พระภาสกร ภรู วิ ฑฺฒโน (ภาวิไล) ๒. กรณีที่มีการผัสสะกับ กามาวจรอนิฏฐารมณ คือกามารมณท่ี ไมนาปรารถนา จิตท่ีเกิดขึ้นจะเปน โทสมูลจิต คือจิตโกรธ ท่ีเปนบาป และ เวทนาท่ีเกิดข้ึนจะเปน โทมนัสเวทนา คือความทุกขใจ… ซ่ึงโทมนัสเวทนา ในกรณีน้ี ยอมเปนปจจัยใหเกิดซ่ึง วิภวตัณหา ความทะยานอยากในวิภพ, ความอยากในความพรากพนไปแหงตัวตน จากความเปนอยางใดอยางหน่ึง อันไมปรารถนา อยากทําลาย อยากใหดับสูญ แตเม่ือภพ คือความเปน อยางใดอยางหนึ่งอันไมปรารถนายังดํารงอยู ไมไดแตกสลายพนไปดังใจ ปรารถนา จิตจึงมี ปฏิฆะ ความกระทบกระทั่งใจ จนเกิด โทสะ มีความคิด ประทษุ ราย ตดิ ตามมา ซึ่งแนนอนเม่ือมี โทสะ ปฏิฆะ และวิภวตัณหา ในกามภพน้ันๆ เปนปจจัย กามุปาทาน คือความยึดติดถือม่ัน ในการปฏิเสธ คัดคาน ตอตาน ตอวัตถกุ ามนัน้ ๆ ก็จะเกิดข้นึ ตามมา พรอมกบั การเพิ่ม ทิฏุปาทาน ความยึดติดถือมั่นในทิฏฐิ คือความเห็นวา วัตถุกามน้ันๆ เปนส่ิงท่ีเลว เปนส่ิงที่ไมดีไมงาม เปนส่ิงที่ไมไดนํามาซึ่งความสุข แตกลับนําความทุกขมาให เปนส่งิ ท่ีแนน อนเช่อื ถือไดว า เลว เปนกามาวจรอนิฏฐารมณ คือกามารมณท่ี ไมนาปรารถนายิ่งๆ ข้ึนไป นอกจากนี้แลว อัตตวาทุปาทาน การยึดติด ถือม่ันในวาทะวาตน ก็จะไดรับการเสริมแรง ใหถลําลึกปกใจแนนลงไปอีก เพราะสําคัญวา “ตน” เปน “เจาของ” เวทนา คือโทมนัสเวทนา ท่ีเกิดขึ้น แลวนั้น มิหนําซํ้า ยิ่งมีการปฏิบัติในศีลพรต หรือขอวัตรใดๆ แลวมีสวน ทําใหสามารถหลบหนี พนไปไดจากกามาวจรอนิฏฐารมณ คือกามารมณท่ี ไมนาปรารถนา อันมีเวทนาเปนโทมนัส คือความทุกขใจดังกลาวแลวนั้น สีลัพพตุปาทาน ความยึดติดถือม่ันในศีลพรตน้ันๆ ก็จะถูกตอกย้ํา ใหมัน ย่ําแยยับเยินเขาไปอกี 86
ปฏจิ จสมปุ บาท สําหรบั คนรนุ ใหม ๓. กรณีที่มีการผัสสะกับอารมณ ที่เปน อรูปกรรมฐาน ๔ จาก กรรมฐานท้ัง ๔๐ กอง จิตที่เกิดข้ึนจะเปน อรูปาวจรกุศลจิต คือ จิตท่ีเปน กุศลในการบําเพ็ญสมถะกรรมฐานท่ีเปน อรูปฌาน โดยมีเวทนาเปนอุเบกขา ซ่ึงอุเบกขาเวทนาอันประณีตในกรณีนี้ ยอมเปนปจจัยใหเกิด อรูปราคะ ความติดใจในอารมณแหงอรูปฌานน้ันๆ โดยมี ภวตัณหา ความทะยานอยาก ในภพ คอื อรปู ภพอันประณตี น้นั ๆ เกิดข้ึนตามมา จากนั้น ภวตัณหา ความทะยานอยากในภพ คืออรูปภพอัน ประณีตนนั้ กจ็ ะเปนปจจัยสบื เนอื่ งตอไป ใหเ กดิ อุปาทาน ความยึดติดถือม่ัน อันไดแก ทิฏุปาทาน ความยึดติดถือม่ันในทิฏฐิ คือความเห็นวา การได เขาถึงอรูปฌาน ๔ นั้นๆ เปนส่ิงที่ดีงาม นํามาซึ่งความสงบอันประณีต เปนสภาวะอันมั่นคง เปนสิ่งที่แนนอนนาเชื่อถือ นาจะฝากผีฝากไขได เปน อรูปาวจรอฏิ ฐารมณ คอื อรูปกรรมฐานทีน่ าปรารถนายง่ิ ๆ ขึน้ ไป นอกจากน้ีแลว อัตตวาทุปาทาน การยึดติดถือม่ันในวาทะวาตน ก็จะไดรับการเสริมแรง ใหถลําลึกปกใจแนนลงไปอีก เพราะสําคัญวา “ตน” เปน “เจาของผูเขาถึง” เวทนา คืออุเบกขาเวทนาอันประณีต ที่เกิดข้ึน มาแลวน้ัน มิหนําซ้ํา ยิ่งมีการปฏิบัติในศีลในพรต หรือในขอวัตรใดๆ แลว มีสวนทําใหสามารถเขาถึงไดซึ่ง อรูปกรรมฐาน อันมีเวทนาเปนอุเบกขา อันประณีตอยางยิ่งเชนน้ันแลว สีลัพพตุปาทาน ความยึดติดถือม่ันใน ศลี พรตน้นั ๆ กจ็ ะถูกตอกยํา้ ปก แนน ใหติดยดึ จัง๋ หนับเขาไปอีก ๔. กรณีที่มีการผัสสะกับอารมณ ที่เปน รูปกรรมฐาน ๓๖ ใน กรรมฐานทั้ง ๔๐ กอง จิตท่ีเกิดขึ้นจะเปน รูปาวจรกุศลจิต คือ จิตท่ีเปนกุศล ในการบําเพ็ญสมถะกรรมฐานทเ่ี ปน รปู ฌาน โดยมีเวทนาเปน อุเบกขา สุข ปติและสุข หรือเพียงอุปจารสมาธิบาง ซึ่งเวทนาดังท่ีไดกลาวมานี้ ยอมเปน ปจ จยั ใหเกดิ รปู ราคะ ความติดใจในอารมณแหงรปู ฌานนั้นๆ โดยมี ภวตัณหา ความทะยานอยากในภพ คือรูปภพอันประณตี น้นั ๆ เกดิ ข้นึ ตามมา 87
พระภาสกร ภรู ิวฑฒฺ โน (ภาวไิ ล) แลว ภวตัณหา ความทะยานอยากในภพ คือรูปภพอันประณีตนั้น จึงไดเ ปน ปจ จัยสืบเนือ่ งตอไป ใหเ กดิ อปุ าทาน ความยึดติดถือมั่น อันไดแก ทิฏุปาทาน ความยึดติดถือมั่นในทิฏฐิ คือความเห็นวา การไดเขาถึง รูปฌาน หรือการมีรูปกรรมฐานน้ันๆ เปนอารมณ เปนสิ่งที่ดีงาม นํามาซ่ึง ความสงบ ความสุข หรือความอ่ิมเอมใจอันประณีต เปนสภาวะอันม่ันคง เปนส่ิงที่แนนอน นาเช่ือถือ ควรท่ีจะฝากผีฝากไขได เปนรูปาวจรอิฏฐารมณ คือรปู กรรมฐาน ทนี่ า ปรารถนายง่ิ ๆ ขึน้ ไป นอกจากนี้แลว อัตตวาทุปาทาน การยึดติดถือมั่นในวาทะวาตน ก็จะไดรับการเสริมแรง ใหถลําลึกปกใจแนนลงไปอีก เพราะสําคัญวา “ตน” เปน “เจาของผูเขาถึง” เวทนา คือ อุเบกขาเวทนา สุข ปติ และความแนวแน อันประณีต ท่ีเกิดข้ึนแลวนั้น มิหนําซ้ํา ย่ิงมีการปฏิบัติในศีลพรต หรือใน ขอวัตรใดๆ แลว มีสวนทําใหสามารถเขาถึงรูปกรรมฐาน ที่มีเวทนาอัน ประณีตอยางยิ่ง เชนที่กลาวมาแลวนั้น สีลัพพตุปาทาน ความยึดติดถือมั่น ในศีลพรตนนั้ ๆ ก็จะถูกตอกย้ํา ปกแนน ใหต ดิ ยดึ จ๋งั หนับเขา ไปอีก 88
พระภาสกร ภรู วิ ฑฒฺ โน (ภาวไิ ล) จิตอาศัย ถาจิตนึกคิดปรุงแตงถึงสิ่งใดสิ่งหนึ่งอยูบอยๆ เปนอาจิณ เปนท่ีหลงใหลพอใจของจิต ที่นั่นก็เปนภพของจิต ถาจิตมีความหวงกังวล อาลัยอาวรณ กับส่ิงน้ันบาง ส่ิงนี้บาง หรือจิตไปยึดเหนี่ยว ยึดม่ันในสิ่งใด ส่ิงน้ันก็เปนภพของจิต ถาจิตมีอุปาทาน หลงผิดยึดม่ัน ไปเกาะอยูตรงไหน ตรงนั้นนั่นแหละ เปน ภพ คือท่ีอยขู องใจ หรือทอ่ี นั จติ อาศัยท้งั หมด ภพ คอื ภาวะชวี ติ ไดแ ก ภพ ๓ อกี นัยหน่งึ วา ไดแก กรรมภพ ภพคือกรรม (active-process of becoming) - ตรงกับ อภสิ งั ขาร ๓ อปุ ปตติภพ ภพคอื ทีอ่ บุ ัติ (rebirth-process of becoming) - ตรงกบั ภพ ๓ ภพ ๓ คอื ภาวะชวี ติ ของสตั ว, โลกเปนท่อี ยูของสัตว (existence, sphere) ๑. กามภพ ภพที่เปน กามาวจร, ภพของสัตวที่ยังเสวยกามคุณ คือ อารมณแหงอินทรยี ทัง้ ๕ ไดแ ก อบาย ๔, มนุษยโลก, และกามาวจรสวรรค ๖ ๒. รูปภพ ภพที่เปนรูปาวจร, ภพของสัตวผูเขาถึงรูปฌาน ไดแก รูปพรหมทง้ั ๑๖ ๓. อรูปภพ ภพที่เปนอรูปาวจร, ภพของสัตวท่ีเขาถึงอรูปฌาน ไดแก อรูปพรหมทั้ง ๔ ภูมิ ๔ หรอื ๓๑ คอื ชั้นแหงจิต, ระดับจิตใจ ระดับชีวิต มี ๔ คอื ๑. อบายภูมิ ๔ หมายถึง ภูมิที่ปราศจากความเจริญ มี ๔ คอื ๑) นิรยะ นรก, สภาวะหรือที่อันไมมีความสุขความเจริญ, ภาวะ เรา รอนกระวนกระวาย ๒) ตริ ัจฉานโยนิ กําเนดิ ดริ ัจฉาน, พวกมดื มวั โงเขลา 90
ปฏจิ จสมปุ บาท สาํ หรบั คนรุน ใหม ๓) ปต ตวิ ิสัย แดนเปรต, ภูมแิ หงผหู วิ กระหาย ไรส ขุ ๔) อสรุ กาย พวกอสรู , พวกหวาดหวน่ั ไรค วามร่นื เริง ๒. กามสุคติภูมิ ๗ หมายถึง กามาวจรภูมิท่ีเปนสุคติ, สุคติภูมิ ซง่ึ ยงั เก่ียวขอ งกับกาม คอื ๑) มนษุ ยโลก โลกคอื หมมู นุษย, ชาวมนุษย และ กามาวจรสวรรค ๖ คอื ๒) จาตุมหาราชิกา สวรรคช ้นั ทท่ี า วมหาราช ๔ ปกครอง ๓) ดาวดงึ ส สวรรคเ ปนแดนแหง เทพ ๓๓ อนั มีทา วสักกะเปนใหญ ๔) ยามา สวรรคเ ปนแดนแหง เทพผูป ราศจากความทกุ ข ๕) ดสุ ติ สวรรคเปน แดนแหงเทพผูเ อบิ อ่ิมดว ยสริ ิสมบัตขิ องตน ๖) นมิ มานรดี สวรรคเ ปน แดนแหง เทพผูยนิ ดีในการเนรมิต ๗) ปรนิมมิตวสวัตดี สวรรคเปนแดนแหงเทพ ผูยังอํานาจเปนไป ในสมบตั ทิ ่มี ีผูนิรมติ ให ภูมิทั้ง ๑๑ ใน ๒ หมวดนี้ รวมเปน กามาวจรภูมิ ๑๑ คือชั้นท่ียัง ทอ งเทยี่ วอยูใ นกาม ๓. รูปาวจรภูมิ ๑๖ หมายถึง ชัน้ ที่ทอ งเท่ยี วอยใู นรปู , ชัน้ รปู พรหม คือ ก. ปฐมฌานภูมิ ๓ คือระดบั ปฐมฌาน คือ ฌาน ๑ ๑) พรหมปาริสัชชา พรหมพวกท่ีเปนบริษัทบริวาร ของทานทาว มหาพรหม (สาวกภูมิ) ๒) พรหมปุโรหิตา พรหมพวกท่ีเปนปุโรหิต ของทานทาว มหาพรหม (ปจ เจกภูม)ิ ๓) มหาพรหมา พรหมพวกท่ีเปนใหญเปนหัวหนาในหมูพรหม (พทุ ธภมู ิ) 91
พระภาสกร ภรู วิ ฑฺฒโน (ภาวไิ ล) ข. ทตุ ยิ ฌานภมู ิ ๓ คือระดับ ทุตยิ ฌาน คือ ฌาน ๒ ๔) ปรติ ตาภา พรหมพวกท่ีมรี ัศมนี อย (สาวกภมู )ิ ๕) อปั ปมาณาภา พรหมพวกทมี่ ีรัศมีประมาณไมไ ด (ปจเจกภูมิ) ๖) อาภสั สรา พรหมพวกทม่ี ีรศั มสี ุกปล่ังซานไป (พทุ ธภูม)ิ ค. ตติยฌานภมู ิ ๓ คอื ระดับ ตติยฌาน คอื ฌาน ๓ ๗) ปรติ ตสุภา พรหมพวกทมี่ ลี าํ รัศมงี ามนอ ย (สาวกภูม)ิ ๘) อัปปมาณสุภา พรหมพวกที่มีลาํ รัศมงี ามประมาณมิได (ปจเจกภมู )ิ ๙) สภุ กณิ หา พรหมพวกที่มี ลาํ รัศมงี ามกระจา งจา (พุทธภูม)ิ ง. จตุตถฌานภูมิ ๓-๗ คอื ระดบั จตุตถฌาน คือ ฌาน ๔ ๑๐) เวหัปผลา พรหมพวกท่มี ี ผลอนั ไพบลู ย ๑๑) อสญั ญสี ตั ว พรหมลูกฟก หรอื พวกสตั วทป่ี ราศจากสัญญา สุทธาวาส ๕ คอื พวกทีม่ ที ่ีอยูอ ันบริสุทธ์ิ, ท่ีเกิดของทานผูบริสุทธ์ิ คอื พระอนาคามี ๑๒) อวหิ า พรหมอนาคามี ผูไมเส่ือมหรอื ละไปเรว็ จากสมบัตขิ องตน ๑๓) อตปั ปา พรหมอนาคามี ผไู มเ ดอื ดรอ นไปกบั ใคร ๑๔) สทุ ัสสา พรหมอนาคามี ผมู ีความงดงามนาทศั นา ๑๕) สุทสั สี พรหมอนาคามี ผูมีทศั นาการมองเห็นไดแ จงชัด ๑๖) อกนิฏฐา พรหมอนาคามี ผูมีความสูงสุด มิไดมีความดอย หรอื เล็กนอยกวาใคร 92
ปฏิจจสมุปบาท สาํ หรับคนรุน ใหม ๔. อรูปาวจรภูมิ ๔ หมายถึง ชั้นที่ทองเที่ยวอยูในอรูป, ชั้น อรูปพรหม คือ ๑) อากาสานญั จายตนภูมิ อรูปพรหมที่เขาถงึ ภาวะทีม่ อี ากาศไมมที ีส่ ุด ๒) วิญญาณัญจายตนภูมิ อรปู พรหมทเี่ ขา ถงึ ภาวะท่ีมีวญิ ญาณ คือการรูไมมีทีส่ ุด ๓) อากิญจญั ญายตนภูมิ อรปู พรหมทีเ่ ขาถงึ ภาวะท่ไี มมีอะไรแมสักนดิ หน่งึ ๔) เนวสญั ญานาสัญญายตนภมู ิ อรูปพรหมที่เขาถึง ภาวะที่จะมีสัญญาก็ไมใ ช จะไมม สี ญั ญาก็ไมใ ช ในปฏิจจสมปุ บาทสาํ หรับคนรุนใหมน ี้ แสดงภพในแงของ จิตอาศัย เปนสําคัญ แตก็มีความตอเนื่องเชื่อมโยงกับภพ ในแงของ กายอาศัย อยางใกลชดิ อยูดวย ภพอันจิตอาศัย คือกรรมภพ หรือเจตนาภพ บังเกิดมาแตกรรม คือการปรุงแตงของจิต (active process of becoming) ในแตละรอบของ ขบวนวิถกี ารปรงุ แตง (อภสิ งั ขาร ๓) ซงึ่ จําแนกครา วๆ ได ๒ ลักษณะคอื ๑. มิจฉาทิฏฐิ-ภพ คือ ภพอันเนื่องจากมิจฉาทิฏฐิ คือ ความเห็นผิด ไปจากความเปน จรงิ ทีจ่ ิตไปกาํ หนดตดั สินเอาเองวา กามคุณ หรือกามวัตถุใดๆ เปนสิ่งที่ดี มีคุณคา เปนอิฏฐารมณ คืออารมณที่นาปรารถนา ที่นําความสุข มาให หรือไปกําหนดตัดสินวา กามคุณ หรือกามวัตถุใดๆ เปนส่ิงที่เลว ไมมี คณุ คา เปน อนฏิ ฐารมณ คืออารมณท ่ีไมน า ปรารถนา ท่นี าํ ความทุกขมาให ๒. โมหะ-ภพ คือภพอันเนื่องจากโมหะ คือ ความหลง ไมรูสภาพ ตามความเปนจริง ท่ีปกปด กําบัง หรืออําพรางความเปนจริงเอาไว เชน หลงยึดตดิ ในสุขสงบอนั เกิดจากฌาน 93
