คมู่ อื ครรู ายวชิ าพน้ื ฐาน วทิ ยาศาสตรแ์ ละเทคโนโลยี เลม่ ๑ ชน้ั ประถมศกึ ษาปที ่ี ตามมาตรฐานการเรยี นรแู้ ละตวั ชว้ี ดั กลมุ่ สาระการเรยี นรวู้ ทิ ยาศาสตรแ์ ละเทคโนโลยี (ฉบบั ปรบั ปรงุ พ.ศ. ๒๕๖๐) ๖ตามหลกั สตู รแกนกลางการศกึ ษาขน้ั พน้ื ฐาน พทุ ธศกั ราช ๒๕๕๑
คู่มือครูรายวิชาพน้ื ฐานวทิ ยาศาสตร์ และเทคโนโลยี ชน้ั ประถมศกึ ษาปที ี่ ๖ เล่ม ๑ ตามมาตรฐานการเรยี นร้แู ละตวั ชี้วดั กลุ่มสาระการเรยี นรู้วิทยาศาสตร์ และเทคโนโลยี (ฉบบั ปรับปรุง พ.ศ. ๒๕๖๐) ตามหลกั สูตรแกนกลางการศกึ ษาขนั้ พ้นื ฐาน พทุ ธศกั ราช ๒๕๕๑ จัดทาโดย สถาบันส่งเสริมการสอนวทิ ยาศาสตรแ์ ละเทคโนโลยี กระทรวงศึกษาธกิ าร
คาช้แี จง สถาบันส่งเสริมการสอนวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี (สสวท.) ได้จัดทาตัวชี้วัดและสาระการเรียนรู้ แกนกลาง กลุ่มสาระการเรียนรู้วิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี (ฉบับปรับปรุง พ.ศ. ๒๕๖๐) ตามหลักสูตร แกนกลางการศึกษาขั้นพ้ืนฐาน พุทธศักราช ๒๕๕๑ โดยมีจุดเน้นเพื่อต้องการพัฒนาผู้เรียนให้มีความรู้ ความสามารถท่ีทัดเทียมกับนานาชาติ ได้เรียนรู้วิทยาศาสตร์ที่เช่ือมโยงความรู้กับกระบวนการในการ สืบเสาะหาความรู้และการแก้ปัญหาที่หลากหลาย มีการทากิจกรรมด้วยการลงมือปฏิบัติเพื่อให้ผู้เรียนได้ใช้ ทักษะกระบวนการทางวิทยาศาสตร์และทักษะแห่งศตวรรษท่ี ๒๑ ซ่ึงในปีการศึกษา ๒๕๖๑ เป็นต้นไปน้ี โรงเรียนจะต้องใช้หลักสูตรกลุ่มสาระการเรียนรู้วิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี (ฉบับปรับปรุง พ.ศ. ๒๕๖๐) สสวท. จึงได้จัดทาหนังสือเรียนท่ีเป็นไปตามมาตรฐานการเรียนรู้และตัวช้ีวัดของหลักสตู รเพื่อให้โรงเรียนไดใ้ ช้ สาหรับจดั การเรยี นการสอนในช้ันเรยี น คู่มือครูรายวิชาพื้นฐานวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี ช้ันประถมศึกษาปีท่ี ๖ เล่ม ๑ กลุ่มสาระ การเรียนรู้วิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีเล่มนี้ สสวท. ได้พัฒนาข้ึน เพ่ือนาไปใช้ประกอบหนังสือเรียนรายวิชา พ้นื ฐานวทิ ยาศาสตร์และเทคโนโลยี ช้ันประถมศกึ ษาปีท่ี ๖ เลม่ ๑ โดยภายในคมู่ อื ครปู ระกอบดว้ ยผังมโนทัศน์ ตัวชี้วัด ข้อแนะนาการใช้คู่มือครู ตารางแสดงความสอดคล้องระหว่างเนื้อหาและกิจกรรมในหนังสื อเรียนกับ มาตรฐานการเรียนรู้และตวั ช้วี ัด กลุ่มสาระการเรียนรวู้ ิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี (ฉบับปรบั ปรุง พ.ศ. ๒๕๖๐) ตามหลักสูตรแกนกลางการศึกษาขั้นพ้ืนฐาน พุทธศักราช ๒๕๕๑ ตลอดจนแนวการจัดกิจกรรมการเรียนรู้ ที่มุ่งเน้นการพัฒนาทักษะรอบด้าน ทั้งการอ่าน การสารวจตรวจสอบ การฝึกปฏิบัติ การปฏิบัติการทดลอง การสืบค้นข้อมูล และการอภิปราย โดยมีเป้าหมายให้นักเรียนพัฒนาทั้งด้านความรู้ ทักษะกระบวนการ ทางวิทยาศาสตร์ ทักษะแห่งศตวรรษท่ี ๒๑ จิตวิทยาศาสตร์ กระบวนการสืบเสาะหาความรู้ ทักษะการคิด การอ่าน การส่ือสาร การแก้ปัญหา ตลอดจนการนาความรู้ไปใช้ในชีวิตประจาวันอย่างมีคุณธรรมและค่านิยม ทเี่ หมาะสม สามารถดารงชวี ิตอยู่ในสังคมแห่งการเปลี่ยนแปลงในศตวรรษที่ ๒๑ อยา่ งมีความสุข ในการจัดทา คู่มือครูรายวิชาพื้นฐานวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี ช้ันประถมศึกษาปีที่ ๖ เล่ม ๑ กลุ่มสาระการเรียนรู้ วิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีเล่มนี้ ได้รับความร่วมมืออย่างดียิ่งจากคณาจารย์ ผู้ทรงคุณวุฒิ นักวิชาการ และ ครูผสู้ อน จากสถาบนั การศึกษาต่าง ๆ จึงขอขอบคุณไว้ ณ ทนี่ ี้ สสวท. หวังเป็นอย่างย่ิงว่าคู่มือครูรายวิชาพื้นฐานวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี ชั้นประถมศึกษาปีที่ ๖ เล่ม ๑ กลุ่มสาระการเรียนรู้วิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีเล่มนี้ จะเป็นประโยชน์แก่ครูและผู้เกี่ยวข้องทุกฝ่าย ท่ีจะช่วยให้การจัดการศึกษาด้านวทิ ยาศาสตรม์ ีประสิทธิภาพและประสิทธผิ ล หากมีข้อเสนอแนะใดที่จะทาให้ คมู่ ือครเู ลม่ นสี้ มบรู ณ์ยิง่ ข้นึ โปรดแจ้ง สสวท. ทราบด้วย จักขอบคณุ ย่ิง (ศาสตราจารย์ชกู ิจ ลิมปจิ านงค)์ ผอู้ านวยการสถาบันสง่ เสรมิ การสอนวทิ ยาศาสตร์และเทคโนโลยี
สารบัญกระทรวงศึกษาธกิ าร หน้า คาชี้แจง เป้าหมายของการจัดการเรียนการสอนวทิ ยาศาสตร์ ก คุณภาพของผเู้ รยี นวิทยาศาสตร์ เมอื่ จบช้ันประถมศึกษาปีท่ี 6 ข ทกั ษะท่ีสาคัญในการเรยี นร้วู ทิ ยาศาสตร์ ง ผังมโนทัศน์ (concept map) รายวิชาพ้ืนฐานวทิ ยาศาสตร์และเทคโนโลยี ช้ันประถมศึกษาปที ี่ 6 เล่ม 1 ซ ตัวช้วี ดั สาระการเรียนรู้แกนกลาง วทิ ยาศาสตร์และเทคโนโลยี ป.6 เล่ม 1 ฌ ขอ้ แนะนาการใช้ค่มู ือครู ฐ การจดั การเรียนการสอนวิทยาศาสตรใ์ นระดับประถมศึกษา ป การจัดการเรียนการสอนท่ีเน้นการสบื เสาะหาความรู้ทางวิทยาศาสตร์ ป การจัดการเรยี นการสอนท่ีสอดคลอ้ งกบั ธรรมชาตขิ องวทิ ยาศาสตร์ ฝ และกระบวนการทางวิทยาศาสตร์ การวัดผลและประเมินผลการเรียนรวู้ ทิ ยาศาสตร์ ฟ ตารางแสดงความสอดคล้องระหว่างเน้ือหาและกจิ กรรม ระดับชนั้ ประถมศึกษาปีท่ี 6 เลม่ 1 ย กบั ตวั ช้ีวัดกลมุ่ สาระการเรยี นร้วู ทิ ยาศาสตร์และเทคโนโลยี (ฉบับปรับปรงุ พ.ศ. 2560) หลกั สูตรแกนกลาง การศึกษาขน้ั พืน้ ฐาน พุทธศักราช 2551 รายการวสั ดุอปุ กรณว์ ิทยาศาสตร์ ป.6 เล่ม 1 ว หน่วยท่ี 1 อาหารและการย่อยอาหาร 1 ภาพรวมการจดั การเรยี นรู้ประจาหน่วยท่ี 1 อาหารและการยอ่ ยอาหาร 1 บทท่ี 1 สารอาหารและระบบยอ่ ยอาหาร 3 บทนเี้ ริ่มตน้ อย่างไร 7 เรอื่ งที่ 1 สารอาหาร 15 กิจกรรมท่ี 1 ในแต่ละวนั เรารับประทานอาหารเหมาะสมหรือไม่ อยา่ งไร 21 เร่ืองที่ 2 ระบบย่อยอาหาร 49 กจิ กรรมที่ 2 อวัยวะในระบบย่อยอาหารมลี กั ษณะและหน้าท่อี ย่างไร 54
สารบญั กิจกรรมท้ายบทที่ 1 สารอาหารและระบบยอ่ ยอาหาร หน้า แนวคาตอบในแบบฝึกหดั ทา้ ยบท 79 หนว่ ยท่ี 2 การแยกสารเน้อื ผสม 82 ภาพรวมการจดั การเรียนรู้ประจาหนว่ ยท่ี 2 การแยกสารเนื้อผสม 85 บทที่ 1 การแยกสารเนอื้ ผสมอยา่ งงา่ ย 85 บทน้เี ร่มิ ตน้ อย่างไร 87 เรื่องที่ 1 วธิ กี ารแยกสารเน้อื ผสมอยา่ งงา่ ย 90 94 กจิ กรรมท่ี 1.1 แยกของแข็งในสารเนื้อผสมออกจากกันได้อยา่ งไร 98 กิจกรรมท่ี 1.2 แยกของแข็งกบั ของเหลวในสารเน้ือผสมออกจากกันไดอ้ ย่างไร 112 กิจกรรมที่ 1.3 แยกสารแมเ่ หลก็ ออกจากสารเน้ือผสมไดอ้ ย่างไร 129 กจิ กรรมที่ 1.4 ใช้ประโยชน์จากการแยกสารเนื้อผสมอยา่ งงา่ ยได้อย่างไร 140 กจิ กรรมท้ายบทท่ี 1 การแยกสารเนอื้ ผสมอย่างง่าย 151 แนวคาตอบในแบบฝึกหัดท้ายบท 154 หนว่ ยท่ี 3 หนิ และซากดกึ ดาบรรพ์ 158 ภาพรวมการจัดการเรยี นรู้ประจาหนว่ ยที่ 3 หินและซากดึกดาบรรพ์ 158 บทที่ 1 หิน วฏั จกั รหิน และซากดึกดาบรรพ์ 160 บทน้เี ร่มิ ตน้ อย่างไร 164 เรอ่ื งท่ี 1 กระบวนการเกิดหิน วฏั จักรหนิ และการนาหินและแร่ไปใชป้ ระโยชน์ 170 กจิ กรรมท่ี 1.1 องคป์ ระกอบของหินมีอะไรบ้าง 178 กจิ กรรมที่ 1.2 กระบวนการเกิดหนิ และวฏั จกั รหนิ เป็นอย่างไร 192 กิจกรรมท่ี 1.3 หินและแร่มีประโยชนอ์ ย่างไรบา้ ง 221 เรอ่ื งท่ี 2 การเกิดซากดึกดาบรรพแ์ ละการนาไปใชป้ ระโยชน์ 236 กิจกรรมที่ 2.1 ซากดึกดาบรรพ์เกดิ ขน้ึ ได้อยา่ งไร 240 กจิ กรรมที่ 2.2 ซากดกึ ดาบรรพ์มีประโยชน์อย่างไร 267 กิจกรรมท้ายบทท่ี 1 หิน วฏั จกั รหนิ และซากดึกดาบรรพ์ 279
แนวคาตอบในแบบฝกึ หดั ทา้ ยบท สารบัญ แนวคาตอบในแบบทดสอบท้ายเล่ม บรรณานกุ รม หน้า คณะทางาน 283 287 301 304
ก คู่มือครรู ายวิชาพนื้ ฐานวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี ป.6 เล่ม 1 เปา้ หมายของการจดั การเรยี นการสอนวิทยาศาสตร์ วิทยาศาสตร์เป็นเรื่องของการเรียนรู้เกี่ยวกับธรรมชาติ โดยมนุษย์ใช้กระบวนการสังเกต สารวจ ตรวจสอบ และการทดลองเกี่ยวกับปรากฏการณ์ทางธรรมชาติแล้วนาผลท่ีได้มาจัดระบบหลักการ แนวคิด และทฤษฎี ดังน้ันการเรียนการสอนวิทยาศาสตร์จึงมุ่งเน้นให้นักเรียนได้เรียนรู้และค้นพบด้วยตนเองมากที่สุด นั่นคอื ใหเ้ กิดการเรยี นรู้ท้งั กระบวนการและองค์ความรู้ การจดั การเรยี นรูว้ ทิ ยาศาสตร์ในสถานศึกษามีเป้าหมายสาคัญ ดงั นี้ 1. เพอื่ ใหเ้ ขา้ ใจแนวคดิ หลักการ ทฤษฎี กฎ และความรพู้ นื้ ฐานของวิทยาศาสตร์ 2. เพอ่ื ใหเ้ ข้าใจขอบเขตธรรมชาติของวิทยาศาสตร์ และข้อจากดั ของวิทยาศาสตร์ 3. เพอ่ื ใหม้ ีทักษะทส่ี าคัญในการสบื เสาะหาความรูแ้ ละพฒั นาเทคโนโลยี 4. เพ่ือให้ตระหนักถึงการมีผลกระทบซ่ึงกันและกันระหว่างวิทยาศาสตร์ เทคโนโลยี มวลมนุษย์ และ ส่ิงแวดล้อม 5. เพ่ือนาความรู้ แนวคิด และทักษะต่าง ๆ ทางวิทยาศาสตร์ และเทคโนโลยีไปใช้ให้เกิดประโยชน์ต่อ สังคมและการดารงชีวติ 6. เพ่ือพัฒนากระบวนการคิดและจินตนาการ ความสามารถในการแก้ปัญหาและการจัดการ ทักษะใน การส่อื สาร และความสามารถในการประเมินและตัดสนิ ใจ 7. เพอื่ ใหเ้ ป็นผู้ทีม่ จี ิตวทิ ยาศาสตร์ มีคณุ ธรรม จริยธรรม และคา่ นิยมในการใช้วทิ ยาศาสตรแ์ ละเทคโนโลยี อยา่ งสร้างสรรค์ สถาบันสง่ เสริมการสอนวิทยาศาสตรแ์ ละเทคโนโลยี
คูม่ อื ครูรายวิชาพืน้ ฐานวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี ป.6 เลม่ 1 ข คณุ ภาพของนกั เรียนวทิ ยาศาสตร์ เมอื่ จบชั้นประถมศกึ ษาปที ี่ 6 นักเรียนที่เรียนจบชั้นประถมศึกษาปีที่ 6 ควรมีความรู้ ความคิด ทักษะกระบวนการ และจิตวิทยาศาสตร์ ดงั นี้ 1. เข้าใจโครงสร้าง ลักษณะเฉพาะและการปรับตัวของสิ่งมีชีวิต รวมทั้งความสัมพันธ์ของส่ิงมีชีวิต ในแหล่งท่ีอยู่ การทาหนา้ ที่ของสว่ นตา่ ง ๆ ของพชื และการทางานของระบบยอ่ ยอาหารของมนุษย์ 2. เข้าใจสมบัติและการจาแนกกลุ่มของวัสดุ สถานะและการเปล่ียนสถานะของสสาร การละลาย การเปลย่ี นแปลงทางเคมี การเปล่ยี นแปลงที่ผันกลับไดแ้ ละผันกลบั ไม่ได้ และการแยกสารอย่างงา่ ย 3. เข้าใจลักษณะของแรงโน้มถ่วงของโลก แรงลัพธ์ แรงเสียดทาน แรงไฟฟ้าและผลของแรงต่าง ๆ ผลที่ เกิดจากแรงกระทาต่อวัตถุ ความดัน หลักการท่ีมีต่อวัตถุ วงจรไฟฟ้าอย่างง่าย ปรากฏการณ์เบื้องต้น ของเสยี ง และแสง 4. เข้าใจปรากฏการณ์การข้ึนและตก รวมถึงการเปลี่ยนแปลงรูปรา่ งปรากฏของดวงจันทร์ องค์ประกอบ ของระบบสุริยะ คาบการโคจรของดาวเคราะห์ ความแตกต่างของดาวเคราะห์และดาวฤกษ์ การขึ้น และตกของกลุ่มดาวฤกษ์ การใช้แผนที่ดาว การเกิดอุปราคา พัฒนาการและประโยชน์ของเทคโนโลยี อวกาศ 5. เข้าใจลักษณะของแหล่งน้า วัฏจักรน้า กระบวนการเกิดเมฆ หมอก น้าค้าง น้าค้างแข็ง หยาดน้าฟ้า กระบวนการเกิดหิน วัฏจักรหิน การใช้ประโยชน์หินและแร่ การเกิดซากดึกดาบรรพ์ การเกิดลมบก ลมทะเล มรสุม ลักษณะและผลกระทบของภัยธรรมชาติ ธรณีพิบัติภัย การเกิดและผลกระทบของ ปรากฏการณเ์ รือนกระจก 6. ค้นหาข้อมูลอย่างมีประสิทธิภาพและประเมินความน่าเช่ือถือ ตัดสินใจเลือกข้อมูล ใช้เหตุผล เชิงตรรกะในการแก้ปัญหา ใช้เทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสารในการทางานร่วมกัน เข้าใจสิทธิ และหนา้ ทีข่ องตน เคารพสทิ ธขิ องผูอ้ น่ื 7. ตั้งคาถามหรือกาหนดปัญหาเกี่ยวกับสิ่งท่ีจะเรียนรู้ตามที่กาหนดให้หรือตามความสนใจ คาดคะเน คาตอบหลายแนวทาง สร้างสมมติฐานที่สอดคล้องกับคาถามหรือปัญหาที่จะสารวจตรวจสอบ วางแผนและสารวจตรวจสอบโดยใช้เคร่ืองมือ อุปกรณ์ และเทคโนโลยีสารสนเทศที่เหมาะสม ในการ เก็บรวบรวมขอ้ มูลทงั้ เชิงปริมาณและคุณภาพ 8. วเิ คราะห์ข้อมลู ลงความเหน็ และสรปุ ความสัมพันธ์ของขอ้ มูลทมี่ าจากการสารวจตรวจสอบในรูปแบบ ทเ่ี หมาะสม เพ่อื ส่ือสารความร้จู ากผลการสารวจตรวจสอบได้อย่างมีเหตุผลและหลักฐานอา้ งอิง 9. แสดงถึงความสนใจ มุ่งมั่น ในสิ่งที่จะเรียนรู้ มีความคิดสร้างสรรค์เกี่ยวกับเร่ืองที่จะศึกษาตามความ สนใจของตนเอง แสดงความคิดเห็นของตนเอง ยอมรับในข้อมูลท่ีมีหลักฐานอ้างอิง และรับฟังความ คดิ เห็นผูอ้ ื่น 10. แสดงความรบั ผดิ ชอบด้วยการทางานท่ีได้รับมอบหมายอย่างมุ่งมน่ั รอบคอบ ประหยัด ซอ่ื สัตย์ จนงาน ลุลว่ งเป็นผลสาเร็จ และทางานรว่ มกบั ผอู้ ื่นอยา่ งสรา้ งสรรค์ สถาบนั สง่ เสรมิ การสอนวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี
ค คมู่ ือครูรายวิชาพนื้ ฐานวทิ ยาศาสตร์และเทคโนโลยี ป.6 เล่ม 1 11. ตระหนักในคุณค่าของความรู้วิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี ใช้ความรู้และกระบวนการทางวทิ ยาศาสตร์ ในการดารงชีวิต แสดงความชื่นชม ยกย่อง และเคารพสิทธิในผลงานของผู้คิดค้น และศึกษาหาความรู้ เพ่ิมเติม ทาโครงงานหรือช้นิ งานตามทีก่ าหนดใหห้ รอื ตามความสนใจ 12. แสดงถึงความซาบซ้ึง ห่วงใย แสดงพฤติกรรมเกี่ยวกับการใช้ การดูแลรักษาทรัพยากรธรรมชาติและ สิ่งแวดลอ้ มอย่างรคู้ ณุ ค่า สถาบันสง่ เสรมิ การสอนวทิ ยาศาสตร์และเทคโนโลยี
คู่มือครูรายวิชาพน้ื ฐานวทิ ยาศาสตร์และเทคโนโลยี ป.6 เลม่ 1 ง ทักษะท่สี าคัญในการเรียนรวู้ ทิ ยาศาสตร์ ทักษะสาคญั ท่ีครผู ้สู อนจาเปน็ ต้องพัฒนาใหเ้ กดิ ขน้ึ กับนักเรยี นเมื่อมีการจัดการเรียนรวู้ ิทยาศาสตร์ เช่น ทักษะกระบวนการทางวิทยาศาสตร์ ทกั ษะแห่งศตวรรษท่ี 21 ทักษะกระบวนการทางวทิ ยาศาสตร์ (Science Process Skills) การเรียนรู้ทางวิทยาศาสตร์จาเป็นต้องใช้ทักษะกระบวนการทางวิทยาศาสตร์เพื่อนาไปสู่ การสืบเสาะค้นหาผ่านการสังเกต ทดลอง สร้างแบบจาลอง และวิธีการอื่น ๆ เพ่ือนาข้อมูล สารสนเทศและ หลักฐานเชิงประจักษ์มาสร้างคาอธิบายเก่ียวกับแนวคิดหรือองค์ความรู้ทางวิทยาศาสตร์ ทักษะกระบวนการ ทางวิทยาศาสตร์ ประกอบด้วย ทกั ษะการสังเกต (Observing) เป็นความสามารถในการใชป้ ระสาทสัมผัสอยา่ งใดอยา่ งหนงึ่ หรอื หลายอย่างสารวจวัตถุหรือปรากฏการณ์ต่าง ๆ ในธรรมชาติหรือจากการทดลอง โดยไม่ลงความคิดเห็นของ ผูส้ งั เกต ประสาทสมั ผสั ท้งั 5 ไดแ้ ก่ การดู การฟงั เสยี ง การดมกลิ่น การชิมรส และการสมั ผัส ทักษะการวัด (Measuring) เป็นความสามารถในการเลือกใช้เครื่องมือในการวัดปริมาณต่าง ๆ ได้อย่างเหมาะสม รวมถึงความสามารถในการหาปริมาณของส่ิงต่าง ๆ จากเคร่ืองมือที่เลือกใช้ออกมาเป็น ตวั เลขได้ถกู ตอ้ งและรวดเร็ว พรอ้ มระบุหนว่ ยของการวดั ไดอ้ ย่างถกู ต้อง ทักษะการลงความเห็นจากข้อมูล (Inferring) เป็นความสามารถในการคาดการณ์อย่างมี หลักการเก่ียวกับเหตุการณ์หรือปรากฏการณ์ โดยใช้ข้อมูล (Data) หรือสารสนเทศ (Information) ท่ีเคยเก็บ รวบรวมไวใ้ นอดตี ทักษะการจาแนกประเภท (Classifying) เปน็ ความสามารถในการแยกแยะ จัดพวกหรอื จัดกลุ่ม สิ่งต่าง ๆ ท่ีสนใจ เช่น วัตถุ ส่ิงมีชีวิต ดาว และเทหวัตถุต่าง ๆ หรือปรากฏการณ์ท่ีต้องการศึกษาออกเป็น หมวดหมู่ นอกจากน้ียังหมายถึงความสามารถในการเลือกและระบุเกณฑ์หรือลักษณะร่วมลักษณะใด ลกั ษณะหน่งึ ของสิง่ ต่าง ๆ ที่ตอ้ งการจาแนก ทักษะการหาความสัมพันธ์ของสเปซกับเวลา (Relationship of Space and Time) สเปซ คือ พ้ืนท่ีที่วัตถุครอบครอง ในท่ีน้ีอาจเป็นตาแหน่ง รูปร่าง รูปทรงของวัตถุ ส่ิงเหล่าน้ีอาจมีความสัมพันธ์กัน ดงั น้ี การหาความสัมพันธ์ระหว่างสเปซกบั สเปซ เป็นความสามารถในการหาความเกี่ยวข้อง สัมพันธ์กันระหว่ างพื้นที่ที่วัตถุต่างๆ (Relationship between Space and Space) ครอบครอง สถาบันสง่ เสริมการสอนวทิ ยาศาสตร์และเทคโนโลยี
จ ค่มู อื ครูรายวิชาพนื้ ฐานวทิ ยาศาสตร์และเทคโนโลยี ป.6 เล่ม 1 การหาความสัมพันธร์ ะหว่างสเปซกบั เวลา เป็นความสามารถในการหาความเกี่ยวข้อง (Relationship between Space and Time) สัมพันธ์กันระหว่างพื้นที่ท่ีวัตถุครอบครอง เม่ือเวลาผ่านไป ทักษะการใช้จานวน (Using Number) เป็นความสามารถในการใช้ความรู้สึกเชิงจานวน และ การคานวณเพือ่ บรรยายหรอื ระบรุ ายละเอยี ดเชงิ ปรมิ าณของสิง่ ท่ีสังเกตหรือทดลอง ทักษะการจัดกระทาและสื่อความหมายข้อมูล (Organizing and Communicating Data) เป็นความสามารถในการนาผลการสังเกต การวัด การทดลอง จากแหลง่ ต่าง ๆ มาจดั กระทาให้อยใู่ นรูปแบบที่ มีความหมายหรือมีความสัมพนั ธ์กนั มากขึ้น จนงา่ ยต่อการทาความเข้าใจหรือเหน็ แบบรปู ของข้อมลู นอกจากนี้ ยังรวมถึงความสามารถในการนาข้อมูลมาจัดทาในรูปแบบต่าง ๆ เช่น ตาราง แผนภูมิ แผนภาพ วงจร กราฟ สมการ การเขียนบรรยาย เพอ่ื ส่ือสารให้ผู้อ่นื เขา้ ใจความหมายของข้อมูลมากข้ึน ทักษะการพยากรณ์ (Predicting) เป็นความสามารถในบอกผลลัพธ์ของปรากฏการณ์ สถานการณ์ การสังเกต การทดลองที่ได้จากการสังเกตแบบรูปของหลักฐาน (Pattern of Evidence) การพยากรณ์ที่ แม่นยาจึงเป็นผลมาจากการสังเกตท่ีรอบคอบ การวัดท่ีถูกต้อง การบันทึก และการจัดกระทากับข้อมูลอย่าง เหมาะสม ทักษะการตั้งสมมติฐาน (Formulating Hypotheses) เป็นความสามารถในการคิดหาคาตอบ ล่วงหน้าก่อนดาเนินการทดลอง โดยอาศัยการสังเกต ความรู้ ประสบการณ์เดิมเป็นพ้ืนฐานคาตอบท่ีคิด ล่วงหน้าท่ียังไม่รู้มาก่อน หรือยังไม่เป็นหลักการ กฎ หรือทฤษฎีมาก่อน การต้ังสมมติฐานหรือคาตอบที่คิดไว้ ล่วงหน้ามักกล่าวไว้เป็นข้อความที่บอกความสัมพันธ์ระหว่างตัวแปรต้นกับตัวแปรตาม ซ่ึงอาจเป็นไปตามท่ี คาดการณไ์ วห้ รือไมก่ ไ็ ด้ ทักษะการกาหนดนิยามเชิงปฏิบัติการ (Defining Operationally) เป็นความสามารถในการ กาหนดความหมายและขอบเขตของสิ่งต่าง ๆ ท่อี ยู่ในสมมตฐิ านของการทดลอง หรือท่เี กีย่ วข้องกับการทดลอง ให้เข้าใจตรงกนั และสามารถสงั เกตหรอื วดั ได้ ทักษะการกาหนดและควบคุมตัวแปร (Controlling Variables) เป็นความสามารถในการ กาหนดตัวแปรต่าง ๆ ท้ังตัวแปรต้น ตัวแปรตาม และตัวแปรที่ต้องควบคุมให้คงท่ี ให้สอดคล้องกับสมมติฐาน ของการทดลอง รวมถึงความสามารถในการระบุและควบคุมตัวแปรอื่น ๆ นอกเหนือจากตัวแปรต้น ซึ่งอาจ ส่งผลต่อผลการทดลอง หากไม่ควบคุมให้เหมือนกันหรือเท่ากัน ตัวแปรท่ีเกี่ยวข้องกับการทดลอง ได้แก่ ตัวแปรต้น ตวั แปรตาม และตวั แปรที่ตอ้ งควบคมุ ใหค้ งท่ี ซึง่ ลว้ นเปน็ ปัจจัยทเ่ี กีย่ วข้องกบั การทดลอง ดังน้ี ตวั แปรต้น (Independent Variable) หมายถึง สิ่งท่เี ปน็ ต้นเหตุทาใหเ้ กิดการเปล่ยี นแปลง จึงตอ้ ง จัดสถานการณใ์ ห้มสี ่งิ น้ีแตกตา่ งกัน ตัวแปรตาม (Dependent Variable) หมายถึง สิ่งที่เป็นผลจากการจัดสถานการณ์บางอย่างให้ แตกต่างกนั และเราตอ้ งสงั เกต วัด หรือติดตามดู สถาบนั สง่ เสริมการสอนวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี
คมู่ ือครูรายวิชาพืน้ ฐานวทิ ยาศาสตร์และเทคโนโลยี ป.6 เล่ม 1 ฉ ตัวแปรที่ต้องควบคุมให้คงท่ี (Controlled Variable) หมายถึง สิ่งต่าง ๆ ท่ีอาจส่งผลต่อการจัด สถานการณ์ จึงต้องจัดส่ิงเหล่านี้ให้เหมือนกันหรือเท่ากัน เพื่อให้มั่นใจว่าผลจากการจัดสถานการณ์เกิดจาก ตัวแปรตน้ เท่าน้นั ทักษะการทดลอง (Experimenting) การทดลองประกอบดว้ ย 3 ขั้นตอน คอื การออกแบบการ ทดลอง การปฏิบัติการทดลอง และการบันทึกผลการทดลอง ทักษะการทดลองจึงเป็นความสามารถในการ ออกแบบและวางแผนการทดลองได้อย่างรอบคอบ และสอดคลอ้ งกับคาถามการทดลองและสมมตฐิ าน รวมถึง ความสามารถในการดาเนินการทดลองได้ตามแผน และความสามารถในการบันทึกผลการทดลองได้ละเอียด ครบถว้ น และเท่ียงตรง ทักษะการตีความหมายข้อมูลและลงข้อสรุป (Interpreting and Making Conclusion) ความสามารถในการแปลความหมาย หรือการบรรยายลักษณะและสมบัติของข้อมูลท่ีมีอยู่ ตลอดจน ความสามารถในการสรปุ ความสมั พันธข์ องขอ้ มลู ทั้งหมด ทักษะการสร้างแบบจาลอง (Formulating Models) ความสามารถในการสร้างและใช้สิ่งที่ทา ข้ึนมาเพื่อเลียนแบบหรืออธิบายปรากฏการณ์ท่ีศึกษาหรือสนใจ เช่น กราฟ สมการ แผนภูมิ รูปภาพ ภาพเคลื่อนไหว รวมถึงความสามารถในการนาเสนอข้อมูล แนวคิด ความคิดรวบยอดเพ่ือให้ผู้อื่นเข้าใจในรูป ของแบบจาลองแบบต่าง ๆ ทกั ษะแห่งศตวรรษที่ 21 (21st Century Skills) ราชบัณฑิตยสถานได้ระบุทักษะที่จาเป็นแห่งศตวรรษที่ 21 ซ่ึงสอดคล้องกับสมรรถนะที่ควรมีในพลเมือง ยคุ ใหม่รวม 7 ดา้ น (สานกั งานพฒั นาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ, 2558; สานักงานราชบัณฑิตยสภา, 2557) ในระดบั ประถมศกึ ษาจะเน้นใหค้ รูผสู้ อนส่งเสรมิ ให้นกั เรียนมีทักษะ ดงั ตอ่ ไปนี้ การคิดอย่างมีวิจารณญาณ (Critical Thinking) หมายถึง การคิดโดยใช้เหตุผลท่ีหลากหลาย เหมาะสมกับสถานการณ์ มีการคิดอย่างเป็นระบบ วิเคราะห์ ประเมินหลักฐานและข้อคิดเห็นด้วยมุมมองที่ หลากหลาย สังเคราะห์ แปลความหมาย และจัดทาข้อสรุป สะท้อนความคิดอย่างมีวิจารณญาณโดยใช้ ประสบการณแ์ ละกระบวนการเรยี นรู้ การแก้ปัญหา (Problem Solving) หมายถึง ความสามารถในการแก้ปัญหาที่ไม่คุ้นเคย หรือ ปัญหาใหม่ โดยอาจใช้ความรู้ ทกั ษะ วธิ ีการและประสบการณ์ทเี่ คยรมู้ าแล้ว หรอื การสืบเสาะหาความรู้ วิธกี าร ใหม่มาใช้แก้ปัญหา นอกจากนี้ยังรวมถึงการซักถามเพ่ือทาความเข้าใจมุมมองที่แตกต่าง หลากหลายเพ่ือให้ได้ วธิ แี กป้ ญั หาท่ีดียง่ิ ขึน้ การส่ือสาร (Communication) หมายถึง ความสามารถในการสื่อสารได้อย่างชัดเจน เช่ือมโยง เรียบเรียงความคิดเเละมุมมองต่าง ๆ แล้วสื่อสารโดยการใช้คาพูด หรือการเขียน เพื่อให้ผู้อ่ืนเข้าใจได้ หลากหลายรูปแบบและวัตถุประสงค์ นอกจากนี้ยังรวมไปถึงการฟังอย่างมีประสิทธิภาพเพื่อให้เข้าใจ ความหมายของผู้สง่ สาร สถาบนั ส่งเสรมิ การสอนวิทยาศาสตรแ์ ละเทคโนโลยี
ช คู่มือครรู ายวิชาพื้นฐานวทิ ยาศาสตร์และเทคโนโลยี ป.6 เลม่ 1 ความร่วมมือ (Collaboration) หมายถึง ความสามารถในการทางานร่วมกับคนกลุ่มต่าง ๆ ที่หลากหลายอย่างมีประสิทธิภาพและให้เกียรติ มีความยืดหยุ่นและยินดีท่ีจะประนีประนอม เพื่อให้บรรลุ เป้าหมายการทางาน พร้อมทัง้ ยอมรบั และแสดงความรับผดิ ชอบต่องานที่ทารว่ มกัน และเห็นคุณค่าของผลงาน ที่พัฒนาข้ึนจากสมาชกิ แต่ละคนในทีม การสร้างสรรค์ (Creativity) หมายถึง การใช้เทคนิคที่หลากหลายในการสร้างสรรค์แนวคิด เช่น การระดมพลังสมอง รวมถึงความสามารถในการพัฒนาต่อยอดแนวคิดเดิม หรือได้แนวคิดใหม่ และความสามารถในการกล่ันกรอง ทบทวน วิเคราะห์ และประเมินแนวคิด เพื่อปรับปรุงให้ได้แนวคิดที่จะ สง่ ผลให้ความพยายามอย่างสรา้ งสรรคน์ ีเ้ ป็นไปได้มากท่ีสดุ การใช้เทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสาร (Information and Communication Technology (ICT)) หมายถึง ความสามารถในการใช้เทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสารเพ่ือเป็นเคร่ืองมือสืบค้น จัดกระทา ประเมิน และสื่อสารข้อมูลความรู้ ตลอดจนรู้เท่าทันส่ือโดยการใช้ส่ือต่าง ๆ ได้อย่างเหมาะสม มปี ระสทิ ธิภาพ สถาบนั สง่ เสรมิ การสอนวทิ ยาศาสตรแ์ ละเทคโนโลยี
คมู่ อื ครูรายวิชาพืน้ ฐานวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี ป.6 เล่ม 1 ซ ผังมโนทศั น์ (concept map) รายวิชาพ้นื ฐานวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี ชัน้ ประถมศกึ ษาปีที่ 6 เล่ม 1 เน้อื หาการเรียนรู้วิชาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี ช้นั ประถมศกึ ษาปีที่ 6 เลม่ 1 ประกอบดว้ ย หนว่ ยท่ี 1 อาหาร หนว่ ยท่ี 2 การแยก หน่วยที่ 3 หนิ และ และการย่อยอาหาร สารเนื้อผสม ซากดึกดาบรรพ์ ไดแ้ ก่ ได้แก่ ไดแ้ ก่ สารอาหาร การแยกสาร กระบวนการเกดิ หิน วัฏจกั รหิน และการนา ระบบย่อยอาหาร เน้ือผสมอย่างงา่ ย หนิ และแร่ไปใช้ ประโยชน์ การเกิดซากดกึ ดาบรรพ์ และการนาไปใช้ ประโยชน์ สถาบนั ส่งเสรมิ การสอนวทิ ยาศาสตร์และเทคโนโลยี
ฌ คู่มอื ครรู ายวิชาพนื้ ฐานวทิ ยาศาสตร์และเทคโนโลยี ป.6 เลม่ 1 ตวั ช้ีวัด สาระการเรยี นรู้แกนกลาง วิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี ป.6 เลม่ 1 ตัวช้วี ัดชน้ั ปี สาระการเรยี นรูแ้ กนกลาง ว 1.2 ป.6/1 ระบุสารอาหารและบอกประโยชน์ของ สารอาหารท่ีอยู่ในอาหารมี 6 ประเภท ได้แก่ สารอาหารแต่ละประเภทจากอาหารท่ี คาร์โบไฮเดรต โปรตีน ไขมัน เกลือแร่ วิตามิน และ ตนเองรบั ประทาน น้า ว 1.2 ป.6/2 อาหารแต่ละชนิดประกอบด้วยสารอาหารท่ี บอกแนวทางในการเลอื กรับประทานอาหาร แตกตา่ งกัน อาหารบางอยา่ งประกอบดว้ ยสารอาหาร ให้ได้สารอาหารครบถ้ว นในสัดส่วน ประเภทเดียว อาหารบางอย่างประกอบด้ วย ท่ี เ ห ม า ะ ส ม กั บ เ พ ศ แ ล ะ วั ย ร ว ม ท้ั ง สารอาหารมากกวา่ หนึง่ ประเภท ความปลอดภยั ต่อสขุ ภาพ สารอาหารแต่ละประเภทมีประโยชน์ต่อร่างกาย ว 1.2 ป.6/2 ตระหนักถึงความสาคัญของสารอาหาร โดย แตกต่างกัน โดยคาร์โบไฮเดรต โปรตีน และไขมัน การเลือกรับประทานอาหารที่มีสารอาหาร เป็นสารอาหารที่ให้พลังงานแก่ร่างกาย ส่วนเกลือแร่ ครบถ้วนในสัดส่วนที่เหมาะสมกับเพศ วิตามิน และน้า เป็นสารอาหารที่ไม่ให้พลังงาน และวัย รวมทั้งปลอดภยั ต่อสขุ ภาพ แก่รา่ งกาย แตช่ ่วยให้ร่างกายทางานไดเ้ ปน็ ปกติ การรับประทานอาหารเพื่อให้ร่างกายเจริญเติบโต มีการเปล่ียนแปลงของร่างกายตามเพศและวัย และ มีสุขภาพดี จาเป็นต้องรับประทานให้ได้พลังงาน เพียงพอกับความต้องการของร่างกาย และให้ได้ สารอาหารครบถ้วนในสัดส่วนที่เหมาะสมกับเพศ และวยั รวมทั้งต้องคานึงถงึ ชนิดและปริมาณของวัตถุ เจือปนในอาหารเพือ่ ความปลอดภัยต่อสขุ ภาพ ว 1.2 ป.6/4 ระบบย่อยอาหารประกอบด้วยอวัยวะต่าง ๆ ได้แก่ สร้างแบบจาลองระบบย่อยอาหาร และ ปาก หลอดอาหาร กระเพาะอาหาร ลาไส้เล็ก บรรยายหน้าท่ีของอวัยวะในระบบย่อย ลาไส้ใหญ่ ทวารหนัก ตับ และตับอ่อน ซ่ึงทาหน้าท่ี อาหาร รวมท้ังอธิบายการย่อยอาหารและ ร่วมกนั ในการยอ่ ยและดูดซึมสารอาหาร การดดู ซมึ สารอาหาร - ปาก มีฟันช่วยบดเค้ียวอาหารให้มีขนาดเล็กลง ว 1.2 ป.6/5 และมีลิ้นช่วยคลุกเคล้าอาหารกับน้า ลาย ต ร ะ ห นั ก ถึ ง ค ว า ม ส า คั ญ ข อ ง ร ะ บ บ ย่ อ ย ในน้าลายมีเอนไซม์ย่อยแปง้ ให้เปน็ นา้ ตาล อาหาร โดยการบอกแนวทางในการดูแล - หลอดอาหาร ทาหน้าที่ลาเลียงอาหารจากปาก ไปยังกระเพาะอาหาร ภายในกระเพาะอาหารมี สถาบนั ส่งเสริมการสอนวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี
คมู่ อื ครรู ายวิชาพน้ื ฐานวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี ป.6 เลม่ 1 ญ ตวั ชี้วัดชนั้ ปี สาระการเรียนรู้แกนกลาง รักษาอวัยวะในระบบย่อยอาหารให้ทางาน การย่อยโปรตีนโดยกรดและเอนไซม์ที่สร้างจาก เปน็ ปกติ กระเพาะอาหาร - ลาไส้เล็กมีเอนไซม์ท่ีสร้างจากผนังลาไส้เล็กเอง และจากตับอ่อนที่ช่วยย่อยโปรตีน คาร์โบไฮเดรต และไขมัน โดยโปรตนี คาร์โบไฮเดรต และไขมันที่ ผ่านการย่อยจนเป็นสารอาหารขนาดเล็กพอท่ีจะ ดูดซึมได้ รวมถึงน้า เกลือแร่ และวิตามิน จะถูก ดูดซึม ท่ีผนังลาไส้เล็กเข้าสู่กระแสเลือดเพื่อ ลาเลียงไปยังส่วนต่าง ๆ ของร่างกาย ซ่ึงโปรตีน คารโ์ บไฮเดรต และไขมัน จะถูกนาไปใช้เป็นแหล่ง พลังงานสาหรับใช้ในกิจกรรมต่าง ๆ ส่วนน้า เกลือแร่ และวิตามิน จะช่วยให้ร่างกายทางานได้ เปน็ ปกติ - ตับสร้างน้าดีแล้วส่งมายังลาไส้เล็กช่วยให้ไขมัน แตกตัว - ลาไสใ้ หญท่ าหนา้ ทีด่ ูดนา้ และเกลือแร่ เป็นบรเิ วณ ท่ี มี อ า ห า ร ที่ ย่ อ ย ไ ม่ ไ ด้ ห รื อ ย่ อ ย ไ ม่ ห ม ด เ ป็ น กากอาหาร ซึ่งจะถูกกาจัดออกทางทวารหนัก อวัยวะต่างๆ ในระบบย่อยอาหาร มีความสาคัญ จึงควรปฏบิ ัติตน ดูแลรักษาอวัยวะให้ทางานเป็นปกติ ว 2.1 ป.6/1 อธิบายและเปรียบเทียบการแยกสารผสม สารผสมประกอบด้วยสารตั้งแต่ 2 ชนดิ ขึ้นไปผสมกัน โดยการหยิบออก การร่อน การใช้แม่เหล็ก เช่น น้ามันผสมน้า ข้าวสารปนกรวดทราย วิธีการที่ ดึงดูด การรินออก การกรอง และการ เหมาะสมในการแยกสารผสมขึ้นอยู่กับลักษณะและ ตกตะกอน โดยใช้หลักฐานเชิงประจักษ์ สมบัติของสารท่ีผสมกัน ถ้าองค์ประกอบของสาร รวมทั้งระบุวิธีแก้ปัญหาในชีวิตประจาวัน ผสมเป็นของแข็งกับของแข็งท่ีมีขนาดแตกต่างกัน เกยี่ วกบั การแยกสาร อยา่ งชัดเจน อาจใช้วธิ กี ารหยิบออกหรือการร่อนผ่าน วัสดุท่ีมีรู ถ้ามีสารใดสารหนึ่งเป็นสารแม่เหล็กอาจใช้ วิธีการใช้แมเ่ หล็กดึงดูด ถ้าองค์ประกอบเป็นของแข็ง ท่ีไม่ละลายในของเหลว อาจใช้วิธีการรินออก การกรอง หรือการตกตะกอน ซึ่งวิธีการแยกสาร สามารถนาไปใช้ประโยชน์ในชีวิตประจาวนั ได้ สถาบนั สง่ เสริมการสอนวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี
ฎ คมู่ ือครูรายวิชาพื้นฐานวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี ป.6 เลม่ 1 ตวั ชี้วัดชั้นปี สาระการเรียนร้แู กนกลาง ว 3.2 ป.6/1 หินเป็นวัสดุแข็งเกิดข้ึนเองตามธรรมชาติ ประกอบ เปรยี บเทยี บกระบวนการเกิดหนิ อคั นี ด้วยแร่ตั้งแต่หนึ่งชนิดข้ึนไป สามารถจาแนกหินตาม หินตะกอน และหนิ แปร และอธิบาย กระบวนการเกิดได้เป็น 3 ประเภท ได้แก่ หินอัคนี วฏั จกั รหนิ จากแบบจาลอง หนิ ตะกอน และหินแปร ว 3.2 ป.6/2 หินอัคนีเกิดจากการเย็นตัวของแมกมา เนื้อหินมี บรรยายและยกตวั อยา่ งการใช้ประโยชน์ ลักษณะเป็นผลึก ทั้งผลึกขนาดใหญ่และขนาดเล็ก ของหินและแรใ่ นชีวิตประจาวันจากข้อมูลที่ บางชนดิ อาจเป็นเนอื้ แก้วหรอื มรี พู รุน รวบรวมได้ หินตะกอน เกดิ จากการทับถมของตะกอนเมื่อถูกแรง กดทับและมีสารเชอ่ื มประสานจงึ เกิดเป็นหิน เน้ือหิน กลุ่มน้ีส่วนใหญ่มีลักษณะเป็นเม็ดตะกอน มีท้ัง เนื้อหยาบและเน้ือละเอียด บางชนิดเป็นเน้ือผลึกท่ี ยึดเกาะกันเกิดจากการตกผลึกหรือตกตะกอนจาก น้าโดยเฉพาะน้าทะเล บางชนิดมีลักษณะเป็นช้ัน ๆ จึงเรยี กอีกชอื่ วา่ หนิ ชน้ั หินแปร เกิดจากการแปรสภาพของหินเดิมซ่ึงอาจ เป็นหินอัคนี หนิ ตะกอน หรอื หนิ แปร โดยการกระทา ของความร้อน ความดัน และปฏิกิริยาเคมี เน้ือหิน ของหินแปรบางชนิดผลึกของแร่เรียงตัวขนานกัน เป็นแถบ บางชนิดแซะออกเป็นแผ่นได้ บางชนิดเป็น เนื้อผลกึ ทม่ี ีความแขง็ มาก หินในธรรมชาติท้ัง 3 ประเภท มีการเปล่ียนแปลง จากประเภทหน่ึงไปเป็นอีกประเภทหน่ึง หรือ ประเภทเดิมได้ โดยมีแบบรูปการเปล่ียนแปลงคงที่ และต่อเนื่องเป็นวฏั จกั ร หินและแร่แต่ละชนิดมีลักษณะและสมบัติแตกต่าง กัน มนุษย์ใช้ประโยชน์จากแร่ในชีวิตประจาวันใน ลกั ษณะตา่ ง ๆ เช่น นาแร่มาทาเคร่อื งสาอาง ยาสฟี นั เคร่ืองประดับ อุปกรณ์ทางการแพทย์ และนาหินมา ใชใ้ นงานกอ่ สร้างต่าง ๆ เปน็ ตน้ สถาบนั สง่ เสริมการสอนวทิ ยาศาสตร์และเทคโนโลยี
คู่มอื ครูรายวิชาพืน้ ฐานวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี ป.6 เลม่ 1 ฏ ตวั ช้ีวัดช้นั ปี สาระการเรียนรู้แกนกลาง ว 3.2 ป.6/3 ซากดึกดาบรรพ์เกิดจากการทับถมหรือการประทับ สร้างแบบจาลองท่ีอธิบายการเกิด รอยของส่ิงมีชีวิตในอดีต จนเกิดเป็นโครงสร้างของ ซากดึกดาบรรพแ์ ละคาดคะเน ซ า ก ห รื อ ร่ อ ง ร อ ย ข อ ง ส่ิ ง มี ชี วิ ต ที่ ป ร า ก ฏ อ ยู่ ใ น หิ น สภาพแวดลอ้ มในอดีตของซากดึกดาบรรพ์ ในประเทศไทยพบซากดึกดาบรรพท์ ี่หลากหลาย เชน่ พืช ปะการัง หอย ปลา เต่า ไดโนเสาร์ และรอยตีน สัตว์ ซากดึกดาบรรพ์สามารถใช้เป็นหลักฐานหน่ึงที่ช่วย อธิบายสภาพแวดล้อมของพ้ืนท่ีในอดีตขณะเกิด ส่ิงมีชีวิตนั้น เช่น หากพบซากดึกดาบรรพ์ของหอย น้าจืด สภาพแวดล้อมบริเวณนั้นอาจเคยเป็นแหล่ง น้าจืดมาก่อน และหากพบซากดึกดาบรรพ์ของพืช สภาพแวดล้อมบริเวณน้ันอาจเคยเป็นป่ามาก่อน นอกจากน้ซี ากดึกดาบรรพ์ยงั สามารถใชร้ ะบุอายุของ หิน และเป็นข้อมูลในการศึกษาวิวัฒนาการของ ส่งิ มีชีวติ สถาบันสง่ เสรมิ การสอนวิทยาศาสตรแ์ ละเทคโนโลยี
ฐ คู่มอื ครรู ายวิชาพื้นฐานวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี ป.6 เลม่ 1 ข้อแนะนาการใชค้ ่มู ือครู คู่มือครูเลม่ นี้จัดทาขึน้ เพ่อื ใชเ้ ป็นแนวทางการจัดกจิ กรรมสาหรับครู ในแต่ละหน่วยการเรียนรู้ นกั เรยี น จะได้ฝึกทักษะจากการทากิจกรรมต่าง ๆ ทั้งการสังเกต การสารวจ การทดลอง การสืบค้นข้อมูล การอภิปราย การทางานรว่ มกนั ซง่ึ เปน็ การฝึกให้นกั เรยี นชา่ งสงั เกต ร้จู กั ตง้ั คาถาม รจู้ ักคิดหาเหตผุ ล เพอื่ ตอบ ปัญหาต่าง ๆ ได้ด้วยตนเอง ทัง้ นโ้ี ดยมีเป้าหมายเพ่ือให้นักเรยี นได้เรยี นรู้และค้นพบด้วยตนเองมากท่ีสุด ดังน้ัน ในการจัดการเรยี นรู้ ครจู ึงเปน็ ผชู้ ว่ ยเหลอื สง่ เสริม และสนับสนุนนักเรียนให้รจู้ ักสืบเสาะหาความรูจ้ ากส่ือและ แหล่งเรียนรู้ต่าง ๆ และเพ่ิมเติมข้อมูลที่ถูกต้องแก่นักเรียน เพ่ือให้นักเรียนมีทักษะจากการศึกษาหาความรู้ ด้วยตนเอง เพ่ือให้เกิดประโยชน์จากคู่มือครูเล่มนี้มากท่ีสุด ครูควรทาความเข้าใจในรายละเอียดของแต่ละหัวข้อ และขอ้ เสนอแนะเพิม่ เตมิ ดงั นี้ 1. สาระการเรยี นรู้แกนกลาง สาระการเรียนรู้แกนกลางเป็นสาระการเรียนรู้เฉพาะกลุ่มสาระการเรียนรู้วิทยาศาสตร์ และ เทคโนโลยีท่ีปรากฏในมาตรฐานการเรียนรู้และตัวชี้วัด ฯ (ฉบับปรับปรุง พ.ศ. 2560) ตามหลักสูตร แกนกลางการศึกษาข้ันพื้นฐาน พุทธศักราช 2551 กระทรวงศึกษาธิการ ได้กาหนดไว้เฉพาะส่วนที่จาเปน็ สาหรับเป็นพ้ืนฐานเก่ียวข้องกับชีวิตประจาวัน และเป็นพ้ืนฐานในการศึกษาต่อในระดับที่สูงขึ้น โดยสอดคล้องกับสาระและความสามารถ ความถนัดและความสนใจของนักเรียน ในทุกกิจกรรมจะมี สาระสาคัญ ซ่ึงเป็นเน้ือหาสาระที่ปรากฏอยู่ตามสาระการเรียนรู้โดยสถานศึกษาสามารถพัฒนาเพ่ิมเติม ไดต้ ามความเหมาะสม สาระการเรียนรู้วิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี ตามมาตรฐานการเรียนรู้และตัวชี้วัด ฯ (ฉบับปรับปรุง พ.ศ. 2560) ตามหลักสูตรแกนกลางการศึกษาข้ันพ้ืนฐาน พุทธศักราช 2551 ได้เพ่ิมสาระเทคโนโลยี ซ่ึงประกอบด้วยการออกแบบและเทคโนโลยี และวิทยาการคานวณ ทั้งนี้เพ่ือเอื้อต่อการจัดการเรียนรู้ บูรณาการสาระทางคณิตศาสตร์ วิทยาศาสตร์ และเทคโนโลยี กับกระบวนการเชิงวิศวกรรม ตามแนวคิด สะเต็มศึกษา 2. ภาพรวมการจัดการเรียนรปู้ ระจาหนว่ ย ภาพรวมการจัดการเรียนรู้ประจาหนว่ ยมีไวเ้ พ่ือเช่อื มโยงเนอื้ หาสาระกับมาตรฐานการเรียนรแู้ ละ ตัวช้ีวัดท่ีจะได้เรียนในแต่ละกิจกรรมของหน่วยนั้น ๆ และเป็นแนวทางให้ครูผู้สอนนาไปปรบั ปรุงและ เพิ่มเตมิ ตามความเหมาะสม 3. จุดประสงค์การเรียนรู้ แต่ละหน่วยการเรียนรู้ นักเรียนจะได้ทากิจกรรมอย่างหลากหลาย ในแต่ละส่วนของหนังสือเรียนทั้ง ส่วนนาบท นาเร่ือง และกิจกรรมมีจุดประสงค์การเรียนรู้ที่สอดคล้องกับตัวช้ีวัดช้ันปีเพื่อให้นักเรียนเกิด การเรียนรู้ โดยยึดหลักให้นักเรียนได้ลงมือปฏิบัติ สืบเสาะหาความรู้ด้วยกระบวนการทางวิทยาศาสตร์ กระบวนการแก้ปัญหา การสื่อสาร และความสามารถในการตัดสินใจ การนาความรู้ไปใช้ในชีวิตและ สถาบนั สง่ เสริมการสอนวทิ ยาศาสตร์และเทคโนโลยี
คมู่ อื ครูรายวิชาพ้นื ฐานวทิ ยาศาสตร์และเทคโนโลยี ป.6 เล่ม 1 ฑ ในสถานการณ์ใหม่ มีทักษะในการใช้เทคโนโลยี มีเจตคติ คุณธรรม จริยธรรม และค่านิยมท่ีเหมาะสม สามารถอย่ใู นสงั คมไทยไดอ้ ยา่ งมีความสุข 4. บทนม้ี อี ะไร สว่ นท่ีบอกรายละเอียดในบทนนั้ ๆ ซึง่ ประกอบดว้ ยช่ือเร่อื ง คาสาคัญ และชอ่ื กิจกรรม เพื่อครูจะ ได้ทราบองค์ประกอบโดยรวมของแตล่ ะบท 5. ส่อื การเรียนร้แู ละแหลง่ เรียนรู้ ส่วนท่ีบอกรายละเอียดสื่อการเรียนรู้และแหล่งเรียนรู้ท่ีต้องใช้สาหรับการเรียนในบท เรื่อง และ กิจกรรมนั้น ๆ โดยส่ือการเรียนรู้และแหล่งเรียนรู้ประกอบด้วยหน้าหนังสือเรียนและแบบบันทึกกิจกรรม และอาจมีโปรแกรมประยุกต์ เว็บไซต์ สื่อส่ิงพิมพ์ ส่ือโสตทัศนูปกรณ์หรือตัวอย่างวีดิทัศน์ปฏิบัติการ ทางวทิ ยาศาสตรเ์ พอื่ เสริมสรา้ งความม่ันใจในการสอนปฏิบตั กิ ารวิทยาศาสตรส์ าหรับครู 6. ทกั ษะกระบวนการทางวิทยาศาสตร์และทกั ษะแหง่ ศตวรรษท่ี 21 ทักษะที่นักเรียนจะได้ฝึกปฏิบัติในแต่ละกิจกรรม โดยทักษะกระบวนการทางวิทยาศาสตร์เป็น ทักษะที่นักวิทยาศาสตร์นามาใช้ในกระบวนการต่าง ๆ ในการสืบเสาะหาความรู้ ส่วนทักษะแห่ง ศตวรรษท่ี 21 เป็นทักษะที่ช่วยเสริมสร้างการเรียนรู้และพัฒนาความสามารถของนักเรียนในด้านต่าง ๆ เพอ่ื ให้ทนั ตอ่ การเปลยี่ นแปลงของโลก สถาบันส่งเสริมการสอนวิทยาศาสตรแ์ ละเทคโนโลยี
ฒ คมู่ ือครูรายวิชาพ้นื ฐานวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี ป.6 เล่ม 1 วดี ิทัศน์ตวั อย่างปฏบิ ัติการวิทยาศาสตร์สาหรบั ครูเพื่อฝึกฝนทกั ษะกระบวนการทางวิทยาศาสตรต์ า่ ง ๆ มดี งั น้ี รายการ ทกั ษะกระบวนการทาง Short link QR code วิทยาศาสตร์ วดี ิทัศน์ การสงั เกตและการลง การสังเกตและการลง http://ipst.me/8115 ความเหน็ จากข้อมูล ความเหน็ จากข้อมลู ทาได้อย่างไร วดี ทิ ศั น์ การวดั ทาได้อยา่ งไร การวัด http://ipst.me/8116 วีดทิ ศั น์ การใช้ตัวเลข การใช้จานวน http://ipst.me/8117 ทาได้อย่างไร วีดทิ ัศน์ การจาแนกประเภท การจาแนกประเภท http://ipst.me/8118 ทาได้อย่างไร วดี ทิ ัศน์ การหาความสมั พนั ธ์ การหาความสัมพันธ์ http://ipst.me/8119 ระหว่างสเปซกับสเปซ ระหว่างสเปซกบั สเปซ http://ipst.me/8120 ทาได้อย่างไร http://ipst.me/8121 http://ipst.me/8122 วดี ิทัศน์ การหาความสมั พนั ธ์ การหาความสมั พันธ์ ระหว่างสเปซกับเวลา ระหวา่ งสเปซกับเวลา ทาได้อยา่ งไร วีดทิ ัศน์ การจดั กระทาและสือ่ การจัดกระทาและสอื่ ความหมายข้อมลู ความหมายข้อมูล ทาได้อย่างไร วดี ิทศั น์ การพยากรณ์ การพยากรณ์ ทาได้อยา่ งไร สถาบันสง่ เสรมิ การสอนวทิ ยาศาสตรแ์ ละเทคโนโลยี
