Important Announcement
PubHTML5 Scheduled Server Maintenance on (GMT) Sunday, June 26th, 2:00 am - 8:00 am.
PubHTML5 site will be inoperative during the times indicated!

Home Explore เรื่องน่ารู้กับครูนกฮูก กศน 2561

เรื่องน่ารู้กับครูนกฮูก กศน 2561

Published by Bunchana Lomsiriudom, 2020-06-30 10:31:32

Description: เรื่องน่ารู้กับครูนกฮูก กศน 2561

Keywords: เรื่องน่ารู้,ครูนกฮูก,กศน,เขตหนองแขม,กศน.เขตหนองแขม

Search

Read the Text Version

เรื่องน่ารู้กบั ครูนกฮูก กศน.เขตหนองแขม เรื่องท่ี 1 วนั น้ีวนั ปี ใหมไ่ ปท่ีไหนเรามกั ไดย้ ินเพลงปี ใหม่ ทราบ ไหมครับวา่ เพลงน้ีใครเป็นคนประพนั ธ์ วนั น้ีจะมาเล่าใหฟ้ ังครับ เพลงน้ีมีช่ือวา่ \"เพลงพรปี ใหม่\" ซ่ึงเป็น เพลงพระราชนิพนธ์ลาดบั ท่ี 13 ที่พระบาทสมเดจ็ พระเจา้ อยหู่ วั ภูมิพลอดุลยเดช รัชกาลท่ี 9 ทรงพระราช นิพนธ์ข้ึนในเดือนธนั วาคม พ.ศ. 2494 เมื่อคร้ังเสด็จนิวตั พระนครและประทบั ณ พระตาหนกั จิตรลดา รโหฐาน พระราชวงั ดุสิต โดยมีพระราชประสงคใ์ หเ้ พลงน้ี เป็นพรปี ใหม่ที่พระราชทานแก่พสกนิกรทุกหมู่ เหล่า ทรงพระกรุณาโปรดเกลา้ ฯ ใหพ้ ระเจา้ วรวงศเ์ ธอ พระองคเ์ จา้ จกั รพนั ธ์เพญ็ ศิริ นิพนธ์คาร้องเป็นคา อานวยพรปี ใหม่ แลว้ พระราชทานแก่วงดนตรี 2 วง คือ วงดนตรีนิสิตจุฬาลงกรณ์มหาวทิ ยาลยั นาออก บรรเลง ณ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลยั และวงดนตรีสุนทราภรณ์ นาออกบรรเลง ณ ศาลาเฉลิมไทยเป็นคร้ัง แรกในวนั ปี ใหม่ วนั องั คารที่ 1 มกราคม พ.ศ. 2495 โดยเพลงพรปี ใหม่ มีเน้ือร้องดงั น้ี สวสั ดีวนั ปี ใหมพ่ า ใหบ้ รรดาเราท่านรื่นรมย์ ฤกษย์ ามดีเปรมปรีด์ิชื่นชม ต่างสุขสมนิยมยนิ ดี ขา้ วงิ วอนขอพรจากฟ้ า ใหบ้ รรดาปวงทา่ นสุขศรี โปรดประทานพรโดยปรานี ใหช้ าวไทยลว้ นมีโชคชยั ใหบ้ รรดาปวงทา่ นสุขสันต์ ทุกวนั ทุกคืนช่ืนชมใหส้ มฤทยั ใหร้ ุ่งเรืองในวนั ปี ใหม่ ผองชาวไทยจงสวสั ดี ตลอดปี จงมีสุขใจ ตลอดไปนบั แต่บดั น้ี ใหส้ ิ้นทุกขส์ ุขเกษมเปรมปรีด์ิ สวสั ดีวนั ปี ใหม่เทอญ ทราบแลว้ ยงิ่ นึกถึงพระองคท์ ่านนะครับ

เร่ืองน่ารู้กบั ครูนกฮูก กศน.เขตหนองแขม เร่ืองท่ี 2 กลบั จากตา่ งจงั หวดั กนั แลว้ อยา่ ลืมดูแลรถกนั ดว้ ยนะครับ วนั น้ี นกฮูก เอาวธิ ีการดูแลรถหลงั เดินทางไกลมาฝาก สิ่งท่ีควร ตรวจเช็คสภาพหลงั กลบั จากเดินทางไกล มีดงั น้ี 1.เช็คน้ามนั เครื่อง ควรเช็คระดบั น้ามนั เครื่องเพื่อใหแ้ น่ใจวา่ อยใู่ นระดบั ปกติ โดยระดบั ของน้ามนั ไมค่ วรพร่องลงไปจากระดบั ท่ีวดั ก่อนการเดินทางมากนกั หากพบวา่ น้ามนั เครื่องพร่อง ลงไปมากหรือต่ากวา่ ระดบั MIN ก็ควรตรวจเช็ควา่ มีการรั่วซึมจุดใดหรือไม่ นอกจากน้นั ควรเช็คสภาพ น้ามนั เคร่ืองวา่ ไม่ดาจนเกินไป รวมถึงไมม่ ีเศษเขม่าเจือปนอยู่ หากพบกค็ วรหาเวลาเปลี่ยนถ่ายน้ามนั เครื่อง ใหม่ไปเลย 2.เช็คสภาพและลมยาง การเดินทางไกลอาจส่งผลใหค้ วามดนั ลมยางลดลง จึงควรเช็คลมยางเมื่อมีโอกาส เพือ่ ป้ องกนั การสึกหรอ ของยางและลดโอกาสเกิดอนั ตรายจากการขบั ดว้ ยความเร็วสูง นอกจากน้นั ยงั ควรตรวจสภาพยางวา่ ไมม่ ี อะไรเขา้ ไปท่ิม อุด ตา จนเป็ นสาเหตุใหเ้ กิดการร่ัวซึมอยา่ งชา้ ๆหากพบวา่ ลอ้ ใดลอ้ หน่ึงมีความดนั ลมนอ้ ย ผดิ ปกติ ใหส้ นั นิษฐานวา่ ลอ้ ขา้ งน้นั อาจมีอะไรทิ่มเขา้ ไปแลว้ คาอยใู่ นเน้ือยาง เป็นเหตุใหเ้ กิดการร่ัวซึมอยา่ ง ชา้ ๆ ทางที่ดีควรปะยางหรือเปลี่ยนใหม่ใหเ้ รียบร้อย 3.เช็คน้าหล่อเยน็ ควรตรวจสอบระดบั น้าหล่อเยน็ ท้งั ในหมอ้ น้าและหมอ้ พกั น้า ทางท่ีดีน้าหล่อเยน็ ไม่ควรลดระดบั ไปมากนกั เม่ือเทียบกบั ก่อนเดินทางไกล และควรเติมใหไ้ ดร้ ะดบั พอดีก่อนใชง้ านต่อไป 4.เช็คช่วงล่างและระบบกนั สะเทือน การขบั รถไปยงั ที่ท่ีไม่คุน้ ทาง อาจส่งผลใหข้ บั ตกหลุมได้ ซ่ึงหากเป็นหลุมเลก็ ๆก็คงไมเ่ ป็นอะไร แต่หากเป็น หลุมขนาดใหญ่ อาจส่งผลใหศ้ ูนยล์ อ้ ผดิ เพ้ียนไปได้ ใหล้ องเช็คเบ้ืองตน้ ดว้ ยการปล่อยพวงมาลยั ขณะที่รถ เคลื่อนที่ไปขา้ งหนา้ หากรถยงั คงสามารถวงิ่ ไปตรงๆ กไ็ มม่ ีปัญหา ท้งั น้ีควรเช็คสภาพถนนวา่ มีการลาดเอียง ไปขา้ งใดขา้ งหน่ึงหรือไม่ ซ่ึงอาจส่งผลใหร้ ถแฉลบออกดา้ นขา้ งไดเ้ ช่นกนั นอกจากน้นั ยงั ควรตรวจสอบดว้ ยการฟังดูวา่ มีเสียงผดิ ปกติขณะขบั ผา่ นทางขรุขระหรือไม่ 5.เช็คไส้กรองอากาศ การเดินทางไปต่างจงั หวดั อาจตอ้ งขบั ผา่ นถนนท่ีมีฝ่ ุนมากกวา่ ปกติ จึงควรเช็คไส้กรองอากาศวา่ มีสิ่งสกปรก อุดตนั อยหู่ รือไม่ หากมีก็ควรเป่ าออก หรือเปล่ียนไส้กรองใหม่ เพ่ือใหเ้ ครื่องยนตส์ ามารถทางานไดเ้ ตม็ ประสิทธิภาพหากเป็นกรองชนิดแหง้ ปกติ ถา้ ไมม่ ีฝ่ นุ มากจนเกินไปนกั สามารถเป่ าส่ิงสกปรกออกได้ แต่ หากเป็นไส้กรองชนิดเคลือบน้ามนั จะไมส่ ามารถทาความสะอาดได้ ตอ้ งเปลี่ยนอยา่ งเดียว 6.เช็คสภาพตวั ถงั ควรลา้ งรถเมื่อมีโอกาส เพราะฝ่ นุ ควนั ที่ติดมาน้นั อาจสร้างผลกระทบตอ่ ช้นั สีในระยะยาว ได้ จากน้นั จึงควรเช็ครอบตวั รถวา่ มีรอยบุบหรือรอยขดู ขีดใดๆหรือไม่ เพ่ือจะไดพ้ ิจารณาเคลมประกนั

เร่ืองน่ารู้กบั ครูนกฮูก กศน.เขตหนองแขม เรื่องที่ 3 วนั น้ีซ้ือกลว้ ยมากิน ซ่ึงกลว้ ย เป็นอาหารท่ีกินง่าย ปอก ง่าย อร่อย และมีประโยชน์ แตส่ ่วนมาก กลว้ ยเขามกั จะขายเป็นหวี เรามกั จะกินไม่ทนั กลว้ ยจะสุก และดา เสียก่อน ทาใหร้ ับประทานไมไ่ ด้ หรือตอ้ งทิง้ ไป วนั น้ีจึงนาเคล็ดลบั มาแนะนาวธิ ีท่ีจะช่วยถนอมกลว้ ยใหอ้ ยู่ ไดน้ านและไมด่ า เคล็ดลบั น่ารู้ - วธิ ีถนอมกลว้ ย ใหอ้ ยไู่ ดน้ านและไมด่ า วธิ ีที่ 1 แบบไม่ตอ้ งใส่ตูเ้ ยน็ วิธีน้ีจะเกบ็ ไดน้ าน ถึง 8-10 วนั - นากลว้ ยท้งั หวไี ปแช่ในน้าอุน่ อุณหภมู ิ 50 องศาเซลเซียส เป็นเวลา 10 นาที - เสร็จแลว้ ใหเ้ ก็บรักษากลว้ ยหอมไวใ้ นท่ีที่มี อุณหภูมิ 25 องศาเซลเซียส วธิ ีท่ี 2 แบบแช่ตูเ้ ยน็ วธิ ีน้ีจะเก็บไดน้ านถึง 14 วนั ข้ึนไป - ฉีกกลว้ ยออกจากข้วั ใหห้ มดทุกลูก อยา่ ใหต้ ิดข้วั เพราะข้วั ทาใหส้ ุกเร็ว - ห่อกลว้ ยกระดาษ หรือพลาสติกฟิ ลมถ์ นอมอาหาร หรือถุงพลาสติกกไ็ ด้ ทีละลูกแยกกนั - แช่ตเู้ ยน็ ในช่องแช่ผกั เร่ืองน่ารู้กับครูนกฮูก กศน.เขตหนองแขม เรื่องที่ 4 เวลาซ้ือน้าดื่มบรรจุขวด แลว้ สังเกตุไหมครับวา่ น้าดื่มมี วนั หมดอายุด้วยก็เลยสงสัยว่า น้าหมดอายุได้ดว้ ยหรือ จริงๆแล้ว น้าไม่ได้หมดอายุ...ภาชนะที่บรรจุน้า ต่างหากท่ีหมดอายุหลายคนอาจไม่เคยสังเกตมาก่อนเลยว่า น้าด่ืมท่ีมีขายตามทอ้ งตลาดน้นั จะตอ้ งระบุวนั หมดอายเุ อาไวต้ าม พ.ร.บ.อาหารและยา (อย.) แมน้ ้าจะยงั คงบรรจุอยใู่ นขวดท่ีปิ ดฝาสนิทและยงั คงความใส แต่เม่ือเวลาผา่ นไประยะหน่ึงขวดพลาสติกที่บรรจุ จะปล่อยสารพิษชนิดที่ละลายออกมาปะปนกบั น้าดงั ที่ กล่าวไวใ้ นขา้ งตน้ จากรายงานขา่ วคนเสียชีวติ จากการดื่มน้าจากการใชข้ วดพลาสติกดงั กล่าวผดิ วิธี เช่น การ นามาใชซ้ ้าโดยนาไปบรรจุน้าด่ืมคร้ังแลว้ คร้ังเล่า เพราะขวดดงั กล่าวน้ีถูกออกแบบมาเพื่อใชค้ ร้ังเดียว มีอายุ การใช้งานส้ัน จึงไม่ควรนามาบรรจุน้าด่ืมอีก การเก็บภาชนะเหล่าน้นั ถูกเก็บไวไ้ ม่เหมาะสม ท้งั น้ีสารเคมี เช่น ทินเนอร์ (thinner) น้ามนั สารทาความสะอาดชนิดแห้ง แก๊สหลายชนิด สามารถผา่ นพลาสติกเขา้ ไป ได้ ซ่ึงจะส่งผลต่อคุณภาพของน้าดื่มที่อยใู่ นขวด การเก็บขวดน้าไวใ้ นช่องแช่แขง็ ท่ีเยน็ จดั หรือเก็บขวดน้นั ไวท้ ี่ร้อนๆ เช่นในรถยนต์การสัมผสั กบั ความร้อน หรือแสงแดด เน่ืองจากความร้อนจดั หรือเย็นจดั จะไปทาลายโครงสร้างของ พลาสติก ทาให้พลาสติกเสื่ อมคุณภาพและย่ิงปล่อยสารพิษ ปนเป้ื อนในปริมาณที่สูงย่ิงข้ึน รวมไปถึงขวดน้าท่ีเปิ ดใชแ้ ลว้ ไม่ ควรใช้นานเกินกว่า 1 อาทิตย์ เนื่องจากมีการเจริญเติบโตของ เช้ือจุลินทรียห์ รือแบคทีเรียที่มีความเส่ียงท่ีจะเกิดโรค

เรื่องน่ารู้กบั ครูนกฮูก กศน.เขตหนองแขม เร่ืองที่ 5 วนั น้ีขอนาเสนอเคลด็ ลบั ในการดูแลรักษาดอกไม่ที่ตดั แลว้ ไม่ใหเ้ ห่ียวเร็วครับ หากเรา เป็นคนตดั ดอกไมเ้ อง ควรรดน้าให้ ตน้ ไมอ้ ่ิมน้าก่อนจึงตดั ดอก เพื่อให้ ดอกไมม้ ีน้าในตวั มากท่ีสุด เพราะ เม่ือเม่ือตดั แลว้ กา้ นดอกไมจ้ ะดูด ซึมน้าเขา้ ไปในตวั อีกไดย้ าก และ ควรตดั ตอนเชา้ หรือตอนเยน็ ซ่ึง กา้ นยงั อวบน้าอยจู่ ะทาใหด้ อกไม้ อยไู่ ดน้ านกวา่ การตดั ดอกตอน เที่ยงหรือบา่ ย ใชม้ ีดหรือกรรไกร ตดั ก่ิงที่และสะอาด ตดั กา้ นดอกใหเ้ ป็นมุมเฉียง ควรตดั ใหข้ าดในคร้ังเดียวใหไ้ ดร้ อยตดั เรียบไมช่ ้า การตดั เฉียงๆ เพ่ือใหไ้ ดเ้ น้ือท่ีในการดูดน้ามากข้ึน ดอกไมท้ ่ีมียาง ควรจุม่ โคนกา้ นดอกในน้าร้อนอุณหภูมิ 85–90 องศาเซลเซียสประมาณ 2–3 วนิ าที เพื่อใหย้ างหลุดออก เน่ืองจากยางจะอุดตนั บริเวณรอยตดั ทาใหก้ า้ นไม่ สามารถดูดน้าได้ สูตรที่ 1 น้าสะอาดหน่ึงลิตร บดยาพาราคร่ึงเมด็ น้าตาลทรายหน่ึงชอ้ นชา ผสมใหเ้ ขา้ กนั จนน้าตาลละลาย หมด หยดน้ายาลา้ งจานสองสามหยด เขยา่ ใหเ้ ขา้ กนั น้าตาล จะเป็นอาหารใหด้ อกไม้ ยาพารา มีสาร salicylic ช่วยใหพ้ ชื ลดการหายใจ และคายแกส๊ เอทิลลีนได้ ทาใหด้ อกไมเ้ ห่ียวชา้ ลง น้ายาลา้ งจาน ช่วยกนั แบคทีเรียตน้ เหตุการเน่า สูตรที่ 2 ใหห้ ยอ่ นเหรียญสลึงลงไปในแจกนั จะเป็นเหรียญ 25 หรือ 50 ตงั คก์ ไ็ ด้ ส่วนผสมท่ีเป็นทองแดงใน เหรียญ จะช่วยยบั ย้งั การเจริญเติบโตของเช้ือแบคทีเรีย ซ่ึงเป็นสาเหตุใหด้ อกไมเ้ ห่ียวได้ เร่ืองน่ารู้กับครูนกฮูก กศน.เขตหนองแขม เรื่องที่ 6 เคยสงสัยกนั ไหมครับว่า ทาไมเบียร์ถึงขวดสีชาหรือสี เขียว แต่เหลา้ จะเป็ นจวดใส ที่เป็ นเช่นน้ีก็เพราะว่า เบียร์กะ ไวนม์ นั มีองคป์ ระกอบอื่นๆนอกจากน้ากะแอลกอฮอล์ซ่ึงสาร พวกน้ีค่อนขา้ งsensitive จะสังเกตไดว้ า่ หลงั จากกระบวนการ หมกั แลว้ จะเก็บเหล้าและเบียร์ในท่ีเย็นๆตลอดเพื่อป้ องกนั ไม่ให้องค์ประกอบเหล่าน้ีเส่ือมสภาพถา้ โดนความร้อนหรือ โดนรังสีUVจะทาให้องคป์ ระกอบภายในเสื่อมรวมท้งั รสชาติเปล่ียนไป แต่เหลา้ มนั เป็ นการเอาแอลกอฮอล์ ที่ไดจ้ ากการหมกั มาผ่านการกลนั่ แล้วเพ่ือให้ดีกรีสูงข้ึน สารต่างๆที่sensitiveเหล่าน้ันจึงสลายตวั ไปหมด ดงั น้นั ไม่วา่ จะให้โดนความร้อนหรือแสงแดดก็จะไม่ส่งผลต่อเหลา้ สักเท่าไหร่นอกจากแค่แอลกอฮอล์มนั ระเหยออกไปแค่น้นั (ถา้ ไม่ปิ ดฝาขวดนะ) แต่สีอะไร ไมก่ ินจะดีท่ีสุดนะครับ

เร่ืองน่ารู้กบั ครูนกฮูก กศน.เขตหนองแขม เรื่องท่ี 7 วนั น้ีสอนนกั ศึกษาเกี่ยวกบั อาเซียนศึกษา แลว้ ก็สงสัยวา่ ทาไมช่ือประเทศฟิ ลิปปิ นส์ในภาษาองั กฤษถึง ตอ้ งมี The นาหนา้ ในขณะท่ีประเทศอื่นๆ ไม่มี สาเหตุท่ีประเทศฟิ ลิปปิ นส์ตอ้ งมี The นาหนา้ ก็ เพราะว่า the Philippines เป็ นรูปท่ีตดั มาจาก the Philippine Islands (แปลว่า \"หมู่เกาะแห่งพระ เจ้าฟิ ลิปท่ี 2\") ตามหลกั ไวยากรณ์ภาษาองั กฤษ จะตอ้ งใช้ the นาหนา้ ชื่อสถานท่ี หากชื่อน้นั มี คานามท่ัวไปรวมอยู่ด้วย (ในกรณีน้ีคือคาว่า islands) คาว่า Philippine แต่แรกเริ่มน้นั แปลมา จาก filipino หรือ filipina ซ่ึงเป็ นคาคุณศพั ทใ์ น ภาษาสเปน แปลว่า ที่เกี่ยวกับพระเจา้ ฟิ ลิป (เฟลีเป) ที่ 2 ดังน้ัน Philippine จึงตอ้ งหาคานามอื่นมา รองรับ เพราะไม่ใช่คานามช่ือเฉพาะท่ีจะอยโู่ ดด ๆ ไดด้ ว้ ยตวั เองอยา่ ง Indonesia หรือ Japan (ซ่ึงถา้ จะทาเป็ น คาคุณศพั ทก์ ็จะตอ้ งใชว้ า่ the Indonesian islands, the Japanese islands) ชื่อ the philippines เป็ นมรดกจาก อาณานิคม ในอดีตมีชาวฟิ ลิปปิ นส์จานวนมากที่คิดจะเปลี่ยนช่ือประเทศ สมยั เฟอดินานมากอส เคยดาริจะ เปลี่ยนช่ือประเทศเป็ น maharlika เรียกประชาชนวา่ ชาว maharikan อนั เป็ นช่ือของกลุ่มชนช้นั หน่ึงใน สังคมฟิ ลิปปิ นสในอดีตต้งั แต่สมยั ก่อนอาณานิคม แล้วก็ยงั มีคนเคยเสนอชื่อของ โฮเซริซัล (หมอชาว ฟิ ลิปปิ นส์ท่ีเป็นวรี บุรุษของชาติท่ีโดนสเปนประหารชีวติ ) เป็นประเทศ Rizal เรื่องน่ารู้กบั ครูนกฮูก กศน.เขตหนองแขม เรื่องท่ี 8 วนั น้ีไดม้ ีโอกาสทานกุง้ ยา่ ง ก็เลยสงสัยวา่ ทาไม เวลายา่ ง กุ้งแล้วเปลือกของกุ้งขึงกลายเป็ นสี ส้ม การ เปลี่ยนแปลงของกุง้ หลงั ถูกทาให้สุกแลว้ เป็ นการ เปลี่ยนแปลงทางชี วเคมีของเปลื อกกุ้งกับปู เนื่องจากเปลือกของกงุ้ และปูทะเลส่วนมากจะมีสาร สร้างเม็ดสีที่เรียกว่า แอสตาแซนธิน (astaxanthin) ซี่งเป็ นสารท่ีอยู่ในกลุ่มแคโรทีนอยด์ (Carotenoid) ที่จะสามารถพบไดใ้ นธรรมชาติ ยกตวั อยา่ งเช่น ในมะเขือเทศ, ขา้ วโพด, ฟักทอง หรือแครอท เป็ นตน้ เจา้ แค โรทีนอยดน์ ่ีเองที่เป็ นตวั ทาใหพ้ ืชผกั เหล่าน้ีมีเหลืองและส้ม แต่ทาไมมะเขือเทศ ขา้ วโพด แครอท ถึงมีสีส้ม ท้งั ตอนที่ยงั สดและตอนที่ปรุงสุกแลว้ ซ่ึงนน่ั กต็ ่างจากกุง้ และปูท่ีจะมีสีแดงส้มหลงั จากท่ีโดนความร้อนหรือ ทาใหส้ ุกแลว้ เท่าน้นั ซ่ึงนนั่ ก็เป็ นเพราะวา่ สารท่ีสร้างเม็ดสีของสัตวน์ ้าที่มีกระดองจะมีถูกปกคลุมไวอ้ ยา่ ง นานแน่น โดยจะมีโปรตีนชนิดหน่ึงท่ีมีชื่อวา่ อลั ฟาครัสตาไซยานิน (Alpha Ctustacyanin) มาเกาะจบั อยู่ จน กลายเป็น โปรตีนเชิงซอ้ นชนิดที่มีซ่ือเรียกวา่ แคโรทีโนโปรตีน (carotenoprotein) และมีค่าในการดูดแสงที่

สูงข้ึน จนทาใหเ้ ราเห็น กุง้ กบั ปู หรือเปลือกของสัตวน์ ้าท่ีมีกระดองชนิดต่างๆกลายเป็ นสีเทา เชียว หรือน้า เงิน ไปเลย ซ่ึงสตั วน์ ้าที่ล่าวมาน้ีไมไ่ ดเ้ ป็ นคนสร้างสารครัสตาไซยานินข้ึนมานะครับ หากแต่ไดร้ ับสารตวั น้ี จะมาจาก แพลงคต์ อนหรือสาหร่ายท่ีอยู่ในน้า สีจากเโปรตีนเชิงซอ้ นนี่เองที่ช่วยในการพลางตวั เวลาที่พวก มนั อยใู่ นน้า ส่วนในเปลือกของกุง้ ลอบสเตอร์จะมี เบตา-ครัสโตไซยานิน มาเกาะอยเู่ ราจึงเห็นเปลือกของมนั มีสีเชียวอมน้าเงินเขม้ แต่เม่ือไหร่ก็ตามท่ีกระดองของปูและเลือกของกุง้ น้นั ถูกความร้อนที่ระดบั น้าเดือด แลว้ ละก็มนั จะทาให้โปรตีนครัสตาไซยานินสลายตวั ไป ทาใหส้ ารที่สร้างเม็ดสีท่ีแทจ้ ริงอยา่ งแคโรทีนอยด์ เป็นอิสระ ซ่ึงนนั่ กท็ าใหส้ ีเดิมของกุง้ และปูน้นั แสดงออกมา ไม่เพียงเท่าน้นั สารสร้างเม็ดท่ีพบไดใ้ นพืชบาง ชนิด และยงั พบไดใ้ นปลาแซลมอนอีกดว้ ย เมื่อเน้ือของปลาแซลมอนสุกแลว้ ก็จะมีสีส้มๆแดงๆ เช่นเดียวกนั ทาใหเ้ ม่ือนาปรุงเป็นอาหารแลว้ ดูน่ารับประทานยง่ิ ข้ึนน้นั เอง นอกจากความร้อนแลว้ ก็ยงั มีค่าความเป็ นกรด- ด่างสูงๆก็สามารถทาให้พันธะระหว่างครัสตาไซยานินและแคโรทีนอยด์ สสลายไปได้ด้วยเช่นกัน เร่ืองน่ารู้กับครูนกฮูก กศน.เขตหนองแขม เร่ืองท่ี 9 วนั น้ีขอนาเสนอตน้ กาเนิดเคร่ืองหมายถูก ที่มาของสัญลกั ษณ์เคร่ืองหมายถูกน้ีเร่ิมตน้ มาจากครู ชาวองั กฤษคนนึง เขาจะเขียนวา่ right ลงไปทา้ ยขอ้ ท่ีถูกเวลาตรวจการบา้ น นกั เรียน ต่อมาเขาไดต้ ดั เหลือแค่อกั ษรตวั หนา้ สุด ซ่ึงก็คือตวั r พอเขียนไป เขียนมาก็เลยเพ้ียนเป็ นเคร่ืองหมายถูก กลายเป็ นสัญลกั ษณ์ท่ีใช้กันอย่าง แพร่หลายในปัจจุบนั เรื่องน่ารู้กบั ครูนกฮูก กศน.เขตหนองแขม เรื่องที่ 10 สงสัยกนั ไหมครับวา่ ทาไม เราเรียกหมาวา่ สุนขั “หมา” สตั วเ์ ล้ียงท่ีใกลช้ ิดกบั คนมาแตโ่ บราณกาล พจนานุกรม ฉบบั ราชบณั ฑิตยสถาน พ.ศ. 2542 ให้ นิยามวา่ “ชื่อสัตวเ์ ล้ียงลูกดว้ ยนมหลายชนิดหลายสกลุ ในวงศ์ Canidae ลาตวั มีขนปกคลุม มีเข้ียว 2 คู่ ตีน หนา้ มี 5 นิ้ว ตีนหลงั มี 4 นิ้ว ซ่อนเล็บไมไ่ ด้ อวยั วะ เพศของตวั ผมู้ ีกระดูกอยภู่ ายใน 1 ชิ้น ท่ียงั คงเป็นสตั ว์ ป่ า เช่น หมาใน (Cuon alpinus) ที่เล้ียงเป็นสัตวบ์ า้ น คือ ชนิด Canis familiaris ” ส่วนคาวา่ สุนขั มกั ใชเ้ ป็น ทางการและเป็นคาสุภาพเรียกแทนหมา เช่น สุนขั ตารวจ มาจากบาลีวา่ สุนข; สันสกฤตวา่ ศุนก “สุนขั ” แยกคาออกเป็ น สุ กบั นขั สุ ตามพจนานุกรมฯ มี 3 ความหมาย ในความหมายท่ี 3 บอกวา่ เป็นคา อุปสรรคในภาษาบาลีและสนั สกฤต แปลวา่ ดี งาม ง่าย สาหรับเติมขา้ งหนา้ คา เช่น สุคนธ์ คา คนธ์คนั ธ์ แปลวา่ กล่ิน สุคนธ์ เป็นคานามจึงแปลไดว้ า่ กลิ่นหอม; เคร่ืองหอม นขั พจนานุกรมฯ นิยามวา่ เป็นคาใชใ้ นบทร้อยกรอง แปลวา่ เล็บ นิ้วมือ จากนิยามขา้ งตน้ ของ หมา ท่ีบอก วา่ ซ่อนเลบ็ ไมไ่ ดน้ ้นั สุนขั น่าจะแปลตามรูปคาไดว้ า่ เป็นผมู้ ีเลบ็ งาม นนั่ เอง

