Important Announcement
PubHTML5 Scheduled Server Maintenance on (GMT) Sunday, June 26th, 2:00 am - 8:00 am.
PubHTML5 site will be inoperative during the times indicated!

Home Explore พิธีกรรมล้านนา

พิธีกรรมล้านนา

Published by sataporn16021983, 2019-12-11 21:59:05

Description: พิธีกรรมล้านนา

Search

Read the Text Version

๕ คาํ ปรารภ แรงบันดาลใจ ใหรวบรวมพิธีกรรมวิถีคนเมือง ดวยเหตุผลความนาฉงนในภูมิป$ญญาของบรรพชนคนโบราณ ดวยความเชอ่ื วาพิธกี รรมแตละพิธกี รรม กวาจะเป,นรูปธรรมสืบทอดถึงป$จจุบัน คงมีการพินิจพิเคราะห0มาแลวเป,นอยาง ดี เพ่อื สรางความเปน, สริ ิมงคล สรางขวัญ สรางความรกั ความผกู พนั ความสามัคคี และความหวงั ใหกบั สังคมจึงขอความ อนุเคราะห0 ขอความรวมมือ ครูบาอาจารย0 ผูรูใหแตละพิธีกรรม ไดรวบรวมเป,นองค0ความรูและไดจากเอกสาร ตํารา อีกพิธีกรรมหนงึ่ เกดิ จากการไปรวมพธิ ีกรรมท้ังงานมงคล และงานอวมงคลไดแตสอบถามกันไปมาดวยความสงสัยใครรู ที่ถูก ทีค่ วรวาเป,นอยางไร คดิ วาพระสงฆ0นาจะใหความกระจางได จึงไดตั้งเป,นคําถาม คําตอบ(ปุจฉา,วิสัชนา) ขอเมตตา พระราชธรรมาลังการ ท่ีปรึกษา เจาคณะจังหวัดลําปาง พระราชจินดานายก เจาคณะจังหวัดลําปาง (มหานิกาย) วัดพระเจดียซ0 าวหลงั พระราชเมธาจารย0 เจาคณะจังหวดั ลําปาง(ธรรมยุติ) วัดจําทรายมูล อําเภอหางฉัตร พระสมุหค0 ํามูล มนุ ิวังโส วัด คะตึกเชยี งม่ัน อําเภอเมืองลําปาง พระมหาศรีวรรณ โสวณฺณสิริ ปธ.๕ น.ธ.เอก พธ.บ. กศ.ม ผูอาํ นวยการโรงเรียนวัดพระแกวดอนเตาสชุ าดาราม และพระครูสงั วรสุตกิจ ญาณสํวโร ปธ.๓ น.ธ.เอก พธ.บ รป. ม. มหาวิทยาลัยมหาจุฬาลงกรณมหาวิทยาลัย วิทยาเขตแพร หองเรียนวัดบุญวาทย0วิหาร ไดชวยวิสัชนา ในแตละ พิธกี รรม ผรู วบรวมขออนญุ าตเอาช่ือผใู หขอมลู กํากับไวดวยเพอ่ื เปน, เกียรติในการสบื คนตอไป พิธีกรรมบางอยาง ที่มีเนื้อหามาก และมีในตําราทั่วไปไมขอยกมากลาว ท่ีรวบรวมนี้เพียงเศษเส้ียวหนึ่งเทาน้ัน ขอขอบพระคณุ และขอบคณุ ผูเก่ียวของทุกทานไว ณ โอกาสน้ี หากเป,นประโยชน0เป,นบุญกุศล ขออุทิศใหบรรพชน บิดา มารดา ครูบาอาจารย0 เจากรรมนายเวรและผลู วงลับที่ไรญาติมิตร นายอมั พร เทพปน@ ตา มกราคม ๒๕๕๕

๖ ความสําคัญของพิธีกรรมทางศาสนาและพิธกี รรมทองถนิ่ รวบรวมโดย นางนงนชุ ป#าเขียว นักวิชาการวฒั นธรรมฯ สํานักงานวัฒนธรรมจังหวดั ลาํ ปาง พิธีกรรมเป,นเรื่องท่ีเกี่ยวของกับประเพณีและวัฒนธรรม มนุษย0ในสังคมที่เจริญแลว ตางก็มีประเพณีและ พิธีกรรมเฉพาะของตน พิธีกรรมเป,นเคร่ืองช้ีวัดความสามัคคี ความกลมเกลียว เป,นอันหนึ่ง อันเดียวกันของคนในชาติ สาํ หรบั ประเทศไทย ซึ่งคนสวนใหญนับถือศาสนาพทุ ธ พิธีกรรมสวนใหญจึงเก่ียวของกับเรื่องศาสนา เชน การทําบุญตัก บาตร การไหวพระสวดมนต0 การทําบุญในเทศกาลตางๆ ข้ึนอยูกับความเชื่อและหลักการของพุทธศาสนาแทบท้ังส้ิน พิธีกรรมที่เก่ยี วกบั ศาสนาน้ี เรียกวา ศาสนพธิ ี ซ่ึงแบงเปน, ๒ ประเภทใหญ ๆ คอื (๑) ศาสนาพิธีสําหรับพระ หมายถึง ระเบียบ พิธีท่ีพระสงฆ0จะตองปฏิบัติตามพระธรรมวินัย เชน พิธีอุปสมบท พิธีสวดปาติโมกข0 เขาพรรษา รับกฐิน เป,นตน ซึ่งแตละพิธีตองอาศัยองค0ประกอบของคณะสงฆ0 เวลาและสถานท่ีเฉพาะสําหรับพิธีน้ันๆ ในสวนที่เป,นระเบียบตามประเพณีนิยม เชน กิจวัตรประจําวันที่พระสงฆ0 ในพระพทุ ธศาสนาตองปฏบิ ตั อิ ยางสม่ําเสมอ เชน การออกบณิ ฑบาต การทําวัตรเชา-เย็น การศึกษาพระธรรมวินัย การ สั่งสอนพระธรรมใหกบั ประชาชนทั่วไป (๒) ศาสนาพิธีสําหรบั ชาวบาน เปน, ระเบียบแบบแผนทผ่ี นู บั ถอื พุทธศาสนาจะตองปฏิบัติ ซ่ึงแบงออกเป,นหมวด ตาง ๆ คือ ๒.๑ กุศลพธิ ี เป,นพิธีเก่ยี วกบั การบําเพ็ญกศุ ลตาง ๆ ไดแก (๑) การแสดงตนเปน, พทุ ธมามกะ (๒) การรกั ษาอโุ บสถศีล (๓) การเวียนเทียนในวันสําคัญของพระพุทธศาสนา ไดแก วันมาฆบูชา วันวิสาขบูชา วันอาสาฬหบูชา ๒.๒ บญุ พธิ ี เปน, พิธีทําบญุ ตามประเพณนี ิยม มี ๒ ประเภท คอื (๑) การทําบุญเนื่องในงานมงคล คือ การทําบุญเพื่อความสุข ความเจริญ เชน การทําบุญวัน เกดิ งานมงคลสมรส เปน, ตน (๒) การทําบุญเนื่องในงานอวมงคล คือ การทําบุญในงานศพ การทําบุญเน่ืองในวันครบรอบ วันตาย ๑๐๐ วนั เปน, ตน ๒.๓ ทานพธิ ี ไดแก การถวายทานโดยท่วั ๆ ไป ซ่งึ มี ๒ ประเภท คือ (๑) ปฎิบุคลิกทาน ไดแก ทานทท่ี าํ ถวายเฉพาะเจาะจงบุคคล เลอื กวัด เลอื กพระสงฆท0 ่ีจะถวาย (๒) สังฆทาน ไดแก ทานท่ีถวายแกสงฆ0โดยสวนรวม โดยไมเลือกวัดและพระสงฆ0ท่ีรับทาน เชน การถวายสงั ฆทาน การทาํ บญุ ตักบาตร เปน, ตน

๗ ๒.๔ ปกิณกพิธี เป,นพิธีเบ็ดเตล็ดท่ีเกี่ยวของกับพิธีตางๆ ท่ีกลาวมาแลวขางตน เชน การยกชอฟNา การ แสดงความเคารพพระสงฆ0 การอาราธนา การประเคนของ การนมิ นต0พระ การกรวดนาํ้ เป,นตน ประโยชน)ของพิธีกรรม คนเป,นจาํ นวนมากที่เห็นพธิ ีกรรมเป,นเรอ่ื งเหลวไหลไรสาระและเสยี เวลาโดยใชเหตุ ทงั้ นอ้ี าจเป,นเพราะผู ประกอบพิธกี รรมเหลานน้ั ไมไดมีความเขาใจอยางถองแทถึงระเบียบวิธีและแกนแทของพิธีกรรมนัน้ ๆ จงึ ทาํ ใหเหน็ เป,น เรอ่ื งที่ไมมีคุณคา ไมมีเหตุผลและงมงาย แทจริงแลวพธิ ีกรรมทางศาสนามีประโยชนม0 ากมาย เชน ๑. เปน, เครือ่ งมือสืบทอดพระพุทธศาสนา ๒. ทําใหเกิดความรักและความสามัคคีของคนในสังคมนนั้ ๆ ๓. แสดงถงึ ความเจรญิ ทางจติ ใจของคนในสังคม ๔. เป,นเครอ่ื งจงู ใจใหคนทาํ ความดี ละเวนความช่ัว ๕. ทําใหเกิดความอ่มิ เอบิ ใจ พธิ กี รรมท่ีดคี วรมีลกั ษณะดังนี้ มี ๓ ๑. วตั ถุประสงค) (๑) เพ่ือใหเกิดกศุ ล (๒) เพื่อความเปน, ระเบียบเรียบรอย (๓) เพ่ือความสงบและรมเย็นของสังคม ๒. เป1าหมาย (๑) ความสามัคคขี องหมูคณะ (๒) ความอยูรอดของศาสนา (๓) สรางศรัทธาในศาสนา ๓. กระบวนการ (๑) ตรงไปตรงมา (๒) เรียบงาย (๓) ไมฟมOุ เฟPอย (๔) ไมมพี ธิ ีการมาก เคร่อื งสกั การบชู าพระรัตนตรยั ในพธิ กี รรมทางศาสนา เคร่ืองสักการบูชาพระรัตนตรัยในการประกอบพิธีกรรมทางศาสนา ท้ังงานมงคลและงานอวมงคล อยางคอื

๘ ๑. ธูปสําหรับบูชาพระพุทธเจา การจุดธูปสําหรับบูชาพระพุทธเจานั้น นิยมจุดบูชาครั้งละ ๓ ดอกโดยมี ความหมายวา พระพุทธเจาน้ันมีพระคุณที่ย่ิงใหญ ๓ ประการ คือ พระป$ญญาธิคุณ พระบริสุทธิคุณ และพระมหา กรุณาธิคุณ ธูปทั้ง ๓ ดอก จึงจุดเพ่ือบูชาพระพุทธคุณทั้ง ๓ ประการนี้ ธูปสําหรับจุดบูชาพระพุทธเจาน้ันนิยมใชธูปที่มี กล่ินหอมท่ีมีลักษณะตรงขามกับกล่ินหอมท่ีชาวโลกนิยมใชกันอยูคือ เป,นกล่ินหอมเม่ือได สูดดมแลว ทําใหกิเลส ยุบตัวลง จิตใจสงบ ไมฟุNงซาน นอกจากน้ันแมธูปจะไหมหมดแลวกล่ินหอมของธูปก็ยังอบอวลอยูในบริเวณน้ันเป,น เวลานาน เปรียบไดกับพระพุทธคุณของพระพุทธเจาท่ีเขาถึงจิตใจของบุคคลอยูตลอดเวลา แมพระพุทธองค0จะเสด็จ ปรนิ พิ พานไปนานถึง ๒ พันกวาปมQ าแลวก็ตาม ๒. เทยี นสําหรับบูชาพระธรรม การจดุ เทียนบูชาพระธรรมน้ันนิยมจุดบชู าครง้ั ละ ๒ เลม โดยมคี วามหมายวา พระธรรมอนั เป,นคําสงั่ สอนของสมเด็จพระสัมมาสมั พทุ ธเจานัน้ มี ๒ ประเภทคอื พระวินัย สําหรับฝSกหดั กาย วาจาให เปน, ระเบยี บเรยี บรอยและพระธรรมสําหรบั จิตใจใหระงบั ความชว่ั และทุจรติ ทุกประการ เทยี น ๒ เลมก็เพ่ือบูชาพระวินยั ๑ เลม และบชู าพระธรรม ๑ เลม เทียนสําหรับบูชาพระธรรมนน้ั นยิ มใชเทียนเลมใหญพอสมควรแกเชิงเทยี นการใช เทียนบูชาพระธรรมนน้ั เพื่อแสดงวาเทยี นทจี่ ดุ ขึ้น ณ ท่ใี ดยอมกําจัดความมือของสถานที่นน้ั ๆ ออกไป ทําใหเกิดความ สวางเปรยี บไดกบั พระธรรมคําส่ังสอนของพระพุทธเจานนั้ หากผูใดไดศกึ ษาจนเกดิ ความรคู วามเขาใจแลวยอมกําจดั ความมืด คือ โลภะ โทสะ โมหะ ซึ่งเป,นความโงเขลาเบาป$ญญาในจิตใจของบุคคลนน้ั ๆ ใหหายหมดไป ทําใหเกิดแสง สวางคือ ป$ญญาข้ึนภายในจิตใจของตน ๓. ดอกไมสาํ หรับบูชาพระสงฆ) การจดั ดอกไมเพอ่ื บชู าพระสงฆม0 ีความหมายวาดอกไมนานาชนิดทน่ี าํ มาจัดไว ในแจกนั น้ัน เมอื่ ยังอยู ณ ตนของมนั ก็ยอมมีความสวยงามตามสมควรแกสภาพของพันธ0ุไมน้ัน ๆ ถาหากเราเก็บดอกไม มากองรวมกนั โดยมิไดจัดสรรตกแตง ยอมจะหาความเปน, ระเบียบสวยงามไมได เมอ่ื มี ชางจดั ดอกไมนํามาใสแจกนั หรือ ภาชนะอน่ื ๆ ประดบั ใหเป,นระเบยี บกเ็ กิดความสวยงามนาดเู ปรียบไดกบั พระสงฆ0สมยั เมื่อยังเปน, คฤหสั ถ0อยูนั้น ยอมมี กิรยิ ามารยาทและจิตใจเรยี บรอยตามควรแกฐานะและตระกูล ของตน บางก็มจี ิตใจออนโยน บางก็มจี ติ ใจหยาบกระดาง ครนั้ เมอ่ื คฤหสั ถ0เหลานัน้ ซึ่งตางชาติตางฐานะตางตระกูลกนั เขามาบวชในพระพุทธศาสนา ถาไมมรี ะเบยี บแบบแผน เดยี วกันกจ็ ะทําใหพระสงฆเ0 หลานนั้ ไมมีความเปน, ระเบยี บ และไมเปน, ท่เี ลื่อมใสศรัทธาแกผูท่ีพบเห็น ครน้ั เมอื่ พระพุทธ องค0ไดกําหนดพระธรรมวนิ ัยไวใหเปน, แบบแผนในการปฏิบัตกิ เ็ กดิ ความเปน, ระเบยี บเรียบรอย นาเคารพบชู าเหมือน เหลาดอกไมท่ีไดจดั ไวอยางดีแลว ดอกไมสาํ หรับใชบชู าพระสงฆ0น้ัน นิยมใชดอกไมท่ีมีลกั ษณะ ๓ ประการ คือ ๑. มีสสี วย ๒. มี กลิน่ หอม ๓. กาํ ลังสดช่ืน จงึ มีการเปลยี่ นดอกไมท่ีใชบชู าพระประจาํ วันอยูเสมอ อนั เปน, นมิ ติ หมายของความสดชื่น รุงเรือง ไมปลอยใหเหี่ยวแหง อันแสดงถึงความเส่ือมโทรม

๙ การบชู าพระประจําวัน การบชู าพระประจาํ วันของพุทธศาสนานิกชนนยิ มทาํ กนั วันละ ๒ ครัง้ คอื กอนออกจากบานและกอนนอน การ บชู าพระกอนออกจากบาน จะกระทาํ ในเวลาเชาเมื่อเตรียมตวั เสรจ็ เรยี บรอยแลวก็เขาไปยงั ทบ่ี ชู าพระ นง่ั คกุ เขาจดุ เครื่องสกั การะ คือ ๑. จดุ เทียน ๑ เลม ขวาของพระพุทธรูปกอนแลวจึงจดุ เทียนเลมซาย ๒. จุดธูป ๓ ดอก แลวป$กที่กระถางโดยป$กเรยี งกัน แลวกราบพระรตั นตรัยแบบเบญจางคประดษิ ฐ0 แลวกลาว คําบูชาพระรตั นตรัยดังนี้ นะโม ตสั สะ ภะคะวะโต อะระหะโต สมั มาสัมพุทธสั สะ ๓ คร้ัง อิมนิ า สกั กาเรนะ พทุ ธธัง อภิปูชยามิ อิมินา สักกาเรนะ ธัมมงั อภิปูชยามิ อมิ ินา สกั กาเรนะ สังฆงั อภิปูชยามิ แลวกราบแบบเบญจางคประดิษฐ) ๓ ครงั้ พรอมกับระลึกถึงพระรัตนตรัยดังนี้ อะระหัง สัมมาสัมพุทโธ ภะคะวา, พุทธัง ภะคะวนั ตัง อะภวิ าเทมิ, สว๎ ากขาโต ภะคะวะตา ธัมโม, ธัมมัง นะมัสสามิ, สปุ ะฏปิ $นโน ภะคะวะโต สาวะกะสงั โฆ, สงั ฆงั นะมามิ, เมื่อกราบเสรจ็ ก็ดับเทยี นเปน, อนั เสรจ็ การบชู าพระ การทาํ บญุ งานมงคล นิมนต0พระมาสวดมนต0งานพิธีมงคล ตองใชคําวา “เจริญพระพุทธมนต0” งานอวมงคล เชน งานศพ ใชคําวา “สวดพระพุทธมนต0” สวด แปลวาเปลงวาจา มนต0 หรอื มนตร0 แปลวา คาํ ศักดส์ิ ทิ ธิ์ การนิมนตพ0 ระมาเจริญพุทธมนต0 คือ นิมนต0พระมาเปลงคําศักด์ิสิทธ์ิ เพื่อความเจริญเป,นสิริมงคล การนิมนต0พระสงฆ0มาเจริญ พระพุทธมนต0 ในพิธีมงคล เจาภาพตองเตรยี มโยงสายสญิ จนร0 อบบาน ๑ รอบ ใหตั้งตนจากพระพุทธรูป โดยวงรอบฐานเวียนไปทางขวา วนไปรอบ บาน วกกลับมาพบที่พระพุทธรูป แลววงรอบพระหัตถ0พระพุทธรูป ลดตํ่าลงมาพันรอบบาตรน้ําพระพุทธมนต0 แลววาง บนพานทีเ่ ตรยี มไว ทผี่ ิดพลาดกนั มาก คอื นาํ ไปวนรอบพระภูมเิ จาท่ี ท่ีอยูของจิตวิญญาณ หามวนสายสิญจน0เพราะในวง สายสิญจน0เป,นแดนพุทธรักษา ธรรมรักษาและ สังฆรักษา ปQศาจ ผี แมแตเทพารักษ0 ลูกนองเทวดา ก็ไมไดรับเชิญให มาฟ$งธรรม จะลวงเขามาไมได พระภูมิเจาที่ ทานเป,นเทพารักษ0ประจําพื้นที่และสถานท่ีจะไลทานไปอยูที่ไหน พิธีมงคล ตองมีบาตรน้ําพระพุทธมนต0 อาจใชบาตร หมอนํ้ามนต0หรือขันนํ้าก็ได ใสน้ําบริสุทธิ์ บางทองถ่ิน นิยมใสใบเงิน ใบทอง ใบนาคหรือดอกบัว ความจริงไมควรใสใบไม ดอกไมอื่น ๆ เพราะน้ําพระพุทธมนต0เป,นน้ําศักดิ์สิทธิ์ ไดมงคลสูงสุดจาก พระปริตร อันเป,นมงคลของพระพุทธเจา ไมจําเป,นตองมีมงคลเทียมเขาไปปะปน ตองไมลืมมัดหญาคา สําหรับใหพระ ประพรมนํา้ พระพุทธมนต0 ไมควรใชใบมะยม เพราะไมใชฟพรมนํา้ พระพทุ ธมนตไ0 ลผี การทํานา้ํ พระพทุ ธมนตต0 องมเี ทียนขผี้ ้ึงแทหนกั ๑ บาท ไสมีจํานวนเสนมากกวา และเทยี นขผี้ ้ึงแท เนอ้ื จะน่มิ เมื่อพระทานเจริญพระพุทธมนต0ถึง “มลคลสูตร” บทมงคลชีวิต ๓๘ ประการ อันเป,นอุดมมงคลสูงสุดของ มนษุ ย0 ขณะพระเจริญพระพุทธมนต0ถึงพระคาถาแรกของมงคลสูตร “อเสวนา จะพาลานัง ป$ณฑิตานัญจะ เสวนา ปูชา จะปูชะนียานัง เอดัมมังคะละมุตตมัง” (ไมคบคนพาล,คบบัณฑิต,บูชาคนท่ีควรบูชาเป,นอุดมมงคล) ใหประธานในพิธี

๑๐ หรือผูเป,นเจาภาพ จุดเทียนและประเคนบาตรน้ําที่จะทําน้ําพระพุทธมนต0 เม่ือพระสงฆ0ทานสวดถึง บทรัตนสูตรพรูตร ท่วี าดวยนัตะ สวดเพื่อกาํ จัดภัยและอาํ นวยสวัสดิมงคล เปน, บทสวดพรรณนาคุณ พระพุทธ พระธรรม พระสงฆ0 และอาง สัจจวาจา อาํ นวยสวสั ดิ์มงคล พระทานจะทํานํ้ามนต0เมื่อสวดถึง พระอริยบุคคลท้ังหลายฯ พระทานจะจับเทียนควบกับ สายสิญจน0เอียงเทียนใหหยดลงในนํ้าทีละหยดๆ พรอมกัน เม่ือสวดถึง “นพฺพนฺติ ธีรา ยถานัมฺปทีโป” (เป,นผูมีป$ญญา ยอมปรินิพพาน เหมือนประทีปอันดับไป ฉันนั้น) เม่ือส้ินสุดคําวา ปทีโป ก็จุมเทียนลงในนํ้ามนต0 เทียนทํานํ้ามนต0 โบราณวาหามนาํ มาจดุ อกี จะเกดิ อปั มงคล ไมเจริญ เปน, ลางราย สายสิญจน) ทาํ ดวยดายดบิ โดยวธิ ีจบั เสนดาย ใหเด็กสาวออกชักเปน, ชวงๆ ใหสมั พันธ0เป,นสายเดียวกันจากดาย ในเขด็ เสนเดียว จบั ครง้ั แรกเป,น ๓ เสน มวนเขากลุมไวจับอีกครงั้ หน่งึ จะกลายเปน, ๙ เสน งานมงคลทุกประเภทนิยมใช สายสญิ จน0 ๙ เสน กลาวกันวา สายสิญจน0 ๓ เสน สาํ หรับใชพิธเี บกิ โลกผี จะนํามาใชในพิธมี งคลไมเหมาะสม พระปริตรอันเป:นมงคลทค่ี วรทราบ การเจรญิ พระพทุ ธมนต0ในงานมงคล เจาภาพอาราธนาพระปริตรความวา “ขอพระคุณเจาโปรดสวดพระปริตร อันเป,นมงคล เพื่อปNองกันความวิบัติ,เพ่ือความสําเร็จทุกประการ เพื่อใหพน ทุกข0 ภัย โรค อันตรายใดๆ ทุกชนิด จง พนิ าศสญู ไป”พระสงฆจ0 ะสวดพระสูตร มงคลสูตร รัตนสูตรและสวดตอไปอีก ๕ พระสตู ร การถวายทานเพือ่ ความเป:นสิริมงคลแกต; น การทาํ บุญสรางกศุ ลเพอ่ื ความสขุ ความเจรญิ รวมท้งั การทาํ บญุ เพอื่ ความสขุ กายสบายใจ เมื่อรูสึกวาโชคไมดี มี เคราะห0 หรือมีส่ิงท่ีทําไมสบายกายและใจท่ีไมนาจะเกิดขึ้น มีสิ่งไมเหมาะไมควรประดังเขามา วิถีชีวิตไทย ชาวพุทธจะ ทําบุญกุศล อุทิศผลบุญกุศลใหเทวดาอารักษ0 เจากรรมนายเวร ผูมีพระคุณท้ังหลายและตนเอง เพื่อใหวิถีชีวิตรมเย็น เป,นสุข นยิ มทําบุญถวายสงั ฆทาน หลักของการถวายทาน มีหลักสําคัญ ๒ ประการ คือ ตองตั้งใจถวายเป,นสงฆ0จริงๆ ไมเห็นแก หนาบุคคล ผรู บั วาเปน, ภกิ ษุสามเณรรูปใด จะเปน, พระสังฆเถระหรือพระอันดับ ฉะน้ันเวลานิมนต0พระใหกลาวขอนิมนต0พระ ๔ รูป หรอื กรี่ ูป โดยไมเนนวาเป,นรูปใด เชน ขาว, กบั ขาว, น้ํา, เครอื่ งดืม่ อันสมควรแกสมณะ บริโภค ,ดอกไม ,ธูป,เทยี น,ของใชพวกสบู,ยาสฟี $น,ใบมีดโกนโกนหนวด โกนผม พรอมดาม,ของใชทําความสะอาดหองนํ้า กฏุ ิ พวกน้ํายา สบู ฟองน้าํ ,สบง อังสะ หรือจีวร หรือผาเชด็ ตวั การถวายสังฆทานเพ่ือความเป,นสิริมงคล เร่ิมตนดวยการจุดธูปเทียนบูชาพระรัตนตรัย กลาวคําถวายสักการะ สวดบูชาพระรตั นตรัย อาราธนาศีลและรับศีล ถามีการเจริญพระพุทธมนต0 ใหอาราธนาพระปริตร เมื่อพระเจริญพระ พทุ ธมนตจ0 บแลวให กลาวคาํ ถวายสงั ฆทาน ดังนี้ นะโม ตัสสะ ภะคะวะโต อะระหะโต สมั มาสัมพุทธัสสะ นะโม ตัสสะ ภะคะวะโต อะระหะโต สัมมาสมั พุทธสั สะ นะโม ตัสสะ ภะคะวะโต อะระหะโต สัมมาสมั พทุ ธัสสะ

