Important Announcement
PubHTML5 Scheduled Server Maintenance on (GMT) Sunday, June 26th, 2:00 am - 8:00 am.
PubHTML5 site will be inoperative during the times indicated!

Home Explore หลักสูตรกลุ่มสาระการเรียนรู้วิทยาศาสตร์เเละเทคโนโลยี พุทธศักราช 2564

หลักสูตรกลุ่มสาระการเรียนรู้วิทยาศาสตร์เเละเทคโนโลยี พุทธศักราช 2564

Published by leky20, 2022-03-23 02:43:58

Description: หลักสูตรกลุ่มสาระการเรียนรู้วิทยาศาสตร์เเละเทคโนโลยี พุทธศักราช 2564

Search

Read the Text Version

กลมุ่ สาระการเรยี นรู้วทิ ยาศาสตร์และเทคโนโลยี เปา้ หมายของวทิ ยาศาสตร์และเทคโนโลยี ในการเรยี นการสอนวทิ ยาศาสตรม์ งุ่ เนน้ ให้ผู้เรยี นได้คน้ พบความรดู้ ้วยตนเองมากท่ีสุดเพะ กระบวนการและความรู้ จากวธิ กี ารสงั เกต การสำรวจตรวจสอบ การทดลอง แล้วนำผลที่ไดม้ าจัดระบบเปน็ หลกั การ แนวคิด และองคค์ วามรู้ การจดั การเรยี นการสอนวิทยาศาสตรจ์ ึงมเี ป้าหมายที่สำคัญดงั นี้ 1. เพื่อใหเ้ ข้าใจหลักการ ทฤษฎี และกฎที่เปน็ พนื้ ฐานในวิชาวิทยาศาสตร์ 2. เพื่อให้เข้าใจขอบเขตของธรรมชาตขิ องวิชาวิทยาศาสตรแ์ ละข้อจำกัดในการศึกษาวชิ า วทิ ยาศาสตร์ 3. เพอื่ ใหม้ ีทกั ษะท่ีสำคัญในการคน้ ควา้ และคิดคน้ ทางเทคโนโลยี 4. เพื่อให้ตระหนักถึงความสัมพันธ์ระหว่างวิชาวิทยาศาสตร์ เทคโนโลยี มวลมนุษย์และ สภาพแวดลอ้ มในเชงิ ที่มีอทิ ธพิ ลและผลกระทบซ่ึงกนั และกัน 5. เพื่อนำความรู้ ความเข้าใจ วิชาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีไปใช้ให้เกิดประโยชน์ต่อสังคมและ การดำรงชีวติ 6. เพ่ือพัฒนากระบวนการคิดและจินตนาการ ความสามารถในการแก้ปัญหา และการจัดการ ทักษะในการสื่อสาร และความสามารถในการตดั สนิ ใจ 7. เพื่อให้เป็นผู้ท่ีมีจิตวิทยาศาสตร์ มีคุณธรรม จริยธรรม และค่านิยมในการใช้วิทยาศาสตร์และ เทคโนโลยีอยา่ งสรา้ งสรรค์ เรียนรอู้ ะไรในวทิ ยาศาสตรแ์ ละเทคโนโลยี กลุ่มสาระการเรียนรู้วิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีมุ่งหวังให้ผู้เรียน ได้เรียนรู้วิทยาศาสตร์ที่เน้นการ เชื่อมโยงความรู้กับกระบวนการ มีทักษะสำคัญในการค้นคว้าและสร้างองค์ความรู้ โดยใช้กระบวนการในการสืบ เสาะหาความรู้ และการแก้ปัญหาท่ีหลากหลาย ให้ผู้เรียนมีส่วนร่วมในการเรียนรู้ทุกขั้นตอน มีการทำ กจิ กรรมดว้ ยการลงมอื ปฏิบตั จิ รงิ อย่างหลากหลาย เหมาะสมกับระดบั ชน้ั โดยไดก้ ำหนดสาระสำคญั ไวด้ งั น้ี 1. วทิ ยาศาสตรช์ ีวภาพ เรยี นรูเ้ กีย่ วกบั ชวี ติ ในส่งิ แวดลอ้ ม องค์ประกอบของสง่ิ มชี ีวิต การดำรงชีวิตของมนุษย์และสัตว์ การดำรงชีวิตของพืช พันธุกรรม ความหลากหลายทางชีวภาพและ ววิ ัฒนาการของสง่ิ มีชวี ติ 2. วิทยาศาสตร์กายภาพ เรียนรู้เกี่ยวกับ ธรรมชาติของสาร การเปลี่ยนแปลงของสาร การเคล่ือนท่ี พลังงาน และคล่ืน หลกั สูตรสถานศึกษา กล่มุ สาระการเรียนรู้วิทยาศาสตร์ โรงเรียนวดั วงั น้าเขยี ว

2 3. วิทยาศาสตร์โลกและอวกาศเรียนรู้เกี่ยวกับ องค์ประกอบของเอกภาพ ปฏิสัมพันธ์ภายใน ระบบสุริยะ เทคโนโลยีอวกาศ ระบบโลก การเปลี่ยนแปลงทางธรณีวิทยา กระบวนการเปลี่ยนแปลงลมฟ้า อากาศ แลผลต่อสง่ิ มชี ีวติ และส่ิงแวดลอ้ ม 4. เทคโนโลยี 4.1 การออกแบบและเทคโนโลยีเรียนรู้เกยี่ วกับ เทคโนโลยี เพือ่ การดำรงชีวติ ในสังคมที่มีการ เปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็ว ใช้ความรู้และทักษะทางด้านวิทยาศาสตร์ คณิตศาสตร์ และศาสตร์อ่ืนๆ เพื่อ แกป้ ัญหาหรือพฒั นางานอยา่ งมคี วามคิดสร้างสรรค์ดว้ ยกระบวนการออกแบบเชงิ วิศวกรรม เลือกใช้เทคโนโลยี อย่างเหมาะสมโดยคำนึงถึงผลกระทบต่อชีวิต สงั คม และสง่ิ แวดลอ้ ม 4.2 วิทยาการคำนวณ เรียนรู้เกี่ยวกับ การคิดเชิงคำนวณ การคิดวิเคราะห์ แก้ปัญหาเป็น ข้ันตอนและเป็นระบบ ประยุกต์ใช้ความรู้ด้านวิทยาการคอมพิวเตอร์และเทคโนโลยีสารสนเทศและการ สอื่ สาร ในการแก้ปัญหาทพ่ี บในชวี ิตจริงๆ ได้อย่างมปี ระสทิ ธิภาพ สาระและมาตรฐานการเรียนรู้ สาระที่ 1 วิทยาศาสตรช์ วี ภาพ มาตรฐาน ว 1.1 เข้าใจความหลากหลายของระบบนิเวศ ความสัมพันธ์ระหว่างสิ่งไม่มีชีวิตกับส่ิงมีชีวิตและ ความสัมพันธร์ ะหวา่ งสงิ่ มีชวี ิตกับส่งิ มชี ีวติ ตา่ งๆ ในระบบนเิ วศ การถา่ ยทอดพลังงาน การเปล่ียนแปลงแทนที่ในระบบนเิ วศ ความหมายของประชากร ปัญหาและผลกระทบที่มีต่อ ทรพั ยากรธรรมชาติและส่ิงแวดล้อม แนวทางในการอนุรักษ์ทรพั ยากรธรรมซาติและการแก้ไข ปญั หาสิง่ แวดลอ้ มรวมทัง้ น่าความรไู้ ปใชป้ ระโยชน์ มาตรฐาน ว 1.2 เขา้ ใจสมบัติของส่งิ มชี ีวติ หนว่ ยพนื้ ฐานของสิง่ มชี ีวิต การลำเสยี งสารเขา้ และออกจากเซลล์ ความสัมพันธ์ของโครงสร้าง และหน้าท่ีของระบบต่างๆ ของสัตว์และมนุษย์ที่ทำงานสัมพันธ์ กัน ความสัมพันธ์ของโครงสร้าง และหน้าที่ของอวัยวะต่างๆ ของพืชท่ีทำงานสัมพันธ์กัน รวมท้งั น่าความรไู้ ปใชป้ ระโยชน์ มาตรฐาน ว 1.3 เขา้ ใจกระบวนการและความสำคญั ของการถ่ายทอดลกั ษณะทางพนั ธุกรรม สารพนั ธุกรรม การเปลี่ยนแปลงทางพันธุกรรมที่มีผลต่อสิ่งมีชีวิต ความหลากหลายทางชีวภาพและ วิวัฒนาการของส่ิงมีชวี ิต รวมทัง้ นา่ ความรไู้ ปใช้ประโยชน์ สาระท่ี 2 วทิ ยาศาสตรก์ ายภาพ มาตรฐาน ว 2.1 เขา้ ใจสมบัตขิ องสสาร องค์ประกอบของสสาร ความสัมพันธ์ระหวา่ งสมบัติของสสารกบั โครงสร้างและแรงยึดเหนี่ยวระหวา่ งอนุภาค หลักและธรรมชาติของการเปล่ียนแปลงสถานะ ของสสาร การเกดิ สารละลาย และการเกดิ ปฏกิ ริ ยิ าเคมี มาตรฐาน ว 2.2 เขา้ ใจธรรมซาตขิ องแรงในชีวติ ประจำวนั ผลของแรงที่กระทำต่อวัตถุ ลกั ษณะการเคล่อื นท่ี แบบตา่ งๆ ของวัตถุ รวมทง้ั น่าความร้ไู ปใช้ประโยชน์ หลกั สูตรสถานศึกษา กลมุ่ สาระการเรียนรู้วทิ ยาศาสตร์และเทคโนโลยี โรงเรียนวดั วงั น้าเขียว

3 มาตรฐาน ว 2.3 เข้าใจความหมายของพลงั งาน การเปล่ียนแปลงและการถา่ ยโอนพลงั งาน ปฏสิ มั พันธ์ ระหวา่ งสสารและพลงั งาน พลงั งานในชวี ิตประจำวนั ธรรมซาตขิ องคลืน่ ปรากฏการณท์ ี่ เกี่ยวข้องกบั เสียง แสง และคลนื่ ไมเ่ หล็กไฟฟ้า รวมทงั้ นา่ ความรไู้ ปใช้ประโยชน์ สาระที่ 3 วทิ ยาศาสตร์โลกและอวกาศ มาตรฐาน ว 3.1เขา้ ใจองค์ประกอบ ลักษณะ กระบวนการเกิด และวิวัฒนาการของเอกภพ กาแล็กซี ดาวฤกษ์ และระบบสรุ ิยะ รวมทงั้ ปฏสิ ัมพนั ธ์ภายในระบบสุริยะท่ีสง่ ผลต่อสิ่งมชี ีวิตและการประยุกต์ใช่ เทคโนโลยอี วกาศ มาตรฐาน ว 3.2 เขา้ ใจองค์ประกอบและความสัมพนั ธ์ของระบบโลก กระบวนการเปล่ียนแปลงภายในโลก และ บนผวิ โลก ธรณพี ิบัติภยั กระบวนการเปล่ียนแปลงลมฟา้ อากาศและภมู ิอากาศโลก รวมทัง้ ผลตอ่ สิง่ มีชวี ติ และสิ่งแวดลอ้ ม สาระที่ 4 เทคโนโลยี มาตรฐาน ว 4.1 เข้าใจแนวคิดหลักของเทคโนโลยเี พือ่ การดำรงชวี ิตในสังคมที่มีการเปลี่ยนแปลงอย่าง รวดเรว็ ใช้ความรู้และทักษะทางด้านวทิ ยาศาสตร์คณติ ศาสตรแ์ ละศาสตร์อื่นๆ เพ่ือแก้ปัญหา หรอื พัฒนางานอยา่ งมีความคดิ สรา้ งสรรค์ด้วยกระบวนการออกแบบเชงิ วิศวกรรมเลือกใช้ เทคโนโลยอี ย่างเหมาะสมโดยคำนึงถึงผลกระทบตอ่ ชีวิตสงั คมและสงิ่ แวดล้อม มาตรฐาน ว 4.2 เข้าใจและใชแ้ นวคดิ เชงิ คำนวณในการแกป้ ญั หาท่ีพบในชวี ติ จริงอยา่ งเปน็ ขนั้ ตอนและเป็น ระบบใช้เทคโนโลยีสารสนเทศและการส่ือสารในการเรียนรู้การทำงานและการแกป้ ัญหาได้ อย่างมปี ระสิทธิภาพรู้เท่าทนั และมีจริยธรรม หลกั สูตรสถานศึกษา กลุ่มสาระการเรียนรู้วทิ ยาศาสตร์และเทคโนโลยี โรงเรียนวดั วงั น้าเขียว

4 โครงสรา้ งเวลาเรียน หลกั สูตรแกนกลางการศึกษาข้นั พื้นฐาน โรงเรยี นวัดวังนำ้ เขียว กำหนดกรอบโครงสรา้ งเวลาเรยี น ดงั นี้ กล่มุ สาระการเรยี นร/ู้ กิจกรรม เวลาเรยี นระดับประถมศกึ ษา เวลาเรียนระดบั มัธยมศกึ ษาตอนตน้  กลุม่ สาระการเรยี นรู้ ป. 1 ป. 2 ป. 3 ป. 4 ป. 5 ป. 6 ม. 1 ม. 2 ม. 3 ภาษาไทย 200 200 200 160 160 160 120 120 120 คณิตศาสตร์ 200 200 200 160 160 160 (3 นก.) (3 นก.) (3 นก.) วิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี 80 80 80 120 120 120 120 120 120 สังคมศกึ ษา ศาสนา และวัฒนธรรม(ศาสนา 40 40 40 80 80 80 (3 นก.) (3 นก.) (3 นก.) 40 ศีลธรรม จริยธรรม, หน้าท่พี ลเมอื ง วัฒนธรรมและ 160 160 160 (4 นก.) (4 นก.) (4 นก.) 120 120 120 (3 นก.) (3 นก.) (3 นก.) การดำเนนิ ชีวติ ในสงั คม,เศรษฐศาสตร์ ,ภมู ศิ าสตร)์ 40 40 40 40 40 40 40 40 ประวัตศิ าสตร์ สุขศกึ ษาและพลศกึ ษา 40 40 40 80 80 80 (1 นก.) (1 นก.) (1 นก.) 80 80 80 ศลิ ปะ 40 40 40 80 80 80 (2นก.) (2 นก.) (2 นก.) 80 80 80 การงานอาชพี 40 40 40 40 40 40 (2นก.) (2 นก.) (2 นก.) 40 40 40 ภาษาตา่ งประเทศ 160 160 160 80 80 80 (1นก.) (1 นก.) (1 นก.) 120 120 120 รวมเวลาเรยี น (พ้ืนฐาน) 840 840 840 840 840 840 (3 นก.) (3 นก.) (3 นก.) รายวิชาเพ่มิ เตมิ ตามความพร้อมและจดุ เน้น 40 ชม./ปี 40 หนา้ ทีพ่ ลเมอื งบูรณาการต้านทจุ ริตศึกษา 880 880 880 40 40 40 40 40 (22 นก.) (22 นก.) (22 นก.) 200 ชม./ปี 40 40 40 รายวชิ าเพิม่ เติมตามจุดเน้นของสถานศกึ ษา (1 นก.) (1 นก.) (1 นก.)  กจิ กรรมพัฒนาผเู้ รยี น 160 160 160 - กจิ กรรมแนะแนว - ลูกเสอื เนตรนารี 120 120 120 120 120 120 (4 นก.) (4 นก.) (4 นก.) - ชมุ นมุ 40 40 40 40 40 40 - เพ่ือสังคมและสาธารณประโยชน์ 40 40 40 40 40 40 120 120 120 รวมเวลาเรียนทัง้ หมด 30 30 30 30 30 30 หมายเหตุ รายวิชาซอ่ มเสรมิ 10 10 10 10 10 10 40 40 40 ภาษาไทย คณิตศาสตร์ 1,000 ชว่ั โมง/ปี 200 40 40 40 คอมพิวเตอร์ 200 200 200 200 200 40 สังคมศกึ ษา ศาสนา และวฒั นธรรม - - - 40 40 40 25 25 25 สขุ ศึกษาและพลศึกษา - - - 40 40 40 ศิลปะ 40 40 40 40 40 - 15 15 15 การงานอาชพี 40 40 40 - - - ภาษาองั กฤษ 40 40 40 - - - 1,200 ชว่ั โมง/ปี 40 40 40 - - 40 - - - 40 40 40 40 40 40 40 40 หลกั สูตรสถานศึกษา กลมุ่ สาระการเรียนรู้วทิ ยาศาสตร์และเทคโนโลยี โรงเรียนวดั วงั น้าเขียว

5 โครงสรา้ งหลกั สูตร ระดับช้ันประถมศึกษา ปรับปรงุ ปกี ารศึกษา 2564 ชนั้ ประถมศกึ ษาปีท่ี 1 เวลาเรียน รายวิชา/กิจกรรม (ชม./ (ชม./ปี) สัปดาห)์ รายวชิ าพืน้ ฐาน 21 840 ท11101 ภาษาไทย 5 200 ค11101 คณติ ศาสตร์ 5 200 ว11101 วทิ ยาศาสตร์และเทคโนโลยี 2 80 ส11101 สังคมศึกษา ศาสนา และวฒั นธรรม 1 40 ส11102 ประวัตศิ าสตร์ 1 40 พ11101 สขุ ศึกษาและพลศึกษา 1 40 ศ11101 ศลิ ปะ 1 40 ง11101 การงานอาชีพ 1 40 อ11101 ภาษาต่างประเทศ (ภาษาอังกฤษพน้ื ฐาน) 4 160 กจิ กรรมพฒั นาผ้เู รยี น 3 120 - แนะแนว 1 40 - ลกู เสือ/เนตรนารี 1 40 - ชุมนมุ 30 ชม./ปี - กิจกรรมเพื่อสงั คมและสาธารณประโยชน์ 10 ชม./ปี รายวิชาเพิม่ เติม 1 40 ส11231 หน้าทพ่ี ลเมืองบรู ณาการตา้ นทจุ รติ ศกึ ษา 1 40 รวมเวลาเรยี นตามหลักสูตร 25 ชม. 1,000 ชม./ปี รายวชิ าซ่อมเสริม 5 200 คอมพวิ เตอร์ 1 40 สังคมศึกษา ศาสนา และวฒั นธรรม 1 40 สขุ ศกึ ษาและพลศึกษา 1 40 ศิลปะ 1 40 ภาษาอังกฤษ 1 40 หลกั สูตรสถานศึกษา กลุ่มสาระการเรียนรู้วิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี โรงเรียนวดั วงั น้าเขยี ว

6 โครงสร้างหลกั สูตร ระดับช้ันประถมศกึ ษา ปรบั ปรุง ปีการศึกษา 2564 ชน้ั ประถมศึกษาปที ี่ 2 เวลาเรยี น รายวิชา/กิจกรรม (ชม./ (ชม./ป)ี สัปดาห)์ รายวชิ าพื้นฐาน 21 840 ท12101 ภาษาไทย 5 200 ค12101 คณิตศาสตร์ 5 200 ว12101 วิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี 2 80 ส12101 สงั คมศึกษา ศาสนา และวฒั นธรรม 1 40 ส12102 ประวตั ศิ าสตร์ 1 40 พ12101 สุขศึกษาและพลศึกษา 1 40 ศ12101 ศิลปะ 1 40 ง12101 การงานอาชีพ 1 40 อ12101 ภาษาต่างประเทศ (ภาษาอังกฤษพน้ื ฐาน) 4 160 กจิ กรรมพฒั นาผู้เรียน 3 120 - แนะแนว 1 40 - ลกู เสอื /เนตรนารี 1 40 - ชุมนมุ 30 ชม./ปี - กิจกรรมเพื่อสังคมและสาธารณประโยชน์ 10 ชม./ปี รายวชิ าเพิ่มเติม 1 40 ส12232 หน้าทพ่ี ลเมืองบรู ณาการตา้ นทจุ ริตศึกษา 1 40 รวมเวลาเรียนตามหลักสูตร 25 ชม. 1,000 ชม./ปี รายวชิ าซ่อมเสริม 5 200 คอมพิวเตอร์ 1 40 สงั คมศึกษา ศาสนา และวัฒนธรรม 1 40 สขุ ศกึ ษาและพลศึกษา 1 40 ศลิ ปะ 1 40 ภาษาองั กฤษ 1 40 หลกั สูตรสถานศึกษา กลมุ่ สาระการเรียนรู้วิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี โรงเรียนวดั วงั น้าเขียว

7 โครงสร้างหลกั สูตร ระดับช้ันประถมศกึ ษา ปรบั ปรุง ปีการศึกษา 2564 ชน้ั ประถมศึกษาปที ี่ 3 เวลาเรยี น รายวิชา/กิจกรรม (ชม./ (ชม./ป)ี สัปดาห)์ รายวชิ าพื้นฐาน 21 840 ท13101 ภาษาไทย 5 200 ค13101 คณิตศาสตร์ 5 200 ว13101 วิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี 2 80 ส13101 สงั คมศึกษา ศาสนา และวฒั นธรรม 1 40 ส13102 ประวตั ศิ าสตร์ 1 40 พ13101 สุขศึกษาและพลศึกษา 1 40 ศ13101 ศิลปะ 1 40 ง13101 การงานอาชีพ 1 40 อ13101 ภาษาต่างประเทศ (ภาษาอังกฤษพน้ื ฐาน) 4 160 กจิ กรรมพฒั นาผู้เรียน 3 120 - แนะแนว 1 40 - ลกู เสอื /เนตรนารี 1 40 - ชุมนมุ 30 ชม./ปี - กิจกรรมเพื่อสังคมและสาธารณประโยชน์ 10 ชม./ปี รายวชิ าเพิ่มเติม 1 40 ส13233 หน้าทพ่ี ลเมืองบรู ณาการตา้ นทจุ ริตศึกษา 1 40 รวมเวลาเรียนตามหลักสูตร 25 ชม. 1,000 ชม./ปี รายวชิ าซ่อมเสริม 5 200 คอมพิวเตอร์ 1 40 สงั คมศึกษา ศาสนา และวัฒนธรรม 1 40 สขุ ศกึ ษาและพลศึกษา 1 40 ศลิ ปะ 1 40 ภาษาองั กฤษ 1 40 หลกั สูตรสถานศึกษา กลมุ่ สาระการเรียนรู้วิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี โรงเรียนวดั วงั น้าเขียว

8 โครงสรา้ งหลกั สตู ร ระดับช้ันประถมศกึ ษาปรับปรุง ปกี ารศกึ ษา 2564 ชัน้ ประถมศึกษาปีท่ี 4 รายวิชา/กจิ กรรม เวลาเรียน (ชม./สัปดาห์) (ชม./ปี) รายวชิ าพน้ื ฐาน 21 840 ท14101 ภาษาไทย 4 160 ค14101 คณติ ศาสตร์ 4 160 ว14101 วิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี 3 120 ส14101 สงั คมศึกษา ศาสนา และวัฒนธรรม 2 80 ส14102 ประวตั ศิ าสตร์ 1 40 พ14101 สุขศกึ ษาและพลศึกษา 2 80 ศ14101 ศิลปะ 2 80 ง14101 การงานอาชีพ 1 40 อ14101 ภาษาตา่ งประเทศ (ภาษาอังกฤษพน้ื ฐาน) 2 80 กจิ กรรมพฒั นาผเู้ รียน 3 120 - แนะแนว 1 40 - ลูกเสือ/เนตรนารี 1 40 - ชมุ นมุ - กิจกรรมเพ่ือสังคมและสาธารณประโยชน์ 30 ชม./ปี 10 ชม./ปี รายวิชาเพิม่ เติม 1 40 ส14234 หน้าทีพ่ ลเมืองบูรณาการตา้ นทุจรติ ศกึ ษา 1 40 รวมเวลาเรยี นตามหลกั สูตร 25 ชม. 1,000 ชม./ปี รายวิชาซ่อมเสริม 5 200 ภาษาไทย 1 40 คณิตศาสตร์ 1 40 คอมพวิ เตอร์ 1 40 งานอาชีพ 1 40 ภาษาองั กฤษ 1 40 หลกั สูตรสถานศึกษา กล่มุ สาระการเรียนรู้วิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี โรงเรียนวดั วงั น้าเขียว

9 โครงสรา้ งหลักสตู ร ระดับชั้นประถมศึกษาปรับปรงุ ปกี ารศึกษา 2564 ช้ันประถมศกึ ษาปที ี่ 5 รายวิชา/กิจกรรม เวลาเรยี น (ชม./สัปดาห์) (ชม./ป)ี รายวิชาพนื้ ฐาน 21 840 ท15101 ภาษาไทย 4 160 4 160 ค15101 คณิตศาสตร์ 3 120 2 80 ว15101 วิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี 1 40 2 80 ส15101 สังคมศึกษา ศาสนา และวัฒนธรรม 2 80 1 40 ส15102 ประวัติศาสตร์ 2 80 3 120 พ15101 สขุ ศึกษาและพลศึกษา 1 40 1 40 ศ15101 ศลิ ปะ 30 ชม./ปี ง15101 การงานอาชพี 10 ชม./ปี 1 40 อ15101 ภาษาตา่ งประเทศ (ภาษาอังกฤษพ้นื ฐาน) 1 40 25 ชม. 1,000 ชม./ปี กิจกรรมพฒั นาผเู้ รยี น 5 200 1 40 - แนะแนว 1 40 1 40 - ลกู เสอื /เนตรนารี 1 40 1 40 - ชมุ นุม - กจิ กรรมเพื่อสงั คมและสาธารณประโยชน์ รายวชิ าเพม่ิ เติม ส15235 หน้าท่พี ลเมืองบรู ณาการต้านทุจริตศึกษา รวมเวลาเรยี นตามหลักสูตร รายวิชาซ่อมเสริม ภาษาไทย คณติ ศาสตร์ คอมพวิ เตอร์ งานอาชพี ภาษาอังกฤษ หลกั สูตรสถานศึกษา กลมุ่ สาระการเรียนรู้วทิ ยาศาสตร์และเทคโนโลยี โรงเรียนวดั วงั น้าเขยี ว

10 โครงสรา้ งหลกั สูตร ระดับชั้นประถมศกึ ษา ปรับปรุง ปีการศึกษา 2564 ช้ันประถมศึกษาปีที่ 6 เวลาเรยี น รายวชิ า/กจิ กรรม (ชม./ (ชม./ป)ี สัปดาห)์ รายวชิ าพน้ื ฐาน 21 840 ท16101 ภาษาไทย 4 160 ค16101 คณิตศาสตร์ 4 160 ว16101 วทิ ยาศาสตร์และเทคโนโลยี 3 120 ส16101 สงั คมศึกษา ศาสนา และวฒั นธรรม 2 80 ส16102 ประวัตศิ าสตร์ 1 40 พ16101 สุขศกึ ษาและพลศึกษา 2 80 ศ16101 ศิลปะ 2 80 ง16101 การงานอาชีพ 1 40 อ16101 ภาษาตา่ งประเทศ (ภาษาอังกฤษพน้ื ฐาน) 2 80 กจิ กรรมพัฒนาผเู้ รียน 3 120 - แนะแนว 1 40 - ลกู เสอื /เนตรนารี 1 40 - ชมุ นมุ 30 ชม./ปี - กิจกรรมเพ่ือสังคมและสาธารณประโยชน์ 10 ชม./ปี รายวิชาเพ่ิมเติม 1 40 ส16236 หนา้ ทพี่ ลเมืองบูรณาการต้านทุจรติ ศกึ ษา 1 40 รวมเวลาเรยี นตามหลักสูตร 25 ชม. 1,000 ชม./ปี รายวิชาซ่อมเสริม 5 200 ภาษาไทย 1 40 คณิตศาสตร์ 1 40 คอมพิวเตอร์ 1 40 งานอาชีพ 1 40 ภาษาองั กฤษ 1 40 หลกั สูตรสถานศึกษา กลุม่ สาระการเรียนรู้วิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี โรงเรียนวดั วงั น้าเขียว