เร่ืองน่ารู้กับครูนกฮูก กศน.เขตหนอง แขม เร่ืองที่ 11 เม่ือวานให้ความหมาย ข อ ง ค า ว่ า สุ นั ข วัน น้ี จ ะ ม า แ ป ล ค วา ม หม า ย ข อง ค า ว่า สุ ก รใ ห้ฟั ง ค รั บ สุกร (อ่านว่า สุ -กอน) มาจากคาภาษา บาลีและสันสกฤตว่า สูกร (อ่านว่า สู- กะ -ระ) แปลว่า สัตวท์ ี่ชอบใช้จมูกทา เสียงดงั ซู่ ๆ หมายถึง หมู ไม่ไดแ้ ปลว่า “ผมู้ ีแขนงาม” ดงั ที่เขา้ ใจกนั ในภาษาไทย คาวา่ สุกร ใชเ้ ป็ นคาทางการ เช่น ประชาชนไม่ควรบริโภคเน้ือ สุกรดิบ ๆ หรือ ดิบ ๆ สุก ๆ เพราะอาจไดร้ ับพยาธิและเช้ือโรคอื่นได้ แมค้ าวา่ สุกร จะแปลวา่ หมู แต่คาว่า สุกร มีความหมายแคบกวา่ คาว่า หมู. คาว่า หมู น้นั นอกจากเป็ นช่ือสัตวแ์ ลว้ ยงั ใชเ้ ป็ นช่ือเรียกอาหารท่ีทา ดว้ ยเน้ือหมหู รือเน้ือสุกร เช่น หมูแผน่ หมูหยอ็ ง หมูหนั หมูปิ้ ง หมูสะเตะ๊ หมูกรอบ หมูแดง ฯลฯ หมู ในคา เหล่าน้ีใชค้ าวา่ สุกร แทนไม่ได.้ เม่ือใชใ้ นความหมายเปรียบเทียบ หมู ใชเ้ ป็ นคาเรียกคนที่อว้ นแบบมีไขมนั สะสมมาก และแปลว่า ผูท้ ่ีสามารถเอาชนะไดโ้ ดยง่ายหรือส่ิงที่สามารถทาไดง้ ่าย ๆ โดยไม่ตอ้ งใช้ความ พยายามมากนกั เช่น การแข่งขนั หมูมาก เขาจึงไดเ้ หรียญทองมาครองง่าย ๆ. งานซ่อมก๊อกน้าร่ัวเป็ นเร่ืองหมู ๆ สาหรับเขา. คาวา่ หมู ท่ีเป็นชื่ออาหารและที่ใชใ้ นความหมายเปรียบเทียบ ใชค้ าวา่ สุกร แทนไม่ได้ เรื่องน่ารู้กบั ครูนกฮูก กศน.เขตหนองแขม เรื่องท่ี 12 วนั น้ีไดม้ ีโอกาสเตรียมงานวนั เด็ก แลว้ กส็ งสัยวา่ ทาไม ลูกโป่ งมีท้งั แบบที่ลอยไดแ้ ละลอยไม่ได?้ หากสังเกตดู จะรู้วา่ ลูกโป่ งท่ีเราเป่ าเองจะลอยอยไู่ ดไ้ ม่นานแลว้ ก็ตก ลงมา ส่วนลูกโป่ งสวรรคท์ ี่เราซ้ือตามงานวดั หรือท่ีงาน ต่างๆมนั กลบั ลอยข้ึนสูงได้ นนั่ ก็เป็นเพราะก๊าซที่บรรจุ อยภู่ ายในลูกโป่ งมีความหนาแน่นไม่เท่ากนั ลูกโป่ งที่เรา ใชป้ ากเป่ าลมเขา้ ไปน้นั จะลอยไมไ่ ดเ้ พราะในลูกโป่ ง ไมไ่ ดม้ ีแต่ลมที่เราเป่ าจากปากเขา้ ไปเทา่ น้นั แต่ยงั มีกา๊ ซ คาร์บอนไดออกไซด์ ไอน้า แถมยงั มีน้าลายของเราอีกดว้ ย รวมๆกนั แลว้ ก็เลยทาใหม้ นั มีความหนาแน่น มากกวา่ อากาศ มนั ก็เลยไม่ลอย ถา้ จะทาใหล้ ูกโป่ งมนั ลอยได้ ก็หมายความวา่ กา๊ ซที่บรรจุอยขู่ า้ งในจะตอ้ งมี ความหนาแน่นนอ้ ยกวา่ อากาศ โดยกา๊ ซท่ีใชม้ ีอยดู่ ว้ ยกนั 2 ชนิดคือ กา๊ ซฮีเลียม (He) และกา๊ ซไฮโดรเจน (H2) \"กา๊ ซฮีเลียม\" เป็นกา๊ ซเฉื่อยท่ีไม่สี ไม่กลิ่น และไม่ติดไฟ จึงมีความปลอดภยั สูง แต่เน่ืองจากก๊าซน้ีมี ราคาค่อนขา้ งสูง ทาใหม้ ีการนากา๊ ซไฮโดรเจนมาใช้ \"กา๊ ซไฮโดรเจน\" แมว้ า่ จะมีคุณสมบตั ิท่ีเบากวา่ กา๊ ซ ฮีเลียม แตม่ นั ก็เป็นก๊าซท่ีไวไฟ หมายความวา่ เม่ือโดนเปลวไฟหรือประกายไฟ ก็จะเกิดการลุกไหม้ กลายเป็นเช้ือเพลิงและอาจก่อใหเ้ กิดความสูญเสียไดโ้ ดยเฉพาะเม่ือมีการนาลูกโป่ งมาอยรู่ วมกนั เป็นพวง

เยอะๆ อยา่ งไรก็ดี เมื่อเวลาผา่ นไปไมน่ าน เราก็จะพบวา่ ลูกโป่ งมนั แฟบลง ที่เป็นเช่นน้นั ก็เพราะลูกโป่ งทา มาจากยางธรรมชาติและที่ผวิ ของลูกโป่ งกจ็ ะมีรูเลก็ ๆอยมู่ ากซ่ึงทาใหก้ า๊ ซซึมผา่ นไปได้ ระยะเวลาของลูกโป่ งแตล่ ะชนิด - ลูกโป่ งเน้ือยาง Latex Balloon ท่ีเป็นถุงเลก็ ๆสีๆ เน้ือยางบางๆขนาด 12 นิ้ว บรรจุดว้ ยกา๊ ซฮีเลียมหรือ ไฮโดรเจนท่ีอุณหภูมิห้องสามารถลอยอยไู่ ดน้ านประมาณ 12-20 ชวั่ โมง - ลฏโป่ งเป่ าดว้ ยลมธรรมดาใชส้ าหรับตกแต่ง ลอยไม่ไดจ้ ะอยไู่ ดน้ านเป็ นเดือน - ลูกโป่ งท่ีทาจากแผน่ โลหะอะลูมิเนียมหรือ foil จะอยไู่ ดน้ านหลายวนั หรือเป็นอาทิตย์ อีกท้งั สามารถเก็บ ลูกโป่ งที่ก๊าซออกหมดแลว้ และนามาใชใ้ หม่ได้ เร่ืองน่ารู้กับครูนกฮูก กศน.เขตหนองแขม เรื่องท่ี 13 เคยสงสัยกนั ไหมครับว่าเวลาท่ีเราแหงนหน้ามอง ทอ้ งฟ้ าเพอ่ื ดูดวงจนั ทร์อนั แสนงาม ทาไมเราจึงเห็นดวงจนั ทร์หนั หนา้ มาดา้ นเดียวยงั โลกตลอดเวลา ถา้ ภาพ ท่ีเพ่อื นมองเห็นเป็นกระต่าย เจา้ กระต่ายตวั น้นั กไ็ มเ่ คยหนั หนา้ ไปทิศอื่นเลย เหมือนจะเฝ้ ามองโลกดว้ ยความ รัก จริงๆ แล้วเกิดจากการท่ีดวงจนั ทร์โคจรรอบโลกเท่ากบั ระยะเวลาที่ดวงจนั ทร์เองหมุนรอบตวั เอง ที่ เรียกวา่ การหมุนแบบ \"สมวาร\" การหมุนสมวาร คือการท่ี ดวงจนั ทร์มีการหมุนรอบตวั เองครับ โดย 1 รอบ ใชเ้ วลาประมาณ 27.32 วนั และในขณะเดียวกนั ดวงจนั ทร์ก็โคจรรอบโลกของเราดว้ ย การโคจรของดวง จนั ทร์รอบโลกครบ 1 รอบน้นั ใชเ้ วลาประมาณ 27.32 วนั ซ่ึงผลจากการที่คาบเวลาการโคจรรอบโลกเท่ากบั (โดยประมาณ) คาบเวลาที่ดวงจนั ทร์ใชใ้ นการหมุนรอบตวั เองน้ี จึงทาใหด้ วงจนั ทร์หนั ดา้ นๆหน่ึงเขา้ หาโลก ตลอดเวลา ท้งั น้ีในอดีตน้นั ดวงจนั ทร์มีการหมุนรอบตวั เองเร็วกวา่ ที่เป็ นอยใู่ นปัจจุบนั แต่หลงั จากเวลาผา่ น ไปหลายลา้ นปี ผลของแรงโนม้ ถ่วงโลกท่ีมีต่อดวงจนั ทร์ (แรงไทดลั ) ทาให้ดวงจนั ทร์มีการหมุนรอบตวั เอง ชา้ ลง จนกระทงั่ ในปัจจุบนั อตั ราการหมุนรอบตวั เองและการโคจรรอบโลกมีค่าเท่ากนั (โดยประมาณ) จึง เป็นสาเหตุวา่ ทาไมเราจึงมองเห็นดวงจนั ทร์เพยี งดา้ นเดียวตลอดเวลา

เร่ืองน่ารู้กับครูนกฮูก กศน.เขตหนองแขม เร่ือง ที่ 14 ช่วงน้ีหมดมุขแลยขอรีโพสเก่านะครับ วันน้ี ขอเสนอท่ี มาของกาแฟ ก าแฟโดย แหล่งกาเนิดแลว้ เป็ นพืชพ้ืนเมืองของอาบีซีเนีย (Abyssinia) และอาราเบีย (Arabia) ถูกค้นพบ ในศตวรรษท่ี 6 ราวปี ค.ศ. 575 ในประเทศอาระ เบีย (Arabia) และในขณะเดียวกันบางท่านก็ กล่าวว่ากาแฟเป็ นพืชพ้ืนเมืองท่ีพบในเมือง คพั ฟา (Kaffa) ซ่ึงเป็นจงั หวดั หน่ึงของประเทศเอธิโอเปี ย (Ethiopia) กาแฟจึงไดช้ ่ือเรียกตามจงั หวดั น้ี และยงั ไดเ้ รียกแตกต่างกนั ออกไปอีกมาก แหล่งกาเนิดเดิมของกาแฟมาจากประเทศอาบีซีเนีย หรือแถบประเทศอา ราเบียน หรือประเทศอาหรับ ตะวนั ออกกลาง สมยั น้นั ไม่มีผใู้ ดให้ความสนใจเท่าใดนกั จนกระทง่ั ล่วงเลย มาถึงศตวรรษท่ี 9 มีการเล้ียงแพะชาวอาราเบียคนหน่ึงช่ือ คาลดี (Kaldi) นาแพะออกไปเล้ียงตามปกติ แพะ ไดก้ ินผลไมส้ ีแดงชนิดหน่ึงเขา้ ไปแลว้ เกิดความคึกคะนองผิดปกติ จึงไดน้ าเรื่องไปเล่าให้ชาวมุสลิมท่าน หน่ึงฟัง จึงได้นาผลของต้นไมน้ ้ันมากะเทาะเปลือกเอาเมล็ดไปคว่ั แล้วต้มในน้าร้อนดื่มเห็นว่ามีความ กระปร้ีกระเปร่า จึงนาไปเล่าให้คนอ่ืนฟังต่อไป ชาวอาราเบียจึงไดเ้ ร่ิมรู้จกั ตน้ กาแฟมากข้ึน จึงทาใหก้ าแฟ แพร่หลายเพิ่มข้ึนจากประเทศอาราเบีย เขา้ สู่ประเทศอิตาลี เนเธอร์แลนด์ เยอรมนั ฝร่ังเศส ชาวอาระเบียเรียก พืชน้ีว่า “คะวาฮ์” (Kawah) หรือ “คะเวฮ์” (Kaweh) ซ่ึงแปลว่าพลงั (strength) หรือความกระปร้ีกระเปร่า (vigor) ชาวตุรกีเรียกวา่ “คะเวฮ”์ (Kaveh) ตอ่ มาการเรียกชื่อกาแฟจึงเปล่ียนแปลงไปตามแหล่งต่างๆของโลก เช่น คฟั ฟี (Koffee) ในองั กฤษเรียกว่า “คอฟฟี ” (coffee) อนั เป็ นชื่อที่รู้จกั และใช้ในปัจจุบนั น้ี เมื่อมาถึง ประเทศไทยคนไทยเรียกวา่ โกปี๊ ขา้ วแฝ่ และกาแฟในที่สุด เรื่องน่ารู้กับครูนกฮูก กศน.เขตหนองแขม เร่ืองที่ 15 เคย สงสัยกนั ไหมครับวา่ ทาไมนมกล่องรสต่างๆถึงไม่เขียน ไปเลยวา่ รสอะไร แต่ใชค้ าเล่ียงไปวา่ กลิ่นอะไรแทน ตาม หลกั เกณฑ์ อย. ( สานกั งานคณะกรรมการอาหารและยา กระทรวงสาธารณสุข ) ถา้ ใช้คาว่า \"รส .......... \" ตอ้ งมี สารน้นั เป็นส่วนประกอบ เช่น นมปรุงแต่งรสสตรอเบอร์ ร่ี ตอ้ งมีน้าสตรอเบอร์ร่ีเป็ นส่วนประกอบ , นมปรุงแต่ง รสองุ่นตอ้ งมีน้าองุ่นเป็นส่วนประกอบ แต่ถา้ เพียงแค่ปรุง แต่งกล่ินรส (flavor) ให้ใช้คาว่า \"กลิ่น ......\" เช่น นมใส่ สารปรุงแต่งกล่ินสังเคราะห์กล่ินสตอเบอร์รี่ ถึงแมจ้ ะ

ปรับรสชาติความเปร้ียวหวานดว้ ยน้าตาล , กรด , สารปรุงแตง่ ใหม้ ีรสชาติและกลิ่นคลา้ ยสตรอเบอร์รี่ แต่ไม่ มีสตรอเบอร์รี่หรือน้าสตรอเบอร์รี่อยจู่ ริง ก็จะใช้คาว่า นมรสสตรอเบอร์รี่หรือนมปรุงแต่งรสสตรอเบอร์ร่ี ไม่ได้ แต่ให้ใช้คาว่า นมปรุงแต่งกลิ่นสตรอเบอร์รี่ นอกจากน้นั ในส่วนคาว่า \"นมปรุงแต่ง\" กบั \"นมสด\" ในทาง อย. ก็จดั เป็ น อาหารคนละประเภท มีคุณภาพ มาตรฐานท่ีควบคุมต่างกนั นมปรุงแต่งมีการเติมน้า , น้าตาล , สารปรุงแต่ง ได้ ซ่ึงคุณค่าทางอาหารจะต่างไปจากนมสด ( มีการกาหนดคุณภาพมาตรฐานเช่นกนั แต่ คนละมาตรฐานท่ีใชก้ บั นมสด ) ส่วนนมปรุงแต่งรสช็อคโกแล็ต , นมปรุงแต่งรสกาแฟ มีการเติมผงโก โก์ ( ไดจ้ ากพืช โกโก้ ) , ผงกาแฟ (ไดจ้ ากพืชกาแฟ ) อยจู่ ริง จึงใชค้ าวา่ นมปรุงแต่งรสช็อคโกแล็ต , นมปรุง แตง่ รสกาแฟ ไดค้ รับ เรื่องน่ารู้กบั ครูนกฮูก กศน.เขตหนองแขม เรื่องที่ 16 ช่วงน้ีสี Rose gold กาลงั ดงั วา่ แต่ Rose Gold คืออะไร ในวงการเครื่องประดบั Rose Gold (หรือบางคร้ังก็เรียกวา่ Pink Gold/ ทองพิงค)์ เป็ นสีทองออกชมพู ตอ้ ง ยอมรับวา่ พกั หลงั มาน้ีผคู้ นใหค้ วามสนใจสีน้ีเป็นจานวนมาก คลา้ ยสมยั ท่ีทองขาวเป็นที่นิยมใหม่ๆ เนื่องจาก ความแปลกใหม่และสีที่สะกดสายตา ทาให้เครื่องประดบั ดูมีราคาและน่ารักไปในเวลาเดียวกนั และย่ิง iPhone ออกสีโรสโกลด์มาใหม่ ทาให้ผูค้ นเริ่ม รู้จกั สีน้ีกนั เยอะเลยล่ะครับ ว่าแต่ Rose Gold จริงๆแลว้ คืออะไร ผสมอะไรลงไปบา้ ง มาหา คาตอบมีสาระอ่านง่ายๆ กนั ครับ ส่วนผสมของ Rose Gold มีอะไรบา้ ง? -ในวงการจิวเวลรี่ สี Rose Gold จะเป็นการผสมกนั ระหวา่ ง ทอง เงิน และ ทองแดง ครับ ซ่ึงเจา้ ทองแดงนี่เองที่ใหส้ ีที่ ออกแดงชมพนู ่ารักครับ ถา้ หากมีส่วนของทองแดงมาก สีจะออกชมพูเขม้ ๆค่อนไปทางแดงครับ Rose Gold จดั เป็ นทองไหม? -เน่ืองจาก Rose Gold ผสมกนั 3ตวั คลา้ ยๆกบั ทองขาว ทาให้มี % ของทองไม่เตม็ นะครับ ก็ข้ึนอยกู่ บั แต่ละเจา้ วา่ จะผสมทองลงไปกี่% ครับ แต่ท่ีนิยมมากๆในไทยจะใชท้ อง 75% นะครับ จดั วา่ Rose Gold เป็ นทอง18Kไดเ้ ช่นกนั ครับ (75%ทอง) ในขณะที่ประเทศทางโซนยุโรปและอเมริกา จะนิยมทองสี พิงคท์ ี่มี%ต่ากวา่ อยา่ ง 14K และ 10K ครับ Rose Gold มีขอ้ ดีอยา่ งไร -สีโรสโกลดน์ ้นั จดั วา่ แปลกตามากๆ ครับ ทาใหเ้ ขา้ ไปอยใู่ นดวงใจของคนที่ชื่นชอบเคร่ืองประดบั ไดไ้ ม่ยากเลย นอกจากน้ีเม่ือเป็ นทอง18Kดว้ ย ดว้ ย คุณสมบตั ิ ความแข็ง และคุณค่าของของ Rose Gold น้ันจดั ว่าเหมือนกบั ทอง/ทองขาว เกือบทุก ประการเลยครับ มีขอ้ ดีแลว้ มีขอ้ เสียบา้ งไหม? -ไหนๆจะทาบทความแลว้ ทางร้านก็อยากให้ขอ้ มูลที่เป็ น ประโยชน์ในการตดั สินใจเลือกวสั ดุนะครับ ขอ้ เสียของ Rose Gold ก็คือ เคา้ มีส่วนผสมของทองแดง เยอะ ซ่ึงทองแดงตวั น้ีนี่แหละที่ทาให้เคร่ืองประดบั หมองเร็วข้ึนเมื่อเกิดการทาปฏิกิริยากบั ออ๊ กซิเจน ตอ้ งดู และรักษากนั หน่อยสาหรับคนท่ีใส่ติดตวั ประจานะครับ และเล่ียงการใส่ในที่ช้ืนและถูกน้าครับ

เรื่องน่ารู้กับครูนกฮูก กศน.เขตหนองแขม เรื่องที่ 17 วนั น้ีมีโอกาสอบรมประวตั ิศาสตร์ชาติไทย จึงอยาก แปลช่ือของกรุงเทพมหานครใหฟ้ ังครับ ในปี พ.ศ. 2328 พระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้ า จุฬาโลกมหาราช โปรดเกลา้ ฯ ใหจ้ ดั พระราช พิธีบรมราชาภิเษก จดั การสมโภชพระนคร ส ม โ ภ ช วั ด พ ร ะ ศ รี รั ต น ศ า ส ด า ราม พระราชทานนามพระนครใหม่ให้ตอ้ ง กบั พระนามพระพุทธมหามณีรัตนปฏิมากร วา่ “กรุงเทพมหานคร บวรรัตนโกสินทร์ มหิ นทรายุธยา มหาดิลกภพ นพรัตนราชธานีบุรี รมย์ อุดมราชนิเวศน์มหาสถาน อมรพิมานอวตารสถิต สักกะทตั ติยะวษิ ณุกรรมประสิทธ์ิ” คร้ันในแผน่ ดิน พระบาทสมเดจ็ พระจอมเกลา้ เจา้ อยหู่ วั ทรงแปลงสร้อยที่วา่ “บวรรัตนโกสินทร์” เป็ น “อมรรัตนโกสินทร์” นอกน้นั คงไวต้ ามเดิม สมเด็จพระเทพรัตนราชสุดา ฯ สยามบรมราชกุมารี ทรงให้คาแปลไวว้ า่ “พระนคร ใหญ่ (อนั เป็ น ประดุจ) เมืองเทพ เป็ นท่ีรักษาพระแกว้ อนั ยงั่ ยืน (พระพุทธมหามณีรัตนปฏิมากร) เป็ นเมือง ใหญ่อนั ไม่มีใครเอาชนะได้ เป็ นแผน่ ดินอนั เลิศยงิ่ ลว้ นแลว้ ดว้ ยแกว้ เกา้ ประการ เป็ นสถานท่ีกวา้ งใหญ่ อนั เป็ นที่ประทบั แห่งองคพ์ ระมหากษตั ริย์ เปรียบเหมือนวมิ านอนั อุดมท่ีสถิตแห่งองคพ์ ระนารายณ์ (พระจกั รี) ซ่ึงทา้ วสกั กเทวราชประทานพระวษิ ณุกรรมสร้างใหส้ าเร็จ” เรื่องน่ารู้กับครูนกฮูก กศน.เขตหนองแขม เร่ืองที่ 18 ใครที่เคยไปเยือนวดั พระเชตุพนวิมลมงั คลาราม หรือ วัดโพธ์ิ แล้วละก็ย่อมต้องเคยพบเห็นรู ปสลักหินจีน ท้งั หลายที่ต้งั ประดบั ตามซุ้มประตูและท่ีต่างๆ มีท้งั สลกั จากหินและปูนป้ัน โดยหลายคนอาจจะไม่รู้วา่ รูปสลกั หิน จีนเหล่าน้ี มีชื่อเรี ยกว่า ตัวอับเฉา หรื อ เคร่ื องอับเฉา (Chinese Ship Ballast) ตวั อบั เฉาน้นั มีตน้ กาเนิดจาก การคา้ สาเภา (การคา้ ขายสินคา้ ดว้ ยเรือสาเภาเดินทะเล) ใน สมยั รัชกาลที่ 3 โดยเม่ือประเทศไทยจะส่งสินคา้ ไปขายยงั เมืองจีนหรือยงั ต่างประเทศน้นั สินคา้ จะเป็ นพวก ไมส้ ัก ขา้ วสาร งาชา้ ง ดีบุก พลวง ไม้ เคร่ืองเทศ ซ่ึงเป็ น ของมีน้าหนัก หากไปคา้ ขายที่เมืองจีน เมื่อขายสินคา้ แล้ว ขากลบั ก็จะซ้ือสินคา้ จากเมืองจีน (หรือจาก ประเทศคู่คา้ ) กลบั มา เป็ นพวกผา้ แพร ผา้ ไหม แร่ทอง แร่เงิน ไขมุก ซ่ึงมีราคสูงและมีน้าหนกั เบา ซ่ึงเรือ สาเภาท่ีจะแล่นฝ่ าคลื่นลมในทะเลได้น้นั ตอ้ งมีน้าหนกั พอสมควร มิฉะน้นั เรือจะโคลงแล่นฝ่ าคล่ืนลมมา ไม่ได้ จึงตอ้ งมีการถ่วงน้าหนกั ใตท้ อ้ งเรือ โดยมีการใส่อบั เฉามาใตท้ อ้ งเรือ อบั เฉา ในยคุ แรกๆ จะมีลกั ษณะ

