๓๕ ตารางที่ ๒.๖ สรปุ แนวคิดหลักของนกั วิชาการเกย่ี วกบั ด้านเนอ้ื หาการสอนและหลักสูตร นักวิชาการหรือแหลง่ ข้อมลู แนวคิดหลัก กระทรวงศึกษาธิการ ประมวลความรู้และประสบการณ์ที่จัดขึ้นเพื่อ ฆนัท ธาตุทอง พฒั นาผู้เรยี นให้มคี วามรคู้ วามสามารถ วันเพญ็ วรรณโกมล เป็นเครื่องมือที่จะทําให้การจัดการศึกษาบรรลุผล ตามจุดหมายทกี่ าํ หนดไว้ ปรยี าพร วงศ์อนตุ รโรจน์ ๑. รายวชิ าหรือเน้ือหาวชิ าท่ีเรียน ทศิ นา แขมณี ๒. จุดหมายทผ่ี ู้เรยี นพงึ บรรลุ Taba, H ๓. แผนสําหรบั จัดโอกาสการเรียนรู้ Armstrong, D.G. ๔. ประสบการณ์ท้ังปวงของผเู้ รยี นทโี่ รงเรยี นจัด Gagne, R. M. ๕. กิจกรรมทางการศกึ ษาท่ีจัดใหก้ บั นกั เรียน เป็นระบบในการจัดการศึกษาฝึกฝนผู้เรียนให้ เป็นไปตามเป้าหมายทต่ี ้องการ การจัดกิจกรรมให้สอดคล้องกับผู้เรียนนั้นจะต้อง มลี ักษณะทีส่ อดคล้องกับเน้ือหาวิชา มนุษย์มีความต้องการพื้นฐาน, กลุ่มบุคคลท่ีมี วัฒนธรรมเก่าจะชอบอยู่กับสิง่ แวดล้อม, สถาบัน การเปรียบเทียบหลักสูตรกับสนามท่ีใช้วิ่งแข่ง ผู้เรียนจะตอ้ งฟันฝ่าความยากลาํ บาก วิธีจัดโครงสร้างได้ ๓ กลุ่มคือ ความรู้ข้อเท็จจริง, ทักษะดา้ นสตปิ ญั ญา, ยทุ ธศาสตร์การคดิ ๒.๒.๓ ด้านวิธีการสอน วิธีการสอน คือ วิธีการท่ีครูจัดกิจกรรมการเรียนการสอน ให้ผู้เรียนเกิดการเรียนรู้ตาม วัตถุประสงค์ด้วยวิธีการต่างๆ ที่เหมาะสมให้แก่ผู้เรียนทําให้เกิดการเปลี่ยนแปลงพฤติกรรมในด้าน ความรู้ ความเข้าใจ เจตคติ และทักษะของนักเรียนเป็นไปตามกระบวนการที่ผู้สอนได้ใช้ในการสอน กับผู้เรยี นดงั มนี ักวิชาการตา่ งๆ ใหว้ ิธีการสอนดังต่อไปน้ี
๓๖ เทคนิคการสอนเป็นวิธีการสอนในแบบต่างๆ ที่ผู้สอนจัดให้มีขึ้นเพ่ือดึงดูดให้ผู้เรียนได้ ขวนขวายหรือกระตุ้นให้ผู้เรียนเกิดความสนใจในการเรียนรู้ในรายวิชานั้นๆ โดยวิธีการสอนหรือ เทคนิคการสอนในปัจจุบันนนั้ ไดแ้ บ่งออกเปน็ ๑๗ วิธี ไดแ้ ก่ ๑. เทคนคิ การสอนโดยใช้การบรรยาย ๒. เทคนิคการสอนโดยใช้การสาธติ ๓. เทคนคิ การสอนโดยใช้การทดลอง ๔. เทคนคิ การสอนโดยใชก้ ารนิรนยั ๕. เทคนิคการสอนโดยใชก้ ารอปุ นัย ๖. เทคนิคการสอนโดยใช้การไปทัศนศกึ ษา ๗. เทคนคิ การสอนโดยใช้การอภปิ รายกลุ่มยอ่ ย ๘. เทคนคิ การสอนโดยใช้การแสดงละคร ๙. เทคนคิ การสอนโดยใช้การแสดงบทบาทสมมติ ๑๐. เทคนคิ การสอนโดยใช้กรณตี ัวอยา่ ง ๑๑. เทคนคิ การสอนโดยใชเ้ กม ๑๒. เทคนคิ การสอนโดยใชส้ ถานการณจ์ ําลอง ๑๓. เทคนคิ การสอนโดยใช้ศูนยก์ ารเรยี น ๑๔. เทคนคิ การสอนโดยใช้บทเรียนแบบโปรแกรม ๑๕. เทคนคิ การสอนโดยใชโ้ ครงงานหรือโครงการ ๑๖. เทคนิคการสอนแบบ M-I-A-P ๑๗. เทคนคิ การสอนโดยใช้ส่อื ๔๕ รูปแบบการเรียนการสอนของวิลเลี่ยมส์มีหลักการเก่ียวกับลักษณะของการเรียนท่ีมี ประสทิ ธภิ าพ ดงั ตอ่ ไปนี้ ๑. การเรียนรู้จะเกิดได้ดีเด็กซึ่งเป็นผู้เรียนเป็นผู้มีส่วนร่วมผลิตหรือกระทําด้วย และการ เรียนนน้ั มีพื้นฐานจากความสามารถและสไตล์ในการเรยี นทแี่ ตกต่างกนั ของผ้เู รียน ๒. การคิดและการรู้สึกเกิดขึ้นด้วยกันมิได้แยกจากกัน ทุกครั้งที่บุคคลคิดเร่ืองใดโดย กาํ หนดยทุ ธวธิ กี ารสอน ดงั ต่อไปนี้ ๑) การใช้สิ่งที่ตรงข้าม (Paradox) ยุทธวิธีน้ีต้องการให้ผู้เรียนมีความไวต่อ การสังเกตความแตกต่างระหว่างความเป็นจริงความเชื่อทั่วๆ ไป เพราะการศึกษาส่ิงตรงกันข้ามหรือ ๔๕ กิตติ รัตนราษ,ี ส่ือการสอนและฝึกอบรม : จากสื่อพื้นฐานถึงสื่อดิจิตอล, (กรุงเทพมหานคร : โรง พิมพ์จุฬาลงกรณม์ หาวิทยาลยั , ๒๕๕๔), หน้า ๓๕-๓๖.
๓๗ (Paradox) นี้เป็นสถานการณ์จริงท่ีดูเหมือนไม่จริง เช่นในวิชาสังคมศึกษา การเดินเรือไปทางทวีป ตะวนั ตก แตเ่ ดนิ ทางไปทางตะวันออก ๒) การใช้การเปรียบเทียบ (Analogies) การเปรียบเทียบแบบนี้จะ เปรียบเทียบส่วนที่เหมือนส่วนท่ีมีความแตกต่างกัน เช่นในวิชาสังคมศึกษาให้นักเรียนเปรียบเทียบ แฟช่ันและความนิยมในสมัยวัยรุ่นของพ่อแม่กับแฟชั่นและความนิยมของวัยรุ่นในปัจจุบัน โดยศึกษามี ส่วนใดที่เหมือนและเหตุผล ๓) ให้ตัวอย่างของการเปล่ียนแปลง (Change) ให้เด็กเห็นถึงลักษณะของการ เปล่ียนแปลงของโลก เช่น การอภิปรายกับนักเรียนถึงวิธีการรักษาสภาพของสิ่งของสัตว์ เช่น การแช่ ปลาในต้เู ย็น การถนอมอาหาร ให้นักเรยี นช่วยกนั คดิ ว่าทาํ ไมจงึ ตอ้ งการรักษาถนอม ๔) ใช้ตัวอย่างของนิสัยความเคยชิน (Habit) ยุทธวิธีนี้ต้องการช่วยให้เด็ก หลีกเล่ียงจากการคิดท่ีเป็นไปตามความเคยชิน เช่นอภิปรายกับเด็กถึงความเคยชินกับจํานวนเลขหลัก สิบให้ลองคิดในหลักอ่ืน หรือการคิดส่ิงปฏิบัติที่เคยชินและจะมีวิธีการเปลี่ยนนิสัยหรือการปฏิบัติที่เคย ชินอยา่ งไร ๕) สอนมิใช่เพ่ือปรับตัว (Adjust) สอนเพ่ือให้พัฒนา เช่น สอนให้ในแง่บวกถึง ความผิดความล้มเหลว การเรียนรู้จากความผิด และการท่ีจะปรับปรุงสถานการณ์แทนที่จะปรับตนให้ เข้ากับสถานการณ์เช่น หลังจากการศึกษาเรื่องระบบการปกครองท้องถ่ิน ครูพานักเรียนไปสํานักงาน เทศบาลในเมือง สังเกตการณ์ทํางานและสัมภาษณ์จากเจ้าหน้าท่ีหลังจากน้ันครูให้นักเรียนคิด โครงสร้างระบบการปกครองท้องถิ่นในอุดมคติและคุณสมบัติคุณลักษณะต่างๆ และให้นักเรียน ช่วยกันคิดว่าจะทําให้เกิดลักษณะและคุณสมบัติเหล่านั้นได้อย่างไร หรือหลังจากการศึกษาปัญหาการ ขาดแคลนกระดาษ ให้นกั เรยี นคดิ หาวธิ กี ารท่จี ะหาสิ่งอ่นื มาใช้แทนกระดาษ ๖) พัฒนาทักษะในการฟังอย่างสร้างสรรค์ (Creative Reading) ยุทธวิธีน้ีฝึก ให้เด็กสร้างสรรค์ความคิดอ่าน “มิใช่อ่านเพื่อทราบว่าจะพูดว่าอะไรแต่เพ่ือให้ทราบว่ามันพาเราไปท่ี ไหน”เช่น ครูให้นักเรียนอ่านแล้วเก็บคํานวณต่างๆ ท่ีนักเรียนไว้ทํารายการไว้หรือรายการโทรทัศน์ อา่ นหนังสอื และทาํ รายการสาํ นวนตา่ งๆ๔๖ รูปแบบการเรียนการสอนของการเรียนรู้แบบร่วมมือ (Instructional Modelsof Cooperative Learning) ก. ทฤษฎี/หลักการ/แนวคิดของรูปแบบ รูปแบบการเรียนการสอนของการเรียนรู้แบบ ร่วมมือพัฒนาข้ึนโดยอาศัยหลักการเรียนรูปแบบร่วมมือของจอห์นสัน และจอห์นสัน ซ่ึงได้ชี้ให้เห็นว่า ๔๖ กระทรวงศึกษาธิการ, การจัดสาระการเรียนรู้พระพุทธศาสนา กลุ่มสาระการเรียนรู้สังคมศึกษา ศาสนาและวัฒนธรรม ตามหลักสูตรการศึกษาข้ันพ้ืนฐาน พุทธศักราช ๒๕๕๑, (กรุงเทพมหานคร : โรงพิมพ์ ชมุ นุมสหกรณก์ ารเกษตรแห่งประเทศไทย จํากัด, ๒๕๕๓), หน้า ๑๙๒.
๓๘ ผู้เรียนควรร่วมมือกันในการเรียนรู้มากกว่าการแข่งขันกันเพราะการแข่งขันก่อให้เกิดสภาพการณ์ของ การแพ้ชนะ ต่างจากการร่วมมือกัน ซึ่งก่อให้เกิดสภาพการณ์ของการชนะชนะอันเป็นสภาพการณ์ที่ ดกี วา่ ทง้ั ทางด้านจติ ใจและสติปัญญาหลกั การเรยี นรู้แบบรว่ มมอื ๕ ประการประกอบดว้ ย ๑. การเรียนรู้ต้องอาศัยหลักการพ่ึงพากัน (Positive Interdependence) โดยถือว่าทุก คนมีความสาํ คญั เท่าเทยี มกันและจะต้องพง่ึ พากนั เพื่อความสาํ เรจ็ รว่ มกนั ๒. การเรียนรู้ท่ีดีต้องอาศัยการหันหน้าเข้าหากัน มีปฏิสัมพันธ์กัน (face to face Interaction) เพอ่ื แลกเปลย่ี นความคดิ เหน็ ข้อมูล และการเรยี นรตู้ ่างๆ ๓. การเรียนรู้ร่วมกันต้องอาศัยทักษะทางสังคม (Social Skills) โดยเฉพาะทักษะในการ ทํางานรว่ มกนั ๔. การเรียนรู้ร่วมกันควรมีการวิเคราะห์กระบวนการกลุ่ม (Group Processing) ท่ีใช้ใน การทํางาน ๕. การเรียนรู้ร่วมกันจะต้องมีผลงานหรือผลสัมฤทธ์ิทั้งรายบุคคลและรายกลุ่มที่สามารถ ตรวจสอบและวัดประเมินได้ (Individual Accountability) หากผู้เรียนมีโอกาสได้เรียนรู้แบบร่วมมือ กันนอกจากจะช่วยให้ผู้เรียนเกิดการเรียนรู้ทางด้านเน้ือหาสาระต่างๆ ได้กว้างขึ้นและลึกซ้ึงข้ึนแล้ว ยัง สามารถช่วยพัฒนาผู้เรียนทางด้านสังคมและอารมณ์มากขึ้นด้วย รวมทั้งมีโอกาสได้ฝึกฝนพัฒนา ทักษะกระบวนการตา่ งๆ ที่จําเปน็ ตอ่ การดาํ รงชีวติ อกี มาก ข. วัตถุประสงค์ของรูปแบบ รูปแบบน้ีมุ่งช่วยให้ผู้เรียนได้เรียนรู้เนื้อหาสาระต่างๆ ด้วย ตนเองและด้วยความร่วมมือและความช่วยเหลือจากเพื่อนๆ รวมทั้งได้พัฒนาทักษะทางสังคมต่างๆ เช่น ทักษะการสื่อสาร ทักษะการทํางานร่วมกับผู้อื่น ทักษะการสร้างความสัมพันธ์ รวมท้ังทักษะการ แสวงหาความรู้ ทักษะการคิด การแก้ปัญหาและอืน่ ๆ ค. กระบวนการเรียนการสอนของรูปแบบ รูปแบบการเรียนการสอนที่ส่งเสริมการเรียนรู้ แบบร่วมมือมีหลายรูปแบบ ซึ่งแต่ละรูปแบบจะมีวิธีการดําเนินการหลักๆ ซึ่งได้แก่ การจัดกลุ่ม การศึกษาเน้ือหาสาระ การทดสอบ การคิดคะแนน และระบบการให้รางวัล แตกต่างกันออกไปเพื่อ สนองวัตถุประสงค์เฉพาะแต่ไม่ว่าจะเป็นรูปแบบใด ต่างก็ใช้หลักการเดียวกันคือหลักการเรียนรู้แบบ ร่วมมือ ๕ ประการ และมีวัตถุประสงค์มุ่งตรงไป ในทิศทางเดียวกันคือเพ่ือช่วยให้ผู้เรียนเกิดการ เรียนรู้ในเร่ืองท่ีศึกษาอย่างมากที่สุดโดยอาศัย การร่วมมือกัน ช่วยเหลือกันและแลกเปลี่ยนความรู้กัน ระหว่างกลุ่มผู้เรียนด้วยกัน ความแตกต่างของรูปแบบแต่ละรูป จะอยู่ที่เทคนิคในการศึกษาเนื้อหา สาระและวธิ ีการเสริมแรงและการให้รางวลั เป็นประการสําคญั ๔๗ ๔๗ Johnson, David W., and Roger T., Johnson, “Instruction Goal Structure : Cooperation Competitive or Individualistic”, Review of Education Research, vol. 44 (1974), p. 213–240.
๓๙ วิธีสอนประกอบไปด้วยองค์ประกอบและขั้นตอนสําคัญอันเป็นลักษณะเด่นท่ีขาดไม่ได้ ของวิธีนั้น วิธีสอนแต่ละวิธีจะมีลักษณะเด่นที่มุ่งให้การสอนบางจุดบางด้านบรรลุผลได้ดีเป็นพิเศษ เม่ือผู้อ่านศึกษาความหมายของวิธีสอนและวัตถุประสงค์ของวิธีสอนนั้นแล้วจะสามารถตัดสินใจใน เบ้ืองต้นได้ว่า วิธีนั้นเป็นวิธีที่มีส่วนสอดคลอ้ งกับความต้องการของตนหรือไม่เทคนิคและขอ้ เสนอแนะ ต่างๆในการใช้วิธีสอนน้ันให้มีคุณภาพสูงสุด ส่วนนี้เป็นข้อมูลเสริมเก่ียวกับเทคนิคและข้อเสนอแนะ ต่างๆ ท่ีช่วยให้วิธีแต่ละวิธีได้ผลสูงสุด เพราะลําพังมีองค์ประกอบสําคัญและดําเนินการตามข้ันตอน สําคัญท่ีขาดไมไดเ้ ท่านั้น อาจไม่ได้ผลสูงสุด เพราะเปน็ องค์ประกอบ และขั้นตอนในระดับท่ีตํ่าสุดหรือ จําเป็นท่ีสุดต่อการที่จะทําให้วิธีนั้นเป็นวิธีน้ันเท่าน้ัน การใช้เทคนิคเสริมจะช่วยให้ได้ผลเพิ่มขึ้น แต่ ในขณะเดียวกัน ถ้ามุ่งใช้เทคนิคเสริมโดยขาดขั้นตอนหรือองค์ประกอบที่เป็นแก่นสําคัญก็เท่ากับว่า ไม่ได้ใช้วิธีนั้นเพราะขาดแก่นสําคัญของวิธีนั้น ซ่ึงจะมีผลทําให้การใช้วิธีน้ันไม่เกิดผลสมบูรณ์ตาม วัตถุประสงค์ของวิธีน้ัน ข้อดีและข้อจํากัดของวิธีสอนน้ันๆซึ่งจะเป็นประโยชนต์ ่อผสู้ อนในการตัดสินใจ ใชว้ ธิ สี อนนนั้ ๆ ให้เหมาะกบั วัตถุประสงค์และสถานการณข์ องตนวิธีสอนทีจ่ ะเสนอมี ๑๔ วธิ ี ไดแ้ ก่ ๑. วิธีสอนโดยใช้การบรรยาย (Lecture) ๒. วิธสี อนโดยใช้การสาธิต (Demonstration) ๓. วิธสี อนโดยใช้การทดลอง (Experiment) ๔. วธิ ีสอนโดยใช้การนิรนยั (Deduction) ๕. วิธีสอนโดยใช้อุปนยั (Induction) ๖. วิธีสอนโดยใช้ไปทศั นะศกึ ษา (Field Trip) ๗. วิธีสอนโดยใช้การอภิปรายกลุ่มย่อย (Small Group Discussion) ๘. วธิ สี อนโดยใช้การแสดงละคร (Dramatization) ๙. วธิ ีสอนโดยใช้การใช้แสดงบทบาทสมติ (Role Playing) ๑๐. วิธีสอนโดยใช้กรณีตัวอย่าง (Case) ๑๑. วธิ ีสอนโดยใช้เกม (Game) ๑๒. วิธสี อนโดยใช้สถานการณ์จําลอง (Simulation) ๑๓. วธิ ีสอนโดยใช้ศูนย์การเรยี น (Learning Center) ๑๔. วธิ สี อนโดยใช้บทเรียนแบบโปรแกรม (Programmed Instruction)๔๘ การสอนธรรมะของพระพุทธเจ้ามีวิธีการที่หลากหลาย พระองค์จะทรงพิจารณาจาก บุคคลท่ีกําลังรับฟัง ถ้าบุคคลมีระดับสติปัญญาน้อยก็จะทรงสอนธรรมะอีกรูปแบบหนึ่ง ผู้มีปัญญามาก ก็จะใชอ้ ีกรปู แบบหน่งึ ซ่งึ แนวการสอนพทุ ธวธิ ไี ดแ้ บ่งไว้ ๙ วธิ ดี งั นี้ ๔๘ ทิศนา แขมมณี, ๑๔ วิธีสอนสําหรับครูมืออาชีพ, (กรุงเทพมหานคร : โรงพิมพ์แห่งจุฬาลงกรณ์ มหาวิทยาลัย, ๒๕๕๒), หน้า ๘-๙.
๔๐ ๑. วิธีสอนแบบอุปมา อุปไมย หมายถึง วิธีสอนโดยการบรรยายเนื้อหาเปรียบเทียบกับ คน สัตว์หรือสิ่งของเพื่อให้นักเรียนเข้าใจและมองเห็นภาพ เกิดมโนทัศน์ง่าย ชัดเจนและสมจริง ใช้ วิธีการบรรยายอธิบายเน้ือหาท่ีเป็นนามธรรมหรือเรื่องท่ีเข้าใจยาก เปรียบเทียบกับสิ่งที่นักเรียน จะ เข้าใจและมองเห็นเป็นรูปธรรมได้ ในการเปรียบเทียบอุปมา อุปไมย จะต้องเลือกตัวอย่าง ส่ิงของท่ี นํามาเปรียบเทียบอุปมา อุปไมย ท่ีชัดเจน และตรงกับเน้ือหาตรงกับจุดมุ่งหมายของการสอนเรื่อง นน้ั ๆ มากทส่ี ดุ ๒. วิธีสอนแบบปุจฉาวิสัชนา หมายถึง วิธีสอนที่ใช้การถาม ตอบ ระหว่างผู้สอน กับ นักเรียนโดยผู้สอนเป็นผู้ถาม นักเรียนเป็นผู้ตอบ หรือนักเรียนเป็นผู้ถาม นักเรียนเป็นผู้ตอบ เพราะใน การถาม ตอบน้ี ผู้สอนจะไม่ตอบคําถามเอง แต่จะกระตุ้นเร้าหรือส่งเสริมให้นักเรียน ช่วยกันตอบ เป็น วิธีทาํ ใหน้ ักเรียนเกิดปญั ญาขึ้นในตนเอง คิดเป็น ทําเป็น แก้ปญั หาเปน็ ๓. วิธีสอนแบบธรรมสากัจฉา หมายถึง วิธีสอนท่ีผู้สอนเสนอสถานการณ์ที่เป็นปัญหา ของ การปฏิบัติศีล หรือการขาดหลักธรรม ให้นักเรียนสนทนากันจนได้ข้อสรุปความรู้ทางธรรม โดยมี ลกั ษณะการสนทนา ดังน้ี ๓.๑ อภปิ รายตามหวั ข้อธรรมในหมนู่ กั เรียน จนนักเรยี นสรปุ หลักธรรมได้ ๓.๒ ซักถามกันระหว่างนักเรียนกับนักเรียน นักเรียนกับครูผู้สอน โดย นักเรียนเป็นฝ่ายถาม หรือ ฝ่ายตอบสลับกัน หรือนักเรียนและครูผู้สอนผลัดกันถามตอบ จนนักเรียน สรุปหลักธรรมได้ ๓.๓ ต้ังตัวแทนขึ้นซักถามกันระหว่างนักเรียนสองฝ่ายจนสรุปหลักธรรมได้ วิธี สอนแบบนี้ เหมาะกับนักเรียนที่มีน้ันความรู้ในเน้ือหาพอสมควร และต้องการท่ีจะหาความกระจ่างใน เน้ือหาเพ่ิมขึ้น วิธีการนี้ใช้ได้ดีกับนักเรียนจํานวนน้อย และมีความสามารถในการใช้ภาษา การซักถาม โตต้ อบ แสดงความคิดเหน็ อภิปราย อธบิ ายได้ดพี อสมควร ๔. วิธสี อนแบบอรยิ สัจ ๔ มขี ัน้ ตอนการจดั กจิ กรรมการเรยี นการสอน ๔ ข้นั ตอนดงั นี้ ๔.๑ ข้ันกําหนดปัญหา หรือข้ันทุกข์ ครูช่วยนักเรียนให้ได้ศึกษาพิจารณาดู ปัญหา ท่ีเกิดข้ึนด้วยตัวเอง ด้วยความรอบคอบ และพยายามกําหนดขอบเขตของปัญหาซ่ึงนักเรียน จะต้องคิดแกไ้ ขให้ได้ ๔.๒ ขั้นต้องสมมตฐิ าน หรอื ขน้ั สมทุ ัย ๔.๒.๑ ครูช่วยนักเรียนให้ได้พิจารณาตัวเองว่าสาเหตุของปัญหาที่ ยกขึ้นมากล่าว ในข้ันท่ี ๑ นนั้ มีอะไรบ้าง ๔.๒.๒ ครูช่วยนักเรียนให้เกิดความเข้าใจว่า ในการแก้ปัญหาใดๆ นน้ั จะตอ้ งกาํ จดั หรอื ดบั ที่ต้นตอ หรอื แกป้ ัญหาเหล่าน้ัน
๔๑ ๔.๒.๓ ครูช่วยนักเรียนคิดว่า ในการแก้ที่สาเหตุนั้น อาจจะ กระทําอะไรได้บ้างคอื ใหก้ ําหนดส่งิ ที่กระทําเปน็ ขอ้ ๆ ไป ๔.๓ ขัน้ การทดลองและเกบ็ ขอ้ มูล หรอื ขนั้ นโิ รธ ๔.๓.๑ ข้ันทําให้แจ้ง ครูต้องสอนให้นักเรียนได้กระทําหรือทําการ ทดลองดว้ ยตนเอง ตามหวั ขอ้ ตา่ งๆ ที่ได้กาํ หนดไว้ในข้ันท่ี ๒ ขอ้ ๓ ๔.๓.๒ เมื่อทดลองได้ผลประการใด ต้องบันทึกผลการทดลองแต่ ละอยา่ ง หรือทีเ่ รยี กว่าขอ้ มลู ไว้เพ่อื พจิ ารณาในขน้ั ตอ่ ไป ๔.๔ ขน้ั วิเคราะหข์ อ้ มลู และสรปุ ผล หรอื ข้นั มรรค ๔.๔.๑ จากการทดลองกระทําด้วยตนเองหลายๆ อย่างน้ัน ย่อมจะได้ผลออกมาให้เห็นชัด ผลบางประการช้ีให้เห็นว่า แก้ปัญหาได้บ้าง แต่ไม่ค่อยชัดเจนนัก ผลที่ ถูกต้องชี้ให้เห็นว่า แก้ปัญหาได้บ้าง แต่ไม่ค่อยชัดเจนนัก ผลท่ีถูกต้องช้ีให้เห็นว่าแก้ปัญหาได้แน่นอน แล้ว และได้ บรรลุจุดหมายแล้ว ได้แนวทางหรือข้อปฏิบัติที่เราต้องการแล้ว เหล่าน้ีหมายความว่า จะต้อง วิเคราะห์และเปรียบเทียบข้อมูลท่ีได้บันทึกไว้ในขั้นท่ี ๓ ข้อ ๒. นั้นจนแจ่มแจ้งว่าทําอย่างไรจึง จะ แกป้ ญั หาทีก่ ําหนดในขัน้ ท่ี ๑ ไดส้ าํ เร็จ ๔.๔.๒ จากการวิเคราะห์ดังกล่าวน้ัน จะทําให้เห็นว่าสิ่งใด แก้ปัญหาได้จริง ต่อไป ก็สรุปการกระทําที่ได้ผลน้ันไว้เป็นข้อๆ หรือเป็นระบบหรือเป็นแนวทางปฏิบัติ และใหล้ งมอื กระทําหรือปฏิบัติอยา่ งเตม็ ที่ ตามแนวทางนนั้ โดยทว่ั กนั ๔๙ ๕. วิธีสอนแบบสืบสวน สอบสวนตามแนวพุทธศาสตร์ หมายถึง ระบบการเรียนการสอน แบบสืบสวน สอบสวน มีแนวคิดว่า การสืบสวน สอบสวน เป็นกระบวนการหาความจริงและวิธีการ แก้ปัญหาด้วยการต้ังคําถามในแนวกระบวนการ วิทยาศาสตร์ทั้งทางโลก และทางธรรม โดยมีขั้นตอน การจัดการเรยี นการสอนดงั น้ี ๕.๑ การเห็นปญั หา และการวิเคราะห์ปัญหา ๕.๒ การเสนอเหตุแหง่ ปัญหาในรูปของการตั้งสมมติฐาน ๕.๓ การเกบ็ รวบรวมขอ้ มูล ๕.๔ การทดสอบสมมตฐิ านด้วยขอ้ มูล ๕.๕ การสรปุ ผล๕๐ ๖. วธิ ีสอนแบบไตรสกิ ขา เป็นวธิ กี ารสอนทป่ี ระกอบดว้ ย ๓ ขัน้ ตอนในการศึกษา ดังนี้ ๔๙ พระพรหมคุณาภรณ์ (ป. อ. ปยุตโต), พุทธธรรมฉบับปรับขยาย, พิมพ์คร้ังที่ ๔๔, (กรงุ เทพมหานคร : โรงพมิ พผ์ ลธิ มั ม์, ๒๕๕๘), หนา้ ๖๓๔-๖๓๕. ๕๐ เร่อื งเดยี วกนั , หน้า ๖๒๘-๖๒๙.
