Important Announcement
PubHTML5 Scheduled Server Maintenance on (GMT) Sunday, June 26th, 2:00 am - 8:00 am.
PubHTML5 site will be inoperative during the times indicated!

Home Explore ปรัชญาทางสังคมแห่งพระพุทธศาสนา

ปรัชญาทางสังคมแห่งพระพุทธศาสนา

Published by thiwadon jirapunyo, 2021-09-23 14:17:14

Description: ศาสตราจารย์ ดร.จำนงค์ อดิวัฒนสิทธิ์
สถาบันวิจัยพุทธศาสตร์ มจร

Search

Read the Text Version

สถาบนั วิจยั พทุ ธศาสตร์ มจร ชุดความรเู้ กี่ยวกบั ปรัชญา สังเคราะห์ชดุ ที่ ๑ ปรชั ญาทางสังคมแหง่ พระพทุ ธศาสนา Social Philosophy of Buddhism -1- โดย ศาสตราจารย์ ดร.จ�ำนงค์ อดวิ ัฒนสิทธ์ิ สถาบนั วิจยั พทุ ธศาสตร์ มจร จัดพิมพ์เนื่องในวโรกาสวนั จำ� นงค์ ทองประเสรฐิ ๒ พฤษภาคม ๒๕๖๒

-2- ปรชั ญาทางสงั คมแห่งพระพุทธศาสนา Social Philosophy of Buddhism โดย : ศาสตราจารย์ ดร.จำ� นงค์ อดิวฒั นสิทธ์ิ สถาบนั วิจยั พุทธศาสตร์ มจร จดั พิมพ์เนือ่ งในวโรกาสวันจ�ำนงค์ ทองประเสรฐิ ๒ พฤษภาคม ๒๕๖๒ จ�ำนวน ๓๐๐ เล่ม พิมพ์ท่ี : หจก.นิติธรรมการพมิ พ์ ๗๖/๒๕๑-๓ หมู่ ๑๕ ต.บางม่วง อ.บางใหญ่ จ.นนทบรุ ี ๑๑๑๔๐ โทร. ๐๒ ๔๐๓ ๔๕๖๗, ๐๘ ๑๓๐๙ ๕๒๑๕

คำ� น�ำ การศึกษาปรัชญาแห่งพระพุทธศาสนา สามารถศึกษาได้จากหลายแง่มุมทางวิชาการ โดยทั่วไปทนี่ ยิ มศึกษากนั การศกึ ษาปรชั ญาแห่งพระพทุ ธศาสนา มกั จะเนน้ ในแงม่ ุมอภปิ รชั ญา หรอื ไมก่ เ็ นน้ ในแงก่ ารเปรยี บเทยี บระหวา่ งปรชั ญาแหง่ พระพทุ ธศาสนา กบั ปรชั ญาชาตติ ะวนั ตก และชาตอิ ืน่ ๆ การศึกษาเร่ืองปรัชญาทางสังคมแห่งพระพุทธศาสนาที่น�ำเสนอน้ี เป็นความพยายาม ของผเู้ รยี บเรยี งทจี่ ะนำ� เสนอปรชั ญาทางสงั คมแหง่ พระพทุ ธศาสนาในแงม่ มุ ทส่ี มั พนั ธก์ บั แนวคดิ ทางสังคมวิทยาและเป็นการสังเคราะห์จากรายงานการวิจัยของผู้เรียบเรียงกับคณะที่ได้ทำ� การ วิจยั เรื่อง พุทธปรชั ญาทางสงั คมและทางการเมืองซง่ึ ไดร้ ับทนุ สนบั สนนุ จากสถาบันพุทธศาสตร์ มหาวทิ ยาลยั มหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย ประจ�ำปงี บประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๙ ขอขอบคุณมหาวทิ ยาลัยมหาจุฬาลงกรณราชวทิ ยาลยั โดยเฉพาะอยา่ งยิ่ง สถาบนั วจิ ยั พุทธศาสตร์ ซึ่งมี พระพรหมบัณฑิต (ประยูร ธมฺมจิตฺโต,ศ.ดร.) เป็นประธานกรรมการประจ�ำ สถาบันวิจัยพุทธศาสตร์ และ พระสุธีรัตนบัณฑิต (สุทิตย์ อาภากโร,ดร.) เป็นผู้อ�ำนวยการ สถาบนั วจิ ยั พทุ ธศาสตร์ ทไ่ี ดใ้ หก้ ารสนบั สนนุ การวจิ ยั ครงั้ น้ี ขอขอบคณุ นกั วจิ ยั รว่ มโครงการวจิ ยั -3- ดังกล่าว ประกอบดว้ ย รศ.ดร.สุรพล สยุ ะพรหม (รองอธิการบดฝี ่ายกจิ การทว่ั ไป) รศ.ดร.สมาน งามสนิท (อาจารย์ประจ�ำหลักสูตรดุษฎีบัณฑิต สาขารัฐประศาสนศาสตร์ โครงการหลักสูตร International Program in Public Administration) ผศ.ดร.โกนฏิ ฐ์ ศรที อง (รองคณบดีฝ่าย บรหิ าร คณะสังคมศาสตร์ และผอู้ ำ� นวยการหลักสตู รบณั ฑติ ศึกษา สาขาวชิ าการพัฒนาสังคม) ซ่ึงได้เสียสละเวลาร่วมท�ำการวิจัยจนแล้วเสร็จสมบูรณ์ และขอขอบคุณเจ้าหน้าที่สถาบันพุทธ ศาสตร์ทุกรูปหรือคนท่ีได้ช่วยเอ้ืออ�ำนวยความสะดวกการศึกษาวิจัยด้วยความเรียบร้อยอย่าง ดียิง่ คณุ งามความดใี ดๆ ทม่ี จี ากการนำ� เสนอชดุ ความรปู้ รชั ญาสงั เคราะหเ์ ลม่ น้ี ขอนอ้ มถวาย เป็นพทุ ธบชู า ธรรมบูชา สงั ฆบชู า และอาจาริยบชู า ข้อบกพร่องใดๆ ทมี่ อี ยู่ในงานช้นิ นี้ผเู้ รียบ เรยี งขอรับไว้แต่เพียงผู้เดยี วและผู้เรยี บเรยี งขอรบั ค�ำติชมจากกัลยาณมิตรทุกประการ และหวัง ทจี่ ะไดร้ ับคำ� แนะนำ� ในเชงิ สร้างสรรค์จากกัลยาณมิตรทกุ ท่านต่อไป จำ� นงค์ อดิวฒั นสทิ ธิ์ พฤศจิกายน ๒๕๖๐

สารบัญ ค�ำนำ� ก สารบญั ข ค�ำอธบิ ายสญั ลกั ษณ์และคำ� ย่อ ค บทที่ ๑ ปรชั ญาวา่ ดว้ ยการแสวงหาความรตู้ ามแนวพระพุทธศาสนา ๑ - ความหมายแหง่ ปรชั ญา ๑ - ลกั ษณะสำ� คัญแหง่ ปรัชญาสงั คม ๒ - ขอบเขตการวเิ คราะห์ทางสงั คมแห่งพระพทุ ธศาสนา ๕ บทท่ี ๒ ปรัชญาวา่ ด้วยการแสวงหาความรู้ทางสังคมศาสตร์ตามแนวพระพุทธศาสนา ๖ - บทน�ำ ๖ - อารยธรรม : แหล่งกำ� เนดิ ความรทู้ ่สี ำ� คญั ๘ - ลกั ษณะการแสวงหาความรทู้ างสงั คมศาสตร์ : กระบวนการวจิ ยั และการวดั ผล ๑๐ -4- - แนววธิ ีคดิ หลงั ยุคปจั จุบัน ๑๔ - แนวทางการศึกษาแบบตีความ ๑๔ - ลักษณะการแสวงหาความรูท้ างพุทธปรชั ญา ๑๗ บทที่ ๓ ปรชั ญาวา่ ดว้ ยววิ ัฒนาการสังคมแหง่ พระพุทธศาสนา ๒๕ - ววิ ัฒนาการสงั คมคืออะไร ๒๕ - ววิ ัฒนาการสังคม : มุมมองจากพทุ ธกระบวนทัศน์ ๒๖ - ความไมส่ อดคลอ้ งกัน ๒๙ - ความเปน็ ปกึ แผน่ ของสังคม (Social Solidarity) ๓๑ - วิวัฒนาการสังคมตามแนวคดิ ของ August Comte ๓๓ และ Herbert Spencer ๔๓ - ปรชั ญาปัจจยั การด�ำรงอย่แู หง่ ชีวิต : วิเคราะหต์ ามแนวพทุ ธธรรม ๕๐ - ทรัพยากรธรรมชาตแิ ละสภาพดินฟา้ อากาศ ๕๖ - ปรชั ญาการดำ� รงอยูแ่ หง่ สังคม : วิเคราะห์ตามแนวพทุ ธธรรม ๕๘ - วิเคราะหค์ วามส�ำคัญแหง่ พระพุทธศาสนาเชิงการหน้าที่ ๖๑ - บคุ คลและคณุ ลกั ษณะของบคุ คลทีม่ สี ามญั ส�ำนกึ ตามพทุ ธทรรศนะ ๖๘ - สังคมในอดุ มคติตามแนวพระพุทธศาสนา

บทที่ ๔ ปรัชญาวา่ ด้วยปัญหาสงั คมตามแนวพทุ ธธรรม ๗๑ - ปญั หาสังคมคอื อะไร ๗๑ - กระบวนทัศนเ์ ชงิ พทุ ธเก่ยี วกบั ปญั หาสังคม ๗๒ - การศึกษาปญั หาสงั คมตามแนวอริยสัจ ๔ ๗๓ - สาเหตเุ กดิ ข้นึ มาของอวิชชา ๑๐๖ - ลกั ษณะความรุนแรงทางวาจา ๑๑๐ - เกณฑ์การตัดสนิ การพดู หยาบ (วจึทจุ ริต) ๑๑๕ - การตดิ ยาเสพย์ตดิ (Addicted Drugs) ๑๑๘ - การแกป้ ัญหายาเสพยต์ ิด : วิเคราะหต์ ามแนวพทุ ธปรัชญา ๑๒๔ บทท่ี ๕ พทุ ธปรชั ญาวา่ ดว้ ยการพัฒนาสังคมตามแนวพระพุทธศาสนา ๑๒๘ - การพฒั นาสังคมคืออะไร ๑๒๘ - การวางแผนพัฒนาสังคม ๑๓๒ - การวางแผนทางสงั คมกบั การพฒั นาสังคม ๑๓๔ - ความเป็นปกึ แผน่ ทางสงั คม ๑๓๙ - การมสี ่วนร่วมทางสังคม ๑๔๑ - ความมน่ั คงปลอดภยั ทางสังคม ๑๔๒ -5- - การพฒั นาตามแนวพทุ ธปรชั ญา ๑๔๓ - พุทธปรชั ญาว่าดว้ ยการพัฒนามนุษย์ ๑๔๖ บทที่ ๖ บทสรุปท่ียังไมส่ รปุ ๑๖๙ - แนวทางการประยกุ ตป์ รัชญาทางสังคมแหง่ พระพทุ ธศาสนา ๑๗๑ - คุณคา่ จากการศึกษาครง้ั น ้ี ๑๗๓ - ขอ้ เสนอแนะจากการศึกษา ๑๗๙ บรรณานุกรม ๑๘๑ ประวัตผิ ู้วจิ ัย ๑๘๘

คำ� อธิบายสญั ลักษณ์และค�ำยอ่ พระไตรปฎิ กบาลี ทอ่ี า้ งองิ ในวทิ ยานพิ นธฉ์ บบั นี้ อา้ งองิ จาก ฉบบั มหาจฬุ าเตปฏิ กํ ๒๕๐๐ พระไตรปิฎกภาษาไทย อ้างอิงจาก ฉบับมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย ๒๕๓๙ ปกรณวิเสสอ้า งอิงจาก ฉบับมหาจุฬาปกรณวเิ สโส อรรถกถาบาลี อ้างองิ จาก ฉบับมหาจุฬาอฏฺกถา และ ฎีกา บาลี อ้างองิ จาก ฉบบั มหาจฬุ าฏกี า การอ่านอักษรย่อชอื่ คมั ภรี ์ พระไตรปฎิ ก = เล่ม/ ยอ่ / หน้า มีคำ� ยอ่ ดงั นี้ ค�ำยอ่ พระวนิ ยั ปิฎก ว.ิ จ.ู (บาลี) ค�ำเต็ม ว.ิ จู. (ไทย) วนิ ยปิฏก จฬู วคฺคปาลิ (ภาษาบาลี) วินยปิฎก จูฬวรรค (ภาษาไทย) ที.ม. (บาลี) พระสุตตันตปิฎก ที.ม. (ไทย) สตุ ฺตนฺตปิฏก ทีฆนกิ าย มหาวคคฺ ปาลิ (ภาษาบาลี) ท.ี ปา. (บาลี) สุตตันตปิฎก ทีฆนิกาย มหาวรรค (ภาษาไทย) -6- ที.ปา. (ไทย) สุตฺตนตฺ ปฏิ ก ทีฆนิกาย ปาฏกิ วคฺคปาลิ (ภาษาบาล)ี สตุ ตันตปิฎก ทฆี นกิ าย ปาฏกิ วรรค (ภาษาไทย) ม.ม.ู (บาล)ี สตุ ตฺ นฺตปิฏก มชฌฺ มิ นิกาย มลู ปณฺณาสกปาลิ (ภาษาบาลี) ม.มู. (ไทย) สตุ ตันตปฎิ ก มชั ฌมิ นกิ าย มลู ปณั ณาสก์ (ภาษาไทย) ม.ม. (บาลี) สุตฺตนตฺ ปิฏก มชฌฺ มิ นิกาย มชฌฺ มิ ปณฺณาสกปาลิ (ภาษาบาล)ี ม.ม. (ไทย) สุตตันตปฎิ ก มัชฌมิ นิกาย มชั ฌมิ ปัณณาสก์ (ภาษาไทย) ม.อุ. (บาลี) สุตตฺ นตฺ ปิฏก มชฺฌมิ นกิ าย อุปรปิ ณณฺ าสกปาลิ (ภาษาบาลี) ม.อ.ุ (ไทย) สตุ ตนั ตปฎิ ก มัชฌิมนิกาย อปุ รปิ ณั ณาสก์ (ภาษาไทย) ส.ํ ม. (บาล)ี สตุ ฺตนฺตปฎิ ก สยํ ุตตฺ นกิ าย มหาวารวคคฺ ปาลิ (ภาษาบาล)ี ส.ํ ม. (ไทย) สุตตนั ตปิฎก สํยุตฺตนกิ าย มหาวารวรรค (ภาษาไทย) อง.ฺ จตุกกฺ . (บาล)ี สตุ ฺตนตฺ ปิฎก องฺคุตตฺ รนกิ าย จตกุ ฺกนปิ าตปาลิ (ภาษาบาลี) อง.ฺ จตกุ ฺก. (ไทย) สุตตันตปฎิ ก อังคตุ ตรนิกาย จตุกกนบิ าต (ภาษาไทย) อง.ฺ อฏฐฺ ก. (บาลี) สตุ ฺตนฺตปิฎก องคฺ ตุ ฺตรนิกาย อฏฺฐกนปิ าตปาลิ (ภาษาบาล)ี องฺ.อฏฺฐก. (ไทย) สุตตนั ตปฎิ ก อังคตุ ตรนกิ าย อฏั ฐกนบิ าต (ภาษาไทย) องฺ.ทสก. (บาล)ี สตุ ตฺ นตฺ ปฎิ ก องคฺ ตุ ฺตรนกิ าย ทสกนิปาตปาลิ (ภาษาบาลี) องฺ.ทสก. (ไทย) สตุ ตนั ตปิฎก อังคุตตรนกิ าย ทสกนิบาต (ภาษาไทย) ข.ุ ข.ุ (บาลี) สุตตฺ นฺตปฎิ ก ขุทฺทกนิกาย ขุททฺ กปาฐปาลิ (ภาษาบาลี)

ข.ุ ขุ. (ไทย) สตุ ตันตปิฎก ขทุ ทกนิกาย ขทุ ทกปาฐะ (ภาษาไทย) ข.ุ ม. (บาล)ี ขทุ ฺทกนกิ าย มหานิทเฺ ทสปาลิ (ภาษาบาล)ี ข.ุ ม. (ไทย) สตุ ตนั ตปิฎก ขทุ ทกนกิ าย มหานิทเทส (ภาษาไทย) ขุ.จู. (บาล)ี ขทุ ฺทกนิกาย จฬู นิทฺเทสปาลิ (ภาษาบาลี) ข.ุ จู. (ไทย) สตุ ตนั ตปิฎก ขทุ ทกนิกาย จูฬนทิ เทส (ภาษาไทย) ขุ.ป. (บาลี) ขุททฺ กนกิ าย ปฏิสมฺภทิ ามคฺคปาลิ (ภาษาบาลี) ขุ.ป. (ไทย) สตุ ตนั ตปฎิ ก ขุททกนกิ าย ปฏิสัมภทิ ามรรค (ภาษาไทย) อภ.ิ วิ. (บาล)ี อภิ.ว.ิ (ไทย) พระอภธิ รรมปิฎก อภิธมฺมปิฏก วิภงคฺ ปาลิ (ภาษาบาลี) อภธิ ัมมปิฎก วิภังค์ (ภาษาไทย) -7-

-8-

บทที่ ๑ ปรชั ญาว่าด้วยการแสวงหาความร้ตู ามแนวพระพทุ ธศาสนา ความหมายแหง่ ปรชั ญาทางสงั คม 1 ปรัชญาทางสังคม (Social philosophy) เป็นปรัชญาสาขาหน่ึงแห่งปรัชญาทั่วไป มี ความหมายครอบคลมุ ถงึ การวเิ คราะหส์ ภาพเปน็ จรงิ แหง่ สงั คมและชวี ติ ในสงั คม โดยการใชก้ รอบ แนวคดิ และความรทู้ างปรชั ญาเปน็ เครอ่ื งวเิ คราะห์ ปรชั ญาทางสงั คมมงุ่ เนน้ วเิ คราะหป์ ญั หาตา่ งๆ ที่เกิดขึ้นจากผลลัพธ์แห่งการปฏิบัติตามค่านิยมหรืออุดมการณ์ทางการเมือง ระบบการจัดการ ทางเศรษฐกิจปฏิสัมพนั ธ์ทางสังคม และความนยิ มในการยอมรบั และการปฏิบัตติ ามวฒั นธรรม ในแงม่ มุ ตา่ งๆ สังคมมนษุ ยน์ น้ั ประกอบดว้ ยกลมุ่ มนษุ ยท์ ร่ี วมตวั กนั เป็นหน่วยงานหรอื องค์การ อาชพี และผลประโยชน์ต่างๆ มากมาย ปัญหาต่างๆ มักจะเป็นผลมาจากการตีความค่านิยมตาม อดุ มการณแ์ ละตามวตั ถุประสงคข์ องการร่วมกลมุ่ อย่างไรก็ตามการท่ีมนุษย์จะปฏิบัติตามค่านิยมและตามวัตถุประสงค์อันเป็นแกนหลัก แห่งองค์การท่ีตนสังกัดอย่างเดียว ย่อมท�ำให้เกิดความขัดกันกับค่านิยมและวัตถุประสงค์แห่ง องคก์ ารอาชีพอื่นด้วย ดงั น้นั เพอ่ื การด�ำรงอย่อู ยา่ งสนั ติร่วมกนั ในสังคม มนษุ ยจ์ งึ ตอ้ งแสวงหา ค่านิยมร่วม ซึ่งเป็นลักษณะของการยอมรับร่วมกันซ่ึงแบบอย่างแห่งกฎเกณฑ์หรือค่านิยมร่วม (Shared Value) ค่านิยมร่วมเป็นคุณค่าที่เกิดจากการตกลงยอมรับวิธีการปฏิบัติ การควบคุม พฤตกิ รรมทางสงั คม การลงโทษและการให้รางวัล การก�ำหนดต�ำแหนง่ การบริหาร การจัดการ ซงึ่ ตอ้ งสอดคล้องกบั บทบาททตี่ กลงยอมรบั รว่ มกนั ปรัชญาทางสังคม ในอดตี ทผี่ า่ นมาไมค่ ่อยไดร้ ับความสนใจจากวงวชิ าการมากนัก โดย มีปัญหาการตีความ ปรากฏการณ์ทางสังคม ซึ่งมักจะด�ำเนินการตามกรอบแนวคิดและทฤษฎี แหง่ สงั คมศาสตร์ สาขาต่างๆ นกั วชิ าการ สาขารฐั ศาสตร์ สาขาสังคมวิทยา สาขาเศรษฐศาสตร์

สาขาประวัติศาสตร์ และสาขาอื่นๆ ทางสังคมศาสตร์ มักจะอธิบายปรากฏการณ์ท่ีเกิดข้ึนใน สงั คมตามมุมมองของวิชาการสาขาทตี่ นถนัด เมื่อพิจารณาโดยใกล้ชิดการศึกษา ปรัชญาทางสังคมไม่สามารถแยกออกจากแนวคิด และทฤษฎีทางสังคมวิทยาได้ การจะเข้าใจเนื้อหาปรัชญาทางสังคม จ�ำเป็นต้องเข้าใจ แนวคิด สำ� คญั ทางสงั คมวทิ ยา ซง่ึ เปน็ สาขาวชิ าทม่ี กี ารศกึ ษาปรากฏการณท์ างสงั คมทว่ั ไปอยา่ งเปน็ ระบบ และเป็นวิทยาศาสตร์ และพยายามแสวงหาความรูเ้ กย่ี วกับมนุษยใ์ นฐานะเป็นสัตว์โลกทีอ่ ยรู่ วม กนั เปน็ สงั คม (Social animal) แสวงหาความรเู้ กยี่ วกบั ความเปน็ สงั คมของมนษุ ยท์ งั้ ทเี่ ปน็ สงั คม ขนาดใหญ่และสังคมขนาดเล็ก ความรเู้ ก่ยี วกบั การท่ีมนษุ ยป์ รับตัวอย่ใู นสังคมร่วมกนั ความรู้ เกี่ยวกับประเพณี วัฒนธรรม คา่ นยิ ม สถาบันวิจัยตา่ งๆ ในสังคมแบบแผนการด�ำรงชวี ิตท่ีม่นั คง และปจั จยั ที่ท�ำให้สงั คมเปลีย่ นแปลง นักสงั คมวทิ ยาจะสนใจศกึ ษาปฏสิ มั พันธ์ระหวา่ งมนุษยใ์ น องค์การอาชีพและสถาบันต่างๆ ในสังคมได้แก่สถาบันครอบครัว สถาบันการเมือง และหน่วย ทางสังคมและวัฒนธรรมอื่นๆ นอกจากนี้ทฤษฎีทางสังคมวิทยาพัฒนาจากแนวคิดทางสังคม (Social Thought) แนวคิดทางสงั คมนี้ ถือได้วา่ เป็นหลักการสำ� คญั แหง่ ปรัชญาทางสงั คม ลักษณะส�ำคญั แหง่ ปรัชญาทางสังคม 2 จากทกี่ ลา่ วมาข้างบนน้ี ปรัชญาทางสังคม จงึ มลี กั ษณะสำ� คญั ดังน้ี ๑) ปรัชญาทางสังคม สัมพันธ์กบั ความอยากร้อู ยากเหน็ ของมนุษย์เกี่ยวกับสังคม สงั คมมนษุ ยม์ ลี กั ษณะแตกตา่ งกัน สังคมบางสงั คมมีลักษณะเรียบง่าย ขณะทสี่ งั คมบาง สังคมมีลักษณะสลับซับซ้อน นักคิดทางสังคม โดยเฉพาะอย่างยิ่งนักปรัชญาสังคม มุ่งแสวงหา ความรวู้ า่ สงั คมแตล่ ะประเภทมลี กั ษณะแตกตา่ งกนั อยา่ งไร มคี ณุ คา่ อยา่ งไร รวมถงึ กระบวนการ ววิ ัฒนาการของสงั คมแตล่ ะประเภท ๒) ปรชั ญาทางสังคมมงุ่ อธิบายปัญหาสังคม มนุษย์ที่อยู่ร่วมกันย่อมประสบปัญหาต่างๆ ในสังคมแตกต่างกัน ปรากฏการณ์ท่ีเป็น ปัญหาสังคมได้เกิดข้ึนมานาน ต้ังแต่มนุษย์รวมกลุ่มเป็นกลุ่ม มีปัจจัยหลายอย่างที่บีบค้ันกลุ่ม มนุษย์ให้เกิดความรู้สึกร่วมว่าเป็นความทุกข์ ความยากล�ำบากของกลุ่ม และจะต้องหาวิธีการ บ�ำบัดแก้ไข ป้องกันมิให้ความทุกข์เกิดขึ้นอีก ความเป็นอยู่ของมนุษย์สัมพันธ์กับองค์การทาง สงั คมตา่ งๆ องคก์ ารทางสงั คมทมี่ หี นา้ ทรี่ บั ผดิ ชอบตอ่ ความเปน็ อยขู่ องมนษุ ยเ์ ชน่ องคก์ ารทางการ เมอื ง ยอ่ มจะใชว้ ธิ กี ารทางการเมอื งในการแกไ้ ขปญั หาทเี่ กดิ ขนึ้ ในสงั คมมนษุ ย์ แตก่ ม็ คี ำ� ถามเรอื่ ง ความเหมาะสม และไมเ่ หมาะสมเกย่ี วกบั วธิ กี ารทใี่ ชใ้ นแกป้ ญั หาสงั คมของผบู้ รหิ ารสงั คม จำ� เปน็