11 โครงสรา้ งหลักสตู ร ระดับชั้นมัธยมศกึ ษา ปรบั ปรุง ปกี ารศึกษา 2564 ชน้ั มัธยมศกึ ษาปที ี่ 1 มัธยมศึกษาปีท่ี 1 ภาคเรยี นที่ 1 มธั ยมศึกษาปที ี่ 1 ภาคเรียนที่ 2 รายวชิ า/กจิ กรรม เวลาเรยี น รายวชิ า/กิจกรรม เวลาเรยี น สัปดาห์ ภาคเรยี น สปั ดาห์ ภาคเรยี น ชม. นก. ชม. ชม. นก. ชม. รายวิชาพ้นื ฐาน 22 11 440 รายวิชาพนื้ ฐาน 22 11 440 ท21101 ภาษาไทย 1 3 1.5 60 ท21102 ภาษาไทย 2 3 1.5 60 ค21101 คณิตศาสตร์ 1 3 1.5 60 ค21102 คณิตศาสตร์ 2 3 1.5 60 ว21102 วิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี 2 4 ว21101 วิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี 1 4 2.0 80 2.0 80 ส21101 สงั คมศกึ ษา 1 3 1.5 60 ส21103 สงั คมศึกษา 2 3 1.5 60 ส21102 ประวัติศาสตร์ 1 1 0.5 20 ส21104 ประวัตศิ าสตร์ 2 1 0.5 20 พ21101 สุขศึกษาและพลศกึ ษา 1 พ21102 สุขศกึ ษาและพลศกึ ษา 2 2 1.0 40 2 10 40 ศ21101 ศิลปะ 1 2 1.0 40 ศ21102 ศลิ ปะ 2 2 1.0 40 ง21101 การงานอาชพี 1 ง21102 การงานอาชพี 2 อ21101 ภาษาอังกฤษ 1 1 0.5 20 อ21102 ภาษาองั กฤษ 2 1 0.5 20 3 1.5 60 3 1.5 60 กิจกรรมพฒั นาผ้เู รยี น 3 60 กจิ กรรมพฒั นาผเู้ รยี น 3 60 - แนะแนว 1 20 - แนะแนว 1 20 - ลูกเสอื /เนตรนาร/ี ยวุ กาชาด 1 20 - ลกู เสอื /เนตรนารี/ยวุ กาชาด 1 20 - ชมุ นุม................. 12 - ชุมนุม................. 13 - กจิ กรรมเพือ่ สงั คมและสาธารณประโยชน์ 8 - กิจกรรมเพ่อื สงั คมและสาธารณประโยชน์ 7 รายวิชาเพ่มิ เตมิ 5 2.5 100 รายวชิ าเพมิ่ เติม 5 2.5 100 ว21201 สะเต็มศกึ ษา 1 2 1.0 40 ว21202 สะเต็มศกึ ษา 2 2 10 40 ส21231 หน้าทพ่ี ลเมือง 1 1 0.5 20 ส21232 หน้าท่พี ลเมือง 2 1 0.5 20 ง21203 ไสเ้ ดอื น 1 2 1.0 40 ง21204 ไสเ้ ดอื น 2 2 1.0 40 รวมเวลาเรยี นท้งั สนิ้ 30 13.5 600 รวมเวลาเรยี นทงั้ สนิ้ 30 13.5 600 หลกั สูตรสถานศึกษา กลุ่มสาระการเรียนรู้วิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี โรงเรียนวดั วงั น้าเขยี ว

12 โครงสรา้ งหลักสูตร ระดับชั้นมธั ยมศกึ ษาปรับปรุง ปีการศึกษา 2564 ชน้ั มธั ยมศึกษาปีที่ 2 มธั ยมศึกษาปีท่ี 2 ภาคเรียนท่ี 1 มธั ยมศกึ ษาปีท่ี 2 ภาคเรียนท่ี 2 รายวิชา/กจิ กรรม เวลาเรยี น รายวชิ า/กิจกรรม เวลาเรยี น สปั ดาห์ ภาคเรยี น สัปดาห์ ภาคเรยี น ชม. นก. ชม. ชม. นก. ชม. รายวชิ าพืน้ ฐาน 22 11 440 รายวิชาพนื้ ฐาน 22 11 440 ท22101 ภาษาไทย 3 3 1.5 60 ท22102 ภาษาไทย 4 3 1.5 60 ค22101 คณิตศาสตร์ 3 3 1.5 60 ค22102 คณติ ศาสตร์ 4 3 1.5 60 ว22101 วทิ ยาศาสตร์และเทคโนโลยี 3 4 2.0 80 ว22102 วทิ ยาศาสตร์และเทคโนโลยี 4 4 2.0 80 ส22101 สังคมศกึ ษา 3 3 1.5 60 ส22103 สังคมศกึ ษา 4 3 1.5 60 ส22102 ประวตั ิศาสตร์ 3 1 0.5 20 ส22104 ประวตั ศิ าสตร์ 4 1 0.5 20 พ22101 สุขศกึ ษาและพลศกึ ษา 3 2 1.0 40 พ22102 สขุ ศกึ ษาและพลศกึ ษา 4 2 1.0 40 ศ22101 ศิลปะ 3 2 1.0 40 ศ22102 ศลิ ปะ 4 2 1.0 40 ง22101 การงานอาชพี 3 1 0.5 20 ง22102 การงานอาชีพ 4 1 0.5 20 อ22101 ภาษาองั กฤษ 3 3 1.5 60 อ22102 ภาษาองั กฤษ 4 3 1.5 60 กจิ กรรมพัฒนาผู้เรยี น 3 60 กจิ กรรมพฒั นาผ้เู รียน 3 60 - แนะแนว 1 20 - แนะแนว 1 20 - ลกู เสือ/เนตรนารี/ยวุ กาชาด 1 20 - ลกู เสือ/เนตรนารี/ยวุ กาชาด 1 20 - ชุมนมุ ................. 12 - ชุมนมุ ................. 13 - กจิ กรรมเพอื่ สังคมและสาธารณประโยชน์ 8 - กิจกรรมเพือ่ สังคมและสาธารณประโยชน์ 7 รายวชิ าเพิ่มเติม 5 2.5 100 รายวิชาเพ่ิมเตมิ 5 2.5 100 ส22233 หนา้ ท่ีพลเมือง 3 1 0.5 20 ส22234 หน้าทพ่ี ลเมอื ง 4 1 0.5 20 ง22201 ศลิ ปะการจดั ดอกไม้ 1 2 1.0 40 ง22202 ศลิ ปะการจัดดอกไม้ 2 2 1.0 40 อ22201 2 1.0 40 อ22202 2 1.0 40 Conversation 3 Conversation 4 รวมเวลาเรยี นทั้งสนิ้ 30 13.5 600 รวมเวลาเรยี นทัง้ ส้นิ 30 13.5 600 หลกั สูตรสถานศึกษา กลมุ่ สาระการเรียนรู้วทิ ยาศาสตร์และเทคโนโลยี โรงเรียนวดั วงั น้าเขยี ว

13 โครงสรา้ งหลักสูตร ระดับช้ันมธั ยมศึกษาปรับปรุง ปีการศกึ ษา 2564 ชัน้ มัธยมศึกษาปีท่ี 3 มธั ยมศึกษาปีที่ 3 ภาคเรยี นท่ี 1 มธั ยมศึกษาปที ่ี 3 ภาคเรยี นท่ี 2 เวลาเรยี น รายวชิ า/กิจกรรม เวลาเรียน สัปดาห์ ภาคเรียน รายวชิ า/กจิ กรรม สัปดาห์ ภาคเรียน ชม. นก. ชม. ชม. นก. ชม. รายวิชาพ้ืนฐาน 22 11 440 รายวิชาพ้ืนฐาน 22 11 440 ท23101 ภาษาไทย 5 3 1.5 60 ท23102 ภาษาไทย 6 3 1.5 60 ค23101 คณิตศาสตร์ 5 3 1.5 60 ค23102 คณิตศาสตร์ 6 3 1.5 60 ว23101 วิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี 5 4 2.0 80 ว23102 วิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี 6 4 2.0 80 ส23101 สังคมศึกษา 5 3 1.5 60 ส23103 สงั คมศกึ ษา 6 3 1.5 60 ส23102 ประวัตศิ าสตร์ 5 1 0.5 20 ส23104 ประวตั ิศาสตร์ 6 1 0.5 20 พ23101 สุขศกึ ษาและพลศกึ ษา 5 2 1.0 40 พ23102 สุขศึกษาและพลศึกษา 6 2 1.0 40 ศ23101 ศลิ ปะ 5 2 1.0 40 ศ23102 ศิลปะ 6 2 1.0 40 ง23101 การงานอาชีพ 5 1 0.5 20 ง23102 การงานอาชีพ 6 1 0.5 20 อ23101 ภาษาองั กฤษ 5 3 1.5 60 อ23102 ภาษาองั กฤษ 6 3 1.5 60 กจิ กรรมพัฒนาผเู้ รยี น 3 60 กิจกรรมพัฒนาผเู้ รยี น 3 60 - แนะแนว 1 20 - แนะแนว 1 20 - ลูกเสอื /เนตรนารี/ยวุ กาชาด 1 20 - ลกู เสือ/เนตรนารี/ยวุ กาชาด 1 20 - ชุมนุม................. 12 - ชมุ นุม................. 13 - กิจกรรมเพอื่ สงั คมและสาธารณประโยชน์ 8 - กจิ กรรมเพอ่ื สงั คมและสาธารณประโยชน์ 7 รายวชิ าเพ่ิมเตมิ 5 2.5 100 รายวชิ าเพิ่มเตมิ 5 2.5 100 ส23235 หนา้ ทีพ่ ลเมือง 5 1 0.5 20 ส23236 หนา้ ที่พลเมือง 6 1 0.5 20 ง23201 ศิลปะการแกะสลกั 1 2 1.0 40 ง23202 ศลิ ปะการแกะสลกั 2 2 1.0 40 อ23201 2 1.0 40 อ23202 2 1.0 40 Conversation 5 Conversation 6 รวมเวลาเรียนท้ังส้ิน 30 13.5 600 รวมเวลาเรยี นทงั้ สน้ิ 30 13.5 600 หลกั สูตรสถานศึกษา กล่มุ สาระการเรียนรู้วิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี โรงเรียนวดั วงั น้าเขยี ว

14 กิจกรรมชุมนุม ระดับชน้ั ประถมศึกษาปีที่ 1-3 โรงเรยี นวัดวังน้ำเขียว 1.ชมุ นุมเศรษฐกิจพอเพียง กิจกรรมชุมนุม ระดับช้ันประถมศกึ ษาปีท่ี 4-6 โรงเรียนวัดวงั นำ้ เขียว 1. ชุมนมุ คิดเลขเรว็ 2. ชมุ นมุ A-Math 3. ชมุ นมุ ภาษาองั กฤษ 4. ชมุ นุมสรรคส์ ร้างงานอาชีพ 5. ชมุ นุมจนิ ตนาการร้อยฝนั 6. ชมุ นมุ บาสโลบ 7. ชมุ นุมศิลปะ 8. ชมุ นมุ ฝกึ สมองลองปญั ญา 9. ชุมนมุ KidBright กิจกรรมชุมนุม ระดับชั้นมธั ยมศึกษาตอนตน้ โรงเรียนวัดวังนำ้ เขยี ว 1. ชมุ นุมนักขา่ วน้อย 2. ชมุ นมุ คอมพิวเตอรน์ ่ารู้ 3. ชุมนุมคนรกั กฬี า 4. ชุมนมุ ธนาคารขยะ 5. ชุมนุมภาษาอังกฤษ 6. ชมุ นมุ รู้รักษว์ ถิ ีไทย 7. ชมุ นุมศลิ ป์สร้างสรรค์ 8. ชมุ นมุ คณติ ศาสตร์ 9. ชมุ นมุ เกมมนั ส์ๆ เสรมิ ปญั ญา หลกั สูตรสถานศึกษา กล่มุ สาระการเรียนรู้วิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี โรงเรียนวดั วงั น้าเขยี ว

15 คณุ ภาพผู้เรียน จบช้ันประถมศกึ ษาปีท่ี 3 1. เขา้ ใจลักษณะท่ัวไปของส่ิงมีชีวติ และการดำรงชีวิตของสงิ่ มชี วี ติ รอบตัว 2. เข้าในลักษณะที่ปรากฏ ชนิดและสมบัติบางประการของวัสดุที่ใช้ทำวัตถุและการเปล่ียนแปลง ของวัสดุรอบตวั 3. เข้าใจการดึง การผลัก แรงแม่เหล็ก และผลของแรงท่ีมีต่อการเปล่ียนแปลงการเคล่ือนที่ของวัตถุ พลังงานไฟฟา้ และผลติ ไฟฟา้ การเกดิ เสียง แสง และการมองเห็น 4. เข้าใจปรากฏการณ์ของดวงอาทิตย์ ดวงจันทร์ และดาว ปรากฏการณ์ขึ้นและตกของดวงอาทิตย์ การเกิดกลางวันกลางคืน การกำหนดทิศ ลักษณะของหิน การจำแนกชนิดดินและการใช้ประโยชน์ ลักษณะ และความสำคัญของอากาศ การเกดิ ลม ประโยชน์และโทษของลม 5. ตั้งคำถามหรือกำหนดปัญหาเก่ียวกับส่ิงท่ีจะเรียนตามที่กำหนดให้หรือตามความสนใจ สังเกต สำรวจตรวจสอบโดยใช้เคร่ืองมือย่างง่าย รวบรวมข้อมูล บันทึก และอธิบายผลการสำรวจตรวจสอบด้วยการ เขยี นหรอื วาดภาพ และสอ่ื สารส่งิ ทเ่ี รียนรดู้ ว้ ยการเล่าเรอื่ ง หรอื ดว้ ยการแสดงทา่ ทางเพือ่ ให้ผ้อู น่ื เขา้ ใจ 6. แก้ปัญหาอย่างง่ายโดยใช้ขั้นตอนการแก้ปัญหา มีทักษะในการใช้เทคโนโลยีสารสนเทศและการ สอ่ื สารเบือ้ งต้น รักษาขอ้ มูลส่วนตวั 7. แสดงความกระตือรือร้น สนใจท่ีจะเรียนรู้มีความคิดสร้างสรรค์เกี่ยวกับเร่ืองท่ีจะศึกษาตามที่ กำหนดใหห้ รือตามความสนใจ มสี ่วนรว่ มในการแสดงความคิดเห็น และยอมรบั ฟงั ความคดิ เห็นผูอ้ ่ืน 8. แสดงความรับผิดชอบด้วยการทำงานท่ีได้รับมอบหมายอย่างมุ่งม่ัน รอบคอบ ประหยัด ซื่อสัตย์ จนงานลลุ ่วงเป็นผลสำเร็จ และทำงานรว่ มกบั ผอู้ นื่ อยา่ งมีความสขุ 9. ตระหนักถงึ ประโยชนข์ องการใช้ความร้แู ละกระบวนการทางวิทยาศาสตร์ในการดำรงชวี ิต ศกึ ษา ความรู้เพิ่มเติม ทำโครงงานหรอื ชิ้นงานตามทก่ี ำหนดให้หรอื ตามความสนใจ หลกั สูตรสถานศึกษา กลมุ่ สาระการเรียนรู้วิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี โรงเรียนวดั วงั น้าเขียว

16 จบช้นั ประถมศึกษาปีท่ี 6 1.เข้าใจโครงสร้าง ลักษณะเฉพาะการปรับตัวของสิ่งมีชีวิต รวมทั้งความสัมพันธ์ของส่ิงมีชีวิตใน แหล่งท่อี ยู่ การทำหนา้ ที่ของส่วนตา่ งๆ ของพชื และการทำงานของระบบยอ่ ยอาหารของมนุษย์ 2. เข้าใจสมบัติและการจำแนกกลุ่มของวัสดุ สถานะและการเปล่ียนสถานะของสสาร การละลาย การเปล่ียนแปลงทางเคมี การเปลยี่ นแปลงทผี่ นั กลบั ไมไ่ ด้ และการแยกสารอย่างงา่ ย 3. เข้าใจลักษณะของแรงโน้มถ่วงของโลก แรงลัพธ์ แรงเสียดทาน แรงไฟฟ้าและผลของแรงต่างๆ ผลท่ีเกิดจากแรงกระทำต่อวัตถุ ความดนั หลกั การทีม่ ตี ่อวัตถุ วงจรไฟฟ้าอย่างงา่ ย ปรากฏการณ์เบื้องต้นของ เสยี ง และแสง 4. เข้าใจปรากฏการณ์การขึ้นและตก รวมถึงการเปล่ียนแปลงรูปร่างปรากฏของดวงจันทร์ องค์ประกอบของระบบสุริยะ คาบการโคจรของดาวเคราะห์ ความแตกต่างของ ดาวเคราะห์และดาวฤกษ์ การข้ึนและตกของกลุ่มดาวฤกษ์ การใช้แผนที่ดาว การเกิดอุปราคา พัฒนาการและประโยชน์ของเทคโนโลยี อวกาศ 5. เข้าใจลักษณะของแหล่งน้ำ วัฏจักรน้ำ กระบวนการเกิดเมฆ หมอก น้ำค้าง น้ำค้างแข็ง หยาดน้ำฟ้า กระบวนการเกิดหิน วัฏจักรหิน การใช้ประโยชน์หินและแร่ การเกิดซากดึกดำบรรพ์ การเกิด ลมบก ลมทะเล มรสุม ลักษณะและผลกระทบของภัยธรรมชาติ ธรณีพิบัติภัย การเกิดและผลกระทบของ ปรากฏการณ์เรือนกระจก 6. ค้นหาข้อมูลอยา่ งมปี ระสทิ ธิภาพและประเมินความน่าเชื่อถือ ตดั สินใจเลือกข้อมูลใช้เหตุผลเชิง ตรรกะในการแก้ปญั หา ใช้เทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสารในการทำงานรว่ มกันเข้าใจสทิ ธิและหน้าที่ของ ตน เคารพสิทธิของผอู้ นื่ 7. ต้ังคำถามหรือกำหนดปัญหาเก่ียวกับส่ิงท่ีจะเรียนตามที่กำหนดให้หรือตามความสนใจ คาดคะเนคำตอบหลายแนวทาง สร้างสมมติฐานที่สอดคล้องกับคำถามหรือปัญหาท่ีจะสำรวจตรวจสอบ วางแผนและสำรวจตรวจสอบโดยใช้เครื่องมือ อุปกรณ์ และเทคโนโลยีสารสนเทศท่ีเหมาะสม ในการเก็บ รวบรวมขอ้ มูลทัง้ เชงิ ปรมิ าณและคุณภาพ 8. วิเคราะห์ข้อมูล ลงความเห็น และสรุปความสัมพันธ์ของข้อมูลท่ีมาจากการสำรวจตรวจสอบใน รปู แบบที่เหมาะสม เพื่อสือ่ สารความรู้จากผลการสำรวจตรวจสอบไดอ้ ย่างมีเหตผุ ลและหลกั ฐานอ้างอิง 9. แสดงถึงความสนใจ มุ่งมั่น ในสิ่งที่จะเรียนรู้ มีความคิดสร้างสรรค์เกี่ยวกับเรื่องที่จะศึกษาตาม ความสนใจของตนเอง แสดงความคิดเห็นของตนเอง ยอมรับในข้อมูลท่ีมีหลักฐานอ้างอิง และรับฟังความ คิดเหน็ ผอู้ ืน่ 10. แสดงความรับผิดชอบด้วยการทำงานที่ได้มอบหมายอย่างมุ่งม่ัน รอบคอบ ประหยัด ซื่อสัตย์ จนงานลลุ ว่ งเปน็ ผลสำเรจ็ และทำงานรว่ มกบั ผอู้ ืน่ อย่างสรา้ งสรรค์ หลกั สูตรสถานศึกษา กลุ่มสาระการเรียนรู้วิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี โรงเรียนวดั วงั น้าเขยี ว

17 11. ตระหนักในคุณค่าของความรู้วิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี ใช้ความรู้และกระบวนการทาง วิทยาศาสตร์ในการดำรงชีวิต แสดงความช่ืนชม ยกย่อง และเคารพสิทธิในผลงานของผู้คิดค้นและศึกษากา ความรเู้ พิม่ เติม ทำโครงงานหรอื ชิน้ งานตามที่กำหนดให้หรือตามความสนใจ 12. แสดงถึงความซาบซึ้ง ห่วงใย แสดงพฤติกรรมเกี่ยวกับการใช้ การดูและรักษา ทรพั ยากรธรรมชาตแิ ละส่ิงแวดล้อมอย่างรู้คมุ ค่า จบช้นั มัธยมศึกษาปีท่ี 3 1.เข้าใจลักษณะและองค์ประกอบที่สำคัญของเซลล์ส่ิงมีชีวิต ความสัมพันธ์ของการทานของระบบ ต่างๆ ในร่างการมนุษย์ การดำรงชีวิตของพืช การถ่ายทอดลักษณะทางพันธุกรรม การเปล่ียนแปลงของยีน หรือโครโมโซม และตัวอย่างโรคท่ีเกิดจากการเปล่ียนแปลงทางพันธุกรรม ประโยชน์และผลกระทบ ของ สง่ิ มีชีวิตดดั แปรพันธกุ รรม ความหลากหลายทางชวี ภาพ ปฏิสมั พันธข์ ององค์ประกอบของระบบนิเวศและการ ถา่ ยทอดพลังงานในสง่ิ มชี วี ติ 2. เข้าใจองค์ประกอบและสมบัติของธาตุ สารละลาย สารบริสุทธ์ิ สารผสม หลักการแยกสาร การเปล่ียนแปลงของสารในรูปแบบของการเปล่ียนสถานะ การเกิดสารละลายและการเกิดปฏิกิริยาเคมี และ สมบตั ทิ างกายภาพ และการใช้ประโยชน์ของวสั ดปุ ระเภทพอลเิ มอร์ เซรามิก และวัสดผุ สม 3. เข้าใจการเคลื่อนท่ี แรงลัพธ์และผลแรงลัพธ์กระทำต่อวัสดุ โมเมนต์ของแรง แรงท่ีปรากฏใน ชีวิตประจำวัน สนามของแรง ความสัมพันธ์ของงาน พลังงานจลน์ พลังงานศักย์โน้มถ่วง กฎการอนุรักษ์ พลังงาน การถ่ายโอนพลังงาน สมดุลความร้อน ความสัมพันธ์ของปริมาณทางไฟฟ้าการต่อวงจรไฟฟ้าใน บา้ น พลงั งานไฟฟ้า และหลกั การเบอื้ งต้นของวงจรอิเลก็ ทรอนิกส์ 4. เข้าใจสมบัติของคลื่น และลกั ษณะของคลื่นแบบต่างๆ แสง การสะทอ้ น การหักเหของแสงและ ทศั นอุปกรณ์ 5. เข้าใจการโคจรของดาวเคราะห์รอบดวงอาทิตย์ การเกิดฤดู การเคลื่อนท่ีปรากฏของดวง อาทิตย์ การเกิดข้างขึ้นข้างแรม การขึ้นและตกของดวงจันทร์ การเกิดน้ำข้ึนน้ำลง ประโยชน์ของเทคโนโลยี อวกาศ และความก้าวหนา้ ของโครงการสำรวจอวกาศ 6. เข้าใจลักษณะของชั้นบรรยากาศ องคป์ ระกอบและปัจจัยท่ีมีผลต่อลมฟ้าอากาศ การเกิดและ ผลกระทบของพายุฟ้าคะนอง พายุหมุนเขตร้อย การพยากรณ์อากาศ สถานการณ์การเปล่ียน แปลง ภูมิอากาศโลก กระบวนการเกิดเช้ือเพลิงซากดึกดำบรรพ์และการใช้ประโยชน์พลังงานทดแทนและการใช้ ประโยชน์ ลักษณะโครงสร้างภายในโลก กระบวนการเปลี่ยนแปลงทางธรณีวิทยาบนผิวโลก ลักษณะชั้นหน้า ตัดดนิ กระบวนการเกิดและผลกระทบของภัยธรรมชาติ และธรณีพิบตั ิภัย 7. เข้าใจแนวคิดหลักของเทคโนโลยี ได้แก่ ระบบทางเทคโนโลยี การเปล่ียนแปลงของเทคโนโลยี ความสัมพันธ์ระหว่างเทคโนโลยีกับศาสตร์อื่น โดยเฉพาะวิทยาศาสตร์ หรือ คณิตศาสตร์ วิเคราะห์ เปรียบเทียบ และตัดสินใจเพ่ือเลือกใช้เทคโนโลยี โดยคำนึงถึงผลกระทบต่อชีวิต สังคม และสิ่งแวดล้อม หลกั สูตรสถานศึกษา กล่มุ สาระการเรียนรู้วทิ ยาศาสตร์และเทคโนโลยี โรงเรียนวดั วงั น้าเขยี ว

18 ประยุกตใ์ ชค้ วามรู้ ทักษะ และทรัพยากรเพื่อออกแบบและสร้างผลงานสำหรับการแก้ปัญหาในชีวติ ประจำวัน หรอื การประกอบอาชีพ โดยใช้กระบวนการออกแบบเชิงวศิ วกรรม รวมทง้ั เลือกใช้วสั ดุ อุปกรณ์ และเคร่ืองมือ ได้อย่างถูกตอ้ ง เหมาะสม ปลอดภัย รวมทัง้ คำนงึ ถึงทรพั ย์สินทางปัญญา 8. นำข้อมูลปฐมภมู ิเข้าสู่ระบบคอมพิวเตอร์ วิเคราะห์ ประเมิน นำเสนอข้อมูลและสารสนเทศได้ ตามวัตถุประสงค์ใช้ทักษะการคิดเชิงคำนวณในการแก้ปัญหาที่พบในชีวิตจริง และเขียนโปรแกรมอย่างง่ายเพื่อ ช่วยในการแก้ปญั หา ใช้เทคโนโลยีสารสนเทศและการสือ่ สารอยา่ งรเู้ ท่าทนั และรับผดิ ชอบต่อสังคม 9. ตงั้ คำถามหรือกำหนดปญั หาที่เชอ่ื มโยงกบั พยานหลักฐาน หรือหลักการทางวทิ ยาศาสตร์ทีม่ กี าร กำหนดและควบคุมตัวแปร คิดคาดคะเนคำตอบหลายแนว สร้างสมมติฐานท่ีสามารถนำไปสู่การสำรวจ ตรวจสอบ ออกแบบและลงมือสำรวจตรวจสอบโดยใช้วัสดุและเครื่องมือที่เหมาะสม เลือกใช้เคร่ืองมื อและ เทคโนโลยีสารสนเทศที่เหมาะสมในการเก็บรวบรวมข้อมูลทั้งในเชิงปริมาณและคุณภาพที่ได้ผลเท่ียงตรงและ ปลอดภัย 10. วิเคราะห์และประเมินความสอดคล้องของข้อมูลที่ได้จากการสำรวจตรวจสอบจาก พยานหลักฐาน โดยใช้ความรู้และหลักการทางวิทยาศาสตร์ในการแปลความหมายและลงข้อสรุปและส่ือสาร ความคิด ความรู้ จากผลการสำรวจตรวจสอบหลากหลายรูปแบบ หรือใช้เทคโนโลยีสารสนเทศเพ่ือให้ผู้อื่น เข้าใจไดอ้ ยา่ งเหมาะสม 11. แสดงถึงความสนใจ มุ่งมั่น รับผิดชอบ รอบคอบ และซื่อสัตย์ ในส่ิงท่ีจะเรียนรู้มีความคิด สร้างสรรค์เก่ียวกับเรื่องท่ีจะศึกษาตามความสนใจของตนเอง โดยใช้เคร่ืองมือและวิธีการที่ให้ได้ผลถูกต้อง เชื่อถือได้ ศึกษาค้นคว้าเพ่ิมเติมจากแหล่งความรู้ต่างๆ แสดงความคิดเห็นของตนเอง รับฟังความคิดเห็นผู้อ่ืน และยอมรับการเปล่ียนแปลงความรู้ที่คน้ พบ เมอ่ื มขี ้อมูลและประจกั ษพ์ ยานใหม่เพิ่มขน้ึ หรือโตแ้ ยง้ จากเดิม 12. ตระหนักในคุณค่าของความรู้วิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีที่ใช้ชีวิตประจำวันใช้ความรู้และ กระบวนการทางวทิ ยาศาสตร์และเทคโนโลยีในการดำรงชวี ิต และการประกอบอาชีพแสดงความช่ืนชน ยกยอ่ ง และ เคารพสิทธิในผลงานของผู้คิดค้น เข้าใจผลกระทบทั้งด้านบวกและด้านลบของการพัฒนาทางวิทยาศาสตร์ต่อ สิง่ แวดลอ้ มและตอ่ บรบิ ทอน่ื ๆ และศกึ ษาหาความรูเ้ พมิ่ เติม ทำโครงงานหรือสรา้ งชน้ิ งานตามความสนใจ 13. แสดงถึงความซาบซ้ึง ห่วงใย มีพฤติกรรมเกี่ยวกับการดูแลรักษาความสมดุลของระบบนิเวศ และความหลากหลายทางชีวภาพ หลกั สูตรสถานศึกษา กลุ่มสาระการเรียนรู้วทิ ยาศาสตร์และเทคโนโลยี โรงเรียนวดั วงั น้าเขียว