๔๒ ๖.๑ ข้ันศีล (ศีลสิกขา) คือ การควบคุมให้นักเรียนอยู่ในระเบียบวินัย ท้ังทาง กาย และวาจาใหอ้ ยู่ในสภาพเรียบรอ้ ยเปน็ ปกติ พร้อมท่จี ะเรยี น ๖.๒ ขั้นสมาธิ (จิตตสิกขา) คือ การฝึกสมาธิข้ันต้นในการควบคุมสติ นักเรียน รวมจิตใจความคิดแนว่ แนเ่ ปน็ จุดเดียว นักเรยี นตัดสง่ิ รบกวนอนื่ ๆ ออกจากความคิดและจิตใจ ๖.๓ ข้ันปัญญา (ปัญญาสิกขา) คือ ขั้นนักเรียนใช้สมาธิ ความมีจิตใจแน่วแน่ ทําความเข้าใจในปัญหา หาเหตุของปัญหาเพ่ือแก้ไขพิจารณาผลท่ีเกิดขึ้นจนเกิดความรู้แจ้งเข้าใจและ แก้ปัญหาได้ เกิดการเรียนรู้เกิดปัญญาญาณข้ึนในตนเองมีมโนทัศน์ในเร่ืองน้ันได้ถูกต้องตามความเป็น จริง๕๑ ๗. วิธีสอนแบบเบญจขันธ์ ใช้หลักการยึดมั่น ถือม่ันในขันธ์ ๕ อันได้แก่ รูป เวทนา สัญญา สงั ขาร และวิญญาณ ซ่งึ มี ๕ ข้นั ตอน คือ ๗.๑ ขั้นกําหนดและเสนอส่ิงเร้า (ข้ันรูป) โดยครูกําหนดสิ่งเร้าเป็นสิ่งท่ีสัมผัส รับรู้ แลว้ เกิดอารมณ์ ความรูส้ กึ เปน็ สถานการณ์หลายๆ สถานการณ์ ๗.๒ ข้ันรับรู้ (ขั้นเวทนา) ครูควบคุมการสัมผัสให้นักเรียนได้สัมผัสโดย อายตนะทง้ั ๖ ให้ถูกช่องทางการรับรอู้ ย่างแท้จริง และใช้คําถามการเรยี นการสอนทางรบั รู้ ๗.๓ ข้ันวิเคราะห์เหตุผลและสังเคราะห์ความรู้สึก (ขั้นสัญญา) ครูต้ังคําถาม เพื่อให้ นักเรียนคิดแยกแยะ ว่ามีอะไรเกิดขั้น ใครทําอะไร ที่ไหน เมื่อไร ผลเป็นอย่างไร ใช้คําถาม เพอื่ ให้นักเรยี นสรุปความรู้สกึ ข้นั ตน้ ทเ่ี กิดข้นั ภายในจติ ใจ ๗.๔ ขั้นตัดสินความดีงาม (ขั้นสังขาร) เป็นขั้นให้นักเรียนวิจารณ์ความผิด ความถูก ความดงี าม ความชว่ั รา้ ย ความเหมาะสม ควรประพฤติ และไม่ควรประพฤติ ๗.๕ ข้ันก่อเกิดอุปนิสัยหรือคุณธรรมฝังใจ (ข้ันวิญญาณ) เป็นขั้นใช้คําถามเพ่ือ โน้มน้าวความดีหรือความรู้สึกอันชอบธรรมเข้ามาไว้ในใจของตน เป็นคําถามให้นักเรียนตอบโดย คาํ นึงถึง ตนเองเป็นทตี่ ้งั ๕๒ ๘.วิธีสอนโดยการสร้างศรทั ธาและโยนิโสมนสกิ าร ประกอบด้วย ๓ ขน้ั ตอน คือ ๘.๑ ขน้ั นําการสรา้ งเจตคติที่ดตี ่อวธิ กี ารเรียน และบทเรียน ๘.๑.๑ การจัดบรรยากาศในขั้นเรยี นให้เหมาะสม ๘.๑.๒ บุคลิกภาพของครู และการสร้างความสัมพันธ์ท่ีดีระหว่าง ครกู บั นกั เรียน ๘.๑.๓ การเสนอส่ิงเร้าและแรงจงู ใจ ๘.๒ ขน้ั สอน มขี ้ันตอนดงั น้ี ๕๑ อ้างแลว้ , หน้า ๕๔๔-๕๔๘. ๕๒ ม.ม.ู (ไทย) ๑๒/๔๙๗/๕๓๙, องฺ.ทุก. (ไทย) ๒๐/๓๑๗/๑๑๐.
๔๓ ๘.๒.๑ ครูเสนอปัญหาที่เป็นสาระสําคัญของบทเรียนหรือเสนอ หวั ข้อเรอ่ื ง ประเดน็ สาํ คัญของบทเรยี น ดว้ ยวธิ ีการตา่ ง ๆ ๘.๒.๒ ครูแนะแหลง่ วทิ ยาการและแหลง่ ข้อมูล ๘.๒.๓ นักเรียนฝึกการรวบรวมข้อมูล ข้อเท็จจริง ความรู้ และ หลักการโดยใช้ ทกั ษะที่เปน็ เครอ่ื งมอื ของการเรยี นรู้ ทักษะทางวทิ ยาศาสตรแ์ ละทกั ษะทางสงั คม ๘.๒.๔ จัดกิจกรรมที่เร้าให้เกิดการคิดและยกตัวอย่างวิธีคิด ๔ อยา่ งคอื ๑) คิดสืบค้นต้นเคา้ ๒) คดิ สบื สาวตลอดสาย ๓) คิดสืบค้นต้นปลาย ๔) คิดโยงสายสมั พันธ์ ๘.๒.๕ ฝึกการสรุปประเด็นของข้อมูล ความรู้ และเปรียบเทียบ โดยวิธีการแลกเปลยี่ นความคิดเหน็ ทดลองทดสอบจัดเปน็ ทางเลอื กและทางออกของการแก้ปญั หา ๘.๒.๖ ดาํ เนินการเลือกและตัดสนิ ใจ ๘.๒.๗ กิจกรรมฝึกปฏิบัติเพื่อพิสูจน์ผลการเลือกและตัดสินใจให้ ประจักษจ์ ริง ๘.๓ ข้ันสรุป ๘.๓.๑ ครูและนักเรียนสังเกตวิธีการปฏิบัติ ตรวจสอบ และ ปรบั ปรงุ แก้ไขให้ปฏิบัตถิ ูกตอ้ ง ๘.๓.๒ อภปิ รายและสอบถามข้อสงสยั ๘.๓.๓ สรุปบทเรียน ๘.๓.๔ วดั และประเมนิ ผล๕๓ ๙. วธิ สี อนตามหลักพหสู ูต กระบวนการเรยี นการสอนตามหลักพหสู ูต มี ๓ ขัน้ ตอน ดังนี้ ๙.๑ การสร้างศรัทธา ๙.๑.๑ การจดั บรรยากาศของขน้ั เรยี นให้เหมาะสม ๙.๑.๒ บุคลิกภาพของครูและการสร้างความสัมพันธ์ที่ดีระหว่าง ครูกับนกั เรียน ๙.๑.๓ การเสนอสิง่ เร้าและสรา้ งแรงจงู ใจใฝร่ ู้ ๙.๒ การฝึกทกั ษะภาษาตามหลักพหสู ูต ๙.๒.๑ การฝึกหดั ฟัง พูด อา่ น เขยี น ๙.๒.๒ การฝึกปรอื เพอื่ จบั ประเด็นสาระและจดจํา ๙.๒.๓ การฝึกฝน ฝกึ การใชภ้ าษาให้แคล่วคล่องจัดเจน ๙.๒.๔ การฝึกคดิ พิจารณาจนเขา้ ใจ แจ่มแจ้ง มีวธิ ีคดิ ดงั นี้ ๕๓ พระพรหมคุณาภรณ์ (ป.อ. ปยตุ โต), พุทธธรรมฉบับปรับขยาย, พิมพค์ รัง้ ท่ี ๔๔, (กรุงเทพมหานคร : โรงพิมพผ์ ลิธมั ม์, ๒๕๕๘), หน้า ๖๑๙-๖๒๗.
๔๔ ๑. คิดจําแนกแยกแยะ ๒. คดิ เชื่อมโยงสมั พันธ์ ๓. คิดสรปุ หลักการ ๙.๒.๕ การสรุปรวมสาระความรู้เป็นหลักการด้วยความเข้าใจ แจ่มแจ้ง และนําไปใช้ได้จริง (ขั้นการสอนที่ ๒.๔ และ ๒.๕ ผสมกลมกลืนกันมาก ตั้งแต่ขั้น ๒.๔ เน้น การฝกึ คิด สว่ นข้นั ที่ ๒.๕ เนน้ การสรุปและนําไปใชใ้ นชวี ิตประจาํ วัน) ๙.๓ การมองตนและการประเมินของกลั ยาณมติ ร ๙.๓.๑ การวดั และประเมนิ ตนเอง ๙.๓.๒ การวดั และประเมินโดยเพอ่ื นนกั เรียน ๙.๓.๓ การวัดและประเมนิ โดยครูผ้สู อน ๙.๓.๔ การซ่อมเสริมและชว่ ยเหลอื กนั ฉนั กัลยาณมิตร๕๔ สรุปได้ว่า ด้านวิธีการสอน คือขั้นตอนท่ีผู้สอนวางแผนและดําเนินการเพื่อให้ผู้เรียนเกิด การเรียนรู้ตามวัตถุประสงค์ โดยให้เหมาะสมกับผู้เรียนโดยใช้วิธีการต่างๆ เพื่อให้ผู้เรียนเกิดการ เปล่ียนแปลงในดา้ นต่างๆ ตารางท่ี ๒.๗ สรุปแนวคิดหลกั ของนกั วชิ าการเก่ยี วกับด้านวิธกี ารสอน นักวชิ าการหรอื แหล่งขอ้ มูล แนวคิดหลัก กิตติ รัตนราษ เทคนิคการสอนเป็นวิธีการสอนในแบบต่างๆ ที่ ผสู้ อนจัดใหม้ ีขึ้นเพ่ือดงึ ดูดใหผ้ เู้ รยี นได้ขวนขวาย กระทรวงศึกษาธกิ าร การเรียนรู้จะเกิดได้ดีผู้เรียนต้องมีส่วนร่วมด้วย การคิดและรู้สึกเกดิ ขนึ้ มิได้แยกจากกัน Johnson, David W., and Roger T การเรียนรู้ต้องอาศัยหลักพึ่งพากัน, การเรียนรู้ที่ดี Johnson ต้องหันหน้าเข้าหากัน, ต้องอาศัยทักษะสังคม, มี การวเิ คราะห์กระบวนกลุ่ม ทิศนา แขมมณี วิธีการสอนแต่ละวิธีจะมีลักษณะเด่นที่มุ่งให้การ สอนบางจดุ ไดผ้ ลดี พระพรหมคุณาภรณ์ (ป. อ. ปยตุ โต) ก า ร ส อ น ธ ร ร ม ะ ข อ ง พ ร ะ พุ ท ธ เ จ้ า มี วิ ธี ก า ร ท่ี หลากหลายได้แบ่งไว้ ๙ วิธี กรมวชิ าการ กระบวนการเรียนการสอนตามหลักพหูสูตมี ๓ ขัน้ ตอน สรา้ งศรทั ธา, ฝึกทักษะ และ การมองตน ๕๔ กรมวิชาการ, การจัดสาระการเรียนพระพุทธศาสนา, พิมพ์ครั้งที่ ๕, (กรุงเทพมหานคร : โรงพิมพ์ พระพทุ ธศาสนาของธรรมสภา, ๒๕๕๑), หน้า ๑๗๓-๑๗๘.
๔๕ ๒.๒.๔ ด้านการใช้สื่อการสอน ส่ือการสอน เป็นวัสดุอุปกรณ์หรือเป็นวิธีการที่นํามาใช้ในการเรียนการสอนเพ่ือให้ผู้เรียน เกิดความสนใจ การที่จะต้องเลือกใช้ส่ือ ต้องพิจารณาถึงลักษณะของเน้ือหาวิชา ลักษณะของผู้เรียน เวลา สถานทแี่ ละประโยชนก์ ับผู้เรยี น ดังนักวชิ าการต่างๆ กลา่ วต่อไปนี้ ส่ือการเรียนการสอน หมายถึง เป็นส่ิงท่ีช่วยกระตุ้นให้ผู้เรียนเกิดความสนใจมีความเข้าใจ เกิดการเรียนรู้ และช่วยส่งเสริมการเรียนรู้ให้เป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพ สื่อการเรียนการสอนมีหลาย รูปแบบ เช่น สื่อสิ่งพิมพ์ สื่อเทคโนโลยี สื่อธรรมชาติการเลือกสื่อท่ีใช้ในการเรียนการสอนควรคํานึงถึง ความน่าสนใจ ชวนคิด ชวนติดตามเป็นส่ือที่เข้าใจง่ายกระตุ้นให้ผู้เรียนรู้จักวิธีแสวงหาความรู้และท่ี สําคัญคือสอดคล้องกับวัตถุประสงค์ของการเรียนวิธีการเรียนรู้ของผู้เรียน และความแตกต่างระหว่าง บคุ คล๕๕ สื่อการเรียนการสอน คือ ส่ิงที่ช่วยกระตุ้นความสนใจของผู้เรียนช่วยสร้างความเข้าใจให้ ชัดเจนข้ึน และช่วยให้ผู้เรียนเกิดการเรียนรู้ได้เร็วข้ึน ตลอดจนจําได้นาน ส่ือการเรียนการสอนแบ่งได้ เป็นส่ือประเภทวัสดุ เช่น ของจริง รูปภาพ หนังสือ เป็นต้น สื่อประเภทอุปกรณ์เช่น เครื่องฉายภาพ ข้ามศีรษะ โทรทัศน์ คอมพิวเตอร์ เป็นต้น และส่ือประเภทวิธีการ ได้แก่ กิจกรรมทุกอย่างท่ีครูหรือ นักเรยี นจัดทาํ ขึ้น ทัง้ ในและนอกหอ้ งเรยี น๕๖ ส่ือการเรียนการสอนว่า เป็นส่ิงที่ช่วยให้ครูและนักเรียนปฏิบัติกิจกรรมการเรียนการสอน ไดส้ ะดวกยง่ิ ข้นึ สอื่ ท่จี าํ เปน็ สําหรับครูผ้สู อน เชน่ เอกสารหลกั สตู ร คูม่ อื ครู บันทึกการสอน เป็นตน้ ๕๗ หลกั ในการเลือกส่อื การสอนมีดังน้ี ๑. วัตถุประสงค์ของวิชา เป็นจุดแรกที่จะต้องพิจารณาก่อน ตัวอย่างเช่น ต้องการให้มีการ เปลย่ี นแปลงพฤตกิ รรมอย่างไร แล้วเลือกส่อื ที่แสดงใหเ้ หน็ จุดประสงค์นนั้ ไดใ้ กลเ้ คียงทสี่ ดุ เปน็ ตน้ ๒. ขนาดของกลุ่มผู้เข้ารับการฝึกอบรม สื่อท่ีใช้ต้องมีขนาดเหมาะสม เพื่อให้ผู้เข้ารับการ ฝึกอบรมมองเหน็ ไดช้ ัดเจน ๓. ขนาดและลักษณะของห้อง ในบางคร้ังการฝึกอบรมไม่ได้จัดในสถานท่ีเดิมอาจ เปลีย่ นแปลงไปจงึ ตอ้ งพจิ ารณาว่าสถานทใ่ี หมน่ ้นั เหมาะสมท่จี ะใชส้ ่ือทีต่ ้องการได้หรือไม่ ๕๕ กระทรวงศึกษาธิการ, นิยามคําศัพท์หลักสูตรหลักสูตรแกนกลางการศึกษาข้ันพื้นฐาน พุทธศักราช ๒๕๕๑, (กรุงเทพมหานคร : โรงพิมพ์ชุมนุมสหกรณ์การเกษตรแห่งประเทศไทย จํากัด, ๒๕๕๓), หน้า ๒๕. ๕๖ อาภรณ์ ใจเท่ียง, หลักการสอน (ฉบับปรับปรุง), พิมพ์คร้ังท่ี ๕, (กรุงเทพมหานคร : โอเอสพร้ินติ้ง เฮา้ ส์, ๒๕๕๓), หน้า ๑๙๐-๑๙๑. ๕๗ จันทรานี สงวนนาม, ทฤษฎีและแนวปฏิบัติในการบริหารสถานศึกษา, พิมพ์ครั้งท่ี ๒, (กรงุ เทพมหานคร : บรษิ ัทบ๊คุ พอยท์ จํากดั , ๒๕๕๑), หนา้ ๑๕๔.
๔๖ ๔. ความชอบของวทิ ยากรแตล่ ะคน จะมคี วามชอบในส่อื แตล่ ะชนิดแตกต่างกนั ๕. เนื้อหาวิชา เน้ือหาบางเรื่องอาจแสดงให้เห็นได้ชัดเจนด้วยภาพท่ีง่ายๆ ดังน้ันในการใช้ สอ่ื จงึ ควรทบทวนเน้อื หาดูกอ่ นว่า ควรจะเลอื กภาพอยา่ งไรทีจ่ ะอธบิ ายเนือ้ หานั้นให้เข้าใจไดด้ ีท่ีสุด ๖. ผู้ช่วยด้านโสตทัศน์ พิจารณาว่า ในองค์กรน้ันมีฝ่ายผลิตโสตทัศนูปกรณ์หรือไม่ถ้ามีควร มกี ารปรกึ ษาของคําแนะนาํ กอ่ น เพื่อทจี่ ะไดช้ ่วยแนะนําการนาํ เสนอทแี่ ปลกใหม่ และนา่ ตืน่ เตน้ ๗. ค่าใช้จ่าย (Cost) ต้องพิจารณาว่า มีผู้สนับสนุนงบประมาณในการจัดหาสื่อต่างๆ ได้ หรือไม่ ๘. ความสะดวก ในบางครั้งอาจมีการนําส่ือไปใช้ในที่ไกลๆ ควรพิจารณาว่ามีความสะดวก เหมาะสม และปลอดภยั ในการเคลื่อนยา้ ยส่อื นั้นหรือไม่ ซ่งึ ตอ้ งระวงั ด้วย๕๘ เสนอแนวทางอย่างง่ายในการพิจารณาเลือกใช้ส่ือการสอนไว้ว่า ในการเลือกสื่อการสอน นน้ั มปี ัจจยั หลายอย่างทมี่ ีผลต่อการเลอื กส่ือทจี่ ําเปน็ ต้องนาํ มาพิจารณา ปัจจยั เหลา่ น้ัน ไดแ้ ก่ ๑.วิธีการสอน (Instructional method) การเลือกวิธีการสอนเป็นปัจจัยแรกที่ควบคุม การเลือกสื่อ หรืออย่างน้อยที่สุดก็เป็นส่ิงท่ีจํากัดทางเลือกของการใช้สื่อการสอนในการนําเสนอ เช่น ถ้าเลือกใช้วิธีการสอนแบบอภิปรายกลุ่ม (Group discussion) เพ่ือแบ่งปันประสบการณ์ซึ่งกันและ กันระหว่างผู้เรียน ย่อมเป็นสิ่งท่ีเห็นได้ชัดว่า การเลือกใช้เทปเสียง หรือใช้โทรทัศน์ย่อมไม่เหมาะสม ทั้งน้ีเน่ืองจากส่ือดังกล่าวมีข้อจํากัดในเร่ืองของการให้ผลย้อนกลับหรือการแลกเปล่ียนความคิดเห็น เป็นตน้ ๒. งานการเรียนรู้ (Learning task) ส่ิงท่ีมีอิทธิพลต่อทางเลือกในการเลือกสื่อการสอนอีก ประการหนึ่ง คือ งานการเรียนรู้สําหรับผู้เรียน เพราะสิ่งนี้จะเป็นสิ่งท่ีจํากัดหรือควบคุม การเลือก วิธีการสอน ตัวอย่างเช่น การฝึกอบรมผู้ตรวจการ หรือทักษะการบริหารงาน ซ่ึงมักจะนิยมใช้วิธีการ สอนแบบการอภิปรายกลุ่ม เพื่อผู้ตรวจการแต่ละคนแบ่งปันประสบการณ์ของตนกับผู้เข้ารับการ อบรมอื่นๆ การใช้กรณีศึกษาซึ่งนําเสนอด้วยภาพยนตร์ ก็เป็นตัวอย่างทางเลือกหน่ึงที่ถูกกําหนด ให้ เลือกจากวิธกี ารสอน เปน็ ต้น ๓. ลักษณะของผู้เรียน (Learner characteristics) ลักษณะพิเศษเฉพาะของผู้เรียนก็เป็น ปัจจัยหนึ่งที่มีอิทธิพลโดยตรงต่อการเลือกส่ือการสอน ตัวอย่างเช่น การสอนผู้เรียนท่ีเรียนรู้ได้ช้า โดย การใช้หนังสือหรือเอกสารเป็นส่ือการสอน จะเป็นส่ิงท่ีย่ิงทําให้เกิดปัญหาอ่ืนๆ ตามมาในกระบวนการ เรียนการสอน ผู้เรยี นกลมุ่ น้คี วรเรียนรู้จากสอ่ื อืน่ ๆ ท่ีทาํ การรบั รแู้ ละเรยี นรไู้ ดง้ ่ายกวา่ น้ัน๕๙ ๕๘Donaldson, L., Human resource development: The new trainer’s guide, (New York: Addison Wesley, 1983), p. 12. ๕๙Romiszowski, A. J.,(1994), Educational Systems Design Implication of Electronic Publishing, (Educational Technology, 1994), p. 34.
๔๗ การจัดกิจกรรมการเรียนรู้ กิจกรรมการเรียนการสอน โดยมุ่งไปที่ผลการเรียนรู้ของผู้เรียน จะสอดคลอ้ งกับการเลือกสอื่ การเรยี นรู้ เชน่ ๑. ผลการเรียนรู้ด้านทักษะปัญญาต้องการให้มีข้อมูลย้อนกลับ (Feed back ) ต่อผู้เรียน ทั้งพฤตกิ รรมทีถ่ กู ตอ้ ง และไมถ่ กู ตอ้ งส่ือทีใ่ ช้ควรมลี กั ษณะแบบปฏสิ ัมพันธเ์ ชน่ จากผู้สอนจาก VDO ๒. ผลการเรียนรู้ด้านมโนทัศน์ หรือกฎเกณฑ์ต้องการจัดกลุ่มด้านระยะ (Spatial) ด้าน เวลาใช้ตัวอย่างต่างๆ และส่ิงท่ีไม่ต้องใช้ตัวอย่างท่ีหลากหลาย ส่ือที่ใช้เป็นภาพ โดยเฉพาะภาพที่ เหมือนจริงจะใหผ้ ลสมั ฤทธิ์ไดด้ ีกวา่ สอื่ ท่ีเปน็ เสยี ง ๓. ผลการเรียนรู้ด้านการเปล่ียนแปลงทัศนคติสิ่งท่ีนําเสนอ น่าเช่ือถือ ลําดับข้อมูลตาม ลักษณะผฟู้ ัง สอื่ ทด่ี ีในการนามาใช้ เชน่ บุคคลท่เี ปน็ ตน้ แบบ นอกจากออกแบบสื่อแล้ว ยังต้องประกอบด้วยการออกแบบการเรียนรู้ และพัฒนาระบบ การเรียนการสอน และยังได้ให้ความหมายว่า รูปแบบของส่ือต้องมีลักษณะ ๓ ประการ คือ ต้องมีการ วิเคราะห์งาน หรือกิจกรรมการเรียนการสอน ต้องมีการประเมินทุกข้ันตอน และต้องมีการระบุกล ยุทธ์การเรียน ระบุสื่อท่ีใช้ สร้างสภาพแวดล้อมให้เอ้ือต่อผู้เรียนให้เกิดกระบวนการเรียนรู้ขึ้น องค์ประกอบใช้ในการออกแบบการเรียนรู้จากทฤษฎีการเรียนรู้ เช่น แรงจูงใจ ความแตกต่างระหว่าง บุคคล จุดมุ่งหมายการเรียนรู้ การจัดลําดับเนื้อหาความรู้การเตรียมล่วงหน้า ผู้เรียน ข้อมูลย้อนกลับ การเสริมแรง การฝึกปฏบิ ัติ การนําไปใช้๖๐ ประสบการณ์การเรียนรู้ กับการจําแนกส่ือการเรียนรู้ ว่าขั้นตอนของการจัดประสบการณ์ การเรียนรู้ และการใช้ส่ือแต่ละประเภทในกระบวนการ เรียนรู้โดยใช้กรวยประสบการณ์ (Cone of Experiences) ของ Edgar Dale ซ่ึงแสดงขั้นตอนของประสบการณ์การเรียนรู้และการใช้ส่ือแต่ละ ประเภทในกระบวนการเรียนรู้ จะเป็นแนวทางในการจัดแบ่งสื่อการเรียนรู้และอธิบายถึงความสัมพันธ์ ระหว่างสื่อประเภทต่างๆ โดยเปรียบเทียบกับโครงสร้างลักษณะสําคัญการเรียนรู้ ซึ่งไม่เหมือน การศึกษาแบบดังเดิมในการศึกษาแบบด้ังเดิมสื่อการเรียนรู้เป็นสื่อกลางที่ถ่ายทอดให้ผู้เรียนเข้าใจและ บรรลุ การเรียนรู้ ได้ตามวัตถุประสงค์ที่กําหนดไว้ ผู้สอนจะเป็นแหล่งข้อมูลและเพ่ือหาความรู้ ทั้งหลาย และเป็นผู้ถ่ายทอดความรู้ในการเรียนรู้ ปัจจุบันเทคโนโลยีแหล่งข้อมูลก้าวหน้ามากขึ้น การ เก็บข้อมูล มีประสิทธิภาพมากขึ้นสามารถถ่ายทอดความรู้โดยตรงให้แก่ผู้เรียนได้ ผู้สอนจะไม่ใช่เป็น แหลง่ ข้อมูล และแหล่งถา่ ยทอดขอ้ มลู เพียงผเู้ ดยี วอีกตอ่ ไป ผสู้ อนจงึ ต้องเปลีย่ นบทบาทใหม่ เช่น ๑. ชีแ้ นวทางการเรียน วธิ ีการค้นควา้ หาความรู้ ๒. ชี้แนะแหล่งข้อมูลให้ผู้เรียน ถ่ายทอดให้ผู้เรียนบางส่วน ตามลักษณะเฉพาะของสาระ การเรียนรู้ ๖๐ Kearsley, G.,Training and Technology : A Handbook for Handbook for HRD Professional, (Ontario: Addeson-Wesley Publishing Company, 1984), p. 45.
