Important Announcement
PubHTML5 Scheduled Server Maintenance on (GMT) Sunday, June 26th, 2:00 am - 8:00 am.
PubHTML5 site will be inoperative during the times indicated!

Home Explore (33)O-NET วิทย์ ม.3 58 - 62

(33)O-NET วิทย์ ม.3 58 - 62

Published by singburiprovin, 2020-11-07 02:47:04

Description: (33)O-NET วิทย์ ม.3 58 - 62

Search

Read the Text Version

แนวข้อสอบ O-NET วทิ ยาศาสตร์ ชนั้ มัธยมศกึ ษาปีท่ี 3 ปกี ารศกึ ษา 2558 – 2562 ทจ่ี ำแนกและจัดตามระบบมาตรฐานและตัวชวี้ ดั แลว้ สำหรับครู นำไปจดั ให้นกั เรยี นไดฝ้ กึ ทำเปน็ แบบฝกึ หัด อย่างสอดคลอ้ งกบั การสอนตามปกติ เอกสารลำดับท่ี 33 / 2563 สำนกั งานศึกษาธิการจังหวัดสิงห์บรุ ี



คำนำ ตามทส่ี ำนกั งานศึกษาธิการจงั หวัดสิงห์บรุ ี และโรงเรียนเอกชนในจังหวัดสงิ หบ์ ุรี ไดจ้ ดั ทำบันทึกข้อตกลงความ ร่วมมือ (Memorandum of Understanding : MOU ) ร่วมกัน เพื่อยกระดับผลสัมฤทธิ์การสอบระดับชาติ (O-NET) นั้นเรียนชั้น ป.6 และ ม.3 โดยมีข้อตกลง โดยสรุปว่าให้โรงเรยี นดำเนินการพัฒนาการเรียนการสอน ตามแนวทางการ พ ั ฒ น า ท ี ่ ย ั ่ ง ย ื น เ พ ื ่ อ ใ ห ้ ส ่ ง ผ ล ต ่ อ ก า ร ย ก ร ะ ด ั บ ผ ล ส ั ม ฤ ท ธ ิ ์ ก า ร ส อ บ ร ะ ด ั บ ช า ติ (O-NET) แบบยั่งยนื ตามทรี่ ะบไุ วใ้ น บนั ทึกข้อตกลงความร่วมมอื (Memorandum of Understanding : MOU ) และ ในสว่ นของสำนกั งานศึกษาธิการจงั หวัดสิงห์บุรี มหี นา้ ทสี่ นบั สนุนให้โรงเรยี นดำเนินการให้บรรลุตามเป้าหมายที่กำหนด ไว้ในบันทกึ ข้อตกลงความรว่ มมอื ดังกล่าว ในการดำเนนิ ดังกลา่ วข้างต้น ทมี ศกึ ษานิเทศก์ และนักวชิ าการ สำนกั งานศึกษาธิการจงั หวัดสิงห์บุรี และคณะ ครูโรงเรียนเอกชนในจังหวัดสิงห์บุรี ได้ร่วมมือกันดำเนินการจัดทำวิเคราะห์ข้อสอบ O-NET ปี 2558-2562 วิชา ภาษาไทย ภาษาอังกฤษ คณิตศาสตร์ และวิทยาศาสตร์ โดยจำแนกเป็นรายมาตรฐานการเรียนรู้/ตัวชี้วัด สำหรับให้ ครูผู้สอนนำไปใช้สอดแทรกอย่างกลมกลืน ในการจัดการเรียนการสอนตามปกติตามแผนการสอน โดยทำเป็น แบบฝึกหัด ครั้งละ 2 - 3 ข้อ อย่างสอดคล้องกับตัวชี้วัดในแผนการสอนนั้น ๆ เพื่อให้นักเรียนได้ ฝึกอ่านโจทย์คำถาม แนว O-NET ทกุ วนั วนั ละเลก็ วนั ละน้อย เพ่อื สะสมความรโู้ ดยไม่ให้นกั เรยี นรู้สกึ เบอ่ื หนา่ ยข้อสอบ O-NET บัดนี้การวิเคราะห์ รวบรวม และจัดพิมพ์ ข้อสอบ O-NET ปี 2558-2562 นักเรียนชั้น ป.6 และ ม.3 วชิ า ภาษาไทย ภาษาอังกฤษ คณิตศาสตร์ และวทิ ยาศาสตร์ ไดเ้ สร็จเรียบร้อยแลว้ ขอขอบคณุ ทีมงานศึกษานิเทศก์ นกั วชิ าการ และคณะครผู ้จู ัดทำทุกท่าน สำนักงานศึกษาธิการจังหวัดสิงห์บุรี หวังเป็นอย่างยิ่งว่า เอกสารข้อสอบแนว O-NET ที่จัดทำขึ้นนี้จะเป็น ประโยชน์ ในการดำเนินการยกระดับผลสัมฤทธิ์การสอบระดับชาติ (O-NET) แบบยั่งยืน ของทุกโรงเรียน และขอให้ ครผู ู้สอนในวิชาท่เี กี่ยวข้องดังกล่าวนำไปใชใ้ หเ้ กิดประโยชนแ์ ก่นักเรียน และบรรลเุ ป้าหมายการการยกระดับผลสัมฤทธิ์ การสอบระดับชาติ (O-NET) แบบยัง่ ยนื ตามท่ีระบไุ วใ้ นบันทกึ ขอ้ ตกลงความรว่ มมือ ( นายธนู อกั ษร ) ศึกษาธิการจังหวัดสิงหบ์ ุรี พฤศจิกายน 2563

1 ชุดที่ 1 ปกี ารศึกษา 2558 - 2559

2 1. (ว.1.1 ม.1/4) นำเซลล์ชนดิ เดียวกัน ขนาดเท่ากนั ไปใสใ่ นสารละลาย A B และ C ท่ีมคี วามเข้มข้นแตกตา่ งกนั เปน็ เวลานานเท่าๆ กนั ไดผ้ ลดงั ภาพ จงเรียงลำดับความเข้มขน้ ของสารละลาย A B และ C จากความเขม้ ขน้ น้อยทีส่ ดุ ไปมากท่ีสุด 1. A B C 2. A C B 3. B A C 4. C A B 2. (ว.1.1 ม.1/4) การทดลองเพอ่ื ศกึ ษาการแพร่ของดา่ งทบั ทมิ 3 ชุดทดลอง ไดผ้ ลการสงั เกตดงั น้ี ชดุ ท่ี ตัวอย่าง ผลการสังเกต 1A สมี ว่ งของดา่ งทบั ทิม กระจายไปทกุ ทิศทุกทาง อยา่ งช้าๆ 2 B สีมว่ งของดา่ งทับทิมค่อยๆ กระจายไปทกุ ทิศทุกทาง อยา่ งช้าๆ 3 ไมม่ ีสารตวั กลาง อนุภาคของด่างทับทิมไม่มีการเคล่อื นท่ี ตัวแปรต้นของการทดลองนี้คืออะไร 1. ปรมิ าณของด่างทับทมิ 2. ขนาดอนภุ าคของด่างทบั ทิม 3. ชนิดของสารตวั กลาง 4. อัตราในการแพร่ของด่างทับทิม 3. (ว.1.1 ม.1/5) พิจารณาตารางปจั จยั การสงั เคราะห์ดว้ ยแสงของพืชชนิดเดียวกนั มจี ำนวนใบเทา่ กนั จำนวน 4 ตน้ ดังนี้ ต้นที่ ระยะเวลาทไี่ ด้รับแสง ปรมิ าตรนำ้ ที่ได้รับ ปรมิ ารแกส๊ คาร์บอนไดออกไซด์ที่ไดร้ ับ (ชัว่ โมง) (ลูกบาศก์เซนติเมตร) (ลูกบาศก์เซนติเมตร) 10 10 2 26 0 3 38 0.5 0 4 12 0.5 3 พืชต้นได้สังเคราะหแ์ สงได้ดีท่ีสดุ 1. ตน้ ที่ 1 2. ต้นท่ี 2 3. ตน้ ที่ 3 4. ตน้ ที่ 4 4. (ว.1.1 ม.1/5) พจิ ารณาสิง่ มีชีวติ ตอ่ ไปน้ี แลว้ ตอบคำถาม เฟิร์น หม้อขา้ วหม้อแกงลงิ บัว ผักกาดขาว สงิ่ มีชวี ติ ในข้อใดสังเคราะห์ดว้ ยแสงได้ทงั้ หมด 1. เฟริ ์น กับ บวั เท่าน้นั 2. บัว กับ ผกั กาดขาว เท่านน้ั 3. เฟิร์น บวั และผกั กาดขาว เท่านนั้ 4. เฟริ น์ บัว ผกั กาดขาว และหมอ้ ข้าวหมอแกงลงิ

3 5. (ว.1.1 ม.1/6) พจิ ารณาสมการการสงั เคราะหด์ ว้ ยแสง แลว้ ตอบคำถาม ข้อใดกลา่ วถงึ แก๊ส A และ B ได้ถกู ต้อง ขอ้ แกส๊ A แกส๊ B ข้อ แก๊ส A แกส๊ B 1. ทำใหไ้ ฟติด ทำให้นำ้ ปนู ใสขุน่ 2. ทำใหน้ ้ำปูนใสขุน่ ได้จากการหายใจของสตั ว์ 3. ทำให้น้ำปูนใสขนุ่ ใชใ้ นการหายใจของพชื 4. ทำใหไ้ ฟตดิ ใชใ้ นการหายใจของสัตว์ 6. (ว.1.1 ม.1/13) ขอ้ ใดไมเ่ ป็นการใชเ้ ทคโนโลยีชีวภาพเพ่ือการดำรงชีวิตของมนุษย์ 1. การขยายพันธุ์ไมผ้ ลเศรษฐกจิ ดว้ ยการเพาะเลย้ี งเนื้อเยื่อ 2. การผลิตจุลนิ ทรีย์ดัดแปรพันธกุ รรมเพ่ือใชบ้ ำบัดน้ำเสยี 3. การสงั เคราะหเ์ สน้ ใยผา้ จากปโิ ตรเลยี ม เพ่อื ใชแ้ ทนเส้นใยจากพชื 4. การพสิ จู น์เอกลักษณบ์ ุคคลดว้ ยการตรวจ ดี เอน เอ 7. (ว.1.1 ม.2/1) เดก็ หญงิ เดือน เจบ็ ปว่ ยงา่ ย มภี มู คิ ้มุ กันโรคตำ่ ขอ้ ใดอธบิ ายเกย่ี วกับเลือดของเด็กหญิงเดือนได้ถูกต้อง 1. เมด็ เลือดขาวต่ำกว่าปกติ 2. เมด็ เลอื ดขาวสูงกวา่ ปกติ 3. เกลด็ เลือดตำ่ กว่าปกติ 4. เกลด็ เลอื ดสูงกว่าปกติ 8. (ว.1.1 ม.1/11) นายดำนำตน้ มะมว่ งท่ีมรี สชาตมิ นั มาขยายพนั ธ์ปุ ลูกต่อไว้หลายตน้ เม่ือได้จงึ นำผลมาตน้ ละ 1 ผล แลว้ รบั ประทานพบว่า ผลจากต้นที่ 1 มรี สชาตจิ ืด ผลจากตน้ ท่ี 2 มีรสชาตมิ ัน ผลจากต้นท่ี 3 มีรสชาติเปรยี้ ว นายดำได้สรปุ วิธีการปลูกต้นมะมว่ งไวด้ ังนี้ ก. ต้นที่ 1 ปลกู โดยใชต้ ้นท่ไี ด้จากการตดิ ตา ข. ตน้ ท่ี 2 ปลกู โดยใช้ต้นทไ่ี ด้จากการทาบกิง่ ค. ตน้ ท่ี 3 ปลกู โดยใช้ต้นทีไ่ ด้จากการเพาะเมล็ด ง. ท้ัง 3 ตน้ ปลกู โดยใชต้ ้นทไ่ี ดจ้ ากการตอน ข้อใดเป็นข้อสรุปท่นี า่ เช่อื ถือ 1. ก และ ข 2. ข และ ค 3. ค และ ง 4. ง และ ก

4 9. (ว.1.1 ม.2/1) พจิ ารณาภาพทางเดินอาหารของมนุษย์ แลว้ ตอบคำถาม การยอ่ ยแป้งด้วยเอนไซม์อะไมเลสแล้วไดน้ ้ำตาลกลูโคส เกิดขนึ้ ท่ีส่วนใด 1. ก และ ข 2. ก และ ง 3. ข และ ค 4. ค และ ง 10. (ว.1.1 ม.2/4) ขอ้ ใดอธิบายกรรมวธิ ีของแตล่ ะเทคโนโลยีชวี ภาพไมถ่ กู ต้อง 1. พันธวุ ิศวกรรม-การนำเอายีนเรืองแสงของแบคทเี รยี ใสใ่ ห้กบั เซลลข์ องหนู 2. การผสมเทยี ม-การผสมพนั ธ์ุปลาทับทิมโดยไม่ต้องอาศัยการปฏสิ นธติ ามธรรมชาติ 3. การโคลน-การนำนิวเคลยี สของเซลล์ไขข่ องสนุ ขั พนั ธ์ุหนง่ึ มาเล้ียงให้แบง่ เชลล์เพิ่มมากข้ึน 4. การถ่ายฝากตัวออ่ น-การนำตัวอ่อนของวัวท่เี กดิ จากแม่พันธ์ุตวั หนึ่งไปใส่ในมดลกู ของแม่พันธุ์อีกตัวหนงึ่ เพ่ือให้อ้มุ ท้อง 11. (ว.1.1 ม.2/1) นกั เรียนคนหน่งึ กำลงั เค้ยี วอาหาร (1) เออื้ มมือไปตักแกงจดื พลาดไปสมั ผัสกบั ชาม แกงจดทรี่ ้อนจึงชักมอื กลับทันที (2) ด้วยความตกใจทำให้ หัวใจเตน้ แรง (3) พฤติกรรมของนักเรียนคนนี้ เฉพาะคำท่ีขดี เสน้ ใตส้ มั พันธก์ บั ระบบใด เรยี งตามลาดับ ขอ้ พฤติกรรม (1) พฤตกิ รรม (2) พฤติกรรม (3) 1. ย่อยอาหาร ประสาท หมนุ เวยี นเลือด 2. ย่อยอาหาร กลา้ มเนอ้ื หายใจ 3. โครงกระดูก ประสาท หายใจ 4. ประสาท กล้ามเนอ้ื หมนุ เวียนเลอื ด 12. (ว.1.1 ม.2/5) พจิ ารณาปริมาณสารอาหารทเ่ี ป็นองค์ประกอบของอาหารชนดิ ตา่ ง ๆ แลว้ ตอบคำถาม ชนดิ อาหาร ปริมาณสารอาหาร (g) นำ้ โปรตนี คารโ์ บไฮเดรต ไขมัน ชนิดที่ 1 200 100 50 400 ชนดิ ที่ 2 150 120 100 300 ชนิดที่ 3 100 150 120 200 ชนิดที่ 4 80 200 110 100

