เอกสารประกอบการเรียน พระปริยัตธิ รรม แผนกธรรม นักธรรมชนั้ ตรี พระมหาธรี พสิ ิษฐ์ จนฺทสาโร ครูสอนพระปรยิ ตั ธิ รรม แผนกธรรม สำนักศาสนศึกษาวัดเขาเชงิ เทียนเทพาราม อำเภอเมอื งชลบรุ ี จงั หวัดชลบรุ ี
คำนำ การศึกษาพระปริยัติธรรม แผนกธรรม สมเด็จพระมหาสมณเจ้า กรมพระยาวชิรญาณ- วโรรส แต่ครั้งยังทรงดำรงพระอิสริยยศเป็นกรมหมื่น ทรงพระปริวิตกถึงความเป็นไปของภิกษุ สามเณรที่บรรพชาอุปสมบทแล้วไม่เอาใจใสใ่ นการศึกษาคำสอนในพระพุทธศาสนา เพราะด้วย ต้องศึกษาเปน็ ภาษาบาลี จงึ ได้ทรงพระดำรหิ าทางจัดการเล่าเรียนเพอ่ื ให้ภิกษุสามเณรได้เรียนรู้ พระธรรมวินยั ได้สะดวกแลว้ กว้างขวางยิง่ ขึ้น ที่รู้จักกันว่า “นักธรรม” ซึ่งได้มีการตั้งหลกั สูตร นักธรรมขึ้นเมื่อ พ.ศ. ๒๔๕๕ และมีการปรับปรุงเรื่อยมาเป็นระยะ ทั้งในด้านเนื้อหาวิชาและ ตำราที่ใช้เป็นหลักสตู รหรือแบบเรยี นในชัน้ นัน้ ๆ ทั้งนี้ ก็เพื่อให้ผูส้ อบนักธรรมได้ในชั้นน้ัน ๆ มี ความรู้สมกับภูมิ และเพื่อให้ภิกษุสามเณรผู้เปน็ กำลังสำคัญของพระพทุ ธศาสนาสามารถศึกษา พระธรรมวินัยได้สะดวกและทั่วถึง อันจะเป็นพื้นฐานนำไปสู่สัมมาปฏิบัติ ตลอดจนเผยแผ่ พระพุทธศาสนาให้กว้างไกลออกไป โดยพระองคท์ รงนิพนธต์ ำราดว้ ยพระองค์เอง และคณะสงฆ์ ก็ได้ใช้ในการจัดการเรียนรู้มาตลอด แต่ก็พบปัญหาว่า ภาษาที่ทรงใช้นั้นเป็นภาษาเก่าที่คน โบราณใช้กนั มา ทำให้เกดิ ความเข้าใจยาก นอกจากนี้ ยังมีหน่วยงานราชการที่เกี่ยวข้อง หรือสำนักพิมพ์ต่าง ๆ ก็ได้ผลิตส่ือ การเรียนรู้นกั ธรรม ออกมาหลากหลาย เน้ือหาก็มีความละเอยี ดมากนอ้ ยต่างกันไป แต่ที่สำคัญ การศึกษาพระปริยัติธรรม โดยเฉพาะนักธรรมชั้นตรี มีการจัดสอบที่เรียกว่า “สอบธรรม สนามหลวง” ก่อนออกพรรษา ทำให้การเรียนรู้มีการจำกัดด้วยเรื่องเวลา คือนักเรียนมีเวลา เรียนไม่ถงึ ๓ เดอื น แตเ่ นอื้ หาที่ตอ้ งศึกษามมี ากทำใหเ้ กิดความลำบากตอ่ การศกึ ษาโดยละเอียด ด้วยเหตุนี้ ข้าพเจ้า จึงได้สร้างสื่อประกอบการเรียนนักธรรมชั้นตรีที่เน้นหัวข้อสำคัญ ๆ แตก่ ็ไม่ละเลยในรายละเอยี ดเล็ก ๆ นอ้ ย ๆ ที่จำเปน็ โดยใชล้ กั ษณะท่หี ลากหลาย อาทิเช่น วชิ า เรียงความแก้กระทู้ธรรม แต่เดิมมีรายละเอียดไม่มากนัก อาศัยการทดลองเขียนสืบ ๆ กันมา ข้าพเจ้าก็ได้นำมาอธิบายขยายความเป็นขั้นตอนไป วิชาธรรม และวิชาพุทธประวัติ ก็สรุปย่อ เพยี งหัวข้อธรรม และเน้อื เรื่องสำคญั เท่านัน้ ส่วนวชิ าวินัยบญั ญัติ ซึง่ เป็นวิชาสำคัญ ใช้วิธีเติม คำหรือใจความสำคัญ แทนที่จะใช้เป็นเอกสารสำหรับอ่านอย่างเดียว วิธีนี้จะเป็นการยัง ประโยชนใ์ หน้ ักเรยี นได้คน้ คว้า ไดอ้ า่ น ได้เขยี น ทำใหท้ รงจำไดม้ ากข้นึ เป็นต้น
หวังใจว่า สื่อเอกสารประกอบการเรียนพระปริยัติธรรม นักธรรมชั้นตรี ฉบับนี้ จักยัง ประโยชน์แก่นักเรียนได้ตามความตั้งใจ แต่ทั้งนี้ก็ไม่ควรละเลยหรือละทิ้งตำราที่เป็นแม่แบบ เสียทีเดียว ยังคงตอ้ งใชค้ วบค่กู ันไป ขาดมไิ ด้ พรอ้ มดว้ ยฟังบรรยายจากพระอาจารย์ผู้สอนด้วย จึงจะบงั เกิดผลสูงสดุ คุณงามความดีอันเกิดแต่จิตอันเป็นกุศล และจากการจัดทำสื่อเอกสารประกอบฉบับนี้ ข้าพเจ้าขอน้อมถวายแก่องคส์ มเด็จพระธรรมสวามิศรบรมศาสดาสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองคน์ ้ัน และขอถวายเป็นคุรุปชู าแดค่ รูบาอาจารย์ท่ีประสิทธ์ิประสาทวิชาแกข่ า้ พเจา้ ทุกพระองค์ ทุกท่าน เทอญฯ พระมหาธีรพสิ ษิ ฐ์ จนทฺ สาโร ๒๐ มถิ ุนายน ๒๕๖๓ วัดเขาเชงิ เทียนเทพาราม อำเภอเมอื งชลบรุ ี จงั หวัดชลบรุ ี
สารบญั หน้า ๑ - ๔๑ วชิ า เรียงความแก้กระท้ธู รรม ๔๒ - ๗๓ วชิ า ธรรม ๔๒ - ๖๒ ๖๓ - ๗๓ สว่ นท่ี ๑ ธรรมวภิ าค ๗๔ - ๘๘ สว่ นท่ี ๒ คิหิปฏิบตั ิ ๗๔ - ๘๘ วชิ า พุทธ ๘๙ - ๙๘ สว่ นที่ ๑ พทุ ธประวตั ิ ๙๙ - ๑๖๑ ส่วนท่ี ๒ ศาสนพธิ ี ๑ วิชา วินัยบัญญตั ิ
วชิ า เรยี งความแกก้ ระท้ธู รรม
เอกสารประกอบ วชิ าเรยี งความแก้กระทธู้ รรม นักธรรมชั้นตรี ๑ ความเบอ้ื งตน้ แหง่ การเรยี งความแกก้ ระทธู้ รรม วชิ าเรียงความแกก้ ระทูธ้ รรม เป็นวชิ าแรกของการสอบธรรมสนามหลวง เพราะนบั เป็นการแสดงออกซ่งึ ความรูค้ วามเขา้ ใจในเชิงบรู ณาการแห่งองคค์ วามรูใ้ นวชิ าธรรม พทุ ธ และวนิ ยั ของผูท้ าการศกึ ษาพระปรยิ ตั ิธรรม แผนกธรรม ทงั้ ยงั เป็นวิชาหลกั สาคญั อนั เป็นเครื่องหมายกาหนดรูแ้ ละเขา้ ใจ หรือประเมนิ ผลการเรียนรูใ้ นวชิ า ระดบั นกั ธรรมน้ี เพราะการจะเขยี นเรยี งความแกก้ ระทูธ้ รรมน้ีได้ จาตอ้ งไดร้ บั ความรูใ้ นวชิ าการต่าง ๆ ใหถ้ กู ตอ้ ง ตามหลกั เกณฑข์ อ้ กาหนด มคี วามรูท้ ่ที งั้ ลกึ และกวา้ ง พรอ้ มนาความรูน้ น้ั มาพลกิ แพลงแตง่ เติมอรรถาธิบายหวั ขอ้ กระทูธ้ รรมอย่างแยบยล โดยเฉพาะอย่างย่ิงวชิ าธรรม อนั เป็นวชิ าหลกั ท่ีนกั เรียนพระปริยตั ิธรรมจาเป็นตอ้ ง นามาใชเ้ ป็นฐานในการเขยี นเรียงความ อธิบายส่งิ ท่ยี ากใหเ้ ขา้ ใจไดง้ า่ ยดว้ ยภาษาของตนท่สี ละสลวย เหมาะสม ประกอบพรอ้ มไปดว้ ยสานวนโวหาร ยกตวั อย่างใหเ้ขา้ ใจแจ่มแจง้ ย่งิ ข้นึ และทส่ี ุดแห่งวชิ าน้ี คอื ยอ่ มทาใหน้ กั เรียน พระปริยตั ิธรรมนนั้ มคี วามรูค้ วามสามารถในการแสดงธรรม บรรยายธรรม ปาฐกถาธรรม หรือกล่าวสอนธรรม ไดอ้ ย่างมหี ลกั มแี บบแผน อนั จะเป็นการยกระดบั การเผยแผ่พระพทุ ธศาสนาใหก้ วา้ งและมปี ระสิทธิภาพบงั เกดิ ประสทิ ธผิ ลต่อไป ความสาคญั ของการศึกษาวิชาเรียงความแกก้ ระทูธ้ รรม วชิ าเรียงความแกก้ ระทูธ้ รรม เป็นวชิ าสาคญั ของการศึกษาพระปริยตั ิธรรม แผนกธรรมทุกระดบั ถอื เป็น วชิ าทร่ี วบรวมเอาภูมริ ูใ้ นทุกกระบวนวชิ าของนกั ธรรมมาใช้ เพอื่ อธิบาย สงั่ สอน ทงั้ ตนเองและผูอ้ ่นื ใหป้ ฏบิ ตั ิตาม ซง่ึ มคี วามสาคญั ทต่ี อ้ งรูแ้ ละเขา้ ใจเป็นอรรถเบ้อื งตน้ อยู่ ๔ ประการ ไดแ้ ก่ ๑. ทาใหน้ กั เรยี นพระปริยตั ิธรรมเกดิ ความซาบซ้งึ ในคุณค่าของธรรม ๒. ทาใหน้ กั เรียนพระปรยิ ตั ธิ รรมไดเ้ขา้ ใจถงึ ผลดผี ลเสยี กล่าวคอื รูเ้ทา่ ทนั คุณและโทษของการปฏบิ ตั ิ ตามและไมป่ ฏบิ ตั ิตามธรรม ๓. ใหเ้ขา้ ใจในชีวติ และรูจ้ กั แสวงหาความสุขโดยมธี รรมะเป็นเครื่องช้แี นวทาง ๔. ช่วยพฒั นาดา้ นจติ ใจของมนุษยใ์ หร้ ูจ้ กั ผดิ ชอบชวั่ ดี ละความชวั่ ประกอบความดี โดยพยายามงดเวน้ ความชวั่ โดยเดด็ ขาด ความหมายของคาวา่ “เรยี งความแกก้ ระทธู้ รรม” คาว่า “เรยี งความแกก้ ระทูธ้ รรม” เป็นกลุ่มคาท่ปี ระกอบดว้ ยคาหลกั ๆ ๔ คา ไดแ้ ก่ ๑. เรียงความ หมายถึง การเอาถอ้ ยคา สานวน มาประกอบรอ้ ยเรียงใหเ้ ป็นเรื่องราว หรือการนาคา กลุ่มคา หรือวลี สานวน ขอ้ ความ มาเรียงรอ้ ยใหเ้ รียบรอ้ ย ถูกตอ้ งตามหลกั ภาษา และหลกั การเขียนทาง ภาษาไทย อ่านแลว้ ไดใ้ จความดี สำนกั ศาสนศึกษาวดั เขาเชงิ เทยี นเทพาราม พระมหาธรี พิสษิ ฐ์ จนทฺ สาโร
เอกสารประกอบ วชิ าเรยี งความแก้กระทธู้ รรม นกั ธรรมช้นั ตรี ๒ ๒. แก้ หมายถงึ ทาใหค้ ลายจากลกั ษณะทแ่ี น่น ทต่ี ดิ กนั อยู่ ทเ่ี ป็นปมเป็นเงอ่ื นอยู่ ๓. กระทู้ หมายถงึ หวั ขอ้ หรือขอ้ ความทต่ี งั้ ใหอ้ ธิบายความ ขยายความ ในทน่ี ้ี หมายเอา กระทูธ้ รรม ไดแ้ ก่ หวั ขอ้ ธรรม ๔. ธรรม หมายถงึ คุณความดี คาสงั่ สอน หลกั ปฏบิ ตั ใิ นศาสนา ในท่นี ้ี หมายเอา พระธรรมคาสงั่ สอน ของพระสมั มาสมั พทุ ธเจา้ ทท่ี รงภาษติ คือตรสั ไวด้ แี ลว้ ดงั นน้ั เรยี งความแกก้ ระทูธ้ รรม จงึ หมายถงึ การแตง่ อธิบายขยายเน้อื ความแห่งหวั ขอ้ ธรรมภาษติ ให้ กระจา่ งชดั แจ่มแจง้ ดว้ ยหลกั ภาษาทส่ี ละสลวย ประโยชนข์ องการศกึ ษาวิชาเรยี งความแกก้ ระทธู้ รรม ๑. ส่งเสรมิ ความเจริญทางดา้ นจนิ ตนาการ ความคิดรเิ ร่ิมสรา้ งสรรคข์ องนกั เรยี นพระปรยิ ตั ิธรรม ๒. ทาใหน้ กั เรยี นพระปรยิ ตั ิธรรมรูจ้ กั ลาดบั ความคิด สามารถถ่ายทอดความรูส้ กึ นึกคดิ ของตนออกมาให้ ผูอ้ ่นื เขา้ ใจตามตอ้ งการได้ ๓. รูจ้ กั เลอื กถอ้ ยคาสานวนโวหารไดถ้ กู ตอ้ งตามหลกั ภาษา ๔. ส่งเสริมใหน้ กั เรยี นพระปริยตั ิธรรมเขยี นไดถ้ ูกตอ้ งตามแบบทน่ี ยิ ม สำนกั ศาสนศึกษาวัดเขาเชงิ เทียนเทพาราม พระมหาธีรพิสษิ ฐ์ จนฺทสาโร
เอกสารประกอบ วชิ าเรยี งความแก้กระทธู้ รรม นกั ธรรมชนั้ ตรี ๓ พทุ ธศาสนสภุ าษติ และคำสำคญั พทุ ธศาสนสุภาษิต สุภาษติ แปลว่า ถอ้ ยคาทก่ี ล่าวไวด้ ี (ส=ุ ดี, ภาษติ =กลา่ ว) สามารถนามาเป็นคติ ยดึ ถอื เป็นหลกั ใจได้ พุทธศาสนสุภาษิต หมายถึง คาสอน หรือถอ้ ยคาอนั ท่านกล่าวดีแลว้ ทางพระพุทธศาสนา อนั เปรียบ เหมอื นขอ้ คดิ ขอ้ เตอื นใจ ใหพ้ ทุ ธศาสนกิ ชนปฏบิ ตั ติ าม แต่ในคาน้ี มไิ ดห้ มายความเฉพาะคาท่พี ระพทุ ธองคต์ รสั ไวเ้ท่านนั้ แต่ยอ่ มหมายเอาภาษติ โดยทวั่ ไปนนั่ เอง คาสอนในพระพทุ ธศาสนามอี งค์ ๙ ประการ เรียกว่า นวงั คสตั ถศุ าสน์ ไดแ้ ก่ สุตตะ เคยยะ เวยยากรณะ คาถา อทุ าน อติ ิวุตตกะ ชาดก อพั ภูตธรรม และเวทลั ละ พทุ ธศาสนสุภาษิต ไดม้ าจากเน้ือหาท่ปี รากฏอยู่ในคาสอนดงั กล่าว ท่มี อี ยู่เป็นจานวนมาก เป็นเน้ือความ สน้ั ๆ ท่ีทรงคุณค่า ใหข้ อ้ คิด ขอ้ เตือนใจ ใหผ้ ูท้ ่ีไดศ้ ึกษาแลว้ มคี วามรูค้ วามเขา้ ใจ และยึดถือเป็นหลกั ธรรม ประจาใจ เพอ่ื นาไปประพฤติปฏบิ ตั ิ ในแนวทางทถ่ี ูกทค่ี วร ตรงทาง อนั จะนาไปสูค่ วามสุข ความเจรญิ งอกงามใน ชีวติ ของตน แลว้ ยงั เป็นการเสรมิ สรา้ งสนั ตสิ ุข ในสงั คมโลกอกี ดว้ ย ตวั อยา่ งพทุ ธศาสนสภุ าษิต ชนะตนนนั่ แหละ เป็นดี อตตฺ า หเว ชิต เสยฺโย คนไม่ถูกนินทาไม่มใี นโลก นตถฺ ิ โลเก อนนิ ทฺ โิ ต คนล่วงทุกขไ์ ดเ้พราะความเพยี ร วริ ิเยน ทุกขฺ มจเฺ จติ พงึ ชนะคนไม่ดดี ว้ ยความดี อสาธุ สาธุนา ชิเน เมตตาเป็นเคร่ืองคา้ จุนโลก โลโกปตถฺ มภฺ กิ า เมตฺตา พทุ ธศาสนสภุ าษิต ธรรมภาษิต และกระทูธ้ รรม ดงั ท่กี ล่าวไวใ้ นเบ้อื งตน้ ว่า พุทธศาสนสุภาษิต นนั้ เป็นถอ้ ยคาท่ที ่านกล่าวไวด้ ีแลว้ อนั เสมอื นขอ้ คิด ขอ้ เตือนใจ หรือเป็นคาสงั่ สอนทางพระพทุ ธศาสนานนั้ ยงั มอี ีก ๒ คาท่นี ่าสนใจ ซ่งึ อาจพบเจอไดใ้ นท่ตี ่าง ๆ ไดแ้ ก่ ธรรมภาษติ และ กระทูธ้ รรม คาวา่ “ธรรมภาษติ ” หมายถงึ การกลา่ วธรรม หรอื ถอ้ ยคาท่แี สดงธรรม ส่วนคาว่า “กระทูธ้ รรม” หมายถึง หวั ขอ้ แห่งธรรม หรือหลกั แห่งธรรม จากความหมายของทง้ั สองคา ก็บ่งช้ีไดว้ ่า หมายถึงคาสอนทางพระศาสนา โดยรวม มไิ ดเ้ จาะจงว่าเป็นคาสอนของผูใ้ ด เป็นการกล่าวโดยรวม ซ่งึ ก็มนี ยั เป็นแนวเดียวกบั คาว่า “พทุ ธศาสน สุภาษติ ” นนั่ เอง สำนักศาสนศกึ ษาวัดเขาเชิงเทียนเทพาราม พระมหาธีรพิสษิ ฐ์ จนทฺ สาโร