ปฏิจจสมุปบาท สาํ หรับคนรุนใหม เพ่ือความเขาใจใน ชาติ ความเกิดทางจิต อันเน่ืองมาแต ภพ อันจิตอาศัย เปนปจจัย ขอใหมาพิจารณาภาวะของความเปนมนุษยกัน กอน ซึ่งทานโบราณจารยไดอาศัยนัยจากคําเทศนาของพระพุทธองค เชน ลักษณะของสามีภรรยา ในสังวาสสูตร อังคุตตรนิกาย จตุกกนิบาต พระไตรปฎกภาษาไทย ฉบับมหาจุฬาฯ เลมที่ ๒๑ ขอที่ ๕๓ หนา ๘๘ ท่ีเปรียบสามีหรือภรรยาท่ีประพฤติช่ัว กระทําแตอกุศลกรรม วาเปน ชายผี หญิงผี สวนสามีหรือภรรยาที่ประพฤติดีประกอบแตกุศล วาเปนชายเทวดา หญิงเทวดา ทานโบราณาจารย จึงจําแนกมนุษยไวเปนประเภทตางๆ ๕ ประเภท ตาม “คุณภาพจิต” และ “พฤตกิ รรม” คือ ๑. มนุสสมนุสโส คือ มนุษยท่ีมีจิตใจเปนมนุษย เปนมนุษยที่ สมบูรณแกลวกลา เพราะคําวา “มนุษย” น้ัน แปลวา ผูมีใจสูง คือสูงดวย คุณธรรม มีศีล ๕ เปนบาทฐาน ไมทําใหใครเดือดรอน เคารพกฎเกณฑ ของสังคม มีธรรมะ คือความเมตตากรุณา ไมฆา ไมเบียดเบียนสัตวหรือใครๆ เปนตน ท้ังเปน ผรู ูจ กั เหตทุ ีส่ มควรและไมสมควร รูจักวาอะไรเปนประโยชน อะไรไมเปนประโยชน อะไรเปนกุศล อะไรไมเปนกุศล มีคุณภาพจิต สมรรถภาพจิต และสุขภาพจิตที่ดี ถามนุษยไมรูส่ิงเหลานี้ มนุษยก็ไมตางกับ สัตวเ ดยี รัจฉาน มนุษยท มี่ จี ติ ใจเปน มนุษย ทานจึงเรียกวา “มนสุ สมนสุ โส” ๒. มนุสสติรัจฉาโน คือ มนุษยท่ีมีจิตใจเหมือนเดียรัจฉาน หรือ สัตวในรางมนุษย คือ คนทั่วไปท่ีไมมีศีลธรรม มีศีลไมครบ ๕ ขอ ไมสนใจ ในการสรางความดี ใชชีวิตอยูไปเปนวันๆ ไมรูวาอะไรดีอะไรช่ัว เอาแตกิน นอน และสืบพันธุเทานั้น และดวยเหตุท่ีมีศีลไมครบ คือไมเต็มท้ัง ๕ ขอ จึงเปนเหตุใหยอหยอนในความแกลวกลา มีความกลัว มีความขลาดเขลา เปนเจาเรือน เชนเดียวกันกับสัตวเดียรัจฉาน ท่ีตองคอยหวาดระแวง หลบ ซอน หนภี ัยจากสตั วทีใ่ หญกวาดุรา ยกวา จะมาทํารายหรือจับกินเปนอาหาร ซ่ึงเปนไปตามวัฏจักรหวงโซของอาหารตามกฎของธรรมชาติ ทานเรียกวา “มนสุ สติรัจฉาโน” 95
พระภาสกร ภรู ิวฑฺฒโน (ภาวิไล) ๓. มนุสสเปโต คือ มนุษยท่ีมีจิตใจเหมือนเปรต หรือเปรตใน รางมนุษย มคี วามหิวกระหาย ทุรนทรุ าย ตะกละ ละโมบ อยากได ตองการ อยูเสมอ ไมรูจักอิ่ม ไมรูจักเต็ม ไมรูจักพอ อันเปนไปดวยอํานาจของ ความโลภ (โลภมูลจิต) จริงอยู ท่ีมนุษยปกติธรรมดา เมื่อประสบเขากับ อิฏฐารมณ คืออารมณที่นาปรารถนา อันตนมีอุปาทานยึดม่ันสําคัญหมาย เคยตั้งคาต้ังราคาเอาไว ยอมเกิดความโลภ ความปรารถนาอยากได อยากมี อยากเปน ในสง่ิ นั้น แตต ราบใดก็ตาม ทจ่ี ติ ยังมีกฎเกณฑข องศีล ๕ กํากับอยู แมจะอยากได อยากมี อยากเปนมากมายเพียงใด แตท่ีจะใหทําผิดศีล ขอหนึ่งขอใดใน ๕ ขอน้ัน ไมมีทางเด็ดขาด อยางนี้ ทานยังไมเรียกวา มนสุ สเปโต ดวยยงั เปน มนุสสมนสุ โส สมบรู ณอ ยู แตเมื่อใดท่ีความโลภ ความปรารถนาอยากได อยากมี อยากเปน ในสิ่งน้ัน มีกําลังมาก จนศีลไมมีกําลังพอที่จะขวางก้ันใจไวได… ความโลภ มีกําลังมากพอที่จะเบียดเบียน ฆาฟน ทํารายผูอื่น เพ่ือใหไดมาซ่ึงสิ่งที่ ปรารถนานั้นๆ หรือมากพอที่จะขโมย หยิบฉวย คดโกง จนถึงทําลายสัจจะ โกหก หลอกลวง ใหไดมาซ่ึงสิ่งอันตนปรารถนานั้นๆ จิตท่ีทุรนทุราย ดวย ความตะกละ ละโมบ โลภมากเชนนี้ ยอมเขาถึงภาวะของความเปนเปรต ที่เรียกวา “มนุสสเปโต” แมกายหยาบภายนอกเปนมนุษย แตกายละเอียด คืออาทิสมานกาย หรือกายทิพยภายใน อันสรางข้ึนดวย จิต ที่มีความโลภ ครอบงํา ปรากฏโดยศักยภาพแหงความเปนเปรต ซ่ึงผูมีจักษุ (ตา) ทิพย พึงรูได โบราณาจารยเรียกวา นี้คือ “มนุสสเปโต” หรือมนุษยผูมีใจเปนเปรต หรือมีใจอยใู นภพของเปรต ๔. มนุสสนิรยโก คือ มนุษยท่ีมีจิตใจเหมือนสัตวนรก หรือสัตว นรกในรางมนุษย เปนผูถูกกิเลสครอบงํา เห็นกงจักรเปนดอกบัว มีความ เรารอน โกรธแคน อาฆาตพยาบาท อยากทําลาย อยากใหบุคคล-ส่ิงท่ีเปน ปฏิปกษ แตกดับสูญสิ้นไป ไมรูจักเย็น ไมรูจักความสงบระงับ มีจิตที่ปราศจาก ความสุข ดวยอํานาจของความโกรธ (โทสมลู จติ ) และความหลง (โมหมลู จติ ) 96
ปฏจิ จสมปุ บาท สําหรับคนรนุ ใหม มนุษยท่ัวไป เม่ือประสบกับอนิฏฐารมณ คืออารมณท่ีไมนา ปรารถนา อันตนมีอุปาทานยึดม่ันสําคัญหมาย ต้ังคาตั้งราคาเอาไว วาจะ เปนส่ิงท่ีกอทุกขโทษใหเกิดข้ึนแกตน เขายอมเกิดปฏิฆะ ความขัดเคืองใจ ความเรารอน โกรธแคน อาฆาต พยาบาท อยากทําลาย อยากใหบุคคล หรือส่ิงท่ีเปนปฏิปกษแตกดับสูญส้ินไป แตตราบใดก็ตาม ที่ยังมีกฎเกณฑ ของศีล ๕ กํากับไวอยู แมจะโกรธแคน อาฆาต พยาบาท มากนอยเพียงใด ก็ไมยอมผิดศีลขอหน่ึงขอใดใน ๕ ขอนั้น โดยเด็ดขาด อยางน้ีทานยังไม เรยี กวา มนุสสนิรยโก ยงั เปน มนสุ สมนสุ โส สมบูรณอยู แตเมื่อใดท่ีความเรารอน โกรธแคน อาฆาต พยาบาท อยากทําลาย อยากใหบ คุ คลหรอื ส่ิงท่ีเปน ปฏิปก ษแตกดับสูญส้ินไปมีกําลังมาก เกินกําลัง ของศีลที่จะขวางก้ันใจไวได ความโกรธมีกําลังมากพอที่จะเบียดเบียน ฆาฟน ทํารายผูอื่น เพื่อใหพนไปจากส่ิงที่ไมปรารถนานั้นๆ หรือมากพอที่จะขโมย หยิบฉวย คดโกง จนถงึ ทาํ ลายสจั จะ โกหก หลอกลวง เพ่ือพรากพนไปจาก ส่ิงหรือภาวะที่ไมปรารถนาน้ันๆ จิตที่ทุรนทุราย ดวยโกรธแคนและเรารอน เชนนี้ ยอมเขาถึงภาวะของความเปนสัตวนรก ท่ีเรียกวา มนุสสนิรยโก แมกายหยาบภายนอกเปนมนุษย แตกายละเอียด คืออาทิสมานกาย หรือ กายทพิ ยภ ายใน อันถกู สรางข้นึ ดวย จิต ท่ีมคี วามโกรธครอบงาํ ปรากฏโดย ศกั ยภาพแหงความเปนสัตวนรก ซึ่งผูมีจักษุ (ตา) ทิพยพึงรูได โบราณาจารย ทา นเรยี กวา “มนสุ สนิรยโก” คือ มนษุ ยผ มู ใี จเปน สัตวนรก มีใจอยใู นนรก ๕. มนุสสเทโว คือ มนุษยที่มีจิตใจเหมือนเทวดา มนุษยท่ีเปน เสมือนเทพ ไดรับยกยองใหเปนสมมุติเทพผูประเสริฐ เปนท่ีพึ่งพิงอิงอาศัย ของชาวโลก มีเทพสมบัติ คือ หิริ ความละอายแกใจ ละอายตอความชั่ว และ โอตตัปปะ ความกลวั บาป เกรงกลัวตอทุจริตความช่ัวเหมือนกลัวอสรพิษ ไมอ ยากเขา ใกล หลกี ใหไกล ผใู ดมีพรอ มทง้ั สองอยา งน้ี กเ็ พียงพอแลวท่ีจะ “คุมครองโลก” ใหสงบรมเย็นและย่ังยืน ก็ถือวาเปน “เทวดา” ได คือเปน ผูรูจ ักละอายชว่ั กลวั บาป รืน่ เรงิ บันเทงิ อยู ทา นเรยี กวา “มนสุ สเทโว” 97
พระภาสกร ภูรวิ ฑฺฒโน (ภาวไิ ล) เทาที่ทา นโบราณาจารยจ าํ แนกมนษุ ยไวต าม “คณุ ภาพจิต” และตาม “พฤติกรรม” มีปรากฏอยูเพียง ๕ ประเภทตามท่ีกลาวมาแลวนี้ แตเพื่อให ครอบคลุมกวางขวางยงิ่ ข้นึ ผูเ ขยี นจึงไดเพ่มิ เขา ไปอกี ๓ ประเภท คอื ๖. มนุสสวินิปาโต คือ มนุษยที่มีจิตใจเหมือนอสุรกาย หรือ อสุรกายในรางมนุษย เปนผูมีความปรารถนาอันลามก มีความเห็นผิด ทํานองคลองธรรม ยินดีในวัตถุกาม หรือสิ่งปฏิกูล อันชนทั่วไปพึงรังเกียจ มีความสะดุง หวาดหวั่น ไรความรื่นเริง ดวยกลัววาผูอ่ืนจะมาลวงรู ในวิสัย อันผิดปกติผดิ ธรรมดาแหง ตน ซงึ่ เปนไปและดํารงอยู ดวยอํานาจของความ หลงผดิ (โมหมลู จิต) วนิ บิ าต หมายถงึ โลก หรอื วิสัย เปนทตี่ กไปแหงสตั วอ ยางไรอํานาจ , แดนเปนที่ตกลงไปพินาศยอยยับ, กําเนิด อสุรกาย “พวกอสูร” ภพแหง สัตวเ กิดในอบายพวกหนึ่ง เปนพวกสะดงุ หวาดหว่ัน ไรความร่นื เริง เชนเดียวกับกรณีของเปรตและสัตวนรก มนุษยมีสมรรถภาพท่ีจะ คิดนึกปรุงแตงไปตางๆ นาๆ กอใหเกิดความคิดใหมๆ ท่ีสรางสรรค หรือ แตกตางไปจากท่ีรับรูคุนเคยกันมาตั้งแตดั้งเดิม แตตราบใดก็ตาม ท่ีจิตยังมี กฎเกณฑของศีล ๕ กํากับไวอยู แมจะปรุงแตงสรางสรรคพิสดารไปมากมาย ลํ้าลกึ เพียงใด แตท ี่จะใหม าผดิ ศีลขอหนึง่ ขอ ใดใน ๕ ขอ นั้น ไมมีทางเด็ดขาด อยา งน้ียังไมเรียกวา มนุสสวนิ ิปาโต ดวยยงั เปน มนสุ สมนสุ โส สมบูรณอยู แตเมื่อใดท่ีความปรารถนาอันลามก ที่เห็นผิดจากทํานองคลองธรรม ยินดีในวัตถุกาม หรือสิ่งปฏิกูลอันชนท่ัวไปพึงรังเกียจน้ัน มีกําลังมาก จนศีล ไมมีกําลังพอที่จะขวางกั้นใจไวได และความปรารถนาอันลามกหลงผิดน้ัน มีกําลังมากพอท่ีจะเบียดเบียน ฆาฟน ทํารายผูอื่น เพื่อใหไดมาซึ่งสิ่งท่ี ปรารถนาลามกนนั้ ๆ หรอื มากพอทจี่ ะขโมย หยิบฉวย คดโกง จนถึงทําลาย สัจจะ โกหก หลอกลวง เพ่ือใหไดมาซึ่งส่ิงอันตนปรารถนาลามกน้ันๆ จิตท่ี ทุรนทุราย โหยหา หลบเรน ดวยความลามกหลงผิดเชนน้ี ยอมเขาถึงภาวะ ของความเปน อสุรกาย ท่สี มมติเรียกวา มนสุ สวนิ ปิ าโต 98
ปฏิจจสมปุ บาท สําหรบั คนรนุ ใหม แมกายหยาบภายนอกเปนมนุษย แตกายละเอียด คืออาทิสมานกาย หรือกายทิพยภายใน อันสรางขึ้นดวย จิต ท่ีมีความลามกหลงผิดครอบงํา ปรากฏโดยศักยภาพแหงความเปนอสุรกาย ซึ่งผูมีจักษุ (ตา) ทิพยพึงรูได น้จี งึ เรยี กวา “มนุสสวนิ ิปาโต” หรอื มนษุ ยผูม ใี จเปนอสรุ กาย หรือมีใจอยูใน ภพของอสุรกาย พรหม หมายถึง ผูประเสริฐ, เทพในพรหมโลก เปนผูไมเก่ียวของ ดวยกาม มอี ยู ๒ จําพวก คอื รปู พรหม มี ๑๖ ชน้ั และอรปู พรหม มี ๔ ชน้ั พรหมโลก คือ ที่อยูของพรหม ซ่ึงตามปกติ “พรหมโลก” จะหมายถึง รปู พรหม ซ่งึ มอี ยู ๑๖ ชัน้ (เรยี กวา รูปโลก) ตามลาํ ดบั ดงั นี้ ๑. พรหมปาริสชั ชา ๒. พรหมปุโรหิตา ๓. มหาพรหมา ๔. ปริตตาภา ๕. อปั ปมาณาภา ๖. อาภสั สรา ๗. ปริตตสุภา ๘. อปั ปมาณสภุ า ๙. สุภกิณหา ๑๐. อสัญญสี ตั ตา ๑๑. เวหัปผลา รวมกบั สุทธาวาส คอื ช้ันของพรหมทีเ่ ปน พระอนาคามี อกี ๕ ชั้น คือ ๑๒. อวหิ า ๑๓. อตปั ปา ๑๔. สุทัสสา ๑๕. สุทัสสี ๑๖. อกนฏิ ฐา นอกจากนี้ยงั มี อรปู พรหม ซง่ึ แบง เปน ๔ ช้นั (เรียกวา อรูปโลก) คือ ๑. อากาสานัญจายตนะ ๒. วญิ ญาณัญจายตนะ ๓. อากิญจัญญายตนะ ๔. เนวสัญญานาสัญญายตนะ พรหมวิหาร หมายถึง ธรรมเคร่ืองอยูของพรหมคือผูประเสริฐ, ธรรมประจําใจอันประเสริฐ, ธรรมประจําใจของทานผูมีคุณความดีย่ิงใหญ มี ๔ คอื เมตตา กรุณา มุทิตา อเุ บกขา 99