เป็ นแท่งหิ นยังไม่มีการทาเป็ นตุ๊กตาหิ น โดยนาไปใช้เป็ นแท่งหิ นปูพ้ืนทาถนนทางเดิน ณ พระบรมมหาราชวงั ในปัจจุบนั ซ่ึงเช่ือวา่ เพ่ือนๆ หลายคนท่ี อ่านอยู่น้ีก็คงไดเ้ หยียบมาแลว้ โดยไม่รู้ว่าเรา กาลงั เหยียบอบั เฉพาะที่มีประวตั ิมายาวนาน ต่อมามีการนาตุ๊กตาหินมาใส่เป็ นตวั อบั เฉา ซ่ึงตอนแรกๆ น้นั ทางจีนทามาอยา่ งไร เราก็ซ้ือมาตามน้นั แต่ภายหลงั มีการออกแบบจากไทยไปให้ช่างจีนทาตุ๊กตาหินตามส่ัง ซ่ึงตุก๊ ตาหินเหล่าน้นั ไดน้ ามาต้งั ตกแต่งพระอาราม พระราชวงั วงั หรือบา้ นผมู้ ียศศกั ด์ิ โดยสลกั เป็ นรูปต่างๆ ท้งั รูปคน ฝรั่ง จีน เทพเทวดา และรูปสัตว์ เรื่องน่ารู้กบั ครูนกฮูก กศน.เขตหนองแขม เร่ืองท่ี 19 เวลาไปสง่ั กบั ขา้ ว สงสยั กนั ไหมครับวา่ ตม้ ยาน้าใส ตม้ ยาน้าขน้ โป๊ ะแตก ตม้ โคลง้ ต่างกนั อยา่ งไร ตม้ ยา น้าแกงรสจดั จา้ นแบบไทย ๆ เท่าที่ทราบและเท่าที่เคยทา มา เราจะเร่ิมตน้ ที่ตม้ ยาแบบน้าใส ท่ีจะใส่เคร่ืองเทศหลกั คือ ข่า ตะไคร้ ใบมะกรูด ตม้ ในน้าเดือดใหห้ อม จึง ใส่เน้ือสตั วล์ งไป ที่นิยมคือปลาและกงุ้ นาง จะเพม่ิ ความหอมดว้ ยหอมแดงทุบแตก ซอยผกั ชีไทย ผกั ชีฝร่ังลง ไป ทุบพริกข้ีหนูสวน บีบมะนาว พรมน้าปลาลงไป ซ่ึงมกั จะปรุงในชาม โดยใส่เครื่องปรุงไวก้ ้นชาม แต่ถา้ น้าแกงทานองน้ี แตน่ ่าจะเก่าแก่กวา่ ตม้ ยา น่าจะเป็นตม้ โคลง้ ที่ใชเ้ คร่ืองเผาท้งั หลายใส่ลงไปในน้าแกง เคร่ืองเผาจะประกอบดว้ ย พริกข้ีหนูแห้งยา่ งไฟ หอมแดง ข่าแก่เผา ตาให้ละเอียด ละลายในน้าแกง ปรุงรส ดว้ ยน้ามะขามเปี ยก น้าส้มซ่า มะนาว พริกข้ีหนูสดบุบ ๆ ใส่เน้ือสัตวต์ ามชอบ แต่ที่นิยมกนั คือปลากรอบ ปลายา่ งรมควนั หรือหวั ปลาช่อนแหง้ ตามครัวสมยั ก่อนจะมีติดครัวเสมอ ตม้ โคลง้ ถา้ ใชเ้ คร่ืองตาแบบน้ี แต่ เพิ่ม ข่า ตะไคร้ ใบมะกรูดลงไปดว้ ย อาหม่อมถนดั ศรี ต้งั ช่ือไวว้ า่ \" ตม้ โยง้ \" ครับ ตม้ ยาน้าขน้ พฒั นา มาจากน้าใส แต่เอาเครื่องตาแบบต้มโคล้งมาใส่ ดว้ ย และเดิมที เคา้ ใชก้ ะทิ แต่กะทิจะบูดง่าย เลยใช้ นมกระป๋ องแทน และความข้ีเกียจเพ่มิ ข้ึน แทนที่จะ ตาเครื่ องเผาอย่างเดิม กลับใช้น้ าพริ กเผาแบบ สาเร็จ ที่มีท้งั กะปิ กระเทียม กุง้ แหง้ และปรุงรสมา เต็ม ๆ โป๊ ะแตก เม่ือก่อนมีหลายช่ือมาก ๆ ท้ัง สงครามทะเล โจโฉแตกทพั เรือ ฯ แต่ก็ คือการนา ของทะเลท้งั หลาย ที่มากกวา่ ปลา กงุ้ หมึก ท่ีจะเรียกแค่ รวมมิตรทะเล แต่นาเอาหอยแมลงภู่ หอยเชลร์ ปูมา้ / ปูทะเล แมงกะพรุนแช่ ใชเ้ ครื่องตม้ ยาสด แตเ่ พิม่ พริกทอดหรือยา่ งไฟพอหอม ๆ ฉีกใส่ลงไปดว้ เพิ่มรสเพ่ิม กล่ิน และใส่ใบกะเพรารองกน้ หมอ้ หยวนโลว้ เพ่ือให้กล่ินกะเพราดนั ข้ึนมาจากน้ หมอ้ หอมทวั่ กนั ส่วนตม้ ยาวิบตั ิท่ีเห็นทวั่ ไปเวลาน้ีคือ ตม้ ยาใส่มะเขือเทศ ฝานแครอทใส่ลงไป บางท่ีใส่พริกหวาน พริกระฆงั ลงไป ดว้ ย ทราบความแตกตา่ งกนั แลว้ กไ็ ปกินกนั ไดเ้ ลยครับ

เร่ืองน่ารู้กบั ครูนกฮูก กศน.เขตหนองแขม เร่ืองที่ 20 ไดม้ ีโอกาสพานกั ศึกษาไปเขา้ ค่ายวทิ ยาศาสตร์ และมี การสอนดูดาว โดยเร่ิมจากกลุ่มดาวเต่าหรือกลุ่มดาวนายพราน กเ็ ลยอยากทบทวนความรู้ใหก้ บั นกั ศึกษาอีกคร้ังครับ กลุ่มดาว นายพรานเป็ นกลุ่มดาวที่มีชื่อเสียงโด่งดังสะท้านเอกภพอีก กลุ่มดาวหน่ึงในฤดูหนาวเพราะสามารถมองเห็นไดย้ าวนาน และสังเกตหาง่าย สาหรับคนไทยเรียกกลุ่มดาวนายพรานว่า ดาวเต่า ข้างในดาวเต่ามี ดาวไถ อีกที เน่ืองจากกลุ่มดาว นายพราน หรือ Orion ประกอบดว้ ยดาวฤกษจ์ านวนท้งั หมด 8 ดวง โดย มีดวงสาคญั 4 ดวง ต้งั เรียงกนั เป็ นขาเต่าหนา้ หลงั กลุ่มดาวนายพรานมีดาว 2 ดวงท่ีเป็ นดาวฤกษส์ วา่ งมาก ก็คือ ดาว บีเทลจุส (Betelgeuse) อยู่ตรงส่วนของไล่ขวานายพราน เป็นดาวยกั ษแ์ ดง สีออกแดงๆส้มๆ และอีกดวงก็คือดาว ไรเจล (Rigel) ตรงเข่าซ้ายนายพราน(หรือเทา้ ซ้าย) ดาบนายพรานคือ ดวงดาวที่เรียงตวั ในแนวดิ่ง ใตด้ าวสามดวงในแนวเกือบจะ เป็ นแนวนอนก็คือ \"เข็มขดั นายพราน\" นัน่ เอง กลุ่มดาวนายพรานจะเริ่มโผล่ข้ึนจากขอบฟ้ าต้งั แต่เวลา ประมาณหน่ึงทุม่ ทางทิศตะวนั ออกโดยจะข้ึนแบบตะแคงขา้ ง ส่วนเวลาตกก็ประมาณตีหา้ ทางทิศตะวนั ตก ค่อนไปทางใตเ้ ลก็ นอ้ ย เรื่องน่ารู้กับครูนกฮูก กศน.เขตหนองแขม เร่ืองที่ 24 วันน้ีได้ดื่มน้ าอัดลมแล้วก็สงสัยว่า ทาไมบริ ษัท น้าอดั ลมถึงเปล่ียนรูปแบบกระป๋ อง เป็ นทรงสูง เลยไป หาคาตอบมาฝากครับ สาเหตุที่เปลี่ยนทรงกระป๋ องมี 2 สาเหตุดงั น้ีครับ 1.ในการทากระป๋ องน้าอดั ลม ตน้ ทุนฝา และกน้ แพงกวา่ ตน้ ทุนแผ่นผนงั ท่ีใช้ทากระป๋ อง เมื่อ เพิ่มความสูง ทาให้ลดขนาดฝาและก้นลงได้ ทาให้ ตน้ ทุนของกระป๋ องลดลง 2. ตน้ ทุนการจดั วางในร้านสะดวกซ้ือท้งั หลาย การออกแบบแนวสูงทาใหก้ ินพ้ืนที่ ดา้ นหนา้ นอ้ ยกวา่ วางไดห้ ลายผลิตภณั ฑม์ ากกวา่ ซ่ึงร้านสะดวกซ้ือเจา้ ใหญ่ สาขาเยอะๆ เขามีการคิดราคา พ้นื ท่ีดิสเพลยส์ ินคา้ กระป๋ องผอมลงทาใหว้ างสินคา้ ไดม้ ากข้ึน

เรื่องน่ารู้กบั ครูนกฮูก กศน.เขตหนองแขม เร่ืองที่ 25 เดือนน้ีมีต้งั 31 วนั ทางานเหน่ือยเลย แลว้ สงสัยไหม ครับวา่ ใครกนั หนอเป็นคนกาหนดเดือน ปฏิทินและการกาหนดช่ือเดือน มีมาต้งั แต่สมยั โรมนั โดยการต้งั ช่ือ ของแต่ละเดือนมีท่ีมาดงั น้ี 1. January มาจากช่ือของพระเจา้ Janus 2. February มาจากช่ือภาษาโรมนั ของเทศการ (a feast) 3. March มาจากช่ือเทพเจา้ แห่งสงคราม Mars 4.April มาจากภาษาละติน ซ่ึงหมายถึง การเปิ ด (to open) ซ่ึงหมายถึงการเริ่มเปิ ด หรือบาน ของดอกไม้ (the opening of flowers and plants) 5. May มาจากคาวา่ Maia เป็นเทพเจา้ ของโรมนั 6. June มาจาก Juno ภรรยาของเทพเจา้ Jupiter 7. July มาจาก Julius เพ่อื ใหเ้ กียรติแด่ จูเลียส ซีซ่า (Julius Caesar) กษตั ริยข์ องโรมนั 8. August มาจากช่ือของกษตั ริยโ์ รมนั อีกพระองค์ ช่ือ Augustus 9. September มาจากภาษาละติน แปลวา่ เจด็ (secta) เพราะเดือนในสมยั โรมนั จะนบั เดือน March เป็ นเดือนท่ีหน่ึง 10. October มาจากภาษาละตนิ แปลวา่ แปด (octa) 11.November มาจากภาษาละติน แปลวา่ เกา้ (nona) 12.December มาจากภาษาละติน แปลวา่ สิบ(deca) เดือนต่างๆ ในสมยั โรมนั จะมีสามสิบวนั เท่ากนั หมด โดยท่ีจะมีวนั พเิ ศษอีกหา้ วนั ในช่วงปลายปี เพอ่ื ใหค้ รบ จานวนวนั ท่ีโลกหมุนรอบดวงอาทิตยใ์ นแตล่ ะปี ต่อมาไดม้ ีการจดั เรียงปฏิทินใหม่ โดย จเู ลียส ซีซ่า ตดั สินใจใหม้ ี 31 วนั เดือนเวน้ เดือน คือ January, March, May, July, September และ November โดยท่ีมีวนั พิเศษเหลือเพยี ง 5 วนั แตม่ ีเดือนท่ีตอ้ งมี 31 วนั ถึง 6 เดือน ดงั น้นั จูเลียส ซีซ่า จึงเอา หน่ึงวนั ออกจากเดือน February (ซ่ึงเป็นเดือนสุดทา้ ยของปี ในสมยั โรมนั ) ทาใหเ้ ดือนน้ีมีเพียง 29 วนั เพอ่ื จะเติมใหค้ รบตามท่ี ตอ้ งการ ต่อมาในสมยั ของกษตั ริย์ Augustus ไดม้ ีการเปล่ียนแปลงจานวนวนั ในเดือน August เพราะวา่ ใน เดือน July ซ่ึงมาจากช่ือ จูเลียส ซีซ่า มี 31 วนั ในเดือน August ซ่ึงเป็นช่ือของพระองคก์ ็ไมค่ วรมีจานวนวนั นอ้ ยกวา่ (มีเพียง30 วนั ) ในเดือนที่เป็นชื่อกษตั ริยเ์ ช่นเดียวกนั ดงั น้นั จึงมีการกาหนดใหเ้ ดือน August มี 31 วนั โดยเอาวนั จากเดือน February มาอีกหน่ึงวนั ทาใหเ้ ดือน February เหลือเพียง 28 วนั เพือ่ มาเติมใหเ้ ดือน August จากน้นั ก็จดั เรียงเดือนในช่วงปลายปี ท่ีมี 31 วนั ใหม่ โดยเปล่ียนให้ เดือน October และ December มี 31 วนั แทนเดือน September และ November ซ่ึงกลายเป็นเดือนที่มี 30 วนั ดงั ปฏิทิน ปัจจุบนั และในสี่ปี คร้ัง เดือน February จะมี 29 วนั เพือ่ ใหค้ รบวนั ท่ีโลกหมุนรอบดวงอาทิตย์

เร่ืองน่ารู้กบั ครูนกฮูก กศน.เขตหนองแขม เร่ืองที่ 26 วนั น้ีไดฟ้ ัง รายการคืนความสุขและนายกไดพ้ ูดถึงกลุ่ม BRICS จึงอยากมาบอกวา่ กลุ่ม BRICS คืออะไร คาวา่ BRIC เป็นอกั ษรยอ่ ใชเ้ รียกกลุ่มประเทศกาลงั พฒั นาที่ มีการพฒั นาและการเติบโตทางเศรษฐกิจอย่างรวดเร็ว (Emerging Market) ประกอบดว้ ยประเทศ บราซิล (Brazil) รัสเซีย (Russia) อินเดีย (India) และจีน (China) โดยคาศพั ท์น้ีถูกบญั ญตั ิข้ึนโดย นายจิม โอนีลล์ (Mr. Jim O’Neil) หวั หนา้ ทีมวิจยั เศรษฐกิจโลกจากโกลด์แมน แซคส์ (Goldman Sachs) ซ่ึงคาวา่ BRIC ใช้ เป็ นสัญลกั ษณ์แสดงถึงการ ยา้ ยอานาจเศรษฐกิจโลกจากกลุ่มประเทศพฒั นาแลว้ อย่าง G7มาสู่กลุ่มประเทศ กาลงั พฒั นา โดยที่ประเทศท้งั สี่ข้างตน้ มีพ้ืนท่ีรวมกนั มากกว่าหน่ึงในสี่ของโลกและมีจานวนประชากร รวมกนั มากกวา่ ร้อยละ 43 ของประชากรโลก มีสัดส่วนใน GDP โลกประมาณ หน่ึงในสี่ของท้งั หมด หรือ คิดเป็ นประมาณ 13.7 แสนลา้ น ดอลล่าร์สหรัฐ และมีเงินทุนสารองระหวา่ งประเทศรวมกนั ถึง 4.4 แสน ลา้ นดอลล่าร์สหรัฐ และในปี 2555 กลุ่มประเทศ BRICS มีสัดส่วนในการลงทุนโดยตรงในต่างประเทศ (FDI) คิดร้อยละ 11 ของโลก และมีสัดส่วนในการคา้ โลกถึงร้อยละ 17 แมว้ า่ กลุ่ม BRICS ไม่ไดม้ ีแนวทางท่ี ชดั เจนที่จะรวมกลุ่มกนั จดั ต้งั กลุ่มเศรษฐกิจหรือสมาคมการคา้ อย่างเป็ นทางการเหมือนสหภาพยโุ รป (EU) แต่มี ข้อบ่งช้ี บางอย่างว่าก ลุ่ ม BRIC พยายามท่ีจะสร้างสมาคมหรือพนั ธมิตร ทาง การเมืองรวมถึงเปลี่ยนอานาจทาง เศรษฐกิจท่ีกาลังเติบโตให้เป็ นอานาจ การเมืองระดบั ภมู ิภาค ซ่ึงปัจจุบนั ประเทศ แอฟริกาใตก้ ็ไดเ้ ขา้ ร่วมเป็ นสมาชิกของกลุ่ม BRIC อยา่ งเป็ นทางการเมื่อวนั ที่ 24 ธนั วาคม 2553 โดยเปล่ียน ช่ือกลุ่มใหมเ่ ป็น BRICS ซ่ึงอกั ษรยอ่ “S” ที่เพ่ิมต่อทา้ ยเขา้ มาหมายถึง South Africa หรือประเทศแอฟริกาใต้ นอกจากความร่วมมือทางดา้ นเศรษฐกิจ กลุ่ม BRICS ยงั มีแผนจะพฒั นาไปสู่การเป็ นกลุ่มความร่วมมือทาง การเมืองให้ชดั เจนยง่ิ ข้ึน รวมถึงความร่วมมือในสาขาอ่ืน ๆ อีก ไดแ้ ก่ ความมน่ั คงทางอาหารและพลงั งาน เน่ืองจากสมาชิก BRICS เป็ นประเทศท่ีผลิตและใช้พลงั งานมากท่ีสุด และเป็ นประเทศผผู้ ลิตผลผลิตทาง การเกษตรรายใหญ่ที่สุดและเป็ นผูบ้ ริโภคผลผลิตทางการเกษตรมากท่ีสุด การพฒั นาการใช้พลงั งาน สะอาด การเพิ่มผลผลิตการเกษตร เป็ นตน้ และยงั มีศกั ยภาพท่ีจะขยายความร่วมมือเพิ่มข้ึนอีก อาทิ ด้าน วทิ ยาศาสตร์และเทคโนโลยี การคา้ การลงทุน ยา และการก่อสร้างโครงสร้างพ้ืนฐาน

เร่ืองน่ารู้กบั ครูนกฮูก กศน.เขตหนองแขม เรื่องที่ 27 ถา้ เราดู หนงั จีนกาลงั ภายใน ถา้ มีตอนหลวงจีนวดั เส้าหลินแสดงฝีมือ มกั จะมีคากล่าววา่ อมิตาพุทธ ทราบไหมครับวา่ อมิตาพุทธ คา น้ีมีที่มาจากอะไร อมิตาพุทธ มาจากพระนามชอง พระอมิตาภ พทุ ธะ เป็นพระธยานิพทุ ธะ 1 ใน 5 องค์ ในความเช่ือของ ศาสนาพทุ ธแบบมหายาน โดยพระองคป์ ระทบั อยทู่ าง ตะวนั ตกของพุทธมณฑล พระกายสีแดงก่า เป็นตน้ ตระกลู ของ พระโพธิสัตวต์ ระกลู ปัทมะ หมายถึงปัญญาที่ทาใหม้ นุษยร์ ู้จกั ผดิ ชอบชว่ั ดี และเลือกปฏิบตั ิในทางท่ีถูก สญั ญาลกั ษณ์คือ ดอกบวั พระอมิตาภะพุทธเจา้ แปลวา่ พระพุทธเจา้ ผมู้ ีแสงรัศมี เปล่งประภาสออกมาโดยประมาณมิได้ (無量光佛, 無 邊光佛) ทรงมีอีกพระนามคือ พระอมิตายพุ ุทธเจา้ ที่ แปลวา่ พระพทุ ธเจา้ ผมู้ ีอายขุ ยั ยาวนานไม่มีประมาณ (無量壽佛) แต่สาธุชนนิยมเอ่ยพระนามของ พระองคแ์ บบทบั ศพั ทว์ า่ ออมีทอ้ ฮุก (阿彌陀佛) อนั หมายถึง พระอมิตาพุทธเจา้ นนั่ เอง ซ่ึงคาวา่ “อมิ ตา” แปลวา่ มากมายเกินกวา่ จะประมาณค่า เขา้ ใจวา่ เป็นการเรียกขานพระนามของพระพุทธองคใ์ น ความหมายท้งั 2 คือ 1. ทรงมีแสงรัศมีเจิดจรัสมากมายเกินกวา่ ท่ีจะประมาณได้ 2. ทรงมีอายขุ ยั ยาวนานมากมายเกินกวา่ ที่จะประมาณได้ เร่ืองน่ารู้กับครูนกฮูก กศน.เขตหนองแขม เร่ืองท่ี 28 หลายคนคงนึกสงสัยกนั วา่ เหตุใดร้านตดั ผมเกือบจะ แทบทุกร้ านมักจะมีกล่องกลม ๆ ที่มี ล ว ด ล า ย ติ ด ต้ ัง อ ยู่ ที่ ห น้ า ร้ า น ด้ ว ย เ ส ม อ เครื่องหมายหรือสญั ลกั ษณ์น้ีคืออะไร และมี ความหมายว่าอย่างไรไฟหมุนขาวแดงถือ เป็ นสัญลักษณ์ของร้านตัดผมที่เพ่ิมความ สวยงาม เด่นสะดุดตาแก่ผสู้ ญั จรไปมา ท้งั ยงั เป็ นตวั บอกให้รู้วา่ ร้านน้นั กาลงั เปิ ดหรือปิ ด บริการ ถา้ ไฟขาวแดงหมุนแสดงวา่ ร้านเปิ ด แ ต่ ถ้า ไ ฟ ห ยุ ด ห มุ น แ ส ด ง ว่ า ร้ า น ปิ ด ประโยชนใ์ นปัจจุบนั มีเทา่ น้ี และไมม่ ีการบงั คบั ให้ทุกร้านตอ้ งติดไฟหมุนดงั กล่าว ทุกวนั น้ีถา้ สังเกตให้ดีจะ เห็นว่าแถบสีขาวแดงอาจมีสีอื่น ๆ เพิ่มบา้ งแลว้ สัญลกั ษณ์ไฟหมุนที่ร้านตดั ผม เรียกวา่ \"บาร์เบอร์ โพล\" (barber pole) ถือกาเนิดข้ึนในทวีปยุโรป ยุคท่ีช่างตดั ผมรวมอยใู่ นอาชีพหมอฟันและศลั ยแพทย์ หรือจะว่า

ผา่ ตดั ถ่ายเลือด ทาฟัน เป็นภาระหนา้ ที่อยา่ งหน่ึงของช่างตดั ผมก็ไดเ้ ป็ นเช่นน้นั อยา่ งเป็ นทางการต้งั แต่ พ.ศ. 1639 ที่ประเทศฝรั่งเศส ดว้ ยฝี มืออาร์คบิชอปแห่งร็วง เมืองหลวงของแควน้ นอร์มงั ดี ท่านสั่งห้ามบุรุษไว้ หนวดเคราโดยเด็ดขาด ทาให้กิจการตดั ผมและโกนหนวดเครามีความจาเป็ นมากข้ึน แลว้ ใครจะมีของมีคม เทา่ ศลั ยแพทยเ์ ล่า กระทงั่ ภายหลงั เม่ือการแพทยม์ ีความชดั เจนในสาขาของตนย่งิ ข้ึน อาชีพศลั ยแพทยก์ บั ช่าง ตดั ผมจึงถึงแก่กาลตอ้ งแยกจากกนั โดยสิ้นเชิง เหลือเพียงสัญลกั ษณ์ท่ีเกิดข้ึนดว้ ยความบงั เอิญตกทอดเป็ น มรดกจากหมอผา่ ตดั ถึงช่างตดั ผมตน้ กาเนิดเรื่องน้ีตอ้ งยอ้ นกลบั ไปเมื่อคร้ังยงั ทางานแบบทูอินวนั ระหวา่ ง การผา่ ตดั ถ่ายเลือดผปู้ ่ วย คุณหมอจะพาดแถบผา้ พนั แผล 2 เส้นรอไว้ เส้นหน่ึงสาหรับพนั รอบแขนผปู้ ่ วย ก่อนถ่ายเลือด เส้นหน่ึงไวพ้ นั แผลภายหลงั งานเรียบร้อย นานเขา้ แถบผา้ พนั แผล 2 เส้น ก็เป็ นภาพเจนตาจน เป็ นที่เขา้ ใจตรงกันทว่ั ไปว่าเป็ นร้านคุณหมอ (ท่ีรับตดั ผมด้วย)จากแถบผา้ พนั แผลวิวฒั น์เป็ นเสาทาสี เลียนแบบ ติดต้งั อยา่ งถาวรภายนอกร้าน มองคลา้ ยเกลียวริบบิ้น 2 สี เรียก \"เกลียวริบบิ้นสีขาวแดงสองเส้น พนั รอบแทง่ เสา\" วา่ บาร์เบอร์ โพล (เน่ืองจากสีแดงหมายถึงเลือด สีขาวหมายถึงผา้ พนั แผล) จากยุโรปไปถึง อเมริกา ช่างตดั ผมอเมริกนั รักชาติเติมสีน้าเงินเขา้ ไปในบาร์เบอร์ โพล ดว้ ย เป็ นสีแดง ขาว น้าเงิน ตามสีธง ชาติสหรัฐอเมริกาบาร์เบอร์ โพล กลายเป็ นส่ือสัญลกั ษณ์สากลของร้านตดั ผมในท่ีสุด เห็นป๊ ุบรู้ป๊ับว่าเป็ น ร้านตดั ผม โดยไม่ตอ้ งคอยมองหาป้ ายชื่อร้าน ท้งั ยงั บอกให้ทราบดว้ ยวา่ ร้านเปิ ดทาการหรือไม่ หากไฟหมุน เปิ ดอยู่แสดงว่าร้านเปิ ด เข้าไปใช้บริการได้ หากไฟปิ ดคือร้านปิ ด ตรงไปร้านอ่ืนได้เลยต้นทางของ วฒั นธรรมไฟหมุนหนา้ ร้านตดั ผมจึงเป็ นเมืองร็วง แควน้ นอร์มงั ดี ประเทศฝรั่งเศส ซ่ึงปัจจุบนั เป็ นสถานท่ี ท่องเที่ยวที่สาคัญแห่งหน่ึงของฝร่ังเศส โดดเด่นด้วยมหาวิหารนอเตรอดาม สร้างเสริมต่อเติมด้วย สถาปัตยกรรมหลายยุคหลายสมยั จากศตวรรษท่ี 12 ถึงศตวรรษท่ี 19 และเป็ นเมืองที่ฝังศพวีรบุรุษชาว ฝร่ังเศสในยุคกลาง เฉพาะอยา่ งยิ่งเป็ นท่ีฝังพระหทยั ของพระเจา้ ริชาร์ดใจสิงห์ (Richard the Lion Heart) กษตั ริยอ์ งั กฤษผปู้ ระทบั อยใู่ นฝร่ังเศสมากกวา่ องั กฤษ เร่ืองน่ารู้กบั ครูนกฮูก กศน.เขตหนองแขม เรื่องท่ี 29 เพิง่ ไปอบรมลูกเสือมาทราบไหมครับวา่ คุณวฒุ ิทาง ลูกเสือมีอะไรบา้ ง 1. ข้นั ความรู้ทว่ั ไป ( General Information Course) จบแลว้ ไดว้ ฒุ ิบตั ร 2. ข้นั ความรู้เบ้ืองตน้ ( B.T.C. Basic Unit Leader Training Course) จบแลว้ ไดว้ ฒุ ิบตั ร และ Gillwell Woggle (ห่วงรัดผา้ ผกู คอแบบตระกร้อ) 3. ข้นั ความรูช้นั สูง (A.T.C Advance Unit Leader Training Course) แบ่งตามประเภทลูกเสือ จบแลว้ ไดว้ ฒุ ิบตั ร 4. จากขอ้ 3 หลงั จาก 4 เดือน ไม่เกิน 2 ปี ขอตรวจประเมิน ถา้ ผา่ นจะไดร้ ับเครื่องหมายวดู แบดจ์ 2 ท่อน (สวมเหมือนสร้อยคอ มีสายเป็นหนงั กลมสีดา และไมส้ ลกั คลา้ ยกระดูก 2 ท่อน และเปลี่ยนผา้ ผกู คอเป็นสี

กะปิ /น้าตาล) เรียกตามประเภทลูกเสือ - สารอง C.W.B. - สามญั S.W.B. - สามญั รุ่นใหญ่ S.S.W.B. - วสิ ามญั R.W.B. 5. ข้นั ผชู้ ่วยผใู้ หก้ ารฝึกอบรมวชิ าผกู้ ากบั ลูกเสือ ( A.L.T.C. Assistance Leader Trainers Course ) จบแลว้ ไดว้ ฒุ ิบตั ร กลบั ไปทางานขอรับเคร่ืองหมายวดู แบดจ์ 3 ท่อน เปลี่ยนวฒุ ิเป็น A.L.T 6. ข้นั หวั หนา้ ผใู้ หก้ ารฝึกอบรมวชิ าผกู้ ากบั ลูกเสือ ( L.T.C. Leader Trainers Course) จบแลว้ ไดว้ ฒุ ิบตั ร กลบั ไปทางานขอรีบเครื่องหมายวดู แบดจ์ 4 ท่อน เปลี่ยนวฒุ ิเป็น L.T. นอกจากน้นั ก็เป็นวชิ าพิเศษอื่นๆ เช่น ระเบียบแถว บุกเบิก แผนที่-เขม็ ทิศ การจดั การคา่ ย การบนั เทิง ซ่ึงจะมี เขม็ แสดงวทิ ยฐานะตามประเภท นอกเหนือจากน้ีกจ็ ะเป็ นการอบรมในต่างประเทศเช่นหลกั สูตรของ กลุ่ม เอเชีย-แปซิฟิ คเม่ือมีวุฒิแลว้ จะแต่งต้งั ใหม้ ีตาแหน่งใดกว็ า่ กนั ตามสายงานและหนา้ ท่ีรับผดิ ชอบ เรื่องน่ารู้กบั ครูนกฮูก กศน.เขตหนองแขม เรื่องท่ี 30 วนั น้ีขอนาเสนอ ประวตั ิเคร่ืองหมายวดู แบดจ์ (woodbadge) ซ่ึงเป็นสญั ลกั ษณ์การผา่ นการฝึกอบรมลูกเสือ โดย เคร่ืองหมายน้ีมีประวตั ิความเป็นมาดงั น้ี โดยในปี ค.ศ.1888 ขณะ ท่านเบเดน โพเวลลอ์ ายไุ ด้ 31ปี (ยศร้อยเอก)ไดร้ ับคาส่ังใหไ้ ป ปราบกบฎพวกซูลู ในแอฟริกาซ่ึงมี “ ดินิซูลู ” เป็นหวั หนา้ แต่จบั ไมไ่ ด้ เพราะ “ ดินิซูลู” หนีไปเสียก่อน จากการคน้ กองบญั ชาการ ของ ดินิซูลู ไดพ้ บสร้อยคอของ ดินิสซูลู แกะดว้ ยท่อนไมเ้ ล็กๆ ประมาณ 1,000 กวา่ ท่อน (บางตาราวา่ ทามา จากกระดูกสตั ว์ 100 กวา่ ชิ้น) เป็นเครื่องรางคลอ้ งคอ B.P. นามาเป็นบีดส์ (Beads ) ใช้ เป็นเคร่ืองหมาย วดู แบดจ์ มอบใหแ้ ก่ผบู้ งั คบั บญั ชาลูกเสือที่ผา่ นหลกั สูตรลูกเสือของกิลเวลลป์ าร์ครุ่นแรกๆ คนละ1ทอ่ น ต่อมาเม่ือมีการฝึกอบรมมากข้ึน เครื่องหมายน้ีหมดลง จึงมีการนาไมม้ าแกะสลกั เป็นรูปกระดูก ใชจ้ นถึงปัจจุบนั น้ี