19 ตวั ช้วี ัดและสาระการเรยี นรู้แกนกลาง สาระที่ 1 วทิ ยาศาสตรช์ ีวภาพ มาตรฐาน ว 1.1 เขา้ ใจความหลากหลายของระบบนิเวศ ความสัมพันธร์ ะหวา่ งสิ่งไม่มีชีวิตกบั สงิ่ มชี ีวิต และความสมั พันธ์ระหว่างสิ่งมชี วี ติ กบั ส่งิ มีชีวิตต่าง ๆ ในระบบนเิ วศการถา่ ยทอดพลังงาน การ เปลย่ี นแปลงแทนท่ีในระบบนิเวศ ความหมายของประชากร ปัญหาและผลกระทบที่มีต่อทรัพยากรธรรมชาติ และสง่ิ แวดลอ้ มแนวทางในการอนรุ กั ษ์ทรพั ยากรธรรมชาติและการแก้ไขปัญหาสง่ิ แวดลอ้ มรวมทงั้ นำความรู้ไป ใช้ประโยชน์ ชนั้ ตัวชว้ี ัด สาระการเรียนร้แู กนกลาง ป.1 1. ระบุช่ือพืชและสตั ว์ทอ่ี าศัยอยู่ • บริเวณต่าง ๆ ในท้องถนิ่ เช่น สนามหญ้า ใต้ต้นไม้สวนหยอ่ ม แหล่งน้ำ อาจพบพชื และสัตว์ บรเิ วณตา่ งจากขอ้ มูลทรี่ วบรวมได้ หลายชนดิ อาศยั อยู่ 2. บอกสภาพแวดลอ้ มทเ่ี หมาะสม • บรเิ วณทีแ่ ตกตา่ งกันอาจพบพืชและสตั วแ์ ตกต่างกนั เพราะสภาพแวดล้อมของแตล่ ะบรเิ วณ กบั การดำรงชวี ิต จะมีความเหมาะสมต่อการดำรงชวี ิตของพืชและสัตว์ท่อี าศยั อยใู่ นแต่ละบริเวณ เช่น สระน้ำ ของสตั วใ์ นบริเวณที่อาศัยอยู่ มนี ้ำเป็นทอ่ี ยู่อาศัยของหอย ปลา สาหรา่ ย เป็นที่หลบภัยและมีแหลง่ อาหารของหอยและ ปลา บริเวณต้นมะมว่ งมีตน้ มะม่วงเป็นแหลง่ ที่อยูแ่ ละมอี าหารสำหรับกระรอกและมด • ถา้ สภาพแวดลอ้ มในบริเวณทพ่ี ชื และสัตว์อาศัยอยมู่ กี ารเปล่ียนแปลง จะมีผลตอ่ การ ดำรงชีวิตของพืชและสัตว์ ป.2 - - ป.3 - - ป.4 - - ป.5 1. บรรยายโครงสรา้ งและลักษณะ • ส่งิ มชี ีวติ ท้งั พืชและสัตว์มีโครงสร้างและลักษณะที่เหมาะสมในแต่ละแหลง่ ท่อี ยู่ ซึ่งเป็นผล ของสิง่ มีชวี ติ มาจากการปรบั ตัวของสง่ิ มชี ีวิต เพอื่ ให้ดำรงชีวิตและอยู่รอดไดใ้ นแต่ละแหล่งท่ีอยู่ เช่น ท่เี หมาะสมกับการดำรงชีวิต ซ่งึ ผักตบชวามีชอ่ งอากาศในกา้ นใบ ชว่ ยใหล้ อยนำ้ ได้ ต้นโกงกางท่ีขน้ึ อยู่ในปา่ ชายเลนมรี ากค้ำ เปน็ ผลมาจาก จนุ ทำใหล้ ำต้นไม่ลม้ ปลามีครีบชว่ ยในการเคล่ือนที่ในน้ำ การปรับตัวของส่งิ มีชีวิตในแต่ละ แหล่งท่ีอยู่ ป.5 2. อธิบายความสัมพันธร์ ะหว่าง • ในแหล่งท่ีอยู่หนึง่ ๆ สงิ่ มีชีวิตจะมีความสัมพนั ธ์ซง่ึ กนั และกันและสมั พันธ์กับสง่ิ ไม่มชี ีวิต สิง่ มชี ีวติ กับสง่ิ มชี ีวิตและ เพื่อประโยชน์ตอ่ การดำรงชีวิต เช่น ความสมั พันธก์ ันดา้ นการกินกันเป็นอาหาร เป็นแหลง่ ที่ ความสมั พันธ์ระหว่างสิง่ มชี วี ิตกบั อยู่อาศัยหลบภยั และเล้ียงดูลูกอ่อน ใชอ้ ากาศในการหายใจ ส่งิ ไมม่ ชี ีวิต เพอ่ื ประโยชนต์ ่อการ • สงิ่ มชี ีวติ มีการกินกันเป็นอาหาร โดยกินตอ่ กนั เป็นทอด ๆ ในรปู แบบของโซอ่ าหาร ทำให้ ดำรงชวี ติ สามารถระบุบทบาทหน้าทขี่ องสงิ่ มชี ีวติ เป็นผู้ผลิตและผู้บรโิ ภค 3. เขียนโซ่อาหารและระบุบทบาท หน้าทขี่ องส่ิงมีชวี ิตทีเ่ ปน็ ผู้ผลติ และผู้บรโิ ภคในโซอ่ าหาร หลกั สูตรสถานศึกษา กลุ่มสาระการเรียนรู้วทิ ยาศาสตร์และเทคโนโลยี โรงเรียนวดั วงั น้าเขียว

20 ชนั้ ตวั ช้ีวัด สาระการเรยี นรู้แกนกลาง 4. ตระหนักในคุณค่าของ สง่ิ แวดลอ้ มทีม่ ีต่อการดำรงชีวิต ของสิ่งมีชวี ติ โดยมีสว่ นร่วมในการ ดูแลรกั ษาสง่ิ แวดลอ้ ม ป.6 - - ม.1 - - ม.2 - - ม.3 1. อธิบายปฏสิ ัมพันธ์ของ • ระบบนิเวศประกอบด้วยองค์ประกอบท่ีมีชีวิตเช่น พืช สัตว์ จุลินทรีย์ และองค์ประกอบที่ องค์ประกอบของ ไม่มีชีวิต เช่น แสง น้ำ อุณหภูมิ แร่ธาตุ แก๊สองค์ประกอบเหล่านี้มีปฏิสัมพันธ์กัน เช่นพืช ระบบนเิ วศที่ไดจ้ ากการสำรวจ ต้องการแสง น้ำ และแก๊สคาร์บอนไดออกไซด์ในการสร้างอาหาร สัตว์ต้องการอาหาร และ สภาพแวดล้อมที่เหมาะสมในการดำรงชีวิต เช่นอุณหภูมิ ความชื้น องคป์ ระกอบทั้งสองส่วน น้ีจะตอ้ งมีความสมั พนั ธก์ นั อยา่ งเหมาะสมระบบนิเวศจงึ จะสามารถคงอยู่ตอ่ ไปได้ 2. อธิบายรปู แบบความสัมพนั ธ์ • สิง่ มชี ีวติ กับสิ่งมีชีวิตมคี วามสมั พันธ์กันในรูปแบบตา่ ง ๆ เช่น ภาวะพึ่งพากนั ภาวะองิ อาศัย ระหว่างสงิ่ มชี ีวติ กับสิง่ มีชีวิต ภาวะเหยื่อกบั ผ้ลู า่ ภาวะปรสิต รปู แบบต่าง ๆ ในแหลง่ ทีอ่ ยู่ • ส่ิงมชี ีวิตชนดิ เดยี วกันที่อาศยั อย่รู ว่ มกันในแหลง่ ทอี่ ยู่เดียวกัน ในช่วงเวลาเดยี วกนั เรียกว่า เดียวกนั ท่ีไดจ้ ากการสำรวจ ประชากร • กลุ่มสง่ิ มชี วี ิตประกอบด้วยประชากรของสงิ่ มีชีวิตหลาย ๆ ชนดิ อาศยั อยูร่ ว่ มกันในแหลง่ ท่ี อยเู่ ดยี วกัน 3. สร้างแบบจำลองในการอธิบาย • กลมุ่ สง่ิ มีชวี ิตในระบบนิเวศแบง่ ตามหนา้ ทีไ่ ด้เป็น3 กลุ่ม ได้แก่ ผผู้ ลติ ผู้บริโภค และผ้ยู อ่ ย ก า ร ถ่ า ย ท อ ด สลายสารอนิ ทรยี ์ สิ่งมชี ีวติ ท้งั 3 กลุ่มน้ี มีความสัมพันธก์ ัน ผผู้ ลิตเป็นสิง่ มีชวี ิตท่สี รา้ งอาหาร พ ลั ง ง า น ใน ส า ย ใ ย อ า ห า ร ไดเ้ องโดยกระบวนการสงั เคราะห์ดว้ ยแสงผบู้ รโิ ภคเป็นส่งิ มชี ีวิตท่ีไมส่ ามารถสรา้ งอาหารได้ 4. อธิบายความสัมพันธ์ของผู้ผลิต เอง และต้องกนิ ผู้ผลิตหรอื สงิ่ มชี ีวิตอื่นเป็นอาหาร เมื่อผูผ้ ลิตและผู้บริโภคตายลง จะถกู ยอ่ ย ผู้ บ ริ โภ ค แ ล ะ ผู้ ย่ อ ย ส ล า ย โดยผู้ยอ่ ยสลายสารอนิ ทรีย์ซงึ่ จะเปลี่ยนสารอินทรีย์เปน็ สารอนนิ ทรยี ก์ ลับคนื สูส่ ง่ิ แวดล้อม ส า ร อิ น ท รี ย์ ใน ร ะ บ บ นิ เว ศ ทำใหเ้ กดิ การหมุนเวียนสารเปน็ วัฏจกั รจำนวนผู้ผลิต ผ้บู ริโภค และผยู้ อ่ ยสลายสารอินทรยี ์ 5. อธิบายการสะสมสารพิษใน จะต้องมคี วามเหมาะสม จงึ ทำใหก้ ลุ่มสิ่งมีชวี ิตอยู่ไดอ้ ยา่ งสมดลุ ส่ิ ง มี ชี วิ ต ใ น โ ซ่ อ า ห า ร • พลังงานถูกถา่ ยทอดจากผู้ผลติ ไปยังผูบ้ รโิ ภคลำดับต่าง ๆ รวมทงั้ ผูย้ ่อยสลายสารอนิ ทรยี ์ใน 6. ตระหนักถึงความสัมพันธ์ของ รูปแบบสายใยอาหาร ท่ีประกอบด้วย โซ่อาหารหลายโซท่ ี่สัมพันธก์ นั ในการถา่ ยทอด ส่ิงมีชีวิต และสิ่งแวดล้อมในระบบ พลงั งานในโซ่อาหาร พลงั งานท่ีถูกถ่ายทอดไปจะลดลงเรอ่ื ย ๆ ตามลำดับของการบริโภค นิ เว ศ โด ย ไม่ ท ำ ล า ย ส ม ดุ ล • การถ่ายทอดพลงั งานในระบบนิเวศ อาจทำให้มสี ารพิษสะสมอยู่ในสิ่งมีชีวิตได้ จนอาจ ของระบบนเิ วศ ก่อใหเ้ กดิ อันตรายตอ่ สง่ิ มชี วี ิต และทำลายสมดุลในระบบนิเวศ ดังนั้นการดูแลรักษาระบบ นิเวศให้เกิดความสมดุล และคงอยตู่ ลอดไปจงึ เป็นสง่ิ สำคญั หลกั สูตรสถานศึกษา กลมุ่ สาระการเรียนรู้วทิ ยาศาสตร์และเทคโนโลยี โรงเรียนวดั วงั น้าเขยี ว

21 สาระที่ 1 วทิ ยาศาสตรช์ วี ภาพ มาตรฐาน ว 1.2 เขา้ ใจสมบตั ขิ องส่ิงมชี ีวิต หนว่ ยพืน้ ฐานของสิง่ มีชวี ิต การลำเลียงสารเขา้ และออก จากเซลล์ ความสมั พันธข์ องโครงสร้างและหน้าท่ีของระบบตา่ ง ๆของสัตว์และมนุษย์ที่ทำงานสมั พันธ์กนั ความสัมพนั ธ์ของโครงสร้างและหน้าทข่ี องอวยั วะตา่ ง ๆ ของพืชท่ีทำงานสัมพันธก์ ัน รวมทง้ั นำความรไู้ ปใช้ ประโยชน์ ชน้ั ตวั ชว้ี ดั สาระการเรยี นร้แู กนกลาง ป.1 1. ระบุชื่อบรรยายลักษณะและ • มนุษย์มีส่วนต่างๆท่ีมีลักษณะและหน้าท่ีแตกต่างกันเพื่อให้เหมาะสมในการดำรงชีวิตเช่น บอกหน้าท่ีของส่วนต่างๆของ ตามีหน้าที่ไว้มองดูโดยมีหนังตาและขนตาเพ่ือป้องกันอันตรายให้กับตาหูมีหน้าท่ีรับฟังเสียง ร่างกายมนุษย์สัตว์และพืชรวมท้ัง โดยมีใบหูและรูหูเพ่ือเป็นทางผ่านของเสียงปากมีหน้าท่ีพูดกินอาหารมีช่องปากและมีริม บรรยายการทำหน้าท่ีร่วมกันของ ฝีปากบนล่างแขนและมือมีหน้าที่ยกหยิบจับมีท่อนแขนและนิ้วมือที่ขยับได้สมองมีหน้าท่ี ส่วนต่างๆของร่างกายมนุษย์ใน ควบคุมการทำงานของสว่ นต่างๆของร่างกายอยู่ในกะโหลกศีรษะโดยส่วนต่างๆของร่างกาย การทำกิจกรรมต่างๆจากข้อมูลท่ี จะทำหนา้ ทร่ี ว่ มกันในการทำกจิ กรรมในชวี ิตประจำวัน รวบรวมได้ •สตั ว์มีหลายชนดิ แต่ละชนิดมีส่วนต่างๆทม่ี ลี ักษณะและหนา้ ที่แตกตา่ งกนั เพ่ือใหเ้ หมาะสมใน 2. ตระหนักถึงความสำคัญของ การดำรงชีวิตเช่นปลามีครีบเป็นแผ่นส่วนกบเต่าแมวมีขา4ขาและมีเท้าสำหรับใช้ในการ ส่วนต่างๆของร่างกายตนเองโดย เคลื่อนท่ี การดูแลส่วนต่างๆอย่างถูกต้องให้ •พืชมีส่วนต่างๆท่ีมีลกั ษณะและหน้าที่แตกต่างกนั เพ่ือให้เหมาะสมในการดำรงชีวิตโดยท่ัวไป ปลอดภัยและรักษาความสะอาด รากมีลักษณะเรียวยาวและแตกแขนงเป็นรากเล็กๆทำหน้าท่ีดูดน้ำลำต้นมีลักษณะเป็น อยเู่ สมอ ทรงกระบอกต้ังตรงและมีก่ิงก้านทำหน้าท่ีชูก่ิงก้านใบและดอกใบมีลักษณะเป็นแผ่นแบนทำ หน้าท่ีสร้างอาหารนอกจากน้ีพืชหลายชนิดอาจมีดอกท่ีมีสีรูปร่างต่างๆทำหน้าท่ีสืบพันธุ์ รวมทงั้ มีผลทมี่ ีเปลอื กมีเน้ือหอ่ หมุ้ เมล็ดและมเี มล็ดซึ่งสามารถงอกเปน็ ต้นใหม่ได้ • มนุษย์ใช้ส่วนต่างๆของร่างกายในการทำกิจกรรมต่างๆเพ่ือการดำรงชีวิตมนุษย์จึงควรใช้ ส่วนต่างๆของร่างกายอย่างถูกต้องปลอดภัยและรักษาความสะอาดอยู่เสมอเช่นใช้ตามอง ตวั หนังสือในท่ีท่ีมีแสงสว่างเพียงพอดูแลตาให้ปลอดภัยจากอันตรายและรักษาความสะอาด ตาอยู่เสมอ ป.2 1. ระบุว่าพืชต้องการแสงและน้ำ • พชื ตอ้ งการน้ำแสงเพื่อการเจริญเติบโต เพ่ือการเจริญเติบโตโดยใช้ข้อมูล จากหลักฐานเชงิ ประจักษ์ 2. ตระหนกั ถงึ ความจำเป็นท่ีพชื ต้องได้รบั นำ้ และแสงเพ่อื การ เจรญิ เตบิ โตโดยดูแลพชื ใหไ้ ดร้ ับสงิ่ ดงั กลา่ วอยา่ งเหมาะสม หลกั สูตรสถานศึกษา กลุ่มสาระการเรียนรู้วิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี โรงเรียนวดั วงั น้าเขียว

22 ชนั้ ตัวชี้วดั สาระการเรยี นรู้แกนกลาง ป.2 3. สรา้ งแบบจำลองที่บรรยาย •พืชดอกเม่ือเจริญเติบโตและมีดอกดอกจะมีการสืบพันธ์ุเปล่ียนแปลงไปเป็นผลภายในผลมี วฏั จกั รชีวิตของพืชดอก เมล็ดเมื่อเมล็ดงอกต้นอ่อนท่ีอยู่ภายในเมล็ดจะเจริญเติบโตเป็นพืชต้นใหม่พืชต้นใหม่จะ เจริญเติบโตออกดอกเพื่อสืบพันธ์ุมีผลต่อไปได้อีกหมุนเวียนต่อเน่ืองเป็นวัฏจักรชีวิตของพืช ดอก ป.3 1.บรรยายสิ่งที่ จำเป็นต่อการ • มนุษย์และสัตว์ตอ้ งการอาหารนำ้ และอากาศเพ่อื การดำรงชีวติ และการเจรญิ เตบิ โต ดำรงชีวิตและการเจริญเติบโตของ • อาหารชว่ ยให้ร่างกายแขง็ แรงและเจริญเติบโตน้ำช่วยให้ร่างกายทำงานได้อย่างปกตอิ ากาศ มนุษย์และสัตว์โดยใช้ข้อมูลท่ี ใชใ้ นการหายใจ รวบรวมได้ 2. ตระหนักถึงประโยชน์ของ อาหารน้ำและอากาศโดยการดูแล ตนเองและสัตว์ให้ได้รับสิ่งเหล่านี้ อยา่ งเหมาะสม 3. สร้างแบบจำลองทบ่ี รรยาย • สัตว์เม่ือเป็นตัวเต็มวัยจะสืบพันธุ์มีลูกเม่ือลูกเจริญเติบโตเป็นตัวเต็มวยั ก็สืบพันธ์ุมีลูกต่อไป วั ฏ จั ก ร ชี วิ ต ข อ ง สั ต ว์ แ ล ะ ได้อีกหมุนเวียนต่อเน่ืองเป็นวัฏจักรชีวิตของสัตว์ซ่ึงสัตว์แต่ละชนิดเช่นผีเสื้อกบไก่มนุษย์จะ เปรียบเทียบวัฏจักรชีวิตของสัตว์ มีวัฏจักรชวี ิตทเี่ ฉพาะและแตกตา่ งกนั บางชนดิ 4. ตระหนักถึงคุณค่าของชีวิตสัตว์ โดยไม่ทำให้วัฏจักรชีวิตของสัตว์ เปลย่ี นแปลง ป.4 1. บรรยายหน้าทีข่ องราก ลำต้น • สว่ นตา่ ง ๆ ของพชื ดอกทำหนา้ ทีแ่ ตกต่างกัน ใบ และดอกของพืชดอก โดยใช้ - รากทำหนา้ ท่ดี ดู น้ำและธาตุอาหารข้นึ ไปยงั ลำต้น ขอ้ มูลท่ีรวบรวมได้ - ลำต้นทำหน้าท่ลี ำเลยี งน้ำตอ่ ไปยังส่วนต่างๆ ของพืช - ใบทำหนา้ ทส่ี รา้ งอาหาร อาหารท่พี ืชสรา้ งข้ึน คือ น้ำตาลซ่งึ จะเปล่ยี นเปน็ แปง้ - ดอกทำหน้าท่ีสืบพันธ์ุ ประกอบด้วยส่วนประกอบต่างๆ ได้แก่ กลีบเล้ียง กลีบดอก เกสรเพศผู้ และเกสรเพศเมีย ซง่ึ สว่ นประกอบแต่ละส่วนของดอกทำหนา้ ที่แตกต่างกัน ป.5 - - หลกั สูตรสถานศึกษา กลมุ่ สาระการเรียนรู้วิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี โรงเรียนวดั วงั น้าเขียว

23 ชัน้ ตวั ชีว้ ดั สาระการเรยี นรแู้ กนกลาง ป.6 1. ระบุสารอาหารและบอก • สารอาหารที่อยูใ่ นอาหารมี 6 ประเภท ได้แก่ คารโ์ บไฮเดรต โปรตนี ไขมนั เกลอื แร่ ประโยชน์ของสารอาหารแต่ละ วิตามินและน้ำ ประเภทจากอาหารท่ีตนเอง • อาหารแตล่ ะชนดิ ประกอบดว้ ยสารอาหารท่ี รบั ประทาน แตกต่างกัน อาหารบางอย่างประกอบด้วยสารอาหารประเภทเดียว อาหารบางอย่าง 2. บอกแนวทางในการเลอื ก ประกอบดว้ ยสารอาหารมากกว่าหนง่ึ ประเภท รับประทานอาหารให้ได้ • สารอาหารแต่ละประเภทมีประโยชน์ต่อร่างกายแตกต่างกัน โดยคาร์โบไฮเดรต โปรตีน สารอาหารครบถ้วน ในสัดส่วนท่ี และไขมัน เป็นสารอาหารที่ให้พลังงานแก่ร่างกาย ส่วนเกลือแร่ วิตามิน และน้ำ เป็น เหมาะสมกบั เพศและวัย รวมท้ัง สารอาหารทไ่ี ม่ให้พลงั งานแก่รา่ งกาย แตช่ ว่ ยให้ร่างกายทำงานได้เป็นปกติ ความปลอดภัยต่อสขุ ภาพ • การรับประทานอาหาร เพอื่ ให้ร่างกายเจรญิ เติบโต มีการเปลี่ยนแปลงของร่างกายตามเพศ 3. ตระหนักถงึ ความสำคญั ของ และวัย และมีสุขภาพดี จำเป็นต้องรับประทานให้ได้พลังงานเพียงพอกับความต้องการของ สารอาหาร โดยการเลือก ร่างกาย และใหไ้ ด้สารอาหารครบถว้ น ในสดั ส่วน รบั ประทานอาหารทมี่ ีสาร ทเี่ หมาะสมกับเพศและวยั รวมทัง้ ต้องคำนึงถึงชนิดและปรมิ าณของวัตถเุ จอื ปนในอาหาร อาหารครบถ้วนในสดั ส่วนท่ี เพอื่ ความปลอดภัยต่อสขุ ภาพ เหมาะสมกับเพศและวยั รวมท้ัง ปลอดภยั ต่อสขุ ภาพ 4. สร้างแบบจำลองระบบย่อย • ระบบย่อยอาหารประกอบด้วยอวัยวะต่างๆ ได้แก่ ปาก หลอดอาหาร กระเพาะอาหาร อาหารและบรรยายหน้าทีข่ อง ลำไส้เล็ก ลำไส้ใหญ่ ทวารหนัก ตับ และตับอ่อน ซึ่งทำหน้าท่ีร่วมกันในการย่อยและดูดซึม อวัยวะในระบบย่อยอาหารรวมทง้ั สารอาหาร อธิบายการย่อยอาหารและการดดู - ปากมฟี ันช่วยบดเคย้ี วอาหารให้มีขนาดเล็กลงและมีล้นิ ช่วยคลุกเคล้าอาหารกับน้ำลาย ซึมสารอาหาร ในนำ้ ลายมเี อนไซม์ยอ่ ยแปง้ ใหเ้ ปน็ น้ำตาล 5. ตระหนักถึงความสำคัญของ - หลอดอาหารทำหน้าที่ลำเลียงอาหารจากปากไปยังกระเพาะอาหาร ภายในกระเพาะ ระบบย่อยอาหารโดยการบอก อาหารมกี ารยอ่ ยโปรตีนโดยกรดและเอนไซม์ทส่ี ร้างจากกระเพาะอาหาร แนวทางในการดูแลรกั ษาอวยั วะ - ลำไส้เล็กมีเอนไซม์ที่สร้างจากผนังลำไส้เล็กเองและจากตับอ่อนที่ช่วยย่อยโปรตีน ในระบบยอ่ ยอาหารให้ทำงานเป็น คาร์โบไฮเดรต และไขมัน โดยโปรตีน คาร์โบไฮเดรต และไขมันท่ีผ่านการย่อยจนเป็น ปกติ สารอาหารขนาดเล็กพอที่จะดูดซึมได้ รวมถึงน้ำ เกลือแร่ และวิตามิน จะถูกดูดซึมที่ผนัง ลำไส้เล็กเข้าสู่กระแสเลือด เพ่ือลำเลียงไปยังส่วนต่างๆ ของร่างกาย ซึ่งโปรตีน คาร์โบไฮเดรต และไขมัน จะถกู นำไปใช้เปน็ แหล่งพลงั งานสำหรับใชใ้ นกจิ กรรมต่างๆ ส่วนน้ำ เกลอื แร่ และวิตามิน จะช่วยให้รา่ งกายทำงานได้เปน็ ปกติ - ตับสร้างน้ำดีแลว้ ส่งมายงั ลำไสเ้ ลก็ ช่วยใหไ้ ขมนั แตกตวั - ลำไส้ใหญ่ทำหน้าที่ดูดน้ำและเกลอื แร่เป็นบรเิ วณที่มีอาหารท่ียอ่ ยไม่ได้หรือย่อยไมห่ มด เป็นกากอาหารซงึ่ จะถูกกำจดั ออกทางทวารหนกั • อวยั วะตา่ งๆในระบบย่อยอาหารมีความสำคัญจงึ ควรปฏบิ ตั ิตนดูแลรกั ษาอวัยวะให้ทำงาน เปน็ ปกติ หลกั สูตรสถานศึกษา กลุม่ สาระการเรียนรู้วิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี โรงเรียนวดั วงั น้าเขยี ว

24 ชัน้ ตัวช้ีวดั สาระการเรยี นรูแ้ กนกลาง ม.1 1. เปรียบเทียบรูปร่าง ลักษณะ • เซลลเ์ ป็นหน่วยพ้ืนฐานของสิ่งมีชีวิต ส่ิงมีชีวิตบางชนิดมีเซลล์เพียงเซลล์เดียว เช่น อะมีบา และโครงสร้างของเซลล์พืชและ พารามเี ซียม ยสี ต์ บางชนิดมีหลายเซลล์ เช่น พืช สตั ว์ เซลล์สัตว์ รวมทั้งบรรยายหน้าท่ี • โครงสร้างพื้นฐานท่ีพบท้ังในเซลล์พืชและเซลล์สัตว์ และสามารถสังเกตได้ด้วยกล้อง ของผนงั เซลล์ เย่ือหมุ้ เซลล์ จลุ ทรรศน์ใชแ้ สง ได้แก่ เยื่อหุ้มเซลล์ ไซโทพลาซมึ และนวิ เคลียส โครงสรา้ งท่พี บในเซลล์พืช ไซโทพลาซมึ นวิ เคลยี ส แตไ่ มพ่ บในเซลลส์ ตั ว์ ได้แก่ ผนงั เซลล์และคลอโรพลาสต์ แวคิวโอล ไมโทคอนเดรียและคลอ • โครงสร้างตา่ ง ๆ ของเซลลม์ ีหนา้ ท่แี ตกตา่ งกัน โรพลาสต์ - ผนงั เซลล์ ทำหน้าท่ใี ห้ความแขง็ แรงแก่เซลล์ 2. ใช้กลอ้ งจลุ ทรรศน์ - เยื่อหุ้มเซลล์ ทำหน้าที่ห่อห้มุ เซลล์และควบคุมการลำเลียงสารเข้าและออกจากเซลล์ ใช้แสงศึกษาเซลล์และโครงสร้าง - นิวเคลยี ส ทำหน้าทคี่ วบคุมการทำงานของเซลล์ ต่าง ๆ ภายในเซลล์ - ไซโทพลาซึม มอี อรแ์ กเนลลท์ ที่ ำหน้าทีแ่ ตกต่างกัน - แวควิ โอล ทำหน้าทเ่ี ก็บน้ำและสารตา่ ง ๆ - ไมโทคอนเดรยี ทำหนา้ ทเี่ กีย่ วกบั การสลายสารอาหารเพ่ือใหไ้ ด้พลังงานแกเ่ ซลล์ - คลอโรพลาสต์ เปน็ แหลง่ ท่ีเกิดการสงั เคราะหด์ ว้ ยแสง 3. อธิบายความสัมพันธ์ระหว่าง • เซลล์ของส่ิงมชี วี ิตมรี ปู ร่าง ลกั ษณะ ท่ีหลากหลาย และมีความเหมาะสมกับหนา้ ทข่ี องเซลล์ รูปร่างกบั การทำหนา้ ทขี่ องเซลล์ นั้น เช่น เซลล์ประสาทส่วนใหญ่ มีเส้นใยประสาทเป็นแขนงยาว นำกระแสประสาทไปยัง เซลล์อ่ืนๆ ที่อยู่ไกลออกไป เซลล์ขนราก เป็นเซลล์ผิวของรากท่ีมีผนังเซลล์และเย่ือหุ้มเซลล์ ย่ืนยาวออกมา ลักษณะคลา้ ยขนเส้นเล็กๆ เพือ่ เพ่มิ พ้นื ทีผ่ วิ ในการดดู น้ำและธาตอุ าหาร 4 .อ ธิ บ าย ก าร จั ด ร ะ บ บ ข อ ง • พชื และสตั ว์เป็นส่ิงมชี ีวิตหลายเซลลม์ ีการจดั ระบบ โดยเร่ิมจากเซลล์ไปเปน็ เน้ือเยื่อ อวยั วะ ส่ิ งมี ชี วิต โด ย เร่ิ ม จ าก เซ ล ล์ ระบบอวัยวะ และส่ิงมีชีวิตตามลำดับ เซลล์หลายเซลล์มารวมกันเป็นเนื้อเย่ือ เนื้อเยื่อหลาย เน้ือเย่ือ อวัยวะ ระบบอวัยวะ จน ชนิดมารวมกันและทำงานร่วมกันเป็นอวัยวะ อวัยวะต่างๆ ทำงานร่วมกันเป็นระบบอวัยวะ เป็นสง่ิ มีชีวติ ระบบอวยั วะทกุ ระบบทำงานรว่ มกนั เปน็ ส่ิงมชี วี ติ 5. อธิบายกระบวนการแพร่และ •เซลล์มีการนำสารเข้าสู่เซลล์เพ่ือใช้ในกระบวนการต่างๆของเซลล์และมีการขจัดสาร อ อ ส โม ซิ ส จ า ก ห ลั ก ฐ าน เชิ ง บางอย่างท่ีเซลล์ไม่ต้องการออกนอกเซลล์การนำสารเข้าและออกจากเซลล์มีหลายวิธีเช่น ประจักษ์และยกตัวอย่างการแพร่ การแพร่เปน็ การเคลือ่ นท่ีของสารจากบริเวณท่ีมีความเข้มขน้ ของสารสูงไปสู่บริเวณที่มีความ และออสโมซิสในชวี ิตประจำวนั เข้มข้นของสารต่ำส่วนออสโมซิสเป็นการแพร่ของน้ำผ่านเยื่อหุ้มเซลล์จากด้านที่มีความ เขม้ ขน้ ของสารละลายตำ่ ไปยงั ดา้ นทม่ี ีความเข้มข้นของสารละลายสงู กว่า 6. ระบุปัจจัยท่ี จำเป็นในการ • กระบวนการสังเคราะห์ด้วยแสงของพืชที่เกิดขึ้นในคลอโรพลาสต์ จำเป็นต้องใช้แสง แก๊ส สังเคราะห์ด้วยแสงและผลผลิตท่ี คาร์บอนไดออกไซด์ คลอโรฟิลล์ และน้ำ ผลผลิตท่ีได้จาก การสังเคราะห์ด้วยแสง ได้แก่ เกิดข้ึนจากการสังเคราะห์ด้วยแสง น้ำตาลและแก๊สออกซิเจน โดยใชห้ ลกั ฐานเชงิ ประจักษ์ 7. อธบิ ายความสำคญั ของ การสังเคราะหด์ ้วยแสง เป็นกระบวนการท่ีสำคัญต่อส่ิงมชี ีวิต เพราะเป็นกระบวนการเดียวท่ี การสังเคราะห์ด้วยแสงของพืชต่อ สามารถนำพลังงานแสงมาเปล่ียนเป็นพลังงานในรูปสารประกอบอินทรีย์และเก็บสะสมใน สิง่ มชี วี ติ และส่ิงแวดล้อม รูปแบบต่างๆ ในโครงสร้างของพืช พืชจงึ เป็นแหล่งอาหารและพลงั งานท่ีสำคัญของสิ่งมีชีวิต 8. ตระหนักในคุณค่าของพืชที่มตี ่อ อื่นนอกจากนี้กระบวนการสังเคราะห์ด้วยแสงยังเป็นกระบวนการหลักในการสร้างแก๊ส ส่ิงมีชีวิตและสิ่งแวดล้อม โดยการ อ อ ก ซิ เจ น ใ ห้ กั บ บ ร ร ย า ก า ศ เพ่ื อ ใ ห้ ส่ิ ง มี ชี วิ ต อ่ื น ใ ช้ ใ น ก ร ะ บ ว น ก า ร ร่วมกันปลูกและดูแลรักษาต้นไม้ หายใจ ในโรงเรียนและชมุ ชน หลกั สูตรสถานศึกษา กลุม่ สาระการเรียนรู้วทิ ยาศาสตร์และเทคโนโลยี โรงเรียนวดั วงั น้าเขียว