๔๘ ๓. ผู้สอนมีบทบาทในการวางแผน จัดทําหลักสูตร ค้นคว้าข้อมูล หาวิธีการให้ผู้เรียนแนะ แนวผ้เู รยี น ประเมินผลผเู้ รยี น โดยลดบทบาทการเปน็ ผเู้ สนอเนอ้ื หา ๔. ช่วยผูเ้ รียนกระทาํ ข้อมูลเปน็ ลาํ ดับขั้นตอน หรือใหง้ ่าย และเขา้ ใจแจ่มแจ้งข้ึน๖๑ สรุปได้ว่า สื่อการสอน เป็นอุปกรณ์ท้ังหลาย รวมท้ังกิจกรรมต่างๆ เป็นตัวช่วยนําความรู้ หรือสิง่ บอกกล่าวที่ผสู้ อนนําไปสผู่ ูเ้ รยี นใหเ้ กิดการเรยี นรขู้ นึ้ อยา่ งมีประสทิ ธภิ าพ ตารางท่ี ๒.๘ สรุปแนวคิดหลักของนักวิชาการเก่ียวกับด้านการใชส้ ือ่ การสอน นกั วิชาการหรอื แหลง่ ขอ้ มูล แนวคิดหลกั กระทรวงศกึ ษาธกิ าร เป็นส่ิงท่ีช่วยกระตุ้นให้ผู้เรียนเกิดความสนใจมี อาภรณ์ ใจเท่ยี ง ความเข้าใจเกิดการเรยี นรู้ จนั ทรานี สงวนนาม ส่ิงท่ีช่วยกระตุ้นความสนใจของผู้เรียนช่วยสร้าง Donaldson, L ความเขา้ ใจให้ชัดเจนข้นึ เป็นส่ิงท่ีช่วยให้ครูและนักเรียนปฏิบัติกิจกรรม Romiszowski, A. J. การเรียนการสอนไดส้ ะดวกยงิ่ ขน้ึ ๑. วตั ถุประสงค์ของวิชา Kearsley, G ๒. ขนาดของกล่มุ ผูเ้ ข้ารบั การฝกึ อบรม ๓. ขนาดและลักษณะของห้อง Dale, Edgar ๔. เนื้อหาวชิ า ๑. วธิ ีการสอน ๒. งานการเรยี นรู้ ๓. ลกั ษณะของผู้เรียน ๑. วิเคราะหก์ ิจกรรมการเรียนการสอน ๒. ประเมินทุกขน้ั ตอน ๓. ระบกุ ลยทุ ธ์ ประสบการณ์การเรียนรู้และการใช้ส่ือแต่ละ ประเภทในกระบวนการเรียนรู้ จะเป็นแนวทางใน การจดั แบง่ สื่อการเรียนรู้ ๖๑ Dale, Edgar., Audi–Visual Materials of Instruction, (Chicago: Universityof Chicago Press, 1969), p. 107.
๔๙ ๒.๒.๕ ดา้ นการจัดกจิ กรรมการเรียนการสอน กิจกรรมการเรียนการสอน ทําให้ผู้เรียนเกิดการเรียนรู้อย่างมีประสิทธิภาพเพียงใดนั้น ข้ึนอยู่กับวิธีจัดกิจกรรมต่างๆ ในช้ันเรียน โดยวิธีต่างๆ อย่างหลากหลายท่ีมุ่งให้ผู้เรียนเกิดการเรียนรู้ อย่างแท้จริงเกิดการพัฒนาตนและส่ังสมคุณลักษณะที่จําเป็นสําหรับการเป็นสมาชิกที่ดีของสังคมของ ประเทศชาติตอ่ ไป ซึ่งมีนกั วชิ าการต่างๆ ได้กลา่ วดงั ต่อไปนี้ การจดั กิจกรรมการเรียนการสอนควรมหี ลักการจดั การเรยี นการสอนดงั ต่อไปน้ี ๑. ต้องตรงกับวัตถุประสงค์ที่กําหนดไว้และควรให้ครอบคลุมทั้ง ๓ ด้านคือ ด้านพุทธิพิสัย จิตพสิ ยั และทักษะพิสัย ๒. ไม่ยึดหลักสูตรเป็นบรรทัดฐานตายตัวแต่ต้องสามารถยืดหยุ่นได้ตามความเหมาะสมกับ สถานการณ์ ๓. มีการเตรียมการสอนล่วงหน้าจะชว่ ยทําให้การเรียนการสอนเป็นไปอย่างราบร่ืนบรรลุ จุดมุ่งหมายได้ ๔. ตอ้ งยึดผู้เรียนเป็นศูนย์กลางในการเรียนการสอนน่ันคือการจัดให้ผู้เรียนเกิดการเรียนรู้ ดว้ ยการกระทําและให้ได้รับประสบการณ์ตรงมากที่สุดเน้นให้ผู้เรียนรู้จักคิดรจู้ ักทําและรู้จักแกป้ ัญหา เพราะส่ิงเหล่าน้ีจะเป็นนิสัยติดตามผู้เรียนไปสามารถนําไปใช้ในชีวิตประจําวันได้และทําให้การเรียนมี ความหมายมากย่ิงขน้ึ ๕. คํานึงถึงความแตกต่างระหว่างบุคคลของผู้เรียนท้ังทางด้านพันธุกรรมวัย ความสามารถความถนัดความสนใจและส่ิงแวดล้อมซึ่งล้วนแต่เป็นตัวแปรในการเรียนรู้ของผู้เรียน ผู้สอนจะเกณฑ์ให้ผู้เรียนเกิดการเรียนรู้เท่ากันทั้งหมดคงเป็นไม่ได้ต้องค้นหาเทคนิควิธีการในการจัด กจิ กรรมประสบการณ์ส่ือการสอนให้เหมาะสมกับผเู้ รยี น ๖. ส่งเสริมความเจริญงอกงามให้แก่ผู้เรียนให้ครบทั้ง ๓ ด้านคือด้านสติปัญญา ด้าน อารมณ์และด้านร่างกายมิฉะน้นั แล้วผู้เรียนจะพฒั นาไปได้ไม่ดเี ท่าท่คี วร ๗. ควรเริ่มจากการเรียนรู้สิ่งใกล้ตัวไปหาสิ่งไกลตัวจากบทเรียนท่ีง่ายไปหายากหรือเร่ิม จากส่ิงท่ีเป็นรูปธรรมไปหาสิ่งที่เป็นนามธรรมซ่ึงจะช่วยให้ผู้เรียนเรียนรู้ได้ง่ายข้ึนทําให้เกิดเจตคติท่ีดี ต่อการเรยี นรู้ ๘. ต้องสร้างบรรยากาศให้เหมาะสมแก่การเรียนรู้ทั้งในแง่ส่ิงแวดล้อมและอารมณ์ของ ผู้เรียนเช่นการจัดสภาพแวดล้อมของสถานศึกษาห้องเรียนใหส้ ะอาดสวยงามและร่มรื่นผสู้ อนควรจะมี บคุ ลกิ ภาพท่เี หมาะสมมอี ารมณ์ดีเป็นกันเองกบั ผู้เรียนยอมรบั ฟังความคดิ เห็นของผู้เรยี น๖๒ การจัดกิจกรรมการเรียนนั้นจําเป็นอย่างย่ิงที่จะเน้นผู้เรียนเป็นสําคัญ ซ่ึงเป็นกิจกรรมท่ี ผู้เรียนได้รับประโยชน์สูงสุดจากการเรียน ได้พัฒนาเต็มตามศักยภาพ ได้ประยุกต์ความรู้ไปใช้ ๖๒ ศุภวฒั น์ เอมโอช, หลกั การสอน, (จันทบรุ ี : สถาบนั ราชภฏั รําไพพรรณี, ๒๕๔๙), หนา้ ๕๒-๕๔.
๕๐ ประโยชน์ในชีวิต ได้มีความสุขและสนุกกับการเรียนรู้ ตลอดจนมีคุณลักษณะนิสัยดีงามที่สังคมพึง ปรารถนา ดงั น้คี ือ ๑. เป็นผู้ช่วยเหลือและแหล่งวิทยาการ (Helper and Resource) คอยให้คําตอบเม่ือ นักเรียน ต้องการความช่วยเหลือทางวิชาการ ตัวอย่าง เช่น คําศัพท์หรือไวยากรณ์การให้ข้อมูลหรือ ความรู้ ในขณะทีน่ กั เรียนต้องการ ซึง่ จะช่วยทาํ ให้การเรียนรู้มีประสทิ ธภิ าพเพม่ิ ข้นึ ๒. เป็นผู้สนับสนุนและเสริมแรง (Supporter and Encourager) ช่วยสนับสนุนด้านสื่อ อปุ กรณ์ ๓. Active Learning เป็นกิจกรรมท่ีผู้เรียนเป็นผู้กระทํา หรือปฏิบัติด้วยตนเอง ด้วยความ กระตือรือร้น เช่น ได้คิด ค้นคว้า ทดลองรายงาน ทําโครงการ สัมภาษณ์ แก้ปัญหา ฯลฯ ได้ใช้ ประสาทสัมผัสต่างๆ ทําให้เกิดการเรียนรู้ด้วยตนเองอย่างแท้จริง ผู้สอนทําหน้าท่ี เตรียมการจัด บรรยากาศการเรยี นรู้ จัดสื่อสงิ่ เรา้ เสรมิ แรงให้คําปรึกษาและสรุปสาระการเรียนร้รู ่วมกนั ๔. Construct เป็นกิจกรรมที่ผู้เรียนได้ค้นพบสาระสําคัญหรือองค์การความรู้ใหม่ด้วย ตนเองอันเกิด จากการได้ศึกษาค้นคว้าทดลอง แลกเปล่ียนเรียนรู้และลงมือปฏิบัติจริง ทําให้ ผู้เรียน รักการอ่าน รักการศึกษาค้นคว้าเกิดทักษะในการแสวงหาความรู้ เห็นความสําคัญของการเรียนรู้ ซ่ึง นําไปสู่ การเป็นบุคคลแหง่ การเรยี นรู้ (Learning Man) ท่พี งึ ประสงค์ ๕. Resource เป็นกิจกรรมท่ีผู้เรียนได้เรียนรู้จากแหล่งเรียนรู้ต่างๆ ที่หลากหลายทั้ง บุคคลและ เคร่ืองมือทั้งในห้องเรียน และนอกห้องเรียน ผู้เรียนได้สัมผัสและสัมพันธ์ กับส่ิงแวดล้อม ท้ังที่ เป็นมนุษย์ (เช่น ชุมชน ครอบครัว องค์กรต่างๆ) ธรรมชาติและเทคโนโลยี ตามหลักการท่ีว่า “การเรียนรู้เกดิ ขนึ้ ได้ทุกทท่ี กุ เวลาและทุกสถานการณ์” ๖. Thinking เป็นกิจกรรมที่ส่งเสริมกระบวนการคิด ผู้เรียนได้ฝึกวิธีคิดในหลายลักษณะ เช่น คิดคล่อง คิดหลากหลาย คิดละเอียด คิดชัดเจน คิดถูก ทางคิดกว้าง คิดลึกซึ้ง คิดไกล คิดอย่างมี เหตุผล เป็นต้น การฝึกให้ผู้เรียนได้คิดอยู่เสมอในลักษณะ ต่างๆ จะทําให้ผู้เรียนเป็นคนคิดเป็น แก้ปัญหาเป็น คิดอย่างรอบคอบมีเหตุผล มีวิจารณญาณ ในการคิด มีความคิดสร้างสรรค์ มี ความสามารถในการคิดวิเคราะห์ท่ีจะเลือกรับและปฏิเสธข้อมูล ข่าวสารต่างๆ ได้อย่างเหมาะสม ตลอดจนสามารถแสดงความคิด เห็นออกได้อย่างชัดเจนและมี เหตุผลอันเป็นประโยชน์ต่อการ ดํารงชวี ติ ประจาํ วนั ๗. Happiness เป็นกิจกรรมที่ผู้เรียนได้เรียนอย่างมีความสุข เป็นความสุขที่เกิดจาก ประการที่หนึ่ง ผู้เรียนได้เรียนในสิ่งท่ีตนสนใจสาระการเรียนรู้ ชวนให้สนใจใฝ่ค้นคว้าศึกษาท้าทายให้ แสดง ความสามารถและให้ใช้ศักยภาพของตนอย่างเต็มท่ี ประการท่ีสองปฏิสัมพันธ์ (Interaction) ระหว่างผู้เรียนกับผู้สอนและระหว่างผู้เรียนกับผู้เรียน มีลักษณะเป็นกัลยาณมิตร มีการช่วยเหลือ เกือ้ กลู ซ่งึ กันและกัน มกี จิ กรรมร่วมด้วยชว่ ยกนั ทาํ ใหผ้ เู้ รียนรสู้ กึ มคี วามสุขและสนุกกบั การเรียน
๕๑ ๘. Participation เป็นกิจกรรมที่ผู้เรียนมีส่วนร่วมในการวางแผนกําหนดงาน วางเป้าหมายร่วมกัน และมีโอกาสเลือกทํางานหรือศึกษาค้นคว้าในเรื่องท่ีตรงกับความถนัด ความสามารถ ความสนใจของตนเอง ทําให้ผู้เรียนเรียนด้วยความกระตือรือร้น มองเห็นคุณค่าของส่ิง ที่เรยี นและสามารถ ประยุกต์ความรูน้ าํ ไปใช้ประโยชน์ในชวี ติ จรงิ ๙. Individualization เป็นกิจกรรมที่ผู้สอนให้ความสําคัญแก่ผู้เรียนในความเป็นเอก บุคคลผู้สอนยอมรับในความสามารถ ความคิดเห็น ความแตกต่างระหว่างบุคคลของผู้เรียน มุ่งให้ ผู้เรียนได้พัฒนาตนเองให้เต็มศักยภาพมากกว่าเปรียบเทียบแข่งขันระหว่างกันโดยมีความเชื่อมั่น ผเู้ รยี นทกุ คนมีความสามารถในการเรยี นร้ไู ด้ และมวี ธิ ีการเรียนร้ทู แ่ี ตกต่างกนั ๑๐. Good Habit เป็นกิจกรรมที่ผู้เรียนได้พัฒนาคุณลักษณะนิสัยที่ดีงาม เช่น ความ รับผิดชอบ ความเมตตา กรุณา ความมีนํ้าใจ ความขยัน ความมีระเบียบวินัย ความเสียสละ ฯลฯ และ ลักษณะนิสัยในการทํางานอย่างเป็นกระบวนการการทํางานร่วมกับผู้อ่ืน การยอมรับผู้อื่นและ การ เห็นคุณค่าของงาน เปน็ ตน้ ๖๓ การจดั กจิ กรรมการเรียนการสอนควรคาํ นงึ ถึงหลกั การสาํ คญั ดังต่อไปนี้ ๑. จดั กจิ กรรมใหส้ อดคลอ้ งกับเจตนารมณ์ของหลักสูตร ๒. จัดกิจกรรมใหส้ อดคลอ้ งกับจุดประสงค์กบั การสอนรายวชิ า ๓. จดั กจิ กรรมใหส้ อดคลอ้ งและเหมาะสมกับวยั ความสามารถความสนใจของนักศึกษา ๔. จัดกิจกรรมให้สอดคล้องกับลักษณะของเน้ือหาวิชาเนื้อหาวิชามีหลายประเภท เช่น ประเภทข้อเท็จจริงการแก้ปัญหาการสร้างสรรค์ทักษะ เจตนา และค่านิยมเน้ือหาวิชาแต่ละประเภท ตอ้ งอาศัยเทคนคิ วิธีสอน หรอื การจัดกิจกรรมท่แี ตกต่างกนั ๕. จัดกิจกรรมให้มีลําดับข้ันตอนเพื่อนักศึกษาได้เกิดความรู้ความเข้าใจอย่างต่อเน่ืองไม่ สบั สนและสามารถโยงความสมั พันธข์ องเนื้อหาทีเ่ รยี นได้ ๖. จดั กจิ กรรมให้น่าสนใจ โดยใช้สือ่ การสอนท่ีเหมาะสม๖๔ ลักษณะของกิจกรรมการเรียนการสอนทดี่ ตี อ้ งเกีย่ วข้องกบั สิ่งสําคัญหลายประการ ดังน้ี ๑. กิจกรรมการเรียนทุกอย่างต้องเกี่ยวขอ้ งกับจดุ ประสงคข์ องการเรียน ๒. การจัดลําดับของกิจกรรมการเรียน ต้องสอดคล้องกับจุดประสงค์ทั้ง ๓ ด้าน คือด้าน พุทธพิ สิ ัย ด้านจิตพิสัย ดา้ นทกั ษะพสิ ยั ๖๓ ทิศนา แขมณี, การพัฒนากระบวนการคิด.เอกสารประกอบการอบรมเชิงปฏิบัติการเรื่องการ พัฒนารูปแบบการสอนที่เน้นกระบวนการคิดตามแนวปฏิรูปกระบวนการเรียนรู้, (นครปฐม : ศูนย์ศึกษาพัฒนาครู คณะครศุ าสตร์, สถาบนั ราชภฏั นครปฐม, ๒๕๔๓), หน้า ๕๕-๕๙. ๖๔ สุวิทย์ มูลคํา, ครบเครื่องเรื่องวิทยากร, พิมพ์คร้ังท่ี ๒, (กรุงเทพมหานคร : ดวงกมลสมัย, ๒๕๔๑), หน้า ๒-๓.
๕๒ ๓. กิจกรรมการเรยี นการสอนควรเหมาะสมกบั วยั และความพรอ้ มของผเู้ รียน ๔. กิจกรรมการเรียนควรมกี ารจดั ลําดับขน้ั ตอน เพอ่ื ให้การเรียนร้มู คี วามต่อเนอื่ ง ๕. กิจกรรมการเรียนควรทําใหเ้ กิดผลดีอย่างเตม็ ท่ี ก่อให้เกดิ การเรียนรเู้ พิม่ ขึ้น ๖. กิจกรรมการเรียนจะต้องท้าทายความสนใจของผู้เรียน ให้นําส่ิงท่ีเรียนในสถานการณ์ ในห้องเรยี นไปใชไ้ ดจ้ รงิ ในสถานการณ์ใหม่ในชีวิตจริง ๗. กิจกรรมการเรียนเพ่ือเป็นการพัฒนาแนวคิด ส่งเสริมให้นักศึกษาได้คิดแบบสืบสวน สอบสวน และแก้ปัญหาตามแนวทางของตน และต้องรู้จักประเมินความคิดของตนเองด้วยและพัฒนา ไปสคู่ วามคิดริเร่มิ สร้างสรรค์ ๘. กิจกรรมการเรียนควรให้ผู้เรียนรู้หลายๆ อย่าง การจัดกิจกรรมท่ีนักศึกษาได้มีโอกาส สังเกต วเิ คราะห์ และอภิปราย โดยใช้สอ่ื การเรยี นตา่ งๆ มาประกอบ ๙. กิจกรรมการเรียนควรมีลักษณะเปิดกว้างแก่ผู้เรียน ให้มีลักษณะท่ีแตกต่างกันท้ังใน ด้านเนื้อหาและแนวความคิด กิจกรรมลักษณะนี้ไม่จําเป็นจะต้องมีคําตอบท่ีถูกต้องเพียงคําตอบเดียว แตเ่ ปน็ การให้นกั ศึกษารจู้ ักใช้ความคดิ อย่างมีเหตุผล๖๕ กิจกรรมการเรียนการสอน หมายถึง กิจกรรมหรือประสบการณ์ต่างๆ ท่ีผู้สอนได้จัดให้ ผู้เรียนเพ่ือเกิดการเรียนรู้ตามจุดประสงค์ท่ีกําหนดไว้ ดังน้ันจึงพอสรุปได้ว่า กิจกรรมการเรียนการ สอน หมายถึง กระบวนการหรือกิจกรรมใดๆ ที่จัดข้ึนอย่างหลากหลายด้วยวิธีการท่ีเหมาะสม เพื่อให้ ผู้เรียนเกิดการเรียนรู้และเปล่ียนแปลงพฤติกรรมไปในทิศทางท่ีเหมาะสมด้านพุทธิพิสัย จิตพิสัย และ ทักษะพิสัย ท้ังน้ีมีข้ันตอนในการจัดการเรียนการสอน คือ การกําหนดวัตถุประสงค์การเรียนการสอน การกําหนดวิธีสอน และการประเมินการสอน การจัดกิจกรรมการเรียนการสอนควรจัดให้สอดคล้อง กับเนื้อหารายวิชาที่กําหนดไว้ ท้ังภาคทฤษฎีและภาคปฏิบัติ เพ่ือให้ผู้เรียนได้เกิดการเรียนรู้ตาม จุดหมายของหลกั สูตร๖๖ กิจกรรมการเรียนการสอน คือ กว้างกว่าการสอนโดยทั่วไป ดังนั้นจึงหมายถึง กิจกรรมท่ี เกีย่ วขอ้ งกับการสอนด้วยเช่น การใช้สอ่ื การสอน การจัดกิจกรรมระหว่างสอน การทดสอบ เป็นตน้ ๖๗ ๖๕ สรรเพชญ อิสริยวชั ากร, ทฤษฎกี ารสอนส่กู ารฝึกประสบการณ์วิชาชพี ครูเต็มเวลา, (ราชบรุ ี : คณะครศุ าสตร์สถาบันราชภัฏหมู่บา้ นจอมบึง, ๒๕๔๖), หนา้ ๓๔๐-๓๔๑. ๖๖ สิริเทพ สุวรรณาศและคณะ, การพัฒนาการเรียนรู้โดยใช้กระบวนการวิจัยในช้ันเรียน, (ขอนแก่น :สาํ นกั งานการประถมศึกษาจังหวดั ขอนแกน่ , ๒๕๔๔), หน้า ๑๐๙. ๖๗ ปรียาพรวงศ์ อนุตรโรจน,์ จิตวิทยาการศึกษา, (กรุงเทพมหานคร : ศูนย์สื่อเสริมกรุงเทพ, ๒๕๔๖), หน้า ๕๓.
