หน้าที่พลเมอื ง วฒั นธรรม และการดาเนินชวี ติ ในสงั คม หนว่ ยกำรเรยี นรทู้ ่ี ๑ หน่วยกำรเรียนรทู้ ่ี ๒ หน่วยกำรเรียนรู้ที่ ๓ หนว่ ยกำรเรียนรทู้ ี่ ๔ ช้นั มัธยมศึกษาปที ่ี ๔ - ๖ กลุ่มสาระการเรยี นรู้สังคมศึกษา ศาสนา และวัฒนธรรม หน่วยกำรเรียนร้ทู ่ี ๕ หนว่ ยกำรเรยี นร้ทู ี่ ๖ หน่วยกำรเรยี นรทู้ ี่ ๗ ๑_หลักสตู รวชิ าสังคมศึกษา ๒_แผนการจัดการเรยี นรู้ ๓_PowerPoint_ประกอบการสอน ๔_Clip ๕_ใบงาน_เฉลย ๖_ขอ้ สอบประจาหนว่ ย_เฉลย ๗_ การวดั และประเมนิ ผล ๘_เสรมิ สาระ ๙_สือ่ เสรมิ การเรยี นรู้ บรษิ ัท อกั ษรเจริญทัศน์ อจท. จำกัด : 142 ถนนตะนำว เขตพระนคร กรงุ เทพฯ 10200 Aksorn CharoenTat ACT.Co.,Ltd : 142 Tanao Rd. Pranakorn Bangkok 10200 Thailand โทรศัพท์ : 02 622 2999 โทรสำร : 02 622 1311-8 [email protected] / www.aksorn.com
๑หน่วยการเรียนรูท้ ี่ สงั คมมนษุ ย์ จุดประสงคก์ ารเรยี นรู้ • วิเครำะห์ควำมสำคญั ของโครงสร้ำงทำงสังคม กำรขัดเกลำทำงสังคมและกำรเปล่ยี นแปลงทำงสงั คมได้
ความหมาย การอยรู่ ่วมกัน และองคป์ ระกอบของสังคม ความหมายของสังคม • สังคม หมำยถงึ กล่มุ คนอย่ำงนอ้ ยสองคนขนึ้ ไปมำอำศยั อยรู่ วมกันในบริเวณใดบริเวณหน่งึ คนเหล่ำน้จี ะมี ควำมสัมพันธ์หรือกำรกระทำตอบโตก้ ันทั้งทำงตรงและทำงอ้อม เช่น กำรพูดจำทักทำย กำรทำงำนร่วมกนั หรือกำรติดต่อส่อื สำรระหว่ำงกนั เป็นต้น
การอยรู่ ่วมกันเปน็ สงั คม • อรสิ โตเตลิ (Aristotle) นักปรำชญ์ชำวกรีกได้กล่ำวไว้ว่ำ มนษุ ย์เป็นสัตวส์ ังคม (social animal) หมำยควำมว่ำ มนษุ ยจ์ ะมี ชีวติ โดยอยู่ร่วมกันเป็นหมเู่ หล่ำ มีควำมเกี่ยวข้องกนั และกันและมคี วำมสัมพันธ์กันในหมมู่ วลสมำชกิ โดยสำเหตุทม่ี นุษยม์ ำอยู่ รว่ มกันเป็นสังคม เพรำะมีควำมจำเปน็ ด้ำนต่ำงๆ ดงั นี้ • มนษุ ยม์ ีระยะเวลำของกำรเปน็ ทำรกยำวนำน ไม่สำมำรถชว่ ยเหลอื ตวั เองได้ในระยะเร่ิมต้นของชวี ิต ด้วยควำมจำเป็นทีจ่ ะตอ้ ง มกี ำรเลีย้ งดทู ำรกเป็นระยะเวลำนำนนีเ้ อง ทำให้มนุษยจ์ ำเปน็ ต้องใช้ชีวติ อยรู่ ว่ มกนั สรำ้ งแบบแผนควำมสัมพันธ์กนั เปน็ ครอบครัว เปน็ เพ่ือนบ้ำน และมีควำมสัมพนั ธก์ บั คนในสงั คมอนื่ ๆ • มนุษย์มคี วำมสำมำรถทำงสมอง สำมำรถคดิ ค้นวธิ ีกำรในกำรควบคมุ ธรรมชำติ นำมำใชใ้ นกำรตอบสนองควำมต้องกำร ซ่งึ จำเป็นตอ้ งอำศยั กำรแบ่งงำนและควำมรว่ มมือจำกบุคคลอืน่ เพ่อื ใหง้ ำนบรรลุผลสำเรจ็ มคี วำมจำเปน็ ท่จี ะตอ้ งอย่รู ว่ มกัน กบั คนหลำยๆ คน เชน่ กำรแสวงหำอำหำร ผลติ ส่งิ ของเครื่องนุ่งหม่ ยำรักษำโรค กำรสรำ้ งทอี่ ยู่อำศัย เป็นตน้ • มนษุ ย์มีควำมสำมำรถในกำรท่ีจะสรำ้ งวัฒนธรรมและส่งผำ่ นไปส่คู นรุ่นหลงั เพือ่ นำไปใช้ในชวี ติ ประจำวนั ซึ่งเป็น ปัจจยั พ้นื ฐำนในกำรดำเนินชีวติ และวฒั นธรรมที่เกยี่ วข้องกับควำมต้องกำรอื่นๆ เชน่ ตอ้ งกำรควำมรกั ควำมอบอุ่น กำรจดั ระเบยี บทำงสงั คม ควำมเชื่อ ศำสนำ ศลิ ปะขนบธรรมเนียมประเพณี
องคป์ ระกอบของสงั คม • ประชากร จะต้องมจี ำนวนต้งั แต่ ๒ คนขน้ึ ไป สังคมที่มีขนำดเล็กที่สุด กค็ อื ครอบครวั ประกอบดว้ ย พอ่ -แม่-ลกู • อาณาเขต โดยท่ัวไปคนในสังคมจะอำศัยอยู่ในบริเวณใดบริเวณหนึ่ง ซึ่งพ้ืนท่ี อำจมีขนำดจำกัด เช่น ในบริเวณบ้ำน ในบริเวณ โรงเรยี น เปน็ ตน้ • ความสมั พนั ธ์ สมำชกิ ในสังคมจะต้องมีควำมสัมพันธ์และกำรปฏิสัมพันธ์ ระหวำ่ งกนั เช่น กำรพดู จำทักทำย กำรทำงำนกลุ่ม เปน็ ต้น • การจัดระเบียบทางสังคม ป้องกันควำมขัดแย้งระหว่ำงสมำชิกในสังคมช่วยให้กำรติดต่อกันทำงสังคม เป็นไปอยำ่ งเรยี บรอ้ ย เชน่ กำรจัดระเบยี บกำรจรำจร กำรควบคมุ เวลำปดิ -เปิดของสถำนบันเทงิ เป็นต้น • การมวี ัฒนธรรมของตนเอง เมื่อคนในสังคมมำอยู่ร่วมกันเป็นหมู่เหล่ำภำยใต้สภำพแวดล้อมเดียวกัน ก็จะสร้ำงวัฒนธรรมและ ขนบธรรมเนยี มประเพณขี นึ้ ก่อให้เกิดเปน็ วัฒนธรรมเฉพำะของตนเองท่เี ป็นเอกลกั ษณ์
หน้าทีข่ องสังคม • ดูแลสมำชกิ ในสงั คมให้อยรู่ ่วมกันอย่ำงสันติสขุ • สร้ำงควำมเปน็ ธรรมให้เกิดขนึ้ ในสังคม • ประสำนประโยชน์ระหวำ่ งสมำชิกในสังคม • ส่งเสริมกำรคิดอย่ำงสรำ้ งสรรคใ์ นสงั คม • ปลูกฝังจิตสำนกึ ทีด่ ีใหแ้ ก่สมำชกิ ในสังคม
โครงสรา้ งทางสังคม โครงสรา้ งทางสังคม สามารถแบ่งได้เปน็ ๒ ระดับ กลมุ่ สงั คม สถาบัน ทางสังคม
