอนข้างต้นท่กี ลา่ วมาส่องไปยัง ภาพหรือบรเิ วณท่ีกาหนดไว้ เพอ่ื ศึกษาสื่อมัลติมเี ดยี ท่ีแทรกอยู่ได้ (http://studio.aurasma.com) กลา่ วโดยสรปุ ไดว้ ่า Aurasma Application เป็นอีกหนง่ึ เทคโนโลยีทผี่ สานโลกความจรงิ กับ โลกของความจริงเสมือนท่สี ร้างข้ึนเขา้ ดว้ ยกนั โดยแสดงผลออกมาในรูปแบบสือ่ ปฏสิ มั พันธท์ ่ีมองเห็น โดยการสัมผัสไดผ้ ่านหน้าจอ ซงึ่ จะช่วยกระตนุ้ เรา้ ความสนใจในการเรียนจนนาไปสู่ การเรียนรทู้ คี่ งทนถาวร จากผูว้ จิ ัยไดศ้ ึกษา Aurasma Application ผ้วู ิจัยมีความสนใจทีจ่ ะใช้ Aurasma Application เข้ามาชว่ ยในการพฒั นาสือ่ การเรียนการสอนภาษาตา่ งประเทศ (ภาษาจีน) ให้ผูเ้ รยี นมี ความสนใจในการเรยี น อยากเรียน ไมเ่ บือ่ หนา่ ยในการเรยี น และเกิดการเรยี นรทู้ สี่ นกุ สนานและมี ความสขุ นาไปสู่ความจาและความคงทนในการเรียนรู้ทด่ี ตี ่อไป

18 ทฤษฎกี ารเรียนรโู้ ดยการค้นพบของ Bruner Bruner (1963 อา้ งถึงใน สุมาลี ชยั เจรญิ , 2551) เปน็ นกั จิตวทิ ยาแนวพุทธปิ ญั ญา ท่ีเนน้ พฒั นาการความสามารถในการเรียนร้แู ละความเข้าใจของผู้เรียนประกอบกบั โครงสรา้ งของเนือ้ หาที่ จะเรียนรูใ้ ห้สอดคลอ้ งกนั และไดเ้ สนอทฤษฎกี ารสอน (Theory of Instruction) โดยนาหลกั การ พัฒนาทางสตปิ ัญญาของ Piaget (1983 อ้างถึงใน สมุ าลี ชัยเจริญ, 2551) มาเป็นพืน้ ฐานในการ พัฒนา Bruner ยงั เชือ่ วา่ ครูสามารถชว่ ยพฒั นาให้ผ้เู รยี นเกดิ ความพรอ้ มไดโ้ ดยไมต่ ้องรอเวลา ดงั ที่ Bruner กลา่ วไว้ว่า “วิชาใดๆ กต็ าม สามารถทจี่ ะสอนใหเ้ ด็กในช่วงพัฒนาการให้เกิดการเรียนรอู้ ยา่ ง มปี ระสทิ ธิภาพได้ โดยใชว้ ิธกี ารท่ีเหมาะสม” แนวคิดดังกล่าว Bruner ได้เสนอว่า การจัดการเรยี น การสอนควรมีการจัดเน้ือหาวชิ าท่มี ีความสมั พันธ์ตอ่ เนื่องกันไปเรื่อยๆ มคี วามลึกซ้งึ ซบั ซ้อนและ กว้างขวางออกไปตามประสบการณข์ องผเู้ รียน เน้อื หาในเร่ืองเดียวกนั อาจสามารถเรียนตั้งแต่ ระดับประถมจนถึงมหาวิทยาลัย เรียกวา่ Spiral Curriculum (สมุ าลี ชยั เจรญิ , 2551) แนวคดิ เก่ียวกบั พัฒนาการทางปญั ญาของ Bruner Bruner (1963 อา้ งถึงใน สมุ าลี ชัยเจรญิ , 2551) ได้แบง่ พฒั นาการทางปญั ญา หรือ ความรูค้ วามเข้าใจของมนุษย์ มี 3 ประเภท คือ 1. Enactive Representation เดก็ จะแสดงการพฒั นาทางสมอง หรอื ทางปญั ญาด้วยการ กระทา จะเปน็ วธิ ีการปฏิสมั พันธก์ บั สิ่งแวดลอ้ ม โดยการสัมผัสจับต้องด้วยมอื ผลกั ดึง รวมถึงการใช้ ปากกับวัตถุสงิ่ ของท่ีอย่รู อบๆตวั ส่ิงท่ีสาคัญเดก็ จะต้องลงมือกระทา ด้วยตนเอง 2. Iconic Representation ในขนั้ พัฒนาการทางความคดิ จะเกิดจากการมองเห็นและการ ใช้ประสาทสัมผสั แล้ว เดก็ สามารถถา่ ยทอดประสบการณต์ ่างๆ เหล่าน้นั ด้วยการมีภาพในใจแทน เดก็ ทีโ่ ตขนึ้ กจ็ ะสามารถสร้างภาพแทนใจได้มากขึ้น วธิ กี ารเรียนรใู้ นข้นั นี้ เรียกวา่ Iconic Mode Bruner ไดเ้ สนอแนะใหน้ าโสตทศั นวัสดุมาใชใ้ นการสอน ไดแ้ ก่ ภาพน่งิ โทรทัศน์ หรอื อื่นๆ เพ่อื ที่จะ ช่วยให้เด็กเกิดจินตนาการ รวมท้งั ประสบการณ์ทเ่ี พ่ิมขนึ้ 3. Symbolic Representation ในข้นั พัฒนาการทางความคดิ ทผี่ ้เู รยี นสามารถถ่ายทอด ประสบการณห์ รือเหตุการณ์ต่างๆ โดยใช้สญั ลกั ษณ์ หรือภาษา Bruner เชื่อว่าการพฒั นาในขนั้ นี้ เปน็ ขั้นสูงสุด ซง่ึ ผู้เรียนจะใชใ้ นการเรียนได้เมื่อมีความสามารถที่จะเขา้ ใจในสง่ิ ท่ีเปน็ นามธรรม

19 แนวคิดเกีย่ วกับการเรียนรโู้ ดยการคน้ พบของ Bruner Bruner (สมุ าลี ชยั เจริญ, 2551) เช่อื ว่า การเรยี นร้จู ะเกดิ ขึ้นเมือ่ ผู้เรยี นไดม้ ปี ฏสิ มั พันธก์ ับ สิ่งแวดล้อม ซึ่งนาไปส่กู ารคน้ พบและการแก้ปญั หา เรยี กว่า การเรยี นรโู้ ดยการคน้ พบ (Discovery Approach) โดยแนวคิดท่เี ป็นพน้ื ฐาน ดังน้ี 1. การเรยี นรู้เป็นกระบวนการที่ผูเ้ รยี นมีปฏิสัมพนั ธ์กบั สงิ่ แวดล้อมด้วยตนเอง 2. ผู้เรียนแต่ละคนจะมีประสบการณ์และพืน้ ฐานความรู้ท่ีตา่ งกนั 3. การเรียนรู้จะเกดิ จากการท่ผี ู้เรียนสร้างความสมั พนั ธ์ระหว่างสิ่งทพ่ี บใหม่กับความรเู้ ดิม แล้วนามาสรา้ งเปน็ ความหมายใหม่ Bruner (1963 อ้างถึงใน สุมาลี ชัยเจริญ, 2551) เชอ่ื วา่ มนษุ ย์ทกุ คนต่างมีพฒั นาการความรู้ ความเข้าใจ โดยผา่ นกระบวนการทเี่ รียกวา่ Acting, Imagine และ Symbolizing ซง่ึ อยู่ในขนั้ พัฒนาการทางปัญญาคือ Enactive, Iconic และ Symbolic Representation ซ่ึงเปน็ กระบวนการท่ี เกิดขึ้นตลอดชีวิต มใิ ช่เกดิ ขนึ้ ชว่ งใดช่วงหนึ่งของชวี ติ เทา่ น้ัน Bruner เหน็ ดว้ ยกบั Piaget (1983 อา้ ง ถงึ ใน สมุ าลี ชัยเจรญิ , 2551) ท่ีว่ามนษุ ยเ์ รามโี ครงสรา้ งทางสติปญั ญามาตง้ั แตว่ ยั เดก็ และจะขยาย ความซบั ซ้อนเพิ่มขึน้ ตามช่วงวยั หนา้ ทข่ี องผูส้ อน คือการจัดสภาพสง่ิ แวดลอ้ มทช่ี ่วยเอือ้ ต่อการ ขยายตัวโครงสร้างทางปัญญาของผูเ้ รยี น Bruner ยงั มแี นวคิดของการเรียนรู้ไว้ว่า การเรียนร้จู ะ เกิดข้นึ เมื่อผู้เรยี นไดม้ ีปฏิสมั พันธก์ ับส่งิ แวดลอ้ ม จากการศึกษาผวู้ ิจัยสามารถสรุปได้วา่ มนุษย์ทุกคนมกี ารพัฒนาความร้คู วามเขา้ ใจผ่าน การแสดง ภาพ สัญลกั ษณห์ รือเครื่องหมายตา่ งๆ ซ่งึ เป็นการพฒั นาทางปัญญาท่ีมกี ารเรียนรูต้ ลอด ชีวติ ซ่งึ สอดคล้องกับ Bruner เชื่อวา่ ผเู้ รียนสามารถถา่ ยทอดประสบการณ์โดยการสรา้ งภาพแทนใจ สรา้ งสัญลักษณ์ต่างๆ ในกระบวนการเรียนรู้ ผวู้ จิ ยั จงึ นาภาพมาใช้ร่วมกับ Aurasma Application ใน การพฒั นาสื่อการเรียนการสอนภาษาตา่ งประเทศ (ภาษาจีน) เรื่องคาศพั ทภ์ าษจนี พืน้ ฐาน เพอื่ พัฒนาการเรียนรู้ทีด่ ขี องผู้เรียนในการเรียนรคู้ าศพั ท์ภาษาจีน หลกั สตู รภาษาจีน โรงเรียนเทศบาล ๒ วัดตานนี รสโมสร ช้นั ประถมศกึ ษาปีท่ี 3 หลักสตู รในแต่ละรายวิชาจะมีเนื้อหา สาระสาคัญ กจิ กรรมตา่ งๆ ทอ่ี อกแบบข้นึ โดยมี จดุ มงุ่ หมาย ใหผ้ ้เู รยี นเกิดการเรยี นรู้ เกดิ การพฒั นาตนเองและเปลี่ยนแปลงพฤติกรรมตาม คุณลกั ษณะทพ่ี ึงประสงค์ เพื่อทจี่ ะสามารถใช้ชวี ติ อยใู่ นสงั คมได้ ในแตล่ ะโรงเรียนก็มีหลกั สตู ร สถานศึกษาทแี่ ห่ง หลักสตู รมีความสาคัญมาก เน่ืองจากหลักสูตรจะกาหนดจดุ มงุ่ หมาย เนื้อหา สาระ การจัดกจิ กรรมการเรยี นการสอน และการประเมินผลไว้เป็นแนวทาง หลกั สตู รเปน็ เกณฑม์ าตรฐาน