เอกสารประกอบ วชิ าเรยี งความแก้กระทู้ธรรม นกั ธรรมช้นั ตรี ๔ หากประสงคจ์ ะทราบว่าเป็นภาษติ ของท่านใดในพระศาสนาน้ี มกั จะพบเจอคาบ่งบอกท่ชี ดั เจน เขา้ ใจได้ ทนั ที เป็นตน้ ว่า พุทธภาษิต พทุ ธพจน์ พทุ ธวจนะ คาเหล่าน้ีลว้ นบ่งบอกว่าเป็นพระดารสั ของสมเด็จพระชินสหี ์ บรมศาสดาสมั มาสมั พุทธเจา้ เถรภาษิต หรือสาวกภาษิต หมายเอาภาษิตท่ีเหล่าพระเถระ พระสาวกของ พระสมั มาสมั พทุ ธเจา้ เป็นผูก้ ล่าว แมน้ ว่าเป็นภาษติ ของพระโพธิสตั ว์ ก็จกั เรียกว่า โพธิสตั วภ์ าษติ รวมถงึ ภาษิต ของเหลา่ เทวดา มกั จะใชว้ ่า เทวภาษติ หรือระบชุ อ่ื ก็มี เชน่ สกั กภาษติ เป็นตน้ ดงั นน้ั เม่อื จะพิจารณาภาษติ นน้ั ๆ พงึ พิจารณาใหด้ ี ว่าเป็นภาษติ ของผูใ้ ด และใชค้ าใหถ้ ูกกบั บุคคล ซ่งึ เรื่องน้ี ในวชิ าเรียงความแกก้ ระทูธ้ รรม เป็นเรื่องสาคญั มาก บ่งบอกถึงภูมริ ูข้ องแต่ละบุคคล โดยเฉพาะในระดบั นกั ธรรมชน้ั โท และชน้ั เอก หากว่าไม่ทราบว่าเป็นภาษติ ของผูใ้ ด ก็ใหใ้ ชค้ ากลาง ๆ คือ “ธรรมภาษติ ” เท่านนั้ การคน้ หาคาสาคญั (Key Word) ในกระทธู้ รรม คาสาคญั ในภาษาองั กฤษตรงกบั คาว่า Key Word ซ่งึ เป็นคาแสดงเน้ือหาสาคญั หรือหวั ขอ้ หลกั ใหญใ่ น ความนน้ั ๆ ทม่ี ขี อ้ ความแวดลอ้ มสนบั สนุนอยู่ คาสาคญั ในกระทูธ้ รรม เป็นคาหลกั ท่ีแสดงหวั ขอ้ ธรรมท่ีพระสมั มาสมั พุทธเจา้ พระปจั เจกพุทธเจา้ พระโพธิสตั ว์ พระเถรเจา้ หรือเทวดา ใชเ้ ป็นคาหลกั ในการตรสั หรือกล่าวภาษิต ท่ีอมความไว้ ซ่ึงนกั เรียน พระปริยตั ิธรรม สามารถนามาอธิบาย ขยายความใหก้ ระจ่างชดั เจนได้ นอกจากน้ี คาสาคญั ในแต่ละภาษิตนนั้ อาจไม่ไดม้ ีเพียงคาเดียว สามารถมีไดห้ ลายคา ข้ึนอยู่กบั ความสาคญั อนั เรียงไล่กนั ลงมา เมอ่ื นกั เรยี นรูจ้ กั คน้ หาคาสาคญั ในแต่ละธรรมภาษติ จะเป็นอุปการะในการเขียน เรียงความมาก ซง่ึ จะสามารถนาคาเหล่าน้ีมาอธิบายขยายไปเรือ่ ย ๆ จนครบความ ของธรรมภาษติ นน้ั ได้ นบั เป็น วิธีหน่ึงในการช่วยวางโครงสรา้ งการเขยี นเรียงความไดด้ ี เม่อื เปรียบเทียบกบั การฝึกหดั เขยี นเรียงความแบบ ดง้ั เดมิ นน้ั ไม่มกี ารฝึกหาคาสาคญั ใหน้ กั เรียนทดลองเขยี นเอง เสมอื นงมเขม็ ในมหาสมทุ ร ทาใหน้ กั เรยี นไม่เขา้ ใจ เขยี นไมไ่ ด้ และเขยี นไดน้ อ้ ย ใจความวกวนดุจคนไม่มกี ารวางแผนท่ดี ีนนั่ เอง แต่หากใหน้ กั เรยี นไดเ้รม่ิ จากการหา คาสาคญั น้แี ลว้ ยอ่ มเขยี นไดผ้ ลดกี วา่ แบบดงั้ เดมิ การเขียนอธิบายคาสาคญั ของกระทธู้ รรม คาวา่ “อธิบาย” พจนานุกรม ฉบบั ราชบณั ฑติ ยสถาน พ.ศ. ๒๕๔๒ (๒๕๔๖ : ๑๓๒๔) ไดใ้ หค้ วามหมาย ไวว้ ่า ก. ไขความ , ขยายความ , ช้แี จง ฉะนนั้ จงึ พอสรุปไดว้ ่า การเขยี นอธิบาย คือ การเขยี นไขความ การเขยี นขยายความ หรอื การเขยี นช้ีแจง ซ่งึ เป็นการเขยี นท่มี ่งุ ใหผ้ ูอ้ ่านเขา้ ใจเรื่องราวใดเร่ืองราวหน่ึงอย่างถูกตอ้ งชดั เจน โดยม่งุ ท่จี ะบอกว่าส่งิ นนั้ ๆ มี ลกั ษณะมสี ภาพหรือขอ้ เท็จจริงเป็นอย่างไร ซ่ึงผูเ้ ขียนใหร้ ายละเอียด เหตุผล ท่ีชดั เจนน่าเช่ือถือ แต่ท่ีสาคญั ผูเ้ขยี น ตอ้ งมปี ระสบการณ์ หรอื ภมู ริ ูท้ ส่ี งั่ สมมาดอี กี ประการหนง่ึ ดว้ ย สำนกั ศาสนศกึ ษาวัดเขาเชิงเทยี นเทพาราม พระมหาธรี พสิ ษิ ฐ์ จนทฺ สาโร
เอกสารประกอบ วชิ าเรยี งความแก้กระท้ธู รรม นกั ธรรมชน้ั ตรี ๕ แบบฝึ กหดั ๑. ใหน้ กั เรยี นพระปริยตั ิธรรม คน้ หาคาสาคญั จากธรรมภาษติ ทก่ี าหนดใหต้ อ่ ไปน้ี ๑) ททมาโน ปิโย โหติ ผูใ้ ห้ ย่อมเป็นทร่ี กั ๒) ปุญญฺ ํ สุขํ ชวี ิตสงฺขยมหฺ ิ บญุ นาสขุ มาใหใ้ นเวลาส้นิ ชีวติ ๓) สลี โลเก อนุตฺตร ศลี เป็นเย่ยี มในโลก ๔) อตตฺ าน ทมยนฺติ ปณฺฑติ า บณั ฑติ ย่อมฝึกตน ๕) จติ ฺต คตุ ฺต สขุ าวห จติ ทค่ี มุ้ ครองแลว้ นาสขุ มาให้ ๖) ทนฺโต เสฎฺโฐ มนสุ ฺเสสุ ในหม่มู นุษย์ ผูฝ้ ึกตนแลว้ เป็นผูป้ ระเสริฐสุด ๗) นย นยติ เมธาวี คนมปี ญั ญา ย่อมแนะนาทางทค่ี วรแนะนา ๘) สกุ ร สาธุนา สาธุ ความดี อนั คนดที างา่ ย ๙) ธมโฺ ม หเว รกฺขติ ธมมฺ จารี ธรรมย่อมรกั ษาผูป้ ระพฤตธิ รรม ๑๐) อปปฺ มตตฺ า น มยี นตฺ ิ ผูไ้ ม่ประมาท ย่อมไม่ตาย ๑๑) ขนฺตี ปรม ตโป ตีติกขฺ า ขนั ตคิ ือความอดทน เป็นตบะอยา่ งยง่ิ ๑๒) กาลาคตญจฺ น หาเปติ อตถฺ ํ คนขยนั ย่อมไมพ่ ร่าประโยชนช์ วั่ ตามกาล ๑๓) ปญุ ฺญํ โจเรหิ ทหู รํ บุญอนั โจรนาไปไม่ได้ ๑๔) อพยฺ าปชฌฺ สุข โลเก ความไมเ่ บยี ดเบยี นเป็นสุขในโลก ๑๕) สพพฺ ทาน ธมมฺ ทาน ชนิ าติ การใหธ้ รรมย่อมชนะการใหท้ ง้ั ปวง ๑๖) อกฺโกเธน ชเิ น โกธ พงึ ชนะความโกรธดว้ ยความไม่โกรธ ๑๗) สงขฺ ารา ปรมา ทุกฺขา สงั ขาร เป็นทุกขอ์ ย่างย่งิ ๑๘) มตุ ฺวา ตปปฺ ติ ปาปิก คนเปลง่ วาจาชวั่ ย่อมเดอื ดรอ้ น ๑๙) มาตา มติ ตฺ สเก ฆเร มารดาเป็นมติ รในเรือนของตน ๒๐) ทุกโฺ ข พาเลหิ สงฺคโม สมาคมกบั คนพาลนาทกุ ขม์ าให้ ๒. ใหน้ กั เรยี นพระปรยิ ตั ิธรรม เขยี นคาจากดั ความหรืออธบิ ายความหมายของคาตอ่ ไปน้ี มาใหเ้ขา้ ใจ ๑) สงั ขาร ๒) ปญั ญา ๓) สตั วโ์ ลก ๔) กรรมดี สำนกั ศาสนศึกษาวดั เขาเชงิ เทียนเทพาราม พระมหาธรี พิสิษฐ์ จนฺทสาโร
๕) ความสงบ เอกสารประกอบ วชิ าเรียงความแก้กระทธู้ รรม นกั ธรรมชน้ั ตรี ๖ ๗) ศีล ๙) ความประมาท ๖) บาป ๑๑) ความดี ๘) ความโลภ ๑๓) ธรรม ๑๐) ตน ๑๕) ทุกข์ ๑๒) กาม ๑๗) ความจน ๑๔) ผูแ้ พ้ ๑๙) บุญ ๑๖) ผูใ้ ห้ ๑๘) ความอดทน ๒๐) อานาจ สำนักศาสนศึกษาวัดเขาเชงิ เทยี นเทพาราม พระมหาธรี พิสษิ ฐ์ จนฺทสาโร
เอกสารประกอบ วชิ าเรยี งความแก้กระทธู้ รรม นกั ธรรมช้นั ตรี ๗ กระทธู้ รรม และการวางแผนการเขยี น กระทูธ้ รรม กระทูธ้ รรม หรอื ธรรมภาษติ ตามหนงั สอื พทุ ธศาสนสภุ าษติ เล่ม ๑ - ๒ - ๓ นนั้ (ในทน่ี ้ีหมายเอาเฉพาะ ของนกั ธรรม ชน้ั ตรี) มรี ูปแบบเฉพาะ ทง้ั การอ่านและการเขียน จงึ เป็นตอ้ งสาเหนยี กใหร้ ูแ้ ละเขา้ ใจเป็นพ้นื ฐานใน การศกึ ษาขน้ั สูงตอ่ ไป ๑. กระทูธ้ รรม อตตฺ า หเว ชิต เสยโฺ ย. ๒. บาลี บทตง้ั ชนะตนนัน่ แหละ เป็นดี. ๓. คาแปล บทตง้ั ๔. อกั ษรยอ่ คมั ภรี ์ ขุ.ธ. ๒๕/๒๙ ๑. กระทูธ้ รรม เป็นบทบาลที แ่ี สดงหวั ขอ้ ธรรม ในวชิ าเรยี งความแกก้ ระทูธ้ รรมน้ี แบ่งเป็น กระทตู้ งั้ ๑ กระทูร้ บั ๑ ๒. บาลี บทตงั้ เป็นธรรมภาษติ ทเ่ี ขยี นในรูปของภาษาบาลเี ท่านนั้ หา้ มเขยี นเป็นภาษาบาลแี บบไทย ๓. คาแปล บทตงั้ เป็นบทแปล ความหมายของบาลี บทตงั้ เราจะนาคาแปลน้มี าหาคาสาคญั และเขยี น อธิบายขยายความจากคาแปลน้ี ๔. อกั ษรย่อคมั ภรี ์ แสดงท่มี าของธรรมภาษติ นน้ั วา่ มาจากพระไตรปิฎก หรือคมั ภรี ใ์ ด และยงั มตี วั เลข ซ่งึ ตวั เลขหนา้ / บอกเลม่ ท่ี และตวั เลขหลงั / บอกเลขท่หี นา้ (รายละเอยี ดชื่อคมั ภรี จ์ กั กล่าวต่อไป) การวางแผนการเขยี นอธบิ ายความกระทธู้ รรม การเขยี นอธิบายความกระทูธ้ รรม มหี ลกั สาคญั ในการเขยี นท่นี กั เรียนพระปริยตั ธิ รรมตอ้ งเขา้ ใจในชน้ั ตน้ ๓ ประการ ดงั น้ี ๑. ตีความหมาย ๒. ขยายความใหช้ ดั เจน ๓. ตง้ั เกณฑอ์ ธิบาย ตคี วามหมาย ไดแ้ ก่ การคน้ หาคาสาคญั (Key Word) และการใหค้ าจากดั ความของคาสาคญั และให้ คาอธิบายขอ้ ธรรมในบริบทแวดลอ้ มนน้ั ว่า ขอ้ ธรรมนนั้ มคี าสาคญั วา่ อะไร มคี วามหมายอย่างไร บริบทแวดลอ้ ม กล่าวถงึ ส่งิ ใด เช่น ธรรมภาษิตท่วี ่า “นตฺถิ ปญฺญาสมา อาภา แสงสว่างเสมอดว้ ยปญั ญา ไม่ม”ี มคี าสาคญั สำนักศาสนศึกษาวดั เขาเชงิ เทียนเทพาราม พระมหาธีรพิสิษฐ์ จนทฺ สาโร
เอกสารประกอบ วชิ าเรยี งความแก้กระทธู้ รรม นักธรรมชัน้ ตรี ๘ ท่ีจาเป็นตอ้ งเลอื กมาอธิบายก่อน ไดแ้ ก่ คาว่า “ปญั ญา” มีคาจากดั ความว่า “ความรอบรูใ้ นกองสงั ขาร” หรือ “ความรู”้ บริบทท่แี วดลอ้ มคือ ไมม่ แี สงสว่างใดเสมอเหมอื น ขยายความใหช้ ดั เจน ไดแ้ ก่ การขยายเน้ือความของคาซ่งึ ไดใ้ หค้ วามหมายไวแ้ ลว้ คือ ตอ้ งตีความ ตอ่ ไปว่า ปญั ญา มเี ท่าไร และเหตใุ ดจงึ ไม่มแี สงสว่างอ่นื ๆ เสมอดว้ ยแสงสว่างแห่งปญั ญา เป็นตน้ ตง้ั เกณฑอ์ ธิบาย ไดแ้ ก่ การวางโครงร่างท่จี ะอธิบายเน้ือความของเน้ือหาว่ามอี ะไรบา้ ง มีผลดีผลเสยี อย่างไร มีขอ้ เปรียบเทียบหรือมตี วั อย่างมาประกอบใหเ้ ห็นเด่นชดั ไดห้ รือไม่ และควรจะนบั ถงึ ผลกรรมนนั้ ๆ อย่างไร จึงจะทาใหผ้ ูอ้ ่านผูฟ้ ังคลอ้ ยตาม โดยเรียงเป็นลาดบั ขนั้ ต อนก่อนหลงั ไม่สับสนวกไปวนมา เฉกเช่นเดยี วกบั อธิบายสง่ิ ยากใหง้ า่ ย อธบิ ายใหร้ อบดา้ น ค่อยเป็นค่อยไปจนหมดความ การพจิ ารณาการเขยี นอธบิ ายกระทูธ้ รรม การพจิ ารณาการเขยี นอธิบายกระทูธ้ รรม ใหน้ กั เรียนพระปริยตั ิธรรม สงั เกตดูจากความหมายของบาลี แห่งกระทูธ้ รรม ว่าเร่ืองนนั้ ม่งุ เนน้ ส่งิ ใดเป็นหลกั ใหญ่ แลว้ ถอดคาไล่เรียงลาดบั ความสาคญั จากมากไปหานอ้ ย และใหส้ งั เกตบริบทแวดลอ้ มวา่ อมุ้ หรือมงุ่ ขยายคาใดเป็นหลกั คานนั้ จกั ถอื เป็นคาสาคญั แหง่ กระทูน้ น้ั เม่อื พิจารณาคาสาคญั แลว้ จึงมาดูบริบทแวดลอ้ มท่ีอมความนนั้ ไว้ แลว้ ตงั้ เกณฑท์ ่ีตนตอ้ งอธิบายให้ ดาเนินความไปถงึ ตามคาแปลบาลนี นั้ ใหน้ กั เรียนพระปรยิ ตั ิธรรม พจิ ารณาตวั อยา่ งต่อไปน้ี ตวั อยา่ งการพจิ ารณากระทธู้ รรมเบ้อื งตน้ กมมฺ นุ า วตตฺ ตี โลโก. สตั วโ์ ลกย่อมเป็นไปตามกรรม. พจิ ารณา ก. คาสาคญั ๑. สตั วโ์ ลก ๒. กรรม ข. แนวอธิบาย ๑. สตั วโ์ ลก คืออะไร มกี ่ปี ระเภท อะไรบา้ ง ๒. กรรม คอื อะไร มเี ท่าไร อะไรบา้ ง ๓. สตั วโ์ ลกเป็นไปตามกรรมอยา่ งไร ตวั อยา่ งการเขยี นอธบิ าย “สตั วโ์ ลก หมายถึง หมู่สตั วท์ ่ีมชี ีวติ ดารงชีพอยู่บนโลก ซ่ึงหมายเอาบุคคล เช่น ตวั เรา เป็นตน้ มใิ ช่ สตั วเ์ ดยี รจั ฉานทวั่ ไป ส่วนคาวา่ กรรม แปลวา่ การกระทา ซ่งึ เป็นคากลาง ๆ ไม่บ่งช้ชี ดั ว่าเป็นสว่ นดี หรือสว่ นชวั่ กรรม โดยทวั่ ไปมี ๒ ประเภท ไดแ้ ก่ กรรมดี ๑ กรรมชวั่ ๑ กรรมดี เป็นการกระทาในดา้ นดี ทาแลว้ มคี วามสขุ ใจ อ่มิ เอิบใจ เป็นหลกั ไม่ว่าจะทางกาย มเี มตตากรุณาต่อสตั ว์ ไม่ทารา้ ยร่างกาย เป็นตน้ ส่วนทางวาจา มกี ารพูดดี ไมโ่ กหก พูดแตค่ าสภุ าพ เป็นตน้ และทางใจ มกี ารคิดดี ไมพ่ ยาบาท จองเวรใคร เป็นตน้ แต่กรรมชวั่ ยอ่ มมเี หตุ ในทางตรงขา้ ม ไมว่ ่าจะทางกาย มฆี า่ สตั ว์ ลกั ทรพั ย์ เป็นตน้ ทางวาจา มกี ารพดู โกหก เพอ้ เจอ้ สอ่ เสยี ด เป็นตน้ สำนกั ศาสนศกึ ษาวัดเขาเชงิ เทยี นเทพาราม พระมหาธรี พสิ ษิ ฐ์ จนทฺ สาโร