ความสมั พนั ธใ์ นระดบั กล่มุ สงั คม กลุ่มสังคมแบง่ ออกได้เป็น ๒ ประเภท คือ กลุม่ ปฐมภมู ิ • คนกลุ่มเล็กที่มีควำมสมั พนั ธแ์ บบใกลช้ ิด เช่น ครอบครวั กลุ่มเพือ่ นสนิท กลุ่มทตุ ยิ ภูมิ • คนกล่มุ ใหญท่ ่ีรวมตัวกันในเรอ่ื งใดเร่อื งหนึ่ง เช่น โรงเรียน สมำคม องคก์ ำร
ความสมั พันธ์ในระดบั สถาบันทางสังคม • สงั คมดำรงอยไู่ ด้เพรำะมีสถำบนั ตำ่ งๆ คอยทำหนำ้ ทีข่ ัดเกลำสมำชกิ ในสงั คมให้เป็นคนดมี ี ควำมสำมำรถ มีกฎระเบียบ กฎหมำย และขนบธรรมเนียมประเพณี คอยควบคมุ สมำชกิ ในสงั คมให้อยู่ในระเบยี บวินยั ซ่งึ สงิ่ ต่ำงๆ เหล่ำนีป้ ระกอบกนั เปน็ โครงสร้ำงทย่ี ึดโยงใหส้ งั คม ดำรงอยู่ได้อยำ่ งม่ันคง • โครงสร้ำงทำงสังคมทำใหเ้ รำมองเหน็ ภำพรวมของสงั คมไดแ้ จ่มชัด สำมำรถระบไุ ดว้ ำ่ สังคมน้นั ๆ จะมีควำมม่ันคงแขง็ แรง มำกนอ้ ยดูได้จำกกำรทำหน้ำท่ขี องสถำบนั ทำงสงั คมต่ำงๆ ว่ำมีควำมสอดคล้อง สมดุล สนบั สนนุ หรือแข่งขนั ตำมกฎกติกำ หรอื ไมเ่ พียงใด ตรงกันขำ้ มโครงสร้ำงสังคมจะอ่อนแอไมม่ น่ั คงหำกวำ่ ควำมสัมพันธแ์ ละสถำบันทำงสงั คมมแี ตค่ วำมขดั แยง้ คนในสังคมไม่ทำตำมบรรทัดฐำนทำงสังคมท่ีวำงไว้ ปัญหำสงั คมกจ็ ะปรำกฏขนึ้ ในทีส่ ุดสงั คมก็จะวุน่ วำย ไรร้ ะเบียบ
สถาบนั ทางสงั คม • เม่ือคนมำอำศยั อยู่ร่วมกันและสรำ้ งควำมสมั พนั ธ์ขน้ึ ระหว่ำงกัน ควำมสมั พันธเ์ หล่ำนั้น จะเชอ่ื มโยงกันไปมำเสมือน เป็นแบบแผนที่มน่ั คง หำกจดั แบง่ ควำมสัมพันธน์ ้อี อกเปน็ เร่อื งๆ ก็จะเห็นกลุ่มควำมสมั พนั ธ์ทม่ี ีลกั ษณะคล้ำยคลงึ กนั เรำเรียกกลุ่มควำมสัมพันธ์ในเรื่องหน่งึ ๆ วำ่ “สถาบนั ทางสงั คม (social institution) • พจนำนกุ รมศพั ท์สงั คมวทิ ยำ ฉบับรำชบัณฑิตยสถำน พุทธศักรำช ๒๕๒๔ ไดใ้ ห้ควำมหมำยของสถำบนั ทำงสังคม วำ่ หมำยถงึ ยอดรวมของรปู แบบควำมสมั พันธ์ กระบวนกำร และวัสดอุ ปุ กรณท์ ี่สรำ้ งขนึ้ เพ่อื สนองประโยชน์ สำคัญๆ ทำงสงั คมในเร่ืองใดเร่ืองหน่งึ ทกุ สถำบันจงึ มีจำรตี ประเพณีกฎเกณฑ์ ธรรมเนียมปฏบิ ตั ิ และวสั ดุอปุ กรณ์ ตำ่ งๆ ของตนเอง เช่น อำคำรสถำนท่ี เคร่อื งจักรกล อุปกรณ์สือ่ สำร เป็นต้น • สถำบนั ทำงสงั คมตำมนยั แห่งสงั คมวทิ ยำน้ัน ไมไ่ ด้จะปรำกฏออกมำในรปู ทเ่ี ป็นทำงกำร เช่น กำรอยู่รว่ มกันเป็น ครอบครัวในบำ้ นแหง่ หนึ่ง (สถำบันครอบครวั ) ธนำคำร สำนกั งำน ตลำดสด (สถำบนั ทำงเศรษฐกิจ) โรงเรียน วิทยำลยั มหำวทิ ยำลยั (สถำบันกำรศกึ ษำ) เท่ำนนั้ แต่รวมไปถึงรูปแบบท่ีไม่เปน็ ทำงกำรด้วย ซึ่งในแตล่ ะสงั คม จะมีสถำบันทำง สังคมทีเ่ ปน็ พนื้ ฐำน ดังน้ี
สถาบนั ครอบครัว บทบาทหนา้ ที่ • อบรมเลย้ี งดสู มำชกิ ในครอบครวั ใหเ้ ป็นคนดีของสงั คม เชน่ รู้จกั กำร เสยี สละควำมตรงตอ่ เวลำ กำรมนี ำ้ ใจตอ่ คนรอบข้ำง เป็นต้น • ถ่ำยทอดวัฒนธรรมให้แก่สมำชิกใหมท่ ่กี ำเนดิ ขึ้นมำในสงั คม เช่น กำรเคำรพผูใ้ หญ่ กำรออ่ นนอ้ มถ่อมตน เปน็ ตน้ • กำหนดแนวทำงปฏิบัติแก่สมำชิกในครอบครัว เช่น กำรใช้จำ่ ย กำรอดออม กำรเลอื กคู่ กำรหม้นั กำรแตง่ งำน เป็นต้น
สถาบนั เศรษฐกจิ บทบาทหนา้ ท่ี • พัฒนำและสรำ้ งควำมเจริญกำ้ วหนำ้ ในทำงเศรษฐกจิ เพื่อควำมอดุ ม สมบูรณ์และควำมมัน่ คงแก่สมำชิกในสังคม • เปน็ ตวั กลำงในกำรกำหนดกลไกรำคำ โดยตอ้ งคำนงึ ถงึ ควำมเหมำะสม และประโยชน์ของผู้บรโิ ภคเป็นหลกั • กระจำยสินค้ำและบรกิ ำรให้เพียงพอและท่วั ถงึ แกผ่ ู้บรโิ ภคมำกท่สี ดุ โดยสินค้ำและบรกิ ำรตอ้ งมมี ำตรฐำนตำมท่ีกฎหมำยกำหนด
สถาบันการเมอื งการปกครอง บทบาทหนา้ ท่ี • รักษำควำมสงบเรียบรอ้ ยของชำตบิ ้ำนเมืองให้อยใู่ นสภำวะปกติ สรำ้ งระเบียบกฎเกณฑ์ใหแ้ ก่สังคม บำบดั ทกุ ขบ์ ำรงุ สขุ ใหแ้ กร่ ำษฎร • วินจิ ฉยั ข้อขดั แยง้ ระหว่ำงสมำชกิ ในสงั คม มีองค์กรตุลำกำรให้ ควำมยุตธิ รรมแกส่ มำชกิ ทีม่ ีควำมขัดแยง้ กัน • สรำ้ งควำมสัมพนั ธอ์ ันดีกับนำนำประเทศ มีกำรติดตอ่ ส่อื สำรเพ่ือสรำ้ ง ควำมไวเ้ นอื้ เช่ือใจระหว่ำงกัน นำไปสู่ควำมร่วมมือกนั ในดำ้ นต่ำงๆ
สถาบนั การศกึ ษา บทบาทหนา้ ท่ี • จัดกำรศึกษำใหเ้ ยำวชนมีควำมรู้ ควำมสำมำรถ เพื่อจะได้นำไปใช้ใน กำรประกอบอำชีพและกำรดำเนนิ ชวี ิตในอนำคตต่อไป • สง่ เสรมิ ค่ำนยิ มทีด่ งี ำม ใหเ้ ยำวชนรจู้ ักใช้สทิ ธแิ ละหนำ้ ทข่ี องตนให้เกดิ ประโยชน์ต่อสงั คมและประเทศชำติ โดยไมล่ ะเมดิ สิทธขิ องผอู้ ่ืน • ปลูกฝงั คุณธรรม จรยิ ธรรม มุ่งเน้นให้เยำวชนเป็นผมู้ ีควำมรู้คคู่ ณุ ธรรม มคี วำมซื่อสตั ย์สจุ รติ และรจู้ กั เสียสละเพ่ือสว่ นรวมและประเทศชำติ