5 กำหนดให้ โปรตีนใหพ้ ลังงาน 4 กิโลแคลอรตี ่อกรัม คาร์โบไฮเดรตให้พลังงาน 4 กิโลแคลอรีต่อกรัม ไขมันให้พลงั งาน 9 กโิ ลแคลอรตี อ่ กรมั อาหารชนดิ ใดให้พลงั งานสูงที่สดุ และต่ำท่ีสุด ตามลำดับ 1. ชนิดท่ี 1 ชนิดที่ 2 2. ชนดิ ที่ 2 ชนดิ ท่ี 3 3. ชนิดที่ 3 ชนดิ ท่ี 4 4. ชนิดท่ี 4 ชนิดท่ี 1 13. (ว.1.1 ม.2/5) โภชนาการทดสอบอาหารเสริมทเี่ ป็นของเหลวใส 2 ชนิด ตามขั้นตอนดังแสดงในแผนภาพ ถ้าโภชนาการตอ้ งการจดั อาหารเสริมใหผ้ ปู้ ว่ ยเบาหวานควรเลอื กอาหารเสรมิ ชนิดใด เพราะเหตใุ ด 1. อาหารเสรมิ ก. เพราะทำปฏิกิริยากับสารละลายเบเนดิกต์ 2. อาหารเสรมิ ข. เพราะทำปฏิกริ ิยากบั สารละลายเบเนดิกต 3. อาหารเสริม ก. เพราะไม่ทำปฏิกริ ยิ ากับสารละลายเบเนดกิ ต์ 4. อาหารเสรมิ ข. เพราะไม่ทำปฏกิ ริ ยิ ากับสารละลายเบเนดิกต์ 14. (ว.1.1 ม.3/3) พิจารณาอาการของโรคต่อไปนี้ แลว้ ตอบคำถาม อาการท่ี 1 อาการตาช้ีขึ้น ลิ้นจุกปาก ดัง้ จมูกแบน นิว้ มือส้ันป้อม การพัฒนาทางสมองชา้ อาการท่ี 2 อาการซีด ตาเหลือง ผิวหนงั ดำคล้ำ ร่างกายเจริญเตบิ โตช้ากวา่ ปกติ อาการที่ 3 ภาวะตาบอดสี เหน็ สแี ดง สีเขยี วหรือสีนำ้ เงินผิดแตกตา่ งไปจากคนปกติ

6 ข้อใดสรุปเกีย่ วกบั อาการทงั้ สาม ได้ถูกต้อง (2 คำตอบ) 1. อาการท่ี 1 เปน็ อาการของผู้ป่วยกลุม่ อาการดาวน์ทมี่ คี วามผิดปกติบนโครโมโซมร่างกาย 2. อาการท่ี 2 เปน็ อาการของโรคทาลัสซีเมยี ทีม่ ีความผดิ ปกติทีย่ ีนบนโครโมโซมเพศ 3. อาการที 3 เปน็ อาการของโรคตาบอดสที ม่ี ีความผดิ ปกติทย่ี ีนบนโครโมโซมเพศชายเท่านั้น 4. อาการที่ 1 เป็นความผดิ ปกติบนโครโมโซมเพศชายและเพศหญงิ 5. อาการที่ 2 เป็นความผดิ ปกติที่ยีนบนโครโมโซมรา่ งกายท้งั เพศชายและเพศหญิง 6. อาการท่ี 3 เป็นความผดิ ปกตทิ ่ยี ีนบนโครโมโซมเพศชาย (y) และเพศหญิง (x) 15. (ว.1.2 ม.3/2) ชายหนมุ่ คนหน่ึงมีลักษณะผิวดำพนั ธแ์ุ ท้ แตง่ งานกบั หญิงสาวผวิ ขาว มลี ูก 2 คน ลกู ทง้ั สองมโี อกาสเป็นแบบใด 1. ผิวดำทงั้ หมด 2. ผิวขาวท้ังหมด 3. ผวิ ดำ หรอื ขาวก็ได้ 4. คนหนง่ึ ผวิ ดำ อกี คนหนึ่งผิวขาว 16. (ว.1.2 ม.3/2) ผสมถัว่ ดอกสมี ่วงกับดอกสขี าว ได้ลกู ร่นุ แรก (F1) เป็นสีมว่ งทั้งหมด นำ F1 ผสมกนั เอง ไดล้ กู ร่นุ ที่ 2 (F2) มีลกั ษณะเด่น : ลกั ษณะดอ้ ย = 3 : 1 ขอ้ ใดสรปุ ไดถ้ ูกต้อง (2 คำตอบ) 1. ดอกสมี ่วงเป็นลกั ษณะด้อย ดอกสีขาวเป็นลกั ษณะเด่น 2. ลูกรนุ่ แรก (F1) มลี กั ษณะเดน่ ท้ังหมด 3. F1 มีลักษณะเปน็ สีม่วงและสีขาว 4. F2 มีลกั ษณะเป็นดอกสีม่วงท้งั หมด 5. F2 มลี กั ษณะเปน็ ดอกสีมว่ งกับดอกสีขาว 6. F2 ไดด้ อกสีขาว : ดอกสีมว่ ง = 3 : 1 17. (ว.1.2 ม.3/2 ม.3/3) พจิ ารณาแผนภาพแลว้ ตอบคำถาม ชายหญิงคนู่ ม้ี โี อกาสมีลูกชายลกั ษณะใด 2. ตาบอดสที งั้ สามคน 1. ตาปกตทิ ้งั สามคน 4. ตาปกตสิ องคน ตาบอดสหี นึง่ คน 3. ตาปกตหิ นึง่ คน ตาบอดสีสองคน

7 18. (ว.2.1 ม.3/1) พจิ ารณาแผนภาพโครโมโซมของคน แล้วตอบคำถาม โครโมโซมในภาพเปน็ เพศใด และแสดงอาการของโรคใด 1. เพศชาย โรคกลุ่มอาการดาวน์ 2. เพศหญิง โรคกลมุ่ อาการดาวน์ 3. เพศชาย โรคทาลัสซีเมีย 4. เพศหญิง โรคทาลัสซเี มยี 19. (ว.2.1 ม.3/1) เฟริ ์นเกาะตดิ ต้นไม้ใหญ่ เป็นลักษณะการอยูร่ ่วมกนั ที่คล้ายคลงึ กับข้อใด 1. รากับสาหรา่ ย 2. กาฝากเกาะตดิ ต้นไม้ใหญ่ 3. พลดู ่างเกาะตดิ ต้นไม้ใหญ่ 4. ดอกไม้ทะเลเกาะติดเปลือกหอยท่ีมปี ูเสฉวน 20. (ว.2.1 ม.3/1) พิจารณาภาพสายใยอาหารตอ่ ไปน้ี แลว้ ตอบคำถาม ความสัมพันธ์ในขอ้ ใดไมพ่ บในสายใยอาหารข้างตน้ 1. การลา่ เหยื่อ 2. การพ่ึงพาอาศัย 3. การถ่ายทอดพลงั งาน 4. การกินต่อกันเป็นทอดๆ 21. (ว.2.1 ม.3/2) พจิ ารณาสายใยอาหาร แลว้ ตอบคำถาม

8 ข้อใดเปน็ ผูบ้ รโิ ภคอันดบั สองทงั้ หมด 4. หนอน กบ เหยี่ยว 1. เหยย่ี ว กบ นก 2. กระต่าย ต๊ักแตน หนอน 3. กระตาย กบ นก 22. (ว.2.1 ม.3/2) พจิ ารณารูปพรี ะมิดจำนวนของสิ่งมชี ีวิต แล้วตอบคำถาม พีระมิดจำนวนของส่งิ มชี วี ิต โซอ่ าหารในข้อใดเปน็ ไปตามรูปพรี ะมดิ จำนวนของสิง่ มชี วี ติ 1. ผกั → หนอน→ ไก→่ คน 2. หญ้า →แมลง→ นก→ งู 3. ต้นเงาะ→ แมลง→นก→เหย่ยี ว 4. แพลงก์ตอนพชื →แพลงก์ตอนสัตว์→ปลา→คน 23. (ว.2.1 ม.3/3) แผนผงั การหมนุ เวยี นสารในระบบนเิ วศนำ้ จืดแหง่ หนึง่ ดงั น้ี การปล่อยนำ้ ท้ิงจากโรงงานอุตสาหกรรมลงสูแ่ มน่ ำ้ ทำใหส้ ่ิงมชี วี ติ ในน้ำตายลงจำนวนมาก จะสง่ ผลอยา่ งไร 1. เกิดกระบวนการท่ี 1 ลดลง มีผลให้ปรมิ าณออกซเิ จนในน้ำลดลง 2. เกิดกระบวนการที่ 2 ลดลง มผี ลให้ปริมาณออกซิเจนในน้ำลดลง 3. เกดิ กระบวนการท่ี 3 เพ่ิมขึ้น มีผลให้ปริมาณคาร์บอนไดออกไซด์ในน้ำลดลง 4. เกิดกระบวนการท่ี 4 เพ่มิ ข้ึน มีผลให้ปริมาณคาร์บอนไดออกไซด์ในน้ำลดลง

9 24. (ว.2.1 ม.3/3) พิจารณาวัฏจักรการหมนุ เวยี นของคารบ์ อน แลว้ ตอบคำถาม ก ข ค ง คือ กระบวนการใด ขอ้ ก ข ค ง 1. หายใจ หายใจ หายใจ สงั เคราะห์ดว้ ยแสง 2. หายใจ หายใจ สงั เคราะหด์ ว้ ยแสง หายใจ 3. หายใจ สงั เคราะห์ด้วยแสง หายใจ หายใจ 4. สงั เคราะหด์ ว้ ยแสง หายใจ หายใจ หายใจ 25. (ว.2.1 ม.3/3) พจิ ารณาแผนภาพแสดงความสัมพันธร์ ะหวา่ ง การถ่ายทอดพลังงานและการหมนุ เวยี นสารในระบบ นิเวศ แล้วตอบคำถาม จากแผนภาพ a คืออะไร และ b เปน็ สารชนดิ ใดได้บา้ ง ตามลำดับ 1. O2 และ CO2 2. O2 และ แรธ่ าตุ 3. CO2 และ ความรอ้ น 4. CO2 และ แรธ่ าตุ 5. ความร้อน และ CO2 6. ความร้อน และ แร่ธาตุ 26. (ว.2.1 ม.3/4) ตาราง ผลการสำรวจจำนวนไมย้ ืนตน้ ในปา่ ดิบชน้ื 4 บริเวณ บริเวณปา่ ดบิ ช้ืน พื้นทีป่ า่ ดบิ ชืน้ (ไร่) จำนวนไม้ยืนตน้ 1 120 75 2 200 90 3 250 150 4 500 180

10 บรเิ วณทคี่ วรปลกู ไม่ยนื ต้นเพ่ิมเป็นอนั ดบั แรก คือบรเิ วณใด 1. บริเวณท่ี 1 2. บริเวณท่ี 2 3. บรเิ วณที่ 3 4. บรเิ วณท่ี 4 27. (ว.2.1 ม.3/4) สนามหญ้ากว้าง 10 เมตร ยาว 20 เมตร มหี ญา้ หลายชนิดรวมทั้งหญา้ แหว้ หมู นักเรยี น 2 คน ต้องการสำรวจประชากรหญา้ แหว้ หมใู นสนามนี้ จึงใช้กรอบไม้ กว้าง 20 เซนตเิ มตร ยาว 20 เซนติเมตร เหวีย่ งไปบน สนามหญ้าแล้วนบั จำนวนหญ้าแห้วหมแู ตล่ ะครงั้ นกั เรยี นแต่ละคนทำการทดลอง 3-5 ครัง้ โดยนกั เรยี นคนท่ี 1 ทำการ ทดลองก่อน นกั เรียนคนที่ 2 ได้ผลดังตาราง ครง้ั ที่ จำนวนหญ้าแห้วหมทู ่ีนบั ได้ (ต้น) นกั เรยี นคนที่ 1 นักเรียนคนท่ี 2 1 10 8 25 5 32 8 44 5 54 4 ขอ้ ใดต่อไปน้ีกล่าวไดถ้ กู ตอ้ ง 1. นักเรยี นคนที่ 1 สำรวจประชากรหญา้ แห้วหมูได้ 25,000 ตนั 2. นักเรยี นคนที่ 2 สำรวจประชากรหญา้ แหว้ หมูได้ 50,000 ตนั 3. ค่าเฉลยี่ จำนวนหญา้ แห้วหมจู ากการทดลอง 5 ครง้ั ของนกั เรยี นคนที่ 1 ได้เท่ากับ 6 ตน้ 4. คา่ เฉลยี่ จำนวนหญา้ แห้วหมูจากการทดลอง 5 ครั้ง ของนกั เรยี นคนท่ี 2 ได้เท่ากบั 5 ตน้ 5. จำนวนประชากรหญ้าแห้วหมูของนักเรียนคนท่ี 1 ได้มากกวา่ ของคนท่ี 2 อยู่ 10,000 ตน้ 6. จำนวนประชากรหญา้ แห้วหมขู องนักเรยี นคนที่ 2 ได้มากกว่าของคนท่ี 1 อยู่ 5,000 ตน้ 28. (ว.2.2 ม.3/3) นกั เรียน 4 กลมุ่ ทำโครงงานวิทยาศาสตร์ดงั น้ี กลุ่มที่ 1 เปรียบเทียบปริมาณสารพษิ ตกค้างในพชื ผักสวนครวั ในแปลงเกษตรแต่ละแปลงของชุมชนข้าง โรงเรยี น กลุ่มที่ 2 รวบรวมและคัดแยกกระดาษหนา้ เดียว จดบนั ทกึ ปรมิ าณเกบ็ เปน็ ข้อมูลทางสถิติและส่งไปใช้ในแตล่ ะ อาคารเรยี น กลุ่มที่ 3 สำรวจสี และปรมิ าณของถงั ขยะในบรเิ วณตา่ งๆ ของโรงเรยี นเพ่ือแยกขยะเปยี ก ขยะอันตราย และ ขยะแหง้ กลุ่มท่ี 4 นำกระดาษมาแยกประเภท แลว้ แช่นำ้ ใหเ้ ป่ือยยยุ่ ปนั่ แลว้ นำมาทำกระดาษจากนนั้ เปรียบเทียบ คณุ ภาพของกระดาษท่ีได้