20 ทางการศึกษา เพื่อควบคุมการเรยี นการสอนในสถานศกึ ษาใหเ้ ป็นเกณฑม์ าตรฐาน ในหลกั สูตรภาษาจนี ในระดับชน้ั ประถมศึกษาปีที่ 3 โรงเรยี นเทศบาล ๒ วดั ตานีนรสโมสร ได้กาหนดไวว้ า่ เมือ่ ผู้เรยี นเรยี นจบในระดับช้นั ประถมศึกษาปีที่ 3 จะสามารถรู้ คาศัพท์ 250-300 คา ซง่ึ หลักสูตรภาษาจนี ของโรงเรียนเทศบาล ๒ วดั ตานีนรสโมสร มีดังน้ี สาระท่ี 1 ภาษาเพ่อื การส่อื สาร มาตรฐานการเรยี นรู้ มาตรฐาน : ต 1.1 เขา้ ใจและตคี วามเรอ่ื งท่ีฟังและอ่านจากส่ือประเภทตา่ งๆ และ แสดงความคดิ เห็นอย่างมเี หตุผล ตัวชี้วดั ท่ี 3/1 ปฏิบัติตามคาสัง่ และคาขอร้องง่ายๆที่ฟัง หรอื อ่าน วา่ ดว้ ย คาสัง่ และคาขอรอ้ งที่ใชใ้ นห้องเรียนตัวอยา่ ง 请 问,请回答,坐下来跟 老师读,一起读 , 请看, 请准备, 一个读一读 , 请你读一遍 ตัวชี้วัดท่ี 3/2 ประสมเสยี งอ่านออกเสียงคากลมุ่ คาประโยคและบทออกเสียงคา งา่ ยๆตามหลกั การออกเสยี ง ว่าด้วย หลักการออกเสยี ง พยัญชนะ สระวรรณยุกต์ และพยางค์ เสยี งเน้นหนัก – เบา ในคา กลมุ่ คาตามลาดับ เสียงสงู – ต่า เช่น ประโยคคาถาม และเสยี งสมั ผสั ใน ประโยค การประสมเสียง คาศพั ท์ กลุ่มคา ประโยคเด่ียว และบทฝกึ ออกเสยี ง การหาคาศพั ท์จาก พจนานกุ รมภาพ ตัวช้วี ัดท่ี 3/3 ระบภุ าพ หรอื สญั ลกั ษณ์ ตรงตามความหมายของคา และกลมุ่ คา และประโยคจากการฟงั หรืออ่าน วา่ ดว้ ย คา กลุ่มคา และ ประโยคเดย่ี วสญั ญาลักษณท์ ่ีมี ความหมาย เก่ียวกับ สี ผลไม้ สตั ว์ ตนเองครอบครัว โรงเรยี น ส่ิงแวดล้อมใกลต้ วั ผกั อาหาร เครอ่ื งด่ืม เส้ือผ้า และนนั ทนาการ คาศัพทส์ ะสม ๒๕๐– ๓๐๐ คา ตวั ชวี้ ัดท่ี 3/4 ตอบคาถามจากการฟังหรอื การอ่าน ประโยคบทสนทนา หรือนิทาน งา่ ยๆ ท่มี ีภาพประกอบ วา่ ดว้ ย ประโยคบทสนทนา หรอื นิทานง่ายๆ ทมี่ ีภาพประกอบ ประโยค คาถาม และคาตอบ ตัวอย่าง A : 她是泰国人 吗? คุณ เปน็ คนไทยใช่ไหม? B : 是˳ 她是泰国人˳ใช่/เขาเปน็ คนไทย มาตรฐาน : ต 1.2 มที ักษะการสอื่ สารทางด้านภาษาในการแลกเปล่ียนข้อมลู ขา่ วสาร แสดงความรู้สึก และความคดิ เหน็ อย่างมีประสทิ ธิภาพ ตัวชี้วัดท่ี 3/1 พดู โตต้ อบคาสน้ั ๆ งา่ ยๆ ในการสื่อสารระหว่างบคุ คล ตามแบบ ทีฟ่ ัง ว่าดว้ ยบทสนทนาท่ใี ชใ้ นการทกั ทาย กลา่ วลา ขอบคุณ ขอโทษ กรุณานั่ง ประโยคหรอื ขอ้ ความ ทใี่ ชแ้ นะนาตนเอง ตัวอยา่ ง 老师好! สวสั ดีค่ะคุณครู! 同学们好!สวสั ดคี ่ะนักเรยี นทุกคน 我家有………口人

21 ตวั ชีว้ ัดที่ 3/2 ใชค้ าสัง่ และคาขอร้องงา่ ยๆ ตามแบบที่ฟัง ว่าดว้ ย คาสั่งและคา ขอร้องที่ใชใ้ นห้องเรียนตวั อย่าง 请听老师 กรณุ าฟงั คุณครู 跟老师读 อ่านพร้อมคุณครู ตัวชว้ี ัดที่ 3/3 บอกความตอ้ งการง่ายๆของตนเองตามแบบท่ฟี ัง วา่ ดว้ ยคาศัพท์ กลุ่มคา และประโยคท่ีใช้บอกความต้องการ ตัวอย่าง 我 吃平果 ฉนั กินแอปเป้ิล 给你…….ให้คุณ........我想…….ฉันคิด....... ตัวช้ีวดั ท่ี 3/4 พดู ขอและให้ข้อมูลงา่ ยๆเก่ียวกบั ตนเองและส่งิ ใกล้ ตามแบบท่ฟี งั วา่ ด้วย คา กลมุ่ คา และประโยคทใ่ี ช้ขอและให้ข้อมูลเกย่ี วกบั ตนเอง ตวั อยา่ ง 我有………..我没有…………..她是泰国人 มาตรฐาน : ต 1.3 นาเสนอข้อมูลข่าวสาร ความคิดรวบยอดและความคดิ เห็นใน เร่อื งต่างๆโดยการพูดและการเขยี น ตวั ชีว้ ัดที่ 3/1 พูดให้ข้อมูลตนเอง และเร่ืองใกลต้ วั ว่าด้วย คา กลุ่มคา และประโยค ทใ่ี ชใ้ นการพูดให้ข้อมูลเกี่ยวกับตนเอง บคุ คลใกล้ตัว และเร่ืองใกล้ เช่น บอกชื่อ อายุ ส่ิงต่างๆ ตวั เลข สี ขนาด เวลา ตาแหนง่ ของสิ่งของ ตัวอย่าง 小 , 早上 ,中午,晚上, 红色 , 黄色 , 份红色 , 今天……月……号, 星期 , 我家有………口人 , 我七点去学校 , 饺子很好吃, ตวั ช้วี ัดท่ี 3/2 เขียนใหข้ อ้ มูลเก่ยี วกบั ตนง่ายๆ ว่าดว้ ย คา กล่มุ คา และประโยคส้ันๆ ท่ีให้ข้อมูลเก่ยี วกบั ตนเอง 我姓…………,叫……………..今年…………..岁.上…………..年级 我家有………口人 สาระท่ี ๒ ภาษาและวฒั นธรรม มาตรฐานการเรียนรู้ มาตรฐาน : ต 2.1 เข้าใจความสัมพันธร์ ะหวา่ งภาษากับวฒั นธรรมของเจา้ ของภาษา และนาไปใช้ได้อย่างเหมาะสมกับกาลเทศะ ตวั ชี้วัดที่ 3/1 พูดและแสดงออกตามวฒั นธรรมของจีน ว่าดว้ ย การทักทายอย่าง สภุ าพ ตวั อยา่ ง 您好 老师好 同学们好 A.你要喝水吗? B.不要˳谢谢˳ ตัวชี้วัดท่ี 3/2 บอกชอื่ คาศัพท์และความสาคญั อย่างสน้ั ๆเกย่ี วกับเทศกาลสาคัญ ของจนี วา่ ด้วย ชอ่ื และวนั สาคญั เกยี่ วกับเทศกาลของจนี ตัวอย่าง วันตรุษจนี 春节 วันไหว้ พระจันทร์ 中秋节 เทศกาลเชงเม้ง 清明节