เร่ืองน่ารู้กบั ครูนกฮูก กศน.เขตหนองแขม เรื่อง ที่ 31 ทาไม ยางพารา จึงชื่อ พารา และทาไมจึง เรียกวา่ Rubber นที่จริงแลว้ ตน้ ไมท้ ี่มีน้ายางใน ลาตน้ มีอยู่หลายชนิด เช่น ตน้ มะม่วง ตน้ ขนุน ตน้ ตะเคียน ก็ลว้ นแต่มีน้ายางท้งั น้นั (คนละอนั กบั ยางอายนะครับ) แต่ต้นไม้ชนิดนึง ที่มีถ่ิน กาเนิด บริ เวณลุ่มแม่น้ าอเมซอน ประเทศ บราซิลและเปรูในทวีปอเมริกาใตม้ ีน้ายางท่ีพิเศษคือ มีความเหนียวคงทน ชาวพ้ืนเมืองเอาน้ายางมาเทราด เทา้ แลว้ กลายเป็นรองเทา้ ใส่กนั พวกเคา้ เรียกตน้ ไมน้ ้ีวา่ “เกาชู” (cao tchu) แปลวา่ ตน้ ไมร้ ้องไห้ ต่อมา พ.ศ. 2313 (1770) ฝร่ังชื่อ โจเซฟ พรีสต์ลีย์ ไปเจอเขา้ และเห็นว่ายางที่แห้งแล้วสามารถ เอามาถู (Rub) กับ กระดาษแลว้ ทาให้ลายดินสอหายไป แต่กระดาษไม่ขาด ต่อมาเมื่อเกิดการเห็นประโยชน์กนั เยอะทว่ั โลก ก็ เลยมีการส่งออกยาง โดยเมืองท่ีส่งออกเป็ นเมืองท่าของบราซิล ชื่อ Para จากน้นั มาคนท้งั โลกก็เลยเรียก ตามๆกนั วา่ Para Rubber หรือ ยางพารา มาจนถึงวนั เรื่องน่ารู้กับครูนกฮูก กศน.เขตหนองแขม เรื่องท่ี 32 เพ่ิงไปอบรมโคช้ มา แล็วก็มาดูบอลก็เลยสงสัยว่า ตาแหน่งผจู้ ดั การทีม กบั Head Coach แตกต่าง กนั อย่างไร ผมอธิบายง่ายๆ คือ มนั จะมีสอง รูปแบบครับ เอาอย่างไทยที่ท่านเจา้ ของกระทู้ สงสัยก่อน ถา้ แบบไทยเน่ีย เป็ น เฮดโคช้ กบั ผจู้ ดั การทีมจะมีหน้าที่แตกต่างกนั อย่างไทย - เฮดโคช้ คือหวั หนา้ ผูฝ้ ึ กสอน จดั การแผนการ เล่น เป็ นคนส่ังการทุกอย่างเก่ียวกบั เรื่องใน สนาม ควบคุมนกั เตะและแผนการแข่งขนั ต่างๆ -ผจู้ ดั การทีม คือ ผจู้ ดั การทีมเรื่องต่างๆ เช่น หอ้ งพกั นกั เตะ การจองคิวโรงแรม รถเดินทาง พดู ง่ายๆคือ เป็นคนบริหารจดั การทีม เรื่องต่างๆให้ ที่ไม่ใช่เรื่องฟุตบอล เช่น หาสปอนเซอร์ หาเงินสนบั สนุนใหท้ ีม จดั การเร่ืองเงินอดั ฉีด จดั การเรื่องอานวยความสะดวก เป็ นตน้ แบบ องั กฤษ -ผจู้ ดั การทีมครับ หมายถึงผมู้ ีอานาจสูงสุดในสนามและเร่ืองนอกสนามบางเร่ืองดว้ ยครับ คุมทุก อยา่ ง ส่ังการไดเ้ กือบทุกอยา่ ง อย่างท่ีเฟอร์กูสัน หรือเวนเกอร์ทาน้นั ละครับ(แต่จะมีผชู้ ่วยอีกนะครับ เป็ น Assintant manager และโคช้ ทีมชุดใหญ่Head First team Coachจะเรียกวา่ เฮดโคช้ ก็ไดค้ รับ) ส่วนเฮดโคช้ ในแบบขององั กฤษก็คือ หวั หนา้ ทีมท่ีคอยคุมฝึ กนกั เตะครับ แต่ไม่ไดม้ ีอานาจในการสั่งการเต็มที่ เป็ นคนที่ รับคาส่ังจากผจู้ ดั การทีมอีกทีวา่ ใหซ้ อ้ มยงั ไง จะซอ้ มยงั ไง ฝึกยงั ไง พดู ง่ายๆคือเป็ นหวั หนา้ ผฝู้ ึ กสอนเท่าน้นั ไม่เกี่ยวกบั การวางแผน หรือถา้ เก่ียวก็เป็ นแค่คนแนะนาผจู้ ดั การทีมอีกทีเท่าน้นั แต่ผจู้ ดั การทีมจะเป็ นคน ตดั สินใจทุกอยา่ ง พดู ง่ายๆคือเป็นบอสของเฮดโคช้ อีกทีครับ

เรื่องน่ารู้กับครูนกฮูก กศน.เขตหนองแขม เรื่องท่ี 33 ช่วงน้ีเขา้ วดั บ่อย แล้วทราบกนั ไหมครับว่า โบสถ์ วหิ าร ศาลา ตา่ งกนั อยา่ งไร คาวา่ โบสถ์ หรือพระอุโบสถ เป็ นอาคารที่สาคัญภายในวดั เน่ืองจากเป็ นสถานที่ที่ พระภิกษุสงฆใ์ ชท้ า สังฆกรรมซ่ึงแต่เดิมในการทาสังฆ กรรมของ พระภิกษุสงฆ์จะ ใช้เพียงพ้ืนที่โล่ง ๆ ท่ี ก า ห น ด ข อ บ เ ข ต พ้ื น ที่ สั ง ฆ ก ร ร ม โ ด ย ก า ร ก า ห น ด ตาแหน่ง“สีมา” เท่าน้นั วิหาร คืออาคารที่ประดิษฐาน พระพุทธรูป คู่กบั อุโบสถ แต่ไม่มีวิสุงคามเหมือนพระ อุโบสถ คาว่า วิหาร แต่เดิมใช้ในความหมายวา่ วดั เช่นเดียวกบั คาว่า อาราม อาวาส เช่น เวฬุวนั วิหาร เช ตวนั มหาวิหาร วิหารมีหลายแบบ เช่น วิหารคด คือวิหารที่มีลกั ษณะคดอยู่ตรงมุมกาแพงแกว้ ของอุโบสถ อาจมีหลงั เดียวก็ได้ โดยมากจะมี 4 มุม และประดิษฐานพระพุทธรูปไวภ้ ายใน วิหารทิศ คือวหิ ารที่สร้างออก ท้งั 4 ดา้ นของพระสถูปเจดีย์ อาจอยูต่ รงมุมหรือดา้ นขา้ ง วิหารยอด คือวิหารที่มียอดเป็ นรูปทรงต่างๆ เช่น วิหารยอดเจดีย์ อาจอยู่ตรงมุมหรือดา้ นขา้ ง วิหารหลวง คือวิหารที่ดา้ นทา้ ยเชื่อมต่อกบั พระสถูปเจดียห์ รือ พระปรางค์ คาวา่ \"วหิ าร\" ยงั กาหนดใชเ้ ป็ นคาลงทา้ ยสร้อยนามพระอารามหลวงต่างๆ เพ่ือแสดงให้รู้วา่ วดั ท่ี มีสร้อยนามอยา่ งน้ีเป็นพระอารามหลวงสาคญั ส่วนศาลา หรือศาลาการเปรียญ น้นั คืออาคารอเนกประสงค์ ใชใ้ นการ ประกอบกิจกรรมต่าง ๆ ทางพุทธศาสนา แต่เดิมน้นั ใช้เป็ นสถานที่เพ่ือการเรียนของสงฆเ์ ท่าน้นั (“เปรียญ” มาจากภาษาบาลีวา่ “บาเรียน” หมายถึง “พระที่ไดเ้ รียน” หรือ “พระนกั เรียน) เร่ืองน่ารู้กบั ครูนกฮูก กศน.เขตหนองแขม เร่ืองที่ 34 กาลงั เป็ นท่ีนิยมอยา่ งแพร่หลายในปัจจุบนั สาหรับแกว้ น้าเก็บความเยน็ สูญญากาศอยา่ งแกว้ \"เยติ\" (YETI) ท่ีสามารถเก็บความเยน็ ไดข้ า้ มวนั ขา้ มคืนอยา่ งหนา้ ท่ึง และวางทิ้งไวท้ ี่ไหนก็จะไม่มีไอน้าระเหยออกมาเกาะนอกแก้ว แมแ้ ตห่ ยดเดียว หลายคนตอ้ งสงสยั แน่ๆ วา่ ไอเ้ จา้ แกว้ เก็บความเยน็ ท่ีกาลงั ฮิตกนั น้นั เก็บความเยน็ ไดอ้ ยา่ งไรขา้ มวนั ขา้ มคืน ใชเ้ ทคนิค หรือสารเคมีใดทาให้เก็บความเยน็ ได้ยาวนาน สาหรับแก้วเก็บ ความเยน็ ชื่อดงั ทาจากสเตนเลสสตีล 2 ช้นั ในระหวา่ งช้นั ขา้ งในมี ช่องวา่ งเล็กๆ เป็ นสุญญากาศ ทาใหส้ ามารถรักษาความเยน็ ขา้ งใน ไวไ้ ด้อย่างยาวนาน เนื่องจาก ความร้อนดา้ นนอกไม่สามารถ แผ่ ความร้อนผา่ นสุญญากาศมาได้ ทาให้ แกว้ เก็บความเยน็ ไวไ้ ดน้ าน

เรื่องน่ารู้กบั ครูนกฮูก กศน.เขตหนองแขม เร่ืองที่ 35 กา้ วเขา้ สู่เดือนแห่งความรัก วนั น้ีเลยอยากมาเล่าถึงท่ีมา ของ สัญลกั ษณ์มือท่ีแทนคาบอกรัก ที่การ ทามือแบบน้ีเป็ นสัญลกั ษณ์ของการบอกรัก กเ็ พราะวา่ ในภาษามือ การชูนิ้วกอ้ ย นิ้วเดียว คือตวั I การชูนิ้วช้ีกบั นิ้วโป้ ง คือตวั L ส่วน การชูนิ้วโป้ งกบั นิ้วกอ้ ยคือตวั U เม่ือรวมกนั ท้งั หมด มนั คือการแทน ตวั อกั ษรตน้ คา ของ คาวา่ I Love You นน่ั เอง นอกจากจะใช้ในการบอกรักแลว้ การชูนิ้วในลกั ษณะน้ี หรือ สัญลกั ษณ์น้ีเป็ น วธิ ีการแสดงอารมณ์ที่เป็นบวก ไล่ต้งั แต่ ความมนั่ ใจไปจนถึงความรักเลย เร่ืองน่ารู้กับครูนกฮูก กศน.เขตหนองแขม เรื่องที่ 36 วนั น้ี ไดท้ าน ไส้ตนั ทราบไหมครับว่าไส้ตนั คืออวยั วะส่วนใด ของหมู อวยั วะน้ีมีแต่ในหมูตวั เมียเท่าน้นั ไส้ตนั คือมดลูก ของหมูตวั เมียครับ ส่วนสาเหตุท่ีเรียกไส้ตนั เพราะมนั มี ลกั ษณะเหมือนไส้นนั่ เอง ส่วนวา่ ทาไมถึงแพง กเ็ พราะมีใน หมตู วั เมียเทา่ น้นั นน่ั เอง เลยเป็นของหายากราคาเลยแพง เรื่องน่ารู้กบั ครูนกฮูก กศน.เขตหนองแขม เรื่องที่ 37 ทาไมถึงเรียกขอบหนา้ ต่างวา่ วงกบ มนั เป็ นวงตรงไหน แลว้ เกี่ยวอะไรกบั กบ โดยในอดีตช่วงก่อนราชการที่5 จะ เรียกวา่ กรอบช่องประตู กรอบช่องหนา้ ต่าง เพราะเป็ นส่วน หน่ึงที่ทาพร้อมผนงั ไมไ่ ดแ้ ยกเหมือนในปัจจุบนั ภายหลงั ได้ ทาแยกออกจากผนังต่างหาก เรียกเป็ นวงกรอบประกับ (ประตู-หนา้ ต่าง) ผา่ นมาปัจจุบนั เหลือเรียกแค่ วงกบ เป็ นคา สามญั ส่วนประโยชน์ของวงกบ ว่ามีไวท้ าไม โดยทวั่ ไปที่ พวกเราจะทราบกค็ ือมีไวต้ ิดประตู แต่ประโยชน์ของวงกบนอกเหนือจากน้นั คือป้ องกนั สัตวเ์ ล้ือยคลานและ น้าฝนจากภายนอกอาคารไม่ใหเ้ ขา้ มาภายในอาคารได้

เร่ืองน่ารู้กับครูนกฮูก กศน.เขตหนองแขม เรื่องที่ 38 ช่วงน้ีดูข่าวเสือดาถูกล่า ทราบไหม ครับว่า เสื อดากับเสื อดาวเป็ นเสื อพันธ์ เดียวกนั โดยการเกิดเป็ นเสือดา เกิดจากความ ผิดปกติในเม็ดสีที่เรียกวา่ เมลานิซึม ส่งผลให้ เสือท่ีเกิดมาน้นั เป็ นสีดาตลอดท้งั ลาตวั โดยท่ี ยงั มีลายหรือลายจุดคงอยู่ แต่จะสังเกตเห็นได้ ยาก จะเห็นไดช้ ดั เจนเม่ืออยใู่ นแสงแดด โดย การผสมพนั ธ์ของเสือดาว มีโอกาสที่จะตกลูกเป็ นเสือดาเพียงหน่ึงในสาม จึงทาให้เสือดาเป็ นสัตว์หา ยาก เสือดาในเสือดาว มกั พบไดม้ ากในป่ าดิบช้ืนในทวีปเอเชีย เช่น อินเดีย, เนปาล, เอเชียตะวนั ออกเฉียงใต้ โดยเฉพาะในเบงกอลหรือชวา ใตท้ อ้ งของเสือดามีสีจางเล็กนอ้ ย ผิวสีดาของเสือดาไม่ไดม้ ีสีดาสนิท และ ยงั คงมีลายแบบเสือดาวอยดู่ ว้ ยซ่ึงจะเห็นชดั เวลาตอ้ งแสงแดด เรื่องน่ารู้กบั ครูนกฮูก กศน.เขตหนองแขม เรื่องที่ 39 ช่วงน้ีข่าวดงั สุดคือการล่าสัตวส์ งวนในเขตรักษาพนั ธ์ สัตวป์ ่ าทุ่งใหญ่นเรศวร แลว้ สงสัยกนั ไหมครับวา่ อุทยานแห่งชาติกบั เขตรักษาพนั ธ์สัตวป์ ่ าต่างกนั อยา่ งไร อุทยานแห่งชาติ (National park) หมายถึงพ้ืนท่ีของรัฐซ่ึงเป็ นพ้ืนท่ีๆมีลกั ษณะเด่นเฉพาะตวั เป็ นพ้ืนท่ี ธรรมชาติด้ังเดิม ไม่เคยถูกรบกวนจาก มนุษย์ อยู่ห่างไกลชุมชน ประกอบไป ดว้ ยป่ าไม้ ภูเขาสลบั ซบั ซอ้ น มีความงาม วิจิตรพิสดารตามธรรมชาติ มีเน้ือท่ีกวา้ ง ใหญ่นับร้ อย ตารางกิ โล เมตร เพ่ือ ประโยชน์ในการรักษาสภาพความสมดุล ตามธรรมชาติ ใช้เป็ นท่ีศึกษาหาความรู้ ทางธรรมชาติวิทยา และเป็ นที่พกั ผ่อน หย่อนใจของประชาชนเป็ นส่วนรวม อุทยานแห่งชาติที่ไดม้ าตรฐานจะตอ้ งมีพ้ืนท่ีไม่ต่ากว่า 10 ตาราง กิโลเมตร ตวั อยา่ งอุทยานแห่งชาติในประเทศไทยไดแ้ ก่ เขาใหญ่ ดอยอินทนนท์ ภูกระดึง ฯลฯ มีจานวน ท้งั สิ้น 140 แห่งทว่ั ประเทศ แบ่งเป็ นอุทยานแห่งชาติทางบก 116 แห่ง และทางทะเลอีก 24 แห่ง เขตรักษาพนั ธุ์สัตวป์ ่ า (wildlife sanctaury) หมายถึงพ้ืนที่ๆกาหนดโดยพระราชกฤษฎีกาและประกาศในราช กิจจานุเบกษาใหเ้ ป็นพ้นื ที่คุม้ ครองตามตามพระราชบญั ญตั ิสงวนและคุม้ ครองสัตวป์ ่ าแห่งชาติ เพ่ือใหเ้ ป็ นที่ อยอู่ าศยั ของสัตวป์ ่ าโดยปลอดภยั เป็ นการรักษาไวซ้ ่ึงพนั ธุ์สัตวป์ ่ าและขยายจานวนสัตวป์ ่ าใหม้ ีจานวนเพ่ิม

มากข้ึน จะเห็นว่าโดยวตั ถุประสงค์แล้วเขตรักษาพนั ธุ์สัตวป์ ่ าไม่ได้จดั ต้งั ข้ึนมาเพ่ือประโยชน์ทางการ ท่องเที่ยว แต่ก็จะเปิ ดโอกาสใหป้ ระชาชนทว่ั ไปเขา้ ไปศึกษาหาความรู้หรือชมธรรมชาติตามพ้ืนท่ีๆกาหนด ได้ แต่จะมีกฏระเบียบท่ีเขม้ งวดมาก ตวั อยา่ งเขตรักษาพนั ธ์สัตวป์ ่ าไดแ้ ก่ห้วยขาแขง้ ทุ่งใหญ่นเรศวร ภูเขียว ฯลฯ ปัจจุบนั มีจานวนท้งั สิ้น 55 แห่งทว่ั ประเทศ จากนิยามแบบน้ีการล่าสัตว์ ในเขตรักษาพนั ธ์สัตวป์ ่ า น้นั ร้ายแรงมากกวา่ ในเขตอุทยานแห่งชาติ (จริงๆแลว้ ล่าท่ีไหนก็ผดิ ) เรื่องน่ารู้กบั ครูนกฮูก กศน.เขตหนองแขมเร่ืองท่ี 40 วนั น้ียงั อยทู่ ี่ อุทยานแห่งชาติทุ่งใหญ่นเรศวร สาเหตุที่ ป่ าแห่งน้ีมีช่ือว่าทุ่งใหญ่นเรศวร เน่ืองจากบริเวณน้ีในอดีตสมเด็จพระนเรศวรมหาราช พระมหากษตั ริยผ์ ู้ ยงิ่ ใหญแ่ ห่งกรุงศรีอยธุ ยา ไดท้ รงใช้ สถานท่ีแห่งน้ี เป็ นฐานท่ีมนั่ เพ่ือเตรียมการรบกบั พม่าในสองคร้ัง คือ ปี 1590 และปี 1605 จึงเป็ นท่ีมาของช่ือที่เรียกกนั วา่ \"ทุ่งใหญ่นเรศวร\" ก็คือ ทุ่งหญา้ ใหญ่ขององคส์ มเด็จพระ นเรศวรมหาราช เรื่องน่ารู้กบั ครูนกฮูก กศน.เขตหนองแขม เร่ืองที่ 41 พรุ่งน้ีจะมีการดาเนินการสอบ N-net วา่ แต่ N-net คือ อะไร N-NET คือการทดสอบทางการศึกษาสาหรับ นกั ศึกษานอกโรงเรียน (Nonformal National educational Test) นกั ศึกษาทุกคนจะตอ้ งเขา้ สอบใน ภาคเรียนสุดทา้ ยก่อนจบหลกั สูตรในแต่ละระดบั การศึกษา เพ่อื ตรวจสอบคุณภาพการศึกษาของ สถานศึกษาวา่ สามารถจดั การเรียนการสอนไดม้ ี คุณภาพอยใู่ นระดบั ใด คลา้ ยๆ การสอบ O-NET ของ นกั เรียนในระบบโรงเรียน ซ่ึงไม่มีผลตอ่ การได-้ ตกของนกั ศึกษา (แต่จะนาผลสอบไปใชใ้ นการคดั เลือกเพื่อ ศึกษาต่อในระดบั อุดมศึกษาไม่ได้ หากนกั ศึกษาคนใดตอ้ งการเขา้ รับการคดั เลือกเพ่อื เขา้ ศึกษาตอ่ ในสถาบนั ฯต่างๆ นกั ศึกษาตอ้ งศึกษาขอ้ มูลหลกั เกณฑใ์ นการคดั เลือกและสมคั รสอบ O-NET, GAT และ PAT

เอง) หากนกั ศึกษาคนใดไม่เขา้ สอบ N-NET จะไม่จบการศึกษาตามเงื่อนไขของหลกั สูตร ถึงแมจ้ ะสอบผา่ น ทุกรายวชิ าตามโครงสร้างหลกั สูตร ไดร้ ับอนุมตั ิชวั่ โมง กพช. ครบ 200 ชวั่ โมง แลว้ ก็ตาม เร่ืองน่ารู้กับครูนกฮูก กศน.เขตหนองแขม เรื่องที่ 42 ช่วงน้ีติดซี่รียอ์ ินเดีย ทราบไหมครับวา่ ช่ืออินเดียน้ีมา จากไหน ชื่ออินเดียหรือ ประเทศอินเดีย มีชื่อ ทางการวา่ สาธารณรัฐอินเดีย ภาษาองั กฤษใช้ คาวา่ Republic of India อินเดีย เป็ นช่ือใหม่ เพ้ียนมาจาก สินธุ อนั เป็ นช่ือแม่น้าสายหลกั สายหน่ึงของประเทศ โดยคาว่าสินธุ มาจาก คาว่า ซินดฮ์ (Sindh) ซ่ึงเป็ นช่ือจงั หวดั และ ชื่ อ ท่ี เ รี ย ก ผู้ท่ี อา ศัย อ ยู่แ ถ บ แ ม่น้ า สิ น ธุ (Sindhu) ซ่ึงเป็นภาษาสนั สกฤตแปลวา่ “แม่น้า ลาธาร” แต่ภาษาเปอร์เซียเก่าเรียกแม่น้าน้ีวา่ “ฮินดู” (Hindu) คนกรีก เรียกคนที่อาศยั ตามฝ่ังแม่น้าวา่ คนอินดู ชาวโปรตุเกสเรียกวา่ อินดสั ส่วนคนองั กฤษเรียกวา่ อินเดีย ส่วนคนอินเดียเรียกตนเองวา่ เป็ นชาวภาระตะ ในขณะท่ีวรรณคดีฝ่ ายพุทธศาสนาเรียกคนที่น้ีวา่ ชาวชมพู ทวปี แปลวา่ ประเทศตน้ หวา้ ใหม่ เรื่องน่ารู้กับครูนกฮูก กศน.เขตหนองแขม เรื่องท่ี 43 ซี่รียอ์ ินเดียหรือ ซ๊่รียภ์ าระตะ ทราบกนั ไหมครับวา่ ภา รตะ มาจากไหน ภารตะ มาจากคาภาษาสันสกฤตวา่ ภารต (อ่านวา่ พา-ระ -ตะ) ประเทศอินเดียใชเ้ ป็ นชื่อ เรียกประเทศ. คาวา่ ภารต ปรากฏในแสตมป์ ธนบตั ร และเอกสารราชการต่างๆ ของอินเดีย ภารตะ แปลวา่ ลูกหลานของทา้ วภรตะ (อ่านว่า พะ –ระ -ตะ) หรือ แว่นแควน้ แห่งทา้ วภรตะ. ทา้ วภรตะเป็ นวีรบุรุษใน ตานานของอินเดีย ตามตานานกล่าววา่ เป็ น โอรสที่เกิดแต่ท้าวทุษยนั ต์ (อ่านว่า ทุด- สะ-ยนั ) กบั นางศกุนตลา (อ่านวา่ สะ -กุน- ตะ -ลา) ทา้ วภรตะเป็ นจกั รพรรดิผยู้ ่ิงใหญ่ คนอินเดียภาคภูมิใจมาก จึงอ้างว่าคน อินเดียท้งั หลายเป็ นลูกหลานของทา้ วภร ตะ. ในภาษาไทยใชค้ าว่า ภารตะ หมายถึง ชาวอินเดีย และเร่ืองท่ีเกี่ยวกบั ประเทศอินเดีย เช่น ดินแดนภารตะ ชาวภารตะ ภารตนิยาย (อ่านวา่ พา-ระ- ตะ-นิ-ยาย) หมายถึงนิยายอินเดีย ภารตวทิ ยา คือ วชิ าที่ศึกษาเก่ียวกบั วฒั นธรรม ประเพณี และความรู้อื่น ๆ เกี่ยวกบั ประเทศอินเดีย

เร่ืองน่ารู้กับครูนกฮูก กศน.เขตหนองแขม เรื่องท่ี 44 ช่วงน้ีรับงานบ่อย ทราบไหมครับว่า พิธีกร โฆษก ผู้ประกาศต่างกันอย่างไรพิธีกร คือ ผดู้ าเนินการ ทาหนา้ ท่ีหลกั (Master) ดูแลท้งั หมด ต้งั แต่เริ่มตน้ จนสิ้นสุด ของกิจกรรมน้นั ๆ วทิ ยากร คือ ผรู้ ับหนา้ ท่ีบรรยายตามคาเชิญ โฆษก คือ ผทู้ าหนา้ ท่ี พูดแทนองคก์ รหรือบุคคล เช่น โฆษกรัฐบาล ผดู้ าเนินรายการ คือ ผทู้ าหนา้ ที่ ช่วงใดช่วงหน่ึงเฉพาะของ รายการน้นั ๆ ผปู้ ระกาศ คือ ผทู้ า หนา้ ท่ี แจง้ ข่าว ประกาศ หรือประชาสมั พนั ธ์เร่ืองต่าง ๆ ใหท้ ราบ เร่ืองน่ารู้กบั ครูนกฮูก กศน.เขตหนองแขม เรื่องที่ 45 มีนอ้ งถามวา่ ตรุษจีน เช็งเมง้ สารทจีน ต่างกนั อยา่ งไร ตรุษจีน วนั ตรุษจีนถือเป็ นวนั ข้ึนปี ใหม่ตามประเพณีของชาวจีนในจีนแผ่นดินใหญ่และชาวจีนทว่ั โลก รวมถึงประเทศไทยดว้ ย ซ่ึงวนั ตรุษจีนน้ีนบั เป็ นวนั พิเศษและมีความสาคญั ย่ิงสาหรับคนจีน จะมีการเฉลิม ฉลองกนั ไปทวั่ โลก โดยเฉพาะชุมชนขนาดใหญข่ องคนจีนในประเทศต่างๆ ในวนั ตรุษจีนน้ีชาวจีนหรือชาว ไทยเช้ือสายจีนถือว่าเป็ นวนั ที่สมาชิกในครอบครัว ไม่ว่าจะไปประกอบธุรกิจการงานที่ไหน หากอยู่ใน จังหวัดหรื อใน ประเทศเดียวกนั บ ร ร ด า ส ม า ชิ ก ใ น ค ร อ บ ค รั ว ชาวจีนเหล่าน้ัน จะกลับบ้านมา พบปะกนั อยา่ งพร้อมเพรียงกนั คลา้ ยกบั วนั สงกรานตท์ ่ีถือเป็ นวนั ข้ึนปี ใหม่ของชาวไทย เช็งเมง้ วนั เช็งเมง้ เป็ นวนั ที่ลูกหลานชาวจีนหรือชาวไทยเช้ือสายจีนพากันไปเซ่นไหวบ้ รรพบุรุษท่ีสุสานฝังศพ (ฮวงจุ้ย) สาหรับในประเทศไทยวนั เช็งเมง้ ถือวนั ท่ี 5 เมษายนของทุกปี เป็ นหลกั สารทจีน วนั สารทจีน ถือเป็ นวนั สาคญั ที่ลูกหลานชาวจีนจะแสดงความกตญั ญูต่อบรรพบุรุษท่ีล่วงลบั ไปแลว้ และยงั ถือเป็ นเดือนท่ีประตู นรกเปิ ดใหว้ ญิ ญาณท้งั หลายมารับกุศลผลบุญได้ ซ่ึงตามปฏิทินจีนตรงกบั วนั ท่ี 15 เดือน 7 หายสงสัยกนั นะ ครับ