๕๓ สรุปได้ว่า ด้านจัดกิจกรรมการเรียนการสอน คือการจัดกิจกรรมโดยวิธีการต่างๆ ท่ีมีความ หลากหลาย ท่ีให้ผู้เรียนเกิดการเรียนรู้และเกิดการพัฒนาตนและส่ังสมคุณลักษณะที่จําเป็นสําหรับ เปน็ คนทด่ี ขี องสงั คมและประเทศชาตติ ่อไป ตารางที่ ๒.๙ สรุปแนวคิดหลักของนักวชิ าการเกยี่ วกับดา้ นการจัดกจิ กรรมการเรียนการสอน นกั วชิ าการหรอื แหล่งข้อมลู แนวคิดหลกั ศุภวฒั น์ เอมโอช ๑. ตอ้ งตรงจุดประสงค์ ๒. ยืดหยนุ่ ไดต้ ามความเหมาะสม ทศิ นา แขมณี ๓. เตรียมการสอนลว่ งหน้า สุวิทย์ มูลคํา ๔. ยดึ ผเู้ รยี นเป็นศูนย์กลาง ๕. คาํ นงึ ความแตกต่างระหว่างบคุ คล สรรเพชญ อสิ รยิ วัชากร ๖. สง่ เสริมความงอกงามแก่ผเู้ รียน ๗. รเิ ร่มิ จากส่ิงใกล้ตัว จําเป็นต้องเน้นผู้เรียนเป็นสําคัญ ได้รับประโยชน์ สูงสุดจาการเรียน ได้พัฒนาเต็มศักยภาพ ประยกุ ตค์ วามร้ไู ปใชไ้ ด้ ๑. จัดให้สอดคล้องกบั เจตนารมณ์ของหลักสตู ร ๒. สอดคล้องและเหมาะสมกับวัย ๓. สอดคล้องกบั จดุ ประสงคว์ ิชา ๔. สอดคลอ้ งกับเนอ้ื หาวิชา ๕. จัดใหม้ ลี าํ ดับขึน้ ตอน ๖. จดั ใหน้ ่าสนใจ ๑. ต้องเก่ียวขอ้ งกบั จุดประสงค์ของผู้เรยี น ๒. จัดลําดบั ของกิจกรรมการเรยี น ๓. ควรเหมาะสมกบั วยั ๔. จัดลาํ ดบั ข้นั ตอน ๕. กอ่ ใหเ้ กดิ การเรียนรูเ้ พมิ่ ข้นึ ๖. ต้องทา้ ทายผูเ้ รียน ๗. พัฒนาแนวคดิ ๘. ใหผ้ เู้ รียนรหู้ ลายๆ อย่าง
๕๔ ตารางท่ี ๒.๙ สรปุ แนวคดิ หลักของนกั วิชาการเกยี่ วกับดา้ นการจัดกจิ กรรมการเรยี นการสอน (ต่อ) นักวชิ าการหรอื แหลง่ ข้อมลู แนวคิดหลัก สิริเทพ สุวรรณาศ และคณะ กิจกรรมที่ผู้สอนจัดให้ผู้เรียนเกิดการเรียนรู้ตาม จดุ ประสงคท์ ี่กําหนดไว้ ปรยี าพร วงศอ์ นตุ รโรจน์ กิจกรรมท่ีเก่ียวข้องกับการสอน กว้างกว่าการ สอนโดยท่ัวไป เช่น การใช้สือ่ การสอน การจัดกจิ กรรมการเรียนการสอน เปน็ ต้น ๒.๒.๖ ดา้ นการวัดและประเมินผล การวัดและประเมินผลทางการศึกษาจะมีความหมายแตกต่างกัน แต่ส่วนใหญ่มักจะใช้ ควบคกู่ ันเสมอ คอื การวัดและประเมนิ ผล ซ่ึงมีนักวชิ าการต่างๆ จะได้กล่าวดงั ต่อไปน้ี การวัดเป็นกระบวนการเก็บรวบรวมข้อมูล ร่องรอย หลักฐานที่แสดงให้เห็นถึงพัฒนาการ ความก้าวหน้า และความสําเร็จทางการเรียนการวัดผลเป็นการวัดความสามารถของผู้เรียนอย่างเป็น ระบบ เพื่อเป็นประโยชน์ต่อการส่งเสริมให้ผู้เรียนเกิดการพัฒนาและเรียนรู้อย่างเต็มตามศักยภาพ จะต้องวัดผลโดยเกิดจากการเรียนรู้ของผู้เรียนท่ีได้เรียนรู้มาตลอดท้ังภาคการเรียนการศึกษา ซ่ึงการ วดั ผลนน้ั จําเปน็ จะต้องอาศัย การประเมินผลรว่ มด้วย๖๘ การวัดผล (Measurement) คือ กระบวนการท่ีจะได้มาซึ่งข้อมูล ตามจุดมุ่งหมายของการ เรียนการสอน โดยใช้เครื่องมือวิธีการวัดทางการศึกษาได้มากมายหลายวิธี การทดสอบ การสังเกต พฤติกรรมผู้เรียน การสอบถามสัมภาษณ์ ซ่ึงข้อมูลท่ีได้จากการวัดผลนี้ จะนําไปสู่ข้ันตอนการ ประเมินผล (Evaluation) ต่อไป การประเมินผล (Evaluation) เป็นกระบวนการนาข้อมูลท่ีได้จาก การวดั ผลมาตดั สนิ คณุ ค่า เช่น เมอ่ื ทาํ การวัดผลในวิชาหนึ่งแล้วนาํ ไปปรบั ปรุง๖๙ การวัดผลและประเมินผลการศึกษาว่าหมายถึง กระบวนการพัฒนาปรับปรุงการเรียนรู้ ของผู้เรียน และตัดสินวา่ ผู้เรียนมีความรู้ทักษะความสามารถ คุณลักษณะอันพึงประสงค์อันเปน็ ผลมา จากการเรียนการสอนบรรลุตามมาตรฐานการเรียนรู้หรือตัวชี้วัดในระดับใด สามารถที่จะได้รับการ เลื่อนช้ันหรือจบการศึกษาได้หรือไม่สถานศึกษาในฐานะผู้รับผิดชอบจัดการศึกษาจะต้องจัดทํา ระเบียบว่าด้วยการวัดผลและประเมินผลการเรียนของสถานศึกษาให้สอดคล้องและเป็นไปตาม ๖๘ กระทรวงศึกษาธิการ, นิยามคําศัพท์หลักสูตร, (กรุงเทพมหานคร : โรงพิมพ์ชุมนุมสหกรณ์ การเกษตรแห่งประเทศไทย จาํ กัด, ๒๕๕๓), หน้า ๒๙. ๖๙ โนรี ใจใส่, ส่ือการวัดและการประเมินผลการเรียนรู้, (สุราษฏร์ธานี : มหาวิทยาลัยสงขลา นครนิ ทร์, ๒๕๕๒), หน้า ๑.
๕๕ หลักเกณฑ์และแนวปฏิบัติที่เป็นข้อกําหนดของหลักสูตรแกนกลางการศึกษาข้ันพื้นฐาน พุทธศักราช ๒๕๕๑๗๐ การวัดและประเมินผลเป็นเครื่องมืออันหนึ่งที่จะช่วยพัฒนาคุณภาพของนักการศึกษาใน ระดับการศึกษาต่างๆ เพราะผลจากการวัดจะเป็นพ้ืนฐานในการตัดสินใจของครูและนักการศึกษา เพื่อใช้ปรับปรุงวิธีการสอน การแนะแนว เป็นต้น ผลของการสอบของนักเรียนที่ไม่ดี ไม่เพียงแต่แสดง ความอ่อนของนักเรียนแต่ละคนเท่านั้น เพราะถ้าพิจารณาผลการสอบรวมทั้งโรงเรียนก็จะแสดงถึง ความบกพร่องในการสอนไม่ดีของครูด้วย และถ้าพิจารณาผลการสอบรวมท้ังในโรงเรียนก็จะแสดงถึง ความบกพรอ่ งในดา้ นการบริหารโรงเรียนของครูใหญแ่ ละคณะผู้บริหารอกี ด้วย๗๑ การประเมินผลเป็นการค้นหาที่เป็นระบบคุณค่า (Worth) หรือคุณธรรม (Merit) การ ประเมนิ เป็นการกาํ หนดคณุ ค่าให้กับส่งิ ตา่ งๆ ซ่ึงมกี ระบวนการ ๔ ขั้นตอน ดงั น้ี ๑. กําหนดมาตรฐานสําหรบั คุณภาพการตัดสิน ๒. มาตรฐานควรมีความเก่ยี วขอ้ งและสมบรู ณ์ (Absolute) ๓. รวบรวมขอ้ มลู สารสนเทศทเ่ี ก่ยี วขอ้ ง ๔. สรา้ งมาตรฐานเพอื่ กาํ หนดคณุ ค่า (Value) หรือคุณภาพ (Quality)๗๒ การประเมินผล คือ การตรวจตรา ติดตาม อย่างต่อเน่ืองเก่ียวกับข้อมูลสารสนเทศท้ังหมด ของนักเรียน ครู โครงการทางการศึกษา และกระบวนการเรียนการสอน เพ่ือท่ีจะให้ทราบแน่ชัดว่า นักเรียนมีการเปลี่ยนแปลงอย่างไร โดยมีรูปแบบการตัดสินที่เที่ยงตรงกับผลที่เกิดกับนักเรียนหรือ ผ้เู รยี น และผลของโครงการนัน้ ดว้ ย๗๓ จุดประสงค์ของการประเมินผลคือเพ่ือค้นหาส่ิงที่นักเรียนได้เรียนรู้มาเพื่อช่วยในการสอน ซ่ึงอาจจะหมายถึงการสังเกตพฤติกรรมของนกั เรยี นในระหวา่ งเรยี น๗๔ ๗๐ สํานักงานคณะกรรมการการศึกษาข้ันพื้นฐาน, แนวปฏิบัติการวัดและประเมินผลการเรียนรู้ตาม หลักสูตรแกนกลางการศึกษาข้ันพื้นฐานพุทธศักราช ๒๕๕๑, พิมพ์คร้ังท่ี ๒ (กรุงเทพมหานคร : โรงพิมพ์ชุมนุม สหกรณ์การเกษตรแหง่ ประเทศไทย, ๒๕๕๓), หน้า ๔. ๗๑ บุญเลี้ยง ทุมทอง, การพัฒนาหลักสูตร, (กรุงเทพมหานคร : บริษัทแอคทีฟ พริ้น จํากัด, ๒๕๕๓), หนา้ ๒๗๔-๒๗๕. ๗๒ Guskey, T. R., Evaluating professional developmetn, (California: Corwin Press, 2000), p. 41. ๗๓ Hopkins, D. C., & Antes, C. R., Classroom measurement and evaluation, (Illinois: Publishers, 1990), p. 29. ๗๔ Holmes, M., and Wynne, E. A., Making the School and Effective Community : Belief Practice and Theory in School Administration, (Philadelphia: The Farmer Press, 1989), p. 207.
๕๖ สรุปได้ว่า ด้านการวัดและประเมินผล เป็นกระบวนการในการพัฒนาปรับปรุงเรียนรู้ของ ผู้เรียนและตัดสินว่าผู้เรียนมีความรู้ ทักษะ คุณลักษณะอันพึงประสงค์อันเป็นผลมาจากการเรียน การสอน ตารางที่ ๒.๑๐ สรุปแนวคิดหลกั ของนักวชิ าการเก่ยี วกับด้านการวดั และประเมนิ ผล นกั วชิ าการหรอื แหลง่ ขอ้ มลู แนวคดิ หลัก กระทรวงศึกษาธกิ าร เป็นกระบวนการเก็บรวบรวมข้อมูล ร่องรอย ห ลั ก ฐ า น ที่ แ ส ด ง ใ ห้ เ ห็ น ถึ ง พั ฒ น า ก า ร โนรี ใจใส่ ความกา้ วหนา้ สํานกั งานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพ้ืนฐาน กระบวนการท่ีจะได้มาซ่ึงข้อมูล ตามจุดมุ่งหมาย บญุ เลย้ี ง ทุมทอง ของการเรียนการสอน Guskey, T. R. กระบวนการพฒั นาปรับปรงุ การเรยี นรู้ของผเู้ รียน และประเมนิ ผเู้ รยี นในด้านต่างๆ Hopkins, D. C., & Antes, C. R. เป็นเคร่ืองมืออันหน่ึงท่ีจะช่วยพัฒนาคุณภาพของ Holmes,M., and Wynne, E. A. นกั การศกึ ษาในระดบั การศกึ ษาตา่ งๆ ๑. กาํ หนดมาตรฐานสําหรับคณุ ภาพการตัดสิน ๒. มาตรฐานควรมีความเกย่ี วข้องและสมบูรณ์ ๓. รวบรวมขอ้ มูลสารสนเทศท่เี กีย่ วข้อง ๔. สรา้ งมาตรฐานเพอ่ื กาํ หนดคณุ คา่ การตรวจตรา ติดตาม อย่างต่อเน่ืองเก่ียวกับ ข้อมูลสารสนเทศทงั้ หมด ค้นหาสิ่งที่นักเรียนได้เรียนรู้มาเพื่อช่วยในการ สอน ๒.๓ หลกั พุทธธรรม ภาวนา ๔ การพัฒนาศักยภาพตามหลักพุทธธรรม เป็นการดําเนินการทําให้บุคคลท่ีมีขีด ความสามารถดีข้ึน โดยใช้หลักพระพุทธศาสนาเป็นเคร่ืองกําหนด เพื่อเป็นหลักประกันในชีวิตว่ามี ความเจริญขึ้นในทางที่ดีหลักธรรมที่นํามาใช้ในการพัฒนาศักยภาพ คือ หลักภาวนา ๔ ซ่ึงเป็น หลักธรรมทีม่ งุ่ ให้มกี ารพฒั นาดว้ ยการฝึกฝนอบรม ดังตอ่ ไปน้ี
๕๗ หลักภาวนา ๔ หมายถึงการทําให้เป็นให้มีขึ้น, การฝึกอบรม, การพัฒนา ซ่ึงมีการพัฒนา อยู่ ๔ ประเภท คือ กายภาวนา คือการเจริญกาย พัฒนากาย การฝึกอบรม ให้รู้จักติดต่อเก่ียวกับสิ่ง ท้ังหลายภายนอกทางอินทรีย์ทั้งห้าด้วยดีและปฏิบัติต่อส่ิงเหล่านั้นในทางท่ีเป็นคุณมิให้เกิดโทษ ให้ กุศลธรรมงอกงามให้อกุศลธรรมเสื่อมสูญ การพัฒนาความสัมพันธ์กับส่ิงแวดล้อมทางกายภาพ สีล ภาวนา คือ การเจริญศีล พัฒนาความประพฤติ การฝึกอบรมศีล การปฏิบัติตนให้ต้ังอยู่ในระเบียบ วินัยไม่เบียดเบียนหรือก่อความเดือดร้อนเสียหาย การอยู่ร่วมกันกับผู้อื่นได้ด้วยดีเกื้อกูลแก่กัน จิตภาวนา คือ การเจริญจิต การพัฒนาจิต การฝึกอบรมจิตใจ ให้เข็มแข็งม่ันคงเจริญงอกงามด้วย คุณธรรมทั้งหลาย เช่น มีการเมตตา มีฉันทะขยันหม่ันเพียร อดทน มีสมาธิและมีความสดช่ืนเบิกบาน เป็นสุขผ่องใส เป็นต้น ปัญญาภาวนา คือการเจริญปัญญา การพัฒนาปัญญา การฝึกอบรมปัญญา ให้รู้ เข้าใจสิ่งท้ังหลายตามเป็นจริง รู้เท่าทันเห็นแจ้งโลกและชีวิตตามสภาวะ สามารถทําให้เป็นอิสระทําตน ให้บริสุทธ์ิจากกิเลสและปลอดพ้นจากความทุกข์ แก้ไขปัญหาที่เกิดข้ึนได้ด้วยปัญญา การพัฒนามนุษย์ ตามแนวทางพระพุทธศาสนานั้นต้องพัฒนาร่วมกันหลายอย่างเช่น การพัฒนากาย การพัฒนาศีล การ พัฒนาจิต การพัฒนาปัญญา เข้าด้วยกันจึงจะเป็นการพัฒนาที่ยั่งยืน โดยไม่เน้นอย่างใดอย่างหน่ึง นอกจากน้ียังได้กล่าวไว้ในหนังสือ “พุทธธรรม” ว่า มนุษย์สามารถฝึกตนให้เกิดความรู้ความเข้าใจได้ ในสิ่งท้ังหลายทั้งปวงตามความเป็นจริง จนจิตเป็นอิสระหลุดพ้นจากกิเลส ผ่องใส เป็นผู้รู้ ผู้ต่ืน ผู้เบิก บานโดยสมบูรณ์ สามารถคิดพิจารณาแก้ไขปัญหาต่างๆ และทํากิจกรรมทั้งหลายในทางที่เป็นไปเพ่ือ ประโยชน์สุขอย่างแท้จริงของตนเอง ต่อผู้อื่น ต่อสังคมและต่อประเทศชาติในท่ีสุดและได้กล่าวถึง กระบวนการพัฒนาตนที่ดําเนินไปภายในตัวบุคคล ศึกษาความรู้ ความเข้าใจ แนวคิดทัศนคติ ค่านิยม ท่ีถูกต้อง สอดคล้องกับความเป็นจริง ที่เกื้อกูลแก่ชีวิตตนและสังคม นอกจากนี้ยังได้กล่าวถึงประโยชน์ สูงสุดของชีวิตนี้ ว่า พื้นฐานของบุคคล คือการมองสิ่งทั้งหลายตามท่ีมันเป็น หรือเห็นตามความเป็น จริงด้วยจิตท่ีต้ังม่ันมีท่าทีเป็นกลางมีสติไม่หวั่นไหว ไม่ยินดี ยินร้ายไปตามอารมณ์ท่ีเกิดข้ึน สามารถ ตามดูรู้เห็นอารมณ์น้ันๆ ตามสภาวะตั้งแต่ต้นจนตลอดสาย ลึกซ้ึงลงไปอีกคือ ปัญญาท่ีรู้เท่าทันสังขาร รู้สามัญลักษณะที่เป็นอนิจจังทุกขังอนัตตา รู้เท่าทันสมมติบัญญัติ ไม่ถูกหลอกให้หลงไปตามรูปลักษณ์ ภายนอกของส่ิงท้งั หลายและยอมรบั ความจริงได้ทกุ ด้าน๗๕ ภาวนารูปศัพท์เดิมเป็น ภาวน ศัพท์เปน็ นามกิตก์ประกอบดว้ ย ภู ธาตุในความมีความเป็น ลง ยุ ปัจจัย และลง เณ การิตปัจจัย พฤทธ์ิ อู เป็น โอ เป็น อาว แปลง ยุ เป็น อน ลบ ณการิต และ ๗๕ พระพรหมคณุ าภรณ์ (ป.อ. ปยตุ ฺโต), พุทธธรรม (ฉบบั เดิม), พมิ พค์ ร้ังท่ี ๑๑, (กรุงเทพมหานคร : ดวงแกว้ , ๒๕๔๔), หน้า ๓๗๑.
๕๘ เอ สําเร็จรูปเป็น ภาวน นําไปแจกตามลิงค์ในนามศัพท์ในท่ีนี้ ภาวน ลง อา การันต์ในอิตถีลิงค์ลง สิ ปฐมาวภิ ัตติ ฝา่ ยเอกวจนะ ลบ สิ คง อา ไว้ สําเรจ็ รปู เป็น ภาวนา แปลว่า ให้มี ให้เป็นให้เจริญ๗๖ ภาวนา หมายถึงการเจริญ การทําให้เกิดมีข้ึน การฝึกอบรม การฝึกอบรมจิตใจ การ พัฒนา กายภาวนา Physical Development คือ การเจริญกาย พัฒนากาย การฝึกอบรมกายให้รู้จัก ติดต่อเก่ียวกับสิ่งทั้งภายนอกทางอินทรีย์ทั้ง ๕ ด้วยดีและปฏิบัติต่อส่ิงเหล่าน้ันในทางที่เป็นคุณ มิให้ เกิดโทษ ให้กุศลธรรมงอกงามให้อกุศลธรรมเส่ือมสูญ การพัฒนาความสัมพันธ์กับสิ่งแวดล้อมทาง กายภาพ สีลภาวนา Moral Development คือการพัฒนาความประพฤติการฝึกอบรมศีลให้ตั้งอยู่ใน ระเบียบวินัย ไม่เบียดเบียนหรือก่อความเดือดร้อน เสียหาย อยู่ร่วมกับผู้อ่ืนได้ด้วยดี เก้ือกูลแก่กัน จิต ภาวนา Emotional Development คือ การเจริญจิต พัฒนาจิต การฝึกอบรมจิตใจให้เข้มแข็ง ม่ันคง เจริญงอกงามด้วยคุณธรรมทั้งหลาย เช่น มีเมตตา กรุณา ขยันหม่ันเพียร อดทน มีสมาธิ และสดช่ืน เ บิ ก บ า น เ ป็ น สุ ข ผ่ อ ง ใ ส เ ป็ น ต้ น ปั ญ ญ า ภ า ว น า Cultivation of wisdom Intellecual Development คือ การเจริญปัญญา พัฒนาปัญญา การฝึกอบรมปัญญาให้รู้ เข้าใจสิ่งท้ังหลายตาม ความเป็นจริง รู้เท่าทันเห็นแจ้งโลกและชีวิตตามสภาวะ สามารถทําจิตให้เป็นอิสระ ทําตนให้บริสุทธิ์ จากกิเลส และปลอดพน้ จากความทุกข์ การแก้ไขปญั หาท่ีเกดิ ข้นึ ได้ดว้ ยปัญญา๗๗ คําว่า “ภาวนา” ก่อนที่จะแปลว่าเจริญ ภาวนาถ้าแปลตามตัวอักษร แปลว่า“การทําให้ เป็นให้มี” หมายความว่า อันไหนที่ไม่เป็นก็ทําให้เป็นขึ้น อันไหนที่ไม่มีก็ทําให้มีขึ้นซึ่งหมายความเลย ไปว่า การทําให้เพิ่มพูนข้ึน ทําให้กล้าแข็งขึ้นอะไรพวกน้ี เราจึงแปลกันอีกความหมายหน่ึงว่า “ฝึกอบรม” คําว่า “ฝึกอบรม” ก็ไปใกล้กับความหมายของคําว่าสิกขาเพราะฉะนั้น สิกขากับภาวนา จึงเป็นคําท่ีใช้อย่างใกล้เคียงกัน บางทีเหมือนกันแทนกันเลยทีเดียว น้ีเป็นการดึงเข้ามาหาตัวหลัก ใหญ่ในการปฏิบัติทางพระพุทธศาสนา พระพุทธเจ้าตรัสในคําสอนของพระพุทธองค์เองเพ่ือใช้เป็น คุณสมบัติของบุคคลท่านใช้ว่าภาวิตกาโย ภาวิตสีโล ภาวิตจิตโต ภาวิตปัญโญ คือคาว่า ภาวนา เวลา ใช้เป็นคุณศัพท์เป็น ภาวิตะ ภาวิตกาโย ผู้มีกายที่เจริญแล้วหรือฝึกอบรมแล้ว ภาวิตสีโล ผู้มีศีลท่ี ฝึกอบรมแล้วหรือเจริญแล้วภาวิตจิตโต ผู้มีจิตท่ีเจริญแล้วหรือมีจิตที่ฝึกอบรมแล้ว ภาวิตปัญโญ ผู้มี ปัญญาท่เี จริญแลว้ หรือปญั ญาทฝ่ี กึ อบรมแลว้ ถ้าเปน็ คาํ นาม ๔ อนั นกี้ ค็ ือ ๑. กายภาวนา คนเปน็ ภาวติ กาโย ตัวการกระทําเปน็ กายภาวนา ๒. ศีลภาวนา คนเป็นภาวิตสโี ล ตวั กระทาํ เป็นจติ ภาวนา ๓. จติ ภาวนา คนเป็นภาวิตจิตโต ตัวกระทาํ เปน็ จติ ภาวนา ๗๖ มหามกุฏราชวิทยาลัย, อภิธานปฺปทีปิกาและอภิธานปฺปทีปิกาสูจิ, (กรุงเทพมหานคร : มหามกุฏ ราชวทิ ยาลยั , ๒๕๓๕), หน้า ๒๘๓-๒๘๔. ๗๗ พระราชปวราจารย์, พุทธศาสตรปริทรรศน์ เล่ม ๒, (กรุงเทพมหานคร : มหาจุฬาลงกรณราช วิทยาลยั , ๒๕๖๐), หน้า ๕๕.
๕๙ ๔. ปัญญาภาวนา คนเป็นภาวติ ปญั โญ ตัวกระทาํ เป็นปัญญาภาวนา๗๘ ภาวนา ๔ ยังหมายถึงกายภาวนาคือ การเจริญกาย พัฒนากาย การฝึกอบรมกายให้รู้จัก ติดต่อเก่ียวข้องกับสิ่งท้ังหลาย ทั้งภายนอกด้วยอินทรีย์ทั้งห้าด้วยดีและปฏิบัติต่อส่ิงเหล่าน้ันในทางท่ี เป็นคุณมิให้เกิดโทษ ให้กุศลธรรมงอกงามให้อกุศลธรรมเส่ือมสูญ การพัฒนาความสัมพันธ์กับ สิ่งแวดล้อมทางกายภาพ สีลภาวนา คือ การเจริญศีล พัฒนาความประพฤติ การฝึกอบรมศีลให้ต้ังอยู่ ในระเบียบวินัย ไม่เบียดเบียนหรือก่อความเดือนร้อนเสียหาย การอยู่ร่วมกับผู้อื่นได้ด้วยดี การเก้ือกูล แก่กัน การฝึกอบรมในด้านความประพฤติทางกาย ทางวาจา ให้มีความสัมพันธ์กับสังคมและ ส่ิงแวดล้อมอย่างถูกต้อง มีผลดี มีระเบียบวินัย มีความสุจริตทางกาย ทางวาจา และอาชีวะ จิตภาวนา คือ การเจริญจิต พัฒนาจิต การฝึกอบรมจิตใจให้เข้มแข็งมั่นคง เจริญงอกงามด้วยคุณธรรมท้ังหลาย เช่น การมีเมตตา การมีกรุณา ความขยันหมั่นเพียร อดทน มีสมาธิและสดช่ืนเบิกบานเป็นสุข ผ่องใส เป็นต้น และยังหมายถึงการฝึกอบรมทางจิตใจ การปลูกฝังคุณธรรม การสร้างเสริมคุณภาพจิตและ การรู้จักใช้ความสามารถในกระบวนสมาธิ ปัญญาภาวนา คือ การเจริญปัญญา การพัฒนาปัญญา การฝึกอบรมปัญญาให้รู้เข้าใจส่ิงทั้งหลายตามเป็นจริง รู้เท่าทันเห็นแจ้งโลกและชีวิตตามสภาวะ สามารถทําจิตใจให้เป็นอิสระ ทําตนให้บริสุทธิ์จากกิเลสและปลอดพ้นจากความทุกข์แก้ไขปัญหาท่ี เกิดขึ้นได้ด้วยปัญญา ปัญญาภาวนายังหมายถึง การฝึกอบรมทางปัญญาอย่างสูงทําให้เกิดความรู้แจ้ง ทีส่ ามารถชาํ ระจติ ใหบ้ รสิ ทุ ธห์ิ ลุดพ้นเป็นอิสระโดยสมบรู ณ์๗๙ ภาวนา ๔ หมายถึง หลักปฏิบัติเพื่อพัฒนาตนเองหรือพัฒนาจิตใจ ๔ ขั้น ดังน้ี ๑) การ พัฒนากายหรือการทําให้ร่างกายเติบโตแข็งแรง การกินอาหารให้ได้คุณค่ากินพอดี ด้วยความรู้จัก ประมาณ ให้ร่างกายอยู่ผาสุก มีสุขภาพดี ๒) การพัฒนาศีลหรือพัฒนาทางสังคม คือ การอยู่ร่วมกันใน สังคมโดยไม่เบียดเบียนกันและมีชีวิตที่เกื้อกูลต่อกันและมีวินัย ๓) การพัฒนาจิตใจหรือพัฒนาทาง อารมณ์ ก็คือเรื่องของการพัฒนาจิตใจน่ันเอง ๔) การพัฒนาปัญญาหรือพัฒนาการทางปัญญา การ แก้ไขข้อติดขัดขจัดปัญหาให้หายอึดอัดหลุดโล่งไปได้ ตลอดจนรู้เท่าทันเหตุปัจจัยมีอะไรเกิดขึ้นก็รู้จัก มองตามเหตุปจั จยั ๘๐ ๗๘ พระธรรมปิฎก (ป.อ. ปยุตฺโต), พุทธธรรมกับการพัฒนาชีวิต, (กรุงเทพมหานคร: ธรรมสภา, ๒๕๔๐), หน้า ๕๑. ๗๙ พระมหานิพนธ์ มหาธมฺมรกฺขิโต (แสงแก้ว), “การพัฒนารูปแบบการดูแลสุขภาพผู้สูงอายุด้วยหลัก จิตภาวนาในพระพุทธศาสนา”, รายงานวิจัย, (สถาบันวิจัยพุทธศาสตร์ : มหาวิทยาลัยมหาจุฬาลงกรณราช วทิ ยาลัย, ๒๕๕๗), หน้า ๑๑. ๘๐ จินุกูล หลวงอภัย, “การพัฒนาทรัพยากรมนุษย์ตามหลักภาวนาธรรมของศูนย์ฝึกอบรมตํารวจภูธร ภาค ๖ จังหวัดนครสวรรค์”, วารสารวิจยวิชาการ มหาวิทยาลัยมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย วิทยาเขต นครสวรรค์, ปีที่ ๑ ฉบบั ที่ ๒ (พฤษภาคม-สงิ หาคม ๒๕๖๑) : ๗๙.