11 การทำโครงงานวิทยาศาสตร์ของนักเรียนกลุ่มใดใชห้ ลักการรีไซเคิล (recycle) 1. กลุม่ ที่ 2 2. กล่มุ ที่ 4 3. กลมุ่ ที่ 1 และ 3 4. กลมุ่ ท่ี 2 และ 3 29. (ว.2.2 ม.3/3) การจัดกล่มุ ทรพั ยากรธรรมชาตแิ บบน้ีใช้อะไรเปน็ เกณฑ์ 1. ทรัพยากรหมนุ เวยี น 2. ทรพั ยากรส้นิ เปลือง 3. การใช้แลว้ หมดไปหรอื ทดแทนได้ 4. การใชป้ ระโยชนข์ องทรพั ยากรท้งั สองชนิด 30. (ว.3.1 ม.1/1) พิจารณาแผนภาพต่อไปนี้ แล้วตอบคำถาม เหล็ก และน้ำมีสมบัติเหมือนกนั ในข้อใด 1. ธาตุ 2. สารผสม 3. สารประกอบ 4. สารบริสทุ ธ์ิ 31. (ว.3.1 ม.1/2) พจิ าณาขอ้ มูลตอ่ ไปนี้ แลว้ ตอบคำถาม กราฟความสัมพนั ธร์ ะหว่างอุณหภูมิของสาร กับเวลาทีใ่ ช้ต้มสาร สารชนดิ นี้มจี ุดหลอมเหลว กีอ่ งศาเซลเซียส 1. 20 2. 40 3. 60 4. 100

12 32. (ว.3.1 ม.1/2) แผนภาพแสดงความสัมพนั ธ์ของการเปล่ียนสถานะของสาร จากภาพขา้ งบน สาร ก. สาร ข. และสาร ค. มีจำนวนอนภุ าคและการจดั เรียงอนภุ าคแตกต่างกนั สาร ค. มีการจดั เรียง อนุภาคเปน็ แบบใด 33. (ว.3.1 ม.1/4) นกั เรยี นศึกษาการปรบั คา่ pH ของสารละลายกรด โดยการเติมเบส ตามขั้นตอนดงั นี้ 1. นำสารละลายกรดไฮโดรคลอรกิ (HCl) ที่มีคา่ pH เท่ากับ 1 จำนวน 20 หยด ใสใ่ นหลอดทดลอง 2. นำสารละลายเบสโซเดยี มไฮดรอกไซด์ (NaOH) ทม่ี คี ่า pH เท่ากับ 13 หยดลงในหลอดทดลองทม่ี ีสารละลายกรด ไฮโดรคลอริก ทลี ะหยดจนครบ 20 หยด 3. นำสารผสมระหว่างกรดไฮโดรคลอริก กับเบสโซเดยี มไฮดรอกไซด์ท่ีได้ไปทดสอบคา่ pH โดยใชก้ ระดาษลิตมสั พบว่า กระดาษลติ มสั สีน้ำเงนิ เปล่ยี นเป็นสีแดง กระดาษลิตมสั สแี ดงไมเ่ ปล่ียนแปลง นักเรียนอภปิ รายผลการทำกจิ กรรมไดด้ ังน้ี ก. นักเรยี นหยดสารละลายเบสโซเดยี มไฮดรอกไซด์ไม่ครบ 20 หยด ข. นักเรยี นหยดสารละลายกรดไฮโดรคลอรกิ ไม่ครบ 20 หยด ค. นักเรียนบบี จกุ ยางหยดสารละลายโซเดียมไฮดรอกไซแรงเกนิ ไปทำให้หยดมีขนาดใหญ่ การอภปิ รายข้อใดถูกต้อง 1. ก 2. ข 3. ก และ ข 4. ข และ ค

13 34. (ว.3.1 ม.2/1) จากแผนภาพข้างบน ข้อใดกลา่ วไมถ่ ูกต้อง 2. B เป็นสารบริสุทธ์ิ 1. A เป็นธาตุ 4. A หรอื B ช่วยใหไ้ ฟติด 3. A หรือ B เปน็ สารประกอบ 35. (ว.3.1 ม.2/2) การจัดกล่มุ ธาตุตามแผนผงั ขา้ งบนใชอ้ ะไรเปน็ เกณฑ์ 1. ความเป็นโลหะ 2. สถานะของธาตุ 3. ความแข็งของธาตุ 4. ความเปน็ อโลหะ 36. (ว.3.2 ม.1/1) ตารางปริมาณสารละลาย และตวั ละลายของสารละลายชนิดต่างๆ สารละลาย ปริมาณสารละลาย (cm3) ปรมิ าณตัวละลาย (cm3) ก 120 30 ข 80 24 ค 60 15 สารละลายในข้อใดมีความเข้มขน้ เทา่ กนั 1. ก. และ ข 2. ข และ ค 3. ค และ ก 4. ก ข และ ค 37. (ว.3.2 ม.1/1) นักเรียนคนหนง่ึ เตรียมสารละลาย ตามข้ันตอนต่อไปน้ี 1. ใส่น้ำตาลทราย 5 กรมั ลงในบกี เกอร์ขนาด 100 ลกู บาศกเ์ ซนตเิ มตร 2. เติมน้ำกลน่ั 20 ลูกบาศกเ์ ซนตเิ มตร ใช้แท่งแกว้ คนใหน้ ้ำตาลทรายละลายจนหมด 3. เตมิ น้ำกลั่นเพิ่มในบกี เกอร์จนสารละลายมปี รมิ าณ 100 ลูกบาศกเ์ ซนติเมตร สารละลายท่ีได้มคี วามเข้มข้นเท่าใด 1. 5 กรมั ตอ่ นำ้ 100 กรัม 2. 5 กรมั ตอ่ นำ้ 120 ลกู บาศกเ์ ซนตเิ มตร 3. ร้อยละ 5 โดยมวลต่อปรมิ าตร 4. ร้อยละ 5 โดยมวลต่อมวล

14 38. (ว.3.2 ม.1/2) ความร้อนแฝงของการหลอมเหลวของน้ำแข็ง มีค่า 80 แคลอรตี ่อกรัมหมายความวา่ อย่างไร 1. น้ำแขง็ มวล 1 กรัม เปล่ียนสถานะเป็นน้ำมวล 1 กรัม โดยอุณหภูมิ ไม่เปลีย่ นแปลงใช้พลังงานความร้อน 1 แคลอรี 2. น้ำแขง็ มวล 1 กรัม เปลีย่ นสถานะเป็นน้ำมวล 1 กรัม โดยอณุ หภมู ิไมเ่ ปลย่ี นแปลงใช้พลังงานความรอ้ น 80 แคลอรี 3. น้ำมวล 1 กรัม เปลยี่ นสถานะเปน็ ไอนำ้ มวล 1 กรมั ใช้พลังงานความร้อน 80 แคลอรี 4. นำ้ มวล 1 กรมั เปลย่ี นสถานะเป็นนำ้ แข็งมวล 80 กรมั ใชพ้ ลงั งานความร้อน 80 แคลอรี 39. (ว.3.2 ม.2/2) พจิ ารณาข้อความต่อไปนี้ แล้วตอบคำถาม ก. ผงโซเดยี มคลอไรด์ + น้ำอัดลม → ฟองแก๊ส ข. ด่างทบั ทมิ เจือจาง + กรดไฮโดรคลอริก → ส่เี ปลยี่ น ค. เกลือของกรดชิตริก + โซเดียมไฮโดรเจนคาร์บอเนต → อุณหภมู เิ ปล่ียน ง. สารละลายเลด(II)ไนเตรต + สารละลายโพแทสเซียมไอโอไดด์ → ตะกอนมสี ี ขอ้ ใดเกิดปฏิกิริยาเคมี 1. ก ข และ ค 2. ข ค และ ง 3. ค ง และ ก 4. ก ข และ ง 40. (ว.3.2 ม.2/2) พจิ ารณาข้อความต่อไปน้ีแล้วตอบคำถาม ก. การย่อยอาหาร ข. น้ำแข็งหลอมเหลว ค. การเกดิ สนิมเหล็ก ขอ้ ใดมีการเปลีย่ นแปลงทางเคมี 1. ก เทา่ น้นั 2. ค เทา่ นั้น 3. ก และ ค 4. ข และ ค 41. (ว.3.1 ม.2/3) ) ของผสมชนิดหน่งึ มผี งตะไบเหลก็ ทรายละเอยี ด และผงสารส้มผสมกนั อยู่ นักเรียน จะแยกสารในของผสมชนดิ นี้ ออกจากกันจะใช้วธิ ใี ดจึงจะเหมาะสมท่สี ุด 1. การละลายนำ้ การกรอง 2. การละลายนำ้ การใชแ้ มเ่ หลก็ 3. การใชแ้ ม่เหล็ก การร่อน การละลายนำ้ 4. การใชแ้ ม่เหล็ก การละลายน้ำ การกรอง 42. (ว.3.1 ม.2/3) นำน้ำหมกึ สดี ำไปแยกหาองค์ประกอบโดยวธิ ีโครมาโทกราฟี โดยมีน้ำเป็นตัวทำละลาย แทง่ ชอลก์ สีขาวเปน็ ตวั ดูดซับ ไดผ้ ลคือ สารท่ีมสี แี ยกออกมาเป็นสาร A B C และ D สารที่มสี ชี นิดใดละลายน้ำไดด้ ีท่สี ุด 1. A 2. B 3. C 4. B และ D

15 43. (ว.3.2 ม.3/1) นกั เรียน 3 คน ทำการทดลองดังตอ่ ไปนี้ 4. เป็นไปไดท้ ้ัง 3 คน คนท่ี 1 แยกเกลือจากน้ำเกลือ โดยการระเหยแหง้ คนที่ 2 สกดั สขี องขมน้ิ โดยการสกัดด้วยน้ำ คนที 3 สกัดน้ามนั หอมระเหยจากพืช โดยการกล่ันดว้ ยไอน้ำ การทดลองของนักเรียนคนใดถกู ต้องตามหลักการ 1. คนท่ี 1 2. คนที่ 1 และ คนที่ 3 3. คนที่ 2 และ คนท่ี 3 44. (ว.4.1 ม.1/2) นายดำเดนิ จาก ก → ข → ค ดังภาพท่ี 1 นายแดงเดนิ จาก ก → ข → ค→ ง ดงั ภาพท่ี 2 นายดำและนายแดงใชเ้ วลาในการเดินเท่ากนั คือ 1 นาที 30 วนิ าที ข้อใดสรุปเก่ียวกับการเดนิ ของนายดำและนายแดงได้ถูกตอ้ งทีส่ ุด 1. อตั ราเรว็ ในการเดนิ ของนายดำมีค่าน้อยกวา่ อตั ราเรว็ ในการเดนิ ของนายแดง 2. อตั ราเรว็ ในการเดนิ ของนายดำมคี ่ามากกว่าอัตราเร็วในการเดินของนายแดง 3. อัตราเร็วในการเดินของนายดำมคี า่ เท่ากบั อตั ราเร็วในการเดนิ ของนายแดง 4. ความเร็วในการเดนิ ของนายดำมีค่ามากกวา่ ความเร็วในการเดนิ ของนายแดงและมีทิศทางแตกตา่ งกนั 5. ความเร็วในการเดนิ ของนายดำมคี า่ เท่ากับความเรว็ ในการเดนิ ของนายแดงและมที ิศทางเดียวกนั 6. ความเรว็ ในการเดินของนายดำมีค่าน้อยกวา่ ความเร็วในการเดนิ ของนายแดงและมีทศิ ทางเดียวกนั

16 45. (ว.4.1 ม.1/2) พจิ ารณากราฟแสดงความเรว็ ของการข่ีจักรยานคนั หน่งึ แลว้ ตอบคำถาม ช่วงเวลาใดทก่ี ารขจี่ กั รยานมีอตั ราการเพ่มิ ความเร็วสูงสดุ 1. 0-5 นาที 2. 5-10 นาที 3. 10-15 นาที 4. 20-25 นาที 46. (ว.4.1 ม.1/2) นักเรียนคนหนึง่ เดินเรว็ จากตำแหน่ง ก → ข → ค → ง ใช้เวลา 6 นาที ความเรว็ ในการเดินของนักเรยี นมคี ่ากเี่ มตรตอ่ วินาที 1. 1/2 2. 1/3 3. 2/3 4. 3/3 47. (ว.4.1 ม.1/2) เดก็ ชายเอกขีจ่ ักรยานเป็นวงกลม ตามภาพ จากตำแหนง่ A ครบ 2 รอบจนถึงตำแหน่ง A เหมือนเดมิ ใช้เวลา 2 นาที ความเรว็ ของการข่ีจักรยานของเดก็ ชายเอกมคี ่าก่ีเมตรต่อวินาที 1. 0 2. 1.5 3. 88.0 4. 176.0

17 48. (ว.4.1 ม.1/2) พจิ ารณาแผนภาพต่อไปนี้ แลว้ ตอบคำถาม เด็กชายเด่น เดนิ จาก ก → ข → ค ใช้เวลา 2 นาที ขอ้ ใดเป็นความเร็วในการเดินของเด็กชายเด่น 1. 5/12 เมตรต่อวนิ าที 2. 7/12 เมตรตอ่ วินาที 3. 5/12 เมตรตอ่ วนิ าที มที ิศทางจาก ก → ค 4. 7/12 เมตรตอ่ วินาที มีทิศทางจาก ก → ค 49. (ว.4.1 ม.1/2) ขณะขบั รถยนตส์ ว่ นบคุ คล คนขับรถอ่านมาตรวัดทเ่ี ข็มชีเ้ ลข 90 กิโลเมตรต่อชว่ั โมง ข้อใดอธิบายการเคล่ือนทขี่ องรถขณะนัน้ ได้ถกู ต้อง 1. รถเคลอ่ื นที่ด้วยอัตราเรว็ 90 กิโลเมตรตอ่ ชัว่ โมง ไปทางทิศเหนอื 2. รถเคลอ่ื นทดี่ ว้ ยอัตราเร็ว 25 เมตรตอ่ วินาที 3. รถเคล่ือนทดี ้วยความเร็ว 90 กโิ ลเมตรต่อชว่ั โมง 4. รถเคล่ือนท่ดี ้วยความเร็ว 25 เมตรตอ่ วนิ าที ไปทางทิศเหนือ 50. (ว.4.1 ม.2/1 ม.2/2) พิจารณาภาพต่อไปน้ี แล้วตอบคำถาม ข้อใดกล่าวถกู ต้อง 2. F3 มีค่าเทา่ F4 ทศิ ทางเดียวกัน 1. F1 มีคา่ เท่า F4 ทศิ ทางเดียวกนั 4. F2 มคี ่าเทา่ F4 ทศิ ทางตรงข้ามกัน 3. F1 มีค่าเทา่ F2 ทิศทางตรงขา้ มกนั

18 51. (ว.4.1 ม.3/2) นักเรยี นคนหน่ึงออกแรง 100 นิวตนั ผลกั วตั ถุใหเ้ คล่อื นที่ได้ระยะทางดงั ภาพ งานท่ีนกั เรียนคนนี้ทำได้เท่ากับกนี่ ิวตนั -เมตร 1. 50 2. 300 3. 350 4. 400 52. (ว.4.1 ม.3/2) พจิ ารณาการกระทำของบุคคลต่อไปนี้ แล้วตอบคำถาม แดง ดงึ กล่องดว้ ยแรง 10 นวิ ตนั เปน็ ระยะทาง 25 เมตร ดำ แบกกระสอบขา้ วสารดว้ ยแรง 400 นวิ ตัน เดินบนทางราบเปน็ ระยะทาง 5 เมตร ขาว ยกกระเปา๋ ดว้ ยแรง 150 นิวตัน เดินขึ้นบนั ได 10 ขน้ั แตล่ ะขนั้ สงู 15 เซนตเิ มตร ในทางวิทยาศาสตรถ์ ือวา่ การกระทำของบคุ คลใดได้งาน 1. แดง และ ดำ 2. แดง และ ขาว 3. ดำ และ ขาว 4. แดง ดำ และ ขาว 53. (ว.4.1 ม.3/3) ตาราง มวลและปรมิ าตรของวัตถุ 4 ช้นิ วตั ถุ มวล (g) ปรมิ าตร (cm3) ช้นิ ท่ี 1 20 20 ชน้ิ ที่ 2 30 25 ช้นิ ท่ี 3 50 40 ช้นิ ท่ี 4 50 45 นกั เรยี นคำนวณหาคา่ ความหนาแนน่ ของวตั ถทุ ง้ั 4 ชิน้ แล้วนำคา่ ความหนาแนน่ มาเขยี นแผนภูมแิ ทง่ ได้ดงั น้ี ขอ้ ใดจับควู่ ตั ถใุ นตารางกับวัตถใุ นแผนภาพตามคา่ ความหนาแน่นได้ถูกต้อง 1. ช้ินที่ 1 = ก 2. ช้ินที่ 2 = ข 3. ช้นิ ท่ี 3 = ค 4. ช้นิ ท่ี 4 = ง

19 54. (ว.4.1 ม.3/3) พจิ ารณาภาพวัตถจุ มอยใู่ นนำ้ ทั้งก้อนและนิง่ อย่างละเอยี ด แล้วตอบคำถาม a b c d และ e เป็นแรงท่ีของเหลวกระทำต่อวัตถใุ นแนวตา่ ง ๆ ข้อใดสรุปไดถ้ ูกต้อง 1. ขนาดแรง a เท่ากบั ขนาดแรง b 2. ขนาดแรง b มากกวา่ ขนาดแรง d 3. ขนาดแรง c เทา่ กบั ขนาดแรง e 4. ขนาดแรง d เท่ากบั ขนาดแรง a 5. ขนาดแรง e เทา่ กับ ขนาดแรง d 6. ขนาดแรง e มากกวา่ ขนาดแรง c 55. (ว.4.1 ม.3/3) พิจารณาข้อมูลจากกราฟท่ีให้ แล้วตอบคำถาม ถา้ นำวตั ถุ A B และ C หย่อนลงในนำ้ ทมี่ คี วามหนาแน่น 1.0 g/cm3 วัตถชุ นิดใดลอยนำ้ ได้ 1. A และ B 2. A และ C 3. B และ C 4. A B และ C 56. (ว.4.1 ม.3/3) พจิ ารณาภาพต่อไปนี้ แล้วตอบคำถาม

20 ภาพใดเกิดแรงคู่กริ ิยา-ปฏกิ ริ ิยา 1. ภาพ 1 เท่านัน้ เกดิ แรงคู่กริ ิยา-ปฏกิ ริ ิยา 2. ภาพ 2 เท่าน้ันเกิดแรงคูก่ ริ ิยา-ปฏกิ ริ ิยา 3. ภาพ 1 และภาพ 2 เกิดแรงคูก่ ริ ยิ า-ปฏิกริ ิยา 4. ภาพ 1 และภาพ 2 ไมเ่ กิดแรงคูก่ ิริยา-ปฏิกิรยิ า 57. (ว.4.1 ม.3/3) การดีดลูกหนิ กลมๆใหเ้ คล่ือนท่ีออกไปในแนวระดับจากขอบโต๊ะ จนตกถงึ พ้นื ความเร็วท่เี กิดขน้ึ ใน แนวตา่ ง ๆ เปน็ อยา่ งไร 1. ความเรว็ ในแนวระดบั กับความเร็วในแนวดงิ่ มคี ่าคงตวั 2. ความเร็วในแนวระดบั กบั ความเร็วในแนวด่งิ มคี า่ เพม่ิ ขึน้ 3. ความเรว็ ในแนวระดบั มีคา่ คงตัว แต่ความเร็วในแนวดง่ิ มีค่าเพ่ิมข้ึน 4. ความเร็วในแนวระดับมีค่าเพม่ิ ขึน้ แต่ความเรว็ ในแนวด่งิ มีคา่ คงตวั 58. (ว.4.2 ม.3/1) พิจารณาภาพตอ่ ไปนี้ แลว้ ตอบคำถาม ถงุ ทราย A B และ C จัดไว้เป็นชดุ โดยผูกตดิ กนั ไว้ดงั ภาพทั้ง 3 ชุด วางบนโต๊ะที่มีลกั ษณะพ้ืนผิวเหมือนกนั กำหนดให้ A มีมวล 200 g B มมี วล 300 g C มมี วล 300 g แต่มีขนาดใหญก่ ว่า B ข้อได้สรปุ ถกู ตอง 1. ภาพ 1 มีแรงเสยี ดทานน้อยกว่า ภาพ 3 2. ภาพ 2 มแี รงเสียดทานน้อยกวา่ ภาพ 1 3. ภาพ 3 มแี รงเสียดทานมากกว่า ภาพ 2 4. ภาพ 1 มีแรงเสียดทานเท่ากบั ภาพ 2 5. ภาพ 3 มีแรงเสียดทานมากกว่า ภาพ 1 6. ทั้ง 3 ภาพมีแรงเสียดทานเท่ากนั

21 59. (ว.4.2 ม.3/1) เดก็ ชายเก่งใส่รองเท้าฟตุ บอลวงิ่ รอบสนาม คุณพ่อ ใช้ผ้ารองตู้เสอื้ ผา้ แล้วดึงผา้ เพ่ือทำให้ต้เู คลอื่ นท่ี คณุ แม่ ขับรถยนต์ทีเ่ ปลี่ยนยางเสน้ ใหม่ มดี อกลวดลายสวยงาม การกระทำของบุคคลในขอ้ ใดเปน็ การเพิ่มแรงเสียดทาน 1. คณุ พ่อกับคณุ แม่ 2. คุณพ่อกบั เด็กชายเกง่ 3. คุณแม่กับเดก็ ชายเก่ง 4. คณุ พ่อ คณุ แม่ และเดก็ ชายเก่ง 60. (ว.4.2 ม.3/2) คานเบาสมำ่ เสมอ AB มีจดุ F และแขวนนำ้ หนักท่ี A 100 นวิ ตัน ดังภาพ จะตอ้ งแขวนน้ำหนกั X ที่ B ก่นี ิวตันคานจึง จะสมดลุ 1. 50 2. 100 3. 150 4. 200 61. (ว.4.2 ม.3/1) พจิ ารณาภาพต่อไปนี้ แล้วตอบคำถาม รถเขน็ ดนิ ในภาพ มีแรงกระทำหลายแรง พบว่า โมเมนตข์ องแรงทวนเขม็ นาฬิกา = โมเมนต์ของแรงตามเข็มนาฬกิ า โมเมนต์ของแรงตามเข็มนาฬิกาในข้อใดมีค่าเท่ากับโมเมนต์ของแรงตามเข็มนาฬิกาของรถเข็นดนิ ถ้าคานอยู่ในสภาวะ สมดุลทงั้ หมด

22 62. (ว.4.2 ม.3/1) พจิ ารณาภาพต่อไปนี้ แล้วตอบคำถาม ข้อใดสรุปได้ถูกต้อง 2. ภาพ ข มีแรงเสยี ดทานสถิตสงู ทสี่ ุด 1. ภาพ ก มีแรงเสียดทานสถิตสูงทีส่ ุด 4. ภาพ ก และ ภาพ ข มีแรงเสียดทานสถิตเทา่ กัน 3. ภาพ ค มีแรงเสยี ดทานสถิตสูงท่สี ุด 63. (ว.4.2 ม.3/1) นกั เรยี นคนหน่งึ ออกแรงกระทำตอ่ วัตถุ 10 นิวตัน ดังภาพ แตว่ ัตถุไม่เคลื่อนที่ ข้อใดสรุปได้ถูกตอ้ งทสี่ ุด 1. แรงเสยี ดทานจลน์ มคี า่ 10 นิวตนั 2. แรงเสยี ดทานจลน์ มีค่าน้อยกว่า 10 นิวตนั 3. แรงเสียดทานสถิตย์ มคี ่ามากกว่า 10 นิวตัน 4. แรงเสยี ดทานสถิตย์ มีค่าน้อยกว่า 10 นิวตัน 64. (ว.4.2 ม.3/2) คานสามแบบมจี ุดหมุน (F) แรงความพยายาม (E) และแรงความต้านทาน (W) ดงั ภาพ ไม้กวาดกวาดบา้ นและกรรไกรตดั ผ้า มีตำแหนง่ ของ F E และ W ตรงกับคานแบบใด ตามลำดับ 1. แบบที่ 1 และ แบบที่ 2 2. แบบท่ี 1 และ แบบที่ 3 3. แบบท 2 และ แบบท 1 4. แบบท 2 และ แบบท 3

23 65. (ว.4.2 ม.3/2) คาน MN เป็นคานตรงเบาสม่ำเสมอ มวี ตั ถุวางที่ปลายคานดา้ นหนงึ่ อีกด้านหนง่ึ มีแรงกด a หรือ b หรือ c โดยกดทลี ะ ครง้ั ที่ตำแหน่งตา่ งๆ กนั ดังภาพ (ถา้ มแี รงกด a กไ็ ม่มแี รงกด b และ c ในทำนองเดียวกัน ถ้ามแี รงกด b ก็ไมม่ ีแรงกด a และ c) เมื่อกดแรง a หรือ b หรือ c แลว้ ทำใหค้ านอยใู่ นภาวะสมดลุ ข้อใดสรุปถกู ต้อง 1. แรงกด a มีค่ามากกว่า แรงกด b 2. แรงกด b มคี ่าน้อยกว่า แรงกด c 3. แรงกด c มีคา่ มากกวา่ แรงกด a 4. แรงกด a มีคา่ น้อยกว่า แรงกด b หรอื แรงกด c 5. แรงกด b มีค่ามากกว่า แรงกด a หรอื แรงกด c 6. แรงกด c มีค่าน้อยกวา่ แรงกด a หรือ แรงกด b 66. (ว.5.1 ม.1/2) ชายคนหน่งึ ออกแบบบา้ นให้มีช่องลม และตดิ พดั ลมระบายอากาศ เม่ืออากาศร้อน ลอยตัวสงู ขึน้ ออกไปตามช่องลม อากาศเย็นก็จะพัดเขา้ มาแทนท่ี การออกแบบบ้านให้มีการระบายอากาศเช่นนี้ ใช้ หลักการถา่ ยโอนความร้อนในขอ้ ใด 1. การแผ่รังสี 2. การพาความร้อน 3. การนำความร้อน และการพาความร้อน 4. การแผ่รังสี และการนำความรอ้ น 67. (ว.5.1 ม.1/3) เทอร์มอมิเตอร์ อนั ท่ี 1 หุม้ ดว้ ยกระดาษสีดำ 4. อนั ท่ี 2 อันที่ 1 อันที่ 2 หมุ้ ด้วยกระดาษสขี าว อันท่ี 3 หุม้ ด้วยกระดาษสเี หลอื ง เทอร์มอมิเตอร์อนั ใดบอกระดับอุณหภูมิสงู ที่สดุ และตำ่ ทส่ี ุด ตามลำดบั 1. อนั ที่ 1 อันที่ 2 2. อนั ที่ 1 อันท่ี 3 3. อันที่ 2 อนั ที่ 3

24 68. (ว.5.1 ม.2/1) พิจารณาการเดินทางของแสงผา่ นตวั กลางชนดิ ตา่ ง ๆ ดังภาพ แล้วตอบคำถาม ภาพการเดินทางของแสงผ่านตัวกลางชนดิ ตา่ ง ๆ ขอ้ ใดสรปุ ไดถ้ ูกต้อง 1. ตัวกลางท่ี 1 มีความหนาแนน่ มากกวา่ ตัวกลางท่ี 2 2. ตัวกลางท่ี 2 มีความหนาแนน่ มากกว่า ตวั กลางที่ 1 3. ตวั กลางท่ี 3 มีความหนาแน่นมากกว่า ตัวกลางท่ี 1 4. ตัวกลางท่ี 1 มีความหนาแน่นเทา่ กับ ตวั กลางที่ 3 5. ตัวกลางท่ี 2 มีความหนาแนน่ นอ้ ยกวา่ ตวั กลางท่ี 3 6. ตวั กลางที่ 3 มคี วามหนาแนน่ น้อยกว่า ตวั กลางที่ 1 69. (ว.5.1 ม.2/3) นักเรียนสังเกตต้นชบาทม่ี ีดอกสแี ดงหลายดอก มีใบสีเขียวเขม้ ข้อใดอธบิ ายผลการสงั เกตได้ถูกต้องทสี่ ุด 1. ดอกสีแดงสะท้อนแสงสีแดง ใบสเี ขยี วสะท้อนแสงสเี ขยี ว 2. ดอกสีแดงสะท้อนแสงสีแดงใบสีเขยี วดดู กลืนแสงสเี ขียว 3. ดอกสีแดงดูดกลืนแสงสีแดงใบสีเขยี วสะท้อนแสงสีเขียว 4. ดอกสแี ดงดูดกลนื แสงสีแดงใบสีเขียวดดู กลืนแสงสีเขียว 70. (ว.5.1 ม.3/1) (1) (2) และ (3) เปน็ ลกู เหล็กทรงกลม มีขนาดเท่ากนั ทั้ง 3 ลกู ถกู ปล่อยจากความสูงต่างกนั ดังภาพ ขอ้ ใดสรปุ ได้ถูกต้อง 1. ลกู เหลก็ (1) มีพลงั งานศักยโ์ นม้ ถ่วงมากกวา่ ลกู เหล็ก (2) 2. ลกู เหลก็ (2) มีพลังงานศักย์โน้มถว่ งมากกว่า ลกู เหล็ก (3) 3. ลกู เหล็ก (3) มีพลังงานศักยโ์ น้มถว่ งมากกว่า ลูกเหล็ก (1) 4. ลูกเหลก็ (1) (2) และ (3) มพี ลงั งานศกั ยโ์ นม้ ถว่ งเท่ากัน