เร่ืองน่ารู้กบั ครูนกฮูก กศน.เขตหนองแขม เรื่องที่ 46 ในช่วงตรุษจีน เรามกั จะไหวข้ นมเข่ง ทราบไหมครับวา่ ขนมเข่งมีท่ีมาอย่างไร “ขนมเข่ง” ในภาษาจีนเรียกว่า “เหนียนเกา” แปลตรงตามอกั ษรว่า “ขนมเคก้ ปี ” ถือเป็ น ของว่างชนิดหน่ึงที่นิยมใชไ้ หวใ้ นเทศกาลต่างๆ ชื่อขนม ในภาษาจีนพอ้ งเสียงกบั คาวา่ “เหนียนเกา” (年高: Nian Gao) มาจากคาวา่ “เหนียนเหนียนเกา” (年年搞 :Nian Nian Gao) คาวา่ “ เหนียน” แปลวา่ “ปี ” ส่วนคา วา่ “เกา” แปลวา่ “สูงส่ง” เม่ือนาท้งั สองคามารวมกนั จึงมี ความหมายอนั เป็ นมงคลว่า “แต่ละปี ดีย่ิงข้ึน” ท้งั อายุ สุขภาพ เงินทอง มีบุตร ซ่ึงความหมายท่ีเป็ นมงคลน้ี จึงกลายเป็ นของเซ่นไหวย้ อดนิยมท่ีสืบทอดมาชา้ นาน “ขนมเข่ง” ทาจากแป้ งขา้ วเหนียวและน้าตาลแลว้ นาไปน่ึงใหส้ ุก ความพเิ ศษอยทู่ ี่เน้ือนุ่มรสหอมหวาน ถึงแม้ ดูจะแสนธรรมดา แต่ “ขนมเข่ง” กลบั มีประวตั ิความเป็ นมาอนั ยาวนานถึง 3,000 ปี ต้งั แต่สมยั ราชวงศโ์ จว ที่ นิยมนามาไหวเ้ ทพยดาและบรรพบุรุษในคืนก่อนปี ใหม่ตามประเพณีจีน แตภ่ ายหลงั กลายเป็นของไหวท้ วั่ ไป ในเทศกาลต่างๆ เชื่อกนั วา่ “ขนมเข่ง” มีกาเนิดมาจากมณฑลฝ่ เู จ้ียนหรือมณฑลฮกเก้ียน ต้งั อยทู่ างตะวนั ตก เฉียงใตข้ องจีน ในยคุ น้นั เกิดภยั แลง้ จนไม่สามารถทาการเพาะปลูกได้ ชาวบา้ นจานวนมากตอ้ งอพยพหนีภยั แล้งโดยอาศยั เรือสาเภาเพ่ือไปเสาะหาแหล่งทากินแห่งใหม่ ระหว่างที่เรือล่องไปในแม่น้าใหญ่อย่างไร้ จุดหมาย อาหารที่พอประทงั ชีวิตไดม้ ีเพียงน้าจืดและขนมแป้ งที่กวนกบั น้าตาลแลว้ นามาน่ึงเป็ นกอ้ น ทาให้ ทุกคนบนเรือมีชีวิตรอดมาได้ เมื่อชาวจีนกลุ่มน้ีต้งั ถิ่นฐานทามาหากินเป็ นหลกั แหล่งและมีชีวิตท่ีดีข้ึน เม่ือ ถึงวนั ไหวเ้ จา้ จึงนาขา้ วเหนียวท่ีเก็บเก่ียวในฤดูหนาวมีคุณภาพดีท่ีสุด มาคลุกเคลา้ กบั น้าตาล น้าผ้ึง และ เปลือกส้ม ทาเป็ น “ขนมเข่ง” ให้เป็ นรูปร่างกลมเหมือนพระจนั ทร์เต็มดวงมาเซ่นไหวเ้ ทพเจา้ เพ่ือราลึกถึง ความยากลาบากในอดีต อีกท้งั “ขนมเขง่ ” ท่ีทามาจากแป้ งใหค้ วามนุ่มลื่นและหอมหวาน จึงมีความหมายสื่อ ถึงความหวานช่ืน ราบร่ืน และอุดมสมบรู ณ์ เรื่องน่ารู้กับครูนกฮูก กศน.เขตหนองแขม เร่ืองที่ 47 ในช่วงวนั ตรุษจีนที่ ผา่ นมาจะมีการ จุดประทดั ก็เลยสงสัยวา่ ทาไมถึงตอ้ งจุดประทดั ใน สมยั โบราณท่ีประเทศจีนมีตวั ประหลาดเรียกวา่ \"ซาน เซียว\" รูปร่างคลา้ ยคน แคระแต่ว่ิง เร็วมาก ทุกปี เวลาใกลป้ ี ใหม่ตวั ซานเซียวจะมาโขมยของกิน ในหมู่บา้ น ชาวบา้ นจะวง่ิ ขบั ไล่แต่ไม่ทนั หรือถา้ ทนั จบั ตวั ซานเซียวได้ ผู้ ท่ีจบั ตอ้ งตวั วานเซียวก็จะเจ็บป่ วยทาให้คนไม่กลา้ สู้กบั ตวั ซาน เซียว วนั หน่ึงชาวบา้ นออกไปตดั ไม้ไผ่ และหุงขา้ วโดยเอาปล้องไม้ไผ่เป็ นฟื น ระหวา่ งท่ีกาลงั หุง ขา้ วอยนู่ ้นั ตวั ซานเซียวกลุ่มหน่ึงกม็ าพบและตรงเขา้ มา จะหยิบขา้ วของกิน ชาวบา้ นต่างตกตะลึง ดว้ ยความกลวั ทนั ใดน้นั ปลอ้ ง

ไมไ้ ผท่ ี่โดนไฟกป็ ระทุระเบิดเสียงดงั ตวั ซานเซียวท้งั กลุ่มสะดุง้ ตกใจพากนั หยดุ นิ่งไม่กลา้ เขา้ มา ชาวบา้ นจึง โยนปลอ้ งไมไ้ ผเ่ ขา้ ที่กองไฟอีก เกิดเสียงปลอ้ ง ไมไ้ ผแ่ ตกดงั เป็นระยะๆ พวกซานเซียวก็พากนั ว่ิงหนีไปดว้ ย ความหวาดกลวั ต้งั แต่น้นั มาเม่ือถึงเทศกาลปี ใหม่ที่พวกตวั ซานเซียวจะลงมาขโมยของกิน ชาวบา้ นก็จดั หา ปลอ้ งไมไ้ ผไ่ วเ้ ป็ นจานวนมากและเอาใส่กองไฟเพ่ือให้เกิดเสียงประทุดงั ขบั ไล่พวกซานเซียว ต่อมาก็ไดม้ ี การนาดินประสิวบรรจุในปลอ้ งไมไ้ ผเ่ ล็กๆ แลว้ นาไปเผาไฟเพ่ือให้ระเบิดแลว้ เป็ น ควนั เพ่ือขบั ไล่ตวั ซาน เซียวและภตู ผรี ้ายตลอดจนสรรพโรคภยั ตา่ งๆ และมกั จุดในช่วงเทศกาลปี ใหม่ เรื่องน่ารู้กบั ครูนกฮูก กศน.เขตหนองแขม เร่ืองที่ 48 วนั น้ีปวดขาก็เลยจะประคบร้อน ทราบกนั ไหมครับวา่ อาการไหนควรประคบร้อน อาการไหนควร ประคบเยน็ การประคบร้อนหรือเยน็ เป็ นวธิ ีหน่ึง ในการปฐมพยาบาลเบ้ืองต้น เพื่อบรรเทาอาการ ปวดหรื ออักเสบ ท้ังอาการปวดท่ีเกิดจากการ เจ็บป่ วย มีไข้ หรือการไดร้ ับบาดเจ็บระหว่างเล่น กีฬา วิ่งเล่น ซ่ึงอาจมีได้ต้งั แต่ การหกล้ม ศีรษะ กระแทกจากการปะทะ การบาดเจบ็ ฟกช้าของส่วนต่างๆของร่างกาย การจะเลือกใชค้ วามร้อนหรือเยน็ น้นั มี ขอ้ ที่ตอ้ งพิจารณาเบ้ืองตน้ คือ ถา้ เกิดการบาดเจ็บเฉียบพลนั ร่วมกบั มีการบวม ควรเลือกใชค้ วามเยน็ เพราะ ความเยน็ จะทาให้เส้นเลือดหดตวั ทาให้เลือดออกนอ้ ยลงและช่วยลดบวมได้ แต่ถา้ เป็ นการปวดแบบเป็ นๆ หายๆ มีอาการมานานหรือเร้ือรัง หรือปวดร่วมกบั มีอาการตึงกลา้ มเน้ือ ควรใชค้ วามร้อน เพราะความร้อนจะ ทาใหห้ ลอดเลือดขยายตวั การไหลเวยี นเลือดดีข้ึนจึงลดอาการปวดและตึงกลา้ มเน้ือได้ เขา้ ใจง่ายข้ึน ถา้ บวม แดง เลือดออก ใหป้ ระคบเยน็ ถา้ เขียวช้า หอ้ เลือด ใหป้ ระคบร้อน เร่ืองน่ารู้กับครูนกฮูก กศน.เขตหนองแขม เร่ืองที่ 49 เมื่อคืนไดด้ ูฟุตบอลคู่ เดปอร์ติโว ลาคอรุนญ่า พบกบั เดปอร์ติโว อลาเบส ก็เลยสงสัยวา่ เดปอร์ติ โวแปลว่าอะไร เลยไปหาคาตอบมาให้ครับ คาว่า Deportivo ในภาษาสเปน ก็คือการท่าเรือ Deportivo La Corugna ก็คือ ทีมการท่าเรือเมืองคอรุณญ่า นั่นเอง ถ้าเป็ นช่ือไทย ก็คงเป็ น เดปอร์ติโว ลา คลองเตย นนั่ เอง

เรื่องน่ารู้กบั ครูนกฮูก กศน.เขตหนองแขม เร่ืองที่ 50 วนั น้ีไดม้ ีโอกาสกินบะ๊ จ่าง เลยอยากเล่าถึงที่มาของ บ๊ะ จ่าง ในสมยั เลียดก๊ก ชีหยวน เป็ นผูท้ ่ีมีความรอบรู้ และความสามารถรอบด้าน เป็ นนักปราชญ์ราชกวีคน หน่ึง รู้จกั หลกั การบริหารปกครองเป็ นอยา่ งดี ชีหยวนเป็ นเช้ือสายของกษตั ริย์ ผคู้ รองแควน้ ฉู่ ชีหยวนไดร้ ับ ราชการเป็นขนุ นาง ในสมยั พระเจา้ ฉู่หวายอ๋อง เป็ นที่ปรึกษา และดูแลเหล่าเช้ือพระวงศ์ ชีหยวนเป็ นขนุ นาง ท่ีซื่อสัตย์ และเป่ี ยมดว้ ยความรู้ความสามารถอนั สูงยง่ิ เป็นที่โปรดปราน ของพระเจา้ ฉู่หวายอ๋อง เป็ นอนั มาก เหล่าขุนนางกงั ฉินท้งั หลาย ต่างก็ไม่พอใจ ที่ชีหยวนน้นั เป็ นคนที่ซื่อตรง ขดั ขวางการโกงกินบา้ นโกงกิน เมือง ของขนุ นางกงั ฉิน จึงรวมหวั กนั พยายามใส่ไคล้ จนพระเจา้ ฉู่หวายอ๋องเองกช็ กั เริ่มมีใจเอนเอียง ชีหยวน รู้สึกทุกข์ระทมตรมใจมาก จึงได้แต่งกลอนข้ึน เพ่ือคลายความทุกข์ใจ กลอนบทน้ันมีช่ือว่า \"หลีเซา\" หมายถึงความเศร้าโศก จนต่อมาพระเจา้ ฉู่หวายอ๋อง ถูกกลลวงของแควน้ ฉิน และสวรรคตในแควน้ ฉิน รัช ทายาทของฉู่หวายอ๋อง จึงไดข้ ้ึนครองราชบลั ลงั ก์แทน หลงั จากที่กษตั ริยอ์ งคใ์ หม่ ข้ึนครองราชย์ ไดท้ รง หลงเช่ือคายยุ งของ เหล่าขนุ นางกงั ฉิน จึงไดม้ ีพระบรมราชโองการ ใหเ้ นรเทศชีหยวนออกจากแควน้ ฉู่ไป ชี หยวนเศร้าโศกเสียใจมาก หลงั จากเดินทางรอนแรม มาถึงแม่น้าเปาะล่อกงั บางตาราวา่ เป็ นแม่น้าแยงซีเกียง ชีหยวนจึงไดต้ ดั สินใจ กระโดดน้าตายในวนั ข้ึน 5 ค่า เดือน 5 น้นั เอง พวกชาวบา้ น ท่ีรู้เรื่องการตายของชี หยวน จึงไดอ้ อกเรือ เพอื่ ตามหาศพของชีหยวน ในขณะที่คน้ หาศพ พวกเขากเ็ ตรียมขา้ วปลาอาหาร ไปโปรย ลงแม่น้าดว้ ย นยั วา่ เพ่ือล่อให้สัตวน์ ้า มากิน จะไดไ้ มไ่ กดั กินซากศพ ของชี หยวน หลังจากน้ันทุกปี เม่ือถึงวนั ครบรอบวนั ตายของชีหยวน ชาวบา้ น จะนาเอาอาหาร ไปโปรยลงแม่น้า เปาะล่อกงั หลงั จากท่ีทามาได้ 2 ปี ก็ มีชาวบา้ นผหู้ น่ึง ฝันเห็นชีหยวนท่ีมา ในชุดอนั สวยงาม กล่าวขอบคุณเหล่า ชาวบา้ น ท่ีนาเอาอาหารไปโปรยให้ เพือ่ เซ่นไหว้ บอกวา่ อาหารท่ีเหล่าชาวบา้ นนาไปโปรย เพื่อเป็ นเคร่ืองเซ่น ถูกเหล่าสัตวน์ ้ากินจนหมดเกล้ียง เน่ืองจากบริเวณน้นั มีสตั วน์ ้าอาศยั อยมู่ ากมาย ชีหยวนจึงแนะนาใหน้ าอาหารเหล่าน้นั ห่อดว้ ยใบไผ่ หรือใบ จาก ก่อนนาไปโยนลงน้า เพื่อที่เหล่าสัตว์น้า จะได้นึกว่าเป็ นต้นไม้ อะไรสักอย่าง จะได้ไม่กินเข้าไป หลงั จากน้นั ในปี ต่อมา ชาวบา้ นต่างก็ทาตาม ที่ชีหยวนแนะนา คือนาอาหารห่อดว้ ยใบไผ่ ไปโยนลงน้าเพื่อ เซ่นให้แก่ชีหยวน หลงั จากวนั น้นั ชีหยวน ก็ไดม้ าเขา้ ฝันชาวบา้ นอีก วา่ คราวน้ีไดก้ ินมากหน่อย แต่ก็ยงั คง โดนสตั วน์ ้า แยง่ ไปกินได้ ชาวบา้ นตอ้ งการใหช้ ีหยวน ไดก้ ินอาหารที่พวกเขาเซ่นให้ อยา่ งอ่ิมหนาสาราญ จึง ไดถ้ ามชีหยวนวา่ ควรทาเช่นไรดี ชีหยวนจึงแนะนาอีกวา่ เวลาท่ีจะนา อาหารไปโยนลงแม่น้า ให้ตกแต่งเรือ เป็ นรูปมงั กรไป เม่ือสัตวน์ ้าท้งั หลายไดเ้ ห็นก็จะนึกวา่ เป็ นเครื่องเซ่นของพญามงั กร จะไดไ้ ม่กลา้ เขา้ มากิน ประเพณีการแขง่ เรือมงั กร และประเพณีการไหว้ ขนมจ้งั (บะ๊ จ่าง) จึงเกิดข้ึนดว้ ยประการฉะน้ี

เรื่องน่ารู้กบั ครูนกฮูก กศน.เขตหนองแขม เรื่องที่ 51 วนั น้ีอบรมประวตั ิศาสตร์กนั เลยเสนอเร่ืองไทย ๆ กบั เร่ืองของชุด ราชปะแตน (เดิมเรียกวา่ ราชแปตแตน มา จากคาบาลีผสมองั กฤษว่า Raj pattern แปลว่า แบบ หลวง) คือ เครื่องแต่งกายชายไทย ประกอบดว้ ยเส้ือสูท สีขาว คอต้งั สูง และมีกระดุมห้าเม็ด โจงกระเบน สวม ถุงเทา้ ยาวถึงเข่า และรองเทา้ หุ้มส้น ในเดือนธันวาคม พ.ศ. 2415 พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกลา้ เจา้ อย่หู ัว เสด็จประพาสอินเดีย ผตู้ ามเสดจ็ แต่งเคร่ืองแบบเส้ือฝร่ัง เวลาปกติก็เปิ ดอกผูกเน็กไท แต่นุ่งโจงกระเบนไม่นุ่ง กางเกงแบบฝร่ัง ท่ีเมืองกลั กตั ตามีช่างฝี มือดี โปรดเกลา้ ฯ ให้ตดั ฉลองพระองค์ใส่เล่นแบบปิ ดต้งั แต่คอ มีดุม กลัดตลอด เพ่ือไม่ต้องผูกเน็กไท เป็ นที่พอพระราช หฤทยั เจา้ พระยาภาสกรวงศ์ (พร บุนนาค) ซ่ึงขณะน้นั ยงั เป็ นนายราชานตั ยานุหาร ในฐานะราชเลขานุการ ได้ ขอพระราชทานพระบรมราชานุญาตคิดช่ือถวายวา่ ราชแพตเทิร์น (Raj pattern) แต่ตอ่ มาเพ้ียนมาเป็ น ราชปะ แตน ราชปะแตนเป็ นเสมือนเคร่ืองแบบของขา้ ราชการพลเรือนไป โดยส่วนมากสวมกบั ผา้ นุ่งโจงสีกรมท่า ผา้ นุ่งโจงน้นั เรียกกนั ส้นั ๆ วา่ ผา้ มว่ ง บา้ งก็ตดั ดว้ ยแพร ผา้ ลายบา้ ง ตอ่ มาไมส่ วมแต่เฉพาะกบั ผา้ ม่วง หากแต่ สวมกบั กางเกงแพรดว้ ยเส้ือราชปะแตนเป็ นท่ีนิยมอยนู่ าน จนยุคตน้ เปลี่ยนแปลงการปกครอง พ.ศ. 2475 มี ประกาศกฎหมายวฒั นธรรม ห้ามนุ่งผา้ ม่วง และกางเกงแพร เส้ือราชปะแตนจึงหายไปต้งั แต่น้นั ต่อมาใน สมยั ท่ีพลเอก เปรม ติณสูลานนท์ ดารงตาแหน่งนายกรัฐมนตรี ดว้ ยแนวคิดของการกาหนดรูปแบบเครื่อง แต่งกายไทยให้มีลกั ษณะเฉพาะแต่ยงั เป็ นสากล จึงไดท้ ูลเกลา้ ฯ ขอพระราชทานแบบจากพระบาทสมเด็จ พระเจา้ อย่หู ัว ซ่ึงก็ไดพ้ ระราชทานแบบเส้ือตามท่ีเคยทรงอยู่บ่อย ๆ โดยเป็ นเส้ือสูทคอต้งั ที่เรียกกนั วา่ คอ แมนดาริน (Mandarin Collar) หรือคอเหมา (Mao Collar) โดยมี 3 แบบคือ แบบแขนส้ันสาหรับงานกลางวนั แบบแขนยาวสาหรับงานกลางคืน และแบบแขนยาวมีผา้ คาดเอวสาหรับงานท่ีเป็ นทางการ หลงั จาก น้ัน คณะรัฐมนตรีจึงมีมติใหส้ วมเส้ือพระราชทานน้ี แทนชุดสากลนบั ต้งั แต่วนั ท่ี 26 กนั ยายน พ.ศ. 2523

เร่ืองน่ารู้กบั ครูนกฮูก กศน.เขตหนองแขม เร่ืองที่ 52 ทราบไหมครับวา่ ชื่อเตม็ ของ ประเทศไทย ช่ือวา่ อะไร ช่ือเตม็ ของประเทศไทย คือ ราชอาณาจกั รไทย ซ่ึงคาว่า ราชอาณาจกั ร หมายถึง ดินแดนที่มีพระมหกษตั ริยป์ กครอง ส่วนทาไม ตอ้ งใชค้ า วา่ ราชอาณาจกั ร คาวา่ อาณาจกั ร มีความหมายวา่ ดินแดนท่ีจกั รไปถึง โดยท่ีจกั ร เป็ นอาวุธของพระนารายณ์ ซ่ึงความเช่ือของคนไทย เช่ือวา่ พระมหากษตั ริย์ เป็ น อวตารของพระนารายณ์นนั่ เอง เร่ืองน่ารู้กับครูนกฮูก กศน.เขตหนองแขม เร่ืองท่ี 53 เคยดูการ์ตูนเรื่องดรากอนบอล กนั ไหม ครับ ถา้ เคยดู แลว้ เคยสงสัยกนั ไหมครับวา่ พลงั คลื่นเต่าที่พระเอกใชเ้ ป็ นพลงั ทางวิทยาศาสตร์ในรูปแบบใด วนั น้ีผมจะมา อธิบายใหฟ้ ังครับ ขอ้ สังเกตที่สาคญั ของพลงั คล่ืนเต่าสะทา้ นฟ้ าคือ มนั มีความเร็วในระดบั ท่ีตาพอจะมองทนั แสดงว่าโดยหลักๆมนั ไม่ใช่แสง มนั มีแรงปะทะแตกหัก ไม่ใช่การเผาระเหิดหายอย่างเดียว มนั ตอ้ งมี โมเมนตมั ดว้ ย พลงั คล่ืนเต่าสะทา้ นฟ้ าตอ้ งมีมวล และการเปล่งของแสงน้นั อาจเป็ นการคายอิเล็กตรอน ของพลาสม่า โดยกระบวนท่าของท่านผูเ้ ฒ่าเต่า น่าจะเป็ นการใช้พลงั คลื่นแม่เหล็กไฟฟ้ าในการเหนี่ยวนา บีบอดั และกกั พลาสม่าไวใ้ นพ้ืนที่จากดั ก่อนจะปล่อยออกไปทาลายตามหลกั การของปื นอนุภาค คาวา่ คลื่น ในพลงั คลื่นเต่า อาจหมายถึง การสร้างกรงดว้ ยคล่ืนแม่เหล็กไฟฟ้ าในขณะกกั พลาสม่า และอาจหมายถึง เทคนิคการใชค้ ลื่นในการรักษาสมดุลของพลาสม่าที่ ยิงออกไปให้รวมเป็ นก้อนไปจนถึงเป้ าหมายท่ี ห่างไกล หลักการตรงน้ีอาจคล้ายกบั การเกิด Ball lightning พลงั เต่าสะทา้ นฟ้ าน้ี น่าจะตอ้ งมีแกนกลาง เป็ นตวั รักษาสมดุลของพลาสม่า จากการพิจารณา ของนกั วิทยาศาสตร์หวา้ กอ สันนิฐานเคล็ดวชิ าพลงั คล่ืนเต่าสะทา้ นฟ้ าไวด้ งั น้ี กระบวนท่าข้นั แรก ท่าชกั มือไปดา้ นหลงั เป็ นการป้ันข้ีไคล ป้ันเป็ นแกนของพ ลาสม่า กระบวนท่าข้นั ที่สอง ท่าบิดมือถู สร้างความร้อนจากการเสียดสีใหก้ อ้ นข้ีไคลส่วนหน่ึงกลายเป็ นพ ลาสม่า ในส่วนแกนจะเป็ นประจุบวก หุ้มดว้ ยประจุลบ ก้อนพลาสม่าน้ีอยคู่ งรูปดว้ ยสมดุลแรงดึงดูดของ ประจุและความร้อนและทาให้เสถียรดว้ ยคลื่นแม่เหล็กไฟฟ้ า กระบวนท่าข้นั ที่สาม การปลดปล่อยพลงั เมื่อ กอ้ นพลงั มีความเสถียรพอแลว้ ก็ปลดปล่อยสู่เป้ าหมาย อน่ึง จานวนข้ีไคลท่ีมือมีจากดั บางทีผูใ้ ชว้ ชิ าน้ีอาจ ตอ้ งแอบป้ันข้ีไคลหนีบไวใ้ นจก๊ั กุแร้หมกั หมมกล่ินเต่าสุดรัญจวนเมื่อกอ้ นพลาสม่าข้ีเต่าเขา้ ปะทะเป้ าหมาย มนั ถึงเป็นท่ีมาของช่ือ พลงั \"คลื่น\"\"เต่า\"เหมน็ )สะทา้ นฟ้ า