๑๑ อมิ านิ มะยัง ภนั เต ภัตตานิ สะปริวารานิ ภกิ ขสุ ังฆัสสะ โอโนชะยะมะ สาธุ โน ภันเต ภิกขุสังโฆ อิมานิ ภัตตานิ สะปริวารานิ ปฏิคคัณหาตุ อมั หากงั ทฆี ะรตั ตงั หติ ายะ สุขายะ. ขาแตพระสงฆ0ผูเจริญ ขาพเจาท้ังหลาย ขอนอมถวาย ซึ่งภัตตาหาร พรอมกับท้ังบริวารทั้งหลายเหลานี้ แด พระภิกษุสงฆ0 ขอพระภิกษุสงฆ0จงรับ ซ่ึงภัตตาหาร พรอมกับทั้งบริวารเหลาน้ี ของขาพเจาทั้งหลายเพื่อประโยชน0 และ ความสขุ แกขาพเจาทง้ั หลาย ตลอดกาลนานเทอญ. การทาํ บญุ งานอวมงคล การทําบุญงานอวมงคล หรือทําบุญเก่ียวกับเร่ืองตาย เชน ทําบุญหนาศพทําบุญ ๗ วัน ๕๐ วัน ๑๐๐ วัน หรือ ทําบุญระลกึ ถึงผตู ายในวนั คลายวันตาย หรอื วนั ทคี่ ณะผูทาํ เหน็ สมควรซึ่งเป,นวันหยุด วนั วางกไ็ ด การนิมนต0พระ สถานท่ี อาหาร ของถวายพระตองเตรียมการไวกอนกําหนด “ไมต้ังน้ํา วงดาย” หมายถึง ไม ตองต้ังภาชนะนํ้าสําหรับทําน้ําพระพุทธมนต0 ไมตองวงสายสิญจน0 ถาทําบุญหนาศพใหเตรียมสายโยงจากศพ มีขอหาม จากยกสายโยงคือดายดบิ ตอมาจากกระหมอมหรอื มอื ของศพ ไมเรียกสายสญิ จน0 การเริ่มพิธีการสวดมนต0เริม่ เหมอื นพิธีงานมงคล มีเพ่ิม จดุ เทยี น ธูป เพ่ิมท่ีหนาศพ หรือหนารูปถายของผูตายที่ นํามาตงั้ เมื่อทําบุญระลึกถึงผูตาย จุดเทียน ๑ เลม ธูป ๑ ดอก ป$จจุบันนิยมจุดธูปเทียนที่โต]ะ หมูบูชาพระพุทธรูป กอน มีบางทานเห็นวาควรจุดเทียน ธูป ท่ีหนาศพ หรือหนารูปถายกอนเพ่ือแสดงคารวะ และเตือนใหผูตาย บูชาพระ รับศีล ฟ$งธรรม แตคนท่ัวไปอาจมองไปในแงไมเป,นมงคล การจุดเทียน ธูป คารวะและบอกผูตายภายหลังก็ดูจะ เหมาะสมกวา เมื่อพระสวดมนต0จบ ใหยกภัตตาหารทั้งหมดตั้ง ใหเจาภาพกลาวคําถวายภัตตาหารพรอม เป,นการถวาย สงั ฆทานใหผูตาย ดงั นี้ นะโม ตสั สะ ภะคะวะโต อะระหะโต สมั มา สมั พุท ธสั สะ นะโม ตสั สะ ภะคะวะโต อะระหะโต สัมมา สัมพทุ ธัสสะ นะโม ตสั สะ ภะคะวะโต อะระหะโต สมั มา สมั พุท ธสั สะ อมิ านิ มะยัง ภนั เต มะตะกะภัตตานิ สะปะรวิ ารานิ ภิกขุสงั ฆัสสะ โอโนชะยามะ สาธี โน ภันเต ภิกขุสังโฆ อิมา นิ มะตะกะภตั ตานิ สะปะริวารานิ ปฏิคคัณหาตุ อมั หากัญเจวะ มาตาป@ตุอาทีนัญจะ ญาตะกานัง กาละกะตานัง ทีฆะ รตั ตงั หิตายะ สขุ ายะ. ขาแตพระสงฆผ0 เู จริญ ขาพเจาทง้ั หลาย ขอนอมถวาย มะตะกะภัตตาหาร กบั ทง้ั บริวารเหลานี้ แดพระภิกษุสงฆ0 ขอพระภิกษุสงฆ0จงรับ มะตะกะภัตตาหาร กับทั้งบริวารเหลาน้ี ของขาพเจาทั้งหลาย เพื่อประโยชน0และความสุข แกขาพเจาทัง้ หลาย แกญาติขอขาพเจาทั้งหลาย อันมีบิดา มารดาเป,นตน ผูทํากาละลวงลับไปแลวดวย ตลอดกาลนาน เทอญ. เมื่อพระสงฆ0ฉันภัตตาหารเสร็จแลว นิยมใหมีบังสุกุล(ตองเตรียมผาไวกอน ถาไมมีผา พระทานจะใชดาย สายสิญจน0แทนผา) ควรถวายภายหลัง ใหถวายพรอมกับเครื่องไทยธรรม ระวังเรื่องการกรวดน้ํา ขอใหออกช่ือผูตาย

๑๒ บรรพบุรษุ ผูตายและญาติสนทิ มิตรสหายของทานที่ไดลาโลกไปแลวดวย ทุกทานที่ออกช่ือ ทานจะไดรับบุญกุศลจะชวย สงเสรมิ ใหเกิดเปน, สิรมิ งคลและเจรญิ กาวหนาแกผูใหทานนน้ั การกรวดนํา้ การกรวดนํ้า คือการแผสวนบุญกุศล ดวยวิธีหล่ังนํ้า ต้ังใจอุทิศสวนบุญกุศลใหแกผูลวงลับหรือผูอ่ืนพรอมกับ หล่งั รินนํา้ เปน, การรวมกระแสจติ ทต่ี ั้งใจนัน้ ใหแนวแนใหเรม่ิ รินนํ้าเม่ือพระองค0หัวหนาเริ่มสวด ยถา ผูกรวดน้ํากลาวคํา อุทิศสวนกุศล คํากลาวกรวดนํ้าอยางยอ คือ “อิทัง เม ญาตินัง โหตุ สุขิตา โหนตุ ญาตะโย. ขออุทิศสวนบุญกุศลน้ีจง สําเร็จ แกญาติทง้ั หลายเถิด (บอกช่ือ) ... และขอญาตทิ ั้งหลายจงเป,นสุข ๆ เถิด” ขอควรระวัง ตองรินนํ้าใหไหลอยาง ตอเน่ืองไมขาดสายจนหมด เทถึงหยดสดุ ทาย พรอมกันกับประธานสงฆ0 สวด ยถา จบ เมื่อพระรูปอื่น ๆ เร่ิมสวดพรอม กนั ใหวางเครอื่ งกรวดนาํ้ แลวพนมมือรบั พรตอไป เป,นไปตามประเพณีการกรวดนา้ํ ครัง้ แรกในพระพทุ ธศาสนา เมื่อคราว พระเจาพมิ พิสาร ทรงหล่ังนํา้ จากนํ้าเตาลงบนแผนดินคราวถวายวัดเวฬุวันแดพระพุทธเจา การกรวดน้ําไมตองมีน้ําก็ได โดยพนมมอื กลาวคาํ แผอทุ ิศบุญกศุ ลใหผูอน่ื เมือ่ มเี จตนาไดตงั้ ใจใหแลว บญุ น้นั ยอมถึงผูรับไดเชนเดียวกันกับการรินหลั่ง นํ้าดังกลาว ขอควรทราบ ในงานพิธี การกรวดน้ําเปน, หนาท่ขี องเจาภาพ หรือประธานในพธิ ี คนอ่นื กรวดนํ้าแทนไมได การทําบุญสรางกุศล บุญกิริยาวัตถุ ๓ คือ ทานมัย บุญสําเร็จดวยการบริจาคทาน ศีลมัย บุญสําเร็จดวยการ รักษาศีล และภาวนามัย บุญสําเร็จดวยการเจริญภาวนา บุญหรือการกระทําตามหลักพระพุทธศาสนาน้ี ถือวาเป,นบุญ สวนตนผูใดทําผูน้ันได จึงยอมแผอุทิศสวนบุญใหผูอื่นได สวนบุญกิริยาวัตถุ ๑๐ ขอ ๖. ป$ตติทานมัย ทําบุญดวยการ เฉลี่ยสวนแหงความดีใหแกผูอ่ืน ขอ ๗. ป$ตตานุโมทนามัย ทําบุญดวยการยินดีในความดีของผูอ่ืน เป,นวัฒนธรรม ประเพณีของชาวไทยมาแตสมยั สุโขทยั ไตรภมู พิ ระรวง ไดช้ีนาํ ชาวไทยผมู วี ัฒนธรรมในเร่ืองการทําบุญสรางกุศล เมื่อได ทาํ บุญสรางกุศลแลว พบคนรจู ักยกมอื ข้ึนสาธุ กลาวคาํ แบงสวนบุญให ฝOายรบั ยกมือขึน้ รบั พรอมกลาวสาธุ อยางนี้ไดบุญ ทั้งผูใหและผูรับ การไดมีโอกาสไปรวมงานบุญกุศลกับผูอ่ืนหรือไปรวมงานบุญกุศลสาธารณะ ถาไดรวมรับศีลฟ$งสวด มนต0 หรือมโี อกาสไดสวนมนตภ0 าวนายอมไดบญุ กศุ ลแลว ถึงแมจะไมไดออกเงินทําบุญก็ไดบุญดวย ถาจิตกําหนดรับรูใน บญุ คือความดขี องผูอืน่ ทก่ี ระทาํ เพอ่ื ศาสนาหรือสาธารณประโยชน0 การกรวดน้ําทําเพื่อแผอุทิศผลบุญใหแกผูอื่นเม่ือเราสรางกุศลเรายอมไดบุญไดกุศล ผลบุญกุศลนั้นเป,นของเรา เรายอมใหแกผอู ่ืนได บุญเปน, ของเฉพาะตัว หามเกาะกนั เวลากรวดนา้ํ อยาทาํ ผดิ เวลากรวดนา้ํ ขอทที่ ําผดิ พลาดกันมามี ๒ ขอ คอื ๑. เอานวิ้ มือไปรอรับนํา้ เปน, ความผดิ พลาด ผิดวัตถุประสงค0 การเอานวิ้ ไปรอรบั นํ้าเทากบั ผูน้นั ไป รอรบั สวนบุญกศุ ล ท่ีจะแผอุทศิ ใหผูอ่ืนไปเสียเอง การกรวดนํ้าท่ีถูกตอง ตองเทนํ้าใหไหลลงภาชนะโดยไม ขาดสาย พรอมกับเปลงคําแผอทุ ศิ สวนกศุ ลใหแกผูใดบาง เมื่อประธานสงฆ0กลาวอนุโมทนารมั ภคาถาจบลงควรอธิษฐานเสร็จและ เทนํ้าใหหมดแลวพนมมอื ฟ$งพระสงฆอ0 นโุ มทนา การเอานิ้วมือไปรอรับน้ํา เทากับเราไปตัดนํ้าคือการแผอุทิศสวนบุญให ขาดชวง

๑๓ ๒. การเกาะกันเวลากรวดนาํ้ เป,นความไมถูกตอง เม่อื ทุกคนตางมีผลบญุ กุศล ฉะนั้นทกุ คนจะตอง แผสวนบญุ กศุ ลดวยตนเอง วธิ ีเหมาะสมท่ีสดุ คอื พนมมือและอธิษฐานในใจ กลาวคําแผอุทิศสวนบุญใหแกผูใดโดยไมมีน้ํา กไ็ ดกลาวคาํ แผอุทศิ อะไร ไมเกดิ ประโยชนใ0 ดๆ นอกจากไดรบั ตัวกันเล็ก ๆ นอย ๆ และแสดงใหทราบวาเป,นผูไมทราบ วฒั นธรรมในการทาํ บุญสรางกุศล การประเคนของถวายพระสงฆ) การยกสง่ิ ของอันสมควรแกสมณะบรโิ ภคใชสอย ถวายใหแกพระสงฆ0 โดยสงใหถงึ มอื เรยี กวา การประเคน มีวิธี ปฏิบัติดงั นี้ ๑. ส่ิงของที่จะประเคนตองไมใหญโต หรอื หนักเกนิ ไปพอคน ขนาดปานกลางคนเดยี วยกได และ ตองยกสิง่ น้นั ใหสูงพนจากพืน้ ที่สง่ิ ของนนั้ ตั้งอยู ๒. ผปู ระเคนตองเขามาอยูในหัตถบาส คอื เหยียดแขนออกไปจับสง่ิ ของได อยูหางจากพระภกิ ษุ ผูรับประเคนประมาณ ๑ ศอก หรือ๖๐ เซนตเิ มตร ๓. ผปู ระเคนนอมส่ิงของน้ันเขามาใหดวยความเต็มใจ และเคารพตอพระภกิ ษผุ ูรับประเคน ๔. ผูประเคนถาเปน, ชาย ใหสงส่ิงของถงึ มอื พระภกิ ษุ ผปู ระเคน ถาเปน, หญงิ ใหวางของถวายบนผา ท่พี ระภิกษุทอดรับ ๕. ถาพระภิกษนุ ง่ั อยูกบั พ้นื ผปู ระเคนนิยมนงั่ คกุ เขาประเคน ถาพระภกิ ษุนง่ั เกาอี้ ผูประเคนนยิ มยนื ประเคน ๖. ภัตตาหารคาวหวานทุกชนิด ทปี่ ระเคนพระภิกษสุ งฆแ0 ลว ถาคฤหสั ถ0ไปจับตองอกี ตองยกประเคนใหม อกี ทกุ ครงั้ ไป ๗. ในการถวายภัตตาหารแดพระภิกษสุ งฆน0 ั้น ใหประเคนเฉพาะสงิ่ ของที่จะพงึ ฉันน้นั สวนเคร่อื งใชตางๆ เชน ชาม จาน ชอน กระดาษ เพียงแตวางมอบใหก็พอ ๘. เม่อื พระรบั ประเคนเรยี บรอยแลวทาํ ความเคารพพระภิกษสุ งฆด0 วยการกราบ ๓ คร้งั หรอื ไหว ๑ ครงั้ จงึ เสรจ็ พธิ ปี ระเคนพระ สิ่งท่ีไม;ควรประเคนพระสงฆ) ๑. พระธรรมยตุ ิ หามพระสงฆร0 ับเงนิ หรอื วัตถุแทนเงนิ เหรยี ญ ธนบัตร ใหใชใบปวารณา คือแจง จํานวนเงนิ ทถ่ี วาย ใหมอบเงนิ ไวกบั ไวยาวจั กรหรอื ลกู ศิษย0 การทําบุญวัดธรรมยุติ โดยปกติผูทําบุญจะเขียนซองวาถวาย ทาํ อะไร เทาใดแลววางซองไว หามนําประเคนพระ ไวยาวัจกร จะดําเนินการใหตามประสงค0 เชน ถวายวัด บํารุงอะไรก็ ตาม วัดจะออกใบอนโุ มทนาบัตรให ๒. หลงั เทีย่ งหามรับประเคนภตั ตาหาร อาหารสาํ หรบั พระฉันทุกชนิดหามประเคนหลังเพล ทอดผาปOามีบางอยางเป,นอาหาร ทําได เพราะพระไมไดรับประเคน ของกินหลังเที่ยงใหยกไปวางไวไมตองประเคน เพราะ “ภกิ ษุฉันของเคย้ี ว ของฉันที่เป,นอาหารในเวลาวิกาล คอื ตงั้ แตเท่ียงวนั ไปแลวถึงวันใหมตองอาบตั ปิ าจิตตยี 0”

๑๔ ๓. ยาและของทพี่ ระฉันไดนาน พระจะเก็บไวไดเพยี ง ๗ วัน ถาไมไดรบั ประเคน ลูกศิษยป0 ระเคน ถวายเป,นคราว ๆ ไป จะเก็บไดนาน “ภิกษุรับประเคนเภสัชทั้ง ๕ คือ เนยใส เนยขน นํ้ามัน นํ้าผ้ึง นํ้าออย และเก็บไว ฉันไดเพียง ๗ วันเป,นอยางมาก ถาใหลวง ๗ วันไป ตองนิสสัคคิยปาจิตตีย0” พระสงฆ0ตองสละสิ่งของนั้นกอน จึงจะ ปลงอาบัตติ ก วนั ไชยพฤกษ) รวบรวมโดย นายอมั พร เทพปน> ตา รองประธานสภาวฒั นธรรมจังหวดั ลําปาง วันไชยพฤกษ0 ใชสําหรับหาวันทําการมงคล เชน แตงงาน ขึ้นบานใหม เป,กข0ตุ] บวชพระ ไปติดตอราชการงาน เส่ียงโชค ไปคาขายตางบาน ตางเมือง โยกยายที่อยูใหเวนวันที่ไมเป,นมงคล ถือเอาวันดี มีโชคลาภ จะเกิดผลสวัสดีแก ผปู ฎิบตั ิ เดือนขนึ้ – เดือนแรม ก็ใหถือเอาแบบเดียวกนั ๑ ค่ํา ชางแกวข้ึนสูโฮงธรรม ดี ๒ คาํ่ ฟง$ ธรรมกลา` งปาO ชา ไมดี ๓ คาํ่ ลางมือถาคอยกิ๋น ดี ๔ คํา่ นอนปลา` ยตน๋ี ตากแดด ไมดี ๕ คํ่า ผแี วดลอมปองเอา ไมดี ๖ คาํ่ ลงสําเภาไปกา ดี ๗ คํา่ เคราะหอ0 ยถู าคอยจน ไมดี ๘ คํ่า สาระวนบเมย้ี น ไมดี ๙ ค่ํา ถูกเสีย้ นพระราม ไมดี ๑๐ ค่าํ หาความงามบได ไมดี ๑๑ ค่ํา ขไ้ี รเกิดเปbนดี ดี ๑๒ คาํ่ บมีดีสกั หยาด ไมดี ๑๓ ค่าํ ไชยะผาบจมปู ดี ๑๔ ค่ํา ศัตถปู องฮาย ไมดี ๑๕ คาํ่ ถูกผีแมหมายปองเอา ไมดี

๑๕ วนั เสีย คนโบราณ ถือวาวันเสีย เป,นวันไมดี ไมควรทําการมงคลใดๆ เป,นอันขาดแตละเดือนจะมีวันเสียตายตัวอยู ตลอด จงึ ควรจํา เพ่อื สะดวกในการทําการมงคลตางๆ ดงั น้ี เดอื นเกยี๋ ง (ต.ค.) หา (ก.พ.) เกา (มิ.ย.) เสยี อาทติ ย0กับจันทร0 เดอื นยี่ (พ.ย.) หก (มี.ค.) สิบ(ก.ค.) เสยี องั คารวนั เดียว เดือนสาม (ธ.ค.) เจด็ (เม.ย.) สิบเอ็ด (ส.ค.) เสีย เสาร0กับพฤหัสบดี เดอื นสี่ (ม.ค.) แปด (พ.ค.) สบิ สอง (ก.ย.) เสยี ศกุ ร0กับพธุ วนั จมB วันฟู สองวันน้ีเป,นวันกระดางประจําเดือน เชนเดียวกับ วันเสีย วันจ`ม ควรเวน วันฟูเป,นวันดี โบราณ จาวเหนือ ถือปฏบิ ัติมาดังนี้ เดือน วันจBม วันฟู เกีย๋ ง วันศุกร0 วนั จันทร0 ย่ี วันอาทติ ย0 วนั อังคาร สาม วันอาทติ ย0 วันพุธ สี่ วนั จนั ทร0 วนั พฤหัสบดี หา วันเสาร0 วันศกุ ร0 หก วนั พุธ วันเสาร0 เจ็ด วนั พฤหัสบดี วันอาทติ ย0 แปด วนั อาทติ ย0 วันพุธ เกา วนั จันทร0 วันพฤหสั บดี สบิ วนั อังคาร วันศกุ ร0 สิบเอด็ วนั พุธ วันเสาร0 สิบสอง วันพฤหัสบดี วันอาทติ ย0 หมายเหตุ ยังมีวันเสียอีกวันหนึ่งท่ีถือกันมาก คือ วันพัสสตา คําวา พัสสตา คือวันเสีย หรือวันที่ไมดี นั่นเอง ทานถอื เอาวันเสยี ของเดือนหนาเป,น วนั พัสสตา ของเดอื นนี้ โฉลกเสาเรือน การปลูกสรางบาน ควรมจี าํ นวนเสาตามโฉลก เสาตนที่ ๑ นํ้าบอแกวก๋ินเยน็ เสาตนที่ ๒ ผีเข็นเขาปOาจา เสาตนท่ี ๓ อยบู านถานอนตาย

๑๖ เสาตนที่ ๔ หยบิ ถงุ ลายใสเงินยอย เสาตนที่ ๕ ตํา่ ออยเสียผี เสาตนท่ี ๖ เศรษฐีแตนโลก เสาตนที่ ๗ ผกู แกวแตนเฮือน เสาตนที่ ๘ ศรีบุญเรอื งก้าํ ฟNา วิธีนับ ใหนับ เริ่มตนที่ ๑ จนตนที่ ๘ เมื่อครบ ๘ ใหตอตนท่ี ๑ เป,นตนที่ ๙ไปเรื่อยๆ ใหนับวนไปตามน้ี แสดง วา บานถามเี สา ๙ ตน, ๑๒ ตน, ๑๔ ตน, ดถี กู ตองตามโฉลก พธิ ีสืบชะตา รวบรวมโดย นายสมมตุ ิ พงศป) ย> าพัทธ) ภมู ปิ ญE ญาทองถ่นิ สมัยเมื่อครั้งพุทธกาล มีสามเณรนอยอายุ ๗ ปQ ช่ือติสสะ อยูในสํานักพระสารีบุตรเถระ มีสีหนาโศกเศรา หมนหมอง หงอยเหงาและผวิ พรรณวรรณะหมองคล้ํา วันหนึ่งพระสารีบุตรเถระ พบเขาและเขาฌานสมาบัติเล็งดู รู วาสามเณรตสิ สะ จะมีชวี ติ อยูเพียง ๗ วัน มีความทุกข0 ระทมใจจึงไดกราบลาพระสารีบุตรเพ่ือไปบอกลาพอแมขณะ เดนิ ทางมุงหนาไปหาพอแม ไดเดินผานหวยหนองคลองบึงทกี่ าํ ลงั แหงขอด ฝูงปลาใหญนอยตางพากันกระเสือกกระสน หาแหลงน้ําเพ่ือนหนีตาย สามเณรนอยไดพบเห็นแลวใหสะทอนถึงตัวเองวาตัวเองก็จะมรณภาพภายใน ๗ วัน เสมือน ฝูงปลาถาหากไมมีนํ้า คิดดังน้ีแลวจึงจับเอาปลาท้ังหลายใสในบาตรแลวนําไปปลอย ณ แมนํ้าใหญ สืบชีวิตใหยืนยาว ตอไป

๑๗ เมื่อพบพอแมและญาติพี่นองก็เลาเรื่องที่ตนจะตองมรณภาพใน ๗ วัน บรรดาพอแมพี่นองตางก็โศกาอาดูร ย่ิงนัก พอครบ ๗ วัน ครบกําหนดสามเณรนอยก็ยังไมมรณภาพและตอมาอีกหลายวันก็ยังไมเป,นอะไรเลย กลับมีผิวพรรณวรรณะผองใสยิ่งกวาเดิม จึงเดินทางกลับไปหาพระสารีบุตรเถระเละเลาเรื่องท่ีตนไดปลอยปลานอย ใหญ ใหพระสารีบุตรเถระฟ$งทุกประการ พระสารีบุตรเถระกลาววา การกระทําของสามเณรนอยนี้ หากเป,นกุศล กรรมทําใหเกิดพลัง ทําใหพนจากหายนะคือ ความเส่ือมความตาย และยังใหชีวิตยืดยาวอีกตอไป ดังน้ี เรื่องราว ทง้ั หมดปรากฏอยูในตํานานคมั ภรี 0สืบชะตา คนเมอื งเฮาถอื เอาเป,นฮีตฮอยประเพณี สบื ชะตา น่ีคอื ทมี่ าของพิธีสบื ชะตา ประเพณีพื้นเมืองท่ียังเป,นที่นิยมประกอบพิธีกันสืบตอมาในหมูชนชาวเหนือลานนา โดยเฉพาะท่ี นับถือ พระพทุ ธศาสนา นับถอื การทําพธิ สี บื ชะตา การสืบชะตา คอื พิธีการตออายหุ รอื พิธีกรรมทสี่ บื ความเจริญรุงเรืองใหยืดยาวใหมีความสุข ความเจริญเป,น สริ ิมลคลสบื ตอไปของผปู ระกอบพธิ ี การสบื ชะตา มี ๒ ประเภท คอื สบื ชะตาหลวง และสืบชะตาชีวิต พธิ สี ืบชะตาหลวง เป,นการกระทําเพ่ือคนหมูมาก เป,นครอบครัวเป,นของสาธารณะสวนรวม เชน สืบชะตา บาน สบื ชะตาเมอื ง เป,นตน พิธีสืบชะตาชวี ติ หรือชะตาปQ คือการกระทาํ เพอื่ ตนเอง เพื่อคนๆ เดียว เป,นการสบื ชะตาใหอายุของตนเอง ยืนยาว เปน, สิริมงคลไดเฉพาะตงั เองเทานนั้ ในการสืบชะตาน้นั ส่งิ สําคัญคอื การจัดหาเครื่องสืบชะตาใหครบตามแบบพื้นเมืองท่ีผูเฒาผูแกไดบอกหรือได จัดทําใหลูกหลานจัดทําเป,นประจํา หากตองการทําสิริมงคลสืบชะตา แบบพ้ืนเมือง ผูเขียนไดสัมภาษณ0จากผูอาวุโส จากปากตอปาก คือคุณพอสิงห0คํา สุวรรณชิต อดีตผูใหญบานหมูท่ี ๔ บานหนองชางคืน ต.หนองชางคืน อ.เมือง จ.ลาํ พูน ซ่ึงเป,นผูเช่ียวชาญในการประกอบพิธีสืบชะตา เปน, ทพ่ี ึง่ เปน, ผรู ูปราํ หมูบาน ทานไดกลาวถึงเครื่องสืบชะตาไว ดังนี้ เคร่อื งสืบชะตาหลวง ประกอบดวย ๑.ไมก้ําสลเี ป,นงาม ๒ เสา ยาว ๑ วาเศษ ๙ น้ิว หรือ ๙ ซ.ม. ลงลายเงนิ ลายทอง คือติดกระดาษสีทอง ๒.ขวั (สะพาน) ทาํ ดวยไมรวก หรอื ไมอนื่ ก็ได ๑ คู ลงลายเงินลายทอง คอื พันดวยกระดาษเงนิ กระดาษ ทอง หัวทาย ใหตะปตู ปี ระกบคตู ดิ กัน ๓.บนั ไดเงนิ บันไดทอง ๙ ซ่ี กานดวยลายเงินลายทองโดยใชกานกลวย แลวใชไมตอกเป,น.บนั ได ๔.ไมก้าํ สลี (เสาเลก็ ) นอย ยาว ๑ ศอก ๙ นิ้ว หรือ ๙ ซ.ม. จาํ นวน ๑๐๘ เสา ๕.กระบอกน้ํา กระบอกทราย ติดกันดานหน่ึงใสนา้ํ ดานหน่ึงใสทรายมขี อไมอยตู รงกลางมัดติดกัน จํานวน ๑๐๖ กระบอก

๑๘ ๖.บหุ รแ่ี พ ๑๐๙ มวน ๗.หมากพลูแพ ๑๐๙ อม ๘.เมี่ยงแพ ๑๐๙ อม ๙.ดอกตะลอม (บานไมรโู รย) ๑๐๙ ดอก ๑๐.ขาวตอกแพ ๑๐๙ เมด็ ๑๑.เทยี นหางหนู ๑๐๙ เลม แยกเป,นจุม (ชดุ ) ๙ เลม หรือแยกเปน, หมู ๙ เลม แลวปก$ ลงใน ถาดทราย ใหจดุ ในขณะพระสวดมนตส0 ืบชะตา ๑๒.เทียนสีสายยาว ๑ วา ๙ น้วิ หรือ ๙ เซนตเิ มตร ๑ สาย ๑๓.ชอขาว ตดั เปน, สามเหลีย่ มปก$ ติดกบั ตนหญาคา และตนคานี้ วางจมุ ไมกํา้ สลี ๒ เสา ท่ีกลาวใน ขอ ๑ หรือจะทําเปน, สามขา วางไวขางลางก็ได ชอขาว ๑๐๙ ชอ ๑๔.หมอดนิ หมอทอง ใสสตางค0 ใชหมอดนิ หมุ ปากดวยกระดาษเงนิ ๑ หมอ หมุ กระดาษทอง ๑ หมอ ๑๕.สาด (เส่อื ) ๑ ผืน หมอน ๑ ใบ ๑๖.มะพราวงอก หมากงอก หนอกลวย หนอออย อยางละ ๑ หนอ ๑๗.ไมสานขดั แตะ (ไมรวก) สี่เหลย่ี มจตั ุรสั ๒๐ นิว้ ใสกระสวยดอกไม (สวยนอย) มีธปู ๑ เทียน ๑ ๑๘.ลูกสมของหวาน ประกอบดวยลกู สม ๑๐๙ กลีบ กลวยสกุ แวน ๑๐๙ แวน ออยแวน ๑๐๙ แวน ๑๙.เทียนสืบชะตา ๑ เลม ๒๐.บาตรพระพุทธมนต0 ๑ สาํ รับ ๒๑.ลกู มะพราวหนุม ๑ แขนง (ทะลาย) ๒๒.กลวยแก (สกุ ) ๑ เครือ ตั้งแตลําดับท่ี ๑ - ๒๒ เป,นเครื่องสืบชะตาหลวงทําพิธีสืบชะตารวมท้ังครอบครัว ทั้งหมูบานหรือท่ัวไป สวน เคร่ืองสืบชะตาชีวิต คือทําเฉพาะบุคคลเดียวใหเอาเคร่ืองสืบชะตาหลวงทั้งหมดต้ังแตลําดับที่ ๑ – ๒๒ ใหครบ เพยี งแตจาํ นวน ใหมีเทากบั อายุของบุคคลนั้น คอื ศอก วา ใหวดั เอาของบคุ คลท่ีจะสบื ชะตากเ็ ป,นอันใชได เคร่อื งสบื ชะตาชุดที่นยิ มใชในจงั หวัดลําปาง ในการสบื ชะตาชุดที่นยิ มใชในจังหวัดลําปาง แบบพื้นเมือง อาจารยน0 ายสมมุติ พงศ0ปย@ าพัทธ0 ภูมิป$ญญาทองถิน่ ไดกลาวถึงเครื่องสบื ชะตาไว ดงั นี้ ๑.ไมงามกํ้าศรี -ไมงามกา้ํ เล็ก ยาวประมาณ ๑ ศอก จํานวนเทาอายุผสู บื ชะตา ถาหลายคนใช ๑๐๙ อัน -ไมงามกํ้ายาว ยาวประมาณ ๒ เมตรข้ึนไป จํานวน ๓ เลมหรอื ๔ เลม ถามีผูเขารวมพิธีหลายคน ๒.ตนออยาว ๑ วา ๔ เลม (ปจ$ จุบันใชไมรวกแทน) ๓.ไมแปงb ขวั หรอื สะพาน ยาว ๑ วา จํานวน ๔ เลม