ทจี่ ะตอ้ งใชว้ ธิ กี ารทเ่ี หมาะสมในการจดั การกบั ปญั หาสงั คม จงึ เกดิ การคดิ การวพิ ากษว์ จิ ารณ์ ใน เชงิ คณุ คา่ เกยี่ วกบั วธิ กี าร ปรชั ญาทางสงั คมจงึ สมั พนั ธก์ บั กระบวนการวพิ ากษว์ จิ ารณป์ ญั หาสงั คม และวิธีการทเ่ี หมาะสมในการแกไ้ ขปญั หาสงั คม ๓) ปรชั ญาทางสงั คมแสวงหาความรู้เก่ยี วกับคุณคา่ ความงาม และความสงู สง่ แหง่ 3 สถาบนั ต่างๆ ในสงั คม คุณค่าสัมพันธ์กับจริยศาสตร์ ซึ่งเป็นศาสตร์ท่ีอธิบายความดี กระบวนการท�ำความดี และเหตผุ ลในการกระทำ� สงิ่ ที่เรียกว่า ความดี ความเหมาะสม ความงามมกั จะปรากฏในหลักปรชั ญาวา่ ดว้ ยสนุ ทรียศาสตร์ (Aesthetics) ความงาม มลี กั ษณะเปน็ นามธรรม มนษุ ยใ์ นสงั คมยอ่ มตคี า่ ความงามตามมมุ มองของตน และมนษุ ยอ์ าจจะ มองเหน็ ความงามไมเ่ หมอื นกนั และไมเ่ ทา่ กนั ดงั นนั้ จงึ เปน็ การยากทจ่ี ะบงั คบั ใหม้ นษุ ยช์ อบความ สวยงามเหมอื นกนั ความงามนน้ั ยอ่ มสัมพนั ธก์ บั ความนยิ มสว่ นตัว การวจิ ารณ์ความงามในการ ปฏิบตั ติ นของผคู้ นในสังคม จงึ เป็นหน้าทข่ี องนักปรัชญาทางสังคมอยา่ งหน่งึ สว่ นความสงู สง่ ในสงั คมจะเกยี่ วขอ้ งกบั สถาบนั ศาสนา ความเชอ่ื และประเพณปี ฏบิ ตั ทิ ี่ สัมพันธก์ ับการเคารพบชู าสง่ิ ศักด์สิ ิทธิ์ นักปรชั ญาทางสงั คมบางคนม่งุ สนใจศกึ ษาความสัมพนั ธ์ ระหวา่ งศาสนากบั สงั คม ซง่ึ อาจจะวเิ คราะหบ์ อ่ เกดิ ศาสนาวา่ มาจากการรวมกลมุ่ เปน็ สงั คม และ มคี วามจ�ำเป็นทจี่ ะตอ้ งหาสิง่ ท่ีจะช่วยยดึ เหน่ียวสมาชิกในสงั คมใหเ้ ปน็ ปึกแผน่ ดงั นน้ั หลกั การ ทางเทววิทยากด็ ี หรอื หลกั การคตคิ วามเชือ่ ตา่ งๆ ในสงั คมจงึ เกดิ ขึ้นโดยผมู้ ีอำ� นาจในสังคมกลุ่ม ต่างๆ ปฏิบัตขิ ึ้นมา เพื่อประโยชน์ในการรวมกลมุ่ ซ่งึ ถือวา่ เป็นความศกั ด์สิ ทิ ธิ์ สูงส่งเกนิ กวา่ คน ท่วั ไปจะเขา้ ใจได้ ศาสนาจงึ เปน็ บอ่ เกดิ แหง่ ปรชั ญาทางสังคมอยา่ งหนึ่ง ๔) ปรชั ญาทางสงั คมจงึ มงุ่ ศกึ ษาองคป์ ระกอบทจ่ี ะชว่ ยดำ� รงความเปน็ ปกตขิ องสงั คม สังคมด�ำรงอยู่ได้ด้วยอาศัยองค์ประกอบหลายอย่างนักปรัชญาทางสังคมสนใจศึกษา องค์ประกอบส�ำคัญท่ีช่วยท�ำให้สังคมด�ำรงอยู่ได้ โดยแต่ละองค์ประกอบน้ัน องค์ประกอบใดมี ความส�ำคัญและมีบทบาทเด่นทางด้านใด นอกจากนั้น สภาพความเป็นจริงเกี่ยวกับการแสดง บทบาทของบุคคลท่ีรับผิดชอบในแต่ละองค์ประกอบนั้นเหมาะสมหรือไม่เหมาะสมอย่างไร ประเดน็ ตา่ งๆ ดงั กลา่ วมาน้เี ป็นประเด็นทนี่ ักปรัชญาทางสังคมสนใจศกึ ษา

๕) ปรชั ญาทางสังคมมีความสัมพนั ธอ์ ย่างใกลช้ ดิ กับกระบวนการควบคมุ สังคม กระบวนการควบคุมสังคมน้ันประกอบด้วย กระบวนการทางกฎหมาย กระบวนการ ทางการเมอื งการปกครอง กระบวนการเก่ียวกับการใช้สทิ ธแิ ละการมสี ทิ ธิ รวมทั้งกระบวนการ เกี่ยวกับความยุติธรรมก็ย่อมมีผลเป็นการสร้างความขัดแย้งในสังคมได้ ดังนั้น นักปรัชญาทาง สงั คม จงึ สนใจศกึ ษา กระบวนการตา่ งๆ ที่นำ� มาใชเ้ ป็นส่อื ในการควบคมุ สังคม ๖) ปรัชญาทางสังคมอธบิ ายเหตุผลความส�ำคัญของมนุษย์ กลุ่มมนุษย์เป็นศูนย์กลางการศึกษาของนักปรัชญาทางสังคม นักปรัชญาทางสังคมมี บทบาทสำ� คญั ในการแสดงเหตผุ ลวา่ ทำ� ไมมนษุ ยจ์ งึ สำ� คญั เหนอื กวา่ สตั วโ์ ลกอน่ื ๆ นกั ปรชั ญากลมุ่ มนษุ ยนิยม (Humanism) คือตวั อย่างของกลมุ่ นักคิดทม่ี องว่า มนุษย์เท่านน้ั ควรมีชีวติ อยู่รอด แมจ้ ะตอ้ งสญู เสยี ทรพั ยากรธรรมชาติ และสญู เสยี สตั วโ์ ลกอนื่ ๆ เปน็ จำ� นวนมากกต็ อ้ งยอมใหส้ ญู เสยี เพื่อช่วยธ�ำรงชาติพนั ธมุ์ นุษย์ไวใ้ นโลก กล่าวโดยสรุป แนวคิดเกี่ยวกับปรัชญาทางสังคม โดยท่ัวไปได้รับอิทธิพลจากนัก สังคมศาสตร์รนุ่ บุกเบิกแห่งโลกตะวนั ตก นกั คดิ ทางสงั คมศาสตรร์ ุ่นบุกเบกิ ส�ำคัญได้ Auguste Comte (๑๗๙๘-๑๘๕๗); Herbert Spencer (๑๘๒๐-๑๙๒๓); Karl Marx (๑๘๔๘-๑๙๒๓); 4 Emile Durkheim (๑๘๕๗-๑๙๑๙); Max Weber (๑๘๖๔-๑๙๒๐); Wilfredo Pareto (๑๘๔๘- ๑๙๒๓); Charles.H. Cooley (๑๘๖๔-๑๙๒๗); Talcott Parsons (๑๙๐๒-๑๙๘๐) เปน็ ตน้ นักสังคมศาสตร์รุ่นบุกเบิกเหล่านี้ส่วนใหญ่เป็นนักสังคมวิทยา แต่ผลงานของเขาได้รับ การศึกษาและผนวกเข้ากับศาสตร์อ่ืนๆ ทางสังคมศาสตร์ด้วย จึงถือได้ว่าเป็นผู้เอ้ือประโยชน์ (Contributor) ตอ่ การพัฒนาศาสตรท์ ัง้ หลาย ยกตัวอยา่ ง Max Weber ไดร้ ับการขนานช่อื ว่า เป็นนักสังคมวิทยา แต่ผลงานของเขาได้เอื้อประโยชน์ต่อวิชารัฐศาสตร์และวิชา รฐั ประศาสนศาสตร์ ผลงานของเขาบางเรอื่ งไดก้ ลายเปน็ องคค์ วามรสู้ มยั ใหม่ ซงึ่ สะทอ้ นถงึ ความ คดิ ทมี่ เี หตผุ ลเกยี่ วกบั สภาพสงั คมยโุ รปทเ่ี ปลยี่ นแปลงไปสรู่ ปู แบบสงั คมอตุ สาหกรรม (Industrial Society) แนวคดิ เกยี่ วกบั ปรชั ญาการบรหิ ารแบบราชการ๑ (Bureaucracy) เปน็ แนวคดิ ทต่ี กผลกึ เก่ียวกับปรัชญาทางสังคมอย่างหนงึ่ Max Weber ชี้ใหเ้ ห็นวา่ สงั คมที่ก้าวหน้าคือสังคมทมี่ กี าร บรหิ ารการจดั การอยา่ งมเี หตผุ ล โดยมกี ารออกระเบยี บกฎเกณฑเ์ ปน็ กลางๆ ไมไ่ ดอ้ งิ อาศยั อทิ ธพิ ล ๑หลกั การสำ� คญั แหง่ ระบบบรหิ ารแบบ Beau racy ประกอบดว้ ย ๑) การมโี ครงสรา้ งองคก์ าร ๒) การกำ� หนดระเบยี บ กฎเกณฑส์ ำ� หรบั ตำ� แหนง่ ตา่ งๆ ในองคก์ าร ๓) การลงโทษาผฝู้ า่ ฝนื กฎระเบยี บ ๔) การใหร้ างวลั เปน็ คา่ ตอบแทนพเิ ศษแกผ่ ปู้ ฏบิ ตั ิ ตามระเบียบกฎเกณฑ ์ ๕) การเลื่อนระดบั ต�ำแหนง่ ตามความรคู้ วามสามารถ

ของบุคคลใดบุคคลหน่ึงในการท�ำให้องค์การบริหารประสบผลส�ำเร็จ ไม่ว่าจะเป็นองค์การภาค รฐั หรือองคก์ ารภาคเอกชนก็ตาม ขอบเขตการวเิ คราะหป์ รัชญาทางสังคมแหง่ พระพุทธศาสนา ในการศกึ ษาครง้ั นี้ ไดก้ ำ� หนดขอบเขตแนวคดิ ทางสงั คมบางประการ ซง่ึ จะนำ� มาวเิ คราะห์ ในเชงิ ปรชั ญาทางสังคมแห่งพระพทุ ธศาสนา ดงั ต่อไปนี้ ๑) ปรัชญาวา่ ด้วยการแสวงหาความรตู้ ามแนวพระพุทธศาสนา ๒) ปรัชญาว่าด้วย ววิ ฒั นาการตามแนวพระพทุ ธศาสนา ๓) ปรัชญาวา่ ด้วยปญั หาสงั คมตามแนวพระพุทธศาสนา ๔) ปรชั ญาว่าด้วยการพฒั นาสังคมตามแนวพระพุทธศาสนา ----------------------- 5

บทที่ ๒ ปรชั ญาวา่ ดว้ ย การแสวงหาความรทู้ างสงั คมศาสตร์ ตามแนวพระพุทธศาสนา บทนำ� สงั คมศาสตรค์ ือศาสตร์ทศ่ี ึกษาปรากฏการณ์ในสังคมอนั เนอ่ื งมาจากพฤตกิ รรมแห่งหมู่ มนุษย์ มนุษย์ที่อยู่รวมกันเป็นหมู่หรือเป็นกลุ่มย่อมมีพฤติกรรมทั้งที่แตกต่างกันและคล้ายคลึง กนั พฤตกิ รรมแหง่ หมมู่ นษุ ยท์ แี่ สดงออกมาบางอยา่ งยอ่ มมผี ลกระทบทง้ั แบบบวกและแบบลบตอ่ 6 มนุษย์ด้วยกันเอง ท้ังในระดับปัจเจกบุคคลและในระดับกลุ่ม การศึกษาพฤติกรรมหมู่มนุษย์ได้ เรม่ิ มานานตง้ั แตส่ มยั โบราณทมี่ กี ารบนั ทกึ เรอื่ งราวแหง่ มนษุ ย์ ความเปน็ ไปแหง่ พฤตกิ รรมมนษุ ย์ มนษุ ยไ์ ดร้ ับการบันทึกไว้ โดยนักเดินทาง นักทอ่ งเที่ยว นกั ล่าเมอื งขน้ึ และนักเผยแพรศ่ าสนา เมอ่ื เวลาผา่ นพน้ ไป ขอ้ มลู จากการบนั ทกึ ของบคุ คลดงั กลา่ วไดร้ บั ความสนใจจากนกั วชิ าการหลาย สาขา เช่น สาขาประวัติศาสตร์ สาขาโบราณคดี สาขาสังคมวิทยา สาขารัฐศาสตร์ และสาขา มานุษยวิทยา เป็นตน้ ตอ่ มาไดม้ กี ารรวมกลมุ่ นกั วชิ าการทสี่ นใจเรอ่ื งราวแหง่ มนษุ ยท์ งั้ ในอดตี และปจั จบุ นั เชน่ กลุ่มนักสังคมศาสตร์และกลุ่มนักมนุษยศาสตร์ ส�ำหรับนักสังคมศาสตร์จะเน้นการศึกษา พฤตกิ รรมกลุม่ มนษุ ย์ทสี่ มั พันธ์กบั การทำ� หากิน การควบคุมดูแลกลุ่ม การแสวงหาอ�ำนาจ การ แสวงหาความรู้ การอบรมเลย้ี งดสู มาชกิ ในสงั คม การเคารพบชู าสง่ิ ศกั ดสิ์ ทิ ธ์ิ ความขดั แยง้ ความ ร่วมมือกันและพฤติกรรมอื่นๆ ส่วนนักมนุษยศาสตร์จะเน้นความสนใจในเร่ืองภาษา ค่านิยม ความเช่ือศลิ ปะการแสดง การขับร้อง เป็นต้น อย่างไรก็ตามนักวิชาการท่ีสนใจเร่ืองราวและพฤติกรรมแห่งหมู่มนุษย์ไม่ได้จ�ำกัดอยู่ เฉพาะนกั สังคมศาสตรเ์ ท่าน้นั แม้แตน่ กั วทิ ยาศาสตร์สาขาต่างๆ ก็สนใจศึกษาพฤตกิ รรมมนุษย์ เชน่ กนั แตอ่ าจจะสนใจศกึ ษาไมล่ กึ ซง้ึ เทา่ นกั สงั คมศาสตร์ และกลา่ วโดยธรรมชาตแิ หง่ มนษุ ยไ์ ม่

ว่าจะอยู่ในสาขาใดก็ย่อมจะสนใจพฤติกรรมแห่งมนุษย์ที่อยู่ใกล้ชิดและมีผลกระทบต่อวิถีชีวิต 7 ของตนในรูปแบบใดรูปแบบหนง่ึ พฤติกรรมกลุ่มมนุษย์ท่ีดึงดูดความสนใจจากนักวิชาการสาขาต่างๆ มากที่สุดก็คือ พฤตกิ รรมในการแสวงหาอำ� นาจหรอื พฤตกิ รรมทางการเมอื ง ซงึ่ จะมผี ลกระทบคอ่ นขา้ งรนุ แรง ต่อวิถีชีวิตตามปกติแห่งมนุษย์ ดังจะเห็นว่าวิกฤตทางสังคมตั้งแต่ยุคโบราณเป็นต้นมาจนถึงยุค ปจั จุบนั ก็คอื วกิ ฤตทางการเมอื ง รองลงมาก็คือวกิ ฤตเกี่ยวกบั ปัญหาทางสังคม ซึง่ ปรากฏออกมา ในรปู วกิ ฤตทางการเศรษฐกจิ และปญั หาอาชญากรรมตา่ งๆ วกิ ฤตทางการเมอื งและทางสงั คมดงั กลา่ วที่มลี กั ษณะรุนแรงทส่ี ุดก็คือสงคราม และการสรู้ บกนั ในรูปแบบตา่ งๆ ซึ่งได้ก่อให้เกิดการ ท�ำลายชีวติ มนุษย์เปน็ จ�ำนวนมาก พฤติกรรมแห่งหมู่มนุษย์บางอย่างย่อมน�ำไปสู่การสร้างสรรค์และการอยู่ร่วมกันอย่าง สันติ ดงั เชน่ การมอี ารยธรรมซ่ึงแสดงถึงการรู้จักใช้สติปญั ญา ทักษะ และการบริหารการจดั การ โดยกลมุ่ ผนู้ ำ� เปน็ อยา่ งดี และการมศี ลี ธรรมของประชาชนทอ่ี ยรู่ ว่ มกนั โดยสนั ติ ดงั นนั้ พฤตกิ รรม การสรา้ งสรรคแ์ ห่งหม่มู นุษยจ์ งึ ปรากฏในแนวคดิ การพฒั นา การปรับปรงุ แก้ไข และการปฏริ ปู เปน็ ตน้ กระบวนการสรา้ งสรรคด์ งั กลา่ วได้ มรี อ่ งรอยปรากฏในประวตั ศิ าสตรม์ นษุ ยม์ ากอ่ น สงั คม และชมุ ชนเผา่ ตา่ งๆ ในอดตี ไดเ้ คยสรา้ งความรงุ่ เรอื งทางอารยธรรม แตต่ อ่ มาความเจรญิ กา้ วหนา้ ถูกท�ำลายและกลับเสื่อมโทรม ข้อน้ีแสดงให้เห็นว่าน่าจะมีปัจจัยที่เป็นสาเหตุผลักดันในเกิด พฤตกิ รรมการทำ� ลายและพฤตกิ รรมการสรา้ งสรรค์ จงึ เปน็ ภาระงานแหง่ นกั สงั คมศาสตรใ์ นการ แสวงหาความรเู้ กย่ี วกบั สาเหตหุ รอื ปจั จยั ทผ่ี ลกั ดนั ใหม้ นษุ ยม์ พี ฤตกิ รรมทงั้ ในเชงิ ทำ� ลายและเชงิ สรา้ งสรรคข์ ณะเดยี วกนั ไดม้ นี กั บกุ เบกิ ทางสงั คมศาสตร์ จำ� นวนหนงึ่ พยายามใชว้ ธิ กี ารศกึ ษา หรอื ในปจั จบุ นั เรยี กวา่ ระเบยี บวธิ วี ทิ ยา (Methodology) ศกึ ษาปรากฏการณท์ างสงั คมและทางการ เมอื ง และระเบยี บวธิ ดี งั กลา่ วยอ่ มมขี อ้ จำ� กดั ในการศกึ ษาปรากฏการณอ์ นั เกย่ี วกบั พฤตกิ รรมหมู่ มนษุ ย์ แต่กม็ อี ิทธพิ ลเป็นอย่างสูงต่อวชิ าการ การแสวงหาความรจู้ นถึงปจั จุบนั ด้วยเหตุผลทม่ี ีการโตแ้ ย้งความน่าเช่ือถอื แหง่ ระเบยี บวธิ วี ิทยา จงึ เป็นความพยายามใน อันท่ีจะศึกษาและวิเคราะห์ ระเบียบวิธีวิทยา อันเป็นศาสตร์เกี่ยวกับการแสวงหาความรู้ทาง สังคมศาสตร์ ตามแนววิธีการศึกษาเชิงเปรียบเทียบกับพุทธปรัชญาทางสังคมและทางการเมือง ในส่วนทีส่ ัมพนั ธก์ ับระเบยี บวธิ ีวิทยาเป็นหลัก โดยจะเน้นประเด็นเกี่ยวกับลักษณะการแสวงหา ความร้ทู างสงั คมศาสตร์ซงึ่ เชอื่ มโยงกบั ความรู้ปรากฏการณท์ างสงั คมและทางการเมอื ง ความรู้ : วิเคราะห์ในเชิงปรัชญาแห่งความรู้ วิเคราะหใ์ นเชงิ ปรชั ญาแห่งความรู้ ความรู้ท่มี นุษย์แสวงหา อาจจำ� แนกไดเ้ ปน็ ๒ อย่าง คอื (จ�ำนงค ์ อดิวฒั นสิทธ,์ิ ๒๕๔๘)

๑) ความรใู้ นฐานะเป็นวิธีการ (Means) ๒) ความรู้ในฐานะเป็นเป้าหมาย (End) ความรใู้ นฐานะเปน็ วธิ กี าร คอื องคค์ วามรทู้ เี่ ปน็ หลกั การหรอื ทฤษฎที สี่ ามารถนำ� สกู่ าร เขา้ ใจปรากฏการณ์ต่างๆ ตามท่ีเกดิ ขนึ้ ตามความเป็นจริง ความรู้ในฐานะเป็นวิธีการน้ีเป็นที่แสวงหากันมากที่สุด และมีการถกเถียงกันมากท่ีสุด วธิ กี ารทมี่ กี ารศกึ ษาและไดร้ บั การยอมรบั ในยคุ หนง่ึ อาจจะเปลยี่ นแปลงเมอ่ื เวลาผา่ นพน้ ไป ความ รใู้ นฐานะเปน็ วธิ กี ารน้ี ในหลายกรณเี มอื่ มกี ารนำ� เสนออาจนำ� ไปสกู่ ารขดั แยง้ อยา่ งรนุ แรง และมี ผลกระทบตอ่ สงั คมอยา่ งแพรห่ ลายกไ็ ด้ เชน่ กรณกี ารเสนอวธิ กี ารปราบปรามยาเสพยต์ ดิ ดว้ ยวธิ ี การรนุ แรง กรณกี ารเสนอตงั้ บอ่ นกาสโิ นอยา่ งถกู ตอ้ งตามกฎหมายเพอื่ ปอ้ งกนั มใิ หค้ นไทยไปเลน่ การพนันนอกประเทศ และแม้กระท่ังกรณีการปฏิรูประบบราชการก็ล้วนแต่เป็นการนำ� เสนอ “วิธีการ” เพือ่ ปรบั ปรุงการบรหิ ารงานราชการให้มีประสทิ ธภิ าพ ความรทู้ เี่ ปน็ วธิ กี ารนอี้ าจจะไดม้ าจากการศกึ ษา การทดลอง การประชมุ สมั มนา การ อภปิ ราย การวเิ คราะหข์ อ้ มลู การประเมนิ ผลกระทบองคค์ วามรทู้ เี่ ปน็ ขอ้ เทจ็ จรงิ ซงึ่ ไดร้ บั การยอมรบั ว่า เป็นกฎเกณฑ์ที่ก่อให้เกิดปรากฏการณ์ต่างๆ ท้ังที่เป็นปรากฏการณ์ตามธรรมชาติและ 8 ปรากฏการณท์ างสงั คม ความรใู้ นฐานะเปน็ เปา้ หมาย คอื องคค์ วามรทู้ เ่ี กดิ จากการใชก้ ระบวนการแสวงขอ้ เทจ็ จรงิ ท่ีได้รับการยอมรับวา่ เป็น “วิธกี าร” ท่ถี ูกตอ้ ง ซ่งึ สามารถนำ� ไปสู่ความจรงิ ทต่ี อ้ งการได้ เชน่ ความจรงิ ทว่ี า่ สงั คมมกี ารเปลยี่ นแปลง สงั คมถกู ครอบงำ� ดว้ ยลทั ธทิ างเศรษฐกจิ แบบทนุ นยิ ม สงั คมถกู กำ� หนดโดยประเทศอภมิ หาอำ� นาจทางการเมอื ง การทหารและทางเศรษฐกจิ เปน็ ตน้ หรอื ความจรงิ ทว่ี า่ โลกนกี้ ลม โลกเปน็ ดาวเคราะหด์ วงหนงึ่ ซง่ึ หมนุ รอบดวงอาทติ ย์ รวมทง้ั กฎ เกณฑท์ างวิทยาศาสตร์ ฟสิ ิกส์ เก่ียวกับสสาร และพลงั งาน เปน็ ต้น อารยธรรม : แหลง่ กำ� เนดิ ความรทู้ ส่ี �ำคญั แนวคิดในการแสวงหาความรดู้ ังกลา่ ว มีแหล่งก�ำเนิดจากอารยธรรม ๒ สายส�ำคัญคอื ๑) อารยธรรมตะวันออก ๒) อารยธรรมตะวันตก อารยธรรมตะวนั ออก มแี หลง่ กำ� เนิดจากศาสนาพทุ ธ ศาสนาฮินดู ศาสนาขงจอื้ ลทั ธิ เตา๋ ศาสนาชินโต และความเชอื่ ในเร่ืองภมู ิปญั ญาท้องถ่นิ เปน็ ต้น อารยธรรมตะวันออกจะเนน้ การแสวงหาความรูแ้ บบครบวงจร (Holistic Approach) หรอื แบบบรู ณาการ ไม่นิยมแสวงหา ความรู้แบบแยกสว่ น (Segmental Approach หรอื แบบทางเดียว (Monoistic Approach)

ความรใู้ ดๆ กต็ ามทไี่ ดร้ บั จากแนวคดิ ของอารยธรรมตะวนั ออกนจ้ี ะตอ้ งตง้ั อยบู่ นพน้ื ฐาน 9 ของการน�ำไปใช้ประโยชน์และการสร้างคุณค่าแก่ชีวิต พร้อมกับพัฒนาและยกระดับจิตใจของ มนุษย์ให้สูงขึ้น ให้มนุษย์สามารถอยู่ร่วมกับธรรมชาติส่ิงแวดล้อมได้อย่างมีดุลยภาพ และช่วย พฒั นาธรรมชาติสง่ิ แวดล้อมได้คงอยู่อยา่ งยง่ั ยนื และม่นั คง กระบวนการในการแสวงหาความรู้จาก ทัศนะของโลกตะวันออกจึงได้มีการแยกส่วน ศกึ ษาองค์ความรทู้ ไี่ ดร้ บั จะต้องปราศจากการเบียดเบียนชีวิตและธรรมชาตสิ ่ิงแวดล้อม จะตอ้ ง ไม่เป็นกลางทางจริยธรรม และจะต้องไม่เป็นกลางทางค่านิยม กล่าวคือ ต้องมีค่านิยมที่ดีคอย ก�ำกับดูแลตลอดเวลา อารยธรรมตะวนั ตก เปน็ อารยะธรรมที่มีแหลง่ ก�ำเนิดจากประเทศกรีก ศาสนาครสิ ต์ ศาสนายิว และการปฏิวตั ิทางปญั ญา หรือยคุ Enlightenment อนั เปน็ ยุคท่ีชาวตะวนั ตกเปน็ อิสระจากการถูกครอบง�ำทางความคิดและความเช่ือโดยศาสนาคริสต์ กล่าวโดยเฉพาะอย่างย่ิง ยคุ Enlightenment นเ้ี ป็นยคุ ท่ีมนุษย์มอี ิสรเสรีภาพอยา่ งเตม็ ท่ใี นการเสาะแสวงหาความรูแ้ ละ ความสามารถเสนอความรู้ของตนมาสู่สาธารณชนได้อย่างปราศจากความกลัว ประจวบกับข้อ เท็จจริงที่ว่าชาวตะวันตกมีวิถีชีวิตเต็มไปด้วยการบีบค้ันจากธรรมชาติ จึงเป็นเหตุให้ชาวตะวัน ตกตอ้ งดน้ิ รนตอ่ สกู้ บั ภยั ธรรมชาตเิ พอื่ ความอยรู่ อด และตอ้ งคดิ หาวธิ กี ารตา่ งๆ เพอื่ พชิ ติ ธรรมชาติ ขอ้ นค้ี ือเหตุผลส�ำคญั ท่ที �ำใหโ้ ลกตะวนั ตกตอ้ งใช้วธิ ีการหลายรูปแบบในการคน้ หาความจรงิ และ ใชเ้ ป็นแนวทางในการเข้าถงึ เป้าหมายแหง่ ชวี ิต ในทส่ี ดุ กส็ รุปลงด้วยการเนน้ การศกึ ษาแบบแยก ส่วน ซง่ึ เรยี กว่าเป็นวีการแบบวิทยาศาสตร์บ้าง วธิ ีการแบบเจาะลึกบ้างวิธกี ารศกึ ษาแบบจ�ำกัด เฉพาะเรือ่ งบา้ ง เปน็ ต้น เนื่องจากอารยธรรมตะวันตก เป็นอารยธรรมที่ส่งเสริมให้มีการกระท�ำตามอ�ำนาจ “กิเลส” ของคนมากท่สี ดุ โดยเฉพาะกเิ ลสข้ันพืน้ ฐาน คือ ความโลภ ความต้องการ ความโกรธ และความลุ่มหลงมัวเมา จึงเป็นอารยธรรมท่ีได้รับการตอบรับจากผู้คนในโลกนี้อย่างรวดเร็ว แนวคิดหลายอย่าง ที่มีรากฐานจากอารยธรรมตะวนั ตก จึงแพรห่ ลายๆ ไปอยา่ งรวดเร็ว จนเกิด ปรากฏการณท์ างสังคมทีเ่ รียกวา่ “Cultural Dominance” (ความมีอิทธพิ ลหรอื การครอบง�ำ ทางวัฒนธรรม) ซ่ึงปรากฏการณ์น้ีไม่เว้นแม้กระท่ัวในแวดวงกระบวนการศึกษาทางวิชาการใน ยุคปจั จบุ นั ผลติ ผลจากอารยธรรมตะวนั ตกทม่ี อี ทิ ธพิ ลครอบงำ� เหนอื ชวี ติ ผคู้ นทว่ั โลกจนกระทงั่ กลาย เป็นกระบวนการโลกาภิวัตน์ที่ส�ำคัญ (Globalization) คือ ลัทธิทุนนิยม ระบอบการปกครอง แบบประชาธิปไตย ลัทธิสิทธิมนุษยชน การแต่งงานรูปแบบใหมโ่ ดยการทดลองอยกู่ ันกอ่ น การ แขง่ ขันทางธรุ กิจ การสอื่ สารไร้พรมแดน