เอกสารประกอบ วชิ าเรียงความแก้กระทู้ธรรม นักธรรมช้ันตรี ๙ ทางใจ มคี วามคิดอาฆาต พยาบาท เป็นตน้ ทง้ั สามทางน้ี เป็นกรรมชวั่ บุคคลใด หรือสตั วโ์ ลกใดทด่ี ารงชพี อยู่ใน สงั สารวฏั ฏน์ ้ี ประกอบพรอ้ มดว้ ยความดี ทง้ั ทางกาย วาจา ใจ ก็ย่อมไดช้ ่ือว่าเป็นผูป้ ระกอบกรรมดี หากแมน้ ว่า บุคคลใด หรอื สตั วใ์ ด ประกอบพรอ้ มดว้ ยกรรมชวั่ ทง้ั ทางกาย วาจา ใจ กย็ ่อมไดช้ ่อื ว่าเป็นผูป้ ระกอบกรรมชวั่ ใน พระศาสนาน้ี มคี วามเชอ่ื ตามหลกั แห่งเหตุและผลอยู่ประการหนง่ึ ว่า หวา่ นพชื เชน่ ไร ย่อมไดผ้ ลเชน่ นนั้ หมายถึง ใครทาเช่นไร กย็ อ่ มไดผ้ ลเชน่ นน้ั อาทเิ ช่น พระภกิ ษุ ประพฤติตนอยูใ่ นพระวนิ ยั ไม่กา้ วลว่ ง สกิ ขาบทใด ๆ ยอ่ ม ไม่วปิ ปฏิสารเดอื ดรอ้ นใจ อยู่ในผา้ กาสาวพสั ตรไ์ ดอ้ ย่างสงบ ไปแห่งหนตาบลใดก็อาจหาญ ร่ืนเริงในคุณแห่งศลี ของตน หรือในนิทานจีน เช่น คนฆ่าสตั วข์ ายเล้ยี งชีพ เป็นอาจิณ เม่อื ก่อนจะส้นิ วายชีวา ก็มอี าการรอ้ นรน ดุจ สตั วท์ ่ีตนไดฆ้ ่าฉะนน้ั เป็นตน้ เพราะฉะนน้ั บุคคลใด หรือสตั วโ์ ลกใด ประพฤติปฏิบตั ิตนเช่นไร ก็ไม่อาจพน้ อานาจแหง่ กรรมท่ตี นไดก้ ระทาไวเ้ป็นแน่แทท้ เี ดยี ว” แบบฝึ กหดั สำนักศาสนศกึ ษาวดั เขาเชิงเทยี นเทพาราม พระมหาธรี พิสิษฐ์ จนทฺ สาโร
เอกสารประกอบ วิชาเรยี งความแก้กระทธู้ รรม นกั ธรรมชั้นตรี ๑๐ ๑. ใหน้ กั เรยี นพระปริยตั ิธรรม พจิ ารณากระทูธ้ รรมตอ่ ไปน้ี ตามแนวการพจิ ารณากระทูธ้ รรมทไ่ี ดศ้ ึกษามา ๑) อตฺตา หิ อตฺตโน นาโถ. ตนแล เป็นท่พี ง่ึ ของตน. ข.ุ ธ. ๒๕/๓๖, ๖๖ ๒) ทนโฺ ต เสฎโฺ ฐ มนุสเฺ สสุ. ในหมูม่ นุษย์ ผูฝ้ ึกตนแลว้ เป็นผูป้ ระเสริฐสุด. ข.ุ ธ. ๒๕/๓๓ ๓) จติ ตฺ คตุ ตฺ สุขาวห. จติ ท่คี มุ้ ครองแลว้ นาสขุ มาให.้ ข.ุ ธ. ๒๕/๑๓ ๔) สานิ กมมฺ านิ นยนฺติ ทุคฺคติ. กรรมชวั่ ของตนเอง ยอ่ มนาไปสู่ทคุ คติ. ข.ุ ธ. ๒๕/๔๗ ๕) ธมโฺ ม สจุ ณิ ฺโณ สขุ มาวหาติ. ธรรมทป่ี ระพฤตดิ แี ลว้ นาสขุ มาให.้ ส.ส. ๑๕/๕๘ ๒. ใหน้ กั เรียนพระปริยตั ิธรรม พิจารณากระทูธ้ รรมต่อไปน้ี แลว้ เขียนบรรยายกระทูธ้ รรมน้ันมาตามหลกั การเขยี นเบ้อื งตน้ ท่ไี ดศ้ ึกษามา ๑) อปปฺ มตฺโต หิ ฌายนโฺ ต ปปโฺ ปติ วปิ ลุ สขุ . ผูไ้ มป่ ระมาทพนิ ิจอยู่ ยอ่ มถงึ สขุ อนั ไพบลู ย.์ ข.ุ ธ. ๒๕/๑๘ ๒) ขนตฺ พิ ลา สมณพรฺ าหฺมณา. สมณพราหมณ์ มคี วามอดทนเป็นกาลงั . อง.ฺ อฏฐฺ ก. ๒๓/๒๒๗ สำนักศาสนศึกษาวดั เขาเชงิ เทยี นเทพาราม พระมหาธรี พิสษิ ฐ์ จนทฺ สาโร
เอกสารประกอบ วชิ าเรียงความแก้กระทธู้ รรม นักธรรมช้ันตรี ๑๑ ๓) วริ เิ ยน ทุกฺขมจเฺ จติ. คนลว่ งทกุ ขไ์ ดเ้พราะความเพยี ร. ข.ุ สุ. ๒๕/๓๖๑ ๔) ปญฺญํ สุขํ ชีวิตสงขฺ ยมฺหิ. บญุ นาสขุ มาใหใ้ นเวลาส้นิ ชวี ติ . ข.ุ ธ. ๒๕/๕๙ ๕) นพิ พฺ าน ปรม สขุ . นพิ พานเป็นสุขอย่างยง่ิ . ข.ุ ธ. ๒๕/๕๙ สำนกั ศาสนศกึ ษาวัดเขาเชงิ เทยี นเทพาราม พระมหาธีรพสิ ษิ ฐ์ จนทฺ สาโร
เอกสารประกอบ วชิ าเรียงความแก้กระทู้ธรรม นักธรรมชั้นตรี ๑๒ คมั ภรี ์ อกั ษรยอ่ บอกนามคมั ภรี ์ อกั ษรยอ่ บอกนามคมั ภรี ต์ ่อไปน้ี จะมปี ระโยชนเ์ มอ่ื นามาใชใ้ นการเขยี นเรียงความแกก้ ระทูธ้ รรม นกั เรียน พระปริยตั ธิ รรม จงึ จาเป็นตอ้ งศึกษา กาหนด จด จา ใหด้ ี อยา่ ใหผ้ ดิ พลาด อง.ฺ อฏฺฐก. องฺคุตฺตรนกิ าย อฏฐฺ กนิปาต อง.ฺ จตกุ ฺก. องฺ. ฉกฺก. องฺคตุ ฺตรนกิ าย จตกุ กฺ นิปาต อง.ฺ ติก. อง.ฺ ทสก. องคฺ ุตฺตรนิกาย ฉกฺกกนปิ าต องฺ. ปญฺจก. องฺ. สตตฺ ก. องคฺ ุตฺตรนิกาย ตกิ นิปาต ขุ. อิติ. ขุ. อ.ุ องคฺ ุตตฺ รนิกาย ทสกนิปาต ขุ. จริยา ขุ. จ.ู องคฺ ตุ ฺตรนิกาย ปญจฺ กนิปาต ข.ุ ชา. อฏฺฐก. ข.ุ ชา. อสตี ิ. องฺคตุ ตฺ รนิกาย สตตฺ กนปิ าต ข.ุ ชา. เอก. ข.ุ ชา. จตตฺ าฬสี . องคฺ ุตฺตรนิกาย อิติวตุ ฺตก ขุ. ชา. จตุกกฺ . ข.ุ ชา. ฉกกฺ . ขุททฺ กนกิ าย อุทาน ข.ุ ชา. ตสึ . ขุ. ชา. ตกิ . ขุทฺทกนกิ าย จริยาปิฏก ข.ุ ชา. เตรส ขุ. ชา. ทฺวาทส. ขุทฺทกนกิ าย จูฬนิทเฺ ทส ขุ. ชา. ทสก ขุ. ชา. ทกุ . ขทุ ทฺ กนิกาย ชาดก อฏฐฺ กนปิ าต ขทุ ฺทกนกิ าย ชาดก อสตี นิ ปิ าต ขุททฺ กนิกาย ชาดก เอกนิปาต ขทุ ทฺ กนิกาย ชาดก จตตฺ าฬสี นิปาต ขทุ ทฺ กนิกาย ชาดก จตุกฺกนิปาต ขทุ ทฺ กนกิ าย ชาดก ฉกกฺ นิปาต ขทุ ทฺ กนิกาย ชาดก ตึสนปิ าต ขุททฺ กนิกาย ชาดก ตกิ นปิ าต ขทุ ทฺ กนกิ าย ชาดก เตรสนปิ าต ขุทฺทกนกิ าย ชาดก ทฺวาทสนิปาต ขทุ ฺทกนกิ าย ชาดก ทสกนปิ าต ขทุ ฺทกนกิ าย ชาดก ทกุ นปิ าต สำนกั ศาสนศึกษาวดั เขาเชิงเทียนเทพาราม พระมหาธรี พิสิษฐ์ จนทฺ สาโร
เอกสารประกอบ วิชาเรียงความแก้กระทธู้ รรม นักธรรมชั้นตรี ๑๓ ข.ุ ชา. นวก. ขทุ ฺทกนิกาย ชาดก นวกนปิ าต ข.ุ ชา. ปกณิ ฺณก. ข.ุ ชา. ปญฺจก. ขทุ ทฺ กนิกาย ชาดก ปกณิ ณฺ กนปิ าต ข.ุ ชา. ปญฺญาส. ข.ุ ชา. มหา. ขทุ ทฺ กนกิ าย ชาดก ปญจฺ กนปิ าต ขุ. ชา. วีสต.ิ ข.ุ ชา. สฏฐฺ .ี ขทุ ฺทกนิกาย ชาดก ปญฺญาสนิปาต ข.ุ ชา. สตฺตก ข.ุ ชา. สตตฺ ติ. ขุททฺ กนกิ าย ชาดก มหานิปาต ขุ. เถร. ขุ. เถรี. ขทุ ฺทกนิกาย ชาดก วสี ตนิ ิปาต ข.ุ ธ. ขุ. ปฏิ. ขุททฺ กนกิ าย ชาดก สฏฺฐีนปิ าต ขุ. พุ. ขุ. มหา. ขทุ ฺทกนกิ าย ชาดก สตฺตกนปิ าต ข.ุ วิ. ข.ุ เปต. ขุททฺ กนิกาย ชาดก สตฺตตนิ ปิ าต ข.ุ ส.ุ ท.ี ปาฏ.ิ ขทุ ทฺ กนกิ าย เถราคาถา ท.ี มหา. ม. อปุ . ขทุ ฺทกนิกาย เถรีคาถา ม. ม. ว.ิ จลุ . ขทุ ทฺ กนิกาย ธมฺมปทคาถา ว.ิ ภ.ิ ว.ิ มหา. ขทุ ทฺ กนกิ าย ปฏสิ มภฺ ิทามคคฺ วิ. มหาวิภงฺค. สํ. นิ. ขทุ ทฺ กนกิ าย พทุ ฺธวสํ ส.ํ มหา. ส.ํ ส. ขุททฺ กนิกาย มหานิทเฺ ทส ส.ม. ขุทฺทกนกิ าย วมิ านวตฺถุ ขุทฺทกนกิ าย เปตวตฺถุ ขทุ ทฺ กนิกาย สตฺตนิปาต ทีฆนกิ าย ปาฏกิ วคคฺ ทีฆนกิ าย มหาวคฺค มชฺฌิมนกิ าย อุปริปณณฺ าสก มชฌฺ ิมนกิ าย มชฌฺ มิ ปณฺณาสก วินัยปิฏก จลุ ลฺ วคคฺ วินยั ปฏิ ก ภกิ ฺขณุ ีวภิ งคฺ วนิ ยั ปิฏก มหาวคฺค วินยั ปฏิ ก มหาวิภงฺค สยํ ตุ ฺตนิกาย นทิ านวคฺค สํยุตตฺ นิกาย มหาวารวคคฺ สยํ ตุ ฺตนิกาย สคาถวคฺค สวดมนตฉ์ บบั หลวง สำนกั ศาสนศกึ ษาวดั เขาเชงิ เทียนเทพาราม พระมหาธีรพสิ ษิ ฐ์ จนฺทสาโร
เอกสารประกอบ วชิ าเรยี งความแก้กระทธู้ รรม นกั ธรรมช้นั ตรี ๑๔ ร.ร. ๔ พระราชนพิ นธ์รัชกาลท่ี ๔ ว.ว. สมเดจ็ พระมหาสมณเจ้า กรมพระยาวชิรญาณวโรรส ส.ฉ. สมเด็จพระพทุ ธโฆษาจารย์ (ฉิม) ส.ส. สมเด็จพระสังฆราช (สา) --/-- เลขหน้า / บอกเลม่ , เลขหลงั / บอกหน้า สำนกั ศาสนศกึ ษาวัดเขาเชงิ เทียนเทพาราม พระมหาธีรพิสษิ ฐ์ จนฺทสาโร
เอกสารประกอบ วิชาเรียงความแก้กระทู้ธรรม นักธรรมชน้ั ตรี ๑๕ วธิ กี ารแตง่ กระทธู้ รรมและสำนวนโวหาร วิธกี ารแตง่ กระทธู้ รรม การแต่งกระทูธ้ รรม ตามหลกั การมอี ยู่ ๒ แบบ คอื ๑. แบบตงั้ วง คือ อธบิ ายความหมายของธรรมขอ้ นน้ั ๆ เสยี ก่อนแลว้ จงึ ขยายความออกไป ๒. แบบตีวง คือ บรรยายเน้ือความไปก่อนแลว้ จึงวกเขา้ หาความหมายของกระทูธ้ รรมน้ัน ส่วนมากผูแ้ ต่งกระทูธ้ รรม มกั จะนิยมแตง่ แบบท่ี ๑ คือ แบบตงั้ วง อธิบายความหมายภาษติ นน้ั ก่อนแลว้ จงึ ขยายความใหช้ ดั เจนต่อไป ซ่งึ ถอื เป็นวธิ กี ารท่สี ะดวก ไลไ่ ปทลี ะขนั้ ตอน ภาษาในการใช้ ๑. ใชภ้ าษาเขยี นท่ถี ูกตอ้ ง มปี ระธาน กริยา กรรม ๒. ไม่ใชภ้ าษาตลาด ภาษาแสลง ๓. ไม่ใชภ้ าษาพ้นื เมอื ง หรอื ภาษาทอ้ งถ่นิ ๓. ไม่ใชภ้ าษาตา่ งประเทศ เช่น ภาษาองั กฤษ เป็นตน้ สานวนโวหาร โวหาร หมายถึง ถอ้ ยคาท่ใี ชใ้ นการสอ่ื สารท่เี รยี บเรียงเป็นอย่างดี มวี ธิ ีการ มชี นั้ เชิงและมศี ิลปะ เพอ่ื สอ่ื ใหผ้ ูร้ บั สารรบั สารไดอ้ ยา่ งแจ่มแจง้ ชดั เจนและลกึ ซ้งึ รบั สารไดต้ ามวตั ถปุ ระสงคข์ องผูส้ ่งสาร ประเภทของโวหาร ในการเขียนเร่ืองราวต่าง ๆ อาจใชโ้ วหารท่ีเหมาะแก่ขอ้ ความของเร่ืองราวนนั้ ๆ ซ่ึงโวหารแบ่งได้ ๕ ประเภท ดงั น้ี ๑. บรรยายโวหาร คอื โวหารทใ่ี ชบ้ อกกลา่ ว เล่าเรอ่ื ง อธิบาย หรือบรรยายเรอ่ื งราว เหตกุ ารณ์ ตลอดจน ความรูต้ ่าง ๆ อย่างละเอียด เป็นการกล่างถึงเหตุการณ์ท่ตี ่อเนื่องกนั โดยช้ีใหเ้ หน็ ถงึ สถานท่ที ่เี กิดเหตุการณ์ สาเหตทุ ก่ี ่อใหเ้กดิ เหตุการณ์ สภาพแวดลอ้ ม บคุ คลท่เี กย่ี วขอ้ ง ตลอดจนผลท่ีเกดิ จากเหตุการณ์นนั้ เพอื่ ใหผ้ ูร้ บั สารเขา้ ใจเน้ือหา สาระอย่างแจ่มแจง้ ชดั เจน เน้ือหา ท่บี รรยายอาจเป็นเร่ืองท่สี มมตุ ิหรอื เร่อื งจรงิ ก็ได้ เรื่องท่ใี ช้ บรรยายโวหาร ไดแ้ ก่ การเขยี นตารา รายงาน บทความ เรื่องเล่า จดหมาย บนั ทึก ชีวประวตั ิ ตานาน เหตกุ ารณ์ บรรยายภาพ บรรยายธรรมชาติ บรรยายบุคลกิ ลกั ษณะบุคคล สถานท่ี รายงานหรอื จดหมายเหตุ การรายงานข่าว การอธิบายความหมายของคา การอธิบายกระบวนการ การแนะนา วธิ ีปฏิบตั ิในเร่ืองต่าง ๆ เป็นตน้ สำนักศาสนศึกษาวัดเขาเชงิ เทยี นเทพาราม พระมหาธรี พิสษิ ฐ์ จนทฺ สาโร