๑๙ ๔.หนอกลวย หนอออย อยางละ ๓ หรอื ๔ หนอ ๕.นวดตาง ๆ มี นวดเงิน นวดคาํ ใชกระดาษสีทอง สีเงิน ตดั เป,นชิ้นเลก็ ๆ พันไมซกี ยาวประมาณ ๑ วา นวดขาวตอก นวดหมากพลู นวดฝาN ย นวดบหุ รี่ ใชดายรอยเปน, สาย พนั ไมซีก นวดท้ังหมดใชมัดประกอบกบั ไมงามใหญ เปน, ขา ๓-๔ ขา (นวด หมายถงึ ไมไผซีกพันดวยดายทร่ี อยดวยสิ่งตาง ๆ เชน ขาวตอก เรยี กวา นวดขาวตอก ถาเปน, หมากพลู เรียกวา นวดหมากพลู เป,นตน) ๖.เทียนคาคิง สีสายยาวเทาความสงู ผสู บื ชะตา เทยี นยาว ๑ คืบกวา ๆ ใชจํานวน ๔ เลม ๗.ตงุ คาคงิ (ตุงกระดาษสา) ขนาดยาว ๑ วา จํานวน ๔ ผืน ๘.ต`าแหลว ๗ ช้ัน (เกลยี ว) เอาหญาคาเขียวมาควั่นเปน, เชือกเกลียว เอาตา` แหลวผูกไวบนไมกาํ้ ศรี ๙.เบย้ี (ใชเมลด็ มะขามหรอื เหรียญหนง่ึ บาทแทนก็ได) ใสถวยหรอื ขนั เล็ก ๆ ถวยละ ๗ จํานวนถวยเทา จํานวนพระสงฆ0 ๑๐.บาตรนํา้ มนต0 พรอมเทียนน้ํามนต0 ๑ ลกู ๑๑.บายศรหี รอื ชฏาขวัญ ๑-๒ ชน้ั พรอมขนม กลวย ๑ ลกู ขาวสกุ อาหารคาว ๑ อยาง มไี ขตมดวย กไ็ ด ๑๒.สะตวง จาํ นวน ๔ อนั (ใชเครอื่ ง ๔ พรอมชอ สะตวงละ ๔ ชอ)พระสงฆจ0 ะสวดสะเดาะเคราะห0กอนสบื ชะตา ๑๓.สํารับกัณฑเ0 ทศน0 ๑ ชดุ สาํ หรบั นมิ นต0พระสงฆเ0 ทศน0ธรรมสบื ชะตา พิธีสืบชะตา คือ เป,นการกระทําอันเป,นมงคล ใหหาฤกษ0ยาม ฤกษ0ดี วันดี พระสงฆ0 น้ันก็นิมนต0จํานวน ๕-๗-๙ รูป เปน, เลขคกู บั พระพทุ ธ (จํานวน ๑ ) รวมเปน, ๑๐ เป,น ๘ และ ๖ สวนพิธีการจะทําประการใด ข้ันตอนจะเริ่มอยางไรน้ันจะตองมีมัคนายก (ปOูจ`ารย0) ผูสันทัดจะเป,นผูลําดับ พระสงฆ0ที่นิมนต0มา จะเร่ิมดวยบทสวดบทพิธี ผูเขียนจักไมอธิบาย เพราะทุกหมูบานในภาคเหนือของเรา ทุกวัดใน ภาคเหนือน้ัน กระทําพิธีสืบชะตากันเป,นประเพณีปฏิบัติอยูแลว ขอสําคัญจะตองมีเครื่องสืบชะตาซึ่งนับวันจะมีผูรู นอยลงไปทุกที การจดั หาเครื่องดังกลาวมักจะใชเวลา ๑ วัน เป,นการรวมญาติลงแขกคนละไมละมือ ผูเฒา ผูแกคอย สอนใหคนหนุมสาว แมบานพอเรือนหนุมๆ ท่ีเป,นผูสืบสานประเพณีนี้สืบตอไป เกรงวาฮีตคนเมืองของเราจะมีผูทํา ผดิ ๆ ถูกๆ เพราะลกู หลาน สมยั นเี้ ขาเหอวฒั นธรรมตะวนั ตกไปแลว สอนขวัญ ขวัญของคนเรา ถือเป,นจุดของพลังจิตภาพและกายภาพคนเมืองนับถือขวัญเสมือนวิญญาณและ จิตใจ คนเราจะอยูดีมีสุขเพราะมีขวัญดีกลาแกรง ฉะน้ันจะตองบํารุงขวัญใหกลาแกรงเสมอ ขวัญของคนเราทานวามี สามสิบสองขวัญ ถาเป,นรูปธรรม กลางศีรษะของคน จะมองเห็นชัดเจนวาเป,นอยางไร จุดวงกลม ของเสนผมที่งอก บนศีรษะหรอื จดุ กลางของเสนขนที่งอกตามแขน ค้ิว รูปธรรม ขวัญน้ีก็เรียกวา ขวัญ สวนนามธรรมน้ัน อวัยวะเกือบทุก สวนมขี วัญประจาํ อยู เชน ท่ีตา หู จมูก หนาอก ขา ฯลฯ เปน, ตน คนเมืองนับถอื เจาที่ นบั ถอื ส่งิ ศักด์ิสิทธมิ์ ักจะทาํ พธิ ีกรรมเพื่อบูชาในส่ิงน้ัน หรือเพ่ือบวงสรวงหรือทําประการใด กต็ ามเพื่อเปน, การใหไดมาซึง่ กําลังใจ อายุและการเจริญรุงเรืองก็จะตามมา เปน, ผลพวงที่พลอยได

๒๐ เมื่อบุคคลหน่ึงบุคคลใดในครอบครัวลมปOวยลง สวนใหญมักจะเป,นเด็กจะเป,นไขไดปOวยหรือเกิดอุบัติเหตุอื่นใด เชน เดินทางเขาไปในปOาดงพงพ่ีเพ่ือไปหาของปOา ไปหาเห็ด หาหนอไม หาไขมดแดง ไปลาสัตว0 มีแย กระตายปOา ยิงนก ตกปลา ตามทองทุงริมบึง รมิ หนอง คลองสระน้าํ ลําน้าํ ลําเหมือง ลําหวย ก็ดี หรือเดินทางโดยรถยนต0 รถจักรยานยนต0 รถจกั รยาน เกิดอุบัติเหตุไดรับบาดเจ็บกลับมา หรือเขาไปในรั้วในเมืองพลัดหลงกลับมาเป,นไข ไดปOวยหรือบาดเจ็บกก ลับมาโดยเฉพาะอยางย่ิง สมัยน้ีมักมีอุบัติเหตุจากรถแฉลบ รถชนกัน มักไดรับบาดเจ็บนอนปOวยที่บาน หรือนอน โรงพยาบาล อาการคอยทเุ ลา เบาบาง กลับมาบานกด็ ี สาเหตุดังกลาว ทาํ ใหคนในครอบครวั ไมสบาย พิธีกรรมอันหนึ่งท่ีบรรพชนคนเมืองไดกระทําสืบ ๆ ตอกันมาคือ “ไปสอนขวญั หรอื ชอนเอาขวัญกลบั คืนมา” ของบุคคลท่โี ดนเคราะห0ดังทีไ่ ดกลาวแลว อปุ กรณ)ที่ไปสอนขวัญมี ๑. ขาวนง่ึ ๑ ป$นe (กํามอื ) ๒. กลวยสกุ ๑ หนวย (ลูก) ๓. อาหารคาวหวาน ๔. เส้อื ผา ของผปู วO ย ๕. ดายสาํ หรบั ผูกขอมอื ๖. แซะ (อุปกรณ0ดักปลาชนิดหนึง่ ของภาคเหนือคูกับกระโจสําหรบั วิดนา้ํ ) นําเอาเครือ่ งท้งั หมดตง้ั แตขอ ๑-๕ ใสในแซะแลวผูทจ่ี ะนําไปสอนขวัญน้ีตองเป,นผูรูของครอบครัว หรือผูอาวุโส เป,นผูทนี่ บั ถอื ของหมูบานซ่ึงเคยกระทําพิธีนี้มาแลวจะเป,นผูนําแซะพรอมเครื่องบริวารเหลาน้ีไปยังสถานท่ีเกิดเหตุ เชน ตรงหลักกิโลเมตรท่ีหรือตนไมท่ี หรือถนนท่ีบุคคลคนๆ ปOวยนั้นไปประสบอุบัติเหตุ หรือริมคลองที่บุคคลนั้นไปหกลม แขน-ขาหกั หรอื ปOาดงพงพ่ีทบี่ คุ คลนนั้ ไปแลวกลบั มาถึงบานแลวปOวย ลมหมอนนอนเสื่อ เม่ือไปถึงท่ีตรงนั้นก็ทาํ พิธสี อนขวญั เหมือนเอาสวิงชอนจบั ปลาโดยมีคําเอยเปน, ภาษาพนื้ เมอื ง “เออขวญั ของบาหลา ขวญั ของนาย ก. ไปตกไหนต๊ดั ใด พรอมสอนขวัญไปหาสัก ๖ ครั้ง พอครั้งที่ ๙ ก็พูดวา เออไดแลว ขวัญบาหลา อ่ีหลา ขวัญของนาย ก. อยูตรงน้ีไดแลว เขามาอยูในแซะ วาและกระทําสอนขวัญไปเรื่อยๆ สัก ๑๐ ครั้ง ยิ่งนานยิ่งไดขวัญที่ตกคางมาก” ที่เตรียมไปกลับมายังบานแลวเอาดายสายสิญจน0ท่ีนําไปน้ันมัดมือซายขวาใหแกผูปOวย การมัดมือน้ันก็ทําพิธีเรียกขวัญพรอมกันไปดวยเสมือนบายศรีสูขวัญ ตางกันเพียงไมมีบายศรี ใชคําพูดโนมนาวให กําลังใจ หากจะใชบทสวด พุธโธ มังคละฯ ก็ไดสุดแทแตความชํานาญ จัดเจนของผูไปทําพิธีสอนขวัญ เม่ือมัดมือดวย ดายเสรจ็ แลว เอาเครอื่ งทัง้ หมดจากพานนาํ ไปใสถาดรองรับ หรอื ใบตอง ซ่ึงเย็บเป,นควัก(กระทง) (สําหรับใสขาว กลวย อาหารคาวหวาน) ไปวางไวที่หองครัว ซ่ึงสมัยกอนเรียกวา ปOูนาง ยานาง คือตรงมุมเตาไฟ สมัยกอนมีกอนเสา ๓ กอน อยูตรงกลางฝ$งบนเตาไฟทําเป,นรูปสี่เหล่ียมประกอบดวยไมโครงรางสี่เหล่ียมจัตุรัส หรือผืนผาแบบขอบหนาตาง ซึ่งสมัยกอนมีใหเหน็ ทุกครวั เรอื น ตรงท่ีจะเอาถาดไปวางน้นั อยตู รงมมุ ตดิ กบั ท่ีวางหมอน่ึง ไหขาวและเอาวางไวตรงมุมปOู นาง ยานาง สกั ๒-๕ วนั สวนเสื้อผาของผูปOวยกน็ ํามาใหผูปวO ยนงุ หลังจากมัดมือแลว

๒๑ หลงั จากพธิ ีดังกลาวเสร็จแลว เจาของบานหรือพอแมผูปOวย มักจะตมไกพ้ืนบานนํามาทําพิธีผูกขอมือและเป,น อาหารแกผูปOวย ทําใหผูปOวยไดล้ิมรสไกบาน ทําใหเจริญอาหาร (ก๋ินขาวลํา) และจะแข็งแรงหายปOวย ซึ่งนับเป,นพิธีที่ บํารุงขวัญไดเป,นอยางดี สมัยนี้ ขณะนี้ พิธีนี้ ยังปฏิบัติกันอยูบางหมูบาน ในคนเมืองภาคเหนือของเรา หวั่นวาจะสูญ หายไปในวันขางหนา หากไมชวยกนั สืบสานตอ ข้นึ ตาวตงั สี่ ประเพณีพื้นเมืองของคนเมือง เม่ือจะกระทําการมงคลตางๆ มีการฉลองปอยหลวง ปอยนอย ขึ้นบานใหม แตงงาน หรอื งานประเพณอี น่ื ๆ เทศกาลปQใหม สงกรานต0 งานกอสรางส่งิ ใหญโต สรางตกึ วิหาร อาคารโรงเรือน เป,นตน คนเมอื งจะถอื ปฏิบตั เิ ปน, เรือ่ งใหญเป,นหวั ใจของงาน นนั่ คอื ทําพธิ ี “ข้ึนตาวตังสี่” หรือทําพธิ บี วงสรวงทาวทั้งสี่ คือ “ทาว จตโุ ลกบาล” เปน, เทวดารกั ษาทกุ ข0สขุ ของมนุษย0โลกไวท้ังที่ทิศ ประกอบดวย ๑. ทาวกุเวร บางทเี รียกทาวเวสสุวรรณ คอยรักษาหนาทอี่ ยูทางทิศเหนอื (อดุ ร) มียกั ษ0เปน, บริวาร ๒. ทาววริ ฬุ หก มีหนาท่รี กั ษาอยทู างทศิ ใต (ทกั ษณิ ) มีอสูรเป,นบรวิ าร ๓. ทาวธตะรัฐ มหี นาทีร่ ักษาอยทู างทศิ ตะวันออก (บรู พา) มพี วกคนธรรมเป,นบริวาร ๔. ทาววริ ฬุ ป$กข0 มหี นาทรี่ ักษาอยทู ิศตะวนั ตก (ประจมิ ) มีฝงู นาคเป,นบรวิ าร ทาวทั้ง ๔ ตนนี้ มีพระยาอินทราธิราช เปน, ประธานเปน, หัวหนาหรอื เปน, ใหญการ “ข้ึนตาวตังส่ี” หมายถึง บวงสรวงอัญเชิญขอใหเทวดาท้ัง ๔ ตน ดังกลาวมาพิทักษ0ปกป$กรักษาคุมครองและดลบันดาลความสําเร็จ ความเรยี บรอย ความสขุ สวัสดี ปราศจากเภทภัยและอันตรายใดๆทั้งส้นิ ทง้ั มวล ข้นั ตอนพธิ กี าร “ข้ึนตาวตังส่ี” ก. ก;อนพิธหี รอื ข้นั เตรียมการ ๑. เจาภาพกําหนดหาวนั ดี ฤกษ0ดี และเชญิ ปูOจ`ารย0 – อาจารย0 ประจาํ วดั หรือประจาํ หมูบาน ๒. จดั ทาํ เสาไมหรอื แทนเสาไม โดยมเี สากลางเป,นหลกั ทําแขนไมไขวกนั ติดกลบั เสากลางยืนไขวกนั ๔ ทศิ เสมอกัน กวาง ยาว สูง ต่ํา เทากนั เสากลางสูง ปลายแขนไมทง้ั ๔ ทิศและปลายบนสุดเสากลางทําแทนหรือท่ีวาง “สะตวง” หรือกระทงหรือควัก ๕ อัน เปรียบเสมือนปราสาทท้ัง ๔ มีปราสาทพระอินทร0อยูตรงกลางตั้งอยูสูงกวา ปราสาทอื่น จะจัดทําขนาดใหญ กลาง เล็ก สุดแลวแตสะดวก ท่ีเห็นกันท่ัวไปขนาดสูงไมต่ํากวา ๖๐ เซนติเมตร ขึ้นไป (ดูภาพประกอบ) อน่งึ การทํา “แทนตาวตงั ส่ี” อยางงายใชตนกลวยหรือหยวกกลวยทําทั้งเสากลาง แขนไขว ๔ ทิศ ใชตนกลวย หรอื หยวกกลวยทงั้ หมดก็ได

๒๒ ๓. เคร่ืองไหว หรือเครื่องเซ;นพลีกรรม หรือเครอ่ื งแตงดาจัดหาใหมขี าวตอก ดอกไมธูป-เทียน แกงสม แกงหวาน มะพราว ตาล กลวย ออย หมากพลู เม่ียง บุหรี่ ตุงจอสีดํา สีแดง สีเหลือง สีขาว อยางละ ๔ สําหรับ สีแดงใสในสะตวง ทิศตะวันออก สีเหลือง ใสในสะตวงทิศใต สีขาว ใสในสะตวงทิศตะวันตก สีดําใสในสะตวงทิศเหนือ สวนกลางเสาเปน, ของพระอนิ ทราธิราชมีฉัตรสีเขียวเครื่องพลีกรรมใหทําเป,น ๕ ชุด สวนเคร่ือง พลีกรรมอีกชุดหนึ่งมี เพียง “ขาวปe$น-กลวยหนวย” คอื ขาวนง่ึ ๑ ปน$e กํามอื และกลวย ๑ ลกู ใสในกระทง หรือสะตวงหรือควัก สําหรับเจาแม ธรณี จะนําๆไปถวายไวตีนเสาของทาน “ตาวตังสี่” ๔. จดั ทาํ กระทงหรอื “สะตวง” หรอื “ควัก” ใชหยวกกลวยทํา ควักกใ็ ชใบกลวยสะตวงกาบกลวย กวางคบื ยาวคบื จดั เครื่องพลีกรรมในขอ ๓ ลงในสะตวงท้งั ๕ ยกเวนสะตวงของพระแมธรณีมเี พียง “ขาวป$eน-กลวยหนวย” ใสลงไปในสะตวงขนึ้ ตาวตงั ส่ีเทานน้ั ๕. จัดหาขนั ต้งั : หาพานหรอื ขนั ไมขันเงินขนั ทองแดง ๑ ขัน ทําเป,นขันตั้งหรอื คาขน้ึ ครูใสเบ้ีย ป$นสาม หมากป$นสาม ผาขาว ผาแดง ขาวเปลือก ขาวสาร เทียนเลมบาท-เลมเฟPeองอยางละ ๔ คู และป$จจัยคาขันต้ัง ตามควร ขันตง้ั ข้นึ ตาวตงั สี่ : บางตาํ รา ไมตองแตงดา เพยี งเตรียมขนั ขาวตอกดอกไม-ธปู เทยี น กอ] ก(ขนั ) น้าํ สมปอO ย ซองป$จจัยอาจารยเ0 ทาน้นั ข. ในพธิ ีหรอื ในวันงานพิธี “ขนึ้ ตาวตังส่ี” ๑. ยกแทนเสา “ตาวตงั สี่” ไปต้งั ฝ$งเสาใหมัน่ คง ณ ทางทศิ ตะวนั ออกเฉยี งเหนอื ของงานนน้ั แลวยก “สะตวง” ทั้ง ๕ หรือ ควักทัง้ ๕ วางลงแทน “ตาวตงั ส่ี” “สะตวง” ของพระยาอินทราธริ าชวงบนแทนเสากลางท่ีสูงกวา การวางสะตวงใหถอื ปฏบิ ัตดิ งั น้ี ถาเดอื น ๕-๖-๗ เหนือ วางหนตะวนั ตกกอนหวายหนา (หันหนา) ไปทางเหนือ เดือน ๘- ๗-๑๐ เหนือ วางทิศใตกอน หวายหนาไปทางตะวันออก เดือน ๑๑-๑๒ เหนือ วางทาง ทิศตะวันออก หวายหนาไป ทางทศิ ใตและ เดือน เก๋ียง เดือนยี่ เดอื น ๓ วางตามสะดวก วางเสรจ็ ใหจดุ เทยี น ทกุ “สะตวง”

๒๓ อน่ึง ใหวางสะตวงท่ีมีจอสีดําไวทิศเหนือ จอสีเหลืองไวทิศใต จอสีแดงไวทิศตะวันออก จอสีขาว วางไวทิศ ตะวนั ตก และสะตวงทม่ี ีฉตั รสเี ขยี ว วางตรงเสากลาง อกี “สะตวง” หน่งึ ที่มี “ขาวปe$น-กลวยหนวย” นําไปวางตรงตีนเสา “ตาวตังสี่” แมพระธรณีเจาท่ีเจาทางเพ่ือ รับทราบมงคลที่จดั ข้นึ ... ๒. เชิญ “ปจูO `ารย0” หรือ “อาจารย0” หรอื มัคนายก เป,นผูประกอบพิธี ๓. “ปจูO `ารย0” เรมิ่ พิธอี ญั เชิญเทวดากอน คาํ เชญิ เทวดาซ่งึ มี ๓ สํานวน แลวแตจะเลอื กใช ดังนี้ สาํ นวนทหี่ นึ่งวา; สคฺเค กา` เม จ รูเปb คิริครตเต` จนฺทลิเข วิมาเน พรหมฺมา ถา ต โย จตโุ ร กปฺปราชา อนฺโท เวสฺสุวณฺณราชา อริยสาวกา` จ ปถุ กุ เรยยฺ สมฺมาทฏิ ฐเิ ย พทุ ฺโท ปสนนฺ ว ธมเฺ มสนฺเนว สงเฺ ฆ ปสนนฺ ว อินฺโท ถานโต ยาวปรมฺปร อิมสสฺ มงิ สุ จกกฺ วาเส สุเทวต`า ยมมฺนวิ จ นงั ฺ สาธโว โน สนุ นฺตุ (วา ๓ ครัง้ ) แลววาคาํ โอกาส สาํ นวนทส่ี อง วา; สคเฺ ค กา` เม จ รูเปb คิริสขิ รตเฏ` จนฺตลกิ เฺ ข วมิ าเน ทเี ปb รhเฺ ฐ จ คาเม ตรุวนคหเน เคหวตถฺ มุ ฺหิ เขตเฺ ต ภมุ มฺ ฏฐาตโย โพธสิ ตตฺ `า วกา` ทโย อรยิ สาวกา` จ ปถุ ชุ นากนลฺ ยาณํ จ สมฺมาทิฏฐี เยว พทุ ฺเธ ปสนเฺ น ยาว ปรมปฺ รา อมิ สฺสมิงสฺ ุ จกกฺ วาฬสุ เทวตา` ยังฺ มุนวิ รจนงั สาธโว โน สุนนตฺ ุ (วา ๓ คร้ัง) แลววาคําโอกาส สาํ นวนท่ีสามวา; สัคเค ก`าเม จะรูเปb คิริสิขะระตะเฏ` จ๋ันต]ะลิกเข วิมาเน ทีเปb รัฏเฐ จะ คาเม ตุวะ นะคะหะเน เคหะวัตถุ มหิ เขตเตB ภุมมฏั ฐาทะโย จะตุโลกะปาละราชา ยะมะราชา อนิ โท เวสสุวัณ ณะราชา อริยะเมตเตยโย โพธิสัตต`า วะก`า ทะโย อะริยะสาวะก`า จ ปุถุชะนา กัลยาณา จะสัมมาทฏิฐิเยวะ พุทเธ ปะสันนา ธัมเม ปะสันนา ธัมเม ปะสันนา สังเฆ ปะสนั นา พุทเธ สะคาระวา ธมั เม สะคาระวา สังเฆ สะคาระวา อิโต`ฐานะโต` ยาวะ ปะรัมปะรา อมัสสะมิงสุ จักกะวาเฬ สุ เทวะตา` ยงั มุนวิ ะระ วาจะนัง สาธาโว โน สุณนั ตุ...

๒๔ ถาทําพธิ ีในวดั ใหเปล่ียนเคหะวัตถุมหิ เจตเต` เปน, อาราเมวัตถมุ หิ เขตเตB ตรงท่ีขีดเสนใตขางบนท้ังสามสํานวน น้ี มัคนายกหรือปูOจ`ารย0จะเลือกเอาสํานวนใดสํานวนหนึ่งตามถนัด หรือจะมีสํานวนอื่นอีกก็ได พอยกมาเป,นตัวอยาง เทานนั้ คํากล;าวโอกาส เขยี นและอ;านเปน: สาํ เนียงคนเมอื ง – สาํ นวนท่หี นงึ่ สณุ นั ตุ โภณโต` เตวะสังฆาโน ดูราพญาเทวดาเจาจุต`นจุองค0 คือ พญาธตะรัฐฐะ ต`นอยูรักษาหนวันออก พญาวิ รุฬหะกะ ต`นอยุรักษาหนใตก็ดี พญาวิรูป$กขะ ต`นอยูทิศหนวันตกก็ดี พญากุเวระตนอยูหนเหนือก็ดี พญาอินตาเจาฟNา ต`นเปนb เจาเปbนใหญแตเตวดาในสองสวรรค0 จน้ั ฟNา มีตาวตงั สเี่ ปนb เกาเปbนประธาน ปาN ยตาํ่ ใตมตี าววารุณณะ เปนb ต่ีสดุ บัดน้ี หมายมี (ออกนามเจาของงาน) ผูขาขออาราธนาเจาตั้งหลาย ยายต๋ีนติ๊บลงมาฮับเอายังเครื่อง ปbูจาตัง มวลฝูงนี้ อันผูขาตังหลาย จักกระตํายัง (ทํา-งาน-สิ่งใด) บัดน้ี ผูขาตังหลายไดปjiาเป,งกระตําบุญ จํ่าศีล ก๋ินตาน มามาก นอยเตาใดก็ดี ผูขาตังหลายก็ขอถวายสวนบุญอันนี้ไปเตื่อมยังสมปานเจาตังหลายต`นผาเสริฐ กับนางธรณีผูเปbนสักขี หยาดน้ําหมายตาน ขอจุงมาอนุโมทนายินดี เซิ่งผูขาตังหลายหมายมี ปbอ แม ปOู ปNา อาว อา ญาติวงศา ลูกเตาหลาน เหลน ตาสี ตาสา จ]าง มา วัว ควาย เป,ด ไก หมู หมา ของเลี้ยง แหงผูขาตังหลาย จุงห้ือปNนจากกั๋งวล อันตรายตัง หลายห้ืออภัยยะ ไดระงับกลับหายไปจากผูขาตังหลายจุผูจุคน จุต`นจุต๋ัว สัตว0 พญาเวสสุวัณและศรีคุตตะอํามาตย0 ผจู ่ําบุญและจ่าํ บาป จงุ จักกําหราบมารรายจัญไร จงุ ไดหลีกฟQกเวนจากเขตบานแดนเมืองแหงผูขาตังหลาย ขาวของ เงิน ทอง จ]าง มา งัว ควาย แกวแหวนแสนสิ่ง ขาวเปลอื กขาวสาร พร่าํ พรอมบวั ระมวลต`ามกํามักกําผาถนา จุเย่ืองจุประก`าร เต่ยี งแต ดีหลี แดเต]อะ แลวโอกาสหนวันออกวา “ปุริมัสสมิง ทิสาภาเค ก`าเย มังรักขันตุ อหัง วันทามิ สัพพทา ยันตัง สันตัง ปตัง อภิสวาหายะ” ๓ หน โอกาสหนใตวา “ทักขิณัสฺสมิง ทิสาภสเค กาเยมัง รักขันตุ อหัง วันทามิ สัพพทา ยันตัง สันตัง ปตัง อภิสวาหายะ” ๓ หน โอกาสหนตะวันตกวา “ป$จฉิมมัสสมิงทิสาภาเค ดาเย มัง รักขันตุ อหัง วันทามิ สัพพทา ยันตัง สันตัง ปตัง อภสิ วาหายะ” ๓ หน โอกาสหนเหนือวา “อุตรัสมิง ทิสาภาเค ด`าเย มัง รักขันตุ อหัง วันทามิ สัพพทา ยันตัง สันตัง ปตัง อภิสวาหายะ” ๓ หน แลวโอกาสแหงนหนาขน้ึ ตังบน (ขางบน) วา “อุปะริมัสฺสมิง ทิสาภาเค ก`าเย มัง รักขันตุ อหัง วันทามิ สัพพทา ยันตัง สันตัง ปตัง อภิสวากายะ สัพพอันตรายา วินาสันตุ”วา ๓ หน แลววา “สิทธิกิจจั๋ง สิทธิกั๋มมัง สิทธิลาภัง ภวนั ตุ เต”