พระภาสกร ภรู วิ ฑฺฒโน (ภาวิไล) ๗. มนุสส-รูปพรหม คือ มนุษยท่ีมีจิตใจเหมือนพรหม หรือ มนุษยที่เปนเสมือนพรหม เปนผูไมเกี่ยวของดวยกาม เปนผูประเสริฐดวย ความเปน ผูมี “พรหมสมบัติ” คือ รูปฌาน และพรหมวิหารธรรม คือมีทั้ง เมตตา กรุณา มุทิตา และอุเบกขา ถาผูใดถึงพรอมดวยประการทั้งสองนี้ แมประการหนึ่ง ก็สามารถเรียกไดว า เปน “มนสุ ส-รปู พรหม” ๘. มนุสส-อรปู พรหม คอื มนษุ ยทีม่ ีจติ ใจเหมือนอรูปพรหม หรือ มนุษยที่เปนเสมือนอรูปพรหม เปนผูไมเก่ียวของดวยกาม เปนผูประเสริฐ ดวยความเปนผูมี “อรูปสมบัติ” คือ อรูปฌาน ซึ่งมนุษยผูใดท่ีดําเนินจิต เขาถึงอรูปฌานอยู หรือเสวยผลแหงอรูปฌานอยู ก็สามารถเรียกไดวา เปน “มนุสส-อรูปพรหม” จากภาวะของความเปนมนุษยท่ีไดจําแนกมาแลวทั้ง ๘ ประเภท คือท่ีทานโบราณาจารยไดแสดงไวแลว ๕ ประเภท และท่ีไดเพ่ิมเขามาให สมบรู ณอีก ๓ ประเภท เปน การแสดงใหเ ราไดรวู า ในทกุ ๆ รอบของสังขาร การปรุงแตงท่ีเกิดข้ึนทางใจน้ัน สงผลใหเกิดภพ คือภพอันจิตอาศัยข้ึนมา และดวยอาํ นาจของภพอันจิตอาศัยน้ีเอง ท่ีเปนปจจัยใหเกิดชาติทางจิต คือ ภาวะของความเปนมนษุ ย ทแ่ี ตกตางกนั ทง้ั ๘ ประเภท ดังทีก่ ลา วมาแลว เม่ือมาไลเรียงจากการปรุงแตงของจิต ที่เปนไปในอภิสังขาร ๓, ๔ กลาวคอื ๑. กามาวจร-ปุญญาภิสังขาร ปรุงแตงเปนบุญ ดวยกุศลเจตนาใน กศุ ลกรรมบถ ๑๐ ๒. กามาวจร-อปุญญาภิสังขาร ปรุงแตงเปนบาป ดวยอกุศลเจตนาใน อกศุ ลกรรมบถ ๑๐ ๓. รูปาวจร-ปุญญาภิสังขาร ปรุงแตงเปน รูปฌาน-สมถกรรมฐาน ดว ยการเพงอารมณจนใจแนว แน เปน อปั ปนาสมาธิ มีรปู ธรรมเปนอารมณ ๔. อรปู าวจร-อาเนญชาภิสังขาร ปรุงแตงเปน อรูปฌาน-สมถกรรมฐาน ดวยการเพง อารมณจ นใจแนวแน เปน อัปปนาสมาธิ มีอรูปธรรมเปน อารมณ 100
ปฏจิ จสมุปบาท สาํ หรับคนรุน ใหม ทง้ั หมดนก้ี อ ใหเ กิดภพชาติอนั จติ อาศยั ดังตอไปนี้ ๑. ถาเปนการปรุงแตงที่เกิดข้ึนในกามาวจร โดยมีอารมณเปน อิฏฐารมณ และปรุงแตงดวย จิตโลภ ท่ีมีกําลังมากเกินกวาขอบเขตของ ศีล ๕ จะวิรัติ คืองดเวนไวได จิตนั้นยอมไดภพอันเปนมิจฉาทิฏฐิภพ คือ เห็นผิดวาอารมณน้ันเปน อิฏฐารมณท่ีดีงาม นําความสุขมาให และไดชาติ ทางใจ คอื ความมใี จเปน เปรต ทีท่ า นเรยี กวา มนุสสเปโต ๒. ถาเปนการปรุงแตงท่ีเกิดขึ้นในกามาวจร โดยมีอารมณเปน อนิฏฐารมณ และปรุงแตงดวย จิตโกรธ ที่มีกําลังมากเกินกวาขอบเขตของ ศีล ๕ จะวิรัติ คืองดเวนไวได จิตนั้นยอมไดภพอันเปนมิจฉาทิฏฐิภพ คือ เห็นผิดวาอารมณน้ันเปน อนิฏฐารมณที่เลวทราม นําความทุกขมาให และ ไดช าตทิ างใจ คอื ความมใี จเปน สตั วนรก ทที่ า นเรียกวา มนุสสนริ ยโก ๓. ถาเปนการปรุงแตงที่เกิดขึ้นในกามาวจร โดยมีอารมณเปน อิฏฐารมณ และปรุงแตงดว ย จติ หลงและลามก ที่มีกําลังมากเกินกวาขอบเขต ของศีล ๕ จะวิรัติ คืองดเวนไวได จิตนั้นยอมไดภพอันเปนมิจฉาทิฏฐิภพ คือเห็นผิดวาอารมณน้ัน (อันเปนอนิฏฐารมณ คืออารมณที่ไมดี ไมนา ปรารถนา ของบุคคลปกติ) เปน อิฏฐารมณที่ดีงาม นําความสุขมาให และ ไดช าติทางใจ คอื ความมใี จเปนอสรุ กาย ท่ีเรียกไดว า มนุสสวนิ ปิ าโต ๔. ถาเปนการปรุงแตงท่ีเกิดขึ้นในกามาวจร โดยมีอารมณเปนไดทั้ง อฏิ ฐารมณ และอนฏิ ฐารมณ เขา สสู งั ขารการปรุงแตง ดวย จติ หลง ท่ีมกี ําลัง มากเกินกวาขอบเขตของศลี ๕ จะวิรตั ิงดเวนไวได คือมีศีลไมครบทั้ง ๕ ขอ จิตนั้นยอมไดภพอันเปนมิจฉาทิฏฐิภพ คือเห็นผิดวาอารมณนั้นเปน อิฏฐารมณ ทด่ี งี าม นําความสขุ มาใหบาง เปน อนฏิ ฐารมณ ท่ีเลวทราม นําเอา ความทุกขมาใหบ าง และไดชาตทิ างใจ คอื ความมใี จเปนสตั วเดรัจฉาน ที่ทาน เรยี กวา มนุสสติรจั ฉาโน 101
พระภาสกร ภูริวฑฒฺ โน (ภาวไิ ล) ๕. ถาเปนการปรุงแตงท่ีเกิดขึ้นในกามาวจร โดยมีอารมณเปนไดท้ัง อิฏฐารมณ และอนิฏฐารมณ เขาสูสังขารการปรุงแตง ดวย จิตเปนมหากุศล บาง จิตโลภบาง จิตโกรธบาง จิตหลงบาง จิต (ใกล) ลามกบาง ท่ีมี กําลังไมเกินกวาขอบเขตของศีล ๕ จะวิรัติงดเวนไวได คือสามารถรักษาศีล ไวไดครบถวนทั้ง ๕ ขอ แมจิตนั้นจะไดภพอันเปนมิจฉาทิฏฐิภพ คือ ความเห็นผิด วาอารมณน้ันเปน อิฏฐารมณ ท่ีดีงาม นําความสุขมาใหบาง เปน อนิฏฐารมณ ท่เี ลวทราม นาํ เอาความทกุ ขมาใหบาง แตก็ยังไดชาติทางใจท่ีดี คอื ความมีใจเปนมนษุ ย ดว ยอํานาจของศีล ๕ ทที่ านเรียกวา มนสุ สมนุสโส ๖. ถาเปนการปรุงแตงท่ีเกิดข้ึนในกามาวจร โดยมีอารมณเปน อิฏฐารมณ และเขาสูสังขารการปรุงแตงดวย จิตเปนมหากุศล ที่ประกอบ ดวย หิริ ความละอายชั่ว และ โอตตัปปะ ความกลัวบาป ทั้งยังสามารถ วิรัติงดเวนรักษาศีลไวไดครบถวนทั้ง ๕ ขอ แมจิตนั้นจะไดภพ อันเปน มิจฉาทิฏฐิภพ คือความเห็นผิดวาอารมณนั้นเปน อิฏฐารมณ ที่ดีงาม นําความสุขมาให แตก็ยังไดชาติทางใจที่ดี คือความมีใจเปนเทวดา ดวย อาํ นาจของ หริ ิ และโอตตปั ปะ ทท่ี า นเรยี กวา มนสุ สเทโว ๗. ถาเปนการปรุงแตงที่เกิดขึ้นในรูปาวจร โดยมีอารมณเปน รูปกรรมฐาน ๓๖ ในกรรมฐาน ๔๐ มีสังขารการปรุงแตงเปนสมถะ คือ รูปฌาน ดว ย จติ ที่เปนรูปาวจรกศุ ลจติ มีสมาธิแนวแน เปนอุปจารสมาธิบาง ฌาน ๑ บาง ฌาน ๓ บา ง ฌาน ๔ บาง และมีความสงบระงับไปแหงกาม มี ปติ สุข และอเุ บกขาเปนเวทนา ยอมเกิด รูปราคะ ความติดใจในอารมณแหงรูปฌาน หรือรูปธรรมอันประณีตนั้นๆ แลวเกิดอุปาทาน ความยึดม่ันในสุขสงบอัน ประณีต ท่ีมาแตการดําเนินไปในรูปฌานนั้นๆ ภพที่เกิดข้ึนตามมาจึงเปน โมหะภพ ความหลงใหลติดใจในอารมณแ หงรูปฌานอันประณีตนั้น แตก็ยัง ไดชาติทางใจท่ีดี คือความมีใจเปนพรหม ผูประเสริฐ ดวยอํานาจของฌาน และความปลอดระงบั ไปแหงกามทงั้ หลาย ทเี่ รยี กไดว า มนสุ ส-รปู พรหม 102
ปฏจิ จสมุปบาท สาํ หรบั คนรุนใหม ๘. ถาเปนการปรุงแตงท่ีเกิดขึ้นใน อรูปาวจร โดยมีอารมณเปน อรูปกรรมฐาน ๔ ในกรรมฐาน ๔๐ มีสังขารการปรงุ แตง เปนสมถะ คืออรูปฌาน ดวย จิตท่ีเปนอรูปาวจรกุศลจิต โดยมีสมาธิ ความแนวแน เปนอัปปนาสมาธิ ในระดับอรูปฌาน มีความสงบระงับไปแหงกามและอุเบกขาเปนเวทนา ยอ มเกิด อรปู ราคะ คอื ความตดิ ใจในอารมณแหงอรูปฌาน หรือในอรูปธรรม อนั ประณตี นั้นๆ แลว เกิดอปุ าทาน คอื ความยดึ มั่นในความสุขสงบอันประณีต ท่ีมาแตการดําเนินไปในอรูปฌานน้ันๆ ภพท่ีเกิดขึ้นตามมาจึงเปน โมหะภพ คือความหลงใหลติดใจในอารมณแหงอรูปฌานอันประณีตนั้น แตก็ยังไดชาติ ทางใจที่ดี คอื ความมีใจเปนอรูปพรหมผูประเสริฐ ดวยอํานาจของอรูปฌาน และความปลอดระงับไปแหงกามทงั้ หลาย ท่ีเรยี กไดว า มนุสส-อรูปพรหม ส่ิงที่นาสนใจก็คือ ขณะเมื่อเรายังมีชีวิต ยังดํารงขันธ ๕ ไวไดนั้น ในทกุ ๆ รอบของการปรุงแตงทางใจ ที่เปน ไปใน อภิสังขาร ๓, ๔ (บุญ, บาป, รปู ฌาน, อรูปฌาน) ยอมเปนปจจัยตอเนื่อง ที่กอใหเกิดภพและชาติ อันจิต อาศัยข้ึนมา แมกายหยาบภายนอกจะปรากฏเปนมนุษยอยูก็ตาม แตใจก็มี การปรุงแตงเปนไปตางๆ กลาวคือ มีใจเปนพรหม ทั้งรูปพรหมและอรูปพรหม บาง หรือวามีใจเปนเทวดาบาง เปนมนุษยบาง เปนเดรัจฉาน เปนเปรต เปน อสรุ กาย เปนสัตวนรกประการตางๆ บาง อยางที่ไดบรรยายมาแลวทั้งหมด ซึ่งใจท่ีเปนไปตางๆ เชนนี้ ไมเพียงแตจะมีภพและชาติอันจิตอาศัยเกิดข้ึน เทานั้น แมกายละเอียด คืออาทิสมานกาย หรือกายทิพยภายใน อันถูกปรุงแตง สรางข้นึ ดวยจิต ก็จะปรากฏโดยศักยภาพแหงความเปนไปในภพชาติอันจิต อาศัยนั้น ซ่ึงผูมีจักษุ (ตา) ทิพยพึงทราบได และยังมีผลปรุงแตงเชื่อมโยง มาสูกายภายนอกอีกดวย คือความผองใส สดช่ืน เบิกบาน หรือความเศรา หมอง เรา รอ น เครงเครียด ที่ปรากฏใหเห็นได ท้ังบนใบหนาและเรือนกาย ของบคุ คลคนน้นั 103
พระภาสกร ภรู ิวฑฒฺ โน (ภาวไิ ล) ในพระสุตตันตปฎก ทีฆนิกาย สีลขันธวรรค โปฏฐปาทสูตร พระ พุทธองค ทรงตรัสกับโปฏฐปาทปริพาชก และจิตตหัตถิสารีบุตรไวตอนหน่ึง มีความวา …[๓๐๒] ดูกรโปฏฐปาทะ ความไดอัตตา ๓ เหลาน้ี คือ ไดอัตตา ทห่ี ยาบ ๑ ไดอ ตั ตาทสี่ ําเร็จดวยใจ ๑ ไดอ ัตตาท่หี ารปู มไิ ด ๑ ความไดอัตตาท่ีหยาบเปนไฉน คือ อัตตาที่มีรูป ประกอบดวย มหาภตู ๔ บริโภคกวลงิ การาหาร น้คี วามไดอ ตั ตาทห่ี ยาบ ความไดอัตตาท่ีสําเร็จดวยใจเปนไฉน คือ อัตตาที่มีรูปสําเร็จดวยใจ มีอวัยวะนอยใหญครบถวน มีอินทรียไมบกพรอง น้ีความไดอัตตาที่สําเร็จ ดวยใจ ความไดอัตตาท่ีหารูปมิไดเปนไฉน คือ อัตตาอันหารูปมิได สําเร็จ ดว ยสัญญา น้ีความไดอตั ตาท่ีหารูปมิได… …[๓๑๒] ดูกรจิตตะ อยางนั้นแหละ สมัยใด มีการไดอัตตาท่ีหยาบ สมัยนั้น ไมนับวาไดอัตตาท่ีสําเร็จดวยใจ ไมนับวาไดอัตตาท่ีหารูปมิได นับวา ไดอ ัตตาท่หี ยาบอยา งเดยี ว. ดูกรจิตตะ สมัยใด มีการไดอัตตาท่สี ําเร็จดว ยใจ สมัยนนั้ ไมนบั วา ไดอัตตาท่ีหยาบ ไมนับวาไดอัตตาท่ีหารูปมิได นับวาไดอัตตาที่สําเร็จดวยใจ อยางเดยี ว. ดกู รจิตตะ สมยั ใด มกี ารไดอ ัตตาที่หารปู มไิ ด สมัยนน้ั ไมนับวาได อัตตาที่หยาบ ไมนับวาไดอัตตาที่สําเร็จดวยใจ นับวาไดอัตตาท่ีหารูปมิได อยา งเดียว… จากพระสตู รท่ยี กมานี้ วเิ คราะหไดว า ๑. ความไดอ ัตตาทหี่ ยาบ หมายถึง การท่จี ิตเขา ครอบครอง ควบคุม สําคัญวาเปนเจาของ ซึ่งความเปนตัวตน ในกายหยาบ คือรางกายท่ีประกอบ ดวยธาตุ ๔ มี ดิน น้ํา ลม ไฟ และอยูไดดวยการบริโภคอาหาร (คําขาว) ทปี่ ระกอบดว ยธาตุ ๔ มี ดนิ นํา้ ลม ไฟ 104