25 ชั้น ตัวชวี้ ดั สาระการเรียนรูแ้ กนกลาง ม.1 9. บรรยายลักษณะและหน้าทข่ี อง • พชื มีไซเลม็ และโฟลเอม็ ซึง่ เปน็ เนอ้ื เยอื่ มลี กั ษณะคล้ายท่อเรยี งตัวกันเป็นกล่มุ เฉพาะทโ่ี ดย ไซเล็มและโฟลเอม็ ไซเล็มทำหน้าท่ีลำเลยี งน้ำและธาตุอาหารมีทศิ ทางลำเลียงจากรากไปสูล่ ำตน้ ใบและ 10. เขียนแผนภาพท่ีบรรยายทศิ ส่วนต่างๆ ของพชื เพอื่ ใชใ้ นการสงั เคราะห์ดว้ ยแสงรวมถงึ กระบวนการอื่นๆ ส่วนโฟลเอ็มทำ ทางการลำเลยี งสารในไซเล็ม หน้าที่ลำเลยี งอาหารทไี่ ด้จากการสังเคราะห์ด้วยแสงมีทิศทางลำเลยี งจากบริเวณทม่ี กี าร และโฟลเอม็ ของพชื สังเคราะห์ดว้ ยแสงไปสูส่ ่วนตา่ งๆของพืช 11. อธิบายการสบื พันธ์ุแบบอาศยั พืชดอกทุกชนิดสามารถสืบพันธ์แุ บบอาศยั เพศไดแ้ ละบางชนดิ สามารถสืบพันธ์ุแบบไม่อาศยั เพศและไมอ่ าศัยเพศของพืชดอก เพศได้ 12. อธิบายลักษณะโครงสร้างของ • การสืบพันธุ์แบบอาศัยเพศเป็นการสืบพันธ์ุที่มีการผสมกันของสเปิร์มกับเซลล์ไข่การ ดอกที่มีส่วนทำให้เกิดการถ่ายเรณู สืบพันธุ์แบบอาศัยเพศของพืชดอกเกิดข้ึนที่ดอกโดยภายในอับเรณูของส่วนเกสรเพศผู้มเี รณู รวมท้ังบรรยายการปฏิสนธิของพืช ซง่ึ ทำหน้าที่สร้างสเปิรม์ ภายในออวุลของส่วนเกสรเพศเมียมถี ุงเอ็มบริโอทำหน้าท่สี ร้างเซลล์ ดอกการเกิดผลและเมล็ดการ ไข่ กระจายเมล็ดและการงอกของ • การสืบพันธ์แุ บบไม่อาศัยเพศเปน็ การสืบพันธ์ุทีพ่ ืชต้นใหมไ่ ม่ได้เกดิ จากการปฏสิ นธิระหวา่ ง เมลด็ สเปิร์มกับเซลล์ไข่แต่เกิดจากส่วนต่างๆ ของพืชเช่นรากลำต้นใบมีการเจริญเติบโตและ 13. ตระหนักถึงความสำคัญของ พฒั นาขึน้ มาเป็นตน้ ใหม่ได้ สัตว์ที่ช่วยในการถ่ายเรณูของพืช • การถ่ายเรณูคือการเคล่ือนย้ายของเรณูจากอับเรณูไปยังยอดเกสรเพศเมียซ่ึงเกี่ยวข้องกับ ดอกโดยการไม่ทำลายชีวิตของ ลกั ษณะและโครงสร้างของดอกเช่นสีของกลีบดอกตำแหน่งของเกสรเพศผู้และเกสรเพศเมีย สตั ว์ทีช่ ่วยในการถ่ายเรณู โดยมสี ่ิงที่ชว่ ยในการถ่ายเรณูเช่นแมลงลม • การถ่ายเรณูจะนำไปสู่การปฏิสนธิซ่ึงจะเกิดข้ึนที่ถุงเอ็มบริโอภายในออวุลหลังการปฏิสนธิ จะได้ไซโกตและเอนโดสเปิร์มไซโกตจะพัฒนาต่อไปเป็นเอ็มบริโอออ วุลพัฒนาไปเป็นเมล็ด และรงั ไข่พฒั นาไปเปน็ ผล • ผลและเมล็ดมีการกระจายออกจากต้นเดิมโดยวิธีการต่างๆเมื่อเมล็ดไปตกใน สภาพแวดลอ้ มที่เหมาะสมจะเกิดการงอกของเมลด็ โดยเอม็ บริโอภายในเมล็ดจะเจรญิ ออกมา โดยระยะแรกจะอาศัยอาหารที่สะสมภายในเมล็ดจนกระทั่งใบแท้พัฒนาจนสามารถ สังเคราะหด์ ว้ ยแสงได้เต็มที่และสรา้ งอาหารได้เองตามปกติ 14. อธิบายความสำคัญของธาตุ • พืชตอ้ งการธาตอุ าหารท่ีจำเป็นหลายชนดิ ในการเจริญเติบโตและการดำรงชวี ิต อาหารบางชนิดที่มีผลต่อการ • พืชต้องการธาตุอาหารบางชนิดในปริมาณมากได้แก่ไนโตรเจนฟอสฟอรัสโพแทสเซียม เจริญเติบโตและการดำรงชวี ติ แคลเซียมแมกนีเซียมและกำมะถันซึ่งในดินอาจมีไม่เพียงพอสำหรับการเจริญเติบโตของพืช ของพืช จึงต้องมีการให้ธาตุอาหารในรูปของปุ๋ยกับพืชอยา่ งเหมาะสม 15. เลือกใช้ปุ๋ยที่มีธาตุอาหาร เหมาะสมกับพืชในสถานการณ์ท่ี กำหนด หลกั สูตรสถานศึกษา กลุ่มสาระการเรียนรู้วทิ ยาศาสตร์และเทคโนโลยี โรงเรียนวดั วงั น้าเขียว

26 ชน้ั ตวั ชีว้ ัด สาระการเรยี นรูแ้ กนกลาง ม.1 16. เลือกวธิ ีการขยายพนั ธพ์ุ ชื ให้ •มนุษย์สามารถนำความรู้เรื่องการสืบพันธุ์แบบอาศัยเพศและไม่อาศัยเพศมาใช้ในการ เหมาะสมกบั ความต้องการของ ขยายพันธ์ุเพ่ือเพ่ิมจำนวนพืชเช่นการใช้เมล็ดท่ีได้จากการสืบพันธุ์แบบอาศัยเพศมา มนุษย์โดยใช้ความรู้เก่ียวกับ เพาะเลี้ยงวิธีการนี้จะได้พืชในปริมาณมากแต่อาจมีลักษณะท่ีแตกต่างไปจากพ่อแม่ส่วนการ การสบื พันธ์ุของพืช ตอนกิ่งการปักชำการต่อกิ่งการติดตาการทาบก่ิงการเพาะเล้ียงเน้ือเยื่อเป็นการนำความรู้ 17. อธบิ ายความสำคัญของ เรื่องการสืบพันธ์ุแบบไม่อาศัยเพศของพืชมาใช้ในการขยายพันธุ์เพื่อให้ได้พืชที่มีลักษณะ เทคโนโลยีการเพาะเลยี้ งเนื้อเยอ่ื เหมือนต้นเดิมซึ่งการขยายพันธ์ุแต่ละวิธีมีขั้นตอนแตกต่างกันจึงควรเลือกให้เหมาะสมกับ พืชในการใชป้ ระโยชนด์ ้านต่างๆ ความตอ้ งการของมนษุ ย์โดยต้องคำนึงถงึ ชนดิ ของพืชและลักษณะการสบื พันธ์ขุ องพืช 18. ตระหนกั ถงึ ประโยชนข์ องการ •เทคโนโลยีการเพาะเลี้ยงเนื้อเย่ือพืชเป็นการนำความรู้เกี่ยวกับปัจจัยที่จำเป็นต่อการ ขยายพนั ธพุ์ ชื โดยการนำความรู้ไป เจริญเติบโตของพืชมาใช้ในการเพ่ิมจำนวนพืชและทำให้พืชสามารถเจริญเติบโตได้ในหลอด ใช้ในชีวิตประจำวัน ทดลองซ่ึงจะได้พืชจำนวนมากในระยะเวลาส้ันและสามารถนำเทคโนโลยีการเพาะเล้ียง เน้ือเยื่อมาประยุกต์เพื่อการอนุรักษ์พันธุกรรมพืชปรับปรุงพันธ์ุพืชท่ีมีความสำคัญทาง เศรษฐกิจการผลติ ยาและสาระสำคัญในพชื และอ่นื ๆ ม.2 1. ระบุอวัยวะและบรรยายหนา้ ท่ี •ระบบหายใจมีอวัยวะต่างๆทเ่ี กยี่ วข้องไดแ้ ก่จมูกทอ่ ลมปอดกะบงั ลมและกระดูกซ่ีโครง ของอวยั วะที่เกย่ี วข้องในระบบ •มนุษยห์ ายใจเข้าเพอ่ื นำแก๊สออกซเิ จนเข้าสู่รา่ งกายเพ่ือนำไปใช้ในเซลลแ์ ละหายใจออกเพ่ือ หายใจ กำจดั แกส๊ คารบ์ อนไดออกไซด์ออกจากรา่ งกาย 2. อธิบายกลไกการหายใจเขา้ และ •อากาศเคลื่อนที่เข้าและออกจากปอดได้เนื่องจากการเปลี่ยนแปลงปริมาตรและความดัน ออกโดยใช้แบบจำลองรวมท้ัง ของอากาศภายในช่องอกซง่ึ เกยี่ วขอ้ งกบั การทำงานของกะบังลมและกระดูกซโี่ ครง อธิบายกระบวนการแลกเปลี่ยน •การแลกเปล่ียนแก๊สออกซิเจนกบั แกส๊ คาร์บอนไดออกไซด์ในร่างกายเกิดขึ้นบริเวณถงุ ลมใน แกส๊ ปอดกบั หลอดเลอื ดฝอยทีถ่ งุ ลมและระหวา่ งหลอดเลอื ดฝอยกับเนอื้ เย่อื 3. ตระหนกั ถงึ ความสำคัญของ •การสบู บุหรี่การสูดอากาศท่ีมสี ารปนเปอื้ นและการเปน็ โรคเกีย่ วกับระบบหายใจบางโรคอาจ ระบบหายใจโดยการบอกแนวทาง ทำให้เกิดโรคถุงลมโป่งพองซ่ึงมีผลให้ความจุอากาศของปอดลดลงดังน้ันจึงควรดูแลรักษา ในการดูแลรักษาอวยั วะในระบบ ระบบหายใจให้ทำหน้าที่เป็นปกติ หายใจใหท้ ำงานเป็นปกติ หลกั สูตรสถานศึกษา กลมุ่ สาระการเรียนรู้วิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี โรงเรียนวดั วงั น้าเขียว

27 ชนั้ ตัวช้ีวดั สาระการเรยี นรู้แกนกลาง ม.2 4. ระบุอวัยวะและบรรยายหน้าที่ • ระบบขับถ่ายมอี วัยวะทเ่ี ก่ียวขอ้ งคอื ไตท่อไตกระเพาะปัสสาวะและท่อปัสสาวะโดยมีไต ของอวัยวะในระบบขับถ่ายในการ ทำหน้าท่ีกำจัดของเสียเช่นยูเรียแอมโมเนียกรดยูรกิ รวมท้งั สารที่ร่างกายไม่ต้องการออกจาก กำจดั ของเสียทางไต เลอื ดและควบคุมสารทมี่ มี ากหรอื นอ้ ยเกินไปเชน่ น้ำโดยขับออกมาในรปู ของปัสสาวะ 5. ตระหนักถึงความสำคัญของ • การเลอื กรบั ประทานอาหารท่ีเหมาะสมเช่น ระบบขับถ่ายในการกำจัดของเสีย รับประทานอาหารที่ไม่มีรสเค็มจัดการด่ืมน้ำสะอาดให้เพียงพอเป็นแนวทางหนึ่งท่ีช่วยให้ ทางไตโดยการบอกแนวทางในการ ระบบขบั ถ่ายทำหน้าทีไ่ ดอ้ ย่างปกติ ปฏิบัตติ นท่ีช่วยให้ระบบขับถา่ ยทำ หนา้ ทไี่ ด้อยา่ งปกติ 6. บรรยายโครงสรา้ งและหน้าที่ • ระบบหมนุ เวยี นเลือดประกอบด้วยหัวใจหลอดเลือดและเลือด ของหัวใจหลอดเลอื ดและเลอื ด • หวั ใจของมนษุ ยแ์ บง่ เป็น4ห้องไดแ้ ก่หัวใจห้องบน 2 หอ้ งและหอ้ งลา่ ง2หอ้ งระหว่างหวั ใจ 7. อธิบายการทำงานของระบบ ห้องบนและหวั ใจหอ้ งล่างมลี ้ินหัวใจกน้ั หมุนเวียนเลอื ดโดยใชแ้ บบจำลอง • หลอดเลอื ดแบ่งเป็นหลอดเลือดอารเ์ ตอรีหลอดเลือดเวนหลอดเลอื ดฝอยซ่ึงมีโครงสรา้ ง ต่างกนั • เลือดประกอบด้วยเซลล์เม็ดเลอื ดเพลตเลตและพลาสมา • การบบี และคลายตัวของหัวใจทำให้เลอื ดหมุนเวยี นและลำเลยี งสารอาหารแกส๊ ของเสียและ สารอนื่ ๆไปยังอวัยวะและเซลล์ต่างๆท่วั รา่ งกาย • เลือดท่ีมีปรมิ าณแกส๊ ออกซเิ จนสูงจะออกจากหัวใจไปยงั เซลลต์ ่างๆทั่วร่างกายขณะเดยี วกัน แกส๊ คาร์บอนไดออกไซดจ์ ากเซลล์จะแพรเ่ ขา้ สูเ่ ลือดและลำเลียงกลบั เขา้ สู่หวั ใจและถกู ส่งไป แลกเปลย่ี นแก๊สท่ีปอด 8. ออ ก แบ บ การท ดลองและ • ชีพจรบอกถึงจังหวะการเต้นของหัวใจซ่ึงอัตราการเต้นของหัวใจในขณะปกติและหลังจาก ทดลองในการเปรียบเทียบอัตรา ทำกิจกรรมต่างๆจะแตกต่างกนั สว่ นความดนั เลือดระบบหมนุ เวียนเลือดเกิดจาก การเตน้ ของหวั ใจขณะปกติ การทำงานของหวั ใจและหลอดเลอื ด และหลงั ทำกจิ กรรม • อตั ราการเต้นของหัวใจมีความแตกต่างกันในแต่ละบคุ คลคนทเ่ี ป็นโรคหัวใจและหลอดเลอื ด 9. ตระหนักถึงความสำคัญของ จะส่งผลทำใหห้ ัวใจสูบฉีดเลอื ดไมเ่ ปน็ ปกติ ระบบหมุนเวียนเลือดโดยการบอก • การออกกำลังกายการเลือกรับประทานอาหารการพักผ่อนและการรักษาภาวะอารมณ์ให้ แนวทางในการดูแลรักษาอวัยวะ เปน็ ปกติจึงเป็นทางเลือกหนงึ่ ในการดูแลรักษาระบบหมนุ เวยี นเลอื ดใหเ้ ปน็ ปกติ ในระบบหมุนเวียนเลือดให้ทำงาน เป็นปกติ หลกั สูตรสถานศึกษา กลุ่มสาระการเรียนรู้วิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี โรงเรียนวดั วงั น้าเขียว

28 ช้นั ตัวชวี้ ัด สาระการเรยี นรแู้ กนกลาง ม.2 10. ระบอุ วัยวะและบรรยายหนา้ ท่ี • ระบบประสาทส่วนกลางประกอบด้วยสมองและไขสันหลงั จะทำหนา้ ท่รี ่วมกับเส้นประสาท ของอวัยวะในระบบประสาท ซึ่งเป็นระบบประสาทรอบนอกในการควบคุมการทำงานของอวัยวะต่างๆรวมถึงการแสดง ส่วนก ลางในก ารควบ คุมก าร พฤติกรรมเพ่อื การตอบสนองตอ่ สง่ิ เรา้ ทำงานต่างๆของรา่ งกาย • เมอื่ มีสิง่ เร้ามากระตุ้นหน่วยรบั ความรสู้ ึกจะเกิดกระแสประสาทส่งไปตามเซลล์ประสาทรับ 11. ตระหนักถึงความสำคัญของ ความรู้สึกไปยังระบบประสาทส่วนกลางแล้วส่งกระแสประสาทมาตามเซลล์ประสาทส่ังการ ระ บ บ ป ระ สาท โด ย ก ารบ อ ก ไปยงั หนว่ ยปฏบิ ัตงิ านเชน่ กลา้ มเนื้อ แนวทางในการดูแลรักษารวมถึง • ระบบประสาทเป็นระบบท่ีมีความซับซ้อนและมีความสัมพันธก์ ับทกุ ระบบในร่างกายดังน้ัน การป้องกันการกระทบกระเทือน จึงควรป้องกันการเกิดอบุ ตั เิ หตทุ ก่ี ระทบกระเทือนต่อสมองหลกี เลย่ี งการใช้สาร และอันตรายต่อสมองและไขสัน เสพติดหลีกเลี่ยงภาวะเครียดและรับประทานอาหารที่มีประโยชน์เพ่ือดูแลรักษาระบบ หลงั ประสาทให้ทำงานเป็นปกติ 12. ระบุอวยั วะและบรรยายหนา้ ท่ี • มนุษย์มีระบบสืบพันธุ์ที่ประกอบด้วยอวัยวะต่างๆ ที่ทำหน้าท่ีเฉพาะ โดยรังไข่ในเพศหญิง ของอวยั วะในระบบสืบพนั ธ์ุของ จะทำหนา้ ทผ่ี ลิตเซลล์ไข่ สว่ นอญั ฑะในเพศชายจะทำหนา้ ทีส่ รา้ งเซลลอ์ สุจิ เพศชายและเพศหญงิ • ฮอร์โมนเพศทำหนา้ ที่ควบคุมการแสดงออกของลักษณะทางเพศที่แตกต่างกัน เมื่อเข้าสู่วัย โดยใชแ้ บบจำลอง หนุ่มสาวจะมกี ารสร้างเซลล์ไข่และเซลลอ์ สจุ ิ การตกไข่การมีรอบเดือน และถ้ามกี ารปฏิสนธิ 13. อธบิ ายผลของฮอร์โมนเพศ ของเซลล์ไข่และเซลล์อสุจิจะทำให้เกดิ การตั้งครรภ์ ชายและเพศหญิงที่ควบคุมการ เปล่ียนแปลงของรา่ งกายเม่อื เขา้ สู่วัยหนุม่ สาว 14. ตระหนักถึงการเปล่ยี นแปลง ของร่างกายเมอื่ เขา้ สูว่ ยั หนุ่มสาว โดยการดูแลรกั ษารา่ งกายและ จติ ใจของตนเองในช่วงท่ีมี การเปลย่ี นแปลง 15. อธบิ ายการตกไขก่ ารมี • การมปี ระจำเดือนมีความสัมพันธก์ ับการตกไขโ่ ดยเป็นผลจากการเปลีย่ นแปลงของระดบั ประจำเดอื นการปฏิสนธิและการ ฮอรโ์ มนเพศหญงิ พฒั นาของไซโกตจนคลอดเป็น •เมอ่ื เพศหญิงมีการตกไข่และเซลล์ไข่ได้รับการปฏิสนธิกับเซลล์อสจุ จิ ะทำใหไ้ ดไ้ ซโกตไซโก ทารก ตจะเจริญเป็นเอ็มบริโอและฟีตัสจนกระทัง่ คลอดเป็นทารกแต่ถ้าไม่มีการปฏิสนธิเซลลไ์ ข่จะ 16. เลือกวิธีการคุมกำเนิดท่ี สลายตัวผนงั ดา้ นในมดลกู รวมท้ังหลอดเลือดจะสลายตวั และหลดุ ลอกออกเรียกวา่ เหมาะสมกับสถานการณ์ทกี่ ำหนด ประจำเดือน 17. ตระหนักถงึ ผลกระทบของการ •การคุมกำเนิดเป็นวิธีป้องกันไมใ่ หเ้ กิดการต้ังครรภ์โดยปอ้ งกันไม่ให้เกดิ การปฏิสนธิหรอื ไม่ให้ ตงั้ ครรภ์ก่อนวยั อันควรโดยการ มกี ารฝงั ตวั ของเอ็มบรโิ อซึง่ มีหลายวิธเี ชน่ การใชถ้ ุงยางอนามัยการกินยาคมุ กำเนิด ประพฤติตนใหเ้ หมาะสม ม.3 - - หลกั สูตรสถานศึกษา กลมุ่ สาระการเรียนรู้วทิ ยาศาสตร์และเทคโนโลยี โรงเรียนวดั วงั น้าเขียว

29 สาระที่ 1 วทิ ยาศาสตรช์ ีวภาพ มาตรฐาน ว 1.3 เขา้ ใจกระบวนการและความสำคัญของการถา่ ยทอดลักษณะทางพันธุกรรมสาร พนั ธกุ รรมการเปลี่ยนแปลงทางพนั ธุกรรมที่มผี ลต่อสิง่ มชี วี ิตความหลากหลายทางชวี ภาพและววิ ัฒนาการของสิ่งมีชวี ติ รวมท้งั นำความรู้ไปใชป้ ระโยชน์ ช้นั ตัวช้วี ัด สาระการเรยี นรแู้ กนกลาง ป.1 - - ป.2 1. เป รีย บ เที ย บ ลัก ษ ณ ะ ขอ ง • สิ่งท่ีอยู่รอบตัวเรามีทั้งที่เป็นส่ิงมีชีวิตและส่ิงไม่มีชีวิตส่ิงมีชีวิตต้องการอาหารมีการหายใจ สง่ิ มีชีวิตและส่ิงไม่มีชีวิตจากข้อมูล เจรญิ เติบโตขบั ถ่ายเคลอ่ื นไหวตอบสนองต่อส่ิงเร้าและสืบพันธ์ไุ ด้ลูกที่มีลักษณะคล้ายคลงึ กับ ท่รี วบรวมได้ พอ่ แม่ส่วนส่งิ ไม่มชี วี ิตจะไม่มลี ักษณะดงั กล่าว ป.3 - - ป.4 1. จำแนกสิ่งมีชีวิตโดยใช้ความ • สิ่งมีชีวิตมีหลายชนิดสามารถจัดกลุ่มได้โดยใช้ความเหมือนและความแตกต่างของลักษณะ เหมือนและความแตกต่างของ ตา่ งๆเชน่ กลุ่มพืชสร้างอาหารเองไดแ้ ละเคลื่อนท่ีด้วยตนเองไม่ไดก้ ลุ่มสัตวก์ นิ ส่ิงมีชีวติ อ่ืนเป็น ลักษณะของส่ิงมีชีวิตออกเป็นกลุ่ม อาหารและเคลอื่ นทไ่ี ด้กลุ่มท่ไี มใ่ ช่พชื และสัตว์เช่น เห็ดราจุลินทรีย์ พืชกลุ่มสัตว์และกลุ่มที่ไม่ใช่พืช และสัตว์ 2. จำแนกพืชออกเป็นพืชดอกและ • การจำแนกพืชสามารถใชก้ ารมดี อกเป็นเกณฑ์ในการจำแนกไดเ้ ปน็ พืชดอกและพืชไม่มีดอก พืชไม่มีดอกโดยใช้การมีดอกเป็น เกณฑโ์ ดยใชข้ ้อมลู ท่รี วบรวมได้ 3. จำแนกสัตว์ออกเป็นสัตว์มี • การจำแนกสัตว์สามารถใช้การมกี ระดกู สนั หลังเป็นเกณฑ์ในการจำแนกไดเ้ ปน็ สัตวม์ กี ระดูก กระดกู สนั หลงั และสตั ว์ไม่มกี ระดูก สันหลงั และสัตว์ไม่มกี ระดูกสันหลัง สนั หลังโดยใช้การมีกระดูกสันหลัง เป็นเกณฑ์โดยใช้ข้อมูลที่รวบรวม ได้ 4. บรรยายลักษณะเฉพาะที่สังเกต • สัตวม์ กี ระดูกสันหลังมหี ลายกล่มุ ได้แกก่ ลมุ่ ปลากลมุ่ สัตวส์ ะเทินน้ำสะเทินบก ไดข้ องสัตว์มีกระดูกสันหลังในกลุ่ม กลุ่มสัตว์เลื้อยคลานกลุ่มนกและกลุ่มสัตว์เลี้ยงลูกด้วยน้ำนมซึ่งแต่ละกลุ่มจะมีลักษณะ ปลากลุ่มสัตว์สะเทินน้ำสะเทินบก เฉพาะท่สี งั เกตได้ กลุ่มสัตว์เลื้อยคลานกลุ่มนกและ กลุ่มสัตว์เล้ียงลูกด้วยน้ำนมและ ยกตวั อยา่ งส่งิ มีชวี ติ ในแต่ละกลมุ่ หลกั สูตรสถานศึกษา กลุ่มสาระการเรียนรู้วทิ ยาศาสตร์และเทคโนโลยี โรงเรียนวดั วงั น้าเขียว