ความเปน็ อสิ ระของสอ่ื สารมวลชนทกุ ประเภทและการแขง่ ขนั กบั ทางดา้ นการทหาร และ การแขง่ ขนั ทางการศึกษา เป็นต้น กระบวนการเหลา่ นนี้ บั วนั จะมพี ลงั จากยงิ่ ขน้ึ และแผอ่ ิทธพิ ล ไปถงึ กลมุ่ ชนทว่ั ทกุ ซอกทกุ มมุ ของโลก ขณะเดยี วกนั กก็ ำ� ลงั บนั่ ทอนอทิ ธพิ ลของอารยธรรมแบบ ตะวนั ออกใหน้ อ้ ยลงทกุ ขณะ ดงั ตวั อยา่ งการกลนื องคค์ วามรทู้ ภ่ี มู ปิ ญั ญาชาวบา้ นในมติ ติ า่ งๆ ใน สงั คมไทยเกอื บหมดสน้ิ จากสงั คมไทย โดยเฉพาะอยา่ งยง่ิ องคค์ วามรทู้ ม่ี กี ารจดั ตงั้ โดยกลมุ่ บคุ คล ทมี่ อี ทิ ธพิ ล ซงึ่ ไดร้ บั แนวคดิ และรปู แบบการศกึ ษาจากอารยธรรมตะวนั ตก (เชน่ การแพทย์ สมยั ใหมท่ ม่ี องขา้ มแพทยแ์ ผนโบราณของไทยมาโดยตลอด วฒั นธรรมการชอบรบั ประทานแบบตะวนั ตก การแบ่งช่วงช้นั ทางสงั คมอยา่ งรนุ แรง ฯลฯ) ลกั ษณะการแสวงหาความรูท้ างสงั คมศาสตร์ : กระบวนการวิจัยและการวดั ผล ๑. ประสบการณ์ : แหล่งความรทู้ ีส่ �ำคญั ของมนุษยค์ วามรทู้ างสังคมศาสตรใ์ นยุคแรกๆ ได้มาจากประสบการณ์ของผู้บอกเล่า ประสบการณ์เป็นท้ังประสบการณ์จริงส่วนตัวและ ประสบการณ์ผ่านผู้บอกเล่าต่อๆ กันมา ประสบการณ์อย่างหลังคือข้อบันทึกเรื่องราวของผู้ได้ เห็นได้ยินและได้ท�ำมากอ่ น และเผยแพร่สืบตอ่ กันมา ถงึ เรื่องราวที่ไดเ้ ห็นไดย้ นิ และไดท้ �ำ รวม ทงั้ ผลทเี่ กดิ ขนึ้ ประสบการณใ์ นยคุ สมยั หนงึ่ ยอ่ มจะแตกตา่ งกบั ยคุ สมยั ตอ่ มา และหมมู่ นษุ ยท์ อ่ี ยู่ ในยุคสมัยเดียวกัน หากอยู่คนละแห่งท่ีมีบริบททางสังคมและส่ิงแวดล้อมที่แตกต่างกัน ย่อมมี 10 ประสบการณ์แตกต่างกัน ข้อมูลท่ีบันทึกไว้ก็อาจจะไม่เหมือนกับที่อื่นๆ ดังน้ัน ประสบการณ์ ทางสังคมและการเมืองจึงไม่สามารถสร้างเป็นบรรทัดฐานความรู้ทางสังคมศาสตร์ที่เป็นจริงได้ ทง้ั หมด แตอ่ าจจะเปน็ บรรทดั ฐานความรทู้ เี่ ปน็ จรงิ เฉพาะในพนื้ ทท่ี ม่ี ลี กี ษณะทางสงั คม วฒั นธรรม และส่งิ แวดลอ้ มอย่างอ่นื คล้ายคลึงกันได้ Nicholas Walliman ไดก้ ลา่ ววา่ ประสบการณม์ นั เปน็ แหล่งความรู้อยา่ งหน่งึ หมายถงึ การได้สงั เกตเหน็ สิง่ ทีเ่ ปน็ จริง หรือการมีประสบการณก์ บั ขอ้ เท็จจรงิ หรือเหตกุ ารณ์ต่างๆ ซง่ึ ส่ง ผลใหเ้ กดิ ความร้แู ละความเขา้ ใจ๑ ประสบการณ์ของบคุ คลคนเดียวอาจจะเปน็ ความจริงส�ำหรับ บคุ คลคนนน้ั เทา่ นน้ั โดยไมส่ ามารจดั เปน็ ความรสู้ ากลได ้ ประสบการณข์ องบคุ คลหลายคนหรอื จ�ำนวนมากที่ยืนยันความจริงเกี่ยวกับส่ิงท่ีได้ประสบ สามารถจัดเป็นความรู้สากล ดังน้ัน ประสบการณแ์ หง่ หมคู่ ณะซงึ่ นกั จะไดร้ บั การถา่ ยทอดสบื ตอ่ กนั กนั มา เปน็ ภมู ปิ ญั ญาประจำ� ทอ้ ง ถ่ิน และสามารถขยายตอ่ เป็นภมู ปิ ัญญาระดบั สงั คมที่กว้างไกลออกไป แต่ความรู้กับความจรงิ อาจจะไมเ่ หมือนกันก็ได้ ความจริงอาจจะอยู่เหนอื ระดับความรู้ และประสบการณ์อาจจะไม่สามารถยืนยันความจริงอย่างแท้จริงก็ได้ ความจริงในโลกแห่งการ ๑ Nicholas Walliman, ๒๐๐๕ Your Research Project; Sage Publication; London, หนา้ ๔๓๓.

สมมตอิ ยู่ย่อมมอี ยู่อยา่ งหลากหลาย และความจรงิ ทางสังคมก็คอื การยอมรับรว่ มกนั 11 ตัวอย่างเช่น ระบบการเมืองการปกครองแบบประชาธิปไตย ถือว่าเป็นความจริงทาง สงั คมอยา่ หนึ่ง (Social Fact) แต่ถามว่าประชาธิปไตยทเี่ ป็นจริงมลี ักษณอ์ ยา่ งไร ใครเปน็ คน บัญญตั ิ ความเปน็ จริงที่เรยี กว่า ประชาธปิ ไตยท�ำใหม้ นุษยเ์ ข้าถงึ บรมสุข ปราศจากกเิ ลส โลภ โกรธ หลง ตณั หา อุปาทาน พยาบาท และปราศจากการเบียดเบยี นกนั ได้อยา่ งหมดสน้ิ ไปหรอื ไม่ แตข่ อ้ เทจ็ จรงิ กค็ อื วา่ ลกั ษณะประชาธปิ ไตยในสงั คมตา่ งๆ เปน็ ความจรงิ จากการตกลงยอมรบั รว่ มกนั (Agreement Reality) ของกลมุ่ บคุ คลผมู้ อี ำ� นาจหรอื ของประชาชนในสงั คมนนั้ ๆ สงั คม ที่ยอมรับระบบการปกครองดังกล่าวยังมีกิเลส มีความทุกข์ มีความอาฆาตพยาบาท ท�ำร้าย เบียดเบียนกันอยู่ ดังนั้น สังคมจึงต้องบัญญัติข้อตกลงอย่างอื่นเข้ามากำ� กับพฤติกรรมมนุษย์ใน สงั คมอีกชัน้ หนง่ึ เช่น บัญญตั กิ ฎหมายลงโทษผปู้ ระทษุ รา้ ยเบียดเบียนคนอน่ื และไมเ่ คารพสิทธิ ของบุคคลอ่ืน เปน็ ตน้ อย่างไรก็ตาม ประสบการณ์ส่วนบุคคลย่อมเป็นความจริงส�ำหรับบุคคลคนนั้น ดังเช่น การปฏิบัติธรรม ผู้ปฏิบัติธรรมย่อมประสบผลคือความสุขเฉพาะกับบุคคลคนนั้น ดังบทสวด สรรเสรญิ พระธรรมคุณในพระพทุ ธศาสนาว่า สนั ทิฏฐิโก ผปู้ ฏบิ ัตจิ ะพงึ เห็นชดั ดว้ ยตนเอง ผูท้ มี่ ี ประสบการณ์ในการปฏิบตั ิธรรม ยอ่ มถือว่า ผลของการปฏิบัติธรรมเปน็ ทป่ี ระจกั ษด์ ้วยตนเอง ผู้ ไม่ปฏิบัติธรรม ย่อมไม่ประสบความจริงคือผลอันเป็นความสงบสุข เม่ือปัจเจกบุคคล คนหนึ่ง ประสบผลดจี ากการปฏบิ ัติ แลว้ นำ� ไปบอกใหบ้ ุคคลอ่ืนปฏิบัติตามผ้ทู เี่ ชอื่ และปฏิบตั ติ ามค�ำแนะ ได้ประสบผลดีเช่นกัน ความจริงจากการประสบของบุคคลหลายๆ คนก็สามารถยืนยันผลแห่ง การปฏิบตั ธิ รรมได้และกลายเปน็ กฎสากลในการทีจ่ ะบรรลถุ งึ สนั ตสิ ขุ ท่ยี งั่ ยืน ๒. การแสวงหาความรู้ตามแนวทฤษฎี ปฏฐิ านนยิ ม ทฤษฎีปฏิฐานนิยม (Positivism) เป็นพื้นฐานแห่งระเบียบวิธีวิจัยเชิงปริมาณซึ่งได้รับ อิทธิพลจาก กระบวนการแสวงหาความรู้ตามวิธีท่ียกย่องกันว่า เป็นวิธีการทางวิทยาศาสตร์ (Scientific Method) ซงึ่ เปน็ วธิ กี ารทน่ี า่ เชอ่ื ถอื และสามารถใหอ้ งคค์ วามรทู้ เ่ี ปน็ จรงิ ปฏฐิ านนยิ ม หมายถึงลัทธิความเชื่อที่ว่าความจริงแท้ก็คือสิ่งที่สามารถพิสูจน์ทดลองได้ในเชิงวิทยาศาสตร์ ความจริงแท้ต้องผ่านกระบวนการเก็บข้อมูลเชิงประจักษ์ โดยอาศัยประสาทสัมผัส โดยเฉพาะ อยา่ งย่งิ ประสาทสมั ผสั ทางกายภาพซึง่ รวมเอาประสาทตา ประสาทหู ประสาทจมกู ประสาท ล้ิน และประสาทกาย ทฤษฎีปฏิฐานนยิ ม ไดร้ ับอิทธิพลจากความเจรญิ ทางวทิ ยาศาสตรใ์ นยุค อุตสาหกรรมโดยเฉพาะอย่างยิ่งการใช้วิธีการพิสูจน์ทดลองทางวิทยาศาสตร์มีอิทธิพลเป็นอย่าง สงู ต่อนกั สังคมศาสตร์ร่นุ บกุ เบกิ ซึ่งม่งุ แสวงหาความจรงิ ทางสงั คม ตามแนวแหง่ วทิ ยาศาสตร์

หลกั การสำ� คญั แหง่ ปฏฐิ านนยิ ม ประกอบดว้ ย (๑) การมโี จทยห์ รอื มปี ญั หาทช่ี ดั เจน (๒) การตง้ั ขอ้ สมมตฐิ านเกยี่ วกบั สาเหตแุ หง่ ปญั หา (๓) การออกแบบวธิ กี ารศกึ ษาและการเกบ็ รวบรวม ขอ้ มูล (๔) การวิเคราะห์ข้อมลู และ (๕) การสรุปผลการศกึ ษา ถึงแมจ้ ะดเู หมอื นจะมคี วามเป็น วทิ ยาศาสตรท์ างสังคม แตแ่ นวคิดปฏฐิ านนิยม มลี ักษณะคลา้ ยอุดมการณ์ (Ideology) ผู้ท่รี เิ ร่มิ บุกเบกิ แนวคิดแห่งปรชั ญาปฏฐิ านนยิ ม ก็คือ Auguste Comte ซึง่ เปน็ นกั ปรชั ญา ชาวฝร่ังเศส ความเช่ือท่ีว่าปฏิฐานนิยมเป็นวิทยาศาสตร์ทางสังคม และสามารถน�ำมาใช้ศึกษา ปรากฏการณ์ทางสังคมและทางการเมืองได้รับการสนับสนุนจากกลุ่มนักคิด Functionalism และกลมุ่ นกั คดิ Behaviorism โดยกลมุ่ นกั วชิ าการ ทางสังคมศาสตร์ในประเทศสหรัฐอเมรกิ า หลงั สงคราม๒ แตใ่ นปจั จบุ นั นกั สงั คมศาสตรจ์ ำ� นวนไมม่ ากนกั จะชน่ื ชม หลกั ปรชั ญาปฏฐิ านนยิ ม โดยความหมาย ปฏิฐานนยิ มเปน็ ปรัชญา ทางสงั คมสาขาหน่ึง ซ่ึงหมายถงึ ทฤษฎีแห่ง ความรู้ ทฤษฎนี ้ีเสนอขน้ึ มาโดย Fancis Bacon, John Locke และ Isaac Newton. ตาม แนวคิดแห่งปรัชญาปฏิฐานนิยม ความรู้ได้มาจากการสังเกต (Observation) และการเสาะ แสวงหาวธิ ีการอธบิ ายเชิงเหตุและผล ด้วยวิธีการสรุปเชงิ อุปนัย (Inductive Generalization) ในทางสงั คมศาสตรน์ ั้น ปฏิฐานนิยมมีความเชอื่ มโยงกบั หลักการสำ� คญั ๓ หลักการ คือ (๑) หลกั ปรากฏการณ์นิยม (Phenomenology) หลักการน้ีอธิบายว่า ความรู้ตั้งอยู่บนพ้ืนฐานแห่ง 12 ประสบการณอ์ ยา่ งเดยี ว (๒) หลกั การแหง่ ระเบยี บวธิ กี ารวจิ ยั ทวี่ า่ วกี ารทางวทิ ยาศาสตร์ มคี วาม เป็นอยา่ งหนงึ่ อยา่ งเดียวกนั (Unity of Scientific method) ตามหลกั การนีว้ ิธีการศึกษาตาม แนววิทยาศาสตร์ธรรมชาติ สามารถประยุกตใ์ ชโ้ ดยตรงกับโลกทางสงั คม โดยมเี ปา้ หมายเพื่อจดั ต้งั กฎคงทีต่ ่างๆ (Invariant Laws) เก่ยี วกับปรากฏการณท์ างสังคม และ (๓) หลกั การทางอัคค วทิ ยาเก่ยี วกบั ความเปน็ กลาง (Neutrality) หลักการนีป้ ฏิเสธขอ้ ความเชิงบรรทัดฐานหรอื เชงิ คณุ ภาพ แตย่ อมรับการแบง่ แยกกันอยา่ งเด็ดขาดระหว่างความจริง (รวมท้งั ความรตู้ ่างๆ) กับค่า นยิ มทางจริยธรรม อย่างไรก็ตามแม้ปฏิฐานนิยมจะมีอิทธิพลต่อระเบียบวิธีวิจัยทางสังคมศาสตร์ แต่ก็ไม่ สามารถนำ� มาใชเ้ ปน็ ระเบียบวธิ ีวจิ ยั เพ่อื กำ� จัดความทุกข์และปญั ญาตา่ งๆ ไดอ้ ย่างยงั่ ยนื ขอ้ เทจ็ จรงิ ทไี่ ดร้ บั และสรปุ เปน็ ผลลพั ธท์ พ่ี งึ พอใจซงึ่ สามารถตอบโจทยใ์ นยคุ สมยั หนงึ่ พอเวลาเปลยี่ นไป ความจริงก็เปล่ียนไปผลลัพธ์ที่พึงพอใจอาจจะกลับกลายเป็นผลลัพธ์ในทางตรงกันข้ามคือสร้าง ปญั หาใหเ้ กดิ ขนึ้ ในยคุ สมยั ตอ่ มา ปญั หาบางอยา่ งในสมยั ตอ่ มากค็ อื ผลลพั ธท์ ไ่ี ดม้ าจากการปฏบิ ตั ิ ตามแนวทฤษฎที ไี่ ดจ้ ากการศกึ ษาในอดตี ตวั อยา่ งเชน่ ปญั หาสง่ิ แวดลอ้ มแหง่ โลกในปจั จบุ นั สว่ น

หน่ึงเกิดจากการปฏิบัติตามทฤษฎีการพัฒนาอุตสาหกรรม และทฤษฎีการพัฒนาสมัยใหม่ 13 (Modernization) ซง่ึ ทฤษฎดี งั กลา่ วคอื ผลลพั ธอ์ นั เกดิ จากกระบวนการวจิ ยั ตามแบบวทิ ยาศาสตร์ และเชื่อว่าสังคมจะมั่งคั่ง ก้าวหน้าและอุดมสมบูรณ์ความอดอยาก ความยากจนจะหมดสิ้นไป ข้อนี้คือปรากฏการณท์ างสงั คม เศรษฐกิจ และการเมอื งซ่ึงไดร้ บั อิทธพิ ลจากทฤษฎขี น้ั แห่งการ เจริญเติบโต (The Stages of Growth) ตามแนวคิดของ William W. Rostow. กาลเวลาท่ี เปลีย่ นในพสิ ูจน์ไดว้ ่าทฤษฎดี ังกล่าวล้มเหลวในการแกป้ ัญหาสงั คม ปญั หาเศรษฐกจิ และปัญหา การเมอื ง การพยายามสรา้ งกฎอธบิ ายพฤตกิ รรมมนษุ ยต์ ามแนวคดิ ทางวทิ ยาศาสตร์ ซงึ่ ทฤษฎปี ฏิ ฐานนยิ มพยายามเนน้ อยนู่ ไี้ ดร้ บั การตอ่ ตา้ นจากกลมุ่ ตอ่ ตา้ นปฏฐิ านนยิ มและกลมุ่ หลงั ปฏฐิ านนยิ ม (Post-Positivism) กลมุ่ แรกโตแ้ ยง้ วา่ ศาสตรแ์ หง่ ธรรมชาตกิ บั ศาสตรแ์ หง่ มนษุ ยม์ คี วามแตกตา่ งกนั ทง้ั โดย หลักตรรกวทิ ยา และหลกั ภาววทิ ยา และความคิดทีจ่ ะใช้กฎเกณฑ์ใดๆ มาอธบิ ายปรากฏการณ์ แห่งสงั คมมนษุ ย์นน้ั ย่อมไดร้ ับการตอ่ ตานเนอ่ื งจากพฤตกิ รรมมนุษย์เปลี่ยนแปลงตลอดเวลา จึง เป็นการยากท่ีจะใช้กฎเกณฑ์ใดๆ มาอธิบายความเป็นสากลแห่งพฤติกรรมมนุษย์กฎอธิบาย พฤตกิ รรมแหง่ มนุษย์จึงไม่มกี ารสรปุ ลงสูก่ ฎใดกฎหนึง่ ส่วนกลุ่มหลัง (Post-Positivism) แม้จะไม่ปฏิเสธอย่างส้ินเชิงถึงความน่าเชื่อถือแห่ง ทฤษฎปี ฏิฐานนยิ ม แตก่ ็ยอมรับความเขา้ ใจเรื่องวทิ ยาศาสตร์ และพยายามแสวงหาวิธกี ารทีจ่ ะ ปฏริ ปู ระเบยี บวจิ ยั เชงิ วทิ ยาศาสตร ์ การโจมตที ฤษฎี Positivism โดยนกั คดิ คนสำ� คญั เชน่ W.V.O. Quine, Karl Popper, Thomas Kuhn, Paul Feyerabend และ Imre Lakatos ได้มาบรรจบ กับเป็นการบ่ันทอนความน่าเช่ือถือแห่งพื้นฐานปรัชญาปฏิฐานนิยมเก่ียวกับวิทยาศาสตร์แห่ง ธรรมชาต๓ิ โดยช้ีให้ เหน็ ว่า ทฤษฎีทางวทิ ยาศาสตร์ ไมไ่ ด้ถกู สร้างข้ึนตามแนวอปุ นยั และไม่ได้ ถูกทดสอบโดยปัจเจกบุคคล บนพื้นฐานแห่งประจักษ์พยานเกี่ยวกับปรากฏการณ์ โดยแท้จริง แลว้ ไมม่ สี ง่ิ ทเี่ รยี กวา่ การสงั เกตทเี่ ปน็ กลางโดยทางทฤษฎนี กั คดิ เชน่ Bhaskar๔ กป็ ฏเิ สธแนวคดิ ปรากฏการณ์นิยม (Phenomenalism) และการยืนยนั ความจรงิ นิยม (Verificationism) โดย ไดแ้ สดงใหเ้ ห็นว่า ความจรงิ แท้ (Reality) มี ๓ ระดับ คือ (๑) ระดบั ทด่ี เู หมือนจริง (Real) (๒) ระดบั ความจรงิ แท้ (Actual) และ (๓) ระดับความจรงิ ประจักษ์ (Empirical) พร้อมกบั อ้าง ถงึ ๓ Chalmers, Alan F. ๑๙๘๒, What is Science? An Assessment of the Status and Nature of Science and Methods. ST.Lucia : University of Queensland Press. ๔ Bhaskar, Roy ๑๙๗๕ A Realist Theory of Science ๒nd edition, Hemel Hempstead: Harvester- wheat she of.

การมอี ยแู่ หง่ โครงสรา้ งทซี่ อ่ นเรน้ อยู่ และกลไกทม่ี องไมเ่ หน็ ซง่ึ ปฏบิ ตั กิ ารเปน็ อสิ ระจากการทเ่ี รา ไมร่ ถู้ งึ สง่ิ เหลา่ นน้ั แตพ่ ลงั อำ� นาจและความนา่ จะคงมอี ยแู่ หง่ โครงสรา้ งและกลไกเหลา่ นน้ั สามารถ ศึกษาวจิ ยั ไดใ้ นเชงิ ประจกั ษ์ แนววิธศี ึกษาหลังยคุ ปจั จุบนั (Post Modern Approach) แนววธิ ศี กึ ษาหลงั ยคุ ปจั จบุ นั (หรอื หลงั ยคุ Modern) เปน็ วกี ารศกึ ษาทใ่ี ชภ้ าษา โดยการ สร้างวาทกรรมใหม่ รวมทั้งการก�ำหนดแนวคิด บางอย่างเป็นกรอบก�ำหนด แนวทางศึกษา ปรากฏการณต์ า่ งๆ เพอ่ื ใหเ้ กดิ ความร๕ู้ วธิ กี ารศกึ ษาแนวนม้ี กั จะถกู ครอบงำ� โดยบคุ คลทม่ี อี ทิ ธพิ ล ในสังคม เช่น นกั วชิ าการ นกั บรหิ าร นกั กำ� หนดแผนและนโยบาย ผู้นำ� ทางการเมอื ง และผู้น�ำ ทางสงั คม เป็นต้น แนวคดิ ทน่ี ยิ มนำ� มาใชใ้ นการศกึ ษาจะสมั พนั ธ์ กบั แนวคดิ การพฒั นาเศรษฐกจิ การพฒั นา สงั คม การปฏริ ูปทางการเมือง การสรา้ งจติ สำ� นกึ ความเปน็ พลเมอื ง การอนรุ ักษส์ ิ่งแวดลอ้ ม การพัฒนาทยี่ ง่ั ยนื วกี ารศึกษาเชิงบรู ณาการ ความรบั ตอ่ สงั คม ระเบยี บวิธีศกึ ษาแบบ Ethno autography หรือ Auto ethnology เปน็ ตน้ กลา่ วโดยจำ� เพาะ แนววธิ กี ารศกึ ษาปรากฏการณท์ างสงั คมและทางการเมอื งในยคุ หลงั 14 ยุคปจั จุบัน จะเน้นวธิ กี ารศึกษาเชิงบูรณาการ วกี ารศึกษาแบบผสานวธิ ี วธิ ีการศึกษาแบบมุง่ เป้า วิธีการวิเคราะห์แบบ SWOT วิธีการศึกษาแบบสหวิทยาการ แต่ในบางสาขาแห่งสังคมศาสตร์ อิทธิพลวิธีการศึกษาตามแนว Positivism หรือปฏิฐานนิยม ยังคงกระแสนิยมอยู่อย่างเข้มข้น และเปน็ ในในลักษณะทเ่ี รยี กกันว่า School of Research หรือสำ� นกั วจิ ัยนน้ั ๆ แนวทางการศึกษาแบบตคี วาม (Interpretative Approach) แนวทางการศึกษาแบบตีความเป็นวีการศึกษาวิจัยเพื่อค้นหาความหมาย และคุณค่า ของสง่ิ ท่คี น้ พบ วิธีการศึกษาแนวน้ีมองมนุษย์เป็นศูนย์กลางการศึกษากล่าวคือ มนุษย์เป็นท้ังผู้กระท�ำ (Actor) และผู้ถกู กระทำ� (Acted) ดังนนั้ จึงตอ้ งมีการค้นหาความหมายของผู้กระทำ� และความ หมายของผู้ถูกกระท�ำ แต่ความหมายของผู้กระท�ำและผู้ถูกกระท�ำในที่นี้มิได้จ�ำกัดขอบเขต กระบวนการกระท�ำและผลลัพธ์จากการกระท�ำในแง่ลบ เพียงอย่างเดียว แต่รวมเอาการเข้าใจ ความหมาย กระบวนการกระทำ� และผลลพั ธจ์ ากการกระทำ� ในแงบ่ วกดว้ ย วธิ กี ารศกึ ษาตามแนว การตีความโดยลักษณะทั่วไปเป็นการศึกษาเพ่ือค้นหาความหมายแห่งความสัมพันธ์ และ ๕ พงษส์ วสั ด ิ์ สวสั ดพิ งษ์ ๒๕๔๖, คำ� อภปิ รายเรอื่ งการวจิ ยั ในบรบิ ทแหง่ สงั คมทแ่ี ปรเปลย่ี น สำ� นกั งานคณะกรรมการ วิจยั แหง่ ชาต ิ ๑๐ กมุ ภาพันธ์ ๒๕๔๖ โรงแรมพมิ าน จ.นครสวรรค.์

ปฏิสมั พนั ธ์ระหวา่ งมนษุ ยใ์ นทุกมติ ิ 15 วธิ ีการศึกษาตามแนวน้ี รวมเอาการศึกษาชาติพนั ธม์ุ นษุ ย์การศกึ ษากระบวนการความ เป็นชายขอบ กระบวนการความเป็นอาชญากรรมในรูปแบบต่างๆ หรือในลักษะเป็นองค์การ อาชญากรรม การศึกษาคณุ ค่าชุมชน การศึกษาคณุ ค่าภูมปิ ัญญาทอ้ งถนิ่ การศกึ ษาคุณค่าระบบ ความเชื่อ การศึกษาคณุ คา่ วัฒนธรรมการแต่งกาย คุณค่าภาษาถิน่ และวัฒนธรรมทอ้ งถิน่ ตา่ งๆ การศึกษาตามแนวการตีความได้มีการใช้มานานในวิชาการทางสังคมศาสตร์ และทาง มนษุ ยศาสตร์ Max Weber๖ ได้เสนอวธิ ีการศกึ ษาที่เรยี กว่า Verstehen ซ่ึงอาจจะตรงกบั คำ� ว่า Understanding ในภาษาอังกฤษ เพื่อศึกษาหาความหมายส่ิงท่ีซ่อนเร้นอยู่จากการแสดง พฤติกรรมแบบต่างๆ ของมนษุ ย์ การแสวงหาความหมายเพือ่ ความเขา้ ใจส่ิงเรา้ หรอื แรงผลกั ดนั หรอื เหตผุ ลเปน็ สง่ิ จำ� เปน็ ในการศกึ ษาพฤตกิ รรมมนษุ ย์ การเขา้ ใจสงิ่ เรา้ ทซ่ี อ่ นเรา้ อยภู่ ายในจติ ใจ มนษุ ยส์ ามารถเข้าได้ได้ โดยอาศัยการตคี วาม แตก่ ารตีความมไิ ด้เกิดขึ้นโดยธรรมชาติ แต่ต้องอาศัยการเรียนรู้ (Learning) ดังนน้ั ผทู้ ี่ มีการเรียนรู้มากย่อมมีความสามารถในการตีความได้กว้างขวางและน่าเชื่อถือมากกว่าผู้ที่ไม่มี ความร้หู รือมคี วามรู้เพียงเล็กนอ้ ย โดยหลกั การการตคี วามปจั จยั ทสี่ มั พนั ธก์ บั การตคี วามสามารถวเิ คราะหเ์ พมิ่ เตมิ ได้ ดงั น้ี ๑) ประสบการณ์ของผู้ตคี วาม ๒) พ้ืนฐานทางสงั คมและครอบครวั ของผูต้ ีความ ๓) ความผูกพันกับองคก์ ารทางสังคมการเมอื งและเศรษฐกิจ ๔) ระดับการศึกษาและการยดึ ตดิ กับทฤษฎี ๕) อาชพี หลกั ๖) ความเชอ่ื และคา่ นยิ มทางวัฒนธรรม ๗) ชาติพันธุน์ ยิ ม และชาตนิ ยิ ม ๘) ระดบั จิตส�ำนกึ หรอื มโนธรรม ๙) อทิ ธพิ ลของกลุ่ม ๑๐) อทิ ธพิ ลของส่ือสารมวลชน ๑๑) การเป็นสมาชิกองค์การทางศาสนา ๑๒) การรบั จา้ งตคี วาม (เชน่ การตคี วามตามกฎหมายของหมายความและความยตุ ธิ รรม ตา่ งๆ ๖ ดู Max Weber, ๑๙๔๙ The Methodology of the Social Science, Glencor, IL: Free-Press.