ปฏิจจสมุปบาท สําหรบั คนรนุ ใหม ๒. ความไดอ ตั ตาที่สาํ เรจ็ ดวยใจ หมายถึง การท่จี ติ เขาครอบครอง ควบคุม สาํ คญั วา เปน เจาของ ซงึ่ ความเปน ตวั ตน ในรา งกายภายใน กายละเอียด กายทิพย หรือ อาทิสมานกาย ท่ีสําเร็จดวยใจ อันมีอวัยวะนอยใหญครบถวน มอี ินทรยี ไ มบ กพรอ ง ๓. ความไดอัตตาท่ีหารูปมิได คือ การท่ีจิตเขาครอบครอง ควบคุม สําคัญวาเปน เจา ของ ซงึ่ อรูปภาวะ (อรูปพรหม) อันสําเร็จดว ยสัญญา ซึ่งในสมัยหนึ่ง จิตจะครอบครอง ควบคุม หรือสําคัญวาเปนเจาของ ซ่ึงความเปนตัวตนในอัตตา ไดเพียงอยางใดอยางหน่ึงในสามประการน้ีเทาน้ัน ไมอาจจะครอบครอง ควบคุม ไดมากกวา หน่ึงอตั ตาในขณะเดียวกนั (ผูวิจัยใชศัพทวา “ศักยภาพ” เชน “ศักยภาพแหงความเปนไป ในภพชาติอันจิตอาศัย” เปนตน ไมไดกลาววา เปนการปรากฏรูปรางของ กายละเอียดซอนทับอยูกับกายหยาบ อยางท่ีมักมีผูอธิบายกัน เพราะยังไมพบ หลักฐานอางอิงโดยตรงท่ีมาในพระไตรปฎก ซึ่งความหมายของศักยภาพน้ี ก็คือความพรอมตอการจุติปฏิสนธิตอไป หากมีการแตกดับส้ินไปแหง กายหยาบ หรือในกรณีท่ีมีการเคลื่อนออกไปแหงจิต จากกายหยาบไปสู ภายนอก อยางกรณีท่ีเรียกกันวา “ถอดกายทิพย” หรือ การปฏิบัติแบบ มโนมยิทธิเต็มกําลัง ซ่ึงเปนการใชอํานาจของจิตท่ีเปนสมาธิ นิรมิตรูปอัน เกิดแตใจ คือนิรมิตกายอื่น (กายทิพย) นอกจากกายน้ี (กายหยาบ) ทาน เปรียบไวว า “เปรยี บเหมือนบุรุษ จะพงึ ชักไสออกจากหญา ปลอ ง” เปน ตน) 105
ปฏิจจสมุปบาท สําหรับคนรุนใหม ในเม่อื มกี ารผัสสะ เกิดวญิ ญาณความรูใหมๆ เขามาสูกระบวนการ ของการปรุงแตงใหมๆ อยูตลอดเวลา น้ีจึงเปนเหตุใหภพและชาติอันจิตอาศัย และเกิดขึ้นอยูเดิมนั้น มีความเปลี่ยนแปลง กลับกลาย สลายตัว และแตกดับ ไปอยา งรวดเรว็ พระอภิธรรมกลาวถงึ อายุของรปู วา มอี ายุอยนู านเทา กบั ๑๗ ขณะจิต หรือเทากับหนึ่งชวงวิถีจิตเทานั้น ซ่ึงสอดคลองกันกับกรณีของภพและชาติ อนั จิตอาศัย อยา งทไี่ ดบรรยายมาน้ี ความโศก ความครํ่าครวญ ทกุ ข โทมนัส คบั แคน ใจ จงึ เกดิ มีข้ึน กองทุกขท้ังมวลจงึ เกดิ มีขน้ึ ดว ยอาการอยา งนี้ กระบวนการของปฏจิ จสมุปบาทนน้ั ดําเนินสืบเนื่องหมุนเวียนกันไป ในทกุ ขณะของการดําเนินชีวิต และแมจะมีผูกลาววา ชีวิตเปนจริงก็เฉพาะที่ ปรากฏเปนปจจบุ ันขณะ แตเราก็ไมสามารถที่จะปฏิเสธถึงความสัมพันธระหวาง อดีต ปจจุบัน และอนาคตได เพราะเหตุวา ในเมื่อมีสวนยอย คือขณะจิต แตละขณะๆ คร้ันเช่ือมหลายๆ สวนยอยเขาดวยกัน จึงเปนวิถีจิต และเมื่อ หลายๆ วิถีจิตตอเน่ืองทอดยาวออกไป ในที่สุดก็กลายเปนวิถีชีวิต ฉันใด เวลาก็เชนกัน ในเมื่อมีวินาทีได ก็ยอมจะมีนาที มีนาทีได ก็ยอมจะมีช่ัวโมง มีชั่วโมงได ก็ยอมจะมีวัน มีสัปดาห มีเดือน มีป มีหลายๆ ป ทศวรรษ ศตวรรษ หลายๆ ศตวรรษ ลา นป กปั มหากปั อสงไขย ฯลฯ ได ปฏิจจสมุปบาท ก็ฉันน้ัน อาจพิจารณาในแบบพระอภิธรรม ที่แสดง ถึงกระบวนการแหงปฏิจจสมุปบาทท้ังหมด ที่เกิดครบถวนในขณะจิตอัน เดยี ว1 หรือจะขยายยืดยาวออกไป จนกลายเปนแบบขามภพขามชาติ อยาง ทพ่ี บในคมั ภีรรนุ อรรถกถา ก็ไมไ ดผ ดิ หรือเสียหายแตป ระการใด 1 เจตนาสตู ร ส.ํ นิ. ๑๖/๑๔๕/๗๘, ทกุ ขนโิ รธสตู ร สํ.นิ. ๑๖/๑๖๓/๘๗, โลกนโิ รธสตู ร ส.ํ น.ิ ๑๖/๑๖๔/๘๗, อภิธรรมภาชนยี แหงปจจยาการวิภงั ค, อภ.ิ วิ. ๓๕/๒๗๔-๔๓๐/๑๘๕-๒๕๗ 107
พระภาสกร ภูรวิ ฑฺฒโน (ภาวไิ ล) แตทั้งหมดนี้ ปฏิจจสมุปบาท ก็คือ กระบวนการหมุนเวียน เกิด-ดับ แหงชีวิต และความทุกขของบุคคล จึงควรทําความเขาใจให ชดั เจน ในความหมายของคาํ วา “ทกุ ข” เสียกอน ความหมายของคาํ วา “ทุกข” ในพทุ ธธรรม ทุกขตา ๓ หมายถึง ความเปนทุกข, ภาวะแหงทุกข, สภาพทุกข, ความเปน สภาพท่ที นไดยาก หรือคงอยูในสภาวะเดิมไมไ ด มี ๓ ประการ คือ ๑. ทุกขทุกขตา หมายถึง ทุกขท่ีเปนความรูสึกทุกข คือ ความทุกข ทางกาย (ทุกข) ความทุกขทางใจ (โทมนัส) อยางที่เขาใจกันโดยสามัญ ตรงตามชือ่ ตามสภาพ ที่เรียกกนั วา ทุกขเวทนา ซ่ึงเปนความทุกขอยางปกติ ที่เกิดขนึ้ เมื่อประสบกบั อนฏิ ฐารมณ คอื อารมณที่ไมนาปรารถนา อันกระทบ กระทัง่ บีบค้นั ๒. วิปริณามทุกขตา หมายถึง ทุกขที่เกิดแตความผันแปรของ ความสุข กลายเปนวาความสุขนั่นเอง เปนเหตุใหเกิดความทุกข เพราะ ความสุขนั้น โดยธรรมชาติก็ไมไดยั่งยืน มั่นคง หรือดํารงอยูไดตลอดไป จําตอ งเปลย่ี นแปร คลีค่ ลาย และจางหายไปในท่สี ุด ความสุขจึงมีสภาพเสมือน ทกุ ขแ ฝง ที่จะแสดงตัวออกมาทันทีเมื่อความสุขนั้นจืดจางหรือเลือนลางไป ยิ่งมีความสุขมากเทาไร ความทุกขแฝงน้ีก็ย่ิงมีมากเทานั้น แมขณะเม่ือ เสวยความสขุ อยู ครน้ั ระลึกวาความสุขเหลา น้ัน วันหน่งึ จะถึงความส้ินสุดไป ใจกห็ วาดกงั วลเสยี แลว ๓. สังขารทุกขตา หมายถึง ทุกขเพราะสภาพแหงสังขาร คือส่ิงที่ ถูกปจจัยปรุงแตงข้ึนมาทั้งปวง (เชน ธาตุ ๔, ขันธ ๕) ท่ีถูกบีบค้ันดวย กระแสของความเกิดข้ึน ต้ังอยู เส่ือมสลาย และความแตกดับ อันทําให คงอยูในสภาพเดิมไมได มีความพรองอยูเสมอเปนภาวะ ยังความทุกขใหแก ผูที่ยังไมรูเทาทัน และยังฝนตอกระแส ดวยตัณหาความทะยานอยาก และ อุปาทานความยึดมน่ั ถือมัน่ 108
ปฏิจจสมปุ บาท สําหรับคนรนุ ใหม อาสวะ ๔ วถิ เี พมิ่ พนู อวิชชา อาสวะ หมายถึง สภาวะอันหมักดองสันดาน, ส่ิงท่ีมอมพื้นจิต, กิเลส ท่ีไหลซึมซานไปยอมใจ (ใหมีอวิชชา ไมรูถูกตองตามความเปนจริงย่ิงข้ึน) เมอื่ ประสบอารมณต า งๆ อาสวะ มี ๔ ประการ ดงั นี้ ๑. กามาสวะ อาสวะคือ กาม ๒. ภวาสวะ อาสวะคือ ภพ ๓. ทฏิ ฐาสวะ อาสวะคอื ทิฏฐ1ิ ๔. อวิชชาสวะ อาสวะคอื อวิชชา อาสวะทั้ง ๔ น้ี ที่สืบเนื่องมาแตการปรุงแตงใน อภิสังขาร ๓, ๔ และสงผลซึมซานยอนกลับไปยอมใจใหมีอวิชชา ความไมรูถูกตองตาม ความเปนจริง ยง่ิ ๆ ข้นึ ไป ไมวา จะเปน ๑. กามาสวะ ที่เนื่องมาแต กามราคะ กามตณั หา และกามุปาทาน ๒. ภวาสวะ ท่ีเน่ืองมาแต ภพ ท่ีมีโมหะและมิจฉาทิฏฐิ เปนปจจัย (โมหะ-มิจฉาทิฏฐิ ภพ) ๓. ทิฏฐาสวะ ท่เี นือ่ งมาแต อุปาทาน และ มจิ ฉาทฏิ ฐิ-ภพ ๔. อวิชชาสวะ ท่ีครอบงําตลอดกระบวนการแหงปฏิจจสมุปบาท ในทศิ ท่ีกอ ใหเกดิ ภพ น้ีคือที่มาของ อวิชชา ความไมรูถูกตองตามความเปนจริง ท่ีถูก ตอกยาํ้ ใหม ากข้นึ ๆ ทุกที จนกลายเปน อนุสยั 2 สันดาน3 1 ในพระสูตรสวนมาก แสดงอาสวะไว ๓ อยา ง โดยสงเคราะหเอา ทิฏฐาสวะ เขา ไวใ น ภวาสวะ 2 อนุสัย ๗ คอื กิเลสทแ่ี ฝงตัวนอนเนอ่ื งอยูใน สนั ดาน ความสืบตอของจิต มี ๗ คือ ๑. กามราคะ ความกําหนัดในกาม ๒. ปฏิฆะ ความหงุดหงิด ๓. ทิฏฐิ ความเห็นผิด ๔. วิจิกิจฉา ความลังเลสงสัย ๕. มานะ ความถือตัว ๖. ภวราคะ ความกําหนัด ๗. อวชิ ชา ความไมร จู ริง 3 สันดาน คือ ความสืบตอแหงจิต หรือกระแสจิตท่ีเกิดดับตอเน่ืองกันมา ในภาษาไทยมักใชในความหมายวา อปุ นิสัยทีม่ มี าแตกาํ เนิด, อัธยาศัยทีม่ ตี ิดตอมา 109
พระภาสกร ภูรวิ ฑฒฺ โน (ภาวไิ ล) และวาสนา1 แหงปจเจกบุคคลนั้นๆ ท่ีเปนบาทฐานตอการปรุงแตง ตัดสินอารมณใหมๆ ทเี่ ขามากระทบ อันจะกอใหเกิดกรรมดี กรรมช่ัว ที่จะ สงผลเปนวิบากตอไป แลวแตวาจะปรุงแตงไปในกุศลกรรมบถ หรือปรุงแตง ไปในอกุศลกรรมบถ และอีกนัยหน่ึง อวิชชา ก็เปนรากเหงาของ สังโยชน2 คือ กิเลสท่ีผูกมัด รอยรดั ใจสตั วไ วกับทุกข 1 วาสนา คือ อาการกายวาจาที่เปนลักษณะพิเศษของบุคคล เกิดจากกิเลส ที่ไดส่ังสมเปนเวลานานจนเคยชิน ติดเปนพื้นประจําตัว แมจะละกิเลสน้ันไดแลว แตก็ ยังละอาการกายวาจาท่ีเคยชินไมได เชน คําพูดติดปาก อาการเดินที่เร็วหรือตวมเตี้ยม เปนตน ผูรูทานขยายความวา วาสนาท่ีเปนกุศลก็มี เปนอกุศลก็มี เปนอัพยากฤต คือ เปนกลางๆ ไมดีไมช่ัวก็มี ที่เปนกุศลกับอัพยากฤต ไมตองละ แตท่ีเปนอกุศลอันควรละน้ัน แบงเปน ๒ สวน คือ สวนท่ีจะเปนเหตุใหเขาถึงอบาย กับสวนท่ีเปนเหตุใหแสดงออก ทางกายวาจาแปลกๆ ตางๆ สวนแรกพระอรหันตทุกองคละได แตสวนหลัง เฉพาะ พระพุทธเจาเทา นน้ั ละได พระอรหันตอ่ืนละไมได จึงมีคํากลาววา พระพุทธเจาเทานั้น ละกิเลสท้ังหมดได พรอมท้ังวาสนา แตในภาษาไทย คําวา วาสนา มีความหมายเพี้ยนไป กลายเปนอาํ นาจบญุ เกาหรอื กศุ ล ทท่ี าํ ใหไ ดรับลาภยศ 2 สงั โยชน คอื กิเลสทีผ่ กู มดั รอยรัดใจสตั วไ วกับทุกข มี ๑๐ อยาง คอื ก. โอรัมภาคิยสังโยชน คือ สังโยชนเบื้องต่ํา มี ๕ อยาง คือ (๑) สักกายทิฏฐิ ความเห็นวาเปนตัวของตน (๒) วิจิกิจฉา ความลังเลสงสัย (๓) สีลัพพตปรามาส ความ ถอื มั่นศีลพรต (๔) กามราคะ ความติดใจในกาม (๕) ปฏฆิ ะ ความกระทบกระทั่งใจ ข. อุทธัมภาคิยสังโยชน คือ สังโยชนเบื้องสูง มี ๕ อยาง คือ (๖) รูปราคะ ความติดใจในรูปธรรมอันประณีต (๗) อรูปราคะ ความติดใจในอรูปธรรม (๘) มานะ ความถือวาตัวเปนนั่นเปนน่ี มีตัวตนเปรียบเทียบกับผูอื่น (๙) อุทธัจจะ ความฟุงซาน (๑๐) อวิชชา ความไมร ูจรงิ หมายเหตุ พระโสดาบัน ละสังโยชน ๓ ขอตนได, พระสกิทาคามี ทําสังโยชน ขอ (๔) และ (๕) ใหเบาบางลงดวย, พระอนาคามี ละสังโยชน ๕ ขอเบื้องตํ่าไดหมด, พระอรหันตล ะสังโยชนไดท้ังหมด ทัง้ เบอ้ื งต่ําและสูง 110
ปฏจิ จสมปุ บาท สําหรับคนรุนใหม กระบวนการแตกดบั ตายเกดิ ขา มภพขามชาติ อธิบายดว ยวงจรปฏิจจสมปุ บาทสาํ หรบั คนรุนใหม ลองนึกถึงคนท่ีใชชีวิตอยูในเมืองฮิโรชิมา ประเทศญ่ีปุน กอนท่ี มหาสงครามเอเซยี บูรพา จะยุตลิ ง… 111