30 ชน้ั ตวั ชวี้ ัด สาระการเรยี นรูแ้ กนกลาง ป.5 1. อธิบายลักษณะทางพันธกุ รรมที่ • สิ่งมีชีวิตทั้งพืชสัตว์และมนุษย์เมื่อโตเต็มที่จะมีการสืบพันธุ์เพื่อเพิ่มจำนวนและดำรงพันธ์ุ มีการถ่ายทอดจากพ่อแม่สู่ลูกของ โดยลูกท่ีเกิดมาจะได้รับการถ่ายทอดลักษณะทางพันธุกรรมจากพ่อแม่ทำให้มีลักษณะทาง พืชสัตวแ์ ละมนษุ ย์ พันธุกรรมทเี่ ฉพาะแตกตา่ งจากสิ่งมีชวี ติ ชนดิ อนื่ 2. แสดงความอยากรู้อยากเห็น •พืชมีการถา่ ยทอดลกั ษณะทางพันธกุ รรมเช่นลักษณะของใบสีดอก โดย ก ารถ าม คำถ าม เก่ี ย วกั บ •สตั วม์ กี ารถ่ายทอดลกั ษณะทางพันธุกรรมเชน่ สีขนลกั ษณะของขนลกั ษณะของหู ลักษณะที่คล้ายคลึงกันของตนเอง •มนุษย์มีการถ่ายทอดลักษณะทางพันธุกรรมเช่นเชิงผมที่หน้าผากลักยิ้มลักษณะหนังตาการ กบั พ่อแม่ ห่อลิ้นลกั ษณะของต่งิ หู ป.6 - - ม.1 - - ม.2 - - ม.3 1. อธิบายความสัมพนั ธ์ระหวา่ งยีน • ลักษณะทางพันธุกรรมของสิ่งมีชีวิตสามารถถ่ายทอดจากรุ่นหน่ึงไปยังอีกรุ่นหน่ึงได้โดยมี ดีเอ็นเอและโครโมโซมโดยใช้ ยีนเป็นหนว่ ยควบคุมลักษณะทางพันธุกรรม แบบจำลอง •โครโมโซมประกอบด้วยดีเอ็นเอและโปรตีนขดอยู่ในนิวเคลียสยีนดีเอ็นเอและโครโมโ ซมมี ความสัมพนั ธ์กันโดยบางส่วนของดีเอน็ เอทำหน้าที่เปน็ ยีนทก่ี ำหนดลกั ษณะของสิ่งมชี วี ิต • ส่ิงมีชีวิตท่ีมีโครโมโซม2ชุดโครโมโซมท่ีเป็นคู่กันมีการเรียงลำดับของยีนบนโครโมโซม เหมือนกันเรยี กว่าฮอมอโลกสั โครโมโซมยีนหนึ่งท่อี ยบู่ นคฮู่ อมอโลกัสโครโมโซมอาจมีรูปแบบ แตกต่างกันเรียกแต่ละรูปแบบของยีนที่ต่างกันนี้ว่าแอลลีลซ่ึงการเข้าคู่กันของแอลลีลต่างๆ อาจส่งผลทำให้สิง่ มีชีวติ มลี ักษณะทแี่ ตกต่างกนั ได้ • สิ่งมชี ีวิตแต่ละชนิดมีจำนวนโครโมโซมคงทีม่ นุษย์มีจำนวนโครโมโซม23คูเ่ ป็นออโตโซม22คู่ และโครโมโซมเพศ1คู่เพศหญงิ มโี ครโมโซมเพศเป็นXX เพศชายมีโครโมโซมเพศเปน็ XY 2. อธิบายการถ่ายทอดลักษณะ • เมนเดลได้ศึกษาการถ่ายทอดลักษณะทางพันธุกรรมของต้นถ่ัวชนิดหนึ่งและนำมาสู่ ทางพันธุกรรมจากการผสมโดย หลักการพื้นฐานของการถ่ายทอดลกั ษณะทางพันธกุ รรมของสิ่งมชี วี ิต พิจารณาลักษณะเดยี วท่ี • สง่ิ มชี ีวิตทมี่ ีโครโมโซมเปน็ 2ชดุ ยนี แตล่ ะตำแหนง่ บนฮอมอโลกสั โครโมโซมมี 2 แอลลลี เด่นขม่ แอลลีลด้อยอย่าง แอลลีลโดยแอลลีลหนึ่งมาจากพ่อและอีกแอลลีลมาจากแม่ซึ่งอาจมีรูปแบบเดียวกันหรือ สมบรู ณ์ แตกต่างกันแอลลีลที่แตกต่างกันนี้แอลลีลหนึง่ อาจมีการแสดงออกขม่ อีกแอลลลี หนึ่งได้เรยี ก 3. อธิบายการเกิดจีโนไทป์และฟี แอลลีลนน้ั ว่าเป็นแอลลีลเดน่ สว่ นแอลลลี ทีถ่ กู ขม่ อย่างสมบรู ณ์เรยี กวา่ เป็น โน ไท ป์ ข อ ง ลู ก แ ล ะ ค ำ น ว ณ แอลลีลด้อย อตั ราส่วนการเกดิ จีโนไทป์ • เมือ่ มกี ารสร้างเซลลส์ ืบพันธุ์แอลลีลท่ีเป็นคกู่ ันในแต่ละฮอมอโลกสั โครโมโซมจะแยกจากกัน และฟีโนไทปข์ องรุน่ ลูก ไปสเู่ ซลล์สืบพันธ์แุ ต่ละเซลล์โดยแต่ละเซลลส์ ืบพันธจ์ุ ะได้รับเพยี ง1แอลลีลและจะมาเข้าคูก่ ับ แอลลีลที่ตำแหน่งเดียวกันของอีกเซลล์สืบพันธุ์หน่ึงเม่ือเกิดการปฏิสนธิจนเกิดเป็นจีโนไทป์ และแสดงฟีโนไทป์ในร่นุ ลกู หลกั สูตรสถานศึกษา กล่มุ สาระการเรียนรู้วิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี โรงเรียนวดั วงั น้าเขยี ว

31 ชัน้ ตัวช้ีวดั สาระการเรยี นรแู้ กนกลาง ม.3 4. อธิบายความแตกต่างของการแบ่งเซลล์ • กระบวนการแบ่งเซลล์ของสิ่งมีชีวติ มี2แบบคอื ไมโทซิสและไมโอซสิ แบบไมโทซิสและไมโอซิส •ไมโทซิสเป็นการแบ่งเซลล์เพอ่ื เพิ่มจำนวนเซลล์ร่างกายผลจากการแบง่ จะได้เซลล์ ใหม่ 2 เซลล์ทีม่ ีลกั ษณะและจำนวนโครโมโซมเหมอื นเซลล์ตงั้ ต้น •ไมโอซิสเป็นการแบ่งเซลล์เพ่ือสร้างเซลล์สืบพันธ์ุผลจากการแบ่งจะได้เซลล์ใหม่4 เซลล์ที่มีจำนวนโครโมโซมเป็นครึ่งหนึ่งของเซลล์ตั้งต้นเมื่อเกิดการปฏิสนธิของ เซลล์สืบพันธลุ์ ูกจะไดร้ ับการถ่ายทอดโครโมโซมชุดหน่งึ จากพอ่ และอีกชุดหนึ่งจาก แม่จึงเปน็ ผลใหร้ ่นุ ลกู มจี ำนวนโครโมโซมเทา่ กับรุ่นพ่อแมแ่ ละจะคงทใี่ นทุกๆ รุน่ 5. บอกได้ว่าการเปล่ียนแปลงของยีนหรือ • การเปลยี่ นแปลงของยนี หรือโครโมโซมสง่ ผลให้เกิดการเปลี่ยนแปลงลักษณะทาง โครโมโซมอาจทำให้เกิดโรคทางพันธุกรรม พันธุกรรมของส่ิงมีชีวิตเช่นโรคธาลัสซีเมียเกิดจากการเปลี่ยนแปลงของยีนกลุ่ม พรอ้ มท้ังยกตวั อย่างโรคทางพนั ธกุ รรม อาการดาวน์เกิดจากการเปลย่ี นแปลงจำนวนโครโมโซม 6. ตระหนักถึงประโยชน์ของความรู้เร่ืองโรค •โรคทางพันธุกรรมสามารถถ่ายทอดจากพ่อแม่ไปสู่ลูกได้ดงั นั้นก่อนแต่งงานและมี ทางพันธุกรรมโดยรู้ว่าก่อนแต่งงานควร บุตรจึงควรป้องกันโดยการตรวจและวินิจฉัยภาวะเสี่ยงจากการถ่ายทอดโรคทาง ปรึกษาแพทย์เพื่อตรวจและวินิจฉัยภาวะ พันธกุ รรม เส่ียงของลูกที่อาจเกิดโรคทางพนั ธุกรรม 7. อธิบายการใช้ประโยชน์จากสิ่งมีชีวิตดัด • มนุษย์เปลี่ยนแปลงพันธุกรรมของส่ิงมีชีวิตตามธรรมชาติเพ่ือให้ได้ส่ิงมีชีวิตท่ีมี แปรพันธุกรรมและผลกระทบที่อาจมีต่อ ลักษณะตามต้องการเรยี กสิง่ มีชวี ิตนว้ี ่าสิง่ มชี วี ิตดัดแปรพันธกุ รรม มนุษย์และส่ิงแวดล้อมโดยใชข้ ้อมูลท่ีรวบรวม •ในปัจจบุ ันมนุษย์มีการใชป้ ระโยชนจ์ ากส่ิงมีชีวติ ดัดแปรพันธกุ รรมเป็นจำนวนมาก ได้ เช่นการผลิตอาหารการผลิตยารักษาโรคการเกษตรอย่างไรก็ดีสังคมยังมีความ 8. ตระหนักถึงประโยชน์และผลกระทบของ กังวลเกี่ยวกับผลกระทบของส่ิงมีชีวิตดัดแปรพันธุกรรมท่ีมีต่อสิ่งมีชีวิตและ ส่ิงมีชีวิตดัดแปรพันธุกรรมที่อาจมีต่อมนุษย์ สิง่ แวดล้อมซึง่ ยงั ทำการตดิ ตามศกึ ษาผลกระทบดงั กลา่ ว และสิ่งแวดล้อมโดยการเผยแพร่ความรู้ที่ได้ จากการโต้แย้งทางวิทยาศาสตร์ซึ่งมีข้อมูล สนับสนุน 9. เปรียบเทียบความหลากหลายทาง • ความหลากหลายทางชีวภาพมี3ระดับได้แก่ความหลากหลายของระบบนิเวศ ชีวภาพในระดับชนิดส่ิงมีชีวิตในระบบนิเวศ ความหลากหลายของชนิดสิ่งมีชีวิตและความหลากหลายทางพันธุกรรมความ ต่างๆ หลากหลายทางชีวภาพนี้มีความสำคัญต่อการรักษาสมดุลของระบบนิเวศระบบ 1 0 . อ ธิ บ า ย ค ว า ม ส ำ คั ญ ข อ ง ค ว า ม นิเวศท่ีมีความหลากหลายทางชีวภาพสูงจะรักษาสมดุลได้ดีกว่าระบบนิเวศท่ีมี หลากหลายทางชีวภาพท่ีมีต่อการรักษา ความหลากหลายทางชีวภาพต่ำกว่านอกจากน้ีความหลากหลายทางชีวภาพยังมี สมดุลของระบบนิเวศและต่อมนษุ ย์ ความสำคัญต่อมนุษย์ในด้านต่างๆเช่นใช้เป็นอาหารยารักษาโรควัตถุดิบใน 11. แสดงความตระหนักในคุณ ค่าและ อุตสาหกรรมต่างๆดังน้ันจึงเป็นหน้าท่ีของทุกคนในการดูแลรักษาความ ความสำคัญ ของความหลากหลายทาง หลากหลายทางชีวภาพใหค้ งอยู่ ชีวภาพโดยมีส่วนร่วมในการดูแลรักษาความ หลากหลายทางชีวภาพ หลกั สูตรสถานศึกษา กลุ่มสาระการเรียนรู้วิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี โรงเรียนวดั วงั น้าเขียว

32 สาระที่ 2 วทิ ยาศาสตรก์ ายภาพ มาตรฐาน ว 2.1เขา้ ใจสมบัตขิ องสสารองคป์ ระกอบของสสารความสมั พันธ์ระหวา่ งสมบัตขิ องสสารกับโครงสร้าง และแรงยดึ เหน่ียวระหวา่ งอนุภาคหลักและธรรมชาติของการเปล่ยี นแปลงสถานะของสสารการเกดิ สารละลายและการ เกิดปฏกิ ริ ยิ าเคมี ชั้น ตวั ชี้วัด สาระการเรียนรแู้ กนกลาง ป.1 1. อธิบายสมบัติที่สังเกตได้ของวัสดุท่ีใช้ทำ • วัสดุท่ีใช้ทำวัตถุท่ีเป็นของเล่นของใช้มีหลายชนิดเช่นผ้าแก้วพลาสติกยางไม้อิฐ วัตถุซ่ึงทำจากวัสดุชนิดเดียวหรือหลายชนิด หนิ กระดาษโลหะวัสดุแตล่ ะชนิดมสี มบัติท่ีสังเกตได้ต่างๆเชน่ สีนมุ่ แขง็ ขรขุ ระเรียบ ประกอบกันโดยใชห้ ลักฐานเชงิ ประจักษ์ ใสขนุ่ ยดื หดได้บดิ งอได้ 2. ระบชุ นิดของวัสดแุ ละจดั กลมุ่ วสั ดุ •สมบัติที่สังเกตได้ของวสั ดุแต่ละชนิดอาจเหมือนกันซ่ึงสามารถนำมาใช้เป็นเกณฑ์ ตามสมบัตทิ ่สี ังเกตได้ ในการจัดกลุม่ วัสดไุ ด้ •วัสดุบางอย่างสามารถนำมาประกอบกันเพื่อทำเป็นวัตถุต่างๆเช่นผ้าและกร ะดุม ใชท้ ำเส้อื ไม้และโลหะใช้ทำกระทะ ป.2 1. เปรียบเทียบสมบัติการดูดซับน้ำของวัสดุ • วัสดุแต่ละชนิดมีสมบตั ิการดูดซับน้ำแตกต่างกันจึงนำไปทำวัตถุเพ่ือใช้ประโยชน์ โดยใช้หลักฐานเชิงประจักษ์และระบุการนำ ได้แตกต่างกันเช่นใชผ้ ้าที่ดดู ซบั นำ้ ได้มากทำผา้ เช็ดตวั ใชพ้ ลาสติกซ่ึงไมด่ ูดซบั น้ำทำ สมบัติการดูดซับนำ้ ของวัสดุไปประยุกต์ใช้ใน รม่ การทำวตั ถุในชวี ติ ประจำวัน 2. อธิบายสมบัติท่ีสังเกตได้ของวัสดุท่ีเกิด • วัสดุบางอย่างสามารถนำมาผสมกันซ่ึงทำให้ได้สมบัติที่เหมาะสมเพื่อนำไปใช้ จากการนำวัสดมุ าผสมกันโดยใช้หลักฐานเชิง ประโยชน์ตามต้องการเช่นแป้งผสมน้ำตาลและกะทิใช้ทำขนมไทยปูนปลาสเตอร์ ประจกั ษ์ ผสมเย่อื กระดาษใช้ทำกระปกุ ออมสนิ ปนู ผสมหนิ ทรายและน้ำใช้ทำคอนกรตี 3. เปรียบเทียบสมบัตทิ ี่สังเกตไดข้ องวัสดุเพื่อ • การนำวัสดุมาทำเป็นวัตถุในการใช้งานตามวัตถุประสงค์ข้ึนอยูก่ ับสมบัตขิ องวัสดุ น ำ ม า ท ำเป็ น วั ต ถุ ใน ก าร ใช้ ง าน ต า ม วัสดุท่ีใช้แล้วอาจนำกลับมาใช้ใหม่ได้เช่นกระดาษใช้แล้วอาจนำมาทำเป็นจรวด วตั ถุประสงค์และอธิบายการนำวัสดุท่ีใช้แล้ว กระดาษดอกไมป้ ระดิษฐถ์ ุงใสข่ อง กลบั มาใชใ้ หม่โดยใชห้ ลักฐานเชิงประจักษ์ 4. ตระหนักถึงประโยชน์ของการนำวัสดุที่ใช้ แล้วกลับมาใช้ใหม่โดยการนำวัสดุที่ใช้แล้ว กลับมาใช้ใหม่ ป.3 1. อธิบ ายว่าวัตถุป ระกอ บข้ึน จากช้ิน • วัตถุอาจทำจากช้ินส่วนย่อยๆซ่ึงแต่ละชิ้นมีลักษณะเหมือนกันมาประกอบเข้า ส่วนยอ่ ยๆซ่ึงสามารถแยกออกจากกันได้และ ด้วยกันเม่ือแยกช้ินส่วนย่อยๆแต่ละชิ้นของวัตถุออกจากกันสามารถนำชิ้นส่วน ประกอบกันเป็นวัตถุช้ินใหม่ได้โดยใช้ เหลา่ น้นั มาประกอบเป็นวตั ถุชิน้ ใหม่ได้เช่นกำแพงบา้ นมกี ้อนอฐิ หลกั ฐานเชงิ ประจกั ษ์ หลายๆก้อนประกอบเข้าด้วยกันและสามารถนำก้อนอิฐจากกำแพงบ้านมา ประกอบเปน็ พ้นื ทางเดินได้ 2. อธิบายการเปลีย่ นแปลงของวสั ดเุ มือ่ ทำให้ • เมอื่ ใหค้ วามรอ้ นหรอื ทำใหว้ ัสดุรอ้ นข้ึนและเม่ือลดความร้อนหรือทำให้วัสดเุ ย็น ร้อนขนึ้ หรอื ทำใหเ้ ย็นลงโดยใช้หลักฐานเชิง ลงวัสดจุ ะเกดิ การเปล่ียนแปลงไดเ้ ช่นสีเปลีย่ นรปู รา่ งเปลีย่ น ประจักษ์ หลกั สูตรสถานศึกษา กลมุ่ สาระการเรียนรู้วทิ ยาศาสตร์และเทคโนโลยี โรงเรียนวดั วงั น้าเขยี ว

33 ชนั้ ตวั ช้วี ดั สาระการเรยี นรแู้ กนกลาง ป.4 1. เปรียบเทียบสมบัติทางกายภาพด้านความ • วัสดุแต่ละชนิดมีสมบัติทางกายภาพแตกต่างกันวัสดุที่มีความแข็งจะทนต่อแรง แข็งสภาพยืดหยุ่นการนำความร้อนและการ ขูดขีดวัสดุท่ีมีสภาพยืดหยุ่นจะเปลี่ยนแปลงรูปร่างเม่ือมีแรงมากระทำและกลับ นำไฟฟา้ ของวสั ดุโดยใชห้ ลักฐานเชงิ ประจักษ์ สภาพเดิมได้วัสดุท่ีนำความร้อนจะร้อนได้เร็วเม่ือได้รับความร้อนและวัสดุที่นำ จากการทดลองและระบุการนำสมบัติเรื่อง ไฟฟ้าได้จะให้กระแสไฟฟ้าผ่านไดด้ ังนั้นจึงอาจนำสมบัติต่างๆมาพจิ ารณาเพื่อใชใ้ น ความแข็งสภาพยืดหยุ่นการนำความร้อน กระบวนการออกแบบช้ินงานเพอ่ื ใชป้ ระโยชน์ในชีวิตประจำวนั แ ล ะ ก า ร น ำ ไฟ ฟ้ า ข อ ง วั ส ดุ ไป ใช้ ใน ชีวิตประจำวันผ่านกระบวนการออกแบบ ช้นิ งาน 2. แลกเปล่ียนความคิดกับผู้อ่ืนโดยการ อภิปรายเกีย่ วกบั สมบัตทิ างกายภาพของวสั ดุ อยา่ งมเี หตุผลจากการทดลอง 3. เปรียบเทียบสมบัติของสสารท้ัง3สถานะ • วัสดุเป็นสสารเพราะมีมวลและต้องการที่อยู่สสารมีสถานะเป็นของแข็งของเหลว จากข้อมูลที่ได้จากการสังเกตมวลการ หรือแก๊สของแข็งมีปริมาตรและรูปร่างคงท่ีของเหลวมีปริมาตรคงที่แต่มีรูปร่าง ต้องการทอี่ ยรู่ ูปร่างและปริมาตรของสสาร เปลี่ยนไปตามภาชนะเฉพาะส่วนที่บรรจุของเหลวส่วนแก๊สมีปริมาตรและรูปร่าง 4. ใช้เครื่องมือเพื่อวัดมวลและปริมาตรของ เปล่ยี นไปตามภาชนะที่บรรจุ สสารทัง้ 3 สถานะ ป.5 1. อธิบายการเปล่ียนสถานะของสสาร เม่ือ • การเปล่ียนสถานะของสสารเป็นการเปล่ียนแปลงทางกายภาพ เม่ือเพ่ิมความ ทำให้สสารร้อนข้ึนหรือเย็นลง โดยใช้ ร้อนให้กับสสารถึงระดับหนึ่งจะทำให้สสารท่ีเป็นของแข็งเปล่ียนสถานะเป็น หลกั ฐานเชงิ ประจกั ษ์ ของเหลว เรียกว่า การหลอมเหลว และเม่ือเพ่ิมความร้อนต่อไปจนถึงอีกระดับ หน่ึงของเหลวจะเปล่ียนเป็นแก๊ส เรียกว่าการกลายเป็นไอ แต่เมื่อลดความร้อนลง ถึงระดบั หนึง่ แก๊สจะเปลีย่ นสถานะเป็นของเหลว เรียกว่าการควบแน่น และถา้ ลด ความร้อนต่อไปอีกจนถึงระดับหนึ่งของเหลวจะเปลี่ยนสถานะเป็นของแข็ง เรยี กวา่ การแข็งตวั สสารบางชนดิ สามารถเปล่ยี นสถานะจากของแข็งเป็นแกส๊ โดย ไม่ผ่านการเป็นของเหลว เรียกว่า การระเหิด ส่วนแก๊สบางชนิดสามารถเปลี่ยน สถานะเป็นของแขง็ โดยไม่ผ่านการเป็นของเหลว เรียกว่า การระเหดิ กลบั 2. อธิบายการละลายของสารในน้ำ โดยใช้ • เม่ือใส่สารลงในน้ำแลว้ สารน้ันรวมเปน็ เนอื้ เดยี วกันกบั นำ้ ท่ัวทุกส่วน แสดงว่าสาร หลกั ฐานเชิงประจักษ์ เกิดการละลาย เรียกสารผสมทไ่ี ดว้ ่าสารละลาย 3. วิเคราะห์การเปล่ียนแปลงของสารเมือ่ เกิด • เมอื่ ผสมสาร 2 ชนิดข้ึนไปแลว้ มีสารใหม่เกิดข้ึน ซงึ่ มีสมบัติตา่ งจากสารเดมิ หรอื การเปลยี่ นแปลงทางเคมี โดยใชห้ ลกั ฐานเชงิ เมอ่ื สารชนิดเดียว เกิดการเปล่ียนแปลงแล้วมีสารใหมเ่ กิดขึ้นการเปล่ียนแปลงนี้ ประจกั ษ์ เรียกวา่ การเปล่ียนแปลงทางเคมี ซงึ่ สังเกตไดจ้ ากมีสหี รอื กลน่ิ ตา่ งจากสารเดมิ หรอื มฟี องแกส๊ หรอื มีตะกอนเกดิ ขึ้น หรอื มกี ารเพิ่มขนึ้ หรือลดลงของอณุ หภมู ิ หลกั สูตรสถานศึกษา กลุม่ สาระการเรียนรู้วิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี โรงเรียนวดั วงั น้าเขียว

34 ช้นั ตวั ช้ีวัด สาระการเรียนร้แู กนกลาง ป.5 4. วิเคราะห์และระบุการเปลี่ยนแปลงที่ผัน • เมื่อสารเกิดการเปลี่ยนแปลงแล้ว สารสามารถเปล่ียนกลับเป็นสารเดิมได้ เป็น กลบั ไดแ้ ละการเปล่ียนแปลงทีผ่ ันกลบั ไมไ่ ด้ การเปลี่ยนแปลงท่ีผันกลับได้ เช่น การหลอมเหลว การกลายเป็นไอ การละลาย แต่สารบางอย่างเกิดการเปลี่ยนแปลง แล้วไม่สามารถเปลี่ยนกลับเป็นสารเดิมได้ เป็นการเปลยี่ นแปลงทผี่ นั กลับไม่ได้ เชน่ การเผาไหม้ การเกดิ สนิม ป.6 1. อธิบายและเปรียบเทียบการแยกสารผสม • สารผสมประกอบด้วยสารต้ังแต่ 2 ชนิดขึ้นไปผสมกัน เช่น น้ำมันผสมน้ำ โดยการหยิบออก การร่อน การใช้แม่เหล็ก ข้าวสารปนกรวดทราย วิธีการที่เหมาะสมในการแยกสารผสมข้ึนอยู่กับลักษณะ ดึงดูด การรินออก การกรอง และการ และสมบัติของสารทผ่ี สมกนั ถ้าองค์ประกอบของสารผสมเป็นของแข็งกบั ของแข็ง ตกตะกอนโดยใช้หลักฐานเชิงประจักษ์ ที่มีขนาดแตกตา่ งกันอย่างชัดเจน อาจใชว้ ิธีการหยิบออกหรอื การร่อนผ่านวัสดุที่มี รวมท้ังระบุวิธีแก้ปัญหาในชีวิตประจำวัน รู ถ้ามีสารใดสารหนึ่งเป็นสารแม่เหล็กอาจใช้วิธีการใช้แม่ เหล็กดึงดูด ถ้า เก่ยี วกับการแยกสาร องค์ประกอบเป็นของแข็งที่ไม่ละลายในของเหลว อาจใช้วิธีการรินออก การกรอง หรือการตกตะกอนซึ่งวิธีการแยกสารสามารถนำไปใช้ประโยชน์ในชีวิตประจำวัน ได้ ม.1 1. อธิบายสมบัติทางกายภาพบางประการ • ธาตุแต่ละชนดิ มีสมบัตเิ ฉพาะตัวและมีสมบตั ิทางกายภาพบางประการเหมือนกัน ของธาตุโลหะ อโลหะ และกึ่งโลหะ โดยใช้ และบางประการต่างกัน ซึ่งสามารถนำมาจัดกลุ่มธาตุเป็นโลหะ อโลหะ และกึ่ง หลักฐานเชิงประจักษ์ทไี่ ด้จากการสงั เกตและ โลหะ ธาตุโลหะมจี ดุ เดอื ด จดุ หลอมเหลวสงู มีผิวมันวาว นำความร้อนนำไฟฟ้า ดึง การทดสอบ และใช้สารสนเทศที่ได้จาก เป็นเส้นหรือตีเป็นแผ่นบาง ๆ ได้ และมีความหนาแน่นทั้งสูงและต่ำ ธาตุอโลหะมี แหล่งข้อมูลต่าง ๆ รวมท้ังจัดกลุ่มธาตุเป็น จุดเดือด จุดหลอมเหลวต่ำ มีผิวไม่มันวาวไม่นำความร้อน ไม่นำไฟฟ้า เปราะ โลหะ อโลหะ และก่ึงโลหะ แตกหักงา่ ย และมีความหนาแนน่ ตำ่ ธาตุก่ึงโลหะมีสมบัติบางประการเหมอื นโลหะ และสมบัติบางประการเหมอื นอโลหะ 2. วิเคราะห์ผลจากการใช้ธาตุโลหะอโลหะ • ธาตุโลหะอโลหะและกึ่งโลหะทสี่ ามารถแผ่รงั สีไดจ้ ดั เป็นธาตกุ ัมมนั ตรังสี กึ่งโลหะและธาตุกัมมันตรังสีท่ีมีต่อสิ่งมีชีวิต • ธาตุมีทั้งประโยชน์และโทษการใช้ธาตุโลหะอโลหะกึ่งโลหะธาตุกัมมันตรังสีควร สิ่งแวดล้อมเศรษฐกิจและสังคมจากข้อมูลที่ คำนึงถึงผลกระทบต่อสง่ิ มีชวี ิตสง่ิ แวดล้อมเศรษฐกจิ และสงั คม รวบรวมได้ 3. ตระหนักถึงคุณค่าของการใช้ธาตุโลหะ อโลหะก่งึ โลหะธาตุกัมมันตรังสโี ดยเสนอแนว ทางการใช้ธาตอุ ยา่ งปลอดภยั คุม้ ค่า 4. เปรียบเทยี บจดุ เดือดจดุ หลอมเหลว • สารบรสิ ุทธปิ์ ระกอบด้วยสารเพียงชนิดเดยี วส่วนสารผสมประกอบด้วยสารต้ังแต่ ของสารบริสุทธิ์และสารผสมโดยการวัด 2ชนิดขึ้นไปสารบริสุทธิ์แต่ละชนิดมีสมบัติบางประการที่เป็นค่าเฉพาะตัวเช่นจุด อุณหภูมิเขียนกราฟแปลความหมายข้อมูล เดือดและจุดหลอมเหลวคงท่ีแตส่ ารผสมมจี ุดเดอื ดและจุดหลอมเหลวไม่คงที่ข้ึนอยู่ จากกราฟหรอื สารสนเทศ กับชนดิ และสัดส่วนของสารที่ผสมอยู่ด้วยกัน หลกั สูตรสถานศึกษา กลุ่มสาระการเรียนรู้วทิ ยาศาสตร์และเทคโนโลยี โรงเรียนวดั วงั น้าเขยี ว