25 71. (ว.5.1 ม.3/1) ฟตุ บอลกลิ้งขน้ึ ไปตามพืน้ ทม่ี ีความลาดเอียงเลก็ น้อยแลว้ ไปหยดุ น่ิง มีการเปลย่ี นรปู พลังงานอย่างไร 1. พลงั งานศักย์ เป็น พลงั งานจลน์ 2. พลังงานศกั ย์ เปน็ พลงั งานกล 3. พลังงานจลน์ เปน็ พลังงานศกั ย์ 4. พลงั งานจลน์ เปน็ พลงั งานกล 72. (ว.5.1 ม.3/1) ถังที่ต้ังไวบ้ นทส่ี งู ใบหนึง่ มนี ้ำบรรจุอยเู่ ต็มถัง พลงั งานท่สี ะสมในนำ้ คือพลงั งานชนิดใด 1. พลังงานไฟฟา้ 2. พูลังงานจลน์ 3. พลังงานศักยโ์ นม้ ถ่วง 4. พลงั งานศักย์และพลงั งานจลน์ 73. (ว.5.1 ม.3/1) การใชถ้ ังน้ำขนาดใหญใ่ ส่นำ้ เต็ม ตั้งไว้ในทสี่ งู แล้วตอ่ ท่อให้นำ้ ไหลไปหมนุ กงั หันซง่ึ มแี กนตอ่ เข้ากบั ขดลวดทอ่ี ยู่ระหว่างแท่งแมเ่ หลก็ และตอ่ วงจรเขา้ กบั หลอดไฟจนสว่าง การเปล่ียนรูปพลังงานเปน็ แบบใดตามลำดับ 1. พลงั งานศักย์ พลังงานจลน์ พลงั งานกล พลังงานไฟฟ้า 2. พลงั งานศักย์ พลังงานกล พลังงานจลน์ พลังงานไฟฟ้า 3. พลังงานจลน์ พลังงานศกั ย์ พลงั งานกล พลังงานไฟฟา้ 4. พลงั งานจลน์ พลงั งานกล พลงั งานศักย์ พลังงานไฟฟา้ 74. (ว.5.1 ม.3/2) พจิ ารณาลวดทท่ี ำด้วยโลหะชนดิ เดยี วกันท้งั 3 เสน้ แลว้ ตอบคำถาม การเปรียบเทยี บความตา้ นทานของลวด ข้อใดถูกต้อง 1. ลวดเสน้ ท่ี 1 มคี วามต้านทานมากกว่าลวดเส้นท่ี 3 2. ลวดเสน้ ที่ 1 มคี วามต้านทานน้อยกวา่ ลวดเส้นที่ 2 3. ลวดเส้นที่ 2 มคี วามตา้ นทานมากกว่าลวดเสน้ ที่ 3 4. ลวดเสน้ ที่ 2 มีความต้านทานน้อยกว่าลวดเสน้ ท่ี 3 75. (ว.5.1 ม.3/2) ตาราง ความตา่ งศักยแ์ ละกระแสไฟฟ้าของลวดตัวนำ 5 เส้น ลวดตวั นำเสน้ ท่ี ความต่างศกั ย์ (โวลต์) กระแสไฟฟ้า (แอมแปร)์ 1 10 1 2 20 2 3 30 3 4 40 4 5 50 5 ความต้านทานของลวดตวั นำทงั้ 5 เส้น เป็นอย่างไร 1. ลวดเสน้ ท่ี 1 มคี ่าน้อยทส่ี ดุ 2. ลวดเสน้ ท่ี 2 มีคา่ น้อยกวา่ ลวดเสน้ ท่ี 3 3. ลวดเส้นท่ี 3 มีค่ามากกว่าลวดเสน้ ท่ี 1 4. ลวดเสน้ ที่ 4 มีคา่ มากกวา่ ลวดเส้นท่ี 2 5. ลวดเสน้ ท่ี 5 มคี า่ เทา่ กับลวดเสน้ ที่ 4 6. ลวดเส้นท่ี 1 และเส้นท่ี 2 มคี ่าเทา่ กบั ลวดเส้นที่ 3

26 76. (ว.5.1 ม.3/3) พิจารณาการใชเ้ ครือ่ งใช้ไฟฟา้ ต่อไปน้ี แล้วตอบคำถาม ก. พัดลมขนาด 50 วัตต์ 2 เครอ่ื ง เปดิ เดือนละ 30 วนั วนั ละ 3 ชวั่ โมง ข. โทรทศั นข์ นาด 200 วัตต์ เปดิ เดอื นละ 20 วนั วนั ละ 2 ช่วั โมง ค. เตารดี ขนาด 1,000 วัตต์ รีดผา้ เดือนละ 4 ครง้ั คร้ังละ 1 ชวั่ โมง เครอ่ื งใช้ไฟฟ้าชนิดใดเปลืองพลังงานไฟฟ้ามากทส่ี ุด และชนิดใดเปลืองพลงั งานไฟฟ้าน้อยทสี่ ดุ ตามลำดับ 1. เตารดี พดั ลม 2. เตารดี โทรทัศน์ 3. โทรทัศน์ พดั ลม 4. พดั ลม เตารี 77. (ว.5.1 ม.3/3) นายวินเชา่ ห้องพักเปน็ ที่อยู่อาศัยห้องหนึ่งตลอดท้งั เดือนสงิ หาคม เจ้าของห้องเช่าคิดค่าไฟฟ้าหนว่ ย ละ 8 บาท นายวนิ ใช้พลังงานไฟฟ้าดังน้ี ก. หลอดไฟฟา้ ขนาด 100 วตั ต์ 2 หลอด วันละ 5 ชัว่ โมง ข. โทรทศั นท์ ่มี ีกำลังไฟฟ้า 500 วตั ต์ วนั ละ 2 ช่วั โมง นายวินเสียค่าไฟฟ้าเดือนสงิ หาคมกี่บาท 1. 62.0 บาท 2. 297.6 บาท 3. 480.0 บาท 4. 496.0 บาท 78. (ว.6.1 ม.1/6) พิจารณากราฟตอ่ ไปน้ี แลว้ ตอบคำถาม ขอ้ ใดต่อไปนไี้ ม่ถูกตอ้ ง 1. ปรมิ าณแกส๊ คาร์บอนไดออกไซด์สูงขน้ึ ปริมาณน้ำฝนลดลง 2. ปรมิ าณแกส๊ คาร์บอนไดออกไซดส์ งู ขน้ึ ความเปน็ กรดของน้ำฝนลดลง 3. อุณหภมู ิเฉล่ียสงู ข้ึน ปริมาณน้ำฝนลดลง 4. อุณหภูมเิ ฉลย่ี สูงขึ้น ความเปน็ กรดของนำ้ ฝนสงู ข้ึน 79. (ว.6.1 ม.2/4) พจิ ารณาตารางสมบัติบางประการของหินชนดิ ตา่ ง ๆ แลว้ ตอบคำถาม หิน ลกั ษณะเน้ือ หินต้นกำเนดิ ลกั ษณะอ่นื ๆ ชนิดที่ 1 เม็ดหยาบ หินแกรนิต มักจะเห็นรปู ผลึก ชนิดท่ี 2 เมด็ ละเอียด หินดินดาน แซะเป็นแผน่ ได้ ชนดิ ที่ 3 เมด็ ละเอียด หินปนู ทำปฏิกริ ิยากบั กรดเกิดฟองฟู่

27 หินชนดิ ใดเป็นหนิ อ่อน 1. ชนิดท่ี 1 2. ชนดิ ท่ี 2 3. ชนิดที่ 3 4. ชนดิ ที่ 1 หรอื ชนดิ ท่ี 2 80. (ว.7.1 ม.3/1) พจิ ารณาภาพต่อไปนี้ แล้วตอบคำถาม ตำแหนง่ ใดบนผวิ โลกทมี่ ีน้ำลงตำ่ สดุ ในขณะนัน้ 1. A เทา่ นั้น 2. C เท่านนั้ 3. A และ B 4. A B และ C 81. (ว.7.1 ม.3/1) พจิ ารณาแผนภาพ แล้วตอบคำถาม การแบ่งคาวเคราะห์เปน็ 2 กลุ่ม ดังแผนภาพ กลุ่มท่ี 1 และกลุ่มท่ี 2 เรียกวา่ อะไร เรยี งตามลำดบั 1. ดาวเคราะหว์ งใน ดาวเคราะห์หนิ 2. ดาวเคราะหห์ นิ ดาวเคราะห์แก๊ส 3. ดาวเคราะห์แกส๊ ดาวเคราะหว์ งนอก 4. ดาวเคราะห์วงนอก ดาวเคราะห์หิน 82. (ว.7.1 ม.3/1) ดวงจันทรเ์ ป็นบรวิ ารของโลกมีแรงโน้มถ่วง 1 ของแรงโนม้ ถ่วงของโลก วตั ถุชน้ิ หนง่ึ ช่ังบนดวงจนั ทร์ 6 ได้ 60 นิวตัน วัตถชุ ้นิ นช้ี ง่ั บนโลกไดก้ ีน่ ิวตนั 1. 360 2. 100 3. 60 4. 10 83. (ว.7.1 ม.3/1) โลกโคจรรอบดวงอาทิตยใ์ นทิศทางใด 1. ทิศทางตรงขา้ มกบั การหมุนรอบตัวเอง 2. ทิศทางเดียวกับการหมุนรอบตัวเอง 3. ทศิ ตะวันออก → ทศิ ตะวนั ตก 4. ทศิ ใต้ → ทศิ เหนอื 84. (ว.7.1 ม.3/2) พิจารณาภาพ แล้วตอบคำถาม

28 ปฏิกิริยานิวเคลียรน์ ้เี รยี กว่าอะไร เครื่องมือท่ีใชค้ วบคมุ ปฏิกริ ยิ านี้ คอื อะไร 1. ปฏกิ ริ ิยาตอ่ เนือ่ ง เครอ่ื งไดนาโม 2. ปฏิกริ ิยาลกู โซ่ เครื่องปฏิกรณ์นิวเคลียร์ 3. ปฏิกิริยานวิ เคลียรฟ์ ิชชัน่ เครือ่ งไดนาโม 4. ปฏิกิริยานวิ เคลยี ร์ฟวิ ชนั เครอ่ื งปฏิกรณน์ วิ เคลียร์ 85. (ว.7.1 ม.3/3) นกั เรียนคนหน่งึ สังเกตเห็นกล่มุ ดาวกลุ่มหน่งึ แลว้ บอกวา่ เปน็ กลมุ่ ดาวนายพราน นกั เรยี นคนที่สอง สงั เกตเห็นกล่มุ ดาวกลุ่มหนึ่ง แล้วบอกวา่ เปน็ กลุม่ ดาวเตา่ การสงั เกตกลมุ่ ดาวของนักเรยี นทัง้ สองคน สรุปได้อย่างไร 1. กลมุ่ ดาวนายพรานอยู่สูงกว่ากลุ่มดาวเต่า 2. กลมุ่ ดาวนายพรานอยู่ต่ำกว่ากลุ่มดาวเต่า 3. กลุ่มดาวนายพรานอยู่ตดิ กับกลมุ่ ดาวเต่าทางซา้ ยมือ 4. กลุ่มดาวนายพรานอย่ตู ำแหนง่ เดียวกบั กลุม่ ดาวเตา่ 86. (ว.7.1 ม.3/3) โลกโคจรรอบดวงอาทติ ย์ 1 รอบ ใชเ้ วลา 1 ปี ทำให้เหน็ ดวงอาทติ ย์เคล่ือนที่ผ่านกลมุ่ ดาวจกั รราศี ตา่ ง ๆ 12 กลมุ่ ในตอนหวั คำ่ ท่ีมีท้องฟ้าโปร่ง ผสู้ งั เกตบนโลกมองเห็นกลุม่ ดาวแพะทะเลปรากฏขึ้นเป็นกลมุ่ แรก ในช่วง เวลานัน้ ดวงอาทติ ยผ์ า่ นเขา้ ใกลก้ ลุม่ ดาวจกั รราศใี ด และตรงกบั เดอื นใด 1. กลุ่มดาวสงิ โต เดือนสงิ หาคม 2. กล่มุ ดาวคนคู่ เดือนกมุ ภาพันธ์ 3. กลุ่มดาวคนยิงธนู เดือนธันวาคม 4. กลุ่มดาวแพะทะเล เดอื นมกราคม 87. (ว.7.2 ม.3/1) กลอ้ งโทรทรรศน์ตวั หนง่ึ ใชเ้ ลนส์มนู ที่มีความยาวโฟกัส 1800 มิลลเิ มตร เป็นเลนส์ใกล้วตั ถุ และใช้ เลนสน์ นู อีกอันหน่ึงทมี่ ีความยาวโฟกัส 20 มลิ ลิเมตร เปน็ เลนสใ์ กล้ตา กล้องโทรทรรศนน์ ี้มกี ำลังขยายเทา่ ใด 1. 20 เทา 2. 90 เทา 3. 180 เทา 4. 3600 เทา 88. (ว.7.2 ม.3/1) ดาวเทียมที่ใชส้ ำหรับการถา่ ยทอดสญั ญาณโทรทัศน์ดจิ ิทลั ความละเอียดสูง (High Definition TV) ตอ้ งโคจรอยู่ในระดบั เด 1. วงโคจรระดับตำ่ 2. วงโคจรระดับกลาง 3. วงโคจรค้างฟา้ 4. เปน็ ไปได้ท้ังข้อ 1 2 และ 3 89. (ว.7.2 ม.3/1) พจิ ารณาประโยชนข์ องดาวเทียมต่าง ๆ แลว้ ตอบคำถาม ดาวเทียม THEOS ใช้สำรวจทรพั ยากรธรรมชาติ ดาวเทียม SOHO ใช้วเิ คราะหว์ ตั ถุบนท้องฟา้ ดาวเทียม GOES-J ใช้สำรวจเมฆ สภาพอากาศ ดาวเทยี ม THAICOM ใชส้ อ่ื สารระยะไกล คนทัว่ โลกรบั รู้ขา่ วสาร

29 ในการเตือนภัยสนึ ามิ แผ่นดนิ ไหว ใชป้ ระโยชนจ์ ากดาวเทียมดวงใดมากทีสุด 1. THEOS 2. SOHO 3. GOES-J 4. THAICOM 90. (ว.7.2 ม.3/1) ตาราง อัตราเร็วในการโคจรรอบโลกของดาวเทยี มท่รี ะดบั ความสงู ตา่ ง ๆ จากผวิ โลก ความสงู จากผิวโลก (km) อตั ราเรว็ (km/hr) คาบในการโคจรรอบโลก 1 รอบ 160 28,102 a 10,000 15,818 b 35,880 11,052 c จากตาราง ข้อใดสรุปไดถ้ ูกต้อง 1. a มีค่ามากกวา่ b 2. b มีคา่ มากกวา่ C 3. c มคี า่ มากกว่า b 4. a มคี ่าเท่ากบั b และ c