๒๕ คํากล;าวโอกาส เขียนและอ;านเป:นสาํ เนียงคนเมือง – สาํ นวนท่สี อง ภณั เต` เตวสังมาโย ดูรา พระยาอินตาธิราชต`นเปbนเจา เปbนใหญแหงเตวบุตรและเตวดาตังหลายในจ้ันฟNาต`าวะ ติ๋งสา และสวรรค0เตวโลก อันมีมหาราจิก`าเปbนตน พระธตะรัฐต`นอันรักษายังหนวันออกก็ดี และพระยาวิริฬุหะต`นอัน รักษาหนใตก็ดี พระยาวิรูป$กขะ ต`นอันรักษายังทิศะก้ําหนวันตกก็ดี พระยากุเวระ ต`นอันรักษาหนเหนือก็ดี แลเจาตัง หลายจุต`นจุองค0 และพระยาอนิ ตาเจาฟาN ต`นเปนb เจาเปนb ใหญแกเตวะบตุ รและเตวะดาตงั หลาย ในสรวงสวรรค0จั้นฟNาน้ัน มตี าวตงั ส่ี เปนb ตน เปbนประธานปายตาํ่ ใตมีพระยาวรุณะ และนางธรณีเปbนตี่สุด และอัจจะในวันน้ี ก็เปbนวันดี เปbนวันดิถี อันวิเศษและในวนั น้ีกเ็ ปนb วนั ดี เปนb วนั สะหรีไจยะโจคลาภ เปbนวันผาบแปNมาร ยังขาศึก ศัตถู ตังมวลก็เปbนอันเปbนภัยตัง หา บัดนี้ อันวาผูขาตังหลายจุใหญนอยจายหญิง ก็บละเสียยังฮิตฮอยโบราณ จ`ารีตแตกอนๆ เกิดมาและในวันน้ีก็เปbน เดอื น...........ขึน้ แรม..........คาํ่ (ออก-แฮม) กม็ าจจุ อดรอดเถงิ ในวันน้ี บัดน้ีศรัทธาผูขาตังหลายจุผูจุคน เปbนอันสามักกะสามัคคีกับดวยกั๋น จึงปาก๋ันสลงขงขวาย ตกแตงแปbงพรอม นอมนํามายังหมูบุปผาราจา ดวงดอก ขาวตอกดอกไมลําเตียน และโภจนะอาหาร ขาวตม ขาวหนมใหมดูงามปอต`า บดั นผี้ ขู าตังหลาย ก็มาขออาราธนายังเจาตังหลาย ปอมีความอินดูผายโผดโปรดเสด็จลงมาเสวยสุขจุต`นจุองค0 ยังเครื่อง ปbูจาอันน้ี แหงศรัทธาผูขาตังหลายเตี่ยงแตดีหลี หมายมีอินตาธิราชเปbนเกา และตาว โลกบาลตังส่ี และขอจุงจักมาฮับ เอายังเครื่องขียาและปูbจาตังหลายมวลฝูงนี้ ในวันน้ีก็เปbนวัน.....เดือน........อกก / แฮม......ค่ํา อันผูขาตังหลายไดมีจิต เลื่อมใสและหลิ่งนอมเขามาในศาสนา (อานวา สา-สะ-นา) และไดฮ้ือตวยต`ามจํ๋าศีลภาวนาเมตต`าและขอหื้อเปbนกุศล สวนบญุ อันกวางขวาง ผายแผกศุ ลสวนบญุ อันไปเถงิ ยงั เจาตังหลายจตุ น` จุองค0 แลวจุงเอาก๋ันคลาดแคลวข้ึนเมือสูปร`าสารท0เมืองบนอันเป,นตี้อยูแหงต`น แลวขอจักเล็งหันผูขาตังหลาย อัน ไดมาหื้อตานและจํ่าศีลฟ$งธรรม เมตต`า ภาวนา และไดมาปbูจาเจาในวันน้ีเต่ียงแตดีหลี แลวขอห้ือผูขา ตังหลาย ไดปNนเสยี จากยงั อนาคตะภัยใหญ และโจร` ภัยมนุษย0แลกรรมเคราะห0ตงั หลายและโจ`รมารตงั หลายในวนั นี้ และต`นต๋ัวผูขา ตังหลาย ขออยาห้ือมีกังวลสนสอแลกําฮายตอใบหู อันจักไดมาเปbนศัตถู ก็ขอหื้อหลบหลีกล้ีเวนไปเสียไกล`ๆ แสนโยจะ นะแล ตั๋วตาวตงั สแี่ ละแมนางธรณีอันเปbนสักขีหมายหนาจื่อจํ๋าตามแลสัพปะก`ารใหญนอย อันผูขาตังหลายหากใฝOนํามา ผูขาตังหลายขอหื้อปNนจากตุกข0ปายหนา ขอแลวแตกํามักกําผาทะนาแหง ผูขาตังหลาย อันมาจมจี้นยินดี ในกําตัง หลายฝูงน้ีแตดีหลี แลวขอเจาตังหลายจุต`นจุองค0 จุงจักมาระวังฮักษา ต`นต๋ัวผูขาตังหลาย จุผูจุคนนอยใหญ จาย ญิง เต่ียงแตดีหลีแดเตอ] ะ... สะสัสสะคีหสิ ทิ ธิกิจจง๋ั สทิ ธิกัม๋ มัง สทิ ธลิ าภงั ภวันตเุ ต..... ๔. ขณะ “ปูOจา` รย0” หรอื อาจารย0 เริม่ อัญเชญิ หรอื อาราธนาเทวดาและกลาวโอกาส ใหเจาภาพยกยอ ขันขาวตอกตอกไมขึน้ เสมอหนาผาก ทาํ ไปจนจบพิธี การข้นึ ตาวตงั สถ่ี อื เป,นหวั ใจหลักใหญในการประกอบการงาน ยดึ ถอื เป,นประเพณีฮีตฮอยของคนเมอื ง มานานและคงจะตลอดไป... ขอใหผอู านไดพิจารณาและสามารถนําไปเปน, คูมือประกอบพธิ ีได

๒๖ การสวดเบิก...ประเพณีท่คี วรสบื ทอดของชาวเหนือ คําวา “การสวด” ตรงกับภาษาบาลวี า “ธรรมคตี า” หรอื “สรภญั ญะ” แปลวา การนําพระธรรม มาขับรอง (มณี พยอมยงค0 ๒๕๒๙ : ๖๗) คําวา “เบิก” แปลวา เป@ด นําออก ถอนออก สวดเบิกเป,นบทภาษาบาลี เน้ือหากลาวถึง บทพระพุทธคณุ และกลาวเกย่ี วกับเรอ่ื งการตรสั รจู ององคพ0 ระสัมมาสมั พุทธเจา ในประเทศไทยการสวดเบิกเขามาตง้ั แตครัง้ เป,นอาณาจักรลานนา สมัยพญาติโลกราช ซงึ่ ปกครอง ลานนาระหวางปQ พ.ศ. ๑๙๘๔ – ๒๐๓๐ พระองค0ทรงสงเสริมและเผยแพรพระพุทธศาสนาอยางจริงจังและกวางขวาง และเป,นชวงที่พระสงฆ0ชาวเหนือมีความรูแตกฉานในพระไตรป@ฎก พ.ศ. ๑๙๙๙ โปรดใหสรางพระอารามขึ้นแหงหนึ่ง เพอ่ื ปลกู ตนศรีมหาโพธท์ิ ่นี ํามาจากลังกาทวปี พระราชทานนามวา โพธารามมหาวิหาร หรือวัดเจ็ดยอด จังหวัดเชียงใหม ในป$จจบุ นั พญาตโิ ลกราชทรงเปน, เอกอคั รศาสนปู ถัมภก เพราะพระองค0ทรงเป,นองค0อุปถัมภ0สังคายนาพระไตรป@ฎกเม่ือ ปQ พ.ศ. ๒๐๒๐ โดยอาราธนาพระสงฆ0ที่ทรงคุณวุฒิและวัยวุฒิ เขารวมการสังคายนาพระไตรป@ฎกประมาณรอยกวารูป มาประชุมท่ีวัดเจ็ดยอดเพื่อรวบรวมและตรวจสอบชําระพระไตรป@ฎกบาลีใหถูกตองสมบูรณ0 การทําสังคายนาคร้ังนี้ใช เวลา ๑ ปจQ ึงเสรจ็ สนิ้ สมบรู ณ0 ซึ่งนับเปน, การสงั คายนาพระไตรป@ฎกคร้ังที่ ๘ ของโลกพุทธศาสนา ดวยเหตนุ ้ีการสวดเบิก จึงนาจะเป,นสวนหนึ่งของตําราท่ีแตงขึ้นมาในคร้ังมีการสังคายนาพระไตรป@ฎกท้ังทวงทํานองและบทบาลีตางๆ โดย นําเอาวรรณกรรมประเภท ซอ กาพย0 คาว โคลงตางๆ มาประยุกต0กับบทพระธรรมจนเกิดเป,นทํานองสวดเบิกขึ้นมา หลังจากนั้นบทสวดเบิกจึงแพรกระจายไปยังดินแดนตางๆ ในลานนา และถูกประยุกต0ดัดแปลงทวงทํานองใหเขากับ วัฒนธรรมตามเอกลักษณ0ของแตละทองถิ่นน้ันๆการสวดเบิกไดถูกถายทอดมายังพระสงฆ0รุนหลังๆ โดยบันทึกเป,นสมุด ขอยหรือปl$บไวเป,นหลักฐานท้ังภาคภาษาบาลีและภาษาลานนาเพื่อเป,นตําราในการสืบทอดเบิกจนถึงป$จจุบัน (อาจารย0 ครบู าพระมหาทองสขุ สิรวิ ชิ โญ : สมั ภาษณ0 อางถงึ ใน รวมพล บุญตัน,๒๕๔๙ : ๑๘-๑๙) การสวดเบิกเป,นการสวดประเภทหนึ่งของชาวเหนือ สวดเพื่อเบิกพระเนตรพระพุทธรูปที่สรางขึ้นใหม สวดใน งานพธิ ีสมโภชพระพทุ ธรปู ทางลานนาเรียกวา การอบรมพระเจา เป@ดไขตาพระเจา การสวดเบิกน้ีเป,นการสวดประสาน เสียงแบบพ้ืนเมืองของพระภิกษุสงฆ0และสามเณร โดยพระภิกษุสงฆ0เป,นเสียงกลาง (เสียงต่ํา) สามเณรเป,นเสียงนอย (สูง) ท้ังน้ีผูสวดตองมีพระและสามเณรท่ียังเล็กมีเสียงไพเราะ การสวดเบิกน้ันแบง บทสวดออกเป,นวารๆ ตอง ฝSกหัดกนั อยางพถิ ีพิถนั มากใชเวลาฝSกซอมกนั เป,นเวลาหลายเดอื น บทสวดเบิกน้นั มดี วยกัน ๔ วาร (บท) โดยเนื้อหาแต ละวารเป,นการถายทอดเรื่องราวเก่ียวกับการตรัสรูธรรมขององค0พระสัมมาสัมพุทธเจาในแตละวารมีทวงทํานองที่ ไพเราะแตกตางกันไป (รวมพล บญุ ตัน ๒๕๔๙ : ๑๑) ความหมายตามความเชื่อของพระนักสวดเบิก ซึ่งเขาใจวาบทสวดทั้ง ๔ วารหมายถึง พุทธประวัติของเจาชายสิทธัต ถะตง้ั แตเริม่ ออกบวช แสวงหาธรรมจนไดตรัสรเู ป,นวิถปี ฏิบตั ิของพระพทุ ธเจาในวาระตางๆ กันไดแก วารที่ ๑ เอโส หมายถึงการออกบวชของพระพุทธเจาซึ่งเรื่องราวในตอนท่ีเจาสิทธัตถะทรงสลดสังเวชใน พระทยั เม่ือทอดพระเนตรเหน็ คนแก คนเจบ็ คนตาย ทําใหเกิดความเบ่ือหนายทางโลกจึงตัดสินใจออกบวชเพ่ือแสวงหา ทางดบั ทุกข0

๒๗ วารที่ ๒ ตสั เย หมายถงึ การออกแสวงหาธรรมของพระพุทธเจา ซึ่งวาดวยเรอื่ งราวในตอนท่ีหลังจาก ท่ีเจาชาย สทิ ธตั ถะทรงผนวชแลว ทรงเริ่มแสวงหาแนวทางในการตรัสรูโดยการบําเพ็ญเพียรอยางหนักดวยวิธีการทรมานรางกาย ใหลําบากเรียกวาทุกกิริยามี ๓ วาร คือ ๑.กัดฟ$นแนนจนลมออกหู เอาล้ินดุนเพดาน ๒. กลั้นลมหายใจจนทองไส ปนi$ ปวO น ๓.อดอาหารโดยเสวยนอย เสวยอาหารโดยละเอียดจนรางกายเหย่ี วแหงเหลอื แตหนังหุมกระดูก การบําเพ็ญทุก กิริยานั้นไดบําเพ็ญถึง ๖ ปQ จึงทรงระลึกไดวาการบําเพ็ญทุกกิริยาซึ่งเป,นการยากที่บุคคลท่ัวไปจะทําได ก็ยังไมสามารถ บรรลุพระอนุตตรสัมมาโพธิญาณได เม่ือใครครวญไดดังนั้นแลวจึงคนพบวาการบําเพ็ญทุกรกิริยาไมใชหนทางบําเพ็ญ แหงการตรัสรู การตรัสรูไดตองปฏิบัติพอปานกลาง คือ มัชฌิมาปฏิปทาเทานั้นจึงจะสําเร็จ จากน้ันจึงเลิกการทรมาน รางกายและเริม่ เสวยพระกระยาหารตามปกติ วารที่ ๓ อะถะโข หมายถงึ การปฏบิ ัติธรรมและใกลตรัสรูของพระพุทธเจา ซ่ึงวาดวยเรื่องราวในคืนวันข้ึน ๑๕ ค่าํ กอนการตรสั รู ซึง่ ขณะที่บรรทมอยนู ัน้ ไดทรงเหน็ นมิ ติ ๕ ประการ และทรงทาํ นายพระสุบินนิมิตดวยพระองค0เองแลว ทราบวาเปน, นมิ ติ ทด่ี ีจักไดบรรลุพระอนตุ ตรสัมมาโพธิญาณแนนอนจากนน้ั จงึ เสดจ็ ไปประทับนัง่ ณ ใตตนไทร วารท่ี ๔ โสปฐมา หมายถงึ การตรัสรูของพพระพุทธเจา เป,นเรื่องราวของคืนในราตรีกาลวันข้ึน ๑๕ ค่ํา เดือน ๖ ซงึ่ พระองค0ไดทรงพจิ ารณาการดบั กองทุกข0ท้ังหลายจนเกิดการบรรลุญาณอันเป,นตัวป$ญหาที่เกิดข้ึนในยามทั้ง ๓ คือ ปฐมยาม มัชฌมิ ยาม ปจ$ ฉิมยาม จากนนั้ จึงตรัสรูเป,นพระสมั มาสมั พทุ ธเจา ความหมายตามเน้ือหาในบทสวดเบิก วารที่ ๑ เอโส หมายถึง ลาํ ดบั การตรสั รูในยามท่ี ๑ปฐมยาม คือความสามารถในการระลึกชาติหลังไดโดยกําลัง แหงอภิญญาของพระองค0 วารท่ี ๒ ตัสเย และวารท่ี ๓ อะถะโข หมายถงึ ลําดับการตรัสรใู นยามที่ ๒ มัชฌิมยาม คือ การบรรลุตุปปปาต ญาณหรือทิพพจักขญุ าณ สามารถมีจกั ษุทิพยท0 อดพระเนตรเห็นสรรพสตั ว0ทบี่ งั เกดิ จุติในที่ตํ่าและประณีตผิวพรรณทราม และดีแตกตางกันไปตามสมควรแกกุศลและอกุศลท่ีไดทําไว เปรียบเหมือนบุรุษที่ยืนอยูในทาง ๔ แพรง ยอมมองเห็น ผูอื่นท่ีสัญจรไปมาเปน, อยางดี วารที่ ๔ โสปฐมา หมายถึง ลาํ ดับการตรสั รูที่ ๓ ป$จฉิมยาม คอื สามารถพิจารณาการดับกองทุกข0ทั้งมวลวาเม่ือ อวชิ ชาดับ สงั ขารก็ดบั ตามไปดวยเชนเดียวกันและในเวลาที่พระอาทิตย0ทอแสงจับขอบฟNาเทานั้น ก็ทรงบรรลุอาสวักขย ญาณคือญาณหยั่งรูในธรรมเป,นท่ีสิ้นไปแหงกิเลสท้ังหลายและไดตรัสรูเป,นพระสัมมา สัมพุทธเจาภายใตตน อสั สัตถพฤกษ0

๒๘ ตํานานพระอุปคตุ สู;..ประเพณีเป:งปดุJ พระอุปคุตเกิดหลังพระพุทธเจาเสด็จปรินิพพานแลว ประมาณ พ.ศ. ๒๐๘ ปQ แตไมทราบ ภูมิเดิมของทาน ละเอยี ด วาเป,นบุตรของใคร เกิดในวรรณะอะไร และท่ีไหน จากการสันนิษฐานตามตํานาน พระเถระ อุปคุต นาจะ เป,นชาวเมืองปาตลีบุตร เมื่อบวชแลวบําเพ็ญเพียร จนสําเร็จเป,นพระอรหันต0ขีณาสพ สําเร็จอภิญญาตางๆ จนสามารถ แสดงอภินหิ ารเปน, ท่ีเลาลือมาจนทกุ วนั นม้ี ีปฏปิ ทาดาํ เนินไปในทางสันโดษ มกั นอยนยั วาทานเนรมิตเรือนแกว (กุฏิแกว) ขึ้นในทองทะเลหลวง (สะดือทะเล) แลวก็ลงไปอยูประจําท่ีกุฏิแกวตลอดเวลา เม่ือมีเหตุเภทภัยเกิดขึ้นในพระศาสนา หรือเมอ่ื มีพิธกี รรมใหญๆ หรอื มีผนู มิ นตท0 านกจ็ ะขนึ้ มาชวยเหลือ ดวยความเตม็ ใจเสมอ ทานเป,นพระเถระสําคัญองค0หน่ึงในสมัยพระเจาอโศกมหาราช (ผูนํากองทัพธรรมแผกระจายไป ทั่วโลก) เป,นพระเถระผูเปiQยมดวยพุทธานุภาพ และฤทธิ์เดชเกรียงไกรสามารถปราบพญามารและกําจัดส่ิงชั่วรายที่จะมาทําลาย พิธีกรรมใหญมาแตครง้ั โบราณ เร่ืองราวก็มีอยูวา เมื่อประมาณปลายพุทธศตวรรษที่๒ หลังพุทธปรินิพพาน ณ นครปาตลีบุตรราชธานี (ป$จจุบันคือเมืองป$ตนะ ภาคใตของอินเดีย) พระเจาอโศกมหาราชผูครองราชย0สมบัติในขณะน้ันทรงเลื่อมใสใน พระพุทธศาสนาเป,นอยางยิ่งตามตํานานกลาววาไดทรงสรางพระวิหารและพระสถูป มากมายท่ัวทั้งชมพูทวีป (เคาวา มากถงึ แปดหม่นื สพ่ี ันองค0) เปน, ผูรวบรวมและขดุ คนพระบรมสารรี ิกธาตุ เพ่อื จะนําไปบรรจุในสถูปที่พระองค0ทรงสรางไว ทุกแหง เมื่อการบรรจุพระบรมสารีริกธาตุเสร็จเรียบรอยแลวพระองค0ก็ทรงปรารภ ที่จะจัดใหมีการฉลองสมโภช พระ สถูปเจดีย0ทั้งหมดน้ันเป,นการมโหฬารย่ิง ตลอด ๗ ปQ ๗ เดือน ๗ วัน และเพื่อใหการฉลองสมโภช เป,นไปดวยความ เรียบรอย ปราศจากการรบกวนจากมารรายตางๆ แตพระสงฆ0ในนครปาตลีบุตร ไมมีรูปใดท่ีสามารถเป,นผูคุมครองงาน มหกรรมอันย่ิงใหญนี้ใหพนจากภัยทั้งหลายทั้งปวงได (โดยเฉพาะภัยจากพญามารผูมีฤทธ์ิย่ิงกวาภูตผีปQศาจท้ังหลาย) นอกเสยี จากพระอปุ คุตเถระผเู ดียวเทาน้นั พระสงฆท0 ้ังปวงจึงต้งั ตัวแทน ๒ รูป ลงไปอาราธนาพระอุปคุตเถระผูเรืองฤทธ์ิ มาชวยรักษาความปลอดภัย ในงานสมโภชคร้ังน้ีซึ่งกลาวกันวาพระอุปคุตเถระองค0นี้ ปกติสันโดษอยูองค0เดียวเขาฌาน สมาบัติเสวยวิมุตติสุขอยูในมหาสมุทรอันกวางใหญ ภายใตปราสาทแกวท่ีเนรมิตข้ึน เหนือรัตนะบังลังก0 จะออกจาก สมบัติ เหาะข้นึ มาบิณฑบาตในโลกมนษุ ยใ0 นวนั พธุ เพญ็ กลางเดอื นเทาน้ัน พระอุปคุตเถระ ไดรับการนมิ นตจ0 ากพระภกิ ษสุ องรูป ผูไดอภิญญาณสมาบัติขําแรกมหาสมุทร ลงมาถึงตัวทาน แจงวา ใหทานจงเป,นธุระ ปNองกันพญามารอยาใหรบกวนงานฉลองพระสถูปเจดีย0ของพระเจาอโศกมหาราชไดเม่ือพระ อุปคุตเถระไดรับนิมนต0ก็เดินทางมานมัสการ และรายงานตัวตอคณะสงฆ0ในวันรุงขึ้น พระเจาอโศกมหาราชจึงไดเสด็จ เขามานมสั การคณะสงฆ0 เพื่อขอทราบเร่ืองผูท่ีจะทําหนาที่รักษาการงานฉลองสมโภชพระสถูปเจดีย0 เมื่อพระองค0ทราบ วาผูท่ีจะมาทําหนาที่นี้ คือ พระอุปคุตเถระ ก็ทรงนึกแคลงพระทัย เน่ืองจากพระอุปคุตเถระน้ันมีรางกายผายผอมดู ออนแอ กท็ รงไมแนใจ เกรงจะทาํ หนาทไี่ ดไมสมบูรณ0 แตไมทรงตรัสวากระไร ครั้นรุงเชาวันใหม ขณะท่ีพระอุปคุตเถระ ออกบิณฑบาตในนครปาตลีบุตรน้ัน พระเจาอโศกมหาราชใครจะทดสอบอิทธิฤทธ์ิพระเถระ จึงทรงปลอยชางซับมัน (ชางตกมัน) ใหเขาทํารายพระเถระ พระมหาอุปคุตเถระ เห็นดังน้ันจึงสะกดชาง ที่กําลังว่ิงเขามาใหหยุดอยูกับที่ไมไหว

๒๙ ติงประดุจชางที่สลักดวยศิลาพระเจาอโศกมหาราชทอดพระเนตรเห็นดังนั้นก็ทรงเล่ือมใสจึงเสด็จไปขอขมาพระเถระ พระมหาอปุ คุตเถระกใ็ หอภยั ทง้ั แกพระเจาอโศกมหาราช และพญาคชสาร เมื่อบรรลุฤทธ์ิงานยามดตี ามท่กี าํ หนดไวบรรดาพระสงฆ0ขณี าสพและพระสงฆ0ปุถุชนตลอดพุทธศาสนิกชน ทั้งใน นครปาตลีบุตร และตางแดนจากจตุรทิศ ก็เริ่มหล่ังไหลเขาสูบริเวณงาน พรอมเครื่องสักการบูชา เพื่อรวมพิธีฉลอง สมโภช พระบรมสารีริกธาตุท่ีบรรจุอยูในมหาเจดีย0 และเจดีย0 ท้ังแปดหม่ืนสี่พันองค0ดวยความเล่ือมใสศรัทธาเป,นอยาง ย่งิ และในเวลานีเ้ อง พญามาร(พญาวสั สวดเี ทพบตั รมาร) ก็มงุ หนาเขามาในงานกบั เคาเหมอื นกนั ท้ังนี้ก็เพ่ือที่จะกอความ วุนวาย ตางๆ นานา ท้ังบันดาลใหเกิดลมพายุ ท้ังแปลงรางเป,นสัตว0ปOา และสัตว0หิมพานต0 แตทุกคร้ังก็โดนพระอุปคุต เถระกําหลาบไดหมดและสุดทาย เพ่ือใหพญามารออกไปจากบริเวณพิธี พระอุปคุตเถระจึงเนรมิตรางหมาเนาข้ึนมา หนึ่งตัว แลวดึงประคดจากเอวของทาน ออกมา ผูกรางหมาเนานั้น คลองคอพญามารไว แลวสําทับวา ไมวาใครก็ ตามจะเอาหมาเนาน้ีออกจากพญามารไมได แลวขับพญามารออกไปจากบริเวณงานทันทีดวยความอับอาย พญามารก็ ออกมาจากบรเิ วณงานทําใหงานเกิดความสงบฯ พระอุปคตุ สู; ประเพณเี ป:งปุJด ชาวพทุ ธถอื วาพระอปุ คุตมาโปรดเม่อื เรมิ่ เขาเวลาของวนั พธุ คอื ต้ังแตเวลา ๐๐.๐๐ น.ไปจนถึงกอนพระอาทิตย0 จะขึน้ ผูคนจะพากนั ใสบาตรเพื่อความเปน, สริ ิมงคล ผูท่ีจะมารับบิณฑบาตนี้จะเป,นเฉพาะสามเณรเทาน้ัน ไมมีพระภิกษุ สงฆ0 เพราะสามเณรไดรับการอุปโลกน0เป,นตัวแทนพระอุปคุต คําวา อุปปะ มาจากอุปถัมภ0 อุปถาก อุปการะ หมายถึง การชวยเหลอื เก้ือกูล คํา้ จุน คาํ วา คตุ อานวา คตุ ตะ มาจากความคุมครอง การรกั ษา คติความเชื่อของชาวบานถือวาพระอุปคุตบําเพ็ญตนอยูในเกษียรสมุทร เป,นสาวกของพระพุทธเจา มีอิทธิฤทธิ์ ปราบภัยมาร และปNองกันมีใหส่ิงช่ัวรายมากลํ้ากรายได ชวยบันดาลใหส่ิงท่ีเลวรายใหบรรเทาเบาลง นอกจากน้ียังมี สติปญ$ ญา เฉลียวฉลาดปราดเปรอ่ื งเรืองวชิ าอีกดวย ชาวบานยังเช่ืออีกวา คร้ังหน่ึงองค0สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจาทรง มีพระบัญชาใหพระอุปคุตคอยดูแลสอดสองชาวโลกอยาใหภัยมารมารบกวนได เมื่อถึงเวลาวันเป,งปmุดพระอุปคุตจึง ออกมาโปรดและปราบภัยมารตางๆ นอกจากน้ยี งั มคี นื วันพุธราหเู ขามาเก่ียวของอีกจึงเพ่ิมความขลังข้ึนมาใหชาวบานได ปฏิบตั อิ ยางเครงครัด การตักบาตรทําในตอนกลางคืน ชวงเวลาสุดทายของวันอังคาร ขาวสารอาหารแหง ดอกธูปเทียน ป$จจัย เมื่อ ผใู ดทําบญุ กับพระอปุ คุตแลว จะบังเกิดผลคือ ผูที่เจ็บไขไดปOวยจะบรรเทาหายเร็ววัน เด็กๆ จะเพ่ิมป$ญญา หนุมสาวจะ สมพรในคําอธิษฐานของเขาสวนคนท่วั ไปแลวจะเปน, สิริมงคลตลอดไป