35 ชั้น ตัวช้ีวดั สาระการเรยี นร้แู กนกลาง ม.1 5. อธิบายและเปรียบเทียบความ • สารบริสุทธิ์แต่ละชนิดมีความหนาแน่นหรือมวลต่อหน่ึงหน่วยปริมาตรคงท่ีเป็นค่าเฉพาะ หนาแน่นของสารบริสุทธ์ิและสาร ของสารนั้น ณ สถานะและอุณหภูมิหน่ึงแต่สารผสมมีความหนาแน่นไม่คงที่ข้ึนอยู่กับชนิด ผสม และสดั ส่วนของสารทีผ่ สมอยูด่ ว้ ยกัน 6. ใช้เครื่องมือเพ่ือวัดมวลและ ปริมาตรของสารบริสุทธิ์และสาร ผสม 7. อธิบายเก่ียวกับความสัมพันธ์ • สารบริสุทธ์ิแบ่งออกเป็นธาตแุ ละสารประกอบธาตปุ ระกอบด้วยอนุภาคทีเ่ ล็กทส่ี ดุ ท่ียังแสดง ร ะ ห ว่ า ง อ ะ ต อ ม ธ า ตุ แ ล ะ สมบัติของธาตุน้ันเรียกว่าอะตอมธาตุแต่ละชนิดประกอบด้วยอะตอมเพียงชนิดเดียวและไม่ สารประกอบโดยใช้แบบจำลอง สามารถแยกสลายเป็นสารอ่ืนได้ด้วยวิธีทางเคมีธาตุเขียนแทนด้วยสัญลักษณ์ธาตุ และสารสนเทศ สารประกอบเกิดจากอะตอมของธาตตุ ้ังแต่ 2 ชนดิ ข้ึนไปรวมตวั กันทางเคมใี นอัตราสว่ นคงท่ีมี สมบัติแตกต่างจากธาตุท่ีเป็นองค์ประกอบสามารถแยกเป็นธาตุได้ด้วยวิธีทางเคมีธาตุและ สารประกอบสามารถเขียนแทนได้ด้วยสูตรเคมี 8. อธิบายโครงสร้างอะตอมที่ • อะตอมประกอบด้วยโปรตอนนิวตรอนและอิเล็กตรอนโปรตอนมีประจุไฟฟ้าบวกธาตุชนิด ประกอบด้วยโปรตอนนิวตรอน เดียวกันมีจำนวนโปรตอนเท่ากันและเป็นค่าเฉพาะของธาตุน้ันนิวตรอนเป็นกลางทางไฟฟ้า และอเิ ล็กตรอนโดยใชแ้ บบจำลอง ส่วนอิเล็กตรอนมีประจุไฟฟ้าลบเมื่ออะตอมมีจำนวนโปรตอนเท่ากับจำนวนอิเล็กตรอนจะ เป็นกลางทางไฟฟ้าโปรตอนและนิวตรอนรวมกันตรงกลางอะตอมเรียกว่านิวเคลียสส่วน อเิ ล็กตรอนเคลือ่ นทอ่ี ยใู่ นทว่ี า่ งรอบนวิ เคลียส 9. อธิบายและเปรียบเทียบการ • สสารทุกชนิดประกอบดว้ ยอนุภาคโดยสารชนดิ เดยี วกันทีม่ ีสถานะของแข็งของเหลวแก๊สจะ จัดเรียงอนุภาคแรงยึดเหน่ียว มีการจัดเรียงอนุภาคแรงยึดเหน่ียวระหว่างอนุภาคการเคล่ือนท่ีของอนุภาคแตกต่างกันซ่ึงมี ระหว่างอนุภาคและการเคลื่อนที่ ผลตอ่ รปู ร่างและปรมิ าตรของสสาร ข อ งอ นุ ภ าค ข อ ง ส ส า ร ช นิ ด • อนุภาคของของแข็งเรียงชิดกันมีแรงยึดเหน่ียวระหว่างอนุภาคมากท่ีสุดอนุภาคส่ันอยู่กับที่ เดี ย วกั น ใน ส ถ าน ะ ข อ งแ ข็ ง ทำใหม้ รี ปู ร่างและปริมาตรคงที่ ข อ ง เห ล ว แ ล ะ แ ก๊ ส โด ย ใช้ • อนุภาคของของเหลวอยใู่ กลก้ ันมีแรงยึดเหนี่ยวระหว่างอนภุ าคน้อยกวา่ ของแขง็ แต่มากกว่า แบบจำลอง แก๊สอนภุ าคเคลอื่ นทไี่ ดแ้ ต่ไม่เป็นอิสระเทา่ แกส๊ ทำให้มรี ูปรา่ งไมค่ งท่แี ต่ปริมาตรคงที่ • อนุภาคของแก๊สอยู่ห่างกันมากมีแรงยดึ เหน่ียวระหว่างอนุภาคน้อยท่ีสุดอนุภาคเคล่ือนที่ได้ อยา่ งอสิ ระทุกทิศทางทำใหม้ รี ูปร่างและปริมาตรไม่คงที่ หลกั สูตรสถานศึกษา กลมุ่ สาระการเรียนรู้วทิ ยาศาสตร์และเทคโนโลยี โรงเรียนวดั วงั น้าเขียว

36 ชั้น ตัวชวี้ ัด สาระการเรียนรแู้ กนกลาง ม.1 10. อธบิ ายความสัมพันธ์ระหวา่ ง • ความร้อนมีผลต่อการเปลี่ยนสถานะของสสารเม่ือให้ความร้อนแก่ของแข็งอนุภาคของ พลังงานความร้อนกับการเปลี่ยน ของแข็งจะมีพลังงานและอุณหภูมิเพ่ิมข้ึนจนถึงระดับหนึ่งซ่ึงของแข็งจะใช้ความร้อนในการ สถานะของสสารโดยใช้หลักฐาน เปล่ียนสถานะเป็นของเหลวเรียกความร้อนที่ใช้ในการเปล่ียนสถานะจากของแข็งเป็น เชงิ ประจักษ์และแบบจำลอง ของเหลวว่าความร้อนแฝงของการหลอมเหลวและอุณหภูมิขณะเปล่ียนสถานะจะคงท่ีเรียก อุณหภมู ินว้ี า่ จดุ หลอมเหลว • เมื่อให้ความร้อนแก่ของเหลวอนุภาคของของเหลวจะมีพลังงานและอุณหภูมิเพิ่มขึ้นจนถึง ระดับหนึ่งซึ่งของเหลวจะใช้ความร้อนในการเปล่ียนสถานะเป็นแก๊สเรียกความร้อนท่ีใช้ใน การเปล่ียนสถานะจากของเหลวเป็นแก๊สว่าความร้อนแฝงของการกลายเป็นไอและอุณหภูมิ ขณะเปลย่ี นสถานะจะคงที่เรยี กอณุ หภูมิน้วี ่าจดุ เดอื ด • เมื่อทำให้อุณหภูมิของแก๊สลดลงจนถึงระดับหนึ่งแก๊สจะเปลี่ยนสถานะเป็นของเหลวเรียก อุณหภูมินว้ี า่ จดุ ควบแน่นซ่ึงมอี ณุ หภูมิเดยี วกับจุดเดอื ดของของเหลวนัน้ • เมื่อทำให้อุณหภูมิของของเหลวลดลงจนถึงระดับหนึ่งของเหลวจะเปล่ียนสถานะเป็น ของแขง็ เรียกอณุ หภมู ิน้ีว่าจุดเยือกแขง็ ซ่ึงมอี ุณหภูมเิ ดียวกบั จุดหลอมเหลวของของแขง็ นน้ั ม.2 1. อธิบายการแยกสารผสมโดย • การแยกสารผสมให้เป็นสารบริสุทธิ์ทำได้หลายวิธีขึ้นอยู่กับสมบัติของสารน้ันๆการระเหย การระเหยแห้งการตกผลึกการ แห้งใช้แยกสารละลายซึ่งประกอบด้วยตัวละลายที่เป็นของแข็งในตัวทำละลายท่ีเป็น กล่ันอย่างง่ายโครมาโทกราฟีแบบ ของเหลวโดยใชค้ วามร้อนระเหยตวั ทำละลายออกไปจนหมดเหลือแตต่ วั ละลายการตกผลึกใช้ ก ระ ดาษ ก ารสกั ด ด้วย ตัวท ำ แยกสารละลายท่ีประกอบด้วยตัวละลายที่เป็นของแขง็ ในตัวทำละลายท่ีเป็นของเหลวโดยทำ ล ะ ล า ย โด ย ใช้ ห ลั ก ฐ า น เชิ ง ใหส้ ารละลายอ่ิมตวั แลว้ ปล่อยใหต้ ัวทำละลายระเหยออกไปบางสว่ นตัวละลายจะตกผลกึ แยก ประจกั ษ์ ออกมาการกลั่นอย่างง่ายใช้แยกสารละลายที่ประกอบด้วยตัวละลายและตัวทำละลายที่เป็น 2. แยกสารโดยการระเหยแหง้ การ ของเหลวทีม่ ีจุดเดือดต่างกันมากวิธีน้ีจะแยกของเหลวบรสิ ุทธ์อิ อกจากสารละลายโดยใหค้ วาม ตกผลึกการกลนั่ อยา่ งงา่ ย รอ้ นกับสารละลายของเหลวจะเดือดและกลายเป็นไอแยกจากสารละลายแล้วควบแน่นกลับ โครมาโทกราฟีแบบกระดาษการ เป็นของเหลวอีกครงั้ ขณะท่ขี องเหลวเดือดอณุ หภมู ขิ องไอจะคงทโี่ ครมาโทกราฟแี บบกระดาษ สกัดด้วยตวั ทำละลาย เป็นวิธีการแยกสารผสมที่มีปริมาณน้อยโดยใช้แยกสารท่ีมีสมบัติการละลายในตัวทำละลาย และการถูกดูดซับด้วยตัวดูดซับแตกต่างกันทำให้สารแต่ละชนิดเคล่ือนที่ไปบนตัวดูดซับได้ ต่างกันสารจึงแยกออกจากกันได้อัตราส่วนระหว่างระยะทางท่ีสารองค์ประกอบแต่ละชนิด เคลอ่ื นที่ได้บนตัวดดู ซับกับระยะทางทต่ี ัวทำละลายเคล่ือนท่ีได้เป็นค่าเฉพาะตวั ของสารแต่ละ ชนิดในตวั ทำละลายและตัวดูดซับหนึ่งๆการสกัดด้วยตัวทำละลายเป็นวธิ ีการแยกสารผสมทีม่ ี สมบัตกิ ารละลายในตัวทำละลายท่ีตา่ งกันโดยชนดิ ของตัวทำละลายมีผลต่อชนิดและปรมิ าณ ของสารที่สกัดได้การสกัดโดยการกลั่นด้วยไอน้ำใช้แยกสารที่ระเหยง่ายไม่ละลายน้ำและไม่ ทำปฏิกริ ิยากบั น้ำออกจากสารทร่ี ะเหยยากโดยใช้ไอน้ำเป็นตัวพา หลกั สูตรสถานศึกษา กลมุ่ สาระการเรียนรู้วทิ ยาศาสตร์และเทคโนโลยี โรงเรียนวดั วงั น้าเขียว

37 ช้นั ตัวช้วี ดั สาระการเรียนรแู้ กนกลาง ม.2 3 . น ำวิ ธี ก าร แ ย ก ส าร ไป ใช้ • ความรู้ด้านวิทยาศาสตร์เก่ียวกับการแยกสารบูรณาการกับคณิตศาสตร์เทคโนโลยีโดยใช้ แก้ปัญหาในชีวิตประจำวันโดย กระบวนการทางวิศวกรรมสามารถนำไปใช้แก้ปัญหาในชีวิตประจำวันหรือปัญหาที่พบใน บู ร ณ า ก า ร วิ ท ย า ศ า ส ต ร์ ชมุ ชนหรอื สรา้ งนวตั กรรมโดยมีขั้นตอนดงั น้ี คณิ ต ศ าส ต ร์เท ค โน โล ยี แ ล ะ - ระบุปัญหาในชีวิตประจำวันที่เก่ียวกับการแยกสารโดยใช้สมบัติทางกายภาพหรือ วศิ วกรรมศาสตร์ นวัตกรรมท่ตี อ้ งการพฒั นาโดยใช้หลักการดังกล่าว - รวบรวมข้อมูลและแนวคิดเก่ียวกับการแยกสารโดยใช้สมบัติทางกายภาพท่ีสอดคล้อง กบั ปัญหาทร่ี ะบหุ รือนำไปสู่การพัฒนานวัตกรรมนน้ั - ออกแบบวิธีการแก้ปัญหาหรือพัฒนานวัตกรรมที่เก่ียวกับการแยกสารในสารผสมโดย ใช้สมบัติทางกายภาพโดยเช่ือมโยงความรู้ด้านวิทยาศาสตร์คณิตศาสตร์เทคโนโลยีและ กระบวนการทางวศิ วกรรมรวมทั้งกำหนดและควบคุมตัวแปรอยา่ งเหมาะสมครอบคลุม - วางแผนและดำเนินการแก้ปัญหาหรือพัฒนานวัตกรรมรวบรวมข้อมูลจัดกระทำข้อมูล และเลอื กวธิ ีการส่ือความหมายทีเ่ หมาะสมในการนำเสนอผล - ทดสอบประเมินผลปรับปรุงวิธกี ารแกป้ ัญหาหรอื นวัตกรรมที่พัฒนาข้ึนโดยใชห้ ลักฐาน เชงิ ประจกั ษ์ท่รี วบรวมได้ - นำเสนอวิธีการแก้ปัญหาหรือผลของนวัตกรรมท่ีพัฒนาขึ้นและผลที่ได้โดยใช้วิธีการ สอ่ื สารทเี่ หมาะสมและน่าสนใจ 4. ออกแบบการทดลองและ • สารละลายอาจมีสถานะเป็นของแข็งของเหลวและแก๊สสารละลายประกอบด้วยตัวทำ ทดลองในการอธิบายผลของชนิด ละลายและตัวละลายกรณีสารละลายเกดิ จากสารท่ีมสี ถานะเดียวกันสารท่มี ีปริมาณมากที่สุด ตัวละ ลาย ชนิ ดตัวท ำละลาย จดั เป็นตัวทำละลายกรณีสารละลายเกิดจากสารที่มีสถานะต่างกันสารที่มีสถานะเดียวกันกับ อุณหภูมิที่มีต่อสภาพละลายได้ สารละลายจัดเปน็ ตัวทำละลาย ของสารรวมท้ังอธิบายผลของ • สารละลายที่ตัวละลายไม่สามารถละลายในตัวทำละลายได้อีกที่อุณหภูมิหน่ึงๆเรียกว่า ความดันท่ีมีต่อสภาพละลายได้ สารละลายอิม่ ตัว ของสารโดยใช้สารสนเทศ • สภาพละลายได้ของสารในตัวทำละลายเป็นค่าท่ีบอกปริมาณของสารที่ละลายได้ในตัวทำ ละลาย 100 กรัมจนได้สารละลายอิ่มตัว ณ อุณหภูมิและความดันหน่ึงๆสภาพละลายได้ของ สารบ่งบอกความสามารถในการละลายได้ของตัวละลายในตัวทำละลายซึ่งความสามารถใน การละลายของสารขึ้นอยูก่ บั ชนิดของตวั ทำละลายและตวั ละลายอณุ หภมู แิ ละความดัน • สารชนิดหนึ่งๆมีสภาพละลายได้แตกต่างกันในตัวทำละลายที่แตกต่างกันและสารต่างชนิด กนั มีสภาพละลายไดใ้ นตวั ทำละลายหนง่ึ ๆไมเ่ ท่ากัน • เมื่ออุณหภูมิสูงขึ้นสารส่วนมากสภาพละลายได้ของสารจะเพ่ิมขึ้นยกเว้นแก๊สเมื่ออุณหภูมิ สูงข้ึนสภาพการละลายได้จะลดลงส่วนความดันมีผลต่อแก๊สโดยเมื่อความดันเพิ่มขึ้นสภาพ ละลายไดจ้ ะสูงข้นึ • ความรู้เก่ียวกับสภาพละลายได้ของสารเม่ือเปล่ียนแปลงชนิดตัวละลายตัวทำละลายและ อุณหภูมิสามารถนำไปใช้ประโยชน์ในชีวิตประจำวันเช่นการทำน้ำเชื่อมเข้มข้นการสกัดสาร ออกจากสมนุ ไพรให้ไดป้ ริมาณมากท่สี ุด หลกั สูตรสถานศึกษา กลุ่มสาระการเรียนรู้วิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี โรงเรียนวดั วงั น้าเขียว

38 ชั้น ตัวชี้วัด สาระการเรียนรู้แกนกลาง ม.2 5. ระบุ ป ริมาณ ตัวละ ลาย ใน • ความเข้มขน้ ของสารละลายเปน็ การระบุปริมาณตัวละลายในสารละลายหนว่ ยความเข้มข้น สารละลายในหน่วยความเข้มข้น มีหลายหน่วยที่นิยมระบุเป็นหน่วยเป็นร้อยละปริมาตรต่อปริมาตรมวลต่อมวลและมวลต่อ เป็นร้อยละปริมาตรต่อปริมาตร ปรมิ าตร มวลตอ่ มวลและมวลต่อปรมิ าตร •ร้อยละโดยปริมาตรต่อปริมาตรเป็นการระบุปริมาตรตัวละลายในสารละลาย100หน่วย 6. ตระหนักถึงความสำคัญของ ปรมิ าตรเดียวกันนยิ มใช้กับสารละลายท่เี ป็นของเหลวหรอื แก๊ส การนำความรู้เร่ืองความเข้มข้น •ร้อยละโดยมวลต่อมวลเปน็ การระบุมวลตัวละลายในสารละลาย100หน่วยมวลเดียวกันนิยม ของสารไปใช้โดยยกตัวอย่างการ ใชก้ ับสารละลายที่มสี ถานะเป็นของแขง็ ใช้สารละลายในชีวิตประจำวัน •ร้อยละโดยมวลต่อปริมาตรเป็นการระบุมวลตวั ละลายในสารละลาย100หน่วยปรมิ าตรนิยม อย่างถกู ต้องและปลอดภัย ใชก้ ับสารละลายท่ีมตี ัวละลายเป็นของแขง็ ในตวั ทำละลายที่เป็นของเหลว •การใช้สารละลายในชีวิตประจำวันควรพิจารณาจากความเข้มข้นของสารละลายขึ้นอยู่กับ จุดประสงค์ของการใช้งานและผลกระทบต่อส่งิ ชวี ติ และส่ิงแวดล้อม ม.3 1. ระบุสมบัติทางกายภาพและ • พอลิเมอร์เซรามกิ ส์และวัสดุผสมเปน็ วัสดุทใ่ี ช้มากในชีวติ ประจำวัน การใช้ประโยชน์วัสดุประเภทพอลิ • พอลิเมอร์เป็นสารประกอบโมเลกุลใหญ่ท่เี กดิ จากโมเลกลุ จำนวนมากรวมตัวกนั ทางเคมีเช่น เมอร์เซรามิกสแ์ ละวัสดุผสมโดยใช้ พลาสติกยางเส้นใยซึ่งเป็นพอลิเมอร์ท่ีมีสมบัติแตกต่างกนั โดยพลาสติกเปน็ พอลิเมอร์ที่ข้ึนรูป ห ลั ก ฐ า น เชิ ง ป ร ะ จั ก ษ์ แ ล ะ เป็นรูปทรงต่างๆได้ยางยืดหยุ่นได้ส่วนเส้นใยเป็นพอลิเมอร์ท่ีสามารถดึงเป็นเส้นยาวได้พอลิ สารสนเทศ เมอร์จึงใช้ประโยชนไ์ ด้แตกตา่ งกนั 2. ตระหนักถึงคุณค่าของการใช้ • เซรามิกส์เป็นวัสดุท่ีผลิตจากดินหินทรายและแร่ธาตุต่างๆจากธรรมชาติและส่วนมากจะ วัสดุประเภทพอลิเมอร์เซรามิกส์ ผ่านการเผาที่อุณหภูมิสูงเพื่อให้ได้เน้ือสารท่ีแข็งแรงเซรามิกส์สามารถทำเป็นรูปทรงต่างๆได้ และวัสดุผสมโดยเสนอแนะแนว สมบัติท่ัวไปของเซรามิกส์จะแข็งทนต่อการสึกกร่อนและเปราะสามารถนำไปใชป้ ระโยชน์ได้ ทางการใช้วัสดุอย่างประหยัดและ เชน่ ภาชนะที่เปน็ เครอื่ งปั้นดนิ เผาช้ินสว่ นอเิ ล็กทรอนกิ ส์ คุ้มค่า • วัสดุผสมเป็นวัสดุท่ีเกิดจากวัสดุต้ังแต่2ประเภทท่ีมีสมบัติแตกต่างกันมารวมตัวกันเพื่อ นำไปใช้ประโยชน์ได้มากข้ึนเช่นเสื้อกันฝนบางชนิดเป็นวัสดุผสมระหว่างผ้ากับยางคอนกรีต เสรมิ เหล็กเปน็ วัสดผุ สมระหว่างคอนกรตี กับเหล็ก • วัสดุบางชนิดสลายตัวยากเช่นพลาสติกการใช้วัสดุอย่างฟุ่มเฟือยและไม่ระมัดระวังอาจก่อ ปญั หาตอ่ ส่งิ แวดลอ้ ม 3. อธิบายการเกิดปฏิกิริยาเคมี • การเกิดปฏิกิรยิ าเคมีหรือการเปลี่ยนแปลงทางเคมขี องสารเป็นการเปลี่ยนแปลงท่ีทำให้เกิด รวมถึงการจัดเรียงตัวใหม่ของ สารใหม่โดยสารที่เข้าทำปฏิกิริยาเรียกว่าสารต้ังต้นสารใหม่ท่ีเกิดขึ้นจากปฏิกิริยาเรียกว่า อะตอมเมื่อเกิดปฏิกิริยาเคมีโดย ผลติ ภณั ฑ์การเกดิ ปฏิกิรยิ าเคมสี ามารถเขียนแทนไดด้ ้วยสมการขอ้ ความ ใช้แบบจำลองและสมการขอ้ ความ • การเกิดปฏิกิริยาเคมีอะตอมของสารตั้งต้นจะมีการจัดเรียงตัวใหม่ได้เป็นผลิตภัณฑ์ซ่ึงมี สมบัติแตกต่างจากสารตั้งต้นโดยอะตอมแต่ละชนิดก่อนและหลังเกิดปฏิกิริยาเคมีมีจำนวน เทา่ กัน 4. อธิบายกฎทรงมวลโดยใช้ • เม่อื เกิดปฏิกริ ยิ าเคมมี วลรวมของสารตัง้ ตน้ เท่ากับมวลรวมของผลิตภณั ฑซ์ ึง่ เป็นไปตาม หลักฐานเชิงประจักษ์ กฎทรงมวล หลกั สูตรสถานศึกษา กลมุ่ สาระการเรียนรู้วิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี โรงเรียนวดั วงั น้าเขียว

39 ช้ัน ตัวช้ีวัด สาระการเรียนรู้แกนกลาง ม.3 5. วิเคราะห์ปฏิกิริยาดูดความรอ้ น • เม่ือเกิดปฏิกริ ิยาเคมมี กี ารถ่ายโอนความรอ้ นควบคู่ไปกับการจดั เรียงตัวใหม่ของอะตอมของ และปฏิกิริยาคายความร้อนจาก สารปฏิกิริยาที่มีการถ่ายโอนความร้อนจากสิ่งแวดล้อมเข้าสู่ระบบเป็นปฏิกิรยิ าดูดความร้อน การเปล่ียนแปลงพลังงานความ ปฏิกิริยาท่ีมีการถ่ายโอนความร้อนจากระบบออกสู่สิ่งแวดล้อมเป็นปฏิกิริยาคายความร้อน รอ้ นของปฏิกิริยา โดยใช้เครื่องมือที่เหมาะสมในการวัดอุณหภูมิเช่นเทอร์มอมิเตอร์หัววัดที่สามารถตรวจสอบ การเปลี่ยนแปลงของอณุ หภูมิไดอ้ ยา่ งตอ่ เนอ่ื ง 6. อธิบายปฏิกิริยาการเกิดสนิม • ปฏิกิริยาเคมีที่พบในชีวิตประจำวันมีหลายชนิดเช่นปฏิกิริยาการเผาไหม้การเกิดสนิมของ ของเหล็กปฏิกิริยาของกรดกับ เหลก็ ปฏิกริ ิยาของกรดกบั โลหะปฏกิ ิริยาของกรดกับเบสปฏกิ ิรยิ าของเบสกบั โลหะการเกดิ ฝน โลหะปฏิกิริยาของกรดกับเบส กรดการสงั เคราะหด์ ้วยแสงปฏกิ ริ ิยาเคมสี ามารถเขียนแทนไดด้ ้วยสมการข้อความซ่ึงแสดงช่ือ และปฏิกิรยิ าของเบสกับโลหะโดย ของสารตง้ั ต้นและผลิตภณั ฑ์เช่น ใช้ห ลักฐานเชิงประจักษ์และ เชื้อเพลิง + ออกซิเจน→คาร์บอนไดออกไซด์ + น้ำปฏิกิริยาการเผาไหม้เป็นปฏิกิริยา อธิบายปฏิกิริยาการเผาไหม้การ ระหว่างสารกับออกซิเจนสารที่เกิดปฏิกิริยาการเผาไหม้ส่วนใหญ่เป็นสารประกอบที่มี เกิดฝนกรดการสังเคราะห์ด้วย คาร์บอนและไฮโดรเจนเป็นองค์ประกอบซึ่งถ้าเกิดการเผาไหม้อย่างสมบูรณ์จะได้ผลิตภัณฑ์ แสงโดยใช้สารสนเทศรวมท้ังเขยี น เปน็ คารบ์ อนไดออกไซด์และนำ้ สมการข้อความแสดงปฏิกิริยา • การเกิดสนิมของเหล็กเกิดจากปฏกิ ิริยาเคมรี ะหวา่ งเหลก็ น้ำและออกซิเจนไดผ้ ลิตภณั ฑ์เป็น ดงั กลา่ ว สนมิ ของเหล็ก • ปฏิกริ ยิ าการเผาไหมแ้ ละการเกดิ สนมิ ของเหล็กเป็นปฏิกิรยิ าระหวา่ งสารต่างๆกับออกซิเจน • ปฏิกิริยาของกรดกับโลหะกรดทำปฏิกิริยากับโลหะไดห้ ลายชนดิ ได้ผลิตภัณฑ์เป็นเกลือของ โลหะและแกส๊ ไฮโดรเจน • ปฏิกิริยาของกรดกับสารประกอบคารบ์ อเนตไดผ้ ลิตภัณฑเ์ ป็นแกส๊ คาร์บอนไดออกไซดเ์ กลือ ของโลหะและน้ำ • ปฏิกิริยาของกรดกับเบสได้ผลิตภัณฑ์เป็นเกลือของโลหะและน้ำหรืออาจได้เพียงเกลือของ โลหะ • ปฏกิ ิริยาของเบสกับโลหะบางชนิดได้ผลติ ภณั ฑ์เป็นเกลอื ของเบสและแก๊สไฮโดรเจน • การเกิดฝนกรดเป็นผลจากปฏิกิริยาระหว่างน้ำฝนกับออกไซด์ของไนโตรเจนหรือออกไซด์ ของซลั เฟอรท์ ำใหน้ ้ำฝนมสี มบัติเป็นกรด • การสังเคราะห์ด้วยแสงของพืชเป็นปฏิกิริยาระหว่างแก๊สคาร์บอนไดออกไซด์กับน้ำโดยมี แสงช่วยในการเกดิ ปฏกิ ริ ิยาไดผ้ ลติ ภณั ฑ์เปน็ นำ้ ตาลกลโู คสและออกซเิ จน หลกั สูตรสถานศึกษา กลมุ่ สาระการเรียนรู้วิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี โรงเรียนวดั วงั น้าเขียว

40 ชน้ั ตัวชว้ี ัด สาระการเรียนรแู้ กนกลาง ม.3 7. ระบุประโยชน์และโทษของ • ปฏิกิริยาเคมีที่พบในชีวิตประจำวันมีทั้งประโยชน์และโทษต่อส่ิงมีชีวิตและสิ่งแวดล้อมจึง ปฏิกิริยาเคมีที่มีต่อสิ่งมีชีวิตและ ตอ้ งระมัดระวังผลจากปฏิกิริยาเคมีตลอดจนรู้จักวธิ ีป้องกันและแก้ปัญหาท่ีเกิดจากปฏิกิริยา ส่งิ แวดลอ้ มและยกตัวอย่างวิธกี าร เคมที ี่พบในชวี ิตประจำวนั ป้องกันและแก้ปัญหาที่เกิดจาก • ความรู้เกี่ยวกับปฏิกริ ิยาเคมีสามารถนำไปใช้ประโยชน์ในชวี ิตประจำวันและสามารถบูรณา ป ฏิ กิ ริ ย า เ ค มี ท่ี พ บ ใ น การกับคณิตศาสตร์เทคโนโลยีและวิศวกรรมศาสตร์เพ่ือใช้ปรับปรุงผลิตภัณฑ์ให้มีคุณภาพ ชีวิตประจำวันจากการสืบค้น ตามตอ้ งการหรืออาจสร้างนวัตกรรมเพื่อป้องกันและแก้ปัญหาท่ีเกิดขึ้นจากปฏิกริ ิยาเคมโี ดย ขอ้ มูล ใช้ความรู้เกี่ยวกับปฏิกิริยาเคมีเช่นการเปล่ียนแปลงพลังงานความร้อนอันเน่ืองมาจาก 8 . อ อ ก แ บ บ วิธีแ ก้ ปั ญ ห าใน ปฏกิ ริ ิยาเคมกี ารเพ่มิ ปริมาณผลผลติ ชี วิ ต ป ร ะ จ ำ วั น โ ด ย ใ ช้ ค ว า ม รู้ เกี่ยวกับปฏิกิริยาเคมีโดยบูรณา การวิทยาศาสตร์คณิ ตศาสตร์ เทคโนโลยีและวิศวกรรมศาสตร์ หลกั สูตรสถานศึกษา กลมุ่ สาระการเรียนรู้วิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี โรงเรียนวดั วงั น้าเขยี ว