30 เฉลยชดุ ที่ 1 ข้อ คำตอบ ข้อ คำตอบ ขอ้ คำตอบ ขอ้ คำตอบ 1 4 26 4 51 3 76 4 2 3 27 1,6 52 2 77 4 3 4 28 2 53 1 78 2 4 4 29 3 54 4,6 79 3 5 3 30 4 55 2 80 3 6 3 31 2 56 3 81 2 7 1 32 4 57 3 82 1 8 2 33 1 58 2,3 83 2 9 2 34 3 59 3 84 2 10 3 35 2 60 2 85 4 11 3 36 3 61 3 86 1 12 4 37 3 62 2 87 2 13 4 38 2 63 3 88 3 14 1,5 39 2 64 3 89 1 15 1 40 3 65 1,6 90 3 16 2,5 41 4 66 2 17 2 42 1 67 1 18 2 43 4 68 1,6 19 3 44 1,4 69 1 20 2 45 2 70 1 21 1 46 2 71 3 22 3 47 1 72 3 23 1 48 3 73 1 24 3 49 2 74 4 25 5,6 50 3 75 5,6

31 ชุดที่ 2 ปกี ารศกึ ษา 2560 - 2561

32 1. เม่ือนำชิ้นสว่ นของสง่ิ มชี วี ติ ชนดิ หนงึ่ มาศกึ ษาภายใต้กล้องจลุ ทรรศน์ พบวา่ เซลล์มีสว่ นประกอบ ดงั น้ี ผนงั เซลล์ เยอื่ หุ้มเซลล์ ไซโทพลาซึม คลอโรพลาสต์ และนิวเคลยี ส ชิน้ สว่ นท่นี ำมาศึกษานี้ควรเป็นเซลล์ใด 1. เซลล์ของไฮดรา 2. เซลล์ของอะมีบา 3. เซลลข์ องเย่ือบุขา้ งแก้ม 4. เซลล์ของสาหร่ายหางกระรอก ว 1.1 ม.1/2 (60) 2. ศึกษาเซลลข์ องส่งิ มีชวี ติ 4 ชนิด ภายใตก้ ลอ้ งจุลทรรศน์ พบสว่ นประกอบของเซลล์ ดงั ตาราง ชนิดของเซลล์ สว่ นประกอบของเซลล์ ผนงั เซลล์ เย่อื หมุ้ เซลล์ นิวเคลียส คลอโรพลาสต์ A ✓✓✓✓ B ✓ C ✓✓ D ✓✓✓ ✓หมายถงึ มีสว่ นประกอบ และ  หมายถงึ ไม่มสี ว่ นประกอบ หากนำเซลลท์ งั้ 4 ชนิด ไปแช่ในนำ้ กล่ัน เป็นเวลา 5 นาที เซลล์คูใ่ ดมีโอกาสแตกได้ 1. เซลล์ A และ B . เซลล์ B และ C 3.เซลล์ C และ D 4. เซลล์ D และ A ว 1.1 ม.1/4 (60) 3. ข้อใดต่อไปนเี้ ปน็ ผลจากกระบวนการออสโมซิส 1. การเติมนำ้ ตาลลงไปในนม ทำให้นมมีรสหวาน 2. การแชถ่ ุงชาในนำ้ ร้อน ทำใหน้ ้ำเปลีย่ นเป็นสนี ้ำตาล 3. การแลกเปล่ยี นแก๊สออกซิเจนระหวา่ งหลอดเลือดฝอยกับอวยั วะ 4. การแช่เน้อื เยือ่ ของเซลลผ์ กั กาดในสารละลายกลโู คส ทำให้เซลลเ์ หีย่ ว ว 1.4 ม.1/4 4. ตดั ชิน้ มันฝร่งั เปน็ ทรงลูกบาศกท์ ี่มีมวล 5.0 กรัม จำนวน 4 ช้ิน แลว้ นำแต่ละชน้ิ แช่ลงในบกี เกอร์ A B C และ D ทีม่ ี สารละลายน้ำตาลความเข้มข้นแตกตา่ งกนั ปริมาตร 100 ลกู บาศกเ์ ซนติเมตร เปน็ เวลา 10 นาที หลงั จากนน้ั นำชิน้ มัน ฝรั่งในแต่ละบีกเกอร์ออกมาชงั่ น้ำหนักแล้วบันทกึ ผล ได้ดงั ตาราง บีกเกอร์ มวลของชิน้ มนั ฝรั่งหลังการแช่ (กรมั ) A 5.3 B 4.5 C 5.1 D 4.8

33 ข้อใดเปรยี บเทียบความเข้มข้นของสารละลายน้ำตาลในแต่ละบกี เกอร์ไดถ้ ูกต้อง 1. สารละลายในบกี เกอร์ A เข้มข้นมากกว่า บีกเกอร์ D 2. สารละลายในบกี เกอร์ B เขม้ ข้นมากกวา่ บีกเกอร์ D 3. สารละลายในบีกเกอร์ C เข้มข้นน้อยกว่า บกี เกอร์ A 4. สารละลายในบีกเกอร์ D เข้มข้นน้อยกวา่ บีกเกอร์ C ว 1.1 ม.1/5(60) 5. จดั ชุดการทดลองเพื่อศึกษาการสังเคราะหด์ ้วยแสงของพชื ดงั ภาพ ทำการทดลองโดยปรบั ระยะห่างระหวา่ งโคมไฟกับหลอดทดลองและความเข้มขน้ ของสารละลาย NaHCO3 ซ่ึงเป็นสาร ที่ปลดปล่อยแกส๊ คารบ์ อนไดออกไซด์ แล้วบันทึกจำนวนฟองแก๊สทีเ่ กิดขึ้น ได้ผลดังตาราง ชดุ การ ระยะห่างระหว่างโคมไฟ ความเขม้ ขน้ ของสารละลาย NaHCO3 จำนวนฟองแก๊ส ทดลอง กับหลอดทดลอง (cm) (รอ้ ยละโดยมวลต่อปรมิ าตร) 1 20 0.0 5 2 20 0.5 25 3 40 0.0 3 4 40 0.5 17 5 60 0.0 0 6 60 0.5 8 จากผลการทดลอง ข้อสรปุ ใดถกู ต้อง 1. จำนวนฟองแก๊สเพิ่มขึ้น เมื่อความเข้มแสงและปริมาณแก๊สคาร์บอนไดออกไซด์ลดลง 2. จำนวนฟองแก๊สเพ่ิมขึ้น เมื่อความเขม้ แสงและปริมาณแก๊สคาร์บอนไดออกไซดเ์ พ่ิมขึ้น 3. จำนวนฟองแกส๊ เพมิ่ ข้ึน เมื่อความเข้มแสงเพิ่มขนึ้ แตป่ ริมาณแก๊สคาร์บอนไดออกไซด์ลดลง 4. จำนวนฟองแกส๊ เพมิ่ ขนึ้ เม่ือความเขม้ แสงลดลงแต่ปริมาณแก๊สคารบ์ อนไดออกไซดเ์ พ่ิมข้ึน

34 ว 1.1 ม1./9 (60) 6. ศึกษาปจั จัยท่ีเกีย่ วข้องกับการคายน้ำของพืช โดยจัดชดุ การทดลองจำนวน 4 ชุดท่เี หมือนกนั ดังภาพ นำแตล่ ะชุดการทดลองไปวางไวใ้ นบริเวณท่มี ีความช้ืนสมั พัทธ์ และอณุ หภูมิตา่ งกันดังตาราง สังเกตระดบั น้ำในหลอดทดลองเมื่อเวลาผา่ นไป 24 ชั่วโมง บริเวณ ความชน้ื สัมพัทธ์ (%) อุณหภูมิ (°C) A 60 34 B 20 36 C 80 34 D 80 33 เม่ือทำการทดลองครบ 24 ชั่วโมง ข้อใดเรยี งลำดับการคายน้ำในชดุ การทดลองท้งั 4 บริเวณ จากมากไปน้อยได้ถูกต้อง 1. B A C D 2. B A D C 3. D C A B 4. C D A B ว 1.1 ม.1/9 7. ศึกษาการลำเล้ียงน้ำของพืช โดยการทดลองครั้งท่ี 1 นำต้นกระสังท่ีมรี ากตดิ อยู่แชใ่ นนำ้ สีแดง แล้วจับเวลาทน่ี ำสแี ดงเคล่อื นท่ขี นึ้ ไปตามลำตน้ จนมีความสูง 5 เซนตเิ มตร พบว่าใชเ้ วลา 7 นาที จากนน้ั ทำการทดลองซ้ำครง้ั ที่ 2 โดยมีการปรับสภาพแวดล้อมให้ต่างไปจากการทดลองคร้ังที่ 1 แลว้ พบวา่ น้ำสแี ดงเคลื่อนที่ขึ้นไปตามลำตน้ จนมีความสงู 5 เซนตเิ มตร ใช้เวลาเพยี ง 4 นาที ในการทดลองคร้งั ที่ 2 มีการปรบั สภาพแวดลอ้ มอย่างไร ทท่ี ำใหอ้ ัตราการคายนำ้ เปล่ียนไป จากการทดลองคร้ังท่ี 1 1. ปรบั ใหค้ วามเข้มแสงและอุณหภมู ลิ ดลง โดยปจั จัยอ่ืนคงท่ี 2. ปรับใหค้ วามชน้ื ลดลงและอณุ หภูมเิ พิ่มขึ้น โดยปจั จัยอนื่ คงที่ 3. ปรบั ให้ความชน้ื เพม่ิ ขึน้ และอุณหภมู ลิ ดลง โดยปัจจัยอน่ื คงที่ 4. ปรับให้ความเข้มแสงและความเรว็ ลมลดลง โดยปัจจัยอ่ืนคงที่

35 ว 1.1 ม.1/10, ม 1/11 (60) 8. ข้าวโพดเป็นพืชทมี่ ีดอกเพศผแู้ ละดอกเพศเมียอยู่ในตน้ เดยี วกนั โดยชอ่ ดอกเพศผจู้ ะอยสู่ ่วนยอดของลำต้น สว่ นช่อ ดอกเพศเมียจะอย่รู ะหวา่ งกาบใบและลำตน้ ซึ่งอยู่ตำ่ ลงมา ยอดของเกสรเพศเมยี จะเป็นเส้นบาง ๆ คล้ายกบั เสน้ ไหมท่ี ยาวและยื่นออกมาจากปลายชอ่ ดอกเป็นจำนวนมาก ดอกเพศผู้ของขา้ วโพดจะสลัดเกสรกอ่ นที่เซลลไ์ ข่ในดอกเพศเมยี พร้อมที่จะปฏิสนธิ ดังน้ัน ข้าวโพดจึงเป็นพืชทีผ่ สมขา้ ม ตน้ ตามธรรมชาติ ซึง่ อาจพบการผสมตัวเองเพยี งเล็กน้อยภายใตส้ ภาวะที่เหมาะสม โดยละอองเรณูจะมีชวี ติ อยู่ได้นาน 18 - 24 ชัว่ โมง แตอ่ าจจะตายในเวลา 2 -3 ชั่วโมงถ้าอุณหภมู สิ ูงมาก ๆ เกษตรกรคนหน่งึ ปลกู ข้าวโพด เมอื่ เก็บผลผลิตพบข้าวโพดท่ีมเี มล็ดไมเ่ ตม็ ฝักจำนวนมากถา้ เกษตรกรจะปลูกขา้ วโพด ครงั้ ต่อไป นักเรียนคิดวา่ วิธีการใดทส่ี ามารถช่วยปอ้ งกนั หรือแก้ปญั หาดงั กลา่ วได้ 1. ตัดดอกเพศผู้ออก เพ่ือเพิ่มอัตราการผสมข้ามตน้ 2. ใช้ถงุ คลุมเฉพาะดอกเพศผู้ เพอื่ เพิม่ อตั ราการผสมตวั เอง 3. ลดการใชส้ ารเคมกี ำจัดแมลง เพ่ือเพ่มิ อตั ราการผสมข้ามตน้ 4. ผสมพันธุ์ขา้ วโพดในชว่ งท่ีอากาศรอ้ น เพื่อเพมิ่ อัตราการสงั เคราะหด์ ว้ ยแสง ว 1.1 ม.1/11 9. นกั เรียน 3 คน ได้รบั มอบหมายใหข้ ยายพนั ธ์ุพืชคนละ 1 วิธี จากต้นแมพ่ นั ธ์ุท่ีให้ผลผลติ มาก ผลมเี น้ือหนา เมลด็ เล็ก ซง่ึ เมื่อขยายพันธพ์ุ ืชแลว้ นกั เรยี นแตล่ ะคนไดพ้ ชื ที่มจี ำนวนและลักษณะพืช ดังน้ี นกั เรียนคนท่ี จำนวนพืชทีไ่ ด้หลงั การขยายพนั ธ์ุ (ต้น) ลกั ษณะพืชท่ีได้ 15 ทกุ ตน้ ใหผ้ ลผลติ มาก ผลมเี นอ้ื หนา เมล็ดเล็ก 2 150 ทกุ ตน้ ให้ผลผลติ มาก ผลมเี น้ือหนา เมลด็ เล็ก บางตน้ ให้ผลผลติ มาก 3 10 ผลมเี น้อื หนา เมล็ดเล็ก บางต้นใหผ้ ลผลิตนอ้ ย ผลมเี นอื้ บาง เมล็ดใหญ่ จากสถานการณ์ ข้อใดอาจเป็นวธิ ีขยายพันธพ์ุ ืชทนี่ กั เรียนคนที่ 1 คนท่ี 2 และคนที่ 3 เลือกใช้ตามลำดบั 1. การตอนกิ่ง การเพาะเลี้ยงเนื้อเย่อื การเพาะเมล็ด 2. การตอนก่ิง การเพาะเมล็ด การเพาะเลย้ี งเน้ือเย่อื 3. การเพาะเล้ยี งเนื้อเยื่อ การเพาะเมล็ด การตอนกิ่ง 4. การเพาะเมลด็ การเพาะเล้ียงเนื้อเยื่อ การตอนก่ิง