22 ตัวชี้วัดท่ี 3/3 เขา้ ร่วมกจิ กรรมทางภาษาและวัฒนธรรมของจนี ทเี่ หมาะสม กบั วัย ว่าดว้ ย กิจกรรมทางภาษาและวฒั นธรรมของจนี การเล่นเกมส์ การร้องเพลง การแสดงทา่ ทางประกอบเพลง ออกกาลงั กาย มาตรฐาน : ต ๒.๒ เขา้ ใจความเหมอื นและความแตกต่างระหว่างภาษาและ วฒั นธรรมของเจ้าของภาษากับภาษาและวฒั นธรรมไทย และนามาใช้อยา่ งถูกต้องและเหมาะสม ตวั ชว้ี ัดท่ี 3/1 ระบุตัวอักษรจีน คา กล่มุ คาและความหมาย สัทอกั ษรพนิ อิน (拼音) และออกเสยี งได้ถูกตอ้ ง ว่าด้วย ตัวอักษรจนี และความหมาย สัทอักษรพนิ อิน และ การออกเสยี ง ตวั ชี้วัดที่ 3/2 บอกความเหมือนหรอื ความแตกต่างดา้ นวฒั นธรรมของจนี และ ของไทย เชน่ การแต่งกาย การรบั ประทานอาหาร วา่ ด้วย วฒั นธรรมการแต่งกาย เช่น ชดุ ประจาชาติ การรบั ประทานอาหารของ จีน และของ ไทย เช่น จนี – รบั ประทานด้วยตะเกียบและช้อน ไทย – รับประทานด้วยช้อนและสอ้ ม สาระท่ี ๓ : ภาษากบั ความสัมพันธก์ บั กลุ่มสาระการเรยี นรู้อนื่ มาตรฐานการเรียนรู้ มาตรฐาน : ต 3.1 ใช้ภาษาต่างประเทศในการเชื่อมโยงความรูก้ ับกลุ่มสาระการ เรยี นรอู้ ่นื และเป็นพนื้ ฐานการพฒั นา แสวงหาความรู้ และเปิดโลกทัศนข์ องตน ตวั ชีว้ ัดท่ี 3/1 บอกคาศัพทท์ ่ีเก่ยี วข้องกับกลุ่มสาระการเรยี นรู้อ่ืน ว่าดว้ ยคาศัพทท์ ่ี เกย่ี วข้องกับกลุ่มสาระการเรียนรู้อนื่ เชน่ สี ผลไม้ สตั ว์ ผกั สง่ิ ของ สถานท่ีท่องเท่ยี วใกล้ตวั สาระที่ ๔ : ภาษากบั ความสัมพนั ธก์ ับชุมชนและโลก มาตรฐานการเรียนรู้ มาตรฐาน : ต 4.1 ใชภ้ าษาต่างประเทศในสถานการณ์ตา่ งๆทง้ั ในสถานศกึ ษา ชมุ ชน และสงั คม ตวั ชวี้ ดั ท่ี 4/1 ฟังหรือพูดในสถานการณ์ตา่ งๆท่เี กดิ ขึน้ ในห้องเรยี น ว่าดว้ ย คากลุ่มคา ประโยคและบทสนทนาในสถานการณง์ ่ายๆ ทเ่ี กิดขนึ้ ในห้องเรยี นและนาคา กล่มุ คา ประโยค และบทสนทนาท่ีได้เรยี นรมู้ าประยกุ ตใ์ ชใ้ นสถานการณจ์ รงิ หรือสถานการณ์จาลอง ตัวอย่าง A : 今天星期几? วนั นว้ี นั อะไร B : 今天星期一. วนั นวี้ นั จนั ทร์ ทม่ี า : หลกั สตู รสถานศกึ ษา โรงเรยี นเทศบาล ๒ วดั ตานนี รสโมสร

23 ผู้วิจัยสามารถสรุปได้ว่า จากหลกั สตู รระดบั ชั้นประถมศึกษาปที ่ี 3 โรงเรียนเทศบาล ๒ วัดตานีนรสโมสร ได้กาหนดไว้วา่ เม่อื ผเู้ รยี นเรยี นจบในระดับชน้ั ประถมศึกษาปีท่ี 3 จะสามารถรู้ คาศัพท์ 250-300 คา ซ่ึงเป็นคาศัพท์พื้นฐาน เช่น สี ผลไม้ คานาม สตั ว์ ผัก ตนเองครอบครวั โรงเรียน ส่ิงแวดลอ้ มใกล้ตวั เครื่องดื่ม เสอ้ื ผา้ เป็นต้น การเรียนรู้และการพัฒนาทางภาษา ความหมายของภาษา ภาษาเป็นเคร่อื งมอื ส่วนหนงึ่ ทีอ่ านวยความสะดวกในการเรยี นรทู้ าใหม้ นุษย์ไดส้ ือ่ สาร แลกเปลีย่ นความคิดเห็นที่เป็นนามธรรมตอ่ กัน ความหมายของภาษาในแง่ภาษาศาสตร์ หมายถึง ภาษาทใี่ ช้พดู เพื่อบทเรียนความหมายในชมุ ชนหนง่ึ ๆ สว่ นในด้านจิตวิทยา ภาษา หมายถึง ความสามารถในการติดต่อบทเรยี นสื่อความหมาย หรือ เพื่อแสดงความรู้สึก และ ความคิด ซึ่ง สามารถสรปุ ไดว้ ่าภาษาหมายถึงการพูด การเขยี น ทาท่าทางประกอบการแสดงสหี น้า และการใช้ ภาษาใบเ้ ปน็ ต้น ดงั ท่ีปรียาพร วงศอ์ นุตรโรจน์ (2546) กล่าวไวว้ ่า ภาษา หมายถงึ ระบบเปลง่ เสยี ง และเขียนสญั ลักษณต์ ่างๆ ซง่ึ คนในสังคมหน่ึงๆ เรยี นรู้และตลอดจนคนที่ใช้ภาษาเดียวกันสามารถ แลกเปลย่ี นความคิดเห็น และประสบการณ์ซึ่งกนั และกันได้อย่างลึกซ้ึงและกวา้ งขวาง ภาษาจงึ เปน็ กลไกสาคัญในการรวมกลมุ่ คน และสังคมใหเ้ ป็นแบบแผน การร่วมกิจกรรมตา่ งๆ ทีส่ ามารถถ่ายทอด ทางสงั คมและวฒั นธรรมให้แก่ชนรุน่ หลังอีกด้วย ส่วนความหมายทว่ี ่าภาษาเปน็ เคร่ืองมือสือ่ สารท่ีมีท้งั ภาษาพูด ภาษาเขยี น ภาษาท่าทางและสญั ลักษณ์ตา่ งๆ ซ่งึ อจั ฉรา ชวี พันธ์ (2547) ได้ให้ความสาคัญ วา่ เปน็ เครอื่ งมือทสี่ าคญั และมีคุณค่าอยา่ งยิ่งตอ่ มวลมนุษย์ สายวลี วทิ ยาภัค (2539) กล่าวว่า ภาษา คอื เสียงท่ีเปล่งออกมาเปน็ คาพูดหรอื สัญลักษณ์แทนเสียงท่เี ขียนออกมา หรอื กิรยิ าอาการที่แสดง ออกมาดว้ ยความตง้ั ใจ เพือ่ ติดตอ่ ส่อื สารกับผ้อู น่ื ให้เข้าใจกันได้ซง่ึ อาจเป็นภาษาอื่นหรือภาษาสากล ในการจากัดความวา่ ภาษาเป็นสญั ลักษณ์ที่มนุษย์สร้างขึน้ แทนความคดิ เพื่อใชบ้ ทเรยี นความหมาย ทาความเข้าใจซงึ่ กนั และกนั เป็นการใหค้ วามหมายของภาษาทีป่ ระเทิน มหาขันธ์ (2519) ได้กล่าวไว้ ภาษาเปน็ วฒั นธรรมอยา่ งหน่ึง เพื่อประโยชนใ์ นการดาเนนิ ชวี ติ ในสังคม จากคากลา่ วขา้ งต้นสามารถสรุปไดว้ ่า ภาษา คอื ถ้อยคาทีใ่ ชพ้ ูดหรือเขยี น เพือ่ การติดต่อ สือ่ สารกบั ผอู้ น่ื ให้เขา้ ใจความหมายตรงกันและเข้าใจกนั