เร่ืองน่ารู้กับครูนกฮูก กศน.เขตหนองแขม เรื่องที่ 54 ใกลว้ นั มาฆบูชาแลว้ วนั น้ีเลยขอ นาเสนอเรื่องของพระพุทธศาสนา ซ่ึงมีคา สอนในพระคมั ภรั ์ซ่ึงเรียกว่าพระไตรปิ ฎก เป็ นคมั ภีร์ที่บันทึกคาสอนของพระโคตม พุทธเจ้า ไตรปิ ฎก แปลว่า ตะกร้า 3 ใบ เพราะเน้ือหาแบ่งเป็ น 3 หมวดใหญ่ ๆ คือ พระวนิ ยั ปิ ฎก วา่ ดว้ ยพระวนิ ยั สิกขาบทตา่ ง ๆ ของภิกษุและภิกษุณี พระสุตตนั ตปิ ฎก วา่ ดว้ ยพระสูตรซ่ึงเป็ น พระธรรมเทศนาของพระโคตมพุทธเจา้ และพระอรหนั ตสาวก ท่ีแสดงแกบุคคลตา่ งช้นั วรรณะและการศึกษา ต่างกรรมตา่ งวาระกนั มีท้งั ท่ีเป็ นร้อยแกว้ และร้อยกรอง พระอภิธรรมปิ ฎก วา่ ดว้ ยพระอภิธรรมหรือปรมตั ถ ธรรม ซ่ึงเป็ นธรรมะข้นั สูง อธิบายดว้ ยหลกั วิชาลว้ น ๆ โดยไม่อา้ งอิงเหตุการณ์และบุคคล คาสั่งสอนของ พระพุทธเจา้ ในยุคแรกเรียกว่าพระธรรมวินยั จนกระทงั่ การสังคายนาคร้ัง 3 จึงแยกเน้ือท่ีเกี่ยวกบั ปรมตั ถ ธรรมออกมาเป็นอีกหมวดหน่ึงเรียกวา่ พระอภิธรรมปิ ฎก ในปัจจุบนั คาวา่ พระไตรปิ ฎก ใชห้ มายถึงคมั ภีร์ใน ศาสนาพุทธโดยรวม ซ่ึงมีอยู่ท้งั สิ้น 3 สารบบ ได้แก่ พระไตรปิ ฎกภาษาบาลี ใช้ในนิกายเถรวาท พระไตรปิ ฎกภาษาจีน ใชใ้ นนิก ายมหายาน พระไตรปิ ฎกภาษาทิเบต ใชใ้ นศาสนาพุทธแบบทิเบต เร่ืองน่ารู้กบั ครูนกฮูก กศน.เขตหนองแขม เร่ืองที่ 55 วนั น้ีจะมาบอกเล่าถึง ความหมายของ ดอกไม้ ธูป เทียน ท่ีเราใชบ้ ูชาพระกนั ทุกวนั น้ี ดงั น้ีสรุปความหมายของ เทียน ธูป และดอกไม้ สรุปไดค้ วามวา่ ธูป 3 ดอก ท่ี จุดบูชาน้นั หมายถึงพระพุทธคุณท้งั 3 ประการ คือ1. พระปัญญาคุณ (ปัญญารู้แจง้ เห็นจริงดว้ ยพระองค์เอง โดยไม่มีใครสอน)2. พระบริสุทธิคุณ (ความบริสุทธ์ิ หมดจดสิ้นจากราคะ โทสะ และโมหะ)3. พระมหา กรุณธิคุณ (มีเมตตาสอนผูอ้ ่ืนให้รู้แจง้ ตามความเป็ น จริง)เทียน 2 เล่ม หมายถึงจุดเพ่ือบูชาคุณของศีลและธรรม ซ่ึงเป็ นคาสอนของพระบรมศาสดา ที่พระองค์ ทรงคน้ พบดว้ ยปัญญาของพระองคเ์ อง1. เทียนเล่มซา้ ยมือผจู้ ุด หมายถึงพระวนิ ยั คือศีลท้งั หมด 2. เทียนเล่ม ขวามือผูจ้ ุด หมายถึงพระธรรมที่พระองค์ทรงค้นพบแล้วทรงสั่งสอนหมู่มนุษยแ์ ละ เทวดาให้มีจิตใจ ออ่ นโยนเวลาจุดเทียนตอ้ งจุดเล่มซา้ ยมือของเราก่อน เพราะหมายถึง ศีลซ่ึงกาจดั กิเลสอยา่ งหยาบ ปรกติเม่ือ จะทาบุญใด ๆ (ทาความดี) ก็ตามเราจะตอ้ งรับศีลก่อนเสมอ เพราะการรับศีลคือการชาระจิตของตนใหผ้ อ่ น ใสการจุดเทียนเล่มขวามือของเราน้นั หมายถึงพระธรรมอนั เป็ นเคร่ืองกาจดั กิเลสอยา่ งละเอียด และรักษาผู้ ประพฤติปฏิบตั ิธรรมมิให้ตกไปทางที่ชวั่ ดอกไมท้ ่ีนามาบูชาพระบนโต๊ะหมู่น้ัน หมายถึงพระสงฆ์ที่ท่าน ออกจากบา้ นเรือนมาบวชแลว้ ต้งั อยใู่ นศีลธรรม ท้งั ท่ีเป็นพระอริยสงฆ์ และพระกลั ยาณะ สมมติสงฆ์ เม่ือเรา

ทราบความหมายดงั น้ีแลว้ จึงควรที่เราท้งั หลายมาช่วยกนั รักษาและกราบไหวใ้ ห้ถูกตอ้ ง และส่ังสอนบุตร หลานท้งั หลายให้เขาเขา้ ใจในความหมายเหล่าน้ี เมื่อเขาเขา้ ใจดีแลว้ ก็จะไดส้ ืบต่ออายุพระพุทธศาสนาให้ ยาวนานสืบตอ่ ไป เร่ืองน่ารู้กบั ครูนกฮูก กศน.เขตหนองแขม เรื่องที่ 56 วนั น้ีขอมาแปลบทสวดพทุ ธคุณ ท่ีเราสวดกนั บ่อยๆนะ ครับ บทสวดไตรสรณคมณ์ พุทธงั สะระณงั คจั ฉามิ ขา้ พเจา้ ขอถือเอาพระพุทธเจา้ เป็นท่ีพ่ึงท่ีระลึก ธมั มงั สะระณงั คจั ฉามิ ขา้ พเจา้ ขอถือเอาพระธรรมเป็นท่ีพ่ึงที่ระลึก สงั ฆงั สะระณงั คจั ฉามิ ขา้ พเจา้ ขอถือเอาพระสงฆเ์ ป็นท่ีพ่ึงท่ีระลึก ทุติยมั ปิ พทุ ธงั สะระนงั คจั ฉามิ แมค้ ร้ังที่สอง ขา้ พเจา้ ขอถือเอาพระพทุ ธเจา้ เป็ นท่ีพ่ึงท่ีระลึก ทุติยมั ปิ ธมั มงั สะระนงั คจั ฉามิ แมค้ ร้ังท่ีสอง ขา้ พเจา้ ขอถือเอาพระธรรมเป็นท่ีพ่งึ ที่ระลึก ทุติยมั ปิ สังฆงั สะระนงั คจั ฉามิ แมค้ ร้ังที่สอง ขา้ พเจา้ ขอถือเอาพระสงฆเ์ ป็ นที่พ่ึงท่ีระลึก ตะติยมั ปิ พุทธงั สะระนงั คจั ฉามิ แมค้ ร้ังท่ีสาม ขา้ พเจา้ ขอถือเอาพระพทุ ธเจา้ เป็นที่พ่ึงที่ระลึก ตะติยมั ปิ ธมั มงั สะระนงั คจั ฉามิ แมค้ ร้ังที่สาม ขา้ พเจา้ ขอถือเอาพระธรรมเป็ นที่พ่ึงที่ระลึก ตะติยมั ปิ สังฆงั สะระนงั คจั ฉามิ แมค้ ร้ังท่ีสาม ขา้ พเจา้ ขอถือเอาพระสงฆเ์ ป็นที่พ่ึงท่ีระลึก บทสวดพระพุทธคุณ อิติปิ โส ภะคะวา อะระหงั สัมมาสัมพทุ โธวชิ ชาจะระณะสัมปันโน สุคะโต โลกะวทิ ู อะนุตตะโร ปุริสะทมั มะสาระถิ สัตถา เทวะมะนุสสานงั พุทโธ ภะคะวาติฯ พระผมู้ ีพระภาคเจา้ พระองคน์ ้นั เป็นผไู้ กลจากกิเลส เป็นผตู้ รัสรู้ชอบไดด้ ว้ ยพระองคเ์ อง เป็นผถู้ ึงพร้อมดว้ ย วชิ ชาและจรณะ (ความรู้และความประพฤติ) เป็ นผเู้ สด็จไปดีแลว้ เป็นผรู้ ู้โลกอยา่ งแจ่มแจง้ เป็นผสู้ ามารถฝึก บุรุษท่ีสมควรฝึกได้ อยา่ งไมม่ ีใครยง่ิ ไปกวา่ เป็นครูผสู้ อนของเทวดาและมนุษยท์ ้งั หลาย เป็นผรู้ ู้ ผตู้ ื่น ผเู้ บิก บานดว้ ยธรรม เป็นผมู้ ีความเจริญ จาแนกธรรมสั่งสอนสัตว์ บทสวดพระธรรมคุณ สะวากขาโต ภะคะวะตา ธมั โม สนั ทิฏฐิโก อะกาลิโก เอหิปัสสิโก โอปะนะยโิ ก ปัจจตั ตงั เวทิตพั โพ วญิ ญูหี ติฯ พระธรรมเป็ นส่ิงท่ีพระผมู้ ีพระภาคเจา้ ไดต้ รัสไวด้ ีแลว้ เป็นสิ่งที่ผศู้ ึกษาและปฏิบตั ึพึงเห็นไดด้ ว้ ยตนเอง เป็นสิ่งท่ีปฏิบตั ิไดแ้ ละใหผ้ ลได้ ไมจ่ ากดั กาล เป็นสิ่งที่ควรกล่าวกบั ผอู้ ่ืนวา่ ท่านจงมาดูเถิด เป็นสิ่งที่ควร นอ้ มเขา้ มาใส่ตวั เป็นส่ิงท่ีผรู้ ู้กร็ ู้ไดเ้ ฉพาะตน บทสวดพระสังฆคุณ สุปะฏิปันโน ภะคะวะโต สาวะกะสงั โฆ อุชุปะฏิปันโน ภะคะวะโต สาวะกะสงั โฆ ญายะปะฏิปันโน ภะคะ

วะโต สาวะกะสงั โฆ สามีจิปะฏิปันโน ภะคะวะโต สาวะกะสังโฆ ยะทิทงั จตั ตาริ ปุริสะยคุ านิ อฏั ฐะ ปุริสะ ปุค คะลาเอสะ ภะคะวะโต สาวะกะสงั โฆ อาหุเนยโย* ปาหุเนยโย* ทกั ขิเณยโย* อญั ชะลี กะระณีโย อะนุต ตะรัง ปุญญกั เขตตงั โลกสั สาติฯ สงฆ์ สาวกของพระผมู้ ีพระภาคเจา้ หมใู่ ด ปฏิบตั ิดีแลว้ สงฆส์ าวกของพระผมู้ ีพระภาคเจา้ หมใู่ ด ปฏิบตั ิตรง แลว้ สงฆส์ าวกของพระผมู้ ีพระภาคเจา้ หมู่ใด ปฏิบตั ิเพ่ือรู้ธรรมเป็ นเคร่ืองออกจากทุกขแ์ ลว้ สงฆส์ าวกของ พระ ผมู้ ีพระภาคเจา้ หมใู่ ด ปฏิบตั ิสมควรแลว้ ไดแ้ ก่ บุคคลเหล่าน้ีคือ คู่แห่งบุรุษ 4 คู่ นบั เรียงตวั บุรุษได้ 8 บุรุษนน่ั แหละสงฆส์ าวกของพระผมู้ ีพระภาคเจา้ เป็นผคู้ วรแก่สักการะที่เขานามาบูชา เป็นผคู้ วรแก่สักการะ ที่เขาจดั ไวต้ อ้ นรับ เป็นผคู้ วรรับทกั ษิณาทาน เป็นผทู้ ่ีบุคคลทวั่ ไปควรทาอญั ชลี เป็นเน้ือนาบุญของโลก ไม่มี นาบุญอื่นยง่ิ กวา่ เรื่องน่ารู้กับครูนกฮูก กศน.เขตหนองแขม เรื่องท่ี 57 วนั น้ีไดน้ านกั ศึกษาไปเรียนรู้ ที่ศูนยก์ ลางทหารปื น ใหญ่ และบา้ นของจอมพล ป.พิบูลยส์ งคราม เลยอยากเล่าประวตั ิ ของนายกท่านน้ีให้ทราบครับ จอมพล ป.พิบูลสงคราม\" เป็ น นายกรัฐมนตรีไทยที่ดารงตาแหน่งนานที่สุด คือ 14 ปี 11 เดือน 18 วนั รวม 8 สมยั และเป็ นรัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย[ มี นโยบายท่ีสาคัญคือ การมุ่งมั่นพัฒนาประเทศไทย ให้มีความ เจริญรุ่งเรืองทดั เทียมนานาอารยประเทศ มีการปลุกระดมให้คนไทย รู้สึกรักชาติ โดยออกประกาศสานกั นายกรัฐมนตรี วา่ ดว้ ย \"รัฐนิยม\" หลายอยา่ ง ซ่ึงบางอยา่ งไดป้ ระกาศเป็ นกฎหมายในภายหลงั หลาย อยา่ งกลายเป็ นวฒั นธรรมของชาติ เช่น การราวง, ก๋วยเตี๋ยวผดั ไทย เป็ นผูเ้ ปลี่ยนช่ือ \"ประเทศสยาม\" เป็ น \"ประเทศไทย\" และเป็ นผู้ เปลี่ยน \"เพลงชาติไทย\" มาเป็นเพลงที่ใชก้ นั อยใู่ นปัจจุบนั คาขวญั ที่ รู้จกั กนั ดีของนายกรัฐมนตรีผนู้ ้ีคือ \"เช่ือผนู้ าชาติพน้ ภยั \" หรือ \"ท่าน ผนู้ าไปไหนฉนั ไปดว้ ย\" และ \"ไทยอยคู่ ู่ฟ้ า\" จอมพล ป. พิบลู สงคราม ถึงแก่อสัญกรรม เมื่อวนั ท่ี 11 มิถุนายน พ.ศ. 2507 ในเวลาประมาณ 20.30 น. ณ บา้ นพกั ส่วนตวั ชานกรุงโตเกียว สิริอายุได้ 67 ปี จอมพล ป.พิบูล สงคราม มีชื่อเดิมวา่ \"แปลก ขีตตะสังคะ\" ช่ือจริงคาวา่ \"แปลก\" เน่ืองจากเม่ือแรกเกิดบิดามารดาเห็นวา่ หูท้งั สองขา้ งอยตู่ ่ากวา่ นยั น์ตา ผดิ ไปจากบุคคลธรรมดา จึงใหช้ ่ือวา่ แปลก คาวา่ ป.ในชื่อจอมพล ป. ก็มาจากชื่อ แปลกน้ีเอง

เร่ืองน่ารู้กับครูนกฮูก กศน.เขตหนองแขม เร่ืองที่ 58 ทาไมถึงมีลิงอยูใ่ นเมืองลพบุรี หลายคนแปลกใจว่า ทาไมลิงถึงไดม้ าอยใู่ นเมืองลพบุรีได้ มีความเป็นมาอยา่ งไรมาอยตู่ ้งั แต่เม่ือไหร่ สอบถามใครๆก็หาคนทราบ ยากว่า ลิงมาอยู่ท่ีเมืองลพบุรีได้อย่างไร และยงั อยู่กนั อย่างเหนียวแน่นเป็ นพนั ๆ ตวั ในเขตเมืองเก่าลพบุรี เพ่ือขยายความ เกี่ยวกับเรื่ องน้ี ผมจึงไปค้นคว้ามาได้ กระแสหน่ึงจากตานานจามเทวีวงค์และ ตานานมูลศาสนา พบว่าลิงท่ีมาอยู่ใน เมืองลพบุรี น่าจะเป็ นลิงท่ีมากบั พระนาง เจา้ จามเทวจี ากทางภาคเหนือเม่ือ 1356 ปี ก่อน โดยสุเทวะฤาษีไดส้ ร้างแพยนต์ส่ง พระนางเจา้ จามเทวีจากทางภาคเหนือล่องลงมาตามลาน้ามาถึงกรุงละโว้ (จงั หวดั ลพบุรีในปัจจุบนั ) และ พระเจา้ จกั วตั ิผคู้ รองกรุงละโวไ้ ดร้ ับพระนางเป็ นพระราชธิดา จากตานานไดเ้ ล่าวา่ สุเทวะฤาษีไดใ้ ห้พญากา กะวานรพร้อมบริวารจานวน 35 ตวั โดยสารแพมาดว้ ยเพ่ือช่วยเหลือพระนางเจา้ จามเทวเี กี่ยวกบั การกินการ อยู่ เป็ นบริวารหาอาหาร และรักษาความปลอดภยั ให้พระนางในระหวา่ งเดินทาง จึงน่าเชื่อไดว้ า่ ตน้ ตระกูล ของลิงลพบุรีน้นั น่าจะสืบเช้ือสายมาจากพญากากะวานรและบริวารท้งั 35 ตวั น้นั เป็ นแน่แท้ ที่มาอยใู่ นปี พ.ศ 1189 เรื่องน่ารู้กบั ครูนกฮูก กศน.เขตหนองแขม เรื่องที่ 59 ในตอนสมยั เป็นเด็กเรียนเร่ืองวนั มาฆบชู า ก็สงสยั วา่ พระพุทธองค์ จะแสดงธรรมอยา่ งไรให้ พระภิกษุ 1,250 รูปไดย้ นิ พอโดแลว้ ไดค้ าตอบแบบน้ีครับ ถา้ พ้ืนที่ตอ่ คน 1 ตร.ม. นงั่ ลอ้ มเป็นวงกลม สูตรพ้นื ที่วงกลม pi*r*r ลองแทนรัศมีท่ี 20 เมตร จะได้ 3.14 * 20 * 20 = 1,256 ตร.ม. ระยะ 1เมตร ตรงจุดศนู ยก์ ลางเป็นพระบรมศาสดา ใหพ้ ระสงฆ์ นง่ั ลอ้ มรอบ พระพทุ ธองคเ์ ป็นวงกลม ผมเร่ืม ที่ วงแรกเลยนะครับ 1.วงแรก ใหพ้ ระสงฆ์ นงั่ บนวงกลม เส้นผา่ ศูนยก์ ลาง 4เมตร > เส้นรอบวง= 3x4 ยาว 12 เมตร (คา่ Pi 3.14 คิด 3 ถว้ น) ใหน้ ง่ั ตามตาแหน่งเลข นาฬิกา 12 ตาแน่งเลย = 12 รูป 2.วงที่2 คือวงกลมขนาดโต 6 เมตร (รัศมีบวกขา้ งละ 1 เมตร) = 18 รูป 3.วงที่3 คือวงกลมขนาดโต 8 เมตร = 24 รูป 4.วงท่ี4 คือวงกลมขนาดโต 10 เมตร= 30 รูป 5.วงที่5 คือวงกลมขนาดโต 12 เมตร = 36 รูป

6.วงท่ี6 คือวงกลมขนาดโต 14 เมตร = 42 รูป 7.วงที่7 คือวงกลมขนาดโต 16 เมตร = 48 รูป 8.วงท่ี8 คือวงกลมขนาดโต 18 เมตร = 54 รูป 9.วงท่ี9. คือวงกลมขนาดโต 20 เมตร= 60 รูป 10.วงท่ี10 คือวงกลมขนาดโต 22 เมตร= 66 รูป 11.วงท่ี11 คือวงกลมขนาดโต 24 เมตร= 72 รูป 12.วงที่12 คือวงกลมขนาดโต 26 เมตร= 78 รูป 13.วงที่13 คือวงกลมขนาดโต 28 เมตร= 84 รูป 14.วงที่14 คือวงกลมขนาดโต 30 เมตร = 90 รูป 15.วงท่ี15 คือวงกลมขนาดโต 32 เมตร= 96 รูป 16.วงที่16 คือวงกลมขนาดโต 34 เมตร = 102 รูป 17.วงที่17 คือวงกลมขนาดโต 36 เมตร = 108 รูป 18.วงที่18 คือวงกลมขนาดโต 38 เมตร = 114 รูป 19.วงที่19 คือวงกลมขนาดโต 40 เมตร = 120 รูป รวมกนั แลว้ ได้ = 1254 รูป พระสงฆน์ ง่ั ห่างจากพระบรมศาสดา เป็นวงกลมรัศมี 20 เมตร เทา่ น้นั วงนอก สุดโต40 เมตร หากผมคิดอะไรผดิ แยง้ ไดน้ ะครับ หรือจะเป็นวธิ ีที่สอง สงฆน์ งั่ เป็ นรูปคร่ึงวงกลม แบ่งเป็น ส่วนช้นั ใน ช้นั นอก พอพระพุทธเจา้ แสดงธรรมเป็นประโยคภาษาบาลี จบ ทีละประโยค สงฆช์ ้นั ใน ที่ไดย้ นิ จากพระโอษฐ์ กจ็ ะสวดตาม เพือ่ ขยายเสียง ไปใหส้ งฆช์ ้นั นอกไดย้ นิ เห็นดว้ ยไมเ่ ห็นดว้ ยยงั ไงบอกกนั ไดน้ ะ ครับ

เรื่องน่ารู้กบั ครูนกฮูก กศน.เขตหนองแขม เร่ืองท่ี 60 เมื่อวานนงั่ รีดผา้ แลว้ ก็ประสบปัญหาตะกรันในเตารีด ไอน้า เลยไปหาวธิ ีแกม้ าฝาก ครับ ตะกรันในเตารีดไอน้า เกิดจาก การใชน้ ้ากระดา้ ง เช่น น้าประปารีดผา้ จนค่อย ๆ สะสมเป็นคราบสกปรก อยใู่ นตวั เครื่อง วนั น้ีกระปุก ดอทคอมเลยนาวธิ ีกาจดั คราบตะกรันและการทา ความสะอาดเตารีดไอน้ามาฝากกนั ครับ วธิ ีทาความสะอาดในเตารีดไอน้า อุปกรณ์ - น้าส้มสายชู - น้าสะอาด วธิ ีทา 1. ผสมน้าส้มสายชูกบั น้าสะอาดในอตั ราส่วน 1:1 หรือ น้าสายชู 1 ถว้ ยตวง ต่อน้าสะอาด 1 ถว้ ยตวง 2. เทส่วนผสมลงในแทง็ กน์ ้าของเตารีด 3. เสียบปลกั๊ พร้อมกบั เปิ ดเคร่ืองไปท่ีความร้อนสูงสุด แลว้ วางทิง้ ไวอ้ ยา่ งนอ้ ย 5 นาที 4. กดป่ ุมพน่ ไอน้าคา้ งไวค้ ร้ังละ 20-30 วนิ าที และทาซ้าข้นั ตอนน้ีอยา่ งนอ้ ย 6 คร้ัง หรือจนกวา่ ไม่มีเศษ ตะกรันออกมาพร้อมกบั ไอน้าอีก 5. พน่ ไอน้าจนส่วนผสมท่ีลงไปก่อนหนา้ หมดแทง็ ก์ 6. เติมน้าสะอาดลงไปอีกรอบและพน่ ไอน้าออกมาจนน้าหมดแทงกอ์ ีกคร้ัง ลองดูกนั นะครับ ตะกรันหายเกล้ียง

เรื่องน่ารู้กับครูนกฮูก กศน.เขตหนองแขม เร่ืองท่ี 61 พรุ่งน้ี กศน.เขตหนองแขม จะนานักศึกษาเรียนรู้ ประวตั ิศาสตร์ ณ อุทยานประวตั ิศาสตร์วรี ชนบา้ น บางระจัน มาเตรี ยมความพร้อมก่อนไปศึกษา สถ านที่จริ งนะ ครั บ กับคาเรี ยก กลุ่ มชนใ น ประวตั ิศาสตร์ชาวพม่า คนในอดีต จะเรียก พม่า วา่ ม่าน เมียน เม่ียง หรือเรียกตามช่ือเมืองหลวงของ อาณาจกั ร เช่น องั วะ ตองอู หงสาวดี (จริงๆแลว้ หง สาวดีเป็ นเมืองมอญแต่ถูกพม่ายึด) ชาวมอญ คนในอดีตจะเรียก มอญ รามญั ตะเลงไทยใหญ่ คนในอดีตจะ เรียกวา่ เง้ียว โรฮิงจา คนในอดีตจะเรียก ยะไข่ เร่ืองน่ารู้กับครูนกฮูก กศน.เขตหนองแขม เรื่องท่ี 62 ขอนาเสนอในเรื่องของสัญลกั ษณ์สวสั ดิกะ สวสั ติกะ ไม่ใช่เป็ นตัวแทนของความโหดร้าย ตามท่ีเข้าใจกัน เพราะแท้ท่ีจริ งแล้ว เครื่องหมาย \"สวสั ติกะ\" เป็ นเคร่ืองหมาย แห่งมงคล ท่ีปรากฏอยใู่ นประวตั ิศาสตร์ มายาวนานแล้ว คาว่า \"สวสั ติกะ\" มีราก ศัพท์มาจากภาษาสันสกฤตว่า \"สุ \" แปลวา่ ดี ร่วมกบั คาวา่ \"อสั ติ\" แปลว่า มี และ \"กะ\" หมายถึงอาคม และเม่ือเอา สามคามารวมกนั จีงเรียกไดว้ า่ สวสั ดิกะ เป็นเครื่องหมายแห่งความโชคดี หรือเครื่องราง วตั ถุมงคลอยา่ งไรก็ ตามความหมายของสวสั ติกะถูกเปลี่ยนไปอยา่ งสิ้นเชิงในช่วงตน้ ศตวรรษที่ 20 เมื่อกลายเป็ นสัญลกั ษณ์ของ พรรคนาซีในเยอรมนี และต้งั แต่ช่วงสงครามโลกคร้ังที่ 2 เป็ นต้นมา ชาวตะวนั ตกส่วนใหญ่ก็มอง วา่ สัญลกั ษณ์น้ีเป็ นสัญลกั ษณ์ของเผด็จการ นาไปสู่ความเขา้ ใจผิดๆ เก่ียวกบั ความหมายของสวสั ติกะ ใน วฒั นธรรมอื่นๆ ด้วย ความหมายท่ีแปรเปล่ียนของ \"สวสั ติกะ\" เป็ นผลมาจากพรรคนาซี นาเคร่ืองหมาย สวสั ติกะมาใชเ้ ป็ นสัญลกั ษณ์ อยา่ งเป็ นทางการในปี 1920 และบทบาทของพรรคภายใตก้ ารนาของฮิตเลอร์ ในช่วงสงครามโลกคร้ังที่ 2 ก็ทาให้ความหมายของสวสั ติกะ เปลี่ยนไปจากหน้ามือเป็ นหลงั มือ และ มี อิทธิพลต่อการใชส้ ัญลกั ษณ์น้ีอย่างแพร่หลาย ส่วนสาเหตุที่ฮิตเลอร์นา \"สวสั ติกะ\" มาใช้เป็ นสัญลกั ษณ์ เน่ืองจากเช่ือวา่ เป็ นสัญลกั ษณ์มีท่ีมาจากชนชาติอารยนั เผ่าพนั ธุ์ของเขาเอง ซ่ึงฮิตเลอร์เช่ือวา่ เก่งกลา้ เหนือ เผา่ พนั ธุ์อ่ืนๆ และ สวสั ติกะเป็นสัญลกั ษณ์แห่ง \"การต่อสู้เพ่ือชยั ชนะของชนชาติอารยนั \"

เรื่องน่ารู้กบั ครูนกฮูก กศน.เขตหนองแขม เรื่องท่ี 63 เวลาเราจะซ้ือเคร่ืองพมิ พ์ กม็ กั จะมีคาถามวา่ จะเลือก เครื่อง Inkjet หรือ Laser ดี วนั น้ีผมจะมา เปรียบเทียบกนั ใหด้ ูครับ 1. หมึกพมิ พ์ หมึกพมิ พข์ อง InkJet มี ขอ้ ดีตรงที่เป็ นหมึกแบบ น้า หากปริ้นเสร็จแลว้ สัมผสั ทนั ที หมึกอาจ เลอะหรือเลือนได้ และ หากเราไมค่ ่อยไดใ้ ช้ นานๆ มาปริ้นที หมึกมกั จะตนั ตอ้ งหาซ้ือตลบั หมึกใหม่มาเปล่ียน ซ่ึงหมึก Inkjet ของแทร้ าคาจะแพง มาก (บางทีราคาพอๆ กบั ราคาเคร่ือง) หลายคนจึงใ้้ชว้ ธิ ีซ้ือหมึกเทียมมาเติมแทน แต่คุณภาพของหมึกก็จะ ลดลงไปตามราคา ปริ้นไปสักพกั หมึกจะแตกๆ สีอาจเพ้ยี น สุดทา้ ยก็ตอ้ งซ้ือตลบั หมึกใหมม่ าเปล่ียนหรือไม่ กซ็ ้ือเครื่องใหม่ไปเลยอยดู่ ี ขณะที่หมึกของ laser printer ราคากแ็ พงพอๆ กบั Inkjet เลย แต่หมึกมีคุณภาพ มากกวา่ เอามือจบั แลว้ หมึกไม่เลอะ เลือน และหมึกจะมีอายกุ ารใชง้ านยาวนานกวา่ ครับ 2. คุณภาพงานพิมพ์ เร่ืองคุณภาพของงานพมิ พ์ Laser Printer ชนะขาด โดยเฉพาะถา้ เป็นงานปริ้นขาว-ดา ตวั อกั ษรจะคมชดั มาก แต่ถา้ ปริ้นสี ใชเ้ คร่ือง Inkjet อาจจะคุม้ กวา่ เพราะราคาของเคร่ืองถูกกวา่ นนั่ เอง 3. ปริมาณการพิมพ์ ถา้ ลองเทียบสเป็กเคร่ืองรุ่นขนาดเล็กที่มีคุณสมบตั ิใกลเ้ คียงกนั โดยทวั่ ไป หมึก Inkjet 1 ตลบั จะปริ้นได้ ประมาณ 400 แผน่ แตถ่ า้ เป็น laser จะปริ้นได้ ประมาณ 1,000 แผน่ ดงั น้นั เคร่ือง laser จะรองรับปริมาณการ พมิ พไ์ ดม้ ากกวา่ 4. ราคา เม่ือก่อนคร่ือง Inkjet มีราคาถูกกวา่ laser เยอะมาก แลว้ ก็สามารถปริ้นสีไดด้ ว้ ย คนจึงนิยมใชเ้ ครื่อง Inkjet มากกวา่ แตเ่ ดี๋ยวน้ีราคาเคร่ือง laser ถูกลงกวา่ เดิมมาก ราคาเคร่ืองขาว-ดาถูกสุดกอ็ ยทู่ ่ี 2 พนั กวา่ บาท ขณะที่ เครื่อง laser สีราคาเริ่มตน้ กอ็ ยทู่ ี่ประมาณ 4-5 พนั บาทเท่าน้นั ทาใหเ้ คร่ือง laser printer เป็นที่นิยมใชต้ าม สานกั งานเล็กๆ และใชใ้ นบา้ นมากข้ึน 5. อายกุ ารใชง้ าน ส่วนใหญ่แลว้ เคร่ืองปริ้นจะมีปัญหาที่หมึก และหมึกของ Inkjet มกั มีปัญหาจุกจิกมากกวา่ เครื่อง laser เช่น หมึกตนั หมึกแตก ทาใหอ้ ายุการใชง้ านเฉล่ียของเคร่ืองส้นั กวา่ laser ท่ีมีปัญหาจุกจิกนอ้ ยกวา่ ไปโดยปริยาย ลองเลือกกนั ดูนะครับ