๖๐ ภาวนา ๔ หมายถึง กายภาวนาหมายถึงการพัฒนากายการท่ีได้ศึกษาเล่าเรียนมาตาม ลําดับทั้งภาคทฤษฎีและภาคปฏิบัติสามารถที่จะนําเอาวิชาความรู้น้ันไปใช้ในการพัฒนาชีวิตความ เป็นอยู่สีลภาวนาหมายถึงการนําหลักศีลธรรมที่พึงปฏิบัตินําไปสู่ความสามัคคีปรองดองสงบร่มเย็นอยู่ เป็นสุขได้แก่เบญจศีลเป็นศีลธรรมเบื้องต้นคือความประพฤติชอบทางกายทางวาจาและทางใจการ สํารวมรักษากายวาจาใจให้เรียบร้อยการรักษาปกติตามระเบียบวินัยข้อปฏิบัติในการเว้นจากความชั่ว การควบคุมตนให้ตั้งอยู่ในความไม่เบียดเบียนจิตภาวนาคือการพัฒนาด้านจิตใจพัฒนาจิตใจการท่ีคน ได้ศึกษาเล่าเรียนมาดีแล้วท้ังทฤษฎีทางโลกและทางธรรมฝึกฝนอบรมมาดีด้วยทางจิตใจสามารถ อดทนอดกลั้นต่ออุปสรรคต่างๆ ได้ดีมีคุณภาพปัญญาภาวนาหมายถึงการพัฒนาด้านปัญญาการพัฒนา ปัญญาพัฒนาด้วยการนําเอาวิธีคิดแบบพุทธธรรมคือโยนิโสมนสิการมาใช้เพื่อการพัฒนาให้เกิดปัญญา ยง่ิ ๆ ขึ้นไปการพัฒนาตามหลกั โยนโิ สมนสกิ าร๘๑ สรุปได้ว่า ภาวนา ๔ หมายถึง ความเจริญ ความงอกงาม ความงดงาม ด้วยการฝึกฝน อบรมตนเอง ทั้งดา้ นกายและใจใหเ้ กดิ การพฒั นาให้ดีขึน้ ตารางท่ี ๒.๑๑ สรปุ แนวคดิ หลกั ของนกั วิชาการเก่ยี วกับความหมายภาวนา ๔ นักวิชาการหรอื แหลง่ ข้อมูล แนวคดิ หลัก พระพรหมคณุ าภรณ์ (ป.อ. ปยตุ ฺโต) การทําให้เป็นให้มีขึ้น, การฝึกอบรม, การพัฒนา ซ่ึงมีการพฒั นาอยสู่ ีป่ ระเภท มหามกุฏราชวิทยาลัย ภาวนา แปลว่า ให้มี ใหเ้ ปน็ ใหเ้ จรญิ พระราชปวราจารย์ การเจริญ การทําให้เกิดมีขึ้น การฝึกอบรม การ พัฒนา เปน็ ตน้ พระธรรมปฎิ ก (ป.อ. ปยตุ ฺโต) การทาํ ให้เพิม่ พนู ขึน้ ทาํ ให้กล้าแข็งขึ้น พระมหานิพนธ์ มหาธมฺมรกฺขิโต (แสงแกว้ ) การเจริญกาย, เจริญสีล, เจริญจิต และเจริญ ปัญญา จินุกลู หลวงอภัย หลักปฏิบัติเพื่อพัฒนาตนเองหรือพัฒนาจิตใจ มี การพฒั นาดว้ ยกัน สี่ขั้นตอน ๘๑ พระครูธรรมธรวรเดชา อคฺคเตโช (พรหมเสนา), “การพัฒนาคุณภาพชีวิตชุมชนเกษตรกรรม อินทรีย์ตามแนวพุทธธรรมเพื่อชุมชนที่ย่ังยืนในพ้ืนที่ภาคกลางตอนบน”, ดุษฎีนิพนธ์พุทธศาสตรดุษฎีบัณฑิต สาขาวิชาพระพุทธศาสนา, (บัณฑิตวิทยาลัย : มหาวิทยาลัยมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย, ๒๕๕๗), หนา้ ๑๘๘–๑๘๙.
๖๑ ตารางที่ ๒.๑๑ สรุปแนวคิดหลักของนกั วิชาการเก่ยี วกับความหมายภาวนา ๔ (ตอ่ ) นกั วิชาการหรือแหล่งขอ้ มูล แนวคิดหลกั พระครูธรรมธรวรเดชา อคคฺ เตโช การพัฒนากาย, ประพฤติชอบทางกายวาจา, พฒั นาดา้ นจิตใจ, พฒั นาดา้ นปัญญา ๒.๓.๒ ความสําคัญของภาวนา ๔ ภิกษุผู้ไม่ได้เจริญกายสีล จิต ปัญญา จักไม่สามารถแนะนาผู้อื่นให้สามารถประพฤติใน อธิศีล อธิจิต อธิปัญญา ไม่สามารถแสดงธรรมอันเยี่ยมยอด ที่สร้างความปีติน่าชื่นชม แก่ผู้ฟัง ถลาลง สู่ธรรมดา ได้แก่ แสดงธรรมเพื่อการแข่งดี เพื่อกล่าวกระทบบุคคลอ่ืนหรือ เพ่ือหวังลาภสักการะ ไม่ใส่ ใจ ไม่ให้ความสําคัญในพระธรรมที่พระพุทธองค์ทรงแสดงไว้แต่กลับชื่นชมยินดี สนใจศึกษาในคํากล่าว ของบุคคลนอกพระพุทธศาสนา, ประพฤติตนเป็นผู้มักมาก เป็นตัวอย่างท่ีไม่ดีให้คนรุ่นหลังพา กนั ทําตาม๘๒ ภาวนา เป็นการขัดเกลาจิตใจเพื่อทําให้เกิดปัญญา รู้เท่าทันความเป็นไปในโลก สามารถ ทําไดด้ ว้ ยการสวดมนต์ เพ่อื สํารวมกายวาจา และใจตลอดจนการทาํ สมาธิภาวนา๘๓ ภาวนา ๔ ตอนปฏิบัติการฝึกสิกขามี ๓ แต่ทําไมตอนวัดผลภาวนามี ๔ ไม่เท่ากันทําไม (ในเวลาทําการฝึก) จัดจึงเป็นสิกขา ๓ และ (ในเวลาวัดผลคนท่ีได้รับการฝึก) จึงจัดเป็นภาวนา ๔ อย่างไรท่ีชี้แจงแล้วว่าธรรมภาคปฏิบัติการต้องจัดให้ตรงสอดคล้องกับระบบความเป็นไปของธรรมชาติ แต่ตอนวัดผลไม่ต้องจัดให้ตรงกันแล้วเพราะวัตถุประสงค์อยู่ท่ีจะมองดูผลที่เกิดข้ึนแล้วซ่ึงมุ่งท่ีจะให้ เห็นชัดเจนตอนน้ีถ้าแยกละเอียดออกไปก็จะยิ่งดีน่ีแหละคือเหตุผลท่ีว่าหลักวัดผลคือภาวนาเพิ่มเป็น ๔ ข้อให้ดูความหมายและหัวข้อของภาวนา ๔ นั้นก่อน “ภาวนา”แปลว่าทําให้เจริญทําให้เป็นทําให้มี ขึ้นหรือฝึกอบรมในภาษาบาลีท่านให้ความหมายว่า “วฑฺฒนา” คือวัฒนาหรือพัฒนาน่ันเองภาวนาน้ี เป็นคาํ หน่ึงทม่ี ีความหมายใชแ้ ทนกันไดก้ บั “สกิ ขา” ภาวนาจัดเปน็ ๔ อยา่ งคือ ๑. กายภาวนาการพัฒนากายคือการมคี วามสมั พันธ์ท่เี กอ้ื กลู กบั สิ่งแวดล้อมทางกายภาพห ๒. ศีลภาวนาการพัฒนาศีลคือการมีความสัมพันธ์ที่เก้ือกูลกับสิ่งแวดล้อมทางสังคมคือ เพอื่ นมนุษย์ ๓. จิตภาวนาการพัฒนาปัญญาคือการเสริมสร้างความรู้ความคิดความเข้าใจและการหยั่งรู้ ความจริง ๘๒ องฺ.ปญฺจก. (ไทย) ๒๒/๗๙/๑๔๕. ๘๓ ดวงเดือน พันธุมนาวินและคณะ, “สาเหตุและผลของการนับถือพุทธศาสนา: การวิจัยพฤติกรรม ศาสตรใ์ นประเทศไทย”, วารสารพทุ ธจกั ร, ปที ี่ ๖๗ ฉบบั ที่ ๑๐-๑๒ (ตุลาคม-ธันวาคม ๒๕๕๖) : ๕๗.
๖๒ ๔. ปัญญาภาวนาการพัฒนาปัญญาคือการเสริมสร้างความรู้ความคิดความเข้าใจและการ หยั่งรู้ความจรงิ อย่างที่กล่าวแล้วว่าภาวนา ๔ นี้ใช้ในการวัดผลเพื่อดูว่าด้านต่างๆ ของการพัฒนาชีวิตของ คนนั้นได้รับการพัฒนาครบถ้วนหรือไม่ดังน้ันเพ่ือจะดูให้ชัดท่านได้แยกบางส่วนละเอียดออกไปอีกส่วน ทแ่ี ยกออกไปอกี นี้คอื สิกขาขอ้ ที่ ๑ (ศลี ) ซึง่ ในภาวนาแบง่ ออกไปเปน็ ภาวนา ๒ ขอ้ คอื กายภาวนาและศีลภาวนาทําไมจึงแบ่งสิกขาข้อศีลเป็นภาวนา ๒ ข้อท่ีจริงสิกขาด้านท่ี ๑ คอื ศีลนน้ั มี ๒ สว่ นอยู่แล้วในตัวเมอ่ื จัดเปน็ ภาวนาจึงแยกเป็น ๒ ไดท้ ันทคี ือ ๑. ศีลในส่วนที่สัมพันธ์กับสิ่งแวดล้อมทางกาย (ที่เรียกว่าสิ่งแวดล้อมทางกายภาพ) ได้แก่ ความสัมพันธ์กับวัตถุหรือโลกของวัตถุและธรรมชาติส่วนอื่นที่ไม่ใช่มนุษย์เช่นเร่ืองปัจจัย ๔ สิ่งท่ีเรา บรโิ ภคใชส้ อยทุกอยา่ งและธรรมชาติแวดล้อมทัว่ ๆ ไปสว่ นนี้แหละทแี่ ยกออกไปจดั เปน็ กายภาวนา ๒. ศีลในส่วนที่สัมพันธ์กับสิ่งแวดล้อมทางสังคมคือบุคคลอื่นในสังคมมนุษย์ด้วยกันได้แก่ ความเก่ียวข้องสัมพันธ์อยู่ร่วมกันด้วยดีในหมู่มนุษย์ที่จะไม่เบียดเบียนกันแต่ช่วยเหลือเก้ือกูลกันส่วนน้ี แยกออกไปจัดเป็นศีลภาวนาในไตรสิกขาศีลครอบคลุมความสัมพันธ์กับสิ่งแวดล้อมท้ังทางวัตถุหรือ ทางกายภาพและทางสังคมรวมไว้ในข้อเดียวกันแต่เมื่อจัดเป็นภาวนาท่านแยกกันชัดออกเป็น ๒ ข้อ โดยยกเร่ืองความสัมพันธ์กับสิ่งแวดล้อมในโลกวัตถุแยกออกไปเป็นกายภาวนาส่วนเรื่องความสัมพันธ์ กับเพื่อนมนุษย์ในสังคมจัดไว้ในข้อศีลภาวนาทําไมตอนที่เป็นสิกขาไม่แยกแต่ตอนเป็นภาวนาจึงแยก อย่างท่ีกล่าวแล้วว่าในเวลาฝึกหรือในกระบวนการฝึกศึกษาองค์ทั้ง ๓ อย่างของไตรสิกขาจะทํางาน ประสานไปด้วยกันในศีลที่มี ๒ ส่วนคือความสัมพันธ์กับส่ิงแวดล้อมด้านกายภาพในโลกวัตถุและ ความสัมพันธ์กับมนุษย์ในสังคมนั้นส่วนท่ีสัมพันธ์แต่ละคร้ังจะเป็นอันใดอันหนึ่งอย่างเดียวในกรณี หน่ึงๆ ศีลอาจจะเป็นความสัมพันธ์ด้านท่ี ๑ (กายภาพ) หรือด้านที่ ๒ (สังคม) ก็ได้แต่ต้องอย่างใด อย่างหน่ึงดังน้ันในกระบวนการฝึกศึกษาของไตรสิกขาที่มีองค์ประกอบทั้งสามอย่างทํางานประสาน เป็นอันเดียวกันน้ันจึงต้องรวมศีลทั้ง ๒ ส่วนเป็นข้อเดียวทําให้สิกขามีเพียง ๓ คือศีลสมาธิปัญญาแต่ใน ภาวนาไม่มีเหตุบังคับอย่างนั้นจึงแยกศีล ๒ ส่วนออกจากกันเป็นคนละข้ออย่างชัดเจนเพ่ือประโยชน์ ในการตรวจสอบจะได้วัดผลดูจําเพาะให้ชัดไปทีละอย่างว่าในด้านซ้ายความสัมพันธ์กับสภาพแวดล้อม ทางวัตถุเช่นการบริโภคปัจจัย ๔ เป็นอย่างไรด้านศีลความสัมพันธ์กับเพ่ือนมนุษย์เป็นอย่างไร เป็นอันว่าหลักภาวนานิยมใช้ในเวลาวัดหรือแสดงผลแต่ในการฝึกศึกษาหรือตัวกระบวนการฝึกฝน พัฒนาจะใช้เป็นไตรสิกขาเนื่องจากภาวนาท่านนิยมใช้ในการวัดผลของการศึกษาหรือการพัฒนา บุคคลรูปศัพท์ที่พบจึงมักเป็นคําแสดงคุณสมบัติของบุคคลคือแทนที่จะเป็นภาวนา ๔ (กายภาวนา ศีล ภาวนา จิตภาวนาและปัญญาภาวนา) ก็เปลีย่ นเปน็ ภาวิต ๔ คอื
๖๓ ๑. ภาวิตกายกายที่พัฒนาแล้ว (มีกายภาวนา) คือมีความสัมพันธ์กับสิ่งแวดล้อมทาง กายภาพในทางที่เกื้อกูลและได้ผลดีเร่ิมแต่รู้จักใช้อินทรีย์เช่นตาหูดูฟังเป็นต้นอย่างมีสติดูเป็นฟังเป็นให้ ไดป้ ัญญาบรโิ ภคปจั จัย ๔ และส่ิงของเครอ่ื งใช้ตลอดจนเทคโนโลยีอย่างฉลาดไดผ้ ลตรงเต็มตามคณุ คา่ ๒. ภาวิตศีลมีศีลท่ีพัฒนาแล้ว (มีศีลภาวนา) คือมีพฤติกรรมทางสังคมที่พัฒนาแล้วไม่ เบียดเบียนก่อความเดือดร้อนเวรภัยต้ังอยู่ในวินัยและมีอาชีวะท่ีสุจริตมีความสัมพันธ์ทางสังคมใน ลกั ษณะที่เกอ้ื กูลสร้างสรรคแ์ ละสง่ เสริมสันตสิ ุข ๓. ภาวิตจิตมีจิตที่พัฒนาแล้ว (มีจิตภาวนา) คือมีจิตในที่ฝึกอบรมดีแล้วสมบูรณ์ด้วย คุณภาพจิตคือประกอบด้วยคุณธรรมเช่นมีเมตตากรุณาเอ้ืออารีมีมุทิตามีความเคารพอ่อนโยนซื่อสัตย์ กตัญญูเป็นต้นสมบูรณ์ด้วยสมรรถภาพจิตคือมีจิตใจเข้มแข็งม่ันคงมีความเพียรพยายามกล้าหาญ อดทนรับผิดชอบมีสติมีสมาธิเป็นต้นและสมบูรณ์ด้วยสุขภาพจิตคือมีจิตใจท่ีร่าเริงเบิกบานสดชื่นเอิบ อ่มิ ผอ่ งใสและสงบเป็นสุข ๔. ภาวิตปัญญามีปัญญาที่พัฒนาแล้ว (มีปัญญาภาวนา) คือรู้จักคิดรู้จักพิจารณารู้จัก วินิจฉัยรู้จักแก้ปัญหาและรู้จักจัดทําดําเนินการต่างๆ ด้วยปัญญาท่ีบริสุทธิ์ซ่ึงมองดูรู้เข้าใจเหตุปัจจัย มองเห็นส่ิงท้ังหลายตามเป็นจริงหรือตามท่ีมันเป็นปราศจากอคติและแรงจูงใจแอบแฝงเป็นผู้ท่ีกิเลส ครอบงําบัญชาไม่ได้เป็นอยู่ด้วยปัญญารู้เท่าทันโลกและชีวิตเป็นอิสระไร้ทุกข์ผู้มีภาวนาครบทั้ง ๔ อย่างเป็น ภาวิตท้ัง ๔ ด้านนี้แล้วโดยสมบูรณ์เรียกว่า“ภาวิตัตตะ” แปลว่าผู้ได้พัฒนาตนแล้วได้แก่ พระอรหันต์๘๔ การดําเนินชีวิตด้านกายภาวนามีความสําคัญว่า การดําเนินชีวิตอย่างมีความสุขของบุคคล นั้น ชีวิตของทุกคนย่อมประกอบด้วย ๒ ระบบสําคัญ คือ กายและจิต กล่าวคือ จิต (mind) เป็น ลักษณะทางนามธรรมเป็นส่ิงละเอียดอ่อนไม่มีตัวตนไม่มีน้ําหนัก สังเกตได้อยากเป็นอัตนัย จิตเป็นสิ่ง ที่สําคัญท่ีให้เกิดพฤติกรรมหรือการกระทําต่างๆ จิตที่สงบสุขอารมณ์ดีเบิกบาน แจ่มใสจะส่งผลให้ ร่างกายมีความสุข ส่วนกาย (body) มีลักษณะเป็นรูปธรรมท่ีจับต้องได้ เป็นชีวภาพมีการทํางานท่ีเป็น ระบบ สังเกตได้ง่าย มีการแสดงออกมาทางคําพูดท่าทาง มีการกระทําที่เป็นส่ือกลางบ่งบอกความรู้สึก ภายในจิตใจ แนวคิดน้ีอธิบายได้ว่า กายและจิตมีอิทธิพลต่อกัน บุคคลที่มีการทํางานของกายและจิตที่ มีสมดุล ย่อมจะประสบความสําเร็จเจริญก้าวหน้าตามเป้าหมายของชีวิตและจะเป็นบุคคลที่ต่ืนตัว รู้ทันความคิด การกระทําและคําพูดของตนเอง จิตวิทยาเชิงบวกเป็นแนวคิดท่ีเห็นแตกต่างจากการคิด วิเคราะห์อย่างเดิมๆ ตัวอย่างเช่นเห็นต่างจากความเชื่อเดิมว่า มนุษย์ทุกคนมีบาปติดตัว กลายเป็นเชื่อ ว่า มนุษย์มีแรงจูงใจใฝ่ดี โดยมองข้ามว่าทุกคนมีจุดอ่อนหรือจุดลบ ความเห็นแก่ตัว ก้าวร้าว แต่กลับ มองว่า บุคคลมีจุดแข็ง มีเป้าหมายในชีวิต มองคนอ่ืนดี อยากทําความดีและพัฒนาตนเองจากไม่ดีไปสู่ ๘๔ พระพรหมคุณาภรณ์ (ป.อ. ปยุตฺโต), “พุทธธรรม (ฉบับเดิม)”, พิมพ์ครั้ง ๑๐, (กรุงเทพมหานคร : บริษทั เอส. อารพ์ รนิ้ เตอร์แมสโปรดกั สจ์ าํ กัด, ๒๕๔๖), หนา้ ๑๗๒.
๖๔ ดี รู้จักตระหนักในตนเองมากข้ึน มีเป้าหมายในตนเองที่ชัดเจน กล่าวโดยสรุปแนวคิดนี้เน้นการนําจุด แข็งของมนุษย์เป็นจุดศูนย์กลาง ปรับวิธีการคิดให้เป็นบวก มีความคิดเป็นจุดเริ่มต้นสําคัญท่ีจะนําไปสู่ การแสดงออกทางกายและวาจา เกิดเป็นผลลัพธ์ที่ตามมาคือความสุขและสามารถกล่าวถึงรูปแบบ ของความสุขตามหลักจิตวิทยาเชิงบวก ได้แก่ ความสุขขั้นแรกหรือชีวิตมีสุข (pleasant life) หมายถึง การท่มี ีความสขุ จากเปลอื กนอก หรอื สิง่ รอบตัวเราอาจจะเปน็ เรือ่ งของการไดค้ รอบครองสงิ่ ที่ตวั เองรกั หรือการได้ไปดูหนังกับเพ่ือน แต่ความสุขประเภทน้ีจะไม่ยั่งยืน จะมีความสุขแค่ช่วงแรกๆ ตัวอย่างเช่น บุคคลได้โทรศัพท์รุ่นใหม่ล่าสุดมาใช้ ช่วงแรกๆ เกิดความสุขมากที่ได้ใช้หรือครอบครอง ควรค่ากับการที่เก็บเงินซื้อ หรือรอคอยวันที่จะได้ใช้งาน แต่พอเวลาผ่านไปนานๆ บุคคลจะรู้สึกว่า โทรศัพท์เคร่ืองนั้น ก็ไม่ได้มีพิเศษอะไร ที่แตกต่างจากรุ่นเก่าที่ผ่านมา ความสุขข้ันท่ีสองหรือชีวิตทีดี (good life) หมายถึงการท่ีบุคคลได้ทําอะไรแบบจดจ่ออยู่กับสิ่งนั้นได้ไม่เบ่ือหน่าย อาจทําในสิ่งท่ีชอบ แล้วจดจ่ออยู่กับสิ่งน้ันแล้ว มีความรู้สึกว่าเวลาน้ันได้ผ่านไปอย่างรวดเร็ว ไม่ว่าจะเป็นการทํากิจกรรม คนเดียวหรือทํากับผู้อ่ืน ความสุขข้ันที่สาม หรือชีวิตที่มีความหมาย (meaningful life) หมายถึงการที่ ได้ทําสิ่งที่รักส่ิงที่ชอบแล้ว ส่ิงน้ันส่งผลให้เกิดความสุขกับคนรอบข้าง สรุปได้ว่า การท่ีบุคคลได้มีกาย และจิตและปัญญาที่พัฒนามาแล้ว สามารถสร้างความสุขแบบยั่งยืนตามแนวคิดน้ี คือการที่บุคคลได้ ทําอะไรที่ตนเองรักแล้วแบ่งปันให้คนอื่นได้มีความสุขด้วย ซ่ึงมีผลต่อความสําคัญของการดําเนินชีวิตที่ ดแี ละการอยรู่ ่วมกันในสังคมทด่ี ีงาม มีกฎระเบียบทด่ี ี มีน้ําใจ ไมตรตี ่อกนั ๘๕ ความสําคัญของการดําเนินชีวิตในด้านของจิตภาวนาว่าการพัฒนาจิตหรือจิตภาวนา มีความสําคัญคือการพัฒนาทําจิตให้เจริญงอกงาม ซ่ึงมีผลหรือมีความสําคัญต่อการดําเนินชีวิตของ บุคคลในแต่คนได้ มีอยู่ ๓ ระดับ คือระดับท่ีหน่ึง คุณภาพจิต เร่ิมแต่มีคุณธรรมต่างๆ ท่ีทําให้จิตใจ ประณีตดีงาม เช่น มีเมตตากรุณา มีศรัทธา มีความกตัญญูกตเวทีระดับท่ีสอง สมรรถภาพจิต หรือ สมรรถภาพของจิตใจของแต่ละบุคคล ให้มีความเข้มแข็งเอาไปใช้งานได้ดี คือ มีสมาธิ มีสติ มีวิริยะ คือความเพียรพยายาม ความกล้าสู้ ความเอาใจใส่ ความรับผิดชอบ ความเข้มแข็ง ความอดทนระดับ ที่สาม คือ การพัฒนาสุขภาพจิต มีจิตใจท่ีมีความสุข เป็นจิตที่มีความเบิกบาน มีปิติมีความอ่ิมใจ มี ปราโมทย์ มีความร่าเริงบันเทิงใจ ตามหลักพระพุทธศาสนาเมื่อเรารู้จักควบคุมฝึกหัดกายและวาจา ของเรา เราจะได้ฝึกฝนพัฒนาจิตใจพร้อมไปด้วย ซึ่งจะส่งผลต่อกันตามหลักปัจจัยสัมพันธ์ หมายความ ว่า การพัฒนาจิตนี้จะต้องโยงเป็นระบบเดียวกัน ไม่ใช่แยกเป็นด้านๆ ไม่ใช่คิดแบบ Reductonnist เพราะพวกนั้นแยกแล้วไม่โยง คือแยกภาวนาหรือการพัฒนา ๔ ด้าน แยกออกไปหมด แต่ไม่ได้รู้ว่า ๔ ด้านน้ันสัมพันธ์กันอย่างไร ทางท่ีถูกต้องโยงด้วยว่า ๔ ด้านน้ีเกื้อกูลและอาศัยกันอย่างไร แยกแล้วต้อง โยงด้วยต้องโยงว่าเม่ือพัฒนาจิตใจดีแล้ว ก็ส่งผลดีออกมาต่อร่างกายเช่น ใจไม่โกรธไม่เครียด ช่วยให้มี ๘๕ กิจจา บานชื่น, การพัฒนาบุคลิกภาพ, (กรุงเทพมหานคร : บริษัทวี.พร้ินท์ ๑๙๙๑ จํากัด, ๒๕๕๙), หน้า ๒๐–๒๒.