คูม่ ือครูรายวิชาพนื้ ฐานวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี ป.6 เล่ม 1 ณ รายการ ทักษะกระบวนการทาง Short link QR code วิทยาศาสตร์ http://ipst.me/8123 วีดิทศั น์ ทาการทดลองได้ อยา่ งไร การทดลอง วีดิทศั น์ การตั้งสมมตฐิ านทาได้ การต้งั สมมตฐิ าน http://ipst.me/8124 อย่างไร วีดทิ ัศน์ การกาหนดและ การกาหนดและควบคุม http://ipst.me/8125 ควบคุมตัวแปรและ ตวั แปรและการกาหนด การกาหนดนยิ ามเชงิ นิยามเชงิ ปฏบิ ัติการ ปฏบิ ตั กิ ารทาได้ อย่างไร การตคี วามหมายข้อมูลและ http://ipst.me/8126 ลงข้อสรุป วดี ิทศั น์ การตีความหมาย ข้อมูลและลงข้อสรปุ ทาได้อย่างไร วดี ทิ ัศน์ การสรา้ งแบบจาลอง การสรา้ งแบบจาลอง http://ipst.me/8127 ทาได้อย่างไร สถาบนั ส่งเสริมการสอนวิทยาศาสตรแ์ ละเทคโนโลยี
ด คมู่ อื ครูรายวิชาพนื้ ฐานวทิ ยาศาสตร์และเทคโนโลยี ป.6 เลม่ 1 7. แนวคิดคลาดเคลือ่ น ความเช่ือ ความรู้ หรือความเข้าใจท่ีผิดหรือคลาดเคล่ือนซึ่งเกิดขึ้นกับนักเรียน เนื่องจาก ประสบการณ์ในการเรียนรู้ท่ีรับมาผิดหรือนาความรู้ที่ได้รับมาสรปุ ตามความเข้าใจของตนเองผิด แล้ว ไม่สามารถอธิบายความเข้าใจนั้นได้ ดังน้ันเมื่อเรียนจบบทนี้แล้วครูควรแก้ไขแนวคิดคลาดเคล่ือนของ นกั เรียนให้เปน็ แนวคดิ ท่ีถูกตอ้ ง 8. บทนี้เร่มิ ตน้ อยา่ งไร แนวทางสาหรับครูในการจัดการเรียนรู้วิทยาศาสตร์เพ่ือส่งเสริมให้นักเรียนรู้จักคิดด้วยตนเอง รู้จักค้นคว้าหาเหตุผล ครูควรกระตุ้นให้นักเรียนเกิดความสนใจในบทเรียนนั้น ๆ โดยให้นักเรียนตอบ คาถามสารวจความรู้ก่อนเรยี น จากน้ันครูสังเกตการตอบคาถามของนักเรียนและยังไม่เฉลยคาตอบที่ ถูกตอ้ ง เพอ่ื ให้นักเรยี นไปหาคาตอบจากเรอื่ งและกิจกรรมตา่ ง ๆ ในบทนนั้ 9. เวลาที่ใช้ การเสนอแนะเวลาท่ีใช้ในการจัดการเรียนการสอนว่าควรใช้ประมาณก่ีช่ัวโมง เพ่ือช่วยให้ ครูผ้สู อนได้จัดทาแผนการจัดการเรยี นรูไ้ ด้อย่างเหมาะสม อยา่ งไรก็ตามครอู าจปรับเปลี่ยนเวลาได้ตาม สถานการณแ์ ละความสามารถของนักเรยี น 10. วัสดุอปุ กรณ์ รายการวัสดุอุปกรณ์ทั้งหมดสาหรบั การจดั กิจกรรม โดยอาจมีท้ังวัสดสุ ้นิ เปลอื ง อปุ กรณส์ าเรจ็ รูป อุปกรณ์พนื้ ฐาน หรอื อนื่ ๆ 11. การเตรยี มตวั ลว่ งหน้าสาหรบั ครเู พอื่ จัดการเรยี นรูใ้ นครัง้ ถดั ไป การเตรียมตัวล่วงหน้าสาหรับการจัดการเรียนรู้ในครั้งถัดไป เพื่อครูจะได้เตรียมสื่อ อุปกรณ์ เครื่องมือต่าง ๆ ที่ต้องใช้ในกิจกรรมให้อยู่ในสภาพที่ใช้การได้ดีและมีจานวนเพียงพอกับนักเรียน โดย อาจมีบางกจิ กรรมตอ้ งทาล่วงหนา้ หลายวัน เช่น การเตรยี มถุงปริศนาและข้าวโพดคั่วหรือส่ิงทีก่ ินได้ ขอ้ เสนอแนะเพิ่มเติม นักเรียนในระดับชั้นประถมศึกษา มีกระบวนการคิดท่ีเป็นรูปธรรม ครูจึงควรจัดการเรียน การสอนท่ีมุ่งเน้นให้นักเรียนได้ปฏิบัติหรือทาการทดลองด้วยตนเอง ซึ่งเป็นวิธีหนึ่งที่นักเรียนจะได้มี ประสบการณ์ตรง ดังน้นั ครูผสู้ อนจงึ ตอ้ งเตรียมตัวเองในเรือ่ งตอ่ ไปนี้ 11.1 บทบาทของครู ครูจะต้องเปล่ียนบทบาทจากการเป็นผู้ชี้นาหรือผู้ถ่ายทอดความรู้เป็น ผู้ช่วยเหลือ โดยส่งเสริมและสนับสนุนนักเรียนในการแสวงหาความรู้จากส่ือและ แหล่งเรียนรู้ต่าง ๆ และให้ข้อมูลท่ีถูกต้องแก่นักเรียน เพื่อให้นักเรียนได้นาข้อมูลเหล่านัน้ ไปใช้สรา้ งสรรค์ความรู้ของตนเอง 11.2 การเตรียมตัวของครูและนักเรียน ครูควรเตรียมนักเรียนให้มีความพร้อมในการทา กิจกรรมต่าง ๆ แต่บางคร้ังนักเรียนไม่เข้าใจและอาจจะทากิจกรรมไม่ถูกต้อง ดังนั้นครูจึง ต้องเตรียมตวั เอง โดยทาความเขา้ ใจในเร่อื งตอ่ ไปนี้ สถาบันสง่ เสริมการสอนวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี
ค่มู อื ครูรายวิชาพ้ืนฐานวทิ ยาศาสตร์และเทคโนโลยี ป.6 เล่ม 1 ต การสืบค้นข้อมูลหรือการค้นคว้าด้วยวิธีการต่าง ๆ เช่น สอบถามจากผู้รู้ในท้องถิ่น ดจู ากรปู ภาพ แผนภูมิ อา่ นหนงั สอื หรอื เอกสารเทา่ ท่หี าได้ น่นั คือการให้นกั เรยี นเป็นผู้หา ความรู้และพบความรู้หรือขอ้ มลู ดว้ ยตนเอง ซึ่งเป็นการเรียนรู้ด้วยวิธีสบื เสาะหาความรู้ การนาเสนอมีหลายวิธี เช่น ให้นักเรียนหรือตัวแทนกลุ่มออกมาเล่าเรื่องที่ได้รับ มอบหมายให้ไปสารวจ สังเกต หรือทดลอง หรืออาจให้เขยี นเป็นคาหรือเป็นประโยคลงใน แบบบันทึกกิจกรรมหรือสมุดอ่ืนตามความเหมาะสม นอกจากนี้อาจให้วาดรูป หรือตัด ขอ้ ความจากหนงั สือพิมพ์ แลว้ นามาตดิ ไวใ้ นห้อง เป็นตน้ การสารวจ ทดลอง สืบค้นข้อมูล สร้างแบบจาลองหรืออื่น ๆ เพ่ือสร้างองค์ความรู้ เป็นส่ิงสาคัญอย่างย่ิงต่อการเรียนรู้วิทยาศาสตร์ ครูผู้สอนสามารถให้นักเรียนทากิจกรรม ได้ท้ังในห้องเรียน นอกห้องเรียนหรือที่บ้าน โดยไม่จาเป็นต้องใช้อุปกรณ์วิทยาศาสตร์ ราคาแพง อาจใช้อุปกรณ์ท่ีดัดแปลงจากส่ิงของเหลือใช้ หรือใช้วัสดุธรรมชาติ ข้อสาคัญ คือ ครูผู้สอนต้องให้นักเรียนทราบว่า ทาไมจึงต้องทากิจกรรมนั้น และจะต้องทาอะไร อย่างไร ผลจากการทากิจกรรมจะสรุปผลอย่างไร ซึ่งจะทาให้นักเรียนได้ความรู้ ความคิด และทักษะกระบวนการทางวิทยาศาสตร์พร้อมกับเกิดค่านิยม คุณธรรม เจตคติทาง วิทยาศาสตรด์ ว้ ย 12. แนวการจดั การเรียนรู้ แนวทางสาหรับครูในการจัดกิจกรรมการเรียนรู้วิทยาศาสตร์ท่ีมุ่งส่งเสริมให้นักเรียนรู้จักคิดด้วย ตนเอง รจู้ ักคน้ คว้าหาเหตผุ ล และสามารถแกป้ ัญหาได้ดว้ ยการนาเอาวิธีการต่าง ๆ ของกระบวนการทาง วทิ ยาศาสตร์ไปใช้ วิธีการจัดการเรียนรู้ที่ สสวท. เหน็ วา่ เหมาะสมท่ีจะนานักเรียนไปสู่เป้าหมายที่กาหนด ไว้ก็คือ วิธีสอนแบบสืบเสาะหาความรู้ ซึ่งมีองค์ประกอบที่สาคัญ คือ การมองเห็นปัญหา การสารวจ ตรวจสอบ และอภิปรายซกั ถามระหว่างครูกับนักเรียนเพ่ือนาไปสู่ข้อสรปุ ข้อเสนอแนะเพิ่มเติม นอกจากครูจะจัดกิจกรรมต่าง ๆ ตามคู่มือครูน้ี ครูสามารถจัดกิจกรรมการเรียนรู้ตามความ เหมาะสมเพอื่ ใหบ้ รรลจุ ุดมงุ่ หมาย โดยจะคานงึ ถงึ เรื่องตา่ ง ๆ ดงั ตอ่ ไปนี้ 12.1 นกั เรียนมีสว่ นร่วมในกจิ กรรมการเรยี นรู้ ครคู วรให้นักเรยี นทุกคนมีสว่ นร่วมในกิจกรรมการ เรียนรู้ตลอดเวลาด้วยการกระตุ้นให้นักเรียนลงมือทากิจกรรมและอภิปรายผล โดยครูอาจ ใชเ้ ทคนคิ ตา่ ง ๆ เชน่ การใช้คาถาม การเสริมแรงมาใชใ้ ห้เป็นประโยชน์ เพื่อใหก้ ารเรยี นการ สอนนา่ สนใจและมีชวี ิตชวี า 12.2 การใช้คาถาม เพอ่ื นานักเรียนเขา้ ส่บู ทเรียนและลงขอ้ สรุป โดยไมใ่ ชเ้ วลานานเกนิ ไป ทัง้ น้ีครู ต้องวางแผนการใช้คาถามอย่างมีประสิทธิภาพ โดยเลือกใช้คาถามท่ีมีความยากง่าย พอเหมาะกบั ความสามารถของนักเรียน 12.3 การสารวจตรวจสอบซ้า เป็นส่ิงจาเป็นเพื่อให้ได้ข้อมูลที่น่าเชื่อถือ ดังนั้นในการจัดการเรียนรู้ ครูควรเนน้ ยา้ ให้นกั เรียนไดส้ ารวจตรวจสอบซา้ เพื่อนาไปสขู่ อ้ สรปุ ท่ถี ูกตอ้ งและเชอื่ ถือได้ สถาบันส่งเสริมการสอนวทิ ยาศาสตรแ์ ละเทคโนโลยี
ถ ค่มู อื ครูรายวิชาพน้ื ฐานวทิ ยาศาสตร์และเทคโนโลยี ป.6 เล่ม 1 13. ข้อเสนอแนะเพมิ่ เติม ข้อเสนอแนะสาหรับครูที่อาจเป็นประโยชน์ในการจัดการเรียนรู้ เช่น ตัวอย่างวัสดุอุปกรณ์ ที่เหมาะสมหรือใช้แทน ข้อควรระวัง วิธีการใช้อุปกรณ์ให้เหมาะสมและปลอดภัย วิธีการทากิจกรรม เพอ่ื ลดขอ้ ผดิ พลาด ตัวอยา่ งตาราง และเสนอแหล่งเรยี นร้เู พื่อการค้นควา้ เพิม่ เตมิ 14. ความรเู้ พิม่ เติมสาหรบั ครู ความรู้เพ่ิมเติมในเน้ือหาที่สอนซึ่งจะมีรายละเอียดที่ลึกข้ึน เพื่อเพ่ิมความรู้และความม่ันใจ ในเรื่องท่ีจะสอนและแนะนานักเรียนท่ีมีความสามารถสูง แต่ครูต้องไม่นาไปสอนนักเรียนในชั้นเรียน เพราะไม่เหมาะสมกบั วยั และระดับช้ัน 15. อยา่ ลมื นะ ส่วนท่เี ตือนไม่ให้ครเู ฉลยคาตอบทถี่ ูกต้อง ก่อนท่จี ะได้รับฟังความคิดและเหตผุ ลของนักเรียน เพ่ือให้นักเรียนได้คิดด้วยตนเองและครูจะได้ทราบว่านักเรียนมีความรู้ความเข้าใจในเร่ืองนั้น อย่างไรบ้าง โดยครูควรให้คาแนะนาเพ่ือให้นักเรียนหาคาตอบได้ด้วยตนเอง นอกจากน้ันครูควรให้ ความสนใจตอ่ คาถามของนักเรยี นทกุ คนดว้ ย 16. แนวการประเมินการเรยี นรู้ การประเมินการเรียนรู้ของนักเรียนท่ีได้จากการอภิปรายในช้ันเรียน คาตอบของนักเรียนระหว่าง การจัดการเรียนรู้และในแบบบันทึกกิจกรรม รวมท้ังการฝึกทักษะกระบวนการทางวิทยาศาสตร์และ ทกั ษะแห่งศตวรรษที่ 21 ท่ไี ด้จากการทากจิ กรรมของนักเรยี น 17. กิจกรรมท้ายบท ส่วนท่ใี หน้ กั เรยี นไดส้ รปุ ความรู้ ความเข้าใจ ในบทเรียน และได้ตรวจสอบความรใู้ นเน้ือหาท่ีเรยี น มาทง้ั บท หรืออาจตอ่ ยอดความรู้ในเรื่องนน้ั ๆ ข้อแนะนาเพ่ิมเตมิ 1. การสอนอ่าน พจนานุกรม ฉบับราชบัณฑิตยสถาน พ.ศ. 2542 ให้ความหมายของคาว่า “อ่าน” หมายถึง ว่าตาม ตัวหนังสือ ถ้าออกเสียงด้วย เรียกว่า อ่านออกเสียง ถ้าไม่ต้องออกเสียง เรียกว่า อ่านในใจ หรืออีกความหมาย ของคาว่า “อ่าน” หมายถึง สังเกตหรือพิจารณาดูเพื่อให้เข้าใจ เช่น อ่านสีหน้า อ่านริมฝีปาก อ่านใจ ตีความ เช่น อ่านรหัส อา่ นลายแทง กรมวิชาการ (2546) ได้เสนอแนะแนวทางการจัดกิจกรรมเพื่อให้นักเรียนเกิดลักษณะอันพึงประสงค์ที่ หลากหลาย เช่น รักการอ่านและรักการค้นคว้า เม่ือเรียนจบการศึกษาข้ันพื้นฐาน นักเรียนควรจะสามารถใช้ กระบวนการอ่านสร้างความรู้และความคิดไปใช้ตดั สินใจ แก้ปัญหาและสร้างวิสัยทัศน์ในการดาเนนิ ชีวิตและมี นสิ ยั รกั การอา่ น จะเหน็ ไดว้ ่า การอ่านเป็นทักษะที่สาคญั จาเปน็ ต้องเน้นและฝึกฝนใหแ้ ก่นกั เรียนเป็นอย่างมาก ท้ังน้ีนักเรียนแต่ละคนอาจมีทักษะในการอ่านที่แตกตา่ งกัน ขึ้นกับองค์ประกอบหลายอย่าง เช่น ประสบการณ์ สถาบันส่งเสริมการสอนวทิ ยาศาสตร์และเทคโนโลยี
คู่มือครรู ายวิชาพน้ื ฐานวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี ป.6 เลม่ 1 ท เดิมของนักเรียน ความสามารถด้านภาษา หรือความสนใจเร่ืองท่ีอ่าน ครูควรสังเกตนักเรียนว่านักเรียน แต่ละคนมีความสามารถในการอ่านอยู่ในระดับใด ซึ่งครูจะต้องพิจารณาทั้งหลักการอ่าน และความเข้าใจใน การอ่านของนักเรยี น การรู้เรื่องการอ่าน (Reading literacy) หมายถึง การเข้าใจข้อมูล เนื้อหาสาระของสิ่งที่อ่าน การใช้ ประเมินและสะท้อนมุมมองของตนเองเกี่ยวกับส่ิงท่ีอ่านอย่างต้ังใจเพื่อบรรลุเป้าหมายส่วนตัวของตนเองหรือ เพื่อพัฒนาความรู้และศักยภาพของตนเองและนาความรู้และศักยภาพน้ันมาใช้ในการแลกเปล่ียนเรียนรู้ใน สังคม (OECD, 2017) กรอบการประเมนิ ผลนกั เรียนเพอ่ื ใหม้ สี มรรถนะการอ่านในศตวรรษที่ 21 ตามแนวทางของ PISA สามารถ สรปุ ไดด้ ังแผนภาพด้านลา่ ง จากกรอบการประเมินดังกล่าวจะเห็นได้ว่า การรู้เรื่องการอ่านเป็นสมรรถนะที่สาคัญท่ีครูควรส่งเสริมให้ นักเรียนมีความสามารถให้ครอบคลุม ตั้งแต่การค้นหาข้อมูลในส่ิงที่อ่าน เข้าใจเนื้อหาสาระที่อ่านไปจนถึง ประเมินค่าเน้ือหาสาระท่ีอ่านได้ การเรียนการสอนวิทยาศาสตร์จาเป็นต้องอาศัยการอ่านเพื่อหาข้อมูล ทาความเข้าใจเนื้อหาสาระของสิ่งที่อ่าน รวมทั้งประเมินสิ่งที่อ่านและนาเสนอมุมมองของตนเองเก่ียวกับส่ิงท่ี อา่ น ผู้เรียนควรไดร้ บั สง่ เสริมการอา่ นดังต่อไปน้ี 1. นักเรียนควรได้รับการฝึกการอ่านข้อความแบบต่อเนื่อง จาแนกข้อความแบบต่างๆ กัน เช่น การบอก การพรรณนา การโต้แย้ง รวมไปถึงการอ่านข้อเขียนที่ไม่ใช่ข้อความต่อเนื่อง ได้แก่ การอ่านรายการ ตาราง แบบฟอร์ม กราฟ และแผนผัง เป็นต้น ซึ่งข้อความเหล่าน้ีเป็นสิ่งที่นักเรียนได้พบเห็นใน โรงเรียน และจะต้องใช้ในชีวิตจริงเมอื่ โตเป็นผู้ใหญ่ ซงึ่ ในคู่มือครเู ล่มนี้ต่อไปจะใช้คาแทนข้อความทั้งที่ เป็นข้อความแบบตอ่ เนอื่ งและขอ้ ความที่ไมใ่ ช่ข้อความตอ่ เน่ืองว่า สิ่งที่อา่ น (Text) สถาบันสง่ เสริมการสอนวิทยาศาสตรแ์ ละเทคโนโลยี