สถาบนั ศาสนา บทบาทหน้าที่ • จดั กำรศกึ ษำให้เยำวชนมคี วำมรู้ ควำมสำมำรถ เพ่ือจะไดน้ ำไปใชใ้ น กำรประกอบอำชพี และกำรดำเนนิ ชวี ติ ในอนำคตตอ่ ไป • ส่งเสริมค่ำนยิ มทด่ี ีงำม ใหเ้ ยำวชนรู้จักใชส้ ิทธแิ ละหน้ำทข่ี องตนใหเ้ กิด ประโยชนต์ ่อสงั คมและประเทศชำติ โดยไมล่ ะเมิดสิทธิของผู้อ่นื • ปลกู ฝงั คุณธรรม จรยิ ธรรม ม่งุ เน้นใหเ้ ยำวชนเป็นผู้มคี วำมรคู้ คู่ ณุ ธรรม มีควำมซื่อสัตยส์ ุจรติ และรูจ้ ักเสียสละเพือ่ สว่ นรวมและประเทศชำติ
สถาบันนันทนาการ บทบาทหน้าที่ • สง่ เสริมกำรใชเ้ วลำว่ำงใหเ้ กดิ ประโยชน์ ให้สมำชกิ ในสังคมเหน็ คุณค่ำของกำรทำกจิ กรรมทสี่ รำ้ งสรรค์เพ่อื ตนเองและสว่ นรวม • สร้ำงควำมบนั เทิงใหแ้ ก่สมำชิกในสงั คม เพ่อื ให้กำรดำรงชวี ติ มีควำมสุข สมบรู ณ์มำกยิ่งขนึ้ • ช่วยผ่อนคลำยควำมตึงเครียด เพ่ิมพนู อนำมยั ทดี่ ี รวมทัง้ เสรมิ สรำ้ ง สุขภำพจติ ที่ดใี ห้กบั สมำชกิ ในสงั คม
สถาบนั ส่อื สารมวลชน บทบาทหนา้ ท่ี • มคี วำมเปน็ กลำงในกำรนำเสนอข้อมลู ขำ่ วสำร ไมน่ ำเสนอขอ้ มลู เอนเอยี งไปทำงฝำ่ ยใดฝ่ำยหนง่ึ • เปิดโอกำสใหป้ ระชำชนได้แสดงควำมคิดเห็นผ่ำนส่ือมวลชน เพื่อสะท้อน ควำมเปน็ จริงทีเ่ กิดขึน้ ในสังคมปจั จบุ นั • มีสว่ นรว่ มตรวจสอบกำรทำงำนของบุคคลและกล่มุ บคุ คล ไดแ้ ก่ ผูด้ ำรง ตำแหนง่ ทำงกำรเมือง ข้ำรำชกำร หรอื เจำ้ หน้ำทขี่ องรัฐ เป็นต้น
การจัดระเบียบทางสังคม ความหมาย • การจัดระเบียบทางสังคม หมำยถงึ วิธีกำรต่ำงๆ ทีค่ นในสงั คมกำหนดขึ้น เพือ่ ใชเ้ ป็นระเบียบ กฎเกณฑ์ในกำรอยรู่ ่วมกัน เป็นกำรควบคุมสมำชิกให้มีควำมสัมพันธ์กันภำยใตแ้ บบแผนเดยี วกัน เพื่อให้เกดิ ควำมเปน็ ระเบยี บเรียบรอ้ ยในสังคม กำรจัดระเบียบทำงสงั คมจะแตกต่ำงกนั ออกไป ในแต่ละสงั คม ทั้งน้เี ป็นผลมำจำกควำมคิด ควำมเชื่อ ประวัตศิ ำสตร์ สภำพภมู ศิ ำสตร์ และบรรทดั ฐำนของสังคมนน้ั ๆ
องค์ประกอบของการจัดระเบยี บทางสังคม ๑ ระบบคุณค่าของสังคม • เป็นหวั ใจหรอื เปำ้ หมำยสูงสดุ ทส่ี ังคมปรำรถนำจะใหบ้ ังเกิดขน้ึ คุณคำ่ น้เี ป็นสิ่งทส่ี มำชิกของสงั คมยอมรับ ถือว่ำ เป็นสิง่ ท่ดี งี ำม น่ำยกย่อง และสมควรกระทำให้บรรลุผล เพรำะจะก่อใหเ้ กดิ ควำมร่มเยน็ และควำมพงึ พอใจของ สงั คมทัง้ มวล อำจมีกำรเรยี กระบบคุณค่ำของสงั คมวำ่ เปน็ “ข้อตกลงของสงั คม” • ระบบคุณค่ำของสงั คมทำหน้ำทเี่ สมอื นหน่งึ เปน็ สมองของมนษุ ย์ เป็นศนู ยร์ วมกำหนดให้ส่วนต่ำงๆ ของร่ำงกำย ดำเนนิ งำนไปตำมกลไกใหบ้ รรลุเป้ำหมำยสงู สดุ เปำ้ หมำยของสังคมก็เปน็ เชน่ เดยี วกนั เพรำะเป็นเป้ำหมำยที่ สมำชกิ ของสงั คมนัน้ ประสงคท์ ่ีจะก้ำวไปให้ถึง
๒ บรรทดั ฐานหรือปทสั ถานทางสังคม • มำตรฐำนกำรปฏบิ ัติตำมบทบำทและสถำนภำพของแต่ละบุคคล บรรทัดฐำนทำงสังคมเปน็ ระเบียบแบบแผนท่ี กำหนดวำ่ กำรกระทำใดถูกหรือผดิ ควรหรอื ไม่ควรยอมรบั ทงั้ น้เี พ่ือให้เป็นไปตำมทศิ ทำงของระบบคณุ คำ่ ทำง สังคมน่นั เอง • กำรกระทำทำงสงั คมอำจจำแนกออกเป็นระดับต่ำงๆ ซงึ่ แตล่ ะระดับอำจเรียกว่ำ “ประเภทของบรรทัดฐาน” ประกอบดว้ ย วถิ ปี ระชา (folkways) จารตี (mores) กฎหมาย (law)
วถิ ปี ระชา (folkways) • วิถีประชา (folkways) หรือธรรมเนยี มชำวบำ้ น เปน็ ระเบียบแบบแผนทส่ี มำชิกใน จารีต (mores) สังคมควรปฏิบตั ติ ำม ถ้ำหำกไม่ปฏบิ ตั ิตำมหรือฝ่ำฝนื จะถกู สงั คมตำหนติ เิ ตียนหรือมี ปฏกิ ิรยิ ำตอบโต้ท่ไี ม่รนุ แรง แต่หำกวำ่ ทำควำมดตี ำมมำตรฐำนท่ีสงั คมกำหนดจะได้ รบั คำชมเชยเลก็ ๆ น้อยๆ เพอื่ ให้กำลังใจ • จารีต (mores) หรืออำจเรียกว่ำกฎศีลธรรม จำรีตประเพณเี ป็นมำตรฐำนกำร กระทำทีส่ ำคญั มำกขนึ้ ผทู้ ท่ี ำผิดจำรีตจะถกู นนิ ทำวำ่ ร้ำย ถูกตำหนอิ ยำ่ งรุนแรงเป็น ทรี่ ังเกยี จของสงั คมทัว่ ไป โดยเฉพำะสงั คมทยี่ งั ไมม่ ีภำษำเขียนเป็นลำยลกั ษณอ์ กั ษร จำรตี จะเปน็ เสมือน กฎสังคมทรี่ นุ แรงทส่ี ุด เชน่ หำกใครทำผิดเรื่องชสู้ ำวจะถกู ขับ ออกจำกสงั คมหรือต้องโทษประหำรชวี ิต เปน็ ต้น กฎหมาย (law) • กฎหมาย (law) เปน็ ขอ้ บงั คับทีร่ ัฐจดั ทำขึ้น หรอื มำตรฐำนของสงั คมหรือจำรตี ประเพณีทไ่ี ด้รบั กำรเขียนเปน็ ลำยลกั ษณ์อกั ษร โดยกำหนดบทลงโทษผูท้ ฝี่ ำ่ ฝืน ตำมระดบั ควำมรุนแรงของกำรกระทำไวอ้ ย่ำงชดั เจน