24 กระบวนการเรยี นรู้ภาษา กระบวนการเรยี นรู้ภาษา มขี ั้นตอนดังนี้ (ศรีเรอื น แกว้ กังวาน, 2519) 1. การเลยี นแบบ เป็นกระบวนการท่ีสาคญั ในการเรยี นภาษาเพราะเป็นขนั้ เลียนเสยี งคาพูด ตามเสียงที่ไดย้ นิ หรือเลียนแบบการออกเสยี งจากผูอ้ ่ืน 2. การเอาอยา่ ง เดก็ มิได้เลียนแบบเฉพาะการออกเสียงเท่านน้ั แตย่ งั เลียนลกั ษณะนสิ ัย ใจคอ ทา่ ที จากบุคคลทเ่ี ขาเลียนภาษานัน้ 3. การเลียนแบบพฤติกรรมตอบสนองหลายอยา่ งพรอ้ มกันต่อสิ่งเร้าหลายตวั เป็นพฤตกิ รรม ตอบสนองสงิ่ เร้า โดยพยายามลองใชอ้ วัยวะเคร่อื งเปลง่ เสยี งตา่ งๆ นนั้ ทาใหท้ างานสัมพันธก์ ันหลายตวั ได้แก่ สมองที่มองเหน็ ไดย้ ิน สะสมความจา การทาริมฝปี าก สหี น้า ทา่ ทาง สายตา ค้วิ เดก็ พยายาม ทาตาม 4. การเรียนรดู้ ว้ ยความสัมพันธภาวะ เดก็ เรยี นรคู้ าศัพท์และความหมายของคา ระหวา่ งเสียง และสง่ิ ของพฤติกรรม เปน็ การร้แู บบหูถงึ ตา เชน่ เม่ือเด็กเอ้อื มมอื จะจับไฟ แม่รอ้ งหา้ มว่า “อยา่ ” แลว้ ตมี ือ ต่อไปเด็กน้ันย่ืนมือไปหาส่งิ อ่ืนแล้วไดย้ นิ คาวา่ “อย่า” ก็ชะงักมือไว้ 5. การเรยี นร้แู บบถามตอบ เด็กในระยะนบี้ างทไี ดร้ บั สมญาว่า วยั ชา่ งซกั เพราะเด็กเรมิ่ ร้จู ัก ใชเ้ หตผุ ล เรมิ่ มีความต้องการเป็นตัวของตวั เอง จงึ อยากรู้อยากเหน็ ชา่ งตงั้ คาถาม โน่นอะไร ทาไมจึง เปน็ เชน่ นน้ั ทาไมไมเ่ ป็นเช่นนั้น เป็นตน้ ถ้าผ้ปู กครองตอบสนองอารมณช์ นิดน้ีของเด็กจะชว่ ยในการ พฒั นาภาษาของเด็กให้ดีขึน้ ได้ 6. การลองผดิ ลองถกู ช่วงน้ีเป็นช่วงปฏิบตั ิเด็กอาจจะปฏบิ ตั ิได้ถูกบา้ งผิดบ้าง ควรเขา้ ใจและ ชมเชยเมอ่ื เดก็ ออกเสียงได้ถูกตอ้ ง เด็กย่ิงได้ฝึกฝนลองผิดลองถูกมากเพียงไร กช็ ่วยพัฒนาภาษาเร็ว มากเพียงน้ัน 7. การถา่ ยทอดการเรยี นรู้ การเรยี นรู้ส่งิ ใหม่ๆ เป็นการงา่ ยขน้ึ ถา้ ผ้เู รียนมีความรู้พนื้ ฐานมา ก่อน เชน่ เด็กรจู้ กั ไก่อยูแ่ ล้ว ผู้ใหญ่สอนให้รจู้ กั เปด็ แลว้ ตอ่ ไปรู้จักห่าน โดยชี้ใหเ้ หน็ ถงึ ความเหมือน และความแตกต่าง เดก็ จะจาไดเ้ รว็ และมคี วามคิดเปน็ ระเบียบ ซ่ึงเปน็ ประโยชนใ์ นการศึกษาเรื่องอ่นื ๆ ต่อไปในภายหนา้ ทฤษฏีพัฒนาการทางภาษา ทฤษฎกี ารเรียนรทู้ างภาษามีอยหู่ ลายทฤษฎี อาทิ ทฤษฏคี วามพงึ พอใจแหง่ ตน ทฤษฏนี ้ถี ือว่าเปน็ การเรยี นรู้การพูดของเด็กเกิดจากการเรยี นเสยี งนั้นมาจากการพึงพอใจทีจ่ ะได้ทา เชน่ นั้น Mowrer (1963 อา้ งถงึ ใน ภัทรวดี พัฒนโพธิ์, 2554) เช่อื วา่ ความสามารถในการฟงั และการ

25 ไดย้ นิ เสียงของผอู้ ่นื และเสยี งของตนเองเปน็ สงิ่ สาคัญต่อการพฒั นาการทางภาษา Lewis (1981 อา้ งถงึ ใน ธีรเดช ช่ืนประภานสุ รณแ์ ละคณะ, 2552) ไดศ้ ึกษาเกี่ยวกับการเลียนแบบในการ พัฒนาภาษาอยา่ งละเอยี ดชอ่ื วา่ ทฤษฏกี ารเลยี นแบบ ทฤษฏนี ีเ้ ชื่อวา่ พฒั นาการทางภาษานัน้ เกิดจาก การเลยี นแบบซ่ึงอาจเกิดจากการมองเหน็ หรอื การได้ยนิ เสียง สว่ นทฤษฏเี สรมิ แรง Rhiengold และ คณะ(1998 อ้างถงึ ใน ภทั รวดี พฒั นโพธิ์, 2554) ศึกษาพบวา่ เด็กจะพูดมากขนึ้ เมื่อได้รับรางวัล หรือ ได้รับการเสรมิ แรงทฤษฏนี ้ีอาศยั หลกั ทฤษฏกี ารเรยี นรูซ้ ึง่ ถือวา่ พฤตกิ รรมทั้งหลายถูกสร้างข้นึ โดย อาศัยการวางเงื่อนไข ทฤษฏีการรบั รขู้ อง Liberman (1988 อ้างถึงใน เยาวพา เดชะคปุ ต์, 2542) ไดต้ ัง้ สมมุตฐิ านไว้ว่าการรับรู้ทางการฟังข้ึนอยู่กับการเปลง่ เสียง จะเหน็ ไดว้ า่ เด็กมักจ้องหนา้ คนท่ีพูด ดว้ ย การทาเช่นนี้อาจเป็นเพราะเดก็ ฟงั และพูดซ้ากับตนเอง หรือหัดเปล่งเสียงโดยอาศยั การอา่ น ริมฝีปากแล้วจึงเรียนรู้คา Liberman (1988 อา้ งถึงใน เยาวพา เดชะคปุ ต์, 2542) ไดต้ ง้ั ชอื่ ทฤษฎีน้ี วา่ ทฤษฏีการรบั รู้ Thorndike (อา้ งถึงใน อารีย์ คาสังฆะ, 2554) เปน็ ผ้คู ิดและคน้ พบ ทฤษฏีความบังเอิญจากการเลน่ เสียง (babble buck) โดยอธบิ ายวา่ เม่ือเดก็ กาลังเลน่ เสียงอยนู่ น้ั เผอญิ มีบางเสยี งไปคลา้ ยกับ เสยี งทม่ี คี วามหมายในภาษาพูดของพ่อแม่หรือผทู้ อี่ ยู่ใกล้ชดิ พอ่ แม่หรอื ผทู้ อี่ ยู่ใกลช้ ิดจึงให้การเสริมแรงทนั ที ด้วยวธิ ีนี้ทาให้เด็กเกิดพัฒนาการทางภาษา Lenneberg (1988 อา้ งถึงใน เยาวพา เดชะคปุ ต์, 2542) เชอ่ื ว่าพัฒนาการทางภาษาน้ันมพี นื้ ฐาน ทางชีววิทยาเป็นสาคญั กระบวนการทค่ี นพูดได้ขึ้นอยู่กบั อวยั วะในการเปลง่ เสยี ง เด็กจะเรมิ่ สง่ เสียง อ้อแอ้และพูดได้ตามลาดบั เรยี กทฤษฎีนวี้ ่าทฤษฏีชีววทิ ยา Dollard & Miller (1950 อ้างถงึ ใน กณิการณ์ พงศ์พนั ธุส์ ภาพร, 2553) รว่ มกันคิดทฤษฏีการใหร้ างวลั ของแม่ โดยยา้ เก่ียวกับบทบาท ของแมข่ องเด็กในการพัฒนาภาษาของเดก็ ว่าภาษาท่ีแม่ใชใ้ นการเลย้ี งดเู พ่อื สนองความต้องการของ ลกู เปน็ อทิ ธิพลทท่ี าใหเ้ กดิ ภาษาพูดแกล่ กู จากการศกึ ษาทฤษฏีและกระบวนการเรียนภาษาดังกล่าว พบวา่ พัฒนาการทางภาษาของเด็กปฐมวยั จะต้องผ่านกระบวนการพฒั นาการเป็นข้ันตอน เดก็ จะ เรยี นรู้ภาษาจากการมีปฏิสมั พันธก์ บั สง่ิ แวดลอ้ มรอบตวั ในลักษณะท่ีเลยี นแบบหรือลองผดิ ถูก การเรา้ และการไดร้ ับแรงเสริมจากคนใกล้ชิดจะทาใหเ้ ด็กมีพฒั นาการทางภาษาได้ดยี ิ่งขน้ึ (เยาวพา เดชะคปุ ต์, 2542) ความสาคัญของภาษา ภาษาเป็นสิ่งชี้ใหเ้ ห็นถึงพัฒนาการของมนุษย์ เน่อื งจากมนุษยเ์ ป็นเผ่าเดียวในโลกที่สามารถ สอ่ื สารกนั ด้วยภาษาพูด นกั วิทยาศาสตรพ์ บว่า พัฒนาการทางภาษาสง่ ผลต่อพฒั นาการดา้ นอน่ื ๆ โดยรวมของเด็ก ภาษาช่วยเสรมิ สร้างความสามารถในการคิด และการแกป้ ัญหา ท้ังยังชว่ ยในการ แสดงออกทางอารมณ์ และความรสู้ กึ อีกดว้ ย ส่งิ แวดล้อมของเด็กท่เี ต็มไปดว้ ยเสียง จังหวะ ทานอง