41 สาระที่ 2 วิทยาศาสตร์กายภาพ มาตรฐาน ว 2.2 เข้าใจธรรมชาติของแรงในชวี ิตประจำวันผลของแรงทก่ี ระทำต่อวัตถลุ ักษณะการ เคล่ือนทแี่ บบตา่ งๆของวตั ถุรวมทงั้ นำความรู้ไปใช้ประโยชน์ ชั้น ตัวช้ีวัด สาระการเรยี นร้แู กนกลาง ป.1 - - ป.2 - - ป.3 1. ระบุผลของแรงท่ีมีต่อการ • การดงึ หรอื การผลักเป็นการออกแรงกระทำตอ่ วัตถุ แรงมีผลตอ่ การเคล่ือนทขี่ องวัตถุ แรง เปล่ยี นแปลง อาจทำให้วตั ถเุ กิดการเคล่อื นทโี่ ดยเปล่ียนตำแหนง่ จากทห่ี นงึ่ ไปยงั อกี ท่ีหน่ึง ก า ร เค ล่ื อ น ที่ ข อ ง วั ต ถุ จ า ก • การเปล่ยี นแปลงการเคลือ่ นทขี่ องวัตถุ ได้แก่ วตั ถุทีอ่ ย่นู ิง่ เปลีย่ นเปน็ เคลื่อนที่ วตั ถุท่กี ำลงั หลกั ฐานเชิงประจักษ์ เคล่อื นท่เี ปลย่ี นเปน็ เคลือ่ นที่เร็วขึน้ หรอื ช้าลงหรอื หยดุ น่งิ หรอื เปลย่ี นทิศทางการเคล่ือนที่ 2. เปรียบเทียบและยกตัวอย่าง • การดึงหรอื การผลกั เป็นการออกแรงที่เกิดจากวตั ถหุ นึง่ กระทำกบั อกี วัตถุหนึ่ง โดยวัตถุท้งั แรงสัมผัสและแรงไม่สัมผัสท่ีมีผล สองอาจสมั ผสั หรือไมต่ ้องสัมผสั กัน เช่น การออกแรงโดยใช้มอื ดงึ หรือการผลกั โตะ๊ ให้ ต่อการเคลื่อนที่ของวัตถุโดยใช้ เคล่ือนท่เี ป็นการออกแรงท่ีวตั ถตุ ้องสัมผัสกนั แรงนีจ้ ึงเป็นแรงสมั ผสั สว่ นการท่ีแมเ่ หลก็ หลกั ฐานเชิงประจกั ษ์ ดึงดูดหรือผลกั ระหวา่ งแม่เหลก็ เป็นแรงที่เกดิ ข้ึนโดยแมเ่ หลก็ ไมจ่ ำเป็นต้องสมั ผสั กัน แรง แม่เหล็กน้ีจงึ เป็นแรงไม่สมั ผสั 3. จำแนกวัตถุโดยใช้การดึงดูดกับ • แม่เหล็กสามารถดึงดดู สารแม่เหล็กได้ แม่เหล็กเป็นเกณฑ์จากหลักฐาน • แรงแม่เหลก็ เป็นแรงท่ีเกดิ ข้ึนระหว่างแมเ่ หล็กกบั สารแม่เหล็ก หรือแม่เหลก็ กบั แม่เหลก็ เ ชิ ง ป ร ะ จั ก ษ์ แมเ่ หล็ก มี 2 ขั้ว คือ ขวั้ เหนือและขั้วใต้ขั้วแม่เหลก็ ชนิดเดยี วกันจะผลักกัน ต่างชนดิ กัน 4. ระบุขั้วแม่เหล็กและพยากรณ์ จะดึงดดู กนั ผลที่เกิดขึ้นระหว่างข้ัวแม่เหล็ก เม่ือนำมาเข้าใกล้กันจากหลักฐาน เชงิ ประจกั ษ์ ป.4 1. ระบุผลของแรงโน้มถ่วงที่มีต่อ • แรงโน้มถ่วงของโลกเป็นแรงดึงดูดที่โลกกระทำต่อวัตถุ มีทิศทางเข้าสู่ศูนย์กลางโลก และ วัตถุจากหลักฐานเชิงประจักษ์ เปน็ แรงไม่สมั ผัส แรงดึงดดู ที่โลกกระทำกบั วตั ถุหน่ึงๆทำให้วัตถตุ กลงส่พู ้ืนโลก และทำให้วตั ถุ 2. ใช้เครื่องชั่งสปริงในการวัด มีน้ำหนักวัดน้ำหนักของวัตถุได้จากเครื่องช่ังสปริง น้ำหนักของวัตถุข้ึนกับมวลของวัตถุ โดย นำ้ หนกั ของวัตถุ วัตถุทีม่ มี วลมากจะมีน้ำหนกั มาก วตั ถุท่ีมมี วลน้อยจะมีนำ้ หนกั นอ้ ย 3. บรรยายมวลของวัตถุท่ีมีผลต่อ • มวล คือ ปริมาณเน้ือของสสารทั้งหมดที่ประกอบกันเป็นวัตถุ ซ่ึงมีผลต่อความยากง่ายใน ก า ร เ ป ล่ี ย น แ ป ล ง การเปล่ียนแปลงการเคลื่อนที่ของวัตถุ วัตถุท่ีมีมวลมากจะเปลี่ยนแปลงการเคลื่อนท่ีได้ยาก ก า ร เค ลื่ อ น ท่ี ข อ ง วั ต ถุ จ า ก กว่าวัตถุที่มีมวลน้อย ดังน้ันมวลของวัตถุนอกจากจะหมายถึงเน้ือท้ังหมดของวัตถุนั้นแล้ว หลักฐานเชิงประจักษ์ ยังหมายถึงการต้านการเปลย่ี นแปลงการเคลอ่ื นที่ของวัตถนุ น้ั ด้วย หลกั สูตรสถานศึกษา กลุ่มสาระการเรียนรู้วิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี โรงเรียนวดั วงั น้าเขยี ว

42 ชน้ั ตวั ช้วี ดั สาระการเรยี นร้แู กนกลาง ป.5 1. อธิบายวิธกี ารหาแรงลัพธ์ของ • แรงลัพธ์เปน็ ผลรวมของแรงท่กี ระทำต่อวัตถุ โดย แรงหลายแรงในแนวเดียวกันที่ แรงลัพธ์ของแรง 2 แรงทกี่ ระทำตอ่ วัตถุเดียวกันจะมีขนาดเท่ากับผลรวมของแรงทั้งสองเม่อื กระทำตอ่ วตั ถใุ นกรณีทว่ี ัตถอุ ยู่น่ิง แรงท้งั สองอยูใ่ นแนวเดยี วกันและมที ิศทางเดียวกันแต่จะมีขนาดเท่ากบั ผลตา่ งของแรงทง้ั สอง จากหลกั ฐานเชิงประจักษ์ เม่ือแรงทัง้ สองอยูใ่ นแนวเดียวกันแต่มที ิศทางตรงข้ามกนั สำหรับวัตถุที่อยู่น่ิงแรงลพั ธท์ ี่ 2. เขยี นแผนภาพแสดงแรงที่ กระทำตอ่ วัตถุมีค่าเป็นศูนย์ กระทำตอ่ วัตถุที่อยใู่ นแนว • การเขียนแผนภาพของแรงท่กี ระทำตอ่ วัตถุสามารถเขียนไดโ้ ดยใช้ลกู ศร โดยหัวลกู ศรแสดง เดียวกนั และแรงลัพธ์ทีก่ ระทำตอ่ ทศิ ทางของแรง และความยาวของลูกศรแสดงขนาดของแรงที่กระทำตอ่ วัตถุ วตั ถุ 3. ใชเ้ ครื่องชงั่ สปริงในการวัดแรง ท่กี ระทำต่อวัตถุ 4. ระบุผลของแรงเสยี ดทานทม่ี ี • แรงเสียดทานเป็นแรงทเ่ี กดิ ข้ึนระหวา่ งผวิ สัมผสั ของวัตถุ เพ่อื ตา้ นการเคลอื่ นทีข่ องวัตถุนั้น ตอ่ การเปลี่ยนแปลงการเคลือ่ นที่ โดยถ้าออกแรงกระทำต่อวัตถุทีอ่ ยูน่ ่ิงบนพื้นผิวหน่งึ ใหเ้ คล่อื นที่ แรงเสยี ดทานจากพน้ื ผิวนั้นก็ ของวตั ถุจากหลกั ฐานเชงิ ประจกั ษ์ จะต้านการเคลือ่ นท่ีของวัตถุ แตถ่ า้ วัตถุกำลังเคลือ่ นทีแ่ รงเสยี ดทานก็จะทำใหว้ ตั ถุน้ัน 5. เขียนแผนภาพแสดงแรงเสยี ด เคล่อื นที่ช้าลงหรอื หยุดนิ่ง ทานและแรงท่อี ย่ใู นแนวเดียวกนั ทีก่ ระทำตอ่ วัตถุ ป.6 1. อธิบายการเกดิ และผลของแรง • วัตถุ 2 ชนิดทผ่ี ่านการขดั ถูแล้ว เมื่อนำเขา้ ใกลก้ นั อาจดึงดดู หรอื ผลกั กัน แรงท่เี กิดขึ้นนี้เปน็ ไฟฟ้าซึ่งเกิดจากวัตถทุ ่ีผ่านการขัด แรงไฟฟ้า ซ่ึงเป็นแรงไมส่ ัมผสั เกดิ ข้ึนระหว่างวัตถุที่มีประจุไฟฟา้ ซงึ่ ประจุไฟฟา้ มี 2 ชนิด คือ ถู โดยใช้หลกั ฐานเชิงประจกั ษ์ ประจไุ ฟฟา้ บวกและประจไุ ฟฟ้าลบ วตั ถทุ ี่มีประจไุ ฟฟ้าชนิดเดียวกันผลักกัน ชนิดตรงขา้ มกัน ดึงดูดกัน ม.1 1. สร้างแบบจำลองท่อี ธบิ าย • เม่อื วัตถอุ ยใู่ นอากาศจะมีแรงท่อี ากาศกระทำต่อวัตถใุ นทกุ ทิศทาง แรงที่อากาศกระทำตอ่ ความสมั พันธร์ ะหว่างความดัน วตั ถุขึน้ อยกู่ บั ขนาดพ้ืนทขี่ องวัตถนุ ้ัน แรงท่อี ากาศกระทำต้ังฉากกบั ผิววตั ถตุ อ่ หนึง่ หนว่ ยพนื้ ที่ อากาศกับความสูงจากพืน้ โลก เรยี กว่า ความดันอากาศ • ความดนั อากาศมีความสมั พันธก์ ับความสงู จากพน้ื โลก โดยบรเิ วณทสี่ ูงจากพื้นโลกข้นึ ไป อากาศเบาบางลง มวลอากาศน้อยลง ความดันอากาศก็จะลดลง ม.2 1. พยากรณ์การเคล่อื นที่ของวตั ถุ • แรงเป็นปริมาณเวกเตอร์ เมอ่ื มีแรงหลาย ๆ แรงกระทำต่อวัตถุ แล้วแรงลพั ธ์ท่ีกระทำต่อ ทเี่ ปน็ ผลของแรงลัพธ์ท่เี กดิ จาก วัตถมุ ีค่าเป็นศูนย์ วตั ถจุ ะไมเ่ ปลี่ยนแปลงการเคล่อื นท่ีแตถ่ า้ แรงลัพธ์ทกี่ ระทำตอ่ วัตถุมีค่าไม่ แรงหลายแรงท่กี ระทำต่อวัตถุใน เปน็ ศูนย์วตั ถุจะเปลี่ยนแปลงการเคล่ือนที่ แนวเดียวกันจากหลักฐานเชงิ ประจกั ษ์ 2. เขยี นแผนภาพแสดงแรงและ แรงลพั ธท์ เี่ กดิ จากแรงหลายแรงที่ กระทำตอ่ วตั ถุในแนวเดียวกัน หลกั สูตรสถานศึกษา กลมุ่ สาระการเรียนรู้วทิ ยาศาสตร์และเทคโนโลยี โรงเรียนวดั วงั น้าเขียว

43 ชั้น ตัวชี้วดั สาระการเรียนรูแ้ กนกลาง ม.2 3. ออกแบบการทดลองและ • เม่อื วัตถุอยู่ในของเหลวจะมีแรงท่ีของเหลวกระทำต่อวตั ถุในทุกทิศทาง โดยแรงที่ของเหลว ทดลองด้วยวิธีที่เหมาะสมในการ ก ระ ท ำตั้งฉ าก กั บ ผิ ววัต ถุ ต่ อ ห น่ึ งห น่ วย พื้ น ที่ เรีย ก ว่าค วาม ดัน ข อ งข อ งเห ล ว อธิบายปัจจัยที่มีผลต่อความดัน • ความดันของของเหลวมีความสัมพันธ์กับความลึกจากระดับผิวหน้าของของเหลว โดย ของของเหลว บริเวณที่ลึกลงไปจากระดับผิวหน้าของของเหลวมากขึ้นความดันของของเหลวจะเพ่ิมข้ึน เน่ืองจากของเหลวทอี่ ยู่ลกึ กวา่ จะมีน้ำหนักของของเหลวดา้ นบนกระทำมากกว่า 4. วิเคราะห์แรงพยุงและการจม • เมื่อวัตถุอยู่ในของเหลว จะมีแรงพยุงเน่ืองจากของเหลวกระทำต่อวัตถุ โดยมีทิศขึ้นใน การลอยของวัตถุในของเหลวจาก แนวดิ่งการจมหรือการลอยของวัตถุข้ึนกับน้ำหนักของวัตถุและแรงพยุง ถ้าน้ำหนักของวัตถุ ห ลั ก ฐ า น เ ชิ ง ป ร ะ จั ก ษ์ และแรงพยุงของของเหลวมคี ่าเท่ากัน วตั ถุจะลอยน่ิงอยใู่ นของเหลว แต่ถ้าน้ำหนักของวัตถุมี 5. เขียนแผนภาพแสดงแรงท่ี ค่ามากกว่าแรงพยุงของของเหลววัตถุจะจม กระทำตอ่ วตั ถใุ นของเหลว 6. อธิบายแรงเสียดทานสถิตและ • แรงเสียดทานเป็นแรงที่เกิดข้ึนระหว่างผิวสัมผัสของวัตถุ เพ่ือต้านการเคล่ือนที่ของวัตถนุ ้ัน แรงเสียดทานจลน์จากหลักฐาน โดยถ้าออกแรงกระทำต่อวัตถุที่อยู่นิ่งบนพื้นผิวให้เคลื่อนท่ี แรงเสียดทานก็จะต้านการ เชิงประจกั ษ์ เคลื่อนที่ของวัตถุ แรงเสียดทานท่ีเกิดขน้ึ ในขณะท่ีวัตถยุ ังไม่เคล่ือนที่เรียก แรงเสยี ดทานสถิต แต่ถา้ วัตถกุ ำลงั เคล่ือนที่ แรงเสยี ดทานก็จะทำให้วัตถนุ ้ันเคล่อื นท่ีชา้ ลงหรอื หยดุ นิง่ เรยี ก แรง เสียดทานจลน์ 7. ออกแบบการทดลองและ • ขนาดของแรงเสียดทานระหว่างผิวสัมผสั ของวัตถุข้ึนกับลกั ษณะผิวสัมผัสและขนาดของ ทดลองด้วยวิธที ีเ่ หมาะสมในการ แรงปฏิกริ ิยาต้ังฉากระหว่างผวิ สัมผัส อธิบายปจั จัยท่ีมผี ลต่อขนาดของ • กจิ กรรมในชวี ิตประจำวันบางกิจกรรมต้องการแรงเสียดทาน เช่น การเปิดฝาเกลยี วขวดนำ้ แรงเสยี ดทาน การใช้แผน่ กันลน่ื ในหอ้ งน้ำ บางกจิ กรรมไม่ตอ้ งการแรงเสียดทาน เชน่ การลากวตั ถุบนพื้น 8. เขยี นแผนภาพแสดงแรงเสียด การใชน้ ้ำมันหล่อลน่ื ในเครื่องยนต์ ทานและแรงอ่นื ๆทกี่ ระทำตอ่ • ความรู้เรอื่ งแรงเสยี ดทานสามารถนำไปใช้ประโยชนใ์ นชีวิตประจำวันได วตั ถุ 9. ตระหนกั ถงึ ประโยชนข์ อง ความรเู้ รอ่ื งแรงเสียดทานโดย วเิ คราะห์สถานการณป์ ัญหาและ เสนอแนะวธิ กี ารลดหรือเพ่ิมแรง เสยี ดทานท่ีเปน็ ประโยชนต์ อ่ การ ทำกจิ กรรมในชีวิตประจำวัน หลกั สูตรสถานศึกษา กลมุ่ สาระการเรียนรู้วิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี โรงเรียนวดั วงั น้าเขียว

44 ชน้ั ตัวชีว้ ัด สาระการเรยี นรแู้ กนกลาง ม.2 10. ออกแบบการทดลองและ • เมอ่ื มีแรงที่กระทำตอ่ วัตถโุ ดยไม่ผ่านศูนยก์ ลางมวลของวัตถุ จะเกิดโมเมนตข์ องแรง ทำให้ ทดลองด้วยวธิ ีท่ีเหมาะสมในการ วัตถุหมุนรอบศูนย์กลางมวลของวตั ถุน้ัน อธิบายโมเมนต์ของแรง เมือ่ วตั ถุ • โมเมนตข์ องแรงเปน็ ผลคณู ของแรงท่ีกระทำตอ่ วัตถุกับระยะทางจากจดุ หมุนไปตั้งฉากกบั อยใู่ นสภาพสมดุลต่อการหมุน แนวแรง เม่ือผลรวมของโมเมนต์ของแรงมีค่าเป็นศูนย์วัตถุจะอย่ใู นสภาพสมดลุ ตอ่ การหมุน และคำนวณโดยใช้สมการ โดยโมเมนตข์ องแรงในทิศทวนเข็มนาฬกิ าจะมีขนาดเทา่ กบั โมเมนตข์ องแรงในทิศตามเขม็ M = Fl นาฬิกา • ของเล่นหลายชนิดประกอบด้วยอปุ กรณห์ ลายสว่ นที่ใช้หลกั การโมเมนต์ของแรง ความรู้ เรอ่ื งโมเมนตข์ องแรงสามารถนำไปใช้ออกแบบและประดิษฐข์ องเล่นได้ 11. เปรียบเทยี บแหลง่ ของสนาม • วตั ถุที่มีมวลจะมีสนามโนม้ ถ่วงอยโู่ ดยรอบแรงโนม้ ถว่ งทก่ี ระทำต่อวัตถุท่ีอย่ใู นสนามโน้มถว่ ง แม่เหล็กสนามไฟฟ้า และสนาม จะมที ศิ พุ่งเขา้ หาวัตถุที่เป็นแหลง่ ของสนามโน้มถ่วง โน้มถว่ ง และทิศทางของแรงท่ี • วตั ถุที่มีประจไุ ฟฟ้าจะมีสนามไฟฟ้าอยโู่ ดยรอบแรงไฟฟ้าท่กี ระทำต่อวตั ถทุ ีม่ ีประจุจะมที ิศ กระทำตอ่ วัตถุทอี่ ยใู่ นแต่ละสนาม พุ่งเข้าหาหรือออกจากวัตถุที่มีประจุทีเ่ ปน็ แหล่งของสนามไฟฟา้ จากข้อมูลทร่ี วบรวมได้ • วัตถุทเ่ี ป็นแม่เหล็กจะมสี นามแม่เหลก็ อยโู่ ดยรอบแรงแมเ่ หลก็ ทีก่ ระทำต่อขัว้ แม่เหล็กจะมี 12. เขยี นแผนภาพแสดงแรง ทศิ พงุ่ เข้าหาหรือออกจากขว้ั แม่เหล็กทีเ่ ป็นแหล่งของสนามแมเ่ หล็ก แมเ่ หล็ก แรงไฟฟ้าและแรงโนม้ ถ่วงท่ีกระทำตอ่ วัตถุ 13. วเิ คราะห์ความสมั พนั ธ์ • ขนาดของแรงโน้มถ่วง แรงไฟฟา้ และแรงแมเ่ หลก็ ที่กระทำตอ่ วัตถทุ ่อี ยู่ในสนามน้นั ๆ จะมี ระหว่างขนาดของแรงแม่เหล็ก คา่ ลดลงเมื่อวตั ถอุ ยูห่ ่างจากแหลง่ ของสนามน้ัน ๆ มากข้ึน แรงไฟฟ้า และแรงโน้มถ่วงท่ี กระทำต่อวัตถุท่อี ยูใ่ นสนามนน้ั ๆ กับระยะหา่ งจาก แหลง่ ของสนามถงึ วัตถุจากข้อมูล ท่ีรวบรวมได้ 14. อธบิ ายและคำนวณอัตราเร็ว • การเคลอ่ื นที่ของวัตถเุ ป็นการเปลีย่ นตำแหนง่ ของวตั ถเุ ทียบกับตำแหนง่ อ้างองิ โดยมี และความเร็วของการเคลือ่ นท่ี ปริมาณทีเ่ กีย่ วข้องกบั การเคลือ่ นท่ซี ึ่งมที ัง้ ปริมาณสเกลาร์และปรมิ าณเวกเตอร์ เชน่ ของวัตถุ โดยใชส้ มการ ระยะทางอตั ราเรว็ การกระจัด ความเรว็ ปริมาณสเกลาร์เป็นปริมาณทีม่ ีขนาด เชน่ ระยะทาง อัตราเร็ว ปริมาณเวกเตอร์เป็นปริมาณที่มีท้งั ขนาดและทิศทาง เช่น การกระจดั จากหลักฐานเชงิ ประจกั ษ์ ความเร็ว 15. เขยี นแผนภาพแสดงการ • เขยี นแผนภาพแทนปรมิ าณเวกเตอรไ์ ด้ด้วยลกู ศรโดยความยาวของลูกศรแสดงขนาดและหัว กระจัดและความเรว็ ลูกศรแสดงทิศทางของเวกเตอรน์ ั้น ๆ • ระยะทางเปน็ ปรมิ าณสเกลาร์ โดยระยะทางเป็นความยาวของเส้นทางท่ีเคลอื่ นท่ีได้ • การกระจดั เปน็ ปริมาณเวกเตอร์ โดยการกระจดั มีทิศช้จี ากตำแหนง่ เร่ิมต้นไปยังตำแหนง่ สุดท้ายและมีขนาดเทา่ กับระยะที่ส้ันท่ีสุดระหว่างสองตำแหนง่ นั้น • อัตราเรว็ เปน็ ปริมาณสเกลาร์ โดยอตั ราเร็วเป็นอตั ราส่วนของระยะทางต่อเวลา • ความเรว็ ปรมิ าณเวกเตอรม์ ที ิศเดยี วกบั ทิศของการกระจัด โดยความเร็วเป็นอัตราสว่ นของ การกระจดั ตอ่ เวลา ม.3 - - หลกั สูตรสถานศึกษา กลมุ่ สาระการเรียนรู้วทิ ยาศาสตร์และเทคโนโลยี โรงเรียนวดั วงั น้าเขียว

45 สาระท่ี 2 วทิ ยาศาสตร์กายภาพ มาตรฐาน ว 2.3 เข้าใจความหมายของพลังงาน การเปลย่ี นแปลงและการถา่ ยโอนพลงั งาน ปฏิสัมพันธร์ ะหว่างสสารและพลังงาน พลงั งานในชีวิตประจำวนั ธรรมชาติของคลนื่ ปรากฏการณท์ เี่ กยี่ วข้อง กบั เสียง แสง และคลืน่ แม่เหล็กไฟฟา้ รวมทั้งนำความร้ไู ปใช้ประโยชน์ ชัน้ ตวั ช้วี ดั สาระการเรียนรูแ้ กนกลาง ป.1 1. บรรยายการเกิดเสียงและทศิ • เสียงเกิดจากการส่ันของวัตถุ วัตถุที่ทำให้เกิดเสียงเป็นแหล่งกำเนิดเสียง ซ่ึงมีทั้ง ทางการเคล่ือนท่ีของเสยี งจาก แหลง่ กำเนดิ เสียงตามธรรมชาตแิ ละแหลง่ กำเนดิ เสียงท่ีมนุษย์สร้างขึ้น เสียงเคล่อื นท่ีออกจาก หลักฐานเชิงประจักษ์ แหลง่ กำเนดิ เสยี งทกุ ทิศทาง ป.2 1. บรรยายแนวการเคลื่อนที่ของ • แสงเคล่ือนที่จากแหล่งกำเนิดแสงทุกทิศทางเปน็ แนวตรง เม่ือมแี สงจากวัตถุมาเข้าตาจะทำ แสงจากแหล่งกำเนิดแสง และ ให้มองเห็นวัตถุนั้น การมองเห็นวัตถุท่ีเป็นแหล่งกำเนิดแสง แสงจากวัตถุนั้นจะเข้าสู่ตา อธิบายการมองเห็นวัตถุจาก โดยตรงส่วนการมองเห็นวัตถุที่ไม่ใช่แหล่งกำเนิดแสง ต้องมีแสงจากแหล่งกำเนิดแสงไป ห ลั ก ฐ า น เ ชิ ง ป ร ะ จั ก ษ์ กระทบวัตถุแล้วสะท้อนเข้าตา ถ้ามีแสงที่สว่างมาก ๆ เข้าสู่ตาอาจเกิดอันตรายต่อตาได้ จึง 2. ตระหนักในคุณค่าของความรู้ ตอ้ งหลีกเล่ียงการมองหรือใช้แผ่นกรองแสงท่ีมีคุณภาพเม่ือจำเป็น และตอ้ งจัดความสว่างให้ ของการมองเห็นโดยเสนอแนะ เหมาะสมกับการทำกิจกรรมต่าง ๆ เช่น การอ่านหนังสือการดูจอโทรทัศน์ การใช้ แนวทางการป้องกันอันตรายจาก โทรศัพท์เคลื่อนทีแ่ ละแท็บเล็ต ก า ร ม อ งวั ต ถุ ที่ อ ยู่ ใน บ ริ เวณ ที่ มี แสงสว่างไม่เหมาะสม ป.3 1. ยกตัวอย่างการเปล่ียนพลังงาน • พลังงานเป็นปริมาณที่แสดงถึงความสามารถในการทำงาน พลังงานมีหลายแบบ เช่น ห นึ่ ง ไ ป เ ป็ น อี ก พลังงานกล พลังงานไฟฟ้า พลังงานแสงพลังงานเสียง และพลังงานความร้อน โดยพลังงาน พลังงานหนงึ่ จากหลกั ฐาน สามารถเปล่ียนจากพลังงานหนึ่งไปเป็นอกี พลังงานหนึ่งได้ เช่น การถูมือจนรู้สึกร้อนเป็นการ เชิงประจักษ์ เปล่ียนพลังงานกลเป็นพลังงานความร้อนแผงเซลล์สุริยะเปล่ียนพลังงานแสงเป็นพลั งงาน ไฟฟา้ หรอื เครอ่ื งใชไ้ ฟฟา้ เปล่ยี นพลงั งานไฟฟา้ เปน็ พลังงานอื่น 2. บรรยายการทำงานของเครื่อง • ไฟฟ้าผลิตจากเครอื่ งกำเนดิ ไฟฟ้าซ่ึงใชพ้ ลังงานจากแหล่งพลงั งานธรรมชาตหิ ลายแหล่ง เช่น ก ำเนิ ด ไฟ ฟ้ าแ ล ะ ระ บุ แ ห ล่ ง พ ลั ง ง า น จ า ก ล ม พ ลั ง ง า น จ า ก น้ ำ พ ลั ง ง า น จ า ก แ ก๊ ส ธ ร ร ม ช า ติ พลังงานในการผลิตไฟฟ้า จาก • พลังงานไฟฟ้ามีความสำคัญต่อชีวิตประจำวันการใช้ไฟฟ้านอกจากต้องใช้อย่างถูกวิธี ข้ อ มู ล ที่ ร ว บ ร ว ม ไ ด้ ประหยัดและคมุ้ ค่าแล้ว ยงั ต้องคำนึงถงึ ความปลอดภยั ด้วย 3. ตระหนักในประโยชน์และโทษ ของไฟฟ้า โดยนำเสนอวิธีการใช้ ไฟฟา้ อย่างประหยดั และ หลกั สูตรสถานศึกษา กลุ่มสาระการเรียนรู้วิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี โรงเรียนวดั วงั น้าเขียว