๓ สถานภาพและบทบาท • ในสังคมตำ่ งๆ จะพบคนและกล่มุ คนมำกมำย บ้ำงก็ทักทำยปรำศรัยกันหรือทำงำนร่วมกัน บ้ำงก็เดินผ่ำนกันไป มำ โดยไมไ่ ด้สนใจกนั ปรำกฏกำรณ์ดังนี้สำมำรถพบเห็นได้ในทุกสังคม หำกมองลึกลงไป คนในสังคมต่ำงมีกำร กระทำโต้ตอบกัน ทั้งโดยทำงตรงและทำงอ้อม ตำมตำแหน่งและหน้ำที่ในสังคมเรำเรียกตำแหน่งทำงสังคมว่ำ “สถานภาพ” และหน้ำทที่ ี่กระทำตำมตำแหนง่ วำ่ “บทบาท” • สถานภาพทางสังคม (social status) หมำยถึง ตำแหน่งท่บี คุ คลครอบครองอยู่ ซงึ่ บคุ คลจะมีสิทธิและหนำ้ ที่ ตำมบทบำทของตำแหน่งนน้ั ๆ • บทบาททางสังคม (social role) หมำยถึง หน้ำที่หรือพฤติกรรมท่ีแต่ละสังคมกำหนดให้ผู้ท่ีดำรงตำแหน่ง ตำ่ งๆ ในสังคมกระทำ
สถานภาพสามารถจาแนกออกไดเ้ ป็น ๒ ประเภท สถานภาพทต่ี ิดตัวมาแต่กาเนิด สถานภาพสัมฤทธ์ิ • เป็นสถำนภำพที่สงั คมกำหนดใหโ้ ดยที่บคุ คลไมม่ ี • เปน็ สถำนภำพท่ีไดม้ ำดว้ ยกำรใชค้ วำมรูแ้ ละ ทำงเลอื ก เชน่ เพศ อำยุ สผี ิว กำรเปน็ พอ่ แม่ลกู ควำมสำมำรถของบคุ คล ตวั อยำ่ งของสถำนภำพ กำรเปน็ ญำตพิ น่ี ้องตำมสำยเลือด เปน็ ต้น ประเภทนี้ เช่น ตำแหนง่ หน้ำทกี่ ำรงำน ระดบั กำรศกึ ษำ รำยได้
การขดั เกลาทางสงั คม • การขดั เกลาทางสงั คม หมำยถึง กระบวนกำรเรียนรกู้ ำรเปน็ สมำชิกของสงั คม โดยซมึ ซบั บรรทัดฐำนและคำ่ นยิ มทำง สงั คมมำเป็นของตนและเรยี นรู้ในกำรปฏบิ ตั ิตนตำมบทบำทหน้ำที่ เพ่ือท่จี ะสำมำรถปรับตวั เขำ้ กับสังคมท่ตี นเปน็ สมำชกิ อยู่ไดเ้ ป็นอย่ำงดี • กระบวนกำรขดั เกลำทำงสงั คมเริม่ ตน้ ตั้งแตบ่ ุคคลถือกำเนิดขึ้นมำในโลก ตัวแทนสำคญั ที่ทำหนำ้ ทใี่ นเร่ืองนี้ ไดแ้ ก่ ครอบครวั กล่มุ เพื่อน โรงเรียน มหำวิทยำลัย ศำสนำ ตลอดจนส่ือมวลชนต่ำงๆ ตวั แทนเหล่ำน้ีจะทำให้บคุ คลได้ ตระหนักถงึ คุณธรรม คณุ ค่ำ และอดุ มคติทีส่ งั คมยดึ ม่นั ได้เรยี นรบู้ รรทดั ฐำน และขนบธรรมเนยี มประเพณี ท่ใี ชอ้ ยู่ ในสังคม
ประเภทของการขัดเกลาทางสงั คม การขัดเกลาทางสงั คมโดยทางตรง • การอบรมเลยี้ งดขู องพ่อแม่ ต้องใช้เหตผุ ลในกำรอบรมเลยี้ งดลู ูก ไมใ่ ช้อำรมณใ์ นกำร ตดั สนิ ใจหรอื แกไ้ ขปัญหำ รบั ฟงั ควำมคิดเหน็ ของลูก รวมทั้งเปดิ โอกำสให้ลกู ไดแ้ สดง ควำมสำมำรถทต่ี นมอี ยู่ • การอบรมสั่งสอนของครูอาจารย์ ครูตอ้ งอบรมและเสรมิ สร้ำงทักษะควำมร้แู ละพฤตกิ รรมท่ี ดงี ำมให้แก่นักเรยี น ฝึกฝนให้นักเรยี นไดพ้ ัฒนำศักยภำพอยำ่ งรอบดำ้ น ไมว่ ำ่ จะเปน็ ในเรื่อง ของกำรเรยี น กำรทำกจิ กรรม ตลอดจนกำรใช้ชีวติ ในสังคมอยำ่ งมีควำมสุข
ประเภทของการขดั เกลาทางสงั คม การขดั เกลาทางสงั คมโดยทางออ้ ม • อ่านหนังสือ ช่วยเพ่ิมพูนควำมรใู้ ห้มีควำมหลำกหลำย สรำ้ งเสรมิ ประสบกำรณใ์ หมๆ่ สำมำรถนำมำเป็น แนวทำงในกำรประพฤตปิ ฏบิ ัตติ นใหช้ ีวติ มคี ุณคำ่ และมรี ะเบยี บแบบแผนทด่ี ยี ิ่งขน้ึ • การฟงั อภิปราย ช่วยเปิดโลกทศั นใ์ หก้ วำ้ งไกลมำกขึ้น ไดร้ บั ฟงั ขอ้ มลู จำกผ้มู ีควำมรู้ สำมำรถนำ ขอ้ คิดทีไ่ ด้มำปรบั ใชใ้ หเ้ กิดประโยชนไ์ ด้ • การทากจิ กรรมกล่มุ ช่วยใหเ้ กิดกำรแลกเปลี่ยนเรยี นรู้ซ่งึ กนั และกนั เสริมสร้ำงควำมสำมคั คใี นหมคู่ ณะ รูจ้ ักเสยี สละเพอื่ ใหก้ จิ กรรมทท่ี ำนั้นประสบควำมสำเรจ็ สูงสดุ
องคก์ รท่ที าหน้าทใี่ นการขัดเกลาทางสงั คม ครอบครวั เปน็ องค์กรท่ีมบี ทบำทสำคัญมำก ซงึ่ จะทำหน้ำท่ีอบรมสั่งสอนสมำชิกให้เป็นพลเมอื งดี ปฏิบตั ติ ำมกฎเกณฑ์ท่ีสงั คมกำหนด โรงเรยี น เป็นองค์กรทท่ี ำหนำ้ ที่เสริมสร้ำงควำมรู้ ควำมสำมำรถ ตลอดจนกำรปรบั ตัวในกำรใช้ชีวติ ในสงั คม สถาบนั ศาสนา เป็นองค์กรทท่ี ำหน้ำท่ีถำ่ ยทอดแนวทำงกำรดำเนินชีวิตให้แกส่ มำชกิ ในสังคม มงุ่ เน้นใหค้ นกระทำควำมดี ละเวน้ ควำมชัว่ กล่มุ เพ่อื น เป็นองค์กรที่ทำหน้ำที่ขัดเกลำทำงสังคมอีกหน่วยหนง่ึ ในควำมเชอ่ื และค่ำนยิ มเฉพำะกลุ่มตนเอง อำจแตกตำ่ งกันออกไป ตำมลักษณะกล่มุ เช่น กำรแตง่ กำย กลุม่ เดยี วกันกจ็ ะแตง่ กำยคลำ้ ยๆ กนั ส่อื มวลชน เป็นองค์กรที่ทำหน้ำทถี่ ่ำยทอดข่ำวสำรควำมรู้ ศลิ ปะ ประเพณี รวมทั้งกฎระเบยี บทำงสังคมไปยงั สมำชิกของสังคมทกุ หมเู่ หล่ำ