๖๕ สุขภาพดีและมีผลในการสัมพันธ์หรือในการอยู่ร่วมสังคมด้วย ทําให้การสัมพันธ์กับโลกและ สภาพแวดล้อมภายนอกพลอยดีไปด้วย การพัฒนาจิตใจนั้นเม่ือมีสมาธิ จิตใจไม่ว้าวุ่นสับสน ก็เป็นฐาน ใหแ้ กก่ ารพฒั นาปัญญาต่อไป ถ้าบุคคลมจี ติ ใจดี การดําเนินชวี ิตกจ็ ะดีตามขึ้นไปด้วย๘๖ สรุปได้ว่า ความสําคัญของภาวนา ๔ พระพุทธศาสนาให้ความสําคัญกับการพัฒนาตนเป็น อย่างมาก เม่ือได้ฝกึ ฝนตนจากภาวนา ๔ กจ็ ะทาํ ใหเ้ กดิ การพัฒนาใหเ้ ปน็ ตนท่ีสมบูรณไ์ ด้ ตารางที่ ๒.๑๒ สรุปแนวคดิ หลักของนักวชิ าการเกย่ี วกับความสาํ คัญของภาวนา ๔ นักวิชาการหรือแหล่งข้อมูล แนวคดิ หลกั องฺ.ปญฺจก. (ไทย) ๒๒/๗๙/๑๔๕. ภิกษุผู้ไม่ได้เจริญกายสีล จิต ปัญญา จักไม่ สามารถแนะนาผู้อื่นให้สามารถประพฤติใน อธิศีล ดวงเดอื น พันธุมนาวิน และคณะ อธจิ ิต อธิปญั ญา ภาวนา เป็นการขัดเกลาจิตใจเพื่อทําให้เกิด พระพรหมคุณาภรณ์ (ป.อ. ปยตุ โฺ ต) ปัญญา ร้เู ท่าทันความเป็นไปในโลก กิจจา บานชน่ื ภาวนาแปลว่าทําให้เจรญิ ทําให้เปน็ ทําให้มีขนึ้ บุคคลได้มีกายและจิตและปัญญาท่ีพัฒนามาแล้ว พระพรหมคณุ าภรณ์ (ป.อ.ปยตุ ฺโต) สามารถสร้างความสขุ แบบยั่งยืน การพัฒนาทําจิตให้เจริญงอกงาม ซึ่งมีผลหรือมี ความสําคัญตอ่ การดําเนนิ ชีวิตของบุคคล ๒.๓.๓ กระบวนการของภาวนา ๔ ภาวนา ๔ (การเจริญ, การทําให้เปน็ ใหม้ ีข้ึน, การฝึกอบรม, การพัฒนา) ๑. กายภาวนา การเจริญกาย, พัฒนากาย, การฝึกอบรมกาย ให้รู้จักติดต่อเกี่ยวข้องกับสิ่ง ท้ังหลายภายนอกทางอินทรีย์ท้ังห้าด้วยดี และปฏิบัติต่อสิ่งเหล่านั้นในทางท่ีเป็นคุณ มิให้เกิดโทษ ให้ กศุ ลธรรมงอกงาม ให้อกุศลธรรมเสอื่ มสูญ, การพฒั นาความสัมพันธ์กับส่ิงแวดลอ้ มทางกายภาพ ๒. สีลภาวนา การเจริญศีล, พัฒนาความประพฤติ, การฝึกอบรมศีล ให้ตั้งอยู่ในระเบียบ วนิ ยั ไมเ่ บยี ดเบียนหรือก่อความเดอื ดรอ้ นเสียหาย อยูร่ ่วมกับผู้อื่นได้ด้วยดี เกือ้ กลู แกก่ นั ๓. จิตภาวนา การเจริญจิต, พัฒนาจิต, การฝึกฝนอบรมจิตใจ ให้เข้มแข็ง ด้วยคุณธรรม ทัง้ หลาย เช่นมเี มตตากรณุ า ขยนั หมน่ั เพียร อดทนมสี มาธิ เปน็ ตน้ ๘๖ พระพรหมคุณาภรณ์ (ป.อ. ปยุตฺโต), พุทธธรรมฉบับปรับขยาย, พิมพ์คร้ังท่ี ๓๙, (กรุงเทพมหานคร : โรงพมิ พ์มหาวทิ ยาลยั มหาจุฬาลงกรณราชวทิ ยาลยั , ๒๕๕๗), หนา้ ๓๕๗.
๖๖ ๔. ปัญญาภาวนา การเจริญปัญญา, พัฒนาปัญญา, การฝึกอบรมปัญญา ให้รู้เข้าใจสิ่ง ท้ังหลายตามเป็นจริง รู้เท่าทันเห็นโลกและชีวิตตามสภาวะ สามารถทําจิตใจให้เป็นอิสระ ทําตนให้ บริสุทธจ์ิ ากกิเลสและปลอดพน้ จากความทุกข์ แกไ้ ขปัญหาที่เกดิ ขน้ึ ได้ด้วยปญั ญา๘๗ ๑. กายภาวนา เป็นกระบวนการพัฒนากายหรืออินทรีย์ ๕ ประกอบด้วย ตา หู จมูก ล้ิน กายสมั ผัสใหม้ ีสตริ ้เู ท่าทนั ในทุกขณะเวลา ๒. ศีลภาวนา เป็นกระบวนการพัฒนาศีล กล่าวคือ การอบรมพัฒนาเพื่อให้เป็นผู้ที่มี พฤติกรรมท่ีดีงาม ตงั้ อยู่ในวนิ ัยมคี วามสมั พนั ธ์ท่ีดีกับเพื่อนมนษุ ย์ ๓. จิตภาวนา เป็นกระบวนการพัฒนาจิตใจ กล่าวคือ การฝึกอบรมพัฒนาจิตโดยการฝึก กาํ หนดสตติ ง้ั ม่ัน แน่วแน่ ๔. ปัญญาภาวนา เป็นกระบวนการพัฒนาปัญญา กล่าวคือ การฝึกอบรมเจริญปัญญา เสรมิ สรา้ งความรคู้ วามคิดความเขา้ ใจ ใหร้ ้จู ักคดิ ร้จู กั พิจารณา๘๘ หลักภาวนา ๔ เป็นหลักการในทางพระพุทธศาสนาที่สําคัญในการสร้างความสุขในชีวิต โดยนํามาประยุกต์เพ่ือเป็นแนวทางการดําเนินชีวิตประกอบด้วยกายภาวนา ศีลภาวนา จิตภาวนาและ ปัญญาภาวนา ซึ่งหลักการดังกล่าวเป็นแนวคิดหรือหลักปฏิบัติที่เชื่อมโยงวิถีการดําเนินชีวิตที่ดีงาม และถกู ต้องตามกฎธรรมดาสามารถนาํ มาซึ่งประโยชนส์ ุขอนั เปน็ จดุ มงุ่ หมายสงู สุดของชวี ิต๘๙ หลักภาวนา ๔ คือ กายภาวนา (การเจริญกาย) รู้จักตนเองและเข้าใจการปฏิบัติตนให้อยู่ ในศีลธรรมจรรยาท่ีดี สํารวมกายวาจาใจ ไม่เบียดเบียนผู้อื่น สีลภาวนา (การเจริญศีล) การฝึกอบรม การปฏิบัติตนให้อยู่ในระเบียบวินัยและมารยาททางสังคม จิตภาวนา (การเจริญจิต) การฝึกอบรม จิตใจให้มีความเข้มแข็งมั่นคงเจริญงอกงามด้วยคุณธรรมมีเมตตากรุณา ปัญญาภาวนา (การเจริญ ปัญญา) ฝึกฝนอบรมให้มีสติและมีสมาธิในการทํางาน ฝึกปฏิบัติให้รู้จักการแก้ไขปัญหาท่ีเกิดข้ึน ไม่จม ปลกั อย่กู บั ความผิดพลาด หมน่ั แสวงหาและพัฒนาความรู้เพิ่มเติมอยู่เสมอ๙๐ ๘๗ พระพรหมคุณาภรณ์ (ป.อ. ปยุตฺโต), พจนานุกรมพุทธศาสตร์ฉบับประมวลธรรม, พิมพ์คร้ังท่ี ๑๐, (กรุงเทพมหานคร : บรษิ ัทเอส. อารพ์ ร้ินเตอรแ์ มสโปรดักสจ์ ํากดั , ๒๕๔๕), หน้า ๗๐. ๘๘ พระครูปทมุ ภาวนาจารย์, “หลกั ภาวนา ๔ กบั การพฒั นาปรีชาเชงิ อารมณข์ องวัยรุ่นไทยในสังคม ยุคดจิ ิทัล”, วารสารพุทธจติ วิทยา, ปที ่ี ๔ ฉบับที่ ๑ (มกราคม-มถิ ุนายน ๒๕๖๒) : ๑๓๗-๑๓๘. ๘๙ เกรียงศักดิ์ นิลทะการ, “หลักภาวนา ๔ กับการดูแลตนเองของผู้ป่วยโรคเบาหวาน”, วารสาร มจร อบุ ลปรทิ รรศน์, ปีที่ ๕ ฉบับท่ี ๒ (พฤษภาคม-สิงหาคม ๒๕๖๓) : ๘๔๘. ๙๐ พระครูศรีปริยัติวิธาน, “รูปแบบการพัฒนาศักยภาพของแรงงานตามหลักภาวนา ๔ เพ่ือส่งเสริม ประชาคมอาเซียนให้เข้มแข็งในจังหวัดสมุทรสาคร”, วารสาร มจร พุทธปัญญาปริทรรศน์, ปีท่ี ๔ ฉบับที่ ๑ (มกราคม–เมษายน ๒๕๖๒) : ๒๕.
๖๗ สรุปได้ว่า ภาวนา ๔ เป็นหลักธรรมท่ีผู้ปฏิบัติได้ปฏิบัติตามแล้วจะมีผลดีท้ังส้ินโดยการ ปฏิบัติกายภาวนาศีลภาวนาจิตภาวนาและปัญญาภาวนาเปน็ คณุ สมบัติท่ีมีคุณคา่ ใหแ้ ก่บุคคลฝกึ ปฏิบัติ เพ่อื พฒั นาตน ตารางท่ี ๒.๑๓ สรปุ แนวคิดหลักของนักวิชาการเกีย่ วกับกระบวนการของภาวนา ๔ นักวชิ าการหรือแหล่งข้อมลู แนวคดิ หลกั พระพรหมคุณาภรณ์ (ป.อ. ปยตุ ฺโต) ๑. กายภาวนา การเจรญิ กาย ๒. สีลภาวนา การเจริญศีล พระครปู ทุมภาวนาจารย์ ๓. จิตภาวนา การเจริญจติ ๔. ปัญญาภาวนา การเจรญิ ปัญญา เกรยี งศักด์ิ นลิ ทะการ กายภาวนา มีสติรู้เท่าทันในทุกขณะเวลา ศีล พระครูศรปี ริยตั ิวธิ าน ภาวนา ต้ังอยู่ในวินัยมีความสัมพันธ์ที่ดีกับเพ่ือน มนุษย์ จิตภาวนาฝึกกําหนดสติตั้งม่ัน แน่วแน่ ปัญญาภาวนา เสริมสร้างความรู้ความคิดความ เข้าใจ ใหร้ ้จู กั คดิ รู้จกั พจิ ารณา กายภาวนา ศีลภาวนา จิตภาวนาและปัญญา ภาวนา หลักปฏิบัติท่ีเชื่อมโยงวิถีการดําเนินชีวิตท่ี ดีงามและถกู ต้องตามกฎธรรมดา กายภาวนา รู้จักตนเองและเข้าใจการปฏิบัติตนให้ อยู่ในศีลธรรมจรรยาท่ีดี สีลภาวนา การฝึกอบรม การปฏิบัติตนให้อยู่ในระเบียบวินัยและมารยาท ทางสังคม จิตภาวนา การฝึกอบรมจิตใจให้มี ความเข้มแข็งมั่นคง ปัญญาภาวนา ฝึกปฏิบัติให้ รู้จักการแก้ไขปัญหาท่ีเกิดขึ้น ไม่จมปลักอยู่กับ ความผดิ พลาด
๖๘ ๒.๔ ขอ้ มลู บริบทเรือ่ งท่ีวจิ ยั บริบทในเรอื่ งทีว่ จิ ยั เกยี่ วกบั พระสอนศลี ธรรมในโรงเรียน กรงุ เทพมหานคร ซงึ่ ใหร้ วบรวม มาดงั มีตอ่ ไปนี้ ๒.๔.๑ การบริหารโครงการพระสอนศลี ธรรมในโรงเรยี น โครงสร้างการบริหารโครงการพระสอนศีลธรรมในโรงเรียน มีผู้บริหารสูงสุด คือ ประธาน คณะกรรมการอํานวยการโครงการพระสอนศีลธรรมในโรงเรียน และมีคณะกรรมการอํานวยการ โครงการพระสอนศลี ธรรมในโรงเรยี นจาํ นวนหนง่ึ ซ่งึ มหี นา้ ที่ ดังนี้ ๑. กําหนดทิศทางเป้าหมายและนโยบายการบริหารโครงการพระสอนศีลธรรมในโรงเรียน หรือสถานศกึ ษาท่ีเข้าร่วมโครงการ ๒. พิจารณาอนุมตั ิการใช้จา่ ยงบประมาณโครงการพระสอนศลี ธรรมในโรงเรียน ๓. กํากบั ดูแลโครงการพระสอนศลี ธรรมในโรงเรยี น ใหเ้ ป็นไปอย่างมปี ระสิทธิภาพ ๔. แต่งตั้งคณะอนุกรรมการหรือคณะทํางานคณะอื่นๆ เพ่ือเป็นประโยชน์ในการบริหาร โครงการพระสอนศลี ธรรมในโรงเรียน๙๑ การน้ีคณะกรรมการอํานวยการโครงการพระสอนศีลธรรมในโรงเรียนได้แต่งต้ัง คณะกรรมการดําเนินงานจํานวนหนงึ่ มีหน้าที่ ๑. จัดทาํ แผนปฏบิ ตั กิ ารให้คณะกรรมการอาํ นวยการพิจารณาอนมุ ัติ ๒. จดั ทาํ แผนงบประมาณค่าใช้จ่ายให้คณะกรรมการอํานวยการพิจารณาอนมุ ตั ิ ๓. จัดทําแผนอัตรากําลังพระสอนศีลธรรมท่ัวประเทศตามความต้องการของโรงเรียนหรือ สถานศกึ ษาทเ่ี ขา้ ร่วมโครงการ ๔. จดั ทาํ รายงานผลการดาํ เนินการโครงการพระสอนศีลธรรมในโรงเรียน ๕. ปฏบิ ัติภารกจิ อ่นื ๆ ตามทค่ี ณะกรรมการอํานวยการมอบหมาย๙๒ มหาวิทยาลัยมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย เมื่อได้รับมอบโครงการพระสอนศีลธรรมใน โรงเรียนพร้อมทั้งงบประมาณมาแล้ว เพื่อให้การดําเนินงานโครงการครูพระสอนศีลธรรม มีประสิทธิภาพและเกิดประโยชน์อันพึงประสงค์คือนักเรียนได้รับการปลูกฝังในเร่ืองคุณธรรม จริยธรรม จากพระสอนศีลธรรมโดยตรงและคุ้มค่ากับงบประมาณท่ีได้รับ จึงได้เตรียมแผนปฏิบัติการ รองรับ การดําเนินการโครงการพระสอนศีลธรรมในโรงเรียนอย่างเป็นระบบ และได้ดําเนินการ ประสานงาน กับคณะสงฆส์ ถานศึกษา และหน่วยงานท่ีเก่ียวข้อง โดยได้มีการประชาสัมพันธ์โครงการ พระสอน ศีลธรรมในโรงเรียนและจัดอบรม ถวายความรู้เพ่ิมประสิทธิภาพพระสอนศีลธรรมใน ๙๑ สํานักงานโครงการพระสอนศีลธรรมในโรงเรียน, คู่มือการปฏิบัติงานโครงการพระสอนศีลธรรมใน โรงเรยี น ประจําปงี บประมาณ ๒๕๕๗, พมิ พค์ รั้งที่ ๓, (นนทบุรี : หจก. เชนปริน้ ตงิ้ , ๒๕๕๗), หนา้ ๑๘. ๙๒ เร่อื งเดียวกนั , หน้า ๒๑.
๖๙ โรงเรียนท่ัวประเทศ เพื่อสร้างศักยภาพในการทํางานให้เป็นท่ียอมรับของสถานศึกษาและเพ่ือปลูกฝัง คุณธรรม และจริยธรรมให้กับนักเรียนได้มีความรู้ ความเข้าใจในหลักธรรมทางพระพุทธศาสนาอย่าง ถูกต้อง พร้อมกับมีความประพฤติท่ีดีงามโดยได้จัดแผนการดําเนินการโครงการซ่ึงมีกระบวนการ บริหารโครงการดงั น้ี ๑. จัดประชมุ คณะกรรมการโครงการพระสอนศลี ธรรมในโรงเรียน กกก ๒. จัดตั้งศนู ย์ปฏบิ ตั ิการอาํ นวยการโครงการพระสอนศีลธรรมทั่วประเทศ กกกกกก ๓. การปฐมนเิ ทศพระสอนศีลธรรมในโรงเรยี นทั่วประเทศ กกกกกก ๔. การสมั มนาเชิงปฏิบตั ิการเข้มข้นวิทยากรแกนนาํ โครงการพระสอนศลี ธรรมในโรงเรยี น กกกกกก ๕. การอบรมพัฒนาเพิม่ ประสทิ ธภิ าพพระสอนศีลธรรมในโรงเรียน กกกกกก ๖. การจัดทําคู่มือหนังสือการจัดสาระการเรียนรู้ พระพุทธศาสนา พ.ศ.๒๕๔๔ และ พฒั นาเว็บไซต์ โครงการพระสอนศลี ธรรมในโรงเรียน กกกกกก ๗. การวิจยั ๘. การนเิ ทศ การตดิ ตามประเมินผล กกกกกก ๙. การจัดถวายคา่ ตอบแทน ๑๐. การรบั สมคั รการคดั เลอื กพระสอนศีลธรรมในโรงเรยี นทัว่ ประเทศ๙๓ ๒.๔.๒ บทบาทหนา้ ท่ขี องพระสอนศีลธรรม ๑. สอนวิชาพระพุทธศาสนาตามหลักสูตรการศึกษาข้ันพื้นฐาน พ.ศ. ๒๕๔๔ โดยทําการ สอนตามมาตรฐานการเรียนรกู้ ลุ่มสาระการเรียนรู้สังคมศึกษา ศาสนาและวัฒนธรรม ๒. เป็นผู้นํานักเรียนเข้าสู่การฝึกสมาธิ บริหารจิต เจริญปัญญา และทําพิธีทาง พระพทุ ธศาสนา ๓. เป็นผู้สอนหรือทบทวนธรรมศึกษาให้แก่นักเรียน นักศึกษา เข้าสอบธรรมศึกษา ประจาํ ปี ๔. ให้การสนบั สนุนโรงเรยี นวถิ ีพุทธโดยการสอนวชิ าพระพุทธศาสนาบรู ณาการเข้าสู่วถิ ี ชีวติ ใหน้ ักเรียนชาวพทุ ธจรงิ คือ มศี ีล สมาธิ ปัญญา๙๔ การข้นึ ทะเบียนเปน็ พระสอนศีลธรรม ๑. พระสอนศีลธรรมท่ีจะข้ึนทะเบียนเป็นพระสอนศีลธรรมได้ จะต้องปฏิบัติตามระเบียบ การรบั สมัครและสอบคัดเลือกและได้รบั การประกาศชือ่ การผ่านการสอบคัดเลอื ก ๙๓ โครงการพระสอนศีลธรรมในโรงเรียน, คู่มือโครงการพระสอนศีลธรรมในโรงเรียน พ.ศ.๒๕๕๖, (นนทบรุ ี : หจก.เซนปร้ินต้ิง, ๒๕๕๖), หนา้ ๖. ๙๔ สํานักงานพระสอนศีลธรรม, คู่มือพระสอนศีลธรรม ปีงบประมาณ ๒๕๖๐, (นนทบุรี : หจก.เซน ปรน้ิ ตง้ิ , ๒๕๖๐), หนา้ ๔.
๗๐ ๒. พระสอนศีลธรรมท่ีจะข้ึนทะเบียนเป็นพระสอนศีลธรรมจะต้องผ่านการฝึกอบรมตาม หลักสูตร เพ่ือเพ่ิมประสิทธิภาพการเป็นพระสอนศีลธรรม (หลักสูตรท่ี ๑) ตามท่ีมหาวิทยาลัยมหาจุฬา ลงกรณราชวทิ ยาลยั กําหนด ๓. กรณีอัตราพระสอนศีลธรรมเต็มจะข้ึนทะเบียนสํารองไว้เพ่ือทดแทนรูปที่ ย้าย ลาออก สิกขา หรอื พ้นจากการเปน็ พระสอนธรรม ๔. พระสอนศีลธรรมท่ีได้รับการข้ึนทะเบียนจะต้องทําทะเบียนประวัติของตนเองในระบบ ฐานข้อมูลพระสอนศีลธรรม http://www.mbpra.mcu.ac.th เพ่ือทางเจ้าหน้าที่จะเปล่ียน สถานภาพการเป็นพระสอนศลี ธรรม๙๕ การพน้ สภาพความเป็นพระสอนศลี ธรรม ให้ถือปฏิบัติตามเอกสารบันทึกข้อตกลง (คพศร.๐๓) ที่กําหนดให้พระสอนศีลธรรมพ้น สภาพ ความเปน็ พระสอนศีลธรรม ดังนี้ ๑. ครบอายุตามทร่ี ะบไุ วใ้ นขอ้ ตกลง ๒. ผรู้ ับสญั ญามรณภาพ ๓. ผ้รู ับสัญญาลาสกิ ขาจากพระภกิ ษุ ๔. คู่สัญญาบอกเลกิ สญั ญาตามขอ้ ๔ ในเอกสารบันทกึ ข้อตกลง ๕. ผูใ้ ห้สญั ญาบอกเลกิ สัญญาในกรณีทแ่ี พทย์ปรญิ ญาออกใบรับรองการตรวจและให้ ความเห็นวา่ “ผ้รู ับสญั ญา” มีสุขภาพพลานามยั ไมแ่ ขง็ แรง ไม่สามารถท่จี ะปฏิบตั ิงานตอ่ ไปได้ ๖. ไดร้ ับอนญุ าตให้ลาออก ๗. ยบุ หรือเลกิ โครงการ หรือยบุ สว่ นงาน ๘. ถูกส่งั ใหอ้ อกหรอื เลิกสญั ญา ๙. ผรู้ ับสัญญาไมป่ ฏบิ ตั ิตามสัญญา๙๖ ๙๕ เรื่องเดยี วกัน, หนา้ ๕. ๙๖ อ้างแลว้ , หน้า ๘.
๗๑ ตารางท่ี ๒.๑๔ ขอ้ มูลพระสอนศีลธรรมในโรงเรียน กรงุ เทพมหานคร๙๗ ลําดับที่ ฝง่ั ธนบรุ ี/พระนคร จาํ นวนทเี่ ขา้ สอน/รปู ๑ เขตธนบุรี ๒๘ ๒ ๓๓ ๓ เขตบางกอกใหญ่ ๒๒ ๔ เขตคลองสาน ๑๐ ๕ เขตตลิ่งชนั ๓๙ ๖ เขตบางกอกน้อย ๒ ๗ เขตบางขนุ เทยี น ๓๐ ๘ เขตภาษเี จรญิ ๖ ๙ เขตหนองแขม ๑๖ ๑๐ เขตราษฎรบ์ รู ณะ ๑๙ ๑๑ เขตบางพลดั ๒๑ ๑๒ เขตจอมทอง ๒ ๑๓ เขตบางแค ๑ ๑๔ เขตทวีวฒั นา ๘ ๑๕ ๑ ๑๖ เขตทุง่ ครุ ๑ ๑๗ เขตบางบอน ๗ ๑๘ เขตห้วยขวาง ๗ ๑๙ เขตคลองเตย ๓ ๒๐ เขตคลองสามวา ๕ ๒๑ เขตคันนายาว ๓๙ ๒๒ เขตดินแดง ๓๐ ๒๓ ๓ ๒๔ เขตดุสิต ๑๘ ๒๕ เขตบางกะปิ ๑๔ เขตบางเขน เขตบางคอแหลม เขตบางซอื่ ๙๗ โครงการพระสอนศีลธรรมในโรงเรียน, สถิติพระสอนศีลธรรมในโรงเรียน, [ออนไลน์], แหล่งที่มา : http//www.krupra.net [๔ มกราคม ๒๕๖๔].
๗๒ ตารางท่ี ๒.๑๔ ข้อมูลพระสอนศีลธรรมในโรงเรยี น กรงุ เทพมหานคร (ต่อ) ลําดับที่ ฝัง่ ธนบุรี/พระนคร จาํ นวนที่เข้าสอน/รูป ๒๖ เขตบางรกั ๓ ๒๗ เขตบงึ กุม่ ๔ ๒๘ เขตปทุมวนั ๒ ๒๙ เขตประเวศ ๓ ๓๐ ๙ ๓๑ เขตป้อมปราบศัตรพู า่ ย ๑ ๓๒ เขตพญาไท ๖ ๓๓ เขตพระโขนง ๓๗ ๓๔ เขตพระนคร ๕ ๓๕ เขตมีนบุรี ๙ ๓๖ เขตยานนาวา ๑ ๓๗ เขตลาดกระบงั ๑๓ ๓๘ เขตลาดพรา้ ว ๔ ๓๙ เขตวัฒนา ๒๘ ๔๐ ๖ ๔๑ เขตสัมพันธวงศ์ ๒ ๔๒ เขตสาทร ๒ เขตสายไหม เขตหนองจอก รวมท้ังส้ิน ๕๐๙ ๒.๕ งานวิจยั ทเี่ กีย่ วข้อง งานวิจัยเก่ียวกับ “การพัฒนาศักยภาพด้านด้านการจัดการเรียนการสอนของพระสอน ศลี ธรรมในโรงเรยี น กรงุ เทพมหานคร” ประกอบดว้ ย ๒.๕.๑ งานวิจัยทเ่ี ก่ยี วกบั การพัฒนาศกั ยภาพ งานวิจัยที่เกี่ยวกับการพัฒนาศักยภาพ นํามาใช้ประกอบในงานวิจัย “การพัฒนาศักยภาพ ด้านด้านการจัดการเรียนการสอนของพระสอนศีลธรรมในโรงเรียน กรุงเทพมหานคร” มี ด้วยกัน ๑๑ เรอื่ ง ประกอบดว้ ย
๗๓ พระมหาสราวุธ สราวุโธ (แสงสี) ได้วิจัยเร่ือง “การพัฒนาศักยภาพพระสอนศีลธรรม ในโรงเรียนมัธยมศึกษาตอนปลาย ในเขตปกครองคณะสงฆ์ภาค ๑๕” ผลการวิจัยพบว่า มีการประชุม วางแผนเพ่ือกําหนดนโยบาย และทําความเข้าใจเกี่ยวกับการดําเนินงานโครงการท่ีชัดเจน มีการนํา นโยบายที่ได้มาสู่การปฏิบัติ ส่งเสริมให้ผู้เรียนเกิดการพัฒนาอย่างต่อเน่ืองและเป็นประจํา มีการ สนับสนุนให้พระสอนศีลธรรมมีความรับผิดชอบในการถ่ายทอดหลักพุทธธรรม ส่งเสริมงบประมาณใน การจัดกิจกรรม มีการประเมินผลทั้งการเรียนการสอนและกิจกรรมวิถีพุทธทั้งครูและนักเรียน มีการ สนับสนุนงบประมาณเพื่อปรับปรุงกิจกรรมการเรียนการสอนให้มีประสิทธิภาพและเอ้ือต่อการเรียนรู้ ของนักเรียนด้านเน้ือหาการสอนได้แก่ การจัดทําปฏิทินปฏิบัติงาน ในรอบปีการศึกษา การพัฒนา ผู้สอนให้ใช้วิธีการท่ีเหมาะสมกับผู้เรียน จะทําให้การเรียนของผู้เรียน เป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพด้าน วิธีการสอนได้แก่ การกําหนดห้องเรียน ชั้นเรียน ห้องสมุด ห้องประชุม หนังสือเรียน ตารางเรียน สมุด ดินสอ ปากกา กระดาษ กระดานเขียน โต๊ะ เป็นต้น ด้านการใช้ส่ือการสอน ได้แก่ การนําหลักธรรม เข้ามาประยุกต์กับการสอนจัดการเรียนรู้โดยมี สื่อ วีซีดี คอมพิวเตอร์ช่วยในการสอน จัดการเรียนรู้ ด้านการจัดกิจกรรมการเรียนการสอน ได้แก่ การพัฒนากิจกรรมในการจัดการการเรียนการสอนข้ัน ปฏิบัติ เป็นกิจกรรมหลักของการเรียนการสอนเพื่อให้ผู้เรียนสามารถเรียนรู้ตามวัตถุประสงค์ท่ีกําหนด ไว้ด้านการวัดผลและประเมินผลได้แก่การเชิญวิทยากรหรือผู้เชี่ยวชาญมาให้คําแนะนําในด้านทักษะ เพอื่ สร้างความรูค้ วามเข้าใจใหพ้ ระสอนศลี ธรรมในด้านการวดั ผลและประเมนิ ผลจากแฟ้มงานสะสม๙๘ พระวิสุทธิพงษ์เมธี (วีระ ด้วงปลี) ได้วิจัยเร่ือง “การพัฒนาศักยภาพการปกครองคณะ สงฆ์ของพระสังฆาธิการระดับเจ้าคณะอําเภอในเขตปกครองคณะสงฆ์ภาค ๑๔” ผลการวิจัยพบว่า มี การประชุมกันเนืองนิตย์ทุกระดับ ส่วนใหญ่บริหารงานแบบปฏิบัติสืบต่อกันมาพระสังฆาธิการส่วน ใหญ่มีการศึกษาพระธรรมวินัยเพียงอย่างเดียว ทําให้ความรู้ความเข้าใจพฤติกรรมทางโลกมีน้อยจัด โครงการฝึกอบรมบุคลากรเพ่ือพัฒนาความรู้ ความสามารถ และทักษะตามความแตกต่างของแต่ละ บุคคล การฝึกอบรมจักขุมา คือ ควรมีสถาบันฝึกอบรมพระสังฆาธิการ แต่ละระดับ การฝึกอบรมวิธูโร คือ ควรได้รับการฝึกอบรมเก่ียวกับการนาเทคโนโลยีมาใช้ในการบริหารจัดการ และการฝึกอบรมนิ สสยสัม ปันโน คือ การอบรมจิตใจให้มี มนุษยสัมพันธ์ การศึกษา ได้ส่งเสริมให้บุคลากรศึกษาต่อใน ระดับการศึกษาที่สูงข้ึน การศึกษาจักขุมา คือ ปรับเปล่ียนวิสัยทัศน์ด้วยระบบการศึกษา การศึกษาวิธู โร คือ พัฒนาการบริหารงานทํางานเป็นระบบงาน และการศึกษานิสสยสัมปันโน คือ มีการศึกษา เพิ่มเติมทักษะในการสื่อสาร ติดต่อประสานงานการพัฒนาจักขุมา คือ การพัฒนาด้านความคิด ๙๘ พระมหาสราวุธ สราวุโธ (แสงสี), “การพัฒนาศักยภาพพระสอนศีลธรรมในโรงเรียนมัธยมศึกษา ตอนปลาย ในเขตปกครองคณะสงฆ์ภาค ๑๕”, ดุษฎนี ิพนธ์พุทธศาสตรดุษฎีบัณฑิต สาขาวิชาการจัดการเชิงพุทธ, (บณั ฑิตวทิ ยาลยั : มหาวิทยาลยั มหาจฬุ าลงกรณราชวทิ ยาลยั , ๒๕๖๒), หนา้ ๑๙๕.