46 ช้ัน ตัวช้ีวัด สาระการเรียนรูแ้ กนกลาง ป.4 1. จำแนกวตั ถุเป็นตวั กลาง • เมื่อมองสิ่งต่าง ๆ โดยมีวัตถุต่างชนิดกันมาก้ันแสงจะทำให้ลักษณะการมองเห็นส่ิงนั้นๆ โปร่งใสตัวกลางโปร่งแสง และ ชัดเจนต่างกัน จึงจำแนกวัตถุท่ีมากั้นออกเป็นตัวกลางโปร่งใส ซ่ึงทำให้มองเห็นสิ่งต่าง ๆ ได้ วตั ถุทึบแสงจากลักษณะการ ชัดเจนตัวกลางโปร่งแสงทำให้มองเห็นส่ิงต่าง ๆ ได้ไม่ชัดเจน และวัตถุทึบแสงทำให้มองไม่ มองเห็นสงิ่ ต่างๆ ผ่านวัตถุน้ันเป็น เหน็ สิง่ ต่าง ๆ น้ัน เกณฑ์โดยใชห้ ลักฐานเชิงประจกั ษ์ ป.5 1. อธิบายการได้ยนิ เสยี งผ่าน • การได้ยินเสียงต้องอาศัยตัวกลาง โดยอาจเป็นของแข็ง ของเหลว หรืออากาศ เสียงจะ ตัวกลางจากหลกั ฐานเชงิ ประจกั ษ์ ส่งผ่านตวั กลางมายังหู 2. ระบุตัวแปร ทดลอง และ • เสยี งที่ไดย้ นิ มรี ะดับสูงต่ำของเสยี งต่างกันขึ้นกบั ความถี่ของการส่ันของแหล่งกำเนดิ เสียง อธิบายลกั ษณะและการเกดิ เสยี ง โดยเมอื่ แหลง่ กำเนดิ เสยี งสั่นดว้ ยความถี่ตำ่ จะเกิดเสียงตำ่ แตถ่ า้ สนั่ ด้วยความถีส่ งู จะเกิดเสยี ง สูงเสียงตำ่ สงู สว่ นเสยี งดังคอ่ ยที่ไดย้ นิ ข้ึนกับพลังงานการส่ันของแหล่งกำเนดิ เสยี ง โดยเมอ่ื แหลง่ กำเนดิ 3. ออกแบบการทดลองและ เสียงสัน่ ด้วยพลงั งานมากจะเกดิ เสยี งดงั แตถ่ า้ แหลง่ กำเนิดเสยี งสั่นดว้ ยพลงั งานนอ้ ยจะเกดิ อธิบายลักษณะและการเกิดเสยี ง เสียงค่อย ดงั เสยี งค่อย • เสียงดงั มาก ๆ เปน็ อันตรายตอ่ การได้ยนิ และเสยี งที่กอ่ ให้เกิดความรำคาญเป็นมลพิษทาง 4. วัดระดับเสียงโดยใชเ้ คร่อื งมอื เสยี งเดซเิ บลเปน็ หนว่ ยท่ีบอกถงึ ความดงั ของเสียง วดั ระดับเสยี ง 5. ตระหนกั ในคุณค่าของความรู้ เรอ่ื งระดับเสียงโดยเสนอแนะ แนวทางในการหลกี เล่ียงและลด มลพิษทางเสยี ง ป.6 1. ระบุส่วนประกอบและบรรยาย • วงจรไฟฟ้าอย่างง่ายประกอบด้วย แหล่งกำเนิดไฟฟ้าสายไฟฟ้า และเคร่ืองใช้ไฟฟ้าหรือ หน้าที่ของแต่ละสว่ นประกอบของ อุปกรณ์ไฟฟ้าแหล่งกำเนิดไฟฟ้า เช่น ถ่านไฟฉาย หรือแบตเตอร่ี ทำหน้าที่ให้พลังงานไฟฟ้า วงจรไฟฟ้าอย่างง่ายจากหลักฐาน สายไฟฟ้าเป็นตัวนำไฟฟ้า ทำหนา้ ที่เช่ือมต่อระหวา่ งแหล่งกำเนิดไฟฟ้าและเครื่องใช้ไฟฟา้ เข้า เ ชิ ง ป ร ะ จั ก ษ์ ด้วยกนั เคร่ืองใชไ้ ฟฟา้ มีหน้าท่ีเปลย่ี นพลังงานไฟฟา้ เป็นพลังงานอื่น 2 . เขี ย น แ ผ น ภ า พ แ ล ะ ต่ อ วงจรไฟฟา้ อย่างง่าย 3. ออ กแบ บก ารท ดลอ งและ • เมื่อนำเซลล์ไฟฟ้าหลายเซลลม์ าต่อเรยี งกันโดยให้ข้ัวบวกของเซลล์ไฟฟา้ เซลล์หน่ึงต่อกบั ข้ัว ทดลองด้วยวิธีที่เหมาะสมในการ ลบของอีกเซลล์หนึ่งเป็นการต่อแบบอนุกรมทำให้มีพลังงานไฟฟา้ เหมาะสมกับเครือ่ งใช้ไฟฟ้า อธิบายวิธีการและผลของการต่อ ซ่ึงการต่อเซลล์ไฟฟ้าแบบอนุกรมสามารถนำไปใช้ประโยชน์ในชีวิตประจำวัน เช่น การต่อ เ ซ ล ล์ ไ ฟ ฟ้ า แ บ บ อ นุ ก ร ม เซลลไ์ ฟฟ้าในไฟฉาย 4. ตระหนักถึงประโยชน์ของ ความรขู้ องการตอ่ เซลล์ไฟฟ้าแบบ อนุกรมโดยบอกประโยชน์และ การประยกุ ต์ใชใ้ นชวี ิตประจำวัน หลกั สูตรสถานศึกษา กล่มุ สาระการเรียนรู้วทิ ยาศาสตร์และเทคโนโลยี โรงเรียนวดั วงั น้าเขียว

47 ชัน้ ตวั ชวี้ ัด สาระการเรียนรแู้ กนกลาง ป.6 5. ออ กแบ บก ารท ดลอ งและ • การต่อหลอดไฟฟ้าแบบอนกุ รมเมอื่ ถอดหลอดไฟฟ้าดวงใดดวงหนงึ่ ออกทำให้หลอดไฟฟ้าที่ ทดลองด้วยวิธีที่เหมาะสมในการ เหลอื ดบั ทงั้ หมด ส่วนการตอ่ หลอดไฟฟา้ แบบขนาน เมื่อถอดหลอดไฟฟ้าดวงใดดวงหนง่ึ ออก อธิบายการต่อหลอดไฟฟ้าแบบ หลอดไฟฟ้าทีเ่ หลอื กย็ ังสว่างได้ การตอ่ หลอดไฟฟ้าแตล่ ะแบบสามารถนำไปใช้ประโยชนไ์ ด้ อ นุ ก ร ม แ ล ะ แ บ บ ข น า น เชน่ การตอ่ หลอดไฟฟ้าหลายดวงในบ้านจึงตอ้ งตอ่ หลอดไฟฟ้าแบบขนาน เพื่อเลือกใชห้ ลอด 6. ตระหนักถึงประโยชน์ของ ไฟฟ้าดวงใดดวงหน่งึ ได้ตามตอ้ งการ ค ว า ม รู้ ข อ ง ก า ร ต่ อ ห ล อ ด ไฟ ฟ้ า แบบอนุกรมและแบบขนาน โดย บอกประโยชน์ ข้อจำกัด และการ ประยุกต์ใช้ในชีวติ ประจำวัน 7. อธิบายการเกิดเงามืดเงามัว • เม่ือนำวัตถุทึบแสงมาก้ันแสงจะเกิดเงาบนฉากรับแสงท่ีอยู่ด้านหลังวัตถุ โดยเงามีรูปร่าง จ า ก ห ลั ก ฐ า น เชิ ง ป ร ะ จั ก ษ์ คล้ายวัตถุท่ีทำให้เกิดเงา เงามัวเป็นบริเวณท่ีมีแสงบางส่วนตกลงบนฉาก ส่วนเงามืดเป็น 8. เขียนแผนภาพรังสีของแสง บรเิ วณท่ีไม่มแี สงตกลงบนฉากเลย แสดงการเกิดเงามืดเงามัว ม.1 1. วิเคราะห์ แปลความหมาย • เมื่อสสารไดร้ ับหรอื สญู เสยี ความร้อนอาจทำให้สสารเปลย่ี นอณุ หภูมิ เปลี่ยนสถานะ หรือ ข้อมูล และคำนวณปริมาณความ เปล่ยี นรปู ร่าง ร้อนที่ทำให้สสารเปลี่ยนอุณหภูมิ • ปริมาณความรอ้ นท่ีทำให้สสารเปลี่ยนอุณหภมู ิข้ึนกบั มวล ความรอ้ นจำเพาะ และอณุ หภูมิ และเปลีย่ นสถานะโดยใชส้ มการ ทีเ่ ปลีย่ นไป Q = mc∆tc และ Q = mL • ปริมาณความร้อนทที่ ำใหส้ สารเปล่ียนสถานะข้ึนกับมวลและความร้อนแฝงจำเพาะ โดย 2. ใช้เทอร์มอมิเตอร์ในการวัด ขณะทส่ี สารเปล่ยี นสถานะ อณุ หภูมิจะไม่เปล่ียนแปลง อณุ หภูมิของสสาร 3. สร้างแบบจำลองทอ่ี ธิบายการ • ความร้อนทำใหส้ สารขยายตัวหรอื หดตัวได้เนื่องจากเมื่อสสารได้รับความรอ้ นจะทำให้ ขยายตัวหรือหดตวั ของสสาร อนุภาคเคลือ่ นท่เี ร็วข้ึน ทำใหเ้ กิดการขยายตัวแตเ่ ม่ือสสารคายความรอ้ นจะทำให้อนภุ าค เน่อื งจากได้รบั หรอื สูญเสีย เคล่ือนทช่ี ้าลง ทำให้เกิดการหดตัว ความรอ้ น • ความรู้เร่ืองการหดและขยายตวั ของสสารเน่ืองจากความรอ้ นนำไปใช้ประโยชนไ์ ดด้ า้ นตา่ ง 4. ตระหนักถงึ ประโยชน์ของ ๆ เช่น การสรา้ งถนน การสร้างรางรถไฟการทำเทอร์มอมเิ ตอร์ ความรขู้ องการหดและขยายตัว ของสสารเน่ืองจากความรอ้ นโดย วเิ คราะห์สถานการณ์ปญั หา และ เสนอแนะวิธีการนำความรู้มา แกป้ ัญหาในชีวิตประจำวัน 5. วเิ คราะหส์ ถานการณก์ ารถ่าย • ความร้อนถา่ ยโอนจากสสารท่มี ีอุณหภูมสิ งู กวา่ ไปยงั สสารท่ีมอี ณุ หภูมิตำ่ กวา่ จนกระทั่ง โอนความร้อนและคำนวณ อุณหภูมิของสสารทัง้ สองเทา่ กนั สภาพท่ีสสารท้งั สองมอี ณุ หภูมิเทา่ กนั เรียกว่า สมดุลความ ปริมาณความร้อนทถ่ี า่ ยโอน ร้อน ระหว่างสสารจนเกดิ สมดุลความ • เมอื่ มกี ารถ่ายโอนความรอ้ นจากสสารทีม่ ีอุณหภมู ิตา่ งกนั จนเกิดสมดุลความรอ้ นความรอ้ น รอ้ นโดยใช้สมการ ทเ่ี พม่ิ ขึ้นของสสารหนง่ึ จะเทา่ กับความรอ้ นที่ลดลงของอีกสสารหน่งึ ซ่ึงเป็นไปตามกฎการ Qสญู เสีย = Qได้รับ อนุรกั ษพ์ ลงั งาน หลกั สูตรสถานศึกษา กลมุ่ สาระการเรียนรู้วิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี โรงเรียนวดั วงั น้าเขยี ว

48 ชั้น ตวั ชวี้ ัด สาระการเรียนรู้แกนกลาง ม.1 6. สร้างแบบจำลองที่อธิบายการ • การถ่ายโอนความร้อนมี 3 แบบ คือการนำความร้อน การพาความร้อน และการแผ่รังสี ถ่ายโอนความร้อนโดยการนำ ความร้อน การนำความร้อนเป็นการถ่ายโอนความร้อนท่ีอาศัยตัวกลาง โดยท่ีตัวกลางไม่ ความร้อน การพาความร้อน การ เคลื่อนท่ี การพาความร้อนเป็นการถ่ายโอนความร้อนท่ีอาศัยตัวกลางโดยท่ีตัวกลาง แ ผ่ รั ง สี ค ว า ม ร้ อ น เคล่อื นทไ่ี ปด้วย สว่ นการแผ่รังสีความรอ้ นเปน็ การถ่ายโอนความร้อนท่ีไมต่ อ้ งอาศยั ตวั กลาง 7. ออกแบบ เลือกใช้ และสร้าง • ความรู้เก่ียวกับการถ่ายโอนความร้อนสามารถนำไปใช้ประโยชน์ในชีวิตประจำวันได้ เช่น อุปกรณ์ เพอ่ื แกป้ ัญหาในชวี ิต การเลือกใช้วัสดุเพอ่ื นำมาทำภาชนะบรรจอุ าหารเพ่ือเก็บความร้อน หรอื การออกแบบระบบ ประจำวันโดยใช้ความรู้เกี่ยวกับ ระบายความรอ้ นในอาคาร การถา่ ยโอนความรอ้ น ม.2 1. วเิ คราะหส์ ถานการณ์และ • เมือ่ ออกแรงกระทำตอ่ วัตถุ แล้วทำให้วัตถุเคล่ือนท่ี โดยแรงอยู่ในแนวเดียวกับการเคลอื่ นที่ คำนวณเกีย่ วกับงานและกำลังที่ จะเกิดงาน งานจะมีคา่ มากหรอื นอ้ ยขน้ึ กบั ขนาดของแรงและระยะทางในแนวเดยี วกบั แรง เกิดจากแรงทก่ี ระทำตอ่ วัตถโุ ดย • งานที่ทำในหน่งึ หน่วยเวลาเรยี กว่า กำลัง หลักการของงานนำไปอธิบายการทำงานของ ใช้สมการ เครื่องกลอยา่ งง่าย ได้แก่ คาน พ้ืนเอียง รอกเด่ยี ว ลมิ่ สกรู ล้อและเพลา ซ่ึงนำไปใช้ จาก ประโยชน์ดา้ นต่างๆในชวี ิตประจำวัน ขอ้ มลู ทีร่ วบรวมได้ 2. วเิ คราะหห์ ลักการทำงานของ เครอ่ื งกลอย่างงา่ ยจากขอ้ มลู ที่ รวบรวมได้ 3. ตระหนักถงึ ประโยชน์ของ ความรู้ของเครือ่ งกลอยา่ งง่าย โดยบอกประโยชน์และการ ประยกุ ต์ใชใ้ นชวี ิตประจำวนั 4. ออกแบบและทดลองด้วยวิธีที่ • พลังงานจลน์เป็นพลังงานของวัตถุที่เคล่ือนที่พลังงานจลน์จะมีค่ามากหรือน้อยข้ึนกับมวล เหมาะสมในการอธิบายปัจจัยที่มี และอัตราเร็ว ส่วนพลังงานศักย์โน้มถ่วงเกี่ยวข้องกับตำแหน่งของวัตถุ จะมีค่ามากหรือน้อย ผลต่อพลังงานจลน์ และพลังงาน ขึน้ กับมวลและตำแหน่งของวัตถุ เม่ือวัตถุอยู่ในสนามโน้มถ่วง วัตถุจะมพี ลังงานศักย์โน้มถ่วง ศักย์โน้มถว่ ง พลงั งานจลน์และพลงั งานศกั ย์โนม้ ถ่วงเปน็ พลังงานกล 5. แปลความหมายขอ้ มลู และ • ผลรวมของพลังงานศกั ย์โน้มถ่วงและพลงั งานจลน์เป็นพลงั งานกล พลงั งานศกั ย์โน้มถ่วง อธิบายการเปลี่ยนพลังงาน และพลงั งานจลนข์ องวตั ถหุ นงึ่ ๆ สามารถเปลี่ยนกลับไปมาได้ โดยผลรวมของพลงั งานศกั ย์ ระหว่างพลงั งานศกั ย์โนม้ ถว่ งและ โน้มถ่วงและพลงั งานจลนม์ ีค่าคงตัว น่ันคอื พลังงานกลของวัตถุมีค่าคงตวั พลงั งานจลนข์ องวตั ถโุ ดยพลังงาน กลของวัตถมุ คี ่าคงตัวจากขอ้ มูลที่ รวบรวมได้ หลกั สูตรสถานศึกษา กลมุ่ สาระการเรียนรู้วทิ ยาศาสตร์และเทคโนโลยี โรงเรียนวดั วงั น้าเขยี ว

49 ชนั้ ตวั ช้วี ดั สาระการเรยี นรูแ้ กนกลาง ม.2 6. วิเคราะห์สถานการณ์ และ • พลงั งานรวมของระบบมคี ่าคงตัวซ่งึ อาจเปลย่ี นจากพลงั งานหนงึ่ เป็นอีกพลงั งานหนึง่ เช่น อธิบายการเปล่ียนและการถ่าย พลงั งานกลเปลยี่ นเป็นพลังงานไฟฟ้าพลังงานจลน์เปลย่ี นเปน็ พลงั งานความรอ้ นพลังงานเสยี ง โอนพลังงานโดยใช้กฎการอนรุ ักษ์ พลังงานแสง เน่อื งมาจากแรงเสียดทาน พลังงานเคมใี นอาหารเปลย่ี นเปน็ พลังงานท่ไี ปใชใ้ น พลังงาน การทำงานของสงิ่ มชี วี ติ • นอกจากนี้พลงั งานยังสามารถถา่ ยโอนไปยงั อกี ระบบหนง่ึ หรือไดร้ ับพลังงานจากระบบอน่ื ได้ เชน่ การถา่ ยโอนความร้อนระหว่างสสารการถา่ ยโอนพลังงานของการส่ันของแหล่งกำเนดิ เสยี งไปยงั ผู้ฟงั ทั้งการเปล่ยี นพลังงานและการถา่ ยโอน พลังงาน พลงั งานรวมท้งั หมดมีคา่ เท่าเดิมตามกฎการอนุรักษ์พลังงาน ม.3 1. วิเคราะห์ความสัมพันธ์ระหว่าง • เม่อื ตอ่ วงจรไฟฟ้าครบวงจรจะมีกระแสไฟฟ้า ออกจากขั้วบวกผ่านวงจรไฟฟ้าไปยงั ขวั้ ลบ ความต่างศกั ยก์ ระแส ของแหลง่ กำเนดิ ไฟฟ้า ซึง่ วัดค่าได้จากแอมมเิ ตอร์ ไฟฟ้า และความต้านทาน และ • ค่าท่ีบอกความแตกต่างของพลังงานไฟฟ้าต่อหน่วยประจุระหว่างจุด 2 จุด เรียกว่า ความ คำนวณปริมาณท่ีเก่ียวข้องโดยใช้ ตา่ งศักย์ ซึง่ วัดคา่ ได้จากโวลต์มิเตอร์ สมการ V = IR จากหลักฐาน • ขนาดของกระแสไฟฟ้ามีคา่ แปรผันตรงกบั ความต่างศักยร์ ะหว่างปลายทั้งสองของตัวนำ เชงิ ประจักษ์ โดยอัตราสว่ นระหวา่ งความตา่ งศักยแ์ ละกระแสไฟฟ้า มคี ่าคงท่ี เรยี กค่าคงท่นี ้วี า่ ความ 2. เขี ยนก ราฟ ความสัมพั นธ์ ตา้ นทาน ระหว่างกระแสไฟฟ้าและความ ตา่ งศกั ย์ไฟฟา้ 3. ใช้โวลต์มิเตอร์ แอมมิเตอร์ใน การวัดปรมิ าณทางไฟฟา้ 4. วิเคราะห์ความต่างศักย์ไฟฟ้า • ในวงจรไฟฟ้าประกอบด้วยแหล่งกำเนิดไฟฟ้า สายไฟฟ้า และอุปกรณ์ไฟฟ้า โดยอุปกรณ์ และกระแสไฟฟ้าในวงจรไฟฟ้า ไฟฟ้า แต่ละช้ินมีความต้านทาน ในการต่อตัวต้านทาน หลายตัว มีทั้งต่อแบบอนุกรมและ เมื่อต่อตวั ตา้ นทานหลายตวั แบบขนาน แบบอนุกรมและแบบขนานจาก • การต่อตวั ต้านทานหลายตัวแบบอนุกรมใน หลกั ฐานเชงิ ประจักษ์ วงจรไฟฟ้า ความต่างศกั ย์ที่คร่อมตวั ต้านทานแตล่ ะตัวมีคา่ เท่ากบั ผลรวมของความต่างศักย์ 5. เขยี นแผนภาพวงจรไฟฟ้าแสดง ท่ีครอ่ มตวั ต้านทานแตล่ ะตัว โดยกระแสไฟฟา้ การต่อตัวต้านทานแบบอนุกรม ที่ผา่ นตวั ต้านทานแต่ละตัวมคี ่าเทา่ กัน และขนาน 6. บรรยายการทำงานของช้ินสว่ น • การต่อตัวต้านทานหลายตวั แบบขนานในวงจรไฟฟา้ กระแสไฟฟ้าท่ีผ่านวงจรมคี า่ เทา่ กบั อิเลก็ ทรอนิกส์อยา่ งง่ายในวงจร ผลรวมของกระแสไฟฟ้าที่ผา่ นตัวต้านทานแต่ละตัวโดยความตา่ งศกั ยท์ ีค่ รอ่ มตวั ต้านทานแต่ จากขอ้ มูลท่ีรวบรวมได้ ละตัวมีคา่ เท่ากัน 7. เขยี นแผนภาพและตอ่ ช้นิ สว่ น • ชนิ้ ส่วนอเิ ล็กทรอนกิ สม์ หี ลายชนดิ เชน่ ตัวตา้ นทาน ไดโอด ทรานซสิ เตอร์ ตวั เก็บประจุ อิเล็กทรอนกิ ส์อยา่ งง่ายใน โดยชิ้นสว่ นแต่ละชนิดทำหนา้ ท่ีแตกตา่ งกนั เพอ่ื ใหว้ งจรทำงานไดต้ ามต้องการ วงจรไฟฟ้า • ตวั ต้านทานทำหน้าที่ควบคมุ ปริมาณกระแสไฟฟา้ ในวงจรไฟฟ้า ไดโอดทำหน้าท่ีให้ กระแสไฟฟา้ ผ่านทางเดยี ว ทรานซสิ เตอร์ทำหน้าทีเ่ ป็นสวติ ช์ปิดหรือเปดิ วงจรไฟฟา้ และ ควบคุมปรมิ าณกระแสไฟฟา้ ตัวเก็บประจทุ ำหน้าท่เี กบ็ และคายประจไุ ฟฟ้า • เครือ่ งใช้ไฟฟ้าอย่างง่ายประกอบด้วยชนิ้ สว่ นอิเลก็ ทรอนกิ ส์หลายชนิดทท่ี ำงานร่วมกัน การตอ่ วงจรอเิ ลก็ ทรอนิกส์โดยเลอื กใชช้ ิน้ สว่ นอเิ ลก็ ทรอนิกส์ทเ่ี หมาะสมตามหน้าท่ีของ ชน้ิ ส่วนน้ัน ๆ จะสามารถทำให้วงจรไฟฟ้าทำงานได้ตามตอ้ งการ หลกั สูตรสถานศึกษา กลุ่มสาระการเรียนรู้วทิ ยาศาสตร์และเทคโนโลยี โรงเรียนวดั วงั น้าเขียว

50 ช้ัน ตัวชวี้ ดั สาระการเรียนรแู้ กนกลาง ม.3 8. อธิบายและคำนวณพลังงาน • เคร่ืองใช้ไฟฟ้าจะมีค่ากำลังไฟฟ้าและความต่างศักย์กำกับไว้ กำลังไฟฟ้ามีหน่วยเป็นวัตต์ ไฟ ฟ้ าโด ย ใช้ ส ม ก าร W= Pt ความต่างศกั ย์ มีหน่วยเป็นโวลต์ คา่ ไฟฟ้าส่วนใหญ่คิดจากพลังงานไฟฟ้าท่ีใช้ทั้งหมด ซึ่งหาได้ รวม ทั้ งค ำน วณ ค่ าไฟ ฟ้ าข อ ง จากผลคูณของกำลังไฟฟ้า ในหน่วยกิโลวัตต์ กับเวลาในหน่วยชั่วโมง พลังงานไฟฟ้ามีหน่วย เครือ่ งใช้ไฟฟา้ ในบ้าน เปน็ กิโลวตั ต์ ชัว่ โมง หรอื หน่วย 9. ตระหนักในคุณ ค่าของการ • วงจรไฟฟ้าในบ้านมีการต่อเครื่องใช้ไฟฟ้าแบบขนานเพ่ือให้ความต่างศักย์เท่ากัน การใช้ เลอื กใชเ้ ครอ่ื งใชไ้ ฟฟ้าโดยนำ เคร่ืองใช้ไฟฟ้าในชีวิตประจำวันต้องเลือกใช้เครื่องใช้ไฟฟ้าท่ีมีความต่างศักย์และกำลังไฟฟ้า เสนอวิธีการใช้เครื่องใช้ไฟฟ้า ให้เหมาะกับการใช้งาน และการใช้เคร่ืองใช้ไฟฟ้าและอุปกรณ์ไฟฟ้าต้องใช้อย่างถูกต้อง อย่างประหยัดและปลอดภยั ปลอดภยั และประหยดั 10. สร้างแบบจำลองที่อธิบายการ • คลื่นเกิดจากการส่งผ่านพลังงานโดยอาศัยตัวกลางและไม่อาศัยตัวกลาง ในคล่ืนกล เ กิ ด ค ลื่ น แ ล ะ บ ร ร ย า ย พลังงานจะถูกถ่ายโอนผ่านตัวกลางโดยอนุภาคของตัวกลางไม่เคลื่อนที่ไปกับคลื่น คล่ืนที่แผ่ ส่วนประกอบของคลนื่ ออกมาจากแหล่งกำเนิดคลื่นอย่างต่อเน่ืองและมีรูปแบบที่ซ้ำกัน บรรยายได้ด้วยความยาว คล่ืน ความถี่ แอมพลิจูด 11. อธิบายคล่ืนแม่เหล็กไฟฟ้า • คลื่นแม่เหล็กไฟฟ้าเป็นคลื่นที่ไม่อาศัยตัวกลาง ในการเคลื่อนที่ มีความถ่ีต่อเน่ืองเป็น และสเปกตรัมคล่ืนแม่เหล็กไฟฟ้า ช่วงกวา้ งมาก เคลอ่ื นทใี่ นสญุ ญากาศดว้ ยอัตราเร็วเทา่ กัน จากข้อมูลท่รี วบรวมได้ แตจ่ ะเคลอ่ื นทีด่ ้วยอัตราเร็วต่างกันในตัวกลางอ่ืน คลื่นแม่เหล็กไฟฟ้าแบง่ ออกเป็นช่วงความถ่ี 12. ตระหนักถึงประโยชน์และ ต่าง ๆ เรียกว่า สเปกตรัมของคลื่นแม่เหล็กไฟฟ้า แต่ละช่วงความถ่ีมีชื่อเรียกต่างกัน ได้แก่ อันตรายจากคล่ืนแม่เหล็กไฟฟ้า คลืน่ วิทยุ ไมโครเวฟ อินฟราเรด แสงท่ีมองเหน็ อัลตราไวโอเลต รังสีเอกซ์และรังสแี กมมา ซ่ึง โดยนำเสนอการใช้ประโยชน์ใน สามารถนำไปใชป้ ระโยชน์ได้ ด้านต่าง ๆ และอันตรายจากคล่ืน • เลเซอร์เป็นคล่ืนแม่เหล็กไฟฟ้าที่มีความยาวคล่ืนเดียว เป็นลำแสงขนานและมีความเข้มสูง แมเ่ หลก็ ไฟฟา้ ในชีวิตประจำวนั นำไปใช้ประโยชน์ในด้านต่าง ๆ เช่น ด้านการส่ือสารมีการใช้เลเซอร์สำหรับส่งสารสนเทศ ผา่ นเส้นใยนำแสง โดยอาศัยหลักการการสะท้อนกลับหมดของแสง ด้านการแพทย์ใช้ในการ ผา่ ตดั • คล่ืนแม่เหล็กไฟฟ้านอกจากจะสามารถนำไปใช้ประโยชน์แล้ว ยังมีโทษต่อมนุษย์ด้วย เช่น ถ้ามนุษย์ได้รับรังสีอัลตราไวโอเลตมากเกินไป อาจจะทำให้เกิดมะเร็งผิวหนัง หรือถ้าได้รังสี แกมมาซ่งึ เปน็ คล่ืนแม่เหล็กไฟฟ้าที่มีพลงั งานสูงและสามารถทะลุผา่ นเซลล์และอวัยวะได้อาจ ทำลายเน้อื เย่ือหรอื อาจทำใหเ้ สียชวี ติ ไดเ้ มอื่ ไดร้ ับรงั สีแกมมาในปริมาณสูง 13. ออกแบบการทดลองและ • เม่อื แสงตกกระทบวัตถุจะเกดิ การสะทอ้ นซง่ึ เปน็ ไปตามกฎการสะทอ้ นของแสง โดยรงั สีตก ดำเนินการทดลองด้วยวิธีที่ กระทบ เส้นแนวฉาก รงั สีสะท้อนอยู่ในระนาบเดยี วกนั และมุมตกกระทบเทา่ กบั มุมสะทอ้ น เหมาะสมในการอธิบายกฎ ภาพจากกระจกเงาเกดิ จากรงั สีสะท้อนตัดกันหรือตอ่ แนวรงั สีสะทอ้ นให้ตดั กัน โดยถ้ารงั สี การสะท้อนของแสง สะทอ้ นตัดกนั จริง จะเกดิ ภาพจรงิ แตถ่ า้ ต่อแนวรังสีสะทอ้ นใหไ้ ปตัดกัน จะเกิดภาพเสมอื น 14. เขียนแผนภาพการเคลือ่ นที่ ของแสง แสดงการเกิดภาพจาก กระจกเงา หลกั สูตรสถานศึกษา กลมุ่ สาระการเรียนรู้วทิ ยาศาสตร์และเทคโนโลยี โรงเรียนวดั วงั น้าเขียว