ปจั จยั ดงั กลา่ วลว้ นมผี ลตคี วามของผศู้ กึ ษาวจิ ยั ทงั้ สน้ิ ดงั นนั้ การตคี วามจงึ มไิ ดเ้ ปน็ ความ บริสุทธิ์หรือความถูกต้องตามหลักศีลธรรมและหลักความยุติธรรมเสมอไป แต่การตีความมัก ดำ� เนนิ การตามพลงั แหง่ ปจั จยั ใดปจั จยั หนง่ึ หรอื หลายๆ ปจั จยั รวมกนั จงึ เปน็ การยากทจี่ ะวนิ จิ ฉยั ว่า การตีความแบบใดหรือการตีความของใครถูกต้องที่สุด แม้แต่ในกระบวนการยุติธรรม การ ตคี วามถกู ตอ้ งตามหลกั นติ ธิ รรมกไ็ ดม้ ใี นเชงิ นยั ยะเดยี วมคี วามเหน็ ขดั แยง้ กนั อยเู่ สมอไป แมก้ ระ ทงั้ ผเู้ ชยี วชาญดา้ นนติ ธิ รรม ยกตวั อยา่ งกระบวนการตดั สนิ ตคี วามถกู หรอื ผดิ จงึ กำ� หนดใหต้ คี วาม ไดถ้ งึ สามศาล คอื ศาลชน้ั ตน้ ศาลอทุ ธรณแ์ ละศาลฎกี า ในบางกรณแี มจ้ ะผา่ นกระบวนการตคี วาม หรือการตัดสินในชั้นฎีกาอันเป็นชั้นสุดท้ายแล้ว แต่ถ้ามีหลักฐานมาอ้างให้ทราบอยู่เสมอใน ขบวนการยุตธิ รรมของประเทศไทย อยา่ งไรกต็ ามปรากฏการณท์ างสงั คมและทางการเมอื งทน่ี ยิ มนำ� การตคี วามมาใชใ้ นการ วิเคราะห์ก็คือปรากฏการณ์ท่ีต้องอาศัยประชามติ (Public Opinion) หรือความเห็นของ ประชาชนทงั้ ประเทศ ในประเทศทีม่ ีการปกครองแบบประชาธิปไตย การลงประประมตใิ นการ เลือกตั้ง เพื่อแสดงถึงเจตนารมณ์ของสาธารณชนในการมอบอ�ำนาจให้ตัวแทนของตนในการ ปกครองน้ันแกพ่ รรคการเมือง หรอื นกั การเมอื งท่ีมคี วามยุตธิ รรมทสี่ ดุ หรอื ถูกตอ้ งมากท่สี ุด แต่ ก็มีค�ำถามบ่อยที่เดียวถึงสิงเร้าท่ีซ่อนเร้นอยู่ ภายใต้การตัดสินใจของประชาชนว่า ประชาชนมี 16 ความร้คู วามเข้าใจระบอบประชาธิปไตยมากน้อยเพยี งใด และตัดสินใจเลอื กพรรคการเมอื งหรอื นักการเมืองดว้ ยเจตจ�ำนงเสรี (Free will) หรอื ด้วยการถกู จ้างดว้ ยอามิสให้ลงคะแนน ค�ำถาม ดงั กลา่ วแสดงถงึ ภมู หิ ลงั ของผตู้ คี วามดว้ ยเชน่ กนั ดงั นน้ั การกลา่ วหาวา่ ดว้ ยการโกงหรอื การทจุ รติ ทางการเมอื ง จงึ ..สมั พันธ์กับพลังปจั จยั ดังกล่าวอยา่ งหลกี เลีย่ งไมพ่ น้ โดยทั่วไป การตีความความถูกต้องที่สุดก็คือการตีความจากผู้มีอ�ำนาจที่สุดในทางการ เมอื งและทางสังคม ดังนัน้ ผูม้ ีอำ� นาจเม่อื ตคี วามอยา่ งไร และตัดสินใจท�ำอยา่ งใดอยา่ งหน่งึ ออก ไป จงึ มักจะได้รับการนอ้ มรับ โดยปราศจากการโตแ้ ย้ง ถึงจะมกี ารโต้แย้งก็มกั จะกระท�ำโดยการ ปกปิดไมเ่ ปดิ เผยหรอื แสดงออกมาสสู่ าธารณะ มฉิ ะนนั้ จะถกู ด�ำเนินการจบั กุมลงโทษในข้อหา “หม่ินประมาท” ไม่เชื่อฟังผู้มีอำ� นาจ เป็นต้น ในทางการเมืองการตีความเรื่องใดเรื่องหนึ่งจึงมี ปญั หา และมีการโตแ้ ย้งอยู่เสมอ ในทางปรัชญา การตีความปรากฏในสาขาปรัชญาว่าด้วยการตีความซ่ึงตรงกับภาษา อังกฤษวา่ Hermeneutism Hermeneutism มคี วามหมาย เชน่ เดยี วกัน Interpretativism ดังได้อธิบายมาแล้ว แต่ก็มีการโต้แย้งการตีความของค�ำทั้งสองค�ำนี้ว่า ไม่เหมือนกันท้ังหมด Interpretivism หรอื ทฤษฎกี ารตคี วามมกั จะใชใ้ นสงั คมศาสตร์ และจะตคี วามเฉพาะทเ่ี กย่ี วกบั มนุษย์ พฤติกรรมแห่งมนุษย์และจัดอยู่ในแนวเดียวกับสังคมวิทยาแห่งความรู้อย่างหน่ึง ส่วน Hermeneutism จะใช้ในขอบเขตแหง่ อภิปรัชญา และปรัชญาสาขาอืน่ ๆ

ลักษณะการแสวงหาความรทู้ างพทุ ธปรัชญา 17 การแสวงหาความรแู้ ละการอธบิ ายความรทู้ างพทุ ธปรชั ญาสามารถอธบิ ายไดต้ ามกรอบ ทฤษฎีญาณวิทยา (Epistemology) ซ่ึงเป็นทฤษฎีว่าด้วยแหล่งก�ำเนิดความรู้ วิธีการแสวงหา ความรกู้ ารยนื ยนั ความรทู้ ไ่ี ดรบั วตั ถปุ ระสงคแ์ ละขอ้ จำ� กดั แหง่ ความร๗ู้ ความรเู้ รอื่ งราวทางสงั คม และการเมอื งตามแนวพทุ ธปรัชญา สามารถใชว้ ิธีการดังต่อไปนี้ ๑) การแสวงหาความรตู้ ามแนวแหล่งแหง่ ปญั ญา ๓ แหล่ง คอื สตุ มยปัญญา จนิ ต ามยปัญญา และภาวนามยปัญญา๘ สุตมยปัญญา คือ ความรู้ทไี่ ด้รบั จากการฟัง รวมท้งั การบอกเลา่ ทไ่ี ดร้ บั การบนั ทกึ หรอื จารกึ ไวใ้ นศลิ าจารกึ ใบลานและโบราณสถาน และปจั จบุ นั จะปรากฏในรปู การอา่ นจากสง่ิ ตพี มิ พ์ ตา่ งๆ ด้วย ความรู้รดุ ับสตุ มยปัญญา คือความสามารถในการจำ� ขอ้ มลู และขอ้ ความต่างๆ ทม่ี ีอยู่ ในส่ิงพิมพ์ต�ำราและบทเรียนต่างๆ เป็นต้น ผู้ที่มีความสามารถในการจ�ำข้อมูลหรือ้อความจาก แหล่งต่างๆ ได้มากเรียกวา่ พหสู ูต ซ่ึงหมายถึงผู้ทีไ่ ด้ยนิ ไดฟ้ ังมามาก หรือผู้ที่ได้เรียนมามาก จนิ ตามยปญั ญา หมายถงึ ความรทู้ ไ่ี ดร้ บั จากการคดิ อยา่ งเปน็ ระบบ หรอื คดิ เชงิ วเิ คราะห์ จนเกดิ ความเขา้ ใจในสงิ่ ทไี่ ดย้ นิ ไดฟ้ งั มาอยา่ งชดั เจน ความคดิ คอื ไดว้ า่ เปน็ แหลง่ ความรขู้ องมนษุ ย์ อย่างหน่งึ ความคดิ ทีจ่ ะก่อใหเ้ กดิ ความรู้ ก็คอื ความคิดใฝ่รู้ อนั เป็นความคดิ ท่ีตอ้ งการจะขยาย พรมแดนหรือของขา่ ยความรูเ้ พม่ิ เตมิ หรือตอ่ ยอดจากสง่ิ ทไ่ี ดย้ นิ ได้อ่าน หรือไดฟ้ ังมา เช่น เพื่อ ไดเ้ ห็นรถยนตท์ ีม่ ีรูปรา่ งแบบตา่ งๆ จากในภาพ เกดิ ความสนใจ จึงทำ� การศึกษา ค้นคว้าเพิม่ เติม จนเกิดความเข้าใจแกลไกการท�ำงานของรถยนต์ และสืบสาววิวัฒนาการของรถยนต์ประเภทท่ี สนใจ กเ็ กิดความรู้ความเขา้ ใจการพัฒนากลไกของรถยนตป์ ระเภทนั้น จนเกิดเป็นหลกั วิชาการ เกี่ยวกบั เคร่อื งยนตก์ ลไกน้นั ๆ ได้ ดงั นนั้ หลักวชิ าการท้ังหลายซ่ึงเปน็ องค์ความรใู้ หม่ เกิดจาก การรจู้ กั คดิ รจู้ กั วเิ คราะหห์ รอื รจู้ กั การอธบิ ายอยา่ งเปน็ ระบบนนั่ เอง จนิ ตามยปญั ญา จงึ สมั พนั ธ์ กับโยนโิ สมนสิการ ซง่ึ หมายถึงการคิดอย่างแยบคาย หรือการคดิ อยา่ งรอมคอมและเป็นระบบ ภาวนามยปญั ญา หมายถงึ ความรทู้ เ่ี กดิ จากฝกึ อบรมการฝกึ ปฏบิ ตั ิ หรอื การทดลองจน ไดร้ บั ผล ภาวนามยปญั ญาจัดเป็นความร้ทู ไี่ ดจ้ ากประสบการณจ์ รงิ แต่เป็นประสบการณ์ทม่ี ีเป้า หมาย คอื มกี ารดำ� เนนิ การตามขน้ึ ตอนทไ่ี ดม้ กี ารวางแผนไว้ และมกี ารประเมนิ ผลการปฏบิ ตั ติ าม แผนการด�ำเนินการ การประเมินผล (Evaluation) เป็นขั้นตอนที่ส�ำคัญย่ิงแห่งการฝึกอบรม หรอื การทดลองหรอื การดำ� เนนิ การตามนโยบายต่างๆ ในวงวิชาการระดับสูง ความรทู้ ่ไี ด้รับจาก ๗ Roy Bhaskar,๒๐๐๖ อ้างแล้ว หนา้ ๓๒๒. ๘ ท.ี ปา. ๑๑/๒๒๘/๒๓

กาทดลองเรียกว่า ความรู้ที่ได้รับจากการวิจัย ดังน้ันการวิจัยการวิจัยจึงถือว่าเป็นกระบวนการ แห่งภาวนามยปญั ญาอย่างหนึง่ ความรเู้ กย่ี วกบั ปรากฏการณท์ างสงั คมและทางการเมอื งสว่ นใหญจ่ ะไดร้ บั จากชอ่ งทาง สุตมยปญั ญา กลา่ วคือ สอ่ื ตา่ งๆ มีสว่ นสำ� คญั ในการถ่ายทอดขอ้ มูลข่าวสารทีถ่ อื ได้วา่ เป็นความ รแู้ กผ่ สู้ นใจเปดิ รบั สอ่ื เหลา่ นนั้ แตข่ อ้ มลู ขา่ วสารผา่ นสอ่ื อาจจะไมใ่ ชค่ วามจรงิ กไ็ ด การไดร้ บั ขอ้ มลู ข่าวสารที่เป็นเท็จจึงถือว่าเป็นมิจฉาทิฏฐิ คือความเห็น หรือความเข้าใจผิดพระพุทธศาสนาจึง เสนอให้มีการใช้ความคิดหรือวิจารณญาณในการวิเคราะห์ข้อมูลข่าวสารหรือการกรองข่าวสาร อีกชนั้ หนึ่ง วิจารณญาณจดั อย่ใู นกลุม่ จินตามยปญั ญา ความรู้ทีไ่ ด้รับจากอายตนะคอื ตา หู จมกู ลิ้น และกาย อาจจะเปน็ ความรู้ระดบั สญั ญา กล่าวคือเป็นความรู้ระดับก�ำหนดจดจ�ำได้ ถือเป็นความรู้ที่เกิดจากตาได้มองเห็น หูได้ยินได้ฟัง จมกู ไดก้ ลน่ิ ลิน้ ได้ล้ิมรสและกายไดส้ ัมผสั ความรู้ระดับน้เี รยี กอีกอย่างหนึง่ วา่ สญั ญาขน้ั ตน้ ส่วน ความรู้ที่เปน็ ไปตามความคิดกรปรุงแต่งซึ่งเปน็ ความรู้ในระดบั จินตามยปัญญานนั้ จดั เป็นความ ร้ซู ้อนเสรมิ เปน็ การหมายรูว้ า่ สวย นา่ เกลียดน่าจงั ความร้ทู ่เี ปน็ ไปตามความคดิ ปรงุ แต่งนี้ เป็น ความรู้เป็นท้งั อกศุ ลสัญญาและกศุ ลสญั ญา อกุศลสัญญา คือการก�ำหนดรู้ท่ีเป็นไปตามการคิดปรุงแต่งของตัณหา มานะและทิฏฐิ 18 จดั เป็นกิเลสสญั ญา คือสญั ญาท่เี จอื ด้วยกิเลส ความร้ใู นลกั ษณะนี้ เกดิ จากความอยากได้ ความ โกรธไม่พอใจ และความล่มุ หลง ดังนั้น ความอยากได้ ความอยากครอบครองในสง่ิ ทต่ี นมองเหน็ หรือไมป่ ระสบผ่านชอ่ งทางอนื่ ๆ โดยการปรุงแต่งของจติ วา่ เป็นสิ่งที่น่าปรารถนา จัดเป็นความรู้ แบบใฝ่ตำ�่ ขณะเดียวกัน ความคดิ ปรุงแต่งในการท�ำลายบคุ คลทีเ่ ปน็ คู่แข่ง หรอื ฝ่ายปรปักษ์ โดย ใชว้ กี ารอยา่ งใดอยา่ งหนงึ่ ทต่ี นไดย้ นิ ไดฟ้ งั หรอื ไดศ้ กึ ษาเลา่ เรยี นมา จนมผี ลทำ� ใหค้ แู่ ขง่ ออ่ นกำ� ลงั หรอื ถกู พชิ ติ ใหพ้ า่ ยแพด้ ว้ ยอำ� นาจกเิ ลศคอื โทสะ และโลภะ กจ็ ดั ไดว้ า่ เปน็ ความคดิ ใฝต่ ำ�่ หรอื เปน็ อกุศลสญั ญาไดเ้ ช่นเดยี วกัน กุศลสัญญา คือความหมายรู้หรือปัญญาท่ีเกิดจากจิตอันเป็นกุศล จิตซึ่งมีการปรุงแต่ง ใหค้ ดิ ในสง่ิ ทดี่ งี าม และใหม้ คี วามคดิ และความเขา้ ใจทถี่ กู ตอ้ ง ยอ่ มชว่ ยสง่ เสรมิ ความเจรญิ งอกงาม แหง่ สมั มาทิฏฐิ และความเจริญงอกงามแห่งกศุ ลธรรมตา่ งๆ เช่นการไดศ้ ึกษาจนเกดิ ความจ�ำได้ ในวกี ารทจี่ ะชว่ ยสรา้ งความเปน็ กลั ยาณมติ ร แลว้ พฒั นาตนเองใหเ้ ปน็ กลั ยาณมติ รของบคุ คลอน่ื จดั ไดว้ า่ เปน็ กศุ ลสญั ญาอยา่ งหนง่ึ กศุ ลสญั ญานี้ รวมไปถงึ ความรหู้ ลกั ความจรงิ วา่ ทกุ สง่ิ ทกุ อยา่ ง ไม่เที่ยวเป็นทุกข์เป็นอนัตตาและการหมายรู้วีการช่วยเหลือบุคคลอ่ืนให้พันจากความทุกข์ ซึ่งก็ คอื ผลของความรักความเมตตากรณุ านัน้ เอง ปรากฏการณท์ างสงั คมและทางการเมอื งสามารถรบั รแู้ ละเขา้ ใจไดใ้ นลกั ษณะทเี่ ปน็ ความ รู้แบบกศุ ลสัญญาและความรู้แบบอกศุ ลสัญญา กระบวนการพฒั นาความรตู้ ามแนวท่ีเหมาะสม

ก็คอื กระบวนการพัฒนาตามหลกั โยนิโสมนสิการ หลกั โยนโิ สมนสิการ จะช่วยให้คดิ ในแง่ท่เี ป็น 19 กุศล และช่วยสกัดกน้ั กิเลส ตัณหา และอวิชชา๙ ๒) การแสวงหาความรูต้ ามแรงผลักดนั หรอื ส่ิงเรา้ แรงผลักดันให้เกิดการแสวงหาความรู้ที่เป็นสัมมาทิฏฐิ คือฉันทะ๑๐ ฉันทะ เป็นความ ต้องการใฝ่ดี การแสวงหาความรู้จึงเป็นไปตามความต้องการเพ่ือความเจริญก้าวหน้าทางสติ ปัญญา ทางอารมณ์และทางจติ วิญญาณ ความต้องการเพ่ือพัฒนาสติปัญญาให้เจริญก้าวหน้าเป็นแรงผลักดันท่ีเป็นกุศล มนุษย์ โดยธรรมชาตมิ สี ง่ิ เรา้ ทจ่ี ะทำ� ทงั้ สงิ่ ทดี แี ละสงิ่ ทไี่ มด่ ี หรอื ทจี่ ะทำ� ทง้ั กศุ ลกรราและอกศุ ลกรรม แต่ กศุ ลฉนั ทะจะผลกั ดนั ใหเ้ กดิ การกระทำ� ทเ่ี ปน็ กศุ ลกรรม ความรใู้ นสง่ิ ทเี่ ปน็ จรงิ เปน็ ความใฝร่ แู้ หง่ มนุษย์ท่วั ไปอยา่ งหน่ึง มนษุ ยย์ อ่ มเขา้ ใจดวี า่ บนพื้นฐานแหง่ ความรทู้ เ่ี ปน็ จรงิ มนษุ ย์ย่อมเจรญิ กา้ วหนา้ ไปสทู่ ศิ ทางทส่ี งู ขนึ้ ทง้ั ในระดบั สถานะทางสงั คมและระดบั สตปิ ญั ญาของตน แรงผลกั ดนั จากความตอ้ งการเพอื่ ผลสำ� เร็จในชวี ติ ๑๑ (Need for Achievement) มนษุ ยจ์ งึ ด�ำเนินการทุก วถิ ที างเพอื่ บรรลผุ ลสำ� เรจ็ และการศกึ ษาเปน็ หนทางทสี่ ำ� คญั อยา่ งหนงึ่ ในการนำ� ไปสคู่ วามสำ� เรจ็ ดงั นน้ั มนษุ ยจ์ งึ ตอ้ งแสวงหาความรอู้ ยเู่ สมอในโลกปจั จบุ นั วธิ กี ารแสวงหาความรมู้ มี าก บางครง้ั กเ็ ปน็ การยากทจี่ ะวนิ จิ ฉยั วา่ วธิ กี ารแสวงหาความรแู้ บบใด จงึ จะเหมาะสมและนำ� ไปสกู่ ารบรรลุ ผลสำ� เร็จ แตด่ ้วยอาศยั ความรทู้ เี่ หมาะสม มนษุ ย์สามารถเข้าถงึ เปา้ หมายท่ีพึงประสงค์ได้ ฉันทะอย่างเดียวไม่พอที่จะน�ำไปสู่เป้าหมาย จึงจ�ำเป็นต้องอาศัยการกระท�ำด้วยความ เพยี รพยายามอย่างตอ่ เนอ่ื ง (วริ ิยะ) การมจี ิตใจที่หนกั แน่น และมั่นคงในการบรรลถุ งึ เป้าหมาย (จิตตะ) และการใช้สติปญั ญาทีม่ อี ยู่ในการพิจารณาไตร่ตรองปัญหาตา่ งๆ (วมิ ังสา) จนเข้าถงึ เป้า หมายท่ีต้องการได้แนวทางที่จะให้ได้รับความรู้ตามความประสงค์นี้รวมอยู่ในหลักอิทธิบาท ๔ ประการ ดังกล่าวนี้ ๓) การแสวงหาความร้ดู ้วยอาศัยการชกั จูงแห่งกัลยาณมติ ร กลั ยาณมิตร คอื เพอ่ื นทด่ี ี รวมถงึ สภาพสงิ่ แวดล้อมทโี่ น้มชักจงู ในทางสร้างสรรค์ และ พัฒนาให้เกิดความรู้และส่ิงที่ดีงามต่างๆ เพื่อนท่ีดีและสภาพส่ิงแวดล้อมท่ีดีมีบทบทส�ำคัญมาก ในการกระตุ้นในบคุ คลไดข้ วนขวายหาความรู้ กลั ยาณมติ รถือว่า เป็นปบุ นมิ ิตที่ส�ำคัญอยา่ งหนึ่ง แหง่ การศึกษาและการปฏิบัตทิ ี่ดีงาม๑๒ ซ่งึ นอกจากเป็นปัจจยั กระตุ้นส่งิ เสริมการศกึ ษาแล้ว ยัง เปน็ ผูช้ ว่ ยเหลือและชว่ ยแก้ปัญหาตา่ งๆ ในชีวิตอกี ดว้ ย ๙ สมเดจ็ พระพทุ ธโฆษาจารย,์ ป.อ. ปยตุ โต) . ๒๕๕๑. พุทธธรรม. อ้างแลว้ หน้า ๖๗๔. ๑๐ ฉันทะ เปน็ หลักธรรมขอ้ หน่ึงในอทิ ธบิ าท ๔ ประการ คือ ฉันทะ วิรยิ ะ จิตตะ และ วมิ ังสา. ๑๑ ดูรายละเอียดใน David McClelland. ๑๙๖๑, The Achieving Society. Princeton, New Jeysey : Van Nostrand. ๑๒ ดูรายละเอยี ดใน สํ. ม. ๑๙/๑๒๙/๓๖.

การมีกัลยาณมติ รมใิ ชเ่ ปน็ เร่ืองบงั เอิญ แต่เป็นเร่ืองแห่งบญุ บารมี และการไดช้ ว่ ยเหลือ บคุ คลอน่ื มากอ่ น การไดก้ ลั ยาณมติ ร จงึ เปน็ ผลแหง่ กศุ ลกรรมทสี่ ะสมมายาวนานในสงั คมมนษุ ย์ พ่อแม่เป็นกัลยาณมิตรเบ้ืองต้นแห่งบุตรธิดา พ่อแม่เป็นผู้กระตุ้นส่งเสริมการศึกษาเล่าเรียนแก่ ลูก และในสังคมท่กี วา้ งออกไปกลั ยาณมติ รกค็ อื ผู้คนทีบ่ คุ คลไดต้ ดิ ต่อหรอื สัมพนั ธ์ดว้ ยกัลยาณา มติ รคือวัฒนธรรมทีด่ ีแหง่ สังคมด้วย รูปแบบการปฏิบัติ ประเพณคี วามเชือ่ และค่านิยมกลมุ่ ทีด่ ี งามจดั อยู่ในกลมุ่ กัลยาณมติ รได้เรยี นเดยี วกัน พระพทุ ธเจา้ ตรสั วา่ สตั บรุ ษุ หรอื คนดที ง้ั หลายคอื กลั ยาณมติ รแหง่ มนษุ ย์ ทใ่ี ดมสี ตั บรุ ษุ ท่ีนั่นย่อมเป็นสัปปายบุคคลในการศึกษาธรรมและการปฏิบัติธรรม คุณสมบัติแห่งสัตบุรุษ ประกอบดว้ ย ความเปน็ ผรู้ จู้ กั เหตุ ความเปน็ ผรู้ จู้ กั ผล ความเปน็ ผรู้ จู้ กั ตน ความเปน็ ผรู้ จู้ กั ประมาณ ความเปน็ ผู้รู้จักกาล ความเป็นผู้รู้จกั ชุมชน และความเปน็ ผ้รู ้จู กั ความแตกตา่ งแห่งบคุ คล รนท่ี เป็นสตั บุรษุ เป็นผู้ไม่ยึดตดิ ไมห่ ลอกลวง๑๓ เป็นผคู้ ิดดี พูดแี ละทำ� ดี และมีความปรารถนาดีต่อ บุคคลอืน่ โดยไมห่ วังสง่ิ ตอนแทน ๔) การศึกษาพฤตกิ รรมมนษุ ยต์ ามหลกั พทุ ธปรัชญา พฤตกิ รรมมนษุ ยถ์ กู ผลกั ดนั ใหแ้ สดงออกมาโดยพลงั ความตอ้ งการ (Needs) ดงั นนั้ พทุ ธ 20 ปรชั ญาจงึ อธบิ ายถงึ ตณั หา (Cravings) วา่ เปน็ ปจั จยั สำ� คญั ผลกั ดนั ใหม้ นษุ ยแ์ สดงพฤตกิ รรมออก มาในรูปแบบต่างๆ นอกจากนี้ กิเลสขนั้ พนื้ ฐาน (Basic Defilements) อันประกอบด้วยโลภะ/ ราคะ โทสะ และโมหะ ที่สะสมมายาวนานตง้ั แตอ่ ดตี ชาติเปน็ พลงั ก�ำหนดพฤตกิ รรมแหง่ มนษุ ย์ ดว้ ยเช่นกัน ซง่ึ อาจจะเรยี กวา่ กรรมนิยามกไ็ ด้ บุคคลท่มี จี รติ แตกตา่ งกันกเ็ ป็นผลมาจากการกระทำ� ในอดตี ท่ีสะสมกนั มายาวนานจน กลายเป็นอปุ นสิ ัย ถาวรและเปน็ ปัจจัยผลักดันการแสดงออกทางพฤติกรรมแหง่ มนษุ ย์ ตัวอย่าง เช่น บางคนมีอารมณ์ร้อน ฉุนเฉียวง่าย หรือเป็นคนนักโกรธก็เป็นผลมาจากการยอมให้โทสะ ครอบงำ� อยู่เมืองนติ ย์ ดังน้นั พุทธปรชั ญา จึงเสนอวธิ ีการการศกึ ษาพฤตกิ รรมมนุษย์ ตามแนว แห่งการรู้แจ้งถึงสมุทัยหรือสาเหตุแห่งพฤติกรรม ดังท่ี พระพุทธเจ้าทรงแสงไว้ในหลักอริยสัจจ์ และหลกั ธรรมขอ้ อ่นื ๆ ๕) การศึกษาพฤตกิ รรมมนุษย์ตามแนวอรยิ สัจจ์ อรยิ สัจจ์ คอื ความจรงิ อนั ประเสรฐิ ซ่ึงหมายถึงกระบวนการความเปน็ จริงที่สมั พันธ์กับ ปรากฏการณต์ า่ ง ๆ แหง่ ชวี ติ ความเปน็ จรงิ ทสี่ มั พนั ธก์ นั ชวี ติ (รวมทงั้ ความจรงิ ทางสงั คมการเมอื ง และเศรษฐกิจ) หมายถงึ สภาวะบีบค้นั เปน็ ทุกข์ท้ังเปน็ ประจ�ำและช่ัวขณะ (ทุกข์) ปจั จยั หรือ ๑๓ ดูรายละเอียดใน ข.ุ ธ. ๒๕/๑๗/๒๖.