๗๔ สติปัญญา การพัฒนาวิธูโรคือ การพัฒนาระบบบริหารงาน และการพัฒนานิสสยสัมปันโน คือ การ พฒั นาพฤตกิ รรมตาม หลักสังคหวัตถุ ๔ คือ ทาน ปิยวาจา อัตถจรยิ า และสมานตั ตตา๙๙ พระครูสมุทรประภากร (เฉลิม ปภงฺกโร) ได้วิจัยเรื่อง “การพัฒนาศักยภาพของพระ อุปัชฌาย์ในเขตการปกครองคณะสงฆ์ภาค ๑๕” ผลการวิจัยพบว่า พระอุปัชฌาย์พึงเป็นผู้มีศรัทธา มีหิริ มีโอตตัปปะ มีวิริยะ มีสติ พึงเป็นผู้ถึงพร้อมด้วยศีลและอาจาระ เป็นสัมมาทิฐิ และเป็นผู้ สามารถฝึกอบรมศิษย์ในหลักของพระวินัย คือ อภิสมาจาริกาสิกขาคือหลักการศึกษาเก่ียวกับข้อวัตร ปฏิบัติ และอาทิพรหมจริยาสิกขาคือ หลักการศึกษาเกี่ยวกับบัญญัติเบ้ืองต้นแห่งพรหมจรรย์ สามารถ แนะนําในพระอภิธรรมได้แก่หลักการท่ีว่าด้วยการกําหนดนามรูป สามารถแนะนําในอภิวินัยได้แก่ หลักการในพระวินัยปิฎกทั้งสิ้น ปัญหาโครงสร้างของสังคมที่เปลี่ยนแปลงไปและตัวกุลบุตรผู้บวชเอง ปัญหาอันเกิดจากการประพฤติปฏิบัติผิดพระธรรมวินัย พระธรรมวินัยเหล่านี้ เป็นปัญหาสําคัญอย่าง ยิ่งของคณะสงฆ์ภาค ๑๕ ที่จะต้องได้รับการแก้ไขอย่างถูกวิธีและเร่งด่วนมากเป็นพิเศษ การพัฒนา ศักยภาพพระอุปัชฌาย์ให้มีคุณสมบัติตามพระธรรมวินัย คือมีศีล สมาธิ ปัญญา วิมุตติ วิมุติญาณ ทัศนะ มีศรัทธา มีหิริโอตัปปะ มีความเพียร มีสติ มีมารยาทงดงาม เป็นสัมมาทิฎฐิ พระอุปัชฌาย์มี จริยาความเรียบร้อยดีงาม และเป็นท่ีน่าศรัทธาของพุทธศาสนิกชนท่ัวไป ให้การสงเคราะห์สัทธิวิหาริก ให้มีคุณภาพชีวิตท่ีดีแก่สัทธิวิหาริกท่ีเหมาะกับการดํารงสมณเพศ ตลอดจนให้การดูแลรักษาพยาบาล สุภาพและสวัสดิการสัทธิวิหาริกอย่างเหมาะสมดีงาม ด้านการพัฒนาศักยภาพในการเผยแผ่พุทธธรรม ของพระอุปัชฌาย์ให้แก่สัทธิวิหาริกและพุทธศาสนิกชนให้บริบูรณ์ท้ังอธิศีล อธิสมาธิ อธิปัญญา สร้าง ลูกชาวบ้าน ให้เป็นพุทธบุตร สร้างพุทธบุตร ให้เป็นอริยบุตรด้วยหลักพุทธธรรมอันดีงามเพื่อสืบทอด อายุบวรพระพุทธศาสนาใหย้ ง่ั ยืนสบื ตอ่ ไป๑๐๐ พระครูภาวนารัตนาภรณ์ (กําพล สิริภทฺโท) ได้วิจัยเรื่อง “การพัฒนาศักยภาพการ บริหารจัดการสํานักปฏิบัติธรรมของพระสังฆาธิการในจังหวัดพระนครศรีอยุธยา” ผลการวิจัยพบว่า ๑) สภาพปัญหาและอุปสรรคในการบริหารจัดการสํานักปฏิบัติธรรมของพระสังฆาธิการในจังหวัด พระนครศรีอยุธยา พบว่า บุคลากร (Man) เป็นส่วนสําคัญยิ่งในการบริหารจัดการองค์การ จะเห็นได้ ว่าทุกองค์การประสงค์ที่จะพัฒนาตนเองไปสู่ความสําเร็จในฐานะผู้นํา โดยเฉพาะคุณภาพของบุคลากร นับเป็นปัจจัยสําคัญท่ีจะนําพาองค์การไปสู่เป้าหมายได้ในฐานะเป็นผู้ปฏิบัติที่มีคุณภาพ ๒) แนวทาง ๙๙ พระวิสุทธิพงษ์เมธี (วีระ ด้วงปลี), “การพัฒนาศักยภาพการปกครองคณะสงฆ์ของพระสังฆาธิการ ระดับเจ้าคณะอําเภอในเขตปกครองคณะสงฆ์ภาค ๑๔”, ดุษฎีนิพนธ์พุทธศาสตรดุษฎีบัณฑิต สาขาวิชารัฐประศา สนศาสตร์, (บณั ฑติ วิทยาลัย : มหาวิทยาลยั มหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย, ๒๕๕๙), หนา้ ๑๑๘. ๑๐๐ พระครูสมุทรประภากร (เฉลิม ปภงฺกโร), “การพัฒนาศักยภาพของพระอุปัชฌาย์ในเขตการ ปกครองคณะสงฆ์ภาค ๑๕”, ดุษฎีนิพนธ์พุทธศาสตรดุษฎีบัณฑิต สาขาวิชาการจัดการเชิงพุทธ, (บัณฑิตวิทยาลัย : มหาวิทยาลยั มหาจฬุ าลงกรณราชวิทยาลัย, ๒๕๕๘), หน้า ๑๓๐.
๗๕ ก า ร พั ฒ น า ศั ก ย ภ า พ ก า ร บ ริ ห า ร จั ด ก า ร สํ า นั ก ป ฏิ บั ติ ธ ร ร ม ข อ ง พ ร ะ สั ง ฆ า ธิ ก า ร ใ น จั ง ห วั ด พระนครศรีอยุธยา การบริหารจัดการสํานักปฏิบัติธรรมให้มีประสิทธิภาพน้ัน บุคลากรท่ีมี ความสามารถและมีความเหมาะสมกับงานน้ันๆ เป็นต้นทุนท่ีมีค่ามากที่สุด แต่ท้ังนี้ ก็ต้องอาศัยความ ทุ่มเท ความเสียสละอย่างมาก เพราะบุคคลเป็นปัจจัยสําคัญท่ีมีค่าความแปรปรวนได้มากกว่าปัจจัย ด้านอ่ืนๆ ฉะน้ัน การคัดเลือกวิทยากรหรือพระวิปัสสนาจารย์ จึงควรมองบุคลากรที่มีบุคลิกภาพและ จริยวัตรที่น่าเล่ือมใส ควรมีความรู้ความเข้าใจในการเจริญวิปัสสนากรรมฐาน สามารถท่ีจะถ่ายทอด หรือแก้ไขให้กับผู้ปฏิบัติธรรมได้อย่างถูกต้อง ๓) รูปแบบการพัฒนาศักยภาพการบริหารจัดการสํานัก ปฏิบัติธรรมของพระสังฆาธิการในจังหวัดพระนครศรีอยุธยา ด้านบุคลิกภาพ ควรใช้การอบรมเพ่ือ พัฒนาบุคลิกภาพทางร่างกาย และการแสดงออกทางอารมณ์ แล้วนําไปสู่การเรียนรู้โดยการศึกษา สร้างแรงจูงใจ และสร้างค่านิยมและความสนใจในการสร้างบุคลิกภาพที่ดี น่าเลื่อมใส จนกระท่ัง พัฒนาให้เป็นบุคคลที่มีเชาว์ปัญญาดี มีทัศนคติทางสังคมท่ีดี ด้านเจตคติ ควรสร้างสัมพันธภาพท่ีดีกับ เพอ่ื นรว่ มงาน มิตรสหาย เพือ่ ให้การปฏบิ ัติงานหรอื การทาํ หน้าท่เี ปน็ ไปด้วยความราบร่นื ๑๐๑ พระครูสังฆรักษ์ปัญญาพล ปญฃญาพโล (มีชูนึก) ได้วิจัยเร่ือง “กลไกการพัฒนาศักยภาพใน การปฏิบัติงานของพระวินยาธิการจังหวัดพระนครศรีอยุธยา” ผลการวิจัยพบว่า ๑. ผลการวิเคราะห์ สภาพทั่วไปในการปฏิบัติงานของพระวินยาธิการ จังหวัดพระนครศรีอยุธยา พบว่า เจ้าคณะจังหวัด พระนครศรีอยุธยา ซึ่งเป็นหัวหน้าพระวินยาธิการประจําจังหวัด ดูแลเอาใจใส่ต่อการปฏิบัติงานของ พระวินยาธิการเป็นอย่างดีมีการแต่งต้ังเจ้าคณะตําบลทุกตําบลในเขตปกครองคณะสงฆ์จังหวัด พระนครศรีอยุธยา ให้เป็นพระวินยาธิการ ทําหน้าที่ดูแลความเรียบร้อยในเขตปกครองคณะสงฆ์ของ ตนเอง และมีการประชุมกันทุกเดือน ปัญหาและอุปสรรคในการปฏิบัติงาน คือ ยังขาดงบประมาณ สนับสนุนในการปฏิบัติหน้าท่ีของพระวินยาธิการ อาทิเช่น ค่าพาหนะในการเดินทาง ค่าประสานงาน กับหน่วยงานท่ีเก่ียวข้อง เป็นต้น ๒. ปัจจัยท่ีส่งผลกับการพัฒนาศักยภาพในการปฏิบัติงานของพระ วินยาธิการ จังหวัดพระนครศรีอยุธยา พบว่า พระวินยาธิการในจังหวัดพระนครศรีอยุธยา มีระดับ ปฏิบัติการในการปฏิบัติงานอยู่ในระดับปานกลาง (x = ๓.๔๔ , S.D. = ๐.๕๕๗) เพ่ือพิจารณาเป็นราย ด้าน พบว่า ด้านการปฏิบัติงานของพระวินยาธิการมีค่าเฉลี่ยมากกว่าด้านอ่ืนๆ คือ ด้านสมรรถนะใน การทํางาน ด้านคุณลักษณะพื้นฐาน และ ด้านปัจจัยในการทํางาน ตามลําดับ ผลการทดสอบ สมมติฐานการวิจัย พบว่า การเปรียบเทียบความสัมพันธ์ระหว่างปัจจัยท่ีส่งผลในการทํางาน ปัจจัย ด้านคุณลักษณะพ้ืนฐาน และ ปัจจัยด้านประเภทของสมรรถนะในการทํางาน กับการปฏิบัติงานของ พระวินยาธิการ จังหวัดพระนครศรีอยุธยาโดยการหาค่าสหสัมพันธ์ Pearson พบว่า ค่า Significant ๑๐๑ พระครูภาวนารัตนาภรณ์ (กําพล สิริภทฺโท), “การพัฒนาศักยภาพการบริหารจัดการสํานักปฏิบัติ ธรรมของพระสังฆาธิการในจังหวัดพระนครศรีอยุธยา”, ดุษฎีนิพนธ์พุทธศาสตรดุษฎีบัณฑิต สาขาการจัดการเชิง พุทธ, (บัณฑิตวทิ ยาลัย : มหาวิทยาลัยมหาจฬุ าลงกรณราชวิทยาลัย, ๒๕๕๘), หนา้ ๒๕๒.
๗๖ Level มีค่าเท่ากับ ๐.๐๐๐ ซ่ึงน้อยกว่า ๐.๐๕ นั่นคือ ปัจจัยท่ีส่งผลในการทํางาน ปัจจัยด้าน คุณลักษณะพื้นฐาน และ ปัจจัยด้านประเภทของสมรรถนะในการทํางาน กับการปฏิบัติงานของ พระวินยาธิการมีความสัมพันธ์กัน ๓. กลไกการพัฒนาศักยภาพในการปฏิบัติงานของพระวินยาธิการ ประกอบด้วย ๕ กลไก คือ (๑) ศึกษาจัดทําข้อมูลพ้ืนฐานของหน่วยงานให้เป็นระบบ ฐานข้อมูล จํานวนพระภิกษุสามเณรในจังหวัด ฐานข้อมูลพระวินยาธิการในจังหวัด (๒) จัดทําโครงการพัฒนา ศักยภาพด้วยการส่งพระวินยาธิการไปศึกษาหลักสูตรพระวินยาธิการ, นิติศาสตรบัณฑิต (๓) พัฒนา ขีดความสามารถตามหลักไตรสิกขา คือ ศีล ส่งเสริมให้พระวินยาธิการมีศีลาจารวัตรเรียบร้อยเป็น แบบอย่างที่ดี ๒. สมาธิ พระวินยาธิการต้องนิ่ง ไม่เอนเอียงตามอคติ และ ๓. ปัญญา พระวินยาธิการ ต้องแสวงหาความรู้อยู่ตลอดเวลา ต้องแม่นพระธรรมวินัย และกฎหมาย (๔) การให้คําปรึกษาด้วย การจัดต้ังสํานักงานพระวินยาธิการกลาง และมีเจ้าหน้าที่คอยให้บริการ และ (๕) การติดตามและ ประเมนิ ผล มกี ารติดตามผลการปฏบิ ตั ิงานและรายงานเจ้าคณะผปู้ กครองทราบ๑๐๒ พระญาณกร ปุณฺณโก (ประดาห์รัช) ได้วิจัยเรื่อง “การพัฒนาศักยภาพพระวิปัสสนา จารย์ในการเผยแผ่พระพุทธศาสนา ของสํานักปฏิบัติธรรมในเขตการปกครองคณะสงฆ์ภาค ๒” ผลการวิจัยพบว่า ๑) พระวิปัสสนาจารย์ ในเขตการปกครองคณะสงฆ์ ภาค ๒ มีความรู้และ ความสามารถอยู่ในระดับท่ีดี มีศักยภาพในการเผยแผ่พระพุทธศาสนาไปสู่พุทธศาสนิกชนได้ เพียงแค่ ต้องมีการพัฒนาตนเองให้มีศักยภาพเพ่ิมมากขึ้น บางรูปมีทักษะและความรู้ทางด้านวิชาการ บางรูปมี ความสามารถและความชํานาญในการปฏิบัติวิปัสสนากัมมัฏฐาน ซึ่งต่างก็มีข้อดีข้อด้อยแตกต่างกันไป ดังน้ันการเรียนรู้เพิ่มเติม แลกเปลี่ยนประสบการณ์ซ่ึงกันและกัน จะเป็นส่วนช่วยในการพัฒนา ศักยภาพของพระวิปัสสนาจารย์ให้ดีย่ิงข้ึนไปอีกขั้น เป็นบุคลากรที่มีความสมบูรณ์พร้อมต่อไปใน อนาคต โดยเฉพาะการพัฒนาตนเองอย่างไม่หยุดน่ิง ก็จะส่งผลให้มีทักษะความสามารถมากยิ่งข้ึนและ เป็นกําลังในการเผยแผ่พระพุทธศาสนาได้อย่างย่ังยืนต่อไป ๒) รูปแบบการพัฒนาศักยภาพพระ วิปัสสนาจารย์ในการเผยแผ่พระพุทธศาสนาของสานักปฏิบัติธรรมในเขตการปกครองคณะสงฆ์ภาค ๒ ด้านความรู้ ควรให้ความรู้แบบฝังความรู้ คือการฝึกอบรมโดยการเอาความรู้ใส่ให้กับบุคลากร ให้เกิด การซึมซับความรู้นั้น จากนั้นก็สามารถเรียนรู้ได้จากบุคคลอื่นๆ ที่มีศักยภาพอยู่แล้ว โดยการ แลกเปลี่ยนเรียนรู้กันและกัน รวมถึงนําเอาความรู้จากบุคคลถ่ายทอดสู่บุคคล แล้วนําไปสู่การพัฒนาที่ ควบเอาความรู้ที่หลากหลายเข้าด้วยกันได้ ด้านทักษะอบรมการปฏิบัติงานหรือส่วนท่ีเก่ียวข้อง การ ปฏิบัติงานร่วมกับผู้อ่ืนหรือการทํางานเป็นทีมเหล่าน้ีเป็นต้น ต้องอาศัยทักษะซ่ึงกันและกัน และ ร่วมกันจึงจะประสบผลสําเร็จ แล้วเรียนรู้เพิ่มเติมด้วยความกระตือรือร้นท่ีจะไขว่คว้าความรู้ใส่ตนเอง ๑๐๒ พระครูสังฆรักษ์ปัญญาพล ปญฃญาพโล (มีชูนึก), “กลไกการพัฒนาศักยภาพในการปฏิบัติงานของ พระวินยาธิการจังหวัดพระนครศรีอยุธยา”, ดุษฎีนิพนธ์พุทธศาสตรดุษฎีบัณฑิต สาขาวิชาการจัดการเชิงพุทธ, (บัณฑิตวทิ ยาลัย : มหาวทิ ยาลัยมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลยั , ๒๕๖๑), หนา้ ๓๐๕.
๗๗ รู้จักท่ีจะบริหารจัดการงานต่างๆ อย่างเหมาะสม เม่ือต้องเผชิญกับปัญหา ก็สามารถแก้ไขปัญหานั้นให้ ผ่านไปได้ด้วยดี ซ่ึงเป็นทักษะท่ีต้องมีประสบการณ์อย่างมากทีเดียว ด้านบุคลิกภาพ ควรใช้การอบรม เพ่ือพัฒนาบุคลิกภาพทางร่างกาย และการแสดงออกทางอารมณ์ แล้วนําไปสู่การเรียนรู้โดยการศึกษา สร้างแรงจูงใจ และสร้างค่านิยมและความสนใจในการสร้างบุคลิกภาพท่ีดี น่าเล่ือมใส จนกระทั่ง พัฒนาให้เป็นบุคคลที่มีเชาว์ปัญญาดี ด้านอุปนิสัย ควรสร้างสัมพันธภาพท่ีดีกับเพื่อนร่วมงาน มิตร สหาย เพ่ือให้การปฏิบัติงานหรือการทําหน้าท่ีเป็นไปด้วยความราบร่ืน ฝึกการมองให้เห็นตามความ เป็นจริง ด้วยการลงมือทําหรือปฏิบัติอย่างจริงจัง จนเห็นเป็นเหตุและผลอย่างชัดเจน โดยผ่าน กระบวนการการฝึกอบรม แล้วจึงค่อยๆ สร้างแรงจูงใจและส่ิงเร้า เพ่ือกระตุ้นเจตคติและศึกษาเรียนรู้ เจตคติเชิงบวก เป็นการศึกษาเพิ่มเติมจากการปฏิบัติ และนาทั้งความรู้และการปฏิบัติสู่การพัฒนาที่ สามารถทําความเข้าใจในสิ่งต่างๆ ได้อย่างถ่องแท้ ด้านทัศนคติ รวบรวมความรู้ ประสบการณ์ ทักษะ ประกอบควบเข้าด้วยกัน เกิดการวิวัฒนาการความคิดใหม่ เป็นความคิดท่ีแปลกใหม่และสร้างสรรค์ รู้จักที่จะพลิกแพลงวิธีการ กระบวนการรวมถึงทิศทางท่ีจะดําเนินไปสู่เป้าหมายได้อย่างรวดเร็วและมี ประสิทธิภาพมากที่สุด สร้างความคิดแปลกใหม่ ผสมผสานจากการปฏิบัติ จากการเรียนรู้ให้เกิด ความคิดสร้างสรรค์๑๐๓ พระครูนิวิฐศีลขันธ์ (ณรงค์ ฐฃตวฑฺฒโน) ได้วิจัยเรื่อง “รูปแบบการพัฒนาทุนมนุษย์ตาม หลักพุทธธรรมในองค์กรปกครองส่วนท้องถ่ิน” ผลการวิจัยพบว่า หลักพุทธธรรมในพระพุทธศาสนา ส่วนมากเป็นหลักแห่งการพัฒนามนุษย์ โดยเฉพาะการพัฒนามนุษย์ให้พ้นจากบ่วงทุกข์ พระพุทธองค์ ได้ทรงให้หลักอริยสัจ ๔ มาเป็นกรอบให้เกิดการแก้ไขปัญหาเชิงระบบ ขณะที่วิธีการหรือแนวทางน้ัน พระพุทธองค์ได้ทรงให้หลักมัชฌิมาปฏิปทาหรือมรรคมีองค์ ๘ มาเป็นเคร่ืองช้ีนําทาง ท้ังน้ีมรรคมี องค์ ๘ น้ัน พระพุทธองค์ยังทรงย่อยให้เหลือเพียง ๓ ส่วนสาคัญท่ีจะสนับสนุนเพ่ือการพัฒนามนุษย์ ซ่ึงก็คือ “หลักไตรสิกขา” หรือหลักที่ว่าด้วยแนวทางแห่งการประพฤติปฏิบัติที่เรียกว่า “ศีล” การ หมั่นทําให้จิตใจเกิดความใสบริสุทธิ์ สะอาด สงบนิ่งด้วยแนวทางแห่ง “สมาธิ” และสุดท้ายคือการ เข้าถึงองค์ความรู้ที่ทําให้เกิดความเข้าใจที่ถูกต้องและสมบูรณ์ เพื่อเป็นเคร่ืองมือในการฟันฝ่าทุก อปุ สรรคปญั หาทีเ่ รยี กวา่ “ปญั ญา”๑๐๔ ๑๐๓ พระญาณกร ปุณฺณโก (ประดาห์รัช), “การพัฒนาศักยภาพพระวิปัสสนาจารย์ในการเผยแผ่ พระพุทธศาสนา ของสํานักปฏิบัติธรรมในเขตการปกครองคณะสงฆ์ภาค ๒”, ดุษฎีนิพนธ์พุทธศาสตรดุษฎีบัณฑิต สาขาวชิ าการจดั การเชงิ พทุ ธ, (บณั ฑิตวิทยาลยั : มหาวทิ ยาลัยมหาจุฬาลงกรณราชวทิ ยาลยั , ๒๕๖๑), หน้า ๒๘๔. ๑๐๔ พระครูนิวิฐศีลขันธ์ (ณรงค์ ฐฃตวฑฺฒโน), “รูปแบบการพัฒนาทุนมนุษย์ตามหลักพุทธธรรมใน องค์กรปกครองส่วนท้องถ่ิน”, ดุษฎีนิพนธ์พุทธศาสตรดุษฎีบัณฑิต สาขาวิชารัฐประศาสนศาสตร์, (บัณฑิต วทิ ยาลยั : มหาวทิ ยาลัยมหาจุฬาลงกรณราชวทิ ยาลัย, ๒๕๕๗), หนา้ ๑๑๒.