เอกสารประกอบ วชิ าเรยี งความแก้กระท้ธู รรม นักธรรมชนั้ ตรี ๑๖ ตวั อยา่ งบรรยายโวหาร ภเู ขาไฟฟูจเิ ป็นภเู ขาศกั ด์สิ ทิ ธ์ทิ ส่ี ุดในประเทศญีป่ ุ่นมาหลายศตวรรษแลว้ แตแ่ รกภเู ขาน้ีเป็นท่เี คารพบูชา ของชนพ้นื เมอื งเผา่ ไอนุซ่งึ ปจั จุบนั ยงั อยูต่ ามหมู่เกาะฮอกไกโด ซง่ึ เป็นเกาะใหญ่ ท่อี ยูเ่ หนอื สดุ ชาวไอนุขนานนาม ภูเขาน้ีตามช่ือเทพธิดา “ฟูชิ” (fuchi) ผูเ้ ป็นเทพธิดาแห่งอคั คี ชาวญี่ปุ่นยงั คงนบั ถือภูเขาไฟฟูจิต่อมา และ เรียกช่ือตามท่พี วกไอนุตงั้ ไว้ บรรดาผูน้ บั ถือศาสนาชินโตเชื่อว่าในธรรมชาติทุกรูปแบบจะมเี ทพ หรือ กามิ (kami) สถติ อยู่ แต่เทพท่ีสถติ ในภูเขาจะศกั ด์ิสิทธ์ิเป็นพิเศษ ภูเขาฟูจิซ่งึ สูงท่สี ุดและงามท่สี ุดในประเทศ จึง ไดร้ บั ความเคารพเป็นพเิ ศษ เพราะถอื วา่ เป็นสถานท่สี ถติ ของทวยเทพ เป็นจุดเชื่อมโยงระหว่างความ ลกึ ลบั ของ สวรรค์ และความเป็นจริงของโลกมนุษย์ (เกศกานดา จตุรงคโชค (บรรณาธิการ): โลกพสิ ดาร แดนพศิ วง) ๒. พรรณนาโวหาร คือ โวหารท่ใี ชก้ ล่าวถึงเร่ืองราว สถานท่ี บุคคล ส่งิ ของ หรืออารมณ์อย่างละเอยี ด สอดแทรกอารมณ์ความรูส้ ึกลงไปเพื่อโนม้ นา้ วใจใหผ้ ูร้ บั สารเกิดภาพพจนเ์ กิดอารมณ์คลอ้ ยตามไปดว้ ย ใชใ้ น การพูดโนม้ นา้ วอารมณ์ของผูฟ้ งั หรือเขยี นสดุดี ชมเมอื ง ชมความงามของบุคคล สถานท่ีและแสดงอารมณ์ ความรูส้ กึ ตา่ ง ๆ เป็นตน้ การใชพ้ รรณนาโวหาร ควรมคี วามประณีตในการเลอื กใชถ้ อ้ ยคาสานวนทไ่ี พเราะเพราะพร้งิ เลน่ คา เล่น อกั ษร ใชถ้ อ้ ยคาทง้ั เสยี งและความหมายใหต้ รงกบั ความรูส้ กึ ท่ตี อ้ งการพรรณนา รูจ้ กั ปรงุ แตง่ ถอ้ ยคา ใหผ้ ูร้ บั สาร เกิดภาพพจน์ ใชโ้ วหารเปรียบเทียบใหเ้ หน็ ภาพชดั เจน รูจ้ กั เลอื กเฟ้นเน้ือหาว่าส่วนใดควรนามาพรรณนา ตอ้ ง เขา้ ใจเน้ือหาท่จี ะพรรณนาเป็นอย่างดี และพรรณนาใหเ้ป็นไปตามอารมณ์ความรูส้ กึ โดยไม่เสแสรง้ บางกรณีอาจ ตอ้ งใชอ้ ุปมาโวหารหรือสาธกโวหารประกอบดว้ ย ตวั อยา่ งพรรณนาโวหาร เขาใชแ้ ขนยนั พ้นื ดนิ อาการเหนือ่ ยออ่ น กลน่ิ นา้ ฝนบนใบหญา้ และกล่นิ ไอดนิ โซนเขา้ จมูกวาบหววิ อยาก ใหม้ ใี ครซกั คนผ่านมาพบ เพอื่ พาเขากลบั ไปหาหมอในหมู่บา้ น มดหลายตวั เดนิ สวนขบวนผ่านไปมา มนั ไมม่ ที ีท่า จะสนใจเขาเลยแมแ้ ตน่ อ้ ย เขามองดูมนั อยา่ งเลอ่ื นลอยทาไมมนั จงึ เฉยเมยกบั ฉนั มนั คงรูแ้ น่ ฉนั อยากใหม้ นั เป็น คนจริง ๆ ฉันจะตอ้ งกลบั บา้ นใหไ้ ด้ เขาคิดพลางเหม่งมองดูยอดสนของหมู่บา้ น หาดเส้ียวเห็นอยู่ไม่ไกล ดวงอาทติ ยส์ แี ดงเขม้ กาลงั คลอ้ ยลงเหนือยอดไมท้ างทศิ ตะวนั ตก (นิคม รายวา: คนบนตน้ ไม)้ ๓. อปุ มาโวหาร คอื โวหารท่กี ล่าวเปรยี บเทยี บ เพอ่ื ใหผ้ ูร้ บั สารเขา้ ใจความหมาย อารมณค์ วามรูส้ กึ หรอื เหน็ ภาพชดั เจนย่งิ ข้นึ มกั ใชป้ ระกอบโวหารประเภทอ่นื เช่น เทศนาโวหาร บรรยายโวหาร โดยเฉพาะพรรณนา โวหาร เพราะจะช่วยใหร้ สของถอ้ ยคาและรสของเน้ือความไพเราะสละสลวยย่ิงข้นึ ทง้ั สารท่ีเป็นรูปธรรมและ นามธรรม การเปรยี บเทยี บอาจเปรยี บความเหมอื นกนั หรอื คลา้ ยคลงึ กนั เปรียบเทยี บความขดั แยง้ หรอื ลกั ษณะ สำนักศาสนศกึ ษาวดั เขาเชิงเทียนเทพาราม พระมหาธีรพสิ ษิ ฐ์ จนทฺ สาโร
เอกสารประกอบ วชิ าเรยี งความแก้กระทธู้ รรม นักธรรมช้นั ตรี ๑๗ ตรงกนั ขา้ ม หรอื เปรยี บเทยี บโดยใหผ้ ูร้ บั สารโยงความคิดหน่ึงไปสูอ่ กี ความคดิ หน่ึง โดยอาจกล่าวลอย ๆ หรืออาจ ใชค้ าแสดงการเปรียบเทียบ ซ่งึ มอี ยู่หลากหลาย เช่น เหมอื น เสมอื น คลา้ ย ดุจ ดงั ดงั่ ดุจดงั่ ราว ดูราว ปาน เพยี ง ประหนง่ึ เช่น เฉก ฯลฯ การใชอ้ ุปมาโวหารควรเลือกใชถ้ อ้ ยคาท่ีเขา้ ใจง่าย และสละสลวย แสดงการเปรียบเทียบไดถ้ ูกตอ้ ง เหมาะสมกบั เน้อื หา และจงั หวะ ลลี า ซ่งึ อาจกล่าวลอย ๆ กไ็ ด้ เน้อื หาท่จี ะเปรียบเทยี บควรเป็นเน้อื หาท่อี ธบิ ายให้ เขา้ ใจไดย้ าก เปรยี บเทยี บกบั สง่ิ ท่เี ขา้ ใจไดง้ า่ ย หรอื สง่ิ ทผ่ี ูร้ บั สารรูด้ อี ยูแ่ ลว้ และขอ้ ความท่จี ะยกมาเปรียบเทียบ (อุปไมย) กบั ขอ้ ความท่นี ามาเปรยี บเทยี บ (อุปมา) จะตอ้ งเหมาะสมกนั อุปมาโวหารใชเ้ ป็นโวหาร เสริมบรรยาย โวหาร พรรณนาโวหาร และเทศนาโวหาร เพอื่ ใหช้ ดั เจนและน่าอ่านย่งิ ข้นึ ตวั อยา่ งอปุ มาโวหาร …ดงั น้ีเจา้ จะเห็นไดว้ ่าเมยี ท่พี ่อจดั หาใหม้ ตี ระกูล สมชาติ สมเช้ือกนั ดี เพราะตระกูลของเราก็มงั่ มี มคี น นบั หนา้ ถอื ตา ญาตพิ น่ี อ้ งทง้ั ฝ่ายบดิ ามารดาของนางกบ็ รบิ รู ณ์ รูปร่างงามหาตาหนมิ ไิ ด้ ผมดาราวกบั แมลงผ้งึ หนา้ เปล่งปลงั่ ดงั่ ดวงจนั ทร์ เนตรประหนึ่งตากวาง จมูกแมน้ ดอกงา ฟนั เทยี บไข่มกุ ริมฝีปากเพียงผลตาลงึ สุก เสียง หวานปานนกโกกิลา ขาคือลากลว้ ย เอวเหมาะเจาะไม่อว้ นเกิน เวลาย่างเดินแคล่วคล่องมสี ง่าเสมอชา้ งทรง เพราะฉะนนั้ เจา้ จะหาทางตาหนิขดั ขอ้ งมไิ ดเ้ลย... (เสฐยี รโกเศศ: กามนติ ) ๔. สาธกโวหาร คือ โวหารท่ีม่งุ ใหค้ วามชดั เจนโดยการยกตวั อย่างหรือเรื่องราวประกอบการอธิบาย เน้อื หาสาระ เพอื่ สนบั สนุน ขอ้ คดิ เหน็ ตา่ ง ๆ ใหห้ นกั แน่น สมเหตสุ มผล ทาใหผ้ ูร้ บั สารเขา้ ใจเน้อื หา สาระในสง่ิ ท่ี พูด หรอื เขยี นอย่างแจ่มแจง้ ชดั เจน ดูสมจรงิ หรอื น่าเชอื่ ถอื ยง่ิ ข้นึ ตวั อย่างหรือเรอ่ื งราว ทย่ี กข้นึ ประกอบอาจเป็น เร่ืองสนั้ ๆ หรือเรื่องราวยาว ๆ ก็ไดต้ ามความเหมาะสม เช่น ประสบการณ์ตรงของผูส้ ่งสาร เร่ืองราวของบุคคล เหตุการณ์ นิทาน ตานาน วรรณคดี เป็นตน้ สาธกโวหารมกั ใชเ้ ป็นอุทาหรณ์ประกอบอยู่ในเทศนาโวหาร หรือ อธบิ ายโวหาร การใชส้ าธกโวหาร ควรใชถ้ อ้ ยคาภาษาทเ่ี ขา้ ใจงา่ ย รูจ้ กั เลอื กว่าเน้อื หาตอนใดควรใชต้ วั อย่าง หรือเรอื่ งราว ประกอบ และตวั อย่างท่ยี กมา ประกอบตอ้ งสอดคลอ้ งกบั เน้ือหา และเป็นเรื่องท่นี ่าสนใจ สมเหตุสมผล สาธก โวหารมกั แทรกอยูใ่ นโวหารอ่นื ๆ เช่น บรรยายโวหาร หรือเทศนาโวหาร ตวั อยา่ งสาธกโวหาร ถา้ เธอไม่อยากอยู่กบั ฉนั จรงิ จริง ยินยอมทุกส่งิ ใหเ้ ธอท้งิ ไป ฉนั ขอแค่เพยี งใหเ้ วลาหน่อยไดไ้ หม อยาก เล่านทิ านใหฟ้ งั ชาวนาคนหนึง่ มชี วี ติ ลาพงั ไปเจองูเห่ากาลงั ใกลต้ ายสงสาร จงึ เก็บเอามาเล้ยี งโดยไมร่ ู้ สดุ ทา้ ยจะ เป็นอย่างไร คอยดูแลดว้ ยความจริงใจ ห่วงใย และคอยใหค้ วามรกั เป็นกงั วลว่ามนั จะตาย เฝ้าคอยเอาใ จทุก สำนกั ศาสนศึกษาวัดเขาเชิงเทียนเทพาราม พระมหาธีรพิสษิ ฐ์ จนทฺ สาโร
เอกสารประกอบ วชิ าเรยี งความแก้กระทูธ้ รรม นักธรรมชนั้ ตรี ๑๘ อย่าง แต่สุดทา้ ยชาวนาผูช้ ายใจดี ดว้ ยความท่ีเขาไวใ้ จ น่าเสียดายกลบั ตอ้ งตายดว้ ยพิษงู นิทานมนั บอกให้ ยอมรบั ความจรงิ ว่ามบี างส่งิ ไม่ควรไวใ้ จ อะไรบางอยา่ งทท่ี าดซี กั แค่ไหน ไมเ่ ช่อื ง ไม่รกั ไมจ่ รงิ (สฟี ้า: ชาวนากบั งูเห่า) ๕. เทศนาโวหาร คือ โวหารท่ีม่งุ โนม้ นา้ วใจใหเ้ กิดความรูส้ ึกคลอ้ ยตาม เป็นการกล่าวในเชิงอบรม แนะนาสงั่ สอน เสนอทศั นะ ช้ีแนะ หรือโนม้ นา้ ว ชกั จูงใจโดยยกเหตุผล ตวั อย่าง หลกั ฐาน ขอ้ มูล ขอ้ เท็จจริง สุภาษิต คติธรรมและสจั ธรรมต่าง ๆ มาแสดงเพ่ือใหผ้ ูอ้ ่านเกิดความเขา้ ใจท่ีกระจ่างจนยอมรบั เชื่อถือมคี วามเห็น คลอ้ ยตาม และปฏิบตั ิตาม โวหารประเภทน้ีมกั ใชใ้ นการใหโ้ อวาท อบรมสงั่ สอน อธิบาย หลกั ธรรม และคาช้ีแจงเหตผุ ล ในเรือ่ งใดเร่ืองหนงึ่ การเสนอทศั นะ เป็นตน้ การใชเ้ ทศนาโวหารควรใชถ้ อ้ ยคาภาษาใหเ้หมาะสมกบั ผูร้ บั สาร ใชถ้ อ้ ยคาในการช้ีแจงเหตุผลท่กี ล่าวถงึ ใหแ้ จ่มแจง้ ชดั เจน และช้ีแจงไปตามลาดบั ไม่สบั สนวกวน ควรใชโ้ วหารอ่นื ประกอบดว้ ยเพื่อใหช้ วนติดตาม การเขยี นเทศนาโวหารตอ้ งใชโ้ วหารประเภทต่าง ๆ มาประกอบ อาจจะใชบ้ รรยายโวหาร พรรณนาโวหาร รวมทง้ั อปุ มาโวหาร และสาธกโวหารดว้ ย มกั ใชก้ บั งานเขยี นประเภทบทความชกั จูงใจ หรือบทความแสดงความคดิ เหน็ ความเรียง เป็นตน้ แตส่ ่วนใหญม่ กั จะเขา้ ใจว่า เทศนาโวหารเป็นโวหารทม่ี ่งุ สงั่ สอน ตวั อยา่ งเทศนาโวหาร “…เราโชคดีท่ีมีภาษาของตนเองแต่โบราณกาล จึงสมควรอย่างย่ิงท่ีจะรกั ษาไว้ ปญั หาเฉพาะในดา้ น การรกั ษาภาษาน้กี ็มหี ลายประการ อยา่ งหนง่ึ ตอ้ งรกั ษาใหบ้ ริสทุ ธ์ิในทางการออกเสยี ง คอื ใหอ้ อกเสยี งใหถ้ ูกตอ้ ง ชดั เจน อกี อย่างหนึ่งตอ้ งรกั ษาใหบ้ รสิ ุทธ์ิในวธิ ีการใช้ หมายความว่า วธิ ีใชค้ ามาประกอบเป็นประโยคนบั เป็น ปญั หาท่ีสาคญั ปญั หาท่ีสาม คือ ความรา่ รวยในคาของภาษาไทย ซ่ึงพวกเรานึกว่าไม่รา่ รวยพอ จึงตอ้ งมี การบญั ญตั ิศพั ทใ์ หม่มาใช.้..” “...ในปจั จุบนั น้ีปรากฏว่า ไดม้ กี ารใชถ้ อ้ ยคาออกจะฟ่มุ เฟือยและไม่ตรงกบั ความอนั แทจ้ ริงอยู่เนือง ๆ ทง้ั การออกเสยี งก็ไม่ถูกตอ้ งตามอกั ขรวธิ ี ถา้ ปล่อยใหเ้ป็นดงั น้ี ภาษาของเราก็มแี ต่จะทรดุ โทรม ชาติไทยเรามี ภาษาของเราใชเ้องเป็นสง่ิ ประเสริฐอยู่แลว้ เป็นมรดกอนั มคี ่าตกทอดมาถงึ เราทกุ คนมหี นา้ ท่จี ะตอ้ งรกั ษาไว.้..” (พระราชดารสั พระบาทสมเดจ็ พระเจา้ อยู่หวั ) สานวนการเขียนเรียงความแกก้ ระทธู้ รรมที่ดี ส่วนใหญ่จะใชโ้ วหารทง้ั ๕ ประเภทขา้ งตน้ เป็นพ้นื แต่ท่ี สาคญั ขาดมไิ ด้ และใชเ้ป็นหลกั ในการเขยี น คอื ใชส้ านวนแบบเทศนาโวหาร โดยมหี ลกั การเขยี นสงั เขป ดงั น้ี ๑. ขอ้ ความท่เี ขยี นนนั้ จะตอ้ งมเี หตผุ ลใชเ้ป็นหลกั ฐานอา้ งองิ ได้ ๒. มอี ุทาหรณ์และหลกั คติธรรม ๓. ผูเ้ขยี นจะตอ้ งแสดงใหเ้หน็ วา่ ตนมลี กั ษณะและคณุ สมบตั ิพอเป็นทเ่ี ช่ือถอื ได้ สำนักศาสนศึกษาวดั เขาเชงิ เทยี นเทพาราม พระมหาธรี พิสิษฐ์ จนฺทสาโร
เอกสารประกอบ วชิ าเรยี งความแก้กระทู้ธรรม นกั ธรรมชัน้ ตรี ๑๙ หลกั ย่อ ๆ ทค่ี วรจา เป็นเกณฑอ์ ธิบายในการแต่งกระทู้ ๑. วเิ คราะหศ์ พั ท์ คือ การแสดงความหมายของกระทูต้ งั้ แลว้ วางเคา้ โครงท่จี ะแต่งตอ่ ไป ๒. ขยายความ คือ การอธบิ ายใหก้ วา้ งออกไปตามแนวกระทูต้ ามเหตุและผล ๓. เปรยี บเทยี บ คอื ยกขอ้ ความท่ตี รงขา้ มกนั มาเปรียบเทยี บเพอื่ ใหเ้หน็ ไดช้ ดั ในสง่ิ ทพ่ี ูดไป ๔. ยกสภุ าษติ รบั คือ การนากระทูส้ ุภาษติ มารบั มาอา้ ง ๕. ยกตวั อยา่ ง คือ ยกตวั อยา่ งธรรมะ หรือบุคคล สถานทม่ี าเป็นตวั อยา่ ง ๖. สรปุ ความ คือ ย่อความทก่ี ล่าวมาแลว้ นน้ั ใหเ้ขา้ ใจงา่ ย ก่อนทจ่ี ะจบกระทู้ สำนกั ศาสนศึกษาวัดเขาเชงิ เทยี นเทพาราม พระมหาธีรพิสษิ ฐ์ จนฺทสาโร
เอกสารประกอบ วิชาเรยี งความแก้กระทธู้ รรม นกั ธรรมช้ันตรี ๒๐ แบบฝึ กหดั คาสงั่ ใหน้ กั เรยี นพระปริยตั ิธรรม เขยี นอธบิ ายกระทูธ้ รรมตอ่ ไปน้ี โดยใชห้ ลกั การ และใชโ้ วหารต่าง ๆ ทศ่ี ึกษา มาใชใ้ หเ้กิดประโยชนส์ ูงสดุ ๑) ตณฺหกฺขโย สพพฺ ทุกขฺ ชินาติ. ความส้นิ ตณั หาย่อมชนะทกุ ขท์ ง้ั ปวง. ข.ุ ธ. ๒๕/๖๓ ๒) ปิยาน อทสสฺ น ทุกขฺ . การพลดั พรากจากส่งิ ท่รี กั เป็นทกุ ข.์ ข.ุ ธ. ๒๕/๒๖/๔๓ ๓) อนตถฺ ชนโน โกโธ. ความโกรธก่อความพนิ าศ. องฺ.สตตฺ ก. ๒๓/๙๙ ๔) ทุฏฐฺ สสฺ ผรุสา วาจา. คนโกรธมวี าจาหยาบ. ข.ุ ชา.ทสก. ๒๗/๒๗๓ ๕) ย เว เสวติ ตาทโิ ส. คบคนใดกเ็ ป็นเช่นคนนนั้ . ว.ว. สำนกั ศาสนศึกษาวดั เขาเชงิ เทยี นเทพาราม พระมหาธีรพสิ ษิ ฐ์ จนทฺ สาโร