สาเหตผุ ลผลกั ดนั ใหเ้ กดิ สภาวะบบี คนั้ เปน็ ทกุ ข์ (สมทุ ยั ) เปา้ หมายพงึ ปรารถนา คอื ความหลกั พน้ 21 จากสภาวะบบี ครัน้ เปน็ ทุกข์กลายเป็นภาวะผอ่ นคลายไรท้ กุ ข์ (นโิ รธ) และแนวทางปฏิบัตเิ พื่อ เข้าถึงเป้าหมายท่ีพึงปรารถนาซึ่งต้ังอยู่บนพื้นฐานความเช่ือมั่นในแนวทางน่ันที่ได้รับการพิสูจน์ ทดลองจนได้ผลมาแล้ว (มรรค) ความเป็นไปแห่งพฤติกรรมมนุษย์ไม่ว่าจะเป็นรูปแบบก็ตามถือว่าเป็นความจริงอย่าง หนึง่ และย่อมมีเหตุผลักดนั ให้เกดิ พฤตกิ รรมนน้ั ๆ การศึกษาพฤตกิ รรมมนษุ ยต์ ามแนวอริยสจั จม์ ีลกั ษณะท่ัวไป ๒ ประการ คอื ๑) ลกั ษณะท่หี นึง่ การศกึ ษาถงึ เหตแุ ละผล การศึกษาโดยวธิ ีน้เี ปน็ การศึกษาโดยการสืบสาวจากผลไปหาเหตุ หากพบสาเหตทุ ี่ผลกั ดนั ใหเ้ กิดพฤตกิ รรมที่ไมพ่ ึงประสงค์ก็ทำ� การแกไ้ ขท่ีต้นเหตุ การศึกษาแบบน้ีจดั เป็น ๒ คู่ คอื คทู่ ี่หนึ่ง ตัวปญั หา (ทกุ ข์) แห่งพฤตกิ รรม เช่น การเบยี ดเบียน การประทษุ ร้าย ความ รุนแรงที่มีต่อกันและกัน เป็นพฤติกรรมท่ีไม่พึงประสงค์ซ่ึงปรากฏให้เห็นทั่งในระดับปัจเจกชีวิต และระดบั สงั คม/กลมุ่ หรอื ประเทศชาติ ตวั ปญั หา คอื ผลตน้ เหตผุ ลกั ดนั ใหเ้ กดิ การแสดงพฤตกิ รรม กา้ วรา้ วหรอื เบยี ดเบยี นกนั จนทำ� ใหเ้ กดิ ผลคอื ความทกุ ข์ ความเดอื ดรอ้ นดงั กลา่ ว ซง่ึ จะตอ้ งกำ� จดั หรือแกไ้ ขตัวต้นเหตุนนั้ (สมทุ ัย) ปัจจยั ให้เกดิ ปญั หาคือสาเหตุท่ีจะตอ้ งกำ� จัดหรอื แกไ้ ข คทู่ ีส่ อง ภาวะสิ้นไปแห่งปญั หา (นิโรธ) เป็นจุดหมายทต่ี ้องการ ถอื ว่าเปน็ ผลทจ่ี ะต้อง บรรลถุ งึ แนวทางปฏบิ ตั เิ พอื่ การดบั สนิ้ ปญั หา (มรรค) เปน็ เหตุ นำ� ไปสผู่ ลทพ่ี งึ ปรารถนาดงั กลา่ ว ๒) ลักษณะทีส่ อง การศกึ ษาตรงประเดน็ การศกึ ษาลกั ษณะนมี้ งุ่ ตรงตอ่ สง่ิ ทต่ี อ้ งปฏบิ ตั โิ ดยอาจมคี วามสมั พนั ธก์ บั ชวี ติ ปจั เจกบคุ คล และ/หรอื สมั พนั ธก์ บั สภาวการณส์ งั คม เศรษฐกจิ และการเมอื ง การศกึ ษาตรงประเดน็ นใ้ี ชใ้ นการ แก้ปัญหาเฉพาะจุด หรือปัญหาใดปัญหาหน่ึง ไม่ใช่เป็นการศึกษาแบบไร้ทิศทาง หรือเป็นการ ศกึ ษาแบบฟงุ้ ซา่ น เลอ่ื นลาย ซงึ่ มกั จะเกดิ ขนึ้ เมอื่ มปี รากฏการณบ์ างอยา่ งมากระทบเปน็ บางครง้ั บางคราว การศกึ ษาแบบไรท้ ศิ ทางอาจจะเรยี กวา่ เปน็ การศกึ ษาตามกระแสนยิ มแหง่ สงั คม การ ศึกษาตรงประเด็น ควรด�ำเนินการ เม่อื ชวี ิตหรอื สังคมได้ประสบปญั หา มคี วามทกุ ขค์ วามเดอื ด รอ้ นจะต้องวางท่าทตี อ่ สภาพปัญหาไดอ้ ยา่ งถูกต้อง เหมาะสมจากน้ันใชป้ ัญญาแก้ไขปัญหาโดย การจำ� กดั ขอบเขตเฉพาะสาเหตซุ ง่ึ ผลกั ดนั ใหเ้ กดิ ปญั หานนั้ ๆ อยา่ งรอบคอบ หลกั อรยิ สจั จส์ ามารถ น�ำมาประยกุ ต์ใช้ในการศกึ ษาตรงประเด็นได้ หลกั อรยิ สจั จด์ งั กลา่ ว พระพทุ ธเจา้ ทรงแสดงเพอ่ื ใหท้ ราบความเปน็ จรงิ แทแ้ หง่ ชวี ติ และ สงั คมมนษุ ย์ ซงึ่ เตม็ ไปดว้ ยปัญหา (ความทกุ ข์) มากมาย

พระพทุ ธเจา้ ทรงสอนเรอ่ื งทกุ ขม์ ใิ ชเ่ พอื่ ใหเ้ กดิ ทกุ ขแ์ กเ่ พอื่ ใหเ้ ขา้ ใจจดุ เรม่ิ ตน้ ทจ่ี ะดบั ทกุ ข์ หากไมร่ ู้ความทกุ ข์คอื อะไร มนษุ ย์ก็ไม่สามารถแกป้ ัญหาความทกุ ข์น้ันได้ ความทกุ ข์ คือปัญหา ทม่ี นษุ ยเ์ ปน็ ประจำ� โดยเปน็ สง่ิ ทม่ี นษุ ยท์ วั่ ไปสนใจอยแู่ ลว้ ธรรมชาตขิ องมนษุ ยถ์ อื หาเสาะแสวงหา ความสขุ ความสบายหรอื การไมอ่ ยากพบกบั ความทกุ ข์ แตก่ ารดบั ทกุ ขห์ รอื การลว่ งพน้ จากความ ทุกข์มิใช่ท�ำได้ด้วยการหลบเลี่ยงตัวความทุกข์หรือด้วยการแกล้งมองไม่เห็นความทุกข์ พระพทุ ธเจา้ สอนใหม้ นษุ ยเ์ ผชญิ กบั ปญั หา หรอื ความทกุ ข์ ดว้ ยการรบั รู้ และเผชญิ หนา้ กบั ปญั หา อย่างมีสติปัญญา การรับรู้มิใช่เป็นการแบกรับเอาความทุกข์ไว้ แต่เพื่อรู้เท่าทันก�ำหนดรู้ทันถึง ความทกุ ข์ (ปรญิ ญา) รวมถงึ ขอบเขตแหง่ ทกุ ขส์ าเหตใุ หเ้ กดิ ทกุ ข์ การแกป้ ญั หาความทกุ ขต์ อ้ งแก้ ที่สาเหตเุ ทา่ นนั้ จงึ จะไดผ้ ล เราไม่มหี นา้ ท่ตี ้องกำ� จดั ทกุ ข์ เพราะทกุ ข์จะละทีตวั มันเองไม่ได้ ต้อง ละทเี หตใุ หเ้ กิดทุกขไ์ ด้เท่านน้ั ดงั เช่น การแกค้ วามหิวต้องกำ� จัดด้วยการรับประทานอาหาร จึง จะทุเลาความหวิ ได้ สมเด็จพระพุทธโฆษาจารย์ (ป.อ. ปยุตฺโต)๑๔ ได้สรุปการศึกษาตามแนวอริยสัจจ์โดย การเปรียบเทยี บบางข้อไว้น่าสนใจ ดงั น้ี ก ทกุ ข์ เหมอื นโรค สมุทัย เหมอื นสมุฏฐานของโรค นโิ รธ เหมอื นความหายโรค มรรค เหมือนยารกั ษาโรค 22 ข ทุกข์ เหมือนทพุ ภกิ ขภัย สมุทยั เหมอื นฝนแล้ง นิโรธ เหมือนภาวะอุดมสมบรู ณ ์ มรรค เหมือนฝนดี ค ทุกข ์ เหมอื นภยั สมทุ ยั เหมอื นเหตแุ ห่งภยั นิโรธ เหมือนความพ้นภยั มรรค เหมอื นอบุ ายให้พ้นภยั ง ทุกข ์ เหมือนของหนกั สมุทัย เหมือนการแบบของหนกั ไว ้ นโิ รธ เหมอื นการ วางของหนกั ลงได ้ มรรค เหมอื นอบุ ายทจ่ี ะเอาของหนกั ลงวาง ๖) คุณค่าของการศึกษาตามแนวอรยิ สจั จ์ อรยิ สจั จธรรม เปน็ หลกั พทุ ธปรชั ญาทใี่ หค้ ณุ คา่ ทงั้ ในเชงิ ทฤษฎแี ละเชงิ ปฏบิ ตั ิ กลา่ วโดย เฉพาะในแง่การศึกษาอริยสัจจธรรมให้คุณค่าทางวิชาการศึกษากับระเบียบวิธีวิจัยทาง สังคมศาสตร์ (รวมท้งั ศาสตร์อน่ื ๆ) ได้ ดังน้ี ๑) อรยิ สจั จธรรม เปน็ หลกั ปรชั ญามชั เฌนธรรม กลา่ วคอื เปน็ หลกั ธรรมทอ่ี ธบิ ายความ จรงิ ทเี่ ปน็ สากล มนษุ ยท์ กุ คนในโลกมปี ญั หาเหมอื นกนั และตอ้ งการแกป้ ญั หาตา่ งๆ เหมอื นๆ กนั ดงั นั้น หลักอริยสจั จจ์ งึ เป็นหลักการสากลทางวิชาการ กลา่ วคือมีความเปน็ กลางไม่มกี ารถอื ขา้ ง ๑๔ สมเด็จพระพทุ ธโฆษาจารย์ (ป.อ. ปยุตโต) , ๒๕๕๑, พุทธธรรม อา้ งแล้ว หน้า ๙๑๗

ว่าแบบใดดีกว่ากัน หรือวิธีใดสูงค่าท่ีสุดน่าเชื่อถือที่สุด การใช้วิธีการศึกษาตามแนวอริยสัจจ์ 23 สามารถพบความจริงไดท้ ุกอย่าง และสามารถนำ� ไปใช้ในการแก้ปัญหาไดอ้ ย่างมีประสิทธิภาพ ๒) อริยสจั จธรรม เปน็ หลกั ธรรมแหง่ ปญั ญา หลกั อริยสจั จธรรมม่งุ เปน็ การแกไ้ ขปัญหาตามระบบแห่งเหตุและผล กลา่ วคอื การแก้ ปัญหาดว้ ย วิธีการทเ่ี หมาะสมเท่านน้ั จึงจะสามารถบรรลุถึงเปา้ หมายทสี่ งู ส่ง และยง่ั ยนื ได้ นั่น คอื เหตุกบั ผลตอ้ งสัมพนั ธ์กนั ๓) อริยสจั จธรรม อธบิ ายความจรงิ ทสี่ มั พันธ์กบั ชวี ิตทกุ ชีวติ มนุษย์ไม่ว่าจะท�ำอะไรหรืออยู่ที่ใดก็ตาม ถ้าหากต้องการพัฒนาชีวิตให้มีคุณค่า และมี ความสมั พันธ์กบั ถน่ิ ทอ่ี ยูอ่ ยา่ งมีผลดี จะตอ้ งปฏบิ ตั ิตนตามแนวอริยสัจจ์ ๔) อรยิ สจั จธรรม เสนอวธิ กี ารแกป้ ญั หาชวี ติ ปญั หาสงั คม เศรษฐกจิ และปญั หาการเมอื ง ด้วยปญั ญาของมนษุ ยเ์ อง ปญั หาคอื สงิ่ ทไ่ี มพ่ งึ ปรารถนา การแกป้ ญั หาตอ้ งแกด้ ว้ ยปญั ญาเทา่ นน้ั การนำ� หลกั ความ จรงิ ท่ีเป็นอยตู่ ามธรรมชาติ ดังท่แี สดงไวต้ ามแนวอริยสัจจ์ (คือความมเี หตุผลทแ่ี ท้จริง) มาใช้ให้ เกดิ ประโยชนใ์ นเชงิ ปฏบิ ตั เิ ทา่ นน้ั จงึ จะแกป้ ญั หาทกุ อยา่ งได้ อรยิ สจั จธรรมเปน็ หลกั ปรชั ญาการ พ่ึงตนเอง โดยไม่ตอ้ งพง่ึ อ�ำนาจดลบนั ดาลของตวั การพิเศษเหมือนธรรมชาติหรือสงิ่ ศักด์ิสิทธ์มิ า ช่วยในการแก้ปญั หา (รวมทงั้ การพัฒนา) บทสรุป สังคมศาสตร์ แม้จะได้รับการยอมรับว่าเป็นศาสตร์ (Science) แต่ก็มีวิธีการศึกษา ปรากฏการณท์ างสังคมทไี่ มส่ ามารถสรุปลงเป็นวธิ ีเด่ียวกบั วิทยาศาสตร์ธรรมชาติ ปรากฏการณ์ ทางสงั คมและทางการเมือง คือปรากฏการณอ์ ันเกย่ี วกับพฤตกิ รรมกลมุ่ มนุษย์ ดังนั้น ความเปน็ ไปแห่งปรากฏการณต์ า่ งๆ ทางสงั คม เศรษฐกจิ และการเมอื ง จึงน่าจะสรุปลงในกฎแห่งนิยาม ๕ ประการ คอื อุตนุ ิยาม พืชนยิ าม กรรมนยิ าม จติ ตนิยาม และธรรมนยิ าม นิยามทั้ง ๕ ประการน ี้ แมจ้ ะเปน็ หลกั อธบิ ายปรากฏการณต์ า่ งๆ ทง้ั ในระดบั ปจั เจกบคุ คลและในระดบั สงั คม แตก่ ม็ กี ารโตแ้ ยง้ ในเรอื่ งการพสิ จู นท์ ดลองไมไ่ ด้ สมั ผสั หรอื สงั เกตไมไ่ ดจ้ ากนกั วทิ ยาศาสตรน์ ยิ ม ข้อนี้คือ การโต้แย้งในเชิงปรัชญาก็ได้ ความสวยงามแห่งวิชาการ ก็คือความหลากหลายแห่ง ความคดิ ทมี่ กี ารจดั ระบบการโตแ้ ยง้ หรอื การใหเ้ หตผุ ลอยา่ งเหมาะสม การยอมรบั เหตผุ ลการโต้ แย้งในระดับใดระดับหน่งึ ถอื วา่ เปน็ การประยุกต์สุนทรียศาสตรแ์ หง่ มนษุ ยท์ มี่ ีใจกว้าง เทคนคิ วธิ กี ารศกึ ษาปรากฏการณต์ า่ งๆ ทางสงั คมและทางการเมอื ง ในสงั คมโลกปจั จบุ นั ดูเหมือนจะจอยู่ภายใต้อิทธิพลแห่งนักคิด ชาวอัษฏงคตเป็นส่วนใหญ่ การพยายาม วางกรอบ

ทฤษฎใี ดๆ ก็ตามเพอ่ื ประยุกต์ใช้ในการศกึ ษาหรือการวิเคราะหเ์ ชิงปรชั ญาสาขาใดสาขาหนงึ่ จะ ต้องใช้หลักฐานการวิจัยหรือการพิสูจน์ทดลองจากการศึกษาภาคสนาม เป็นหลักประกันความ น่าเช่ือถือ แม้แต่ในสังคมวิชาการชาวอัษฏงคตก็มีการโต้แย้งทางความคิด และข้อเสนอวีการ ศกึ ษาแบบตา่ งๆ อยา่ งกวา้ งขวาง ดงั นนั้ จงึ เปน็ เรอื่ งยากทจี่ ะสรปุ ลงวา่ วธิ กี ารศกึ ษาแบบใดดที ส่ี ดุ การสรปุ ลงสวู่ ธิ ใี ดวธิ หี นงึ่ อยา่ งเดด็ ขาดถอื วา่ เปน็ ลทั ธกิ ารยดึ เอาความเชอื่ แหง่ เผา่ พนั ธข์ุ องตนวา่ ดกี วา่ ของคนอนื่ หรอื ลทั ธนิ ยิ มเอาตนเองเปน็ ศนู ยก์ ลาง (Ethnocentrism) และจะไมน่ ำ� ไปสกู่ าร แก้ปัญหาชีวิต สงั คม เศรษฐกจิ และการเมืองได้อยา่ งย่งั ยืน แตจ่ ะยิ่งเป็นการสรา้ งความขัดแยง้ ในสังคมมากยิ่งข้ึน พทุ ธปรัชญาได้เสนอวิธีการแสวงหาความรทู้ างสงั คมและทางการเมืองตามแนวอรยิ สัจ จธรรม ซึง่ เปน็ วธิ กี ารแมบ่ ท (Master Methodology) วิธีการตามแนวอริยสัจจธรรมรวมเอาวธิ ี การศกึ ษายอ่ ยตา่ งๆ ทงั้ หมดทมี่ ใี นคำ� สอนทางพระพทุ ธศาสนา ซงึ่ ไดก้ ลา่ วมาแลว้ ในงานวจิ ยั ชนิ้ น้ี ดงั ตวั อยา่ ง เชน่ วธิ กี ารศกึ ษาเชงิ เปรยี บเทยี บวธิ กี ารศกึ ษาแบบปจุ ฉาวสิ ชั นา วธิ กี ารศกึ ษาแบบ ตคี วาม เปน็ ตน้ ลว้ นแตเ่ ปน็ วกี ารศกึ ษาทม่ี ปี รากฏในพทุ ธธรรม คณุ คา่ แหง่ วธิ กี ารศกึ ษาตามแนว พุทธปรัชญาเหล่าน้ี สามารถน�ำมาประยุกต์ใช้ เป็นกรอบแห่งการวิจัยโดยเฉพาะการวิจัยเชิง คณุ ภาพไดเ้ ปน็ อยา่ งดี อนง่ึ ระเบยี บวธิ วี จิ ยั ทางวทิ ยาศาสตร์ และทางสงั คมศาสตร์ สามารถกลา่ ว 24 ได้ว่า เป็นข้อเสนอแห่งปรัชญาปฏิบัตินิยมอย่างหน่ึง ซึ่งสามารถโต้แย้งได้ว่าจะสามารถพิสูจน์ ความจริงแท้ ที่เป็นสัจจธรรมได้อย่างย่ังยืนหรือไม่ บทสรุปบางคร้ังก็คือ สัจจธรรมทาง วิทยาศาสตร์และทางสังคมศาสตรก์ ็อยู่ภายใตก้ ฎสัจจธรรมแห่งไตรลักษณ์ คือ ความไมเ่ ท่ยี งแท้ การมภี าวะทบ่ี บี คน้ั โตแ้ ยง้ อยเู่ สมอ และการหาสาระขน้ั ปรมตั ถไ์ มไ่ ด้ คอื แกป้ ญั หาความทกุ ขแ์ หง่ มนษุ ยชาตไิ ม่ไดอ้ ยา่ งแทจ้ รงิ และย่งั ยนื --------๐---------

บทที่ ๓ ปรัชญาวา่ ด้วยวิวัฒนาการสังคมแห่งพระพทุ ธศาสนา ววิ ฒั นาการสงั คมคืออะไร 25 คำ� วา่ ววิ ฒั นาการ ราชบณั ฑติ ยสถาน๑ ใหค้ วามหมายวา่ เปน็ กระบวนการเปลย่ี นแปลงที่ ดำ� เนินไปทลี่ ะขัน้ แตล่ ะขนั้ ทสี่ บื ตอ่ กันมามคี วามเกย่ี วพนั กับขั้นก่อนหนา้ นน้ั หรือหมายถึงความ เจรญิ เติบโตหรือการพัฒนาการทเี่ ก่ียวพนั ตอ่ เนอ่ื งกัน ทฤษฎีวิวัฒนาการของ Charles Darwin (๑๘๐๙-๑๘๘๒) ถือว่าเป็นทฤษฎีแม่บทที่ อธิบายถงึ ววิ ัฒนาการของพืชและสตั วช์ นิดตา่ ง ๆ ทม่ี อี ยูใ่ นโลกน้ี ในหนังสือชอ่ื The Origin of Species ได้กลา่ วถงึ ววิ ฒั นาการของสิ่งมีชีวติ ทงั้ หลายอยา่ งน่าสนใจ เขากล่าวว่าส่งิ มีชีวิตคือพชื และสัตว์ทั้งหลาย มีกระบวนการปรับตัวตลอดเวลา และมีการเปลี่ยนแปลงอย่างแตกต่างจาก บรรพบุรุษเม่ือถึงยุคลูกหลานขณะเดียวกันก็มีการต่อสู้กันสิ่งแวดล้อมเพ่ือความอยู่รอด ผู้ท่ี อยู่รอด คือผู้ท่ีผ่านกระบวนการเลือกสรรโดยธรรมชาติ (Natural Selection) ให้เป็นผู้มีชีวิต อยรู่ อด๒ วิวฒั นาการ โดยผา่ นกระบวนการเลอื กสรรโดยธรรมชาติ สามารถเรยี กได้ว่า เป็นความ อยูร่ อดของผู้ทเ่ี หมาะสมที่สดุ (The survival of the fittest) ผทู้ ีเ่ หมาะสมท่ีสดุ หมายถึง ผทู้ ีม่ ี ความรู้ เฉลียวฉลาด มีสตปิ ัญญาดี และมกี �ำลังรา่ งกายเข้มแข็ง เพราะฉะนั้น สงิ่ ทม่ี ีชีวติ ทัง้ หลาย จงึ ผา่ นขนั้ ววิ ฒั นาการมาแลว้ หลายขนั้ โดยเรมิ่ จากสภาพเปน็ สงิ่ มชี วี ติ เซลลเ์ ดยี ว แลว้ เปลยี่ นแปลง เปน็ หลาย ๆ เซลลจ์ นกลายเป็นอินทรีย์ขององคาพยพต่าง ๆ อยา่ งสมบูรณ์ ดงั เช่น ปรากฏในสิ่ง มีชีวติ ท้ังหลายท่ีมีเซลลส์ ลับซับซอ้ นเปน็ กลุม่ Howosapien ได้แก่มนษุ ย์ ลิง วานร เปน็ ตน้ ส่งิ ๑ ราชบณั ฑติ ยสถาน, พจนานกุ รมศพั ทส์ งั คมวทิ ยาองั กฤษ-ไทย ฉบบั ราชบณั ฑติ ยสถาน, (กรงุ เทพมหานคร, บรษิ ทั รุ่งศิลป์การพิมพ์, ๒๕๒๔) หน้า ๑๓๘. ๒ Alan Bullock and Oliver Stally Brass (eds),The Fontana Dictionary of modern Thought Fontana Book, (London;๑๙๘๘), หน้า ๕๓.

ทม่ี ชี วี ติ ทงั้ หลายในโลกมกี ารตอ่ สซู้ ง่ี กนั และกนั อยา่ งเขม้ ขน้ ผทู้ อ่ี อ่ นแอกวา่ จะถกู ทำ� ลาย เพราะ ฉะน้นั ผทู้ ่ีมชี ีวติ อยู่รอดจงึ เปน็ ผูท้ แ่ี ข็งแรงที่สดุ และเหมาะสมที่สดุ สำ� หรบั ค�ำว่า วิวัฒนาการสังคม (Social Evolution) หมายถงึ กระบวนการ พฒั นา วฒั นธรรมและรูปแบบสัมพันธภาพทางสังคมรวมถงึ พัฒนาการการกระทำ� ระหวา่ งกันทางสงั คม (Social Interaction) พฒั นาการดงั กลา่ วนอ้ี าจจะดำ� เนนิ ไปเองตามปกตหิ รอื โดยผา่ นกระบวนการ วางแผน วิวัฒนาการสังคมอาจด�ำเนินไปในทิศทางก้าวหน้าหรือถดถอยเป็นไปอย่างถาวรหรือ ช่ัวคราว จะเป็นประโยชน์หรือให้โทษก็ได้๓ สังคมมนุษย์มีวิวัฒนาการมานาน ทฤษฎีว่าด้วย วิวัฒนาการทางสังคมได้รับการศึกษาจากนักคิดทางสังคมศาสตร์ ตั้งแต่ยุคโบราณจนถึงยุค ปัจจบุ ัน ววิ ัฒนาการสังคม : มุมมองจากพุทธกระบวนทศั น์ ค�ำว่าวิวัฒนาการ (Evolution) ในความหมายท่ัวไป กล่าวโดยสรุปวิวัฒนาการ คือ กระบวนการเปลี่ยนแปลงท่ียืดขยายออกไป หรือการเปลี่ยนสภาพประชากรหรือระบบโดยมี พัฒนาการภาวะเป็นแบบใหม่ที่ปรากฏเห็นในเวลาต่อ ๆ มาซ่ึงแตกต่างจากสภาพภาวะแบบ ด้งั เดิม๔ ตามท่ีปรากฏออกในรูปแบบต่าง ๆ วิวัฒนาการโดยปกติถือว่าเป็นกระบวนการท่ีไม่ 26 สามารถย้อนกลับไปสู่สภาพด้ังเดิมได้ ถึงแม้จะมีกรณียกเว้นบ้างแต่ก็หายาก วิวัฒนาการทาง สงั คมและวัฒนธรรมเปน็ ตวั อย่างการศึกษาปรากฏการณเ์ กีย่ วกับววิ ัฒนาการน้ีอย่างกว้างขวาง แนวคิดเกี่ยวกับวิวัฒนาการปัจจุบันน้ีเป็นพ้ืนฐานแห่งกระบวนทัศน์ที่ส�ำคัญทาง วิทยาศาสตร์ นับตั้งแต่ ASTROPHYSICS จนถงึ ZOOLOGY แนวคิดววิ ัฒนาการทางสงั คมและ วฒั นธรรมนีส้ ามารถวิเคราะห์ได้เป็นสองแนวคิดหลัก คอื ก. แนวคิดวิวฒั นาแบบ Fluctuation ข. แนวคิดววิ ัฒนาการแบบ Organism๕ ก. แนวคิดววิ ฒั นาการแบบ Fluctuation แนวคิดวิวฒั นาการแบบ Fluctuationได้รบั อทิ ธิพลจาก P.A. SOROKINนักสังคมวิทย าชาวอเมริกันSOROKIN กล่าวว่าสังคมวิวัฒนาการแบบขึ้นๆ ลงๆ (Fluctuation) ไม่คงที่เมื่อ สังคมผนั แปรไปถงึ จดุ หนง่ึ กจ็ ะผันเปล่ยี นไปอีกจดุ หน่งึ แล้ววกกลับมาทีจ่ ุดเดิมอีก ๓ จำ� นงค ์ อดวิ ฒั นสทิ ธ,ิ์ สงั คมวทิ ยาตามแนวพทุ ธศาสตร,์ พมิ พค์ รง้ั ที่ ๒, (กรงุ เทพมหานคร : สำ� นกั พมิ พม์ หาวทิ ยาลยั เกษตรศาสตร,์ ๒๕๔๘), หนา้ ๑๑๑. ๔ Gerhard Lenski, Evolution in the Black well Dictionary of Modern Social Thought edited by William Outh waite, (Blackwell publishing . oxford, ๒๐๐๖), p. ๒๑๘. ๕ จำ� นงค์ อดวิ ฒั นสิทธ,์ิ ประวัติแนวความคิดทางสงั คม,(ส�ำนกั พิมพ์โอเดียนสโตร์ : ๒๕๒๕), หนา้ ๒๙.