๓๐ คําอาราธนาพระอุปคุต วิธที ่ีจะอาราธนาพระอุปคุตมาสถติ สถาน รักษาเหตุการณ0ยามเม่อื ฉลองก๋ินตานตางๆ หื้อไดแปbงผาสาทสี่เสา ใส เคร่ืองปูOจา ห้ือมีนํ้าตนขันหมาก สาดหมอน ผาเคร่ือง (ผาไตร) บาตร ๑ ลูก ขาวตอก ดอกไม มีฉัตร ส่ีอันไวแลงผา สาท ห้ือมีเคร่ืองพรอม ใสขาวปOูจาทุกวันเมื่อเจ]า เมื่อจะไปอาราธนาพระอุปคุตน้ันห้ือมีพระสงฆ0 ไปดวยพรอมกัน มี ก]องก`อง ไปทีท่ านา้ํ แลวห้ืออาจารย0 อาราธนาพระอปุ คตุ วา สาธุ ภันเต เถระสถติ ตะสะททุ ทัง อะหงั ยาจามิ มหาอุปะคุตตะเถระสถิตตัง ทักขิณิทิสาโต อะนุคคะโห โอกาสะ อารักขะป$ญจะสะหสั สะ อมั หากงั อทุ ทิขัตติ โมทิตวา สมั ปะติสติ า ปะติป$ตติ ปจู ามะ ฯ สาธุ โอกาสะ ขาแตพระมหาอปุ คุตเถรเจา อนั อยเู ฝาN รักษาพระศาสนา ป$ญจะมารา อันเจาไดปจญ แปmมารหา สง่ิ บัดนต้ี าวตนยง่ิ ทรงเมืองทีน่ เ่ี ปนb เกา] เปbนประธาน บดั นผ้ี ูขาตัง้ หลาย ทั้งภายใน และภายนอก ภายในหมายมี(สาธุเจา) ภายนอกหมายมี ...จผุ] ูจคุ] น กม็ ีใจใ` ครห้อื ตานและสรางเปbนยงั วัตถเุ ย่ยี งน้ี ผูขาตังหลาย ก็ขอเปi@งเตจ]ะบุญพระมหาอุปคุต เถระเจา จุงมาปกป$กฮกั ษาผูขาตง้ั หลายท่ีจกั ไดกระทาํ การ..........หอื้ พนจากภัยมารตั้งหลาย ห้ือมีความสงบสุขพนอุปสัค ภัยยะต้ังมวลห้ือมแี ตความเจริญรุงเรือง และสาํ เร็จผลดังทป่ี ระสงคด0 วยเทอญ ฯ พธิ กี รรมตานบาตร ( ถวายบาตร ) ตามความเชื่อของชาวพ้ืนเมืองลานนา ในจังหวัดภาคเหนือตอนบน เชน เชียงใหม ลําพูน ลําปาง พะเยา เชียงราย แพร นาน มักจะทําพิธีกรรมเหมือนกัน คือ เมื่อมีการตายเกิดข้ึน เม่ือต้ังศพบําเพ็ญกุศลในคืนแรก นอกจากจะมีพระเทศน0 และสวดพระอภธิ รรมแลว จะมพี ธิ ีตานบาตรรวมดวยเสมอ ดวยความเชื่อของคนเมืองท่ัวไป เช่ือกันวาเมื่อมีคนตายลงดวยเหตุใดๆ ก็ตาม และจะมีอายุเทาไร ก็ตาม ตั้งแตเด็กจนถงึ คนแกวญิ ญาณของผูตายก็จะออกจากรางไปดวยความเดียวดาย โดยไมมีใครจะลวงรู ประกอบกับความ เชื่อของชาวพุทธในเรื่องกรรมวาทุกคนมีผลกรรมที่เคยทําไว เมื่อยังมีชีวิตอยูติดตามตัวไป คนท่ีทํากรรมดีก็จะไปสูท่ีดี และคนที่เคยทํากรรมช่ัวหรือมีกรรมหนักก็จะไปสูท่ีไมดี และวิญญาณของคนที่เคยทํากรรมหนักก็จะอดอยากไดรับ ความทุกขเวทนาตางๆ การถวายไทยทานท่ัวไปวิญญาณของคนตายจะไมไดรับเพราะมีกรรมก้ันไว จึงนึกถึงการถวาย บาตรของพระเพราะบาตรเป,นบริขารสําคัญของพระสงฆ0 เมื่อไดตานบาตรหรือถวายบาตร จะมีอานิสงส0ที่ทรงพลังดล บนั ดาลใหคนตายทีม่ ีกรรมเบากต็ าม หนักก็ตามใหไดรับผลบุญ และมีอาหารหรือขาวหอ ( ปาไถยะ ) ติดตามไปกิน ไป ใชในโลกหนาได ข้นั ตอนของพิธี ๑. ขอบชู าบาตรของพระในวดั จํานวน ๕ ลกู หรือจะซื้อบาตรใหมจากรานสังฆภณั ฑ0มาเลยกไ็ ด ๒. จดั หาของกนิ ของใชใสในบาตรทัง้ ๕ ลกู อาทิเชน ขนม,นม,ปลากระปอb ง,พริกแหง,หอมขาว หอมแดง, เกลือ, ขาวสุก ๑ หอ กลวยสุก, สม, แปรงสีฟ$น, ยาสีฟ$น ฯลฯ เป,นตน ของท่ีใสบาตรจะมากจะนอยไม เปน, ไร แตใสใหพอดีเตม็ บาตรไมถึงกับลนบาตร และซองป$จจยั ตามสมควรใสในบาตรดวย

๓๑ ๓. เมือ่ จดั เตรยี มบาตรและของในบาตรพรอมแลว ใหต้งั บาตรไวหนาพระพุทธรูป (พระประธาน) ๑ ลูก หนาพระสงฆท0 ่ีมาสวดพระอภธิ รรม ๔ ลกู ๔. เมอ่ื พธิ ีเทศน0 และสวดพระอภธิ รรมจบลง อาจารย0หรอื พธิ กี รจะกลาวคาํ โอกาสเวนตานตาม ประเพณีพื้นเมือง คือกลาวคําอุทิศสวนกุศลเป,นรอยแกว ระบุช่ือลูกหลาน ญาติมิตรและช่ือผูตาย เชิญชวนใหวิญญาณ มารับผลทาน และตอนสุดทาย กลาวคาํ อุทิศเป,นภาษาบาลี เจาภาพประเคนบาตร และป$จจัยไทยทาน พระสงฆ0ใหพร เจาภาพกรวดนํ้าอุทศิ กศุ ลใหผูตาย เป,นเสรจ็ พิธี พธิ ีตานสังฆด) ิบ การตานสังฆ)ดิบ เป,นความเช่ือของคนเมืองลานนา เก่ียวกับการตายผิดปกติ เชน ตายจากอุบัติเหตุ ถูกฆา ตาย ฆาตวั ตาย คลอดลูกตาย หรือตายเมือ่ อายยุ ังนอย ความเช่ือในเร่ืองคนตายท่ีผิดปกติ คือเชื่อวาคนท่ีตายแลวเหลานี้มีกรรมติดตามมา จึงทําใหตายที่ยังไมถึงเวลา สมควรตาย (ตามที่พระเทศน0วากรรมมาตัดรอน) คนท่ีตายผิดปกติจะพนกรรม จะตองมกี ารตานหรอื ถวายสงั ฆ0ดิบไปให เหตุท่ีเรียกช่ือวาสังฆ0ดิบ ก็เพราะถวายกับพระสงฆ0จํานวน ๔ รูป พระจํานวน ๔ รูป ถือวาครบองค0สงฆ0 หรือที่เรียกวาสังฆะ และการถวายทานแกพระสงฆ0 โดยไมเจาะจงรูปใดรูปหน่ึง ถือวาการใหทานน้ันมีพลัง มีอานิสงส0 มาก จะสามารถชวยเหลอื คนตายไดดี เพราะถอื วาคนตายมีกรรมหนัก และของถวายท่ีนํามาเป,นของดิบ หรือของสดๆ จงึ เรียกวาสังฆ0ดบิ เคร่ืองสังฆ)ดิบ ประกอบดวยเคร่ืองครัวดิบและแหงจํานวนอยางละ ๑๐๐ ช้ิน เรียกวาเคร่ือง ๑๐๐ ของที่ นํามาจัดไดแก ๑. ของสด เชน กลวยดิบ, ออย, สม, เน้อื ดิบ, ปลาดิบ, ขาวสกุ ๒. ของแหง เชน พริกแหง, หอม, ขนม, เกลอื , นํา้ ตาล, ขาวตม ๓. น้ําบรรจถุ ุงเล็กๆ ๔. ธูป ๕. ทราย ๖. ตุงแดง หรือ ธงสีแดง ๗. ตงุ เหล็ก ตุงตอง (ธงทีท่ าํ ดวยแผนเหล็ก หรือสงั กะสี มีสีเหล็ก และเหล็กสีทอง) ความเป:นมาของ ตุงเหลก็ ตงุ ตอง มปี รากฏในหนังสือสงั ขยาโลก ตวั พ้นื เมอื งในคัมภีร0ใบลานของ ลานนา วามมี ูลเหตุมาจาก ภกิ ษุรูปหน่งึ ทานไปเห็นตนไมตายแหงตนหนึ่ง มีลักษณะยาวงามดีมาก ทานนึกจะเอาตนไม นน้ั ไปทําเสาตุง บูชาไวท่วี ัดทีท่ านจําพรรษาอยู แตบังเอญิ ทานมอี นั เปน, ลมถงึ แกมรณภาพลงในทันที กอนท่ีวิญญาณของ ทานจะลองลอยออกจากราง ทานมีจิตประวัติถึงแตไมทอนนั้น ทําใหตองไปปฏิสนธิเป,นตุ]กแก อาศัยท่ีไมทอนนั้น ไดรับ ทุกขเวทนาเป,นเวลานาน ทานจึงดลใจใหชาวบานทราบวา เวลานี้ทานไดมาบังเกิดเป,นตุ]กแก อาศัยอยูที่ตนไมนั้น หาก ชาวบานอยากใหทานพนจากกองทุกข0 ก็ขอใหสรางตุงเหล็ก ตุงตอง ถวายตานไวในพระศาสนา จึงจะบันดาลใหทาน

๓๒ หลุดพนจากกองทกุ ขน0 ี้ได เมอ่ื พวกชาวบานไดทราบเชนนนั้ กส็ รางตุงเหล็ก ตุงตอง ถวายไวในพระศาสนา พระภิกษุรูป น้นั จงึ พนจากการเสวยกรรมเป,นตกุ] แก ไปเกิดเป,นมนษุ ย0อีกครั้งหนงึ่ ความเช่อื เร่อื งถวายตาน ตงุ เหล็ก ตุงตอง ของชาวเหนอื เราก็คงจะมาจากตํานานท่ีเลาสืบตอกันมา โดยเฉพาะ คนตายที่ผดิ ปกติ เชนตายดวยอุบัติเหตุ ฆาตัวตาย คลอดลูกตาย ถูกฆาตาย สัตว0กัดตาย เป,นตน มีความเช่ือวา คนตาย ผดิ ปกตนิ ค้ี งจะไปสทู คุ ติ ไดรับทุกขเวทนาเป,นเวลานาน จึงตองมีการถวายตุงเหล็ก ตุงตอง ประกอบในการตานสังฆ0ดิบ และตานธรรมกรรมวาจาดวยแลว ก็จะบันดาลใหคนตายไปเกดิ ในสุคติท่ดี ไี ด (ตงุ เหล็ก ทําดวยแผนเหลก็ ตดั เปน, รปู สามเหลย่ี มเล็กแหลม ตุงตอง ทําดวยแผนเหล็กเป,นรูปสามเหลี่ยม ทาดวยสี ทอง จาํ นวนแผนตงุ เหล็ก ตงุ ตอง ทน่ี ํามารอยเสยี บเสาตงุ ควรทาํ ใหมจี ํานวน อยางละ ๒๕ ใบ) ของทุกประเภทท่ีกลาวมาตองนํามาจัดเป,นชิ้นๆ ประเภทละ ๑๐๐ ชิ้น ธูป ๑๐๐ ดอก มัดรวมกันมัดละ ๒๕ ดอก ทรายใหนาํ มากอกองเล็กๆ ๑๐๐ กอง นาํ ของตามขอ ๑ – ๔ บรรจุในถุง หรือเบา] ะ ( ภาชนะสานดวยไมไผ ) จํานวน ถุง ละ ๒๕ ชน้ิ ๔ ถงุ ช;อ หรือ จ;อ ๑๐๐ อัน ช;อ หมายถึง ธงรูปสามเหล่ียม ประกอบในเครื่องรอย จึงตองมี ๑๐๐ ชอ ทราย ๑๐๐ กอง กองทรายเป,นสวนประกอบของชอ สาํ หรับปก$ ชอ ๑๐๐ อนั จึงตองมจี าํ นวน ๑๐๐ กองดวย การตานสังฆด) บิ จะนําไปตานที่วดั หรือนาํ ไปตานบริเวณทม่ี กี ารตาย เชนบริเวณที่เกิดอุบัติเหตุ บริเวณที่ตก นํา้ ตาย เปน, ตน พรอมกับนมิ นตพ0 ระสงฆ0 จาํ นวน ๔ รูป มาประกอบพธิ ใี หพรและกรวดนาํ้ อุทศิ ใหผูตายโดยกอนตาน จะขาดไมได คือใหอาจารย0 โอกาสเวนตานกลาวคาํ อทุ ศิ สวนกุศลไปถึงผูตาย การตานสังฆ0ดิบท่ีวัด จะมีเทศน0ธรรมก`รรม วาจา` หน่ึงผกู การตานสังฆด0 บิ เมื่อเสร็จพิธีแลว ใหนําเคร่ืองครัวชุด สังฆ0ดิบไปฝ$งที่เกาะทรายบริเวณทานํ้า หรือไปฝ$ง ที่ปOาชาก็ไดพรอมนําตุงแดงไปป$กไวดวยถาตานสังฆ0ดิบบริเวณท่ีเกิดอุบติเหตุ เชนถนนหนทาง และมีสถานท่ีพอจะฝ$ง เคร่ืองครวั สังฆด0 ิบใกลบริเวณท่เี กิดเหตไุ ดกใ็ หฝ$งไว แลวปก$ ตงุ แดงไวดวย การตานธรรมกBรรมวาจาB การตานก`รรมวาจา` โดยนมิ นตพ0 ระมาเทศน0 มักจะทํากบั คนตายผิดปกติ หรอื ผูตายเป,นคนแกชรา เป,นท่ีเคารพ นบั ถือของลูกหลานกไ็ ดสวนมากจะทําพิธีตานกอนการเผาศพ ๑ หรอื ๒ วนั การตานกร` รมวาจา` เป,นความเชื่อเกี่ยวกับการท่ีผูตายมีกรรมเป,นเหตุใหเสียชีวิตที่ปกติ การไดตานธรรมก`รรม วาจ`าจะชวยทาํ ใหผตู ายพนกรรม และไดรับผลบญุ ท่ีญาตอิ ทุ ิศไปใหได ธรรมก`รรมวาจ`า คือคัมภีร0ธรรมที่ไดรวบรวมบทสวดของการอุปสมบทพระภิกษุ คือ บทของพระอุป$ชฌาย0 และบทสวดของพระคูสวดตั้งแตตนจนจบพิธีอุปสมบทมาเป,นคัมภีร0 สมัยกอนจารลงใบลานเป,นภาษาพื้นเมืองลานนา ป$จจบุ ันพมิ พ0เป,นภาษาไทยกลาง มีขายตามรานสงั ฆภัณฑท0 วั่ ไป คนพื้นเมืองเหนือทั่วไป มีความเชื่อวา บทสวดก`รรมวาจ`า ของพระสงฆ0 มีความศักด์ิสิทธ์ิมีพลัง เม่ือไดนิมนต0 พระมาเทศนแ0 ลวอุทิศสวนกศุ ลใหผูตายจะชวยทาํ ใหผูตายพนเวรพนกรรมได ขั้นตอนการจดั เตรียมพิธีตามธรรมกBรรมวาจBา

๓๓ ๑. เตรยี มเคร่ืองสักการะหรอื เคร่ืองบวชพระประกอบดวย ๑.๑ ตนเผ้ิง ( ใชกานกลวย เล็กๆ ป$กดอกเผ้งิ (ทําดวยเทยี น ) ๒.๑ หมากสมุ พลสู ุม ( อุปกรณ0เสียบมีอยทู ่วี ัด ) ๑.๓ ตะลุม หรอื ตอมกอม เปน, พานสีเ่ หลีย่ มที่เอาใบเลบ็ ครุฑมาประดับแลวตดั เป,นพุม ๑.๔ หมากเบ็ง พลเู บ็ง (อปุ กรณ0เสียบมีอยูท่วี ดั ) ๒. จัดหาหรือซื้อผาไตรของพระ ๑ ไตร พรอมบาตรใหม ๑ ลูก และตาลป$ตร ๑ ใบ ๓. จัดหาหรอื ซื้อเครื่องใชในครัว เชน หมอน่ึง, ไหขาว, มดี , เตาอัง้ โล, เขียง, ถาน, ไมกวาด ฯลฯ ๔. บางเจาภาพ ทําเป,นเรือนจําลอง ขนาดบรรจุเครื่องใชในครัวได บางแหงสรางเป,นเรือนไมหลังเล็ก ยกพ้ืน นมิ นตพ0 ระขึ้นไปเทศน0ได และบางทองถน่ิ สรางรูปเรือสาํ เภา (เรยี กวาตานสะเปา) บรรจุของตานทัง้ หมดไวในเรอื ๕. จัดเตรียมเคร่ืองสังฆ0ดิบ หรือ เคร่ือง ๑๐๐ ในกรณีอุทิศใหผูตายผิดปกติ ถาอุทิศใหผูตายท่ีอายุมาก หรือ ตายดวยโรคทว่ั ไปตามธรรมชาติ ไมตองเตรยี มเคร่ืองสงั ฆ0ดิบ ๖. จัดหาตุงเหล็ก ตงุ ตอง ๑ ชุด ๗. จดั หาคมั ภีรธ0 รรมก`รรมวาจา` ๑ ผูก ๘. นมิ นต0พระสงฆม0 าเทศนธ0 รรมกร` รมวาจา` ในวันทก่ี ําหนดทาํ พธิ ี ๙. อาจารย0โอกาสเวนตาน กลาวคาํ อทุ ิศสวนกศุ ลไปใหผตู าย ๑๐. ถามเี คร่อื งสงั ฆด0 ิบใหนําไปฝง$ ที่บริเวณทานาํ้ หรือปาO ชา การสง; ปแู# ถนย;าแถน ( ส;งแถน )(พอ; เกิด แมเ; กิด) ปูแO ถน ยาแถน ตามคมั ภรี 0เมอื งเหนือกลาววาเปน, ผฟี Nาเทวดา เป,นบรรพบุรุษของมนุษย0 เป,นมนุษย0หญิงชายคู แรกของโลก ทํานองเดียวกับอาดัมและอีวาในศาสนาคริสต0 มนุษย0เกิดมาถือวาสืบเช้ือสายมาจากปOูแถน ยาแถนท้ังสิ้น เมื่อเกิดมาแลว ชีวิตจะสุขสบายหรือยากจน ก็เพราะปOูแถน ยาแถนแชงไวจะตองมีการสงเคร่ืองสังเวยใหปOูแถน ยาแถน (สงแถน) หากไมทําชวี ติ จะไมมีความสขุ หรอื อาจมอี ายสุ ัน้ พลนั ตายหรือเจ็บปวO ยดวยโรคตางๆ พธิ กี ารสง; แถน ผกู ระทําพธิ ี คือ อาจารย0ท่ปี ระจาํ ของวดั ตางๆ หรือประจําหมบู าน อุปกรณ)ส;งแถน ตองจัดทําสะตวง ๑ อัน กวาง ๑ ศอก ใสขาวตอกดอกไม ลูกสมของหวาน กลวยออย หมากปู บุหร่ี ขาวตม ขนม ขาวเปลือก ขาวสาร จอดํา จอแดง อยางละ ๑๒ อนั บอกน้ํา ๒ อัน ป$eนรปู คนหญิง ชาย ๑ คู แกงสม แกงหวาน เส้ือผาจําลอง แวน(กระจก) หวี เงินแถบ ทําดวยกระเบื้องทุบเป,นรูปกลม ของท่ี บรรจุในสะตวงแยกเปน, ของกลางประจําและของท่ีปOูแถนยาแถนตองการใหสงใหซ่ึงจะกลาวในลักษณะของปQเกิดของแต ละคนอีกครงั้ หนึง่ ขันตั้ง อาจารย0มีเบี้ยป$นสาม หมากป$นสาม ผาขาว ผาแดง เตียนเลมเฟePอง ๑ คู เลมบาท ๑ คู สวย หมาก สวยพลู ๘ สวย สวยดอกไม ๘ สวย กลวย ๑ หวี มะพราว ๑ ลูก เงินขนั ตั้ง ๕ บาทสลึง

๓๔ เมื่อแตงดา(เตรียมเคร่ืองครัว) สะตวงเรียบรอยโดยวางสะตวงไวตรงหนาผูปOวย อาจารย0กลาวโอกาส สงแถน เมื่ออาจารย0โอกาสเสร็จแลวใหเปOาลงในขันน้ําสมปOอย เอาประพรมคนที่สงแถน แลวมัดมือป$nนปอน(ใหพร) แลวนําสะ ตวงไปสงนอกบานหรอื ทางแยก ผทู ่ีตองการสงแถนหรอื คนไมสบาย ใหดูเกณฑ0อายแุ ละของที่ตองสงตามปเQ กิดของแตละคนดงั ตอไปนี้ คนเกดิ ปไN จ ( ปNชวด ) ของท่ีตองสงคือ ซ่ินผืนหนึ่ง เส้ือผืนหน่ึง เงินบาทหน่ึง สังวาล ๑ สาย(ใชใบตองไปลเป,นสังวาลหรือสรอย จําลองก็ได) ขาวเปลือกขาวสารอยางละ ๑ ฉาง (๑ ถงุ ) ถาสง; ใหแลว ปูOแถนยาแถนจะบันดาลใหมีอายุยืนได ๗๗ ปQ ขน้ึ ไปแล ฯ คนเกดิ ปเN ปา1 ( ปNฉลู ) ของทตี่ องสงคือ ซิน่ ๑ ผนื เส้อื ๑ ผืน เงิน ๕๐ คําตอง เบีย้ ๕ แวน ไก ๔ ตัว ถาสง; ใหแลว จักมัง่ คงั่ เปน, ดี มอี ายถุ งึ ๑๘๐ ปQ คนเกดิ ปยN ี่ ( ปขN าล ) คนเกดิ ปนQ ้ี หัวแถนลงมาเกิด จักมีลูก ๕ คน ขนุ นางรักลกู นางสีดาเป,นผปู eน$ เปาN แลวหลอ ของทีต่ องสง ไกตัวผู ๑ เงินบาท ๑ คาํ บาท ๑ เบ้ีย ๗ แวน ซิ่นผนื ๑ ขาวเปลอื ก ๑ ฉาง ขาวสาร ๑ ฉาง ถาส;งใหแลว ขอใหมีอายุยนื ยาว มงั่ มลู สัมฤทธ์ิ เป,นคนดมี อี ายยุ ืน ๑๘๐ ปแQ ล ฯ คนที่เกิดปNเหมา ( ปเN ถาะ ) ธาตุไมลกู นางสีดา และลูกบุญธรรมของนางมโนรา ลงมาอยปู ากปูOแถนหลวง มกั เกยี จคราน แมทําการก็ขัดคน อ่ืน มกั ข้โี กรธเคอื ง เหตเุ พราะนางสมสปี $นe เบา (นางยักษ0) ของท่ีตองสง ไก ๑ ตวั เบี้ย ๑๐๐๐ แวน บันได ๑ เงิน ๓ สรอยสังวาล ๑ สาย ถาส;งใหแลว จักใหอายยุ นื ถงึ ๙๙ ปQ แลฯ คนเกิดปNสี ( มะโรง ) คนเกิดปQน้ี ธาตุดินกระดูกเงือก ลูกพระยา แถนเอาดินใตถุนบานมาป$eนเบาแลวหลอ ใหทําเรือน ๕ หอง มี เมียแมหมายดี ของท่ีตองสง ซนิ่ ๑ ตวั หมาตัว ๑ เงินบาท ๑ คํา ๓ ซกี ถาส;งใหแลว จะทาํ ใหมีอายุได ๗๐ ปQ คนเกดิ ปไN ส ( ปNมะเสง็ ) คนเกดิ ปQนี้ ลกุ จากตีนแถนมาเกดิ ของท่ตี องสง เงินกาํ ๑ คาํ กํา ๑ ซนิ่ ผืน ๑ เสือ้ ผนื ๑ ไก ๑ ตัว ถาสง; ใหแลว ใหมั่งมีเป,น ดเี มอ่ื เฒา จะมอี ายุ ๗๐ ปQ หมดเทานนั้

๓๕ คนเกิดปสN ะเงา ( ปNมะเมีย ) มสี ตปิ ญ$ ญามักสอนคนอ่ืน พระยาภูริศาท ป$eนเบา ใหแถนพอลงหลอ ธาตุไฟใจรีบ ไมกลัวใคร มีตัวไมหมอง ไมใส มกั เป,นแผล ของท่ีตองสง เบย้ี ๑๐๐๐ ผาย ๑๐๐๐ เกลือกอน ๑ ไก ๒ ตัว เป,ด ๑ ตวั ปลา ๑ ตัว ถาส;งใหแลว จะมีอายุยนื ไปอีก ๑๐ ปQ นอกจากนนั้ อยไู ดดวยบุญ คนเกดิ ปNลวงเบด็ ( ปมN ะแม ) คนเกดิ ปนQ ี้ จักเป,นดีดวยขาวของ อรหนั ตต0 า` ปน$e เบา พระยาโจรหลอ ของท่ีตองสง ซ่ินผืน ๑ เงิน ๓ บาท คํา ๓ ซีก ไกเหลืองตัว ๑ เบ้ีย ๑๐๐ ขาวเปลือกฉาง ๑ ขาวสารฉาง ๑ พรกิ หนวยเกลือกอน ถาสง; ใหแลว จักมีอายยุ ืนไดถงึ ๘๗ ปQ จึงหมดอายุ คนเกดิ ปสN นั ( ปNวอก ) คนเกิดปQน้ี ผเี สอ้ื อยูจอมปลวก เอาดนิ โคนตนไมโพธิ์ มาป$นe เบา ใหทาวท้งั ๔ มาหลอ ของทีต่ องสง ผา ๔ ผืน เงิน ๒ บาท คาํ ๓ ซกี เบย้ี ๔ แกน ถาส;งใหแลว จะมีเงนิ คาํ มากมูลเป,นดี และจะมอี ายยุ นื ถึง ๙๓ ปQ คนเกดิ ปNเลา ( ปNระกา(ไก;) ) คนเกดิ ปนQ ้ี เทวดาป$นe เบา ยมบาลมาหลอ ของที่ตองสง หมู ๑ ตัว ผาผืน ๑ เงินบาท ๑ คําซีก ๑ เบ้ีย ๑๐๐ บันได ๑ ขาวเปลือกขาวสาร อยางละ ๑ ฉาง ถาส;งใหแลว จะมีอายุยืนตลอดไป คนเกิดปNเสด็ (ปNจอ(หมา) ) คนเกดิ ปนQ ี้ แถนปe$นเบา แถนหลอยามสาย ของที่ตองสง เบ้ีย ๑๐๐๐ ผายเสนวา ๑ หมาตัว ๑ เกลือ ๑๐๐ เงนิ ๓ คํา ๓ ซีก ผาผืน ๑ ซ่นิ ผืน ๑ ถาส;งใหแลว จกั ม่ังมลู เป,นดี มีอายไุ ด ๘๓ ปQ นั้นแล ฯ คนเกิดปNไกB ( ปNกนุ ) ของทตี่ องสง เงิน ๑๐๐๐ คํา ๑ ซกี หมา ๑ ตัว หมาก ๑ หัว พลู ๑ มัด ผา ๑ ผืน ซ่ิน ๑ ผืน ชาง ๑ ตวั เบย้ี ๗ แวน ขาวเปลอื ก ๑ ฉาง ถาส;งใหแลว จะมีดีทกุ อยาง ชวี ิตจะราบรนื่ เงินทอง จะไหลมาเทมา ขอสรุป เรื่องการสงปOูแถน ยาแถน ผูที่มีความเช่ือเร่ืองน้ี ตลอดชีวิตที่เกิดมาจะตองมีการสงแถนสักคร้ังหน่ึงในชีวิต และควรทําพิธีสงตอนที่ไมมีเหตุการณ0เจ็บไขไดปOวยเพราะเม่ือถึงเวลาเกิดเหตุเจ็บไขแลว แสดงวาคนๆ นั้นตองคําแชง แลว แกไขอะไรไมทนั แลว