เอกสารประกอบ วิชาเรยี งความแก้กระท้ธู รรม นักธรรมชนั้ ตรี ๒๑ การเชอื่ มความและการสรปุ ความ การเช่ือมความ การเขียนเรียงความแกก้ ระทูธ้ รรม ในระดบั ชน้ั นักธรรมชนั้ ตรี สนามหลวงแผนกธรรมกาหนดให้ นกั เรียนพระปริยตั ิธรรม เขยี นอธิบายกระทูธ้ รรม และนากระทูธ้ รรมอีกบทหน่ึงมารบั โดยเขียนอธิบายใหม้ ี ความสอดคลอ้ งสมความกนั โดยเฉพาะอย่างย่งิ ในการเขยี นเช่ือมความระหว่างทง้ั ๒ กระทูน้ น้ั นกั เรียนพระ ปริยตั ิธรรม จาตอ้ งเขยี นเกริ่นนาหรือกล่าวถึง อธิบายถึงกระทูธ้ รรมอีกบทท่ีนามารบั กระทูธ้ รรมบทตง้ั พอได้ ใจความสนั้ ๆ แลว้ จงึ มาอธบิ ายใจความทง้ั หมดของกระทูธ้ รรมท่นี ามารบั อกี ครงั้ เพราะฉะนน้ั นักเรียนพระปริยตั ิธรรม จกั เขียนอย่างไรใหไ้ ดค้ วามสนิทดี นับเป็นเร่ืองท่ีนักเรียน พระปรยิ ตั ธิ รรม จาตอ้ งฝึกฝนในการกาหนด จด จา และฝึกเขยี นอยูเ่ สมอ การสรปุ ความ การสรุปความ เป็นการนาเอาเรื่องราวต่าง ๆ ท่ีตนเองไดเ้ ขยี นอรรถาธิบายกระทูธ้ รรมทงั้ ๒ บทนน้ั มาเขยี นใหม่ ดว้ ยสานวนภาษาของตน ซ่งึ เมอ่ื เขยี นแลว้ เน้อื ควาวมเดมิ จะสนั้ ลง แต่มใี จความสาคญั หรอื ความคิด รวบยอดทเ่ี ป็นหลกั ปฏบิ ตั ิ ความจาเป็น หรือขอ้ เทจ็ จรงิ ทเ่ี หมาะแก่การประพฤตปิ ฏบิ ตั ิอย่างครบถว้ นสมบูรณ์ ตวั อยา่ งการเขียนเช่ือมความ วริ เิ ยน ทกุ ฺขมจเฺ จติ. คนจะลว่ งทกุ ขไ์ ด้ เพราะความเพยี ร. คาว่า ทุกข์ คือสภาพท่บี บี คนั้ เบยี ดเบยี น มคี วามลาบาก ไม่สบายกาย ไม่สบายใจ มคี วามคบั แคบใจ อนั มเี หตุมาจากความไมส่ มปรารถนา ไม่ไดด้ งั ใจ ไดส้ ง่ิ ของบางอยา่ งมาแลว้ ไม่ถูกใจ ตลอดถงึ การพลดั พรากจาก ของรกั ของชอบใจ เป็นเหตุแห่งความทุกขเ์ ป็นความลาบาก กล่าวโดยทส่ี ุด พระพทุ ธเจา้ ตรสั ว่า สงั ขารร่างกาย น้ีก็เป็นทุกข์ ฉะนน้ั พระพทุ ธเจา้ จึงตรสั ว่า ความทุกขเ์ ป็นความจริง เป็นทุกขอ์ ริยสจั ความทุกขน์ ้ีมมี าประจา กบั ตวั เราแลว้ ตงั้ แต่เกิด มคี วามลาบากในการท่จี ะหาเล้ยี งชีพ ทงั้ ตวั เองและคนอน่ื แมก้ ารศกึ ษาเลา่ เรียนของเราน้ี ก็เหมือนกนั เป็นความทุกข์ เป็นความลาบาก แต่พระพุทธเจา้ ไดท้ รงเทศนาสงั่ สอนใหพ้ วกเรามองใหเ้ ห็น ความทุกข์ และกใ็ หย้ อมรบั ว่ามนั มอี ยู่จริง ไม่ใหจ้ มปรกั อยู่กบั มนั ไม่ใหเ้ศรา้ โศกและเสยี ใจกบั ส่งิ ท่ที าใหเ้กิดทุกข์ พระพุทธองคท์ รงสอน หาทางหนีจากความทุกข์ หาทางแกท้ ุกข์ เพื่อท่ีจะใหม้ คี วามทุกขน์ อ้ ยลง ใหม้ ีความสุข ตามปกติท่ีใจม่งุ หวงั ในการท่ีจะหนีจากความทุกข์ หาทางแกท้ ุกขน์ นั้ พระองคก์ ็ทรงสอนใหม้ คี วามเพียรก็คือ ประการแรก เพยี รพยายามไม่ใหส้ ง่ิ ทไ่ี ม่ดเี กิดข้นึ แก่เรา ประการทส่ี องเพยี รละส่งิ ทเ่ี ป็นอปุ สรรคแก่ความสขุ ของเรา ประการทส่ี ามเพยี รพยายามทาส่งิ ท่ดี เี ป็นประโยชนแ์ ก่เรา และประการทส่ี ่เี พยี รพยายามความดสี ง่ิ ท่ดี ที ่ีมอี ยู่ในตวั สำนกั ศาสนศกึ ษาวัดเขาเชิงเทยี นเทพาราม พระมหาธรี พิสิษฐ์ จนทฺ สาโร
เอกสารประกอบ วชิ าเรียงความแก้กระทธู้ รรม นักธรรมชน้ั ตรี ๒๒ ของเราแลว้ ใหค้ งอยูต่ อ่ ไป น้ีคอื ทางทีจ่ ะแกค้ วามทุกข์ ทางทจี่ ะพน้ จากความทกุ ข์ ความเพยี รส่ปี ระการน้ี เป็น ส่งิ ที่คนเรามนุษยส์ ามารถท่ีจะทาได้ เพราะว่ามนุษยเ์ ป็นผูม้ ีความคิดมีสตปิ ญั ญาเฉลียวฉลาดกว่าสตั วเ์ หล่าอ่นื ซ่งึ สามารถฝึกฝน ทาตนใหพ้ น้ จากทุกขเ์ หลา่ น้ันได้ สมดงั พระพทุ ธภาษติ ท่มี าใน ขทุ ฺทกนกิ าย ธมมฺ ปทคาถา ว่า ทนโฺ ต เสฏโฺ ฐ มนุสเฺ สสุ. ในหมมู่ นุษย์ ผูฝ้ ึกตนไดแ้ ลว้ เป็นผูป้ ระเสริฐ. แสดงวา่ มนุษยเ์ ราน้ี เป็นผูฝ้ ึกฝนตนเองได้ ดว้ ยความเพยี รพยายามของตวั เขาเองในการศึกษาเล่าเรียน ของเราน้ีก็เช่นกนั กว่าท่เี ราจะจบมาไดแ้ ต่ละชน้ั ก็มคี วามยากลาบาก และย่งิ ในการท่เี ราจบมเี กรดท่ดี แี ลว้ ไม่ใช่ เรื่องงา่ ย เราตอ้ งใชค้ วามเพียรพยายามฝึกฝนตน้ เองหมนั่ ศึกษาคน้ ควา้ ละส่งิ ท่เี ป็นอุปสรรคต่อการศึกษาเรา เอาใจใสใ่ นงานทค่ี รูอาจารยม์ อบหมายให้ ไม่เกยี จครา้ น เมอ่ื เราหมนั่ ขยนั อดทนฝึกฝนอยู่อยา่ งน้ี ก็จะเหน็ ไดว้ ่า ความยากลาบากเหล่านน้ั ไม่ใช่เรื่องยาก เราก็จะไดร้ บั ผลสาเร็จในการศึกษา และภาคภูมใิ จในตวั ของเรา ไม่ เฉพาะตวั เราแมค้ นอ่นื ก็จะยกย่องสรรเสรญิ ว่าเป็นเด็กดี หรือเป็นผูป้ ระเสรฐิ ถา้ หากขาดการฝึกฝนแลว้ ไซร้ จะ กลา่ วไดว้ า่ เป็นบคุ คลผูป้ ระเสรฐิ กห็ าไม่ จะเป็นคนดไี ดอ้ ยา่ งไร สรปุ ความว่า ความทุกข์ ความลาบากของมนุษยต์ า่ ง ๆ นานา ของคนเรานัน้ เป็นส่งิ ทมี่ นุษยส์ ามารถจะ เอาชนะได้ สามารถบรรลคุ วามสขุ ผ่านความทุกขน์ ัน้ ได้ กเ็ พราะความเพยี ร ดงั ท่กี ล่าวมาว่า ประการแรกเพยี ร สงั วรระวงั ไม่ใหส้ ่งิ ที่ไมด่ ีเกดิ ข้ึนแก่ตวั เรา ประการท่ีสองเพยี รละส่งิ ท่ีไม่ดีน้นั ประการที่สามเพยี รสงั่ สมความดี หรอื สง่ิ ทีเ่ ป็นประโยชนแ์ กต่ วั เรา และประการที่สเ่ี พยี รรกั ษาความดีน้ันไวใ้ หอ้ ยู่กบั ตวั เรานาน ๆ เมอื่ ฝึกตนเอง ไดแ้ ลว้ ก็จะเป็นคนทีม่ ีแตส่ วสั ดีภาพ เป็นผูป้ ระเสริฐ สำนกั ศาสนศึกษาวัดเขาเชิงเทยี นเทพาราม พระมหาธรี พิสิษฐ์ จนทฺ สาโร
เอกสารประกอบ วิชาเรยี งความแก้กระทู้ธรรม นกั ธรรมชน้ั ตรี ๒๓ แบบฝึ กหดั คาสงั่ ใหน้ กั เรียนพระปรยิ ตั ิธรรม ฝึกเขยี นการเช่ือมความจากกระทูธ้ รรมท่กี าหนดให้ ๑) อตฺตา หิ อตตฺ โน นาโถ ทนฺโต เสฎฺโฐ มนสุ ฺเสสุ ตนแล เปน็ ท่พี ่งึ ของตน ในหมูม่ นุษย์ ผฝู้ ึกตนแลว้ เป็นผู้ประเสริฐสดุ ข.ุ ธ. ๒๕/๓๖, ๖๖ ข.ุ ธ. ๒๕/๓๓ ๒) จติ ตฺ ํ คุตตฺ ํ สขุ าวหํ สานิ กมฺมานิ นยนฺติ ทคุ คฺ ติ จิตที่คุ้มครองแลว้ นำสขุ มาให้ กรรมชวั่ ของตนเอง ย่อมนำไปสทู่ ุคคติ ข.ุ ธ. ๒๕/๑๓ ขุ.ธ. ๒๕/๔๗ ๓) ธมโฺ ม สุจิณฺโณ สขุ มาวหาติ อปปฺ มตโฺ ต หิ ฌายนโฺ ต ปปโฺ ปติ วปิ ุลํ สขุ ํ ธรรมที่ประพฤติดีแลว้ นำสขุ มาให้ ผู้ไม่ประมาทพนิ ิจอยู่ ยอ่ มถึงสขุ อนั ไพบลู ย์ สํ.ส. ๑๕/๕๘ ขุ.ธ. ๒๕/๑๘ คาสงั่ ใหน้ กั เรยี นพระปริยตั ิธรรม ฝึกเขยี นสรปุ ความจากขอ้ ความทก่ี าหนดให้ ๑) ก. ...ศีลแปลว่า ปกติ, สารวม ผูม้ ศี ีลจงึ เรียกไดว้ ่าผูส้ ารวม, ผูเ้ ป็นปกติ ศีลนนั้ มหี ลายระดบั สาหรบั บุคคลท่มี สี ถานะและภูมธิ รรมต่างกนั ไป ศีล ๕ เป็นศีลเบ้อื งตน้ สาหรบั คนทวั่ ไป ศีล ๘ หรืออุโบสถศีล เป็นศีล สาหรบั อบุ าสก, อุบาสกิ าท่สี มาทานเพอื่ รกั ษาศลี ในวนั อุโบสถหรอื วนั พระ ศีล ๑๐ เป็นศลี สาหรบั สามเณรหรอื ผูถ้ อื บวชบางกลุ่ม ศีล ๒๒๗ เป็นศีลสาหรบั พระภกิ ษุ ศีล ๓๑๑ เป็นศีลสาหรบั ภิกษุณี ศีลนนั้ เป็นพ้นื ฐานหรือเป็น รากฐานของการสรา้ งกุศลทง้ั ปวง เช่น ในศีล ๕ อนั ประกอบดว้ ย การงดเวน้ จากการฆ่าสตั ว,์ การงดเวน้ จาก การถือเอาสง่ิ ของท่เี จา้ ของไม่ไดใ้ ห,้ การงดเวน้ จากการประพฤติผดิ ในกาม, การงดเวน้ จากการพูดปด, การงดเวน้ จากการดม่ื นา้ เมา โดยศลี ๕ น้ีเรียกอกี อยา่ งว่านจิ ศลี เพราะเป็นศีลท่เี ราควรรกั ษาใหบ้ รสิ ุทธ์ิเป็นนิตย์ จะเหน็ ไดว้ า่ ศีลทง้ั ๕ น้ีจะตรงกบั หลกั ธรรมอ่นื ๆ หลายหมวด เช่น ในกายสุจริต ๓ วจีสุจริต ๔ และในมรรคมอี งค์ ๘ ก็มี หวั ขอ้ ธรรมทเ่ี ก่ยี วเน่อื งกบั ศีลหลายประการ ในการท่จี ะรกั ษาศีลใหบ้ รสิ ุทธ์ินนั้ อาศยั สติคอยเตือนไมใ่ หล้ ่วงศลี ... ข. ...สติ คือ ความระลกึ ได้ ขอ้ ท่วี ่าเป็นเคร่ืองต่ืนในโลกนน้ั หมายความว่าบุคคลผูม้ สี ติ จะเป็นผูท้ ่ี รูต้ วั อยู่เสมอว่ากาลงั ทาส่งิ ใดอยู่ ทาการงานสง่ิ ใดกไ็ ม่ผดิ พลาด ส่วนอกี ความหมายหน่ึงยงั หมายถงึ การมใี จจดจ่อ อยูใ่ นงานหรอื ส่งิ ท่กี าลงั ทาอยู่ เหตเุ พราะว่าจติ ของเรานน้ั จะไม่หยุดนิง่ อยู่กบั สง่ิ หนงึ่ ส่งิ ใดนานนกั ดงั นน้ั หากเรามี สำนักศาสนศกึ ษาวัดเขาเชงิ เทยี นเทพาราม พระมหาธรี พิสิษฐ์ จนทฺ สาโร
เอกสารประกอบ วชิ าเรยี งความแก้กระท้ธู รรม นักธรรมช้นั ตรี ๒๔ สติคอยกากบั การงานหรอื กิจกรรมนน้ั ก็จะไม่เกิดความผดิ พลาด ดงั ไดก้ ล่าวแลว้ ขา้ งตน้ เม่อื เรามสี ติคอยกากบั ก็ จะช่วยไมใ่ หเ้รากระทาการส่งิ ใดทล่ี ่วงศลี ดงั น้แี ลว้ ศลี ก็จะบรสิ ทุ ธ์อิ ยูไ่ ด.้.. ๒) ก. ...ความอดทน คอื อาการทไ่ี มห่ วนั่ ไหวทงั้ ทางกายและทางจติ ใจ ในเมอ่ื ประสบกบั สภาพท่ีไม่น่า ชอบใจ ๔ ประเภท คือ ๑. ธรรมชาติ มหี นาว รอ้ น ฝนตก แดดออก เป็นตน้ ๒. อดทนต่อความเหนื่อยยาก ตรากตราในการทางาน ๓. อดทนตอ่ ทกุ ขเวทนา อนั เกดิ จากความเจบ็ ปวดและโรคภยั ๔. อดทนตอ่ ความเจบ็ ใจ ความอดทนน้ียอ่ มอานวยผลใหผ้ ูป้ ระกอบไดพ้ บกบั ความสุข ความเจรญิ และความสาเร็จ ทงั้ ทางคดโี ลกและคดี ธรรม... ข. ...ความไม่ประมาท คือ ความหลงมวั เมาในลาภ ยศ สรรเสริญ สุข เมาในวยั และชีวติ บุคคลท่ี มวั เมาเหล่าน้ี กม็ ชี ือ่ อยูส่ กั แต่ว่าหายใจเขา้ ออกเท่านนั้ หาทาประโยชนส์ ง่ิ ใดไม่ บุคคลทพ่ี งึ ยงั ความไมป่ ระมาทให้ ถงึ พรอ้ มคือ เมอ่ื จะทา พดู คิด ตอ้ งทาดว้ ยความระมดั ระวงั มสี ติอยู่เสมอ ความไมป่ ระมาทนนั้ ยอ่ มเป็นหนทาง ใหป้ ระสบความสขุ ความเจรญิ และความไมเ่ ส่อื มเสยี ... ๓) ก. ...คาว่า บาป หมายถงึ ความไม่ดที ุกอย่าง เช่น อกุศล โทษ ความผดิ ทุจริต เวร ธรรมดา ทุกขย์ าก ลาบาก เหน็ดเหนื่อย เจ็บปวดความชวั่ เป็นตน้ ดงั นน้ั จงึ มกั พูดศพั ทเ์ ดิมว่า บาป หรือถา้ จะแปลก็ มกั จะแปลว่า ความชวั่ อนั หมายถงึ ความไม่ดีนนั่ เอง ส่วนท่านผูร้ ูค้ มั ภรี ศ์ พั ทศาสตร์ใหค้ วามหมายของคาว่า บาปไวห้ ลายนยั เชน่ สง่ิ ทค่ี นดที งั้ หลายพึงป้องกนั ตวั เอาไวใ้ หห้ ่างไกล หรือสง่ิ ท่เี ป็นเหตใุ หค้ นถงึ อบาย คอื กลาย สภาพเป็นดริ จั ฉาน เปรต สตั วน์ รก และอสุรกาย เป็นตน้ ส่งิ ท่จี ดั ว่าเป็นบาปนนั้ พระพุทธศาสนาจดั ส่งิ ท่เี ป็นบาปไวต้ ามโทษหนกั เบา ดงั น้ี บาปท่มี โี ทษหนกั ท่สี ดุ คอื นยิ ตมจิ ฉาทฏิ ฐิ แปลว่า ความเหน็ ท่แี น่นอนดง่ิ ลงไป แกไ้ ขไม่ได้ ๓ อย่าง คอื อกิรยิ ทฏิ ฐิ เหน็ วา่ ทาบาปหรือทาบญุ ก็เป็นเพยี งแตก่ ิริยาทท่ี าเท่านน้ั ไมไ่ ดเ้ป็นบาปหรือเป็นบุญ ดงั ท่ศี าสนาทงั้ หลายสอนเลย อเหตุกทิฏฐิ เห็นว่าความสุขหรือความทุกขข์ องมนุษยล์ ว้ นเกิดข้ึนเอง ไม่ไดเ้ กิดมาจากเหตุใด ๆ ทง้ั ส้ิน นตั ตกิ ทฏิ ฐิ เหน็ วา่ ไม่มอี ะไร คือ บาปก็สูญ บญุ ก็สูญ คนตายแลว้ ก็สูญ บาปท่มี โี ทษหนกั รองจากนน้ั ไดแ้ ก่ อนนั ตริยกรรม ๕ อย่าง คือ มาตุฆาต ฆ่ามารดา ๑ ปิตุฆาต ฆ่าบดิ า ๑ อรหนั ตฆาต ฆ่าพระอรหนั ต์ ๑ โลหิตุปบาท ทารา้ ยพระศาสดาจนถงึ พระโลหิตหอ้ ข้นึ ๑ สงั ฆเภท ทาลายสงฆใ์ หแ้ ตกกนั ๑ ทงั้ ๕ ประเภทน้ี ใครทาหลงั จากตายไปตอ้ งตกนรกทนั ที บาปท่มี โี ทษถงึ นาไปสู่อบายก็ได้ ท่ที าใหไ้ ดร้ บั ความทุกขค์ วามเดอื ดรอ้ น เช่น ทาใหอ้ ายุสน้ั มโี รค มาก ยากจนเขญ็ ใจ เป็นตน้ กไ็ ด้ มี ๑๐ อยา่ ง เป็นการกระทาทางกาย ๓ อย่าง คือ ฆา่ สตั ว์ ๑ ลกั ทรพั ย์ ๑ ประพฤตผิ ดิ ในกาม ๑ เป็นการพูดทางวาจา ๔ อย่าง คือ พูดเทจ็ ๑ พดู สอ่ เสยี ดทาใหค้ นแตกสามคั คี กนั ๑ พูดคาหยาบ ๑ พูดเพอ้ เจอ้ ทาใหผ้ ูอ้ ่นื เชอื่ ถอื เองไรส้ าระ ๑ เป็นความคิดชวั่ ทางใจ ๓ อย่าง คือ โลภ อยากไดข้ องคนอ่นื อยา่ งผดิ ศลี ธรรม ๑ คดิ รา้ ยทาลายผูอ้ น่ื ๑ มคี วามเหน็ ผดิ ไมเ่ ชอื่ เรอ่ื งบาปบญุ คุณโทษ ๑ สำนกั ศาสนศกึ ษาวดั เขาเชิงเทยี นเทพาราม พระมหาธีรพิสษิ ฐ์ จนทฺ สาโร