เร่ืองน่ารู้กบั ครูนกฮูก กศน.เขตหนองแขม เรื่องที่ 64 ช่วงน้ีไดย้ นิ คาวา่ ออเจา้ บ่อย ก็เลยสงสัยวา่ คาน้ีทีที่มา อยา่ งไร มีการใชก้ นั จริงไหมในสมยั โบราณ โดยคาวา่ \"ออเจา้ \" เป็ นคาสรรพ นาม ใชเ้ ช่นเดียวกบั คาวา่ \"เจา้ \" ส่วน ใหญใ่ ชแ้ ทนสรรพนามบุรุษท่ี 2 โดยคา วา่ ออเจา้ น้นั ถูกบนั ทึกคร้ังแรกเป็น ภาษาฝร่ังเศษวา่ \"otchaou\" ในจดหมาย เหตุลาลูแบร์ Du Royaume de Siam วา่ ดว้ ยราชอาณาจกั รสยาม โดยลาลูแบร์ ซ่ึง เป็นทตู ชาวฝรั่งเศส โดยในจดหมายเหตุ ระบุวา่ \"otchaou\" หรือ \"ออเจา้ \" มีใชจ้ ริง ๆ ในชีวติ ประจาวนั โดยคนอยธุ ยาสมยั น้นั ใชค้ าวา่ ออเจา้ เรียกคน ท่ีพดู ถึงดว้ ย หรือ คนท่ีถูกกล่าวถึง ใชไ้ ดท้ ้งั กรณีผใู้ หญพ่ ูดกบั ผนู้ อ้ ย และเพื่อนพูดกบั เพ่ือน และในสมยั น้นั นอกจากคาวา่ ออเจา้ แลว้ ยงั มีสรรพนามเรียกแทนผอู้ ่ืนที่เราคุน้ หูอีกหลายคา เช่น เธอ (teu), ทา่ น (tan), เอง็ (eng), มนั (man) ซ่ึงคาต่าง ๆ เหล่าน้ีลว้ นถูกบนั ทึกไวใ้ นจดหมายเหตุลาลูแบร์ อนั เป็นหลกั ฐานแสดงใหเ้ ห็น วา่ คาเหล่าน้ีมีการใชม้ าต้งั แต่สมยั อยธุ ยาแลว้ โดยคาวา่ ออเจา้ ยงั ปรากฏ ในวรรณคดีขนุ ชา้ ง ขนุ แผน ก็ ปรากฎคาวา่ ออเจา้ โดยเรียกนางพมิ วา่ ออพิม ดว้ ย ท้งั น้ีคาวา่ ออเจา้ ใชก้ บั คนที่มีอาวโุ สต่ากวา่ อยา่ ใชก้ บั คนที่อาวุโสสูงกวา่ นะครับ เร่ืองน่ารู้กับครูนกฮูก กศน.เขตหนองแขม เรื่องท่ี 65 ทาไมบางคร้ังกินกาแฟแลว้ ดนั ง่วง คนเรามกั จะดื่ม กาแฟเพอ่ื ช่วยใหต้ ื่นตวั มากข้ึน แต่ ส่ิงหน่ึงที่หลายคนมกั ประสบกนั ก็ คือ หลังด่ืมกาแฟแล้วบางคร้ัง ปรากฎว่าไม่ได้ผล แทนท่ีจะต่ืน กลายเป็ นเพลียอยากหลับมาก กว่าเดิ มเสี ยอีก ทาไมจึงเป็ น เช่นน้นั 1. หัวใจเตน้ เร็ว นอกจากเร่ืองการ ต่ืนตวั คาเฟอีนยงั ทาให้หวั ใจเตน้ เร็วข้ึนได้ ดงั น้นั บางคนจึงเกิดอาการเพลียจากหัวใจที่เตน้ เร็ว ทาให้รู้สึก เหมือนง่วง(จริงๆเพลีย) 2. กาแฟสู้ไม่ไหว โดยปกติกาแฟจะมีฤทธ์ิกระตุน้ การต่ืนตวั ไดป้ ระมาณ 15-30 นาที และจะค่อยๆกลบั ไป ง่วงเท่าเดิมอีกคร้ังและจะตอ้ งกินกาแฟเขา้ ไปใหม่เพ่ือการต่ืนตวั เท่าเดิม (ระยะเวลาจะส้ันลงเรื่อยๆ) ทาให้

เมื่ อกิ นก าแฟถึ งจุ ดหน่ึ งร่ า งก าย จะ เหมื อนด้ื อ ก ล าย เป็ นว่ากิ นแล้วไม่ ได้ผล กิ น แล้วง่ วง 3. หน้ีการนอน เวลาศึกษาเรื่องการอดนอน มกั จะมีการอธิบายถึงวงจรการตื่น/หลบั ของคนวา่ ประกอบไป ดว้ ยวงจรตื่นตวั และวงจรชวนหลบั ซ่ึงสองตวั น้ีจะทางานกลบั กนั ตามแสงสวา่ ง โดยวงจรตื่นตวั จะทางาน มากช่วงเชา้ และลดลงตอนเยน็ และวงจรชวนหลบั จะเร่ิมทางานตอนบ่ายและสูงสุดตอนกลางดึกหลงั เที่ยง คืน ในคนที่นอนนอ้ ยกวา่ 6 ชว่ั โมงต่อวนั ติดต่อกนั หลายๆวนั (หรือนอนเกิน6ชม. แต่วา่ หลบั ไม่ลึก เช่นกิน กาแฟตอนบ่ายๆ ทางานเปล่ียนกะ นอนกรน) เจา้ วงจรชวนหลบั จะเลื่อนเวลามาเร็วข้ึนและมีความแรงม ก ข้ึ น ค น ที่ เ ป็ น ข้ อ 2 แ ล ะ 3น้ี มั ก จ ะ มี อ า ก า ร ง่ ว ง น อ น ห ลั ง ด่ื ม ก า แ ฟ ช่ ว ง บ่ า ย ๆ 4. ขาดน้า กาแฟมีฤทธ์ิขบั ปัสสาวะนอ้ ยๆๆๆ ถา้ ดื่มซดั โฮกมากๆก็ทาใหป้ ัสสาวะออกมาก ร่างกายอยใู่ นภาวะ ขาดน้านิดๆได้ 5. น้าตาลมาก เคยมีบางงานวจิ ยั พบวา่ เคร่ืองดื่มที่น้าตาลมากและคาเฟอีนไม่มาก (เครื่องด่ืมชูกาลงั น่ีล่ะ) พอ นาไปใช้ในคนท่ีอดนอนติดต่อกันนานๆ แทนท่ีดื่มไปแล้วจะหายง่วงกลับทาให้ง่วงมากกว่าเดิม และมีงานวิจัยนึงท่ีทดลองในหนูแล้วพบว่าน้ าตาลท่ีเข้าสมองมากๆกลับทาให้หนูนอนง่ายข้ึน ดงั น้นั ถา้ ใครก็ตามดื่มกาแฟแลว้ ปรากฎวา่ กลายเป็ นง่วงมากกวา่ เดิม อาจจะเป็ นสัญญาณวา่ คุณกาลงั นอนไม่ พอก็เป็นได้ ควรด่ืมน้ามากๆ ลดกาแฟลง และหาเวลาไปนอนครับ เรื่องน่ารู้กับครูนกฮูก กศน.เขตหนองแขม เร่ืองที่ 66 ช่วงน้ีมีการแสล่าเสือดาเพ่ือกินอวยั วะเพศ จริงๆแลว้ กินจู๋เสื อช่วยบารุ งได้จริ งหรื อ นายแพทย์ กมั ปนาท พรยศไกร ศลั ยแพทย์ระบบทางเดิน ปัสสาวะ โรงพยาบาลมหาราชนครศรีธรรมราช แอดมินเพจ Sarikahappymen โพสตข์ อ้ ความระบุ วา่ จู๋เสือ เจ๋งจริงอะ หนุ่มๆ หลายคนคงเคยไดย้ ิน ว่าสมยั ก่อนนู้น (พนั ปี เลย) เวลาเขาจะโด๊ปให้ คึกเน่ีย เขาไม่มีไวอากร้า เขาก็จะไปสรรหาอะไร ที่พิสดารมากิน ยง่ิ ตาราการแพทยจ์ ีนท่ีเช่ือ กินอะไรรักษาสิ่งน้นั เช่น กินไตบารุงไต กินตบั บารุงตบั ดงั น้นั ถา้ จะโด๊ปจู๋ให้แข็งแรง หน่ึงในน้นั ก็ตอ้ งกินจู๋สินะ แลว้ ทีน้ี จะเอาจู๋มาโด๊ป มนั ก็ตอ้ งเลือกสปี ชี่นิดหน่อย คง ไม่มีใครเอา จู๋จิ้งจก ตุ๊กแก ชิวาวามากิน จะบารุงท้งั ทีมนั ตอ้ งระดบั เจา้ ป่ า ซ่ึงก็คือไปล่าเอาจู๋เสือมาทาซุป ท้งั น้ี ดว้ ยสาเหตุน้ี เลยทาใหป้ ระชากรเสือถูกล่ามากๆ คือส่วนนึงล่าเอาหนงั อีกส่วนก็ล่าเอาจู๋ เพ่ือไปขายให้ ผูช้ ายไร้สมรรถภาพและเพอ้ ว่าจู๋เสือจะช่วยได้ 1. กินแลว้ จู๋ใหญ่เหมือนเสือ ปกติจู๋เสือเมื่อโตเต็มท่ีจะยาว ประมาณ 7-10 นิ้ว ฟังดูอูห้ ูไหม ฉะน้นั เลยกินกนั ใหญ่อยากไดใ้ หญ่อย่างเสือ แต่ๆ อยา่ ลืมวา่ เสือปกติหนกั 300 กิโลกรัม ดงั น้นั เมื่อเทียบขนาดกบั น้าหนกั ตวั นี่ถือวา่ เล็กมากเลย ในทางกลบั กนั มนุษยเ์ องต่างหากหนกั 60-70 กิโลกรัม จ๋กู ็ 4-5 นิ้วข้ึนแลว้ ดงั น้นั มนุษยแ์ ทบจะเป็นสตั วท์ ี่มีจ๋ยู าวสุดในสตั วโ์ ลกแลว้ 2. กินแลว้ ปลาย บานทรงสวยน่าเกรงขามเหมือนเสือ อนั น้ีก็เป็ นแค่ความเช่ือครับ จู๋เสือจริงๆ รูปร่างมนั ปลายเรียวแหลมเล็ก

มีหนามรอบตวั เหมือนดอกกระเจียว 3. กินแลว้ อึดเหมือนเสือ อนั น้ีก็สายมโนเช่นกนั คิดวา่ เจา้ ป่ าแลว้ จะอึด ซดั กนั เป็นชวั่ โมง เลยเอามาโด๊ป จริงๆ แลว้ ธรรมชาติของเสือใชเ้ วลาผสมพนั ธุ์แต่ละคร้ัง คร่ึง-1 นาทีเองนะ ครับ จากน้นั ก็จะหยดุ พกั ไปอีกประมาณ 30 นาที และจะเริ่มคลอเคลียร่วมเพศอีก และจ ะวนเวยี นไปแบบน้ี 30-50 คร้ังในวนั หน่ึง แลว้ พกั ไปเป็ นปี 4. กินแลว้ คึกทุกวนั เหมือนเสือ น่ีก็เพอ้ เจอ้ เช่นกนั เสือเป็ นสัตวท์ ี่ ผสมพนั ธุ์ปี ละคร้ัง ไม่ไดต้ ะพึดตะพือเหมือนคนท่ีเล่น beetalk ครับ ปี นึงเสือใช้เวลาจิ้มไม่กี่วนั ที่เหลือเสือ เคา้ ก็ทามาหากินล่าสัตวล์ ่าเหย่ือครับ \"ฟังคุณสมบตั ิทุกอยา่ งแลว้ จู๋เสือไม่ไดม้ ีอะไรที่น่าเอามาโด๊ปเลยเนาะ ปล่อยมนั อยตู่ ามธรรมชาติแหละดีแลว้ จ๋คู นตา่ งหากท่ีพลงั เยอะสุด ห่ืนสุดแลว้ ยงุ่ จ๋เู สือเลยนะครับ\" เรื่องน่ารู้กบั ครูนกฮูก กศน.เขตหนองแขม เรื่องที่ 67 ช่วงน้ีมีแต่คนเรียกทา่ นขุน ก็เลยสงสยั วา่ ยศขนุ ใน สมยั ก่อนเทียบเท่ากบั ขา้ ราชการระดบั ใด ใน ปัจจุบนั ขา้ ราชการระดบั 11 เทียบ \"เจา้ พระยา\" ขา้ ราชการระดบั 9,10 เทียบ \"พระยา\" ขา้ ราชการระดบั 7,8 เทียบ \"พระ\" ขา้ ราชการระดบั 5,6 เทียบ \"หลวง\" ขา้ ราชการระดบั 3,4 เทียบ \"ขนุ \" (ระดบั 3 ถือเป็นขา้ ราชการสัญญาบตั ร) ขา้ ราชการระดบั 2 เทียบ \"พนั \" หรือ \"หม่ืน\" ขา้ ราชการระดบั 1 เทียบ \"นาย\" แตเ่ อาแบบปัจจุบนั จริงๆนะครับ ขา้ ราชการพลเรือนไทยก็ยกเลิกระบบซีไปเรียบร้อยแลว้ มาใชร้ ะบบแทง่ มี 4 แทง่ หลายระดบั วนุ่ วายครับ เพอื่ ความง่ายต่อการเปรียบเทียบ ท่านท่ีใชร้ ะบบแทง่ กข็ อใหล้ องกลบั ไป เปรียบเทียบดู วา่ หากยงั ใชร้ ะบบซี ท่านจะมีตาแหน่งซีเท่าไร ซ่ึงตวั ผมเองขอยกเป็ นตวั อยา่ งเพือ่ ความเขา้ ใจ ง่ายๆนะครับ กรณีทา่ นจบการศึกษา แลว้ เขา้ ไปเป็นขา้ ราชการตามวุฒิที่ท่านจบมา -ถา้ ท่านจบ ปวช.(ซี 1) เป็นระดบั ปฏิบตั ิงาน เทา่ กบั \"นาย\" ในสมยั โบราณ -ถา้ ทา่ นจบ ปวส.(ซี 2) เป็ นระดบั ปฏิบตั ิงาน เท่ากบั \"พนั \" หรือ \"หม่ืน\" -ถา้ จบปริญญาตรี(ซี 3)โท(ซี4) เป็นระดบั ปฏิบตั ิการ เทา่ กบั \"ขนุ \" (ถา้ เป็นทหาร ตารวจ กจ็ บโรงเรียนนาย ร้อยใหมๆ่ ) จากน้นั กเ็ ลื่อนระดบั กนั ไปเร่ือยๆครับ แลว้ มาดูระดบั สูงๆกนั บา้ ง -นายอาเภอเลก็ ๆ(ซี 8) ก็ \"พระ\" นายอาเภอใหญ่ๆ(ซี 9) ก็ \"พระยา\" -ระดบั อธิบดี หรือ ผวู้ า่ ราชการจงั หวดั เทียบเป็ นระบบซี ก็ซี 10 ก็เทียบไดก้ บั \"พระยา\" -ปลดั กระทรวง ซ่ึงถือเป็นตาแหน่งสูงสุดของขา้ ราชการ(ซี 11) จึงเท่ากบั \"เจา้ พระยา\"

ทา่ นท่ีสังเกตดีๆอาจจะเห็นวา่ แลว้ \"สมเด็จเจา้ พระยา\" หายไปไหน ตาแหน่งน้ีน้นั เพ่ิงมามีคร้ังแรกในสมยั พระเจา้ ตากสินมหาราช เป็ นตาแหน่งท่ีใหญ่กวา่ ขา้ ราชการโดยทว่ั ๆไป เรียกวา่ พิเศษก็ไดค้ รับ และใน ประวตั ิศาสตร์น้นั เคยมีผไู้ ดร้ ับแตง่ ต้งั เพียง 4 ท่าน คือ 1.สมเดจ็ เจา้ พระยามหากษตั ริยศ์ ึก บรรดาศกั ด์ิสุดทา้ ยในพระบาทสมเด็จพุทธยอดฟ้ าจุฬาโลกฯ ก่อน ปราบดาภิเษกเป็นพระเจา้ แผน่ ดินราชวงศใ์ หม่ 2.สมเดจ็ เจา้ พระยาบรมมหาประยรู วงศ์ สถาปนาข้ึนในรัชกาลท่ี 4 3.สมเด็จเจา้ พระยาบรมมหาพิชยั ญาติ สถาปนาข้ึนในรัชกาลที่ 4 4.สมเดจ็ เจา้ พระยาบรมมหาศรีสุริยวงศ์ สถาปนาข้ึนในรัชกาลที่ 5 อนั น้ีเป็นการเปรียบเทียบกบั ขา้ ราชการพลเรือนนะครับ ถา้ เป็นตารวจ ทหาร ก็เปรียบเทียบกนั ไดค้ รับ ยง่ิ ง่าย เลย เร่ิมท่ีสญั ญาบตั รร้อยตรี กเ็ ทียบไดก้ บั ซี 3 กร็ ันข้ึนไปเร่ือยๆ พล.อ. ก็ ซี 11 เจา้ พระยา ส่วนที่พเิ ศษไป กวา่ น้นั จอมพล ก็คงประมาณ สมเด็จเจา้ พระยา กระมงั เร่ืองน่ารู้กบั ครูนกฮูก กศน.เขตหนองแขม เร่ืองท่ี 68 .ในละครบุพเพสันนิวาส มีตอนหน่ึงที่ การะเกด หรือ เกศสุรางค์ ถูกสบประมาท และถูกชวนใหเ้ ขียนบทกลอน จนเธอเขียนออกมาบทนึง ซ่ึงกลอนบทน้ีแทจ้ ริง แลว้ เธอหยบิ มาจากบทกลอนของกรมหมื่นพทิ ยาลงกรณ์ (น.ม.ส.) ที่ทรงประพนั ธ์เร่ือง “กนกนคร” มาใช้ ดงั น้ี “หาแถง แง่ฟ้ าหาง่าย เบื่อหน่าย บงนกั พกั ตร์ผนิ หาเดือน เพ่ือนเถินเดินดิน คือนิล นยั นาหาดาย เพญ็ เดือน เพ่อื นดินสิ้นหา เพญ็ เดือน เลื่อนฟ้ าหาง่าย เดือนเดิน แดนดินนิลพราย เดือนฉาย เวหาสปราศนิล” และความหมายน้นั คือ แสดงใหเ้ ห็นถึงความ ฝังใจในตวั ของนางกนกเรขา และเพอ่ื ยกยอ่ ง นางกนกเรขา จึงแต่งกลอนบอกวา่ พระจนั ทร์ บนฟ้ าสามารถพบเห็นไดง้ ่าย จนน่าจาเจเบ่ือ หน่าย และตอ้ งเบือนหนา้ หนี หากแตเ่ ดือนบน ดิน ซ่ึงกค็ ือนางกนกเรขา เขากลบั อยากเห็น หนา้ ใจแทบขาด แต่กลบั ไมไ่ ดพ้ บ และ ถึงแมว้ า่ จะมีพระจนั ทร์อยเู่ ป็ นเพอื่ นก็ไร้ความหมาย เพราะไมง่ ามประทบั ใจเท่ากบั เดือนบนดิน

เรื่องน่ารู้กับครูนกฮูก กศน.เขตหนองแขม เรื่องท่ี 69 ช่วงน้ีมีการ แชร์ธนาบตั รแบบใหม่ ซ่ึงเป็ น พระฉายาทิสลกั ษณ์ ของรัชกาลที่ 10 บางคนเรียก พระบรมฉายาลกั ษณ์ พระบรมสาทิสลกั ษณ์ สอง คาน้ีต่างกนั อยา่ งไร พระบรมสาทิสลกั ษณ์ หมายถึง ภาพเหมือน ของพระมหากษตั ริย์ ภาพเหมือนดังกล่าวน้ีเป็ นภาพวาดไม่ใช่ ภาพถ่ายคาวา่ สาทิสลกั ษณ์ มาจากคาวา่ สาทิส (สา-ทิ-สะ) แปลวา่ เหมือนหรือคล้าย กับคาว่า ลกั ษณ์ แปลว่า รูปหรือรูปร่าง เมื่อ รวมกนั เป็ น สาทิสลกั ษณ์ จึงแปลวา่ รูปเหมือนหรือภาพเหมือน ส่วนพระบรมฉายาลกั ษณ์เป็ นภาพถ่าย แต่พระบรมสาทิสลกั ษณ์ และพระบรมฉายาสาทิสลักษณ์เป็ นภาพวาดนอกจากน้ี ยงั มี รายละเอียดอื่น ๆ ดังน้ี พระบรมฉายาลักษณ์ = รู ปถ่าย พระมหากษตั ริยพ์ ระฉายาลกั ษณ์ = รูปถ่ายสมเด็จพระนางเจา้ พระบรมราชินีนาถ สมเด็จพระบรมโอรสาธิ ราชฯ สมเดจ็ พระเทพรัตนราชสุดาฯ (เจา้ นายเศวตฉตั ร 7 ช้นั )พระรูป= เจา้ นายช้นั เจา้ ฟ้ า พระองคเ์ จา้ (หม่อม เจา้ ก็นิยมใชพ้ ระประกอบคาศพั ท์ ในบางศพั ท์สามญั )พระบรมสาทิสลกั ษณ์ = รูปวาดพระบาทสมเด็จพระ เจา้ อย่หู วั พระสาทิสลกั ษณ์ = รูปวาดเจา้ นายทรงเศวตฉัตร 7 ช้นั พระรูปวาด = รูปวาดเจา้ นายนอกน้นั พระ บรมฉายาสาทิสลกั ษณ์ = รูปวาดจากรูปภาพพระบาทสมเด็จพระเจา้ อยหู่ วั พระฉายาสาทิสลกั ษณ์ = รูปวาด พระบรมวงศท์ รงเศวตฉตั ร 7 ช้นั บางคนกล่าววา่ พระสาทิสลกั ษณ์ กบั พระฉายาทิสลกั ษณ์ คืออยา่ งเดียวกนั แต่ความจริงคือต่างกนั เน่ืองจากรูปวาดจากคน (พระสาทิศลกั ษณ์) กบั รูปวาดจากภาพถ่ายอีกที (พระฉายา สาทิศลกั ษณ์) เช่นผลงานในธนบตั รไทย เป็นตน้ เรื่องน่ารู้กบั ครูนกฮูก กศน.เขตหนองแขม เรื่องท่ี 70 เคยจะตอ้ งกินยาแลว้ ลืมไหมครับ และ กง็ งวา่ ทาไมตอ้ ง มียาก่อนอาหารกบั ยาหลงั อาหาร โดยหลกั ทางเภสัชวทิ ยา การกินยาก่อนอาหาร (เวลาทอ้ งวา่ ง) มีขอ้ ดีท่ี ลาไส้จะดูดซึมยาเขา้ ร่างกายไดเ้ ตม็ ที่ เน่ืองจากไมม่ ีอาหารคอยขดั ขวาง ดงั น้นั ถา้ เป็นยาที่ไมร่ ะคายเคืองต่อ กระเพาะอาหาร หมอนิยมให้กินก่อนอาหาร เช่น ยาลดความดนั เลือด ยารักษาเบาหวาน โรคหวั ใจ เป็ นตน้ ซ่ึงในปัจจุบนั มกั ใหก้ ินวนั ละ 1 คร้ัง ตอนเชา้ ก่อนอาหาร (ผผู้ ลิตยาพยายามผลิตยาท่ีออกฤทธ์ิไดน้ านท้งั วนั ใหก้ ินวนั ละคร้ังเพื่อความสะดวก)แต่อยา่ งไรกต็ าม ยาส่วนใหญ่หมอยงั นิยมใหก้ ินหลงั อาหาร ท้งั น้ีดว้ ย เหตุผล 2 ประการคือ 1. ยาบางชนิดอาจระคายเคืองต่อกระเพาะอาหาร (ไซท้ อ้ ง หรือกดั กระเพาะ) เช่น ยาแก้ ปวดลดไขแ้ อสไพริน ยาแกป้ วดขอ้ บางชนิด ยาปฏิชีวนะ เช่น เตตราไซคลีน อีริโทรไมซิน เป็นตน้ ยาเหล่าน้ี ถา้ กินก่อนอาหารอาจทาใหเ้ กิดอาการ คลื่นไส้ อาเจียน ปวดทอ้ ง จึงใหก้ ินหลงั อาหารซ่ึงบางคร้ังร่างกายอาจ ดูดซึมยาไดน้ อ้ ยกวา่ การกินก่อนอาหารแตก่ ็ยงั มีผลในการรักษาโรคไดด้ ีเช่นกนั (ปริมาณยาท่ีดูดซึมในการ กินหลงั อาหารเพียงพอท่ีจะออกฤทธ์ิทางยา)