๓๖ ปรชั ญาว;าดวยความตาย รวบรวมโดย นายอมั พร เทพปน> ตา รองประธานสภาวัฒนธรรมจังหวัดลําปาง ความตายเป,นสิ่งท่ีมาคูกับรางกาย หรือสังขารของสัตว0โลกทุกชนิด ทุกๆ ดาน ตัวตน ทุกๆ ศาสนา ทุกๆ เผาพันธุ0โดยไมสามารถหลีกพนไปไดเลย ดวยเหตุนี้มนุษย0ทุกๆ สมัยทุกๆ กาลจึงพยายามท่ีจะคนหาวิธีท่ีจะเอาชนะ ความตาย แตก็ไมสามารถที่จะเอาชนะได จึงตองยอมรับสภาพแหงความเป,นจริงแหงสังขารท่ีจะตองเป,นไปตามกฎ แหงธรรมชาติ ดวยความจํายอม แตก็ไมท้ิงความพยายามท่ีจะคิดถึงชีวิตหลังความตาย เพราะไมสามารถรูไดวาเมื่อเรา ตายไปนั้นจะไปอยางไร จะไปอยทู ไี่ หน จะไปดวยวิธใี ด จะไปกบั ใครบาง หนทางขางหนาจะเป,นเชนไรก็ไมสามารถทราบ ไดโดยเฉพาะคนไทยน้ันเป,นชนชาติที่มีวัฒนธรรมมายาวนาน มีนักปราชญ0 นักคิดอยูมากมาย มีภูมิป$ญญาเกิดข้ึน มากมายโดยเฉพาะปรัชญาดวยแลว คนไยตั้งแตเกิดมาจะกระท่ังตายจะมีปรัชญาเป,นแนวทางแหงการดําเนินชีวิตอยู ทุกๆ กิจกรรม ทุกๆ ชวงเวลาแหงชีวิตเลยทีเดียว ในที่น้ีจะขอกลาวถึงปรัชญาวาดวยความตายในสวนของเขต ภาคเหนอื ( ลานนา) เพราะปรัชญาวาดวยความตายของชาวเหนอื น้นั มีมาก และแฝงคตธิ รรมไวอยางมากมาย อีกทั้ง ยังละเอียดลึกซ้ึงควรแกการศึกษาเป,นอยางยิ่ง ความตายเป,นบอเกิดแหงป$ญญาดังจะไดแสดงใหทราบเป,นลําดับ ดังตอไปน้ี การอาบน้ําศพ ตองอาบดวยนา้ํ สุกทีต่ มจนเดอื ดแลวพกั ไวจนเย็น แลวนํามาอาบ ใหกบั ศพผูตาย ปรชั ญาแฝงไววา มนษุ ยค0 นเราเกดิ จากความรอน และอยูกับความรอน คือราคะ ทําใหคนเรารอนและเป,นทุกข0 ดุจดัง่ นา้ํ ท่ีรอนยอมเดอื ดพลานไมสงบ เป,นอันตราย เมื่อถูกราดรดบนรางกายคนท่ีมีจิตใจสงบ มีราคะเบาบาง ยอมเป,น สขุ สงบ เยน็ ใจ ดุจดงั่ ทีอ่ ุนจนเยน็ ลงยอมสงบ สะอาด ไมเปน, อันตรายเมอ่ื ราดรดถูกรางกายคนท่ีจับตอง การน;งุ ผากลบั ดานใหศพ ปรชั ญาแฝงไววา คนทีต่ ายไปแลว คือผูท่จี ะตองกลบั ไปสูท่เี ดิม คือกลบั ไปสู ธาตดุ ิน นา้ํ ลม ไฟ ไมสามารถ ดํารงชพี ดงั่ เชนเดิม เหมอื นท่ีเคยเปน, มนุษยไ0 ดอกี แลว การมดั ตราสังศพ ปรัชญาแฝงไววา คนเรานั้นมีหวงดวยกันทุกคน ดังเชนหวงที่มัดตราสังอยูน้ัน คือบวงที่คอ แทนความหวงใย ตอ ลูก หลาน บวงที่ขอมือแทนความหวงใยในสามีภรรยา บวงท่ีขอเทาแทนความหวงใยในทรัพย0สินเงินทอง คนเรา น้ันมีหวงดวยกันทงั้ นัน้ แลวแตวาใครจะมหี วงมาก และแนนเหนยี วกวากนั เทาน้นั การทาํ ปราสาทบรรจุศพ ปรัชญาแฝงไววา คนเราน้ันเมื่อตายไปแลว ญาติพ่ีนองก็หวังวาผูตายจะไดไปสูสวรรค0จึงทําปราสาทข้ึนมา บรรจุโลงศพเพราะมีความเช่ือเร่ืองจักรวาล วาเมื่อผูตายจากไปจะไดไปสูสวรรค0 มีวิมานคือปราสาทเป,นท่ีอยูอาศัย ตอไปในสรวงสวรรค0 การจดุ ธปู ไหวศพ เป,นการจดุ ไหวบอกวิญญาณผูตายหรือเปน, การทาํ ความเคารพผูตาย

๓๗ ปรัชญาแฝงไววา การจุดธูปเป,นการบอกเตือนคนที่ยังมีชีวิตอยู มิใหประมาทในชีวิต เพราะชีวิตของคนเรา เปรยี บเสมอื นธปู ที่จุดขึ้นมา หนึ่งดอก เป,นธรรมดาที่ธูปนั้นจะตองไหมลามไป และส้ันไปเรื่อยๆ ไมมียาวออก ชีวิตของ มนษุ ย0ก็เชนเดียวกนั กับธปู น้ัน ชีวิตมีแตจะสัน้ ลงทกุ ที เดินทางเขาใกลความตายอยูทุกขณะ หน่ึงวันและหน่ึงคืนที่ผานไป ดุจดังหนึง่ กาวทคี่ นเราเดินเขาใกลความตาย ตุงแห;งความตาย ปรัชญาแฝงไววา ตุงสามหางเปรียบด่ังคนหน่ึงคน ท่ีจะตองต้ังอยูบนกฎแหงธรรมสามประการคือตั้งอยูบน ความไมเท่ียง อนิจฺจํ, ความเป,นทุกข0 ทุกขํ, ความไมมีตัวตน อนตฺตา ท่ีเรียกกันวากฎพระ ไตรลักษณ0 หรือ สามัญลักษณะ และตุงสามหางมีสีขาว เป,นสีท่ีเหมือนกับหงอก คือเป,นการบอกใหรูวาเราจะตองจํานนตอพญา มจั จรุ าช อยางทไี่ มสามารถหลีกเลีย่ งไดเลย ถงุ ขาวด;วน ( ถงุ ขาวทม่ี สี ัมภาระอยขู างใน สาํ หรบั คนเดนิ ทางไกล ) ปรัชญาแฝงไววา ญาติพน่ี องท่อี ยขู างหลังผตู ายไมทราบไดวา ชีวติ หลงั ความตายจะเป,นเชนใดไมทราบวาผูตาย จะไปสูสถานท่ีแหงใดจะตองเดินทางเชนไร ดังนั้นจะทําถุงขาวดวนไวใหผูตายเพ่ือจะไดนําไปใชในระหวางการเดินทาง ไปสภู พภูมิใหม แตในทางปรัชญาบอกวาถุงขาวดวนน้ันเปรียบเสมือนกองบุญ กองกุศลหรือบาปกรรมของแตละคนที่ได ทําไว ท่ีเราๆ ทานๆ ทั้งหลายอยูกันทุกวันนี้ก็ดวยถุงขาวดวนเกาที่ไดริรอมกระทํามาในอดีตชาติ จึงไดนํามาใชหรือ บรโิ ภคในป$จจุบันน้ี ท่ีเราๆ ทั้งหลายไดรับความสุขบาง ความทุกข0บางก็เพราะวาเราไดใชหรือบริโภคหอขาวเกาท่ีไดนํา ติดตัวมาแตเดมิ ที และในขณะเดยี วกันเรากําลังสรางสมหอขาวใหมอยู ( ทาํ กรรมดีและกรรมชั่ว ) แลวสิ่งเหลานี้ก็จะติด ตวั เราไปในภพหนาอกี ดังนัน้ ทุกคนควรทําความดีใหมากๆ เพื่อวาภพหนาจะไดสบาย ถุงขาวใหมของเราก็จะเต็มเปQiยม ไปดวยบุญกุศล การเกิดใหมในภพหนาของเราก็จะเป,นภพทมี่ ีความสุขสบายเพราะเราทาํ ความดไี วมากแลว นน่ั เอง การน;ุงชุดขาวดํามาในงานศพ ถือวาเป,นสีท่ีสุภาพเรียบรอย เป,นการใหเกียรติแกผูตายและญาติของผูตาย จึงเป,นกฎและมารยาททางสงั คมในการมางานศพ ปรัชญาแฝงไววา สีขาว และสีดําน้ัน มีมิติท่ีสื่อออกมาตรงกันขามกัน คือสีขาวบงบอกถึงความสวาง สีดําบง บอกถงึ ความมืด มนษุ ยเ0 รานน้ั มีอยูหลายลกั ษณะดวยกัน ดงั นี้ สว;างมา สว;างไป สว;างมา มืดไป มืดมา สวา; งไป มืดมา มดื ไป ดังนั้นเราๆ ทาน ๆ ทั้งหลาย ควรพึงสังวรไวเสมอวาเราจะเป,นบุคคลประเภทใด แตท่ีสําคัญตอนนี้กําลังเขาขายใน เครอื ขายของลกั ษณะเชนใด

๓๘ การลางเรือน การนําหมอดิน (หมอตอม ) มาทาํ การลางเรือน (ใชเป,นภาชนะบรรจุนา้ํ สมปอO ย สําหรับใหพระหรือมรรคนายก ทาํ น้ํามนตพ0 รมตามศพเม่ือตอนยกศพลงเรอื นเม่ือพนเรือนก็จะโยนหมอดินน้นั ลงบนั ไดใหแตกตามขบวนศพ ) ปรัชญาแฝงไววา รางกาย หรือสังขารคนเรานั้น เปรียบเสมือนกับหมอดิน คนเราทุกคนเกิดมาบนโลกน้ียอมมี หู ตา จมูก ปาก ใบหนา รูปราง คลายๆ กัน แตรูปราง หนาตาไมเหมือนกันเลยสักคน ด่ังหมอดินที่ดูแลว คลายๆ กัน แตถาดูใหดีแลว ก็ไมเหมือนกันเลยสักใบ หมอดินยอมมีการแตกสลายไปเม่ือเราโยนมันทิ้งลงกับพื้น ชีวิตของสัตว0โลกก็ เชนกนั ก็ยอมมีการแตกสลายไปอยางรวดเรว็ เชนเดยี วกับหมอดินโดยท่เี ราไมสามารถทําไดเลยวาชีวิตแตละชีวิตน้ันจะ แตกสลายไปเมื่อใด เวลาไหน หรอื ดวยเพราะเหตุใด การโปรยขาวตอกดอกไม นาํ หนาศพ ขณะท่ีเคลือ่ นศพไปสู ฌาปนสถาน ปรัชญาแฝงไววา รางกายเมื่อปราศจากวิญญาณแลวก็เป,นอันสิ้นไปเหมือนกับดอกไมที่รวงโรย ไมมีแกนสาร ไมมีประโยชน0อันใดอีกเลย เหมือนดั่งดอกไมท่ีโปรยอยูน้ัน และธรรมดา ขาวตอกท่ีโปรยไปนั้นก็ไมสามารถท่ีงอกเงย ขึ้นมาเป,นตนกลาใหมไดอีก ถึงแมจะตกลงในท่ีอันอุดม ชุมชื่นสักเพียงใด ก็ไมกลับมางอกเงยไดอีกเลย ดังสังขาร รางกายกเ็ ชนกัน เมื่อปราศจากวญิ ญาณแลวก็ไมสามารถกลับคนื มาดั่งเดิมไดอีก มีแตจะเสื่อมสลาย เนาเปiPอย ผุพังไปใน ทสี่ ุด ดง่ั ขาวตอกนน้ั แล การโปรยทาน ขณะที่เคล่ือนขบวนศพสูฌาปนสถาน หรือท่ีทางเหนือเรียกวา การหุยหมากนาว โดยการนํา เงนิ ยัดไวในผลมะนาวแลวนาํ ไปโปรยทาน ปรัชญาแฝงไววา ผูที่ตายไปนั้น เม่ือเกิดมา ก็มาแตตัวเปลา เม่ือตายไปก็ตองไปแตตัวเปลา ไมสามารถนําส่ิง ใดๆ ไปไดเลย ถงึ จะมที รัพย0สิน เงนิ ทองมากมายสักเพียงใดก็ตาม ก็ไมสามารถนําติดตัวไปได ตองตกเป,นของชนรุนหลัง สืบตอไป และก็อาจจะเกิดการแกงแยงกันในทรัพย0สินนั้นดวย ดุจด่ังท่ีมีคนกําลังว่ิงมาแยงกันเก็บเงินท่ีนํามาโปรยอยูใน ขณะนนี้ ั่นเอง นั่นหมายถึง คนเราควรจะรูจักเสียสละแบงป$น และอยาโลภมาก เพราะถาเราตายไปก็ไมสามารถนําไปได ทรพั ยท0 ีไ่ ดมาดวยความโลภ และทุจริตนั้น พลอยแตจะทําให ลูก หลาน ญาติพี่นอง เกิดความไมสมัครสมานสามัคคีกัน มแี ตจะทาํ ใหเกดิ ความแตกแยกกนั ควรอยอู ยางพอเพียงและไมละโมบโลภมาก การวางผาบงั สุกุล ปรัชญาแฝงไววา รางกายนี้เม่ือปราศจากวิญญาณแลว ก็เป,นอันสูญส้ินไปแหงความละอาย ในสมัยกอนผา บังสุกุลน้ีใชหอศพ และพระก็ไปพิจารณาชักเอามาเย็บทําเป,นผา สบง จีวร คนท่ีตายไปแลว ถึงจะไมมีอะไรป@ดบัง รางกายไวกห็ มดสทิ ธท์ิ จี่ ะอาย รางกายนีก้ ค็ ือธาตุตางๆ มารวมตวั กัน แลวก็จะรองกลบั คนื สูสภาพเดิมตอไปน่ันเอง การผัดตาB ษณิ (อุตราวัฏฏ)) คอื การเดนิ รอบศพท่อี ยูบนเชงิ ตะกอนกอนเผา ( เดินวนซาย )

๓๙ ปรชั ญาแฝงไววา การเดนิ วนรอบศพนั้นจะเดินกลับกันเวลาเดินเวียนเทียน เพราะการเดินรอบศพน้ันหมายถึง การเดินยอนกลับ ๓ รอบ คือใหเราท้ังหลาย จงพิจารณาวาวันเวลาที่เราไดเกิดมาเป,นคนน้ัน เรามีความโลภ ความ โกรธและความหลง เกิดขึ้นกี่ครั้ง ก่ีคร้ังที่เรามีสติรู และก่ีคร้ังที่เราไมมีสติรูเทาทัน ดังนั้นการเดินเวียนซายรอบศพ ๓ รอบนน้ั เตอื นเราวาเราควรมีสติรู ไมประมาท ในการดํารงชีวิต มิใหตกอยูในอํานาจของกิเลส ท่ีมีความโลภ ความโกรธ และความหลง เป,นเครื่องมอื ดกั จับ กักขงั สตั ว0โลกเวียนวาย และวนเวยี นอยูในวัฏฏะสงสาร อยางไมมอี นั รูจกั จบ จกั ส้ิน การวางดอกไมจัน ปรัชญาแฝงไววา ธรรมดาของกล่ินหอมท้ังหลายมีธรรมชาติไปตามกระแสของลมแตมีกล่ินหอมอยูอยางหนึ่งที่ จะหอมทวนกระแสลมนัน้ คอื ศีล ผทู มี่ ีศลี มัน่ คงกับตน ยอมเปน, ที่รัก เปน, ที่บนั เทิงใจ แกผูที่ไดพบเจอ เจรจาดวยยอมเป,น ที่สรรเสริญ ยกยองแกชนท้ังหลาย เปรียบดังกล่ินหอมของเคร่ืองหอม และดอกไม แต กลิ่นหอมของผูมีศีลนั้น ไม เป,นไปตามกระแสลม แตจะลือเลอื่ งไปไดทวั่ ไมจํากัดทิศ ดังนั้น เราทานท้ังหลายควรมีศีลไวใหมั่นคง ก็จะหอมไปท่ัวท้ัง โลกนี้ และโลกหนา การนําน้าํ มะพราวมาลางหนาศพ ปรัชญาแฝงไววา นาํ้ ที่อยูในผลมะพราวนน้ั เป,นนํ้าทใ่ี ส สะอาดบริสุทธ์ิ ซึ่งอยูในใจกลางผล โดยท่ีไมมีใครตักใสก็ มีไดเอง เปรียบดังน้ําใจคนที่ใสสะอาดบริสุทธ์ิ ไมมีใครกําหนดใหได และหาซ้ือไมได เกิดข้ึนเองได ในใจของคนดังน้ํา มะพราวใชลางหนาศพนนั้ เพอ่ื เตอื นสติคนทอ่ี ยบู นโลกนว้ี า เมื่อพบหนากันควรมีน้ําใจท่ี ใสสะอาด บริสุทธิ์ตอกัน อยาหนาไหวหลงั หลอก ควรจรงิ ใจตอกัน ทง้ั ตอหนาและลบั หลัง เม่ือเจามามีอะไรมาดวยเจา เจาจะเอาแตสุขสนกุ ฉะไหน เม่อื เจามามอื เปลาจะเอาอะไร เจาก็ไปมือเปลาเหมอื นเจามา การจุดเทียนสังขร- เทียนจั๋งกBร คือ เทียนไขหรือเทียนขี้ผ้ึง จํานวน ๖ เลมที่จุดขางละ ๓ เลม ไวกับพ้ืนใกลๆ กับโรงศพตอนทพี่ ระสงฆ0สวดมาตกิ า ปรัชญาแฝงไววา เทียนทั้ง ๖ เลมน้ัน เปรียบด่ัง กายตนท้ัง ๖ อันประกอบดวย ตา หู จมูก ล้ิน กาย ใจ ประกอบเขาดวยกัน อยูในรางกายเดียวกัน ยอมจะตองดับสลายไปทีละอยางหรือดับสลายไปพรอม ๆ กันก็เป,นได ทั้งนั้น เชนบางคนอาจะตาบอดดับเสียไป บางคนก็รางกายพิการ บางคนก็หูหนวกหรือหูตึงก็มี รางกายน้ีเป,นไปตาง ๆ นา ๆ แตในที่สุดก็ตองตายดับสิ้นไป ไมเหลือส่ิงใดไวอีกเลย ดั่งเทียนทั้ง ๖ เลมท่ีจุดไว มันอาจจะดับไปกอน ๑-๒ เลม เพราะสาเหตุอ่ืนใดก็ตาม แตในท่ีสุดก็จะตองดับมอดลงไปในที่สดุ เมอื่ มนั ไหมจนสุด ไสเทียน อันความตายชายนารี หนีไมพน จะมีจนกต็ องตาย กลายเป,นผี ถึงแสนรกั ก็ตองราง หางกันที ไมวันนกี้ ็วันหนา ชาหรอื เรว็

๔๐ การเผาศพ ปรชั ญาแฝงไววา มนษุ ย0นัน้ เกิดมากด็ วยไฟ ก็ตองดับสลายไปดวยไฟ น่ันคอื ตวั ตนของมนุษย0นั้น เกดิ ข้นึ ก็ดวยไฟ (ราคะ) ในทส่ี ุดก็จะตองดับสลายไปดวยไฟ การก;อกองไฟและน้าํ ใส;หมอวางไวที่หนาประตบู าน การก;อกองไฟและนํานํ้าใส;หมอดนิ ใบเล็กวางไวท่ีหนา ประตูบานของผตู าย ๓ คนื หลงั จากเผาศพ ปรชั ญาแฝงไววา มนุษยน0 น้ั เกิดมาก็ดวยไฟ ก็ตองไปดวยไฟ นนั่ คอื ตัวตนของมนุษย0นน้ั เกิดขน้ึ กด็ วยไฟ (ราคะ) ฉนั ใด ในที่สุดก็จะตองดับสลายไปดวยไฟฉนั น้นั แตในเม่ือเรายังไมสิ้นกเิ ลสตัณหา เรายอมมีเช้อื ไฟติด ไปดวยและพรอม ท่จี ะลกุ โชนขึน้ ใหมได ในวัฎฎะสงสารนี้ ดังไฟท่ีกอข้ึนมาน้ัน สวนนา้ํ นน้ั หมายความวาเราควรมนี าํ้ คอื ธรรมะไวคอยดับ ไฟ คือกเิ ลสอยูเปน, นิจ ด่ังกับท่ีมหี มอนํา้ อยูคกู ับกองไฟ ฉะน้นั แล ดังเราจะเห็นไดวา ความตายเป,นบอเกิดแหงปรัชญาหลาย ๆ ประการและยังเป,นบอเกิดแหงป$ญญาหลายๆ อยาง เป,นบอเกิดแหงกุศลบายท่ีดีท่ีทําใหคนละเวนความช่ัว ทําความดี ทุกสิ่งทุกอยางมิใชวาจะมีแตขอดีหรือขอเสีย เสมอไป ในส่ิงท่ีดียอมมีสิ่งท่ีเสีย ในส่ิงที่เสีย ยอมมีส่ิงที่ดีอยูคูกันไป ดุจด่ัง พระอาทิตย0กับพระจันทร0 ดุจกลางคืนกับ กลางวัน มนุษยไ0 มสามารถหลกี พนจากความตายไปไดเลย ดวยเหตุน้ีมนุษย0ทุกๆ สมัย ทุกๆ กาล จึงพยายามที่จะคนหา วิธที ่จี ะเอาชนะความตาย แตก็ไมสามารถท่ีจะเอาชนะได จึงตองยอมรับสภาพแหงความเป,นจริง แหงสังขารท่ีจะตอง เป,นไปตามกฎแหงธรรมชาติ ดวยความจํายอม แตก็ไมท้ิงความพยายามที่จะคิดถึงชีวิตหลังความตาย เพราะไมสามารถ รับรูไดวา เม่ือเราตายไปนั้น จะไปอยางไร จะไปอยู ท่ีไหน จะไปดวยวิธีใด จะไปกับใครบาง หนทางขางหนาจะเป,น เชนไร ก็ไมสามารถทราบได เพียงแตรูวา ตองทําความดีใหมากเขาไว เผื่อวาตายไปแลวจะไดสบาย เมื่อเกิดใหมอีกชาติ ก็จะไดสบายเชนกนั ฉะนนั้ พึงสงั วรไวเสมอวา ทาํ ดียอมไดดี ทําชั่วยอมไดช่วั

๔๑ ผีดี -ผีป#ยู ;า (ความเชือ่ ในอุดมคติของคนเมอื ง) รวบรวมโดยนายอนกุ ลู ศริ ิพันธ)ุ วิทยาลัยอินเตอร)เทคลําปาง “เจ็ดเจ;นเปRนเกSา เกSาเจ;นเปRนแดน แสนเจ;นเปRนขะกูล” เป:นคํากล;าวเพ่ือระลึกถึงบรรพบุรุษที่ล;วงลับไป แลว ความเชือ่ เร่อื งนบั ถอื ผี ในอดุ มคตขิ องคนเมือง “ผี” หรือวิญญาณเป,นการแยกสถานะที่แสดงถึงส่ิงท่ีตรงกันขาม คือ การมีชีวิตและไมมีชีวิต เป,นความแตกตางระหวางรางกายที่ยังมีลมหายใจ และ รางกายท่ีไมมีลมหายใจ กลาวคือ การมีชีวิตเป,นรูปรางท่ีเห็นได สัมผัสได แตเงาซ่ึงเป,นรูปรางท่ีสองของมนุษย0และท้ังสองส่ิงนี้จะมีความสัมพันธ0และไม สามารถแยกจากกันได (รางกาย+เงา) เม่ือรางกายหมดความรูสึก หมดลมหายใจ หรือตายลง เงาก็คือ ผีท่ีลองลอย ออกจากรางกาย ซ่ึงคนตายรางกายจะเนาเปiPอยและยอยสลายไป แต;ส่ิงท่ียังอย;ูและค;ูกันไป ท่ีเราเรียกว;า เงา หรือ วิญญาณ ของคนทต่ี ายไปแลวซึ่งเรยี กว;า “ผีตBาย” ความคิดท่ีเกิดจากการเปล่ียนสถานะของร;างกายท่ีเกิดจากความตาย หรือการหมดสภาพของรางกายไม สามารถใชงานไดตอไป จึงกลายเป,นพลังอํานาจชนิดหน่ึงและเป,นสิ่งท่ีนาสงสัยพลังท่ีเหนือธรรมชาติ ไมสามารถหา คาํ ตอบได จงึ กลายเป,นความเช่ือเรื่องผีและวิญญาณ ความเชื่อในสิ่งศักดิ์สิทธิ์ท่ีคนพ้ืนเมืองตองการท่ีจะคนหาคําตอบ นํามาซ่ึงการแกไขป$ญหาจนพัฒนากลายเป,นส่ิงท่ียึดเหนี่ยวทางดานจิตใจ เป,น ศูนย0รวมของสถาบันครอบครัวและ ชุมชน เป,นท่ีพึ่งของสังคม โดยผาน “ผี” ซ่ึงอยูรวมกับคนและมีระบบขบวนการที่ทับซอนกัน “ผี” เป,นสวนหนึ่งที่ สําคัญของวิถีชีวิตของคนเมือง เป,นความผูกพันระหวางผีและมนุษย0 เป,นผูท่ีคอยคุมครองปกปNองรักษาตลอดจนคอย แกไขป$ญหาในขอขัดแยงภายในครอบครัว ชุมชน และสังคม อยางผสมกลมกลืนจนไมสามารถแยกจากกันได ที่คน พ้ืนเมอื งเรยี กวา “ผดี ี” หรือ “ผปี ู#ย;า”

๔๒ “ผี” ในความคิดของคนเมือง เกิดจากบุคคลท่ีสําคัญในครอบครัวหรือเป,นผูอาวุโสที่ทําคุณประโยชน0ใหแก ชุมชน รวมไปถึงปูO-ยา-ตา-ยาย เมื่อทานเหลาน้ันตายลงหลังจากที่ลูกหลานทําการเผารางกายไปแลว ในอดีตไมมี รูปภาพของผูตายไวดู และคนเมืองไมนิยมที่จะเก็บกระดูกไวท่ีบาน นิยมท่ีจะนํากระดูกไปลอยนํ้าเป,นสวนใหญ จึงเก็บ เฉพาะเส้ือผาเครื่องนุงหมของผูตายชิ้นสําคัญไว เพ่ือทําการบูชาในโอกาสสําคัญ เชน ในชวงปnQใหมเมือง (เทศกาล สงกรานต0) และมักจะทําห้ิงไวบูชาหรือทําเป,นหิ้ง ไวทางทิศเหนือหรือทิศหัวนอน ของบาน เพื่อระลึกถึงผูตาย คน เมืองมักเรียกวา “ห้ิงผีดี” หรือ “หิ้งผีป#ูย;า” และเรียกอีกอยางวา “หิ้งผีเฮือน” (ผีเรือน) ไวคอยปกป$กรักษา คมุ ครองลกู หลาน หิง้ ผปี ู#ยา; (ผเี ฮอื น) “ผีดี” จึงทําหนาที่เป,นผูคอยดูแลสมาชิกและเครือญาติท่ีอยูในกลุมเดียวกัน เม่ือลูกหลานเกิดป$ญหาที่ไม สามารถหาคาํ ตอบไดจงึ ทําการบชู าขอให “ผดี ี” ชวยในป$ญหาท่ีเกิดขน้ึ จึงเกิดการตอรองระหวางลูกหลานและผีดี ท่ี เรียกวา “การบน” เม่ือประสบผลสําเร็จจึงไดถวายอาหารคาวหวาน เพ่ือเป,น ขอแลกเปลี่ยน เมื่อสมาชิก หรอื คนในครอบครวั เกิดป$ญหาบอยคร้งั ขนึ้ ลกู หลายจึงทาํ การถวายอาหารคาวหวานทกุ ครง้ั ที่ขอให ผีดีชวย การถวายอาหารแกผีดีบอยครง้ั ทําใหเกิดปญ$ หาทางเศรษฐกจิ ในเรอ่ื งคาใชจายทเ่ี พมิ่ มากข้ึน จึงมี ขอตอรอง กับ “ผีดี” ขอเป:นการเล้ียงถวายอาหารคาวหวานทุกๆ ปQ แลวแตจะกําหนดวัน เวลาในการเลี้ยงถวาย เพื่อให “ผีดี” คอยดแู ลคมุ ครองใหสมาชกิ ในครอบครัวมีความสุข สวนมากจะทํากอน หรือหลงั ฤดู เก็บเกี่ยว หรือ ๓ ปQจะเล้ียงถวาย ๑ ครง้ั แลวแตภาวะทางเศรษฐกจิ ของสมาชิกในครอบครัว จึงทําใหเกิดระบบความเชื่อเรื่องผีดีหรือผีปูOยาในกลุมเครือ ญาตเิ ดยี วกันหรือทีเ่ รยี กวา “กลมุ; เครือญาติผีเดียวกนั ”

๔๓ เม่ือมี ครอบครัวหลายครอบครัวรวมกลุมข้ึน ขยายกลายเป,นชุมชน สังคมและเป,นเมืองใหญ จึงทําใหเกิด ขบวนการจัดระเบียบทางดานความคิดและเกิดพิธีกรรมในกลุมเครือญาติ การนับถือผีที่เรียกวา “ผีดี” หรืออํานาจ เหนอื ธรรมชาติ กลายเป,น กฎทางสังคมทีม่ ีแบบแผน ความสัมพันธ0ระหวางระบบการเมืองการปกครอง โดยมีคําสั่งสอน ของศาสนาพุทธ แฝงอยูในประเพณีการนับถือผี ที่แสดงออกมาในรูปแบบของพิธีกรรมตางๆ เชน การเลี้ยงผีปOูยา การ ฟNอนผมี ด ผีเมง็ ฯลฯ ซึง่ ปรากฏสืบทอดมาจนถึงป$จจุบัน ผีป#ูย;า ที่เรียกว;า “ผีมด” ส่ิงท่ีคนพื้นเมืองหรือชาวเหนือทางภาคเหนือตอนบนไดใหความเคารพนับถือเกี่ยวกับความเชื่อ นับถือผีบรรพ บุรุษทีเ่ รียกโดยทัว่ ๆ ไปวา ผีปูO–ผียา หรือ ผดี ี ประเพณีการนบั ถือผีบรรพบรุ ุษ ไดแบงแยกตามลักษณะของผีตระกูล อันหมายถึง การเป,นเครือญาติผีเดียวกัน การนับถือสายผีหรือตระกูลจะนับถือผีทางฝOายบิดา หรือมารดาน้ัน ข้ึนอยูกับการแตงงาน ถือวาเม่ือแตงงานแลวจะไป อยูบานฝาO ยหญงิ หรือฝOายชาย แตในอดีตน้ันฝOายชายจะตองแตงเขาบานของ ฝOายหญิงเสมอ การนับถือผี ฝOายชายตอง มานบั ถอื ผีฝาO ยหญงิ หรือเรยี กวา “ลกู ขน้ึ ” เม่อื มบี ตุ รก็ตองนับถือผีฝาO ยพอ เปน, หลัก.