พระภาสกร ภูรวิ ฑฺฒโน (ภาวิไล) คนในเมืองฮโิ รชิมา ก็เหมือนคนในเมืองใหญๆ ทั่วโลก ท่ีดําเนินชีวิต ไปตามปกติ มแี รงจูงใจ และถกู ผลักดนั ดว ยบทบาทหนาที่ ความรับผิดชอบ ในกิจการงานตางๆ มีจิตใจที่ถูกปรุงแตง เปนไปดวยอํานาจของเจตสิก คือ ธรรมท่ีประกอบกับจิต, อาการหรือคุณสมบัติตางๆ ของจิต เชน ความโลภ ความโกรธ ความหลง ศรทั ธา เมตตา สติ ปญญา เปนตน (เจตสิกมี ๕๒ อยาง โดยจัดเปน อัญญสมานาเจตสิก ๑๓ อกุศลเจตสกิ ๑๔ โสภณเจตสกิ ๒๕) และในขณะนั้นเอง ชาวเมอื งฮิโรชิมา ซ่ึงกําลังมี อภิสังขาร ๓ คือการ นึกคิดปรุงแตง สรางสรร ภพ-ชาติ อันจิตอาศัย ไปตางๆ นาๆ คือ บางก็ เปน มนสุ สมนุสโส กายเปนมนุษย ใจก็เปนมนุษย บางก็เปน มนุสสติรัจฉาโน กายเปน มนุษย ใจเปนสตั วเ ดรจั ฉาน บางกเ็ ปน มนสุ สเปโต กายเปน มนษุ ย ใจเปนเปรต บางก็เปน มนุสสวินิปาโต กายเปนมนุษย ใจเปนอสุรกาย บาง ก็เปน มนุสสนิรยโก กายเปนมนุษย ใจเปนสัตวนรก บางก็เปน มนุสสเทโว กายเปนมนุษย ใจเปนเทวดา บางก็เปน มนุสส-รูปพรหม กายเปนมนุษย ใจเปนรปู พรหม บา งก็เปน มนุสส-อรปู พรหม กายเปนมนุษย ใจเปน อรูปพรหม เปน ตน… ลูกระเบิดปรมาณูลูกหนึ่ง ก็ลอยรวงจากฟากฟา ตกลงมายังกลาง เมืองฮิโรชิมา และเกิดการระเบิดเปนดอกเห็ดขนาดยักษข้ึนไปในอากาศ พรอมทั้งแผกัมมันตภาพรังสีอันรอนแรง ออกไปเผาผลาญทําลายลาง สรรพวตั ถุ และสิ่งมีชีวิตโดยรอบ ใหแ ตกสลายกลายเปน อากาศธาตุ ดวยเวลา อนั นอยนดิ เหลอื ประมาณ คอื แทบจะทนั ทีทนั ใด… 112
ปฏิจจสมุปบาท สาํ หรบั คนรุนใหม ในเวลานัน้ ชาวฮิโรชิมาที่อยูโดยรอบรัศมีการระเบิดนั้น ไมทันรูตัว เสียดว ยซํา้ วา เกดิ อะไรขึ้น พริบตาเดียว รางกายที่เคยมี เคยทํากิจกรรมตางๆ ก็ไดแตกสลาย หายวับไป แลว เหลอื อะไร ?… “จิต” คอื หนึ่งหนวยของพลังงาน ท่ีมีวิวัฒนาการเรียนรู จนกระทั่ง กลายเปน “ธาตุรู” ท่ีสมบูรณแบบ คือมีพัฒนาการข้ึนไป จนกระทั่งมี ขันธ ๕ ครบถวน กลาวคอื ๑. รูปขันธ คือกองรูป สวนท่ีเปนรูป มีการเขารวมกับวัตถุธาตุ อื่นๆ เอามาสรางขึ้นเปนรางกาย และหลงผิดยึดถือรางกายนั้น วามันเปน รางกายของตน หรอื หลงคดิ วา ตน คือรางกายอนั นัน้ ๒. เวทนาขันธ คือ กองเวทนา สวนที่เปนการเสวยรสอารมณ, การมคี วามรูสกึ สุข ทุกข หรอื เฉยๆ ๓. สัญญาขันธ คือ กองสัญญา สวนที่เปนความกําหนดหมาย ใหจําอารมณนั้นๆ ได, ความกําหนดไดหมายรูในอารมณ ๖ เชนวา เขียว ขาว แดง ดาํ เปน ตน ๔. สังขารขันธ คือ กองสังขาร สวนที่เปนความปรุงแตง, สภาพท่ี ปรุงแตงจิต ใหดี หรือช่ัว หรือเปนกลางๆ, คุณสมบัติตางๆ ของจิต ท่ีมี เจตนาเปนตัวนาํ ปรุงแตงคุณภาพของจิต ใหเปน กุศล อกุศล อพั ยากฤต ๕. วญิ ญาณขนั ธ คือ กองวญิ ญาณ, สว นท่ีเปนความรูแจงอารมณ, ความรูอารมณทางอายตนะท้ัง ๖ มีการเห็น การไดยิน เปนตน ไดแก วิญญาณ ๖ ครั้นรูปขันธ คือรางกายของชาวฮิโรชิมา ถูกทําลายหายวับไป เปน การส้ินสดุ ของภาวะชีวิตในภพมนุษยน้ันๆ คุณสมบัติของจิตอีก ๓ ประการ คือ เวทนาขันธ สัญญาขันธ และสังขารขันธ อันเปนคุณสมบัติท่ีตองอาศัย องคประกอบของกาย คอื สว นทีเ่ ปน รปู กายนน้ั จะเปน ไปอยางไร ? 113
พระภาสกร ภรู ิวฑฒฺ โน (ภาวิไล) ในเมื่อ คุณสมบัติของจิตอีก ๓ ประการ คือ เวทนา สัญญา และ สงั ขาร เปน คณุ สมบตั ทิ ี่ตองอาศยั องคประกอบของกาย คือสวนทเี่ ปนรูปกายน้ัน เขามาเปนปจ จัยรวม เชน เวทนาขนั ธ คอื สขุ ทุกข อันอาศัยประสาทสัมผัส เปนทางเขามาแหงความรู (วิญญาณ ๖) หรือสัญญาขันธ และสังขารขันธ ท่ีตองอาศัยสมองเปนตัวกลางในการพักขอมูล และสนับสนุนในกระบวนการ นึก คิด ปรุงแตง เหลาน้ี ลวนเปนอันระงับไปพรอมๆ กับการสิ้นไปแหง รูปขันธดวย คงเหลือแต วิญญาณขันธ คือภาวะรู ธาตุรู หรือจิตนั้นเอง ซึ่งเมื่อพิจารณาในฐานะที่เปนผลรวมของความรู วิญญาณขันธ ก็จะมาทํา หนาที่ เปน จุติจิต คือ จิตสุดทายในปจจุบันภพ (เกิดขึ้นแกบุคคลที่จะตาย ในระยะทายสุดแหงวิถีจิต หรือในเม่ือภวังคจิตส้ินสุดลง แลวดับไปดวย อํานาจแหงการทาํ หนาทยี่ ายจากภพเกา ) และเมื่อจุติจติ ดับลง ในลําดับแหง จุติจิต โดยไมมีระหวางค่ัน จิตที่ชื่อวา ปฏิสนธิจิต (เพราะเน่ืองดวยสืบตอ ชาติใหมและชาติเกาทั้ง ๒ ตอกัน) ก็เกิดขึ้น และต้ังอยูในภพใหมทันที ในขณะเดยี วกนั นั้นเอง แลวภพ-ชาตใิ หม เกดิ ขึ้นมาไดอ ยางไร ? ตราบใดที่ยังมี อวิชชา ความรูไมถูกตองตามเปนจริง ในธรรมชาติ และกฎของธรรมชาติ ไมรูแจงตามเปนจริงในวัตถุ ๘ ที่ปรากฏในสังขาร ส่ิงปรุงแตงทั้งหลาย กลาวคือ (๑) ไมรูในทุกข (๒) ไมรูในเหตุใหเกิดทุกข (๓) ไมรูในความดับทุกข (๔) ไมรูในทางปฏิบัติใหถึงความดับทุกข (๕) ไมรูในสวนอดีตหรือเงื่อนตน (๖) ไมรูในสวนอนาคตหรือเงื่อนปลาย (๗) ไมรูทั้งในสวนอดีตและอนาคต คือทั้งเง่ือนตนและเงื่อนปลาย และ (๘) ไมร ูในปฏจิ จสมปุ บาท ซ่ึงโดยสรุปก็คือ ไมรู ไมเขาใจ ไมยอมรับ ในกฎธรรมชาติทั้ง ๔ อันไดแก ๑) กฎของความเปนเหตุเปนผล ๒) กฎของความเปลี่ยนแปลง ๓) กฎแหงกรรม ๔) กฎแหง เหตแุ ละปจ จยั ท่ีสืบเนอ่ื งไปสูผล 114
ปฏจิ จสมุปบาท สําหรบั คนรนุ ใหม ทั้งหมดนี้ จึงรวมลงเปนอวิชชาในฝายเหตุ ที่ยังใหเกิดอวิชชาใน ฝา ยผล อันไดแกค วามโง ความเห็นผดิ ความไมเขาใจ ท่ีทําใหติดยึดมัวเมา ในรางกาย เรียกส้นั ๆ วาเปน “ความโงในกาย” “ความโงในกาย” เปนเชนไร? คือความเห็นผิด หลงผิด เขาใจ ผิดๆ รูสึกผิดๆ ที่สั่งสมทับถมกันมา อันผิดไปจากความเปนจริงของชีวิต (อวิชชา ๘ หรือการปฏิเสธกฎธรรมชาติท้ัง ๔) ซ่ึงความเห็นผิด (มิจฉาทิฏฐิ) ความหลงผิด (โมหะ) และความไมรูตามเปนจริง (อวิชชา) เหลานั้น ลวน รวมลงไปในเร่ืองของ “กาย” และ “วัตถุธาตุ” ทั้งหลาย ซ่ึงมันเห็นผิดวา เปนส่ิงที่ใหประโยชนได เปนสิ่งที่นําความสุขมาใหได เปนส่ิงท่ีมั่นคงถาวร เปนท่ีพ่ึงพิงอิงอาศัยได สามารถแสวงหาความสุขความสบาย และความมี สาระ ควรแกการยึดถอื เอาไวไ ด ความโงใ นกายนี้ ท้ัง ความโงในกายภายนอก ไดแกความหลงผิด เขาใจผิด ใหคุณคาอยางผิดๆ อันเปนคุณคาท่ีไมไดมีอยูจริง แก “กาย” และ “วัตถุธาตุ” ท้ังหลายภายนอก กลาวคือ ความโงงมงายลุมหลง ท่ี เปนไปในรางกายชาวบาน นั่นเอง สวน ความโงในกายภายใน ไดแก ความหลงผิด เขาใจผิด ใหคุณคาผิดๆ อันเปนคุณคาที่ไมไดมีอยูจริง ใน “กาย” และ “วัตถุอันเนื่องดวยกาย” ทั้งหลายภายใน กลาวคือ ความโง ที่เปน ไป ในรางกายท่ตี นอาศยั นนั่ เอง เพราะความหลงผิด เขาใจผิด ใหคุณคาผิดๆ ไปในกายท้ังหลาย ภายนอก ดว ยเขาใจวา รูป เสยี ง กลิน่ รส และสมั ผัส อันเกดิ แตกายภายนอก หรือวัตถุภายนอกเชนน้ัน จะนําความสุขมาให ใจจึงส่ังสมความเห็นผิดไป ในกายภายใน คือรางกายของตน เพราะการท่ีจะไดเห็นรูป ไดยินเสียง ไดดมกล่ิน ไดลิ้มรส ไดสัมผัสเย็นรอนออนแข็ง จากกายหรือวัตถุภายนอก อันตนหลงใหลใหคาใหราคาเอาไว เชน รางกายของชาวบานเปนตนน้ัน ตนจะตองมีตาดี มีหูดี มีจมูก มีลิ้น และกายประสาทท่ีดี ไวเปนประตู สําหรบั สัมผัสรบั รใู นกายและวัตถุ อันใจตั้งคา ไววา มนั นา จะดเี หลานน้ั … 115
พระภาสกร ภูรวิ ฑฺฒโน (ภาวิไล) ใจจึงสัง่ สมความเห็นผดิ ไปในรา งกายของตน โดยปรารถนาที่จะได เกิดมามีรูปรางกายที่ดี มีอวัยวะเคร่ืองรับรูท่ีดี จะไดไปสัมผัสรับรูในสิ่งท่ีดีๆ ปรารถนาใหไดร างกายซึง่ มคี วามสวยสดงดงาม หลอ เหลาแข็งแรง มสี ุขภาพดี จะไดเอาเปน เหย่ือลอ ดงึ ดูดกายทัง้ หลายภายนอกทีป่ รารถนา ใหเขามาติดเบ็ด จะไดเสพสมอารมณหมาย อยางท่ีไดต้ังคา ต้ังความปรารถนาเอาไว ดวย ความหลงผดิ เหน็ ผิด รผู ิด ที่มมี าแตด้ังเดมิ เพราะอวชิ ชาเปนปจ จัย สังขารจึงมี ดังน้ัน เม่ือใจโง ใจหลง ใจเห็นผิด วากายและวัตถุธาตุท้ังหลาย เปนของดี มีคุณคา “สังขาร” การคิดนึกปรุงแตง จึงปรุงแตง คิดนึก คาดหวัง และจินตนาการไปอยางมากมายวา กาย คือรางกายทั้งหลาย และ วัตถุธาตุท้ังปวงน้ัน จะนําความสุขมาให มาตอบสนองตอความตองการ หรือความปรารถนาของตนไดอยางไรบาง กายสังขาร สภาพท่ีปรุงแตง การกระทําทางกาย วจีสังขาร สภาพท่ีปรุงแตงการกระทําทางวาจา และ จิตตสังขาร สภาพที่ปรุงแตงการกระทําทางใจ จึงเปนผลมาแตความโง ในกาย หลงผิดในกาย และเห็นผดิ ในกาย เพราะสังขารเปนปจ จยั วญิ ญาณจึงมี ดังน้ัน เม่ือมี “สังขาร” การปรุงแตงกาย วาจา และใจ (กายสังขาร, วจีสังขาร, จิตตสังขาร) อันเปนไปดวยความโง ความหลงผิด ความเห็นผิดวา รางกายและวัตถธุ าตุท้ังหลายเปนของทด่ี ีมีคุณคา นาํ มาซึ่งความสขุ “วญิ ญาณ” ความรู บรรดาที่เกิดข้ึนท้ังปวง ที่จิตรองรับมาจากความคิดนึกปรุงแตง จินตนาการมาอยางผิดๆ ของตนเชนนี้ จึงเกิดเปนวิญญาณความรูที่ผิด เปน ความเห็นผดิ เปนความยอมรับและความเขาใจที่ผิดๆ วา กายนี้ วัตถุธาตุนี้ เปนสิ่งท่ีมีคา เปนส่ิงท่ีถูกตองดีงาม สามารถนําความสุขสมใจมาใหแกเราได อยางมากมาย… และดวย “ความตายปรากฏ” คือการสิ้นไปแหงกาย อันจิตเคยอิงอาศัยมาถึง วิญญาณ น้ีจึงทําหนาที่เปน ปฏิสนธิวิญญาณ คือ ความรูแจงอารมณ อนั ทําหนาท่ีสบื ตอภพใหมต อ ไป 116
ปฏจิ จสมปุ บาท สําหรบั คนรุน ใหม เพราะวญิ ญาณ (= ปฏิสนธวิ ิญญาณ) เปนปจจยั นามรูปจึงมี เม่ือวิญญาณ ความรูแจงอารมณ เปนความรูความเห็นท่ีผิดๆ เปนความหลง ความยอมรับ และความเขาใจท่ีผิดๆ วา กายนี้ วัตถุธาตุนี้ เปนสิ่งที่มีคา เปนสิ่งท่ีถูกตองดีงาม เปนสิ่งท่ีนําความสุขสมใจมาใหแกตน ไดอ ยางมากมาย มันกห็ วังทีจ่ ะไดร ับความสุขที่ย่งั ยนื ถาวร จาก “กาย” และ “วัตถุธาตุ” น้ันๆ ฉะน้ันการแสวงหากาย หรอื วตั ถธุ าตุทัง้ ปวง จึงเกิดขนึ้ การปฏิสนธิ คือ การเกิด การเกิดใหม การรวมตัว หรือการท่ี จิตน้ัน เขาไปผนวกกับวัตถุธาตุ ทั้งที่เปนของหยาบหรือของละเอียด ท่ีเรียกวา “กาย” จึงเกิดข้ึน (ปฏิสนธิข้ึนมา) ฉะน้ันส่ิงที่ทานเรียกวา “นามรูป” ก็คือ “กาย” และ “จติ ” นัน่ เอง จิตสดุ ทาย (จุติจิต) เปนเชนไร จติ ต้ังตนในภพใหม (ปฏิสนธจิ ติ ) กเ็ ชน น้นั จากตัวอยาง ชาวเมืองฮิโรชมิ า ซงึ่ กําลังมี อภสิ ังขาร ๓ คอื การนึกคิด ปรุงแตง สรา งสรร ภพ-ชาติ อนั จติ อาศยั ตา งๆ นาๆ คือ เปน มนุสสมนุสโส กายมนุษย- ใจมนุษย บาง เปน มนุสสตริ จั ฉาโน กายมนุษย- ใจเดรจั ฉาน บาง เปน มนสุ สเปโต กายมนุษย- ใจเปรต บาง เปน มนุสสวนิ ปิ าโต กายมนุษย- ใจอสุรกาย บาง เปน มนสุ สนิรยโก กายมนุษย- ใจสตั วนรก บา ง เปน มนุสสเทโว กายมนษุ ย- ใจเทวดา บา ง เปน มนุสส-รูปพรหม กายมนษุ ย- ใจรปู พรหม บาง เปน มนุสส-อรูปพรหม กายมนุษย-ใจอรปู พรหม เปนตน… 117