2. เป็นเร่ืองของความสะดวก การกินยาก่อนอาหารคนไขม้ กั จะลืม โดยเฉพาะอยา่ งยงิ่ ถา้ ตอ้ งกินวนั ละหลาย ม้ือ หมอแนะนาใหก้ ินหลงั อาหารคนไขจ้ ะเคยชิน นึกไดว้ า่ เม่ือกินอาหารตอ้ งกินยาตามดงั น้นั สาหรับยาที่ ตอ้ งกินวนั ละหลายม้ือ ถึงแมไ้ มม่ ีปัญหาเรื่องการระคายเคืองต่อกระเพาะอาหารกย็ งั นิยมใหก้ ินหลงั อาหาร ยากลุ่มน้ีจะกินก่อนอาหารไดก้ ็ยงิ่ ดี (ถา้ แน่ใจวา่ ไมล่ ืม) และกินตอนทอ้ งวา่ ง เช่น ม้ือก่อนนอนกไ็ มม่ ีปัญหาส่วนยาที่อาจจะ ระคายเคืองต่อกระเพาะอาหาร ควรกินหลงั อาหารดีกวา่ ก่อนอาหาร ถา้ จาเป็นตอ้ งกิน ม้ือก่อนนอน ก่อนกินยาอาจกินของวา่ งหรือ ด่ืมนม แลว้ คอ่ ยกินยา เพ่ือป้ องกนั การระคายเคืองต่อกระเพาะอาหาร เม่ือลืมกินยาตามที่หมอส่งั ควรทาอยา่ งไร ก่อนอ่ืนตอ้ งดูวา่ ยาท่ีกินน้นั อยใู่ นกลุ่มไหน เป็นกลุ่มท่ีใชบ้ รรเทา อาการหรือกลุ่มท่ีใชร้ ักษาจาเพาะ ถา้ เป็นกลุ่มบรรเทาอาการเช่น แกไ้ ข แกป้ วด แกไ้ อ แกป้ วดเทา้ แกแ้ พ้ แก้ คนั เป็นตน้ กไ็ ม่จาเป็ นตอ้ งกินใหห้ มดหรือครบทุกม้ือ ก็ไดใ้ หก้ ินตามอาการถา้ อาการหายกห็ ยดุ ได้ ถา้ มี อาการกาเริบใหม่กไ็ ดก้ ินใหม่ ส่วนการเวน้ ช่วงห่างระหวา่ งม้ือยาที่กินกข็ ้ึนกบั ระยะเวลาการออกฤทธ์ิของยา เช่น ยาแกป้ วดลดไข้ มกั จะเวน้ ประมาณ 4 ถึง 6 ชวั่ โมง บางอยา่ งอาจใหก้ ินวนั ละคร้ัง (เช่น ยาแกแ้ พบ้ าง ชนิด) ยากลุ่มน้ีถา้ ลืมกิน หากไมม่ ีอาการก็เวน้ ไปไดเ้ ลย แต่ถา้ เป็นกลุ่มยาที่ใชร้ ักษาจาเพาะ เช่นยาปฏิชีวนะ (ยาฆา่ เช้ือ) ยาเบาหวาน ยาลดความดนั เลือด ควรกินใหค้ รบทุกม้ือทุกคร้ังไมค่ วรเวน้ ถา้ ลืมกินถา้ นึกไดท้ นั ที (เช่นลืมกินก่อนอาหาร มานึกไดห้ ลงั ทานขา้ วห่างกนั ไม่ถึงคร่ึงชวั่ โมง) ก็ใหก้ ินยาน้นั ไดท้ นั ทีไมค่ วรเวน้ แต่ ถา้ ลืมจนใกลม้ ้ือถดั ไปท่ีตอ้ งกินยาก็ใหก้ ินยาม้ือถดั ไปตามปกติ ไม่ควรเพม่ิ เป็น 2 เทา่ อาจทาใหย้ าออกฤทธ์ิ มากเกินไปก็ได้ ดงั น้นั ทุกคร้ังที่กินยาตอ้ งเรียนรู้วา่ ยากลุ่มบรรเทาอาการ (ซ่ึงเป็นส่วนใหญ่ของยาที่หมอให้ มา) หรือเป็นยากลุ่มที่ใชร้ ักษาจาเพาะ ถา้ เป็นกลุ่มหลงั กต็ อ้ งหาวธิ ีเตือนตวั เองอยา่ งใหล้ ืมเป็นดีท่ีสุด เร่ืองน่ารู้กับครูนกฮูก กศน.เขตหนองแขม เร่ืองท่ี 71 ช่วงน้ีมีคนถามเร่ืองบริจาคเลือดเยอะ ว่าต้องมี คุณสมบตั ิอย่างไรบ้าง ตอบในน้ี เลยนะครับ คุณสมบัติผู้บริ จาค โลหิต 1. อายุ 17ปี บริบูรณ์ -70ปี สุขภาพ สมบูรณ์พร้อมท่ีจะบริจาคโลหิต 1.1 ผบู้ ริจาคโลหิตตอ้ งมีอายุ 17 ปี บริ บูรณ์ข้ึนไป สามารถบริ จาค

โลหิตได้ แต่ถา้ อายไุ ม่ถึง 18 ปี บริบูรณ์ ตอ้ งมีหนงั สือยินยอมจากผปู้ กครอง และผบู้ ริจาคโลหิตคร้ังแรกอายุ ไม่เกิน 55 ปี 1.2 ผทู้ ี่มีอายุเกิน 55 ปี จนถึง 60 ปี ตอ้ งการบริจาคโลหิตเป็ นคร้ังแรก ตอ้ งอยูใ่ นดุลพินิจของแพทยห์ รือ พยาบาลของหน่วยงานที่รับบริจาคโลหิต 1.3 ผบู้ ริจาคโลหิตประจา สามารถบริจาคไดจ้ นถึง อายุ 70 ปี และตอ้ งมีการตรวจนบั เม็ดเลือดอยา่ งสมบูรณ์ ทุกคร้ัง โดยผบู้ ริจาคที่มีอายุมากกวา่ 60-65 ปี บริจาคไดท้ ุก 4 เดือน และผบู้ ริจาคท่ีมีอายุมากกวา่ 65 -70 ปี บริจาคได้ ทุก 6 เดือน และไมร่ ับบริจาคในหน่วยเคล่ือนที่ 2. สุขภาพแขง็ แรง และพกั ผอ่ นเพยี งพอควรนอนพกั ผอ่ นอยา่ งปกติใหเ้ พียงพอ สุขภาพพร้อมในวนั ท่ีบริจาค โลหิต และไมม่ ีอาการออ่ นเพลียใดๆ 3. หลีกเลี่ยงการรับประทานอาหารท่ีมีไขมนั สูงก่อนบริจาคโลหิต ควรหลีกเล่ียงการรับประทานอาหาร ประเภทท่ีมีไขมนั สูง ภายใน 6 ช่วั โมง ก่อนมาบริจาคโลหิต ได้แก่ ขา้ วมนั ไก่ ขา้ วขาหมู เพราะจะทาให้ พลาสมาหรือน้าเหลือง มีสีขาวขุ่น ไม่สามารถนาไปใช้รักษา ผูป้ ่ วยได้และหลังจากบริจาคโลหิต ให้ รับประทานอาหารตามปกติ ไมจ่ าเป็นตอ้ งรับประทานอาหารเพมิ่ ข้ึนเพื่อชดเชยโลหิตที่บริจาคไป 4.การต้งั ครรภแ์ ละการใหน้ มบุตรไม่รับบริจาคโลหิตจากผทู้ ่ีกาลงั ต้งั ครรภ์ หรือสงสัยวา่ กาลงั ต้งั ครรภแ์ ละ สตรีหลงั คลอด ใหน้ มบุตร แทง้ บุตร ตอ้ งเวน้ การบริจาคโลหิตอยา่ งนอ้ ย 6 เดือน 5. สตรีอยู่ระหว่างมีประจาเดือน ไม่เป็ นข้อห้ามในการบริจาคโลหิต ถ้าขณะน้ันมีสุขภาพแข็งแรง มี ประจาเดือนไมม่ ากกวา่ ปกติ ร่างกายทวั่ ไปสบายดี ไมม่ ีอาการออ่ นเพลียใดๆ ก็สามารถบริจาคโลหิตได้ และ สตรีท่ีหมดประจาเดือนแล้ว สามารถบริจาคโลหิตได้ หากสุขภาพร่างกายยงั แข็งแรงสมบูรณ์ ไม่มีโรค ประจาตวั ใดๆ 6.การสกั หรือการเจาะผวิ หนงั ผทู้ ่ีสกั หรือเจาะผวิ หนงั เช่น เจาะสะดือ เจาะจมูก ฯลฯ ให้งดการบริจาคโลหิต 12 เดือน เนื่องจากมีความเสี่ยงต่อการติดเช้ือ ไดแ้ ก่ ไวรัสตบั อกั เสบบี ไวรัสตบั อกั เสบซี ฯลฯ ซ่ึงอาจส่ง ตอ่ ไปใหผ้ ปู้ ่ วยรับโลหิตได้ 7. ทอ้ งเสีย ทอ้ งร่วง ควรงดบริจาคโลหิต 7วนั ผูบ้ ริจาคอาจมีอาการอ่อนเพลีย และมีอาการหนา้ มืดเป็ นลม ภายหลงั บริจาคโลหิตได้ ส่วนผปู้ ่ วยที่รับโลหิตอาจไดร้ ับเช้ือท่ีเป็ นสาเหตุของอาการทอ้ งร่วง ท่ีอาจติดทาง กระแสโลหิต 8. น้าหนกั ลดอย่างรวดเร็ว โดยไม่ทราบสาเหตุในระยะ 3เดือนท่ีผ่านมาการท่ีน้าหนกั ลดลงอย่างรวดเร็ว ภายในระยะเวลาส้ัน อาจมีสาเหตุมาจากโรคที่เป็ นอันตรายร้ายแรง เช่น โรคมะเร็ง โรคติดเช้ือต่างๆ โดยเฉพาะโรคเอดส์ ซ่ึงทาใหน้ ้าหนกั ตวั ลดลงอยา่ งรวดเร็ว รวมถึงสภาวะทางจิตใจที่มีความวิตกกงั วล หรือ พกั ผอ่ นไมเ่ พียงพอ 9. ผบู้ ริจาคโลหิตท่ีไดร้ ับการผา่ ตดั ใหญ่ หรือผา่ ตดั เล็ก ผบู้ ริจาคโลหิตที่ไดร้ ับการผา่ ตดั ใหญ่ คือ การผา่ ตดั ที่ ตอ้ งใชย้ าสลบ หรือให้ยาชาเขา้ ไขสันหลงั งดบริจาคโลหิต 6เดือน ผบู้ ริจาคที่ไดร้ ับการผ่าตดั เล็ก คือ การ ผา่ ตดั ท่ีไม่ตอ้ งใช้ยาสลบ แต่ใช้การระงบั ความรู้สึกเฉพาะท่ี งดบริจาคโลหิต 1 เดือน เพื่อให้ผูบ้ ริจาคมี

สุขภาพแข็งแรงดีพอที่จะบริจาคโลหิตและลดโอกาสเส่ียงต่อการติดเช้ือจากการผา่ ตดั หากผบู้ ริจาคโลหิตที่ ไดร้ ับโลหิตจากการรักษา ใหง้ ดการบริจาคโลหิต 12เดือน 10. ถอนฟัน อุดฟัน ขดู หินปูน รักษารากฟัน ภายใน 3 วนั ที่ผา่ นมาการรักษาในช่องปากทาใหเ้ กิดบาดแผล หรือการอกั เสบภายใน 3 วนั อาจมีภาวะติดเช้ือโรคในกระแสโลหิตชว่ั คราวโดยไม่มีอาการ ซ่ึงเช้ือโรคใน กระแสเลือด ทาให้ติดต่อไปสู่ผปู้ ่ วยไดห้ ากมีการผา่ ตดั เล็ก เช่น ผ่าฟันคุด เวน้ อยา่ งนอ้ ย 7 วนั จนกวา่ แผล หายสนิทไม่มีอาการอกั เสบ เร่ืองน่ารู้กับครูนกฮูก กศน.เขตหนองแขม เร่ืองท่ี 72 คยสงสัยกนั ไหมครับวา่ ทาไมกระดานดาถึงเป็ นสีเขียว เพราะวา่ ในสมยั ก่อนกระดานดายงั เป็นสีดาจริงๆ จึงได้ ช่ือว่ากระดานดา และได้เริ่ มมีสี เขียวออกมาเม่ือ ประมาณ 50 กวา่ ปี ก่อน เพราะวา่ สีเขียวสามารถทาให้ เรามองเห็นตวั หนงั สือสีขาวไดด้ ีข้ึนและยงั สบายตากวา่ อีกดว้ ย แต่ก็ยงั คงเรียกว่ากระดานดาเหมือนเดิม แต่ว่า ในปัจจุบนั กเ็ ริ่มหนั มาใชไ้ วทบ์ อร์ดกนั มากข้ึน เพ่อื ลดปัญหาจากฝ่ นุ ชอลก์ ท่ีอาจก่อใหเ้ กิดการแพไ้ ดง้ ่าย เรื่องน่ารู้กบั ครูนกฮูก กศน.เขตหนองแขม เรื่องท่ี 73 ไดต้ ้งั คาถามวา่ ทาไม นครปฐม และสมุทรสาคร รวมถึง ฉะเชิงเทรา ถึงไม่เป็ นปริมณฑล ก็มีคนมาถามหาคาตอบกนั เยอะ ก็เลยขอตอบในน้ีนะครับ ในอดีตก่อนปี 2474 กรุงเทพมหานคร มีช่ือวา่ จงั หวดั พระนคร มีเน้ือที่ แค่ฝ่ังกรุงเทพมหานคร และ ตอนน้นั มีจงั หวดั ธนบุรี และจงั หวดั มีนบุรี (ประกอบดว้ ย เขต มีนบุรี หนองจอก ลาดกระบงั คลองสามวา) ซ่ึงไม่รวมอย่กู บั จงั หวดั พระนคร ทาให้ในตอนน้นั มีจงั หวดั ที่ติดกบั จงั หวดั พระนคร จานวน 7 จงั หวดั ประกอบดว้ ย ธนบุรี พระ สมุทรเจดีย์ เขื่อนขันธ์พระประแดง มีนบุ รี ธญั บุรี สามโคก และนนทบุรี ซ่ึงทาให้ปริมณฑล ของจงั หวดั พระนคร คือ 7 จงั หวดั น้ี ต่อมา ในปี 2474 ได้มีการยุบรวม จังหวดั มีนบุรี เข้ากับ จงั หวดั พระคร และ ในปี 2514 ได้รวมจงั หวดั พระนคร กับ จังหวัดธนบุรี เข้าด้วยกันเป็ น กรุงเทพมหานคร แต่เขตปริมฌฑลของกรุงเทพ ยงั ยดึ จงั หวดั ที่ติดกบั จงั หวดั พระนคร เท่าน้นั ทา ใ ห้ น ค ร ป ฐ ม ส มุ ท ร ส า ค ร แ ล ะ จัง ห วัด ฉะเชิงเทราไม่เป็ นปริมณฑล ครับ ท้งั น้ี จงั หวดั พระสมุทรเจดีย์ ไดร้ วม กบั เข่ือนขนั ธ์พระปะแดง เป็ น จงั หวดั สมุทรปราการ และจงั หวดั ธญั บุรี รวมกบั จงั หวดั สามโคก เป็นจงั หวดั ปทุมธานี

เร่ืองน่ารู้กับครูนกฮูก กศน.เขตหนองแขม เรื่องที่ 74 ทราบไหมครับว่าทาไม เราเรียกผูน้ ารัฐบาลว่า นายกรัฐมนตรี ตาแหน่ง “ หั ว ห น้ า ผู้ บ ริ ห า ร ป ร ะ เ ท ศ ” ห รื อ นายกรัฐมนตรี ” มีมาแต่ อดีต เพียงแต่ยงั ไม่มีศพั ท์ คาว่า “นายกรัฐมนตรี” ใช้ เท่าน้ัน เช่น จีนเรี ยกว่า “ไจ๊เส่ี ย ง” หรื อ “มหา อุปราช” วรรณคดีสามก๊ก โจโฉ ก็เป็ นดารงตาแหน่ง ดงั กล่าว, อินเดีย วรรณคดีเรื่องกามนิต – วาสิฏฐี ใช้คาว่า “ประธานมนตรี” ไทยเราก็ใช้คาว่าอคั รมหา เสนาบดี, อคั รมหาเสนาภิมุข, สมุหนายก, ประธานกรรมการราษฎร ฯลฯ แลว้ คาวา่ “นายกรัฐมนตรี” เกิดข้ึน เมื่อใด ใครเป็ นผูบ้ ัญญตั ิศพั ท์ข้ึน!! เรื่องมีอยู่ว่า เมื่อคณะราษฎรเปล่ียนแปลงการปกครองเป็ นระบอบ ประชาธิปไตยแลว้ ไดด้ าเนินการร่างรัฐธรรมนูญฉบบั ถาวรซ่ึงกาหนดวา่ จะใหเ้ สร็จภายในวนั ท่ี 10 ธนั วาคม พ.ศ. 2475 หน่ึงในจานวนน้นั คือ “ร่างกฎหมายเปลี่ยนชื่อเสนาบดีเป็ นรัฐมนตรี” ที่มีอภิปรายในการประชุม สภาร่างรัฐธรรมนูญตกลงเห็นควรใหเ้ ปล่ียน “เสนาบดี” และ “กรรมการราษฎร” มาใชเ้ ป็ น “รัฐมนตรี” แทน พระธรรมนิเทศทวยหาร (อยู่ อุดมศิลป์ ) (ภาพจาก เวบ็ ไซต์ กองอนุศาสนาจารย์ กรมยุทธศึกษาทหารบก) ส่วนคาวา่ “ประธานกรรมการราษฎร” ยงั ไมไ่ ดก้ าหนดวา่ จะใชอ้ ยา่ งไร จึงมอบใหพ้ ระยามโนปกรณ์นิติธาดา (กอ้ น หุตะสิงห์) ดาเนินการต่อ พระยามโนปกรณ์ฯ ขอใหห้ ลวงประดิษฐม์ นูธรรม (ปรีดี พนมยงค)์ ช่วยหา ข้อมูลเร่ื องน้ีจากรัฐธรรมนูญต่างชาติ และให้พระธรรมนิเทศทวยหาร (อยู่ อุดมศิลป์ ) ตาแหน่ง อนุศาสนาจารย์ แปลเป็ นภาษาไทยหลวงประดิษฐ์ฯ เขียนบนั ทึกไวส้ ้ันๆวา่ “ไดพ้ บรัฐธรรมนูญฝรั่งเศสเขา เรียกหวั หนา้ ผบู้ ริหารประเทศของเขาวา่ ‘Premier’ ส่วนองั กฤษน้นั เขาเรียก ‘Prime-Minister’ เยอรมนั เรียกวา่ ‘Chancellor’ จะเทียบคาไทยอยา่ งไรสุดแต่คุณพระจะพิจารณา” พระธรรมนิเทศฯ ไดเ้ ทียบคาดงั น้ี Premier เป็น นาย + ก ตามหลกั ภาษาบาลี แปลวา่ “ผเู้ ป็ นนาย” ในท่ีน้ี “นายกรัฐมนตรี” คือผอู้ ยเู่ หนือ หรือ ผนู้ าคณะ มนตรีของประเทศคณะกรรมการร่างรัฐธรรมนูญคนสาคญั 3 ท่าน คือ พระยามานวราชเสวี (ปลอด วเิ ชียร ณ สงขลา), หลวงประดิษฐ์ฯ และเจา้ พระยาธรรมศกั ด์ิมนตรี (สนน่ั เทพหัสดิน ณ อยุธยา)ลงมติให้ใชค้ าว่า “นายกรัฐมนตรี” แทนคาวา่ “ประธานคณะกรรมการราษฎร ต้งั แต่วนั ท่ี 10 ธนั วาคม พ.ศ. 2475 เป็ นตน้ มา ไทยเป็ นประเทศแรกที่กาหนดและใช้คาว่า “นายกรัฐมนตรี” สาหรับตาแหน่งหัวหน้าผูบ้ ริหารประเทศ จากน้นั กมั พชู าเป็นประเทศท่ี 2 ใชเ้ มื่อ สมเด็จเจา้ นโรดมสีหนุ เขา้ ดารงตาแหน่ง “นายกรัฐมนตรี” พ.ศ. 2488 และลาวใชป้ ระเทศที่ 3 พ.ศ. 2488 เม่ือเจา้ เพชรราชดารงตาแหน่งหวั หนา้

เรื่องน่ารู้กบั ครูนกฮูก กศน.เขตหนองแขม เรื่องท่ี 75 เคยสงสยั กนั ไหมครับวา่ ทาไมตอ้ งใชด้ ินสอเบอร์ 2 ระบายคาตอบในกระดาษคาตอบ? การระบายคาตอบบนกระดาษคาตอบของขอ้ สอในแต่ละวชิ าคงเป็นอะไร ที่เรารู้จกั กนั ดี และทุกคร้ังอาจารยก์ จ็ ะบอกใหเ้ ราเตรียมดินสอเบอร์ 2 มาเพ่อื ระบายคาตอบลงใน กระดาษคาตอบ เคยสงสัยกนั บา้ งมยั๊ วา่ ทาไมตอ้ งใชด้ ินสอเบอร์ 2? แนวคิดน้ีเกิดข้ึนในปี 1931 โดยครู ฟิ สิกส์โรงเรียนมธั ยมชื่อ Reynold Johnson ขณะที่เขากาลงั ทาการตรวจขอ้ สอบ เขาเกิดสงสัยวา่ น่าจะมี วธิ ีการอ่ืนที่เขาจะตรวจขอ้ สอบไดท้ ี่ไมต่ อ้ งตรวจทุกขอ้ เองดว้ ยมือ เขารู้วา่ แกรไฟตเ์ ป็ นวสั ดุที่ในดินสอที่ใช้ ในการเขียน ซ่ึงคุณสมบตั ิหน่ึงของแกรไฟตท์ ่ีมีการจดั เรียงตวั ของอิเล็กตรอนเป็นแนวระนาบ โดย อิเลก็ ตรอนวงนอกสุดสามารถเคลื่อนท่ีไดอ้ ยา่ งอิสระภายในวสั ดุ จึงทาใหม้ นั สามารถนาไฟฟ้ าได้ จอห์นสัน จึงไดค้ ิดคน้ เครื่องตรวจขอ้ สอบจากกระดาษคาตอบที่มีการ ระบายดว้ ยดินสอข้ึน และขายไอเดียใหก้ บั IBM ไดผ้ ลิต เครื่องตรวจกระดาษคาตอบเป็นเครื่องแรก แตใ่ นตอนน้นั ดินสอ เบอร์ 2 ก็ยงั ไม่ไดเ้ ป็นปัญหาจนกระทงั่ รุ่นของเคร่ืองท่ีถูกนามาใช้ ในปี 1960 -1970 ซ่ึงเป็นเครื่องท่ีมีอุปกรณ์ตรวจวดั การดูดกลืน แสงที่เรียกวา่ phototubes ทาใหไ้ มส่ ามารถตรวจวดั แสงไดใ้ นบาง จุดที่ตอ้ งการบนั ทึกคาตอบ จึงตอ้ งใชแ้ กรไฟตท์ ่ีเฉพาะมากข้ึน เนื่องจากการทางานของเคร่ืองตรวจกระดาษคาตอบในปัจจุบนั น้นั จะใชห้ ลกั การการวดั การสะทอ้ นของแสง ซ่ึงคือจุดไหนมี การระบายคาตอบไวจ้ ะมีการดูดกลืนแสงไว้ และส่วนไหนท่ีไม่มีการระบายคาตอบ แสงก็จะสะทอ้ นกลบั หมด โดยปริมาณของแสงที่สะทอ้ นกลบั จะบอกถึงความเขม้ ที่ระบายซ่ึงที่ตอ้ งใชด้ ินสอเบอร์ 2ก็เพราะวา่ ดินสอเบอร์ 2 มีปริมาณคาร์บอนมากพอที่จะดูดกลืนแสงได้ และก็เบาพอท่ีจะสามารถลบใหส้ ะอาดได้ นนั่ เอง เกร็ดความรู้ ดินสอที่ใชโ้ ดยทวั่ ไปน้นั ไส้ดินสอทาดว้ ยแกรไฟต์ (Graphite) ผสมกบั Clay ซ่ึงเป็นดินชนิดหน่ึง ซ่ึงจะใช้ เพือ่ ช่วยในเรื่องของความแข็งหรืออ่อนของไส้ดินสอ ซ่ึงสามารถระบุความเขม้ ของดินสอเอาไวด้ ว้ ยตาม ระบบยโุ รป โดยใชอ้ กั ษร \"H\" (hardness) หมายถึง ความแขง็ ของไส้ดินสอ \"B\" (blackness) หมายถึง ความเขม้ \"F\" (fine point) หมายถึง เน้ือละเอียด ดินสอท่ีเขียนกนั โดยทวั่ ไป มีความเขม้ ระดบั HB แตด่ ินสอสาหรับระบายกระดาษคอมพิวเตอร์ หรือ กระดาษคาตอบในการทาขอ้ สอบตอ้ งใชค้ วามเขม้ ระดบั 2B ข้ึนไป ทราบกนั แลว้ กอ็ ยา่ ลืม ดินสอ 2B นะครับ

เร่ืองน่ารู้กับครูนกฮูก กศน.เขตหนองแขม เร่ืองที่ 76 ช่วงน้ียืนแบบภาษีออนไลน์ แลว้ มีการให้กรอกเลข เลเซอร์ไอดีหลงั บตั รประชาชน แลว้ ทราบ กนั ไหมครับว่า เลขเลเซอร์ไอดีหลงั บตั ร ประชาชน คืออะไร เลเซอร์ไอดี คือขอ้ มูล การควบคุมการแจกจ่ายบัตรประชาชน ดงั น้นั รหสั หลงั บตั รจึงมีโคด้ ที่แตกต่างกนั โดยรหสั หลงั บตั รประชาชนน้นั เราเรียกวา่ เลขควบคุมหลงั บตั ร แบ่งเป็ นชุดขอ้ มูลได้ 3 ชุ ด ดั ง น้ี ชุดท่ี 1 สามตวั แรก คือ รหัสของรุ่นชิพ ข้ อ มู ล ท่ี ใ ช้ ท า บั ต ร ต อ น น้ี ผ่ า น ม า 6 รุ่ น แ ล้ ว ต า ม ต า ร า ง ด้ า น บ น ค รั บ ชุ ด ที่ 2 เ จ็ ด ตัว ถัด ม า คื อ ห ม า ย เ ล ข ก ล่ อ ง ที่ ใ ช้ บ ร ร จุ บัต ร ป ร ะ จ า ตัว ป ร ะ ช า ช น ชุดที่ 3 สองตัวท้าย คือ หมายเลขลาดับของบัตรประจาตัวประชาชนตามกล่องที่บรรจุ แลว้ มนั มีไวท้ าอะไร ?? … ขอ้ มลู ท้งั 3 ชุดน้นั เม่ือผกู เขา้ ดว้ ยกนั จะทาให้ทราบท่ีมาของบตั ร เพราะ รหสั หลงั บตั รดังกล่าวเป็ นการควบคุมการจ่ายบตั รตามมาตรการของกรมการปกครองเพื่อใช้ในการควบคุมบตั ร ประชาชนให้มีความถูกต้องยิ่งข้ึน ลองคิดดูวา่ ถา้ หากคุณสามารถท่ีจะปลอมแปลงบตั รประชาชนไดแ้ บบ ชนิดท่ีวา่ กอ็ ปเกรด A+++ ไดไ้ ม่ยาก แคเ่ ตรียมรูปถ่าย เตรียมบตั รตน้ แบบ ขอ้ มูลต่างๆก็แกลง้ ๆใส่ไปได้ หรือ จะไปสวมของใครมา ใครมองก็จะไม่รู้วา่ เป็ นของปลอมเลย ถึงแมจ้ ะเป็ นสมาร์ทการ์ด มีชิพพิเศษ มีขอ้ มูล แบบชิพอะไรก็ตาม ถา้ มีเคร่ืองมือก็สามารถท่ีจะฝังขอ้ มูลเลียนแบบไปไดก้ ็คือ เป็ นบตั รประชาชนที่เหมือน จริงไดใ้ บหน่ึง แต่ … ถา้ หากเอามาเช็คขอ้ มูลหลงั บตั รประชาชนก็จะรู้เลยวา่ บตั รน้ีเป็ นของจริงแทๆ้ หรือป ล่าวเพราะ การออกบตั รถูกจากดั ด้วย รหสั ท่ีบรรจุบนกล่องท่ีใสบตั รสมาร์ทการ์ดน้ันมาในขอ้ มูลชุดท่ี 2 รวมถึง ยงั บอกลาดบั บตั รที่ออกจากกล่องน้นั อีกในขอ้ มูลชุดท่ี 3 ซ่ึงสามารถตรวจสอบยอ้ นกลบั ไปไดว้ า่ หน่วยงานทะเบียนที่ไหน เป็ นคนออกบตั ร ใครเป็ นคนทาบตั ร ใครเป็ นคนอนุมตั ิการออกบตั ร และ บตั รน้ี มนั มีขอ้ มูลตรงตามหนา้ บตั ร กบั ทะเบียนที่แจง้ ไวห้ รือปล่าว ดงั น้นั จึงเป็ นการยากที่จะสวมชุดขอ้ มูลลงไป ได้ นัน่ แหละครับ จริงๆตอ้ งบอกว่าเลขหลงั บตั รน่ีแหละครับที่ปราบเซียน หน่วยงานรัฐจะใช้ควบคู่กับ หมายเลขบัตรประชาชน 13 หลัก เพ่ือยืนยันว่า ถูกต้องแน่ นอน ไม่ได้ปลอมมาแน่ ๆ


Like this book? You can publish your book online for free in a few minutes!
Create your own flipbook