26 มเี สียงพดู ของผู้คนจะชว่ ยใหส้ มองของเดก็ เกิดการพฒั นาท่ีซับซอ้ นข้นึ ทาให้เด็กมีพัฒนาการทาง ภาษาอย่างรวดเร็ว ช่วงวยั ขวบปแี รกจึงเป็นชว่ งเวลาสาคัญที่สมองของเดก็ จะสรา้ งรากฐานอนั ถาวร สาหรบั การพฒั นาทางภาษาในวัยต่อๆ ไป ดงั เช่นงานวิจัยของ กาญจนา นาคสกลุ (2524) ทก่ี ล่าวว่า ภาษาเปน็ หวั ใจของมนุษย์ เพราะถา้ ปราศจากภาษา มนุษย์ย่อมไมต่ ่างจากสตั ว์ เพราะภาษาเปน็ เครอื่ งมอื ในการตดิ ต่อสอ่ื สารทีส่ ัมพันธ์กับความคิด และการสรา้ งสรรคใ์ นสังคมมนุษย์ ภาษาเป็น เคร่อื งมือที่ทาให้สงั คมมนุษย์เจรญิ ก้าวหน้ามาจนถงึ ปจั จบุ นั และภาษาเป็นปัจจัยท่ีสาคัญท่สี ุดใน กระบวนการพฒั นาคน เพราะเปน็ ปัจจัยหลกั ทีเ่ กื้อกูลให้เกดิ ปจั จัยอน่ื ๆ นกั ทฤษฏพี ฒั นาการไดศ้ ึกษา ความสาคญั ของภาษาท่วี ่า เป็นสิง่ ท่ชี ว่ ยสง่ เสรมิ พฒั นาการทางสังคมและสตปิ ัญญาของเดก็ ปฐมวัย สว่ นศรียา นยิ มธรรม (2519) ไดก้ ล่าววา่ เด็กเร่ิมโยงความสัมพันธ์ ร้จู ักกฎเกณฑ์ของภาษา รูจ้ กั ใช้ ไวยากรณ์ภาษาพูด เดก็ สามารถพดู เป็นวลแี ละประโยคสนั้ ได้ แตย่ งั คงหัดเรียนรู้คาศัพท์ต่างๆ และ เสียงที่ใชต้ อ่ ไป พ่อ แม่ และคนใกลช้ ดิ จะเป็นส่วนสนับสนนุ ในเรือ่ งของการเลียนแบบ ภาษาท่ีใชม้ า ตง้ั แต่เริม่ ตน้ จนถึงวัยนเ้ี ป็นการเลยี นแบบระหวา่ งคนสองคน กลา่ วคอื เด็กจะเลยี นแบบจากตวั อยา่ งที่ ไดย้ ินและได้เหน็ และเด็กจะเรียนรู้คาศพั ทม์ ากข้ึนและมีการหัดลองใชค้ าศัพท์ที่ตนเองรู้จักใน สถานการณ์ต่างๆ เพื่อศึกษาความหมาย เรยี นรูเ้ สยี งและวิธีออกเสยี งท่ีชัดเจนขน้ึ รจู้ ักใช้ประโยคใน รปู ตา่ งๆ มคี วามรู้ในเรื่องไวยากรณ์ได้ดขี ึ้น เม่ือเด็กเข้าสวู่ ยั ประถมจะสามารถพูดประโยคยาวๆ ท่ซี ับซอ้ น มกี ารเรียนรู้ได้รวดเรว็ มีการใชส้ ญั ลกั ษณ์ทางสายตา เชน่ การอ่าน เขียน และออกเสยี งได้ ในช่วงนค้ี รู เพอ่ื นเล่น วิทยุ โทรทัศน์ หรอื หนังสอื จะเข้ามามีบทบาทในการสื่อความหมาย หรือ เปน็ แบบอย่างในการเรยี นรภู้ าษา ปริมาณคาศัพท์ท่ีเดก็ ร้จู ักจะเพิ่มข้ึนอย่างรวดเร็ว และงานวจิ ัยของ ดวงเดือน ศาสตร์ภทั ร (2529) กลา่ วว่า ภาษามีความสาคัญ 3 ประการไดแ้ ก่ 1.เดก็ สามารถจะใช้ภาษาเพือ่ การตดิ ต่อสอ่ื สารกบั บุคคลอ่นื และเปดิ โอกาสใหเ้ กิด กระบวนการทางสังคมขนึ้ 2. เด็กสามารถใช้ภาษาเปน็ คาพดู ทเ่ี กิดข้นึ ภายในรูปแบบของการคิดโดยระบบของการใช้ สญั ลักษณซ์ ่ึงเป็นส่ิงทส่ี าคัญต่อการพัฒนาการทางภาษาในระดบั ต่อไป 3. ภาษาเปน็ การกระทาทเี่ กดิ ข้ึนภายในตวั เดก็ ดงั น้นั เด็กจึงไม่ต้องอาศัยการกระทากับวัตถุ จริงๆ เพือ่ แก้ปญั หา เด็กสามารถสร้างจินตนาการถงึ แมน้ วตั ถุนน้ั จะอยู่นอกสายตาหรือเคยพบมาแล้ว เด็กสามารถทาการทดลองในสมองไดเ้ รว็ กวา่ การจดั การกระทากบั วัตถุนนั้ จรงิ ๆ จะเห็นไดว้ า่ ภาษามี ความสาคญั ต่อกระบวนการพัฒนามนุษย์เน่ืองจากเป็นเครือ่ งมือในการติดต่อสอ่ื สารกับบุคคลอื่น ทา ให้เกิดการเรยี นรู้ซึง่ จะนาไปสู่การพฒั นาทางสติปญั ญาและการพัฒนาทางสงั คม