๔๔ การนับถือผีบรรพบุรุษในสายตระกูลผีปOูยา ที่เรียกวา “ผีมด” ซึ่งจะไมเกี่ยวกับสายตระกูลของผีเม็ง ซ่ึงเป,น สายตระกูลของชาวมอญ หรือสายตระกูลของเจาผูครองนคร ซึ่งจะกลาวตอเป,นลําดับตอไป ผีมดเป,นผีบรรพบุรุษที่ เป,นตระกลู ของบุคคลผมู ีความรู ความสามารถหรือเป,นครู พอคา คหบดี ผีมดเป,นผีไทยโบราณ (มดหรือหมอ), (พอมด, แมหมอน) หรืออาจจะเปน, ผูรูทางดานเวทมนต0 ไสยศาสตร0 หรือผูรทู างดานพธิ ีกรรม ผีมด สามารถทราบช่ือยอนหลังไปไดถึง ๖-๗ ชวงอายุคน สามารถทราบถึงประวัติวาเป,นใครมาจากไหน หรือ อาจจะเป,นขุนนางผูมียศตําแหนง เชน ขุนหม่ืน แมกระทั่งระดับเจาฟNา ชนช้ันการปกครองก็เป,นไปได หรือเป,นผีของ บุคคลท่ีทําคุณงามความดีใหแกบานเมือง นําความเจริญมาสูหมูบาน ซึ่งเป,นคนในตระกูล เมื่อทานท้ังหลายตายลงก็ ไดรบั การยกยองใหเป,นผบี รรพบุรษุ หรือผีปOยู า อยูในประเภทผมี ด ใหลกู หลานไดกราบไหวบูชา โดยจะสรางหอผีไวทาง ทศิ เหนอื ของบานเกา] ผี หรอื ทาํ หงิ้ ไวบนบานของผเู ป,นผเี ก]า (ผูอาวุโสของตระกูล) ประเพณีการเลี้ยง “ผีมด” ในแตละสายตระกูลจะกําหนดการเล้ียงผีมด ในบางตระกูลจะเลี้ยง ๓ ปQ ๑ ครั้ง (๓ ปQฟNอน) บางตระกูลจะเลี้ยงผีมดทุกๆ ปQ การกําหนดเวลาเล้ียงผีมดมักนิยมประมาณเดือน ๖ เหนือหรือเดือน ๔ ใต ประมาณเดอื นมนี าคมเปน, ชวงกอนฤดเู กบ็ เกี่ยว อาจจะเป,นเดือน ๙ เหนือหรือเดือน ๗ ใต ประมาณเดือนพฤษภาคม, มิถุนายน แลวแตตระกูลน้ันๆ จะเป,นผูกําหนด เชน เดือน ๖ เหนือ ข้ึน ๓ ค่ํา หรือเดือน ๖ เหนือ ข้ึน ๑๓ ค่ํา การ กําหนดจะเลอื กเอาวันที่ถือวาดีทสี่ ดุ และไมเปน, วนั เสียประจําเดือน มักจะไมเลี้ยงผีปูOยาในวันพุธ และวันพระ การเลย้ี งผีป#ยู ;า (ผมี ด) จะทาํ กนั ๓ ลักษณะ คือ ๑. พธิ แี ตงงาน (กิ๋นแขก) ๒. เลีย้ งประจาํ ปQ (ปาb เวณี) ๓. แกบน การเล้ียงผปี #ยู ;า (ผมี ด) ในพิธแี ตง; งาน การเลี้ยงผีมด ฝOายชายจะตองมาข้ึนผีหรือบอกกลาวใหผีปูOยาของฝOายหญิงและ จะเลี้ยงผีปOูยากอนหรือหลัง แตงงาน ก็จะข้ึนอยูกับความสะดวกของคูบาวสาว แตในอดีตจะตองเล้ียงกอนวันแตงงาน โดยฝOายชายจะนําญาติ ผูใหญของตนเอง นําสุรา หัวหมู ไก ลาบ แกงออม จ้ินป@eง ตับปe@ง ขนมขาวตม ผลไมตางๆ ขันขาวตอกดอกไม หมากหวั (หมากดิบ) เงนิ ๑๕ ฮอยหรือประมาณ ๑๕ บาท นําเครื่องสังเวยและเครื่องบูชามาไหวผีปOูยาหรือบานเก]าผี มักจะเป,นบานของเจาสาวเอง หรือบานญาติผูใหญของเจาสาว โดยมีญาติทางฝOายเจาสาวที่เป,นเครือญาติกันมา จดั เตรยี มสถานที่บนหอผีปOยู า หรอื ท่ีเรยี กวา “การเล้ียงลูกข้ึน” การเล้ียงผีปูOยาจะเริ่มข้ึนกอนเพลหรือกอนเที่ยง ขณะ เวลาเล้ียงผีปูOยาทางฝOายชายจะขออธิฐานขอลูกหลาน (เจาสาว) และทําการขอขมาตอผีปOูยา โดยมีญาติผูใหญของฝOาย

๔๕ ชายเปน, ผูบอกกลาวตอผปี OูยาของฝาO ยหญิงใหยอมรบั ในตัวของเจาบาววามีความพรอมที่จะดูแลเจาสาวได จึงมาทําการสู ขอและขอใหรบั ไวเปน, ลกู เปน, หลานและถือเอาเป,นผีสายตระกลู เดยี วกนั ในกรณีทีป่ ลกู เรอื นหอใหม ทางฝOายเจาสาวจะแบงหมาก สวยดอก (กรวยดอกไม) ใหเจาบาวถือไวเพื่อแสดงถึงการรับเอาเจาบาวมาเป,นคน ในครอบครัว (ลูกข้ึน) โดยใหเอาของเหลาน้ันใสพานแลวทําหิ้งไวท่ีเรือนหอหลังใหม ในกรณีท่ีบานเจาสาวเป,นเรือนหอ อยูแลว ก็ไมตองแบงหมาก แตจะนําเอาหมากขึ้นห้ิงผีเรือนก็ได ถือเป,นการรับเอาลูกเขยเป,นเสร็จพิธี หลังจากนั้นญาติ ท้ังสองฝOายจะนําสุรา อาหารมาเล้ียงญาติๆ ท่ีมารวมงาน และพูดคุยถึงขอตกลงเร่ืองงานแตงงาน ทางลานนามักจะ เรียกวิธีน้ีวา “เล้ียงลกู ขนึ้ ” หมายถึงการยอมรับสมาชิกใหมเขามาอยูในครอบครัว เป,นการบอกกลาวผีปOูยาใหรับทราบ และเป,นพยาน ในกรณีทมี่ กี ารผดิ ผตี องมกี ารขอขมากนั กอนทจี่ ะเลยี้ งลกู ขน้ึ มกั จะเรียกวา “สุมาขั้นตึก” ถือเปน, การกลาวโทษทางฝOายชายทไี่ ดลวงเกินฝาO ยหญงิ กอนเวลาอันควร ตองมีการเสียผีกอนที่จะเลี้ยงผีปOูยา โดยการ เพ่มิ พานใสหมากพลูเรียงกัน ๑๒ ใบ เหลาขาว ขาวสาร ผาขาว ผาแดง เงินตามจํานวนท่ีฝOายหญิงจะเรียกรอง และนํ้า ขมิ้นสมปOอย หมาก ๑๓๐๐ เบ้ีย ๑๓๐๐ นํามาเป,นเครื่องไหวแกผีปูOยา ทางฝOายหญิงจะทราบไดอยางไรวามีการผิดผีก็ ตอเมื่อญาติผูใหญของฝOายหญิงลมปOวยหรือเกิดเหตุรายข้ึนภายในตระกูลของฝOายหญิง จึงเกิดการซักถามหรือเคนเอา ความจริงจากฝOายหญงิ วาไดทาํ การลวงเกนิ ซ่ึงกันหรือไม ถาเกิดมีการลวงเกินจริงทางฝOายชายตองมาทําการขอขมากอน จึงจะทําใหญาติของฝOายหญิงหายจากเหตุรายในตระกูล ถาเกิดกรณีการผิดผีเกิดข้ึนแลว ทางญาติฝOายหญิงมักจะไม พอใจฝOายชาย ทาํ ใหเกดิ ขอพิพาทเกดิ ขึ้นระหวางญาติผใู หญทั้ง สองฝาO ย ในอดีต การผิดผีจะเป:นส่ิงที่สังคมและชุมชนไม;ยอมรับระหว;างชายหญิง หรือท่ีเรียกว;า “ชิงสุกก;อนห;าม” ทางภาคเหนือเรียกว;า “มานก;อนแต;ง” หรือทองก;อนแต;ง เป:นส่ิงท่ีไม;สมควรเกิดข้ึนในตระกูล อันแสดงถึงพอแม ของฝOายหญิงในการเล้ียงดูบุตรีไมใหรักนวลสงวนตัว ในอดีตหญิงสาวกับชายหนุมจะน่ังคุยกันตองมีผูใหญฝOายหญิงอยู ดวย โดยไมใหนั่งบนพ้ืนไมแผนเดียวกัน ถานั่งบนพื้นไมแผนเดียวกันก็ถือเป,นการผิดผี การจับมือถือแขนก็ไมไดถือเป,น การไมสมควร อยใู นหองเป,นที่ลบั ตาคนก็ไมได จะไปท่ีไหนพอแมฝOายหญงิ จะเป,นผูคอยดูอยหู างๆ

๔๖ ในปจE จุบันกย็ ังพอมใี หเห็นอยบู; าง แต;ก็เกอื บจะสูญหายไป เพราะในปจE จบุ ันไมไ; ดมาเล้ียงผีปู#ย;าหรือ “เลี้ยง ลกู ขึน้ ” แลว มักจะมีพิธีหม้ันและแต;งงานกันเลย พิธีนี้จึงไม;ค;อยปรากฏและการผิดผีก็ไม;มีแลว ถายังมีการผิดผีอย;ู ผีป#ูยา; คงไดรับการเลี้ยงอยู;เป:นประจํา ผีปู#ย;า = การเล้ียงผมี ดประจาํ ปN การเล้ียงผีมดประจําปQน้ันขึ้นอยูกับสายตระกูลจะเลี้ยงทุกปQหรือ ๓ ปQเล้ียง หรือ ๓ ปQฟNอน ขึ้นอยูกับการ กําหนดของสายตระกูลหรือฐานะทางเศรษฐกิจของลูกหลาน การเล้ียงผีมดประจําปQ หรือเรียกวา “ประเพณีฟ1อนผี ปยู# ;า” ซง่ึ จะตองยึดถอื และทําสืบตอกนั มา การเลยี้ งผีมดประเพณี มี ๒ แบบ ๑. เลี้ยงตําหอหรือเลีย้ งดัก ซึ่งการเลี้ยงประเภทนจี้ ะบอกเฉพาะคนในตระกูล สายผีเดยี วกนั เทานนั้ และเพื่อนบานทีส่ นทิ กันจะเร่ิมจากบานเก]าผี หรือเฮือนเก]าเป,นผูกําหนดวันเวลาในการเล้ียงและใหลูกหลานทราบโดย ทว่ั กนั โดยจะมีตวั แทนจากบานเกา] ผไี ปเร่ียไรเงินหรอื ของใชในการเลี้ยงผีปูOยาประจาํ ปQ บางรายก็เอาเงินมาให บางราย ก็เอามะพราว ขาวสาร พริก หอม ฯลฯ กอนถึงวันที่กําหนดเล้ียงผีปOูยา ลูกหลานจะมาพรอมกันท่ีบานเก]าผี เพ่ือ ชวยกันทําความสะอาดหอผีปOูยา เชน ลางนํ้าตน เอาชาง มาลาง เปลี่ยนดอกไม ปูผาใหม รวมไปถึงทําความ สะอาดหิ้งผีเรือนที่อยูบนบานเก]าผี ฝOายท่ีจัดเตรียมอาหารก็จะเตรียมนํ้าพริก ลาบ ขนมหวาน ขาวตม มักจะทําใต ทุนบานของเก]าผี บางบานเล้ียงหมูเป,นตัวจําตองเอาหมูมาเล้ียงไวที่บานกอนรุงเชาจึงจะฆา เพื่อจะเอาสวนตางๆ มา ทําอาหารเลี้ยงผีปูOยา

๔๗ การเล้ียงผปี ระจําปNนั้น มกั จะเร่ิมตั้งแต;เชาประมาณตี ๔ ในกรณีบางบานท่ตี องฆา; หมู อาหารที่เลี้ยงผีปู#ย;า นนั้ ประกอบไปดวย หวั หมู ๑ หวั หรอื ๑ ตวั โดยเอาสว; นตา; งๆ มาทาํ เช;น สว; นหวั นนั้ แบง; ครงึ่ การเล้ียงผีปู#ย;ามดน้ันจะตองทําอาหารเป:น ๒ ชุด ชุดท่ี ๑ น้ันเลี้ยงผีเรือนที่อยูในหองหรือบนบานของเก]าผี ชุดที่ ๒ นั้นนําไปเลี้ยงท่ีหอผีปูOยา ซ่ึงมักจะอยูทางทิศเหนือของบานเก]าผี สวนหัวหมูน้ันแบงครึ่งสวนตีนหมูและหาง น้ันเอาไวเลี้ยงผีปOูยาในหอ สวนหัวเปลาๆ เลี้ยงผีเรือน อาหารอยางอื่นก็ประกอบไปดวย สุรา หรือเหลาโรง ลาบ แกงออม หลู ยําไส ไสอ่ัว จ้ินป@eง ตับป@eง ซ่ีโครงยาง มะพราว นํ้า ขนม สวนใหญจะเป,นขนมตม ขนมเปQยกดํา เปยQ กแดง ขาวตม ฯลฯ เลยี้ งหมาก เมี่ยง กระโถน หมอนพงิ เสื่อ ขนั ขาวตอกดอกไม น้ําสมปOอย ในการจัดขันตั้ง เพื่อการเล้ยี งผมี ดนนั้ มักจะใชการเรยี งใบพลู เชน เรยี ง ๑๒ ใบ หรอื ๙ ใบ แลวแตผีตระกูลกาํ หนด ขนั ต้ังเลี้ยงผีมด ประกอบดวย เรียงใบพลู ๑๒ ใบ ประกอบดวยหมาก ๑๒ คําใบพลู ปูนแดง, ดอกไม ๑๒ ดอก, น้ําขมนิ้ , นาํ้ สมปOอย, ขาวสาร ผาขาว ผาแดง เงิน ๑๒ บาท, หมาก ๑๒ เสนหรอื ๑๓๐๐, เหลาขาว ๑ ขวด เคร่ืองเซ;นไหวจะตองจดั ๒ ชดุ บนบานผเี รือน ๑ ชดุ ไปเลี้ยงทห่ี อผีปOูยา ๑ ชุด หลังจากจัดสํารับคาวหวาน เรียบรอยแลว เก]าผีและกําลัง (หมายถึงผูเชิญผีปOายา) จะจุดธูปเชิญผีเรือนมารับเอาเครื่องสังเวยบนบานกอน โดย

๔๘ ลูกหลานก็จะขึ้นมาโดยพรอมกันจุดธูปอธิฐานขอความสุข ขอในสิ่งท่ีตนปรารถนา แลวก็เอาธูปป$กลงบนเคร่ืองสังเวย ตางๆ เป,นเสร็จพิธีบนบานเสร็จจากบนบานแลวลูกหลานนําโดยเก]าผีและกําลัง จะพาลูกหลานไปยังที่หอผีปOูยา จะ กลาวเชญิ ผปี ูยO ามารับเครื่องสงั เวย กลาวคําขอขมาแลวลูกหลานป$กธูปลงบนเครื่องสังเวย หลังจากน้ันกําลังก็จะเอาขัน ขาวตอกดอกไมมาเชิญผีปOยู า ลงทรงผูท่ีเป,นรางทรงหรอื ผเี ก]า เมื่อลงมาบอกกลาวใหพรแกไขป$ญหาขอของใจของลูกหลาน เพ่ือหาวิธีแกไขตอไปจะมีการลงมาฟNอนรํา โดย การเป@ดวทิ ยเุ ทปตามจังหวะดนตรีทบ่ี นั ทึกเพลงฟNอนผี ท่ีเรยี กวา เพลงมอญ พอถึงเวลา ๑๑.๐๐ น. เก]าผีหรือผีปOูยาต`น เก]าจะพาผปี ูยO าทปี่ ระทับรางลูกหลานอื่นๆ สองขาวโดยการติดเทยี นหรือเทยี นขผี้ ้ึง ลงบนปลายดาบหรือหอก แลวผีปูOยา ก็จะรําไปรอบๆ สํารับคาว หวาน ที่จัดเตรียมไว จะข้ึนไปสองบนบานดวยก็แลวแตผีปOูยาเป,นเสร็จพิธีเลี้ยงผีปูOยา หลังจากนนั้ ผปี ูยO าจะมัดมือดวยดายสายสญิ จนแ0 ละใหพรลูกหลาน อาจจะอยูตอกินเหลา สูบบุหร่ี อมเมี่ยง พูดคุยกับ ลกู หลาน ถงึ เวลาก็จะออกจากการประทับทรง หลังจากนนั้ ลูกหลานก็นาํ สํารับอาหารมากนิ เปน, การพบปะสังสรรค0 ในวงญาตทิ ่ีไมไดเจอกนั พูดคุยสนทนาสารทุกข0 สุกดบิ ซงึ่ กนั และกัน ใน สวนท่ีเลย้ี งผเี รือน (สวนที่อยบู นเรือน) จะไมนํามาเลีย้ งญาติพน่ี อง จะเกบ็ เอาไวใหผเู ป,นเจาของบาน ใหเกา] ผีและลูกหลานกิน คือ เปน, ธรรมเนยี มท่ี ยึดถอื ปฏบิ ัติมา จากนนั้ กจ็ ะชวยกนั ลางจานทําความสะอาดใหเหมอื นเดมิ บางบานก็อาจจะฉลองกนั ถงึ เยน็ ในกรณีท่ีญาติมากอาจจะนาํ สรุ ามาดื่ม ถอื เปน, การพบปะกันในวงศต0 ระกลู ทเี่ รียกวา “เล้ียงดัก” หมายถึงเลีย้ ง แบบไมมดี นตรี วงปQiพาทย0 เลีย้ งเฉพาะกลมุ ตระกูลผสี ายเดียวกันหรอื เลยี้ ง ตาํ หอ หมายถงึ ยกข้ึนไปเลีย้ งบนหอผปี Oูยา ไมไดสรางปะรํา การเลีย้ งผมี ดแบบแกบน การแกบนเกิดจากลูกหลานภายในตระกูลลมป#วยลง รักษาไม;รูหายจึงมีการบนบานสานกล;าวต;อผีป#ูย;า โดยจัดข้ึนท่บี านของเกาS ผี โดยกาํ ลงั จะเป,นผูจัดเตรยี ม เชน ไมแหลมดานปลายยาว ๑ วา ดอกไมธูปเทียน ขนไก ขน หมู หอมัดติดกับไมทางดานปลายที่ไมแหลม จัดพานใสขาวตอกดอกไม น้ําสมปOอย กําลังจะพาญาติพ่ีนองมานั่งรอบๆ หอผีปOูยา บนบานใหลูกหลานหายจากการเจ็บปOวย โดยมีพยาน ๒ ถึง ๕ คน ข้ึนไปเป,นนายประกันวา ถือสัตย0ตามท่ี กลาวไวกบั ผปี ยูO า ถาหายแลวจะเลย้ี งตําหรอื จะฟNอนให เรยี กวาฟNอน ๑ ผาม พออธิฐานเสร็จแลวกําลังก็จะเอาไมปลาย แหลมป$กลงดนิ ขางๆ หอผปี ูยO า เพ่อื เป,นหลักประกนั แลวเอาน้าํ สมปOอยรดท่ไี มนน้ั เรียกวา “ไมปEกเสาผาม” หลังจากนั้นก็จะรอจนกวาลูกหลานจะหายจากอาการปOวย แตถาไมหายหรือตายไป กําลังก็จะมาดึงเสาทิ้งลง แมนํ้า โดยจุดธูปบอกผีปูOยารับรูถึงการไมเอาความซ่ึงกันและกันโดยนําพยานมาเป,นผูรับรู-รูเห็นในเหตุการณ0ครั้งน้ีดวย แตในกรณีที่หายจากการเจ็บปOวยข้ึนมา ตัวผูปOวยเองก็ตองนําขันขาวตอกดอกไมไปบอกผีปูOยาวา ตอนนี้ไดหายจากการ เจ็บปวO ยแลว และจะขอเลยี้ งแกบนตามท่ไี ดสญั ญาไว

๔๙ ผูปOวยและญาตๆิ ก็ไปคุยกับกาํ ลงั เกา] ผถี ึงการกําหนดวนั เวลา ในการเลีย้ งแกบน คําบอกกลาวตาม คําอธิฐาน ขอผปี ูยO าไว ถาเล้ยี งธรรมดา หมายถึง การเลี้ยงโดยไมมีดนตรี แตถาไดบนไววา จะฟ1อนเป:นผาม ก็จัดเตรียมเครื่องพิธี คลายกับการเล้ยี งประจําปQ แตเพิม่ บายศรสี ขู วัญ ๑ ชุด สะตวงเครอื่ ง ๔ จาํ นวน ๑ ชุด มีการ บอกกลาวผีปOูยาที่เป,น เครือญาติและผูท่ีเคยบอกกลาวคลายกับฟNอนประเพณี แตการแกบนคนปOวยจะเพิ่มพิธีกรรมของวันฟNอนวันที่ ๒ คือ หลังจากเลีย้ งผีปยOู าหรือสองขาวตอน ๑๑.๐๐ น. แลวผปี Oูยาเกา] ผี กาํ ลัง และพยานตอนท่ีมาบน นํามีดดาบ หอก ไปเอา เสาแกบนออกไปไหลนํา้ เรียกพิธนี ้ีวา “ลกS เสาผาม” ถือวาเอาหลักฐานของการแกบนออกไมเปน, หนี้ซงึ่ กนั และกนั หลังจากนั้นผีปูOยา เก]าผี และผีปูOยาที่มีอาวุโสก็จะไดรับเชิญใหมาทําพิธีป$ดแกใหคนปOวย โดยการใหผูปOวยนั่ง บนตัง่ เล็กๆ หนั หนาออกนอกปะรํา (ทาํ พธิ นี อกปะราํ ) เอาสะตวงเครอ่ื ง ๔ วางที่ปลายเทา ผีปูOยาจะชวยกันเอามีดดาย ลูบจากศีรษะไปจรดปลายเทาลงในสตวง คือ เป,นการป$ดเคราะห0บางก็ใชใบพลูเช็ดออก บางก็ใชไขเช็ดออกแลวแต พิธี หลังจากน้ันกน็ าํ บายศรมี ามัดมือเรียกขวัญใหคนปOวยและรดนํ้าเป,นเสร็จพิธี ผีปOูยาท่ีทําพิธีก็จะรับขันตั้ง จากกําลัง จนครบทุกคนและก็ลางมือดวยนํ้าสมปOอยและกลับเขาไปฟNอนในผามตามปกติก็จะเลิกพักเท่ียง ชวงบายก็มีการเลน ตามปกตจิ นเสร็จพิธี ประเพณีการนับถือผีปู#ย;า สายตระกูลผีมดจากการศึกษาและสังเกตรวมในพิธีการฟNอนผีมด หรือการเลี้ยงผี มดในโอกาสตางๆ เป,นการแสดงถึงความกตัญpูรูคุณตอบรรพบุรุษในสายตระกูลเดียวกัน จากการฟNอนผีมดจากตัว พิธกี รรมท่ีนําเสนอและยังคงรูปแบบและโครงสรางแบบแผนที่ยึดถือสืบตอจนมาถึงป$จจุบัน มีการเปล่ียนแปลงตามยุค ตามสมัยตามกาลเวลา แตถึงอยางไรความเช่ือและหลักฐานท่ีทําใหเราไดศึกษาถึง ภูมิป$ญญา ภูมิหลังของความ เป,นมา แสดงถึงการเป,นอยูแสดงถึงวิถีชีวิตการใชวัตถุสิ่งของท่ีสอใหเห็นถึงวัฒนธรรมการเก็บเก่ียว การลาสัตว0 การ คมนาคม การคา แสดงถึงการแบงป$น การให การบอกการเตือนภัย เป,นกุศโลบายของการควบคุมพฤติกรรมของ ลัทธสิ ตรี การควบคมุ ระเบยี บแบบแผนทสี่ บื ทอดออกมาในลักษณะของการเลน ท่ีสะทอนถึงวัฒนธรรมท่ีแทจริงที่ตกคาง มาใหเห็นและแฝงอยูในความเช่ือ การนับถือผีบรรพบุรุษประเภทผีมด การนับถือผียังแฝงอยูกับการนับถือศาสนาพุทธ และทุกๆ คร้ังที่มีการฟNอนผีมดลูกหลานมักจะทําบุญใสบาตรทานขันขาวใหแกญาติผูลวงลับ คือ ปูO ยา ตา ยาย ของ ตระกลู ของตนเอง ประเพณีการฟNอนผีมดน้ันยังสะทอนใหรับรูถึงสถานภาพทางสังคม เศรษฐกิจ ความอุดมสมบูรณ0 ในตัว พิธีกรรมเองยังแสดงถึงเครื่องแตงกายที่รับอิทธิพลมาจากพมา (มอญ) เคร่ืองใชผีปOูยาท่ีเป,นของใชพื้นบาน เครื่องจักร สาน รวมไปถึงภาษาพูดที่ผีปOูยาใชส่ือภาษากัน ซ่ึงเป,นภาษาที่ไมไดใชในชีวิตประจําวัน ความหลากหลายในพิธีกรรม ความเชื่อที่วาเป,นมรดกทต่ี กทอดมาถึงคนรุนปจ$ จบุ นั ไดอยางมีคณุ คาและควรจะรกั ษาไวสูอนาคตตอไป