เอกสารประกอบ วชิ าเรยี งความแก้กระทธู้ รรม นักธรรมช้ันตรี ๒๕ การทาบาป หมายถึง การทา การพูด และการคิด ส่ิงท่ีจดั ว่าเป็นบาปเหล่าน้ีเอง คือ ถือมนั่ มจิ ฉาทิฏฐทิ งั้ ๓ อย่าง หรืออย่างใดอย่างหน่ึง กระทาอนนั ตริยกรรมมีการฆ่ามารดาบดิ าเป็นตน้ หรือทากาย ทุจริต ๓ พูดวจที จุ ริต ๔ และมใี จประกอบดว้ ยมโนทจุ ริต ๓ ดงั กล่าวแลว้ การทาบาปต่าง ๆ ดงั กล่าวมาน้ี ลว้ นแต่ก่อใหเ้กิดความทกุ ข์ ความเดือดรอ้ นทงั้ แก่ผูท้ าและบุคคล อ่นื ผูเ้ก่ียวขอ้ งทงั้ ส้นิ แต่ก็ยงั มคี นอกี เป็นจานวนมากท่ชี อบทา ท่เี ป็นเชน่ น้ี กเ็ พราะคนสว่ นมากยงั มบี าปอยู่ในใจ คนท่มี เี ช้อื บาปอยูใ่ นใจยอ่ มทาความชวั่ ไดง้ า่ ย... ข. ...บาปท่ีทานน้ั อย่างหนกั ทาใหต้ กโลกนั ตริกนรก รองลงมาทาใหต้ กนรกอเวจี รองลงมา จากนนั้ ทาใหก้ ลายสภาพเป็นดริ จั ฉาน เป็นเปรต เป็นอสุรกาย หรือเบากว่านนั้ ถา้ เกิดมาเป็นมนุษย์ ก็จะทาให้ มอี ายสุ นั้ มโี รคเบยี ดเบยี น ทากนิ ไมข่ ้นึ มอี ุปสรรค ประสบภยั อนั ตรายต่าง ๆ เป็นตน้ ส่วนการไม่ทาบาป คือ เป็นคนท่มี สี มั มาทิฏฐิ มคี วามคิดเห็นท่สี ่งเสริมศีลธรรม งดเวน้ เด็ดขาด จากอนนั ตริยกรรม และเวน้ ขาดจากการฆ่าสตั ว์ การลกั ทรพั ย์ การประพฤติผดิ ในกาม การพูดเทจ็ การพูด สอ่ เสยี ด การพดู คาหยาบ การพูดเพอ้ เจอ้ การโลภอยากไดอ้ ย่างผดิ ศลี ธรรม ความคิดรา้ ยทาลายผูอ้ ่นื ย่อม นาความสขุ มาใหท้ งั้ แก่ตนเอง ครอบครวั และสงั คม... ๔) ก. ...บุญ หมายถงึ กศุ ล สจุ ริต กรรมดี ความดี ธรรม และธรรมฝ่ายขาว หรือกลา่ วโดยรวม วา่ บญุ เป็นชือ่ ของความดที กุ อยา่ ง อนั ตรงกนั ขา้ มกบั บาปท่เี ป็นชือ่ ของความไม่ดที กุ อยา่ ง ทา่ นผูร้ ูค้ มั ภรี ศ์ พั ทศาสตรใ์ หค้ วามหมายว่า บญุ แปลว่า เคร่อื งชาระลา้ งจติ ใจใหส้ ะอาด หรือแปลวา่ สภาพท่กี ่อใหเ้กิดความน่าบูชา อธิบายว่า บุญคือการบรจิ าคทาน การรกั ษาศีล และการเจริญภาวนา เป็นตน้ ใครกระทาโดยตดิ ต่อไม่ขาดสาย ยอ่ มทาใหจ้ ติ ใจของเขาปราศจากความโลภ ความโกรธ ความหลง หรือย่งิ ทา ไปนาน ๆ จนเป็นบารมเี หมอื นองคส์ มเด็จพระสมั มาสมั พทุ ธเจา้ หรือพระอรหนั ตสาวกกจ็ ะกาจดั กเิ ลสไดเ้ด็ดขาด เป็นพระอรหนั ต์ เป็นผูม้ จี ิตใจบริสุทธ์ิอย่างแทจ้ ริง และผูท้ ่ไี ม่มกี ิเลสคือความโลภ ความโกรธ ความหลงนนั้ ย่อมจดั เป็นปูชนียบุคคล คอื บคุ คลท่นี ่าบชู า ทง้ั ของเทวดาและมนุษย์ เมอ่ื บุญ คือความดจี งึ เป็นสง่ิ ท่ที ุกคนตอ้ งทาการทาบุญนนั้ กเ็ หมอื นกบั การทางานทวั่ ไป คอื ตอ้ งมี อุปกรณ์ไดแ้ ก่เครอ่ื งมอื เหมอื นนกั เรียนมาเรียนหนงั สอื ตอ้ งมเี ครือ่ งมอื เช่น หนงั สอื สมดุ ปากกา เป็นตน้ อุปกรณ์สาหรบั ใชท้ าบุญใหญ่ ๆ มี ๔ อย่าง คือ ๑. ทานวตั ถุ ของสาหรบั ใชบ้ ริจาคทาน พระพทุ ธองคท์ รง กาหนดไว้ ๑๐ อย่าง คือ ขา้ ว นา้ ผา้ ยานพาหนะ ดอกไมข้ องหอม ของลูบไล ้ ท่นี อน ท่พี กั ประทปี ๒. กาย คอื ร่างกายทุกส่วน ๓. วาจา คอื ปาก ๔. ใจ คอื ความคดิ เมอ่ื พูดถงึ เรือ่ งทาบุญ พทุ ธศาสนิกชนไทยโดยมากมกั รูจ้ กั เพยี งอยา่ งเดียว คอื การบรจิ าคทาน จงึ เป็นเหตุใหบ้ างคนรูส้ กึ กลวั บญุ เพราะทาบุญทีไรจะตอ้ งเสยี ทรพั ยท์ ุกครง้ั บางคนรูส้ กึ ว่า ตนเองไม่มโี อกาสจะ สำนักศาสนศกึ ษาวัดเขาเชิงเทยี นเทพาราม พระมหาธรี พสิ ิษฐ์ จนฺทสาโร
เอกสารประกอบ วชิ าเรียงความแก้กระท้ธู รรม นกั ธรรมชน้ั ตรี ๒๖ ไดท้ าบญุ กบั เขา เพราะไมม่ ที รพั ยส์ นิ เงนิ ทอง แตค่ วามจรงิ แลว้ ทรพั ยส์ นิ เงนิ ทองไมใ่ ช่อปุ กรณส์ าหรบั ทาบุญท่ี สาคญั เลย อุปกรณ์สาหรบั ทาบญุ ทส่ี าคญั คือ กาย วาจา ใจ ของแต่ละบคุ คลนนั่ เอง กายของนกั เรยี นท่เี วน้ จากการฆ่าสตั ว์ การทารา้ ยกนั การลกั ขโมย การประพฤติผดิ ในกาม หรือท่ี ใชท้ าส่งิ อนั เป็นประโยชน์ เช่น ขยนั ไปโรงเรยี น ขยนั เรียนหนงั สอื ขยนั ทาการบา้ น ขยนั ชว่ ยพ่อแมท่ างาน ไม่ ยงุ่ เก่ียวกบั ยาเสพตดิ ชว่ ยเหลอื สงั คม ชว่ ยรกั ษาความสะอาดบริเวณโรงเรยี น เป็นตน้ วาจาหรือปาก ใชพ้ ดู แต่ คาสตั ยจ์ ริง พูดใหค้ นเกิดความสามคั คีกลมเกลยี วกนั พูดคาสุภาพเรียบรอ้ ย พูดเร่ืองท่ีเป็นประโยชนแ์ ก่ผูฟ้ งั ใจมคี วามปรารถนาดีต่อผูอ้ ่นื ไม่คิดโลภอยากไดข้ องใคร ไม่คิดรา้ ยทาลายใคร ไม่อจิ ฉาริษยาใคร เชื่อฟงั พ่อ แมค่ รูอาจารย์ เพยี งเท่าน้ี กาย วาจา และใจ ของนกั เรยี นกส็ ามารถสรา้ งมนุษยส์ มบตั ิ สวรรคส์ มบตั ิ ใหแ้ ก่ นกั เรียนเอง แก่บดิ ามารดาและครูอาจารยไ์ ดแ้ ลว้ โดยท่ไี ม่ตอ้ งใชท้ รพั ยส์ นิ เงนิ ทองเลย และพระพทุ ธศาสนาจดั วา่ เป็นบญุ ทย่ี ง่ิ ใหญก่ วา่ การบรจิ าคทานอกี ดว้ ย เพราะบุญหมายถงึ ความดที กุ อย่าง บุญจงึ มคี วามสาคญั ตอ่ ชีวติ มนุษยท์ กุ คน เพราะ ๑. เป็นเหตใุ ห้ ไดเ้ กิดในคติภพท่ดี ี ๒. ช่วยคุม้ ครองรกั ษาชีวติ ใหร้ อดพน้ จากภยั อนั ตรายต่าง ๆ ๓. ช่วยนาพาวิถีชีวติ ไปสู่ ความสาเร็จ และเจริญกา้ วหนา้ ในส่งิ ท่ตี นปรารถนา ๔. เป็นเหตุใหจ้ ิตใจเกิดความร่มเย็นเป็นสุข องคส์ มเด็จ พระสมั มาสมั พทุ ธเจา้ จงึ ทรงสอนใหพ้ ทุ ธศาสนิกชนไดห้ มนั่ ทาบุญเอาไวเ้สมอเมอ่ื มโี อกาส แมว้ ่าจะเป็นบญุ เพยี ง เลก็ นอ้ ยก็ตาม ดงั พระพทุ ธพจนว์ ่า “อย่าดูหม่นิ บุญว่ามปี ระมาณนอ้ ย เมอ่ื ไรจะมาถึงเรา หยดนา้ ท่หี ยดลงทลี ะ หยด ยงั ทาภาชนะมตี ุม่ เป็นตน้ ใหเ้ตม็ ได้ ฉนั ใด คนผูฉ้ ลาดทาบญุ อยู่เสมอ กย็ อ่ มเต็มดว้ ยบญุ ฉนั นนั้ ” อนึ่ง พระพุทธองค์ ตรสั ผลดที ่ีเกิดจากอานุภาพบุญไวใ้ นจูฬกมั มวภิ งั คสูตร กล่าวโดยสรุป เพอ่ื จางา่ ยดงั น้ี อายุยนื เพราะเวน้ การเข่นฆ่า ไรโ้ รคาเพราะไม่ทารา้ ยสตั ว์ มผี วิ พรรณงามเลศิ เจดิ จารสั เพราะกาจดั ความโกรธรูอ้ ดใจ ยศศกั ดส์ิ ูงเพราะใจไมร่ ิษยา มโี ภคาเพราะทานคือการให้ สกุลสูงเพราะเจยี มเสงย่ี มใจ ปญั ญาไวเพราะคบหาปญั ญาชน บุญเป็นเหตุใหเ้กิดความสขุ ความเจริญ และความอยู่รอดปลอดภยั แห่งชีวติ ดงั กลา่ วมาน้ี บญุ จึง เป็นสง่ิ ทค่ี วรทา... ข. ...บุญนน้ั เป็นเรื่องเฉพาะตวั ใครทาใครได้ ดงั พระพุทธพจน์ว่า ความหมดจด (ความดี) หรือ ความเศรา้ หมอง (ความชวั่ ) เป็นเร่ืองเฉพาะตน คนอ่ืนทาคนอ่นื ใหห้ มดจดหรือใหเ้ศรา้ หมองไมไ่ ด้ ตวั อย่างงา่ ย ๆ สมมติว่า นกั เรียน ๒ คน เป็นเพื่อนรกั กนั คนหน่ึงเรยี นเก่ง คนหน่ึงเรยี นไม่เก่ง คนเรียนเก่งสงสารเพอื่ น อยา่ งไร ก็ไม่สามารถจะแบง่ เอาความเก่งของตนไปใหเ้พอ่ื นได้ หรือเพอ่ื นทเ่ี รยี นไมเ่ ก่งจะคิดแย่งชิง โดยการลกั ขโมย ปลน้ จ้ีเอาความเก่งไปจากเพื่อนก็ไม่ไดเ้ หมือนกัน มีอยู่ทางเดียวเท่าน้ัน คือถา้ อยากเก่งตอ้ ง ขยนั หมนั่ เพยี ร ฝึกฝนดว้ ยตนเอง จะไปขอหรอื แย่งชงิ เอาจากคนอ่นื เหมอื นกบั สง่ิ ของไมไ่ ด.้ .. สำนักศาสนศึกษาวัดเขาเชงิ เทยี นเทพาราม พระมหาธรี พิสษิ ฐ์ จนฺทสาโร
เอกสารประกอบ วชิ าเรยี งความแก้กระทธู้ รรม นกั ธรรมช้ันตรี ๒๗ ๕) ก. ...สลี ท่านผูร้ ูอ้ ธิบายความหมายไวห้ ลายนยั ดงั น้ี ๑. สีเลนะ แปลว่า ความปกติ หมายความว่า ควบคุมความประพฤติทางกาย วาจา ใหอ้ ยู่ใน สภาพท่ีเรียบรอ้ ยดีงาม พน้ จากการเบียดเบียนกนั และกนั และหมายความว่าสามารถรองรบั ความดีชน้ั สูง ทุกอย่าง เหมอื นแผ่นดนิ รองรบั ของหนกั มมี หาสมทุ รและภูเขา เป็นตน้ เอาไวไ้ ดโ้ ดยไม่มคี วามผดิ ปกติอะไร ๒. สิระ แปลว่า ศีรษะ หมายความว่า เป็นยอดของความดี เหมอื นศีรษะเป็นอวยั วะทอ่ี ยู่สูง ทส่ี ุดของร่างกาย ๓. สสี ะ แปลว่า ย่งิ ใหญ่ คือมคี วามสาคัญ หมายความว่า ถา้ ขาดศีลเสียแลว้ คุณธรรมหรือ ความเจรญิ อย่างอน่ื กเ็ กิดไมไ่ ด้ ๔. สตี ละ แปลวา่ มคี วามเย็น หมายความว่า ศลี สรา้ งความเยน็ ใหแ้ ก่จติ ใจผูร้ กั ษา และสรา้ ง ความร่มเย็นใหแ้ ก่สงั คม ๕. สิวะ แปลว่า ปลอดภยั หมายความว่า ศีล สรา้ งความไม่มภี ยั ความไม่มเี วร และ ความไมเ่ บยี ดเบยี นใหแ้ ก่สงั คมมนุษย์ ศีลนน้ั เม่อื ใครรกั ษาไดจ้ ะทาลายวิติกกมกิเลส คือ กิเลสท่ีล่วงละเมิดมาทางกาย และวาจา ทางกาย เช่น การฆ่าสตั ว์ ทางวาจา เช่น การพูดเท็จ พรอ้ มกนั นน้ั ก็ทาใหก้ าย วาจา และใจของผูน้ นั้ มี ความสะอาดพน้ จากการกระทาการพูดและความคิดท่ีทาใหต้ นเองและผูอ้ ่ืนไดร้ บั ความทุกขค์ วามเดือดรอ้ น เพราะศลี มคี วามดอี ย่างน้ี องคส์ มเดจ็ พระสมั มาสมั พทุ ธเจา้ จงึ ทรงแนะนาชาวโลกใหร้ กั ษาศีล... ข. ...อน่งึ ศลี จะเกดิ ข้นึ ไดเ้พราะอาศยั ธรรม ๒ ประการ คือ หริ ิ ความละอายแก่ใจในการทาบาปทุจริต และโอตตปั ปะ ความสะดงุ้ กลวั ต่อผลรา้ ยอนั จะเกิดจากการทาบาปทุจรติ นนั้ ศีลนนั้ ยอ่ มขาดเพราะเหตุ ๕ ประการ คอื ๑. ลาภ ๒. ยศ ๓. ญาติ ๔. อวยั วะ ๕. ชีวติ หมายความว่า คนท่ีทาผดิ ศีลก็เพราะปรารถนา ๕ อย่างน้ี อย่างใดอย่างหน่ึง เช่น อยากไดเ้ งนิ จึงลกั ขโมย คดโกง หรอื ฆา่ เจา้ ของทรพั ย์ เป็นตน้ บุคคลย่อมรกั ษาศีลไวไ้ ดเ้ พราะยดึ มนั่ สมั ปรุ ิสานุสติ ว่า บุคคลพงึ สละทรพั ย์ เพ่ือรกั ษาอวยั วะ พงึ สละอวยั วะเพอื่ รกั ษาชวี ติ พงึ สละทงั้ ทรพั ย์ อวยั วะและชีวติ เพอ่ื รกั ษาธรรม ผูร้ กั ษาศลี ไดบ้ รสิ ทุ ธ์ิไม่ใหข้ าด ไมใ่ หด้ ่างพรอ้ ย องคส์ มเด็จพระสมั มาสมั พทุ ธเจา้ ตรสั วา่ จะไดร้ บั อานิสงส์ คือ ผลดแี ก่ตน ๕ ประการ คือ ทาใหเ้กดิ ทรพั ย์ เกยี รติศพั ทข์ จรไกล เขา้ ทไ่ี หนอาจหาญ สตมิ นั่ ไม่ ลมื หลง ม่งุ ตรงทางสวรรค.์ .. สำนกั ศาสนศึกษาวัดเขาเชงิ เทียนเทพาราม พระมหาธีรพิสิษฐ์ จนทฺ สาโร