พระภาสกร ภูรวิ ฑฺฒโน (ภาวไิ ล) ครั้นเม่ือระเบิดปรมาณู1 ตกลงมา เกิดการแตกตัวของนิวเคลียส ท่ีแกนกลางของอะตอม เปนปฏิกิริยานิวเคลียรลูกโซ ปลดปลอยพลังงาน ที่มีอยูมหาศาล ออกมาในท่ีแคบ ในระยะเวลาอันส้ัน จึงทําใหเกิดการ ระเบิดอยางรุนแรง และมีลูกไฟกลมขนาดมหึมา ซึ่งมีอุณหภูมิสูงมากกวา ลานองศา ปลดปลอยรังสีอํามหิต คือกัมมันตภาพรังสี ใหแผขยายออกมา อยางรวดเร็วรุนแรง เผาผลาญทําลายลาง รูปขันธ ของสรรพชีวิตท้ังปวง ในบรเิ วณใกลเคยี ง ชาวเมืองฮิโรชิมา ที่อยูในรัศมีการทําลายลาง แมไมทันไดรูเน้ือรูตัว แทบจะฉับพลันทันที รางกายที่ประกอบดวยวัตถุธาตุหยาบ อันมี มหาภูต รูป ๔ คือ ดิน น้ํา ลม ไฟ ก็ถูกทําลาย สลาย หายไป กลายเปนไอธุลีไปใน บดั ดล… โอ… สิ้นรปู สนิ้ กายแลว ใจจะไปอยู ณ หนใด ที่ไหนหนอ… จากความฝน คือความคิดนั้น ก็ไดกลายมาเปนความจริงในบัดดล ในขณะนั้น ใครตอใคร ในเมืองฮิโรชิมา ท่ีกําลังมี อภิสังขาร ๓ คือการนึก คิด ปรุงแตง สรางสรร ภพ-ชาติ อันจิตอาศัย ตางๆ นาๆ อยูเชนไร เมื่อกายหยาบ คือความเปน “มนุษย” ในทางกายสิ้นไป ใจก็จะไดภพชาติ อันจติ อาศยั ใหม ตามคุณภาพของใจ ดงั ตอไปนี้ 1 ลูกระเบิดอะตอม ระเบิดปรมาณู หรือระเบิดนิวเคลียร เปนลูกระเบิด ชนดิ หนึ่ง มีอาํ นาจการทําลายสูงมาก แรงระเบิดนี้เกิดขึ้นจากการแตกตัวของนิวเคลียส แกนกลางของอะตอม และปลดปลอยพลังงานท่ีมีอยูมหาศาลนั้น ออกมาในที่แคบๆ และในระยะเวลาอนั สั้น ดว ยหลักการนจ้ี ะทาํ ใหเ กิดการระเบิดอยางรุนแรง และมีลูกไฟ กลมขนาดมหึมา ซ่ึงมีอุณหภูมิสูงมากกวาลานองศา ท้ังเปลวไฟและอํานาจการทําลาย จะกนิ พน้ื ที่เปน บริเวณกวาง ซ่ึงนอกจากระเบิดจะถายโอนพลังงานมหาศาลออกมาแลว การระเบิดยังจะทําใหเกิดสารกัมมันตรังสี หรือไอโซโทป เกาะติดกับฝุนละอองกระจัด กระจายไปกับลมไดหลายรอยกิโลเมตร ฝุนละอองที่เปอนสารกัมมันตรังสีน้ีเราเรียกวา “ฝุนมรณะ” และจะปนเปอ นมอี ันตรายอยูต อไปอกี หลายสิบป 118
ปฏจิ จสมุปบาท สาํ หรบั คนรนุ ใหม ๑. หากขณะน้ันเปน มนุสสเปโต คือ กายมนุษย-ใจเปรต ที่กําลัง ปรุงแตงอยู ดวย จิตโลภ ท่ีมีกําลังมากเกินกวาศีล ๕ จะวิรัติ คืองดเวนไวได จิตน้ันยอมไดรูปกายใหมอันละเอียด ลวงจักษุมนุษย มีความเปน เปรต ในมิตภิ พภูมิแหงเปรต คอื แดนเปรต (เปตติวสิ ัย) ในบดั ดล แดนเปรต ๒. หากขณะนนั้ เปน มนสุ สนริ ยโก คือ กายมนุษย- ใจสตั วน รก ที่กําลัง ปรงุ แตง อยู ดว ย จติ โกรธ ทม่ี กี ําลังมากเกินกวาศีล ๕ จะวิรัติคืองดเวนไวได จติ นั้นยอ มไดรูปกายใหมอันละเอียด ลวงจักษุมนุษย มีความเปน สัตวนรก ในมติ ิภพภมู ิแหงสัตวน รก คือ นรก (นริ ยะ) ในบัดดล แดนนรก 119
พระภาสกร ภรู ิวฑฺฒโน (ภาวิไล) ๓. หากขณะน้ันเปน มนุสสวินิปาโต คือ กายมนุษย-ใจอสุรกาย ท่ีกําลังปรุงแตงอยู ดวย จิตหลงและลามก ที่มีกําลังมากเกินกวาศีล ๕ จะวิรัติ คืองดเวนไวได จิตน้ันยอมไดรูปกายใหมอันละเอียด ลวงจักษุมนุษย มีความเปน อสุรกาย ในมิติภพภูมิแหงอสุรกาย คือ พวกอสูร (อสุรกาย) ในบดั ดล แดนอสุรกาย สตั วเดรัจฉาน ๔. หากขณะน้ันเปน มนุสสติรัจฉาโน กายมนุษย-ใจเดรัจฉาน ท่ีกําลัง ปรุงแตง อยู ดวย จิตหลง ท่มี กี าํ ลงั มากเกนิ กวาศลี ๕ จะวิรัติคืองดเวนไวได คือ มีศีลไมครบทั้ง ๕ ขอ จิตนั้นยอมไดรูปกายใหมอันละเอียด ลวงจักษุ มนุษย เปน สัมภเวสี (แหงเดรจั ฉาน)1 รอนเรหาแดนเกิดในมิติภพภูมิแหง ความเปน สตั วเ ดรัจฉาน คือ กําเนดิ ดริ จั ฉาน (ติรจั ฉานโยน)ิ ในบดั ดล 1 สัมภเวสี แปลวา ผูแสวงหาสมภพ คือสัตวผูยังแสวงหาที่เกิด ซึ่งไดแก ปุถุชน และพระเสขะ ผูยังแสวงหาภพท่ีเกิดอีก หรือสัตวในครรภและไข ที่ยังอยู ระหวางจะเกิด ในปฏิจจสมุปบาทสําหรับคนรุนใหมน้ี ผูเขียนใชคําวา สัมภเวสี เพ่ือใช อธิบายภาวะท่ีมีกายละเอียด ในการเช่ือมตอภพ กอนท่ีจะมีการไดภพท่ีมีกายหยาบ อันประกอบดวย ธาตุ ๔ ซ่ึงสัตวประเภทนี้ มีอยูเพียง ๒ จําพวก คือ การไดชาติเกิด ในความเปนมนษุ ย และสตั วเ ดรัจฉาน 120
ปฏิจจสมุปบาท สาํ หรับคนรนุ ใหม ๕. หากขณะนั้นเปน มนุสสมนุสโส กายมนุษย-ใจมนุษย ท่ีกําลัง ปรุงแตงอยูดวย จิตเปนมหากุศลบาง จิตโลภบาง จิตโกรธบาง จิตหลงบาง จิต (ใกล) ลามกบาง ที่มีกําลังไมเกินกวาขอบเขตของศีล ๕ จะวิรัติงดเวน ไวไ ด คือสามารถรักษาศีลไวไ ดค รบถว นท้งั ๕ ขอ จติ นนั้ ยอ มไดร ปู กายใหม อันละเอียด ลวงจักษุมนุษย เปน สัมภเวสี (แหงมนุษย) ผูรอนเรหาแดนเกิด ในมิติภพภูมิแหงความเปน มนษุ ย คือ ชาวมนุษย (มนษุ ย) ในบัดดล เทวดา มนุษย ๖. หากขณะนั้นเปน มนุสสเทโว กายมนุษย-ใจเทวดา ที่กําลัง ปรุงแตงอยู ดวย จิต เปนมหากุศล ท่ีประกอบดวย หิริ ความละอายชั่ว และ โอตตัปปะ ความกลัวบาป ทั้งยังสามารถวิรัติงดเวน รักษาศีลไวได ครบถวนทั้ง ๕ ขอ จิตนั้นยอมไดรูปกายใหมอันละเอียด ลวงจักษุมนุษย มีความเปน เทพเทวา เทวนารี (เทวดา) ผูเสวยสุขอันกอปรดวยกามคุณ อันประณีต ในสรวงสวรรคสุคติภูมิ ช้ันหนึ่งชั้นใด ในเทวโลกท้ัง ๖ ชั้น คือ (๑) จาตุมหาราชิกา (๒) ดาวดึงส (๓) ยามา (๔) ดุสิตา (๕) นิมมานรดี และ (๖) ปรนมิ มิตวสวตั ดี ในบัดดล 121
พระภาสกร ภูรวิ ฑฒฺ โน (ภาวิไล) ๗. หากขณะน้ันเปน มนุสส-รูปพรหม กายมนุษย-ใจรูปพรหม ที่จิตทรงตัวอยูใน รูปฌาน มีอารมณเปน รูปกรรมฐานในกรรมฐาน ๔๐ (ท่ีใหผลถึงฌาน) มี จิตเปน รูปาวจร-กุศลจิต มีสมาธิ ความแนวแนเปน อัปปนาสมาธิ ในระดับฌาน ๑ ถึง ฌาน ๔ มีปกติไมลวงศีล มีความสงบ ระงบั ไปแหง นวิ รณทัง้ ๕1 เสวยอยูซ่ึง ปต ิ สขุ หรืออุเบกขาเปน เวทนา จิตนั้นยอมไดรูปกายใหมอันละเอียด ลวงจักษุมนุษย มีความเปน รูปพรหม ผูเสวยสุขสงบอันประณีต ที่เกิดแตความสงบระงับไปแหงกามคุณ ในรูปาวจรสุคติภูมิ ช้ันหนึ่งช้ันใดในพรหมโลกท้ัง ๑๑ ช้ัน คือ (๑) ปาริสัชชา (๒) ปุโรหิตา (๓) มหาพรหมา (๔) ปริตตาภา (๕) อัปปมาณาภา (๖) อาภัสสรา (๗) ปริตตสุภา (๘) อัปปมาณสุภา (๙) สุภกิณหา (๑๐) เวหัปผลา และ (๑๑) อสัญญสี ตั ตา เทวดา และรปู พรหม 1 นิวรณ คือ ธรรมที่ก้ันจิตไมใหบรรลุความดี, ขัดขวางจิตไมใหกาวหนาใน คุณธรรม มี ๕ อยาง คือ ๑. กามฉันทะ (ความพอใจในกามคุณ) ๒. พยาบาท (ความ คิดรายผูอ่ืน) ๓. ถีนมิทธะ (ความหดหูซึมเซา) ๔. อุทธัจจกุกกุจจะ (ความฟุงซาน รําคาญใจ) ๕. วิจกิ ิจฉา (ความลงั เลสงสัย) 122
ปฏจิ จสมปุ บาท สาํ หรับคนรุนใหม ๘. หากขณะนั้นเปน มนุสส-อรูปพรหม กายมนุษย-ใจอรูปพรหม ท่ีจิตทรงตัวอยูใน อรูปฌาน มีอารมณเปน อรูปกรรมฐาน ๔ ในกรรมฐาน ๔๐ ดวย จิตเปน อรูปาวจรกุศลจิต มีสมาธิ ความแนวแนเปน อัปปนาสมาธิ ในระดับอรูปฌาน มีปกติไมลวงศีล มีความสงบระงับไปแหงนิวรณทั้ง ๕ เสวยอยูซึง่ อุเบกขา เปน เวทนา จิตน้ันยอมไดอรูปภาวะ อันลวงจักษุมนุษย มีความเปน อรูปพรหม ผูเ สวยสุขสงบอนั ประณตี ทีเ่ กดิ แตค วามสงบระงับไปแหง กามคณุ ใน อรูปาวจร- สุคติภูมิ ชัน้ หนง่ึ ชน้ั ใดใน อรปู พรหมโลก ทงั้ ๔ ชั้น คอื (๑) อากาสานญั จายตนภมู ิ (๒) วญิ ญาณญั จายตนภูมิ (๓)อากญิ จญั ญายตนภูมิ (๔) เนวสัญญานาสญั ญายตนภูมิ ท่ีกลาวมาแลวท้ัง ๘ กรณีนั้น เปนกรณีของบุคคลท่ัวไปท่ีเปน กัลยาณชน คือคนดีบาง เปนปุถุชนบาง เปนทุศีลบาง แตที่แนๆ คือ ยัง ไมใชพ ระอรยิ บุคคล คราวน้มี าพิจารณาใหม โดยสมมตุ ิใหช าวเมอื งฮิโรชิมา เปน ชาวพทุ ธ และปฏิบัติธรรมจนบรรลเุ ปน พระอริยเจาระดบั ตา งๆ ๙. หากขณะน้ันเปน มนุสส-โสดาบัน เปนผูทรงศีลบริบูรณ ได ปฏิบัติวิปสสนาจนเกิดความรูแจง สามารถตัดสังโยชน1 เบ้ืองต่ําได ๓ ขอ คือ (๑) สกั กายทฏิ ฐิ (๒) วิจิกจิ ฉา และ (๓) สลี ัพพตปรามาส 1 สงั โยชน คือ กิเลสที่ผูกมัด รอ ยรัดใจสัตวไ วก ับทกุ ข มี ๑๐ อยาง คอื ก. โอรัมภาคิยสังโยชน คือ สังโยชนเบ้ืองต่ํา มี ๕ อยาง คือ (๑) สักกายทิฏฐิ ความเห็นวาเปนตัวของตน (๒) วิจิกิจฉา ความลังเลสงสัย (๓) สีลัพพตปรามาส ความถือมั่นศีลพรต (๔) กามราคะ ความติดใจในกาม (๕) ปฏฆิ ะ ความกระทบกระทง่ั ใจ ข. อุทธัมภาคิยสังโยชน คือ สังโยชนเบ้ืองสูง มี ๕ อยาง คือ (๖) รูปราคะ ความติดใจในรูปธรรมอันประณีต (๗) อรูปราคะ ความติดใจในอรูปธรรม (๘) มานะ ความถือวาตัวเปนนั่นเปนนี่ มีตัวตนเปรียบเทียบกับผูอื่น (๙) อุทธัจจะ ความฟุงซาน (๑๐) อวชิ ชา ความไมร ูจริง 123