27 การพัฒนาทางภาษา พัฒนาการด้านภาษามตี ้นกาเนดิ มาจากการร้องไหข้ องเด็กเพื่อเรยี กร้องสง่ิ ทีต่ นต้องการ แตก่ ารร้องมิได้เปน็ ไปอย่างตง้ั ใจคงเปน็ เพยี งปฏิกิรยิ าสะทอ้ นเทา่ น้นั และในระยะตอ่ มาเม่อื เด็ก สามารถเปลง่ เสยี งใหผ้ ู้อนื่ เขา้ ใจได้ จึงเป็นการเริ่มพฒั นาทางภาษาอยา่ งแท้จรงิ เมื่อทารกอายไุ ด้ ประมาณ 16 เดือน จะเร่ิมพูดไดป้ ระมาณ 10 คา และเมื่ออายุไดป้ ระมาณ 2 ขวบ จะรู้คาประมาณ 30 คา การพัฒนาด้านภาษาของทารกขึ้นอยูก่ ับระดับสตปิ ัญญา กล่าวคอื ทารกพดู ได้เร็วเทา่ ใด จัดวา่ เปน็ เดก็ ทเ่ี ฉลยี วฉลาดกวา่ เด็กที่เริม่ พดู ช้า ในระยะนี้ทารกจะเรยี นการพูดด้วยวธิ ีเลียนแบบ ฉะนน้ั แม่ หรอื พเ่ี ลี้ยงควรจะเปน็ แบบอย่างทด่ี แี ก่เด็ก โดยฝึกหัดให้พูดช้าๆ และถูกต้อง การพฒั นาทางดา้ น ภาษาย่อมขน้ึ อยู่กบั ความพร้อม และวฒุ ิภาวะของกลไกท่ีใชใ้ นการพูดอีกด้วย เช่น หู ฟัน ลิน้ เปน็ ต้น การพฒั นาทางภาษาของเดก็ ขึน้ อยู่กบั หลายองคป์ ระกอบเช่น ความเอาใจใส่ของพ่อแม่ โอกาส โอกาสในทน่ี ้ีหมายถึงโอกาสในการดูโทรทัศน์ การฟังเพลงบ่อยๆ เด็กในวยั น้มี กั พูดเกี่ยวกบั ตัวเองและผู้ท่ีเก่ียวข้องของตน บางครั้งก็พูดกับตวั เองบ่อยๆ พอ่ แม่มีส่วนชว่ ยในการพฒั นาด้านภาษา ของเด็กมาก เด็กบางคนมีพัฒนาทางภาษาพูดช้าไป มิได้ขึ้นอยกู่ ับสติปญั ญาของเด็กเท่านั้น แตม่ ี องค์ประกอบ 2 ประการที่มสี ่วนในการพฒั นาการด้านภาษาของเด็ก ได้แก่ 1. ครอบครวั ใหญ่เกนิ ไป การท่เี ดก็ เกิดมาจากครอบครวั ท่มี ีคนมาก ทาให้โอกาสทีพ่ ่อแม่ จะใกลช้ ดิ กับลูกหรือพดู กับลูกน้อยลง ทาให้พฒั นาการทางภาษาชา้ ไปได้ 2. ครอบครัวใชภ้ าษาพดู 2 ภาษา ทาใหก้ ารเรียนรูข้ องเด็กสับสนไม่อาจจะใช้ไดด้ ี ท้ัง 2 ภาษา - อายุ 6 ปี การพัฒนาทางภาษาสามารถพดู ออกเสยี งไดอ้ ย่างชัดเจน แตอ่ ักษรควบกล้า จะตอ้ งหัดพูดหลายๆ ครง้ั จงึ จะพูดไดช้ ัด การสนทนาจะเปล่ียนจากการพูดแต่เรื่องของตวั เองและ ความเห็นของตนเองเป็นการพดู เกี่ยวกบั การกระทาของผอู้ ่ืนแทน - อายุ 7-8 ปี เดก็ ในวยั นจ้ี ะมีพฒั นาการทางภาษามากขน้ึ สามรถกลา่ วถึงบคุ คลอ่นื ท่ี ไมไ่ ด้อยู่ตรงหนา้ ได้ เนื่องจากเดก็ มักจะต้องการพดู แสดงเหตผุ ลของตนเองใหผ้ ู้อน่ื เขา้ ใจ จงึ ทาใหเ้ กิด การขดั แย้งกนั กับเพื่อนอยู่บ่อยๆ การเรียนการสอนภาษาจีน ประเทศตา่ งๆ ทัว่ โลกต่างใหค้ วามสาคัญต่อการเรียนการสอนภาษาตา่ งประเทศเปน็ อยา่ ง มาก เนอื่ งจากความก้าวหนา้ ทางดา้ นเศรษฐกจิ สงั คม อตุ สาหกรรม เทคโนโลยี วัฒนธรรม การศึกษา ตลอดจนถงึ ความสะดวกรวดเรว็ ในการติดต่อสื่อสาร ทาให้ประเทศต่างๆ มีการตดิ ต่อส่ือสาร

28 การพึ่งพาอาศัยกันอยา่ งใกล้ชิด จึงเกิดความจาเปน็ ทีจ่ ะตอ้ งใช้ภาษาต่างประเทศ เปน็ ส่ือกลางในการ ติดต่อสอื่ สารด้านต่างๆ ภาษาจีนนับว่าเปน็ ภาษาต่างประเทศทีม่ คี วามสาคญั และมผี ู้ใชเ้ ป็นจานวน มากไมแ่ พ้ภาษาอังกฤษ ภาษาฝรง่ั เศส ภาษาเยอรมนั ภาษาสเปนหรอื ภาษาญีป่ นุ่ เลยทเี ดียว เน่อื งด้วยปัจจุบนั สาธารณรัฐประชาชนจนี เป็นประเทศท่ีกาลังพฒั นาและยงั มีการคาดการณ์ว่าอกี ไม่ก่ี ทศวรรษจากน้ีไป สาธารณรฐั ประชาชนจีนจะเปน็ ประเทศขวั้ อานาจใหม่ทางเศรษฐกจิ โลก ดังน้ันจึงย่ิง เป็นการตอกยา้ ความสาคญั ของภาษาจนี ซึ่งถอื ว่าเป็นภาษาที่ใช้กันอย่างกวา้ งขว้างและมจี านวนคนท่ี ใช้ภาษาจีนเพิ่มขึน้ อยา่ งรวดเร็วในแต่ละปี ดงั น้นั ภาษาจีนจึงกลายเปน็ ภาษาทย่ี อมรับว่าเปน็ 1 ใน 9 ของภาษาสากล ในการเรยี นภาษาต่างประเทศไม่วา่ จะเปน็ ภาษาใดก็ตาม ย่อมมจี ดุ มงุ่ หมายทคี่ ลา้ ยกันคือ เพือ่ พฒั นาผู้เรยี นใหส้ ามารถใชภ้ าษานั้นติดตอ่ ส่ือสารกบั ชาวต่างชาติไดอ้ ย่างถูกตอ้ งและเหมาะสม นอกจากนีย้ ังมุ่งใหผ้ ้เู รียนมีความเขา้ ใจถึงวัฒนธรรม ประเพณี การดารงชีวติ ของเจ้าของภาษานน้ั ได้ อย่างถ่องแท้ และสามารถใช้ภาษาน้นั ๆ เพื่อประโยชนใ์ นการประกอบอาชีพและศกึ ษาต่อในระดบั ต่อไป แนวคดิ พืน้ ฐานของการเรียนการสอนภาษาจีน การเรียนการสอนภาษา เปน็ กระบวนการท่ีต้องอาศยั ความสมั พันธ์ระหวา่ งผ้เู รยี นกบั ผู้สอน ตลอดจนกระบวนการเรียนการสอนซ่งึ มีพื้นฐาน ทฤษฏี วธิ กี ารต่างๆมากมาย ไดแ้ ก่ การศกึ ษาเนื้อหา ของภาษา ความหลากหลายของวฒั นธรรม ประเพณี และการวเิ คราะหก์ ารปฏสิ มั พันธ์ที่มีต่อกัน จึงทาให้เกดิ ความหลากหลายของแนวคิดขน้ึ และก่อให้เกิดวธิ สี อนท่มี ีความแตกต่างกนั ออกไป ดังน้ัน การกาหนดแนวทางในการจดั การเรียนการสอน ผู้สอนจึงต้องมีแนวคิด กระบวนการสอนและวธิ ีสอน ทด่ี ี ผ้สู อนตอ้ งมคี วามเขา้ ใจอย่างถ่องแท้อกี ดว้ ย อีกท้ังกลวธิ ีสอนที่ใช้ควบคู่ไปกบั วธิ กี ารสอน กลวธิ ี ท่ีใช้จะต้องมีความสอดคล้องกบั วธิ ีการสอน และแนวคดิ ทีเ่ ลือกไว้ เพือ่ ส่งผลให้ผูเ้ รียนเกิดความสนใจ สนกุ สนาน นาไปสูก่ ารเรยี นรู้ทีด่ เี กดิ ขน้ึ แนวคดิ หมายถึง ทฤษฎี หลักการหรือความเช่ือต่างๆ เก่ยี วกบั ธรรมชาติของภาษา น่ันคือ ลกั ษณะพน้ื ฐานของระบบภาษา และความเช่อื เก่ยี วกบั ธรรมชาติของการเรียนร้ทู างภาษา ซ่ึงก็คือ กระบวนการเรียนร้ภู าษาและปจั จัยตา่ งๆ ที่มีต่อการเรียนรู้ทางภาษา แนวคดิ จึงเปน็ พ้ืนฐานที่สาคัญท่ี ชว่ ยใหผ้ ู้สอนปฏบิ ัติต่อผูเ้ รียนไดอ้ ยา่ งเหมาะสม และช้ใี ห้เห็นถึงผลสมั ฤทธิข์ องผเู้ รยี นที่คาดไว้ แนวคดิ ยังเป็นแนวทางสาหรับผสู้ อนในการตดั สินใจกาหนดเปา้ หมายและเนือ้ หาของการเรียนการสอน ตลอดจนการเลือกกจิ กรรมการสอนอกี ดว้ ย