กระบวนการข้นึ ๆ ลงๆ ของสังคมและวัฒนธรรมมตี วั แปรทสี่ ำ� คญั อยู่ ๓ 27 ตัวแปรได้แก่ ๑. Ideational Culture ๒. Idealistic Culture ๓. Sensate Culture ววิ ฒั นาการทางสงั คมขึ้นอย่กู ับวฒั นธรรมทัง้ ๓ แบบน้ี ๑. Ideational Culture เปน็ ลกั ษณะวฒั นธรรมทเี่ ปน็ นามธรรม มคี วามเกยี่ วขอ้ งกบั ความเชอ่ื ในเทพเจา้ วญิ ญาณ และสิง่ ศกั ดส์ิ ทิ ธเิ์ หนอื ธรรมชาติ วัฒนธรรมแบบนี้ โลกทางกายภาพไม่ใช่สงิ่ ทแี่ ทจ้ รงิ สง่ิ ทแี่ ทจ้ รงิ ไมส่ ามารถรไู้ ดท้ างประสาทสมั ผสั สง่ิ ทแ่ี ทจ้ รงิ ถกู กำ� หนดโดยเทพเจา้ วทิ ยาศาสตรแ์ ละเทคโนโลยี ไม่อาจจะกำ� หนดความจริงแท้ได ้ ๒. Idealistic Culture เป็นวฒั นธรรมผสมผสานระหว่าง Ideational Culture กับ Sensate Culture แ ล ะ ช่วยเช่อื มโยงไมใ่ ห้ Ideational Culture และ Sensate Culture สญู ไปIdealistic Culture จะช่วยหล่อเล้ียงรักษาวัฒนธรรมทั้งสองอย่างข้างต้นให้คงอยู่ เม่ือวัฒนธรรมท้ังสองอย่างด�ำรง อยใู่ นขั้นสุดท้ายของตน มแี นวโนม้ จะเสื่อมคลายลง วัฒนธรรมแบบ Idealistic Culture ก็จะ เกดิ ขน้ึ วัฒนธรรมใหมน่ จ้ี ะรวมเอาทัง้ Material Culture และ Spiritual Culture เขา้ ไว้ดว้ ย กัน วฒั นธรรมแบบ Idealistic ใหค้ วามสำ� คัญแก่ Material and Spiritual Culture หรอื ให้ ความส�ำคญั กับแก่โลกทางวตั ถแุ ละโลกทางจติ วิญญาณ ๓. Sensate Culture เปน็ วฒั นธรรมทม่ี ลี ักษณะตรงกันขา้ มกับ Idealistic Culture คอื มีความสนใจในความ จริงเชิงประจักษ์ และสมั ผัสไดว้ ฒั นธรรมแบบน้ใี หค้ วามสำ� คัญต่อโลกทางกาย โลกทางชีววิทยา และโลกทางวตั ถุ ความจรงิ คอื สงิ่ ทเ่ี หน็ ประจกั ษแ์ ละพสิ จู นโ์ ดยวธิ กี ารทางวทิ ยาศาสตร์ ความจรงิ คือวิถีชีวิตทวั่ ไปของปวงชน ตามทัศนะของ Sorokinววิ ัฒนาการเป็นสภาวะการเปล่ยี นแปลงที่สามารถยอ้ นกลบั ไป สู่สภาวะแบบเดมิ ได้ในบางสว่ น กล่าวคอื เงือ่ นไขการเปลย่ี นแปลงอาจเปล่ยี นรูปแบบ พลังผลัก ดนั การเปลี่ยนแปลงจะเป็นแบบขึ้นๆ ลงๆ เข้มแข็งในบางยุคและอ่อนก�ำลังลงในบางยคุ แตก่ ็ไม่ ไดส้ ญู สน้ิ พลงั ขบั เคลอ่ื นไปทั้งหมด ยังมปี ัจจยั คือ Idealistic Culture ของแต่ละเง่อื นไขหล่อ เล้ยี งให้คงมพี ลงั อยู่ในระดับหน่งึ

ทฤษฎีวิวัฒนาการของ Sorokin อาจจะวเิ คราะห์ตามทฤษฎีววิ ฒั นาการของพระพทุ ธ ศาสนาไดใ้ นบางประเดน็ ความสอดคล้องกนั ทฤษฎวี วิ ฒั นาการแบบข้ึนๆ ลงๆ อาจจะอธบิ ายไดต้ ามหลักไตรลักษณ์แห่งพทุ ธธรรม ไตรลกั ษณ์ คอื หลกั การอธบิ ายปรากฏการณต์ า่ งๆ หรอื สภาวะการทง้ั หลายทงั้ ปวง บนพน้ื ฐานของ อนจิ จงั ทกุ ขงั อนตั ตา อนิจจัง คือ ความไม่เทย่ี งแทแ้ นน่ อนของทกุ สง่ิ ทกุ อย่าง ทกุ ขงั คอื ความกดดนั เนือ่ งจากการขับเคลือ่ นไมห่ ยดุ นงิ่ อนัตตาคือ ความไมป่ รากฏชัดแห่งตัวตน หรอื อัตลกั ษณข์ องสรรพสงิ่ วา่ โดยความจรงิ ข้ันปรมตั ถ์สังคม คือสภาวะอยา่ งหนงึ่ ซึง่ เป็นไปตามกฎแห่ง ไตรลกั ษณ์ สงั คมตกอยา่ งภายใตพ้ ลวตั รการขบั เคลอื่ นตลอดเวลามกี ารเปลยี่ นแปลงไมส่ ามารถคงสภาพเดมิ ไว้ ดังตวั อย่างจากการศึกษาประวัตศิ าสตรส์ งั คมและวฒั นธรรม รวมท้ังประวตั ิศาสตรก์ ารเมอื ง การปกครอง ประวัตศิ าสตรเ์ ศรษฐกจิ ประวัติศาสตร์การศึกษา วทิ ยาศาสตร์ เทคโนโลยี และรูป แบบความสัมพันธ์ทางสังคม ข้อมูลจากการศึกษาทางประวัติศาสตร์สามารถพิสูจน์ถึงความไม่ เที่ยงแท้แหง่ สังคมและวัฒนธรรมมนษุ ย์ 28 ขณะเดยี วกันสงั คมประสบกบั สภาวะกดดนั หลายอย่าง (Pressures) ความรุนแรงแหง่ สภาวะกดดนั มไี มเ่ ทา่ กนั สภาวะกดดนั เปน็ ผลแหง่ การผนั แปรโดยไมห่ ยดุ นงิ่ โดยเงอื่ นไขหรอื ปจั จยั ต่างๆ ท่มี อี ยู่ในสงั คม ตวั อย่างเช่น ประชากรเพ่ิมมากข้ึน ประชากรท่ีเพิม่ มากขึ้นเป็นแรงกดดนั ใหส้ งั คมมกี ารผนั แปร และอาจสง่ ผลเปน็ ความยากลำ� บากและเปน็ อนั ตราย (Harm) ตอ่ การดำ� รง อย่างเป็นปกติของสงั คม เช่น ความฝดื เคืองแห่งอาหารและเครอื่ งอปุ โภคซง่ึ ไมส่ ามารถผลติ ออก มาให้บริการได้ทันต่อความต้องการของประชากรท่ีเพิ่มขึ้นหากส่ิงจ�ำเป็นต่อการด�ำรงชีวิตไม่ สามารถสนองตอ่ ความตอ้ งการของประชากรทเี่ พม่ิ ขน้ึ กจ็ ะเกดิ การแยง่ ชงิ ความโกลาหลวนุ่ วาย ของสงั คมกจ็ ะเกดิ ขนึ้ ตามมา สง่ ผลใหเ้ กดิ ความทกุ ขค์ วามเดอื ดรอ้ น และภาวะอนั ตรายแหง่ สงั คม ไดใ้ นท่สี ุด (Social harm) แตค่ วามเดอื ดรอ้ น และสภาวะอนั ตรายของสงั คมใชจ้ ะมตี วั ตนทแ่ี ทจ้ รงิ ของมนั มนั เปน็ สภาวะทอี่ งิ อาศยั ปจั จยั หลายๆ อยา่ งจงึ เกดิ ขนึ้ และถา้ เรายกตวั อยา่ งปญั หาความเดอื นรอ้ นหรอื ความไมป่ ลอดภยั ในสงั คมปญั หาใดปญั หาหนง่ึ มาอธบิ ายเรากจ็ ะพบวา่ มปี จั จยั หลายๆ อยา่ งรวม ตัวกันเป็นตัวสะสมเพิ่ม (Accumulative Inputs) ดังตัวอย่างที่นักวิจัยทางสังคมศาสตร์นิยม พิสจู น์ตามหลกั การสถติ แิ บบ Multiple Regression Analysis (วเิ คราะหแ์ บบพหุถดถอย) ซึ่ง พยายามยน่ ยอ่ ไปสหู่ ลกั อธบิ ายปจั จยั ชดุ หนงึ่ สง่ ผลกอ่ ใหเ้ กดิ ปญั หาบางสง่ิ บางอยา่ งทน่ี ยิ มศกึ ษา กนั ในทางสงั คมศาสตร์

ภาพท่ี ๓ แสดงสหสัมพันธร์ ะหว่างปัจจัยชุดหนึง่ กบั ปรากฏการณบ์ างสงิ่ บางอย่าง X๑ X๒ X๓ Y X๔ ETC แผนภมู ใิ นรปู นคี้ ือตวั อยา่ งอนั แสดงถึงการไม่มเี งอ่ื นไขใดเพยี งเงื่อนไขเดยี วสง่ ผลใหเ้ กดิ 29 สภาวะทีไ่ มพ่ งึ ปรารถนาหรือพงึ ปรารถนาต่างๆ ในสังคมมนุษย์ ความไมม่ ี อัตลกั ษณ์เปน็ การเฉพาะ เป็นเครอ่ื งอธิบายภาวการณ์ผันแปรแหง่ สงั คมและ สังคมสามารถอธิบายถึงกฎวิวัฒนาการตามหลักพุทธธรรมได้บ้างไม่มากก็น้อย กฎไตรลักษณ์ เป็นกฎอธิบายความจริงระดับปรมัตถ์ของชีวิต แต่ในท่ีน้ีเป็นการประยุกต์อธิบายความจริงแห่ง สังคมซงึ่ มีการผนั แปรขน้ึ ๆ ลงๆ ตามเหตตุ ามปัจจัย ความไม่สอดคล้องกนั การอธิบายสภาวะวิวัฒนาการแห่งสังคมตามทฤษฎี Sorokin อาจจะไม่เป็นท่ียอมรับ ของนกั วชิ าการทางพระพทุ ธศาสนาบางกลมุ่ กไ็ ด้ เชน่ กลมุ่ นกั วชิ าการทยี่ ดึ คำ� สอนเรอื่ ง อจนิ ไตย (Unthinkable or Beyond the capacity to think of) มกั จะอธบิ ายวา่ ปรากฏการณบ์ างอยา่ ง ทเ่ี กิดขนึ้ ในสังคม อาจเป็นผลมาจากวบิ ากกรรมของสงั คม (Social Action Consequence) วิบากกรรมของสังคมสามารถอธิบายได้ในท�ำนองเดียวกันกับวิบากกรรมของบุคคล (Individual Action Consequence) สงั คมประกอบดว้ ยหน่วยเลก็ ท่ีสดุ คอื บคุ คล การกระท�ำ ของบุคคลเป็นอย่างไร จะมีผลกระทบต่อสังคมไปด้วยไม่ในลักษณะใดก็ลักษณะหน่ึงบุคคลจะ ตอ้ งรบั ผดิ ชอบตอ่ สงั คม โดยการกระทำ� หนา้ ทท่ี เ่ี หมาะสมและถกู ตอ้ งตามหลกั จรยิ ธรรมทางสงั คม (Social Ethics) พฤตกิ รรมการแสดงออกของบคุ คล อาจจะไดร้ บั แรงเรา้ จากสังคมหรอื สง่ิ แวดล้อมรอบ ตวั หากสงั คมเปน็ สง่ิ แวดลอ้ มทไี่ มด่ ี ยอ่ มจะกระตนุ้ หรอื เรา้ ใจใหบ้ คุ คลทำ� ใหส้ ง่ิ ทไ่ี มด่ ี และสง่ ผลก ระทบตอ่ ชวี ติ ความเป็นอย่บู ุคคลอนื่ ในสงั คมเดียวกนั ก็ได้ สงั คมจะววิ ฒั นาการไปเปน็ แบบใด เปน็ เรอื่ งทอ่ี ธบิ ายไดย้ ากมาก เพราะอนาคตของสงั คม เป็นสิ่งที่คาดคะเนล�ำบาก แม้จะมีนักอนาคตวิทยาพยายามพยากรณ์สังคมในอนาคตว่าจะเป็น

ในแบบนนั้ บ้างแบบน้บี ้าง โดยองิ อาศัยขอ้ มูลในอดตี และปจั จบุ ันเป็นพ้นื ฐานของการพยากรณ์ แตก่ ็เป็นเพยี งการพยากรณ์ (ไมต่ ่างจากหมอดูเท่าไรนัก) ผลจะเกิดขน้ึ มาเปน็ อย่างไร ต้องรอให้ ถงึ เวลาจึงจะพสิ ูจน์ได้ ก. ววิ ัฒนาการของสังคม จงึ ไมใ่ ชจ่ ะเป็นแบบข้ึนๆ ลงๆ แต่อาจจะเปน็ ไปตามการนิยาม ความหมายว่าวิวฒั นาการคอื การเปลยี่ นแปลงไปเรือ่ ย ๆ โดยไมซ่ ้ำ� รอยเดมิ ก็ได้ พระพุทธศาสนา มีหลักการอธิบายวิวัฒนาการไปตามกฎแห่งการเปลี่ยนแปลง ๕ อยา่ งคอื ๑. อตุ นุ ิยาม ตัวกำ� หนดการเปลยี่ นแปลงได้แกฤ่ ดูกาล (รวมถึงสภาวะทางภูมศิ าสตร)์ ๒. พีชนิยาม ตัวกำ� หนดการเปลย่ี นแปลงได้แก่เผ่าพนั ธ์ุ ตวั ยนี ชาตพิ นั ธุ์ พนั ธ์พุ ชี ๓. กรรมนิยาม ตวั กำ� หนดการเปลยี่ นแปลงได้แกก่ รรม การกระทำ� ของบุคคล การกระ ทำ� ของกลมุ่ การกระทำ� ของผแู้ ทนหรอื ตวั แทนของกลมุ่ หรอื ของสงั คม รวมถงึ การกระทำ� ของผนู้ ำ� กลุ่ม ๔. จติ ตนยิ าม ตวั กำ� หนดการเปลยี่ นแปลงคอื จติ ใจ ไดแ้ กค่ วามคดิ เจตคติ (รวมถงึ เจตสกิ ต่าง ๆ ซึ่งอาจเปน็ พลงั สะสมตั้งแตอ่ ดตี สามารถเปน็ พลังบวก (กุศลจิต) และพลังลบ (อกุศลจติ ) ผสมผสานกันก็ได้ 30 ๕. ธรรมนิยาม ตัวกำ� หนดการเปล่ียนแปลงคอื กฎเกณฑแ์ ห่งธรรมชาติ เชน่ การเกดิ แก่ เจ็บ ตาย (ความทุกข์หรือความสุขในชีวิตประจ�ำวันบางอย่างเป็นไปตามสภาวการณ์แห่งสิ่ง แวดลอ้ มซึ่งอยเู่ หนอื การควบคมุ เช่น สภาพภยั พิบตั ิตามธรรมชาติ เป็นตน้ ) ข. แนวคดิ วิวฒั นาการแบบอินทรยี ์ Organism แนวคิดวิวัฒนาการแบบ Organism หรือแบบอินทรีย์ ได้รับอิทธิพลจากนักคิดทาง สังคมศาสตร์กลุ่มหน่ึง เช่น Herbert Spencer นักสังคมศาสตร์กลุ่มนี้ได้รับอิทธิพลจากนัก วทิ ยาศาสตร์ววิ ัฒนาการ ชือ่ Charles Darwin ซึง่ อา้ งทฤษฎเี ก่ียวกบั วิวัฒนาการของสตั วโ์ ลกที่ ว่าวิวัฒนาการจากสัตว์เซลล์เดียว มาเป็นสัตว์หลายเซลล์ และมีเซลล์ท่ีสลับซับซ้อนมากยิ่งข้ึน ตามล�ำดบั Herbert Spencerได้ตั้งทฤษฎวี า่ สังคมมนษุ ย์ เหมอื นกับส่ิงทมี่ ีชีวิต แต่เป็นส่ิงมชี วี ติ แบบ Super organism คือมีอินทรีย์ที่สลับซับซ้อนสูงส่งมาก สังคมมนุษย์ในระยะแรกตั้งแต่ ดกึ ด�ำบรรพ์ เป็นสงั คมแบบเรยี บงา่ ย (Simple) กระจัดกระจายอยู่กันเป็นกล่มุ เล็กๆ ประกอบ ดว้ ยสมาชกิ ทสี่ มั พนั ธก์ นั โดยสายโลหติ เปน็ สงั คมแบบเครอื ญาติ (Kinship) แลว้ ขยายออกไปเปน็ สงั คมหมบู่ า้ น (village) จากหมบู่ า้ นเปน็ ชมุ ชน (community) จากชมุ ชนขนาดใหญส่ เู่ มอื งขนาด เล็ก (Town) จากเมืองขนาดเล็กเป็นเมืองขนาดใหญ่ (City) จากเมืองขนาดใหญ่เป็นนคร (Metropolis) และมหานคร (Great Metropolis ตามลำ� ดบั

พระพุทธเจ้าทรงแสดงความไม่รุนแรงน้ีในหลักการท่ีมีช่ือเรียกว่า เบญจศีลเบญจธรรม 31 ซ่ึงเป็นข้อห้ามมิให้กระท�ำความรุนแรงต่อชีวิตและทรัพย์สินของบุคคลอื่นและเปน็ หลกั ใหม้ นษุ ย์ ทกุ คนแสดงออกตอ่ กนั ดว้ ยความรกั ความเมตตา การมจี ติ อาสา ชว่ ยเหลอื ผดู้ อ้ ยโอกาสและผยู้ ากไร้ ดว้ ยความกรณุ า เพราะฉะนน้ั เปา้ หมายของการพฒั นาทางสงั คมทส่ี ำ� คญั ยงิ่ อยา่ งหนง่ึ กค็ อื การลด ความรนุ แรงในสงั คม เรมิ่ ตน้ ตง้ั แตล่ ดความรนุ แรงในครอบครวั สามแี ละภรรยา ตอ้ งปฏบิ ตั ติ อ่ กนั ดว้ ยความรกั ความเขา้ ใจกนั ใหเ้ กยี รตซิ ง่ึ กนั และกนั และความรบั ผดิ ชอบตอ่ กนั จนกระทงั้ ลดความ รนุ แรงในระดบั องคก์ รวชิ าชพี องคก์ รการเมอื ง การปกครอง องคก์ รเศรษฐกจิ และองคก์ รอนื่ ๆ ทงั้ ภาคประชาชนเอกชนและภาครฐั ความเป็นปกึ แผน่ ของสังคม (Social Solidarity) เปา้ หมายของการพฒั นาสังคมคือความเปน็ ปึกแผน่ ของสงั คม ซงึ่ หมายถึงกระบวนการ เสรมิ สรา้ งความสามคั คี ความปรองดองและความเปน็ อนั หนงึ่ อนั เดยี วกนั ของประชาชนในสงั คม ความเป็นปกึ แผน่ ของสงั คมจะเป็นไปได้โดยอาศัย การท�ำใหค้ นในสังคมมีทศั นคติ มีการยอมรับ ส่ิงใดส่ิงหนึ่งอันเป็นสัญลักษณ์ร่วมกันของคนในสังคมส่ิงที่เป็นสัญลักษณ์ร่วมกันอาจจะเป็น ระบอบการเมืองการปกครอง ระบอบเศรษฐกิจระบบความเช่ือและวัฒนธรรมและระบบ โครงสรา้ งสังคมอ่ืน ๆ การพัฒนาเปลี่ยนแปลงสัญลกั ษณ์ดงั กลา่ วต้องเป็นไปในทิศทางเดียวกนั และยอมรบั รว่ มกนั ทง้ั หมด หากมคี วามคดิ เหน็ แตกตา่ งกนั จนกระทง้ั เกดิ การตอ่ ตา้ นเปลย่ี นแปลง ระบบสัญลักษณ์ดังกล่าว ความขัดแย้งจะเกิดข้ึนและความเป็นปึกแผ่นมั่นคงของสังคมจะ ส่ันคลอน กระบวนการสร้างความเป็นปึกแผ่นตามทัศนะของพระพุทธศาสนาจะต้องเริ่มต้นด้วย การสรา้ งความมีสว่ นร่วมตา่ ง ๆ ดังนี้ ๑. การสร้างความคิดเห็นร่วมกัน (ทิฏฐิสามัญญตา) ความคิดเห็นร่วมกันในปัจจุบันนี้ เรยี กวา่ ประชามติ (Public Hearing) การจะกอ่ ใหเ้ กดิ ความคดิ เหน็ รว่ มกนั จะตอ้ งนำ� เสนอประเดน็ ท่ีขอความคิดเห็นน้ันอย่างชัดเจนโปร่งใส ประเด็นท่ีน�ำเสนอน้ันมีข้อดีมากกว่าข้อเสียอย่างไร พรอ้ มกนั เปดิ เวทรี บั ฟงั ขอ้ โตแ้ ยง้ (Debate) โดยไมป่ ดิ กนั้ โอกาสใหบ้ คุ คลหรอื กลมุ่ คนตา่ ง ๆ แสดง ความคดิ เหน็ โดยอสิ ระ ปราศจาการแทรกแซง และข่เู ขญ็ คุกคามผูท้ ีม่ ีความคดิ เหน็ แตกตา่ ง การแสดงความคิดเห็นกค็ ือการแสดงปรัชญาหรือจดุ ยนื ทางความคิด ซ่งึ เปน็ เอกสิทธ์ทิ ่ี คนมีปัญญาสามารถแสดงออกมาได้ แต่กระบวนการแสดงความคิดเห็นจะต้องตง้ั อยบู่ นพนื้ ฐาน ของความรกั ความเมตตาตอ่ กนั และมงุ่ ใหเ้ กดิ ประโยชนส์ งู สดุ แกป่ ระชาชน (พหชุ นหติ ายะ) และความ สงบสขุ ของสงั คม (พหชุ นสขุ ายะ) ไมค่ วรใชโ้ อกาสในการแสดงความคดิ เหน็ กลา่ วโจมตี ประณาม วพิ ากษว์ จิ ารณบ์ คุ คลทต่ี นไมช่ อบในทางเสยี หายและกอ่ ใหเ้ กดิ ความเกลยี ด ความอาฆาตพยาบาท

ต่อกนั ดงั ที่ปรากฏในกลมุ่ ก่อการรนุ แรง (Mob) ข้างถนนตามหัวเมอื งต่าง ๆ ท้งั ในประเทศและ ตา่ งประเทศ ผลของการสร้างความคิดเห็นร่วมกันก็คือสติปัญญาท่ีถูกต้อง (สัมมาทิฏฐิ) มองไปใน ทศิ ทางเดยี วกัน มองเห็นประโยชนร์ ว่ มกนั ความร่วมมอื (Cooperation) จะเกิดขึ้นแทนที่ความ ขัดแย้ง (Conflict) ความร่วมมือกันน้ีเป็นพลังความมัน่ คงของสงั คมเปน็ พลังทำ� ใหส้ ังคมเปน็ ปกึ แผ่นและกา้ วหนา้ ไปพร้อมๆกัน ปรัชญาปฏบิ ัตินยิ ม (Pragmatism) ก็มีหลกั การอธิบายถึงการก ระทำ� ในทิศทางเดียวกันจะส่งผลให้บรรลถุ งึ เป้าหมายของการกระท�ำนน้ั ๆ ๒. การปรึกษาหารือและประชุมกันเป็นประจ�ำ การประชุมปรึกษาหารือกันเป็นประจ�ำ เป็นวิธีการสร้างความเข้าใจระหว่างกันได้เป็น อยา่ งดี รวมทง้ั เปน็ วธิ กี ารระดมความคดิ เหน็ ในการพฒั นา และปอ้ งกนั อนั ตราย และการแกป้ ญั หา ตา่ ง ๆ อยา่ งมีประสทิ ธิภาพ ตามพุทธปรัชญา การประชุมรว่ มกันระหว่างบคุ คล กลมุ่ ตา่ ง ๆ จะ ต้องด�ำเนินไปด้วยความรัก ความปรารถนาดีต่อกัน กล่าวคือการประชุมควรด�ำเนินไปเพ่ือการ สรา้ งสรรค์ เพ่ือการพัฒนาให้เกิดสิ่งท่ีดีงาม ท่ปี ระชุมเพื่อการสร้างสรรคส์ ิ่งท่ีดีงาม จงึ มชี อ่ื เรียก ว่า สภา และผู้ทีม่ าประชุมกนั ควรเป็นคนมีเมตตาตอ่ กัน ไม่ควรมีความโกรธอาฆาตกัน กอ่ นเข้า ประชุมจึงควรส�ำรวจจิตใจผู้เข้าประชุมว่ามีความไม่สะอาดในจิตใจอย่างไรบ้างหรือไม่ ถ้าจิตใจ 32 ยังไม่สะอาด ยังมีสภาวะขนุ่ มัว (อาฆาตพยาบาท) ทป่ี ระชุมจะกลายเป็นสภาพทสี่ รา้ งความขดั แยง้ เป็นสถานที่ประณามโจมตกี ันอยา่ งเสยี หาย ดงั เช่นการอภปิ รายโจมตกี นั อยา่ งไร้สติของผทู้ ี่ ไดร้ บั เลอื กใหม้ าเปน็ ตวั แทนประชาชนในรฐั สภาในชว่ งเวลาทผี่ า่ นมาของประเทศไทย วธิ กี ารตาม แนวพทุ ธทน่ี ยิ มใชก้ นั อยา่ งกวา้ งขวางโดยเฉพาะในการประชมุ ของพระสงฆก์ ค็ อื การสวดมนตไ์ หว้ พระรัตนตรัยกอ่ นประธานจะเร่ิมกลา่ วนำ� การประชมุ เม่ือองค์ประชุมครบ การสวดมนตไ์ หวพ้ ระรตั นตรยั กอ่ นการประชมุ เปน็ วฒั นธรรมของพระสงฆแ์ ละของชาว พทุ ธทบ่ี รสิ ทุ ธ์ิ ขณะทกี่ ารประชมุ ของฝา่ ยบรหิ ารบา้ นเมอื งและฝา่ ยราชการ รวมทงั้ เอกชนตา่ ง ๆ ในประเทศไทยไม่ค่อยปรากฏการแสดงวัฒนธรรมแบบนี้ จดุ มงุ่ หมายสำ� คญั ของการสวดมนตไ์ หวพ้ ระรตั นตรยั กอ่ นการประชมุ กเ็ พอ่ื นอ้ มนำ� จติ ใจ ของผเู้ ขา้ รว่ มประชมุ ใหร้ ะลกึ ถงึ สงิ่ ทด่ี งี าม เปน็ สริ มิ งคลระลกึ ถงึ พระคณุ ของพระพทุ ธเจา้ เปน็ ตน้ ซ่ึงมีพระมหากรุณาธิคุณต่อชาวโลกโดยไม่เห็นแก่พระองค์เอง มีพระมหาปัญญาธิคุณ ทรงเผย แพรค่ วามรทู้ เ่ี ปน็ จรงิ เพอ่ื ใหป้ ระชาชนไดร้ บั รแู้ ละนำ� ไปปรบั ใชใ้ นชวี ติ การงานอยา่ งเปน็ ประโยชน์ ดังนั้นผู้เข้าร่วมประชุมจึงควรด�ำเนินการประชุมโดยยึดแบบของพระพุทธเจ้าเป็นหลักในการ ด�ำเนนิ กิจกรรมตา่ ง ๆ อนั เปน็ ผลมาจากข้อตกลงรว่ มกนั ในทีป่ ระชมุ ๓. การกระตนุ้ ใหเ้ กดิ การเอาใจใส่ (ฉนั ทะ) และมคี วามรกั ในการสง่ เสรมิ การกระทำ� ความ ดีอย่างต่อเนื่อง (วิริยะ) จนกลายเป็นพลังบางสังคม พร้อมกันมีกลุ่มผู้มีปัญญาคอยชี้แนะแก้ไข