การเปล่ียนแปลงในสงั คม ความหมาย • การเปลยี่ นแปลงทางสงั คม หมำยถึง กำรเปล่ียนแปลงระเบียบของสังคมในกำรกระทำในเร่อื ง ต่ำงๆ ซ่ึงเปน็ กำรเปลีย่ นแปลงทีเ่ กี่ยวขอ้ งกับควำมสัมพนั ธ์และแบบแผนควำมประพฤตขิ องสมำชิก ในสงั คมท่แี ตกตำ่ งไปจำกเดมิ เช่น กำรเปลี่ยนวตั ถุสิ่งของทใ่ี ช้ กำรเปลี่ยนแปลงควำมคดิ ควำมเชอื่ เป็นตน้
ประเภทของการเปล่ยี นแปลงในสงั คม การเปลยี่ นแปลงระดบั จุลภาค เปน็ กำรเปลีย่ นแปลงขนำดย่อยในระดบั บคุ คล กลุ่มบุคคล และรวมถงึ พฤตกิ รรมต่ำงๆ ของบุคคล ตวั อยำ่ งเชน่ • การผลิตสินค้า จำกเดิมท่ีผลิตสินค้ำด้วยมือ เปลี่ยนมำเป็นกำรใช้เทคโนโลยีสมัยใหม่ ในกำรผลิตสนิ คำ้ เพ่อื ใหไ้ ด้ปรมิ ำณมำก เพยี งพอกบั ควำมต้องกำรในปจั จุบนั • การศึกษาของนักเรียน จำกเดิมครูจะเป็นผู้ถ่ำยทอดควำมรู้ให้แก่นักเรียนฝ่ำยเดียว เปล่ียนเป็นกำรศึกษำเน้นให้นักเรียนเป็นศูนย์กลำงกำรเรียนรู้ เพื่อกระตุ้นให้นักเรียนคิดเป็น ทำเป็น และมีภำวะควำมเป็นผู้นำ
ประเภทของการเปลย่ี นแปลงในสงั คม การเปลีย่ นแปลงระดับมหภาค เป็นกำรเปลย่ี นแปลงขนำดใหญท่ ีเ่ กยี่ วข้องกับระบบสังคม มีผลกระทบต่อแบบแผนกำรดำเนินชีวิต ของผู้คนในสงั คมเป็นจำนวนมำก ตวั อยำ่ งเช่น • การเลกิ ทาสในสมยั รัชกาลท่ี ๕ สง่ ผลใหร้ ำษฎรทุกคนมคี วำมเท่ำเทยี มกัน มเี สรีภำพในกำร ดำเนนิ ชวี ิต ประกอบอำชีพ นอกจำกนีย้ งั มผี ลทำให้ประเทศมีแรงงำนอสิ ระเพิม่ มำกขึน้ • การเปล่ียนแปลงการปกครอง พ.ศ. ๒๔๗๕ เปลี่ยนจำกระบอบสมบูรณำญำสิทธิรำชย์ เปน็ ระบอบประชำธิปไตยอันมีพระมหำกษัตริย์เป็นประมุข มีรัฐธรรมนูญเป็นกฎหมำยสูงสุด ประชำชนมีสทิ ธิ เสรภี ำพ และควำมเสมอภำคเท่ำเทยี มกนั
ปัจจัยทก่ี ่อให้เกดิ การเปลีย่ นแปลงในสงั คม ปจั จยั ภายใน • เช่น กำรประดิษฐ์คิดค้นสิ่งของใหม่ๆ กำรเปลี่ยนแปลงสภำพแวดล้อมทำงธรรมชำติ เศรษฐกิจ เป็นต้น ซ่ึงมีผลต่อทำงสังคมมำก เพรำะเทคโนโลยีใหม่ๆ ทำให้สะดวกสบำย ติดต่อส่ือสำรได้เร็วข้ึน ผลิตสินค้ำได้ในปริมำณที่มำกข้ึน เกิดกำรเปล่ียนแปลงโครงสร้ำงทำง ประชำกรและอำจกอ่ ใหเ้ กดิ กำรเปล่ยี นแปลงโครงสร้ำงครอบครวั และสงั คมในลำดับตอ่ ไป มลู เหตุทีท่ าให้เกดิ การเปลีย่ นแปลงในสงั คม สามารถจาแนกออกเปน็ ๒ ปจั จยั ใหญ่ๆ • ปัจจุบันมีกำรแพร่กระจำยและกำรรับวัฒนธรรมของสังคมอื่นมำใช้กันมำก ตัวอย่ำงเช่นกำร ปจั จยั ภายนอก นำระบบโรงเรยี นมำใช้แทนกำรเรียนรจู้ ำกครอบครวั หรอื วัดเช่นในอดีต หรือกำรรับวัฒนธรรม ด้ำนเครือ่ งแต่งกำย อำหำร ยำรักษำโรค และเคร่ืองมือสื่อสำรจำกสังคมอื่นมำใช้จนทำให้เกิด กำรเปล่ยี นแปลงทำงสงั คมขึน้ มำกมำยในปัจจุบนั
ปญั หาสังคมไทยและแนวทางการแก้ไขปญั หา • สังคมไทยกเ็ ปน็ เชน่ เดียวกับสังคมอื่นๆ ทั่วโลกท่ีมีปัญหำ เพรำะทกุ สงั คมมีกำรเปล่ียนแปลงมีคน กระทำพฤตกิ รรมเบย่ี งเบนควำมสัมพนั ธ์ และสถำบันทำงสงั คมทำหนำ้ ท่ีไม่ครบสมบรู ณซ์ ึง่ สง่ิ เหล่ำน้ี เป็นปจั จยั พนื้ ฐำนทำใหเ้ กิดปญั หำสงั คมได้ ปญั หำสังคมอำจมคี วำมรนุ แรงและสง่ ผลกระทบตอ่ สงั คม ในระดับและขอบเขตทต่ี ำ่ งกนั เชน่ ระดับชมุ ชน ระดับประเทศ และระดบั โลก เป็นต้น
ปญั หายาเสพติด สาเหตขุ องปัญหา • ควำมอยำกรู้อยำกลอง ควำมรูเ้ ทำ่ ไมถ่ ึงกำรณ์ • ไม่ได้รับคำแนะนำท่ถี ูกต้องจำกผ้ใู หญ่และบุคคลทเ่ี กย่ี วข้อง • กำรชกั ชวนของเพื่อน โดยสว่ นมำกมกั เกดิ จำกควำมเกรงใจเพอื่ นหรอื ต้องกำรแสดงตนวำ่ เปน็ พวกเดียวกับเพ่ือน แนวทางการแกไ้ ข • รัฐบำลควรมีนโยบำยปรำบปรำมยำเสพตดิ อย่ำงจริงจังและเป็นรูปธรรม • พอ่ แมค่ วรปลูกฝงั ค่ำนิยมที่ดใี ห้แก่ลกู เพื่อป้องกนั ปัญหำยำเสพตดิ • องค์กรเอกชนควรมบี ทบำทในกำรให้ควำมรู้ ควำมเขำ้ ใจเกย่ี วกับพิษภยั ของยำเสพตดิ
ปญั หาสง่ิ แวดล้อม สาเหตขุ องปัญหา • กำรตดั ไมท้ ำลำยปำ่ กำรเผำป่ำ กำรลำ่ สตั ว์ • กำรคมนำคมขนสง่ ที่กอ่ ใหเ้ กดิ มลพิษ • กำรทิง้ ขยะลงในแมน่ ำ้ ลำคลอง • กระบวนกำรผลติ ของโรงงำนอตุ สำหกรรม แนวทางการแก้ไข • ปลกู ฝังควำมรู้ ควำมเข้ำใจเกย่ี วกับกำรอนุรักษส์ ิ่งแวดลอ้ ม • รว่ มกันรณรงคใ์ หป้ ระชำชนหันมำใช้พลังงำนทดแทนกันมำกขึ้น เช่น กำรใช้ถุงผ้ำแทนกำรใช้ถงุ พลำสติก • ปลูกตน้ ไม้เพ่อื เพ่มิ พ้ืนที่สีเขยี วในบริเวณชมุ ชนและบรเิ วณท่สี ำธำรณะ