๕๐ ผมี ดซอนเมง็ การนับถือผีปูO-ผียา ที่เรียกวา ผีมดซอนเม็ง เกิดจากสองสายตระกูล คือ ตระกูลสายผีมด และตระกูลสายผี เม็งแตงงานกันอาจจะเป,นฝOายหญิงเป,นตระกูลสายผีมด และฝOายชายเป,นตระกูลสายผีเม็ง หรือท้ังฝOายหญิงและฝOาย ชายตระกลู ใดตระกูลหนง่ึ มาจากผสี ายนับถือผีทตี่ างกนั การเลี้ยงผีปOูยามดซอนเม็งนั้น จะนําพิธีกรรมของ ๒ ตระกูลมา ผสมผสานกัน ตัดพิธีกรรมบางสวนของผีเม็งออก นําพิธีกรรมของผีมดเขามาแทนการเลี้ยงผีมดซอนเม็งก็จะเกิดข้ึนใน โอกาสใดนัน้ ขนึ้ อยกู ับแบบแผนเดมิ ท่เี คยปฏิบตั มิ า คือ ๑. เลีย้ งตามประเพณที ุกๆ ปQ หรือ ๓ ปQครงั้ จะฟNอนหรือไม ขน้ึ อยกู ับขอตกลงของแตละตระกูล ๒. เล้ียงผีในพิธีแตงงาน ข้ึนอยูกับฝOายหญิงในสายตระกูลใด ถาฝOายหญิงเป,นตระกูลสายผีเม็ง ฝOายชายก็ไป เลยี้ งตามพธิ ขี องผีเม็ง ถาฝOายหญิงอยูในตระกลู สายผมี ดฝOายชายก็ไปเลยี้ งตามพิธขี องผีมด ๓. เลี้ยงแกบนคนปOวยเกิดจากการที่มีคนปOวยเกิดข้ึนในตระกูลมีการบนโดยพิธีท่ีเรียกวา “ปEกเสา ผาม” ถงึ มกี ารฟอN นเกิดขึน้ ท่ีมาของสายตระกูลมดซอนเม็งอยางท่ีไดกลาวมาขางตนแลววาเกิดจากสองสายตระกูลมาแตงงานกันในอดีต ถาฝา# ยชายเป:นเช้ือเจา หมายถงึ มเี ช้ือของเจาผคู รองนคร มักจะอยู;ในสายผีเม็ง จะเป,นผูมีฐานะทางครอบครัว มี เศรษฐกิจดี จึงปลูกเรือนหอข้ึนใหมแยกจากครอบครัวเดิม เมื่อท้ังฝOายหญิงและฝOายชายไดแยกมาสรางครอบครัวของ ตนเองแลว ท้ังสองฝOายก็ไมท้ิงผีปOู-ผียาเดิมของตนเอง จึงรับเอาทั้งสองผีปOูยามารวมกัน ลักษณะน้ีบุตรที่เกิดมาจึงรับ เอาท้งั สองผีปOูยาไว เวลาเล้ียงหรือมีพิธีไหวผีเกิดข้ึน จึงเรียกวา สายตระกูลผีมดซอนเม็ง ซ่ึงแสดงใหเห็นถึงชนเผาแต ละชนเผา มีความสัมพันธ0กัน เกิดการแลกเปลี่ยนวัฒนธรรมซ่ึงกันและกัน ทําใหทั้งสองตระกูลมาอยูรวมกันไดและ สามารถสืบเชื้อสายตระกลู ซ่งึ เห็นไดชัดเจนจากพิธกี รรมในการเลี้ยงผีโดยเฉพาะการฟอN นผมี ดซอนเมง็ ซ่ึงในอดีตนั้น ถามีการเลีย้ งหรือมกี ารฟอN นผีของสายตระกลู ใดก็ตาม คนท่ีอยูนอกสายตระกูลหรือคนละผีก็จะ เขามายุงกันไมได ฟNอนผีมดผีเม็งเขามาก็ไมได ฟNอนผีเม็งผีมดเขามาจับตองพิธีไมได มีการปรับหรือไมเกิดขึ้น แต เนื่องจากการคาเกิดการคมนาคมจึงเกิดการแลกเปล่ียนทางวัฒนธรรม ซึ่งก็เป,นผลพลอยไดทางสังคมที่แสดงออก ทางการจัดการระบบความเป,นอยูไดอยางสมดลุ การฟ1อนผมี ดซอนเม็งน้ัน จะใชเวลา ๓ วนั คอื วันข;าว วันฟ1อน วันลางผาม การฟ1อนอาจจะเกิดจาก ประเพณีหรือการแกบนขนึ้ อยกู; บั แตล; ะตระกูล แต;ส;วนใหญม; ักจะเป:นการแกบนมากกวา; เริ่มจากบานเก]าผีโดยมี “กําลัง” เป,นผูจัดการเมื่อมีการกําหนดวัน เวลา ตามความเหมาะสมแลว อาจจะ เป,นเดือน ๖เหนือหรือ เดือน ๙ เหนือก็ได เมื่อลูกหลานมีการตกลงวาจะจัดใหมีการฟNอนเกิดขึ้นแลว กําลังและ ลูกหลานที่นําดอกไม ธูป ขาวตอก (ธูป ๔ คู) หรือเทียนเหลือง (๔ คู) ใบเก๋ียงพาเม็ง ใสสวยหรือหอ นําไปบอก กลาวผีปOูยาสายตระกูลอ่นื ๆ ทง้ั สายตระกลู ผีเมง็ และสายตระกูลผมี ด และผีเจานายที่ตนเองรูจักและคุนเคยกอนจะถึง วนั งาน ลูกหลานจะตองชวยกันทาํ ความสะอาดหอผปี ยOู า เปล่ียนหมอดอก เปล่ียนนํา้ ตน เปล่ียนผาปูห้ิง ฝOายกําลังจะ เปน, ผูนําฝาO ยชายไปหาไมไผไมซาง คา เตรียมไวเพอ่ื ทาํ ปะรํา (ผาม)

๕๑ วนั ขาวหรอื วนั จัดเตรยี มงาน เร่ิมต้ังแตเชาตรตู ี ๕ หรือ ๖ โมง กําลังก็จะนําขันขาวตอกดอกไมธูปเทียนไปบอก ทห่ี อผีปยOู าวาจะทาํ การสรางปะรํา (ผาม) ฝOายลกู หลานท่ีเป,นผูชายจะชวยกนั สรางปะราํ (ผาม) ซ่ึงจะแตกตางจากผีมด ซึ่งท่เี ราเรยี กกันวา “ผามเปQยง” แตของผีมดซอนเม็งนั้นจะนําแบบอยางของผีเม็งมา ๓ สวน ท่ีเรียกวา “ผามจ`อง” นําของผีมดมา ๑ สวน ที่เรียกวา “ผามเปQยง” นํามาสรางตอกัน โดยใหผามจ`อง (ผามเม็งอยูดานใน และผามเปQยง (ผามมด) อยูดานนอก) สวนใหญแลวจะกําหนดพ้ืนที่ของผามเม็ง ๕ วา x ๕ วา มีพาลัยออก ๒ ขาง (ปQกนก) สวน ของห้ิงเครื่องไหวจะอยูดานในสุดของผามเม็งสูงประมาณ ๑.๒๐ ซม. สวนผามเปQยงของผีมดนั้น จะเอากวางแคไหน ขึน้ อยกู ับพื้นท่ี แตสวนใหญแลวจะกวาง ๒ ถึง ๓ วาเทานั้น การสรางปะรํา (ผาม) นั้น ใชเวลามากกวาผามผีมด เพราะตองข้ึนคาน มีไมกร ไมไสไก ตองเอาสลาหรือ ผเู ชี่ยวชาญมาสรางให การสรางผามจะเสร็จในเวลา ๙ โมงเศษ จึงจะเลี้ยงอาหารเชาตามแบบ คือ เล้ียงลาบ แกงออม และเหลา ขันตัง้ สาํ หรับสลาทาํ ผาม เมื่อปะรํา (ผาม) เสร็จแลว กําลังและลูกหลานฝOายชายจะไปทํามีดดาบ ธนูไม (โก`ง) แซตีตอตีแตน ฟ$iน เทยี น (เทียนวนั ) ไมเหิบ ไมทงุ ซง่ึ ขางหนาปะรํา (ผาม) ทางขวามือ จะนาํ ตนหา (เกาหา) หรือตนหวามาปลูกไว แลว นาํ ไมไผปก$ ไว ๔ มุม นาํ ฝาN ยสขี าว สีแดง มาขึงไวเป,นบริเวณ เป,นความเช่ือของสายตระกูลผีเม็ง วามาจากตนหาหรือ หวา จงึ นาํ มาเป,นสญั ลกั ษณ0ของผีเมง็ สวนฝาO ยหญงิ นาํ โดยเก]าผีและหญิงผูสงู อายุชวยกันจัดเตรียมเครอื่ งพิธใี นผาม การฟอN นผมี ดซอนเมง็ เครอ่ื งสักการะทั้งหมดมี ๙ ขัน ขันท่ี ๑ และขันท่ี ๙ จะเหมือนกัน ประกอบดวย สวย ดอก ๔ สวยพลู ๔ กลวย ๑ หวี หมากมัด ๕ หมาก ๑๓๐๐ สวนขันท่ี ๒ นับไปถึงขันท่ี ๒ จะเหมือนกัน ประกอบดวย สวยดอก ๔ สวยพลู ๔ กลวย ๑ หวี หมากมัด ๕ ไมมีหมาก ๑๓๐๐ จัดดาขันตั้งสําหรับเคร่ืองดนตรี คลองกลอง ใชเครื่อง ๘ ปกติท่ีเคยทํามา สวนเทียนวันนั้น สวนใหญหนัก ๑๒ บาท หรือตามจํานวนที่กําหนดไว มี ตนดอกไมทท่ี ําจากตนกลวยที่เรียกวา “ตนดอกผึ้ง” เครื่องพิธีทัง้ หมดจะไวบนหงิ้ โดยเรยี งตามลําดับดังน้ี ขันท่ี ๑ ท่ีมี หมาก ๑๓๐๐ ตามดวยขันท่ี ๒ ไมมีหมาก ขัน ๓ ขัน ๔ ขัน ๕ ถึงจะวางเทียนวัน ซ่ึงต้ังไวในสลุงท่ีใสขาวสารไวจน เต็ม รอบๆ สลุงจะนําขาวสารมากองไวรอบสลุงเทียน เรียกวา “ขางกองดอย” อันหมายถึงการสักการะพระธาตุหรือ พระเจดียช0 เวดากองประเทศพมา ถึงจะเป,นขันท่ี ๖ ขนั ท่ี ๗ ขนั ที่ ๘ และขันที่ ๙ ซึง่ มหี มาก ๑๓๐๐ ตาม จากน้ันจึง วาง ชาง มา เรือ แพ ธนู (โก`ง) มีดดาบไม ถุงยาม ไมป$ดตอป$ดแตน กอนจะวางขันตองเอาผามาปูหิ้งกอน และ หลังหิ้งในอดีตเอาเสื่อปู สวนไมเหิบกับไมทุงน้ัน นําไปไวใหสลาแห โดยทําราวก้ันบริเวณที่เครื่องดนตรีอยู เม่ือทุก อยางจดั ลงตาํ แหนงแลว กาํ ลงั จะเปน, ผูมัดผาเม็ง (ผาจ`อง) กลางปะรําในกรณีของผีมดซอนเม็งน้ัน ปะรํา (ผาม) จะไม มีเสากลาง เพราะผาจ`องจะหอยจากไมไสไกบนข่ือของผาม การมัดผาจ`องหรือผาเม็งนั้นจะมัดตอนที่สรางปะรําเสร็จ แลวทนั ทีก็ได เพ่ือสะดวกในการข้ึนมัด การมัดผาจ`องหรือผาเม็งนั้นจะตองจัดเตรียมขันเชิญ คือ ดอกไมเทียนเหลือง ๔ คู ใบเกยี๋ งผาเม็ง เหลาขาว ๑ ขวด กาํ ลังจะเป,นผูมัด หลังจากนน้ั กจ็ ะเลยี้ งอาหารกลางวัน ทั้งลูกหลาน ทั้งสลา ทั้งผูท่ีมารวมงาน หลังจากนั้นก็จัดเตรียมสถานที่ ปูเสือ่ ไวบนหอผีปยูO า มีหมอนพิง ขันเชิญ ขันหมาก น้ําตน ในปะรําก็ปูเส่ือรอคณะดนตรี เมื่อคณะดนตรีคลองกลอง มาถงึ จดั ใหอยปู ระจําตาํ แหนง นําขนั ต้ังมาใหหวั หนาวงดนตรีขนึ้ ครู

๕๒ เวลา ๑๓.๓๐ น . กวาๆ จึงเร่มิ บรรเลงเพลงมอญ เชิญผีปOูยา (ผีเก]า) จากบนหอหญิงสูงอายุที่น่ังหรือมาขี่ของ ตนตระกูลไปโหนผาจ`องกลางผามเชิญผีปOูยาประทับทรง หลังจากน้ันก็แตงตัวใหผีปูOยาและผีปOูยาอื่นๆ ก็ทยอยโหนผา จ`องเชญิ ผปี ูยO าประทับทรงลงมาฟNอนรํา ตรวจเครอ่ื งไหวดูอะไรขาดไป ดูความเรียบรอยสักพักใหญจึงนําเอาหมูดําเป,นๆ มามดั ไวกบั หลักทีต่ นหาหนาปะรํา เอาไก ๔ ตัวเป,นๆ มาวางคูกัน ผีปูOยาที่เป,น เก]าผีก็จะฟNอนหอก โดยมีผีปูOยาอ่ืนๆ ฟNอนดาบ รวมท้ังกําลังจะฟNอนไปรอบๆ ตนหา ทําทาจะแทงหมู แทงไก (แตไมแทงจริง) เป,นกุศโลบายวา บัดนี้ ลกู หลานนําหมไู กมาใหดูแลว ไมไดหลอกลวง ผีปOูยาจึงลงมาตรวจสอบพอเป,นที่พอใจแลว จึงนําน้ําสมปOอยมารดท่ีหมู และไกเป,นเสรจ็ พิธี จากน้ันผีปOูยาจะฟNอนไปสูบบุหร่ีข้ีโย อมเมี่ยง พูดคุยกับลูกหลานโหรองสลับกับผีปูOยาอื่นๆท่ีมารวมพิธีขาว สลบั กนั เขา-ออก จนถงึ เวลาประมาณ ๑๖.๓๐ น. จึงเสรจ็ พธิ ี โดยดนตรีจะบรรเลงสงหรือเพลง (ปราสาทไหว) สงผีปOูยา ออกทรงโดยไปโหนผาจอ` งกลางผาม หลงั จากเก็บของเสร็จแลวลกู หลานจะชวยกันเตรียมงานสาํ หรับวนั พรงุ น้อี ีก ในวันฟอN นลกู หลานทเี่ ป,นเครอื ญาตกิ นั จะมาแตเชา มาชวยกันทาํ อาหาร ฝOายชายจะฆาหมูต้ังแตตี ๔ ฝOายหญิง จะชวยจัดเตรียมอาหารเลี้ยงผีปูOยา ประกอบดวย ลาบดิบ แกงออม หลู ยํา จิ้นป@eง ตับปe@ง ซ่ีโครงป@eง ไสอั่ว ไก ขาวตม ขนม ฯลฯ ทางฝOายเก]าผี และกําลังเตรียมจัดสถานท่ีจัดเตรียมขันเชิญ “ขวัก ๔ แจง” กระทงใสขาวปลา อาหาร ไปบอกแมธรณี ๔ มมุ ของบาน นําขาวปลาอาหาร-นาํ้ ใสในบายศรี (สดาขวญั ) นาํ ขาวแตน ขาวแคบ นก มัด ในผามเปยQ ง (ผามมด) ขาวจ่ีตดิ ทต่ี นหวา นาํ นกมดั ท่ีตนหวา เอาผาผปี ยูO าไปพาดไวที่ราวขางลางหิ้งเครื่องไหวนํานํ้าตน บหุ รี่ นํา้ มะพราว ไวบนห้ิง หลกั จากดนตรีมาถึง ขึ้นครูเสร็จเรียบรอยแลว จึงทานอาหารเชารวมกันกอนสักพักใหญประมาณ ๐๘.๓๐ น. กวาๆ ทุกอยางพรอมเร่ิมจากกําลังเก]าและลูกหลานข้ึนดนตรีกําลังจะฟNอนดาบ เอาดาบคอนไวท่ีบา กําลังอีกคนก็ถือ ขนั เชญิ ใสเหลา ไปทตี่ นหวาหนาปะรํา นาํ มีดดาบวางพาดท่ตี นหวา นําขวัก (กระทง) ไปวางไวท่ีตนหวา แลวเอาเหลา ขาวรด จุดเทียนเหลือง ๔ เลม ๔ มุมของตนหวา กําลังจะฟNอนไปรอบๆ ตนหวาพรอมหักกิ่งใบไมตนหวาสัก ๓ กิ่ง ฟNอนใบหวา กับฟNอนดาบ เดินเขาไปในปะรําฟNอนไปรอบๆ ผาจ`องแลวจึงเอาใบหวามาป$กไวที่ขาวสาร (ขาวสารกอง ดอย) ท่ีเทียนวัน หลังจากน้ันกําลังหรือผูอาวุโสจะเป,นผูจุดเทียนชัย โดยนําเทียนที่จุดจากตนหวามาจุดเทียนวันใน ผาม เป,นพิธีเชิญผีปูOยาเขาผามจากตนหวา หลังจากน้ันก็จะเชิญผีปูOยา (เก]าผี) โหนผาจ`อง เมื่อเก]าผีนุงผาเสร็จแลว กําลังจึงนําบายศรีไปฟNอนรอบๆ ตนหวา ในกรณีท่ีเป,นเช้ือเจาจะกางรมหรือสัปทนให เพ่ือใหเกียรติแกผีบรรพบุรุษ จากน้ันจึงนําบายศรีขึ้นไวบนห้ิงตามเดิม หลังจากนั้นก็จะเชิญผีปูOยาท่ีมารวมงานฟNอนประทับทรงฟNอน บางก็โหรอง บางกโ็ หนผาจอ` ง บางก็กระโดดเขา บางสบู บุหร่ี อมเมี่ยง ดื่มเหลา ดมื่ นาํ้ มะพราว แลวแตผีปยOู าทีเ่ ชิญมา ใกลถงึ เวลา ๑๑.๐๐ น. ทางฝOายแมครัวจะเตรียมสาํ รับอาหารไวเลี้ยงผีปูOยาโดยนําหัวหมู ขา และหางใสถาด พรอมไก ๔ ตัว วางไวบนหิ้ง (หัวห้ิง) ในปะรําน้ันจะเอาอาหารใสขันโตก ๗ หรือ ๑๒ โตกก็แลวแตผีตระกูล ประกอบ ไปดวย ลาบ แกงออม หลู ยํา (จ้ินป@eง ตับปe@ง ไสอ่ัว ขาวตม ขนม จะอยูในกระทง) เหลาขาว น้ํา อาจจะมีนํ้า มะพราวดวยกไ็ ด จดั วางกลางปะรําตรงกับเทียนวันเรียงยาวไปจนถึงผามผมี ดหรอื เลยไปในผามผมี ดก็ได

๕๓ จากน้ันลูกหลานจะนําเทียนมาติดที่ปลายดาบสงใหผีปูOยาฟNอนดาบไปรอบๆ สํารับอาหารที่เตรียมไวฟNอนจน เป,นที่พอใจของผีปูOยา หลังจากน้ันจึงยกสํารับ ๒ โตก ไปไวท่ีดนตรีท่ีเหลือก็นําไปทําอาหารเลี้ยงกัน ฟNอนสักพัก ลูกหลานจะนํานาํ้ บุหรี่ เม่ยี ง มาใหผปี ูยO ากนิ จนเป,นทีพ่ อใจแลว ถาลกู หลานจะขอใหผปี ยOู ารดน้ํามนต0หรือสงเคราะห0ก็ จะทําในชวงนี้หรือในกรณีท่ีมีการบน (ป$กเสาผาม) ก็จะนํากําลังลูกหลานไปเอา เสาผามท่ีแกบนเอาไปลอบน้ํา ฟNอนจนถึง ๑๒.๐๐ น. ผีปOูยาก็จะทยอยกันออกจากทรง บางก็โหนผาจ`อง บางก็ไปออกทรงบนหอ หลังจากนั้นก็จะ พกั ทานขาวรวมกัน พอถงึ เวลา ๑๓.๐๐ น. ดนตรกี ็เร่ิมบรรเลง กําลังเชิญผปี ยูO าโหนผาจอ` งประทับทรงฟNอน เวลาบายเป,นชวงท่ีมี ญาติไปเชิญมากันมากมาย ชวงบายจะเป,นชวงทีม่ ีการเลนของผีปยูO า พอถึงเวลาประมาณ ๑๕.๐๐ น. เริ่มจากการเล;นชนไก; ซ่ึงเป:นการเล;นของเจานายสายผีเม็ง เพราะกีฬา ชนไกเป,นกีฬาของชนช้ันปกครองท่ีมีการลงพนันกัน การเลนชนไกของผีปูOยาเร่ิมจากเอาผาขาวมาสีดําขาวมัดตีเกลียว ทําเป,นไกปลอม ใหผีปOูยา (ผีเก]า) เป,นผูถือชน ชนกับกําลังหรือผีปOูยาที่เป,นแขกเชิญมา โดยใหถือไกจริงๆ โดยฝOายผี ปูOยา (ผีเก]า) น้ันจะอยูดานในของผามผีเม็งโดยเอาผาจ`องกั้นไวใหลูกหลานโยกผาไปมา ผีปOูยาท่ีเป,นแขกจะถือขาวสาร คอยโปรยใหไก กอนจะชนจะตองใหน้ําไก ใหขาวไกกอนจึงจะเริ่มชน ระหวางชนน้ันลูกหลานก็จะโหรอง ปรบมือ ตามจังหวะเป,นที่สนุกสนาน ชนไปชนมาผีปูOยาท่ีถือไกปลอมก็ไปควาเอาไกจริงมาเป,นฝOายชนะเป,นการเลนที่แสดงให เห็นวา ไกของผีปOูยาอยูเหนือของไกจริงผีปOูยาจึงเป,นฝOายชนะในการแขงขันคร้ังน้ี ไกที่ชนแกจะนําไปทําอาหารเล้ียง ลกู หลานกิน เป,นกศุ โลบายของคนโบราณทแ่ี สดงใหเห็นวาผปี Oยู ามอี าํ นาจเหนือลูกหลาน ขนาดไกปลอม (ไกผี) ยังชนะ ไกจริงไดเป,นการบงบอกถึงการใหความยําเกรงตอ ผีปูOยา การฟอN นดําเนินตอไปสักพักใหญ ต;อไปก็จะเป:นการเล;นของผีตระกูลผีมด ท่ีเรียกว;า (ปEดต;อ ปEดแตน) โดยเร่ิมจากลูกหลานแจกไมแซสําหรับตีตอตีแตน ผีปOูยาก็จะไปยังปะรําผามผีมด ซ่ึงอยูติดกันบางก็ออกไปตีแตนท่ีติด ตนหวานอกปะราํ (ทาํ ดวยขาวเหนยี วจ่ี) บางกต็ แี ตนที่หอยไวในปะราํ โหรองเป,นการสนุกสนานของผีปOยู า หลังจากตตี อตีแตนเสร็จแลว ลูกหลานก็จะใหน้ํา ใหสูบบุหร่ี กินเม่ียง ฟ1อนสักพักเร่ิมการเล;นของผีมด ท่ี เรียกวา; ยงิ นก และหลงั จากน้นั จงึ มกี ารเลน; ที่เรียกวา; “คลองชาง คลองมา” ถามีกระรอกก็จะจับกระรอกกอนท่ี จะคลองชาง คลองมา เรมิ่ จากกําลังจะเรียกลูกหลานที่เป,นเด็กหนุมชายฉกรรจ0 มาเป,นผูว่ิงชางกอนโดยเอาผาแดงโพก ศรี ษะลูกหลานทจ่ี ะเลน ลูกหลานฝOายหญิงกจ็ ะนํากลวยนาํ้ วามาแจกใหผีปูOยาคนละใบ เพื่อเอาไปลอชาง บางก็เอาเหลา กรอกปาก รอจนไดเวลา ผีปOูยา (ผีเก]า) เป,นผูปลอยชางใหลูกหลานออกไปวิ่งใหผีปOูยาจับว่ิงกันนานสักพัก สลับกับ เสียงโหรองลูกหลานจะคอยเชียร0 ผีปูOยาท่ีคลองชางไดจะจับคนว่ิงชางน้ันมามัดติดกับเสากลางของปะรําผามผีมด เพ่ือ รอเรียกคาไถจากผีปูOยา (ผีเก]า) พอไดคาไถแลวอาจจะเป,นเหลา หรือของอื่นๆ ที่จัดไวใหก็นําชางกลับข้ึนไปบนหิ้ง ตามเดมิ สักพักใหญ;ๆ ก็เร่ิมท่ีมีการเล;น คือ “คลองมา” ลูกหลานก็เป,นกลุมเดียวกันท่ีจะว่ิงมา ลูกหลานท่ีเหลือจะ เอาหญามาแจกใหผีปOูยาที่รวมเลนดวย โดยนําหญาไปลอท่ีจมูกของผูวิ่ง สักพักผีปูOยา (ผีเก]า) ก็จะนํามามาใหลูกหลาน

๕๔ ออกไปว่งิ นอกปะราํ ใครแยงไดก็จะนาํ มามดั ติดไวท่เี สาผามเหมือนเดิม รอไถเอามา พอไถไดเสร็จจึงนําเอามากลับไวบน หิง้ การเล;นบางคร้งั อาจจะ “หวา; นฝ1าย ยิงเสอื ” หรือไม;เล;นกไ็ ดแลวแต;ลูกหลาน ฟ1อนสักพักใหญ;ๆ ก็จะเร่ิม “ถ;อเรือถ;อแพ” เริ่มจากกําลังและลูกหลานก็อาจจะเป,นกลุมเดียวกันกับกลุมที่วิ่งชางว่ิงมา ผีปูOยาเก]าผี จะนําเรือขุด เล็กๆ และแพทท่ี ําดวยไมซาง นําเงินขาวตอกดอกไมใสในเรือ แลวนําเชือกหรือฝNายสายสิญจน0ผูกติดที่หัวเรือใหผีปูOยา ดึงหรือชกั ลากเขามาในผาม การเลนเร่ิมจากนําเรือและแพไปวางไวหนาปะรํา (ผาม) ใหหางจากปะรําประมาณ ๑๐ เมตร ลูกหลานคนอื่นๆ ก็จะเอานํ้าสาดกลุมพายเรือเหมือนอยูในนํ้า ผีปOูยาจะชักลากเขามาในผาม กลุมพายเรือก็จะ เลนไมใหเรือไปตองไปขอเหลากินกอน โดยตะโกนวา เรือติดตอไปไม;ได ชักกันไป ลากกันมาจนกลุมตอเรือโดนน้ํา สาดจนเปQยกปอนทงั้ คนดู ลูกหลานจะสนกุ สนานกับการสาดนํา้ พอถอเรือถอแพมาถงึ หนาปะรําผามผมี ด (ผามเปยQ ง) ผปี ูย# ;าจะถามกลุ;มท่กี อ; เรือวา; : ไปไหนกนั มา กล;ุมตอ; เรอื จะตอบว;า : ไปคาไปขายมา ผปี ย#ู ;า : ไปคาอะหยัง กลุม; ตอ; เรือ : ไปคาเสื้อ คาผา คาแกว คาแหวน ผปี ู#ย;า : แลวเอาอะหยงั มาห้ือ กลุม; ตอ; เรอื : เอาเงนิ เท;าหวั ชาง เอาคําเท;าหัวมามาถวาย ผปี ยูO าก็จะโหรองดีใจรับเรอื เอาไว แลวกฟ็ Nอนไปรอบๆ ปะราํ เอาเงนิ ในเรอื โปรยใหลูกหลานชวยกันเก็บ แลวก็ นาํ เรือนําแพขึน้ ไวบนหง้ิ ฟNอนไดสักพกั ใหญ ลําดับสุดทายคือ ผีปู#ย;าและกําลังจะช;วยกันถอนตนหาหรือตนหวา ในอดีตจะนําไปปลูกไวหลังบาน แต ป$จจุบนั ก็จะเอาไปทง้ิ ไวหนาบาน แลวผีปูยO าจะเอาผาคลองคอใหลูกหลานมาชวยกันฟNอนรําในปะรํา ท้ังคนท่ีทําครัว ทั้ง หญิงทั้งชาย เรียกวา ฟNอนลางผาม อันหมายถึง เสร็จสิ้นพิธีการเล้ียงผีปูOยาจะโหรองตบมือ จะไดเวลาผีปูOยาเก]าผี และผีปOูยาอน่ื ๆ ก็จะออกมาฟNอนดาบกัน แสดงถึงวาพธิ ีไดเสร็จแลว พอรุงเชาก็จะมีพิธีเล้ียงผีผาจ`อง (ผาท่ีโหน) และทําการรื้อปะรํา (ผาม) ถาเป,นผีเม็งก็จะเลี้ยง ยําหัวกลวย แตถาเป,นผีมดซอนเม็งท่ีจะเลี้ยงลาบ เล้ียงแกงออมตามปกติ สวนมากจะทํากันในเครือญาติท่ีสนิทกันและก็ชวยกัน เก็บอุปกรณต0 างๆ กาํ ลังจะเปน, ผเู ชิญผาจอ` งลงจากข่อื โดยมีขันตั้งที่มเี หลาขาว ๑ ขวด เป,นอันเสร็จส้ินการฟNอนผีมดซอน เม็ง ซงึ่ จดั ข้นึ ๓ วัน การผสมผสานวัฒนธรรมของทั้ง ๒ ชนเผาท่ีอยูในพื้นท่ีเดียวกันมีการพบปะสังสรรค0เกิดข้ึน จึงเกิดการ แลกเปล่ียนซึง่ กนั และกัน และนาํ วัฒนธรรมของตนเองมาประกอบเพอ่ื รักษาวฒั นธรรมเดิมของตนเองไดอยางเหมาะสม ผีเจานาย


Like this book? You can publish your book online for free in a few minutes!
Create your own flipbook