เอกสารประกอบ วชิ าเรียงความแก้กระท้ธู รรม นักธรรมชั้นตรี ๒๘ รปู แบบและการเขยี นเรยี งความแกก้ ระทธู้ รรม วิธีการเขียนเรยี งความแกก้ ระทูธ้ รรม วธิ ีการสาคญั ในการเขยี นเรียงความแกก้ ระทูธ้ รรม มี ๓ ประการ ดงั น้ี ๑. คานา เป็นการอารมั ภบทพจนคาถาท่ีเป็นบทตง้ั (กระทู้ หรือท่ีเรียกว่า อุเทศ) เพ่ือเป็นบทนาใน การเรยี งความ (คานาของการเรียงความแกก้ ระทูธ้ รรม ควรเขยี นประมาณ ๒ - ๓ บรรทดั ) สว่ นใหญใ่ ชว้ า่ “ณ บดั น้ี จกั ไดอ้ ธบิ ายขยายความแห่งกระทูธ้ รรมภาษติ ทไ่ี ดล้ ขิ ติ ไว้ ณ เบ้อื งตน้ เพอ่ื เป็นแนวทางแห่ง การศึกษา และสมั มาปฏบิ ตั ิเป็นลาดบั ไป” หรอื “ณ บดั น้ี จกั ไดอ้ ธิบายขยายความแหง่ กระทูธ้ รรมสภุ าษิต ท่ไี ดต้ งั้ ไว้ ณ เบ้อื งตน้ เพอ่ื เป็นแนวทางแห่ง การศกึ ษา และปฏบิ ตั ิสบื ต่อไป” หรือ “ณ บดั น้ี จกั ไดอ้ รรถาธิบายขยายความแห่งกระทูธ้ รรมภาษติ ทไ่ี ดล้ ขิ ติ ไว้ ณ เบ้อื งตน้ พอเป็นแนวทาง แห่งการศกึ ษา และประพฤติปฏบิ ตั ิสบื ตอ่ ไป” ๒. เน้ือเร่ือง เป็นการขยายเน้อื ความของกระทูท้ ต่ี งั้ ไว้ เรียกวา่ แก้ หรอื เรยี กว่า นเิ ทศ การนเิ ทศ หรือ ขยายความเน้ือเรื่องนน้ั จะตอ้ งใหร้ สชาตเิ น้อื หาสาระแก่ผู้ อ่าน ใหผ้ ูอ้ ่านเขา้ ใจในสง่ิ ท่เี ราจะอธิบาย ไม่ทาใหผ้ ูอ้ ่าน สบั สนไขวเ้ขว (ควรเขยี นอธิบายใหไ้ ดป้ ระมาณ ๑๐ - ๑๕ บรรทดั ) แลว้ จงึ นาเอาภาษติ มาเช่ือม หรอื อา้ งภาษติ มา เพอื่ สนบั สนุน เรียกวา่ กระทูร้ บั โดยนกั ธรรมชน้ั ตรี มขี อ้ กาหนดใหน้ า ภาษติ มาเชื่อมรบั ไดอ้ ย่างนอ้ ย ๑ ภาษติ ภาษิตท่ีนามาอา้ งสนบั สนุนหา้ มไม่ใหซ้ า้ กนั แต่จะซา้ ท่ีมาได้ แลว้ อธิบายภาษิตท่ียกมาสนบั สนุนใหเ้ น้ือความ กลมกลนื กนั (เขยี นอธบิ ายประมาณ ๕ - ๗ บรรทดั กาลงั พอด)ี ๓. คาลงทา้ ย หรือ บทสรุป หรือ เรียกว่า ปฏินิเทศ หมายถงึ การรวบรวมใจความท่สี าคญั ของเน้อื หาท่ี ไดอ้ ธบิ ายมาแลว้ สรุปลงอย่างย่อ ๆ ใหไ้ ดใ้ จความ ใหผ้ ูอ้ า่ นเกดิ ความซาบซ้งึ และรูส้ กึ วา่ เรยี งความทอ่ี ่านมคี ณุ ค่า น่าเชื่อถอื น่าปฏิบตั ิตาม เกิดศรทั ธาในความคิดของผูเ้ขยี น (สรุปความ ควรเขยี นประมาณ ๕ -๗ บรรทดั ) เมอ่ื เขยี นสรุปความจบแลว้ ใหเ้ ขยี นบทจบดว้ ยคาว่า “สมกบั ธรรมภาษติ วา่ ……….หรอื พระพุทธองคจ์ งึ ตรสั ว่า………. (ชอ่ งว่างท่เี วน้ ไวห้ มายถงึ กระทูป้ ญั หาพรอ้ มทงั้ คาแปล) ดงั มนี ยั พรรณนามาดว้ ยประการฉะน้”ี สำนกั ศาสนศึกษาวดั เขาเชงิ เทยี นเทพาราม พระมหาธรี พสิ ษิ ฐ์ จนทฺ สาโร
เอกสารประกอบ วิชาเรียงความแก้กระท้ธู รรม นักธรรมช้นั ตรี ๒๙ รูปแบบการเขียนเรยี งความแกก้ ระทูธ้ รรม ........................................................ (ภาษติ ภาษาบาล)ี ๑ ........................................................ (คาแปลภาษาไทย) ๒ (คานา) ณ บดั น้ี จกั ไดอ้ รรถาธิบายขยายความแห่งกระทูธ้ รรมภาษิต ท่ไี ดล้ ขิ ติ ไว้ ณ เบ้อื งตน้ พอเป็น แนวทางแหง่ การศกึ ษา และประพฤติปฏบิ ตั ิสบื ตอ่ ไป ๓ (อธบิ ายเน้อื ความ)………………………………………………………………………………………………………………………………………………... ........................................................................................................................................................................ ........................................................................................................................................................................ ........................................................................................................................................................................ ........................................................................................................................................................................ ...................................สมดว้ ยธรรมสุภาษติ ทม่ี าใน............................................................................ ความว่า ..............................................................(ภาษติ ท่ยี กมาอา้ ง) ๔ .............................................................. (คาแปล) ๕ (อธิบายเน้อื ความ)………………………………………………………………………………………………………………………………………………... ........................................................................................................................................................................ ........................................................................................................................................................................ ........................................................................................................................................................................ ........................................................................................................................................................................ .................................................................................................................................................. ๖ (สรุปความ) ......................................................................................................................................... ........................................................................................................................................................................ ........................................................................................................................................................................ ........................................................................................................................................................................ ................................................................................................สมดงั ธรรมภาษติ ท่ไี ดย้ กมาเป็นนิกเขปบท ณ เบ้อื งตน้ วา่ ........................................................ (ภาษติ ภาษาบาล)ี ๗ ........................................................ (คาแปลภาษาไทย) ดงั มนี ยั พรรณนามาดว้ ยประการฉะน้ี ฯ ๘ สำนกั ศาสนศกึ ษาวัดเขาเชงิ เทยี นเทพาราม พระมหาธีรพสิ ษิ ฐ์ จนฺทสาโร
เอกสารประกอบ วิชาเรียงความแก้กระทูธ้ รรม นักธรรมชนั้ ตรี ๓๐ ขน้ั ตอนการเขยี นกระทูธ้ รรม การแต่งกระทูธ้ รรม นกั ธรรมชนั้ ตรี จะมขี น้ั ตอนหลกั ๆ อยู่ ๘ ขนั้ ตอนใหญ่ จะเห็นว่ามตี วั เลขกากบั อยู่ ดา้ นหนา้ หมายถงึ ขน้ั ตอนทต่ี อ้ งเขยี นดงั น้ี ขน้ั ตอนท่ี ๑ เขยี น \"สุภาษิตบทตง้ั พรอ้ มคาแปล\" เป็นสุภาษติ ท่สี นามหลวงกาหนดใหเ้ป็นโจทย์ ตอ้ งเขยี นไว้ กึง่ กลางหนา้ กระดาษ ขนั้ ตอนท่ี ๒ ยอ่ หนา้ เขยี น คานาหรืออารมั ภบท คือเขยี นคาวา่ \"บดั น้ี จกั ได้ ...สบื ต่อไป\" ขน้ั ตอนท่ี ๓ ย่อหนา้ เขยี น อธิบายเน้อื ความสุภาษติ บทตง้ั ประมาณ ๘-๑๕ บรรทดั จากนนั้ ต่อดว้ ยคา \"สมดงั สุภาษติ ท่มี าใน...ว่า\" เช่น \"สมดงั สุภาษิตท่มี าใน ขุทฺทกนิกาย ธมฺมปทคาถา ว่า\" ตอ้ งปิดดว้ ย คาว่า \"วา่ \" เสมอ เป็นการบอกท่มี าของสุภาษติ เชอื่ มก่อนจะเขยี นในขนั้ ท่ี ๔ ขน้ั ตอนท่ี ๔ เขยี น สภุ าษติ เชอ่ื มพรอ้ มคาแปล เป็นสุภาษติ ทเ่ี ราจามาเอง ใหอ้ ยู่ก่งึ กลางและตรงกบั สภุ าษติ บท ตง้ั ดว้ ย ขน้ั ตอนท่ี ๕ ย่อหนา้ เขยี น อธบิ ายเน้อื ความสุภาษติ เชือ่ ม ประมาณ ๘-๑๕ บรรทดั ขนั้ ตอนท่ี ๖ ย่อหนา้ เขยี น สรุปความกระทูธ้ รรม ใหไ้ ดใ้ จความสาระสาคญั ประมาณ ๕-๖ บรรทดั เมอ่ื สรุป เสร็จแลว้ ตอ้ งเขยี นต่อดว้ ยคาวา่ \"สมดงั ธรรมภาษติ ทย่ี กข้นึ เป็นนกิ เขปบทเบ้อื งตน้ ว่า ขน้ั ตอนท่ี ๗ ใหย้ กสภุ าษติ บทตง้ั พรอ้ มคาแปล มาเขยี นปิดอกี ครง้ั หนึ่ง และจะตอ้ งเขยี นใหอ้ ยู่กงึ่ กลางตรงกนั พอกบั สภุ าษติ เชือ่ ม ขน้ั ตอนท่ี ๘ บรรทดั สุดทา้ ยเขยี นคาวา่ \"มนี ยั ดงั พรรณนามาดว้ ยประการฉะน้\"ี เพอื่ ปิดการเขยี นเรยี งแกก้ ระทู้ ธรรมทงั้ หมด ***ขอ้ สาคญั : ตง้ั แต่ขน้ั ตอนท่ี ๑ จนถึง ๘ “ตอ้ งเขยี นตวั บรรจง ครง่ึ บรรทดั เวน้ บรรทดั ” ทง้ั หมด*** สำนกั ศาสนศึกษาวดั เขาเชิงเทียนเทพาราม พระมหาธีรพสิ ษิ ฐ์ จนทฺ สาโร
เอกสารประกอบ วชิ าเรยี งความแก้กระทู้ธรรม นักธรรมชนั้ ตรี ๓๑ ระเบยี บการตรวจและขอ้ ผดิ พลาด หลกั ปฏบิ ตั ใิ นการสอบสนามหลวง วชิ า กระทธู้ รรม ๑. แต่งตามกระทูธ้ รรมสุภาษติ ท่กี าหนดให้ ๒. อธิบายขยายเน้อื ความกระทูธ้ รรมสุภาษติ นน้ั ใหส้ มเหตสุ มผล ๓. อา้ งสภุ าษติ บทอ่นื พรอ้ มบอกท่มี า มาอธิบายประกอบดว้ ย ๑ สุภาษติ ในหนงั สอื พทุ ธสภุ าษติ เลม่ ๑ ๔. เชอื่ มความระหวา่ งสุภาษติ ทน่ี ามาเชือ่ มกบั สุภาษติ บทตงั้ ใหส้ นิทติดต่อสมเรอื่ งกนั ดว้ ยเหตผุ ล ๕. ใหเ้ขยี นลงในกระดาษสอบ ตงั้ แต่ ๒ หนา้ (เวน้ บรรทดั ) ข้นึ ไป ระเบียบการตรวจกระทธู้ รรมสนามหลวง แม่กองธรรมสนามหลวง ไดก้ าหนดแนวทางในการตรวจวชิ าเรียงความแกก้ ระทูธ้ รรม และพจิ ารณาให้ คะแนน โดยมหี ลกั เกณฑ์ ดงั น้ี ๑. แตง่ ไดค้ รบตามกาหนด (ตงั้ แต่ ๒ หนา้ กระดาษข้นึ ไป) ๒. อา้ งสุภาษติ เชอื่ มไดต้ ามกฎ (๑ สภุ าษติ ) ๓. เช่ือมความกระทูไ้ ดด้ ี ๔. อธิบายความสมกบั กระทูท้ ต่ี งั้ ไว้ ๕. ใชส้ านวนสภุ าพเรียบรอ้ ย ๖. ใชต้ วั สะกดการนั ตถ์ กู ตอ้ งตามหลกั ภาษา ๗. สะอาดไม่เปรอะเป้ือน ฯ ในวชิ าน้ี ผูข้ อเขา้ สอบธรรมสนามหลวง ตอ้ งไดค้ ะแนนตง้ั แต่ ๒๕ คะแนนข้ึนไป จงึ ถือว่าสอบผ่าน ขอ้ ผดิ พลาดท่ีพบในการเขยี นเรยี งความแกก้ ระทธู้ รรม การเขยี นเรียงความแกก้ ระทูธ้ รรมท่ไี ดค้ ะแนนนอ้ ย ส่วนมากจะมขี อ้ บกพร่องต่าง ๆ หลายประการ เช่น ไมเ่ ขยี นบทนา หรอื บทอเุ ทศ อธบิ ายเน้อื ความของกระทูต้ งั้ ผดิ จากความม่งุ หมายของกระทูธ้ รรมนนั้ บา้ ง อธิบาย ความสบั สนวกไปวนมาเสยี บา้ ง ไมม่ สี รปุ ความบา้ ง ใชภ้ าษาไมถ่ ูกตอ้ งและใชถ้ อ้ ยคาไม่เหมาะสมบา้ ง นอกจากนน้ั แลว้ ยงั มขี อ้ บกพร่องซ่งึ ประกอบดว้ ยลกั ษณะต่าง ๆ อกี คือ ๑. ไมอ่ า้ งกระทูธ้ รรมมาเชอื่ มขอ้ ความทต่ี า่ งกนั ๒. อธบิ ายความไม่สมเหตสุ มผลกบั กระทูท้ ต่ี งั้ ไว้ ๓. เขยี นขอ้ ความโดยไม่มกี ารเวน้ ระยะวรรคตอน หรอื เวน้ ระยะวรรคตอนไม่ถกู ตอ้ ง ๔. เขยี นขอ้ ความโดยไม่มกี ารยอ่ หนา้ หรือยอ่ หนา้ เอาตามความพอใจ โดยยงั ไมท่ นั ส้นิ กระแสความ สำนกั ศาสนศึกษาวดั เขาเชงิ เทียนเทพาราม พระมหาธรี พิสษิ ฐ์ จนทฺ สาโร