และพัฒนา (วมิ ังสา) เพื่อให้บรรลุเป้าหมายของกจิ กรรมสรา้ งสรรคท์ ีก่ ำ� หนดหรือวางแผนเอาไว้ 33 กระบวนการกระตนุ้ ตา่ ง ๆ ตอ้ งดำ� เนนิ ไปอยา่ งมเี อกภาพเปน็ อยา่ งหนง่ึ อยา่ งเดยี วกนั (จติ ตะ) โดยมงุ่ ไปทเ่ี ปา้ หมายเดยี วกนั ไมม่ กี ารเปลยี่ นแปลงเปา้ หมาย (กระบวนการกระตนุ้ ตามขน้ั ตอนดงั กลา่ ว ปรากฏอยใู่ นคำ� สอนของพระพทุ ธศาสนาทม่ี ชี อ่ื เรยี กวา่ อทิ ธบิ าท ๔ หรอื หนทางแหง่ ความสำ� เรจ็ อนั ประกอบดว้ ย ฉนั ทะ วริ ยิ ะ จติ ตะ วมิ งั สา) ในโลกตะวนั ตกไดม้ กี ารศกึ ษาววิ ฒั นาการสงั คมอยา่ งกวา้ งขวาง ขณะเดยี วกนั กม็ กี ารโต้ เถียงกันในเชงิ ปรชั ญาวา่ พัฒนาการทางสังคมและวฒั นธรรมตามลำ� ดับข้ันต่าง ๆ ดงั ท่ปี รากฏใน ทฤษฎวี วิ ฒั นาการของนกั คดิ รนุ่ บกุ เบกิ ทางสงั คมศาสตรม์ คี วามเปน็ จรงิ ในเชงิ ประวตั ศิ าสตรม์ าก น้อยเพียงใด ววิ ฒั นาการสงั คมตามแนวคดิ ของ August Comte และ Herbert Spencer วิวัฒนาการสังคมและวัฒนธรรมตามแนวคิดปรัชญาของ Auguste comte (๑๘๙๘- ๑๘๕๘) Auguste Comte เป็นนักปรัชญาชาวฝรั่งเศส ได้รับการขนานนามว่า เป็นบิดาแห่ง สงั คมวทิ ยาเพราะเป็นผ้บู ญั ญัตคิ ำ� วา่ Sociology (สังคมวิทยา) อนั เปน็ ศาสตรท์ ่ศี ึกษาความจริง เกีย่ วกนั สงั คมและระเบียบวธิ ศี กึ ษาความจริงทางสังคมในเชงิ วิทยาศาสตร์ (Positivism) ปรัชญาทางสงั คมของ Auguste Comte ปรากฏอยใู่ นแนวคดิ เกยี่ วกับกฎแหง่ ข้ันสาม ขน้ั (The Laws of three Stages) ไดแ้ ก่ ขั้นเทววิทยา ขนั้ ปรชั ญา และข้นั วทิ ยาศาสตร์ ทัง้ สาม ขน้ั นเ้ี ปน็ กฎอธบิ ายถงึ ววิ ฒั นาการสตปิ ญั ญา หรอื ความรเู้ กย่ี วกบั ความเชอ่ื และคา่ นยิ มของมนษุ ย์ รวมถงึ สภาพทัว่ ไปของสังคมในแตล่ ะขั้นนน้ั ๆ ขน้ั ทห่ี น่ึง ขัน้ เทววทิ ยาหรอื ขนั้ จินตนาการแบบนยิ าย (Theological or Fictions -stage) Auguste Comteอธบิ ายว่า ในขั้นน้คี วามคิดสว่ นใหญ่ของมนุษย์เป็นแบบนยิ าย และ เป็นเรื่องเหนือโลก เม่ือมนุษย์มีความต้องการจะศึกษาวิวัฒนาการแห่งความคิดและสืบสาน ววิ ัฒนาการของโลกและปรากฏการณต์ า่ ง ๆ ในโลกกจ็ ะเช่อื วา่ อ�ำนาจเหนอื ธรรมชาตมิ อี ิทธิพล กำ� หนดกระบวนการคดิ ของตน รวมทง้ั กอ่ ใหเ้ กดิ โลกและปรากฏการณต์ า่ ง ๆ ในโลก Comte คดิ ว่าในสมยั โบราณมนุษยเ์ ชอื่ ว่ากิจกรรมทกุ อยา่ งของตนล้วนถูกก�ำหนดโดยปจั จัยเหนือธรรมชาติ ท่เี ปน็ เช่นนี้เพราะมนษุ ยไ์ ม่ทราบกฎที่ควบคมุ การท�ำงานของปรากฏการณต์ ่าง ๆ ขั้นท่ีหนึ่งนี้ เป็นข้ันแห่งสังคมยุคบุพกาล ความรู้ของมนุษย์ในข้ันน้ีอยู่ภายใต้ขอบเขต ความเชื่อท่ีว่ามีโลกอยู่เหนือโลกมนุษย์ซ่ึงเป็นที่อยู่อาศัยของส่ิงอยู่เหนือธรรมชาติ ซึ่งมีอิทธิพล

ต่อปรากฏการณต์ ่าง ๆ ทเ่ี กิดข้นึ ในโลกมนุษย์ ปรากฏการณ์ต่าง ๆ ท่เี กดิ ขน้ึ ในโลกนแี้ สดงถงึ ความสขุ ความพอใจ และความไม่พอใจของอำ� นาจเหนอื ธรรมชาติ มนษุ ย์ในยคุ บุพกาลจงึ ไม่มี ความสามารถจะคิดถงึ สิง่ อ่ืนทเ่ี หมาะสมกวา่ ความเชือ่ ในอ�ำนาจเหนอื ธรรมชาติ ความเชอื่ ในอำ� นาจเหนอื ธรรมชาตเิ กย่ี วโยงมาถงึ ความเชอ่ื ในไสยศาสตร์ และมายาศาสตร์ รวมทง้ั ความเชอื่ ในเครอื่ งรางของขลงั มนษุ ยใ์ นยคุ บพุ กาล เชอ่ื วา่ ทกุ สง่ิ ทกุ อยา่ ง ทเ่ี หน็ เปน็ รปู ธรรม จะมเี ทพเจา้ หรอื วญิ ญาณหรอื พลงั อยา่ งใดอยา่ งหนง่ึ สงิ อยู่ ดว้ ยเหตผุ ลแหง่ ความเชอื่ ดงั กลา่ วจงึ ได้ พฒั นาความเชอื่ ในเทพเจา้ หลายองค์ (พหเุ ทพ) ตอ่ มากเ็ กดิ ววิ ฒั นาการความเชอ่ื ในการจดั ลำ� ดบั ความ สำ� คญั ของเทพเจา้ เทพเจา้ ทม่ี คี วามสำ� คญั ทส่ี ดุ จดั ไวเ้ ปน็ อนั ดบั แรก ตอ่ จากนนั้ พฒั นาการความเชอื่ ในเทพเจา้ องคเ์ ดยี ว กจ็ ะปรากฏเปน็ ขน้ั สดุ ทา้ ยเปน็ ขนั้ เทววทิ ยา ในข้นั เทววิทยานี้ มีความเชือ่ เก่ยี วกบั เทพเจ้าใน ๓ ขนั้ ตอน คอื ตอนท่ี ๑ ความเช่ือใน วญิ ญาณ (fetishism) ตอนที่ ๒ ความเชื่อในเทพเจ้าหลายองค์ (Polytheism) และ ตอนที่ ๓ ความเชือ่ ในเทพเจา้ องค์เดียว (Monotheism) ตอนท่ี ๑ ความเชอ่ื ในวิญญาณ เป็นความเช่ือของมนุษย์โดยท่ัวไปในเร่ืองพลังสนับสนุนท่ีมองไม่เห็น กล่าวคือในข้ันนี้ มนุษย์ยอมรับการมีอยู่ของวิญญาณที่มีพลังซึ่งช่วยสนับสนุนให้การกระท�ำและพฤติกรรมที่ 34 แสดงออกมามผี ลสำ� เรจ็ ความเช่ือในเทพเจ้าหลายองค์ เน่ืองจากความเชื่อในเทพเจ้าหลายองค์ มนุษย์จึงถูกครอบง�ำด้วยลัทธิความเชื่อใน ไสยศาสตร์ความคกู่ ันไปดว้ ย และมนุษยก์ ก็ ลายเปน็ เหย่ือแหง่ ลัทธพิ ่อมดหมอผี ซึ่งเป็นผกู้ ำ� หนด รปู แบบประเพณกี ารปฏบิ ตั เิ พอ่ื ใหม้ นษุ ยน์ ำ� ไปปฏบิ ตั ใิ หเ้ กดิ ผลสำ� เรจ็ ตามความปรารถนาของตน มนุษย์ท่ตี กเป็นเหยื่อของพ่อมดหมอผีแบบจะเกิดภาวะจะรสู้ กึ ตนื่ เรมิ่ มีความรสู้ กึ ตัว แทนทจ่ี ะ ยอมรับวา่ ทกุ สงิ่ ทกุ อย่างลว้ นถกู สิงโดยพลังเหนอื ธรรมชาติ (หรอื พลงั MANA) มนษุ ยจ์ ะเปลย่ี น รปู แบบความเชอ่ื วา่ ในทกุ วตั ถจุ ะมพี ระผเู้ ปน็ เจา้ หรอื เทพเจา้ เฉพาะองคอ์ าศยั อยแู่ ละคอยปกปอ้ ง ชว่ ยเหลอื มนษุ ยท์ ท่ี ำ� การบชู าบวงสรวงอยา่ งเหมาะสมขนั้ ความเชอ่ื นเ้ี รยี กวา่ ความเชอ่ื ในเทพเจา้ หลายองค์ ความเช่ือในเทพเจา้ องค์เดียว ขนั้ นเี้ ปน็ ขั้นสดุ ท้ายแห่งเทววทิ ยา ในขั้นน้คี วามคิดของมนษุ ย์มีสาระและสุขุมรอบคอบ มากขนึ้ มนษุ ยม์ เี หตผุ ลมากขนึ้ และมกี ารยอมรบั วา่ มศี นู ยก์ ลางแหง่ อำ� นาจทง้ั หมดอยแู่ หง่ เดยี ว ทีค่ วบคุมและก�ำหนดทศิ ทางกจิ กรรมต่าง ๆ ในโลกนี้

สภาพทางสงั คมและทางการเมืองในขัน้ ทหี่ นงึ่ 35 Auguste Comteมคี วามคดิ วา่ ในขน้ั ทหี่ นงึ่ นี้ กฎเกณฑต์ า่ ง ๆ ของสงั คมมลี กั ษณะคลมุ เครอื มาก ในทางการเมอื งมกี ารมอบอำ� นาจเดด็ ขาด (Absolute Power) ใหแ้ กผ่ นู้ ำ� หรอื ผปู้ กครองลกั ษณะ การปกครองเปน็ แบบเผดจ็ การทหาร ตวั อยา่ งการปกครองในขน้ั เทววทิ ยาไดแ้ กอ่ าณาจกั รโรมนั และ ยวิ โบราณ Auguste Comte กลา่ ววา่ ในสงั คมโรมนั และ ยวิ โบราณมกี ารมอบสทิ ธใิ นการปฏบิ ตั กิ าร แกผ่ นู้ ำ� ในนามของเทพเจา้ ดงั นน้ั ไมม่ ใี ครกลา้ ลว่ งละเมดิ กฎเกณฑท์ ผี่ นู้ ำ� ไดว้ างไว้ ผทู้ ล่ี ว่ งละเมดิ กฎ เกณฑท์ ผี่ นู้ ำ� กำ� หนดไวจ้ ะมกี ารลงโทษอยา่ งรนุ แรง ขนั้ ทีส่ อง ขั้นปรชั ญาหรอื ขนั้ แห่งเหตผุ ล (Metaphysical or Abstract Stage) ความคดิ ของมนษุ ยย์ งั คงมกี ารพฒั นาตอ่ ไป และไมไ่ ดจ้ บอยทู่ ขี่ น้ั สดุ ทา้ ยแหง่ ขน้ั เทววทิ ยา อนั เป็นข้ันความเชื่อในเทพเจ้าองค์เดยี ว ผลของการพฒั นาความคดิ อยา่ งตอ่ เนอ่ื งคอื มนษุ ย์รจู้ ัก ใช้เหตผุ ลในการอธิบายปรากฏการณ์ต่าง ๆ ในโลก มนุษยห์ ยุดคิดวา่ มีเทพเจา้ เป็นผคู้ วบคมุ และ กำ� หนดทศิ ทางการปฏิบัติทุกอย่างมนษุ ยม์ ีความคิดวา่ เปน็ ไปไมไ่ ด้ท่ีปรากฏการณต์ ่าง ๆ ในโลก ถูกควบคุมโดยอ�ำนาจเหนือธรรมชาติ มนุษย์มีความคิดที่ลุ่มลึกเป็นนามธรรม และมีเหตุผลใน การอธิบายปรากฏการณ์ตา่ ง ๆ ทีเ่ กิดข้นึ ในโลก การกระท�ำใดๆ ก็ตามของมนุษยย์ อ่ มมีเหตผุ ล อธิบายได้มนุษย์เร่ิมตั้งค�ำถามเก่ียวกับอุบัติการณ์ต่าง ๆในโลกว่าอะไรคือสาเหตุที่ท�ำให้เกิด ปรากฏการณ์ในโลก มนุษยไ์ ดต้ งั้ ปญั หาทน่ี า่ พิศวงหลายอย่างเกี่ยวกบั ชวี ติ ในโลกน้ี และชีวติ ใน โลกหนา้ Auguste Comte กลา่ ววา่ ในข้นั นค้ี วามคิดของมนุษย์มกี ารพฒั นาดีขึ้นกว่าความคิด ของมนษุ ยใ์ นข้ันเทววิทยา สภาพทางสงั คมและการเมืองในขนั้ ที่สอง ในขน้ั นี้ สภาพสงั คมมกี ารเปลยี่ นแปลงและสลบั ซบั ซอ้ นเพม่ิ ขนึ้ กฎเกณฑท์ างสงั คมและ การเมือง ถูกก�ำหนดโดยประชาชนมสี ว่ นรว่ มบ้างหลกั การเกี่ยวกับสทิ ธิ ในเชิงอุดมคติทางสงั คม และการเมอื งไดร้ บั การสงิ่ เสรมิ ใหแ้ พรห่ ลายมากขนึ้ ในขน้ั นม้ี นษุ ยม์ สี ทิ ธติ ามธรรมชาตขิ น้ั มาบา้ ง สทิ ธิตามธรรมชาติของมนษุ ย์ถูกนำ� มาใชแ้ ทนที่สทิ ธิพเิ ศษตามอำ� นาจของส่งิ เหนอื ธรรมชาติ ขัน้ น้ีแห่งสังคมและการเมือง เป็นขั้นท่ีปรับปรุงข้ันท่ีแล้วและบางทีก็เรียกว่าขั้นการใช้กฎหมาย (Legalistic) ขั้นท่ีสามข้ันวทิ ยาศาสตร์ (Positive Stage) ในขั้นนม้ี นษุ ย์มีความคดิ ท่ีพัฒนาสูงมาก การพฒั นาความคิดเกิดจากการรจู้ ักใช้เหตผุ ล อย่างเหมาะสมในการอธิบายปรากฏการณ์ต่าง ๆ ท่ีเกิดข้ึนในโลกจากข้ันปรัชญาท่ีผ่านมา ข้ัน วิทยาศาสตรน์ ี้ Auguste Comte กลา่ ววา่ เป็นข้นั สดุ ทา้ ยแหง่ พัฒนาการทางความคดิ และความ

เชอ่ื ของมนษุ ย์ ในขนั้ วทิ ยาศาสตรน์ ม้ี นษุ ยร์ จู้ กั ตงั้ ทฤษฎแี ละหลกั การในการอธบิ ายปรากฏการณ์ ต่าง ๆ แทนทจี่ ะใชเ้ พยี งจินตนาการ มนษุ ย์รจู้ กั สังเกต รู้จกั แสดงเหตุผล มกี ารศกึ ษาตรวจสอบ และการพสิ จู นท์ ดลอง ลกั ษณะดงั กลา่ วนเ้ี ปน็ พนื้ ฐานสำ� คญั แหง่ การเจรญิ กา้ วหนา้ ทางสตปิ ญั ญา ของมนษุ ย์ Auguste Comte กลา่ วตอ่ ไปวา่ ในขน้ั วทิ ยาศาสตรน์ ม้ี นษุ ยร์ จู้ กั ศกึ ษากฎและแสวงหา กฎทอี่ ยเู่ บอ้ื งหลงั ปรากฏการณท์ กุ ชนดิ การใหเ้ หตผุ ลและรวมเอาการรจู้ กั สงั เกตอยา่ งเปน็ ระบบ เป็นชอ่ งทางใหเ้ กิดความรู้ ความรูท้ ไี่ ด้รับจากวิธกี ารทางวิทยาศาสตรย์ อ่ มไมม่ ีขอ้ โต้แย้งใด ๆ ทง้ั สิ้นเพราะเป็นความรู้ที่ผา่ นการพิสูจน์ทอดลองแลว้ ข้ันนี้ถอื ว่าเปน็ ขนั้ สูงสดุ แห่งความคิดความรู้ และความเชอ่ื ของมนุษย์ สภาพทางสงั คมและการเมอื งในข้ันวิทยาศาสตร์ สังคมในขั้นวิทยาศาสตรเ์ ป็นสังคมที่มีการเรียนรู้ โดยการสงั เกตและการทดลอง สังคม มีลักษณะเปิดกว้างและให้อิสรภาพแก่มนุษย์ในการเสาะแสวงหาความรู้ ในสองขั้นแรกที่กล่าว มาข้างต้น การจัดระเบียบสังคมเปน็ ไปอยา่ งหลวมๆ สังคมไมม่ คี วามมนั่ คง และคอ่ นข้างจะห่าง จากระบบการพสิ จู นท์ ดลองและการใหเ้ หตผุ ลกเ็ ปน็ ไปอยา่ งกวา้ งๆ แตใ่ นขน้ั วทิ ยาศาสตรน์ ม้ี กี าร จัดระเบียบสังคมเป็นองค์กรที่มีเหตุผล การจัดรูปแบบสังคมท่ีมีเหตุผลปรากฏชัดอยู่ในการมี วัตถุประสงค์ขององค์การทางสังคม และก�ำหนดระเบียบกฎเกณฑ์สัมพันธภาพทางสังคมที่อิง 36 อาศัยต�ำแหน่งทางสังคมและบทบาทหรือสถานภาพทางสังคม (Social Status) ซ่ึงเน้นความ สามารถและความช�ำนาญหรือทักษะเฉพาะด้านมากย่ิงข้ึน ในข้ันน้ีจะไม่ให้น�้ำหนักตามความ เชอื่ ทางเทววทิ ยา ทวี่ า่ ทกุ อยา่ งในโลกลว้ นถกู กำ� หนดโดยอำ� นาจเทพเจา้ สงู สดุ ในขน้ั นส้ี งั คมและ การเมอื งเนน้ สทิ ธอิ นั ชอบธรรมของมนษุ ยใ์ นการแสดงออกเชงิ สรา้ งสรรค์ สงั คมในขนั้ นเ้ี ปน็ สงั คม อุตสาหกรรม และส่งเสรมิ การปฏบิ ัตอิ ย่างจริงจงั ในการพัฒนาความรู้ ความคิดและการทำ� งาน Auguste Comte ดูเหมอื นจะช่นื ชมกฎข้ันทส่ี ามนี้มากทสี่ ดุ ง. วิจารณ์ปรชั ญาวิวัฒนาการของ Auguste Comte ตามทรรศนะของ Auguste Comteวิวฒั นาการทางสงั คมและการเมืองไม่ใช่ววิ ฒั นาก ารแบบธรรมชาติหรือแบบไม่มีการวางแผน (Laissez-Faire) แต่วิวัฒนาการเกิดขึ้นจาก กระบวนการใช้อ�ำนาจทางการเมืองการปกครองโดยอาศัยความรู้แบบวิทยาศาสตร์ กฎ วิวัฒนาการสามข้ันท่ี Auguste Comte เสนอก็มีการโต้แย้งว่า แต่ละขั้นไม่ได้หยุดพัฒนาการ ข้ันเทววิทยาและข้ันปรัชญาก็ยังคงอยู่ในโลกอุตสาหกรรม และมีความเจริญรุ่งเรืองข้ึนมาเป็น อยา่ งมาก แมใ้ นสงั คมอตุ สาหกรรมนยิ ม อยา่ งไรกต็ ามปรชั ญาววิ ฒั นาการทางสงั คมและการเมอื ง ของ Auguste Comte ถือว่าเป็นปรัชญาทางสังคมรุ่นบุกเบิก ซึ่งได้กระตุ้นให้นักวิชาการทาง สังคมยุคต่อมาได้ศึกษาและวิจัยสังคมและการเมืองท้ังในเชิงประวัติศาสตร์และเชิงการพัฒนา แพรห่ ลายมากย่งิ ขนึ้

จ. วิวัฒนาการสงั คมและวัฒนธรรมแนวปรชั ญาของ Herbert Spencer 37 Herbert Spencer (๑๘๒๐-๑๙๐๒) เปน็ นักปรัชญาสงั คมชาวอังกฤษ มบี ทบาทสำ� คญั ในการเปน็ ผนู้ ำ� ความทางสงั คมและวฒั นธรรมในศตวรรษท่ี ๑๙ โดยเฉพาะความคดิ ทางจติ วทิ ยา สงั คมวทิ ยาและมานุษยวทิ ยา Herbert Spencer ไดศ้ กึ ษาวิวัฒนาการปรากฏการณต์ า่ งๆ ใน โลกทุกระดบั ขน้ั นบั ตง้ั แต่สิ่งไม่มีอนิ ทรีย์จนถึงสง่ิ ทีม่ อี นิ ทรยี ์สลบั ซับซ้อน ปรัชญาทางสังคมของ Herbert Spencerปรากฏอยู่ในแนวคิดและทฤษฎวี วิ ฒั นาการ ทางสังคม (Social evolution) ฉ. ววิ ฒั นาการทวั่ ไปแหง่ โลกทางกายภาพ Herbert Spencer อธิบายวิวัฒนาการสังคมในบางลักษณะคล้ายกับทรรศนะของ Chares Darwinซง่ึ เปน็ ผรู้ เิ รม่ิ คนสำ� คญั ในการศกึ ษาววิ ฒั นาการแหง่ สง่ิ มชี วี ติ ทงั้ หลายในโลก แต่ ในบางลักษณะ Spencer ก็อธิบายแตกต่างไปจาก Darwin กอ่ นจะวเิ คราะห์ววิ ฒั นาการสงั คม Herbert Spencer ได้วางกฎ หลกั การเกย่ี วกับวิวัฒนาการวา่ โลกทางกายภาพมีความสลบั ซบั ซ้อนมากและส่วนต่าง ๆ ของโลกทางกายภาพก็มีความเกี่ยวโยงเช่ือมกันอย่างแยกกันไม่ออก Herbert Spencer ไดใ้ หท้ รรศนะเกย่ี วกบั หวั ขอ้ นภ้ี ายใตห้ วั ขอ้ สำ� คญั ๓ ขอ้ คอื (๑) สว่ นประกอบ แหง่ โลกทางกายภาพ (๒) ลกั ษณะแห่งพลงั งาน และ (๓) ลกั ษณะแหง่ สสาร สว่ นประกอบแห่งโลกทางกายภาพ Herbert Spencer ได้เสนอแนวคิดส่วนประกอบแห่งโลกทางกายภาพว่า โลกทาง กายภาพประกอบดว้ ยสสาร และพลงั งาน ส่วนประกอบท้ังสองอยา่ งนี้ยากแก่การอธบิ าย และ ไมอ่ าจจะกลา่ วไดว้ า่ มนั เรมิ่ ตน้ จากทใี่ ดหรอื จากแหลง่ ใด และจะจบลงตรงจดุ ใด Spencer กลา่ ว สรุปว่า สสารและพลังงานตา่ ง กพ็ ่งึ พากันเพื่อการคงอยู่ ลกั ษณะแห่งพลงั งาน ตามแนวคดิ ของ Spencerพลงั งานมลี กั ษณะผนั แปรเปน็ ประจำ� พลงั งานไมเ่ คยสญู หาย ไป ไมส่ ามารถกำ� จดั ได้ และจะสรา้ งขน้ึ มาใหมก่ ไ็ มไ่ ด้ พลงั งานจะใชอ้ ยา่ งไรกไ็ มเ่ คยหมด พลงั งาน มีลกั ษณะไมแ่ ตกต่างกันมากนัก แมจ้ ะปรากฏรูปภายนอกแตกตา่ งกนั ก็ตามสิ่งทเ่ี ปลยี่ นแปลงไป ก็เฉพาะสิ่งทีบ่ รรจุพลังงาน แต่ตวั พลังงานไม่เคยหมดส้ินและสญู หายไปจากโลก ลกั ษณะแห่งสสาร Herbert Spencer กลา่ วว่า สสารไม่มีท่ีสิน้ สดุ และไมอ่ าจจะถกู ทำ� ลายลงได้ รปู แบบ ของสสารอาจะมกี ารเปลย่ี นแปลง แตต่ วั สสารไมเ่ คยสูญหาย Spencer ยกตัวอย่าง ถ่านไฟเมอื่ ถกู เผา จะเปลย่ี นรปู แบบเป็นเถ้าถา่ น แตก่ ไ็ ม่ได้หมายถึงวา่ สสารของถ่านไฟสูญสน้ิ ไปไม่ เพราะ