ธ คูม่ อื ครูรายวิชาพืน้ ฐานวทิ ยาศาสตร์และเทคโนโลยี ป.6 เลม่ 1 2. นักเรียนควรได้รับการฝึกฝนให้มีความสามารถในการประเมินส่ิงท่ีอ่านว่ามีความเหมาะสมสอดคล้อง กับลักษณะของข้อเขียนมากน้อยเพียงใด เช่น ใช้นวนิยาย จดหมาย หรือชีวประวัติเพื่อประโยชน์ ส่วนตัว ใช้เอกสารราชการหรือประกาศแจ้งความเพื่อสาธารณประโยชน์ ใช้รายงานหรือคู่มือต่าง ๆ เพื่อการทางานอาชพี ใชต้ าราหรือหนงั สือเรียน เพอื่ การศึกษา เป็นต้น 3. นักเรียนควรได้รับการฝกึ ฝนให้มีสมรรถนะการอ่านเพ่ือเรียนรู้ ในด้านตา่ ง ๆ ต่อไปน้ี 3.1 ความสามารถท่ีจะคน้ หาเน้อื หาสาระของสงิ่ ที่อ่าน (Retrieving information) 3.2 ความสามารถทจี่ ะเข้าใจเนื้อหาสาระของส่งิ ท่ีอ่าน (Forming a broad understanding) 3.3 ความสามารถในการแปลความของสง่ิ ทอี่ ่าน (Interpretation) 3.4 ความสามารถในการประเมนิ และสามารถสะท้อนความคดิ เห็นหรอื โต้แยง้ จากมุมมองของตน เก่ียวกบั เน้ือหาสาระของสงิ่ ที่อา่ น (Reflection and Evaluation the content of a text) 3.5 ความสามารถในการประเมินและสามารถสะท้อนความคดิ เห็นหรือโตแ้ ยง้ จากมมุ มองของตน เก่ียวกบั รูปแบบของสิ่งที่อ่าน (Reflection and Evaluation the form of a text) ทง้ั น้ี สสวท. ขอเสนอแนะวธิ ีการสอนแบบต่าง ๆ เพ่อื เปน็ การฝึกทกั ษะการอ่านของนักเรยี น ดงั น้ี เทคนคิ การสอนแบบ DR-TA (The directed reading-thinking activity) การสอนอ่านทีม่ งุ่ เน้นให้นักเรยี นไดฝ้ ึกกระบวนการคดิ กล่ันกรอง และตรวจสอบขอ้ มลู ท่ีได้จากการอ่าน ด้วยตนเอง โดยให้นักเรียนคาดคะเนเนื้อหาหรือคาตอบล่วงหน้าจากประสบการณ์เดิมของนักเรียน โดยมี ขนั้ ตอนการจดั การเรียนการสอน ดังนี้ 1. ครจู ัดแบ่งเนือ้ เรอ่ื งที่จะอา่ นออกเป็นสว่ นยอ่ ย และวางแผนการสอนอ่านของเนอื้ เรอ่ื งทั้งหมด 2. นาเข้าสบู่ ทเรียนโดยชกั ชวนใหน้ ักเรยี นคดิ วา่ นักเรียนรู้อะไรเก่ยี วกับเรื่องทีจ่ ะอา่ นบ้าง 3. ครใู หน้ กั เรียนสังเกตรปู ภาพ หัวขอ้ หรืออ่นื ๆ ทเ่ี กี่ยวกับเน้ือหาที่จะเรียน 4. ครูตั้งคาถามให้นักเรียนคาดคะเนเน้ือหาของเรื่องที่กาลังจะอ่าน ซึ่งอาจให้นักเรียนคิดว่าจะได้เรียน เกีย่ วกับอะไร โดยครพู ยายามกระตนุ้ ใหน้ กั เรยี นไดแ้ สดงความคดิ เหน็ หรอื คาดคะเนเน้ือหา 5. ครูอาจให้นักเรียนเขียนสิ่งที่ตนเองคาดคะเนไว้ โดยจะทาเป็นรายคนหรือเป็นคู่ก็ได้ หรือครูนา อภปิ รายแลว้ เขยี นแนวคดิ ของนักเรยี นแต่ละคนไว้บนกระดาน 6. นักเรียนอ่านเน้ือเร่ือง จากนั้นประเมินหรือตรวจสอบ และอภิปรายว่าการคาดคะเนของตนเอง ตรงกับเนื้อเรื่องท่ีอ่านหรือไม่ ถ้านักเรียนประเมินว่าเร่ืองท่ีอ่านมีเน้ือหาตรงกับท่ีคาดคะเนไว้ ให้นกั เรยี นแสดงข้อความท่สี นับสนนุ การคาดคะเนของตนเองจากเน้อื เรื่อง 7. ครูและนักเรียนอภิปรายร่วมกัน โดยครูวิเคราะห์ว่านักเรียนแต่ละคนสามารถใช้การคาดคะเนด้วย ตนเองอยา่ งไรบา้ ง 8. ทาซ้าขั้นตอนเดิมในการอ่านเน้ือเร่ืองส่วนอ่ืน ๆ เม่ือจบทั้งเร่ืองแล้ว ครูปิดเร่ืองโดยการทบทวน เนอ้ื หาและอภปิ รายถึงวิธีการคาดคะเนของนักเรียนทค่ี วรใช้สาหรับการอ่านเร่ืองอืน่ ๆ สถาบนั ส่งเสริมการสอนวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี
คูม่ อื ครรู ายวิชาพ้ืนฐานวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี ป.6 เลม่ 1 น เทคนิคการสอนแบบ KWL (Know – Want to know – Learned) การสอนอ่านท่ีมุ่งเน้นให้นักเรียนได้เช่ือมโยงประสบการณ์เดิมกับประสบการณ์ใหม่อย่างเป็นรูปธรรม และเปน็ ระบบ โดยผา่ นตาราง 3 ช่อง คอื K-W-L (นกั เรยี นร้อู ะไรบ้างเก่ียวกับเร่ืองที่จะอา่ น นักเรียนต้องการรู้ อะไรเกี่ยวกับเร่ืองที่จะอ่าน นักเรียนได้เรียนรู้อะไรบ้างจากเร่ืองที่อ่าน) โดยมีขั้นตอนการจัดการเรียนการสอน ดงั น้ี 1. นาเข้าสู่บทเรียนด้วยการกระตุ้นความสนใจของนักเรียน โดยการใช้คาถาม การนาด้วยรูปภาพหรือ วดี ทิ ศั น์ทเ่ี กี่ยวกบั เนือ้ เร่ืองเพ่ือเชอ่ื มโยงเข้าสูเ่ ร่ืองทจี่ ะอ่าน 2. ครูทาตารางแสดง K-W-L และอธิบายข้ันตอนการทากิจกรรมโดยใช้เทคนิค K-W-L ว่ามีขั้นตอน ดงั นี้ ขนั้ ที่ 1 กิจกรรมก่อนการอ่าน เรียกว่า ขั้น K มาจาก know (What we know) เป็นขั้นตอนที่ให้ นักเรียนระดมสมองแสดงความคิดเห็นเกี่ยวกับเรื่องท่ีจะอ่าน แล้วบันทึกส่ิงท่ีตนเองรู้ลงใน ตารางช่อง K ข้ันตอนนี้ช่วยให้นักเรียนรู้ว่าตนเองรู้อะไรแล้วต้องอ่านอะไร โดยครูพยายาม ตงั้ คาถามกระตนุ้ ใหน้ ักเรยี นได้แสดงความคิดเห็น ข้ันท่ี 2 กจิ กรรมระหวา่ งการอ่าน เรียกว่า ข้ัน W มาจาก want to know (What we want to know) เป็นขั้นตอนที่ให้นักเรียนตั้งคาถามเกี่ยวกับส่ิงท่ีต้องการรู้เกี่ยวกับเรื่องที่กาลังจะอ่าน โดยครู และนกั เรียนรว่ มกนั กาหนดคาถาม แลว้ บนั ทกึ สงิ่ ทีต่ อ้ งการรู้ลงในตารางช่อง W ข้ันที่ 3 กิจกรรมหลังการอ่าน เรียกว่า ขั้น L มาจาก learned (What we have learned) เป็น ขั้นตอนที่สารวจว่าตนเองได้เรียนรู้อะไรบ้างจากการอ่าน โดยหลังจากอ่านเน้ือเรื่อง นักเรียน หาข้อความมาตอบคาถามท่ีกาหนดไว้ในตารางช่อง W จากน้ันนาข้อมูลท่ีได้จากการอ่านมา จัดลาดบั ความสาคญั ของข้อมลู และสรปุ เน้ือหาสาคัญลงในตารางช่อง L 3. ครแู ละนกั เรียนร่วมกันสรปุ เนอื้ หา โดยการอภปิ รายหรือตรวจสอบคาตอบในตาราง K-W-L 4. ครูและนกั เรยี นอาจรว่ มกนั อภิปรายเก่ียวกับการใช้ตาราง K-W-L มาช่วยในการเรยี นการสอนการอ่าน เทคนิคการสอนแบบ QAR (Question-answer relationship) การสอนอ่านที่มุ่งเน้นให้นักเรยี นมีความเขา้ ใจในการจดั หมวดหมู่ของคาถามและตั้งคาถาม เพ่ือให้ได้มา ซึ่งแนวทางในการหาคาตอบ ซึ่งนักเรียนจะได้พิจารณาจากข้อมูลในเน้ือเรื่องท่ีจะเรียนและประสบการณ์เดิม ของนกั เรียน โดยมีขัน้ ตอนการจดั การเรยี นการสอน ดังนี้ 1. ครูจัดทาชดุ คาถามตามแบบ QAR จากเรอื่ งทีน่ กั เรยี นควรรู้หรอื เร่ืองใกล้ตวั นักเรยี น เพอื่ ช่วยใหน้ ักเรียน เขา้ ใจถงึ การจดั หมวดหมู่ของคาถามตามแบบ QAR และควรเชอ่ื มโยงกบั เร่ืองทีจ่ ะอา่ นต่อไป 2. ครูแนะนาและอธิบายการสอนแบบ QAR โดยครูควรช้ีแจงนักเรียนเก่ียวกับการอ่านและการตั้งคาถาม ตามหมวดหมู่ ได้แก่ คาถามที่ตอบโดยใช้เน้ือหาจากเรื่องท่ีอ่าน คาถามที่ต้องคิดและค้นคว้า คาถามท่ี ไมม่ คี าตอบโดยตรง ซ่งึ จะตอ้ งใชค้ วามรูเ้ ดมิ และสง่ิ ทผ่ี ้เู ขยี นเขียนไว้ 3. นกั เรยี นอ่านเน้อื เรือ่ ง ตั้งคาถามและตอบคาถามตามหมวดหมู่ และร่วมกนั อภิปรายเพ่อื สรุปคาตอบ 4. ครูและนักเรียนร่วมกันอภปิ รายเกยี่ วกับการใช้เทคนคิ นด้ี ว้ ยตนเองไดอ้ ย่างไร สถาบันสง่ เสรมิ การสอนวทิ ยาศาสตร์และเทคโนโลยี
บ คู่มือครรู ายวิชาพ้นื ฐานวทิ ยาศาสตร์และเทคโนโลยี ป.6 เล่ม 1 2. การใชง้ านส่ือ QR Code QR Code เป็นรหัสหรือภาษาท่ีต้องใช้โปรแกรมอ่านหรือสแกนข้อมูลออกมา ซ่ึงต้องใช้งานผ่าน โทรศัพท์เคล่ือนที่หรืออุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ท่ีติดต้ังกล้องไว้ แล้วอ่าน QR Code ผ่านโปรแกรมต่าง ๆ เช่น LINE (สาหรับโทรศัพท์เคล่ือนท่ี) Code Two QR Code Reader (สาหรับคอมพิวเตอร์) Camera (สาหรับ ผลิตภณั ฑ์ของ Apple Inc.) ขนั้ ตอนการใช้งาน 1. เปิดโปรแกรมสาหรบั อา่ น QR Code 2. เล่ือนอปุ กรณ์อเิ ล็กทรอนิกส์ เช่น โทรศพั ท์เคล่อื นท่ี แท็บเลต็ เพ่อื ส่องรูป QR Code ไดท้ ้ังรูป 3. เปิดไฟล์หรือลิงกท์ ่ีขนึ้ มาหลังจากโปรแกรมไดอ้ ่าน QR Code **หมายเหตุ อปุ กรณ์ทีใ่ ช้อา่ น QR Code ตอ้ งเปิด Internet ไว้เพ่ือดงึ ข้อมลู 3. การใชง้ านโปรแกรมประยุกตค์ วามจรงิ เสริม (ภาพเคล่ือนไหว 3 มติ ิ) เทคโนโลยีความจริงเสริม (AR) เป็นโปรแกรมที่สร้างข้ึนเพื่อเป็นสื่อเสริมช่วยให้นักเรียนเข้าใจเน้ือหา สาระของบทเรียนอย่างเป็นรูปธรรมมากขึ้น โดยใช้งานผ่านโปรแกรมประยุกต์ “AR สสวท. วิทย์ประถม” ซ่ึง สามารถดาวน์โหลดได้ทาง Play Store หรอื App Store **หมายเหตุ เน่ืองจากโปรแกรมมีขนาดไฟล์ที่ใหญ่ เพื่อการใช้งานที่ดีควรมีพ้ืนท่ีว่างในเคร่ืองไม่ต่ากว่า 2 GB หากพ้ืนทจ่ี ัดเกบ็ ไม่เพยี งพออาจต้องลบข้อมูลบางอยา่ งออกก่อนตดิ ตงั้ โปรแกรม ขัน้ ตอนการตดิ ต้ังโปรแกรม 1. เขา้ ไปที่ Play Store ( ) หรอื App Store ( ) 2. ค้นหาคาว่า “AR สสวท. วทิ ย์ประถม” 3. กดเข้าไปทโี่ ปรแกรมประยุกต์ที่ สสวท. พัฒนา 4. กด “ตดิ ตง้ั ” และรอจนติดต้งั เรยี บร้อย 5. เข้าสู่โปรแกรมจะปรากฏหน้าแรก จากน้ันกด “วิธีการใช้งาน” เพ่ือศึกษาการใช้งานโปรแกรม เบ้ืองต้นดว้ ยตนเอง 6. หลังจากศกึ ษาวธิ กี ารใชง้ านดว้ ยตนเองแลว้ กด “สแกน AR” 7. กดดาวน์โหลดที่ระดับชั้น ป. 6 8. เปิดหน้าหนังสือเรียนช้ันประถมศึกษาปีท่ี 6 ที่มีสัญลักษณ์ AR แล้วส่องรูปที่อยู่บริเวณสัญลักษณ์ AR โดยมีระยะห่างประมาณ 10 เซนติเมตร และเลือกดูภาพในมุมมองตา่ ง ๆ ตามความสนใจ สถาบันสง่ เสรมิ การสอนวิทยาศาสตรแ์ ละเทคโนโลยี
คมู่ อื ครรู ายวิชาพื้นฐานวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี ป.6 เลม่ 1 ป การจดั การเรียนการสอนวทิ ยาศาสตรใ์ นระดับประถมศึกษา นักเรียนในระดับประถมศึกษาตอนต้น (ป.1-ป.3) ตามธรรมชาติแล้วมีความอยากรู้อยากเห็นเกี่ยวกบั ส่ิงต่างๆ รอบตัว และเรียนรู้ได้ดีท่ีสุดด้วยการค้นพบ จากการลงมือปฏิบัติด้วยตนเองโดยอาศัยประสาทสัมผัส ทั้งห้า ดังนั้นการจัดการเรียนการสอนในระดับประถมศึกษาตอนต้น จึงควรให้โอกาสนักเรยี นมีสว่ นร่วมในการ ลงมือปฏิบัติ การสารวจตรวจสอบ การค้นพบ การต้ังคาถามเพ่ือนาไปสู่การอภิปราย การแลกเปลี่ยนผลการ ทดลองด้วยคาพูด หรือภาพวาด การอภิปรายเพ่ือสรุปผลร่วมกัน สาหรับนักเรียนในระดับช้ันประถมศึกษา ตอนปลาย (ป.4-ป.6) มีพัฒนาการทางสติปัญญาจากข้ันการคิดแบบรปู ธรรมไปสู่ขัน้ การคิดแบบนามธรรมมีความ สนใจในส่ิงต่าง ๆ รอบตัว และสนใจว่าส่ิงต่าง ๆ ถูกประกอบเข้าด้วยกันอย่างไร และทางานอย่างไร นักเรียน ในช่วงวัยนี้ต้องการโอกาสที่จะมีส่วนร่วมในการทากิจกรรมกลุ่มโดยการทางานแบบร่วมมือ ดังน้ันจึงควร ส่งเสริมให้นักเรียนทาโครงงานวิทยาศาสตร์ร่วมกันซ่ึงจะเป็นการสร้างความสามัคคี และประสานสัมพันธ์ ระหว่างนักเรียนในระดบั นี้ด้วย การจดั การเรยี นการสอนท่เี น้นการสบื เสาะหาความรู้ทางวทิ ยาศาสตร์ การสืบเสาะหาความรทู้ างวิทยาศาสตร์ หมายถึงวิธีการท่ีนักวทิ ยาศาสตร์ใชเ้ พ่ือศึกษาสิ่งต่าง ๆ รอบตัวอย่าง เป็นระบบ และเสนอคาอธิบายเก่ียวกับสิ่งท่ีศึกษาด้วยข้อมูลที่ได้จากการทางานทางวิทยาศาสตร์ มีวิธีการอยู่ หลากหลาย เช่น การสารวจ การสบื ค้น การทดลอง การสรา้ งแบบจาลอง นักเรียนทุกระดับชั้นควรได้รับโอกาสในการสืบเสาะหาความรู้ทางวิทยาศาสตร์และพัฒนาความสามารถ ในการคิดและแสดงออกด้วยวิธีการที่เช่ือมโยงกับการสืบเสาะหาความรู้ซ่ึงรวมท้ังการต้ังคาถาม การวางแผนและ ดาเนินการสืบเสาะหาความรู้ การใช้เครื่องมือและเทคโนโลยีท่ีเหมาะสมในการรวบรวมข้อมูล การคิดอย่างมี วิจารณญาณและมีเหตุผลเกี่ยวกับความสัมพันธ์ระหว่างพยานหลักฐานและการอธิบาย การสร้างและวิเคราะห์ คาอธบิ ายทีห่ ลากหลาย และการส่อื สารขอ้ โตแ้ ย้งทางวทิ ยาศาสตร์ การจัดการเรียนการสอนท่ีเน้นการสืบเสาะหาความรู้ ควรมีหลายรูปแบบ แต่ละรูปแบบมีความต่อเน่ืองกัน จากทเี่ นน้ ครเู ปน็ สาคญั ไปจนถงึ เนน้ นักเรียนเปน็ สาคัญ โดยแบง่ ได้ดงั นี้ การสืบเสาะหาความรู้แบบครูเป็นผู้กาหนดแนวทาง (Structured Inquiry) ครูเป็นผู้ตั้งคาถามและบอก วธิ กี ารใหน้ ักเรยี นคน้ หาคาตอบ ครชู ้ีแนะนักเรยี นทุกขัน้ ตอนโดยใช้กระบวนการทางวทิ ยาศาสตร์ การสืบเสาะหาความรู้แบบทั้งครูและนักเรียนเป็นผู้กาหนดแนวทาง (Guided Inquiry) ครูเป็นผู้ตั้งคาถาม และจัดหาวัสดุอุปกรณ์ที่ใช้ในการสารวจตรวจสอบให้กับนักเรียน นักเรียนจะเป็นผู้ออกแบบการทดลอง ดว้ ยตัวเอง การสืบเสาะหาความรู้แบบนักเรียนเป็นผู้กาหนดแนวทาง (Open Inquiry) นักเรียนทากิจกรรมตามท่ีครู กาหนด นักเรียนพัฒนาวิธี ดาเนินการสารวจ ตรวจสอบจากคาถามที่ครูตั้งขึ้น นักเรียนตั้งคาถามในหัวข้อที่ ครเู ลอื ก พรอ้ มทั้งออกแบบการสารวจตรวจสอบด้วยตนเอง สถาบนั ส่งเสริมการสอนวทิ ยาศาสตร์และเทคโนโลยี
ผ คูม่ อื ครรู ายวิชาพืน้ ฐานวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี ป.6 เล่ม 1 การสบื เสาะหาความรู้ทางวทิ ยาศาสตร์ในหอ้ งเรยี น เราสามารถจัดการเรียนรู้วิทยาศาสตร์ในห้องเรียนโดยจัดโอกาสให้ นักเรียนได้สืบเสาะหาความรู้ ทางวิทยาศาสตร์ตามท่ีหลกั สูตรกาหนด ด้วยกระบวนการแบบเดียวกันกับที่นกั วิทยาศาสตร์สืบเสาะ แต่อาจมี รูปแบบทหี่ ลากหลายตามบรบิ ทและความพร้อมของครแู ละนกั เรียน เชน่ การสบื เสาะหาความรู้แบบปลายเปิด (Open Inquiry) ที่นักเรียนเป็นผู้ควบคุมการสืบเสาะหาความรู้ของตนเองตั้งแต่การสร้างประเด็นคาถาม การสารวจตรวจสอบ (Investigation) และอธิบายสิ่งท่ีศึกษาโดยใช้ข้อมูล (Data) หรือหลักฐาน (Evidence) ท่ีได้จากการสารวจตรวจสอบ การประเมินและเช่ือมโยงความรู้ท่ีเก่ียวข้องหรือคาอธิบายอื่นเพื่อปรับปรุง คาอธิบายของตนและนาเสนอต่อผู้อ่ืน นอกจากน้ี ครูอาจใช้การสืบเสาะหาความรู้ที่ตนเองเป็นผู้กาหนด แนวในการทากจิ กรรม (Structured Inquiry) โดยครูสามารถแนะนานักเรียนได้ตามความเหมาะสม การจัดการเรียนรู้แบบสืบเสาะหาความรู้ทางวิทยาศาสตร์ ครูสามารถออกแบบการสอนให้มีลักษณะ สาคัญของการสบื เสาะ ดงั นี้ ภาพ วัฏจักรการสืบเสาะหาความร้ทู างวิทยาศาสตร์ในหอ้ งเรียน สถาบนั สง่ เสรมิ การสอนวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี
คมู่ ือครรู ายวิชาพื้นฐานวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี ป.6 เลม่ 1 ฝ การจดั การเรียนการสอนทสี่ อดคลอ้ งกับธรรมชาตขิ องวิทยาศาสตร์ และกระบวนการทางวทิ ยาศาสตร์ ธรรมชาติของวิทยาศาสตร์ เป็นลักษณะเฉพาะตัวของวิทยาศาสตร์ท่ีมีความแตกต่างจากศาสตร์อ่ืน ๆ เป็นค่านิยม ข้อสรุป แนวคิด หรือคาอธิบายท่ีบอกว่า วิทยาศาสตร์คืออะไร มีการทางานอย่างไร นักวิทยาศาสตร์คือใคร ทางานอย่างไร และงานด้านวิทยาศาสตร์มีความสัมพันธ์อย่างไรกับสังคม ค่านิยม ขอ้ สรุป แนวคดิ หรือคาอธบิ ายเหล่าน้จี ะผสมกลมกลืนอยู่ในตวั วิทยาศาสตร์ ความรู้ทางวิทยาศาสตร์ และการ พัฒนาความรู้ทางวิทยาศาสตร์ สาหรับนักเรียนในระดับประถมศึกษาตอนต้น ความเข้าใจเก่ียวกับธรรมชาติ ของวิทยาศาสตร์และกระบวนการทางวิทยาศาสตร์ข้ึนอยู่กับระดับพัฒนาการทางสติปัญญาของนักเรียนและ ประสบการณ์ท่ีครจู ัดให้แกน่ ักเรยี น ความสามารถในการสังเกตและการสื่อความหมายของนักเรียนในระดับน้ี ค่อย ๆ พัฒนาข้ึน ครูควรอานวยความสะดวกในการพัฒนาทักษะกระบวนการทางวิทยาศาสตร์และแนวคิด ทางวิทยาศาสตร์ของนักเรียน นักเรียนในระดับน้ีเร่ิมท่ีจะเข้าใจว่าวิทยาศาสตร์คืออะไร วิทยาศาสตร์ทางาน อย่างไร และนักวิทยาศาสตร์ทางานกันอย่างไรโดยผ่านการทากิจกรรมในห้องเรียน จากเรื่องราวเกี่ยวกับ นกั วทิ ยาศาสตร์ และจากการอภปิ รายในหอ้ งเรียน นักเรียนในระดับประถมศึกษาตอนปลายซ่ึงกาลังพัฒนาฐานความรู้โดยใช้การสังเกตมากขึ้น สามารถ นาความรู้มาใชเ้ พื่อก่อให้เกิดความคาดหวงั เก่ยี วกับสิง่ ตา่ ง ๆ รอบตวั โอกาสการเรียนรู้สาหรับนกั เรียนในระดับนี้ ควรเน้นไปท่ีทักษะการตั้งคาถามเชิงวิทยาศาสตร์ การสร้างคาอธิบายท่ีมีเหตุผลโดยอาศัยพยานหลักฐานที่ ปรากฏ และการสื่อความหมายเก่ียวกับความคิดและการสารวจตรวจสอบของตนเองและของนักเรียน คนอนื่ ๆ นอกจากน้เี รอ่ื งราวทางประวัติศาสตร์สามารถเพมิ่ ความตระหนกั ถึงความหลากหลายของคนในชุมชน วิทยาศาสตร์ นักเรียนในระดับนี้ควรมีส่วนร่วมในกิจกรรมท่ีช่วยให้เขาคิดอย่างมีวิจารณญาณเก่ียวกับ พยานหลกั ฐานและความสมั พันธร์ ะหวา่ งพยานหลักฐานกบั การอธบิ าย การเรียนรูว้ ทิ ยาศาสตรข์ องนักเรียนแตล่ ะระดับช้ันมีพัฒนาการเป็นลาดับดงั นี้ ชน้ั ประถมศกึ ษาปีที่ 1 สามารถ ชน้ั ประถมศึกษาปีที่ 2 สามารถ ต้งั คาถาม บรรยายคาถาม เขียนเก่ยี วกบั ออกแบบและดาเนินการสารวจตรวจสอบ คาถาม เพื่อตอบคาถามที่ไดต้ ้ังไว้ บันทกึ ข้อมูลจากประสบการณ์ สารวจ สือ่ ความหมายความคิดของเขาจากส่ิงที่ ตรวจสอบชัน้ เรียน สงั เกต อภิปรายแลกเปลยี่ นหลกั ฐานและความคิด อ่านและการอภิปรายเรอ่ื งราวตา่ ง ๆ เรียนรวู้ ่าทุกคนสามารถเรียนร้วู ทิ ยาศาสตร์ได้ เกย่ี วกับวทิ ยาศาสตร์ สถาบันส่งเสริมการสอนวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี
พ คู่มือครูรายวิชาพน้ื ฐานวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี ป.6 เล่ม 1 ช้ันประถมศกึ ษาปที ี่ 3 สามารถ ชน้ั ประถมศึกษาปที ี่ 4 สามารถ ทาการทดลองอย่างง่าย ๆ ตงั้ คาถามทสี่ ามารถตอบได้โดยการใช้ ให้เหตผุ ลเกีย่ วกับการสงั เกต การสอื่ ฐานความรู้ทางวทิ ยาศาสตร์และการสงั เกต ความหมาย ทางานในกลุ่มแบบร่วมมือเพ่ือสารวจ ลงมือปฏบิ ตั กิ ารทดลองและการอภปิ ราย ตรวจสอบ คน้ หาแหลง่ ข้อมูลท่เี ช่ือถือได้และบูรณาการ คน้ หาขอ้ มลู และการสื่อความหมายคาตอบ ข้อมลู เหล่านนั้ กบั การสงั เกตของตนเอง ศึกษาประวัตกิ ารทางานของ สรา้ งคาบรรยายและคาอธิบายจากสง่ิ ท่ี สงั เกต นกั วิทยาศาสตร์ นาเสนอประวัติการทางานของ นกั วทิ ยาศาสตร์ ช้นั ประถมศึกษาปีที่ 5 สามารถ ชน้ั ประถมศึกษาปีท่ี 6 สามารถ สารวจตรวจสอบ สารวจตรวจสอบที่เนน้ การใช้ทักษะทาง วทิ ยาศาสตร์ ต้ังคาถามทางวทิ ยาศาสตร์ รวบรวมขอ้ มูลที่เก่ียวข้อง การมองหา ตคี วามหมายข้อมูลและคิดอย่างมี แบบแผนของข้อมลู การส่ือความหมาย วจิ ารณญาณโดยมหี ลกั ฐานสนบั สนนุ และการแลกเปลย่ี นเรียนรู้ คาอธบิ าย เขา้ ใจความแตกต่างระหวา่ งวิทยาศาสตร์ เขา้ ใจธรรมชาติวทิ ยาศาสตรจ์ ากประวตั ิการ และเทคโนโลยี ทางานของนักวิทยาศาสตร์ที่มคี วามมานะ อตุ สาหะ เขา้ ใจการทางานทางวิทยาศาสตรผ์ า่ น ประวัตศิ าสตร์ของนักวทิ ยาศาสตร์ทกุ เพศ ท่มี ีหลายเชอื้ ชาติ วัฒนธรรม สามารถอา่ นข้อมูลเพ่ิมเตมิ เกี่ยวกับการจัดการเรียนการสอนทเี่ นน้ การสบื เสาะหาความรู้ทางวิทยาศาสตร์ และการจดั การเรยี นรู้ทสี่ อดคล้องกับธรรมชาติของวทิ ยาศาสตร์และกระบวนการทางวิทยาศาสตร์ จากคู่มอื การใชห้ ลกั สตู ร http://ipst.me/8922 สถาบนั สง่ เสรมิ การสอนวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี
คมู่ อื ครรู ายวิชาพน้ื ฐานวทิ ยาศาสตร์และเทคโนโลยี ป.6 เลม่ 1 ฟ การวัดผลและประเมินผลการเรียนรู้วิทยาศาสตร์ แนวคิดสาคญั ของการปฏริ ปู การศกึ ษาตามพระราชบัญญตั ิการศึกษาแหง่ ชาติ พุทธศักราช 2542 และ ที่แก้ไขเพิ่มเติม (ฉบับท่ี 2) พุทธศักราช 2545 ท่ีเน้นนักเรียนเป็นสาคัญ คือ การจัดกิจกรรมการเรียนรู้ที่ เปิดโอกาสให้นักเรียนคิดและลงมือปฏิบัติด้วยกระบวนการที่หลากหลาย เพ่ือให้เกิดการเรียนรู้และพัฒนา ตนเองเต็มตามศักยภาพ การวัดและประเมินผลจึงมีความสาคัญและจาเป็นอย่างยิ่งต่อการจัดกิจกรรมการ เรยี นรู้ในห้องเรียน เพราะสามารถทาให้ครปู ระเมนิ ระดับพฒั นาการการเรียนรู้ของนักเรียนได้ กิจกรรมการเรียนรู้ของนักเรียนมีหลากหลาย เช่น กิจกรรมสารวจภาคสนาม กิจกรรมการสารวจ ตรวจสอบ การทดลอง กิจกรรมศึกษาค้นคว้า กิจกรรมศึกษาปัญหาพิเศษ หรือโครงงานวิทยาศาสตร์ อย่างไรก็ตาม ในการทากิจกรรมเหล่านี้ต้องคานึงว่านักเรียนแต่ละคนมีศักยภาพแตกต่างกัน นักเรียนจึงอาจ ทางานชน้ิ เดยี วกันได้สาเรจ็ ในเวลาทแี่ ตกตา่ งกัน และผลงานท่ไี ดก้ อ็ าจแตกตา่ งกันดว้ ย เมือ่ นกั เรียนทากิจกรรม เหล่าน้ีแล้วก็ต้องเก็บรวบรวมผลงาน เช่น รายงาน ช้ินงาน บันทึก และรวมถึงทักษะปฏิบัติต่าง ๆ เจตคติทาง วิทยาศาสตร์ เจตคติต่อวิทยาศาสตร์ ความรัก ความซาบซ้ึง กิจกรรมท่ีนักเรียนได้ทาและผลงานเหล่าน้ีต้องใช้ วิธีประเมินที่มีความเหมาะสมและแตกต่างกันเพื่อช่วยให้สามารถประเมินความรู้ความสามารถและความรู้สึก นกึ คิดทแ่ี ทจ้ ริงของนักเรียนได้ การวดั ผลและประเมนิ ผลจะมีประสิทธิภาพก็ต่อเมื่อมีการประเมินหลาย ๆ ดา้ น หลากหลายวิธี ในสถานการณ์ต่าง ๆ ทสี่ อดคลอ้ งกับชวี ิตจรงิ และตอ้ งประเมินอย่างต่อเน่ือง เพอื่ จะได้ข้อมูลที่ มากพอที่จะสะทอ้ นความสามารถทแ่ี ท้จริงของนกั เรยี นได้ จดุ มงุ่ หมายหลกั ของการวดั ผลและประเมินผล 1. เพ่ือค้นหาและวินิจฉัยว่านักเรียนมีความรู้ความเข้าใจเน้ือหาวิทยาศาสตร์ มีทักษะความชานาญใน การสารวจตรวจสอบทางวิทยาศาสตร์ รวมถึงมีเจตคติทางวิทยาศาสตร์อย่างไรและในระดับใด เพ่ือเป็น แนวทางให้ครูสามารถวางแผนการจัดการเรยี นการสอนได้อย่างเหมาะสมเพ่ือพัฒนาการเรียนรู้ของนกั เรยี นได้ อยา่ งเตม็ ศักยภาพ 2. เพ่ือใชเ้ ปน็ ข้อมูลยอ้ นกลบั สาหรับนักเรียนว่ามีการเรยี นรู้อย่างไร 3. เพ่ือใช้เป็นข้อมูลในการสรุปผลการเรียน และเปรียบเทียบระดับพัฒนาการด้านการเรียนรู้ของนักเรียน แต่ละคน การประเมินการเรียนรู้ของนักเรียน มี 3 แบบ คือ การประเมินเพ่ือค้นหาและวินิจฉัย การประเมิน เพอื่ ปรบั ปรงุ การเรยี นการสอน และการประเมินเพอ่ื ตัดสนิ ผลการเรยี นการสอน การประเมินเพื่อค้นหาและวินิจฉัย เป็นการประเมินเพ่ือบ่งชี้ก่อนการเรียนการสอนว่า นักเรียนมี พื้นฐานความรู้ ประสบการณ์ ทักษะ เจตคติ และแนวคิดที่คลาดเคล่ือนอะไรบ้าง การประเมินแบบนี้สามารถ บง่ ชี้ได้วา่ นกั เรยี นคนใดต้องการความช่วยเหลือเป็นพิเศษในเรื่องที่ขาดหายไป หรอื เปน็ การประเมินเพื่อพัฒนา ทักษะที่จาเป็นก่อนท่ีจะเรียนเร่ืองต่อไป การประเมินแบบนี้ยังช่วยบ่งชี้ทักษะหรือแนวคิดที่มีอยู่แล้วของ นักเรียนอีกด้วย การประเมินเพ่ือปรับปรุงการเรียนการสอน เป็นการประเมินในระหว่างช่วงที่มีการเรียนการสอน สถาบันสง่ เสริมการสอนวทิ ยาศาสตร์และเทคโนโลยี
ภ คมู่ อื ครูรายวิชาพืน้ ฐานวทิ ยาศาสตร์และเทคโนโลยี ป.6 เล่ม 1 การประเมนิ แบบนีจ้ ะช่วยบง่ ชร้ี ะดบั ท่ีนักเรยี นกาลงั เรยี นอยูใ่ นเร่ืองท่ีได้สอนไปแล้ว หรอื บง่ ชี้ความรขู้ องนกั เรยี นตาม จุดประสงค์การเรียนรู้ที่ได้วางแผนไว้ เป็นการประเมินท่ีให้ข้อมูลย้อนกลับกับนักเรียนและกับครูว่าเป็นไปตาม แผนการท่ีวางไว้หรือไม่ ขอ้ มลู ที่ไดจ้ ากการประเมินแบบน้ีไมใ่ ช่เพ่อื เป้าประสงคใ์ นการให้ระดับคะแนน แตเ่ พ่ือช่วยครู ในการปรับปรงุ การสอน และเพ่อื วางแผนประสบการณ์ตา่ ง ๆ ทจ่ี ะให้กบั นกั เรียนตอ่ ไป การประเมินเพ่ือตัดสินผลการเรียนการสอน เกิดข้ึนเม่ือสิ้นสุดการเรียนการสอนแล้ว ส่วนมากเป็น “การสอบ” เพื่อให้ระดับคะแนนแก่นักเรียน หรือเพื่อให้ตาแหน่งความสามารถของนักเรียน หรือเพ่ือเป็นการบ่งชี้ ความก้าวหน้าในการเรียน การประเมินแบบน้ีถือว่ามีความสาคัญในความคิดของผู้ปกครอง นักเรียน ครู ผู้บริหาร อาจารย์แนะแนว ฯลฯ แต่ก็ไม่ใช่เป็นการประเมินภาพรวมทั้งหมดของความสามารถของนักเรียน ครูต้องระมัดระวัง เม่ือประเมินผลรวมเพ่ือตัดสินผลการเรียนของนักเรียน ทั้งน้ีเพื่อให้เกิดความสมดุล ความยุติธรรม และเกิดความ เที่ยงตรง การตัดสินผลการเรียนของนักเรียนมักจะมีการเปรียบเทียบกับส่ิงอ้างอิง ส่วนมากการประเมินมักจะ อ้างอิงกลุ่ม (norm reference) คือเป็นการเปรียบเทียบความสามารถของนักเรียนโดยเปรียบเทียบกับกลุ่มหรือ คะแนนของนักเรียนคนอื่นๆ การประเมินแบบกลุ่มน้ีจะมี “ผู้ชนะ” และ “ผู้แพ้” อย่างไรก็ตามการประเมินแบบ อิงกลุ่มนี้จะมีนักเรียนคร่ึงหนึ่งท่ีอยู่ต่ากว่าระดับคะแนนเฉลี่ยของกลุ่ม นอกจากน้ียังมีการประเมินแบบอิงเกณฑ์ (criterion reference) ซ่ึงเป็นการเปรียบเทียบความสามารถของนักเรียนกับเกณฑ์ที่ตั้งเอาไว้โดยไม่คานึงถึง คะแนนของนักเรียนคนอ่ืนๆ ฉะนั้นจุดมุ่งหมายในการเรียนการสอนจะต้องชัดเจนและมีเกณฑ์ที่บอกให้ทราบว่า ความสามารถระดับใดจึงจะเรียกว่าบรรลุถึงระดับ “รอบรู้” โดยท่ีนักเรียนแต่ละคน หรือช้ันเรียนแต่ละช้ัน หรือโรงเรียนแต่ละโรงจะได้รับการตัดสินว่าประสบผลสาเร็จก็ต่อเมื่อ นักเรียนแต่ละคน หรือช้ันเรียนแต่ละชั้น หรือโรงเรียนแต่ละโรงได้สาธิตผลสาเร็จ หรือสาธิตความรอบรู้ตามจุดประสงค์การเรียนรู้หรือตามเกณฑ์ที่ตั้งไว้ ข้อมูลท่ีใช้สาหรับการประเมินเพ่ือวินิจฉัย หรือเพื่อปรับปรุงการเรียนการสอน หรือเพื่อตัดสินผลการเรียน การสอนสามารถใช้การประเมินแบบอิงกลุ่มหรืออิงเกณฑ์ เท่าที่ผ่านมาการประเมินเพ่ือตัดสินผลการเรียน การสอนจะใชก้ ารประเมินแบบองิ กลมุ่ แนวทางการวดั ผลและประเมินผลการเรยี นรู้ การเรียนรูจ้ ะบรรลุตามเป้าหมายของการจดั กิจกรรมการเรียนรู้ท่วี างไว้ ควรมแี นวทางดังตอ่ ไปน้ี 1. วัดและประเมินผลทั้งความรู้ความคิด ความสามารถ ทักษะกระบวนการ เจตคติ คุณธรรม จริยธรรม ค่านิยมดา้ นวิทยาศาสตร์ รวมทั้งโอกาสในการเรยี นรขู้ องนกั เรยี น 2. วธิ ีการวดั และประเมินผลตอ้ งสอดคลอ้ งกบั มาตรฐานการเรียนรูท้ ี่กาหนดไว้ 3. เกบ็ ขอ้ มูลจากการวดั และประเมินผลอย่างตรงไปตรงมา และต้องประเมินผลภายใต้ข้อมูลทีม่ ีอยู่ 4. ผลของการวัดและประเมินผลการเรียนรู้ของนักเรียนต้องนาไปสู่การแปลผลและลงข้อสรุปท่ี สมเหตุสมผล 5. การวดั และประเมินผลตอ้ งมคี วามเท่ียงตรงและเปน็ ธรรม ท้ังในดา้ นของวธิ ีการวัดและโอกาสของการประเมิน สถาบนั สง่ เสริมการสอนวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี
คมู่ ือครูรายวิชาพืน้ ฐานวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี ป.6 เลม่ 1 ม วิธีการและแหล่งข้อมลู ทีใ่ ชใ้ นการวดั ผลและประเมินผล เพ่อื ให้การวดั ผลและประเมนิ ผลได้สะท้อนความสามารถท่ีแทจ้ รงิ ของนกั เรยี น ผลการประเมนิ อาจ ไดม้ าจากแหล่งข้อมูลและวิธกี ารต่างๆ ดงั ต่อไปน้ี 1. สังเกตการแสดงออกเป็นรายบคุ คลหรอื รายกลุ่ม 2. ชิ้นงาน ผลงาน รายงาน 3. การสมั ภาษณ์ท้ังแบบเป็นทางการและไม่เป็นทางการ 4. บันทึกของนักเรียน 5. การประชุมปรกึ ษาหารือรว่ มกนั ระหว่างนักเรียนและครู 6. การวดั และประเมนิ ผลภาคปฏบิ ัติ 7. การวดั และประเมนิ ผลด้านความสามารถ 8. การวัดและประเมนิ ผลการเรยี นรู้โดยใช้แฟ้มผลงาน สถาบันส่งเสริมการสอนวทิ ยาศาสตร์และเทคโนโลยี