พระภาสกร ภรู วิ ฑฒฺ โน (ภาวิไล) จนเขาถึงความเปนอริยบุคคลชั้นพระโสดาบันอยางแทจริง มีกาย เปนมนุษย มีจิตทรงตัวอยูในภูมิของ โสดาปตติผล มี ศีลสมบูรณ เปน วิหารธรรม เคร่ืองอยูของใจ ภาวะจิตของพระโสดาบัน ในขณะเมื่อทรงรูปขันธ ของมนุษยอยูนั้น จิตยอมปรุงแตงดําเนินไปในภาวะท่ีเปน มนุสสมนุสโส เปนอยางตา่ํ โดยไมม ีทางทีจ่ ะปรุงแตง ดวยเจตนาท่ีจะละเมิดศีล โดยเดด็ ขาด ฉะนนั้ เมือ่ มีเหตกุ ารณอันเปนเหตุใหรูปขันธแตกสลายสิ้นไป ดังกรณี “ระเบิดปรมาณู” ที่ยกข้ึนมาเปนตัวอยางนี้ จิตของพระโสดาบัน ยอมได ภาวะ คอื ภพใหม อันลวงจกั ษุมนุษย เพยี ง ๑ ใน ๔ ประเภทนี้เทานัน้ คือ (๑) ไดรูปกายใหมอันละเอียด ลวงจักษุมนุษย เปน โสดาบัน- สมั ภเวสี แหง มนุษย รอ นเรหาแดนเกิดในมิติภพภูมิแหงความเปน มนุษย คอื ชาวมนษุ ย (มนุษย) ในบัดดล (๒) ไดรูปกายใหมอันละเอียด ลวงจักษุมนุษย เปน โสดาบัน- เทพเทวา (เทวดา) ผูเสวยสุขอันกอปรดวยกามคุณอันประณีต ในสวรรค สคุ ตภิ ูมิ ชน้ั หน่งึ ช้นั ใด ในเทวโลกทั้ง ๖ ช้นั (๓) ไดรูปกายใหมอันละเอียด ลวงจักษุมนุษย เปน โสดาบัน- รปู พรหม ผูเสวยสุขสงบอันประณีตท่ีเกิดแตความสงบระงับไปแหงกามคุณ ในรูปาวจรสุคติภูมิ ชั้นหนึ่งช้ันใดในพรหมโลก ๑๐ ช้ัน คือ ปาริสัชชา, ปุโรหิตา, มหาพรหมา, ปริตตาภา, อัปปมาณาภา, อาภัสสรา, ปริตตสุภา, อัปปมาณสุภา, สุภกิณหา, เวหัปผลา (พระอริยะ ไมเกิดในอสัญญีภพ และ อบายภูมิ) (๔) ได อรูปภาวะ อันลวงจักษุมนุษย มีความเปน โสดาบัน- อรปู พรหม ผูเสวยสขุ สงบอันประณตี ทีเ่ กดิ แตความสงบระงบั ไปแหงกามคุณ ในอรปู าวจรสคุ ติภูมิ ชัน้ หนึ่งชนั้ ใด ในอรูป-พรหมโลกทัง้ ๔ ช้ัน 124
ปฏจิ จสมปุ บาท สาํ หรับคนรุนใหม ๑๐. หากขณะนั้นเปน มนุสส-สกิทาคามี เปนผูทรงศีลบริบูรณ เปนวิหารธรรม ปฏิบัติสมถะและวิปสสนาจนเกิดความรูแจง ตัดสังโยชน เบ้ืองต่ําได ๓ ขอ เชนเดียวกับพระโสดาบัน พรอมท้ังระงับ (๔) กามราคะ และ (๕) ปฏิฆะ ใหจืดจางลง จนถึงความเปนพระสกิทาคามีอยางแทจริง มีกายเปนมนุษย จติ ทรงตัวอยูใ นภมู ิของ สกทิ าคามผี ล ในกรณีตัวอยางนี้ จิตของพระสกิทาคามี ยอมไดภาวะ คือภพใหม อันลวงจักษุมนุษย เชนเดียวกับกรณีของพระโสดาบัน เพียงแตดวยภาวะของ พระสกิทาคามี ท่ีระงับกามราคะและปฏิฆะใหจืดจางลง จึงสงผลใหมาเกิด เปนมนุษย ไดอกี เพยี งคร้งั เดียวเทา นัน้ แลว จกั ทําใหแจงซงึ่ พระนิพพาน ๑๑. หากขณะน้ันเปน มนุสส-อนาคามี ซ่ึงเปนผูทรงศีล ปฏิบัติ สมถะวิปสสนา จนเกิดความรูแจง สามารถตัดสังโยชนเบื้องต่ํา คือ กิเลส อันรอยรัดผูกใจสัตวไวกับทุกขท้ัง ๕ ได คือ (๑) สักกายทิฏฐิ (๒) วิจิกิจฉา (๓) สีลัพพตปรามาส (๔) กามราคะ (๕) ปฏิฆะ จนเขาถึงความเปน อริยบุคคลช้ันพระอนาคามี ซ่ึงมีกายเปนมนุษย และมีจิตทรงตัวอยูใน อนาคามีภูมิ มคี วามสงบระงับไปแหงนิวรณ ๕ เปนวิหารธรรมเครื่องอยูของใจ จติ นัน้ ยอมไดรูปกายใหมอ ันละเอยี ด ลว งจกั ษมุ นษุ ย เปน อนาคามี- รูปพรหม ผูเสวยสุขสงบอันประณีต เกิดแตการตัดสังโยชนเบ้ืองต่ําทั้ง ๕ ในสุทธาวาสพรหมโลก ท่มี ีอยู ๕ ชน้ั จําแนกตามความเดน ของพละ ๕ ท่ีใช ในการดําเนินจิตเขาถึงอนาคามีภูมินั้นๆ กลาวคือ (๑) อวิหา สุทธาวาส เขาถึง ดวย สัทธาพละ (๒) อตัปปา สุทธาวาส เขาถึงดวย วิริยาพละ (๓) สุทัสสา สุทธาวาส เขาถึงดวย สติพละ (๔) สุทัสสี-สุทธาวาส เขาถึงดวยสมาธิพละ (๕) อกนิฏฐา สทุ ธาวาส เขา ถึงดวย ปญ ญาพละ ๑๒. หากขณะนั้นเปน มนุสส-อรหนั ต ผูป ฏบิ ัตสิ มถะและวิปสสนา จนเกิดความรแู จงแทงตลอดในขนั ธ ๕ ทั้งภายในภายนอก ตัดสังโยชน คือกิเลส อนั รอยรัดผูกใจสัตวไ วก บั ทุกขทั้ง ๑๐ ประการ ไดห มดสิ้นเปนสมจุ เฉทปหาน 125
พระภาสกร ภูรวิ ฑฺฒโน (ภาวิไล) เปนผูปราศจากกิเลส ตัณหา มานะ และทิฏฐิ (มิจฉา-ทิฏฐิ) ปราศจากความโลภ ความโกรธ ความหลง เปนผูสมบูรณดวยศีล สมาธิ และปญญา เปนผูปราศจากภพอันจิตอาศัยแลวทั้งปวง ถึงพรอมดวยความรู อันยังความหลุดพนใหเกิดข้ึน (วิมุตติญาณทัศนะ) กระทําใหแจงและจบกิจ คือ ปริญญา1 ๓ ในอริยสัจ ๔ มีพระนิพพาน คือ สอุปาทิเสสนิพพาน2 เปนที่สุด ในกรณีตัวอยาง คือชาวเมืองฮิโรชิมานี้ จิตของพระอรหันต (ชาวเมืองฮิโรชิมา) ยอมถึงพระนิพพาน คือ อนุปาทิเสสนิพพาน3 อันเปนท่ี ส้ินไปแหง ภพทัง้ ปวง โยนิ ๔ คือ กาํ เนดิ , แบบหรือชนิดของการเกดิ ๑. ชลาพุชะ คือ สัตวเกิดในครรภ แลวคลอดออกมาเปนตัว เชน คน โค สุนขั เปน ตน ๒. อัณฑชะ คือ สัตวเกิดในไข ออกไขเปนฟอง แลวฟกเปนตัว เชน นก เปด ไก เปน ตน ๓. สังเสทชะ คือ สัตวเกิดในไคล เกิดแพรขยาย ในของชื้นแฉะ หมกั หมมเนา เปอย เชน กมิ ิชาตบิ างชนิด 1 ปริญญา ๓ คอื การกําหนดรูทาํ ความเขาใจโดยครบถวน ไดแ ก (๑) ญาตปรญิ ญา กําหนดรู ขัน้ รูจกั (๒) ตีรณปริญญา กําหนดรู ขน้ั พิจารณา (๓) ปหานปรญิ ญา กําหนดรู ขน้ั ละได 2 สอุปาทิเสสนิพพาน คือนิพพานยังมีอุปาทิเหลือ, ดับกิเลสแตยังมีเบญจขันธ เหลือ คือ นิพพานของพระอรหันตผูยังมีชีวิตอยู, นิพพานในแงที่เปนภาวะดับกิเลส คือ โลภะ โทสะ โมหะ 3 อนปุ าทเิ สสนพิ พาน คือนพิ พานไมมีอุปาทิเหลือ, ดบั กิเลสไมมีเบญจขันธเหลือ คอื ส้ินทัง้ กิเลสและชวี ิต หมายถงึ พระอรหันตสิน้ ชวี ิต, นพิ พานในแงท ี่เปนภาวะดบั ภพ 126
ปฏจิ จสมปุ บาท สําหรับคนรุน ใหม ๔. โอปปาติกะ คือ สัตวเกิดผุดขึ้นเต็มตัวในทันใด ไดแก พรหม เทพ เทวดา เปรต อสุรกาย สัตวนรก และสัมภเวสี (ของมนุษย และสัตว เดรจั ฉาน) ซ่ึงเกิดและตาย โดยไมต อ งมเี ชือ้ หรือซากปรากฏ1 การเกิดของมนุษย (ชาติ) มีพระพุทธพจน ในพระไตรปฎก กลาวถงึ การเกดิ ของมนษุ ยไวว า ประกอบดว ยองค ๓ คอื ๑. บดิ ามารดาอยูรว มกัน (มีเพศสัมพันธก นั ) ๒. มารดาอยใู นวัยยังมรี ะดู ๓. มคี นั ธพั พะมาปรากฏ (ในครรภมารดา) คันธัพพะ2 คือสัตว บาลีแปลไดวา คือ คนธรรพ, กําเนิดเทวดา, นกั ดนตรี, นกั รอ ง, มา. คพั ภะ คอื ครรภ, สตั วในครรภ, หอง, หองใน, ลําไส. มบี ทสนทนาระหวางพระพทุ ธองค กบั พระอานนท ดงั น3ี้ พระพทุ ธองค ดูกอนอานนท หากวิญญาณจักไมหย่ังลงสูครรภมารดา นามรูป (ชวี ติ ใหม) จักเกดิ ในครรภมารดาไดหรือ พระอานนท ไมได พระเจาขา พระพทุ ธองค ดูกอนอานนท หากวิญญาณหยั่งลงสูครรภมารดาแลว จักเลย ไปเสีย (ดับ) นามรปู (ชีวิตใหม) จักเกิดเปนอยางนี้ไดหรอื พระอานนท ไมได พระเจา ขา 1 พจนานุกรมพุทธศาสตร ฉบับประมวลธรรม วา มีมนุษยบางประเภท กําเนดิ แบบโอปปาตกิ ะดว ย 2 คนฺธพพฺ ป. คนธรรพ, กาํ เนิดเทวดา, นักดนตรี, นักรอ ง, มา. 3 ท.ี มหา. ๑๐/๖๐/๗๔. 127
พระภาสกร ภรู วิ ฑฒฺ โน (ภาวไิ ล) พระพทุ ธองค ดกู อ นอานนท หากวิญญาณของกุมาร หรือกุมารี ผูเติบโต เปนหนุมสาว จักขาดสูญ (ดับ) ไปเสีย นามรูปจักเจริญ พระอานนท เติบโตอยา งน้ีไดหรอื พระพุทธองค ไมได พระเจาขา ดกู อ นอานนท เพราะเหตนุ นั้ แล (ตถาคตจึงกลา ววา) ส่ิงท่ี เปนเหตุ เปนตนเคา เปนแดนเกิด เปนปจจัยแหงนามรูป (ชวี ติ ใหม) กค็ ือวญิ ญาณ จากบทสนทนาระหวางพระพุทธองคกับพระอานนทดังที่ยกมาน้ี จึงเปนที่ชัดเจนวา สัตวท่ีมาเกิดในครรภมารดาน้ัน มาในสภาพที่เปน วิญญาณ คือเปน ปฏิสนธิวิญญาณ โดยจะเขามาในขณะท่ี บิดามารดาอยู รวมกัน (มีเพศสัมพันธกัน) และมารดาอยใู นวัยทีย่ ังมรี ะดู ถาเปรียบเทียบกับความรูทางการแพทยในปจจุบัน ก็คือขณะเม่ือ สเปอรม หรอื เชือ้ อสุจิของบดิ า เจาะเขาไปผสมกับไขของมารดา ที่สกุ พรอม ควรแกการผสม โดยที่โครโมโซม หรือรหัสพันธุกรรม จะไดจากฝายบิดา ครึ่งหน่ึง จากมารดาคร่ึงหนึ่ง เมื่อรวมกันแลวจะมีอยู ๒๓ คู ซึ่งนับรวมทั้ง โครโมโซม x หรือโครโมโซม y สําหรับบอกเพศดวย ครั้นเม่ือปรากฏ ลักษณะทางพันธุกรรมของชีวิตครบถวนแลว คือ เซลลๆ แรกของชีวิตใหม เกิดขึ้นมาโดยสมบูรณแลว ก็เปนเวลาที่ประจวบพรอมกันกับที่ปฏิสนธิ วิญญาณ ท่ีมีกรรมวิบากและเหตุปจจัยท่ีเหมาะสมอยางสอดคลอง พอเหมาะ พอดี กับบิดา มารดา เผาพันธุ วรรณะ ฐานะ และกรรมรวมของครอบครัว เขารวมผสมโรง ครอบครอง และควบคุมพัฒนาการของเซลลๆ น้ัน ให เปนไปสอดคลองพอดี เทากับบุญ บาป วิบากกรรม ท่ีสั่งสมมาแตอดีต ของปฏสิ นธิวิญญาณดวงนนั้ 128
ปฏิจจสมปุ บาท สําหรบั คนรนุ ใหม ดงั พทุ ธพจนท ว่ี า “สัตวทัง้ หลาย มกี รรมเปน ของตน เปน ทายาทแหง กรรม มีกรรม เปนกําเนิด มีกรรมเปนเผาพันธุ มีกรรมเปนที่พึ่งอาศัย กรรมยอมจําแนก สตั วใหทรามและประณีต”1 จากหลักปฏจิ จสมุปบาทท่วี า “วิ ฺญาณปจฺจยา นามรูป” ซ่ึงแปลวา นามรูปมีได เพราะวิญญาณเปนปจจัย หรือ วิญญาณ เปนปจจัยใหเกิด นามรูป กรณีการตงั้ ครรภข องมารดานี้ วิญญาณท่ีเขามาในขณะที่อสุจิ (ของบิดา) เขาผนวกรหัสพันธุกรรมกับไขสุก (ของมารดา) เรียกวา ปฏิสนธิวิญญาณ หรือ จติ นั่นเอง พฒั นาการของชีวติ ในครรภมารดา ในอินทกสูตร2 พระพุทธองคทรงแสดงพัฒนาการของชีวิตในครรภ มารดาไวดงั นี้ “รปู นี้ เปนกลละกอน จากกลละเปนอัพพุทะ จากอัพพุทะเปนเปสิ จากเปสิเปนฆนะ จากฆนะเกิดเปน ๕ ปุม ตอจากนั้นก็มี ผม ขน และเล็บ (เปนตน) เกิดข้ึน มารดาของสัตวในครรภ บริโภคขาวนํ้าโภชนาหารอยางใด สตั วผอู ยูในครรภม ารดา กเ็ ลี้ยงอตั ตภาพอยดู วยอาหารอยา งนัน้ ในครรภน น้ั ” นอกจากน้ียังมีคัมภีรในระดับอรรถกถา เชน ปปญจสูทนี3, สารัตถ- ปกาสินี และในระดบั ฎกี า เชน อภิธมั มัตถวิภาวนิ ีฎกี า ไดม าอธิบายขยายความ เสรมิ ในรายละเอยี ด อีกหลายประการ 1 ม.อุ. ๑๔/๕๗๙/๓๗๖ 2 สํ.ส. ๑๕/๘๐๓/๓๐๓ 3 ปปญจสูทนี ๒/๒๑๘ 129
พระภาสกร ภรู วิ ฑฒฺ โน (ภาวไิ ล) เพื่อความรวบรัด จักขอเพียงเปรียบเทียบใหดูวา สิ่งท่ีพระพุทธองค และพระอรรถกถาจารยไดแสดงไว เมื่อสองพันหารอยกวาปน้ัน มีความ สอดคลอ งกบั ความรทู างการแพทยในปจจบุ นั ดงั ตารางตอไปน้ี สัปดาห พุทธศาสนา การแพทยในปจจุบนั ๑ กลละ (น้าํ ใส) (ไขผสมเชือ้ ) ๒ อพั พุทะ (นํ้าขนุ ขน) (ไขผสมเชือ้ ) ๓ เปสิ (ตวั ออ น) (ชน้ิ เน้อื ) เร่มิ มที างเดินอาหาร หัวใจ ตมุ แขนขา ๔ ฆนะ (ตวั ออ น) (กอนเนื้อ) เริ่มมตี มุ ตา หู จมูก แกม เร่ิมมีเคา ๕ ปญ จสาขา (ตัวออน) (๕ ปมุ ) มีศรี ษะ รา งกาย เร่ิมมีเคาของน้วิ มือ ๖ จกั ขทุ สกะ (ตัวออ น) (เคาโครงตา) นว้ิ มอื ปรากฏ ๗ โสตทสกะ (ตวั ออ น) (เคาโครงหู) แขนปรากฏสัน้ มาก ๘ ฆานทสกะ (ทารก) (เคา โครงจมูก) ศีรษะปรากฏใหญกวา ตวั สมองเจริญ ๙ ชวิ หาทสก (ทารก) ๑๐-๔๐ (เคาโครงลิ้น) อวยั วะเพศเจริญ ๔๑-๔๒ อวยั วะอน่ื ๆ (ทารก) อวยั วะปรากฏตามลําดบั หัวใจสมบรู ณ อาทิ ผม ขน การแพทยใ นปจ จบุ นั กาํ หนดไว อวยั วะอืน่ ๆ รวม ๔๐ สปั ดาห อาทิ ผม ขน รวม ๔๒ สปั ดาห พัฒนาการของชีวิตในครรภมารดา ที่แสดงมานี้ เมื่อพิจารณา รายบคุ คล ยอ มแตกตา งกันไปดว ยอาํ นาจของเหตุปจจัยตางๆ มากมาย 130