29 วธิ ีสอน หมายถึง แผนกระบวนการในการนาเสนอเน้ือหาของการเรียนการสอน วิธกี ารสอนน้ี จะตอ้ งตัง้ อยบู่ นพืน้ ฐานของแนวคดิ ทีไ่ ดเ้ ลือกไว้แลว้ จะประกอบด้วยจดุ ม่งุ หมายเฉพาะของการเรยี น การสอน เกณฑ์การคัดเลือกและจดั ลาดับเนื้อหา รปู แบบของการนาเสนอเนื้อหา บทบาทของผ้เู รยี น และผสู้ อน สือ่ อุปกรณ์ประกอบการเรียนการสอน ท้ังหมดน้ตี อ้ งสอดคลอ้ งกบั แนวคิดทเ่ี ลือกไว้ กลวธิ สี อน หมายถงึ กลวิธี และกิจกรรมต่างๆ ท่ีใช้ควบคู่ไปกบั วิธสี อนแต่ละวธิ ี หรอื ควบค่ไู ป กับกระบวน หรอื ขัน้ ตอนต่างๆ ของการเรียนการสอน กลวธิ ที ่ีใชจ้ ะตอ้ งสอดคล้องกลมกลนื กบั วธิ ีสอน และแนวคิดทเี่ ลือกไว้ (สมุ ิตรา องั วฒั นกุล , 2540) ผู้วิจัยพอสรุปไดว้ า่ ปัจจุบันการเรียนภาษาจีนเปน็ ทน่ี ิยมเป็นอย่างมากเน่ืองจากความกา้ ว กระโดดทางด้านเศรษฐกิจ สงั คม อตุ สาหกรรม เทคโนโลยี วัฒนธรรม ในประเทศไทยมีการลงทนุ ของ นกั ลงทนุ ชาวจีนเปน็ จานวนมาก ทาใหต้ ลาดแรงงานต้องการผูท้ สี่ ามารถใชภ้ าษาจีนในการส่ือสารได้ ยิ่งทาให้ภาษาจนี เป็นภาษาท่ีได้รบั ความสนใจจากนักเรยี นและนักศึกษาเป็นจานวนมาก ในการเรยี นรู้ ภาษาจีนทดี่ นี ้นั ต้องเรียนรู้ในดา้ นไวยากรณ์ คาศัพท์ ระบบเสยี ง และการเขยี นภาษาจนี ให้ถกู ต้อง ตามลาดบั ขีด การเรียนรูภ้ าษาตา่ งประเทศ ผเู้ รยี นและผ้สู อนควรที่จะศึกษาถงึ ขนบธรรมเนียม วัฒนธรรม และประเพณี ความเชื่อต่างๆ ของเจ้าของภาษาไปดว้ ย ท่ีมีความหลากหลายก่อให้เกิด วิธีการเรยี นการสอนทด่ี ี ผ้สู อนสามารถนาวธิ ีการสอนแนวคดิ ตา่ งๆ มาใชเ้ พ่ือให้ผ้เู รียนเกิดความสนใจ และนาไปสู่การเรยี นร้ทู ี่ดเี กิดขน้ึ การเรียนรู้ภาษาจนี ภาษาจนี ในปจั จบุ ันนับว่ามีความสาคัญและมบี ทบาทเพมิ่ มากขึน้ การจดั การเรยี นการสอนจงึ เปน็ ส่งิ สาคญั และการเรียนรู้ภาษาจีนท่ีดีมีดังนี้ 1. ด้านไวยากรณ์ ซ่งึ มคี วามได้เปรยี บมากสาหรับผ้เู รยี นชาวไทย เนอื่ งจาก ภาษาจีนมี รูปแบบประโยคพน้ื ฐานท่ีคลา้ ยกับภาษาไทยมาก โดยประกอบด้วย ประธาน ตามดว้ ยภาคแสดง ซ่ึงอาจจะเป็นกรยิ าหรือคาคุณศัพทแ์ ละกรรม ซ่งึ คลา้ ยคลึงกับภาษาไทย คือ มีประธานแลว้ ตอ่ ด้วย กรยิ าและกรรม 2. ดา้ นคาศัพท์ ซึ่งคาศัพท์ในการเรยี นการสอนควรใชค้ าศัพท์พ้นื ฐานง่ายๆ เพ่ือทจ่ี ะสามารถ ใชใ้ นชีวิตประจาวันได้ เพื่อให้ผู้เรียนเหน็ ความสาคัญในการเรียน และเม่อื มคี วามเช่ียวชาญชานาญ เพ่มิ มากขึ้นจงึ ศกึ ษาคาศัพท์ภาษาจีนที่สนใจเพมิ่ เติม 3. ด้านระบบเสียง สทั อักษรภาษาจนี หรอื HANYU PINYIN เป็นสัทอักษรท่ีใชอ้ ักษรละตนิ กากบั เสยี งอ่านของภาษาจนี (อกั ษรจนี ) เปน็ เคร่ืองมือ ที่สาคัญในการศกึ ษาระบบเสยี งภาษาจนี ท่มี ี ประสิทธภิ าพแบบหนง่ึ อักษรละตนิ เป็นอักษรสากล ท่ีนานาชาติใชเ้ ปน็ อักขระเขียนภาษาของตนเอง

30 มปี ระเทศต่างๆ กว่า 60 ประเทศทใี่ ช้อกั ขระ ละตินเขียนภาษาของตน สทั อักษรภาษาจนี กาหนดข้ึน ตามระบบเสียงของภาษาจนี สทั อักษรจะสามารถช่วยได้ในเร่อื งการอา่ น การพูด มีทกั ษะดีข้ึน 4. ดา้ นการเขียนตัวอักษรจีน เนอื่ งจากภาษาจีนมีระบบในการเขยี น ซึ่งจาเปน็ ต้องเขยี น ตามลาดับขั้นตอน เปน็ ส่งิ ทีย่ ากท่สี ดุ สาหรับผู้เรยี นแตใ่ นความยากกม็ ีลกั ษณะพิเศษของการเขียน เพอื่ ใหผ้ เู้ รยี นทาความเข้าใจ และค่อยๆ สร้างความค้ยุ เคยกบั การเขยี นภาษาจนี ควรเร่ิมต้นจากการ ร้จู กั อกั ษรภาพ ซึง่ เปน็ ต้นกาหนดของตัวหนงั สือจีนเสียก่อน เม่ือรจู้ ักอักษรภาพแลว้ การเขียนภาษาจนี กจ็ ะงา่ ยขึ้น นอกจากนี้ความแปลกใหม่ ความสนุกสนานของตวั อักษรภาพยงั สามารถดึงดูดความสนใจ ของนักเรยี นได้อกี ดว้ ย ทาให้ผ้เู รยี นเขา้ ใจการเขยี นภาษาจีนไดอ้ ยา่ งถกู ต้อง (任景文 , 2545) จริ านวุ ัฒน์ สวัสดนิ์ ะที ไดก้ ล่าวว่า การเรยี นภาษาโดยปกติจะมกี ารเรยี งลาดับ ฟัง พูด อ่าน และเขยี น ซ่งึ ต่างจากการเรยี นภาษาจนี ท่จี ะเรม่ิ จากการฟัง เขยี น อา่ นและพดู ในส่วนของการฟัง อาจเริ่มจากการฟัง ฟังคาศัพทท์ ตี่ ้องการศกึ ษา ตอ่ มาไปในเรอื่ งของการเขยี น เมื่อรู้คาศัพทแ์ ลว้ มาการ เขียนเนอ่ื งจาก การเขียนอักษรจีนมีการเขยี นตามลาดบั ขีด ฝึกเขียนทุกวนั จนคลอ่ งมอื เมื่อเขยี นไดก้ ็ มาในสว่ นของการอ่าน ฟังแลว้ มาเขียนและหัดอา่ นออกเสียงให้ชดั เจน จนสามารถออกเสียงไดช้ ดั เจน อาจมีการหัดพูดแลกเปล่ยี นพูดคุยกับเจ้าของภาษา และเพ่ือเป็นการฝึกภาษาผูเ้ รียนควรฟังรายการ วทิ ยุ ดรู ายการทช่ี อบ มีการแลกเปล่ียนพดู คุยกับเจ้าของภาษา เพื่อเปน็ การฝึกภาษาให้ดีมากยิง่ ข้นึ อกั ษรจีน วธิ ีการเขยี นอักษรจนี นพพิชญ์ ประหวัน่ (2547) อักษรจนี เปน็ สิ่งยากสาหรับการศกึ ษาภาษาจนี อักษรจีนมี ลกั ษณะที่พิเศษคือเปน็ อักษรท่มี วี วิ ัฒนาการมาจากภาพซง่ึ บางครัง้ เรียกวา่ อกั ษรภาพในภาษาจนี เรียก อักษรจีนวา่ “方块字” หมายถึงอักษรท่มี ลี ักษณะเป็นรปู สี่เหลยี่ ม รปู ลักษณะของอกั ษรจนี แยกเป็นสว่ นประกอบสาคญั 2 ส่วน คือ 1. เส้นขีด 笔画 ลักษณะขีดของตวั อกั ษรจีนมลี ักษณะทเี่ ปน็ ขีดพื้นฐานอยู่ 5 ลกั ษณะ และ จากลกั ษณะดังกลา่ วนี้ยงั ดัดแปลงไปเปน็ รปู รา่ งอนื่ ๆ อกี กว่า 20 ลักษณะดว้ ยกัน อักษรจนี นับหมน่ื นบั แสนตัวนั้น เมือ่ แยกออกมาเป็นส่วนยอ่ ย กจ็ ะไดล้ ักษณะขดี ตา่ งๆ การประกอบขีดต่างๆ เขา้ เปน็ ตัวอักษรน้นั จะต้องประกอบกันอยา่ งมีระบบ และอักษรแต่ละตัวกไ็ ม่ได้ประกอบกันโดยใช้ขดี ต่างๆ ท่ี มอี ยทู่ ง้ั หมด ตัวอักษรจนี สว่ นใหญป่ ระกอบด้วยสว่ นสาคญั สองส่วนหรอื อาจจะมากกวา่ และแตล่ ะ ส่วนกจ็ ะประกอบดว้ ยขีดต่างๆ กัน อาจจะมากถึง 10 ขดี หรอื อาจจะมีเพยี งแคข่ ดี เดยี ว