ปัญหาการทจุ รติ สาเหตขุ องปัญหา • เกิดจำกควำมโลภ ควำมต้องกำร ควำมอยำกได้ ควำมบริโภคท่เี กนิ พอดี • กำรเห็นตัว เหน็ แก่ประโยชน์สว่ นตนมำกกว่ำประโยชน์ส่วนรวม • กำรขำดจิตสำนกึ ทำงศีลธรรมและกำรไมเ่ กรงกลวั กฎหมำย แนวทางการแกไ้ ข • ภำครฐั ควรมบี ทลงโทษทำงกฎหมำยที่เข้มงวดเกย่ี วกบั กำรทจุ รติ • พ่อแม่ควรปลูกฝังค่ำนิยมที่ดี เนน้ ควำมซอื่ สตั ย์สุจรติ ใหแ้ กบ่ ตุ รหลำน • องคก์ รทกุ ภำคสว่ นควรตระหนกั ถึงควำมสำคัญและเปน็ ตวั อย่ำงท่ีดใี นกำรแกไ้ ขปัญหำกำรทจุ ริตอย่ำงเป็นระบบ
ปัญหาความรุนแรงในครอบครัวและสังคม สาเหตขุ องปญั หา • สงั คมมจี ำนวนสมำชกิ หรือจำนวนประชำกรเพม่ิ มำกขึ้นอย่ำงรวดเร็ว • คนในสงั คมต้องแขง่ ขันกนั ในดำ้ นตำ่ งๆ จนเกิดควำมเครยี ด • อยใู่ นสภำพสังคมท่ีเน้นวัตถนุ ิยม ขำดกำรยับย้งั ชัง่ ใจและกำรควบคมุ อำรมณ์ใหม้ สี ติ แนวทางการแกไ้ ข • ใหเ้ กยี รตกิ ันในครอบครัวหันหน้ำปรกึ ษำกนั ทง้ั ทำงด้ำนกำรเงนิ กำรเรียน กำรดำเนนิ ชวี ิต และทำงด้ำนจิตใจ • ขอควำมรว่ มมอื จำกองค์กรทง้ั ภำครัฐและเอกชนเข้ำไปรณรงคก์ ำรตอ่ ตำ้ นกำรใช้ควำมรุนแรง • กำรสรำ้ งควำมสมำนฉันท์ในสงั คม ทำกิจกรรมรว่ มกัน รู้จกั กำรพงึ่ พำอำศัยกัน
แนวทางการพัฒนาทางสังคม • การพัฒนาประเทศในระยะแผนพัฒนาเศรษฐกิจและสงั คมแห่งชาติ ฉบับท่ี ๑๑ (พ.ศ. ๒๕๕๕ - ๒๕๕๙) ยึดหลักกำรปฏบิ ตั ิตำม “ปรชั ญำของเศรษฐกจิ พอเพยี ง” และขับเคลื่อน ให้เกดิ ผลในทำงปฏบิ ัตทิ ี่ชัดเจนยิ่งขึ้น ยึดแนวคิด กำรพฒั นำแบบบูรณำกำรเป็นองค์รวมท่ีมี “คน เปน็ ศูนยก์ ลำงกำรพฒั นำ” ท้งั ดำ้ นตวั คน สงั คม เศรษฐกิจ สิ่งแวดลอ้ มและกำรเมอื งซ่ึงไดก้ ำหนด ยทุ ธศำสตร์ กำรพฒั นำไว้ ดังน้ี
๑ สร้างความเป็นธรรมในสังคม ๒ พัฒนาคนสู่สังคมแหง่ การเรียนร้ตู ลอดชีวติ อย่างยง่ั ยืน ๓ สรา้ งความเขม้ แขง็ ภาคการเกษตร และความมั่นคงของอาหารและพลังงาน ๔ ปรบั โครงสร้างเศรษฐกจิ สู่การเตบิ โตอย่างมคี ุณภาพและยงั ยนื ๕ สร้างความเช่อื มโยงกบั ประเทศในภูมิภาคเพือ่ ความม่ันคงทางเศรษฐกิจและสงั คม ๖ การจดั การทรัพยากรธรรมชาติและสง่ิ แวดลอ้ มอย่างยง่ั ยนื
หนา้ ทพ่ี ลเมือง วัฒนธรรม และการดาเนินชวี ิตในสังคม หน่วยกำรเรียนรู้ที่ ๑ หนว่ ยกำรเรยี นรทู้ ่ี ๒ หน่วยกำรเรียนรทู้ ี่ ๓ หนว่ ยกำรเรยี นรทู้ ่ี ๔ ชน้ั มธั ยมศกึ ษาปที ี่ ๔ - ๖ กลมุ่ สาระการเรยี นร้สู ังคมศกึ ษา ศาสนา และวัฒนธรรม หนว่ ยกำรเรียนร้ทู ่ี ๕ หนว่ ยกำรเรียนรทู้ ่ี ๖ หน่วยกำรเรียนรทู้ ี่ ๗ ๑_หลกั สตู รวชิ าสงั คมศกึ ษา ๒_แผนการจัดการเรียนรู้ ๓_PowerPoint_ประกอบการสอน ๔_Clip ๕_ใบงาน_เฉลย ๖_ขอ้ สอบประจาหนว่ ย_เฉลย ๗_ การวดั และประเมินผล ๘_เสรมิ สาระ ๙_สอ่ื เสริมการเรยี นรู้ บริษัท อักษรเจริญทัศน์ อจท. จำกัด : 142 ถนนตะนำว เขตพระนคร กรงุ เทพฯ 10200 Aksorn CharoenTat ACT.Co.,Ltd : 142 Tanao Rd. Pranakorn Bangkok 10200 Thailand โทรศพั ท์ : 02 622 2999 โทรสำร : 02 622 1311-8 [email protected] / www.aksorn.com
๒หนว่ ยการเรียนรู้ที่ วฒั นธรรมไทย จุดประสงคก์ ารเรียนรู้ • วิเครำะห์ควำมจำเปน็ ทจ่ี ะต้องมีกำรปรับปรงุ เปลี่ยนแปลงอนรุ ักษ์วัฒนธรรมไทย และเลือกรบั วฒั นธรรมสำกลได้
ความหมาย ความสาคัญ และประเภทของวฒั นธรรม ความหมายของวฒั นธรรม • วฒั นธรรม หมายถึง แบบอยา่ งหรอื วิถีการดาเนนิ ชวี ิตของชุมชนแต่ละกลุม่ เปน็ ตัวกาหนดพฤติกรรมการอยรู่ ว่ มกนั อย่างปกติสขุ ในสงั คม วฒั นธรรมแต่ละสงั คมจะ แตกตา่ งกัน ขนึ้ อยู่กับปจั จยั ทางภมู ศิ าสตรแ์ ละทรพั ยากรต่างๆ ลกั ษณะอีกประการ หนึ่งของวัฒนธรรมคอื เปน็ การสัง่ สมความคดิ ความเชอ่ื วธิ กี าร จากสังคมรุน่ กอ่ นๆ มกี ารเรียนรู้ และสามารถถา่ ยทอดไปยังรุน่ ต่อๆ ไปได้ เช่น ภาษา กฎหมาย ศิลปะ ศาสนา การปกครอง อุปกรณท์ เ่ี ปน็ วัตถุหรอื ส่งิ ประดษิ ฐ์ เป็นต้น
ความสาคัญของวฒั นธรรม เพอ่ื ใชป้ ระโยชนต์ ่อการดารงชวี ิต • เปน็ เป้ำหมำยหรือวตั ถุประสงค์ในกำรดำรงชีวิต • เป็นตวั กำหนดควำมสมั พันธห์ รือพฤตกิ รรมของมนษุ ย์ วฒั นธรรมกอ่ ให้เกดิ • เป็นตัวควบคุมสงั คม ความเป็นอนั หนึง่ อันเดียวกนั • เปน็ สิง่ ของเคร่ืองใช้ทกุ ประเภท • ก่อใหเ้ กดิ ควำมเปน็ ปกึ แผ่น หำกสมำชิกของสงั คมมลี ักษณะคล้ำยคลึง เปน็ อนั หน่งึ อันเดยี วกัน ก่อให้เกดิ ควำมผูกพนั พ่งึ พำอำศัยกันและกนั มจี ติ สำนึกรู้สึกเป็นพวกเดยี วกัน ตลอดจนร่วมกันอนุรักษแ์ ละสบื สำน วฒั นธรรมของตนให้อย่รู อดและพฒั นำกำ้ วหน้ำตอ่ ไปได้ วฒั นธรรมทาหน้าท่ีหลอ่ หลอมบุคลกิ ภาพ • ใหม้ ีลกั ษณะเป็นแบบใดแบบหนง่ึ บคุ ลกิ ภำพดงั กล่ำวจะแสดงออกใน ใหก้ บั สมาชกิ ของสังคม รูปของนำมธรรม เชน่ ควำมเช่อื ควำมสนใจ ทัศนคติ ควำมรู้ ควำมคิดสรำ้ งสรรค์ และสิง่ ทม่ี องเห็น เช่น กำรแตง่ กำย กริ ยิ ำท่ำทำง เปน็ ต้น