36 ว 1.1 ม. 1/11 10. ทดลองเพาะเมล็ดพชื ชนิดหน่ึงท่ีมีอายุ นำ้ หนัก และขนาดเทา่ กัน ไวใ้ นสภาพแวดล้อมเหมือนกนั แตใ่ ชส้ ำลีหอ่ หุ้ม เมลด็ แตกต่างกนั โดยชดุ การทดลองท่ี 1 ใช้สำลแี ห้ง ส่วนชดุ การทดลองท่ี 2 ใชส้ ำลชี ุ่มน้ำ ดังภาพ ภาพใดแสดงการเปลี่ยนแปลงของเมลด็ หลงั จากผา่ นไป 7 วนั ได้ถกู ต้องที่สดุ ชุดการทดลองที่ 1 ชุดการทดลองท่ี 2 1. 2. 3. 4. ว 1.1 ม. 1/12 (60) 11. ข้อความใดกลา่ วถูกต้องเกย่ี วกับการตอบสนองตอ่ สง่ิ เร้าของพืช 1. การตอบสนองจะเกดิ ขึน้ อย่างช้า ๆ เสมอ 2. การบานของดอกบวั ไม่เป็นการตอบสนองต่อสิ่งเร้า 3. การตอบสนองของพชื บางคร้ังอาจไมเ่ กี่ยวข้องกบั การเจริญเติบโต 4. กลไกการตอบสนองจะตอ้ งเกิดจากการเพิ่มจำนวนของเซลลเ์ สมอ

37 ว 1.1 ม.2/1 12. คำอธิบายเกี่ยวกับระบบตา่ ง ๆ ของร่างกายมนษุ ยใ์ นข้อใดถูกต้อง 1. ถ้าไตทำงานบกพร่อง จะไม่พบโปรตนี และกลูโคสในปัสสาวะ 2. คาร์โบไฮเดรตจะถูกย่อยท่ีบรเิ วณปาก กระเพาะอาหาร และลำไส้เลก็ 3. เลอื ดทีม่ ีออกซเิ จนตำ่ ออกจากหวั ใจเข้าสปู่ อดทางหลอดเลอื ดอารเ์ ทอรี 4. โรคถุงลมโปง่ พองทำใหป้ อดมีพน้ื ทผี่ ิวเพ่ิมขน้ึ สารจากควันบหุ ร่ีจึงแพรส่ ่เู ลือดมากขึ้น ว.1.1 ม.2/3 13. ทดลองเลยี้ งกระรอกในกรงที่มสี ภาพแวดล้อมคลา้ ยคลงึ กับธรรมชาติ แล้วติดตามพฤติกรรมการตอบสนองของ กระรอกจาก 2 สถานการณ์ ตอ่ ไปน้ี สถานการณ์ท่ี 1 ผูเ้ ลย้ี งดีดน้วิ ทกุ คร้งั เมื่อถงึ เวลาใหอ้ าหาร เม่ือทำซำ้ ๆ พบว่า กระรอกจะเข้ามาหาทุกครัง้ ท่ีมีการดีดน้ิว แมจ้ ะไม่ได้ใหอ้ าหาร สถานการณ์ที่ 2 กระรอกนำวสั ดจุ ำพวกกิ่งไม้ ใบไม้ที่มีอยใู่ นกรง เพื่อนำมาใช้สร้างเปน็ รงั เองได้ พฤติกรรมการตอบสนองของกระรอกในสถานการณ์ที่ 1 และ 2 เปน็ แบบใด ตามลำดบั 1. พฤตกิ รรมทม่ี าแต่กำเนิดท้ังคู่ 2. พฤติกรรมที่เกดิ จากการเรียนรทู้ ง้ั คู่ 3. พฤติกรรมท่ีมาแตก่ ำเนิด และ พฤติกรรมท่เี กิดจากการเรียนรู้ 4. พฤตกิ รรมทีเ่ กิดจากการเรียนรู้ และ พฤติกรรมท่ีมาแต่กำเนดิ ว 1.1 ม.2/5(60) 14. ผลการทดสอบสารอาหารในอาหาร 4 ชนิด เป็นดงั ตาราง ผลการทดสอบสารอาหารโดยวธิ กี ารต่าง ๆ เตมิ สารละลาย เตมิ สารละลาย เติมสารละลายคอป ถูหรอื หยด อาหาร ไอโอดนี เบเนดกิ ต์ เปอร์ซัอเฟต บนกระดาษ และให้ความร้อน และเตมิ สารละลาย โซเดียมไฮดรอกไซด์ A สีนำ้ เงิน ไม่เปล่ยี นแปลง ไมเ่ ปลย่ี นแปลง ไมโ่ ปรง่ แสง B ไม่เปล่ียนแปลง ไมเ่ ปลยี่ นแปลง ไมเ่ ปลย่ี นแปลง โปร่งแสง C ไมเ่ ปลี่ยนแปลง ตะกอนสแี ดงอฐิ ไมเ่ ปลย่ี นแปลง ไม่โปรง่ แสง D ไม่เปลยี่ นแปลง ไม่เปลี่ยนแปลง สีมว่ ง โปรง่ แสง

38 ขอ้ ใดระบุชนดิ ของอาหารทง้ั 4 ชนิดที่นำมาทดสอบได้ถกู ต้อง ABCD 1. ข้าวกลอ้ ง น่องไก่ น้ำเชอื่ มจากขา้ วโพด เนยเทยี ม 2. ข้าวกล้อง เนยเทยี ม น้ำเชอื่ มจากขา้ วโพด น่องไก่ 3. นำ้ เชอื่ มจากข้าวโพด นอ่ งไก่ ข้าวกลอ้ ง เนยเทยี ม 4. นำ้ เช่ือมจากข้าวโพด เนยเทียม ขา้ วกลอ้ ง น่องไก่ ว 1.1 ม.2/5 15. นำอาหาร 4 ชนดิ มาทดสอบสารอาหาร ได้ผลการทดสอบดังตาราง ผลการทดสอบกับสารละลายชนิดตา่ ง ๆ ชนิด สารละลายไอโอดีน สารละลาย เติมสารละลาย ถ/ู หยด อาหาร เบเนดิกต์ CuSO4 บนกระดาษ และใหค้ วามร้อน และ สารละลาย NaOH A สนี ำ้ เงนิ ตะกอนสแี ดงอฐิ ไม่เปลี่ยนแปลง โปรง่ แสง B ไมเ่ ปลยี่ นแปลง ตะกอนสแี ดงอฐิ สีมว่ ง โปร่งแสง C สีนำ้ เงิน ไมเ่ ปล่ียนแปลง สีมว่ ง โปรง่ แสง D สีน้ำเงนิ ตะกอนสีแดงอฐิ สีมว่ ง ไมเ่ ปลี่ยนแปลง หากทดสอบอาหาร E ท่ีมีข้อมลู ทางโภชนาการต่ออาหาร 100 กรมั ดังน้ี แปง้ กลโู คส โปรตีน ไขมัน 45.0 กรมั 10.0 กรัม 0 กรัม 5.2 กรัม อาหาร E จะใหผ้ ลการทดสอบใกลเ้ คียงกบั อาหารชนิดใดมากที่สุด 1. อาหาร A 2. อาหาร B 3. อาหาร C 4. อาหาร D ว 1.2 ม. 3/2 16. ทดลองผสมพนั ธพุ์ ืชชนิดหนงึ่ ทมี่ ดี อก 2 สี ไดแ้ ก่ สแี ดง และ สขี าว โดยสีแดงเปน็ ลักษณะเดน่ ซงึ่ ถูกควบคุมด้วยยนี R และสขี าวเป็นลักษณะด้อยซึ่งถูกควบคุมด้วยยนี r รนุ่ พ่อแม่ ดอกสีแดง X ดอกสีขาว ลูกรนุ่ ที่ 1 ดอกสแี ดง ดอกสีขาว

39 หากทำการทดลองตอ่ โดยนำเฉพาะตน้ ท่มี ีดอกสแี ดงในลูกรุ่นที่ 1 มาผสมพันธ์ุกันลูกรนุ่ ท่ี 2 จะเปน็ ไปตามข้อใด 1. ตน้ ท่มี ดี อกสขี าว รอ้ ยละ 50 2. ต้นที่มดี อกสีแดง ลกั ษณะค่ยู นื แบบ Rr เทา่ น้ัน 3. ต้นทม่ี ดี อกสแี ดง ลกั ษณะคู่ยนื แบบ RR รอ้ ยละ 50 4. ตน้ ที่มีดอกสแี ดง และตน้ ท่ีมดี อกสขี าวในอัตราส่วน 3 : 1 ว 1.2 ม.3/3(60) 17. โรคธาลัสซเี มยี เปน็ โรคทางพันธกุ รรมท่ีถูกควบคุมดว้ ยยีนด้อยบนโครโมโซมรา่ งกาย เกิดจากความผดิ ปกติของยนี ท่ี ควบคุมการสรา้ งสีโมโกลบนิ ในเมด็ เลอื ดแดง จากการศึกษาการถ่ายทอดลักษณะโรคธาลสั ซีเมียในครอบครวั หนงึ่ ทีป่ ระกอบด้วย พ่อ แม่ ลกู สาว 1 คน และลกู ชาย 1 คน พบว่า พ่อแม่และลกู สาวไม่เป็นโรคธาลัสซีเมีย แตล่ ูกชายเปน็ โรคธาลสั ซเี มยี ข้อใดสรุปเกีย่ วกบั การถ่ายทอดลกั ษณะโรคธาลสั ซเี มียของครอบครวั น้ไี ด้ถูกต้อง 1. พอ่ หรือแมจ่ ะต้องมีค่ยู ืนท่ีปกตทิ ้งั คู่ 2. ลกู สาวจะตอ้ งเปน็ พาหะของโรคธาลัสซีเมยี เสมอ 3. ลกู ชายจะต้องได้รบั ยนื ควบคุมโรคธาลัสซีเมยี จากท้ังพ่อและแม่ 4. ลูกคนตอ่ ไปของครอบครัวน้ี จะไม่มโี อกาสเป็นโรคธาลัสซเี มียแล้ว ว 2.1 ม.3/3 18. แผนผังแสดงวัฏจักรของสารเปน็ ดังน้ี

40 จากแผนภาพ ข้อใดกลา่ วถูกต้อง 1. ถ้ากระบวนการ B เพ่ิมขนึ้ สาร A ในบรรยากาศจะเพ่ิมข้ึน 2. ถ้ากระบวนการ B ลดลง แก๊สออกซิเจนในบรรยากาศจะเพมิ่ ขึน้ 3. ถา้ กระบวนการ C เพมิ่ ข้นึ สาร A ในบรรยากาศจะเพ่ิมขึ้น 4. ถ้ากระบวนการ C ลดลง แกส๊ ออกซเิ จนในบรรยากาศจะลดลง ว 2.1 ม.3/2(60) 19. สงิ่ มีชีวติ ทอี่ าศยั ในบริเวณหน่งึ มีความสัมพนั ธ์กันดังภาพ ปจั จัยใดทอ่ี าจทำให้ประชากรกบในสายใยอาหารนเี้ พิ่มข้นึ 1. อัตราการเกิดของผักบงุ้ และหนอนลดลง 2. อัตราการอพยพออกของนกเหยย่ี วและอัตราการเกิดของแมวสูงขึน้ 3. อัตราการเกิดของขา้ วลดลงและอัตราการอพยพออกของตักแตนสูงขน้ึ 4. อัตราการตายของผกั บงุ้ ลดลงและอตั ราการอพยพเขา้ ของนกอนิ ทรีสงู ข้นึ

41 ว 2.1 ม.3/3(60) 20. A B C และ D คือกระบวนการที่เกิดขน้ึ ในวัฏจกั รคารบ์ อนของบรเิ วณหน่ึง ดงั แผนภาพ จากแผนภาพ กระบวนการใดของวฏั จกั รคารบ์ อนน้ีทีช่ ่วยบรรเทาภาวะเรอื นกระจกได้ 1. กระบวนการ A 2. กระบวนการ B 3. กระบวนการ C 4. กระบวนการ D ว 2.2 ม.3/1 21. ชาวบา้ นในหมบู่ า้ นแหง่ หนง่ึ นิยมใชป้ ยุ๋ เคมีและสารกำจดั แมลงปรมิ าณมากในการเพาะปลกู เป็นเวลานาน ส่งผลให้ เกดิ การสะสมของสารเคมแี ละทำใหด้ ินเสื่อมสภาพ แมป้ จั จุบันชาวบ้านจะเลิกใชส้ ารเคมแี ละปรับปรุงคณุ ภาพของดินให้ ดีขึ้นแล้ว แต่ยงั คงมสี ารเคมตี กคา้ งในดนิ และในระบบนเิ วศต่อไป หากต้องการหลกี เล่ียงการถ่ายทอดสารเคมที ต่ี กค้างในดนิ สู่สงิ่ มชี ีวติ อ่ืน ชาวบา้ นควรเลือกปลูกพืชเพ่ือนำไปใช้ประโยชนใ์ นด้านใด 1. การปลูกข้าวเพื่อส่งออก 2. การปลกู มันเทศเพ่ือแปรรูปเปน็ อาหารสัตว์ 3. การปลูกมนั สำปะหลงั เพ่ือผลติ นำ้ มันเช้อื เพลิง 4. การปลกู ขา้ วโพดเพ่ือผลติ แปง้ ข้าวโพดสำเรจ็ รูป ว 2.2 ม.3/3 (60) 22. กจิ กรรมในขอ้ ใดจดั เปน็ การนำกลับมาใชใ้ หม่ (Recycle) ตามแนวทางการใช้ทรัพยากรธรรมชาติ 3Rs 1. การนำกระดาษหนังสือพิมพม์ าเช็ดกระจก 2. การนำกระดาษที่ใช้แลว้ มาทำเป็นกระดาษสา 3. การบริจาคเสอื้ ท่ีไม่ไดใ้ ส่แล้วใหแ้ กค่ นอื่นทต่ี ้องการ 4. การซื้อน้ำยาลา้ งจานชนดิ ถุงเตมิ แทนการซื้อขวดใหม่