เสน้ ขดี ของอกั ษรจีน 名称 31 笔画 ชอื่ เรียก เสน้ ขีด 例子 diǎn ตัวอย่างอักษร 丶 点 广 一 王 héng 巾 丨 白 丿 横 八 打 ㄑ shù 巡 し 农 竖 论 亅 承 亅 piě 小 乚 屯 撇 浅 乛 心 nà 写 ㄋ 月 捺 九 ┐ 那 tí 奶 与 提 四 沿 piě diǎn 口 撇点 shù t í 竖提 héngzhé t í 横 折提 wān gōu 弯钩 shù gōu 竖钩 shùwān gōu 竖弯 钩 xié gōu 斜钩 wò gōu 卧钩 héng gōu 横钩 héngzhé gōu 横折钩 héngzhé wāngōu 横 折 弯钩 héngpiě wāngōu 横撇 弯钩 héngzhé zhézhégōu 横 折 折折钩 shùzhé zhégōu 竖折 折钩 shù wān 竖弯 héngzhé wān 横折 弯 héng zhé 横折

32 笔画 名称 例子 สน้ ขีด ช่อื เรยี ก ตัวอยา่ งอักษร ∟ shù zhé 山 云 ㄥ 竖折 水 建 piě zhé 专 撇折 héng piě 横撇 héngzhé zhépiě 横 折 折撇 shùzhé piě 竖折 撇 ภาพประกอบ 2 เสน้ ขีดอักษรจนี ที่มา http://www.jiewfudao.com/index.php?lay=show&ac=article&Id=538714125&Ntype=16 2. การประกอบเป็นตัวอกั ษร 结构 ส่วนประกอบเหล่านเ้ี ป็นเหมอื นชน้ิ สว่ นอุปกรณต์ า่ งๆ ของตัวอกั ษรจนี เม่ือนาชนิ้ สว่ นตา่ งๆ มาประกอบกนั เข้าอย่างมีระบบระเบยี บกจ็ ะได้เปน็ อักษรจีนมากมาย เชน่ 张 ประกอบด้วย 2 ส่วน สาคัญ คือ 弓 กับ 长 และสองส่วนนีป้ ระกอบเข้ากันโดยส่วนหน่ึงวางอยูด่ า้ นซ้ายอีกสว่ นวางอยู่ ด้วยขวา ส่วนทอ่ี ยดู่ ้านซา้ ยจะเปน็ สว่ นสาคัญท่ีเรยี กว่า ส่วนหมวดนา 部首 ท่ีเราจะสามารถ นาไปใช้ในการค้นหาคาจากในพจนานุกรมภาษาจีน การแยกเปน็ สว่ นประกอบเช่นนี้ จะเป็นประโยชน์ ต่อการศกึ ษาและจดจาแยกแยะตัวอกั ษรจนี ได้เปน็ จานวนมาก การประกอบเปน็ ตัวอักษร 汉字结构 ลักษณะการประกอบอักษรจีน คือข้ันตอนหรือ ลาดบั ของการนาชิน้ สว่ นตา่ งๆ มาประกอบกันเข้าใหเ้ ป็นอักษรแต่ละตัว ซ่ึงมีลักษณะทสี่ าคัญ นพพชิ ญ์ ประหว่ัน (2547) ดังนี้ 1. ประกอบจากสว่ นบนไปหาสว่ นล่าง เชน่ 雷(雨 雷) 炎(火 炎) 2. ประกอบจากส่วนบนไปกลางแล้วส่วนลา่ ง เชน่ 翼(羽 翼 翼) 意(立 音 意) 3. ประกอบจากสว่ นซา้ ยไปหาสว่ นขวา เช่น 休(亻休) 捕(扌 捕)

33 4. ประกอบจากสว่ นซา้ ย สว่ นกลาง ส่วนขวา เช่น 辨(辨 辨 辨) 树(木树树) 5. ประกอบจากสว่ นหน่งึ ครอบคลุมอีกส่วนหน่ึง เช่น 句(勹 句) 医(匞 医) 6. ประกอบแบบตวั อักษร 品 เช่น 晶,磊,聂,森 ในแตล่ ะสว่ นของอักษรจีนนั้น การเขียนจะต้องเขียนตามลาดบั กอ่ นหลงั ของขดี ต่างๆ ซง่ึ ใน ภาษาจนี เรยี กว่า 笔顺 ลาดับกอ่ นหลงั 笔顺 หรอื ลาดบั ก่อนหลังของอักษรจีนนเี้ ป็นลกั ษณะ พิเศษทมี่ ีขึ้นมาเพ่ือใหเ้ หมาะสมกบั การเขยี นอักษรจีนโดยเฉพาะ หรือจะกลา่ ววา่ เป็นบทสรุปของ ประสบการณ์ของการเขยี นอักษรจนี ของผู้ใชอ้ ักษรจีน การเขียนอักษรจีนอย่างมลี าดับน้ี ทาให้การ เขยี นสะดวก รวดเร็ว งา่ ยและคล่องมือ โครงสร้างอกั ษรจีน 汉字结构 โครงสร้างของตวั อักษรจีน เป็นสิง่ ทจี าเป็นท่จี ะตอ้ งรู้และจา เพราะนอกจากจะทาให้เขียน ตวั อกั ษรจนี ไดถ้ ูกตอ้ งแลว้ ยงั มคี วามสาคัญในการมสี ว่ นชว่ ยในการเปดิ พจนานกุ รมอีกด้วย โครงสร้าง อักษรจนี สามารถแบง่ ได้ 14 รปู แบบ (นพพชิ ญ์ ประหวั่น, 2547) ดังนี้ 1. โครงสร้างซา้ ยขวา เชน่ 挣、伟、休、妲 2. โครงสร้างบนล่าง เชน่ 志、苗、字、胃 3. โครงสรา้ งซ้ายกลางขวา เช่น 彬、湖、棚、椭 4. โครงสรา้ งบนกลางล่าง เช่น 奚、髻、禀、亵 5. โครงสรา้ งขวา คลมุ ครง่ึ บนเช่น 句、可、司、式 6. โครงสร้างซ้าย คลุมคร่งึ บน เชน่ 庙、病、房、尼 7. โครงสรา้ ง ซ้าย คลมุ ครง่ึ ล่าง เชน่ 建、连、毯、尴 8. โครงสร้าง ขวา คลุมครง่ึ ล่าง เชน่ 斗 9. โครงสร้างครอบบน เช่น 同、问、闹、周 10. โครงสรา้ งครอบลา่ ง เช่น 击、凶、函、画 11. โครงสรา้ งครอบข้างซ้าย เช่น 区、巨、匝、匣 12. โครงสร้างกรอบครอบ เช่น 囚、团、因、囹