ย คมู่ ือครูรายวิชาพน้ื ฐานวทิ ยาศาสตร์และเทคโนโลยี ป.6 เล่ม 1 ตารางแสดงความสอดคลอ้ งระหวา่ งเน้ือหาและกิจกรรม ระดับชนั้ ประถมศึกษาปีท่ี 6 เล่ม 1 กับตวั ชี้วัด กล่มุ สาระการเรยี นรวู้ ทิ ยาศาสตร์และเทคโนโลยี (ฉบบั ปรับปรุง พ.ศ. 2560) ตามหลกั สูตรแกนกลางการศกึ ษาข้นั พ้นื ฐาน พทุ ธศักราช 2551 หนว่ ยการ ช่อื กจิ กรรม เวลา ตวั ช้วี ัด เรยี นรู้ (ชว่ั โมง) บทที่ 1 สารอาหารและระบบยอ่ ยอาหาร หน่วยท่ี 1 เรอ่ื งท่ี 1 สารอาหาร 1 ว 1.2 ป.6/1 อาหารและ การยอ่ ย กจิ กรรมท่ี 1 ในแต่ละวนั เรา 1 ระบุสารอาหารและบอ ก อาหาร รับประทานอาหารเหมาะสมหรอื ไม่ อย่างไร 5 ประโยชน์ของสารอาหารแต่ เรอื่ งที่ 2 ระบบย่อยอาหาร กิจกรรมท่ี 2 อวยั วะในระบบยอ่ ย ละประเภทจากอาห าร ท่ี อาหารมลี กั ษณะและหน้าที่อยา่ งไร กจิ กรรมท้ายบทท่ี 1 สารอาหารและระบบย่อย ตนเองรับประทาน อาหาร 1 ว 1.2 ป.6/2 3 บอกแนวทางในการเลือก รับประทานอาหาร ใ ห้ ไ ด้ 1 สารอาหารครบถว้ นในสัดส่วน ที่ เ ห ม า ะ ส ม กั บ เ พ ศ แ ล ะ วั ย ร ว ม ทั้ ง ค ว า ม ป ล อ ด ภั ย ต่ อ สขุ ภาพ ว 1.2 ป.6/2 ตระหนักถึงความสาคัญของ สารอาหาร โดยการเลือก รั บ ป ร ะ ท า น อ า ห า ร ที่ มี สารอาหารครบถว้ นในสัดส่วน ที่ เ ห ม า ะ ส ม กั บ เ พ ศ แ ล ะ วั ย รวมทง้ั ปลอดภัยตอ่ สขุ ภาพ ว 1.2 ป.6/4 สร้างแบบจาลองระบบย่อย อาหาร และบรรยายหน้าที่ ของอวัยวะในระบบ ย่ อย อาหาร รวมท้ังอธิบายการ ย่ อ ย อ า ห า ร แ ล ะ ก า ร ดู ด ซึ ม สารอาหาร สถาบันสง่ เสริมการสอนวทิ ยาศาสตร์และเทคโนโลยี
คมู่ ือครรู ายวิชาพน้ื ฐานวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี ป.6 เลม่ 1 ร หนว่ ยการ ช่อื กจิ กรรม เวลา ตัวชีว้ ัด เรียนรู้ (ชว่ั โมง) หน่วยท่ี 2 ว 1.2 ป.6/5 การแยกสาร เนื้อผสม ตระหนักถึงความสาคัญของ หนว่ ยท่ี 3 ระบบย่อยอาหาร โดยการ หินและซาก ดกึ ดาบรรพ์ บอกแนวทางในการดู แล รั ก ษ า อ วั ย ว ะ ใ น ร ะ บ บ ย่ อ ย อาหารให้ทางานเป็นปกติ บทที่ 1 การแยกสารเนอ้ื ผสมอยา่ งงา่ ย 1 ว 2.1 ป.6/1 เร่อื งท่ี 1 วธิ กี ารแยกสารเน้ือผสมอ่างง่าย 1 อธิบายและเปรียบเทียบการ กิจกรรมท่ี 1.1 แยกของแขง็ ในสาร 2 แยกสารผสมโดยการหยิบ เนื้อผสมออกจากกันได้อยา่ งไร ออก การร่อน การใช้แม่เหล็ก กิจกรรมท่ี 1.2 แยกของแขง็ กับ 2 ดึงดูด การรินออก การกรอง ของเหลวในสารเน้ือผสมออกจากกันได้ และการตกตะกอน โดยใช้ อย่างไร หลักฐานเชิงประจักษ์ รวมทั้ง กจิ กรรมท่ี 1.3 แยกสารแมเ่ หลก็ ใน 2 ร ะ บุ วิ ธี แ ก้ ปั ญ ห า ใ น สารเนอ้ื ผสมได้อย่างไร ชีวิตประจาวันเก่ียวกับการ กจิ กรรมท่ี 1.4 ใชป้ ระโยชนจ์ ากการ 1 แยกสาร แยกสารเน้ือผสมอย่างง่ายได้อย่างไร กิจกรรมท้ายบทท่ี 1 การแยกสารเนือ้ ผสมอย่างงา่ ย 1 บทที่ 1 หิน วฏั จักรหิน และซากดกึ ดาบรรพ์ 1 ว 3.2 ป.6/1 เรื่องที่ 1 กระบวนการเกิดหิน วัฏจักรหิน และ 1 เปรียบเทียบกระบวนการเกิด การนาหินและแร่ไปใช้ประโยชน์ หินอัคนี หินตะกอน และ กจิ กรรมที่ 1.1 องค์ประกอบของหิน 2 หินแปร และอธิบายวัฏจักร มอี ะไรบา้ ง หินจากแบบจาลอง กิจกรรมที่ 1.2 กระบวนการเกิดหิน 4 ว 3.2 ป.6/2 และวัฏจกั รหนิ เปน็ อย่างไร บรรยายและยกตัวอย่างการ กิจกรรมที่ 1.3 หินและแร่มีประโยชน์ 2 ใช้ประโยชน์ของหินและแร่ใน อยา่ งไรบ้าง ชีวิตประจาวันจากข้อมูลที่ เร่อื งท่ี 2 การเกิดซากดึกดาบรรพ์ และ 1 รวบรวมได้ การนาไปใชป้ ระโยชน์ ว 3.2 ป.6/3 กจิ กรรมท่ี 2.1 ซากดึกดาบรรพเ์ กดิ ขึน้ 2 สร้างแบบจาลองที่อธิบายการ ไดอ้ ย่างไร เกิดซากดึกดา บรร พ์ แล ะ สถาบนั สง่ เสรมิ การสอนวิทยาศาสตรแ์ ละเทคโนโลยี
ล คูม่ อื ครรู ายวิชาพ้นื ฐานวทิ ยาศาสตร์และเทคโนโลยี ป.6 เล่ม 1 หน่วยการ ชื่อกจิ กรรม เวลา ตัวชว้ี ดั เรียนรู้ (ชั่วโมง) กจิ กรรมท่ี 2.2 ซากดึกดาบรรพ์ คาดคะเนสภาพแวดล้อมใน มีประโยชน์อยา่ งไร 1 อดตี ของซากดกึ ดาบรรพ์ กจิ กรรมท้ายบทที่ 1 หิน วฏั จกั รหิน และ ซากดกึ ดาบรรพ์ 1 แบบทดสอบท้ายเล่ม รวมจานวนช่ัวโมง 3- 40 หมายเหต:ุ กิจกรรม เวลาที่ใช้ และสิง่ ทต่ี ้องเตรยี มล่วงหนา้ น้นั ครูสามารถปรบั เปลี่ยนเพ่ิมเติมไดต้ ามความ เหมาะสมของสภาพท้องถ่ิน สถาบนั ส่งเสริมการสอนวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี
คมู่ ือครรู ายวิชาพน้ื ฐานวทิ ยาศาสตร์และเทคโนโลยี ป.6 เล่ม 1 ว รายการวัสดอุ ปุ กรณ์วิทยาศาสตร์ ป.6 เล่ม 1 ลาดบั ที่ รายการ จานวน/กล่มุ จานวน/หอ้ ง จานวน/คน 1 คนั หนว่ ยที่ 1 อาหารและการย่อยอาหาร 1 ชุด 1 ตารางชนิดของอาหาร ปริมาณพลังงานและสัดสว่ นของ 1 จาน 1 บาน อาหารตามธงโภชนาการ 1 กลอ่ ง 2 ขา้ วสุก 1 ฉบบั 3 กระจก 5 กรัม 1 ชดุ 4 สีไม้ 1 ใบ 1 ใบ 5 ช้อน 1 อนั 300 cm3 6 การ์ตนู เรอ่ื งลีมอนผจญภยั 1 ผนื 1 แผ่น หนว่ ยที่ 2 การแยกสารเนือ้ ผสม 1 อนั 1 อนั 1 ข้าวเปลอื ก 6 ใบ 1 คัน 2 ครกและสาก 1 ชุด 1 อัน 3 ถาด 10 กรัม 1 ใบ 4 กระดง้ 1 ผนื 1 แทง่ 5 ตะแกรง 6 นา้ ปูน 7 ผา้ ขาวบาง 8 กระดาษกรอง 9 แท่งแก้วคน 10 กรวยกรอง 11 แก้วพลาสติกใส 12 ช้อนพลาสติก 13 ชุดขาตัง้ 14 ไมห้ นีบ 15 เมลด็ ขา้ วเปลือกท่มี ผี งเหล็กปน 16 จาน หรือแก้วกระดาษ หรือแกว้ พลาสตกิ 17 ผา้ ขาวบาง 18 แท่งแม่เหล็ก สถาบันสง่ เสริมการสอนวิทยาศาสตรแ์ ละเทคโนโลยี
ศ คมู่ อื ครูรายวิชาพ้นื ฐานวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี ป.6 เลม่ 1 ลาดับท่ี รายการ จานวน/กลมุ่ จานวน/หอ้ ง จานวน/คน 1 อัน 1 เครอ่ื ง 19 ไม้จิ้มฟนั 1 ชุด หนว่ ยท่ี 3 หนิ และซากดึกดาบรรพ์ 2-3 อนั 1 ชุดตัวอย่างหนิ 3 ประเภท ได้แก่ หนิ อัคนี หินตะกอน 1 ชดุ 1 ชดุ หนิ แปร 1-2 เล่ม 50 กรัม 2 แวน่ ขยาย 250 กรมั 2-3 ก้อนใหญ่ 3 ชดุ เกม Rocks & Minerals สีละ 1 ขวด 1 คนั 4 ชดุ เกม Rocks Dominoes 1 อัน 1 ดา้ ม 5 กรรไกร 1 ใบ 1 ใบ 6 ทรายละเอยี ด 2-3 อนั 1 ตวั 7 ปูนปลาสเตอร์ 1 อัน 1 ใบ 8 ดินน้ามันหรอื ดนิ เหนยี ว 190 cm3 9 สผี สมอาหารแบบน้า จานวน 2 สี 10 ช้อนพลาสตกิ หรือไมส้ าหรับคนสารผสม 11 หลอดหยด 12 พู่กนั หรือแปรงขนาดเล็ก 13 ภาชนะสาหรับผสม 14 บีกเกอร์ขนาด 150 cm3 15 เปลอื กหอย 16 ไดโนเสาร์พลาสติก 17 ไม้ไอศกรีม 18 กลอ่ งนมขนาด 300 cm3 19 น้า 20 เครอ่ื งชัง่ สถาบันสง่ เสรมิ การสอนวทิ ยาศาสตรแ์ ละเทคโนโลยี
หน่วยท่ี 1 อาหารและการย่อยอาหารคู่มอื ครรู ายวิชาพ้นื ฐานวทิ ยาศาสตร์และเทคโนโลยี ป.6 เลม่ 1 | หนว่ ยท่ี 1 อาหารและการย่อยอาหาร ภาพรวมการจดั การเรยี นรูป้ ระจาหน่วยที่ 1 อาหารและการยอ่ ยอาหาร บท เรอื่ ง กจิ กรรม ลาดบั แนวคิดตอ่ เน่ือง ตัวช้ีวดั บทที่ 1 สารอาหาร เรื่องท่ี 1 สารอาหาร กิจกรรมที่ 1 ในแต่ละ อ า ห า ร ท่ี เ ร า รั บ ป ร ะ ท า น ว 1.2 แ ล ะ ร ะ บ บ ย่ อ ย วั น เ ร า รั บ ป ร ะ ท า น มีสารอาหาร ซ่ึงเป็นสารท่ีมี ป. 6/1 ระบุสารอาหาร อาหาร อาหารเหมาะสม ประโยชน์ต่อร่างกาย แบ่งได้เป็น หรอื ไม่ อย่างไร 6 ป ร ะ เ ภ ท ไ ด้ แ ก่ โ ป ร ตี น และบอกประโ ยชน์ คาร์โบไฮเดรต ไขมัน วิตามิน ของสารอาหารแต่ละ เกลือแร่ และน้า ประเภทจากอาหารที่ อาหารแต่ละอย่างมีประเภทและ ตนเองรับประทาน ปริมาณของสารอาหารแตกต่าง กัน อาหารบางอย่างมีสารอาหาร ป. 6/2 บอกแนวทางในการ หลายประเภท อาหารบางอย่างมี เ ลื อ ก รั บ ป ร ะ ท า น สารอาหารเพียงประเภทเดยี ว อาหารให้ได้สารอาหาร ส า ร อ า ห า ร แ ต่ ล ะ ป ร ะ เ ภ ท ครบถ้วน ในสัดส่วนที่ มีประโยชน์ต่อร่างกายแตกต่าง เหมาะสมกับเพศและ กัน โดยคาร์โบไฮเดรต โปรตีน วัย รวมทังปลอดภัยต่อ และไขมันเป็นสารอาหารท่ีให้ สขุ ภาพ พลังงานแก่ร่างกาย ส่วนเกลือแร่ วิตามินและน้า เป็นสารอาหารท่ี ป . 6/ 3 ต ร ะ ห นั ก ถึ ง ไม่ให้พลังงานแก่ร่างกาย แต่ช่วย ค ว า ม ส้ า คั ญ ข อ ง ใหร้ า่ งกายทา้ งานได้เปน็ ปกติ อาหาร โดยการเลือก รับประทานอาหารท่ีมี ในแต่ละวันเราควรรับประทาน สารอาหารครบถ้วนใน อาหารให้ได้รับสารอาหารครบทงั สัดส่วนที่เหมาะสมกับ 6 ประเภท และรับประทานให้ได้ เพศและวัย รวมทัง ปริมาณพลังงานท่ีเพียงพอต่อ ปลอดภัยตอ่ สขุ ภาพ ค ว า ม ต้ อ ง ก า ร ข อ ง ร่ า ง ก า ย ในแต่ละวัน รวมทังตอ้ งไดส้ ดั สว่ น สถาบันสง่ เสรมิ การสอนวทิ ยาศาสตร์และเทคโนโลยี 1
คูม่ อื ครูรายวิชาพ้นื ฐานวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี ป.6 เล่ม 1 | หนว่ ยที่ 1 อาหารและการย่อยอาหาร บท เรือ่ ง กจิ กรรม ลาดับแนวคดิ ตอ่ เน่อื ง ตัวช้ีวดั ตามธงโภชนาการ และต้อง ค้ า นึ ง ถึ ง ค ว า ม ป ล อ ด ภั ย ต่ อ สขุ ภาพ เร่ืองท่ี 2 ระบบย่อย กจิ กรรมท่ี 2 อวยั วะใน ระบบย่อยอาหารเป็นระ บ บ ป. 6/4 สร้างแบบจ้าลอง อาหาร ระบบย่อยอาหารมี อวัยวะของร่างกาย มีหน้าที่ย่อย ระบบย่อยอาหาร และ ลักษณะและหน้า ท่ี สารอาหารท่ีมีขนาดใหญ่ให้มี บ ร ร ย า ย ห น้ า ท่ี ข อ ง อยา่ งไร ขนาดเล็กลงจนร่างกายสามารถ อวัยวะในระบบย่อย ดดู ซมึ และน้าไปใช้ได้ อาหารและการดูดซึม อ วั ย ว ะ ใ น ร ะ บ บ ย่ อ ย อ า ห า ร สารอาหาร ประกอบด้วย ปาก หลอดอาหาร กระเพาะอาหาร ล้าไส้เล็ก ตับ ป . 6/ 5 ต ร ะ ห นั ก ถึ ง ตับอ่อน ล้าไส้ใหญ่ และทวารหนัก ความส้าคัญของระบบ ซึ่ ง แ ต่ ล ะ อ วั ย ว ะ มี ลั ก ษ ณ ะ แ ล ะ ย่อยอาหาร โดยบอก หน้าที่แตกต่างกัน แต่ท้างาน แ น ว ท า ง ใ น ก า ร ดู แ ล ร่ ว ม กั น ใ น ก า ร ย่ อ ย แ ล ะ ดู ด ซึ ม รักษาอวัยวะในระบบ สารอาหาร ย่อยอาหารให้ท้างาน ปกติ ระบบย่อยอาหารมีความส้าคัญ เพราะเป็นระบบที่ท้าให้ร่างกาย ได้รับสารอาหารที่เป็นประโยชน์ ทังที่ให้พลังงานและท้าให้ร่างกาย ท้างานและเจริญเติบโตได้อย่าง ปกติ ดังนันเราจึงควรมีพฤติกรรม การรับประทานอาหารท่ีถูกต้อง เพื่อให้อวัยวะในระบบย่อยอาหาร ได้ท้างานเป็นปกติ ไม่เป็นโรคท่ี เก่ยี วขอ้ งกบั ระบบยอ่ ยอาหาร ร่วมคิด รว่ มทา้ 2 สถาบันส่งเสรมิ การสอนวิทยาศาสตรแ์ ละเทคโนโลยี
คมู่ ือครูรายวิชาพน้ื ฐานวทิ ยาศาสตร์และเทคโนโลยี ป.6 เลม่ 1 | หนว่ ยท่ี 1 อาหารและการย่อยอาหาร บทที่ 1 สารอาหารและระบบยอ่ ยอาหาร จุดประสงคก์ ารเรยี นรูป้ ระจาบท เมือ่ เรียนจบบทนี นักเรียนสามารถ 1. ระบุสารอาหารและบอกประโยชน์ของสารอาหาร แตล่ ะประเภท 2. บอกแนวทางและเลือกรับประทานอาหารให้ เหมาะสมกบั เพศและวัย 3. สร้างแบบจ้าลองเพื่อบรรยายหน้าที่ของอวัยวะ ตา่ ง ๆ ในระบบยอ่ ยอาหาร 4. บอกแนวทางในการดูแลรักษาอวัยวะในระบบ ย่อยอาหารใหท้ ้างานเป็นปกติ เวลา 12 ช่ัวโมง แนวคิดสาคัญ อาหารเป็นสิ่งที่เรารับประทานแล้วมีประโยชน์ต่อ บทนี้มีอะไร สารอาหาร ร่างกาย โดยอาหารที่เรารับประทานจะผ่านการย่อยใน ในแต่ละวันเรารับประทาน ระบบย่อยอาหาร เพื่อให้ได้สารอาหารท่ีจ้าเป็นต่อการ เร่อื งที่ 1 อ า ห า ร เ ห ม า ะ ส ม ห รื อ ไ ม่ ด้ารงชีวิต ในแต่ละวันเราตอ้ งเลือกรับประทานอาหารท่มี ี กิจกรรมท่ี 1 อย่างไร ประโยชน์ ในปริมาณที่เหมาะสมกับความต้องการของ ระบบยอ่ ยอาหาร ร่างกายแต่ละเพศและวยั รวมทังปลอดภัยตอ่ สขุ ภาพ เรอ่ื งท่ี 2 อวัยวะในระบบย่อยอาหาร กิจกรรมที่ 2 มีลกั ษณะและหนา้ ที่อยา่ งไร สื่อการเรียนรู้และแหล่งเรียนรู้ 1. หนังสอื เรยี น ป. 6 เล่ม 1 หน้า 1-35 2. แบบบันทึกกจิ กรรม ป. 6 เล่ม 1 หนา้ 1-33 สถาบนั สง่ เสรมิ การสอนวทิ ยาศาสตร์และเทคโนโลยี 3
คมู่ อื ครูรายวิชาพ้นื ฐานวทิ ยาศาสตร์และเทคโนโลยี ป.6 เล่ม 1 | หนว่ ยท่ี 1 อาหารและการยอ่ ยอาหาร ทักษะกระบวนการทางวทิ ยาศาสตรแ์ ละทักษะแห่งศตวรรษท่ี 21 รหัส ทกั ษะ กจิ กรรมที่ 12 ทักษะกระบวนการทางวิทยาศาสตร์ S1 การสงั เกต S2 การวัด S3 การใชจ้ ้านวน S4 การจ้าแนกประเภท S5 การหาความสัมพันธร์ ะหว่าง สเปซกบั สเปซ สเปซกบั เวลา S6 การจดั กระทา้ และสื่อความหมายขอ้ มลู S7 การพยากรณ์ S8 การลงความเหน็ จากข้อมูล S9 การตงั สมมตฐิ าน S10 การก้าหนดนิยามเชิงปฏบิ ตั กิ าร S11 การกา้ หนดและควบคุมตัวแปร S12 การทดลอง S13 การตีความหมายข้อมูลและลงขอ้ สรุป S14 การสรา้ งแบบจ้าลอง ทกั ษะแห่งศตวรรษท่ี 21 C1 การสร้างสรรค์ C2 การคดิ อยา่ งมีวิจารณญาณ C3 การแกป้ ัญหา C4 การสอ่ื สาร C5 ความรว่ มมอื C6 การใชเ้ ทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสาร หมายเหตุ : รหสั ทักษะท่ปี รากฏนี ใชเ้ ฉพาะหนังสอื คู่มือครูเลม่ นี 4 สถาบนั ส่งเสริมการสอนวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี
คมู่ อื ครูรายวิชาพืน้ ฐานวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี ป.6 เลม่ 1 | หนว่ ยท่ี 1 อาหารและการย่อยอาหาร แนวคดิ คลาดเคลอ่ื น แนวคิดคลาดเคล่ือนท่ีอาจพบและแนวคดิ ที่ถูกตอ้ งในบทท่ี 1 สารอาหารและระบบย่อยอาหาร มีดงั ตอ่ ไปนี แนวคิดคลาดเคลอ่ื น แนวคิดทถี่ กู ตอ้ ง แคลอรี คือ สารท่ีอยู่ในอาหาร ซ่ึงเป็นสาเหตุท่ีท้าให้ แคลอรี เป็นหน่วยวัดปริมาณความร้อน โดย 1 แคลอรี คือ ปริมาณ น้าหนกั เพ่ิมขนึ (Wodarski, 1976) ความร้อนที่ท้าให้น้าบริสุทธิ์ 1 กรัม ร้อนขึน 1 องศาเซลเซียส 1000 แคลอรี เรียกวา่ 1 กโิ ลแคลอรี ในทางโภชนาการ แคลอรีเป็นหน่วยวัดพลังงานท่ีร่างกายได้รับจาก การเผาผลาญอาหาร (สา้ นกั งานราชบัณฑิตยสภา, 2560) คาร์โบไฮเดรตเป็นส่ิงที่ท้าให้น้าหนักเกิน ถ้าต้องการ คาร์โบไฮเดรตเป็นสารอาหารท่ีให้พลังงานแก่ร่างกาย ซึ่งภาวะ ลดน้าหนักจึงควรลดการรับประทานอาหารท่ีมี น้าหนักเกินเกิดได้จากทังทางพันธุกรรม ลักษณะการบริโภคอาหาร คาร์โบไฮเดรต (Abangma, 2015) กิจวัตรประจ้าวัน การออกก้าลังกาย และการพักผ่อน ซึ่งการได้รับ ปริมาณพลังงานมากเกินความต้องการของร่างกายใน 1 วัน มีผล อย่างมากต่อน้าหนกั ตวั (โรงพยาบาลเกษมราษฎร์, 2014) การรับประทานเฉพาะผลไม้ในมือเย็น ช่วยให้ลด ผลไมบ้ างชนิดใหพ้ ลังงานสูง เนื่องจากมีคาร์โบไฮเดรต หรอื โปรตนี ใน น้าหนักได้ (Pawinee, 2014) ปริมาณสูง การรับประทานเฉพาะผลไม้ในมือเย็นอาจท้าให้ร่างกาย ได้รับพลังงานปริมาณสงู ได้ ซึ่งไม่ได้ช่วยในการลดน้าหนัก นอกจากนี การรับประทานแค่ผลไม้อาจท้าให้ได้รับสารอาหารบางประเภทใน ปรมิ าณไม่เพยี งพอ และไมไ่ ดส้ ัดส่วนตามธงโภชนาการ อาจทา้ ใหเ้ ป็น โรคได้ (Nitijessadawong, 2017) อาหาร 5 หมู่ ประกอบดว้ ย * อาหาร 5 หมู่ โดยการจัดของกรมอนามัย กระทรวงสาธารณสุข หมูท่ ่ี 1 โปรตนี ประกอบด้วย หมู่ท่ี 2 คารโ์ บไฮเดรต หมู่นม ไข่ เนอื สตั วต์ า่ ง ๆ ถัว่ เมลด็ แหง้ และงา หมทู่ ่ี 3 เกลือแร่ หมู่ข้าว แป้ง นา้ ตาล เผอื ก มนั หมูท่ ี่ 4 วติ ามิน หมูผ่ ลไม้ตา่ ง ๆ หมู่ที่ 5 ไขมัน หมู่พืชผักตา่ ง ๆ หมู่น้ามนั และไขมันจากพชื ซึ่งหมู่อาหารเหล่านีไม่จ้าเป็นต้องเรียงลา้ ดับ ส่วนสารอาหารเป็นสาร ท่ีมีอยู่ในอาหารและมีประโยชน์ต่อร่างกาย มี 6 ประเภท ได้แก่ โปรตนี คารโ์ บไฮเดรต เกลือแร่ วิตามิน ไขมนั และน้า (กรมอนามัย, 2546) สถาบันสง่ เสรมิ การสอนวิทยาศาสตรแ์ ละเทคโนโลยี 5
คู่มือครรู ายวิชาพื้นฐานวทิ ยาศาสตร์และเทคโนโลยี ป.6 เลม่ 1 | หน่วยท่ี 1 อาหารและการยอ่ ยอาหาร แนวคิดคลาดเคลอ่ื น แนวคดิ ทถ่ี ูกต้อง อาหารแต่ละอย่างมีสารอาหารเพียง 1 ประเภท เช่น อาหารบางอย่างมีสารอาหารมากกว่า 1 ประเภท เช่น ข้าวบางชนิด ข้าว มีสารอาหารประเภทเดยี ว คอื คาร์โบไฮเดรต* มีสารอาหารครบทัง 6 ประเภท อาหารบางอย่างมีสารอาหารเพียง ประเภทเดียว เชน่ นา้ มันถัว่ เหลอื งทสี่ กัดจากถว่ั เหลอื ง มเี พียงไขมัน (สนุ ทร ตรีนันทวนั , 2553) ถา้ ครูพบว่ามแี นวคิดคลาดเคลอ่ื นใดทย่ี ังไม่ได้แก้ไขจากการท้ากจิ กรรมการเรียนรู้ ครูควรจัดการเรียนร้เู พิ่มเตมิ เพือ่ แก้ไข ตอ่ ไปได้ * ขอ้ มลู ท่ีไดจ้ ากการสังเกตชันเรียนในการทดลองใชห้ นงั สือเรยี นของ สสวท. 6 สถาบันส่งเสริมการสอนวิทยาศาสตรแ์ ละเทคโนโลยี
คู่มือครูรายวิชาพ้ืนฐานวทิ ยาศาสตร์และเทคโนโลยี ป.6 เลม่ 1 | หนว่ ยท่ี 1 อาหารและการยอ่ ยอาหาร บทนี้เรมิ่ ต้นอยา่ งไร (1 ชั่วโมง) ใ น ก า ร ท บ ท ว น ค ว า ม รู้ พืนฐาน ครูควรให้เวลานักเรียน 1. ครูทบทวนความรู้พืนฐานของนักเรียนเกี่ยวกับส่ิงท่ีจ้าเป็นต่อ คิดอย่างเหมาะสม รอคอยอย่าง การเจริญเติบโตและการด้ารงชีวิตของมนุษย์ที่เรียนมาแล้วในชัน อดทน นักเรียนต้องตอบค้าถาม ประถมศึกษาปีท่ี 3 โดยใช้คา้ ถาม ดังนี เหล่านีได้ถูกต้อง หากตอบไม่ได้ 1.1 ส่ิงที่จ้าเป็นต่อการเจริญเติบโตและการด้ารงชีวิตของมนุษย์ หรือลืม ครูต้องให้ความรู้ที่ มอี ะไรบ้าง (อาหาร น้า อากาศ) ถูกตอ้ งทันที 1.2 สิ่งต่าง ๆ เหล่านันมีประโยชน์อย่างไร (อาหารช่วยให้ร่างกาย แข็งแรงและเจริญเติบโต น้าช่วยให้ร่างกายท้างานได้อย่างปกติ ในการตรวจสอบความรู้เดิม ส่วนอากาศใชใ้ นการหายใจ) ครูรับฟังเหตุผลของนักเรียนเป็น ส้าคัญ ครูยังไม่เฉลยค้าตอบใด ๆ 2. ครูตรวจสอบความรู้เดิมของนักเรียนเก่ียวกับสารอาหารและการย่อย แต่ชักชวนให้หาค้าตอบที่ถูกต้อง อาหาร โดยใช้คา้ ถาม ดงั นี จากกจิ กรรมต่าง ๆ ในบทเรียนนี 2.1 เม่ือเช้านีนักเรียนได้รับประทานอาหารอะไรบ้าง (นักเรียนตอบ สงิ่ ทีต่ นเองรบั ประทาน) ครูเลือกอาหารทน่ี ักเรยี นตอบมา 1 อย่าง เชน่ ข้าวเหนยี วหมูทอด 2.2 นักเรียนคิดว่าข้าวเหนียวหมูทอดมีสารอาหารประเภทใดบ้าง และมีประโยชน์ต่อร่างกายของเราอย่างไร (นักเรียนตอบตาม ความเข้าใจของตนเอง เช่น ข้าวเหนียวมีคาร์โบไฮเดรต ในหมูทอดมีโปรตีน ไขมัน ซึ่งช่วยให้ร่างกายได้รับพลังงาน แข็งแรงและเจรญิ เตบิ ได)้ 2.3 เมื่อรับประทานข้าวเหนียวหมูทอดแล้ว ร่างกายของนักเรียน จะน้าสารอาหารที่อยู่ในข้าวเหนียวหมูทอดไปผ่านกระบวนการ ใดเพื่อให้ร่างกายสามารถน้าไปใช้ประโยชน์ได้ (นักเรียนตอบ ตามความเข้าใจของตนเอง เช่น ร่างกายมีกระบวนการย่อย อาหาร ท่ีสามารถย่อยสารอาหาร เพ่ือให้ร่างกายน้าไปใช้ ประโยชน์ได)้ 3. ครูชักชวนนักเรียนศึกษาเร่ืองอาหารและการย่อยอาหาร โดยให้อ่าน ชื่อหน่วย และอ่านคาถามสาคัญประจาหน่วยท่ี 1 ว่า ร่างกายใช้ ประโยชน์จากอาหารได้อยา่ งไร นักเรียนตอบค้าถาม โดยครูยังไม่ต้องเฉลยค้าตอบ แต่จะให้นักเรียน ยอ้ นกลบั มาตรวจสอบค้าตอบอีกครงั หลงั จากเรียนจบหนว่ ยนแี ลว้ สถาบนั สง่ เสรมิ การสอนวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี 7
คูม่ ือครรู ายวิชาพ้นื ฐานวทิ ยาศาสตร์และเทคโนโลยี ป.6 เลม่ 1 | หนว่ ยที่ 1 อาหารและการย่อยอาหาร 4. ครใู หน้ กั เรียนอา่ น ช่ือบท และจุดประสงค์การเรียนรปู้ ระจาบท ใน ขอ้ เสนอแนะเพิม่ เติม หนังสือเรียน หน้า 1 จากนันครูใช้ค้าถามเพื่อตรวจสอบความเข้าใจ ดงั นี การใช้ค้าถามในข้อ 6.2 ,6.3, 4.1 บทนจี ะได้เรยี นเรื่องอะไร (สารอาหารและระบบย่อยอาหาร) 6.6, 6.7 ถ้าบริเวณหน้าโรงเรียนไม่มี 4.2 จากจดุ ประสงค์การเรียนรู้เมอ่ื เรียนจบบทนีแลว้ นกั เรียนสามารถ ร้านขายอาหาร ครูสามารถปรับ ท้าอะไรได้บ้าง (สามารถระบุและบอกประโยชน์ของสารอาหาร ค้าถามได้ โดยอาจเปล่ียนเป็นการ แต่ละประเภท บอกแนวทางการเลือกรับประทานอาหารให้ เลือกซอื อาหารจากที่อืน่ เช่น รา้ นค้า เหมาะสมกับเพศและวัย และสร้างแบบจ้าลองเพื่อบรรยายหน้าที่ ในชุมชน ตลาดนดั ร้านสะดวกซอื ของอวัยวะต่าง ๆ ในระบบย่อยอาหาร รวมทังบอกแนวทางการ ดูแลรกั ษาอวยั วะในระบบยอ่ ยอาหารให้ทา้ งานเป็นปกต)ิ 5. นักเรียนอ่านชื่อบทและแนวคิดสาคัญ ในหนังสือเรียน หน้า 2 จากนันครูใช้ค้าถาม ดังนี จากการอ่านแนวคิดส้าคัญ นักเรียนคิดว่า จะได้เรียนเกี่ยวกับเร่ืองอะไรบา้ ง (สารอาหาร ระบบย่อยอาหาร และ การเลอื กรบั ประทานอาหาร) 6. ครูชักชวนให้นักเรียนสังเกตรูป และอ่านเนือเรื่องในหนังสือเรียน หน้า 2 โดยครูฝึกทักษะการอ่านตามวิธีการอ่านท่ีเหมาะสมกับ ความสามารถของนักเรียน ครูตรวจสอบความเข้าใจจากการอ่าน โดยใช้ค้าถาม ดังนี 6.1 รูปและเนือหานีเกี่ยวกับเร่ืองอะไร (การเลือกซืออาหารที่ วางขายอยหู่ น้าโรงเรียน) 6.2 นักเรยี นเคยซอื อาหารทว่ี างขายอย่หู น้าโรงเรยี นบา้ งหรือไม่ และ เลือกซืออาหารอะไรบ้าง (นักเรียนตอบจากประสบการณ์ของ ตนเอง) 6.3 นักเรียนซืออาหารท่ีวางขายหน้าโรงเรียนในช่วงเวลาใดบ้าง เพราะเหตุใด (นกั เรยี นตอบจากประสบการณข์ องตนเอง) 6.4 นักเรียนมีหลักการในการเลือกซืออาหารท่ีวางขายอยู่หน้า โรงเรียนหรือไม่ อย่างไร (นักเรียนตอบตามความเข้าใจ ของตนเอง) 6.5 ในแต่ละวันนักเรียนรับประทานอาหารก่ีมือ (นักเรียนตอบจาก ประสบการณข์ องตนเอง เช่น 3 มือ) 6.6 การรับประทานอาหาร 3 มือของนักเรียน เพียงพอกับความ ต้องการของตนเองหรือไม่ (นักเรียนตอบจากประสบการณ์ ของตนเอง) 8 สถาบนั ส่งเสริมการสอนวทิ ยาศาสตร์และเทคโนโลยี
คมู่ ือครรู ายวิชาพ้นื ฐานวทิ ยาศาสตร์และเทคโนโลยี ป.6 เล่ม 1 | หน่วยที่ 1 อาหารและการยอ่ ยอาหาร 6.7 ในบทนีนักเรียนจะได้เรียนรู้เก่ียวกับเร่ืองอะไรบา้ ง (ความส้าคัญ ถ้านักเรียนไม่สามารถตอบ ของอาหาร การน้าอาหารมาใช้ประโยชน์ของร่างกาย ค้าถามหรืออภิปรายได้ตามแนว การรับประทานอาหารได้เพียงพอกับความต้องการของร่างกาย ค้าตอบ ครูควรให้เวลานักเรียน ในแตล่ ะวนั ) คิดอย่างเหมาะสม รอคอยอย่าง อดทน และรับฟังแนวความคิด 7. ครูชักชวนให้นักเรียนตอบค้าถามเก่ียวกับสารอาหารและระบบ ของนักเรยี น ย่อยอาหาร ในสารวจความรูก้ อ่ นเรยี น การเตรียมตัวล่วงหน้าสาหรับครู 8. นักเรียนท้าสารวจความรู้ก่อนเรียน ในแบบบันทึกกิจกรรม หน้า 2 เพ่อื จัดการเรยี นรู้ในครงั้ ถัดไป โดยนักเรียนอ่านค้าถามแต่ละข้อ ครูตรวจสอบความเข้าใจของ นักเรียน จนแน่ใจว่านักเรียนสามารถท้าได้ด้วยตนเอง จึงให้นักเรียน ในครังถัดไป นักเรียนจะได้เรียนเร่ือง ตอบคา้ ถาม ค้าตอบของแต่ละคนอาจแตกต่างกัน และคา้ ตอบอาจถูก ท่ี 1 สารอาหาร โดยครูอาจเตรยี มวดี ิทัศน์ หรือผดิ กไ็ ด้ เก่ียวกับการประกอบอาหารท่ีนักเรียน คุ้นเคยและท้าได้ไม่ยาก 1 อย่าง เพ่ือใช้ 9. ครูสังเกตการตอบค้าถามของนักเรียนเพ่ือตรวจสอบว่านักเรียนมี ในขันน้าเข้าสู่บทเรียน โดยส่ือที่ใช้ไม่ควร แนวคิดเก่ียวกับสารอาหารและระบบย่อยอาหารอย่างไร โดยอาจสุ่ม ยาวเกิน 3 นาที และควรมีภาพทีส่ ามารถ ให้นักเรียน 2-3 คน น้าเสนอค้าตอบของตนเอง ครูยังไม่ต้องเฉลย สังเกตส่วนประกอบและขันตอนการ ค้าตอบ แต่จะให้นักเรียนย้อนกลับมาตรวจสอบอีกครังหลังจากเรียน ประกอบอาหารทช่ี ัดเจน จบบทนีแล้ว ทังนีครูควรบันทึกแนวคิดคลาดเคล่ือนหรือแนวคิดที่ น่าสนใจของนักเรียน แล้วน้ามาใช้ในการออกแบบการจัดการเรียนรู้ เพ่ือแก้ไขแนวคิดคลาดเคล่ือนให้ถูกต้อง และต่อยอดแนวคิดท่ี นา่ สนใจของนักเรียนต่อไป สถาบนั สง่ เสรมิ การสอนวทิ ยาศาสตรแ์ ละเทคโนโลยี 9
Search
Read the Text Version
- 1
- 2
- 3
- 4
- 5
- 6
- 7
- 8
- 9
- 10
- 11
- 12
- 13
- 14
- 15
- 16
- 17
- 18
- 19
- 20
- 21
- 22
- 23
- 24
- 25
- 26
- 27
- 28
- 29
- 30
- 31
- 32
- 33
- 34
- 35
- 36
- 37
- 38
- 39
- 40
- 41
- 42
- 43
- 44
- 45
- 46
- 47
- 48
- 49
- 50
- 51
- 52
- 53
- 54
- 55
- 56
- 57
- 58
- 59
- 60
- 61
- 62
- 63
- 64
- 65
- 66
- 67
- 68
- 69
- 70
- 71
- 72
- 73
- 74
- 75
- 76
- 77
- 78
- 79
- 80
- 81
- 82
- 83
- 84
- 85
- 86
- 87
- 88
- 89
- 90
- 91
- 92
- 93
- 94
- 95
- 96
- 97
- 98
- 99
- 100
- 101
- 102
- 103
- 104
- 105
- 106
- 107
- 108
- 109
- 110
- 111
- 112
- 113
- 114
- 115
- 116
- 117
- 118
- 119
- 120
- 121
- 122
- 123
- 124
- 125
- 126
- 127
- 128
- 129
- 130
- 131
- 132
- 133
- 134
- 135
- 136
- 137
- 138
- 139
- 140
- 141
- 142
- 143
- 144
- 145
- 146
- 147
- 148
- 149
- 150
- 151
- 152
- 153
- 154
- 155
- 156
- 157
- 158
- 159
- 160
- 161
- 162
- 163
- 164
- 165
- 166
- 167
- 168
- 169
- 170
- 171
- 172
- 173
- 174
- 175
- 176
- 177
- 178
- 179
- 180
- 181
- 182
- 183
- 184
- 185
- 186
- 187
- 188
- 189
- 190
- 191
- 192
- 193
- 194
- 195
- 196
- 197
- 198
- 199
- 200
- 201
- 202
- 203
- 204
- 205
- 206
- 207
- 208
- 209
- 210
- 211
- 212
- 213
- 214
- 215
- 216
- 217
- 218
- 219
- 220
- 221
- 222
- 223
- 224
- 225
- 226
- 227
- 228
- 229
- 230
- 231
- 232
- 233
- 234
- 235
- 236
- 237
- 238
- 239
- 240
- 241
- 242
- 243
- 244
- 245
- 246
- 247
- 248
- 249
- 250
- 251
- 252
- 253
- 254
- 255
- 256
- 257
- 258
- 259
- 260
- 261
- 262
- 263
- 264
- 265
- 266
- 267
- 268
- 269
- 270
- 271
- 272
- 273
- 274
- 275
- 276
- 277
- 278
- 279
- 280
- 281
- 282
- 283
- 284
- 285
- 286
- 287
- 288
- 289
- 290
- 291
- 292
- 293
- 294
- 295
- 296
- 297
- 298
- 299
- 300
- 301
- 302
- 303
- 304
- 305
- 306
- 307
- 308
- 309
- 310
- 311
- 312
- 313
- 314
- 315
- 316
- 317
- 318
- 319
- 320
- 321
- 322
- 323
- 324
- 325
- 326
- 327
- 328
- 329
- 330
- 331
- 332
- 333
- 334
- 335
- 336
- 337
- 338
- 339
- 340
- 341
- 342
- 343
- 344
- 345
- 346
- 347
- 348