ฉะน้ัน Spencer จึงกล่าวรปู เกย่ี วกบั เรอ่ื งนีว้ า่ วิวัฒนาการนั้นเปน็ การรวมเอาสสาร และการก ระจายพลังงาน ซึ่งท�ำให้สสารเคลื่อนตัวได้ และตัวสสารย่อมเปล่ียนรูปจากลักษณะหน่ึงอย่าง เดยี วกนั ไปสู่รปู ท่ีมลี กั ษณะแตกตา่ งกัน แต่ก็ยังคงความกลมกลืนกันไว้ Herbert Spencerหลังจากได้ศกึ ษาคณุ ลักษณะการสบื ตอ่ เนอื่ งและความเปน็ อมตะแ ห่งสสารและพลังงาน จึงได้วางหลักปรัชญาอธิบายความเป็นนิรันดรแห่งสสารและพลังงานว่า แม้ว่าพลังงานและพลังงานจะไม่สามารถท�ำลายได้ แต่ก็มีการเปลี่ยนแปลงเป็นประจ�ำ รูปร่าง ภายนอกของพลังงานและสสาร มีการเปลี่ยนแปลงดว้ ย โลกมนษุ ย์น้ี Spencer พจิ ารณาวา่ เป็น รปู แบบการรวมสสารและพลงั งาน และมกี ารเปลยี่ นแปลงมากมายตงั้ แตโ่ ลกเรม่ิ อบุ ตั ขิ นึ้ มา การ เปลยี่ นแปลงของโลกเกิดขน้ึ เมอ่ื สสารและพลังงานไม่เคลื่อนไหวไปพรอ้ มๆ กนั ซ่ึงสง่ ผลให้รูป แบบของพลังงานและพลังงานเปลี่ยนแปลงไปจากเดิม ท้ังพลังงานและสสารถูกควบคุมและ กำ� หนดทศิ ทางโดยบางสงิ่ บางอย่าง พลังหรอื กระบวนการทีร่ บั ผดิ ชอบต่อการเปลีย่ นแปลงก็คือ เทคนคิ เทคนคิ นเี้ ปน็ กระบวนการววิ ฒั นาการอยา่ งหนง่ึ Spencer กลา่ วตอ่ ไปวา่ ในตอนแรกเรมิ่ สสารและพลังงานทั้งหมดไม่มีรูปร่าง โดยสสารนั้นมีพลังงานช่วยผลักดันให้มีการเคล่ือนไหว เหมือนกงั หนั ต้องลม เมือ่ เวลาผ่านพ้นไปสสารและพลังงานก็เปล่ียนรปู กอ่ ให้เกดิ โลกทางกาย ภาพ เชน่ ทะเล พ้นื ดนิ พชื พันธ์ุ และดวงดาวเปน็ ต้น พืชพันธใ์ุ ห้ก�ำเนดิ แก่ส่ิงมีชวี ิตตา่ ง ๆ และ 38 ก่อนทีเ่ ผ่าพันธม์ุ นุษยจ์ ะเกิดขน้ั มสี ิง่ มีชวี ติ หลายอย่างเกิดข้ึนมาแล้ว และส่งิ มชี ีวติ ทเี่ กิดข้ึนก่อน มนษุ ยไ์ ด้สญู หายไปจากโลก โดยหาหลักฐานไม่ได้เลย กฎเก่ยี วกับววิ ัฒนาการสังคม (Law of Social evolution) Herbert Spencer ได้ประยกุ ต์แนวคดิ เก่ยี วกับววิ ัฒนาการของ Darwin มาใช้กับการ ศึกษาววิ ัฒนาการสงั คม Spencer กล่าวว่าสงั คมเป็นจำ� นวนมากเกิดขึน้ มาและสูญสลายไปเกดิ ขึ้นจากกระบวนการปรับตัวกับส่ิงแวดล้อม เผ่าพันธุ์มนุษย์ที่สามารถปรับตัวได้จะเป็นผู้ชนะใน การต่อสู้ และอยู่รอดได้ส่วนเผ่าพันธุ์มนุษย์ที่ไม่สามารถปรับตัวได้จะถูกพิชิตและสูญสลายไป สังคมที่ปรับตัวได้อาจเริ่มต้นจากความเป็นสภาพสังคมเรียบง่ายและวิวัฒนาการมาสู่ความเป็น สังคมท่ีสลับซับซอ้ นมากขึ้นตามลำ� ดบั ซง่ึ จะต้องมกี ารปรบั ตวั ท่ีต้องอาศัยทักษะ ความสามารถ และความรู้สลบั ซบั ซ้อนมากยิง่ ขึ้น ๑. สงั คมมนษุ ย์วิวัฒนาการจากสภาพเรียบง่ายไปสู่สภาพสลับซับซ้อน รูปแบบสังคมและโครงสร้างสังคมท่ีเป็นอยู่ปัจจุบันไม่เหมือนกับตอนแรกแห่งการเกิด ข้ึนมาของสังคมมนุษย์ ในตอนแรกแห่งวิวัฒนาการ โครงสร้างสังคมไม่มีระเบียบ กฎเกณฑ์ที่ แน่นอน มนุษย์ไม่มีเป้าหมายท่ีชัดเจน ด�ำรงชีวิตอยู่ด้วยการหาอาหารเป็นหลัก บ้านเรือนท่ีอยู่ อาศัยมีลักษณะเป็นเพิงส�ำหรับนักพิง ไม่ม่ันคงถาวร และมนุษย์หมกมุ่นอยู่กับการหาเครื่องนุ่ง

ห่ม มนุษยไ์ ม่มีความรสู้ กึ ทางสงั คม (Social feeling) ไมม่ คี วามสนใจต่อกนั และกนั ไมว่ ่าใครจะ 39 เกดิ หรอื ใครจะตาย เมอ่ื เวลาเปลย่ี นไป ววิ ฒั นาการสง่ ผลใหเ้ กดิ การเปลย่ี นแปลงมนษุ ยเ์ รม่ิ มกี าร พัฒนาวัฒนธรรมและอารยธรรม มนุษย์มีการรวมกลุ่มกันหนาแน่นมากข้ึนตามล�ำดับ จากการ อยู่ร่วมกันน้ี จึงเกิดวัฒนธรรมกลุ่ม และมีการพัฒนาวัฒนธรรมแบบเรียบง่าย ไปสู่ความมี อารยธรรมที่สลับซับซ้อนและสูงข้ึนตามล�ำดับในยุควิวัฒนาการมาสู่สภาพสังคมสลับซับซ้อนน้ี มนุษยม์ ีการแบง่ งานกนั ท�ำและจำ� เปน็ ตอ้ งพ่ึงพาอาศัยเพอื่ ความอยู่รอด ๒ สงั คมมนุษย์มีลักษณะเหมือนกับอินทรีย์ของสิง่ มีชีวติ Herbert Spencer เปรยี บเทยี บสงั คมมนษุ ยว์ า่ เหมอื นกบั อนิ ทรยี ส์ งั คมมนษุ ยต์ กอยภู่ ายใต้ กฎการเปลยี่ นแปลงจากแบบเรยี บงา่ ยสแู่ บบสลบั ซบั ซอ้ น อนิ ทรยี ข์ องสง่ิ มชี วี ติ หรอื อนิ ทรยี แ์ หง่ ระบบ ชวี วทิ ยานนั้ ววิ ฒั นาการจากสภาพเซลลเ์ ดยี วไปสหู่ ลายเซลล์และทวคี วามสลบั ซบั ซอ้ นหลายเซลลม์ าก เทา่ ไร สงั คมมนษุ ยก์ ม็ วี วิ ฒั นาการกลายมาสสู่ ภาพความสลบั ซบั ซอ้ นมากขน้ึ เชน่ เดยี วกนั เพราะฉะนน้ั สงั คมมนษุ ยจ์ งึ คลา้ ยกนั สงิ่ ทมี่ ชี วี ติ โดยมลี กั ษณะรว่ มกนั ดงั นี้ (๑) พฒั นาการจากสภาพเรยี บงา่ ยไปสู่ สภาพทสี่ ลบั ซบั ซอ้ น (๒) ตอ้ งมกี ารพงึ่ พาอาศยั กนั สงิ่ จะมชี วี ติ อยรู่ อด (๓) มศี นู ยค์ วบคมุ (๔) ความ สำ� คญั ทง้ั หมดของสว่ น (๕) มกี ารสบื ตอ่ เนอื่ งดว้ ยกนั โดยไมข่ าดสาย และ (๖) เปน็ โครงสรา้ งแหง่ หนว่ ยยอ่ ย พฒั นาการจากสภาพเรยี บง่ายไปสูส่ ภาพทสี่ ลับซับซ้อน สงั คมไมแ่ ตกตา่ งจากอนิ ทรยี ส์ งิ่ ทม่ี ชี วี ติ ในตอนแรกทง้ั สงั คมและอนิ ทรยี ส์ ง่ิ มชี วี ติ มขี นาด เลก็ แตเ่ มอื่ เตบิ โตขนึ้ กจ็ ะมขี นาดใหญข่ นึ้ เมอ่ื เดก็ เกดิ ขน้ึ มา รา่ งกายมขี นาดเลก็ ซง่ึ สงั เกตเหน็ ไดแ้ ต่ เมอ่ื โตขน้ึ รา่ งกายกข็ ยายตวั ใหญข่ นึ้ โครงสรา้ งสงั คมกเ็ ชน่ กนั ในตอนแรกชมุ ชนมนษุ ยม์ ขี นาดเลก็ ตอ่ จากนนั้ ววิ ฒั นาการเปน็ เมอื ง ขยายจากเมอื งขนาดเลก็ เปน็ เมอื งขนาดใหญ่ จากรฐั ขนาดเลก็ เปน็ อาณาจกั รอนั ยง่ิ ใหญต่ อ้ งมีการพงึ่ พาอาศัยกนั จึงจะมีชีวติ อยูร่ อด ทกุ องคาพยพในรา่ งกายตา่ งพงึ่ พาอาศยั กนั เชน่ มอื หยบิ อาหารใสป่ าก ฟนั ในปากกต็ อ้ ง เค้ียวอาหารเมื่อกลืนอาหารเข้าไปในท้องระบบการย่อยอาหารก็จะย่อยอาหารและระบบดูดซึม ในลำ� ไสก้ จ็ ะทำ� งานสรา้ งเลอื ดเนอื้ ใหแ้ กร่ า่ งกายทำ� ใหเ้ รามชี วี ติ อยรู่ อด สงั คมมนษุ ยก์ เ็ ชน่ กนั หนว่ ย ย่อยตา่ งๆ ในสงั คมตา่ งพง่ึ พาอาศยั กันเพอ่ื ให้สงั คมอยูร่ อดได้ เชน่ นายจ้างพ่ึงลกู จา้ ง และลกู จ้าง พ่ึงนายจา้ ง องคก์ ารธุรกจิ กส็ ามารถด�ำเนินไปได้ มีศูนย์กลางการควบคมุ ในรา่ งกายมีสมองเปน็ ศนู ยบ์ ญั ชาการ ซงึ่ ควบคมุ การปฏิบตั งิ านของอวัยวะต่างๆ ส่วน ในสงั คมมรี ฐั บาลเปน็ ศนู ยก์ ลางในการบรหิ ารประเทศชาติ และปฏบิ ตั หิ นา้ ทค่ี วบคมุ อวยั วะตา่ งๆ ของสงั คม อวยั วะหรือหนว่ ยตา่ ง ๆ ของสงั คมกจ็ ะปฏบิ ัติงานตามคำ� สั่งของรฐั บาล

ความส�ำคัญของสว่ นท้งั หมด ในร่างกายของมนษุ ย์ องคาพยพหนึ่งยอ่ มมคี วามส�ำคญั ไม่น้อยกว่า องคาพยพอน่ื ทุก องคาพยพรวมกนั ทำ� งานกอ่ ใหเ้ กดิ สว่ นรวมคอื รา่ งกายทงั้ หมด ทกุ สว่ นจงึ มคี วามสำ� คญั ทำ� ใหเ้ กดิ รา่ งกายขนึ้ มาได้ ในสงั คมกเ็ ชน่ กนั ทกุ สว่ นของสงั คมมคี วามสำ� คญั แตถ่ า้ มองดผู วิ เผนิ อาจจะมอง ไม่เห็นความส�ำคัญของส่วนย่อยแห่งสังคมมนุษย์อาจจะมองความส�ำคัญของโครงสร้างสังคม มากกว่าสว่ นประกอบของโครงสรา้ ง ท้งั ทีข่ อ้ เท็จจริงกค็ อื วา่ ปราศจากหน่วยยอ่ ยสังคมท่งั ระบบ ดำ� รงอยู่ไม่ไดด้ ังนน้ั แตล่ ะส่วนจงึ มีความส�ำคัญตอ่ สังคม มีการสบื ตอ่ เนื่องกันโดยไม่ขาดสาย ในร่างกายเซลล์เก่าๆ ถกู ท�ำลายและเซลล์ใหม่ ๆ กเ็ กิดขึ้นมาแทนที่ สังคมมนษุ ยก์ ็เช่น กนั มกี ารสบื ตอ่ เนอื่ งในทำ� นองคลา้ ยกนั กบั รา่ งกาย ตวั อยา่ งเชน่ ระเบยี บกฎเกณฑส์ งั คมทลี่ า้ สมยั กจ็ ะมกี ารพฒั นาระเบยี บกฎเกณฑใ์ หมม่ าแทนที่ มนษุ ยท์ ดี่ ำ� รงตำ� แหนง่ ตา่ ง ๆ หมดวาระหรอื ตาย ไปกจ็ ะมีคนใหมม่ าด�ำรงต�ำแหน่งสบื ต่อ กระบวนการสบื ตอ่ เน่ืองจะด�ำเนินต่อไป มีโครงสร้างแหง่ หน่วยย่อย ในรา่ งกายเซลลค์ อื หนว่ ยยอ่ ย โครงสรา้ งแหง่ หนว่ ยยอ่ ยคอื ความเปน็ รา่ งกายรปู รา่ งตา่ ง ๆ เชอื่ มโยงเซลลใ์ หท้ ำ� งานอย่างเปน็ ระบบสอดคลอ้ งกนั ในสังคมมนุษยก์ ็มเี ซลล์ เซลล์ท่ีเลก็ ทส่ี ดุ 40 ของสังคมคือตัวมนุษย์ และเซลล์ที่ใหญ่ขึ้นก็คือองค์กรทางการเมืองเศรษฐกิจ การศึกษา ครอบครวั และศาสนา เซลลเ์ หลา่ นที้ ำ� งานตามบทบาทของตนและเปน็ ไปอยา่ งประสานสอดคลอ้ ง ภายใตก้ ฎระเบียบอันเป็นโครงสร้างใหญข่ องสังคม ข้อวจิ ารณ์ปรัชญาวิวฒั นาการสงั คมของ Herbert Spencer ๑. Spencer ยอมรับว่า ถึงแม้สังคมจะเปรียบเหมือนอินทรีย์ แต่ก็มีความแตกต่าง ระหวา่ งสังคมกบั อินทรยี ์ ความแตกตา่ งระหวา่ งสังคมกับอนิ ทรีย์สรปุ ไดด้ งั น้ี (๑) อวัยวะตา่ ง ๆ ของสงั คมไม่ได้ติดกันเหมอื นกบั อวัยวะต่างๆ ของรา่ งกาย (๒) ทุกๆ อวยั วะของสงั คมมีจิตสำ� นึก ความรู้สึกและความชอบหรือไม่ชอบแยกออกไปต่างหาก (๓) ในสังคมไม่มีจุดศูนย์รวมแห่ง จติ สำ� นึก และ (๔) เซลล์ต่าง ๆ ของสังคมปฏบิ ตั ิงานเพื่อจดุ มุ่งหมายของตนเองเป็นใหญ่ ๒. ปรชั ญาสงั คมวา่ ดว้ ยเรอ่ื งววิ ฒั นาการเปน็ ปรชั ญาทเี่ กดิ จากการศกึ ษาวจิ ยั ในหอ้ งสมดุ เปน็ วธิ กี ารศึกษาแบบนริ นยั (Deduction) กลา่ วคือเป็นการศกึ ษาจากกรอบทฤษฎี นำ� ตัวอยา่ ง จากท่ีหลายแห่งมาสนับสนุนระบบความคิดของตนเอง กรอบทฤษฎีที่Spencer น�ำมาศึกษา ววิ ฒั นาการสงั คม ปรากฏอยใู่ นแบบสงั คม ซงึ่ Spencer กำ� หนดขน้ึ มาวา่ สงั คมเปน็ แบบเรยี บงา่ ย และสังคมแบบสลับซับซ้อน สลบั ซบั ซ้อนสองเท่า และสลับซับซ้อนสามเทา่ การแบ่งสังคมเปน็ แบบดังกล่าวพิจารณาจากแบบของการด�ำรงชีวิต เช่น เป็นแบบด�ำรงชีวิตด้วยเหล่าสัตว์ ด�ำรง

ชวี ติ แบบกงึ่ ตง้ั หลกั แหลง่ ถงึ ลา่ สตั วแ์ ละแบบตงั้ หลกั แหลง่ โดยสมบรู ณ์ สงั คมแตล่ ะแบบดงั กลา่ ว 41 มีลักษณะแตกต่างกนั ทางการเมอื ง ศาสนา กฎหมาย และศิลปะ ช. วิวัฒนาการสังคมตามแนวพทุ ธปรชั ญา ววิ ฒั นาการของโลกมนษุ ยต์ ามแนวพทุ ธปรชั ญาไดป้ รากฏออกมาเปน็ สยี่ คุ แตล่ ะยคุ เรยี ก วา่ กัป (หรือกลั ป์ในภาษาสันสกฤต) ยคุ ทีห่ นง่ึ เรยี กวา่ สงั วฏั ฏกปั ป์ (ยุคท่ีโลกกำ� ลงั พนิ าศลง) ยคุ ทส่ี องเรียกว่า สงั วฏั ฏฐายกี ัป (ยุคท่โี ลกก�ำลังอยูใ่ นช่วงเวลาประสบความพนิ าศอย่างหนัก) ยคุ ที่ สามเรียกว่า วิวัฏฏกปั (ยุคท่ีโลกกำ� ลังเร่ิมกลบั ววิ ัฒนาการข้ึนมาอีก) และยุคท่สี ีเ่ รยี กว่า วิวฏั ฏ ฐายีกัป (ยคุ ทโ่ี ลกกำ� ลงั ในช่วงพฒั นาอยา่ งสมบูรณเ์ ต็มท่ี)๖ โดยอาศยั การประยกุ ตแ์ นวคดิ ววิ ฒั นาการดงั กลา่ ว จงึ ใครข่ อวเิ คราะหว์ วิ ฒั นาการสงั คม มนุษย์ออกมาเป็นสี่ยุค แต่จะขอสลับยุคใหม่ การวิเคราะห์ดังต่อไปน้ีส่วนหน่ึงด�ำเนินตามหลัก อัคคญั ญสูตร๗ ยุคทห่ี นงึ่ ยุคจิตใจสะอาดบรสิ ทุ ธิ์ ในอัคคัญญสูตร กล่าวว่ามนุษย์ในยุคแรกแห่งวิวัฒนาการมีจิตใจสะอาดบริสุทธิ์ ไม่มี ความโลภ มีแตค่ วามรกั ความเมตตาตอ่ กัน มีหริ ิโอตตัปปะ คือละอายตอ่ บาปและเกรงกลัวต่อ ผลของบาป มีความกตญั ญกู ตเวทตี ่อพอ่ แม่ และผมู้ ีอปุ การคุณ สภาพสังคมของมนุษย์ในยุคแรก น้ี มีความเรียบง่าย ไมส่ ลบั ซับซอ้ น ไมม่ กี ารแบ่งชนช้นั วรรณะ สงั คมมคี วามสงบสขุ และไม่ตอ้ ง บญั ญัตกิ ฎเกณฑใ์ ดๆ มาคอยควบคมุ พฤติกรรมของมนษุ ย์ มนุษยใ์ นยคุ นดี้ �ำรงชวี ิตโดยปราศจา การเบียดเบียนกัน การด�ำรงชีวิตของมนุษย์อยู่ในลักษณะมีความสมดุลและเป็นมิตรไมตรีต่อ ธรรมชาตสิ งิ่ แวดลอ้ ม ผลโดยทวั่ ไปกค็ ือมนุษย์ไมม่ ีความอดอยาก อาหารมีความอดุ สมบูรณ์ ยคุ ท่สี อง ยุคจติ ใจเริม่ ไมส่ ะอาด ยุคท่ีสองน้ี เป็นยุคท่ีสังคมมนุษย์เร่ิมมีวิวัฒนาการแบบสลับซับซ้อน มนุษย์เร่ิมมีจิตใจ เปลย่ี นแปลงไปจากยคุ แรก มนษุ ยม์ คี วามรกั ความเมตตาตอ่ กนั นอ้ ยลง มคี วามเหน็ แกต่ วั มากขนึ้ มีการกักตุนอาหารมีความโลภ มีการเบียดเบียนกันและเอาเปรียบกัน เกิดภาวะไร้ระเบียบใน สังคม และมนุษย์ขาดการเคารพสิทธิของกันและกัน มนุษย์มีความเดือนร้อนมากขึ้น การ ขาดแคลนอาหารเรม่ิ ปรากฏ มนษุ ยจ์ งึ แยง่ ชงิ อาหารการกนิ ขณะเดยี วกนั จำ� นวนประชากรมนษุ ย์ กเ็ พิ่มมากข้ึนตามลำ� ดับ ๖ อง.จตกุ ก.(บาลี) ๒๑/๑๕๖/๒๑๖/-๒๑๘ ๗ ทีฆ.ปาฏิก.(บาลี) ๑๑/๑๒๘-๑๓๐/๙๔-๙๙

เมอ่ื สงั คมมนษุ ยเ์ รมิ่ มคี วามไรร้ ะเบยี บ มนษุ ยจ์ งึ มคี วามคดิ และมกี ารตกลงรว่ มกนั กำ� หนด รูปแบบการดูแลกันเพ่ือมิให้ใครมาสร้างความเดือดร้อนแก่คนอ่ืน ในการเลือกทางออกและแก้ ปัญหาความไร้ระเบียบ จึงไดเ้ ลือกบคุ คลทมี่ ีความสามารถเป็นผนู้ �ำโดยการมอบอำ� นาจให้บคุ คล คนน้ันท�ำหน้าที่ก�ำราบคนช่ัวท่ีเห็นแก่ตัวและชอบเอาเปรียบและเบียดเบียนคนอ่ืน ซ่ึงถือว่า เปน็ การสรา้ งความเดอื ดรอ้ นใหแ้ กเ่ พอ่ื นมนษุ ย์ มนษุ ยใ์ หย้ คุ นจี้ งึ สรา้ งกฎเกณฑข์ นึ้ มา๘ เพอื่ รกั ษา ความเป็นระเบียบของสังคมและกฎเกณฑ์แรกท่ีมนุษย์ยอมรับร่วมกัน ก็คือ การห้ามมิให้ เบียดเบียนชีวิตกัน ห้ามมิให้ลักขโมยส่ิงของที่ไม่ใช่ของตน ห้ามมิให้กักตุนอาหารส่วนกินท่ีไม่ จำ� เป็นส�ำหรบั ตน จนกระท่งั ได้พฒั นามาเป็นหลักศีลธรรมของสงั คม ความเป็นสังคมที่สลับซับซ้อนเริ่มข้ึนเมื่อมนุษย์ได้บัญญัติกฎเกณฑ์อันเป็นข้อห้ามมิให้ มนุษย์สรา้ งความเดือดรอ้ นแก่กันและกัน ให้ทุกคนปฏบิ ัติตามบทบัญญัตเิ หลา่ น้ี และกำ� หนดให้ มีผู้น�ำ ท�ำหน้าที่ปกป้องคุ้มครองให้สังคมเป็นปกติ และใช้อ�ำนาจท่ีสังคมมอบให้ลงโทษผู้ฝ่าฝืน กฎระเบียบสังคมตามความเหมาะสม มนุษย์ที่ได้รับมอบหมายให้เป็นผู้น�ำสังคมไม่ต้องกังวล แสวงหาอาหาร เขาจะไดร้ ับการแบง่ ปนั อาหารจากมนุษย์คนอืน่ ๆ ในสังคม การได้รับส่วนแบง่ ปนั อาหารจากบุคคลอ่ืน จึงถือวา่ เปน็ ค่าจ้างอย่างแรกทีส่ ุดของบคุ คลที่ท�ำงานรับใช้บคุ คลอน่ื ใน สงั คม 42 ยคุ ทส่ี าม ยุคมนุษย์มีความเห็นแก่ตัวมากขนึ้ มนษุ ยใ์ นยคุ ทส่ี ามมสี ภาพจติ ใจไมต่ า่ งจากมนษุ ยใ์ นยคุ ทสี่ องมากนกั มนษุ ยย์ งั คงมคี วาม เห็นแก่ตัวและสภาพจิตใจยังคงหยาบและป่าเถ่ือนอยู่ แต่อาศัยระเบียบวินัย และการฝึกอบรม มนุษยจ์ งึ มีความสามารถปรับตวั อยูร่ ่วมกันบคุ คลอ่นื ได้ อย่างไรกต็ ามผู้คนจำ� นวนมากยงั คงเป็น มิจฉาทิฏฐิไม่สามารถควบคุมจิตใจของตนเองได้ และคอยเบียดเบียนคนอื่นให้ได้รับความเดือด รอ้ นเปน็ ประจำ� มนษุ ยใ์ นยคุ นม้ี คี วามรู้ มที กั ษะและสามารถคดิ คน้ สรา้ งสรรคอ์ ารยธรรมแปลกๆ วจิ ติ รพสิ ดารมากขนึ้ มคี วามสามารถในการพฒั นาวฒั นธรรมทางวตั ถใุ หเ้ จรญิ กา้ วหนา้ เปน็ อยา่ ง สงู ตรงกนั ขา้ มจติ ใจกม็ คี วามเสอ่ื มโทรมลงตามลำ� ดบั พฒั นาการทางสงั คมของมนษุ ยใ์ นยคุ นไี้ มม่ ี ความสมดลุ สังคมมนษุ ย์มสี ภาพเหมอื นกบั นกที่ปกี พกิ ารขา้ งหนึ่ง (คือดา้ นจติ ใจ) แต่ปกี อกี ข้าง หนงึ่ มคี วามแขง็ แรงดี ดงั นนั้ สงั คมมนษุ ยใ์ นยคุ นจี้ งึ มคี วามเสอ่ื มทางจติ ใจลงเปน็ อยา่ งมาก แมจ้ ะ มกี ารออกกฎระเบยี บ ควบคมุ อยา่ งเขม้ งวดเพอื่ มใิ หม้ นษุ ยเ์ บยี ดเบยี นกนั แตผ่ ทู้ แ่ี ขง็ แรงกวา่ และ เฉลยี วฉลาดกว่ากย็ ังคงเอาเปรยี บคนอ่นื ทอ่ี ่อนแอกวา่ และมสี ตปิ ัญญาด้อยกวา่ โดยไม่ค�ำนึงถึง กฎเกณฑ์หรอื ระเบียบข้อห้ามเหลา่ นนั้ มนุษยใ์ นยุคนีม้ เี หตุผลเข้าขา้ งตัวเองมากท่สี ดุ หนทางใด ท่ตี นเองและคนทีต่ นรกั จะไดร้ บั ผลประโยชน์ กพ็ ยายามหาเหตุผลชใ้ี หเ้ ห็นว่าหนทางนน้ั ถูกต้อง ๘ ทีฆ.ปาฎกิ .(บาล)ี ๑๑/๑๓๐//๙๖-๙๘


Like this book? You can publish your book online for free in a few minutes!
Create your own flipbook