ประเภทของวัฒนธรรม แผนผังการจัดประเภทของวฒั นธรรม ประเภทของวฒั นธรรม แบง่ ตำมลักษณะที่มองเห็นหรอื สัมผสั ได้ แบ่งตำมเนอื้ หำ วฒั นธรรมทำงวัตถุ วฒั นธรรมทำงอวัตถุ คติธรรม สหธรรม วตั ถธุ รรม เนตธิ รรม
การจดั ประเภทตามลักษณะทีม่ องเห็นหรือสัมผสั ได้ วฒั นธรรมทางวตั ถุ • เป็นวัฒนธรรมท่สี ำมำรถมองเห็นและสมั ผสั ได้ เชน่ หนงั สือ แวน่ ตำ รถยนต์ โทรทัศน์ คอมพิวเตอร์ เป็นต้น วัฒนธรรมทางอวัตถุ • เปน็ วฒั นธรรมที่มองไมเ่ ห็น หรือเป็นมโนภำพ เช่น คำ่ นิยม มำรยำท ปรชั ญำ บรรทัดฐำน สถำบนั ทำงสงั คม ควำมเชื่อ เปน็ ตน้
การจัดประเภทตามเนื้อหา คตธิ รรม • เป็นวฒั นธรรมท่ีเก่ยี วกบั หลกั ในกำรดำเนนิ ชีวติ สว่ นใหญเ่ ปน็ เร่อื งของจติ ใจซึ่งได้เรยี นรู้ วตั ถุธรรม จำกศำสนำ เช่น ควำมเมตตำกรณุ ำ ควำมกตัญญูกตเวที เป็นต้น เนติธรรม สหธรรม • เปน็ วัฒนธรรมทำงวตั ถุ ทีส่ ำมำรถจบั ต้องสมั ผสั ได้ เชน่ บำ้ นเรือน อำหำร เคร่อื งแตง่ กำย ถนนหนทำง สิ่งประกอบควำมเปน็ อยทู่ ุกชนดิ เครื่องอุปโภคบรโิ ภคต่ำงๆ เปน็ ตน้ • เป็นวฒั นธรรมทำงกฎหมำย หรือกฎศีลธรรมตำ่ งๆ รวมทัง้ ระเบียบประเพณที ม่ี ีกำรยอมรบั นบั ถือ เช่น กฎหมำย กฎศลี ธรรม จำรีตประเพณี เปน็ ต้น • เป็นวัฒนธรรมทำงสงั คมท่ีเกีย่ วกบั หลกั กำรปฏบิ ตั ทิ ำงสังคม รวมท้งั มำรยำทตำ่ งๆ ในสงั คม เชน่ มำรยำทในกำรเขำ้ สงั คม มำรยำทบนโต๊ะอำหำร
ลักษณะและความสาคัญของวัฒนธรรมไทย • ประเทศไทยเปน็ ถน่ิ ทอ่ี ยขู่ องชนหลำยชำติพันธุ์ โดยจำกฐำนขอ้ มูลกลุม่ ชำตพิ ันธใุ์ นประเทศไทยของศนู ย์มำนุษยวิทยำสิรนิ ธร ไดแ้ บง่ กลมุ่ ชำติพนั ธุ์ในประเทศไทยออกเปน็ ๓ กลมุ่ ตำมตระกูลภำษำทใ่ี ช้ ได้แก่ กลมุ่ ตระกลู ภาษาออสโตรเอเชียตกิ เช่น ลวั ะ ปะหลอ่ ง มลำบรี มอญ ซำไก เปน็ ต้น กลุม่ ตระกูลภาษาไท-กะได เช่น ไทย ไทใหญ่ ไทลือ้ พวน ลำว เป็นต้น กลุ่มตระกลู ภาษาจนี -ทเิ บต เชน่ กะเหรย่ี ง จนี ฮ่อ มง้ มเู ซอ อำขำ่ เป็นต้น • จำกอดีตมำจนถงึ ปัจจบุ ัน สงั คมไทยมคี วำมเป็นปกึ แผ่นและมีวฒั นธรรมหลกั ทีเ่ ปน็ เอกลกั ษณข์ องประเทศทเี่ ดน่ ชดั ทำให้ สำมำรถแยกแยะควำมแตกตำ่ งระหว่ำงวัฒนธรรมไทยกับวฒั นธรรมพม่ำ วัฒนธรรมลำว วฒั นธรรมเขมร และวัฒนธรรม ของชนในภมู ภิ ำคอื่นของเอเชียและของโลกได้อยำ่ งชัดเจน เรำจึงเรยี กกนั วำ่ “วฒั นธรรมไทย”
ลกั ษณะของวัฒนธรรมไทย • วฒั นธรรมไทยเปน็ วฒั นธรรมท่ไี ดห้ ลอ่ หลอมให้คนไทยทุกหมเู่ หล่ำทุกภูมภิ ำคเป็นหน่งึ เดียวและนำมำปฏบิ ตั ใิ ชเ้ ป็นวถิ ชี ีวติ ทีค่ นท้งั ชำติ ต่ำงภมู ิใจ เป็นส่งิ ยึดเหน่ยี วให้เกดิ ควำมสมำนฉันท์ของพลเมือง โดยพน้ื ฐำนวฒั นธรรมไทยมำจำกสิ่งตำ่ งๆ ดงั ตอ่ ไปนี้ การมพี ระมหากษตั ริย์ • สถำบนั พระมหำกษัตริยเ์ กิดขึ้นและอยคู่ สู่ งั คมไทยมำเป็นเวลำนำน เริม่ ตง้ั แต่ ทรงเปน็ ประมุข เริม่ ต้นเป็นชำติไทย พระมหำกษัตริยท์ รงเปน็ ศูนย์รวมจิตใจของคนท้ังชำติ พสกนิกรให้ควำมเคำรพนบั ถือ และเปน็ ท่ียึดเหนี่ยวของคนท้งั ประเทศ พระพุทธศาสนา • เปน็ ศำสนำทีค่ นไทยส่วนใหญ่นบั ถือ วถิ ีชวี ิตของคนไทยผกู พันกับพระพุทธศำสนำ มำอย่ำงแนน่ แฟ้น นอกจำกน้รี ัฐไดส้ ่งเสริมควำมเข้ำใจอันดกี บั ศำสนิกชนคนไทย ท่ีนบั ถอื ศำสนำอื่น เชน่ ศำสนำครสิ ต์ ศำสนำอสิ ลำม และศำสนำอื่นๆ เช่นกนั ภาษาไทย • เป็นภำษำประจำชำติทค่ี นไทยท่ัวประเทศสำมำรถพูดเข้ำใจและเขียนอ่ำนได้ และ ภำษำไทยยังทำให้คนไทยสำมำรถทำควำมเข้ำใจวัฒนธรรมหลักและวัฒนธรรม ของภูมิภำคต่ำงๆ ไดด้ ยี ิง่ ข้ึน สภาพแวดล้อมทางภมู ศิ าสตร์ • มีลักษณะภมู ปิ ระเทศเปน็ แบบท่รี ำบลมุ่ อุดมสมบูรณด์ ้วยแมน่ ้ำลำคลอง เพยี งพอตอ่ กำรอปุ โภคบริโภค และใชใ้ นกำรเกษตร ทำนำ ทำไร่ ทำสวน