42 ว 2.2 ม.3/5 23. แก๊สคาร์บอนมอนอกไซด์ซึง่ เป็นแกส๊ อันตราย พบได้มากในบรเิ วณใด 1. บรเิ วณท่มี กี ารกอ่ สรา้ ง 2. บรเิ วณทม่ี ีแหล่งนำ้ เน่าเสยี 3. บรเิ วณที่มีการจราจรคบั ค่ัง 4. บริเวณท่มี ีการฝงั กลบของเสีย ว 3.1 ม. 1/1 24. จดั ชดุ การทดลอง โดยใส่นำกลั่นในบีกเกอร์ จำนวน 4 ใบ ใบละ 100 ลูกบาศก์เซนติเมตร แล้วนำของแข็ง 4 ชนิด คือ A B C และ D ชนิดละ 1 กรัมใส่ลงในบีกเกอร์ใบละ 1 ชนิด จากนน้ั ใชแ้ ทง่ แกว้ คนให้ของแขง็ และนำ้ ผสมกัน แล้ว นำสารผสมทั้ง 4 ชนดิ ไปทำการทดลอง ดงั น้ี 1. วางบกี เกอร์ไวใ้ นแนวท่แี สงแดดสอ่ งผ่าน เป็นเวลา 20 นาที พบว่า จะมองเหน็ ลำแสงผ่าน สารผสมระหว่างของแขง็ A กับนำ้ และสารผสมระหวา่ งของแขง็ D กบั นำ้ เทา่ นั้น และมีเพียง สารผสมระหวา่ งของแขง็ C กับน้ำ เท่านัน้ ท่ีมีตะกอนอยู่ท่ีกน้ บกี เกอร์ 2. นำสารผสมแต่ละชนดิ ใสใ่ นถงุ เซลโลเฟน แลว้ แช่น้ำ พบว่า มีเพยี งสารผสมระหวา่ ง ของแขง็ B กับน้ำ เทา่ น้ัน ที่สามารถผา่ นถุงเซลโลเฟนได้ จากผลการทดลอง สามารถจำแนกสารได้เป็น 3 กลมุ่ ดังน้ี กลมุ่ ท่ี 1 สารผสมระหวา่ งของแขง็ A กับน้ำ และสารผสมระหวา่ งของแข็ง D กับน้ำ กลุม่ ที่ 2 สารผสมระหวา่ งของแข็ง B กบั น้ำ กลมุ่ ที่ 3 สารผสมระหว่างของแข็ง C กบั นำ้ กำหนดให้ของแข็งที่ใช้ในการทดลองน้ี เมื่อกระจายอย่ใู นน้ำมขี นาดอนภุ าคแตกต่างกัน โดยอยูใ่ นช่วง 10-8 – 10-3 เซนตเิ มตร จากข้อมูล ขอ้ ใดระบขุ นาดของอนุภาคที่เป็นไปไดท้ ี่กระจายอยู่ในน้ำของสารผสมแต่ละชนิดไมถ่ ูกต้อง 1. สารผสมระหวา่ งของแข็ง A กับน้ำ เป็นสารที่มีขนาดของอนภุ าคเท่ากับ 10-5 มิลลเิ มตร 2. สารผสมระหว่างของแขง็ B กบั น้ำ เปน็ สารทม่ี ีขนาดของอนุภาคใหญ่กว่า 10-7 เซนติเมตร 3. สารผสมระหว่างของแข็ง C กบั นำ้ เป็นสารท่ีมีขนาดของอนภุ าคใหญ่กวา่ 10-3 มิลลิเมตร 4. สารผสมระหวา่ งของแขง็ D กบั นำ้ เป็นสารท่ีมีขนาดของอนภุ าคอยรู่ ะหว่าง 10-7 – 10-4 เซนตเิ มตร

43 ว 3.1 ม. 1/1 25. นำสาร A B C และ D ซงึ่ เป็นสารทีอ่ ยู่ในนำ้ มาใส่ลงในถงุ เซลโลเฟนชนดิ ละลงุ แลว้ นำไปแช่น้ำ เม่ือเวลาผ่านไป 20 นาที ได้ผลการทดลองดังภาพ กำหนดให้ และ แทนอนุภาคของสารแต่ละชนิด จากข้อมลู สารชนดิ ใดนา่ จะเป็นคอลลอยด์ และการตรวจสอบว่าสารน้นั เป็นคอลลอยด์หรือไม่ ทำได้อย่างไร 1. สาร A และ C ตรวจสอบโดยการฉายแสงผ่านสาร 2. สาร A และ C ตรวจสอบโดยการกรองสารดว้ ยกระดาษกรอง 3. สาร B และ D ตรวจสอบโดยการให้ความร้อนกับสาร 4. สาร B และ D ตรวจสอบโดยการกรองสารดว้ ยกระดาษกรอง ว 3.1 ม.1/2 (60) 26. ให้ และ แทนอนุภาคของสาร ภาพแสดงการจัดเรยี งอนุภาคของสาร เป็นดังน้ี

44 จากข้อมูล ขอ้ ใดคาดคะเนการเปลี่ยนแปลงการจัดเรียงอนุภาคและสมบัติบางประการของสารตามการเปลี่ยนสถานะ ของสารท่ีกำหนดให้ได้อยา่ งถูกต้อง การเปลยี่ นแปลง สมบัติของผลติ ภัณฑเ์ ปรียบเทียบกบั สารตง้ั ตน้ การเปลยี่ นสถานะของสาร การจดั เรียงอนภุ าค แรงยดึ เหนีย่ วระหวา่ ง พลังงานจลน์ ของสาร อนภุ าค 1. การหลอมเหลวของนำ้ แขง็ ภาพ D เปน็ C เพ่ิมขึ้น ลดลง 2. การระเหดิ ของลูกเหมน็ ภาพ D เปน็ A ลดลง เพิ่มข้นึ 3. การระเหยของเอทานอล ภาพ B เปน็ C เพิ่มขนึ้ ลดลง 4. การควบแน่นของไอนำ้ ภาพ B เปน็ E เพ่มิ ขน้ึ เพ่ิมข้ึน ว 3.1 ม.1/2 27. แบบจำลองการจดั เรียงอนภุ าคของสารทัง้ 3 สถานะ มีลักษณะดงั ภาพ ทดลองให้ความร้อนแกส่ าร A ซึ่งเป็นของแข็ง และลดอุณหภมู ิสาร B ซงึ่ เป็นแก๊ส ทำใหส้ ารท้งั 2 ชนิด เกดิ การเปลยี่ น สถานะ บันทึกอุณหภูมขิ องสารแตล่ ะชนดิ ท่ีเวลาตา่ ง ๆ แล้วนำมาเขียนกราฟได้ดังนี้ จากข้อมลู ท่อี ุณหภมู ิ T1 และ T2 สาร A และ B จะมีการจัดเรียงอนุภาคตามสถานะใด สถานะของสาร A ที่อณุ หภูมิ (°C) สถานะของสาร B ท่อี ุณหภมู ิ (°C) T1 T2 T1 T2 1. X Z Z Y 2. X Y Y Z 3. Y X Y X 4. Z Y X Y

45 ว3.1 ม.1/3 28. นำสบเู่ หลว 4 ย่หี ้อ คอื W X Y และ Z ซงึ่ มีลักษณะใสไม่มีสี มาทดสอบดว้ ยอนิ ดเิ คเตอรช์ นดิ ตา่ ง ๆ ได้ผลดงั น้ี อินดเิ คเตอร์ ชว่ ง pH ของ สีท่ีเปลีย่ น สขี องอินดเิ คเตอรท์ ไ่ี ดจ้ ากการทดสอบกับสบู่ การเปลยี่ นสี ยห่ี อ้ W ยี่ห้อ X ย่ีห้อ Y ย่ีห้อ Z เมทิลเรด 4.2 – 6.3 แดง – เหลือง เหลอื ง แดง เหลือง เหลอื ง ฟนี อลเรด 6.8 – 8.4 เหลือง – แดง แดง เหลอื ง เหลือง แดง ไทมอ์ฟทาลีน 9.4 - 10.3 ไม่มสี ี - นำ้ เงิน ฟ้าอ่อน ไม่มีสี ไมม่ สี ี นำ้ เงนิ จากข้อมลู ถา้ แพทย์แนะนำนักเรยี นวา่ ควรเลือกใช้สบทู่ ่ีมีสภาพใกลเ้ คียงเป็นกลาง เพ่ือแกป้ ัญหาบางประการของผิว นกั เรยี นควรเลือกใช้สบู่ย่ีห้อใดตอ่ ไปนี้ 1. ย่ีหอ้ W 2. ยี่หอ้ X 3. ยี่หอ้ Y 4. ย่ีหอ้ Z ว3.1 ม.1/4(60) 29. ขอ้ มูลแสดงช่วง pH และสที ่เี ปลี่ยนของอินดเิ คเตอร์ 6 ชนิด เป็นดงั นี้ อนิ ดเิ คเตอร์ ชว่ ง pH ของการเปล่ียนสี สที เ่ี ปลี่ยน เมทลิ ออเรนจ์ 3.2 – 4.4 แดง – เหลือง เมทลิ เรด 4.2 – 6.3 แดง – เหลือง ลติ มัส 5.0 – 8.0 แดง – นำ้ เงนิ บรอมไทมอลบลู 6.0 – 7.6 เหลือง – น้ำเงิน ฟีนอลเรด 6.8 – 8.4 เหลอื ง – แดง ถ้านำสารละลายใส ไม่มสี ี 2 ชนิด คือ สารละลาย Q และ R มาทดสอบกบั เมทลิ ออเรนจ์และลิตมสั ได้ผลดังน้ี ชนิดสารละลาย สีของสารละลายทไี่ ด้จากการทดสอบ เมทิลออเรนจ์ ลิตมัส Q แดง แดง R เหลอื ง น้ำเงนิ ถา้ นำสารละลาย Q และ R มาทดสอบด้วยอินดเิ คเตอร์ชนิดอ่ืน สขี องสารละลายจะเปลี่ยนแปลงเปน็ ไปตามข้อใด ชนิดสารละลาย สขี องสารละลายหลงั จากหยดอินดิเคเตอร์ชนดิ ต่าง ๆ เมทิลเรด บรอมไทมอลบลู ฟีนอลเรด 1. Q เหลอื ง เหลือง เหลอื ง 2. Q สม้ เหลือง เหลือง 3. R เหลอื ง เขียว ส้ม 4. R เหลือง นำ้ เงนิ แดง

46 ว 3.1 ม.2/2(60) 30. ตารางแสดงสมบตั บิ างประการและผลการทดสอบธาตุ A B C D และ E เปน็ ดังนี้ สมบตั ขิ องธาตุ ผลการทดสอบ ธาตุ ความหนาแน่น จุดหลอมเหลว จุดเดอื ด ทบุ ดว้ ยท้อน การนำไฟฟ้า (g/cm3) (°C) (°C) A 5.32 938 2833 เปราะ นำไฟฟา้ B 1.80 44 277 แตกเป็นก้อนเลก็ ๆ นำไฟฟ้าไดไ้ ม่ดี C 7.14 419 907 แผ่ออกเป็นแผน่ นำไฟฟ้า D 2.33 1414 3265 แตกเปน็ ชนิ้ เลก็ ๆ นำไฟฟา้ E 2.70 660 2519 แผอ่ อกเป็นแผน่ นำไฟฟ้า จากข้อมลู ข้อใดจำแนกธาตุ A B C D และ E ได้ถูกต้อง โลหะ กง่ึ โลหะ อโลหะ 1. C E A D B 2. C D E B A 3. A C D B E 4. A E C B D ว 3.1 ม.2/3 31. พจิ ารณาวิธีการแยกสารจากพืชชนิดหนึง่ ดังแผนภาพต่อไปนี้

47 วิธใี ดในแผนภาพท่ีสามารถแยกน้ำมนั หอมระเหยออกจากพืชเพอ่ื นำไปใชป้ ระโยชน์ 1. วิธี A เท่านน้ั 2. วิธี C เท่านนั้ 3. วิธี A และ B 4. วธิ ี C และ D ว 3.2 ม.1/1(60) 32. นักเรยี น 4 คน ทำการทดลองเตรยี มสารละลายแมกนีเซียมซัลเฟต โดยมีวิธกี ารเตรยี มสารละลายแตกตา่ งกนั ดังนี้ นักเรียนคนท่ี 1 นำแมกนีเซยี มซัลเฟต จำนวน 120 กรมั ใส่ลงในบกี เกอร์ขนาด 1,000 ลูกบาศก์เซนติเมตร และเตมิ น้ำ ปริมาตร 500 ลกู บาศก์เซนตเิ มตรใสล่ งในปกี เกอร์ นักเรยี นคนท่ี 2 นำสารผสมระหว่างน้ำกบั แมกนเี ซียมซลั เฟต ซงึ่ มแี มกนีเซยี มซัลเฟตผสมอยู่รอ้ ยละ 30 โดยมวล มา จำนวน 200 กรมั ละลายในน้ำทอ่ี ยใู่ นบีกเกอร์ขนาด500 ลูกบาศกเ์ ซนตเิ มตร แล้วเตมิ นำ้ จนสารละลาย มปี รมิ าตร 250 ลูกบาศกเ์ ซนติเมตร นักเรียนคนที่ 3 นำสารละลายแมกนเี ซยี มซัลเฟต เข้มขน้ รอ้ ยละ 40 โดยมวลตอ่ ปริมาตร ปรมิ าตร 60 มิลลลิ ิตร ใสล่ ง ในบีกเกอรข์ นาด 250 มิลลิลิตร แลว้ เติมนำ้ จนสารละลายมีปริมาตร 100 มลิ ลิลิตร นกั เรียนคนที่ 4 นำสารละลายแมกนีเซยี นซัลเฟตของนักเรียนคนท่ี 2 จำนวน 50 ลกู บาศกเ์ ซนตเิ มตรผสมกับ สารละลายแมกนีเซียมซลั เฟตของนักเรยี นคนที่ 3 จำนวน 10 ลูกบาศก์เซนตเิ มตร จากข้อมูล นักเรยี นคนใดเตรียมสารละลายแมกนีเซยี มซัลเฟตได้ความเข้มขน้ น้อยทส่ี ดุ 1. นักเรียนคนที่ 1 2. นกั เรยี นคนที่ 2 3. นกั เรยี นคนที่ 3 4. นักเรียนคนที่ 4 ว 3.2 ม.1/1 33. นำส้มเขม้ ข้น 1 ขวด มีปริมาตร 1,000 ลกู บาศกเ์ ซนตเิ มตร ซงึ่ มีน้ำตาลอยู่รอ้ ยละ 10 โดยมวลตอ่ ปริมาตร นำมา เตรยี มตามขนั้ ตอนดังนี้ ขั้นที่ 1 ผสมน้ำสม้ เข้มข้น 1 ขวด กับนำ้ ปรมิ าตร 4,000 ลกู บาศก์เซนติเมตร ได้น้ำส้มปริมาตร 5,000 ลูกบาศก์ เซนตเิ มตร ขั้นที่ 2 แบ่งน้ำสม้ จากข้นั ที่ 1 มาปริมาตร 600 ลูกบาศกเ์ ซนตเิ มตร แล้วเตมิ นำ้ จนไดน้ ้ำส้มปรมิ าตร 1,000 ลูกบาศกเ์ ซนตเิ มตร จากข้อมลู นำ้ ส้มท่เี ตรียมได้ในชนั้ ที่ 2 มปี ริมาณนำ้ ตาลอยู่ร้อยละเท่าใด 1. ร้อยละ 1.2 โดยมวลต่อปริมาตร 2. ร้อยละ 1.5 โดยมวลต่อปริมาตร 3. รอ้ ยละ 2.0 โดยมวลต่อปริมาตร 4. รอ้ ยละ 2.5 โดยมวลต่อปริมาตร


Like this book? You can publish your book online for free in a few minutes!
Create your own flipbook