๗๘ อานนท์ เมธีวรฉัตร ได้วิจัยเร่ือง “รูปแบบการเสริมสร้างสมรรถนะด้านการสอนของพระ สอนศีลธรรมในโรงเรียนในเขตการปกครองคณะสงฆ์ ภาค ๔” ผลการวิจัยพบว่า ๑. สมรรถนะพระ สอนศีลธรรมในโรงเรียน ประกอบด้วยสมรรถนะ ๓ องค์ประกอบ ได้แก่องค์ประกอบที่ ๑ สมรรถนะ ด้านการสอนของพระสอนศีลธรรมประกอบด้วย ๙ ด้าน องค์ประกอบท่ี ๒ การส่งเสริมการพัฒนา สมรรถนะด้านการสอนของพระสอนศีลธรรม ประกอบด้วย ๕ ประการองค์ประกอบท่ี ๓ กิจกรรมใน การส่งเสริมพระสอนศีลธรรมประกอบด้วย ๓ ด้าน ได้แก่ ด้านความรู้ ด้านเจตคติ และทักษะ ๒. รูปแบบการเสริมสร้างสมรรถนะพระสอนศีลธรรมในโรงเรียนในเขตการปกครองคณะสงฆ์ ภาค ๔ ประกอบด้วยองค์ประกอบ ๓ ด้าน ได้แก่ ๑) ด้านสมรรถนะด้านการสอนของพระสอนศีลธรรม ซ่ึง ประกอบด้วยด้านความรู้ ด้านเจตคติ ด้านทักษะ ๒) ด้านการส่งเสริมการพัฒนาสมรรถนะด้านการ สอนพระสอนศีลธรรมได้แก่การจัดระบบการสรรหาท่ีจูงใจพระเก่ง ดี เข้าสู่การเป็นพระสอนศีลธรรม ในโรงเรียนการจัดระบบและกลไกลในการพัฒนาพระสอนศีลธรรมให้มีคุณภาพ การจัดระบบการ ส่งเสริมสนับสนุนการจัดการเรียนการสอนให้เอื้อต่อการปฏิบัติงานของพระสอนศีลธรรม การ จัดระบบการเสริมขวัญกาลังใจและความก้าวหน้าในวิชาชีพครู การกระจายอานาจในการทํางาน ๓) ด้านกิจกรรมในการส่งเสริมได้แก่ด้านความรู้ ด้านเจตคติ ด้านทักษะ ๓.การนําเสนอรูปแบบการ เสริมสร้างสมรรถนะด้านการสอนพระสอนศีลธรรมในโรงเรียน ในเขตการปกครองคณะสงฆ์ ภาค ๔ ประกอบด้วย (๑) สมรรถนะด้านการสอนของพระสอนศีลธรรม ๓ ด้านได้แก่ ด้านความรู้ เจตคติ และ ทักษะ (๒) การส่งเสริมด้านการสอนพระสอนศีลธรรม ประกอบด้วย ๕ ประการ (๓) กิจกรรมในการ ส่งเสริม ๓ ด้านได้แก่ ด้านความรู้ ด้านเจตคติ และด้านทักษะซ่ึงสามารถนําไปสู่แนวทางในการ เสริมสร้างสมรรถนะด้านการสอนพระสอนศีลธรรมในโรงเรียน ในเขตการปกครองคณะสงฆ์ภาค ๔ ให้มีศักยภาพยงิ่ ขึน้ ๑๐๕ พระมหาสุทธินารถ ญาณชโย ได้วิจัยเร่ือง “รูปแบบการพัฒนาสมรรถนะพระสอน ศีลธรรมในโรงเรียน” ผลการวิจัยพบว่า ๑) สภาพปัญหาการพัฒนาสมรรถนะการปฏิบัติศาสนกิจของ พระสอนศีลธรรมในโรงเรียน พบว่ามี ๖ ด้าน คือ ด้านบทบาทหน้าท่ี ด้านหลักสูตร ด้านการจัดการ เรียนการสอน ด้านส่ือการสอน ด้านกิจกรรมการสอน และด้านการวัดและประเมินผล ๒. รูปแบบการ พัฒนาสมรรถนะของพระสอนศีลธรรมในโรงเรียน มีองค์ประกอบ ๓ ส่วน ได้แก่หลักธรรมที่นํามาเป็น แนวคิดในการพัฒนาสมรรถนะ คือ กัลยาณมิตรธรรม ๗ ประการ งานของพระสอนศีลธรรมใน โรงเรียน ๖ ด้าน และสมรรถนะการปฏิบัติงาน ๔ กลุ่ม คือ สมรรถนะทั่วไป สมรรถนะส่วนตน สมรรถนะการจัดการความรู้ และสมรรถนะการทํางานร่วมกับผู้อื่น มีสมรรถนะย่อยกลุ่มละ ๓ รวม ๑๐๕ อานนท์ เมธีวรฉัตร, “รูปแบบการเสริมสร้างสมรรถนะด้านการสอนของพระสอนศีลธรรมใน โรงเรียนในเขตการปกครองคณะสงฆ์ ภาค ๔”, วารสารบัณฑิตปริทรรศน์, ปีท่ี ๗ ฉบับที่ ๒ (พฤษภาคม - สิงหาคม ๒๕๖๒) : ๑๗๒-๑๗๓.
๗๙ ท้ังหมด ๑๒ สมรรถนะ ๓. สําหรับรูปแบบการพัฒนาสมรรถนะของพระสอนศีลธรรมในโรงเรียน ส่วน งานที่เก่ียวข้องสามารถประยุกต์ใช้ “S.NART MODEL” เพื่อนําไปพัฒนาพระสอนศีลธรรมในโรงเรียน ให้มีสมรรถนะเพิ่มข้ึนได้ เน่ืองจากรูปแบบที่พัฒนาขึ้นมีความเหมาะสมและมีความเป็นไปได้มากท่ีจะ นําไปใช๑้ ๐๖ พระมหาอําพล ธนปญฺโณ (ชัยสารี) ได้วิจัยเรื่อง “ศึกษาความต้องการพัฒนาสมรรถนะ การสอนของพระสอนศีลธรรมในโรงเรียนจังหวัดหนองคาย” ผลการวิจัยพบว่า ความต้องการในการ พัฒนาสมรรถนะการสอนของพระสอนศีลธรรม จังหวัดหนองคาย โดยรวมทุกด้านอยู่ในระดับมาก เมื่อพิจารณาเป็นรายด้าน พบว่า ด้านท่ีมีค่าเฉล่ียสูงสุด คือ ด้านการดําเนินการสอน รองลงมา คือ ด้านเน้ือหาและหลักสูตร มีค่าเฉล่ีย รองลงมา คือ ด้านการผลิตและการใช้สื่อ และด้านการวัดผล ประเมินผล ตามลาดับ แนวทางในการพัฒนาสมรรถนะการสอนของพระสอนศีลธรรม จังหวัด หนองคาย พบว่า ด้านเนื้อหาและหลักสูตร ควรมีการจัดอบรมเชิงปฏิบัติการเก่ียวกับหลักสูตร และ วางแผนการทํางานให้พระสอนศีลธรรมอย่างเป็นระบบระเบียบ ด้านการผลิตและการใช้สื่อ ควร อบรมการใช้สื่อเทคโนโลยีและส่ือประดิษฐ์ให้แก่พระสอนศีลธรรม และสนับสนุนงบประมาณด้านการ ดําเนินการสอน ควรจัดอบรมเชิงปฏิบัติการเก่ียวกับการจัดการเรียนการสอน และเทคนิควิธีการสอน ให้แก่พระสอนศีลธรรม ด้านการวัดผลประเมินผล ควรจัดอบรมเพ่ิมประสิทธิภาพในการวัดผลและ ประเมินผลการเรยี นรู้ตามสภาพจรงิ ให้แกพระสอนศลี ธรรม๑๐๗ เบญจมาศ พุทธิมา ได้วิจัยเรื่อง “การพัฒนาสมรรถนะการสร้างเคร่ืองมือวัดและ ประเมินผลการศึกษาของครูผู้สอน โดยใช้เทคนิคการเสริมพลังอํานาจ”ผลการวิจัยพบว่า สมรรถนะ การสร้างเครื่องมือวัดและประเมินผลการศึกษาของครูผู้สอน ในจังหวัดลําปาง ๓ ด้าน ประกอบด้วย ๑) ด้านความรู้ ครูผู้สอนมีความรู้ความเข้าใจอยู่ในระดับสูง ๒) ด้านเจตคติ ครูผู้สอนมีเจตคติต่อการ สร้างเคร่ืองมือวัดและประเมินผลการศึกษาอยู่ในระดับดี และ ๓) ด้านทักษะ ครูผู้สอนสามารถสร้าง เคร่ืองมอื วัดและประเมินผลการศกึ ษาอยูใ่ นระดับสงู ๑๐๘ สรุปได้ว่า งานวิจัยที่เกี่ยวข้องกับการพัฒนาศักยภาพท่ีมีผู้ทําวิจัยไว้อยู่ด้วยกัน ๑๑ ประเด็นพบว่า มีการนําศักยภาพไปใช้ในพัฒนาด้านการทํางานไม่ว่าจะเป็นเรื่องของการสอนมีการ ๑๐๖ พระมหาสุทธินารถ ญาณชโย, “รูปแบการพัฒนาสมรรถนะพระสอนศีลธรรมในโรงเรียน”, วารสารสนั ติศึกษาปรทิ รรศน์, ปีท่ี ๖ ฉบับท่ี ๒ (เมษายน-มถิ นุ ายน ๒๕๖๑) : ๗๐๓-๗๐๖. ๑๐๗ พระมหาอําพล ธนปญฺโณ (ชัยสารี), “ศึกษาความต้องการพัฒนาสมรรถนะการสอนของพระสอน ศลี ธรรมในโรงเรยี นจังหวดั หนองคาย”, วารสารศึกษิตาลัย, ปที ี่ ๒ ฉบับท่ี ๓ (กันยายน-ธนั วาคม ๒๕๖๔) : ๕๗. ๑๐๘ เบญจมาศ พุทธิมา, “การพัฒนาสมรรถนะการสร้างเคร่ืองมือวัดและประเมินผลการศึกษาของ ครูผู้สอน โดยใช้เทคนิคการเสริมพลังอํานาจ”, วารสารวิชาการเครือข่ายบัณฑิตศึกษา, ปีท่ี ๘ ฉบับท่ี ๑๔ (มกราคม-มถิ นุ ายน ๒๕๖๑) : ๕๗.
๘๐ ประชุมวางแผนเพ่ือดําเนินงาน การพัฒนาให้ผู้สอนใช้วิธีการสอนที่เหมาะสมกับผู้เรียน ใช้ในการ พัฒนาศักยภาพทางการปกครองของพระสังฆาธิการ โดยการพัฒนาศักยภาพให้มีการฝึกอบรมเพ่ือ พัฒนาความรู้ความสามารถและทักษะทางด้านต่างๆ ตามความแตกต่างของแต่ละบุคคล ใช้ในการ พัฒนาศักยภาพของอุปัชฌาย์ให้มีความเพียร มีสติ มีมารยาท่ีงดงาม เป็นสัมมาทิฏฐิ มีจริยาความ เรียบร้อยดีงาม และเป็นที่น่าศรัทธาของพุทธศาสนิกชนโดยท่ัวไป ใช้ในการพัฒนาศักยภาพการจัดการ สํานักปฏิบัติธรรม ต้องพัฒนาบุคลากรซึ่งเป็นปัจจัยสําคัญที่จะนําพาองค์กรไปสู่เป้าหมายได้ซึ่งต้อง อาศัยความทุ่มเทและเสียสละเป็นอย่างมากมีความรู้ความเข้าใจที่สามารถถ่ายทอดได้อย่างถูกต้อง ใช้ ในการพัฒนาศักยภาพของพระวินยาธิการ ซ่ึงทําหน้าที่ดูแลความสงบเรียบร้อยในเขตปกครองคณะ สงฆ์ต้องมีการศึกษาหลักสูตร พัฒนาขีดความสามารถทางด้านต่างๆ ใข้ในการพัฒนาศักยภาพของ พระวิปัสสนาจารย์ ให้มีความรู้แบบฝังความรู้โดยการฝึกอบรม แลกเปลี่ยนความรู้ระหว่างกัน พัฒนา บคุ ลิกภาพรา่ งกายและการแสดงออกทางอารมณ์ เป็นตน้ ซง่ึ ท้ัง ๑๑ ประเด็นจะไดส้ รุปดังตอ่ ไปนี้ ตารางที่ ๒.๑๕ สรุปงานวิจัยเก่ียวกบั การพฒั นาศกั ยภาพ นกั วิจัย สรปุ ผลการวจิ ยั พระมหาสราวธุ สราวุโธ (แสงสี) ได้วิจัยเรื่อง “การพัฒนาศักยภาพพระสอน ศีลธรรมในโรงเรียนมัธยมศึกษาตอนปลาย ในเขต ปกครองคณะสงฆ์ภาค ๑๕” พบว่าด้านเน้ือหา การสอนพระสอนศีลธรรมมีการการจัดทําปฏิทิน ปฏิบัติงาน ในรอบปีการศึกษาหน่ึงๆ การจัด ปฏิทินปฏิบัติงานเพ่ือกําหนดกิจกรรมต่างๆ ให้ ชัดเจนว่าจะกระทําวันใด เดือนใด ด้านวิธีการ สอน มีการกําหนดห้องเรียน หนังสือเรียน ตํารา เรียน เป็นต้น ด้านการใช้ส่ือมีการนําหลักธรรม เข้ามาประยุกต์กับการสอน ด้านกิจกรรม เป็น กิจกรรมหลักของการเรียนการสอนเพื่อให้ผู้เรียน สามารถเรียนรู้ตามวัตถุประสงค์ท่ีกําหนดไว้ ด้าน การจัดกิจกรรมการเรียนการสอน ได้แก่ การ พัฒนากิจกรรมในการจัดการการเรียนการสอน ข้ันปฏิบัติ เป็นกิจกรรมหลักของการเรียนการ สอนเพือ่ ให้ผู้เรยี นสามารถเรยี นรตู้ ามกาํ หนด
๘๑ ตารางที่ ๒.๑๕ สรปุ งานวจิ ัยเก่ียวกบั การพฒั นาศกั ยภาพ (ต่อ) นักวิจัย สรปุ ผลการวิจัย พระวิสุทธพิ งษ์เมธี (วรี ะ ด้วงปลี) ได้วิจัยเร่ือง “การพัฒนาศักยภาพการปกครอง คณะสงฆ์ของพระสังฆาธิการระดับเจ้าคณะ พระครสู มุทรประภากร (เฉลิม ปภงกฺ โร) อําเภอในเขตปกครองคณะสงฆ์ภาค ๑๔” พบว่า การฝึกอบรม จัดโครงการฝึกอบรมบุคลากรเพื่อ พัฒนาความรู้ ความสามารถ และทักษะตาม ความแตกต่างของแต่ละบุคคล การฝึกอบรมกับ จักขุมา คือ ควรมีสถาบันฝึกอบรมพระสังฆา ธิการแต่ละระดับเพื่อมองการณ์ไกลถึงประโยชน์ ของ พระพุทธศาสนาต่อชาวโลก การฝึกอบรม กับวิธูโรคือควรได้รับการฝึกอบรมเกี่ยวกับการนํา เทคโนโลยีมาใช้ในการบริหารจัดการเพ่ือให้เกิด ความสะดวกรวดเร็ว และการฝึกอบรมกับ นิสสยสัมปันโน คือ การอบรมจิตใจให้มีมนุษย สัมพันธ์ การพูดจา และพฤติกรรมที่ควรกระทํา หรือไม่ควรกระทํา,การศึกษา ได้ส่งเสริมให้ บุคลากรศึกษาต่อในระดับการศึกษาท่ีสูงข้ึนเพ่ือ พัฒนา ความรู้ความสามารถ การศึกษากับ จักขุมา คือ ปรับเปลี่ยนวิสัยทัศน์ด้วยระบบ การศึกษา การศึกษากับวิธูโรคือ พัฒนาการ บริหารงานทํางานเป็นระบบงาน การทํางานเป็น ทีม และการศึกษากับนิสสยสัมปันโนคือ มี การศึกษาเพ่ิมเติมทักษะในการสื่อสาร ติดต่อ ประสานงาน, การพัฒนากับจกั ขุมา ได้วิจัยเร่ือง “การพัฒนาศักยภาพของพระ อุปัชฌาย์ในเขตการปกครองคณะสงฆ์ภาค ๑๕” พบว่าพัฒนาศักยภาพตนเองของพระอุปัชฌาย์ ๑.การพัฒนาศักยภาพคุณสมบัติ ๒. การพัฒนา ศกั ยภาพจรยิ ธรรม ๓. การพฒั นาศักยภาพทา่ น
๘๒ ตารางท่ี ๒.๑๕ สรปุ งานวิจยั เกยี่ วกับการพัฒนาศักยภาพ (ตอ่ ) นกั วิจัย สรปุ ผลการวจิ ยั พระครูภาวนารตั นาภรณ์ (กําพล สิรภิ ทฺโท) พระอุปัชฌาย์ พัฒนาศักยภาพพระอุปัชฌาย์ใน การปฏิบัติหน้าท่ี ๑. การปกครองสัทธิวิหาริก ๒. การศึกษาสัทธิวิหาริก ๓. การสงเคราะห์ สัทธิวิหาริก ๔. การพยาบาลสัทธิวิหาริก พัฒนา สัทธิวิหาริก ๔. การพยาบาลสัทธิวิหาริก พัฒนา ศั ก ย ภ า พ ใ น ก า ร เ ผ ย แ ผ่ พุ ท ธ ธ ร ร ม ข อ ง พ ร ะ อุ ปั ช ฌ า ย์ เ พ่ื อ ค ว า ม มั่ น ค ง แ ห่ ง ส ถ า บั น พระพุทธศาสนา ๑. พัฒนาจากลูกชาวบ้านให้ เป็นพุทธบุตร ๒. พัฒนาจากพุทธบุตรให้เป็นอริย บุตร ได้วิจัยเรื่อง “การพัฒนาศักยภาพการบริหาร จัดการสํานักปฏิบัติธรรมของพระสังฆาธิการใน จังหวัดพระนครศรีอยุธยา” พบว่า บุคลากร (Man) เป็นส่วนสําคัญยิ่งในการบริหารจัดการ องค์การ จะเห็นได้ว่าทุกองค์การประสงค์ท่ีจะ พั ฒ น า ต น เ อ ง ไ ป สู่ ค ว า ม สํ า เ ร็ จ ใ น ฐ า น ะ ผู้ นํ า โดยเฉพาะคุณภาพของบุคลากรนับเป็นปัจจัย สําคัญท่ีจะนําพาองค์การไปสู่เป้าหมายได้ในฐานะ เ ป็ น ผู้ ป ฏิ บั ติ ที่ มี คุ ณ ภ า พ บุ ค ล า ก ร ที่ มี ความสามารถและมีความเหมาะสมกับงานนั้นๆ เป็นต้นทุนที่มีค่ามากท่ีสุด ด้านบุคลิกภาพ ควร ใช้การอบรมเพ่ือพัฒนาบุคลิกภาพทางร่างกาย และการแสดงออกทางอารมณ์ แล้วนําไปสู่การ เรียนรู้โดยการศึกษา สร้างแรงจูงใจ และสร้าง ค่านิยมและความสนใจในการสร้างบุคลิกภาพที่ดี น่าเล่ือมใส ควรสร้างสัมพันธภาพท่ีดีกับเพ่ือน ร่วมงาน มิตรสหาย เพ่ือให้การปฏิบัติงานหรือ การทาํ หนา้ ทเ่ี ป็นไปด้วยความราบร่ืน
๘๓ ตารางท่ี ๒.๑๕ สรุปงานวิจัยเก่ยี วกับการพฒั นาศกั ยภาพ (ต่อ) นกั วจิ ัย สรปุ ผลการวิจัย พระครสู ังฆรกั ษป์ ญั ญาพล ปญฺญาฺ พโล (มชี นู กึ ) ได้วิจัยเรื่อง “กลไกการพัฒนาศักยภาพในการ ป ฏิ บั ติ ง า น ข อ ง พ ร ะ วิ น ย า ธิ ก า ร จั ง ห วั ด พระนครศรีอยุธยา” พบว่าเจ้าคณะจังหวัด พระนครศรีอยุธยา ซ่ึงเป็นหัวหน้าพระวินยาธิการ ประจําจังหวัด ดูแลเอาใจใส่ต่อการปฏิบัติงานของ พระวินยาธิการเป็นอย่างดีมีการแต่งตั้งเจ้าคณะ ตําบลทุกตําบลในเขตปกครองคณะสงฆ์จังหวัด พระนครศรีอยุธยา ปัญหาและอุปสรรคในการ ปฏิบัติงาน คือ ยังขาดงบประมาณสนับสนุนใน การปฏิบัติหน้าที่ของพระวินยาธิการศึกษาจัดทํา ข้อมูลพ้ืนฐานของหน่วยงานให้เป็นระบบ จัดทํา โครงการพัฒนาศักยภาพด้วยการส่งพระวินยาธิ การไปศึกษาหลักสูตรพระวินยาธิการ ส่งเสริมให้ พระวินยาธิการมีศีลาจารวัตรเรียบร้อยเป็น แบบอยา่ งท่ีดี ตอ้ งแม่นพระธรรมวินยั พระญาณกร ปุณฺณโก (ประดาหร์ ัช) ได้วิจัยเรื่อง “การพัฒนาศักยภาพพระวิปัสสนา จารย์ในการเผยแผ่พระพุทธศาสนา ของสํานัก ปฏิบัติธรรมในเขตการปกครองคณะสงฆ์ภาค ๒” พบว่าพระวิปัสสนาจารย์ ในเขตการปกครองคณะ สงฆ์ ภาค ๒ มีความรู้และความสามารถอยู่ใน ระดับที่ดี มีศักยภาพในการเผยแผ่ศาสนาไปสู่ พุทธศาสนิกชนได้ ด้านความรู้ ควรให้ความรู้แบบ ฝังความรู้ คือการฝึกอบรมโดยการเอาความรู้ใส่ ให้กับบุคลากร ให้เกิดการซึมซับความรู้น้ัน การ ทํางานเป็นทีมเหล่านี้เป็นต้น ต้องอาศัยทักษะซึ่ง กันและกัน และร่วมกันจึงจะประสบผลสําเร็จ ด้านอุปนิสัย ควรสร้างสัมพันธภาพที่ดีกับเพื่อน ร่วมงาน
๘๔ ตารางที่ ๒.๑๕ สรปุ งานวิจยั เก่ยี วกบั การพฒั นาศกั ยภาพ (ต่อ) นักวิจยั สรปุ ผลการวิจัย พระครนู วิ ฐิ ศลี ขันธ์ (ณรงค์ ฐฃตวฑฺฒโน) ได้วิจัยเร่ือง “รูปแบบการพัฒนาทุนมนุษย์ตาม อานนท์ เมธีวรฉัตร หลักพุทธธรรมในองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น” พบว่า หลักแห่งการพัฒนามนุษย์ตามหลักพุทธ พระมหาสุทธินารถ ญาณชโย ธรรม ได้แก่ ๑) หลักอริยสัจ ๔ ๒) หลกั มชั ฌิมาปฏิปทาหรอื มรรคมอี งค์ ๘ ๓) หลกั ไตรสิกขา ได้วิจัยเร่ือง “รูปแบบการเสริมสร้างสมรรถนะ ด้านการสอนของพระสอนศีลธรรมในโรงเรียนใน เขตการปกครองคณะสงฆ์ ภาค ๔” พบว่า สมรรถนะด้านการสอนพระสอนศีลธรรมใน โรงเรียน ในเขตการปกครองคณะสงฆ์ ภาค ๔ ใน กิจกรรมในการส่งเสริมพระสอนศีลธรรม ด้าน ความรู้ ได้แก่ การพัฒนาตนเอง การประชุม อบรมและศึกษาดูงาน การส่งบุคลากรไปศึกษา ต่อและฝึกอบรม การจัดการความรู้ การ แลกเปลย่ี นเรยี นร้แู ละถอดประสบการณ์ ได้วิจัยเรื่อง “รูปแบบการพัฒนาสมรรถนะพระ สอนศีลธรรมในโรงเรียน” พบว่า รูปแบบการ พัฒนาสมรรถนะของพระสอนศีลธรรมในโรงเรียน ด้านทักษะ ส่ือสารความรู้และทักษะในการ ปฏิบัติงานอย่างเป็นกันเองและใช้ทักษะการ สื่อสารที่ดี และหลากหลายกับเพื่อนร่วมงาน ปฏิบัติตนตามหลักพุทธธรรม ฝึกฝนการปฏิบัติให้ มีบุคลิกภาพที่ดี แสดงออกถึงความเป็นกันเอง สนิทสนมอย่างน่ารัก และโน้มน้าวจูงใจเพ่ือ ช่วยเหลอื ดาํ เนนิ งาน หรอื แก้ไขปัญหา
Search
Read the Text Version
- 1
- 2
- 3
- 4
- 5
- 6
- 7
- 8
- 9
- 10
- 11
- 12
- 13
- 14
- 15
- 16
- 17
- 18
- 19
- 20
- 21
- 22
- 23
- 24
- 25
- 26
- 27
- 28
- 29
- 30
- 31
- 32
- 33
- 34
- 35
- 36
- 37
- 38
- 39
- 40
- 41
- 42
- 43
- 44
- 45
- 46
- 47
- 48
- 49
- 50
- 51
- 52
- 53
- 54
- 55
- 56
- 57
- 58
- 59
- 60
- 61
- 62
- 63
- 64
- 65
- 66
- 67
- 68
- 69
- 70
- 71
- 72
- 73
- 74
- 75
- 76
- 77
- 78
- 79
- 80
- 81
- 82
- 83
- 84
- 85
- 86
- 87
- 88
- 89
- 90
- 91
- 92
- 93
- 94
- 95
- 96
- 97
- 98
- 99
- 100
- 101
- 102
- 103
- 104
- 105
- 106
- 107
- 108
- 109
- 110
- 111
- 112
- 113
- 114
- 115
- 116
- 117
- 118
- 119
- 120
- 121
- 122
- 123
- 124
- 125
- 126
- 127
- 128
- 129
- 130
- 131
- 132
- 133
- 134
- 135
- 136
- 137
- 138
- 139
- 140
- 141
- 142
- 143
- 144
- 145
- 146
- 147
- 148
- 149
- 150
- 151
- 152
- 153
- 154
- 155
- 156
- 157
- 158
- 159
- 160
- 161
- 162
- 163
- 164
- 165
- 166
- 167
- 168
- 169
- 170
- 171
- 172
- 173
- 174
- 175
- 176
- 177
- 178
- 179
- 180
- 181
- 182
- 183
- 184
- 185
- 186
- 187
- 188
- 189
- 190
- 191
- 192
- 193
- 194
- 195
- 196
- 197
- 198
- 199
- 200
- 201
- 202
- 203
- 204
- 205
- 206
- 207
- 208
- 209
- 210
- 211
- 212
- 213
- 214
- 215
- 216
- 217
- 218
- 219
- 220
- 221
- 222
- 223
- 224
- 225
- 226
- 227
- 228
- 229
- 230
- 231
- 232
- 233
- 234
- 235
- 236
- 237
- 238
- 239
- 240
- 241
- 242
- 243
- 244
- 245
- 246
- 247
- 248
- 249
- 250
- 251
- 252
- 253
- 254
- 255
- 256
- 257
- 258
- 259
- 260
- 261
- 262
- 263
- 264
- 265
- 266
- 267
- 268
- 269
- 270
- 271
- 272
- 273
- 274
- 275
- 276
- 277
- 278
- 279
- 280
- 281
- 282
- 283
- 284
- 285
- 286
- 287
- 288
- 289
- 290
- 291
- 292
- 293
- 294
- 295