เอกสารประกอบ วชิ าเรยี งความแก้กระทู้ธรรม นกั ธรรมชน้ั ตรี ๓๒ ๕. นากระทูธ้ รรมมาเชื่อม โดยไมอ่ า้ งถงึ ขอ้ ความของกระทูธ้ รรมนนั้ ก่อน ๖. ไม่บอกช่อื คมั ภรี ท์ ม่ี าของกระทูธ้ รรมทน่ี ามารบั หรอื บอกชอ่ื คมั ภรี ผ์ ดิ พลาด ๗. เขยี นคาบาลแี ละคาแปลภาษาไทยไมถ่ ูกตอ้ ง หรือขาดตกบกพร่อง ๘. เขยี นตวั สะกด การนั ต์ ผดิ พลาดมาก ๙. เขยี นหนงั สอื สกปรก โดยมกี ารขดี ฆา่ ขดู ลบ ปรากฏอยู่ทวั่ ไป ๑๐. แต่งไมไ่ ดต้ ามกาหนด (๒ หนา้ กระดาษ เวน้ บรรทดั ข้นึ ไป) ตวั อย่างปญั หา วิชา กระทูธ้ รรม สำนกั ศาสนศกึ ษาวดั เขาเชิงเทยี นเทพาราม พระมหาธีรพิสิษฐ์ จนทฺ สาโร
เอกสารประกอบ วิชาเรยี งความแก้กระทธู้ รรม นกั ธรรมชน้ั ตรี ๓๓ ตวั อย่างการเขียนเรยี งความแกก้ ระทูธ้ รรม สำนักศาสนศึกษาวดั เขาเชิงเทียนเทพาราม พระมหาธีรพิสิษฐ์ จนฺทสาโร
เอกสารประกอบ วิชาเรียงความแก้กระท้ธู รรม นักธรรมชนั้ ตรี ๓๔ สำนกั ศาสนศกึ ษาวัดเขาเชิงเทยี นเทพาราม พระมหาธรี พิสิษฐ์ จนทฺ สาโร
เอกสารประกอบ วิชาเรียงความแก้กระท้ธู รรม นักธรรมชนั้ ตรี ๓๕ สำนกั ศาสนศกึ ษาวัดเขาเชิงเทยี นเทพาราม พระมหาธรี พิสิษฐ์ จนทฺ สาโร
เอกสารประกอบ วิชาเรยี งความแก้กระทู้ธรรม นักธรรมชั้นตรี ๓๖ พทุ ธศาสนสภุ าษติ ทคี่ วรจำ อตั ตวรรค หมวดตน อตฺตา หเว ชิต เสยโฺ ย. อตฺตาน ทมยนฺติ ปณฺฑติ า. ชนะตนนนั่ แหละ เป็นด.ี บณั ฑติ ยอ่ มฝึกตน. ข.ุ ธ. ๒๕/๒๙. ม. ม. ๑๓/๔๘๗. ข.ุ ธ. ๒๕/๒๕. ข.ุ เถร. ๒๖/๓๘๙ อตตฺ า หิ อตตฺ โน นาโถ. ปฏมิ เสตมตตฺ นา. ตนแล เป็นท่พี ง่ึ ของตน. จงพจิ ารณาตนดว้ ยตนเอง. ข.ุ ธ. ๒๕/๓๖,๖๖. ข.ุ ธ. ๒๕/๖๖. นตถฺ ิ อตฺตสม เปม. อตตฺ าน นาติวตเฺ ตยฺย. ความรกั (อ่นื ) เสมอดว้ ยตนไมม่ .ี บคุ คลไมค่ วรลมื ตน. ส. ส. ๑๕/๙. ข.ุ ชา. ตสึ . ๒๗/๕๐๓. อปั ปมาทวรรค หมวดไม่ประมาท อปปฺ มาท ปสสนตฺ ิ. อปปฺ มาทรตา โหถ. บณั ฑติ ยอ่ มสรรเสริญความไม่ประมาท. ท่านทง้ั หลายจงเป็นผูย้ นิ ดใี นความไมป่ ระมาท. ส. ส. ๑๕/๑๒๖. อง.ฺ ปญฺจก. ๒๒/๕๓. ข.ุ ธ. ๒๕/๕๘. ข.ุ ธ. ๒๕/๑๙. ข.ุ อติ ิ. ๒๕/๒๔๒. อปฺปมาทญฺจ เมธาวี ธนํ เสฏฐํว รกฺขต.ิ อปปฺ มาเทน สมปฺ าเทถ. ปราชญย์ ่อมรกั ษาความไม่ประมาทไว้ เหมอื นทรพั ย์ ทา่ นทง้ั หลายจงยงั ความไม่ประมาทใหถ้ งึ พรอ้ ม. ประเสรฐิ สุด. ท.ี มหา. ๑๐/๑๘๐. ส. ส. ๑๕/๒๓๑. ม. ม. ๑๓/๔๘๘. ส. ส. ๑๕/๓๖. ข.ุ ธ. ๒๕/ ๑๘. ข.ุ เถร. ๒๖/๓๙๐. สำนกั ศาสนศึกษาวดั เขาเชงิ เทียนเทพาราม พระมหาธรี พสิ ิษฐ์ จนฺทสาโร
เอกสารประกอบ วชิ าเรยี งความแก้กระทธู้ รรม นักธรรมชั้นตรี 37 กมั มวรรค หมวดกรรม สานิ กมมฺ านิ นยนฺติ ทคุ ฺคต.ึ กลยฺ าณการี กลยฺ าณ. ปาปการี จ ปาปก. กรรมชวั่ ของตนเอง ยอ่ มนาไปสู่ทคุ ต.ิ ทาดไี ดด้ ี ทาชวั่ ไดช้ วั่ . ข.ุ ธ. ๒๕/๔๗. ส. ส. ๑๕/๓๓๓. ข.ุ ชา. ทุก. ๒๗/๘๔. สกุ ร สาธุนา สาธุ. กมมฺ นุ า วตฺตตี โลโก. ความดี อนั คนดที างา่ ย. สตั วโ์ ลกยอ่ มเป็นไปตามกรรม. ว.ิ จุล. ๗/๑๙๕. ข.ุ อุ. ๒๕/๑๖๗. ม. ม. ๑๓/๖๔๘. ข.ุ สุ. ๒๕/๔๕๗. สาธุ ปาเปน ทุกฺกร. นสิ มมฺ กรณ เสยฺโย. ความดี อนั คนชวั่ ทายาก. ใคร่ครวญก่อนแลว้ จงึ ทา ดกี วา่ . ว.ิ จุล. ๗/๑๙๕. ข.ุ อ.ุ ๒๕/๑๖๗. ว. ว. จติ ตวรรค หมวดจติ สจติ ฺตมนุรกฺขถ. จงตามรกั ษาจติ ของตน. จติ ตฺ ทนตฺ สุขาวห. จติ ทฝ่ี ึกแลว้ นาสขุ มาให.้ ข.ุ ธ. ๒๕/๕๘. ข.ุ ธ. ๒๕/๑๙. จติ ตฺ รกเฺ ขถ เมธาว.ี ผูม้ ปี ญั ญาพงึ รกั ษาจติ . วิหญญฺ ตี จติ ฺตวสานวุ ตฺตี. ผูป้ ระพฤติตามอานาจจติ ยอ่ มลาบาก. ข.ุ ธ. ๒๕/๑๙. ข.ุ ชา. ทุก. ๒๗/๙๐. ปญั ญาวรรค หมวดปญั ญา นตถฺ ิ ปญญฺ าสมา อาภา. ปญฺญา นรานํ รตน.ํ แสงสว่างเสมอดว้ ยปญั ญา ไม่ม.ี ปญั ญาเป็นรตั นะของนรชน. ส. ส. ๑๕/๙. ส. ส. ๑๕/๕๐. ปญฺญา โลกสมฺ ึ ปชโฺ ชโต. สุสสฺ สู ํ ลภเต ปญฺญํ อปปฺ มตโฺ ต วิจกขฺ โณ. ปญั ญาเป็นแสงสว่างในโลก. ผูไ้ ม่ประมาท พนิ จิ พจิ ารณา ตงั้ ใจฟงั ยอ่ มไดป้ ญั ญา. ส. ส. ๑๕/๖๑. ส. ส. ๑๕/๓๑๖. ข.ุ ส.ุ ๒๕/๓๖๑. สำนักศาสนศึกษาวัดเขาเชงิ เทยี นเทพาราม พระมหาธรี พิสิษฐ์ จนฺทสาโร
เอกสารประกอบ วชิ าเรยี งความแก้กระทู้ธรรม นักธรรมชั้นตรี ๓๘ ปมาทวรรค หมวดประมาท ปมาโท มจจฺ โุ น ปท. ปมาทมนุยญุ ชฺ นตฺ ิ พาลา ทมุ เฺ มธิโน ชนา. ความประมาท เป็นทางแห่งความตาย. คนพาลมปี ญั ญาทราม ยอ่ มประกอบแต่ ข.ุ ธ. ๒๕/๑๘. ข.ุ ชา. ตสึ . ๒๗/๕๒๔. ความประมาท. ม. ม. ๑๓/๔๘๘. ส. ส. ๑๕/๓๖. ธมั มวรรค หมวดธรรม ธมโฺ ม สุจณิ ฺโณ สุขมาวหาต.ิ ธมโฺ ม หเว รกฺขติ ธมจฺ ารึ. ธรรมทป่ี ระพฤติดแี ลว้ นาสขุ มาให.้ ธรรมแล ย่อมรกั ษาผูป้ ระพฤติธรรม. ข.ุ ชา. ทสกฺ ๒๗/๒๙๐. ข.ุ เถร. ๒๖/๓๑๔. ส. ส. ๑๕/๕๘. ข.ุ ส.ุ ๒๕/๓๖๐. ปญุ ญวรรค หมวดบญุ ปญุ ญฺ านิ กยิราถ สขุ าวหานิ. ปุญญฺ ํ สขุ ํ ชวี ติ สงฺขยมหฺ ิ. ควรทาบญุ อนั นาสุขมาให.้ บุญนาสุขมาใหใ้ นเวลาส้นิ ชีวติ . ส. ส. ๑๕/๓. องฺ. ติก. ๒๐/๑๙๘. ข.ุ ธ. ๒๕/๕๙. ปญุ ญฺ านิ ปรโลกสมฺ ึ ปติฏฺฐา โหนตฺ ิ ปาณิน.ํ สุโข ปญุ ฺญสฺส อจุ จฺ โย. บญุ เป็นท่พี งึ่ ของสตั วใ์ นโลกหนา้ . ความสงั่ สมข้นึ ซง่ึ บุญ นาสุขมาให.้ ส. ส. ๑๕/๒๖. อง.ฺ ปญฺจก. ๒๒/๔๔. ข.ุ ธ. ๒๕/๓๐. สลี วรรค หมวดศลี สขุ ยาว ชรา สลี . สลี รกเฺ ขยฺย เมธาว.ี ศีลนาสุขมาใหต้ ราบเทา่ ชรา. ปราชญพ์ งึ รกั ษาศลี . ข.ุ ธ. ๒๕/๕๙. ข.ุ อติ ิ. ๒๕/๒๘๒ ปาปวรรค หมวดบาป ปาปาน อกรณ สขุ . มาลา เว ปาปกา ธมมฺ า อสฺมึ โลเก ปรมหฺ ิ จ. การไมท่ าบาป นาสขุ มาให.้ บาปธรรมเป็นมลทนิ แท้ ทง้ั ในโลกน้ี ทง้ั ในโลกอน่ื . ข.ุ ธ. ๒๕/๕๙. อง.ฺ อฏฐฺ ก. ๒๓/๑๙๘. ขุ. ธ. ๒๕/๔๗. สำนักศาสนศึกษาวัดเขาเชงิ เทยี นเทพาราม พระมหาธีรพสิ ิษฐ์ จนทฺ สาโร
เอกสารประกอบ วชิ าเรยี งความแก้กระทู้ธรรม นักธรรมช้นั ตรี ๓๙ สติวรรค หมวดสติ สตมิ โต สทา ภทฺท. สตมิ า สุขเมธติ. คนผูม้ สี ติ มคี วามเจรญิ ทุกเมอ่ื . คนมสี ติ ยอ่ มไดร้ บั ความสุข. ส. ส. ๑๕/๓๐๖. ส. ส. ๑๕/๓๐๖. ทานวรรค หมวดทาน ททโต ปญุ ญฺ ํ ปวฑฒฺ ต.ิ เมอ่ื ให้ บุญกเ็ พม่ิ ข้นึ . พาลา หเว นปปฺ สสนตฺ ิ ทาน. ท.ี มหา. ๑๐/๑๕๙. ข.ุ อ.ุ ๒๕/๒๑๕. คนพาลเทา่ นน้ั ยอ่ มไม่สรรเสริญทาน. ข.ุ ธ. ๒๕/๓๘. มจั จวุ รรค หมวดมฤตยู สพเฺ พว นิกขฺ ปิ ิสสฺ นฺติ ภูตา โลเก สมสุ ฺสย. อฑฒฺ า เจว ทฬทิ ทฺ า จ สพเฺ พ มจจฺ ุปรายนา. สตั วท์ งั้ ปวง จกั ทอดท้งิ ร่างไวใ้ นโลก. ทงั้ คนมที งั้ คนจน ลว้ นมคี วามตายเป็นเบ้อื งหนา้ . ท. มหา. ๑๐/๑๘๑. ส. ส. ๑๕/๒๓๒. ท.ี มหา. ๑๐/๑๔๑. ข.ุ ชา. เอก. ๒๗/๓๑๗. สมณวรรค หมวดสมณะ น หิ ปพฺพชิโต ปรูปฆาตี สมโณ โหติ ปรํ วิเหฐยนโฺ ต. สามญเฺ ญ สมโณ ติฏฺเฐ. บรรพชติ ฆา่ ผูอ้ น่ื เบยี ดเบยี นผอู้ น่ื ไมเ่ ป็นสมณะเลย. สมณะ พงึ ตง้ั อยูใ่ นภาวะแห่งสมณะ. ท.ี มหา. ๑๐/๕๗. ข.ุ ธ. ๒๕/๔๐. ส. ส. สมโณ อสฺส สสุ สฺ มโณ. อสญญฺ โต ปพพฺ ชโิ ต น สาธุ. สมณะ พงึ เป็นสมณะทด่ี .ี บรรพชิตผูไ้ ม่สารวม ไม่ด.ี ว.ิ มหาวภิ งคฺ . ๑/๒๙๘. ข.ุ ชา. วสี . ๒๗/๔๔๖. สำนักศาสนศึกษาวัดเขาเชิงเทียนเทพาราม พระมหาธรี พิสิษฐ์ จนฺทสาโร
เอกสารประกอบ วชิ าเรียงความแก้กระท้ธู รรม นกั ธรรมชั้นตรี ๔๐ ปกณิ ณกวรรค หมวดเบ็ดเตล็ด ยงฺกญิ ฺจิ สมทุ ยธมมฺ สพพฺ นตฺ นิโรธธมมฺ . วโส อสิ สฺ ริย โลเก. ส่งิ ใดสง่ิ หนึ่งมคี วามเกิดข้นึ เป็นธรรมดา ส่งิ นนั้ ลว้ นมี อานาจเป็นใหญใ่ นโลก. ความดบั ไปเป็นธรรมดา. ส. ส. ๑๕/๖๐. ส. มหา. ๑๙/๕๓๑. สงขฺ ารา สสสฺ ตา นตถฺ .ิ หริ โิ อตฺตปปฺ ิยญฺเญว โลก ปาเลติ สาธุก. สงั ขารทย่ี งั่ ยนื ไม่ม.ี หริ แิ ละโอตตปั ปะ ย่อมรกั ษาโลกไวเ้ป็นอนั ด.ี ข.ุ ธ. ๒๕/๔๙. ว. ว. กาโล ฆสติ ภตู านิ สพพฺ าเนว สหตฺตนา. กจิ โฺ ฉ มนุสฺสปฏลิ าโภ. กาลเวลา ยอ่ มกนิ สรรพสตั วพ์ รอ้ มทงั้ ตวั มนั เอง. ความไดเ้ป็นมนุษย์ เป็นการยาก. ข.ุ ชา. ทกุ . ๒๗/๙๕. ข.ุ ธ. ๒๕/๓๙. สำนักศาสนศกึ ษาวัดเขาเชงิ เทียนเทพาราม พระมหาธรี พสิ ิษฐ์ จนฺทสาโร
เอกสารประกอบ วชิ าเรียงความแก้กระทู้ธรรม นักธรรมชน้ั ตรี ๔๑ บรรณานกุ รม กรมพระยาวชิรญาณวโรรส, สมเดจ็ พระมหาสมณเจา้ . (๒๕๕๗). พทุ ธศาสนสุภาษิต เลม่ ๑. พมิ พค์ รง้ั ท่ี ๓๖. นครปฐม: โรงพมิ พม์ หามกฏุ ราชวทิ ยาลยั . คณาจารยส์ านกั พมิ พเ์ ลย่ี งเชยี ง. (๒๕๔๖). หนังสอื บูรณาการแผนใหม่ นกั ธรรมชน้ั ตรี รวมทุกวชิ า. กรงุ เทพฯ: โรงพมิ พเ์ ลย่ี งเชียง. พระธรรมปิฎก (ป.อ. ปยุตฺโต). (๒๕๓๘). พจนานุกรมพทุ ธศาสน์ ฉบบั ประมวลศพั ท.์ พมิ พค์ รงั้ ท่ี ๘. กรุงเทพฯ: บริษทั สหธรรมกิ จากดั . พระธรรมปิฎก (ป.อ. ปยตุ ฺโต). (๒๕๓๘). พจนานุกรมพทุ ธศาสน์ ฉบบั ประมวลธรรม. พมิ พค์ รงั้ ท่ี ๘. กรงุ เทพฯ: บริษทั สหธรรมกิ จากดั . พทิ รู มลวิ ลั ย.์ (๒๕๓๙). แนะแนวเรียงความแกก้ ระทูธ้ รรม นักธรรมและธรรมศกึ ษาชน้ั ตรี. พมิ พค์ รงั้ ท่ี ๓. กรุงเทพฯ: โรงพมิ พก์ ารศาสนา. สำนักศาสนศกึ ษาวัดเขาเชงิ เทียนเทพาราม พระมหาธรี พิสิษฐ์ จนทฺ สาโร
วชิ า ธรรม
Search
Read the Text Version
- 1
- 2
- 3
- 4
- 5
- 6
- 7
- 8
- 9
- 10
- 11
- 12
- 13
- 14
- 15
- 16
- 17
- 18
- 19
- 20
- 21
- 22
- 23
- 24
- 25
- 26
- 27
- 28
- 29
- 30
- 31
- 32
- 33
- 34
- 35
- 36
- 37
- 38
- 39
- 40
- 41
- 42
- 43
- 44
- 45
- 46
- 47
- 48
- 49
- 50
- 51
- 52
- 53
- 54
- 55
- 56
- 57
- 58
- 59
- 60
- 61
- 62
- 63
- 64
- 65
- 66
- 67
- 68
- 69
- 70
- 71
- 72
- 73
- 74
- 75
- 76
- 77
- 78
- 79
- 80
- 81
- 82
- 83
- 84
- 85
- 86
- 87
- 88
- 89
- 90
- 91
- 92
- 93
- 94
- 95
- 96
- 97
- 98
- 99
- 100
- 101
- 102
- 103
- 104
- 105
- 106
- 107
- 108
- 109
- 110
- 111
- 112
- 113
- 114
- 115
- 116
- 117
- 118
- 119
- 120
- 121
- 122
- 123
- 124
- 125
- 126
- 127
- 128
- 129
- 130
- 131
- 132
- 133
- 134
- 135
- 136
- 137
- 138
- 139
- 140
- 141
- 142
- 143
- 144
- 145
- 146
- 147
- 148
- 149
- 150
- 151
- 152
- 153
- 154
- 155
- 156
- 157
- 158
- 159
- 160
- 161
- 162
- 163
- 164
- 165
- 166
- 167
- 168
- 169
- 170
- 171
- 172
- 173
- 174
- 175
- 176