ปฏิจจสมุปบาท สําหรบั คนรนุ ใหม แตก็สามารถสรุปลงในหลักกรรมไดวา เปนดวยกรรมของคนๆ นั้น จึงไดพอแมที่มีเผาพันธุเชนน้ัน มีโรคทางพันธุกรรมอยางน้ัน มีฐานะทาง ครอบครัวยากจนหรือม่ังมีเชนนั้น เกิดในสภาพแวดลอมที่ดีหรือเปนโทษ ตอพัฒนาการอยางนั้น เกิดในประเทศและชวงเวลาเชนนั้นๆ อันเปนการ ยนื ยันพทุ ธพจน ที่ทรงแสดงไวว า “สัตวท ั้งหลาย มีกรรมเปน ของตน เปนทายาทแหง กรรม มกี รรม เปนกําเนิด มีกรรมเปนเผาพันธุ มีกรรมเปนท่ีพ่ึงอาศัย กรรมยอมจําแนก สตั วใ หท รามและประณตี ”1 กรณศี ึกษา ตายจากมนุษย แลวมาเกดิ เปนมนุษย จากที่วา บุคคลใด ตายไปในขณะที่มีใจเปน มนุสสมนุสโส คือ กายมนุษย-ใจมนุษย ที่กําลังปรุงแตงอยู ดวย จิตเปนมหากุศลบาง จิตโลภบาง จิตโกรธบาง จิตหลงบาง จิต (ใกล) ลามกบาง ท่ีมีกําลัง ไมเกินกวาขอบเขตของศีล ๕ จะวิรัติงดเวนไวได คือสามารถรักษาศีลไวได ครบถวนทั้ง ๕ ขอ จิตนั้นยอมไดรูปกายใหมอันละเอียด ลวงจักษุมนุษย เปน สัมภเวสี (แหงมนุษย) ผูรอนเรหาแดนเกิด ในมิติภพภูมิแหงความเปน มนษุ ย ในบัดดล การไดกายละเอียด อันพนวิสัยที่ตามนุษยปกติจะมองเห็นได ของ สัมภเวสี (แหงมนุษย) น้ัน จัดวาเปนการปฏิสนธิ คือการเกิดใหม ในแบบ โอปปาติกะ คือเกิดผุดขึ้นเต็มตัวในทันใด สําเร็จดวยอํานาจของใจ ที่มี อวิชชา ผูกพันยึดมั่นในความมีอยูของกาย แลวรังสรรคกายละเอียดนั้นขึ้น จากน้นั จงึ ไดเ รร อนไปตามยถากรรม อันสัมภเวสนี นั้ เคยสรางสัง่ สมมา 1 ม.อ.ุ ๑๔/๕๗๙/๓๗๖ 131
พระภาสกร ภรู วิ ฑฺฒโน (ภาวิไล) ครั้นเมื่อมีความประจวบพรอ มขององค ๓ คือ ๑. บิดามารดาอยูร ว มกัน (มีเพศสมั พันธ) ๒. มารดาอยูในวยั ยังมรี ะดู ๓. มีคันธัพพะมาปรากฏ (ในครรภมารดา) ซึ่ง คันธัพพะ ในกรณีน้ี ก็คือ ปฏิสนธิจิต อันเปนจิตดวงแรกของชีวิตใหม ซ่ึงสืบตอมาแต จุติจิต ทเ่ี ปน จติ สดุ ทา ย ของชาตทิ ่เี ปน สัมภเวสีแหงมนษุ ย น้นั ดวยประการฉะนี้ จึงไดมีมนุษยคนใหมถือกําเนิดขึ้น ในแบบ ชลาพุชะ คือเกิดในครรภของมารดา ใชเวลาในครรภของมารดารวมแลว ๔๐-๔๒ สปั ดาห จึงคลอดออกมาดูโลก กลาวโดยสรปุ ก็คือ การที่มนุษยถึงแกความตาย แลวจะมาเกิดเปน มนุษย เขาทองของคุณแมคนใหมโดยตรงในฉับพลันทันที ตอชาติกันนั้น เปนสิ่งที่เปนไปไดโดยยากมาก หรือแทบจะเปนไปไมไดเลย ยอมจะตองมี ชาติ ที่มาเกิดเปน สัมภเวสี (แหงมนุษย) เสียกอน ซึ่งเหลาสัมภเวสีนั้น ก็จะมีอายุยืนยาว คลายๆ กับเหลาเทวดา สัตวนรก และพวกที่มีกําเนิด แบบโอปปาตกิ ะทัง้ หลาย คือไมไดเสวยความสุขแตเพียงอยางเดียว เชนกับ เทวดา และไมไดเสวยแตทุกขอ ยางเดียว เชน กับสตั วน รก แตเ ปน ไปกลางๆ สุขบางทุกขบา ง เฉกเชนมนุษยใ นโลกนี้ แลวเรร อ นทอ งเที่ยวไป จนกวาจะมี พอและแม ทีเ่ ปน แดนเกดิ อันเหมาะสม แกกรรมสวนของตนเสยี กอน จึงจะ ไดมาเกดิ ใหมอ กี คร้ังในครรภข องคุณแม ซง่ึ ชว งเวลาแหง ความเปนสัมภเวสี ของมนษุ ยน้ี อาจจะยาวนาน หรือสัน้ มากๆ ก็มีความเปนไปไดท ง้ั น้นั 132
ปฏิจจสมุปบาท สาํ หรบั คนรุนใหม กรณีศึกษา ตายจากโอปปาติกะชน้ั สงู คอื พรหม เทพ เทวดา แลว มาเกดิ เปน มนุษย ๑. กรณีที่บุญเดิมท่ีสรางมา เพื่อเสวยความเปนพรหม เทพ เทวดา ในชวงน้ัน ไดเสวยไปจนหมดสิ้นแลว ก็จะจุติ ตายจากความเปนพรหม เทพ เทวดานน้ั แลวปฏสิ นธิแบบโอปปาติกะ คือเกิดใหมทันที ผุดข้ึนเต็มตัว แต ในฐานะเปนสัมภเวสี (แหงมนุษย) แลวแสวงหาแดนเกิดในความเปน มนุษยต อไป จนกวาจะไดพ อ แม และฐานะอนั สมควรแกก รรมของตน ๒. กรณีท่ีบุญเดิมท่ีสรางมาเพื่อเสวยความเปนพรหม เทพ เทวดา ในชวงน้ันยังมีอยูอีกมาก แตปรารถนาจะมาเกิดในภูมิมนุษย เพ่ือบําเพ็ญ บารมี เชน พระโพธิสัตวผูปรารถนาพุทธภูมิเปนตน คร้ันตรวจสอบดูวามี บิดามารดาผูสมควรเปนแดนเกิดใหแกตนในการบําเพ็ญบารมีแลว ก็จะ อธิษฐานใจ กระทํากาลกิริยา จุติ ตายจากความเปนพรหม เทพ เทวดานั้น แลวปฏิสนธิแบบชลาพุชะ คือเกิดในครรภของมารดา ใชเวลาในครรภของ มารดารวมแลว ๔๐-๔๒ สปั ดาห จงึ คลอดออกมาดโู ลก โดยไมต อ งผา นการ เปน สัมภเวสี (แหงมนษุ ย) มากอน ซ่ึงกรณีน้ี สอดคลองกับที่เราเคย ไดยินวา เทพเจาชั้นสูงบางองค แบงภาคลงมาเกิดทําบารมี จริงๆ แลวไมมีทางเลย ท่ีจิตหนึ่งใด จะแบงภาค แยกเปนหลายจิต ไปทําหนาที่อื่นๆ พรอมกัน แลวกลับมารวมกันอีก เพียงแตวา เวลาในแตละมิติภพภูมิ มีความแตกตางกันมาก จนเทพเจา บางทานท่ีมีบุญญาธิการมาก สามารถกําหนดใจ จุติมาเกิดในภูมิมนุษย แลวทําบารมีบางประการ จากน้ันจึงจุติ ตายจากชาติมนุษยน้ัน กลับไป ปฏิสนธิยังสวรรคชั้นเดิมท่ีตนเคยอยู โดยที่เทพเทวดาองคอื่นในสวรรค ช้ันเดียวกันน้ัน ไมทันสังเกต เพราะเห็นวาหายไปครูเดียว ในมิติเวลาของ ภพภูมิแหงเทวดาน้ัน 133
พระภาสกร ภูรวิ ฑฺฒโน (ภาวิไล) กรณีศึกษา ตายจากเดรัจฉาน และโอปปาติกะชั้นต่ํา คือ อสรุ กาย เปรต สตั วน รก แลวมาเกดิ เปน มนุษย ในกรณนี ้ี สตั วเดรัจฉาน และโอปปาติกะช้ันต่ํา คือ อสุรกาย เปรต สัตวน รก จําตอ งใชก รรมไปจนกวาจะหมดผลของกรรมชวั่ อันยังใหเสวยผล เปนทุกขโทษ ท่ีตองทนทรมานในภพภูมิแหงตนนั้นแลว จึงจะจุติจากภูมิ เดิมของตน มาปฏิสนธิใหมแบบโอปปาติกะ เกิดผุดข้ึนเต็มตัวในความเปน สัมภเวสี (แหงมนุษย) ผูแสวงหาแดนเกิดแหงความเปนมนุษย แลวรอคอย ไปจนกวาจะไดพอแม และฐานะอันสมควรแกกรรมที่สั่งสมสรางมาของตน จึงจะไดป ฏิสนธิแบบ ชลาพุชะ คือเกิดในครรภของมารดา ใชเวลาในครรภ ของมารดารวมแลว ๔๐-๔๒ สัปดาห จึงคลอดออกมาดูโลก เพ่ือสราง กรรมใหม และเสวยผลของกรรมเกา ตอ ไป โอปปาตกิ ะกาํ เนิด ในภพสมั ภเวสี เพ่อื ความเปน เดรจั ฉาน การจะไดช าตเิ ปน สัตวเดรัจฉาน ก็มนี ยั คลายกบั การไดช าติเปน มนุษย คือมีภพของ สัมภเวสี เปนระหวางค่ัน เพ่ือแสวงหาแดนเกิดในความเปน สัตวเดรัจฉาน (มีกายหยาบ คือธาตุ ๔) อันควรแกคุณภาพของใจ ที่มีศักยภาพ แหงความเปนสัตวเดรัจฉานน้ัน เปนผลมาแต อปุญญาภิสังขาร การปรุงแตง อันยิ่ง ฝายบาป ดวยอํานาจของ จิตหลง ท่ีมีกําลังเกินกวาขอบเขตท่ีศีล ๕ จะวิรัติงดเวนไวได คือมีศีล ๕ ไมครบท้ัง ๕ ขอ จิตนั้นยอมไดภพชาติคือ ความเปนสัตวเดรัจฉาน ที่มีความกลัวเปนพ้ืนฐานของใจ (มนุษย เปนภพ แหงผูกลา ดวยมีศีล ๕ เปนกําลัง) คร้ันเม่ือประสบกับแดนเกิด คือมีสัตว เดรัจฉานเพศผูเพศเมีย หรือไรเพศ ท่ีทําหนาท่ีสืบพันธุตามกฎเกณฑแหง พีชนยิ าม แลว สมั ภเวสนี ้ันจงึ ไดจุติ ตายจากสมั ภเวสภี าวะ แลว ปฏิสนธิ คือ เกิดใหมใ นชาติแหง เดรัจฉาน ท่มี ีกายหยาบ คือธาตุ ๔ เหลา นนั้ 134
ปฏจิ จสมุปบาท สาํ หรับคนรุน ใหม การเกดิ ในภพของเดรจั ฉาน จะมโี ยนิ คือแบบ หรอื ชนิดของการเกิด อยู ๓ ประการ คอื ๑. ชลาพุชะ คือ สัตวเกิดในครรภ แลวคลอดออกมาเปนตัว เชน สนุ ัข แมว หนู ฯลฯ ๒. อัณฑชะ คือ สัตวเกิดในไข ออกไขเปนฟอง แลวฟกเปนตัว เชน เปด ไก กบ งู ฯลฯ ๓. สังเสทชะ คือ สัตวเกิดในไคล เกิดแพรขยาย ในของช้ืนแฉะ หมกั หมม เนา เปอ ย เชน กมิ ชิ าติบางชนดิ ฯลฯ เดรัจฉานภพ ภพแหงการเสวยผลของกรรม สัตวเดรัจฉาน แมจะมีกายหยาบ คือ รางกายที่ประกอบดวยธาตุ ๔ พรอมทั้งมีอายตนะในการผัสสะกระทบกับอารมณตางๆ แตทวาสัตว เดรัจฉานทั้งหลาย มีระบบประสาทหรือสมองขนาดเล็ก จึงไมสามารถปรุงแตง กรรม ที่เขม ขนดงั เชนมนษุ ยได การดาํ เนินชีวติ ของสัตวเ ดรัจฉาน จงึ เปน ไป ตามสัญชาตญาณในการเอาชีวิตรอดและสืบพันธุเปนสําคัญ และโดยทั่วไป สัตวก็จะปรับตัวปรับใจ ยินดี และติดของอยูในภพแหงความเปนเดรัจฉานน้ัน คราวละนานๆ กลาวไวในคัมภีรตางๆ วา มากมายถึงอยางละ ๕๐๐ ชาติ จงึ จะพน ขน้ึ ไปได 135
Search
Read the Text Version
- 1
- 2
- 3
- 4
- 5
- 6
- 7
- 8
- 9
- 10
- 11
- 12
- 13
- 14
- 15
- 16
- 17
- 18
- 19
- 20
- 21
- 22
- 23
- 24
- 25
- 26
- 27
- 28
- 29
- 30
- 31
- 32
- 33
- 34
- 35
- 36
- 37
- 38
- 39
- 40
- 41
- 42
- 43
- 44
- 45
- 46
- 47
- 48
- 49
- 50
- 51
- 52
- 53
- 54
- 55
- 56
- 57
- 58
- 59
- 60
- 61
- 62
- 63
- 64
- 65
- 66
- 67
- 68
- 69
- 70
- 71
- 72
- 73
- 74
- 75
- 76
- 77
- 78
- 79
- 80
- 81
- 82
- 83
- 84
- 85
- 86
- 87
- 88
- 89
- 90
- 91
- 92
- 93
- 94
- 95
- 96
- 97
- 98
- 99
- 100
- 101
- 102
- 103
- 104
- 105
- 106
- 107
- 108
- 109
- 110
- 111
- 112
- 113
- 114
- 115
- 116
- 117
- 118
- 119
- 120
- 121
- 122
- 123
- 124
- 125
- 126
- 127
- 128
- 129
- 130
- 131
- 132
- 133
- 134
- 135
- 136
- 137
- 138
- 139
- 140
- 141
- 142
- 143
- 144
- 145
- 146
- 147
- 148
- 149
- 150
- 151
- 152
- 153
- 154
- 155
- 156
- 157
- 158
- 159
- 160
- 161
- 162
- 163
- 164
- 165
- 166
- 167
- 168
- 169
- 170
- 171
- 172
- 173
- 174
- 175
- 176
- 177
- 178
- 179
- 180
- 181
- 182
- 183
- 184
- 185
- 186
- 187
- 188
- 189
- 190
- 191
- 192
- 193
- 194
- 195
- 196
- 197
- 198
- 199
- 200
- 201
- 202
- 203
- 204
- 205
- 206
- 207
- 208
- 209
- 210
- 211
- 212
- 213
- 214
- 215
- 216
- 217
- 218
- 219
- 220
- 221
- 222
- 223
- 224
- 225
- 226
- 227
- 228
- 229
- 230
- 231
- 232
- 233
- 234
- 235
- 236
- 237
- 238
- 239
- 240
- 241
- 242
- 243
- 244
- 245
- 246
- 247