อาชพี เกษตรกรรม • ประชำกรสว่ นใหญ่อำศัยอยู่ในชนบทและมวี ถิ ีชวี ติ ควำมเป็นอยู่ผูกพันกบั กำร อาหารไทย ประกอบอำชพี เกษตรกรรม ประเพณีและวัฒนธรรมส่วนใหญ่จงึ มีพน้ื ฐำนมำ จำกกำรเกษตรและกำรมชี วี ิตอย่ใู นชนบท อนั เป็นรำกฐำนแห่งภูมปิ ญั ญำทกุ ดำ้ นของวิถีชีวติ วิถีการดาเนนิ ชวี ิตและบคุ ลิกภาพ • คนไทยจะมบี ุคลิกอ่อนนอ้ มถ่อมตน และให้ควำมเคำรพผูใ้ หญ่ ที่มีคณุ วุฒิและวัยวุฒิสงู กวำ่ ตน เปน็ คนเออ้ื เฟอ้ื เผือ่ แผ่ มเี มตตำ กรณุ ำ และผกู พนั กับครอบครวั • อำหำรไทยเปน็ ทรี่ จู้ กั และนิยมกนั ทั่วโลก เพรำะมีลักษณะพเิ ศษ คือ มีรสจดั และมี คุณค่ำทำงโภชนำกำร โดยเฉพำะแกงและตม้ ยำทีม่ ีสมุนไพรมำกมำยเป็นเครือ่ งปรุง แสดงถึงภมู ปิ ัญญำของคนไทยในกำรปรงุ อำหำรที่มปี ระโยชน์และมคี ุณคำ่ ทำง อำหำรครบถ้วน วันสาคญั และเทศกาล • วนั สาคญั ที่เกีย่ วกับสถาบนั พระมหากษตั รยิ ์ เช่น วันจักรี วนั ปยิ มหำรำช วนั ฉัตรมงคล วันคล้ำยวนั พระรำช สมภพพระบำทสมเด็จ พระปรมนิ ทรมหำภมู พิ ลอดลุ ยเดช เป็นตน้ • วันทเ่ี กี่ยวกับพระพุทธศาสนา ซึง่ ประชำชนจะร่วมปฏบิ ตั บิ ูชำ เชน่ วนั วิสำขบชู ำ วนั มำฆบูชำ วนั เขำ้ พรรษำ วัน อำสำฬหบชู ำ วนั ออกพรรษำ วนั ธรรมสวนะ (วนั พระ) เป็นต้น • วันนกั ขตั ฤกษ์และประเพณที ่แี สดงถงึ ความรกั ความเคารพ และความผกู พนั ของคนในชาติ เช่น วันข้ึนปีใหม่ วนั สงกรำนต์ วนั ลอยกระทง วนั เดก็ แหง่ ชำติ วันครู เปน็ ต้น
ความสาคัญของวฒั นธรรมไทย • เพอ่ื ใชเ้ ปน็ แนวทำงและวิถปี ฏบิ ตั ติ อ่ กันในสังคม โดยได้สง่ั สม หลอ่ หลอม สืบสำน และพฒั นำจนเปน็ เอกลกั ษณ์ เฉพำะตัว ทำให้เรำสำมำรถบ่งบอกได้วำ่ เปน็ วฒั นธรรมไทยทแี่ ตกตำ่ งจำกวฒั นธรรมจีน วฒั นธรรมญี่ปุ่น วัฒนธรรมองั กฤษ เปน็ ตน้ • คนไทยทุกคนจงึ ตอ้ งไดร้ ับกำรอบรมส่งั สอนให้เรียนรู้วฒั นธรรมไทย เพอื่ นำไปปฏิบตั ิใช้ในชีวติ ประจำวนั หำกบุคคล ใดไม่ได้อำศยั อย่ใู นสังคมไทย และไมไ่ ด้รับกำรขัดเกลำทำงสังคมใหเ้ รยี นรู้วฒั นธรรมไทย บุคคลนัน้ กจ็ ะไม่อำจเรียก ไดว้ ำ่ เป็นคนไทย • ประเทศไทยมีลกั ษณะเปน็ “สงั คมพหวุ ฒั นธรรม” คอื มีกำรอยู่รว่ มกันของสมำชิกทม่ี ีควำมแตกตำ่ งกันในหลำยดำ้ น เช่น ชำตพิ ันธ์ุ ภำษำ ศำสนำ ขนบธรรมเนียมประเพณี เปน็ ตน้ • ประเทศไทยเปน็ ประเทศรำ่ รวยด้วยทนุ ทำงวฒั นธรรม ซ่ึงเกำ่ แก่และมขี นบธรรมเนียมประเพณแี ละวัฒนธรรมทเ่ี ป็น เอกลักษณ์ของตนเอง มโี บรำณสถำน โบรำณวตั ถุ ตลอดจนสภำพแวดล้อมทำงธรรมชำติมำกมำย จนกลำยเป็น “มรดกทำงวัฒนธรรม” ให้แกช่ นรนุ่ หลงั ได้ใช้ประโยชนส์ บื ไป
วฒั นธรรมในภูมภิ าคตา่ งๆ ของไทย วฒั นธรรมทอ้ งถน่ิ ภาคเหนอื ด้านอาหาร • ตัวอยำ่ งของวฒั นธรรมในดำ้ นน้ี ไดแ้ ก่ ประเพณเี ลยี้ งขำ้ วแลงขนั โตกหรอื กน๋ิ ข้ำวแลงขนั โตก เปน็ ประเพณขี อง ชำวล้ำนนำ ผทู้ ่อี ำศัยอยใู่ นจังหวัดทำงภำคเหนือตอนบนและใช้ภำษำไทยเหนือเป็นภำษำพดู • งำนเลยี้ งขนั โตกจะเริ่มดว้ ยขบวนแหน่ ำขบวนขนั โตกดว้ ยสำวงำมช่ำงฟอ้ นตำมมำด้วยคนหำบกระติบหลวง ขบวนแห่น้ีจะผสมกับเสยี งดนตรโี หร่ อ้ งแสดงควำมชนื่ ชมยนิ ดี • อำหำรทเี่ ล้ียงกันน้ันนอกจำกจะมีขำ้ วนง่ึ เปน็ หลกั แลว้ จะมีกับข้ำวแบบของชำวเหนอื คอื แกงฮงั เล แกงอ่อม แกงแค ไสอ้ ่ัว นำ้ พรกิ อ่อง นำ้ พริกหนมุ่ แคบหมู ผักสด ของหวำน เช่น ขนมปำด ขำ้ วแต๋น เป็นต้น
Search
Read the Text Version
- 1
- 2
- 3
- 4
- 5
- 6
- 7
- 8
- 9
- 10
- 11
- 12
- 13
- 14
- 15
- 16
- 17
- 18
- 19
- 20
- 21
- 22
- 23
- 24
- 25
- 26
- 27
- 28
- 29
- 30
- 31
- 32
- 33
- 34
- 35
- 36
- 37
- 38
- 39
- 40
- 41
- 42
- 43
- 44
- 45
- 46
- 47
- 48
- 49
- 50
- 51
- 52
- 53
- 54
- 55
- 56
- 57
- 58
- 59
- 60
- 61
- 62
- 63
- 64
- 65
- 66
- 67
- 68
- 69
- 70
- 71
- 72
- 73
- 74
- 75
- 76
- 77
- 78
- 79
- 80
- 81
- 82
- 83
- 84
- 85
- 86
- 87
- 88
- 89
- 90
- 91
- 92
- 93
- 94
- 95
- 96
- 97
- 98
- 99
- 100
- 101
- 102
- 103
- 104
- 105
- 106
- 107
- 108
- 109
- 110
- 111
- 112
- 113
- 114
- 115
- 116
- 117
- 118
- 119
- 120
- 121
- 122
- 123
- 124
- 125
- 126
- 127
- 128
- 129
- 130
- 131
- 132
- 133
- 134
- 135
- 136
- 137
- 138
- 139
- 140
- 141
- 142
- 143
- 144
- 145
- 146
- 147
- 148
- 149
- 150
- 151
- 152
- 153
- 154
- 155
- 156
- 157
- 158
- 159
- 160
- 161
- 162
- 163
- 164
- 165
- 166
- 167
- 168
- 169
- 170
- 171
- 172
- 173
- 174
- 175
- 176
- 177
- 178
- 179
- 180
- 181
- 182
- 183
- 184
- 185
- 186
- 187
- 188
- 189
- 190
- 191