Important Announcement
PubHTML5 Scheduled Server Maintenance on (GMT) Sunday, June 26th, 2:00 am - 8:00 am.
PubHTML5 site will be inoperative during the times indicated!

Home Explore (คู่มือ) หนังสือเรียนสสวท เพิ่มเติมชีววิทยา6

(คู่มือ) หนังสือเรียนสสวท เพิ่มเติมชีววิทยา6

Published by แชร์งานครู Teachers Sharing, 2021-01-28 06:38:22

Description: (คู่มือ) หนังสือเรียนสสวท เพิ่มเติมชีววิทยา6

คู่มือครู รายวิชาเพิ่มเติมวิทยาศาสตร์ ชีววิทยา

ชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 6 เล่ม 6
ตามผลเรียนรู้
กลุ่มสาระการเรียนรู้วิทยาศาสตร์ (ฉบับปรับปรุง พุทธศักราช 2560)
ตามหลักสูตรแกนกลางการศึกษาขั้นพื้นฐาน พุทธศักราช 2551

Keywords: (คู่มือ) หนังสือเรียนสสวท เพิ่มเติมชีววิทยา6,คู่มือครู รายวิชาเพิ่มเติมวิทยาศาสตร์ ชีววิทยา,กลุ่มสาระการเรียนรู้วิทยาศาสตร์ (ฉบับปรับปรุง พุทธศักราช 2560),หลักสูตรแกนกลางการศึกษาขั้นพื้นฐาน พุทธศักราช 2551

Search

Read the Text Version

90 บทที่ 23 | ความหลากหลายทางชวี ภาพ ชวี วทิ ยา เล่ม 6 การจ�ำ แนกสิ่งมชี วี ติ โดยพจิ ารณาจากลกั ษณะของส่ิงมชี ีวิต ครูน�ำ เขา้ ส่บู ทเรียนโดยอาจให้นักเรยี นลองจำ�แนกส่งิ ของต่าง ๆ ในห้องเรียน เชน่ โต๊ะ เกา้ อ้ี สมดุ ดนิ สอ ยางลบ และใหอ้ ภปิ รายวา่ นกั เรยี นมวี ธิ กี ารในการจ�ำ แนกสง่ิ ของตา่ ง ๆ เหลา่ นน้ั เปน็ หมวด หมู่อย่างไร จากน้ันครูอาจเช่ือมโยงไปยังรูปนำ�บทท่ีแสดงการเก็บรวบรวมตัวอย่างของส่ิงมีชีวิตใน พพิ ธิ ภณั ฑ์ โดยใหน้ กั เรยี นรว่ มกนั อภปิ รายเกย่ี วกบั การจ�ำ แนกสง่ิ มชี วี ติ เปน็ หมวดหมู่ ซง่ึ อาจใชต้ วั อยา่ ง ค�ำ ถามเพม่ิ เตมิ ดงั น้ี การเกบ็ รวมรวมตัวอยา่ งของสง่ิ มีชวี ติ ทจี่ ัดแสดงในพิพธิ ภัณฑ์มลี ักษณะอย่างไร การจัดจำ�แนกสง่ิ มชี วี ติ เป็นหมวดหมมู่ ปี ระโยชน์อย่างไร นักเรียนจะมีวธิ ีการจดั กลมุ่ ของสิ่งมชี วี ติ อยา่ งไร ครคู วรเปดิ โอกาสใหน้ กั เรยี นไดอ้ ภปิ รายแสดงความคดิ เหน็ อยา่ งอสิ ระ โดยจากการอภปิ ราย นกั เรยี นควรสรปุ ไดว้ า่ การจดั หมวดหมขู่ องสง่ิ มชี วี ติ จะจดั สง่ิ มชี วี ติ ทม่ี ลี กั ษณะรว่ มกนั ไวใ้ นกลมุ่ เดยี วกนั เพอ่ื ประโยชนใ์ นการศกึ ษากลมุ่ ของสง่ิ มชี วี ติ นน้ั  ๆ ครอู าจใหน้ กั เรยี นลองเสนอเกณฑอ์ ยา่ งงา่ ยในการจ�ำ แนกโลมาและปลาฉลาม โดยค�ำ ตอบของ นักเรียนอาจมีได้หลากหลาย เช่น สัตว์ทะเล สัตว์ท่วี ่ายนำ�้ ได้ จากน้นั ครูใช้รูป 23.71 เพ่อื ให้นักเรียน พจิ ารณาลกั ษณะตา่ ง ๆ ของโลมาและปลาฉลาม และอธบิ ายเกย่ี วกบั การจ�ำ แนกโลมาและปลาฉลามเมอ่ื ใช้หลายลักษณะเป็นเกณฑ์ในการจ�ำ แนก จากน้นั ให้นักเรียนทำ�กิจกรรม 23.4 เพ่อื ทดลองหาวิธีการ จ�ำ แนกสง่ิ มชี วี ติ สมมตุ ใิ นกจิ กรรม สถาบันส่งเสริมการสอนวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี

ชวี วิทยา เล่ม 6 บทท่ี 23 | ความหลากหลายทางชวี ภาพ 91 กิจกรรม 23.4 การจำ�แนกส่งิ มีชวี ติ โดยพจิ ารณาจากลักษณะทางสัณฐานวทิ ยา จุดประสงค์ 1. จำ�แนกสง่ิ มีชีวิตออกเป็นหมวดหม่โู ดยพจิ ารณาจากลักษณะทางสนั ฐานวทิ ยา 2. อธิบายวธิ ีการจ�ำ แนกสิง่ มีชวี ติ เวลาท่ีใช้ (โดยประมาณ) 1 ชัว่ โมง ขอ้ เสนอแนะสำ�หรบั ครู ครอู าจท�ำ ส�ำ เนารปู ของสงิ่ มชี วี ติ สมมตุ ลิ งในกระดาษ A4 แจกใหน้ กั เรยี นแตล่ ะกลมุ่ เพอ่ื ใช้ ในการทำ�กิจกรรมและการนำ�เสนอผลการทำ�กิจกรรม โดยให้นักเรียนตัดรูปของส่ิงมีชีวิตท้ัง 6 สปชี ยี ์ แยกออกจากกนั เพอื่ ความสะดวกในการโยกยา้ ยและจดั จ�ำ แนกเปน็ กลมุ่ ซง่ึ ในการท�ำ กิจกรรมนี้นักเรียนจะต้องทำ�การจำ�แนกส่ิงมีชีวิต 2 ครั้ง ดังน้ันครูอาจเตรียมสำ�เนารูปของ ส่งิ มีชวี ิตสมมุติใหน้ กั เรียนเพอ่ื ท�ำ กิจกรรมกลุ่มละ 2 ชุด แนวการจัดกิจกรรม 1. ครูแบ่งกลุ่มนักเรียนและให้แต่ละกลุ่มจำ�แนกสิ่งมีชีวิตโดยใช้ลักษณะเดียวเป็นเกณฑ์ใน การจำ�แนก แตล่ ะกล่มุ จัดทำ�ผลการจำ�แนก พร้อมทั้งบอกเกณฑ์ท่ใี ชใ้ นการจ�ำ แนก และนำ� มาแสดงบนกระดานหนา้ ชน้ั เรียน เพื่อแลกเปล่ียนข้อมลู กบั กล่มุ อ่ืน 2. แต่ละกลมุ่ พจิ ารณาลักษณะของสิ่งมชี ีวิตทงั้ 6 สปีชีส์ ทั้งลักษณะท่ีเหมอื นกนั และลักษณะ ที่แตกต่างกันโดยละเอียด และบันทึกการมีและไม่มีลักษณะน้ันลงในตารางในข้อที่ 3 ใน หนงั สือเรียน โดยผลการเก็บขอ้ มลู ลกั ษณะตา่ ง ๆ ของส่ิงมีชวี ติ ท้งั 6 สปชี สี ์ มดี งั นี้ สถาบันส่งเสริมการสอนวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี

92 บทที่ 23 | ความหลากหลายทางชวี ภาพ ชวี วิทยา เลม่ 6 ลกั ษณะ สปชี สี ท์ ี่ 123456 ลำ�ตวั รูปรา่ งคล้ายหยดนำ�้ -- รูปร่างทรงกระบอก -- - - ตา ตากลมและเชือ่ มกนั ---- ตากลมและไมเ่ ช่อื มกนั - - -- ตาหกเหลยี่ มและไม่เช่ือมกนั -- - - หนวด ปลายแยกเปน็ 3 แฉก -- - - ปลายม้วน --- ปลายโค้ง ----- ปกี ปกี 1 คู่ ปลายปีกตรง -- - - ปกี 1 คู่ คลา้ ยรูปหวั ใจ ---- ปีก 2 คู่ - - -- หาง หางกลมมน ---- - หางตดั ตรง -- --- หางเป็นแฉก -- มขี ้อ มีครบี หู 1 คู่ ข้อและครีบหู มขี อ้ มคี รบี หู 2 คู่ ----- ขอ้ ครีบหู ไมม่ ีข้อ มคี รบี หู 1 คู่ ไมม่ ขี อ้ มคี รีบหู 2 คู่ -- - - ไมม่ ขี อ้ มคี รบี หู 3 คู่ ----- --- -- - ---- สถาบันส่งเสริมการสอนวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี

ชีววิทยา เล่ม 6 บทที่ 23 | ความหลากหลายทางชีวภาพ 93 3. นักเรียนวิเคราะห์ข้อมูลจากตารางในข้อท่ี 3 ในหนังสือเรียน เพื่อเปรียบเทียบจำ�นวน ลกั ษณะรว่ มของสง่ิ มชี วี ติ และบนั ทกึ ลงตารางในขอ้ ที่ 4 ในหนงั สอื เรยี น โดยผลการวเิ คราะห์ จ�ำ นวนลักษณะรว่ มของสิง่ มชี วี ติ 6 สปีชสี ์ มดี งั น้ี สปีชีสท์ ่ี 1 23456 1 2 ลกั ษณะ 0 ลักษณะ 2 ลักษณะ 0 ลักษณะ 4 ลักษณะ 2 0 ลักษณะ 5 ลกั ษณะ 0 ลกั ษณะ 3 ลกั ษณะ 3 0 ลกั ษณะ 5 ลักษณะ 0 ลกั ษณะ 4 0 ลักษณะ 3 ลักษณะ 5 0 ลกั ษณะ 6 4. จากนัน้ ให้นกั เรียนจำ�แนกสง่ิ มีชวี ิตท้งั 6 สปีชีส์ อกี ครงั้ โดยพจิ ารณาจากหลายลกั ษณะรว่ ม กนั ซง่ึ สามารถวเิ คราะหข์ อ้ มลู ไดจ้ ากตารางในขอ้ 4 ในหนงั สอื เรยี น และจดั ท�ำ ผลการจ�ำ แนก พร้อมทั้งบอกเกณฑ์ที่ใช้ในการจำ�แนก และนำ�มาแสดงบนกระดานหน้าชั้นเรียน และให้ นกั เรียนแตล่ ะกลุ่มอภปิ รายรว่ มกัน หมายเหตุ ในการจ�ำ แนกสงิ่ มชี วี ติ สมมตุ ทิ ง้ั 6 สปชี สี โ์ ดยใชล้ กั ษณะเดยี วเปน็ เกณฑ์ อาจไมจ่ �ำ เปน็ ต้องจำ�แนกเป็น 3 กลุ่ม สามารถเปิดโอกาสให้นักเรียนจำ�แนกเป็นกี่กลุ่มก็ได้ แต่ต้องสามารถ บอกเกณฑ์ที่ใช้ในการจำ�แนกได้ ส่วนการจำ�แนกโดยพิจารณาจากหลายลักษณะเป็นเกณฑ์ให้ จำ�แนกออกเปน็ 3 กลมุ่ โดยสามารถอา้ งอิงกับขอ้ มลู ในสถานการณท์ ่กี �ำ หนดให้วา่ นักชีววทิ ยา ได้มีการจำ�แนกสิง่ มีชีวิตสมมุติดงั กล่าวเปน็ 3 กลมุ่ สถาบันส่งเสริมการสอนวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี

94 บทที่ 23 | ความหลากหลายทางชวี ภาพ ชวี วิทยา เลม่ 6 ตัวอยา่ งผลการทำ�กิจกรรม 1) ตวั อยา่ งผลการจำ�แนกสิ่งมชี วี ิตโดยพิจารณาจากลกั ษณะเดยี วเป็นเกณฑ์ อาจมไี ดด้ ังน้ี - พิจารณาจากลักษณะหนวดเปน็ เกณฑ์ จำ�แนกเป็น 3 กลุ่ม ดังน้ี 1 2 46 3 5 - พจิ ารณาจากลักษณะปีกเป็นเกณฑ์ จำ�แนกเปน็ 3 กลุ่ม ดงั นี้ 16 24 3 5 - พิจารณาจากลกั ษณะหางเปน็ เกณฑ์ จ�ำ แนกเปน็ 3 กลุ่ม ดังนี้ 12 46 3 5 สถาบันส่งเสริมการสอนวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี

ชวี วิทยา เล่ม 6 บทท่ี 23 | ความหลากหลายทางชวี ภาพ 95 2) ตวั อยา่ งผลการจ�ำ แนกเมอื่ พจิ ารณาลกั ษณะรว่ มหลายลกั ษณะเปน็ เกณฑ์ จ�ำ แนกเปน็ 3 กลมุ่ ดงั นี้ 16 24 35 มีลกั ษณะรว่ ม 4 ลักษณะ มีลักษณะรว่ ม 5 ลกั ษณะ มีลกั ษณะร่วม 5 ลกั ษณะ - ล�ำ ตัวกลม - ล�ำ ตัวกลม - ลำ�ตวั เปน็ แท่ง - หางเปน็ แฉก - หางเปน็ แฉก - ตาหกเหลี่ยมไม่เช่ือมกัน - ตากลมและเช่ือมกนั - ตากลมและเชอ่ื มกนั - ปกี 1 ปลายปีกตรง - ปีก 1 คคู่ ลา้ ยรปู หัวใจ - ปีก 2 คู่ - หนวดปลายแยกเป็น 3 แฉก - หนวดปลายมว้ น - มีขอ้ มีครบี หู 2 คู่ แนวทางการอภิปราย ครูและนักเรียนร่วมกันอภิปรายผลการจำ�แนกสิ่งมีชีวิตท้ัง 6 สปีชีส์ออกเป็น 3 กลุ่ม ตาม ประเดน็ การอภิปรายในหนังสือเรียน โดยจากการอภิปรายควรนำ�ไปสขู่ อ้ สรปุ ดงั น้ี - ในการเลือกใช้ลักษณะเดียวเป็นเกณฑ์ในการจำ�แนกส่ิงมีชีวิตจะขึ้นอยู่กับการ ตดั สนิ ใจของผจู้ �ำ แนกแตล่ ะคนวา่ จะพจิ ารณาใหค้ วามส�ำ คญั กบั ลกั ษณะใดบา้ งในการ ใช้จ�ำ แนก ซึง่ หากเลอื กใชเ้ กณฑท์ ่แี ตกตา่ งกนั ในการจำ�แนก กลุ่มส่ิงมชี วี ติ ทจี่ ำ�แนกได้ กจ็ ะแตกต่างกัน - เม่ือทำ�การพิจารณาลักษณะต่าง ๆ หลายลักษณะ จะทำ�ให้เห็นถึงลักษณะที่แตกต่าง กัน และลักษณะร่วมกันของส่ิงมีชีวิต ซึ่งทำ�ให้กลุ่มของส่ิงมีชีวิตที่จำ�แนกได้ของ นักเรียนแตล่ ะกลุม่ นา่ จะมคี วามใกล้เคียงกนั มากขนึ้ สถาบันส่งเสริมการสอนวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี

96 บทที่ 23 | ความหลากหลายทางชีวภาพ ชวี วทิ ยา เลม่ 6 - กลุ่มส่ิงมีชีวิตที่จำ�แนกได้อาจจะแตกต่างกัน โดยการใช้ลักษณะเดียวในการจำ�แนก ส่ิงมีชีวิตเป็นการจำ�แนกแบบง่าย ซึ่งเป็นวิธีการในการจำ�แนกในสมัยเร่ิมแรก โดยภายในกลุ่มส่ิงมีชีวิตท่ีจำ�แนกได้อาจมีสมาชิกที่มีลักษณะหลากหลายแตกต่างกัน ซึ่งจะแตกต่างกันไปตามความเห็นของผู้จำ�แนกแต่ละคน และไม่ได้สะท้อนความ สัมพันธ์ทางวิวัฒนาการของสิ่งมีชีวิต ในขณะที่การจำ�แนกซ่ึงพิจารณาจากหลาย ลักษณะ มักแสดงให้เห็นว่าสิ่งมีชีวิตที่มีลักษณะคล้ายคลึงกันมาก ๆ จะถูกจัดกลุ่มไว้ ด้วยกัน ซ่ึงเป็นการจำ�แนกท่ีเริ่มเห็นความสัมพันธ์ทางวิวัฒนาการมากขึ้นกว่าการ จำ�แนกโดยพิจารณาลกั ษณะเดยี ว นอกจากนค้ี รอู าจอธบิ ายเพมิ่ เตมิ วา่ ไมว่ า่ จะเปน็ การจ�ำ แนกโดยพจิ ารณาจากลกั ษณะเดยี ว หรือพิจารณาหลายลักษณะ ไม่มีระบบการจำ�แนกใดที่สามารถบอกได้ว่าถูกหรือผิดทั้งหมด ขน้ึ อยกู่ บั องคค์ วามรทู้ ่ีมอี ยใู่ นช่วงเวลาน้นั ทั้งนร้ี ะบบการจำ�แนกอาจมจี ดุ ประสงค์แตกต่างกัน เชน่ ในอดตี การจ�ำ แนกสงิ่ มชี วี ติ เปน็ หมวดหมอู่ าจมงุ่ เนน้ ทก่ี ารน�ำ มาใชป้ ระโยชน์ แตใ่ นปจั จบุ นั นกั วทิ ยาศาสตร์มีแนวคดิ ในการสร้างระบบจำ�แนกเพอ่ื บง่ บอกความสมั พนั ธใ์ นเชงิ ววิ ัฒนาการ ขอ้ เสนอแนะเพิม่ เติม ครอู าจเชอ่ื มโยงและใหอ้ ภปิ รายเกยี่ วกบั การน�ำ แนวคดิ ในการจ�ำ แนกมาใชป้ ระโยชนใ์ นชวี ติ ประจำ�วันของนักเรียน เช่น การจัดระเบียบเส้ือผ้าในตู้เส้ือผ้า การจัดไฟล์ในคอมพิวเตอร์ นอกจากน้ีการจำ�แนกส่ิงมีชีวิตเป็นหมวดหมู่ยังเป็นประโยชน์ต่อการนำ�ข้อมูลไปใช้ศึกษาและ วิจัยในดา้ นตา่ ง ๆ อีกด้วย เฉลยคำ�ถามท้ายกิจกรรม หากส่ิงมีชีวิตท้ัง 3 กลุ่มน้ีจัดอยู่ในแฟมิลีเดียวกัน กลุ่มสิ่งมีชีวิตที่จำ�แนกได้มีความ แตกต่างกันทางอนกุ รมวธิ านในล�ำ ดับขน้ั ใด ส่ิงมชี วี ติ ท้งั 3 กล่มุ นี้อยตู่ ่างจีนสั กนั การพิจารณาโดยใช้ลักษณะเดียวกับการใช้หลายลักษณะร่วมกันเป็นเกณฑ์ในการ จำ�แนกจะทำ�ให้กลมุ่ สง่ิ มชี วี ติ ท่จี �ำ แนกไดแ้ ตกต่างกนั หรอื ไม่ อย่างไร กลุ่มส่ิงมีชีวิตท่ีจำ�แนกได้อาจมีความแตกต่างกัน และการจำ�แนกโดยพิจารณาจาก หลายลักษณะร่วมกันจะสามารถแสดงให้เห็นความสัมพันธ์ทางวิวัฒนาการได้ดีกว่า การจำ�แนกโดยพจิ ารณาลักษณะเดยี ว สถาบันส่งเสริมการสอนวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี

ชีววทิ ยา เลม่ 6 บทที่ 23 | ความหลากหลายทางชวี ภาพ 97 การจ�ำ แนกส่งิ มีชีวิตกบั ความสัมพนั ธใ์ นเชิงวิวัฒนาการ ครูทบทวนความรู้เก่ียวกับทฤษฎีวิวัฒนาการของชาลส์ ดาร์วิน ซ่ึงอธิบายกลไกการเกิด ววิ ฒั นาการของสง่ิ มชี วี ติ วา่ สง่ิ มชี วี ติ ในปจั จบุ นั เปน็ รนุ่ ลกู หลานทม่ี ลี กั ษณะแตกตา่ งจากสง่ิ มชี วี ติ ทม่ี มี าใน อดีต โดยลักษณะท่ีเหมาะสมเท่าน้ันจะถูกคัดเลือกให้คงอยู่ในสภาพแวดล้อม ณ ขณะน้ัน โดยครู เช่ือมโยงความรู้เก่ียวกับวิวัฒนาการและการจำ�แนกส่ิงมีชีวิต โดยอาจใช้คำ�ถามถามนักเรียนว่า การจ�ำ แนกสง่ิ มชี วี ติ กบั ววิ ฒั นาการมคี วามสมั พนั ธก์ นั หรอื ไม่ อยา่ งไร จากการอภิปรายควรนำ�ไปส่ขู ้อสรุปเก่ยี วกับส่งิ มีชีวิตหลายชนิดท่ถี ูกจัดไว้เป็นกล่มุ เดียวกัน เน่อื งจากมีลักษณะต่าง ๆ จำ�นวนมากคล้ายคลึงกัน เป็นผลมาจากการท่ไี ด้รับถ่ายทอดลักษณะและมี ววิ ฒั นาการมาจากบรรพบรุ ษุ รว่ มกนั ครใู ชร้ ปู 23.72 แผนภมู วิ วิ ฒั นาการชาตพิ นั ธท์ุ บ่ี ง่ บอกความสมั พนั ธเ์ ชงิ ววิ ฒั นาการของสตั วม์ ี กระดกู สนั หลงั บางสปชี สี ์ เพอ่ื อธบิ ายเกย่ี วกบั การทส่ี ง่ิ มชี วี ติ ทม่ี คี วามสมั พนั ธท์ ใ่ี กลช้ ดิ กนั ซง่ึ จดั จ�ำ แนกไว้ เปน็ กลมุ่ เดยี วกนั จะมลี กั ษณะรว่ มทถ่ี า่ ยทอดมาจากบรรพบรุ ษุ รว่ มกนั โดยจากรปู 23.72 สตั วท์ ง้ั หมด ทอ่ี ยดู่ า้ นหลงั ค�ำ ทบ่ี ง่ บอกลกั ษณะแสดงวา่ มลี กั ษณะนน้ั แตถ่ า้ อยดู่ า้ นหนา้ ค�ำ ทบ่ี ง่ บอกลกั ษณะแสดงวา่ ไม่มีลักษณะน้นั ดังตัวอย่างในรูปด้านล่าง และสัตว์ท่มี ีลักษณะร่วมกันหลายลักษณะมีแนวโน้มท่จี ะมี ความสมั พนั ธเ์ ชงิ ววิ ฒั นาการมากกวา่ สตั วท์ ม่ี ลี กั ษณะรว่ มกนั นอ้ ยกวา่ ปลาฉลาม ปลากระเบน ปลากระพง กบ โลมา วาฬ ชา้ ง ก. บรรพบรุ ษุ ร่วมล่าสดุ ของ ข. ปลาฉลามและปลากระเบน ค. ง. มีถุงนำ้�คร่ำ� และตอ่ มน�ำ้ นม จ. มีปอด และมแี ขน ขา หรอื ปกี (limbs) มโี ครงร่างแขง็ ฉ. มขี ากรรไกร ปลาฉลาม และปลากระเบน ปลากระพง กบ โลมา วาฬ ไมม่ โี ครงร่างแขง็ และช้าง มีโครงร่างแขง็ สถาบันส่งเสริมการสอนวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี

98 บทท่ี 23 | ความหลากหลายทางชีวภาพ ชวี วิทยา เลม่ 6 จากนน้ั อาจใชค้ �ำ ถามถามนกั เรยี นเพม่ิ เตมิ ดงั น้ี ลักษณะใดเป็นลักษณะร่วมที่ถ่ายทอดมาจากบรรพบุรุษร่วมกันของสัตว์ท้ังหมดในรูป 23.72 การมขี ากรรไกร ลักษณะใดเป็นลักษณะรว่ มท่ีถ่ายทอดมาจากบรรพบรุ ุษรว่ มกนั ของโลมา วาฬ และชา้ ง การมถี ุงน้�ำ คร่ำ�ห่อหุ้มเอ็มบรโิ อ และการมตี ่อมน�้ำ นม จากนน้ั ครอู ธบิ ายเกย่ี วกบั บรรพบรุ ษุ รว่ มลา่ สดุ โดยใชแ้ ผนภมู วิ วิ ฒั นาการชาตพิ นั ธใ์ุ นรปู 23.72 และตอบค�ำ ถามในหนงั สอื เรยี น ซง่ึ มแี นวค�ำ ตอบ ดงั น้ี จากรปู 23.72 จุด ง. จ. และ ฉ. เปน็ บรรพบรุ ษุ ร่วมลา่ สุดของสิ่งมชี วี ติ ใด - จุด ง. เป็นบรรพบุรษุ ร่วมล่าสดุ ของ กบ โลมา วาฬ และชา้ ง - จดุ จ. เป็นบรรพบรุ ษุ รว่ มล่าสดุ ของ ปลากะพง กบ โลมา วาฬ และชา้ ง - จ ุด ฉ. เปน็ บรรพบุรษุ ร่วมล่าสดุ ของ ปลาฉลาม ปลากระเบน ปลากะพง กบ โลมา วาฬ และ ชา้ ง ครทู บทวนความรเู้ ดมิ ในบทท่ี 7 ววิ ฒั นาการ ในหนงั สอื เรยี นชวี วทิ ยาเลม่ 2 เกย่ี วกบั หลกั ฐาน และขอ้ มลู ทใ่ี ชใ้ นการศกึ ษาววิ ฒั นาการ จากนน้ั ครใู ชร้ ปู 23.73 และใชค้ �ำ ถามเพอ่ื ใหน้ กั เรยี นอภปิ รายใน ประเดน็ เกย่ี วกบั การศกึ ษาววิ ฒั นาการของสง่ิ มชี วี ติ ดงั น้ี เพราะเหตุใดโลมาและปลาฉลามซึ่งไม่ได้มีความสัมพันธ์ใกล้ชิดกันทางวิวัฒนาการจึงมี รูปรา่ งลักษณะภายนอกท่ีคล้ายกนั รปู รา่ งลกั ษณะภายนอกทคี่ ลา้ ยกนั ระหวา่ งโลมาและปลาฉลาม เปน็ โครงสรา้ งก�ำ เนดิ ตา่ ง กัน (analogous structure) เน่ืองจากววิ ัฒนาการมาจากบรรพบรุ ุษที่แตกต่างกนั ที่อาศยั อย่ใู นสภาพแวดล้อมที่คลา้ ยกนั คอื อาศยั อยู่ในนำ้�ทะเล จึงทำ�ใหม้ โี ครงสร้างที่ทำ�หนา้ ท่ี คลา้ ยกัน สถาบันส่งเสริมการสอนวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี

ชีววทิ ยา เล่ม 6 บทที่ 23 | ความหลากหลายทางชวี ภาพ 99 หลกั ฐานท่ีสนับสนนุ การศึกษาววิ ัฒนาการของสง่ิ มีชีวติ มอี ะไรบ้าง หลักฐานที่สนับสนุนการศึกษาวิวัฒนาการของสิ่งมีชีวิต เช่น ซากดึกดำ�บรรพ์ สณั ฐานวิทยา กายวิภาคเปรียบเทยี บ วทิ ยาเอม็ บริโอ ชวี วิทยาโมเลกุล การแพร่กระจาย ของสิ่งมชี ีวติ ทางภมู ศิ าสตร์ เป็นตน้ อปุ สรรคของการจ�ำ แนกสงิ่ มชี ีวิตในเชงิ วิวฒั นาการมีอะไรบา้ ง หลกั ฐานบางอยา่ ง เชน่ ซากดกึ ด�ำ บรรพ์ การน�ำ มาเปน็ หลกั ฐานอา้ งองิ ไดจ้ ะตอ้ งมชี นิ้ สว่ น ของซากดึกดำ�บรรพ์ที่อยู่ในสภาพสมบรูณ์พอสมควรจึงจะสามารถอธิบายเกี่ยวกับ วิวัฒนาการของสงิ่ มชี วี ติ นั้น ๆ ได้ นอกจากนอ้ี ีกอุปสรรคทส่ี �ำ คัญ คอื การทย่ี งั ไม่ได้มกี าร ค้นพบซากดึกดำ�บรรพ์ที่เป็นบรรพบุรษของสิ่งมีชีวิตอีกหลายชนิด ทำ�ให้ไม่สามารถ เชื่อมต่อสายวิวฒั นาการยอ้ นกลับไปยงั บรรพบุรษุ ร่วมลา่ สดุ ไดอ้ ยา่ งสมบูรณ์ จากน้นั ครูใช้รูป 23.74 อธิบายเก่ยี วกับการจัดกล่มุ ส่งิ มีชีวิตท่เี ป็นกล่มุ ชาติพันธ์เุ ดียวว่าเป็น การจดั กลมุ่ สง่ิ มชี วี ติ โดยใหร้ วมบรรพบรุ ษุ รว่ มลา่ สดุ และลกู หลานทง้ั หมดของบรรพบรุ ษุ นน้ั เขา้ ไวด้ ว้ ยกนั ซ่ึงสะท้อนความสัมพันธ์ทางวิวัฒนาการท่ีแท้จริงของกลุ่มส่ิงมีชีวิตน้ัน ๆ จากน้ันครูใช้คำ�ถามใน หนงั สอื เรยี นเพอ่ื ตรวจสอบความเขา้ ใจของนกั เรยี น ซง่ึ มแี นวค�ำ ตอบดงั น้ี ถา้ มกี ารจดั กลมุ่ สง่ิ มชี วี ติ เปน็ กลมุ่ ก. ข. และ ค. ตามแผนภาพดา้ นลา่ ง กลมุ่ สงิ่ มชี วี ติ ใดทแี่ สดง ถึงกลุ่มชาติพนั ธเ์ุ ดียว เพราะเหตุใด กล่มุ ก. กล่มุ ข. กลมุ่ ค. กลุ่ม ก. เปน็ กลมุ่ ชาติพันธุ์เดียว เนื่องจากเป็นกลุม่ ทีร่ วม B ซึง่ เป็นบรรพบรุ ุษร่วมลา่ สุด และ ลูกหลานของ B ทงั้ หมดเข้าไวด้ ้วยกนั ในขณะท่ี กลุ่ม ข. ขาดบรรพบุรุษรวมล่าสดุ ของทัง้ E และ G และขาดสมาชกิ บางสว่ น ส่วนกลุม่ ค. ขาดลกู หลานบางส่วนของ A จงึ ทำ�ให้ กลุ่ม ข. และกลมุ่ ค. ไม่เป็นกลมุ่ ชาติพันธุ์เดียว สถาบันส่งเสริมการสอนวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี

100 บทท่ี 23 | ความหลากหลายทางชวี ภาพ ชีววิทยา เล่ม 6 จากน้ันครูอธิบายและสรุปเก่ียวกับระบบการจำ�แนกส่ิงมีชีวิตตามวิวัฒนาการชาติพันธ์ุ (phylogenetic classification) เปน็ ระบบการจ�ำ แนกทม่ี แี นวความคดิ บนพน้ื ฐานเรอ่ื งของววิ ฒั นาการ ซง่ึ น�ำ ไปสกู่ ารอธบิ ายวา่ การทส่ี ง่ิ มชี วี ติ ถกู จ�ำ แนกเอาไวใ้ นกลมุ่ เดยี วกนั และมลี กั ษณะส�ำ คญั ในภาพรวม ทค่ี ลา้ ยคลงึ กนั เนอ่ื งจากสง่ิ มชี วี ติ เหลา่ นน้ั มวี วิ ฒั นาการมาจากบรรพบรุ ษุ เดยี วกนั หรอื บรรพบรุ ษุ รว่ มกนั นอกจากนน้ั ระบบการจ�ำ แนกตามแนวคดิ นย้ี งั สะทอ้ นความสมั พนั ธท์ างววิ ฒั นาการระหวา่ งสง่ิ มชี วี ติ ท่ี ศกึ ษาวา่ สง่ิ มชี วี ติ ใดทม่ี คี วามสมั พนั ธใ์ กลช้ ดิ ทางววิ ฒั นาการมาก หรอื มคี วามสมั พนั ธท์ ค่ี อ่ นขา้ งหา่ งจาก กนั รวมทง้ั ยงั ท�ำ ใหม้ องเหน็ แนวทางหรอื รปู แบบของววิ ฒั นาการทเ่ี กดิ ขน้ึ ลกั ษณะใดเปน็ ลกั ษณะทเ่ี กดิ ขน้ึ มากอ่ นหรอื เกดิ ขน้ึ มาภายหลงั ในสายววิ ฒั นาการ แนวความคดิ ในเรอ่ื งววิ ฒั นาการชาตพิ นั ธน์ุ ม้ี มี านาน แลว้ แตเ่ รม่ิ ไดร้ บั การยอมรบั และเปน็ ทส่ี นใจนบั ตง้ั แตช่ าลส์ ดารว์ นิ คน้ พบทฤษฎวี วิ ฒั นาการ ระบบการ จ�ำ แนกตามแนวความคดิ เรอ่ื งววิ ฒั นาการชาตพิ นั ธใ์ นอดตี ใชข้ อ้ มลู ทห่ี ลากหลาย เชน่ ลกั ษณะสณั ฐาน วทิ ยา กายวภิ าคศาสตร์ เปน็ ตน้ แตใ่ นปจั จบุ นั ขอ้ มลู ทน่ี ยิ มน�ำ มาใชเ้ ปน็ หลกั คอื ขอ้ มลู ทางชวี วทิ ยาโมเลกลุ แต่อย่างไรก็ตามข้อมูลทางสัณฐานวิทยา หรือกายวิภาคศาสตร์ก็ยังคงเป็นข้อมูลท่ตี ้องนำ�มาพิจารณา ประกอบกบั ขอ้ มลู ทางชวี วทิ ยาโมเลกลุ เสมอ ไมว่ า่ จะเปน็ ขอ้ มลู ทไ่ี ดจ้ ากสง่ิ มชี วี ติ ทย่ี งั คงพบเหน็ ในปจั จบุ นั หรอื ขอ้ มลู จากซากดกึ ด�ำ บรรพ์ จากนน้ั ครใู ชร้ ปู 23.75 เพอ่ื ใหน้ กั เรยี นท�ำ ความเขา้ ใจวา่ วธิ กี ารและเครอ่ื งมอื ทก่ี า้ วหนา้ มากขน้ึ ท�ำ ใหไ้ ดข้ อ้ มลู และหลกั ฐานใหม ่ ๆ ทอ่ี าจท�ำ ใหม้ กี ารเปลย่ี นแปลงกลมุ่ สง่ิ มชี วี ติ ทม่ี กี ารจ�ำ แนกไวแ้ ตเ่ ดมิ โดยมเี ปา้ หมายเพอ่ื ใหส้ ามารถจ�ำ แนกสง่ิ มชี วี ติ ใหเ้ ปน็ กลมุ่ ชาตพิ นั ธเ์ุ ดยี ว 23.3.2 การตัง้ ชอ่ื วิทยาศาสตรข์ องสง่ิ มชี วี ิต ครูใช้คำ�ถามถามนักเรียนว่าช่ือของส่ิงมีชีวิตมีความสำ�คัญอย่างไร โดยครูเปิดโอกาสให้ นกั เรยี นอภปิ รายรว่ มกนั เพอ่ื น�ำ ไปสขู่ อ้ สรปุ ทว่ี า่ ชอ่ื ของสง่ิ มชี วี ติ มคี วามส�ำ คญั เนอ่ื งจากสง่ิ มชี วี ติ ในโลกน้ี มหี ลากหลายชนดิ จงึ จ�ำ เปน็ ตอ้ งมชี อ่ื เรยี กเพอ่ื ใหร้ วู้ า่ สง่ิ มชี วี ติ นน้ั เปน็ สง่ิ มชี วี ติ ชนดิ ใด ครใู ห้นกั เรยี นดรู ูปของส่งิ มีชวี ติ เชน่ ฝรง่ั มะละกอ และแมลงปอ ท่มี ชี ่อื เรยี กแตกต่างกนั ใน แตล่ ะภาค แตล่ ะจงั หวดั ของประเทศไทย แลว้ ใหน้ กั เรยี นรว่ มกนั อภปิ รายวา่ สง่ิ มชี วี ติ เหลา่ นม้ี ชี อ่ื เรยี ก ในแตล่ ะภมู ภิ าควา่ อยา่ งไร โดยจากการอภปิ รายนกั เรยี นควรบอกไดว้ า่ ชอ่ื ของสง่ิ มชี วี ติ ในแตล่ ะภมู ภิ าค อาจเรยี กไมเ่ หมอื นกนั เชน่ ฝรง่ั ภาคอสี านเรยี กบกั สดี าสว่ นภาคใตเ้ รยี กชมพู่ จง้ิ จกภาคอสี านเรยี กขเ้ี กย้ี ม สว่ นภาคใตเ้ รยี กตนี จก สถาบันส่งเสริมการสอนวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี

ชีววทิ ยา เลม่ 6 บทท่ี 23 | ความหลากหลายทางชวี ภาพ 101 ครอู าจยกตวั อยา่ งชอ่ื ของสง่ิ มชี วี ติ ทเ่ี ปน็ ชอ่ื เดยี วกนั แตห่ มายถงึ สง่ิ มชี วี ติ คนละชนดิ แลว้ ถาม นกั เรยี นวา่ เปน็ ชอ่ื ของสง่ิ มชี วี ติ ชนดิ ใด เชน่ น�ำ้ เตา้ นกั เรยี นอาจตอบไดห้ ลากหลายขน้ึ อยกู่ บั ความรเู้ ดมิ ของนกั เรยี น ทง้ั นค้ี รอู าจสรปุ วา่ น�ำ้ เตา้ หมายถงึ พชื ผกั ชนดิ หนง่ึ แตใ่ นขณะเดยี วกนั น�ำ้ เตา้ ยงั เปน็ ชอ่ื ทท่ี าง ภาคใตใ้ ชเ้ รยี กผลฟกั ทอง หรอื มะลหิ มายถงึ ดอกไมช้ นดิ หนง่ึ แตใ่ นขณะเดยี วกนั มะลยิ งั เปน็ ชอ่ื ทท่ี างภาค ใตใ้ ชเ้ รยี กสบั ปะรด เปน็ ตน้ จากนน้ั ครแู ละนกั เรยี นรว่ มกนั สรปุ วา่ การใชช้ อ่ื ทอ้ งถน่ิ อาจท�ำ ใหเ้ กดิ ความสบั สนในการเรยี กได้ เนอ่ื งจากเปน็ การตง้ั ขน้ึ เพอ่ื ความสะดวกในการสอ่ื สารระหวา่ งกลมุ่ คนในทอ้ งถน่ิ นน้ั นอกจากชอ่ื ทอ้ งถน่ิ แลว้ ครอู ธบิ ายเกย่ี วกบั ชอ่ื สามญั ซง่ึ เปน็ ชอ่ื ภาษาองั กฤษของสง่ิ มชี วี ติ โดยอาจใชค้ �ำ ถามถามเกย่ี วกบั ชอ่ื ใน ภาษาองั กฤษของสง่ิ มชี วี ติ ตา่ ง ๆ เชน่ ชอ่ื ภาษาองั กฤษของฟกั ทอง คอื phumkin เปน็ ตน้ แตอ่ ยา่ งไรกต็ าม ทง้ั ชอ่ื สามญั และชอ่ื ทอ้ งถน่ิ กไ็ มเ่ ปน็ สากล การใชภ้ าษาทอ้ งถน่ิ หรอื ชอ่ื สามญั ในการศกึ ษาสง่ิ มชี วี ติ ชนดิ เดยี วกนั อาจท�ำ ใหเ้ กดิ ปญั หาในการสอ่ื ความหมายใหต้ รงกนั ดงั นน้ั จงึ ตอ้ งมกี ารตง้ั ชอ่ื วทิ ยาศาสตรข์ น้ึ เพอ่ื ใชส้ อ่ื สารใหเ้ ปน็ ระบบเดยี วกนั ตวั อยา่ งชอ่ื วทิ ยาศาสตร์ ชอ่ื ทอ้ งถน่ิ และชอ่ื สามญั ของสง่ิ มชี วี ติ เชน่ ชือ่ ไทย : กระเจ๊ยี บแดง ชอ่ื ไทย : ฝรัง่ ชื่อสามัญ : Jamaica Sorrel, Red Sorrel, ชอื่ สามญั : Guava Roselle, Rozelle ชอ่ื วิทยาศาสตร์ : Psidium guajava L. ช่อื วิทยาศาสตร์ : Hibiscus sabdariffa L. แฟมิลี : MYRTACEAE แฟมิลี : MALVACEAE ชอ่ื ท้องถิ่น : ชมพู่ (ปตั ตานี) มะก้วย (เชียงใหม่) ชอ่ื ทอ้ งถน่ิ : กระเจ๊ยี บ กระเจ๊ียบเปร้ียว (ภาค มะก้วยกา มะมนั่ (ภาคเหนือ) มะกา กลาง) ผักเก็งเคง็ สม้ เกง็ เคง็ (ภาคเหนอื ) (แมฮ่ ่องสอน) มะจนี (ตาก) ย่ามุ ยา่ หมู (ภาคใต้) สม้ ตะเลงเครง(ตาก) ส้มปู (ฉาน-แมฮ่ ่องสอน) สดี า (นครพนม) สถาบันส่งเสริมการสอนวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี

102 บทท่ี 23 | ความหลากหลายทางชีวภาพ ชีววิทยา เล่ม 6 ชอ่ื ไทย : ขม้นิ ช่ือไทย : กระเทยี ม ชอื่ สามญั : Turmaric ชื่อสามญั : Garlic, Common Garlic ชอ่ื วิทยาศาสตร์ : Curcuma longa L. ชอ่ื วิทยาศาสตร์ : Allium sativum L. แฟมิลี : ZINGIBERACEAE แฟมิลี : ALLIACEAE ชอ่ื ทอ้ งถิน่ : ขมิ้นชัน (ภาคกลาง) ขมิ้นแกง ช่อื ท้องถ่นิ : กระเทยี มขาว หอมขาว (อุดรธานี) ขม้ินหยอก ขมิ้นหัว(เชียงใหม่) ขมี้ นิ้ หมิน้ เทียม หวั เทยี ม (ภาคใต้) หอมเทียม (ภาคเหนือ) (ภาคใต้) ตายอ (กะเหร่ยี ง-กำ�แพงเพชร) ปะเซ้วา (กะเหร่ยี ง-แมฮ่ อ่ งสอน) สะยอ (กะเหร่ียง-ม่ฮอ่ งสอน) ช่อื ไทย : หางนกยูงไทย ชื่อไทย : ตะขบฝรง่ั ชอ่ื สามัญ : Flower fence, Peacock's crest, ชื่อสามัญ : Calabur, Manila cherry Pride of Barbados ชอ่ื วิทยาศาสตร์ : Muntingia calabura L. ชอ่ื วทิ ยาศาสตร์ : Caesalpinia pulcherrima L. แฟมลิ ี : TILIACEAE แฟมิลี : ช่ือทอ้ งถนิ่ : ครบฝรัง่ (สุราษฏรธ์ านี) LEGUMINOSAE-CAESALPINIOIDEAE ตะขบ ตะขบฝร่งั (ภาคกลาง) ชื่อทอ้ งถนิ่ : ขวางยอย (นครราชสมี า) สม้ พอ (ภาคเหนอื ) ซำ�พอ (แมฮ่ อ่ งสอน) ชื่อไทย : มะพร้าว ชอ่ื สามัญ : Coconut ชื่อไทย : มะขาม ชื่อวิทยาศาสตร์ : Cocos nucifera L. ชื่อสามัญ : Tamarind, Indian date แฟมลิ ี : PALMAE ชอ่ื วิทยาศาสตร์ : Tamarindus indica L. ชือ่ ท้องถิน่ : หมากอนุ๋ หมากอนู (ทว่ั ไป) แฟมิลี : ดงุ (จนั ทบุร)ี โพล (กะเหรย่ี ง กาญจนบุรี) LEGUMINOSAE-CAESALPINIOIDEAE ชื่อทอ้ งถิน่ : ตะลูบ (นครศรธี รรมราช) ม่องโคล้ง(กระเหรี่ยง-กาญจนบรุ )ี มอดเล ส่ามอเกล (กะเหรยี่ ง-แม่ฮอ่ งสอน) หมากแกง (ฉาน-แมฮ่ อ่ งสอน) ครอู าจใชร้ ปู 23.70 เพ่อื อธบิ ายเก่ยี วกับช่อื วทิ ยาศาสตรใ์ นแต่ละล�ำ ดับข้นั ของอนกุ รมวิธาน จากนน้ั อาจใหน้ กั เรยี นสงั เกตความแตกตา่ งของชอ่ื วทิ ยาศาสตรใ์ นล�ำ ดบั ขน้ั สปชี สี แ์ ละล�ำ ดบั ขน้ั อน่ื เพอ่ื แสดงใหเ้ หน็ วา่ ชอ่ื วทิ ยาศาสตรใ์ นล�ำ ดบั ขน้ั สปชี สี จ์ ะใชร้ ะบบทวนิ าม สถาบันส่งเสริมการสอนวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี

ชีววทิ ยา เล่ม 6 บทที่ 23 | ความหลากหลายทางชวี ภาพ 103 ครูอาจนำ�นักเรียนอภิปรายเก่ียวกับหลักการเขียนช่ือวิทยาศาสตร์ โดยยกตัวอย่าง ชอ่ื วทิ ยาศาสตรข์ องสง่ิ มชี วี ติ บางชนดิ นกั เรยี นควรสรปุ ไดว้ า่ การก�ำ หนดชอ่ื วทิ ยาศาสตรม์ กั ใชล้ กั ษณะ ของสง่ิ มชี วี ติ แหลง่ ก�ำ เนดิ สถานทค่ี น้ พบ ผทู้ ค่ี น้ พบหรอื ศกึ ษาสง่ิ มชี วี ติ นน้ั ชอ่ื ของเทพเจา้ หรอื อาจตง้ั เพอ่ื เปน็ เกยี รตใิ หแ้ กบ่ คุ คล ชอ่ื วทิ ยาศาสตรค์ วรมชี อ่ื ผตู้ ง้ั ชอ่ื วทิ ยาศาสตรเ์ ขยี นก�ำ กบั ไวเ้ สมอเมอ่ื กลา่ วถงึ ในบทความครง้ั แรก บางกรณอี าจมกี ารระบปุ ที ต่ี พี มิ พช์ อ่ื นน้ั ดว้ ย จากนน้ั ครใู หน้ กั เรยี นตอบค�ำ ถามในหนงั สอื เรยี น ซง่ึ มแี นวในการตอบค�ำ ถามดงั น้ี เพราะเหตุใดจงึ ใชภ้ าษาละตนิ ในการต้ังช่อื วิทยาศาสตร์ เพราะภาษาละตินเป็นภาษาท่ีไม่มีการเปลี่ยนแปลง เมื่อใช้เป็นช่ือวิทยาศาสตร์จะเฉพาะ เจาะจง และไม่มีการเปลี่ยนแปลงไปจากเดิมจึงทำ�ใหเ้ ขา้ ใจตรงกัน Potamon bhumibol Naiyanetr, 2001 เป็นชื่อของส่งิ มชี ีวิตชนดิ ใด และค�ำ ระบชุ นิดมที มี่ า อยา่ งไร Potamon bhumibol Naiyanetr, 2001 ชอ่ื ไทยคือ “ปูเจ้าพอ่ หลวง” เปน็ ชอ่ื ของปชู นดิ หนงึ่ โดย bhumibol ซ่ึงเป็นคำ�ระบุชนิดตั้งข้ึนเพื่อถวายพระเกียรติแด่พระบาทสมเด็จพระบรม ชนกาธเิ บศร มหาภูมิพลอดลุ ยเดชมหาราช บรมนาถบพติ ร โลมาปากขวดอินโดแปซฟิ ิกมีชื่อวิทยาศาสตร์ในล�ำ ดับขนั้ สปชี สี ์ จนี ัส และคลาส ว่าอยา่ งไร โลมาปากขวดอินโดแปซิฟิกมีช่ือวิทยาศาสตร์ในลำ�ดับขั้นสปีชีส์ คือ Tursiops aduncus ช่ือวิทยาศาสตร์ในลำ�ดับข้ันจีนัส คือ Tursiops และช่ือวิทยาศาสตร์ในลำ�ดับขั้นคลาส คือ Mammalia นอกจากนค้ี รอู าจใหน้ กั เรยี นไปสบื คน้ ขอ้ มลู ชอ่ื วทิ ยาศาสตรข์ องสง่ิ มชี วี ติ ทพ่ี บเหน็ บอ่ ย ๆ ใน ชวี ติ ประจ�ำ วนั เชน่ ตน้ ไมร้ อบๆ บรเิ วณโรงเรยี น จากแหลง่ เรยี นรตู้ า่ งๆ โดยอาจหารปู ของสง่ิ มชี วี ติ นน้ั มาประกอบ แล้วนำ�มาเสนอในช้ันเรียน และให้นักเรียนแต่ละกลุ่มร่วมกันอภิปรายความหมายของ ชอ่ื วทิ ยาศาสตร์ จากนน้ั ใหน้ กั เรยี นเขยี นชอ่ื วทิ ยาศาสตรข์ องพรรณไมร้ อบ ๆ บรเิ วณโรงเรยี น แลว้ น�ำ ปา้ ย ไปตดิ ตง้ั เพอ่ื เผยแพรแ่ ละจดั เปน็ แหลง่ เรยี นรภู้ ายในโรงเรยี น หรอื ครอู าจเสนอแนะผบู้ รหิ ารโรงเรยี นให้ สมคั รเปน็ สมาชกิ สวนพฤกษศาสตรโ์ รงเรยี น ในโครงการอนรุ กั ษพ์ นั ธกุ รรมพชื อนั เนอ่ื งมาจากพระราช ด�ำ รฯิ ซง่ึ มแี นวทางในการศกึ ษาพรรณไมร้ วมถงึ ชอ่ื วทิ ยาศาสตรข์ องพรรณไมใ้ นโรงเรยี นอกี ดว้ ย สถาบันส่งเสริมการสอนวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี

104 บทที่ 23 | ความหลากหลายทางชวี ภาพ ชวี วทิ ยา เล่ม 6 ความรู้เพมิ่ เติมสำ�หรบั ครู นอกจากการตง้ั ชอื่ แบบทวนิ ามซง่ึ เปน็ ระบบทนี่ ยิ มใชก้ นั ในปจั จบุ นั แลว้ ยงั มรี ะบบในการตงั้ ชอื่ สิ่งมีชีวิตระบบอื่นอีก เช่น การตั้งช่อื แบบตรีนาม (trinomial nomenclature) และ การตงั้ ช่ือ แบบพหุนาม (polynomial nomenclature ) การต้งั ช่อื แบบตรีนามประกอบด้วยชื่อจีนสั ชือ่ สปชี ีส์ และช่ือในล�ำ ดบั ขน้ั ที่เลก็ กว่าสปชี สี ์ เช่น ซับสปชี สี ์ - พันธุ์ (variety สำ�หรับพืช ย่อว่า var. และ breed สำ�หรับสัตว์) เช่น ส้มวาเลนเซีย มีช่อื วทิ ยาศาสตรว์ า่ Citrus sinensis var. valencia - พันธ์ุปลูก (cultivated variety ในอดีตใชต่ ัวย่อวา่ cv. แต่ปัจจบุ นั จะใช้ชอื่ พนั ธุป์ ลูกภายใน ‘…….’) เป็นต้น เช่น ข้าวขาวดอกมะลิ 105 ซึ่งเป็นข้าวพันธุ์ปลูก มีชื่อวิทยาศาสตร์ว่า Oryza sativa ‘KDML 105’) การต้ังช่ือแบบพหุนามประกอบด้วยคำ�ในภาษาละตินท่ีบ่งบอกลักษณะต่าง ๆ ของสปีชีส์น้ัน หลายคำ�เรียงต่อกัน ทำ�ให้มีความยาวมากและจดจำ�ได้ยาก การต้ังชื่อแบบพหุนามจึงไม่เป็นท่ี นิยม ตัวอย่างเช่น ผึ้ง (Apis pubescens, thorace subgriseo, abdomine fusco, pedibus posticis glabris utrinque margine ciliates) 23.3.3 การระบุชือ่ วิทยาศาสตร์ของสิ่งมชี ีวิต ครนู �ำ เขา้ สวู่ ตั ถปุ ระสงคข์ องการระบชุ อ่ื โดยอาจใชส้ ถานการณส์ มมตุ ิ ดงั น้ี สถานการณส์ มมตุ ทิ ่ี 1 นกั เรยี นก�ำ ลงั นง่ั ดรู ายการโทรทศั นแ์ ละเหน็ วงดนตรที ไ่ี มร่ จู้ กั แตจ่ ากชอ่ื วงท�ำ ใหจ้ �ำ ไดว้ า่ เพอ่ื น ของนกั เรยี นชน่ื ชอบ หากนกั เรยี นตอ้ งการทราบชอ่ื นกั รอ้ งน�ำ ของวงน้ี นกั เรยี นจะท�ำ อยา่ งไร โดยค�ำ ตอบ ของนกั เรยี นอาจมไี ดห้ ลากหลาย เชน่ ถามเพอ่ื นทเ่ี ปน็ แฟนคลบั สบื คน้ ขอ้ มลู จากอนิ เทอรเ์ นต็ เปน็ ตน้ สถาบันส่งเสริมการสอนวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี

ชีววิทยา เล่ม 6 บทท่ี 23 | ความหลากหลายทางชวี ภาพ 105 สถานการณส์ มมตุ ทิ ่ี 2 ครนู �ำ รปู อญั มณสี นี �ำ้ เงนิ เพอ่ื ใหน้ กั เรยี นระบวุ า่ หากตอ้ งการจะทราบวา่ อญั มณสี นี �ำ้ เงนิ ในรปู เปน็ เพชรสนี �ำ้ เงนิ หรอื เปน็ ไพลนิ นกั เรยี นจะมวี ธิ กี ารอยา่ งไร โดยค�ำ ตอบของนกั เรยี นอาจมไี ดห้ ลากหลาย เชน่ สอบถามจากผเู้ ชย่ี วชาญทางดา้ นอญั มณี สบื คน้ ขอ้ มลู จากอนิ เทอรเ์ นต็ เปน็ ตน้ จากน้นั ครูอธิบายว่าในการระบุช่อื ส่งิ มีชีวิตก็เช่นเดียวกัน กระบวนการน้เี ป็นกระบวนการท่ี ตอ้ งการทราบวา่ สง่ิ มชี วี ติ นน้ั คอื อะไร ซง่ึ สามารถท�ำ ไดโ้ ดยถามขอ้ มลู จากผเู้ ชย่ี วชาญโดยตรง นอกจากน้ี อกี วธิ กี ารทส่ี ามารถท�ำ ได้ คอื การใชเ้ ครอ่ื งมอื ไดโคโทมสั คยี ์ ในแตล่ ะล�ำ ดบั ขน้ั ของอนกุ รมวธิ านจะมกี าร จดั ท�ำ ไดโคโทมสั คยี ข์ น้ึ โดยเมอ่ื ตอ้ งการทราบวา่ สง่ิ มชี วี ติ ทส่ี นใจคอื สง่ิ มชี วี ติ ใด โดยสว่ นใหญจ่ ะเรม่ิ จาก ไดโคโทมสั คยี ข์ องล�ำ ดบั ขน้ั ทค่ี าดการณไ์ ดก้ อ่ น จากนน้ั ครใู ชร้ ปู 23.76 เพอ่ื ยกตวั อยา่ งไดโคโทมสั คยี แ์ ละอธบิ ายวธิ กี ารใชไ้ ดโคโทมสั คยี โ์ ดย อาจเตรยี มรปู สตั วม์ กี ระดกู สนั หลงั ชนดิ ตา่ ง ๆ เพอ่ื ใหน้ กั เรยี นลองระบชุ นดิ สง่ิ มชี วี ติ ในรปู โดยไดโคโทมสั คยี ์ ของสตั วม์ กี ระดกู สนั หลงั ในรปู 23.76 ซง่ึ เปน็ ไดโคโทมสั คยี ใ์ นล�ำ ดบั ขน้ั ซบั ไฟลมั เมอ่ื นกั เรยี นสามารถ ระบซุ บั ไฟลมั สง่ิ มชี วี ติ ไดแ้ ลว้ ครอู ธบิ ายเพม่ิ เตมิ วา่ เมอ่ื ใชไ้ ดโคโทมสั คยี ใ์ นล�ำ ดบั ขน้ั ตอ่  ๆ ไป จะสามารถ ระบสุ ปชี สี ข์ องสง่ิ มชี วี ติ ไดใ้ นทส่ี ดุ จากนน้ั ครอู าจใชค้ �ำ ถามเพม่ิ เตมิ ดงั น้ี จากตัวอย่างไดโคโทมัสคยี ข์ องสตั วม์ ีกระดกู สนั หลงั มีลักษณะใดบา้ งท่ใี ชเ้ ปน็ เกณฑร์ ่วม กนั และลักษณะใดบา้ งท่ีใชใ้ นการระบกุ ลมุ่ สัตว์มกี ระดกู สันหลัง ลักษณะที่ใช้เป็นเกณฑ์ร่วมกัน ได้แก่ การมีหรือไม่มีขน การมีหรือไม่มีครีบคู่และช่อง เหงือก และลักษณะท่ีจำ�แนกสัตว์มีกระดูกสันหลังออกเป็นกลุ่ม ได้แก่ ลักษณะขนแบบ ขนเสน้ เดย่ี วหรอื ขนแบบขนนก การมหี รอื ไมม่ แี ผน่ ปดิ เหงอื ก การมหี รอื ไมม่ เี กลด็ ทผี่ วิ หนงั การระบชุ ่อื โดยใช้ไดโคโทมสั คยี เ์ ร่มิ จากเกณฑใ์ นข้อ 2 หรือ ขอ้ 3 กอ่ นโดยไม่เรยี งล�ำ ดบั เกณฑไ์ ดห้ รอื ไม่ เพราะเหตใุ ด ไมไ่ ด้ เพราะไดโคโทมสั คยี ์จะตอ้ งเริ่มจากขอ้ 1 แลว้ จึงใช้ไดโคโทมสั คยี ใ์ นขอ้ 2 หรือข้อ 3 ตอ่ ไปได้ สถาบันส่งเสริมการสอนวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี

106 บทที่ 23 | ความหลากหลายทางชีวภาพ ชีววิทยา เล่ม 6 จากนน้ั ครใู หน้ กั เรยี นท�ำ กจิ กรรม 23.5 เพอ่ื ทดลองสรา้ งและใชไ้ ดโคโทมสั คยี ์ กจิ กรรม 23.5 ไดโคโทมสั คีย์ จุดประสงค์ 1. สร้างไดโคโทมัสคียใ์ นการระบุส่ิงมชี ีวติ หรือตวั อยา่ งท่กี ำ�หนด 2. ใชไ้ ดโคโทมสั คยี ์ในการระบชุ นดิ ของสงิ่ มีชีวิต 3. อธบิ ายความสัมพันธ์ของการจ�ำ แนก การตั้งช่อื และการระบุชอื่ เวลาท่ีใช้ (โดยประมาณ) 1 ช่วั โมง การเตรยี มลว่ งหนา้ ครตู อ้ งเตรยี มกระดมุ จ�ำ นวน 2 ชดุ ตอ่ กลมุ่ โดยการเลอื กแบบกระดมุ ในแตล่ ะชดุ ส�ำ หรบั ใช้ ในกจิ กรรมนมี้ ีแนวทางในการเลอื ก ดังน้ี กระดมุ ชดุ ท่ี 1 มจี �ำ นวน 6 เมด็ โดยควรเลอื กกระดมุ ทเี่ หน็ ลกั ษณะตา่ ง ๆ แตกตา่ งกนั ชดั เจน เชน่ ขนาดของกระดมุ สขี องกระดมุ พนื้ ผวิ และลวดลายของกระดมุ วสั ดทุ ใี่ ชท้ �ำ กระดมุ (พลาสตกิ โลหะ ไม)้ ลกั ษณะรขู องกระดมุ (กระดมุ ทมี่ องเหน็ รทู ะลไุ ดท้ ง้ั ดา้ นหนา้ และดา้ นหลงั ของกระดมุ กับกระดุมท่ีมองเห็นรูทะลุได้เพียงด้านหลังของกระดุม) จำ�นวนรูทะลุของกระดุม เป็นต้น ตวั อยา่ งเชน่ กระดมุ ชดุ ท่ี 2 มจี �ำ นวน 2 เมด็ โดยเมด็ แรกควรเลอื กกระดมุ ทม่ี ลี กั ษณะบางลกั ษณะคลา้ ย กบั กระดมุ บางเม็ดในชดุ ท่ี 1 แตม่ บี างลกั ษณะที่แตกต่างกนั เช่น มจี ำ�นวนรเู ท่ากบั กระดมุ บาง เมด็ ในชดุ ที่ 1 แตม่ รี ปู ทรงหรอื สขี องกระดมุ ทตี่ า่ งกนั สว่ นเมด็ ท่ี 2 เปน็ กระดมุ แปก๊ ตวั อยา่ งเชน่ สถาบันส่งเสริมการสอนวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี

ชวี วิทยา เล่ม 6 บทท่ี 23 | ความหลากหลายทางชีวภาพ 107 ข้อเสนอแนะสำ�หรับครู ในการจดั เตรียมกระดุมเพ่ือใช้ในกิจกรรม หากครจู ดั หากระดุมแบบตา่ ง ๆ เองอาจควบคุม ความแตกต่างของกระดุมได้ง่ายกว่า แต่อย่างไรก็ตามครูอาจให้นักเรียนช่วยกันนำ�กระดุมมา เพ่ือใช้ในการทำ�กิจกรรม ซึ่งในกรณีน้ีครูอาจให้นักเรียนแต่ละคนนำ�กระดุมมาคนละ 1 แบบ โดยให้นำ�กระดุมแต่ละแบบมาเท่ากับจำ�นวนกลุ่มของนักเรียน และควรให้นักเรียนนำ�กระดุม มาล่วงหน้ากอ่ นการท�ำ กจิ กรรมน้ี เพอื่ ครูจะไดร้ วบรวมและนำ�กระดุมแบบตา่ ง ๆ มาจดั เตรยี ม ใหเ้ หมาะสมตอ่ การท�ำ กจิ กรรมไว้ลว่ งหน้า แนวการจดั กจิ กรรม ตอนท่ี 1 1. นกั เรียนแต่ละกล่มุ จ�ำ แนกกระดุมชุดที่ 1 โดยให้แบ่งกระดุมออกเป็น 2 กลมุ่ ใหญ่ โดยเลือก ลกั ษณะทส่ี ามารถสงั เกตไดง้ า่ ยและเปน็ ลกั ษณะทเ่ี หมอื นกนั ของกระดมุ ในกลมุ่ แลว้ บนั ทกึ เกณฑ์ที่ใช้ ทำ�เช่นน้ีจนกระท่ังเหลือกระดุมเพียงชนิดเดียวในแต่ละกลุ่ม โดยเขียนแผนผัง แสดงการแตกก่ิงเพ่ือจำ�แนกกระดุมพร้อมระบเุ กณฑ์ และตงั้ ช่ือกระดมุ แตล่ ะเมด็ 2. นำ�แผนผังการจำ�แนกกระดุมมาสร้างไดโคโทมสั คีย์ตามตวั อย่างรูป 23.76 ในหนงั สือเรียน 3. แตล่ ะกลมุ่ น�ำ เสนอไดโคโทมสั คยี ท์ ส่ี รา้ งขนึ้ และอภปิ รายการตงั้ ชอ่ื กระดมุ และไดโคโทมสั คยี ์ ที่สร้างขึ้น ตอนท่ี 2 1. ท้ังห้องต้ังช่ือกระดุมเพ่ือใช้เรียกร่วมกัน จากนั้นให้ท้ังห้องเลือกไดโคโทมัสคีย์ท่ีนำ�เสนอใน กิจกรรม ตอนท่ี 1 มา 2 อนั เพอื่ ใชใ้ นการระบุชนดิ กระดมุ 2. ครเู ป็นผูน้ �ำ การทำ�กจิ กรรมตอนท่ี 2 โดยให้นักเรียนทงั้ ห้องชว่ ยกนั ในการระบุชนดิ กระดุม ชุดที่ 1 และชุดท่ี 2 พร้อมท้งั บนั ทึกผลการระบชุ นดิ กระดุม 3. ครูและนักเรยี นร่วมกนั อภิปรายการระบุชนิดกระดมุ ทั้ง 2 ชดุ จากการใช้ไดโคโทมสั คีย์ สถาบันส่งเสริมการสอนวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี

108 บทท่ี 23 | ความหลากหลายทางชีวภาพ ชวี วทิ ยา เล่ม 6 ตัวอย่างผลการทำ�กจิ กรรม - การทำ�แผนผังแสดงการแตกก่ิงเพื่อจำ�แนกชนิดกระดุม และการนำ�แผนผังมาสร้าง ไดโคโทมัสคีย์ 1 ก รูปร่างกลม ดูขอ้ 2 2 รู กระดุม C 1 ข รูปร่าง กระดุม F ไม่กลม มีรู มีลาย กระดมุ E 2 ก มีรู ดูขอ้ 3 ดำ� กระดุม F 4 รู กระดมุ ไม่มลี าย 2 ข ไมม่ ีรู ดูข้อ 4 ทง้ั หมด กระดุม D 3 ก 2 รู กระดุม C ขาว แดง 3 ข 4 รู ดูขอ้ 5 กระดุม A 4 ก สที อง กระดุม B ไมม่ รี ู 4 ข สีแดง กระดมุ A กระดุม B 5 ก สีเทา กระดมุ D 5 ข สดี ำ� กระดุม E เงนิ ตัวอย่างแผนผังการจ�ำ แนกกระดุม - การใช้ไดโคโทมัสคียใ์ นการระบชุ นิดกระดุม ตวั อย่างที่ 1 แสดงไดโคโทมัสคยี ์ ตัวอยา่ งที่ 2 แสดงไดโคโทมสั คยี ์ ทไ่ี มส่ ามารถระบุกระดมุ ชุดที่ 2 ได้ ทสี่ ามารถระบกุ ระดุมชุดที่ 2 ได้ (แต่ไม่สามารถบอกได้ว่าระบุไดถ้ กู ตอ้ งหรอื ไม่) สถาบันส่งเสริมการสอนวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี

ชีววทิ ยา เล่ม 6 บทท่ี 23 | ความหลากหลายทางชวี ภาพ 109 แนวทางการอภิปรายและสรปุ ผล ในการอภปิ รายการท�ำ กจิ กรรมนี้ ครคู วรอภปิ รายรว่ มกบั นกั เรยี นทง้ั หอ้ ง โดยอาจมปี ระเดน็ ตา่ ง ๆ ในการอภปิ รายดงั นี้ ตอนที่ 1 : การสรา้ งไดโคโทมัสคีย์ ครใู หน้ กั เรยี นพจิ ารณาและรว่ มกนั แสดงความคดิ เหน็ เกยี่ วกบั ไดโคโทมสั คยี ข์ องแตล่ ะกลมุ่ ทสี่ รา้ งขนึ้ วา่ มลี กั ษณะทเี่ หมอื นหรอื แตกตา่ งกนั ในดา้ นใดบา้ ง ซงึ่ จากการอภปิ รายนอ้ี าจไดข้ อ้ มลู ว่าไดโคโทมัสคียท์ แ่ี ตล่ ะกลมุ่ สรา้ งขน้ึ มีท้ังสว่ นท่คี ลา้ ยกนั และสว่ นท่ีแตกตา่ งกัน ตวั อย่างเชน่ - ลกั ษณะทน่ี ำ�ไปใชส้ ร้างไดโคโทมสั คยี จ์ ะใชล้ กั ษณะท่ีคล้าย ๆ กัน เชน่ สี รปู ทรง การมีหรอื ไม่มีรู จำ�นวนรู เป็นต้น - ล�ำ ดบั ของลกั ษณะทแ่ี ตล่ ะกลมุ่ ใชใ้ นการสรา้ งไดโคโทมสั คยี อ์ าจมคี วามแตกตา่ งกนั เชน่ บาง กลุ่มอาจเลือกใช้ลักษณะการมีรูของกระดุมเป็นเกณฑ์แรก ในขณะท่ีบางกลุ่มอาจเลือกใช้ รปู ทรงของกระดุม เปน็ ต้น - การบรรยายลกั ษณะอาจมกี ารเลอื กใชค้ �ำ บรรยายทมี่ คี วามละเอยี ดทมี่ ากนอ้ ยไมเ่ ทา่ กนั เชน่ บางกลมุ่ อาจมกี ารวาดภาพประกอบค�ำ บรรยาย หรอื บางกลมุ่ อาจตอ้ งการใชไ้ มบ้ รรทดั เพอ่ื วดั ขนาดส่วนประกอบของกระดมุ เป็นตน้ จากนน้ั ครอู าจเชอ่ื มโยงความรกู้ อ่ นหนา้ เกยี่ วกบั การจ�ำ แนกซง่ึ เปน็ กระบวนการทม่ี กี ารจดั ส่งิ มีชีวติ ใหเ้ ปน็ กลมุ่ หรือหมวดหมทู่ างอนุกรมวิธาน และใช้ค�ำ ถามดังน้ี การศึกษาทางด้านอนุกรมวิธาน ซึ่งมีทั้งการจำ�แนก การตั้งช่ือ และการระบุ นักเรียนคิดว่าการสร้างไดโคโทมัสคีย์เกิดข้ึนในกระบวนการใด และใครเป็นผู้ที่ สร้างไดโคโทมัสคยี ์ คำ�ตอบของนักเรียนอาจมีได้หลากหลายและแตกต่างกันไป โดยครูควรเป็นผู้สรุปและ อธิบายเพ่ิมเติมว่าในการจำ�แนกสิ่งมีชีวิตเป็นหมวดหมู่ ผู้ที่ทำ�การจำ�แนกน้ันจะต้องศึกษา ลักษณะของสิ่งมีชีวิตอย่างละเอียดจึงจะสามารถเห็นลักษณะร่วมและลักษณะท่ีแตกต่างของ ส่ิงมีชีวิตในกลุ่มน้ัน ๆ ได้ และสามารถตัดสินใจได้ว่าลักษณะใดเป็นลักษณะสำ�คัญท่ีควรนำ�มา เป็นเกณฑ์ในการจำ�แนกสิ่งมชี ีวิตน้นั ดงั นั้นผู้ที่ทำ�การจำ�แนกจึงอาจสร้างไดโคโทมัสคีย์สำ�หรับ สง่ิ มชี วี ติ กลมุ่ ทศ่ี กึ ษาขน้ึ มาดว้ ยกไ็ ด้ อยา่ งไรกต็ ามไดโคโทมสั คยี อ์ าจถกู สรา้ งจากนกั อนกุ รมวธิ าน สถาบันส่งเสริมการสอนวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี

110 บทที่ 23 | ความหลากหลายทางชีวภาพ ชีววทิ ยา เล่ม 6 คนใดก็ได้ โดยใช้ข้อมูลทางอนุกรมวิธานของสิ่งมีชีวิตที่ได้รับการจดบันทึกและตีพิมพ์มาก่อน แล้ว จากนนั้ ครใู หน้ กั เรยี นอภปิ รายเกยี่ วกบั ชอื่ กระดมุ ทแี่ ตล่ ะกลมุ่ ตงั้ ขน้ึ วา่ เหมอื นหรอื แตกตา่ ง กันอย่างไร และการท่ีแต่ละกลุ่มตั้งชื่อกระดุมของตนเองจะทำ�ให้ไดโคโทมัสคีย์ของแต่ละกลุ่ม เกิดปัญหาอย่างไรบ้าง โดยจากการอภิปรายควรนำ�ไปสู่ข้อสรุปเกี่ยวกับความสำ�คัญของชื่อ วทิ ยาศาสตร์ จากนั้นใหน้ ักเรียนรว่ มกันต้ังชื่อกระดมุ แตล่ ะเมด็ ในชดุ ที่ 1 เพื่อใช้เรยี กให้เขา้ ใจ ได้ตรงกัน ตอนที่ 2 : การใชไ้ ดโคโทมสั คยี ์ การระบชุ นิดของกระดมุ ชดุ ที่ 1 การเลือกใช้ไดโคโทมัสคีย์ของ 2 กลุ่มท่ีมีความแตกต่างกันเพื่อเปรียบเทียบให้เห็นว่าการ บรรยายลกั ษณะเดยี วกนั ของแตล่ ะคนอาจมคี วามแตกตา่ งกนั ขน้ึ อยกู่ บั ความคดิ เหน็ สว่ นตวั และ ประสบการณข์ องแตล่ ะคน เชน่ การมองเหน็ สที แี่ ตกตา่ งกนั โดยบางคนอาจมองวา่ เปน็ สเี ทาใน ขณะที่บางคนอาจมองว่าเป็นสีม่วงอ่อน เป็นต้น โดยเมื่อนำ�ไดโคโทมัสคีย์ทั้ง 2 อัน ระบุชนิด ของกระดุมชุดท่ี 1 ส่วนใหญ่น่าจะสามารถระบุชนิดกระดุมได้อย่างถูกต้อง แต่อาจมีความไม่ แน่ใจเกิดข้ึน ซึ่งในกรณีดังกล่าวครูอาจให้นักเรียนอภิปรายร่วมกันว่ามีความรู้สึกไม่แน่ใจเกิด ขึ้นในระหว่างการระบุชนิดกระดุมโดยใช้ไดโคโทมัสคีย์บ้างหรือไม่ และคิดว่าความไม่แน่ใจที่ เกิดขึน้ ในการระบุชนิดกระดุมมาจากสาเหตใุ ดบ้าง โดยจากการอภปิ รายจะแสดงใหเ้ หน็ วา่ การตคี วามลกั ษณะเดยี วกนั ของแตล่ ะบคุ คลอาจไม่ เหมือนกัน ข้นึ กบั ประสบการณแ์ ละความเห็นของแต่ละคน เช่น การมองเหน็ สีของกระดุม การ ตคี วามหมายของค�ำ วา่ รขู องกระดมุ โดยครอู าจอธบิ ายเพม่ิ เตมิ วา่ ไดโคโทมสั คยี ท์ ดี่ นี นั้ จะมกี าร ระบุรายละเอียดต่าง ๆ ไว้อย่างชัดเจน โดยอาจจะมีการจัดทำ�ข้อมูลประกอบลักษณะน้ัน ๆ ไว้ อย่างละเอยี ด เช่น มีการจัดท�ำ รูปประกอบเพือ่ บรรยายลกั ษณะ หรอื การมีตารางแสดงสีตา่ ง ๆ เพอื่ ให้เขา้ ใจได้ชัดเจน เปน็ ตน้ สถาบันส่งเสริมการสอนวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี

ชวี วทิ ยา เล่ม 6 บทท่ี 23 | ความหลากหลายทางชีวภาพ 111 การระบุชนิดกระดุมชุดที่ 2 ผลการระบุชนดิ กระดุมอาจแตกตา่ งกนั ได้ 2 กรณี ดังนี้ กรณที ่ี 1 : สามารถระบชุ นดิ กระดมุ ได้ แตอ่ าจมลี กั ษณะทแ่ี ตกตา่ งจากทไี่ ดโคโทมสั คยี ร์ ะบไุ ว้ ในกรณีดังกลา่ วนีค้ รอู าจให้นักเรียนเปรียบเทียบกระดุมเปน็ ส่ิงมชี ีวติ และใชค้ �ำ ถามถามวา่ นกั เรยี นคดิ วา่ ลกั ษณะกระดมุ (สงิ่ มชี วี ติ ) ทแ่ี ตกตา่ งจากทไี่ ดโคโทมสั คยี ร์ ะบนุ นั้ เกดิ ขน้ึ ไดอ้ ยา่ งไร ในการอภิปรายในประเด็นดังกล่าวน้ี คำ�ตอบของนักเรียนอาจมีได้หลากหลาย ครูอาจ เชอ่ื มโยงความรเู้ ดมิ เกย่ี วกบั ความหลากหลายทางพนั ธกุ รรม โดยจากการอภปิ รายนกั เรยี นควร สรุปไดว้ ่าลกั ษณะของกระดุม (ส่ิงมีชวี ิต) ที่แตกต่างกันเปน็ ผลมาจากความแปรผัน (variation) ของลกั ษณะตา่ ง ๆ จากน้ันครูควรเป็นผู้สรุปและอธิบายเพ่ิมเติมว่าเมื่อผู้ท่ีทำ�การระบุสามารถระบุชื่อได้แล้ว จะต้องตรวจสอบความถูกต้องโดยตรวจสอบลักษณะของส่ิงมีชีวิตที่ทำ�การระบุนั้นว่าตรงกับ ลักษณะของสิ่งมีชีวิตท่ีระบุได้หรือไม่ โดยทั่วไปแล้วหน่วยอนุกรมวิธานในแต่ละลำ�ดับข้ันจะมี ข้อมูลที่บรรยายลักษณะของส่ิงมีชีวิตในลำ�ดับข้ันนั้นไว้โดยละเอียด เช่น หากใช้ไดโคโทมัสคีย์ ทใ่ี ชร้ ะบจุ นี สั เมอื่ ไดช้ อ่ื จนี สั มาแลว้ กจ็ งึ ควรตรวจสอบลกั ษณะของสงิ่ มชี วี ติ นนั้ วา่ ตรงกบั ลกั ษณะ ของจนี สั นัน้ หรอื ไม่ ครูอธิบายเพิ่มเติมว่า หากทำ�การตรวจสอบแล้วพบว่ามีลักษณะบางประการไม่ตรงกับ ลกั ษณะที่บรรยายไว้ ผูท้ ท่ี ำ�การระบุนน้ั จะตอ้ งพจิ ารณาและตัดสนิ ใจวา่ ลกั ษณะทีไ่ ม่ตรงกับคำ� บรรยายนั้นเป็นเพียงความแปรผันท่ีอาจปรากฏขึ้นได้ในประชากรน้ัน หรือเป็นความแตกต่าง ที่มีความสำ�คัญจนไม่น่าจะเป็นส่ิงมีชีวิตในลำ�ดับขั้นที่ระบุได้ ซึ่งอาจหมายความว่าผู้ระบุทำ� การระบผุ ดิ หรอื หากตรวจสอบตามขน้ั ตอนทางอนกุ รมวธิ านอยา่ งละเอยี ดครบถว้ นแลว้ พบวา่ สง่ิ มชี วี ติ ทศ่ี กึ ษานน้ั มลี กั ษณะทไี่ มส่ อดคลอ้ งตรงกบั หนว่ ยอนกุ รมวธิ านใด ๆ เลย หรอื ไมส่ ามารถ หาหน่วยอนุกรมวิธานท่ีเหมาะสมได้ หากเป็นเช่นนี้จะต้องทำ�การจำ�แนกเพ่ือสร้าง หน่วยอนกุ รมวธิ านทเี่ หมาะสมส�ำ หรบั สิง่ มชี วี ติ นนั้ ตอ่ ไป สถาบันส่งเสริมการสอนวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี

112 บทท่ี 23 | ความหลากหลายทางชวี ภาพ ชีววิทยา เล่ม 6 กรณที ่ี 2 : ไมส่ ามารถระบุชนิดกระดุมได้ โดยส่วนใหญ่น่าจะไม่สามารถระบุชนิดของกระดุมแป๊กได้ หรือหากระบุได้ ครูควรให้ นักเรียนอภิปรายเพื่อแสดงให้เห็นว่าหากนำ�กระดุมแป๊กนี้ไปตรวจสอบกับลักษณะอื่น ๆ ท่ี บรรยายไว้น่าจะพบวา่ มลี กั ษณะท่ีแตกตา่ งกันเป็นอยา่ งมาก เชน่ การทแี่ ยกออกเป็น 2 ส่วนได้ การทไี่ ม่มีรทู ะลุแตม่ ลี กั ษณะทเ่ี ปน็ ส่วนนนู และสว่ นเว้าท่ีทำ�ใหย้ ึดติดกันได้ เปน็ ต้น จากนั้นครูอาจใช้คำ�ถามถามนักเรียนว่า ในกรณีที่ไม่สามารถใช้ไดโคโทมัสคีย์ระบุชนิด กระดุมได้ จะอธิบายสถานการณ์ดังกล่าวน้ีได้อย่างไรบ้าง โดยจากการอภิปรายควรนำ�ไปสู่ข้อ สรุปว่าอาจเป็นไปได้ว่าส่ิงมีชีวิตน้ันอาจยังไม่เคยมีการค้นพบและตั้งช่ือมาก่อน ซึ่งในกรณีดัง กลา่ วจะต้องเร่มิ กระบวนการจำ�แนกและต้งั ชอื่ ตอ่ ไป จากกิจกรรม 23.5 ครูและนักเรียนร่วมกันสรุปว่าคีย์ที่ดีควรจะเลือกใช้ลักษณะที่มีความ เหมาะสมและชัดเจน คีย์ท่ีถูกสร้างข้ึนอาจจะแตกต่างกันได้ เนื่องจากผู้สร้างคีย์อาจเลือกใช้ ลักษณะที่เป็นเกณฑ์แตกต่างกัน นอกจากนี้คีย์ท่ีถูกสร้างขึ้นอาจใช้ในการระบุไม่ได้ เพราะคีย์ ไมไ่ ดค้ รอบคลมุ ถงึ สง่ิ มชี วี ติ ชนดิ นนั้ หลงั อภปิ รายและสรปุ ผลการท�ำ กจิ กรรม ครใู หน้ กั เรยี นตอบ ค�ำ ถามท้ายกิจกรรม ซึ่งมแี นวในการตอบ ดงั น้ี เฉลยคำ�ถามท้ายกจิ กรรม แต่ละกลุ่มใช้ลักษณะใดบ้างในการแบ่งกลุ่มของกระดุม และลักษณะท่ีแต่ละกลุ่มใช้เป็น เกณฑเ์ หมือนหรอื แตกต่างกนั หรอื ไม่ อยา่ งไร ค�ำ ตอบอาจมีได้หลากหลายโดยใหน้ ักเรยี นตอบตามที่ไดท้ �ำ จริงในกิจกรรม ไดโคโทมัสคยี ์ทแ่ี ต่ละกล่มุ สร้างขนี้ เหมอื นหรือแตกต่างกันหรอื ไม่ อย่างไร ค�ำ ตอบอาจมไี ดห้ ลากหลาย โดยใหน้ กั เรยี นตอบตามขอ้ เทจ็ จรงิ วา่ เกณฑท์ น่ี กั เรยี นใชเ้ หมอื น หรือแตกต่างจากเพื่อนกลมุ่ อืน่ อย่างไรบ้าง สถาบันส่งเสริมการสอนวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี

ชวี วทิ ยา เลม่ 6 บทท่ี 23 | ความหลากหลายทางชวี ภาพ 113 การต้ังชื่อกระดุมของแต่ละกลุ่มในตอนที่ 1 เหมือนหรือแตกต่างกันอย่างไร และ เพราะเหตใุ ดจงึ ต้องร่วมกนั ก�ำ หนดชอื่ กระดุมในตอนท่ี 2 กระดมุ บางเมด็ อาจมกี ารตงั้ ชอ่ื เหมอื นหรอื คลา้ ยกนั ในขณะทบี่ างเมด็ อาจแตกตา่ งกนั โดย ให้นักเรียนตอบตามท่ีได้ทำ�จริงในกิจกรรม และการร่วมกันต้ังชื่อกระดุมในตอนท่ี 2 เพื่อ ให้เข้าใจและส่อื สารไดต้ รงกัน และให้เห็นถงึ ความสำ�คญั ของการมชี ่อื วทิ ยาศาสตร์ เมอ่ื ใชไ้ ดโคโทมัสคีย์ท้งั สอง สามารถระบุชนดิ กระดุมในชุดท่ี 1 และชุดที่ 2 ไดห้ รอื ไม่ จากการท�ำ กจิ กรรมของนกั เรยี น ซงึ่ ใชไ้ ดโคโทมสั คยี ท์ เี่ ลอื กไวท้ ง้ั 2 อนั มาใชร้ ะบชุ นดิ กระดมุ ในชุดท่ี 1 และชดุ ท่ี 2 อาจะได้ผลดงั น้ี - โดยส่วนใหญน่ า่ จะพบว่าไดโคโทมัสคยี ์ท้ัง 2 อนั สามารถระบกุ ระดุมชุดท่ี 1 ได้ - โดยสว่ นใหญน่ ่าจะพบวา่ ไดโคโทมสั คยี ์ทั้ง 2 อนั ไม่สามารถระบุชนิดของกระดุมแป็ก ได้ ส่วนกระดุมอีกเม็ดในชุดที่ 2 ที่มีบางลักษณะท่ีคล้ายกับกระดุมในชุดท่ี 1 อาจสามารถระบุชนิดกระดุมได้ แต่อาจยังบอกไม่ได้ว่าการระบุชนิดกระดุมท่ีได้น้ัน ถกู ต้องหรือไม่ เนือ่ งจากมบี างลักษณะทีแ่ ตกตา่ งกนั ในกรณที ไ่ี มส่ ามารถใชไ้ ดโคโทมสั คยี ร์ ะบชุ นดิ กระดมุ ได้ จะอธบิ ายสถานการณด์ งั กลา่ วนไี้ ด้ อยา่ งไรบา้ ง หากไมส่ ามารถระบชุ นดิ กระดมุ ได้ อาจเปน็ ไปไดว้ า่ เปน็ กระดมุ ชนดิ ทย่ี งั ไมเ่ คยมกี ารคน้ พบ และต้ังช่อื มาก่อน ซึ่งในกรณดี ังกล่าวจะตอ้ งเรมิ่ กระบวนการจ�ำ แนกและตัง้ ชอ่ื ตอ่ ไป ในการทำ�กิจกรรม 23.5 ให้อธิบายว่าข้ันตอนใดบ้างที่เป็นการจำ�แนก การต้ังชื่อ และ การระบุ การจำ�แนกอยู่ในขั้นตอนท่ีให้นักเรียนจำ�แนกกระดุมออกเป็นกลุ่ม ๆ โดยใช้เกณฑ์ต่าง ๆ จากน้ันการท่ีแต่ละกลุ่มต้ังช่ือกระดุมของกลุ่มตนเองอาจนับได้ว่าเป็นการต้ังชื่อที่เป็น ชื่อท้องถิ่น โดยการต้ังช่ืออยู่ในขั้นตอนเมื่อแต่ละกลุ่มร่วมกันต้ังชื่อเป็นช่ือเรียกเดียวกัน เพอ่ื ใชส้ อื่ ความหมายใหเ้ ขา้ ใจไดต้ รงกนั และการระบอุ ยใู่ นขน้ั ตอนทใ่ี ชไ้ ดโคโทมสั คยี ท์ สี่ รา้ ง ขนึ้ มาระบุชนดิ ของกระดมุ ชดุ ที่ 1 และ 2 จากนน้ั ใหน้ กั เรยี นตอบค�ำ ถามตรวจสอบความเขา้ ใจ สถาบันส่งเสริมการสอนวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี

114 บทท่ี 23 | ความหลากหลายทางชีวภาพ ชวี วทิ ยา เลม่ 6 ตรวจสอบความเขา้ ใจ เพราะเหตใุ ดนักอนุกรมวิธานจงึ พยายามจัดสงิ่ มชี ีวติ ออกเปน็ กลมุ่ หรอื หมวดหมู่ ในอดตี การจ�ำ แนกสงิ่ มชี วี ติ ท�ำ เพอ่ื ประโยชนใ์ นการน�ำ มาใชส้ อยของมนษุ ย์ เชน่ พชื ทกี่ นิ ได้ พืชท่ีเป็นพิษ พืชสมุนไพร แต่ปัจจุบันการจำ�แนกสิ่งมีชีวิตมีเป้าหมายเพื่อต้องการให้กลุ่ม หรอื หมวดหมทู่ ไ่ี ดจ้ ดั จ�ำ แนกมคี วามถกู ตอ้ งตามธรรมชาตหิ รอื ความสมั พนั ธท์ างววิ ฒั นาการ มากทส่ี ดุ นอกจากนกี้ ารจ�ำ แนกยงั เพอ่ื ใหน้ กั วทิ ยาศาสตรส์ ามารถจดั กลมุ่ ระบุ และหาขอ้ มลู ของส่ิงมีชีวิตได้อย่างถูกต้องและรวดเร็ว ดังน้ันกล่าวโดยสรุปการจำ�แนกสิ่งมีชีวิตน้ันเพ่ือ ทำ�ให้มนุษย์สามารถส่ือสารได้อย่างถูกต้องตรงกันว่าต้องการกล่าวถึงสิ่งมีชีวิตใด ซ่ึงเป็น ประโยชนห์ รอื ตอบสนองตอ่ ความตอ้ งการของมนษุ ยใ์ นดา้ นตา่ ง ๆ ไมว่ า่ จะเปน็ ในเรอื่ งของ ชวี ติ ประจำ�วนั หรือในวงการวิทยาศาสตร์ สง่ิ มชี วี ติ ทถี่ กู จ�ำ แนกและตงั้ ชอ่ื วทิ ยาศาสตรแ์ ลว้ สามารถยา้ ยหรอื เปลยี่ นกลมุ่ ไดห้ รอื หรอื ไม่ อยา่ งไร ได้ หากเกณฑ์หรือข้อมูลที่ใช้ในการจำ�แนกหน่วยอนุกรมวิธานเดิมมีการเปลี่ยนแปลงไป ทำ�ใหส้ งิ่ มีชวี ิตนนั้ ไมเ่ หมาะสมทีจ่ ะอยู่ในกลุ่มเดมิ อกี ตอ่ ไป ในการตง้ั ชอื่ วทิ ยาศาสตรข์ องกลมุ่ สง่ิ มชี วี ติ หนง่ึ ตามกฎเกณฑส์ ากลของกลมุ่ สง่ิ มชี วี ติ นนั้ จะ สามารถพบสิ่งมีชีวิต 2 สปีชีส์ที่มีช่ือวิทยาศาสตร์ในแต่ละลำ�ดับขั้นทางอนุกรมวิธานเป็น ชอ่ื เดียวกนั ได้หรอื ไม่ อย่างไร สิง่ มีชีวิต 2 สปชี ีส์ไม่สามารถมชี ือ่ วทิ ยาศาสตร์ในล�ำ ดบั ขน้ั สปีชีส์เหมือนกนั ได้ แต่อาจมีชอื่ วิทยาศาสตร์ในลำ�ดับข้ันอื่นที่เป็นชื่อเดียวกันได้ เช่น สิ่งมีชีวิตท่ีอยู่ในสกุล หรือแฟมิลี เดียวกัน จะมีชอ่ื วทิ ยาศาสตร์ในลำ�ดับขนั้ สกลุ และแฟมลิ เี หมอื นกัน เพราะเหตุใดจงึ ต้องทำ�การระบุช่ือวทิ ยาศาสตรข์ องสง่ิ มชี วี ติ เพราะต้องการทราบว่าส่งิ มีชีวิตน้ันคืออะไร ถา้ ท�ำ การระบชุ อื่ วทิ ยาศาสตรอ์ ยา่ งถกู ตอ้ งครบถว้ นตามกระบวนการแลว้ ยงั ไมส่ ามารถระบุ ชอื่ ส่งิ มชี ีวิตได้ เปน็ เพราะเหตุใด อาจยงั ไมเ่ คยมีการค้นพบและตั้งชอื่ มาก่อน สถาบันส่งเสริมการสอนวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี

ชวี วทิ ยา เลม่ 6 บทที่ 23 | ความหลากหลายทางชวี ภาพ 115 แนวการวัดและประเมนิ ผล ดา้ นความรู้ - การจ�ำ แนกสง่ิ มชี วี ติ เปน็ หมวดหมทู่ างอนกุ รมวธิ าน จากการตอบค�ำ ถาม และการอภปิ ราย - หลกั การในการจ�ำ แนกสง่ิ มชี วิ ติ จากการท�ำ กจิ กรรม 23.4 และการอภปิ ราย - การตง้ั ชอ่ื วทิ ยาศาสตรข์ องสง่ิ มชี วี ติ จากการตอบค�ำ ถาม และการอภปิ ราย - การระบชุ อ่ื วทิ ยาศาสตรข์ องสง่ิ มชี วี ติ จากการท�ำ กจิ กรรม 23.5 และการอภปิ ราย ด้านทักษะ - การสงั เกต การลงความเหน็ จากขอ้ มลู การจ�ำ แนกประเภท การพยากรณ์ การจดั กระท�ำ และ สอ่ื ความหมายขอ้ มลู การตคี วามหมายขอ้ มลู และลงขอ้ สรปุ จากการท�ำ กจิ กรรม 23.4 และ 23.5 การน�ำ เสนอขอ้ มลู การตอบค�ำ ถาม และการอภปิ ราย - ดา้ นการคดิ อยา่ งมวี จิ ารณญาณและการแกป้ ญั หา จากการท�ำ กจิ กรรม 23.4 และ 23.5 - ดา้ นการสอ่ื สารสารสนเทศและการรเู้ ทา่ ทนั สอ่ื จากการใชง้ านสารสนแทศเพอ่ื สบื คน้ ขอ้ มลู และเพอ่ื สอ่ื สารกบั บคุ คลอน่ื อยา่ งถกู ตอ้ งและเหมาะสม - ดา้ นความรว่ มมอื การท�ำ งานเปน็ ทมี และภาวะผนู้ �ำ ดา้ นการท�ำ งาน การเรยี นรู้ และการพง่ึ ตนเอง จากการท�ำ งานกลมุ่ การแสดงความรบั ผดิ ชอบตอ่ งานทท่ี �ำ รว่ มกนั ความยดื หยนุ่ ใน การท�ำ งานรว่ มกนั การบรหิ ารจดั การงานทไ่ี ดร้ บั มอบหมายใหล้ ลุ ว่ ง - ดา้ นคอมพวิ เตอร์ และเทคโนโลยสี ารสนเทศและการสอ่ื สาร จากการใชใ้ นการท�ำ งานเพอ่ื การ สบื คน้ การรวบรวม และการจดั การขอ้ มลู เพอ่ื น�ำ เสนอ ด้านจติ วิทยาศาสตร์ - การใชว้ จิ ารณญาณ ความรอบคอบ วตั ถวุ สิ ยั จากการสบื คน้ ขอ้ มลู และการวเิ คราะหข์ อ้ มลู - การยอมรบั ความเหน็ ตา่ ง ความใจกวา้ ง จากการท�ำ งานกลมุ่ รว่ มกนั และการอภปิ ราย - ความอยากรอู้ ยากเหน็ ความมงุ่ มน่ั อดทน จากการสบื คน้ ขอ้ มลู การตอบค�ำ ถาม การน�ำ เสนอ และการอภปิ ราย สถาบันส่งเสริมการสอนวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี

116 บทที่ 23 | ความหลากหลายทางชีวภาพ ชวี วทิ ยา เล่ม 6 เฉลยแบบฝึกหดั ท้ายบทที่ 23 1. จากรปู ใหอ้ ธบิ ายเกย่ี วกบั ความหลากหลายทางชวี ภาพทงั้ ความหลากหลายทางพนั ธกุ รรม ความหลากหลายของสปชี สี ์ และความหลากหลายของระบบนิเวศ จากรปู แสดงให้เห็นถึงความหลากหลายทางชวี ภาพท้งั 3 ระดับ ดังน้ี วัวสปชี ีสเ์ ดียวกนั ทมี่ ี สีขนและลวดลายท่ีแตกต่างกันแสดงถึงความหลากหลายทางพันธุกรรม นอกจากวัวแล้ว จะเหน็ ว่าแหล่งทอ่ี ยู่ต่าง ๆ ในภาพยงั พบสงิ่ มีชีวติ อนื่ เช่น หญา้ ไม้ต้นขนาดใหญ่ ชา้ ง ปลา ตัวตนุ่ เหด็ ซ่งึ แสดงถงึ ความหลากหลายของสปชี สี ์ จากรูปแหล่งทีอ่ ยู่ทพี่ บสิง่ มชี วี ิตเหล่าน้ี เป็นระบบนิเวศป่าท่ีอยู่บนพ้ืนราบมีลำ�ธารไหลผ่าน บริเวณท่ีห่างออกไปมีระบบนิเวศป่า แถบเนินเขา และภูเขาสงู ซ่งึ แสดงถงึ ความหลากหลายของระบบนิเวศ สถาบันส่งเสริมการสอนวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี

ชีววทิ ยา เล่ม 6 บทที่ 23 | ความหลากหลายทางชีวภาพ 117 2. เติมคำ�ลงในแผนผังเพ่ือสรุปลำ�ดับเหตุการณ์ของสมมติฐานการเกิดโปรโทเซลล์จนกระท่ัง มวี ิวฒั นาการเกดิ เซลล์เร่มิ แรก สารอนนิ ทรยี ์ ฟ้าผ่า รังสยี ูวี สารอนิ ทรยี ์ บรรยากาศในระยะแรกของโลก โมเลกุลขนาดเลก็ สารอนิ ทรีย์ โมเลกุลขนาดใหญ่ เชอื่ มต่อกัน โปรโทเซลล์ โปรโทเซลล์ ชน้ั ของลิพดิ หมุ้ ล้อมรอบ เซลลเ์ ริม่ แรก ที่จ�ำ ลองตัวเองได้ ภายในมีไรโบไซม์ และ RNA แมแ่ บบ วิวัฒนาการ 3. การเปลี่ยนแปลงปริมาณแก๊สออกซิเจนในบรรยากาศจาก 1% เป็น 10% จนทำ�ให้เกิด ช้ันโอโซน มีผลอยา่ งไรตอ่ ววิ ฒั นาการของสง่ิ มชี วี ิตในยุคเร่ิมตน้ สิ่งมีชีวิตท่ีไม่ใช้ออกซิเจนบางส่วนจะตายไป ส่วนส่ิงมีชีวิตบางกลุ่มจะมีวิวัฒนาการเพ่ือให้ สามารถใชอ้ อกซเิ จนทเ่ี คยใชไ้ ดน้ อ้ ยใหใ้ ชไ้ ดม้ ากขน้ึ เมอ่ื เกดิ ชน้ั โอโซนท�ำ ใหป้ รมิ าณรงั สยี วู ี ท่ีมายังผิวโลกลดลง จึงลดอันตรายจากรังสียูวี ทำ�ให้ส่ิงมีชีวิตมาอาศัยอยู่ใกล้ผิวโลกได้ มากขน้ึ นอกจากนี้ครูอาจเพิ่มเติมว่าส่ิงมีชีวิตในช่วงระยะแรกของโลกดำ�รงชีวิตอยู่ในทะเลแต่ยัง ดำ�รงชีวิตบนบกไม่ได้ เนื่องจากยังไม่มีแก๊สโอโซนในช้ันบรรยากาศสำ�หรับกรองรังสี UV สง่ิ มชี วี ติ ในชว่ งระยะแรกของโลกจงึ อาศยั อยใู่ นทะเลเพอื่ ใชน้ �ำ้ และสง่ิ ตา่ ง ๆ ทอ่ี ยใู่ นน�ำ้ ลดผล จากรงั สี UV ตอ่ มาโพรแครโิ อตทเี่ กดิ ในชว่ งแรกของโลกเรม่ิ อพยพสเู่ ขตน�้ำ ตน้ื โดยใชป้ ระจุ คาร์บอเนตที่ละลายในนำ้�ทะเลสร้างชั้นที่บังแสงอาทิตย์ได้ และเซลล์บางกลุ่มสามารถ สงั เคราะหด์ ว้ ยแสงได้ เมอื่ โพรแครโิ อตเหลา่ นอ้ี าศยั อยรู่ วมกนั เปน็ จ�ำ นวนมากกบั ชน้ั ตะกอน ท�ำ ใหเ้ กดิ เปน็ สโตรมาโทไลต์ ซงึ่ ท�ำ ใหเ้ กดิ การเพมิ่ สดั สว่ นของออกซเิ จนจาก 1% เปน็ 10% ต่อมาเม่ือโพรแคริโอตได้วิวัฒนาการไปเป็นยูแคริโอตที่ใช้ออกซิเจนในการด�ำ รงชีวิตและ สังเคราะห์ด้วยแสงได้ ทำ�ให้ปริมาณแก๊สออกซิเจนเพิ่มมากข้ึนเกิดเป็นชั้นโอโซน เม่ือรังสี UV แผล่ งมาท่ผี วิ โลกได้นอ้ ย ส่ิงมชี วี ติ ทอ่ี าศยั อยู่ในทะเลจึงเร่ิมข้นึ มาอาศัยบนบกได้ สถาบันส่งเสริมการสอนวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี

118 บทท่ี 23 | ความหลากหลายทางชวี ภาพ ชวี วทิ ยา เลม่ 6 4. น�ำ ช่อื แบคทเี รียและอารเ์ คยี ทก่ี ำ�หนดให้เติมในชอ่ งว่างหนา้ เลขข้อให้สมั พนั ธก์ ับข้อความ Archaea Clostridium cyanobacteria Escherichia coli Lactobacillus mycoplasma Rhizobium spirochaete Staphylococcus aureus S ��t�a��p��h���y��l�o��c��o��c��c��u��s���a��u��r��e��u��s� 4.1 แบคทีเรียแกรมบวก โคโลนีมีลักษณะคล้ายพวงองุ่น เป็น สาเหตขุ องโรคตดิ เชอื้ ทผ่ี วิ หนงั กระดกู และเลอื ด มรี ายงาน การดื้อยาจำ�นวนมาก ��������������A���r�c��h��a��e��a������������� 4.2 โพรแคริโอตทพ่ี บได้ในแหล่งท่ีมอี ุณหภูมสิ งู มาก ในทะเลท่ี มีนำ้�เคม็ จัด ในบรเิ วณทีม่ ีความเป็นกรดสูง ในบริเวณทะเล ลกึ บางกล่มุ ปลดปล่อยแกส๊ มีเทนออกสูส่ ภาพแวดลอ้ มได้ �������c��y��a��n���o��b��a��c��t�e��r��i�a��������� 4.3 กลมุ่ ของแบคทเี รยี ทท่ี �ำ ใหอ้ อกซเิ จนในบรรยากาศเพม่ิ มาก ข้นึ ในช่วงระยะแรกของโลก ���������C���l�o��s��t�r��i�d��i�u���m������������ 4.4 กลุ่มของแบคทีเรียท่ีมีบทบาทสำ�คัญในวัฏจักรไนโตรเจน บางสปชี สี ส์ รา้ งสารพษิ ซงึ่ เปน็ สาเหตทุ ท่ี �ำ ใหเ้ กดิ บาดทะยกั ���������m���y��c��o��p��l��a��s�m����a���������� 4.5 กลุ่มของแบคทีเรียท่ีไม่มีผนังเซลล์ มีขนาดเล็กมาก เป็น สาเหตุท่ที �ำ ใหเ้ กดิ โรคปอดบวม และโรคตดิ เชอื้ ในทางเดิน ปสั สาวะ ����������s�p���i�r�o���c�h���a��e��t�e����������� 4.6 กลมุ่ ของแบคทเี รยี ทรี่ ปู รา่ งเปน็ เกลยี วบางสปชี สี เ์ ปน็ สาเหตุ ของโรคซฟิ ลิ ิส โรคเลปโตสไปโรซสิ (ฉ่ีหนู) โรคไลม์ ����������R���h��i��z�o��b���i�u��m������������� 4.7 กลุ่มแบคทีเรียแกรมลบ อาศัยอยู่ในปมรากพืชวงศ์ถ่ัว ทำ� หน้าท่ีช่วยตรึงแก๊สไนโตรเจนในอากาศมาสร้างเป็น สารประกอบไนโตรเจนในดิน ������E��s��c��h��e��r��i�c��h��i�a���c��o��l��i������ 4.8 แบคทีเรียแกรมลบอาศัยอยู่ภายในลำ�ไส้ใหญ่ของสัตว์และ มนษุ ย์ สว่ นใหญไ่ มก่ อ่ โรค แตบ่ างพนั ธท์ุ �ำ ใหเ้ กดิ อาการทอ้ งเสยี หรือท�ำ ใหเ้ กดิ การตดิ เชือ้ ที่ทางเดนิ ปัสสาวะ ��������L��a��c��t��o��b��a��c��i�l�l�u���s��������� 4.9 แบคทีเรียที่พบอยู่ในช่องคลอดของมนุษย์ช่วยรักษา ความเปน็ กรดเพอื่ ปอ้ งกนั การตดิ เชอ้ื จากจลุ นิ ทรยี ช์ นดิ อนื่ สถาบันส่งเสริมการสอนวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี

ชีววทิ ยา เลม่ 6 บทที่ 23 | ความหลากหลายทางชีวภาพ 119 5. นกั เรยี นพบโพรทิสต์ 3 สปีชสี ์ มีลกั ษณะทแี่ ตกต่างกนั ดงั นี้ สปีชีสท์ ่ี 1 พ บในอ่างบัว เป็นสิ่งมีชีวิตหลายเซลล์ต่อกันเป็นสาย ภายใน 1 เซลล์ มี 1 นวิ เคลียส เซลล์มีสีเขียว สรา้ งอาหารเองได้ สปีชสี ท์ ่ี 2 พ บในแหล่งน�ำ้ จืด เปน็ สิง่ มชี ีวติ เซลลเ์ ดยี ว มีซิเลยี รอบเซลลช์ ่วยในการเคลอ่ื นที่ มนี ิวเคลยี ส 2 ขนาด เซลลใ์ สไม่มสี ี สปีชสี ์ที่ 3 พ บบริเวณท่ีช้ืนแฉะ บนใบไม้เน่า บางระยะของการเจริญเติบโตพบเป็นเซลล์ เดยี ว บางระยะมลี กั ษณะคลา้ ยเปน็ เมอื กทมี่ เี สน้ ใยแตกแขนงสานกนั เปน็ รา่ งแห จากลักษณะดงั กลา่ วใหน้ ักเรยี นระบวุ า่ สงิ่ มีชวี ิตแต่ละสปชี สี จ์ ดั อยใู่ นกลุม่ ใดของโพรทสิ ต์ สปชี สี ท์ ่ี 1 คือ กลุม่ สาหรา่ ย สปชี ีสท์ ี่ 2 คอื กลุ่มโพรโทซัว สปชี สี ์ที่ 3 คือ กลุ่มที่คลา้ ยรา 6. การศกึ ษาพชื 4 สปชี ีสซ์ งึ่ เมอ่ื เจรญิ เตบิ โตเตม็ ทจ่ี ะพบโครงสรา้ ง ดงั ตาราง โครงสรา้ ง เรณู ออวุล รงั ไข่ เอม็ บรโิ อ เทรคดี เวสเซล สปีชีส์ A √ √ - B √ √ √ C - - -√ √ - D - - √√ √ - -√ - -√ √ เคร่อื งหมาย √ หมายถงึ พบโครงสร้าง เครือ่ งหมาย - หมายถงึ ไมพ่ บโครงสร้าง จากขอ้ มูลขา้ งต้น พชื A B C และ D น่าจะเปน็ พชื กล่มุ ใด เพราะเหตใุ ด พชื C คอื ไบรโอไฟต์ เพราะพบเอ็มบรโิ อ แตไ่ มม่ เี นื้อเย่ือท่อลำ�เลียงและโครงสร้างอื่น ๆ พชื D คือไลโคไฟต์หรือโมนิโลไฟต์ เพราะพบเอ็มบริโอ และเทรคีดที่เป็นส่วนหนึ่งของ เนือ้ เยือ่ ท่อลำ�เลยี งน้�ำ แต่ไมพ่ บโครงสร้างอ่ืน พืช A คอื พชื เมลด็ เปลอื ย เพราะพบเอม็ บรโิ อ เทรคดี ออวลุ เรณู แตไ่ มพ่ บเวสเซล และรงั ไข่ พชื B คอื พชื ดอก เพราะพบโครงสรา้ งเพม่ิ เตมิ จากกลมุ่ พชื เมลด็ เปลอื ย ไดแ้ ก่ รงั ไข่ และ เวสเซล สถาบันส่งเสริมการสอนวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี

120 บทท่ี 23 | ความหลากหลายทางชวี ภาพ ชีววิทยา เลม่ 6 7. นักเรียนพบเห็ดดังรูป ถ้าต้องการทราบว่าเป็น ฟรุตติงบอดีของฟังไจกลุ่มใด จะมีวิธีการศึกษา อยา่ งไร ศึกษาโดยการตัดบริเวณหมวกเห็ด แล้วนำ�ไปตรวจสอบภายใต้กล้องจุลทรรศน์ใช้แสงที่ กำ�ลังขยาย 400× ถ้าพบแอสโคสปอร์ในแอสคัส (ดงั รปู ดา้ นลา่ ง) แสดงวา่ เป็นฟงั ไจกลุม่ ท่ี สืบพันธ์ุแบบอาศัยเพศด้วยการสร้างแอสโคสปอร์ แต่ถ้าพบเบสิดิโอสปอร์บนเบสิเดียม แสดงว่าเป็นฟงั ไจกลมุ่ ที่สืบพนั ธแ์ุ บบอาศัยเพศดว้ ยการสรา้ งเบสิดโิ อสปอร์ เห็ดในรูปเป็น เห็ดที่สรา้ งแอสโคสปอร์ แอสโคสปอร์ แอสโคสปอร์ในแอสคัส รูปขยายแอสโคสปอร์ 8. จากแผนภาพสตั ว์ไมม่ ีกระดกู สนั หลังต่อไปน้ี ก. ข. ค. ง. จ. ฉ. ช. ซ. สถาบันส่งเสริมการสอนวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี

ชีววิทยา เลม่ 6 บทที่ 23 | ความหลากหลายทางชวี ภาพ 121 ถ้าต้องการจำ�แนกสัตว์ท้ัง 8 ชนิดออกเป็น 2 กลุ่มจะเลือกใช้เกณฑ์ต่อไปน้ีข้อใดบ้าง และ แตล่ ะกลมุ่ มีสตั ว์ใดบา้ ง 1) การเปลยี่ นแปลงของบลาสโทพอร์ 2) การลอกคราบ 3) ลกั ษณะสมมาตรของรา่ งกาย 4) การมรี ะยะท่เี ป็นตวั ออ่ นโทรโคฟอร์ การลอกคราบ สามารถแบ่งสัตวไ์ ด้ 2 กลุม่ ดังน้ี กล่มุ ท่ี 1 เปน็ สตั ว์ทม่ี ีการลอกคราบ คอื ปู แมงมุม กิง้ กอื จักจ่นั กุ้ง ผีเสื้อ กลมุ่ ที่ 2 เปน็ สัตว์ทไ่ี มม่ ีการลอกคราบ คือ ไสเ้ ดอื นดินและปลงิ ดูดเลอื ด การมรี ะยะท่ีเป็นตัวออ่ นโทรโคฟอรส์ ามารถแบง่ สตั ว์ได้ 2 กลมุ่ เชน่ เดยี วกบั การลอกคราบ กลมุ่ ท่ี 1 เปน็ สตั ว์ท่มี ตี ัวออ่ นโทรโคฟอร์ คอื ปู แมงมมุ กง้ิ กือ จกั จนั่ กงุ้ ผีเสือ้ กลมุ่ ท่ี 2 เปน็ สัตวท์ ไี่ มม่ ีตัวอ่อนโทรโคฟอร์ คอื ไสเ้ ดือนดินและปลิงดดู เลอื ด บนั ทึกคำ�ตอบ ปู (ก.) แมงมมุ (ข.) กงิ้ กอื (ค.) กุ้ง (ช.) จกั จัน่ (จ.) และผีเสื้อ (ซ.) จดั อยูใ่ นกลุ่มอารโ์ ทรพอด สว่ นไสเ้ ดือน (ง.) และปลิงดดู เลือด (ฉ.) จัดอยใู่ นกลมุ่ แอนเนลดิ จากแผนภาพจะเหน็ ไดว้ า่ มีสตั ว์อยู่ 2 กลมุ่ คอื กลมุ่ แอนเนลดิ และกลมุ่ อาร์โทรพอด ซงึ่ ท้งั 2 กลุ่มน้ีมีลักษณะร่วม คือ การมีบลาสโทพอร์พัฒนาเป็นช่องปาก และการมีปล้องลำ�ตัว ดงั นน้ั การเปลย่ี นแปลงของบลาสโทพอรแ์ ละการมปี ลอ้ งล�ำ ตวั จงึ ไมส่ ามารถจ�ำ แนกสงิ่ มชี วี ติ ทงั้ 8 ชนิดออกจากกันได้ สว่ นการลอกคราบเปน็ ลักษณะที่พบไดใ้ นกล่มุ อารโ์ ทรพอด และ ตวั ออ่ นแบบโทรโคฟอรเ์ ปน็ ลกั ษณะทพี่ บไดใ้ นกลมุ่ แอนเนลดิ ดงั นน้ั ทง้ั 2 เกณฑน์ จี้ งึ สามารถ ใชจ้ ำ�แนกสตั วท์ งั้ 8 ชนดิ ออกเปน็ 2 กลุ่มได้ สถาบันส่งเสริมการสอนวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี

122 บทท่ี 23 | ความหลากหลายทางชวี ภาพ ชวี วิทยา เลม่ 6 9. พจิ ารณาแผนภาพววิ ัฒนาการชาตพิ ันธุข์ องสตั วม์ กี ระดูกสนั หลงั ต่อไปน้ี ปลาปากกลม ปลากระดกู อ่อน ปลากระดกู แข็ง สัตวส์ ะเทนิ น�ำ้ สะเทนิ บก สัตวเ์ ลือ้ ยคลาน, สตั ว์ปีก สัตว์เล้ยี งลูกดว้ ยน้�ำ นม 4 6 5 3 2 1 9.1 ลักษณะของการมขี ากรรไกร สอดคล้องกับหมายเลขใดในแผนภาพ หมายเลข 2 9.2 ลักษณะของการมปี อด สอดคลอ้ งกบั หมายเลขใดในแผนภาพ หมายเลข 4 9.3 การมตี อ่ มน�้ำ นม และขนแบบขนเส้นเดย่ี ว สอดคล้องกับหมายเลขใดในแผนภาพ หมายเลข 6 10. แผนภูมิวิวัฒนาการชาติพันธุ์ของสัตว์ซ่ึง A – F แทนลักษณะของสัตว์ท่ีใช้พิจารณาใน การจดั กลมุ่ ใหพ้ จิ ารณาลกั ษณะทป่ี รากฏของสตั วท์ งั้ 6 ชนดิ และน�ำ ลกั ษณะตอ่ ไปนี้ ไดแ้ ก่ ลำ�ตัวเป็นปล้อง มีปากแบบดูด มีขา มีปีก มีขา 6 ขา มีปีก 2 คู่ เติมลงในตารางใน ช่องว่างหลงั ตัวอกั ษร พร้อมเติมเคร่อื งหมาย √ แทน มี หรือเครอ่ื งหมาย - แทน ไมม่ ี เพ่ือ ระบุว่าสตั วแ์ ต่ละชนดิ มีหรือไมม่ ีลกั ษณะทป่ี รากฏ สถาบันส่งเสริมการสอนวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี

ชีววิทยา เลม่ 6 บทที่ 23 | ความหลากหลายทางชวี ภาพ 123 F E D C B A ลักษณะ ชนิดสตั ว์ หมดั แมลงวนั แมลงปอ ผเี สือ้ ไสเ้ ดอื นดิน แมงมมุ A ล�ำ ตัวเป็นปลอ้ ง B มีขา - C มี 6 ขา -- D มปี ีก --- E มปี ีก 2 คู่ ---- F มีปากแบบดดู ---- - บันทึกคำ�ตอบ จากภาพ สัตว์ทั้งหมดที่อยู่ด้านหลังอักษรภาษาอังกฤษ (ลักษณะ) แสดงว่ามี ลกั ษณะนนั้ แตถ่ า้ อยดู่ า้ นหนา้ อกั ษรแสดงวา่ ไมม่ ลี กั ษณะนนั้ และสตั วท์ ม่ี ลี กั ษณะรว่ มกนั หลาย ลกั ษณะมแี นวโนม้ ทจี่ ะมคี วามสมั พนั ธเ์ ชงิ ววิ ฒั นาการมากกวา่ สตั วท์ มี่ ลี กั ษณะรว่ มกนั นอ้ ยกวา่ สถาบันส่งเสริมการสอนวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี

124 บทที่ 23 | ความหลากหลายทางชีวภาพ ชวี วิทยา เล่ม 6 11. A B C และ D เปน็ สตั ว์ 4 สปชี สี ์ โดยขอ้ มลู ทางอนกุ รมวธิ านของสตั ว์ A แสดงดงั ตารางตอ่ ไปน้ี ไฟลัม คลาส ออรเ์ ดอร์ แฟมลิ ี จนี ัส สปชี สี ์ Felidae Felis Felis catus สปีชีส์ A Chordata Mammalia Carnivora ถ้าทราบว่าสปีชีส์ B อยู่ในออเดอร์ Carnivora สปีชีส์ C อยู่ในแฟมิลี Felidae และ สปีชสี ์ D อยูใ่ นจีนสั Felis จงตอบคำ�ถามต่อไปนี้ 11.1  สัตว์สปีชีสใ์ ดบา้ งท่อี ย่ใู นไฟลมั Chordata A B C และ D 11.2  สตั ว์สปีชีสใ์ ดบา้ งทส่ี ามารถระบไุ ด้อยา่ งแนช่ ัดวา่ อยู่ในแฟมิลเี ดียวกัน A C และ D 11.3  สัตว์คู่ใดท่สี ามารถระบไุ ด้ชัดเจนวา่ มีความสมั พนั ธใ์ กลช้ ดิ ทางวิวัฒนาการมากทีส่ ุด A และ D บนั ทกึ คำ�ตอบ จากขอ้ มลู ขา้ งตน้ สามารถบอกไดว้ า่ สตั ว์ A และ D มคี วามใกลช้ ดิ ทางววิ ฒั นาการมาก ท่ีสุดเพราะสัตว์ท้ัง 2 สปีชีส์อยู่ในจีนัส Felis ในขณะที่สัตว์ B และ C ยังไม่สามารถ ระบไุ ด้วา่ อยใู่ นจนี สั ใด จึงทำ�ใหย้ งั ไม่สามารถสรปุ ได้ สถาบันส่งเสริมการสอนวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี

ชีววิทยา เลม่ 6 บทที่ 23 | ความหลากหลายทางชวี ภาพ 125 12. จากไดโคโทมสั คียท์ ใ่ี ช้ระบุกลมุ่ ของสตั ว์มกี ระดูกสันหลังต่อไปน้ี 1ก ไม่มขี ากรรไกร......................................................................................... A 1ข มีขากรรไกร............................................................................................. ดขู อ้ 2 2ก หายใจด้วยเหงือกตลอดชีวติ ................................................................... ดูขอ้ 3 2ข หายใจด้วยปอดในตัวเตม็ วยั ................................................................... ดขู ้อ 4 3ก มกี ระดกู อ่อน.......................................................................................... B 3ข มกี ระดูกแข็ง........................................................................................... C 4ก ปอดยังไม่เจรญิ ดี ตวั ออ่ นหายใจด้วยเหงือก.......................................... D 4ข ปอดเจริญดี............................................................................................ ดูขอ้ 5 5ก ไข่มีเปลือกหมุ้ ตัวอ่อนเจริญนอกตวั แม.่ ................................................ ดูข้อ 6 5ข ไข่ไมม่ เี ปลอื กหมุ้ ตัวอ่อนเจริญในตัวแม.่ ............................................... E 6ก ผิวหนังมีเกลด็ ........................................................................................ F 6ข ผิวหนังไมม่ เี กล็ด.................................................................................... G 12.1  A B C D E F และ G นา่ จะเป็นสัตว์ในกลุ่มใด A = ปลาปากกลม B = ปลากระดกู อ่อน C = ปลากระดกู แขง็ D = สตั วส์ ะเทนิ น้ำ�สะเทนิ บก E = สตั วเ์ ลี้ยงลูกด้วยน้ำ�นม F = สัตวเ์ ลอ้ื ยคลาน G = สตั วป์ ีก 12.2 ให้นักเรียนพิจารณาลักษณะต่าง ๆ ของตนเอง และนำ�มาระบุโดยใช้ไดโคโทมัสคีย์ ขา้ งต้น และตอ้ งใช้ไดโคโทมัสคยี ์ข้อใดบา้ ง 1 ข. 2 ข. 4 ข. 5ข. บันทกึ คำ�ตอบ มนุษยเ์ ป็นสัตว์เล้ียงลูกดว้ ยน�้ำ นม สถาบันส่งเสริมการสอนวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี

126 บทท่ี 23 | ความหลากหลายทางชีวภาพ ชวี วิทยา เลม่ 6 13. พจิ ารณารปู เปลือกหอยทม่ี ลี ักษณะแตกตา่ งกันจ�ำ นวน 12 ชนิด AB C DE F G H IJ KL จงเขียนแผนผังการจัดกลุ่มเปลือกหอยจากลักษณะภายนอกโดยใช้เกณฑ์ที่แบ่งออกเป็น 2 กล่มุ และจัดกลุ่มยอ่ ยเป็น 2 กลุ่มต่อไปจนได้เปลอื กหอยเพยี งชนิดเดียวในแตล่ ะกล่มุ และให้ ระบุลักษณะทใี่ ช้ในการแบง่ กลุ่ม สถาบันส่งเสริมการสอนวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี

ชีววิทยา เลม่ 6 บทท่ี 23 | ความหลากหลายทางชีวภาพ 127 ค�ำ ตอบอาจมไี ดห้ ลากหลาย ขน้ึ อยกู่ บั เกณฑท์ ใี่ ช้ เชน่ หอยฝาเดยี ว/หอยสองฝา มลี าย/ไมม่ ี ลาย เปลอื กเรยี บ/เปลอื กมีหนาม ตัวอยา่ งคำ�ตอบเป็นดงั น้ี ABCGHJKLIDFE หนามมี เปลอื ก เปลือก สขี าว ขนาดใหญ่ มีลวดลาย ไม่มีจดุ สนี ้�ำ ตาล เรยี ง เปลือก เปลอื ก เปลือก ไม่ชดิ กัน เปลอื ก สีขาว โค้ง แบน หนามมี ไม่มี มีจดุ สนี �้ำ ตาล ขนาดเล็ก ลวดลาย กระจาย ท่ัวเปลอื ก เรียงเปน็ แถว หวั ทา้ ย หวั ทา้ ยไม่ ชิดกนั เรยี วแหลม เรียวแหลม เปลอื ก เปลือก เปลือก เปลอื ก ไม่มีร่อง มีร่อง มีเกลยี ว ไมม่ เี กลยี ว ขนาดใหญ่ ขนาดใหญ่ ชัดเจน รูปทรง รปู ทรง กลม คล้ายลูกข่าง คล้ายเจดยี ์ ไม่คลา้ ยเจดีย์ มีหนาม ไมม่ หี นาม มี 2 ฝา มีฝาเดยี ว เปลอื กหอย สถาบันส่งเสริมการสอนวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี

128 บทท่ี 23 | ความหลากหลายทางชวี ภาพ ชีววทิ ยา เลม่ 6 สถาบันส่งเสริมการสอนวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี

ชวี วิทยา เลม่ 6 บทท่ี 24 | ระบบนิเวศและประชากร 129 24บทที่ | ระบบนเิ วศและประชากร ipst.me/10789 ผลการเรียนรู้ 1. วเิ คราะห์ อธบิ าย และยกตวั อยา่ งกระบวนการถ่ายทอดพลังงานในระบบนเิ วศ 2. อธบิ าย ยกตัวอยา่ งการเกิดไบโอแมกนฟิ ิเคชัน และบอกแนวทางในการลดการเกดิ ไบโอแมกนิฟิเคชนั 3. สืบคน้ ขอ้ มลู และเขียนแผนภาพ เพอ่ื อธบิ ายวัฏจักรไนโตรเจน วฏั จกั รกำ�มะถนั และวัฏจักรฟอสฟอรัส 4. สืบคน้ ขอ้ มลู ยกตวั อย่าง และอธิบายลกั ษณะของไบโอมทกี่ ระจายอยตู่ ามเขตภูมศิ าสตรต์ ่าง ๆ บนโลก 5. สืบค้นข้อมูล ยกตัวอย่าง อธิบาย และเปรียบเทียบการเปลี่ยนแปลงแทนท่ีแบบปฐมภูมิและการ เปลีย่ นแปลงแทนทแี่ บบทุตยิ ภูมิ 6. สืบคน้ ขอ้ มลู อธิบาย ยกตวั อย่าง และสรุปเกย่ี วกับลกั ษณะเฉพาะของประชากรของสิ่งมีชวี ิตบางชนดิ 7. สืบค้นข้อมูล อธิบาย เปรียบเทียบ และยกตัวอย่างการเพิ่มของประชากรแบบเอ็กโพเนนเชียลและการ เพมิ่ ของประชากรแบบลอจิสติก 8. อธิบาย และยกตัวอยา่ งปจั จยั ทีค่ วบคุมการเติบโตของประชากร สถาบันส่งเสริมการสอนวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี

130 บทที่ 24 | ระบบนเิ วศและประชากร ชวี วทิ ยา เล่ม 6 การวิเคราะหผ์ ลการเรยี นรู้ ผลการเรียนรู้ 1. วิเคราะห์ อธบิ าย และยกตวั อยา่ งกระบวนการถา่ ยทอดพลงั งานในระบบนิเวศ 2. อธิบาย ยกตัวอย่างการเกิดไบโอแมกนิฟิเคชัน และบอกแนวทางในการลดการเกิด ไบโอแมกนฟิ เิ คชนั 3. สบื คน้ ขอ้ มลู และเขยี นแผนภาพ เพอื่ อธบิ ายวฏั จกั รไนโตรเจน วฏั จกั รก�ำ มะถนั และวฏั จกั ร ฟอสฟอรสั จดุ ประสงคก์ ารเรยี นรู้ 1. ระบปุ จั จัยที่ใช้ในการจำ�แนกระบบนเิ วศและยกตวั อย่างระบบนิเวศชนดิ ตา่ ง ๆ 2. วเิ คราะห์ อธบิ าย และยกตวั อย่างกระบวนการถา่ ยทอดพลังงานในระบบนิเวศ 3. อธิบาย ยกตัวอย่างการเกิดไบโอแมกนิฟิเคชัน และบอกแนวทางในการลดการเกิด ไบโอแมกนฟิ ิเคชนั 4. สืบค้นขอ้ มูลและเขียนแผนภาพเพือ่ อธบิ ายวฏั จกั รไนโตรเจน วฏั จักรกำ�มะถัน และวัฏจกั ร ฟอสฟอรสั ทักษะกระบวนการ ทกั ษะแห่งศตวรรษท่ี 21 จิตวิทยาศาสตร์ ทางวิทยาศาสตร์ 1. การสื่อสารสารสนเทศและ 1. การใช้วิจารณญาณ 1. การสังเกต การรู้เท่าทันสือ่ 2. ความซอื่ สัตย์ 2. การลงความเหน็ จากขอ้ มูล 3. การจดั กระทำ�และส่ือความ 2. ความร่วมมือ การทำ�งานเปน็ ทมี และภาวะผ้นู �ำ หมายข้อมลู สถาบันส่งเสริมการสอนวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี

ชวี วิทยา เล่ม 6 บทที่ 24 | ระบบนเิ วศและประชากร 131 ผลการเรียนรู้ 4. สืบค้นข้อมูล ยกตัวอย่าง และอธิบายลักษณะของไบโอมที่กระจายอยู่ตามเขตภูมิศาสตร์ ตา่ ง ๆ บนโลก จดุ ประสงค์การเรยี นรู้ 1. สืบค้นข้อมูล อธิบาย และเปรียบเทียบองค์ประกอบทางกายภาพและองค์ประกอบทาง ชวี ภาพทเี่ ปน็ ลกั ษณะเฉพาะของไบโอมทก่ี ระจายอยตู่ ามเขตภมู ศิ าสตรต์ า่ ง ๆ บนโลก และ ยกตัวอยา่ งไบโอมชนดิ ต่าง ๆ ทกั ษะกระบวนการ ทักษะแห่งศตวรรษท่ี 21 จิตวิทยาศาสตร์ ทางวิทยาศาสตร์ 1. การสงั เกต 1. การสอ่ื สารสารสนเทศและ 1. การใช้วิจารณญาณ 2. ความใจกวา้ ง 2. การจำ�แนกประเภท การรเู้ ทา่ ทันสอ่ื 3. ความซอื่ สตั ย์ 3. การลงความเหน็ จากข้อมูล 2. ความร่วมมอื การทำ�งานเปน็ ทีม 4. การจัดกระท�ำ และส่อื ความ และภาวะผู้นำ� หมายข้อมูล 3. การคิดอยา่ งมีวิจารณญาณและ การแก้ปญั หา สถาบันส่งเสริมการสอนวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี

132 บทที่ 24 | ระบบนเิ วศและประชากร ชวี วทิ ยา เล่ม 6 ผลการเรยี นรู้ 5. สบื คน้ ขอ้ มลู ยกตวั อยา่ ง อธบิ าย และเปรยี บเทยี บการเปลย่ี นแปลงแทนทแ่ี บบปฐมภมู ิ และ การเปล่ียนแปลงแทนท่แี บบทตุ ยิ ภมู ิ จดุ ประสงคก์ ารเรียนรู้ 1. สบื คน้ ขอ้ มลู ยกตวั อยา่ ง อธบิ าย และเปรยี บเทยี บการเปลย่ี นแปลงแทนทแ่ี บบปฐมภมู แิ ละ การเปล่ียนแปลงแทนท่ีแบบทุติยภูมิ และยกตัวอย่างการเปล่ียนแปลงแทนท่ีที่เกิดขึ้นเอง ตามธรรมชาตแิ ละทเี่ กดิ จากการกระท�ำ ของมนษุ ย์ ทกั ษะกระบวนการ ทกั ษะแห่งศตวรรษที่ 21 จติ วิทยาศาสตร์ ทางวทิ ยาศาสตร์ 1. การใชว้ จิ ารณญาณ 1. การสงั เกต 1. การสอ่ื สารสารสนเทศและ 2. ความใจกว้าง 2. การลงความเหน็ จากข้อมูล การร้เู ท่าทนั สอ่ื 3. การจำ�แนกประเภท 2. การคิดอยา่ งมีวจิ ารณญาณและ การแกป้ ญั หา สถาบันส่งเสริมการสอนวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี

ชีววทิ ยา เลม่ 6 บทที่ 24 | ระบบนเิ วศและประชากร 133 ผลการเรยี นรู้ 6. สืบค้นข้อมูล อธิบาย ยกตัวอย่าง และสรุปเก่ียวกับลักษณะเฉพาะของประชากรของ สงิ่ มีชวี ติ บางชนิด 7. สบื คน้ ขอ้ มลู อธบิ าย เปรยี บเทยี บ และยกตวั อยา่ งการเพม่ิ ของประชากรแบบเอก็ โพเนนเชยี ล และการเพิ่มของประชากรแบบลอจิสตกิ 8. อธบิ าย และยกตวั อยา่ งปจั จัยที่ควบคุมการเตบิ โตของประชากร จดุ ประสงค์การเรยี นรู้ 1. สืบค้นข้อมูล อธิบาย ยกตัวอย่าง และสรุปเก่ียวกับลักษณะเฉพาะของประชากรของ ส่งิ มชี ีวติ บางชนดิ 2. สบื คน้ ขอ้ มลู อธบิ าย เปรยี บเทยี บ และยกตวั อยา่ งการเพม่ิ ของประชากรแบบเอก็ โพเนนเชยี ล และการเพ่ิมของประชากรแบบลอจสิ ติก 3. อธบิ ายและยกตวั อยา่ งปัจจยั ทคี่ วบคมุ การเติบโตของประชากร ทักษะกระบวนการ ทักษะแหง่ ศตวรรษที่ 21 จิตวทิ ยาศาสตร์ ทางวทิ ยาศาสตร์ 1. การใช้วิจารณญาณ 1. การสังเกต 1. การสื่อสารสารสนเทศและ 2. ความใจกวา้ ง 2. การลงความเหน็ จากขอ้ มูล การรเู้ ทา่ ทันส่ือ สถาบันส่งเสริมการสอนวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี

134 บทท่ี 24 | ระบบนเิ วศและประชากร ชวี วิทยา เลม่ 6 ผังมโนทัศน์ บทที่ 24 ระบบนเิ วศ ไบโอม การเปล่ยี นแปลงแทนทีข่ อง ศึกษาเกย่ี วกบั ศกึ ษาเกีย่ วกับ ส่ิงมชี ีวติ ในระบบนเิ วศ เช่น ความหลากหลายของระบบนิเวศ ไบโอมบนบก การเปล่ียนแปลงแทนที่ แบ่งเปน็ เชน่ แบบปฐมภูมิ ระบบนเิ วศบนบก ทุนดรา การเปลี่ยนแปลงแทนที่ เชน่ แบบทุติยภมู ิ ป่าไม่ผลัดใบ ปา่ สน โซ่อาหารและสายใยอาหาร ป่าผลดั ใบ ทงุ่ หญ้าเขตอบอนุ่ พรี ะมิดทางนเิ วศวิทยา ไบโอแมกนฟิ ิเคชัน ระบบนิเวศแหล่งน้ำ� ปา่ ผลัดใบเขตอบอุน่ เช่น ทะเลทราย แหลง่ น้ำ�เค็ม สะวันนา แหลง่ น�ำ้ จดื ปา่ เขตรอ้ น กระบวนการท่สี ำ�คัญในระบบนเิ วศ แบง่ เปน็ ศึกษาเกี่ยวกบั การถา่ ยทอดพลงั งานในระบบนเิ วศ การหมุนเวยี นสารในระบบนเิ วศ เช่น วฏั จักรไนโตรเจน วัฏจักรก�ำ มะถนั วัฏจกั รฟอสฟอรัส สถาบันส่งเสริมการสอนวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี

ชวี วทิ ยา เล่ม 6 บทที่ 24 | ระบบนิเวศและประชากร 135 ระบบนิเวศและประชากร ศกึ ษาเกีย่ วกบั ประชากร ศึกษาเก่ียวกับ ลักษณะเฉพาะของประชากร การเติบโตของประชากร ประชากรมนุษย์ ศึกษาเกย่ี วกบั ศึกษาเกีย่ วกับ ขนาดของประชากร ศึกษาเกี่ยวกับ ขึน้ อยกู่ บั รปู แบบการเพ่ิมของ การเกดิ ประชากร โครงสร้างอายุ ของประชากร การตาย มี และอตั ราส่วน แบบเอก็ โพเนนเชยี ล ระหวา่ งเพศ การอพยพ แบบลอจิสตกิ ความหนาแน่นของประชากร ปจั จัยทค่ี วบคุมการเตบิ โต ศึกษาไดจ้ าก ของประชากร การสมุ่ ตวั อยา่ งแบบวางแปลง แบง่ เปน็ การท�ำ เคร่อื งหมายและจับซ�ำ้ ปัจจัยท่ีข้นึ กบั ความหนาแนน่ ของประชากร การกระจายตัวของสมาชิกในประชากร ปจั จัยทีไ่ มข่ ึ้นกับความหนาแน่นของประชากร แบ่งเปน็ การกระจายตัวแบบรวมกล่มุ การกระจายตวั แบบสมำ่�เสมอ การกระจายตวั แบบส่มุ กราฟการรอดชวี ิตของสมาชิกใน ประชากร สถาบันส่งเสริมการสอนวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี

136 บทที่ 24 | ระบบนิเวศและประชากร ชวี วิทยา เลม่ 6 สาระสำ�คญั ระบบนิเวศจะดำ�รงอยู่ได้ต้องมีกระบวนการต่าง ๆ เกิดข้ึน โดยมีกระบวนการที่สำ�คัญ ได้แก่ การถา่ ยทอดพลงั งานและการหมนุ เวยี นสาร การถา่ ยทอดพลงั งานในระบบนเิ วศสามารถแสดงไดด้ ว้ ย แผนภาพที่เรียกว่า โซ่อาหารและสายใยอาหาร โดยสามารถเขียนความสัมพันธ์ของสิ่งมีชีวิตแต่ละ ลำ�ดับขั้นการกินอาหารได้ในรูปแบบของพีระมิดทางนิเวศวิทยา โดยพลังงานที่ถ่ายทอดไปในแต่ละ ล�ำ ดบั ข้ันการกนิ อาหารมีปรมิ าณท่ไี ม่เท่ากนั พลังงานส่วนหน่ึงจะสญู เสยี ไประหวา่ งการถา่ ยทอดจาก สิ่งมีชีวิตหน่ึงไปยังส่ิงมีชีวิตอีกชนิดหนึ่ง การถ่ายทอดพลังงานในระบบนิเวศบางครั้งอาจทำ�ให้มี สารพิษสะสมอยูใ่ นสง่ิ มชี ีวติ และมรี ะดบั ความเข้มข้นของสารพิษมากขนึ้ ตามลำ�ดับข้ันการกนิ อาหาร เรยี กวา่ การเกดิ ไบโอแมกนฟิ เิ คชนั สารตา่ ง ๆ ในระบบนเิ วศมกี ารหมนุ เวยี นเกดิ ขนึ้ ผา่ นทงั้ ในสงิ่ มชี วี ติ และส่งิ ไมม่ ชี ีวิตอยา่ งเปน็ วัฏจักร เช่น วฏั จักรไนโตรเจน วฏั จกั รกำ�มะถัน และวัฏจักรฟอสฟอรัส ไบโอมคอื ระบบนเิ วศขนาดใหญท่ ก่ี ระจายอยตู่ ามเขตภมู ศิ าสตรต์ า่ ง ๆ บนโลก เชน่ ไบโอมทนุ ดรา ไบโอมสะวันนา ไบโอมทะเลทราย โดยแต่ละไบโอมจะมีลักษณะเฉพาะของปัจจัยทางกายภาพ ชนดิ ของพืช และชนิดของสตั ว์ ระบบนเิ วศมกี ารเปลยี่ นแปลงไดต้ ลอดเวลา การเปลยี่ นแปลงของปจั จยั ในระบบนเิ วศอาจท�ำ ให้ ขนาดของประชากรและชนิดของส่ิงมีชีวิตเปล่ียนแปลงไปและทำ�ให้เกิดการเปล่ียนแปลงแทนท่ีของ สง่ิ มชี วี ติ ขนึ้ โดยการเปลยี่ นแปลงแทนทที่ างนเิ วศวทิ ยา มที ง้ั การเปลยี่ นแปลงแทนทแี่ บบปฐมภมู แิ ละ การเปลี่ยนแปลงแทนทีแ่ บบทุติยภมู ิ ประชากรของสงิ่ มชี วี ติ มลี กั ษณะเฉพาะ เชน่ ขนาดของประชากร ความหนาแนน่ ของประชากร การกระจายตัวของสมาชิกในประชากร โครงสร้างอายุของประชากร อัตราส่วนระหว่างเพศ อัตรา การเกิดและอัตราการตาย การอพยพเข้า การอพยพออก และกราฟการรอดชีวิตของสมาชิกใน ประชากร ลักษณะเฉพาะของประชากรมีอิทธิพลต่อการเปลี่ยนแปลงขนาดของประชากรซึ่ง เป็นกระบวนการที่เกิดข้ึนอยู่เสมอ โดยการเพิ่มประชากรแบบเอ็กโพเนนเชียลเป็นการเพิ่มจำ�นวน ประชากรอยา่ งรวดเรว็ แบบทวคี ณู สว่ นการเพม่ิ ประชากรแบบลอจสิ ตกิ เปน็ การเพม่ิ จ�ำ นวนประชากร ที่ขึ้นอยู่กับสภาพแวดล้อมหรือมีตัวต้านทานในสิ่งแวดล้อมมาเกี่ยวข้อง การเติบโตของประชากร ขึ้นกับปัจจัยต่าง ๆ ซึ่งแบ่งได้เป็น ปัจจัยท่ีขึ้นกับความหนาแน่นของประชากรและปัจจัยที่ไม่ข้ึนกับ ความหนาแน่นของประชากร สถาบันส่งเสริมการสอนวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี

ชวี วทิ ยา เลม่ 6 บทท่ี 24 | ระบบนเิ วศและประชากร 137 ประชากรมนุษย์มีอัตราการเติบโตอย่างรวดเร็วแบบเอ็กโพเนนเชียลหลังจากการปฏิวัติทาง อตุ สาหกรรม เมอื่ พจิ ารณาโครงสรา้ งอายแุ ละอตั ราสว่ นระหวา่ งเพศของประชากรสามารถแสดงไดเ้ ปน็ พรี ะมิดอายุ ซึ่งสามารถใชค้ าดคะเนการเตบิ โตของประชากรและขนาดของประชากรในอนาคตได้ เวลาท่ีใช้ 8 ชั่วโมง บทนค้ี วรใชเ้ วลาสอนประมาณ 22 ชว่ั โมง 3 ชวั่ โมง 24.1 ระบบนิเวศ 3 ชั่วโมง 24.2 ไบโอม 8 ช่วั โมง 24.3 เปลี่ยนแปลงแทนที่ของสงิ่ มีชวี ิตในระบบนเิ วศ 22 ช่วั โมง 24.4 ประชากร รวม สถาบันส่งเสริมการสอนวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี

138 บทที่ 24 | ระบบนเิ วศและประชากร ชีววทิ ยา เล่ม 6 เฉลยตรวจสอบความร้กู อ่ นเรยี น ให้นักเรียนใส่เครือ่ งหมายถูก (√) หรือผิด (×) หนา้ ขอ้ ความตามความเข้าใจของนักเรียน 1. ระบบนิเวศท่ีแตกต่างกันมีองค์ประกอบทางกายภาพและองค์ประกอบทางชีวภาพท่ี แตกต่างกัน 2. ส่ิงมีชวี ติ ในระบบนเิ วศมีความสัมพนั ธ์กับสิ่งมีชีวติ อน่ื  ๆ ท่อี ยู่ร่วมกนั 3. สงิ่ มชี วี ติ แตล่ ะชนดิ ในระบบนเิ วศตอ้ งการสภาวะทเี่ หมาะสมตอ่ การด�ำ รงชวี ติ แตกตา่ งกนั 4. ปริมาณพลังงานที่ถ่ายทอดผ่านโซ่อาหารในระบบนิเวศจะเพ่ิมข้ึนจากผู้ผลิตไปยัง ผบู้ ริโภคตามล�ำ ดบั ข้ันการกินอาหาร 5. สารพิษทสี่ ะสมในผู้ผลิตสามารถส่งต่อไปยงั ผู้บรโิ ภคโดยผ่านทางโซอ่ าหาร 6. การถา่ ยทอดพลงั งานเปน็ กระบวนการทเี่ หมอื นกบั การหมนุ เวยี นสารและมคี วามส�ำ คญั ตอ่ ระบบนิเวศ 7. ประชากร หมายถงึ สงิ่ มีชวี ิตชนดิ ต่าง ๆ ท่ีอาศัยอยู่ในทีเ่ ดยี วกันในชว่ งเวลาใดเวลาหน่งึ 8. องค์ประกอบทางกายภาพและองค์ประกอบทางชีวภาพส่งผลต่อการกระจายพันธ์ุของ สิง่ มชี วี ิต สถาบันส่งเสริมการสอนวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี

ชวี วทิ ยา เล่ม 6 บทที่ 24 | ระบบนเิ วศและประชากร 139 แนวการจดั การเรียนรู้ ครนู �ำ เขา้ สบู่ ทเรยี นโดยใหน้ กั เรยี นศกึ ษาขอ้ มลู ของไทรยอ้ ยใบทจู่ ากรปู น�ำ บท จากนน้ั ใหข้ อ้ มลู แกน่ กั เรยี นวา่ เนอ่ื งจากไทรยอ้ ยใบทมู่ คี วามส�ำ คญั ตอ่ ระบบนเิ วศ จงึ เปน็ ทน่ี า่ สนใจส�ำ หรบั นกั วทิ ยาศาสตร์ ในด้านต่าง ๆ เช่น ไทรย้อยใบทู่สามารถพบได้ท่ีบริเวณอ่ืนของโลกหรือไม่ มีปัจจัยใดท่ีส่งผลต่อการ ด�ำ รงชวี ติ และก�ำ หนดการกระจายพนั ธข์ุ องพชื ชนดิ น้ี การด�ำ รงชวี ติ ของไทรยอ้ ยใบทสู่ ง่ ผลตอ่ สง่ิ แวดลอ้ ม ในบรเิ วณนน้ั อยา่ งไร นกั เรยี นคดิ วา่ เพอ่ื ตอบค�ำ ถามดงั กลา่ ว นกั วทิ ยาศาสตรต์ อ้ งศกึ ษาอะไรบา้ ง จากนน้ั ใหน้ กั เรยี นศกึ ษารปู 24.1 ระดบั ของการจดั ระบบทางนเิ วศวทิ ยา ในหนงั สอื เรยี น ซง่ึ แสดงใหเ้ หน็ วา่ สง่ิ มชี วี ติ ไมไ่ ดด้ �ำ รงชวี ติ อยเู่ พยี งล�ำ พงั แตเ่ ปน็ สว่ นหนง่ึ ของระบบนเิ วศ มคี วามสมั พนั ธก์ บั สง่ิ มชี วี ติ อน่ื  ๆ ทง้ั สปชี สี เ์ ดยี วกนั และตา่ งสปชี สี ์ นอกจากนย้ี งั มคี วามสมั พนั ธก์ บั สง่ิ ไมม่ ชี วี ติ ในบรเิ วณท่ี อาศยั อยู่ สามารถแบง่ ไดเ้ ปน็ ระดบั ของการจดั ระบบทางนเิ วศวทิ ยา การศกึ ษาทางนเิ วศวทิ ยาโดยทว่ั ไป จงึ มตี ง้ั แตใ่ นระดบั สง่ิ มชี วี ติ จนถงึ ระดบั ไบโอสเฟยี ร์ โดยครอู าจใชไ้ ทรยอ้ ยใบทเู่ ปน็ ตวั อยา่ งเพอ่ื ใหน้ กั เรยี น เหน็ ภาพการศกึ ษาในระดบั ตา่ ง ๆ ไดช้ ดั เจนขน้ึ เชน่ - นเิ วศวิทยาระดับสิ่งมชี ีวิต (organismal ecology) – ศึกษาด้านการปรบั ตวั ของไทรยอ้ ย ใบทู่ในเชิงสรีรวิทยาระบบนิเวศ (ecophysiology) เช่น เมล็ดไทรย้อยใบทู่สามารถ งอกไดด้ แี มบ้ นกง่ิ ไมข้ องพชื ชนดิ อนื่ ซง่ึ เปน็ ภาวะทมี่ คี วามชน้ื ต�ำ่ และเสย่ี งตอ่ การสญู เสยี น�ำ้ การปรบั ตวั ใหส้ ามารถงอกและเจรญิ เตบิ โตบนพชื ชนดิ อนื่ ไดส้ ง่ ผลดตี อ่ ไทรยอ้ ยใบทู่ เชน่ ทำ�ให้สามารถรับแสงอาทิตย์ได้มาก ส่งผลให้อัตราการสังเคราะห์ด้วยแสงเพ่ิมขึ้น และ เจริญเติบโตได้ดี ไทรย้อยใบทู่ยังมีผลผลิตในปริมาณท่ีมากต่อปี ในกรณีไทรย้อย ใบทู่ สามารถมีผลผลิตได้สูงถึง 6 รอบต่อปี เม่ือเทียบกับผลไม้ป่าชนิดอ่ืน ๆ หลายชนิด พบวา่ ความสามารถในการผลิตผลต่อปนี ้ันน้อยกว่ามาก - นิเวศวิทยาระดับประชากร (population ecology) – ศึกษาเรื่องการกระจายพันธ์ุของ ไทรยอ้ ยใบทใู่ นบรเิ วณตา่ ง ๆ ของโลก และรปู แบบการกระจายตวั ของสมาชกิ ในประชากร ไทรย้อยใบท่ใู นแหล่งท่ีอยู่ตา่ ง ๆ - นิเวศวิทยาระดับกลุ่มสิ่งมีชีวิต (community ecology) – ศึกษาความสัมพันธ์ระหว่าง ไทรย้อยใบทู่กับส่ิงมีชีวิตอื่น ๆ เช่น ต้นของไทรย้อยใบทู่เป็นที่อยู่ของนกและแมลง บางชนิดและผลเป็นอาหารของสัตว์จำ�นวนมากตัวอย่างความสัมพันธ์ที่น่าสนใจ คือ ความสัมพันธ์แบบภาวะพ่งึ พากันระหว่างไทรย้อยใบทู่กับต่อไทร (fig wasp) สถาบันส่งเสริมการสอนวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี