พระภาสกร ภรู วิ ฑฺฒโน (ภาวิไล) วิตกวิจาร พิจารณาวา เขาเกิดมาอยางไร จากเด็กจนโตขึ้นมาเปน วัยรุน เปนหนุม เปนสาว เปนผูใหญ… เขาเปล่ียนแปลงไหม? เขาจะแกไหม เจ็บไขไมสบายไหม แลวจะตายไหม? ถาเขาตาย เขาจะตายเพราะอะไร? กฎแหงกรรม วบิ ากกรรมดี วบิ ากกรรมชั่ว เปนไปไดไหม? หรือเปนไปตาม กฎพระไตรลักษณ หมดอายุขัย แลวก็ตองแตกดับไป ตายแลวรางกายเขา จะเปนอยางไร? เนาไหม? ผุพังไหม? หรือเอาไปเผา เผาแลวเหลืออะไร กระดูกผุไหม ปนไหม แตกไหม แลวเหลืออะไร? อนัตตา… หายไปหมด หาอะไรเปนทยี่ ึดถอื ไมไ ดเลย… จบวิตกวิจาร จะเกิดปติ ปติเกิดจากการที่เราเขาใจในธรรมชาติ ความเปนจริงของมัน ออ… ท่ีแทมันก็เปนอยางน้ีเอง จากนั้นก็เกิดสุข ดวย มีความสบาย มีความคลี่คลายใจ จากความรูนั้น ครั้นสุขดับลง คงเหลือ เอกัคตาและอุเบกขา แสดงวาใจเรา สามารถอุเบกขา วางลง ๆ ปลงตก ในอุปาทานความยึดถือ ท่ีหลงผิดใหคุณคา ในบุคคลน้ันๆ ลงได เพราะ เขาใจในเหตุผลของการเกิดข้ึน ต้ังอยู และดับไปในบุคคลนั้น อันเปนไป ตามกฎพระไตรลักษณนน่ั เอง เปนการจบการชกกับคซู อมของเรา เราทําเรอ่ื ยๆ ยกองคธรรมขึน้ มาพจิ ารณาทีละ ๑ คน เรมิ่ จากคนท่ี สนิทไมมาก มีคาตอใจไมมาก ไมไดมีสวนไดสวนเสียกับเรามากมายนัก แลวขยับขึ้นมาเปนคนท่ีสนิทมากขึ้น คนที่เราช่ืนชอบมากขึ้น ชนิดที่ใหคา ใหราคา มีสวนไดสวนเสียกับเรามากข้ึนๆ ซึ่งตองใชกําลังใจที่มากข้ึนๆ เรือ่ ยๆ ตามคณุ คาของบุคคลตางๆ ทเี่ ราตัง้ คา เอาไว แตขอย้ําวา ใหทําเทาท่ีมีกําลัง ถารูสึกวากําลังใจออนลา ก็ให ถอยกลับไปทําทาน รักษาศีล ทําสมถะภาวนา เพื่อเติมกําลังใจกอน พอกําลังใจเต็ม จึงคอยกลับมาพิจารณาตอ ลองเริ่มใหมที่ชกลม พอจะ ไหวไหม? ถาแคลวคลองดี ก็ชกกระสอบตอ ชกกระสอบจนเกิดความมั่นใจ ไมห วน่ั ไหวแลว จงึ ขน้ึ เวที อัดกบั คตู อสู 186
ปฏิจจสมปุ บาท สําหรับคนรนุ ใหม ถาเราสามารถน็อคคูตอสูได แสดงวาเราสามารถทําลายคุณคา จอมปลอม ท่ีใจเราตั้งขึ้นในคนเหลาน้ัน ใหหมดไปจากใจไดแลว บุคคล เหลาน้ัน จะไมสามารถมามีอํานาจเหนือใจเราอีก ไมวาเขาจะกระทําใดๆ หรือแปรเปลี่ยนจากไป บุคคลเหลาน้ัน ก็ไมสามารถท่ีจะมาทําใหจิตใจ ของเราหวั่นไหวไดอีก นี้แสดงวา เราเริ่มแข็งแกรงข้ึนมาบางแลว มีที่ยืน บนเวทีสาํ หรับเราแลว” ๑๔. ไดฤกษข ึ้นเวทจี ริง ไตอนั ดับสูความเปน แชมป จากสําเนาตอบคําถามในอินเตอรเนท ที่คุณภัทร คชะภูติ ไดแสดงไว มดี ังน้ี “บัดนี้เราพรอม… ที่จะขึ้นเวทีจริงไดแลว เพื่อชกไตอันดับ ซึ่งยาก ขึ้นอีก โดยพิจารณา เพื่อนๆ เพื่อนรวมงาน ญาติหางๆ ก็ใชวิธีเดียวกัน วิตก วิจาร เขาเกิดมาอยางไร จากเด็กเล็ก โตขึ้นมาเปนผูใหญ เขามีความ เปล่ียนแปลงไหม? เขาจะตายไหม? จะตายเพราะอะไร? กฎแหงกรรม วิบากกรรมดี วิบากกรรมชั่ว เปนไปไดไหม? หรือวาเปนไปตามกฎพระ ไตรลักษณ เม่ือหมดอายุขัยก็ตองแตกดับไป เมื่อตายแลวรางกายจะเปน อยางไร? เนาไหม? ผุพังไหม? หรือถาเอาไปเผา เผาแลวไหม กระดูกจะผุ ปน เปน ขเ้ี ถา สลายไปไหม? แลว เหลอื อะไร? สุดทายก็อนัตตา… หายไปหมด หาอะไรเปนที่ยึดถือไมไดเลย… วติ กวจิ ารจึงหยุดไป เพราะพิจารณาจนจบรอบ เกิดความเขาใจในธรรมชาติ ตามความเปนจริงของมัน… ออ… ที่แทมันก็เปนอยางนี้เอง ใจจึงเกิดปติ สุข เอกัคตา สบายใจในความรูหน่ึงเดียวน้ัน คร้ันปติจางลงๆ จนดับไป เหลือแตสุขกับเอกัคตา เม่ือสุขจางลงและดับไปอีก ใจจึงเหลือเพียง อุเบกขา กับเอกัคตา ความวางลงปลงตก เพราะเขาใจเหตุผลของการ เกิดขึ้น ต้ังอยู และดับไป ในธรรมหน่ึงเดียวน้ัน อันเปนไปตามกฎพระ ไตรลกั ษณน ่ันเอง จึงเปน การจบการชกไตอนั ดับของเรา 187
พระภาสกร ภูรวิ ฑฺฒโน (ภาวิไล) เราทาํ เร่อื ยๆ ยกองคธรรมข้ึนมาพจิ ารณาทลี ะ ๑ คน เร่มิ จากคนท่ี เรารักไมมาก หวงไมมาก มีคาตอใจไมมาก ขยับข้ึนมาเปนคนท่ีเรารัก มากขึ้น ช่ืนชมมากขึ้น ใหคาใหราคามากขึ้นๆ ซึ่งจะเห็นวา ตองใชกําลังใจ มากขนึ้ เร่ือยๆ ตามระดบั ของคุณคาทเ่ี ราหลงไปต้งั คาไว แตขอยํ้าซํ้าวา ใหทําเทาท่ีมีกําลังใจนะครับ ถารูสึกออนลาแลว ใหกลับไปเติมกําลังใจกันกอน ดวยการใหทาน รักษาศีล และปฏิบัติ สมถะภาวนา พอมีกําลังใจเต็ม ก็กลับมาพิจารณาตอ… ลองเริ่มใหมที่ ชกลม พอไหวไหม? ถาแคลวคลองดีก็ชกกระสอบตอ เม่ือชกกระสอบได ไมหวั่นไหว ก็ขึ้นเวทีอัดคูซอม แลวก็อัดคูตอสูอันดับตางๆ ถาเราสามารถ น็อคพวกเขาลงได ก็แสดงวา เราสามารถทําลาย คุณคาจอมปลอมของ คนเหลานั้น (ท่ีเราหลงตั้งขึ้นมาเอง) ใหหมดไปจากใจได และแนนอน… หากบุคคลเหลานั้นแปรเปลี่ยน อนิจจังจากเราไปจริงๆ ก็ไมสามารถทําให ใจของเราหว่ันไหวไดอีก น้ีแสดงวา เราเริ่มแข็งแกรงขึ้นมาแลว พรอมท่ีจะ ขึ้นเวทีใหญไดแ ลว” ๑๕. ขนึ้ เวทใี หญ ใกลค วามเปน แชมป คุณภัทร คชะภูติ ไดแสดงไวดังน้ี “เราพรอมที่จะข้ึนเวทีใหญ เพื่อจะชิงแชมปแลวนะ ตองฟตรางกาย ใหดี ออกกําลังกายสม่ําเสมอ ออกว่ิงทุกวัน ทานอาหารดีๆ (ทําบุญใหทาน รักษาศีล สวดมนต ทําสมาธิ อยาใหขาด) ชกกระสอบบาง (คือการพิจารณา ในวัตถุสิ่งของ ท่ีเราเขาไปยึดถือวาเปนของเรา) ชกกับคูซอม หรือครูฝกบาง (คอื การพจิ ารณาบุคคลท่เี รารจู ัก) เอาหละ ไดเวลาข้นึ เวทีใหญแ ลว… ข้ึนเวทีใหญ ก็คือ พิจารณาจากคนใกลชิด คนในครอบครัว ของเราเอง ก็ใชวิธเี ดยี วกัน วิตกวิจาร เขาเกิดมาอยางไร จากเด็ก โตขึ้นมา จนเปนผูใหญ เขาจะเปลี่ยนแปลงไหม? เขาจะแก จะเจ็บ จะตายไหม? ถาเขาจะตาย เขาจะตายเพราะอะไร? กฎแหงกรรม วิบากกรรมดี หรือ วบิ ากกรรมชว่ั เปนไปไดไ หม? หรอื เปนไปตามกฎพระไตรลักษณ ? 188
ปฏจิ จสมปุ บาท สําหรับคนรุนใหม คร้ันหมดอายุขัย ก็แตกดับตายไป ตายแลวรางกายเปนอยางไร? เนาไหม? ผุพังไหม? หรือเอาไปเผา? เผาแลวจะเหลืออะไร? เปนข้ีเถา ปน แตก อนัตตา… หายไปหมด จะหาอะไรมาเปน ท่ีพงึ่ ท่ียดึ ถือไมไดเลย… จบวิตกวิจาร ก็จะเกิดปติ ปติเกิดจากเราเขาใจในธรรมชาติ ตามความ เปนจรงิ ของมนั ออ... ทแี่ ทมนั กเ็ ปนอยางน้ีเอง วิตกวิจารหยุดไป เพราะเรา เขาใจแลว เหลือแต ปติ สุข เอกัคตา สบายใจในความรูหนึ่งเดียวนั้น ครั้น ปติจางดับไป เหลือแตสุขกับเอกัคตา เมื่อสุขจางลงและดับไปอีก ใจจึงเหลือ เพียงอุเบกขากับเอกัคตา วางลงๆ ปลงตก เพราะเขาใจเหตุผลของการเกิดข้ึน ต้ังอยู และดับไป ในธรรมหน่ึงเดียวนั้น อันเปนไปตามกฎพระไตรลักษณนั่นเอง เปนการจบการชกไตขึ้นสู ๑๐ อนั ดับสงู สุด หรือ Top Ten ของเรา… เราทําเรื่อยๆ พยายามทําอยางตอเนื่อง ยกองคธรรมข้ึนมาพิจารณา ทีละ ๑ คน เริ่มจากคนท่ีเรารักนอยที่สุด คือมีคาตอใจนอยหนอย (อยางไรก็ มากกวา ญาติหางๆ) แลว ขยับมาเปนคนที่เรารักมากข้นึ มีคา ตอใจเรามากข้ึน คนที่เราใหคาใหราคามากขึ้นๆ จากหลาน เปนลุง ปา นา อา มาเปนพ่ีนอง (คราวน้ีหนักหนอย) สว นรองแชมปอันดับ ๔, ๓, ๒ ก็แลวแตเราจะจัดใหใคร คุณแม คุณพอ ลูก หรือสามี ภรรยา ก็ข้ึนอยูกับวา เรากลัวการจากไปของใคร มากท่ีสุด จะเห็นวาตองใชกําลังใจอยางหนัก หนักมากข้ึนเรื่อยๆ จนถึงมาก ท่สี ุด แตก็น่นั แหละ ทําไปเทา ที่มกี าํ ลงั ใจจะทําได… เราจะข้ึนเวทีก็ตอเม่ือกําลังใจเราพรอมจริงๆ ถารูสึกออนลา ให กลับไปเติมกําลังกอน ดวยทาน ศีล และสมถะภาวนา พอมีกําลังก็กลับมา พิจารณาตอ เริ่มใหมท่ีชกลมไหวไหม? ถาแคลวคลองดี ก็ชกกระสอบตอ ชกกระสอบไมหวั่นไหว ก็ขึ้นเวทีอัดคูซอม แลวอัดคูตอสูอันดับตางๆ ถา สามารถน็อคพวกเขาลงได แสดงวาเราสามารถทําลายคุณคาจอมปลอม ท่ี เคยถูกตั้งคาไวใหหมดไปจากใจไดแลว ดังน้ันการแปรเปล่ียน หรืออนิจจัง จากไปของเขาเหลานั้น จะไมสามารถทําใหจิตใจเราหว่ันไหวไดอีก นี้แสดง วาเราเร่มิ แขง็ แกรง จนถงึ ทีส่ ดุ แลว พรอมจะขึ้นเวทชี งิ แชมปจ รงิ ๆ ไดแ ลว” 189
พระภาสกร ภูรวิ ฑฺฒโน (ภาวิไล) เปดปูมชวี ิต เพอื่ กวาดลางทําความสะอาด “อตตี ารมณ” ในบทความเรื่อง “วิธีสอบอารมณแบบ สุขวิปสสโก ๑๗ ขอ” ของ ทานอาจารยแมชี อุบาสิกาเพียงเดือน ธนสารพิพิธ ไดแนะนําใหนักปฏิบัติ ยกองคธรรมขึ้นมาพิจารณาเพิ่มเติม เพื่อชําระลางทําความสะอาดอตีตารมณ คอื อารมณที่จิตรับรูแ ละบันทกึ เอาไว ท่ีมีมาแตด้ังเดิมในอดีต แลวเอามาทํา การปรุงแตงและรับรูใหม ใหถูกตองตามความเปนจริง อยางที่เปนไปตาม กฎธรรมชาติ ดงั ตอ ไปน้ี (๑) ทบทวนประวัติชีวิตของตนเองท้ังหมด นับตั้งแตเกิดมา เปนเด็กทารก เติบโตขึ้นมา… ตลอดจนถึงปจจุบัน แลวพิจารณานอมลงสู กฎพระไตรลักษณ ใหเ ห็นชัดดวยใจตนเอง (๒) ทบทวนพิจารณาอตีตารมณ อดีตท่ีมีอํานาจเหนือใจ ที่สามารถ ยังใหใจหว่ันไหว ดวยความยินดีบาง ไมยินดีบาง ขุนมัวเศราหมอง โหยหา หรือพยาบาทบาง โดยคนหาข้ึนมาคร้ังละ ๑ หัวขอ เปนเร่ืองๆ ไปตามลําดับ อยาใหส ับสน พจิ ารณาตั้งแตตนจนจบ จึงนอ มลงสูกฎพระไตรลักษณ ซ่ึงยิ่ง พจิ ารณาละเอียด จนสามารถลงใจไดแ นบสนิทเพียงไร ก็จะย่ิงลางจิตลางใจ ใหส ะอาดไดมากย่งิ ข้นึ เทา น้นั (๓) ขุดคน “กามประวัติ”1 กลาวคือพฤติกรรมทางกามของตน เอาขึน้ มาพิจารณาครัง้ ละหัวขอ วาตนนั้นไดเ คยหลงใหลมัวเมา ยดึ ติดมา 1 ทาํ ไมถงึ ตองพิจารณา กามประวัติ ? กเ็ พราะกามเปนบอเกิดแหงโลก เปน โลกียธรรม ถาไมเขาใจ ไมแทงตลอด ไมรูแจงในเหตุผล ไมเห็นทุกขโทษของกามแลว ยอมจะละกามไมได ซึ่งเหลานักปฏิบัติ ที่ปฏิบัติธรรมไปโดยไมไดร้ือคนจนถึงรากเหงา ของกาม ไมไดเห็นวิถีการทํางานของธรรมารมณ อันเนื่องมาแตกามอยางชัดเจนแลว กามสัญญา (สัญญาอุปาทาน คือ อิฏฐารมณ อารมณที่ชอบใจ และอนิฏฐารมณ อารมณท่ีไมชอบใจ) อันเกิดแต อวิชชา ความรูเห็นท่ีผิดไปจากความเปนจริงเหลาน้ัน ก็จะยังคงซอนเรน เปนเช้ือมะเร็งรายที่คอยเวลาท่ีจะลุกลาม ลางผลาญ ทํารายทําลายเรา ใหพ ายแพตกเวที พลาดโอกาสทีจ่ ะบรรลมุ รรค ผล นิพพานไปอยา งนาเสยี ดาย 190
ปฏจิ จสมุปบาท สําหรบั คนรุนใหม ดวยชอบใจในสัตว บุคคล สิ่งของ หรือฐานะอันใด เปนเพราะเหตุใด ทําไมถึงไดไปหลงใหลคลั่งไคล ยึดติดอยูเชนนั้น และทําไมสิ่งนั้น ถึงไดมา มีอิทธิพลอยูเหนือจิตเหนือใจของเรา ซ่ึงการพิจารณาเชนน้ี เราจะตองร้ือ เอาพฤติกรรมทางกามที่เคยมีมาในอดีต เอามาตรวจสอบพิจารณาหาเหตุผล ตง้ั แตตนจนจบ แลวนอมลงสูกฎพระไตรลักษณ ดวยความซ่ือตรง เปดเผย กลาหาญ โดยไมมีการปดบัง หมกเม็ด หรอื กลบเกล่อื นซอ นเรน ๑๖. ข้ึนเวทีโลก ชวงชิงความเปนแชมป จากรองแชมปโลก จนถึงแชมปโ ลก คุณภทั ร คชะภตู ิ ไดแสดงไวอกี ดงั นี้ “แชมปโลกคือใคร? มีรองแชมปโลกหรือไม? ใครคือรองแชมปโลก อันดับหน่ึง? ใครคือแชมปโลก? ทานพระอาจารยภาสกร ภูริวฑฺฒโน ทานไดแ สดงไวว า รองแชมปโลกอนั ดบั หนง่ึ กค็ อื รปู ที่ใจเราต้งั คา ไวส งู สุด วาเม่ือไดเห็นแลว จะมีความสุขที่สุด เสียง กลิ่น รส และสัมผัสทางกายใดๆ ท่ีใจต้ังคาไววา เม่ือไดยิน ไดกล่ิน ล้ิมรส หรือไดเสียดสีสัมผัสใกลชิดแลว จะมคี วามสขุ ทสี่ ดุ เมื่อเรายังเปนผเู สพเสวยกามอยู แนนอน รูป เสียง กลิ่น รส สัมผัสทางกาย รวมไปถึงสัมผัสทางใจ ท่ีเก่ียวเน่ืองดวยกายน้ัน ก็มักจะ มีรูปของมนุษยมาเปนตัวแทนของคุณคาสูงสุด อันจะนําความสุขสูงสุด มาสูใ จของเรา ถาคนๆ นั้นเปนชาย รูป เสียง กล่ิน รส สัมผัสทางกาย และ สัมผัสทางใจอันเน่ืองดวยกาย ที่จะนําความสุขสูงสุดมาสูใจเขาน้ัน ก็มักจะ เปนการต้ังคาในเพศหญิง ที่ทานพระอาจารยภาสกรเรียกวา เปนนางเอก ประจําใจของคนๆ น้ัน ซ่ึงไมจําเปนวารูปๆ นั้น จะตองเปนรูปที่สวยท่ีสุด ในโลก เปนนางงามจักรวาลหรืออะไร ขอเพียงแตใจของคนๆ นั้นต้ังคา ข้ึนมาวา รูปน้ีน่ีแหละท่ีจะทําใหขามีความสุขสูงสุด ก็ถือวารูปนั้นไดเปน นางเอกของเขาแลว นับเปนรองแชมปโลกอันดับหนึ่ง คูตอสูของเขาใน หวงเวลาน้ัน 191
พระภาสกร ภูริวฑฺฒโน (ภาวไิ ล) ในทางตรงขาม ถาคนๆ น้ันเปนหญิง รูป เสียง กลิ่น รส สัมผัสทางกาย และสัมผัสทางใจ อันเนื่องดวยกาย ที่จะนําความสุขสูงสุด มาสูใจเธอน้ัน ก็มักจะเปนการต้ังคาในเพศชาย ท่ีพระอาจารยภาสกร เรียกวา เปนพระเอกประจําใจของเธอคนนั้น ซ่ึงไมจําเปนวา รูปๆ น้ัน จะตองเปนรูปท่ีหลอที่สุดในโลก เปนชายงามล่ําสันหุนมาดแมนหรืออะไร ขอเพียงแตใจของเธอคนน้ัน ตั้งคาข้ึนมาวา รูปน้ีแหละ ที่จะทําใหฉันมี ความสขุ สงู สดุ กถ็ ือวารูปนนั้ ไดเ ปนพระเอกของเธอคนนน้ั แลว เปนรอง แชมปโลกอันดบั หน่ึง เปน คตู อสูของเธอคนนนั้ นอกจากรูปแลว เสียง กลิ่น รส และสัมผัสทางกาย หรือทางใจ ใดๆ ก็ตาม ท่ีมีคาสูงสุดตอใจ ก็มักไปลงตัวท่ีเธอหรือเขา รายเดียวกัน ให เปนนางเอกหรือพระเอกประจําใจของเราโดยสมบูรณ… แตยังกอน อยาเพิ่ง ตายใจวาจะมีรองแชมปอยูเพียงรายเดียว เพราะไมแนวา พอถึงวันดีคืนดี พอมีรูปที่ดีกวา เสียง กลิ่น รส สัมผัสทางกายและใจที่ดีกวา ท่ีเรารูสึกวา จะนาํ ความสุขมาใหไ ดมากกวา รูปเดิม ที่เคยเปน หรอื กาํ ลังเปนนางเอก หรือ พระเอกของเราในปจ จุบัน เราก็คงจะเปลีย่ นนางเอก หรือพระเอกในใจของ เราใหมเปนแนแท… น่ีไง แมแตคุณคาคืออุปาทานท่ีมีอยูในใจของเรา ก็ยัง อนิจจงั กนั ไดงา ยๆ สวนเจาของตําแหนงแชมปโลกคนปจจุบัน ที่เราจะตองขึ้นไป ชิงแชมป ไปถลมใหราบคาบเลา มันคือผูใด? ไมใชอื่นไกล มันก็คือ กายของเรานี่เอง ที่ใจเราเขาไปหลงผิด คิดวามันเปนตัวเปนตนท่ีแทจริง ของเรา ท้ังๆ ท่ีมันไมใช แตเราก็หลงรักกายนี้ ปรารถนาในกายนี้ แลวรูไหม วา ทําไม นั่นก็เพราะเราคดิ วา กายน้แี หละ ทีม่ ันจะสามารถนําความสุขมาให เราไดนะสิ ก็เพราะเรามีกายน้ีไมใชหรือ เราจึงมีตาไปดู ไปเห็นในรูป ที่เรา ต้ังคาเอาไววาจะนําความสุขมาใหแกเราได ก็เพราะการที่มีกายนี้มิใชหรือ เราจึงมีหู มีจมูก มีลิ้น มีประสาทสัมผัส เอาไวไปเสพซ่ึงคุณคา ในเสียง ในกลน่ิ ในรส และในสมั ผัสทีเ่ ราปรารถนา 192
ปฏิจจสมปุ บาท สําหรบั คนรุนใหม กายนี้แหละ คอื แชมปโ ลกตวั จรงิ แชมปโลกท่ีมีอํานาจ ลอหลอกใหเราแสวงหา ปรารถนา บํารุง บําเรอมนั และ ปรารถนาที่จะเกิด เพราะคิดวา ถาเราไดเกิดมาแลว เราคง จะไดร บั ความสขุ บรรดาท่ีมี จากรูป จากเสยี ง จากกล่ิน จากรส และสมั ผัสที่ เราตงั้ คา ตัง้ ความปรารถนาเอาไว เราจึงอยากจะเกิดมา เพ่ือที่จะมีโอกาสได แกต ัวกับความผิดพลาด หรือความปรารถนาท่ีไมสมหวังของเรา แลวเรายัง หวังกันอีกวา เรานาจะไดเกิดมาหลอ เกิดมาสวย ทําไมเราถึงไดอยากหลอ อยากสวยกันนัก? น่ันเปนเพราะเราคิดวา ถาเราหลอเราสวย หรือเรามี บุคลิกภาพท่ีดีกวานี้ เราคงจะมีความสุขไดมากกวาน้ี เราจะเอาความหลอ ความสวย ความรวย ความเกของเราน้ัน เอาไปเปนเหยื่อ ไวลอปูลอปลา คือรูป เสียง กล่ิน รส สัมผัส ท้ังกายและใจ อันเราต้ังคุณคาเอาไวนั่นเอง ใหมาตดิ กับตดิ เบด็ ของเรา… เราตองควา่ํ รองแชมป กับแชมปโ ลกใหได… …ไมวารูป เสียง กลิ่น รส สัมผัสภายนอกใดๆ ก็ไมมีอํานาจเหนือ ใจเรา เทียบเทากับรองแชมปโลก คือนางเอกหรือพระเอกที่คอยหลอกหลอน อยูในใจของเรา ไมวาจะมีรูปใด หรือใครคนใหมหนาไหน เขามาในชีวิต ของเรา เปนตองถูกนํามาเปรยี บเทียบกับนางเอกหรือพระเอกของเรา วาจะ สามารถนําความสุขมาใหกับเรา เทาเทียมกับนางเอกหรือพระเอกท่ีมีอยู เดมิ ไหม ถาดไี มเ ทาหรอื สไู มได นางเอกหรือพระเอกของเรากย็ ังดํารงอยูใน ตําแหนง แตเม่ือใดท่ีมีรูปอื่น เสียงอ่ืน กล่ิน รส และสัมผัสอื่น ที่ใจเราคิดวา นําความสุขมาใหกับเราได มากกวาท่ีนางเอกหรือพระเอกคนเดิมเคยใหมา เรากเ็ อารปู ใหมน้ัน เสียงใหมน ้นั กลิน่ รส และสัมผัสใหมน้ัน ยกยองข้ึนมา เปนนางเอกหรือพระเอกใหมแทน… เราตองลมรองแชมปโลก คือถอดถอน และทําลายเสียซ่ึงความเห็นผิด ที่หลงไปใหคุณคาในนางเอกหรือพระเอก ประจําใจของเรา เมือ่ ใดท่ีลม คตู อสรู ายนี้ไดสําเรจ็ รูปอ่ืน เสยี งอ่นื กลน่ิ รส สัมผสั อน่ื อันใดเลา จะมีความหมาย มีอาํ นาจเหนือใจเรา ยอมเปนไปไมไ ด 193
พระภาสกร ภูรวิ ฑฒฺ โน (ภาวไิ ล) แตก็อยาประมาท เพราะแมวา รองแชมปโลกอันดับหนึ่ง คือ นางเอกหรือพระเอกของเราจะพายแพหมดทาไปแลว แตอยาลืมวา ตราบใด ท่เี รายงั มรี างกายอยู ยังมีความปรารถนาและติดยดึ ในรางกายของเราเองอยู แลวเราจะเอาตา เอาหู จมูก ลิ้น และประสาทสัมผัสทางกายไวไปทําอะไร แมนางเอกหรือพระเอกไดตายไปแลว แตไ อต ัวแสบ คือกายของเรานี้ก็ยังอยู มันกเ็ ลยทําตัวเปน แมวมอง หานางเอกหรอื พระเอกคนใหมข้ึนมาต้ังไวแทน เอาไวเปรียบเทียบในการเสพเสวยตอ ไป ฉะนัน้ การวปิ ส สนา พิจารณาเพือ่ ถอดถอนความเหน็ ผดิ อยางสูงสุด ใน ขนั ธ ๕ ภายนอก ซ่ึงเปรียบไดก บั การขึน้ ชกกับรองแชมปโลก อันดับ ๑ จึงไมควรประมาท เมื่อชกเสร็จแลว ก็ตองโอปนยิโก นอมกลับเขามาสู ตนเองเสมอ วกกลับมาถลม กลับมาตดั กําลังแชมปโลกอยูเสมอ อยาใหมัน ทนั ไดต ัง้ ตัว แลว คอยถลมแชมปโลก คอื ขันธ ๕ ภายใน ในสว นรา งกาย และอาการของใจ ท่ีเราคิดวา เปนเราเปน ของเรานี้ อยา งเตม็ รูปแบบ เราตองพยายามคว่ําท้ังแชมป และรองแชมปใหได เมื่อคว่ําไมได ก็สูใหม คว่ําไมได ก็ซอมอีก เตรียมตัวใหดี อัดมันใหกองเลย ถาสามารถ ควาํ่ รองแชมปโ ลก และแชมปโลกได กเ็ ปนอันวาหมดภารกิจท่ีเราจะตองทํา แลว ถึงจุดหมายของเราเสียท…ี เราก็จะรูไดดวยตนเองทุกคร้ัง ทุกขั้น ทุกตอน วาเราผานมาถึง ข้ันไหน คุณคาจอมปลอมตางๆ ท่ีเราเคยหลงไปใหคุณคา ใหราคาน้ัน มันไดถูกทําลายลงไปมากนอยเทาไร ความทุกขของเรา ไดลดลงไปมาก นอยเพยี งใด ยังมีอะไรท่ีมีคามีราคา สามารถทําใหใจของเราเปนทุกขไดอีก ก็คอ ยหาเหตุหาผลมาสอนใจเราตอ ไป ทกุ อยา งเปนปจจัตตัง ปฏิบัติไปแลว ยอมรไู ดดวยตนเองจรงิ ๆ **ขอควรระวัง** ถาสูไมไหว เห็นทาไมดี (ดูท่ีกําลังใจ ใจส่ัน หวั่นไหวมาก หมดกําลัง) เราตองเปนพ่ีเล้ียง คอยระมัดระวังใหกับตัวเอง ตัดสนิ ใจโยนผา ยุตกิ ารชก (หยุดพิจารณาทันที) รอบน้ียอมแพไ ปกอ น 194
ปฏิจจสมปุ บาท สาํ หรับคนรุนใหม แลวกลับไปซอมมาใหม ซอมใหดี แลวจึงคอยกลับมาสูตอ เพราะ แชมปมันเกง จรงิ ๆ แตเ รากลบั มาสูใหมกี่คร้ังก็ได ซ่ึงการกลับมาของเราน้ัน ควรทเ่ี ราจะตอ งพรอมจรงิ ๆ การดันทุรังข้ึนชก ท้ังๆ ท่ียังไมพรอม จะทําใหเรา “เสียมวย” อาจถึงกับเลิกชกมวยไปตลอดชีวิตเลยก็เปนได นะครับ (คือเข็ดขยาด บาดเจ็บสาหัส จนกลวั ไมกลา ที่จะกลับมาพิจารณาธรรมอกี เลย) ท่ีเลามานี้ พอเปนแนวทางนะครับ ผมปฏิบัติแบบน้ีมา ไดผลดี มากครับ ทุกขลดลงมาก ถาคุณพิจารณาดูเห็นวาเขาทา ทดลองปฏิบัติดูได ก็จะดคี รบั … เทคนิครายละเอยี ดยงั มอี ีกมาก ตองทดลองปฏบิ ตั ิดู!!! ดวยอานิสงสของการปฏิบัติ และการใหธรรมะเปนทานนี้ ผมขอ แผความดีใหกับทุกทาน ขอใหทานจงปฏิบัติธรรมกาวหนาสงผล ไดเขาถึง ซ่ึงมรรค ผล นพิ พาน ในชาติปจ จุบัน โดยเร็วพลันดวยเทอญ โมทนาสาธุ… โมทนาสาธุ… โมทนาสาธุ… จาก ภทั ร คชะภตู ”ิ ภูมขิ องวปิ สสนา ในวปิ ส สนาชกมวย ในหลักสูตรนักธรรมเอก จัดสิ่งที่เปนภูมิของวิปสสนาไว ไดแก ขนั ธ ๕1 อายตนะ ๑๒ ธาตุ ๑๘ และอนิ ทรีย ๒๒ 1 ขันธ ๕ หรือ เบญจขันธ คือ กองแหงรูปธรรมและนามธรรมหาหมวด ท่ปี ระชมุ กันเขา เปน หนวยรวม ซ่งึ บัญญัติเรียกวา สัตว บุคคล ตัวตน เรา-เขา เปนตน, สว นประกอบหาอยา งท่รี วมเขาเปนชีวิต ๑. รูปขันธ คือ กองรูป, สวนท่ีเปนรูป, รางกาย, พฤติกรรม และคุณสมบัติ ตางๆ ของสวนท่ีเปนรางกาย, สวนประกอบฝายรูปธรรมท้ังหมด, ส่ิงท่ีเปนรางกาย พรอ มทง้ั คณุ และอาการ ๒. เวทนาขันธ คือ กองเวทนา, สวนที่เปนการเสวยอารมณ, ความรูสึกสุข ทุกข หรอื เฉยๆ ๓. สัญญาขนั ธ คือ กองสญั ญา, สวนทีเ่ ปน ความกําหนดหมาย ใหจําอารมณ น้นั ๆ ได, ความกาํ หนดไดห มายรใู นอารมณ ๖ เชนวา ขาว เขียว ดาํ แดง เปน ตน 195
พระภาสกร ภรู ิวฑฺฒโน (ภาวิไล) ถาเราปฏิบัติตามหลักวิปสสนาชกมวยดังที่กลาวมาแลว จะมีความ เกย่ี วพนั อยา งไรกบั ภูมขิ องวิปส สนาท่ยี กมานี้ ๑. การพิจารณาที่เปนไปในสัตวบุคคลท้ังหลาย เชน พอ แม พ่ี นอง บุคคลอันเปนท่ีรัก ตลอดจนตัวเราเองน้ัน เปนการพิจารณา รูป-นาม ขนั ธ ๕ คือ กายและจิต โดยที่ ๑.๑ การ พิจารณากาย จะทําใหเห็นภาวะของ รูป ซ่ึงประกอบ ข้ึนมาจากวัตถุธาตุ อันมีสมบัติ ๔ ประการ คือ ธาตุ ๔ ไดแก (๑) ธาตุดิน ความแคนแข็ง (๒) ธาตุนํ้า ความเกาะกุม (๓) ธาตุลม ตําแหนงท่ีตั้ง อันเปลี่ยนแปลงโยกยายเคลื่อนที่ได และ (๔) ธาตุไฟ คือ อุณหภูมิ โดยมี อายตนะ คือชองทางรับรู อันไดมาแตกายอีก ๕ ประการ คือ ตา หู จมูก ลิ้น และประสาทกาย เปนอุปกรณสําหรับเช่ือมตอรับรูกับอารมณท้ังหลาย ภายนอก นอกจากน้ียังมีอวัยวะนอยใหญ ท้ังภายนอก เชน ผม ขน เล็บ ฟน หนัง แขน ขา ตา หู ฯลฯ และภายใน เชน ตับ ไต ไส ปอด หัวใจ สมอง ไขสันหลัง ฯลฯ เปนสวนที่มาประกอบกันข้ึนเปนกาย ซ่ึงแมแต สังขาร คือ การปรุงแตง นึก คิด พิจารณา ตัดสิน สรางสรรเจตนา คือ กรรมทั้งหลายของใจ ในความเปนมนุษยน้ัน ก็จําเปนตองอาศัยอวัยวะ มี สมองและระบบประสาท เปนปจ จยั สาํ คญั ๑.๒ การ พิจารณาจติ 1 ทแี่ สดงออกใหร บั รไู ดโดยอาการของจิต ๔. สังขารขันธ คือ กองสังขาร, สวนท่ีเปนความปรุงแตง, สภาพที่ปรุงแตงจิต ใหดีหรือชั่ว หรือเปนกลางๆ คุณสมบัติตางๆ ของจิต มีเจตนาเปนตัวนํา ท่ีปรุงแตง คุณภาพของจิต ใหเปน กศุ ล อกุศล อพั ยากฤต ๕. วิญญาณขันธ คือ กองวิญญาณ, สวนท่ีเปนความรูแจงอารมณ, ความรู อารมณท างอายตนะทัง้ ๖ มีการเห็น การไดย นิ เปนตน ไดแกวิญญาณ ๖ 1 พจิ ารณาจิต คือ จิตตานปุ สสนา ในสตปิ ฏฐาน ๔ สติปฏฐาน ๔ คือ ที่ต้ังของสติ, การต้ังสติกําหนดพิจารณาสิ่งท้ังหลายใหรู เห็นตามความเปน จรงิ คอื ตามท่สี ิง่ นน้ั ๆ มนั เปน ไปเชน นนั้ เอง ตามธรรมชาติของมัน 196
ปฏจิ จสมุปบาท สําหรับคนรนุ ใหม กลา วคอื (๑) เวทนา ความท่ีจิตสามารถรูสึก สุข ทุกข หรือ เฉยๆ ไมสุขไมทุกข ได (๒) สัญญา ความท่ีจิตสามารถ จําไดหมายรู ระลึกขึ้นมา ซึ่งสิ่งอนั จติ เคยมีวิญญาณ รับรู จดจําบันทึกเอาไวในจิต (๓) สังขาร ความที่ จิตสามารถปรุงแตง คิดนึก สรางสรรเจตนา คือกรรม อันเปนไปตางๆ (๔) วิญญาณ ความที่จิตสามารถรูแจง อายตนะภายนอก คือ อารมณท้ัง ๖ และสามารถจดจําบันทึกความรูน้ันเอาไวในจิต โดยผาน อายตนะภายใน คอื ชอ งทางรับรทู ้ัง ๖ มี ตา หู จมูก ลนิ้ กาย และใจ ๑. กายานุปสสนาสติปฏฐาน คือ การตั้งสติกําหนดพิจารณากาย ใหรูเห็น ตามเปนจรงิ วา เปน แตเ พียงกาย ไมใชสัตวบุคคลตัวตนเราเขา ทานจําแนกวิธีปฏิบัติไว หลายวิธี คือ อานาปานสติ การกําหนดลมหายใจ ๑, อิริยาบถ กําหนดรูทันอิริยาบถ ๑, สัมปชัญญะ สรางสัมปชัญญะ รูเทาทันในการเคล่ือนไหว และการกระทําทุกอยาง ๑, ปฏิกูลมนสิการ พิจารณาสวนประกอบอันไมสะอาด ที่ประชุมเขาเปนรางกายนี้ ๑, ธาตุมนสิการ พิจารณาเห็นรางกายของตนโดยสักวาเปนธาตุแตละอยางๆ ๑, นวสีวถิกา พิจารณาซากศพ อันเปนไปตางๆ ๙ อยาง ใหเห็นคติธรรมดาของกาย อนั ตนและผูอื่นจักเปนไป ๑ ๒. เวทนานุปสสนาสติปฏฐาน คือ การต้ังสติกําหนดพิจารณาเวทนา ใหรูเห็น ตามเปนจริงวา เปนแตเพียงเวทนา ไมใชสัตวบุคคลตัวตนเราเขา คือ มีสติอยูพรอม ดวยความรูชัดเวทนา อันเปนสุขก็ดี ทุกขก็ดี เฉยๆ ก็ดี ท้ังท่ีอาศัยกามคุณ (สามิส) และไมอ าศัยกามคุณ (นิรามิส) เปนเหยอ่ื ลอ ท่ีเปน ไปในขณะนั้นๆ ๓. จิตตานุปสสนาสติปฏฐาน คือ การต้ังสติกําหนดพิจารณาจิต ใหรูเห็น ตามเปนจริงวา เปนแตเพียงจิต ไมใชสัตวบุคคลตัวตนเราเขา มีสติอยูพรอมดวยความ รูชัดในจติ ของตน ท่ีมรี าคะ ไมมรี าคะ มีโทสะ ไมมีโทสะ มโี มหะ ไมมโี มหะ เศราหมอง หรือผองแผว ฟุงซา น หรือเปนสมาธิ อยางไรๆ ที่เปนไปในขณะนนั้ ๆ ๔. ธัมมานุปส สนาสติปฏฐาน คอื การตั้งสตกิ าํ หนดพิจารณาธรรม ใหรูเห็น ตามเปน จริงวา เปน แตเพียงธรรม ไมใ ชสัตวบ ุคคลตวั ตนเราเขา คอื มสี ตอิ ยพู รอ มดว ย ความรชู ดั ธรรมทง้ั หลาย ไดแก นิวรณ ๕ ขันธ ๕ อายตนะ ๑๒ โพชฌงค ๗ อริยสัจ ๔ วาคืออะไร เปนอยางไร มีในตนหรือไม เกิดข้ึน เจริญบริบูรณ และดับไปไดอยางไร เปน ตน ตามทเี่ ปน จรงิ ของมนั อยางนน้ั ๆ 197
พระภาสกร ภูริวฑฒฺ โน (ภาวิไล) ทั้งน้ี การพิจารณาจิตนั้น จะทําใหเราสามารถเห็นเหตุปจจัย อันยัง จิต ใหมีความเปล่ียนแปลงเปนไปตางๆ เชน จิตผองแผว ผองใส หรือจิต เศราหมอง ขุนมัว วาเปนเพราะสาเหตุใด มีปจจัยใดบางที่เขามาเกี่ยวของ หรอื เปน ไปดวยความหลงผดิ เขาใจผิด หรือมีความเห็นผิดเปน ประการใด ๒. การพิจารณาสัตวบุคคลท้ังหลาย เชน พอ แม พี่ นอง บุคคล อันเปนท่ีรัก ตลอดจนตัวเราเองตาม กฎแหงกรรม ทําใหเราเห็นเหตุผล ท่ีไปท่ีมา อันเปนเหตุใหไดอินทรีย คือความเปนใหญในฐานะตางๆ เชน การไดมาซ่งึ อินทรีย คือ อายตนะภายใน ๖ มี ตา หู จมูก ลิ้น กาย และใจ จะไดตาดี หูดี จมูกดี หรือช่ัวประการใด ก็เปนไปดวยอํานาจของกรรม หรือการท่ีจะไดมาซึ่งอินทรีย คือเพศภาวะ ความเปนหญิง เปนชาย หรือ ภาวะชีวิตท่ีเปนไปตางๆ ก็เปนไปดวยอํานาจของกรรมเชนกัน แมอินทรีย คือเวทนาทั้งหลาย อันเกิดแตกายก็ดี จิตก็ดี ก็มีกรรมเขามาเปนปจจัย สาํ คัญ ทอ่ี าํ นวยผลใหไ ดเวทนาเปน เชนน้นั ๆ ๓. กระบวนการดําเนินวิปสสนาชกมวย เปนการพัฒนา ฝกฝน บมเพาะ และใชอินทรีย คือ พละ ๕ อยางเต็มกําลังความสามารถ ไมวา อินทรีย คือความเปน ใหญใ นกิจนนั้ จะไดแ ก สัทธา เช่ือม่ัน, วิริยะ พากเพียร, สติ ระลึกได, สมาธิ ต้ังจิตมั่น และปญญา รูท่ัวชัด โดยเปนใหญในหนาที่ อันครอบงําเสียซึ่งสิ่งที่เปนอุปสรรคตอการพัฒนา ไดแก ความไรศรัทธา ความเกยี จคราน ความประมาท ความฟุง ซา น และความหลงตามลาํ ดับ ๔. กระบวนการดําเนนิ วิปสสนาชกมวย จึงเปนไปเพ่ือการพิจารณา ถอดถอนความเห็นผิดในเรื่องของกายและจิต จึงเปนเหตุทําลายซ่ึง อวิชชา ความไมรูถูกตองตามความเปนจริง อันมีประการตางๆ ผลท่ีไดรับก็คือ การถอดถอน ทําลาย และขจัดไดซ่ึงสังโยชน คือ กิเลส ตัณหา มานะ ทิฏฐิ และอุปาทานใดๆ อันผูปฏิบัติเคยมีมาแตเดิม ท้ังยังผูปฏิบัติใหบรรลุ คุณธรรม อนั นับเปนอินทรีย คือเปนใหญในการทํากิจของตน ตั้งแตเบ้ืองตน คอื โสดาปตตมิ รรค ตลอดจนเบื้องปลาย คือ อรหตั ตผล เปน ทีส่ ุด 198
ปฏจิ จสมปุ บาท สาํ หรับคนรุนใหม จากตัวอยา งที่ยกมาเปรียบเทียบทั้ง ๔ ขอนี้ จึงสรุปไดอยางชัดเจน แลววา การปฏิบัติตามหลักวิปสสนาชกมวยที่นําเสนอมาน้ี ลงรอยอยาง แนบสนิทกับ ภูมิของวิปสสนา ในหลักสูตรนักธรรมเอก ที่จัดให ขันธ ๕ อายตนะ ๑๒ ธาตุ ๑๘ และอินทรยี ๒๒1 เปน ภูมขิ องวิปส สนา 1 อายตนะ ๑๒ ไดแ ก อายตนะภายใน ๖ และอายตนะภายนอก ๖ อายตนะภายใน ๖ เปนแดนที่เชื่อมตอใหเกิดความรูฝายภายใน บาลีเรียก อัชฌัตติกายตนะ ไดแก (๑) จักษุ คือ ตา (๒) โสตะ คือ หู (๓) ฆานะ คือ จมูก (๔) ชิวหา คือ ล้ิน (๕) กาย คือ กายประสาท (๖) มโน คือ ใจ ทั้ง ๖ นี้เรียกอีกอยางวา อนิ ทรีย ๖ เพราะเปน ใหญใ นหนาที่ของตนแตล ะอยาง เชน จกั ษุ เปน เจา ในการเหน็ ฯ อายตนะภายนอก ๖ เปนแดนที่เชื่อมตอใหเกิดความรูฝายภายนอก บาลี เรียก พาหิรายตนะ ไดแก (๑) รูปะ คือ รูป, ส่ิงท่ีเห็น หรือ วัณณะ คือสี (๒) สัททะ คือ เสียง (๓) คันธะ คือ กล่ิน (๔) รสะ คือ รส (๕) โผฏฐัพพะ คือ สัมผัสทางกาย, ส่ิงท่ีถูกตองกาย (๖) ธรรม หรือ ธรรมารมณ คือ อารมณที่เกิดกับใจ, สิ่งท่ีใจนึกคิด ทงั้ ๖ น้ี เรียกท่ัวไปวา อารมณ ๖ คือ สงิ่ สาํ หรบั ใหจ ิตยึดหนวง ธาตุ ๑๘ คือ ส่ิงท่ีทรงสภาวะของตนอยูเอง ตามที่เหตุปจจัยปรุงแตงขึ้น เปน ไปตามธรรมนยิ าม คือกําหนดแหงธรรมดา ไมมีผูสรางผูบันดาล และมีรูปลักษณะ กิจอาการเปนแบบจําเพาะตัว อันพึงกําหนดเอาเปนหลักไดแตละอยางๆ (๑) จักขุธาตุ ธาตุคือ จักขุปสาท (๒) รูปธาตุ ธาตุคือ รูปารมณ (๓) จักขุ-วิญญาณธาตุ ธาตุคือ จักขุวิญญาณธาตุ (๔) โสตธาตุ ธาตุคือ โสตปสาท (๕) สัททธาตุ ธาตุคือ สัททารมณ (๖) โสตวิญญาณธาตุ ธาตุคือ โสตวิญญาณ (๗) ฆานธาตุ ธาตุคือ ฆานปสาท (๘) คันธธาตุ ธาตุคือ คันธารมณ (๙) ฆานวิญญาณธาตุ ธาตุคือ ฆานวิญญาณ (๑๐) ชิวหาธาตุ ธาตุคือ ชิวหาปสาท (๑๑) รสธาตุ ธาตุคือ รสารมณ (๑๒) ชิวหาวิญญาณธาตุ ธาตุคือ ชิวหาวิญญาณ (๑๓) กายธาตุ ธาตุคือ กายปสาท (๑๔) โผฏฐัพพธาตุ ธาตุคือ โผฏฐัพพารมณ (๑๕) กายวิญญาณธาตุ ธาตุคือ กายวิญญาณ (๑๖) มโนธาตุ ธาตุคือ มโน (๑๗) ธรรมธาตุ ธาตุคือ ธรรมารมณ (๑๘) มโนวญิ ญาณธาตุ ธาตุคือ มโนวญิ ญาณ อินทรีย ๒๒ คือ ส่ิงท่ีเปนใหญในการทํากิจของตน คือทําใหธรรมอื่นๆ ที่เกี่ยวของเปนไปตามตน ในกิจนั้นๆ ในขณะท่ีเปนไปอยูนั้น แบงเปน ๕ หมวด ๒๒ รายการ คือ (มตี อ >) 199
พระภาสกร ภูรวิ ฑฒฺ โน (ภาวไิ ล) เพราะวปิ สสนาเปนปจจยั จงึ ละตัณหาได เพราะเหตุที่ไดดําเนินจิต ปฏิบัติ วิปสสนากรรมฐาน เอาความจริง มาแสดงใหใจไดรูเห็น โดย พิจารณาขันธ ๕ ทั้งภายในภายนอก พิจารณา โลกธรรม ๘ อันมี ความไดลาภ เสื่อมลาภ ไดยศ เส่ือมยศ สรรเสริญ นินทา สุข และทุกข ท่ีเปนไปใน คน สัตว ส่ิงของ ฐานะ และท่ีไมใชฐานะ พิจารณาจําแนกแยกแยะ “กาย” อันตนไดเคยเกาะเกี่ยว แสวงหา และ เกลอื กกล้ัวอยู ตามนัยท่อี งคสมเด็จพระสมั มาสมั พุทธเจา ไดทรงชแี้ นะไว หมวดท่ี ๑ ของอนิ ทรยี ๒๒ มี ๕ คอื (๑) จักขนุ ทรีย อนิ ทรีย คอื จกั ขุปสาท (๒) โสตินทรีย อินทรีย คือ โสตปสาท (๓) ฆานินทรีย อินทรีย คือ ฆานปสาท (๔) ชิวหินทรีย อินทรีย คือ ชิวหาปสาท (๕) กายินทรีย อินทรีย คือ กายปสาท (๖) มนินทรยี อนิ ทรีย คอื ใจ ไดแ กจ ิตท่ีจาํ แนกเปน ๘๙ หรอื ๑๒๑ หมวดที่ ๒ ของ อินทรีย ๒๒ มี ๓ คือ (๗) อิตถินทรีย อินทรีย คือ อิตถีภาวะ หรือ เพศหญิง (๘) ปุริสินทรีย อินทรีย คือ ปุริสภาวะ หรือ เพศชาย (๙) ชีวิตนิ ทรยี อินทรีย คือ ชวี ิต หมวดที่ ๓ มี ๕ คือ (๑๐) สุขินทรีย อินทรีย คือ สุขเวทนา (๑๑) ทุกขินทรีย อินทรีย คือ ทุกขเวทนา (๑๒) โสมนัสสินทรีย อินทรีย คือ โสมนัสสเวทนา (๑๓) โทมนัสสินทรีย อินทรีย คือ โทมนัสส-เวทนา (๑๔) อุเปกขินทรีย อินทรีย คือ อุเบกขาเวทนา หมวดที่ ๔ มี ๕ คือ (๑๕) สัทธินทรีย อินทรีย คือ ศรัทธา (๑๖) วิริยินทรีย อินทรีย คือ วิริยะ (๑๗) สตินทรีย อินทรีย คือ สติ (๑๘) สมาธินทรีย อินทรีย คือ สมาธิ ไดแก เอกคั คตา (๑๙) ปญ ญินทรยี อินทรยี คอื ปญญา หมวดท่ี ๕ มี ๓ คือ (๒๐) อนัญญาตัญญัสสามีตินทรีย อินทรียแหงผูปฏิบัติ ดวยมุงวาเราจักรู สัจธรรมท่ียังมิไดรู ไดแก โสตาปตติมัคคญาณ (๒๑) อัญญินทรีย อินทรีย คือ อัญญา หรือปญญาอันรูท่ัวถึง ไดแก ญาณ ๖ ในทามกลาง คือตั้งแต โสตาปตติผลญาณ ถึง อรหัตตมัคคญาณ (๒๒) อัญญาตาวินทรีย อินทรียแหงทานผูรู ทัว่ ถงึ แลว กลาวคือ ปญ ญาของพระอรหันต ไดแ ก อรหัตตผลญาณ 200
ปฏิจจสมปุ บาท สําหรับคนรนุ ใหม ไมวาจะเปนเร่ืองของ “อสุภะ” การพิจารณารางกายของตนและ ผอู นื่ ใหเ หน็ สภาพทไ่ี มง ามบา ง ความไมเ ปนอันหน่ึงอันเดียวกัน หรือความ เปนสิ่งที่ประกอบกันขึ้น เชน การพิจารณารางกายเปน “อาการ ๓๒” เปน “ธาตุ ๔” บาง พิจารณาใหเห็นถึง “ไตรลักษณ” ความเสื่อม ความ เปล่ียนแปลง ความไมเท่ียงแท ความไมม่ันคง ความทุกขยากท่ีชีวิตและ รางกายจะตองเผชิญบาง หรือพิจารณาใหเห็น “ภาระ” ของรางกายทั้งหลาย ทม่ี โี รคภัยไขเ จ็บและเชอื้ โรคตางๆ มาคกุ คามบา ง “กาย” ท่ีมีความเสื่อมอยูเนืองนิตย เปนสิ่งที่บังคับบัญชาไมได เปนของท่ปี รารถนาแลวไมสมหวัง เปน สิ่งทไ่ี มม ่ันคงยั่งยืน และตองแตกหัก ทําลายไปในที่สุด พิจารณา “เวทนา” ความรูสึกท่ีเปน สุขบาง ทุกขบาง ไมสุขไมทุกขบาง ท่ีแปรปรวนเปนไปตางๆ พิจารณา “จิต” ในอาการท่ีมี ราคะ ไมมีราคะบาง มีโทสะ ไมมีโทสะบาง มีโมหะ ไมมีโมหะบาง วามี ความเศราหมองหรือผองแผว ฟุงซานหรือเปนสมาธิ เปนไปอยางไรใน ขณะน้ันๆ พิจารณาความเปนไปใน “ธรรม” ตางๆ จนเกิดความประจักษ แจงในความเปนไปของสรรพสิ่ง ที่มีการเกิดข้ึน ดํารงอยู และแตกดับไป ตาม กฎไตรลักษณ ประจักษชัดแจงในความเปนไปภายใต อริยสัจ ๔ คือความเปนเหตุเปนผลแหงทุกขท้ังหลาย ประจักษชัดถึง กฎแหงกรรม ที่ครอบงํากํากับชีวิต ประจักษชัดถึง ปฏิจจสมุปบาท วงจรแหงเหตุปจจัย อนั เชอ่ื มโยง ไปสกู ารปรากฏขน้ึ แหง ภาวะทกุ ข ท่ีมีอยปู ระจาํ ชวี ติ พิจารณาจนรูชัด ประจักษแจงในภาวะทุกข จนเกิดความหนาย คลายความกําหนัด คลายความกอดรัดของใจ ท่ีเคยมี ตัณหา ความทุรนราน ทะยานอยาก หรือเคยมี ราคะ ความติดของ หนึบเหนียว อยูในรูป ในเสียง ในกลิ่น ในรส ในสัมผัส ในฐานะและไมใชฐานะ ในรูปฌาน และ อรูปฌานทัง้ หลาย 201
พระภาสกร ภรู วิ ฑฺฒโน (ภาวไิ ล) เหตุนี้เอง ในทางปฏิบัติ เมื่อเรายกองคธรรมใดขึ้นมาเปนอารมณ แหงวิปสสนา และไดดําเนินจิตพิจารณา โดยกระบวนแหงโยนิโสมนสิการ คือพิจารณาสืบสาวหาเหตุผลต้ังแตตนจนจบในอารมณนั้น จนประจักษชัด ในความเปนไปตามกฎธรรมชาติของอารมณน้ันอยางแทจริง เม่ือน้ัน ตัณหา ความทะยานอยากของเราในอารมณนั้น ยอมจะถูกละ ถูกขจัด หรือทําให เบาบางลงไป หรือจนถึงที่สุด คือหมดคุณคาไปจากใจ ไมมีอํานาจที่จะทํา ใหใ จเกิด ตัณหา ราคะ ความทะยานอยาก หรอื ความติดใจ ใดๆ อกี เพราะการละตณั หาในอารมณ (ท่ยี กข้ึนมาวิปสสนา) ได เปน ปจจยั ใจจึงละได ซงึ่ อปุ าทานในอารมณนนั้ คร้ันใจละไดแลวซึ่ง ตัณหา ราคะ คือความทะยานอยาก ติดใจใน อารมณ อันเปนองคธรรมแหงวิปสสนา ท่ียกขึ้นมาพิจารณาจนจบรอบแลวนั้น อปุ าทาน ความยึดตดิ ถอื ม่นั ในอารมณน ้นั ยอมจะถูกละไปดวย ระบบคุณคา ทงั้ หลาย บรรดาทีเ่ คยมอี ปุ าทานยดึ ถอื เอาไววา อารมณนั้นๆ เปนอารมณท่ี ชอบใจ (อิฏฐารมณ) หรือเปนอารมณท่ีไมชอบใจ (อนิฏฐารมณ) ครั้นเมื่อ เราดําเนินจิตวิปสสนา เอาความจริงมาตีแผเปดเผย จนกระท่ังมันหมด ที่กําบังซอนเรน ถูกประจานใหเห็นถึงภาวะอันเปนไปตามกฎธรรมดาแหง สรรพส่ิง ท่ีดําเนินไปภายใตกฎพระไตรลักษณบาง อริยสัจ ๔ บาง กฎแหง กรรม หรือปฏิจจสมุปบาทบาง ใจยอมประจักษถึงภาวะที่ไรแกนสารสาระ แหงอารมณน้ันๆ จนเกิดความหนาย คลายความกําหนัด คลายความกอดรัด ของใจ ทีเ่ คยมีอปุ าทาน ความยึดติดถอื ม่ันในอารมณน ้นั 202
ปฏจิ จสมุปบาท สาํ หรบั คนรุนใหม เพราะการละได ซ่ึงอุปาทานในอารมณน ั้นเปน ปจจัย ใจจงึ ละได ซึ่งภพอนั เคยมีในอารมณน้ัน เม่ือจิตละคลายไดซึ่ง อุปาทาน ความหลงผิด ยึดติดถือมั่น หวงหา อาลัยอาวรณ อันเคยมีมาในอารมณใด ภพ คือท่ีอยูของใจ หรือท่ีอันจิต อาศัยในอารมณน้ัน ยอมจะถูกละคลายไปดวย ทั้ง มิจฉาทิฏฐิ-ภพ คือ ภพอันเนื่องจากความเห็นผิดไปจากความเปนจริง ที่จิตไปกําหนดตัดสินวา กามคุณ ฐานะ หรือมิใชฐานะใดๆ เปนอารมณที่นาปรารถนา มีคุณคา นําความสุขมาให (อิฏฐารมณ) หรือกําหนดตัดสินวา กามคุณ ฐานะ หรือ มิใชฐ านะใดๆ เปน อารมณทไี่ มนาปรารถนา ไมมีคุณคา นําความทุกขมาให (อนิฏฐารมณ) และทั้ง โมหะ-ภพ คอื ภพอันเนื่องจากโมหะ คือ ความหลง ไมรูสภาพตามความเปนจริง ท่ีปกปด กําบัง หรืออําพรางความเปนจริง เอาไว เชน ความหลงยดึ ติดในสุขสงบอนั เกิดจากฌาน เปนตน เพราะการละได ซ่งึ ภพอนั เคยมีในอารมณน้นั เปนปจจัย ใจจึงละได ซ่ึงชาติ คือความเกดิ แหงขันธทัง้ หลาย อนั เคยมีมาในอารมณนนั้ เมื่อจิตละได คลายออก ไมสรางซึ่ง ภพ คือท่ีอยูของใจ หรือท่ีอัน จติ อาศยั ใหกับอารมณน ัน้ ชาติ คอื ความเกิดแหง ขันธท ั้งหลาย อันเคยมี มาในอารมณนั้น ยอมจะถูกละได คลายออก ไมสราง ไมกอใหเกิดขึ้น ตามไปดวย 203
พระภาสกร ภรู วิ ฑฒฺ โน (ภาวไิ ล) เพราะการละไดซงึ่ ชาติ คือความเกิดขึน้ แหง ขนั ธท ง้ั หลาย ในอารมณนั้นเปน ปจจัย ใจจึงปราศจากซง่ึ ชรา-มรณะ คอื ความ เส่อื มสลาย และดับสิน้ ไปแหง ขนั ธท ัง้ หลาย อันเคยมมี าในอารมณน น้ั ในเม่อื ไมม ีชาติ จงึ ทําใหไ มม ชี รา คือความเสอื่ มสลาย และไมมมี รณะ คือ ความดับสูญส้ินไปแหงชาติน้ันๆ โดยเฉพาะเมื่อปราศจากแลวซึ่งชาติ ทางใจ อันเคยเกิดข้ึนมาจากการปรุงแตงภพ ในอารมณที่เคยมีอุปาทาน ใหคุณคา วาเปนอารมณที่นาปรารถนา (อิฏฐารมณ) หรือเปนอารมณที่ไม นา ปรารถนา (อนิฏฐารมณ) ใดๆ อีกประการหน่ึง โสกะ ปริเทวะ โทมนัส และอุปายาส คือความโศก ความรํ่าไรรําพัน ความไมสบายใจ ความคับแคนใจ ก็ยอมไมมีตามไปดวย เชนเดียวกนั อวชิ ชา ในอารมณนนั้ จึงถกู แทนท่ีดวยวิชชา ในอารมณนัน้ อวิชชา คอื ความรเู ห็นที่ผิดไปจากความเปนจรงิ ไดแ ก โมหะ ความหลง และมิจฉาทิฏฐิ ความเห็นผิด ที่เคยมีมาแตเดิม ในอารมณอันเปนองค ธรรมแหงวิปสสนานั้น ไดถูกความจริงที่ใจประจักษรู ในกระบวนการของ วิปสสนา เขามาทําหนาท่ีชําระลางใหกลายเปนวิชชา จากโมหะ ความหลง เปนความรูชัดตามเปนจริง จากมิจฉาทิฏฐิ ความเห็นผิด กลายเปน สัมมาทฏิ ฐิ ความเหน็ ชอบตามเปนจรงิ เมอ่ื ทาํ ความเพียร ปฏิบัติวิปสสนาอยางสม่ําเสมอ สัมมาทิฏฐิ จะเกิด ข้ึนมา แลวทดแทนมิจฉาทิฏฐิท่ีมีอยูเดิมไปเร่ือยๆ จนถึงที่สุด เม่ือเหตุ ปจจัยถึงพรอม บูรณาการแหงธรรมะ โดยองครวมจึงเกิดขึ้น เกิดภาวะ มัคคสมังคี ประหารกิเลสไดหมดสิ้นเปนสมุจเฉทปหาน จิตจึงสํารอก ออกซ่ึง อวิชชา ความรูเห็นอันไมถูกตองตามความเปนจริง ไดอยาง สน้ิ เชงิ . 204
ปฏจิ จสมปุ บาท สาํ หรบั คนรนุ ใหม ขอใหพจิ ารณาบทสรุปของปฏิจจสมุปบาท ท่พี ระอาจารยส มบัติ ภูริปฺโญ ไดแสดงไว ดงั ตอไปน้ี ความคิดเกาดั้งเดิมท่ีวา “กายนี้... เปนของเที่ยงแท ม่ันคงถาวร” ก็ถูกความจริง “ลบ” ไปหมด ความเห็นผิดที่วา “กายนี้... นําความสุขสบาย มาให นําความยั่งยืนมาให” ไดถูกความจริง คือ “กายน้ี... ท่ีเปนบอเกิด ของกองทุกข เปนกองของโรค เปนภาระตองเลี้ยงดู เปนของที่ไมม่ันคง แตกหกั เสยี หายได…” ความจริงทงั้ หลายเหลา นี้ ถูกนํามาแสดงใหใจไดเห็น และ “ลบ” ความเห็นผิดดง้ั เดมิ ในใจออกไป เอา “วชิ ชา” ไปดับ “อวชิ ชา” ปฏิจจสมปุ บาทสายดบั เกิดข้นึ เมื่อ “อวิชชา” คือความรูผิดเห็นผิดน้ัน ถูก “วิชชา” คือความรู ตามความเปนจริงที่ถกู ตอ ง มาต้งั อยูแ ทนทแ่ี ลว “อวิชชา” ก็ดบั ไป เมอื่ “อวิชชา” ดับไป… “สงั ขาร” ความคิดนึกปรุงแตง ในส่ิงที่ผิดๆ ก็ยอมไมอาจเกิดข้ึน ดังนั้น ความคิดนึกปรุงแตงทั้งหลาย จึงคิดนึกไปตาม ครรลองของความเปนจริง ที่เห็นวา “กายน้ีเปนของสกปรก… กายนี้เปน กองทุกข… กายน้ีไมเท่ียง… กายน้ีเปล่ียนแปลง… สรรพส่ิงทั้งหลายในโลก ก็เปนเชนเดียวกับกายน้ี คือ… ไมมีใครเอาเปนเจาของได ไมมีใครที่จะ ครอบครองได ไมมใี ครบังคบั บัญชาได” ฉะนนั้ … ความรูท เี่ กดิ ข้ึนใหม ก็กลายเปนความรูที่ถูกตอง… แมจะ เรยี กวา “วญิ ญาณ” เชนเดิม แตก็เปน “วิญญาณที่รูถูก” เพราะมันเปนการ สรุปรวมลงของความรู อนั ไดจากการศกึ ษาความจรงิ ของชวี ติ นน่ั เอง เมื่อมันเห็นชัดเจนอยูอยางนั้น เขาใจแจมแจงอยูอยางน้ัน การที่ จะตองเดินไปสูการจุติปฏิสนธิ คือการตองเขาไปอาศัย ไปเกาะเก่ียวใน “กาย” หรือใน “วัตถุธาต”ุ ทง้ั ปวง… สําหรบั ใจทีเ่ หน็ จรงิ อยเู ชนนน้ั ยอ มไมมี 205
พระภาสกร ภรู ิวฑฒฺ โน (ภาวิไล) เมอ่ื ไมมีการเกิดใหม จึงไมมี “นาม-รูป” ฉะน้ัน “อายตนะ” ในการ ท่ีจะมารองรับสัมผัส ในรูป เสียง กลิ่น รส สัมผัส… ก็ยอมไมมี… ยอมดับไป เชนเดียวกัน “เวทนา” ท่ีจะเกดิ ขนึ้ จากการอาศยั ผสั สะแหงอายตนะ ก็ยอมไมมี ยอมจะดบั ไป “ตัณหา” ท่อี าศัยผสั สะ แหง อายตนะ ก็ไมมี กด็ บั ไปเชนเดยี วกนั “อุปาทาน” การยึดถอื ตางๆ เหลานัน้ ก็ไมมี “ภพ” ภาวะท่ีรองรับใจ ที่พอใจใน รูป เสียง กลิ่น รส สัมผัส ตางๆ เหลานัน้ กไ็ มมี เหลอื เพยี ง “ใจ” ทีเ่ ปนอสิ ระ แม “กาย” จะยงั อยู ชวี ติ ยังเปนไป ดวยเกิดข้ึนมาแลว ... ในภาวะอยางน้ี “อายตนะ” ยังทํางานได ตายังเห็นรูปได แต เพราะไดรูจัก “รูป” รูจัก “กาย” รูจักอยางแทจริงแลววา “กายทั้งหลาย ไมไดสวยสดงดงาม กายทั้งหลาย ไมไดเปนท่ีมาของความสุข แตกลับเปน กองแหงความสกปรกเนาเหม็น เปนของที่ตองเส่ือมสลายแตกตายไป กายเปนกองแหงทุกข…” ฉะน้ัน… แมอายตนะคือตา ยังเห็นอยู ยังสัมผัส รบั รูอยู หูยังไดย นิ เสยี ง จมูกยังไดกล่ิน ล้ินยังรูรส กายยังรูสัมผัสรอนหนาว แตใจก็ไมเกาะติด ไมแสวงหา ไมทะยานอยาก ไมยึดถือ เพราะรูชัดเจน เขาใจแจมแจงแลว … คุณคาของ “กาย” คุณคาของ “วัตถุธาตุ” คุณคาของ “รูป เสียง กล่ิน รส สัมผัส” ท่ีเคยมีแกใจมาแตเดิมนั้น ถูกความเปนจริง ที่ใจไดเห็น ชัดเจนแลวน้ัน “ลบลาง” ไปหมด จึงเหลือเพียง “ใจ” ที่เปนอิสระ แมวา รางกายและอายตนะยังมีอยู ก็ถูกใชไปตามครรลอง ตามธรรมชาติของมัน ไมไดมีความยึดถือเขาไปเกาะเกี่ยว ไมมีความทะยานอยากท่ีจะเขาไปเพื่อ เสวยผล หรืออารมณใ ดๆ อีก ความยึดถือใดๆ ยอมสลายหมดสิน้ ไป 206
ปฏิจจสมปุ บาท สําหรบั คนรุนใหม สน้ิ อาลยั ไรอ าวรณ ปลอดจาก “ทกุ ข” ในขณะท่ี “กาย” ที่ตนอาศัยอยู และรูป เสียง กล่ิน รส สัมผัส เหลาอน่ื ทัง้ หลาย ทเ่ี ปนอยตู ามธรรมชาตินนั้ เมอ่ื เกิดขึ้นมาแลว มนั กต็ องแก ตองเจ็บ และจะตองตายจากไป… แตใจก็ไมไดด้ินรนหรือกระวนกระวาย เพราะมันรูอยูอยางชัดเจนแลววา ของมันเปนของมันอยูอยางน้ัน น่ันเปน ธรรมชาติของมัน! คุณคาของมันที่เคยหลงตั้งไวในใจนั้น บัดนี้ไดถูกลบลางไป หมดแลว… ความเสยี ดาย อาลัยอาวรณ ความเศรา โศก พลิ าปพไิ ร รําพันนั้น ไมอาจเกิดขน้ึ กับจติ ใจดวงนั้นไดอีก เพราะมนั เหน็ อยา งเดนชัดแลว วา… “กายก็ดี… สรรพสิ่งท้ังหลายทั้งปวงก็ดี… รูป เสียง กล่ิน รส สัมผัส ท้ังหลายท้ังปวงก็ดี… เปนของไมเท่ียง เปนทุกขเปนอนัตตา เปนของที่ ใครๆ บังคบั บัญชาไมได จะเอามาเปน ของๆ ตนก็ไมได… และการที่ตนเอง ไดเคย เขาไปเกาะเกี่ยวยึดเหน่ียวผูกพันน้ัน ก็เห็นชัดวา ตนเองก็ตองไดรับ ทุกข รับโทษ โดยไมม ปี ระโยชนตอบแทนเลย แมแตนอ ยนดิ …” พน ไปจาก “กาย” ใจถงึ “นิพพาน” เมื่อกายนี้หรือกายอ่ืน ตองแตกสลายไป ใจไมกระทบกระเทือน ใจเปนอิสระ เพราะใจถือวา ภาระของการตองมาคอยดูแล การตองมา ประคับประคอง การตองมาเล้ียงดูรางกายท้ังหลายน้ัน สําหรับใจดวงนี้แลว จบสิ้นกันที… หมดสิ้นภาวะของการตองมาเวียนมาวน เพื่อหาท่ีเกาะท่ีเกิด กันอีก การเกิดไมมีอีกแลวสําหรับจิตดวงนั้น จิตน้ันยอมบรรลุถึงฝงอันเกษม คือ “พระนิพพาน” ภาวะการณตางๆ ในการหยุดวัฏสงสารของใจ เปนไป เชน น้ี… 207
ปฏิจจสมุปบาท สาํ หรับคนรนุ ใหม ภาคผนวก ทศิ ๖ คือ บุคคลประเภทตางๆ ที่เราตองเก่ียวของสัมพันธทางสังคม ดจุ ทศิ ที่อยูรอบตัว ๑. ปุรัตถิมทิศ แปลวา ทิศเบ้ืองหนา คือ ทิศตะวันออก ไดแก บดิ ามารดา เพราะเปนผูม ีอปุ การะแกเรามากอ น ก. บุตรธิดาพงึ บาํ รุงมารดาบิดา ผูเปน ทิศเบ้ืองหนา ดังน้ี ๑) ทานเล้ียงเรามาแลว เลี้ยงทานตอบ ๒) ชวยการงานของทาน ๓) ดาํ รงวงศส กุล ๔) ประพฤตติ นใหเ หมาะสมกบั ความเปนทายาท ๕) เมอื่ ทานลว งลับไปแลว ทาํ บุญอทุ ิศใหทา น ข. บิดามารดายอมอนุเคราะหบ ุตรธดิ า ดงั นี้ ๑) หา มปรามจากความชวั่ ๒) ใหต้งั อยูในความดี ๓) ใหศ กึ ษาศิลปวิทยา ๔) หาคคู รองท่สี มควรให ๕) มอบทรัพยส มบตั ิใหในโอกาสอันสมควร 209
พระภาสกร ภูริวฑฒฺ โน (ภาวิไล) ๒. ทักษิณทิศ แปลวา ทิศเบ้ืองขวา คือทิศใต ไดแก ครูอาจารย เพราะเปน ทกั ขิไณยบุคคล ควรแกก ารบชู าคุณ ก. ศิษยพงึ บํารงุ ครูอาจารย ผูเ ปนทิศเบือ้ งขวา ดงั น้ี ๑) ลกุ ตอนรบั ๒) เขา หา (เพื่อบํารงุ คอยรับใช ปรึกษา ซักถาม และรับคําแนะนาํ เปน ตน) ๓) ใฝใจเรียน (คอื มใี จรัก เรียนดว ยศรัทธา และรจู กั ฟงใหเ กดิ ปญญา) ๔) ปรนนบิ ัตชิ วยบริการ ๕) เรยี นศิลปวทิ ยาโดยเคารพ (คอื เอาจรงิ เอาจงั ถือเปน กจิ สาํ คญั ) ข. ครูอาจารยย อ มอนเุ คราะหศ ิษย ดงั น้ี ๑) ฝก ฝนแนะนาํ ใหเ ปนคนดี ๒) สอนใหเ ขาใจแจมแจง ๓) สอนศิลปวทิ ยาใหสน้ิ เชิง ๔) ยกยองใหปรากฏในหมูคณะ ๕) สรางความคุมภัยในสารทิศ (สอนฝกใหรูจักเลี้ยงตัวรักษาตน ในอัน ที่จะดําเนินชีวิตตอไปดวยดี รับรองความรูความประพฤติ ใหเปนท่ี ยอมรับในการไปประกอบอาชพี เปน อยไู ดดว ยด)ี ๓. ปจฉิมทิศ แปลวา ทิศเบื้องหลัง คือ ทิศตะวันตก ไดแก บุตร ภรรยา (เพราะมีขนึ้ ภายหลงั และคอยเปน กาํ ลงั สนับสนุนอยูข า งหลัง) ก. สามีพงึ บาํ รุงภรรยา ผูเปนทศิ เบื้องหลงั ดังน้ี ๑) ยกยอ งใหเ กยี รติ สมกบั ฐานะที่เปนภรรยา ๒) ไมด ูหม่นิ ๓) ไมน อกใจ ๔) มอบความเปน ใหญในงานบา นให ๕) หาเครื่องประดบั มาใหเปนของขวญั ตามโอกาส 210
ปฏจิ จสมุปบาท สาํ หรบั คนรนุ ใหม ข. ภรรยายอ มอนุเคราะหส ามี ดงั นี้ ๑) จัดงานบา นใหเ รียบรอ ย ๒) สงเคราะหญาติมติ รท้งั สองฝา ยดวยดี ๓) ไมนอกใจ ๔) รกั ษาทรพั ยสมบตั ทิ ห่ี ามาได ๕) ขยันไมเ กียจครานในงานทัง้ ปวง ๔. อุตตรทิศ แปลวา ทิศเบื้องซาย คือ ทิศเหนือ ไดแก มิตรสหาย เพราะเปนผูชวยใหขามพนอุปสรรคภัยอันตราย และเปนกําลังสนับสนุนให บรรลุความสาํ เร็จ ก. บคุ คลพงึ บาํ รุงมติ รสหาย ผเู ปนทศิ เบื้องซา ยดังนี้ ๑) เผ่ือแผแบง ปน ๒) พูดจามนี าํ้ ใจ ๓) ชวยเหลือเกอ้ื กูลกัน ๔) มีตนเสมอ รว มสุขรวมทกุ ขกัน ๕) ซ่ือสัตยจรงิ ใจตอ กนั ข. มติ รสหายยอมอนเุ คราะหต อบ ดงั นี้ ๑) เมื่อเพ่อื นประมาท ชว ยรกั ษาปองกัน ๒) เมอ่ื เพือ่ นประมาท ชวยรกั ษาทรัพยส มบตั ิของเพื่อน ๓) ในคราวมภี ัย เปน ทพี่ ง่ึ ได ๔) ไมล ะทิง้ ในยามทุกขย าก ๕) นับถือตลอดถงึ วงศญ าติของมิตร 211
พระภาสกร ภรู วิ ฑฺฒโน (ภาวิไล) ๕. เหฏฐิมทิศ แปลวา ทิศเบื้องลาง ไดแก คนรับใชและคนงาน เพราะเปน ผูชว ยทาํ การงานตา งๆ เปนฐานกาํ ลังให ก. นายพงึ บํารุงคนรบั ใชและคนงาน ผเู ปน ทศิ เบ้อื งลางดงั น้ี ๑) จดั การงานใหท าํ ตามความเหมาะสมกับกาํ ลงั ความสามารถ ๒) ใหคา จา งรางวัล สมควรแกงานและความเปน อยู ๓) จัดสวสั ดกิ ารดี มีชวยรักษาพยาบาลในยามเจบ็ ไข เปนตน ๔) ไดข องแปลกๆ พเิ ศษมา ก็แบงปน ให ๕) ใหม ีวันหยดุ และพกั ผอ นหยอนใจ ตามโอกาสอนั ควร ข. คนรบั ใชและคนงานยอมอนุเคราะหนาย ดังน้ี ๑) เร่มิ ทําการงานกอ นนาย ๒) เลกิ งานทหี ลงั นาย ๓) ถอื เอาแตข องท่นี ายให ๔) ทาํ การงานใหเ รยี บรอยและดยี ่งิ ขึ้น ๕) นาํ เกยี รติคุณของนายไปเผยแพร ๖. อุปริมทิศ แปลวา ทิศเบ้ืองบน ไดแก สมณพราหมณ คือ พระสงฆ เพราะเปน ผสู ูงดว ยคุณธรรมและเปนผนู าํ ทางจิตใจ ก. คฤหัสถยอมบํารงุ พระสงฆ ผเู ปนทศิ เบ้อื งบน ดงั นี้ ๑) จะทําสงิ่ ใด ก็ทําดวยเมตตา ๒) จะพูดส่ิงใด กพ็ ดู ดวยเมตตา ๓) จะคิดส่งิ ใด ก็คดิ ดวยเมตตา ๔) ตอนรับดว ยความเต็มใจ ๕) อุปถมั ภดวยปจจยั ๔ 212
ปฏิจจสมุปบาท สําหรับคนรุน ใหม ข. พระสงฆยอ มอนุเคราะหค ฤหสั ถด งั น้ี ๑) หา มปรามจากความช่วั ๒) ใหต ง้ั อยใู นความดี ๓) อนุเคราะหด วยความปรารถนาดี ๔) ใหไ ดฟ งสง่ิ ทีย่ งั ไมเคยฟง ๕) ทําส่งิ ท่เี คยฟงแลวใหแ จมแจง ๖) บอกทางสวรรค คอื ทางชีวิตทม่ี คี วามสขุ ความเจริญให ผปู ฏิบตั ิดังกลา วนีช้ ่ือวา ปกปก รกั ษาทว่ั ทุกทิศใหเปนแดนเกษมสุข ปลอดภยั . 213
พระภาสกร ภรู ิวฑฺฒโน (ภาวิไล) “พธิ ีขออโหสกิ รรมใหญ เพื่อความไมประมาท” ของ พระอาจารยนพพร อาทจิ ฺจวโํ ส ทา นพระอาจารยน พพร อาทจิ ฺจวํโส ไดเมตตาใหคําแนะนําแกศิษย ท้ังหลายวา โดยเหตุท่ีเราทานท้ังหลาย ไดมีจิตศรัทธานอมใจเขามาปฏิบัติ ธรรม บําเพ็ญบารมีทําความดีดวยประการตางๆ ดังน้ันเพ่ือเปนการเปดทาง และสรางเหตุใหเราทาน สามารถวิมุตติหลุดพนไดโดยงาย และเพ่ือใหเกิด สัปปายะ ความสบายรวดเรว็ ในการปฏบิ ัติธรรม ท้ังยังเปนความไมประมาท ท่ีพระพทุ ธเจาท้งั หลาย ทรงยกยองสรรเสริญดว ยแลว ควรท่ีศิษยท้ังหลาย จะไดมีการทําพิธี “ขออโหสิกรรม เพ่ือความ ไมประมาท” ตอกรรมทั้งหลายท้ังปวง ที่เราทานอาจจะไดเคยลวงเกินตอ ทานผูรู ผูมีพระคุณ ผูทรงคุณความดี และบารมีธรรมท้ังหลาย เพราะการ กระทบกระทง่ั ผูร ู ผูมีคุณความดีบารมีธรรม ระดับสงู มากขึน้ ไปเพียงใดแลว ผลทจ่ี ะสะทอ นกลับมา ก็ยอมรุนแรงข้ึนไปเทาน้ัน ยิ่งเปนพระพุทธเจา พระ ธรรมเจา พระอริยสังฆเจา หรือพระอรหันตเจาทั้งหลาย ผูเปนอัปปมาโณ บุคคล คือบุคคลผูทรงคุณคาหาประมาณมิไดแลวดวยไซร กรรมท่ีเกิดขึ้น แมเพยี งคดิ กลา วปรามาสลว งเกนิ กส็ ามารถสง ผลตอบแทนท่ีรุนแรงนากลัว มหันต และดวยอํานาจแหงวิบากกรรมเหลานั้น ก็จะปดบังตาปดบังใจ ไมให เราทานสามารถเกิดปญ ญา รูทวั่ ถงึ ธรรมตามเปน จรงิ ได ดังน้ันใครเลยจะรูวา ในอดีตท่ีผานมา หรือในภพชาติท่ีผานพนไป แลวน้ัน บางทีเราอาจจะไดเคยพลาดพลั้งลวงเกินไปอยางใดบาง จึงควรที่ เราทานทัง้ หลายจะไดปฏิบัติตาม ท่ีพระศาสดาสัมมาสัมพุทธเจาของเรา ได ทรงตกั เตือนแกพทุ ธบรษิ ทั ทั้งหลายเปนปจฉิมโอวาทวา “สังขารทั้งหลาย มีความเส่ือมไปเปนธรรมดา ทานท้ังหลายจงยัง กิจท้ังปวง อันเปนประโยชนตนและประโยชนผูอื่น ใหบริบูรณดวยความ ไมป ระมาทเถดิ ” 214
ปฏิจจสมปุ บาท สําหรบั คนรนุ ใหม ดังนั้นโดยการตั้งใจทําพิธี “ขออโหสิกรรม” ในกรรมท้ังหลาย ท่ีเรา อาจจะไดเคยกระทําไวเหลาน้ัน เพ่ือยังความไมประมาทใหเกิดข้ึน ทั้งยัง เปน การทรมานกเิ ลส และพฒั นาใจของเรา ใหม คี วามกลา หาญตอความจริง และเหตุผลท่ีถูกตองชอบธรรม เปนการแสดงความออนนอม เปนเหตุให เปนบุคคลท่ีพึงประสงค เปนท่ีรัก อีกทั้งยังเปนการบรรเทาโทษทุกขภัย ใหล ดนอ ยลงดวย ดงั ทเี่ ราทาน จะไดก ลาวคําขมา ขออโหสิกรรมตอไป หมายเหตุ ทานพระอาจารยนพพร อาทิจฺจวํโส ไดเมตตาแนะนํา ใหทาํ พธิ ีน้ใี นวนั วสิ าขบูชา วันมาฆบูชา หรือในวันมหาปวารณา (ออกพรรษา) โดยถือเอาตามนยั ทว่ี า เปน วนั ทีพ่ ระทั้งหลายทา นมาประชุมพรอ มเพรียงกัน พรอมทจ่ี ะใหอ โหสิกรรม และวา กลาวตกั เตือนได ชุมนมุ เทวดา (สคั เค กาเม...)1 นะโม ๓ จบ, ไตรสรณาคมณ (พุทธงั สรณัง คจั ฉามิ...), สมาทานศลี (ปาณาตปิ าตา...) โมทนาสาธุๆๆ กับ พระสัมมาสัมพุทธเจา ทกุ ๆ พระองค โมทนาสาธๆุ ๆ กับ พระธรรมเจา ทกุ ๆ พระองค โมทนาสาธๆุ ๆ กบั พระอรยิ สงั ฆเจา ทกุ ๆ พระองค โมทนาสาธุๆๆ กบั พระปจเจกพทุ ธเจา ทกุ ๆ พระองค โมทนาสาธุๆๆ กับ พระอคั รสาวกเจา ทุกๆ พระองค โมทนาสาธุๆๆ กบั พระอสีตมิ หาสาวกเจา ทุกๆ พระองค โมทนาสาธุๆๆ กับ พระอรหันตสาวกเจา ทุกๆ พระองค 1 หาไดจากหนังสอื สวดมนต หรอื มนตพิธี ท่ัวๆ ไป 215
พระภาสกร ภูรวิ ฑฺฒโน (ภาวไิ ล) ขอพระบรมพุทธานุญาติ ขอพระองคทรงประทานพระวโรกาส ใหขาพระพุทธเจาและคณะ พรอมดวยพรหมเทพเทวดาทั้งหลาย สรรพสัตว ทั้งหลาย สรรพเจากรรมนายเวรทั้งหลาย ไดทําพิธีขออโหสิกรรม ในกรรม ท้งั หลายทง้ั ปวง ที่ขา พเจาท้ังหลาย ไดเคยประมาทลวงเกิน แกองคพระศาสดา สมั มาสมั พุทธเจา พระธรรมเจา พระอรยิ สงั ฆเจา ทานผูทรงพระคุณความดี และบารมีธรรมทั้งหลาย ดวยกายก็ดี ดวยวาจาก็ดี หรือแมดวยใจก็ดี นับแตอดีต ๑๖ อสงไขยแสนกัลป จนถึงปจจุบันชาติ เพื่อความหมดเวร สิ้นกรรม เพ่ือมรรค ผล นิพพาน และความวิมุติหลุดพนไดโดยงาย ในฉับพลนั นี้ดวยเทอญ. นะโม ๓ จบ ๑. สมั มาสมั พุทโธ ปะมาเทนะ + ทฺวารัตตะเยนะ กะตงั สัพพัง อะปะราธัง ขะมะตุ โน ภนั เต. ๒. สวากขาโต ภะคะวะตา ธัมโม ปะมาเทนะ + ... ๓. สปุ ะฏปิ นโน ภะคะวะโต สาวะกะสงั โฆ ปะมาเทนะ + ... ๔. รัตนะตะเย ปะมาเทนะ + ... ๕. สงั โฆ อริยสังโฆ ปะมาเทนะ + ... ๖. เถเร มะหาเถเร ปะมาเทนะ + ... ๗. ทานบารมี ทานอุปบารมี ทานปรมัตถบารมี ศีลบารมี ศีลอุปบารมี ศีลปรมัตถบารมี เนกขัมมะบารมี เนกขัมมะอุปบารมี เนกขัมมะ- ปรมัตถบารมี ปญญาบารมี ปญญาอุปบารมี ปญญาปรมัตถบารมี วิริยะบารมี วิริยะอุปบารมี วิริยะปรมัตถบารมี ขันติบารมี ขันติอุปบารมี ขันติปรมัตถบารมี สัจจะบารมี สัจจะอุปบารมี สัจจะปรมัตถบารมี อธษิ ฐานบารมี อธษิ ฐานอุปบารมี อธิษฐานปรมัตถบารมี เมตตาบารมี เมตตาอุปบารมี เมตตาปรมัตถบารมี อเุ บกขาบารมี อุเบกขาอุปบารมี อเุ บกขาปรมตั ถบารมี ญาณะสัมปน โน ปะมาเทนะ + ... 216
ปฏิจจสมุปบาท สําหรบั คนรุนใหม ๘. ญาณวมิ ตุ บิ ารมี ญาณวิมุตอิ ุปบารมี ญาณวมิ ตุ ิปรมตั ถบารมี ญาณะสัมปนโน ปะมาเทนะ + ... ๙. มรรค-ผล-นิพพานบารมี มรรค-ผล-นิพพานอุปบารมี มรรค-ผล- นพิ พานปรมตั ถบารมี ญาณะสมั ปน โน ปะมาเทนะ + ... ๑๐. ครุ ุ อาจะริเย ปะมาเทนะ + ... ๑๑. มาตาปต ะเร ปะมาเทนะ + ... โมทนาสาธุ โมทนาสาธุ โมทนาสาธุ ขอใหพระสัมมาสัมพุทธเจาทุกๆ พระองค พระธรรมเจาทุกๆ พระองค พระอริยสังฆเจาทุกๆ พระองค พระปจเจกพุทธเจาทุกๆ พระองค พระอัครสาวกเจาทุกๆ พระองค พระอสีติมหาสาวกเจาทุกๆ พระองค พระอรหันตสาวกเจาทุกๆ พระองค บารมีธรรมท้ังหลาย อุปชฌาย ครู อาจารย ทั้งหลาย บิดามารดาและทานผูมีพระคุณทั้งหลาย ญาติสนิทมิตรสหาย ท้งั หลาย สรรพเจากรรมนายเวรทงั้ หลาย สรรพสัตวสรรพวิญญาณทั้งหลาย นับแต ๑๖ อสงไขยแสนกัลปจนถึงปจจุบันชาติ จงเมตตาใหอโหสิกรรม แกขาพเจา และใหอโหสิกรรมแกก นั และกันเทอญ • ขอจงอโหสิๆๆ • ขอใหหมดเวรส้นิ กรรมๆๆ • ขอใหกรรมทั้งหลายท้งั ปวงจงเปนอโหสิๆๆ • ขอใหวิบากกรรมชั่วท้งั หลายทง้ั ปวง จงยุตกิ ารสง ผลๆๆ • ขอใหว บิ ากกรรมดีท้ังหลายทั้งปวง จงสง ผลสาํ เร็จๆๆ • นบั แตบดั นเี้ ปนตน ไป ตราบเทาเขาสูพระนิพพานดวยเทอญ. • โมทนาสาธๆุ ๆ • ขอใหสําเรจ็ มรรค ผล นิพพาน ในชาตปิ จ จุบันนีเ้ ทอญ. ---///--- 217
พระภาสกร ภรู วิ ฑฺฒโน (ภาวิไล) (ตวั อยา ง) การอธิษฐานการปฏิบตั ธิ รรม ใหเ กิดปฏเิ วธธรรม ถึงพระนิพพานในชาตปิ จจุบัน ชมุ นุมเทวดา วานะโม ๓ จบ สมาทานศีล ๕ ศีล ๘ ศีล ๑๐ (ตามสถานภาพของแตล ะบคุ คล) (พระภิกษพุ ึงเขา หาพระภิกษุผเู ปนสหธรรมิก ปลงอาบัติใหต กตามพระวินยั ) แลวกลา วคําขอพระบรมพทุ ธานญุ าต ขา แตองคพระบรมศาสดาสัมมาสัมพุทธเจาผูเจริญ ขาพระพุทธเจา… (ช่ือ ฉายา นามสกุล) ไดกระทําตามโดยชอบแลว ซึ่งธรรมของพระองค โดย การกําหนดรู และพิจารณาในกองทุกข คอื ความทนไดยาก อันไดแ ก ชาติป ทุกขา ความเกิดทั้งหลาย น้ันเปนความทุกข ชะราปทุกขา ความแกชรา เส่ือมโทรม ออนลาของสังขารทั้งหลาย นั้นเปนความทุกข มะระณัมป ทุกขัง ความตาย ความจากพรากท้ังหลาย น้ันเปนความทุกข โสกะปะริเทวะทกุ ขะโทมะนสั สุปายา สาป ทุกขา ความโศกเศรา รํ่าไรรําพัน ไมสบายกาย ไมสบายใจ คับแคนใจทั้งหลาย น้ันเปนความทุกข อัปปเยหิ สัมปะโยโค ทกุ โข ความประสบกับส่ิงที่ไมเปนที่รักที่พอใจท้ังหลาย น้ันเปน ความทุกข ปเยหิ วิปปะโยโค ทุกโข ความพลัดพรากจากสิ่งอันเปนท่ีรัก ท่ีพอใจท้ังหลาย น้ันเปนความทุกข ยัมปจฉัง นะ ละภะติ ตัมป ทุกขัง ปรารถนาสงิ่ ใด แลว ไมส มปรารถนาในสง่ิ น้นั ทง้ั หลาย นน้ั เปน ความทกุ ข พิจารณาไตรตรองถ่ีถวนดีแลว ในกองทุกขทั้งหลายดังกลาวมานี้ มีศรัทธาบริบูรณ ในพระมหากรุณาธิคุณ พระบริสุทธิคุณ และพระปญญาธิคุณ ของพระพุทธองค พรอมดวยพระธรรมที่ตรัสไวดีแลว พรอมดวยพระสงฆ ผูปฏิบัติดีปฏิบัติชอบ ขาพระพุทธเจาจึงมีมหากุศลจิต อธิษฐานมุงตรงตอ พระนพิ พาน และหากมเี หตุปจจัยถึงพรอ ม ขอใหขาพระพุทธเจาพึงถึงท่ีสุด แหงกองทกุ ขท้งั ปวง ในชาติปจ จบุ ัน โดยเรว็ พลันเทอญ. 218
ปฏจิ จสมุปบาท สําหรบั คนรุนใหม ขา พระพุทธเจา ขอประกาศสจั จะ เปนอธิษฐานบารมี ดงั ตอ ไปนี้ ๑. บุญบารมีใดๆ ไมวา ทาน ศีล เนกขัมมะ ปญญา วิริยะ ขันติ สัจจะ อธิษฐาน เมตตา อุเบกขา ทั้งท่ีเปนบารมีธรรม อุปบารมีธรรม และ ปรมัตถบารมีธรรมทั้งหลาย ท่ีขาพระพุทธเจาไดเคยบําเพ็ญส่ังสมอบรมมา นับแตอเนกชาติ ทุกกัปทุกกัลปทุกอสงไขย หาประมาณมิได ขาพระพุทธเจา ขอนอมบารมีธรรมเหลาน้ันท้ังหมด มาเปนกําลังในการปฏิบัติ เพ่ือเปาหมาย สูงสุด คือพระนพิ พานใหแ จง ถึงทีส่ ดุ แหง ทุกขในปจ จบุ นั โดยเรว็ พลันเทอญ. ๒. อธษิ ฐานอนื่ ใดอันเปน อุปสรรคตอการเขาถึงมรรค ผล นิพพาน ในชาติปจจุบัน ท่ีขาพระพุทธเจาไดเคยอธิษฐานไวในอดีต เชน การอธิษฐาน พุทธภูมิ เพ่ือตรัสรูเปนพระพุทธเจา การอธิษฐานปจเจกภูมิ เพ่ือตรัสรูเปน พระปจเจกพุทธเจา การอธิษฐานเพ่ือความเปนอัครสาวก อสีติมหาสาวก หรืออธิษฐานเพ่ือไปบรรลุธรรมและปฏิบัติหนาท่ี ในสมัยท่ีพระโพธิสัตว พระองคอน่ื จะมาตรสั รใู นอนาคตบาง หรอื แมแตการอธิษฐานที่ไปเก่ียวของ ผูกพันไวกับบุคคล หรือชุมชนกลุมใดกลุมหน่ึง เพื่อรอเขาถึงพระนิพพาน ในอนาคตสมัยเดียวกันบาง… บัดน้ีขาพระพุทธเจา ขออธิษฐานอยางสูงสุด เต็มกําลังใจ ยกเลิกอธิษฐานแตอดีต ที่เปนอุปสรรคตอมรรค ผล นิพพาน ในปจจบุ ันเหลา น้นั ทง้ั หมด โดยส้ินเชงิ ไมม ขี อแม นบั แตบัดนเ้ี ปนตนไป ๓. ขาพระพทุ ธเจา ขอใชบารมีธรรมทั้งปวง ที่เคยบําเพ็ญสั่งสมมา เพ่ือการเขาถึงมรรค ผล นิพพาน ในชาตปิ จจบุ ัน โดยเร็วพลันเทอญ หากมี สวนแหงบารมีธรรมหลงเหลืออยูมากมายเพียงใด ขาพระพุทธเจาขอนอม เอาบารมีธรรมเหลาน้ันท้ังหมด มาใชในการทํากิจพระพุทธศาสนา เผยแผ พระสัทธรรมแหงพระบรมศาสดาฯ ใหยังประโยชนแกชนนิกร ตลอดจน พรหมเทพเทวดา สมดังเจตนารมย ของสมเด็จพระผูมีพระภาคเจา ในการ ขนถา ยเวไนยสัตว ขามหว งมหรรณพวัฏสงสาร เขาสูมหาอมตนฤพาน ขอใหส ัจจะอธษิ ฐานบารมนี ี้ จงสาํ เรจ็ จงสาํ เร็จ จงสาํ เร็จ ขอใหส จั จะอธษิ ฐานบารมีน้ี ตั้งขนึ้ แทนอธษิ ฐานในอดีตทัง้ ปวง 219
พระภาสกร ภูรวิ ฑฒฺ โน (ภาวิไล) ขอใหสัจจะอธิษฐานบารมี อันเปนสัมมาทิฐิ แหงอริยมรรคมีองค ๘ น้ี จงเปนกุญแจธรรม ไขพลิกบารมีธรรมท้ังปวง ท่ีขาพระพุทธเจาได บําเพญ็ สง่ั สมมา ใหเกิดมรรคสมังคี ประหารปวงกิเลส คือ โลภ โกรธ หลง พรอมดวยตัณหา มานะ ทิฐิ และอวิชชา ใหถึงกาลแตกทําลาย สิ้นสูญไป เปน สมจุ เฉทปหาน ในชาติปจ จบุ นั โดยเรว็ พลันเทอญ. ขาพระพุทธเจาขอโมทนาความดี กับบารมีธรรมทั้งหลายทั้งปวง อันสมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจา พระปจเจกพุทธเจา พระอัครสาวกเจา พระอสีติมหาสาวกเจา พระอรหันตสาวกเจา พระอริยสังฆเจา ตลอดจน พระโพธิสัตวเจาทั้งหลายทั้งปวง ที่ไดสั่งสมบําเพ็ญมาแลว และถึงซ่ึงความ สําเรจ็ ในความปรารถนาอันเปนกุศลแลว ขอใหขาพระพุทธเจา จงเปนผูมีสวนในบุญกุศล คุณความดี และ บารมีธรรม ท่ีทานไดเขาถึงแลวเหลาน้ัน และเขาถึงท่ีสุดแหงทุกขทั้งปวง คอื มรรค ผล นิพพาน ในชาตปิ จจุบนั โดยเรว็ พลันเทอญ. โมทนาสาธุ โมทนาสาธุ โมทนาสาธุ ขอใหส าํ เรจ็ ขอใหสําเรจ็ ขอใหสําเร็จ 220
ปฏิจจสมุปบาท สาํ หรับคนรนุ ใหม ประกาศใหอ โหสิกรรม “ขา พระพทุ ธเจาทง้ั หลาย ขออาราธนา พระสัมมาสมั พุทธเจา ทกุ ๆ พระองค พระธรรมเจาทุกๆ พระองค พระอรยิ ะสังฆเจา ทกุ ๆ พระองค พระปจ เจกพทุ ธเจาทุกๆ พระองค พระอรหนั ตส าวกเจาทุกๆ พระองค ทานทาวพระยายมราช ทานทาวจตุโลกบาล และพระสยามเทวาธิราชทกุ ๆ พระองค ขอจงโปรดเมตตากรุณา เสด็จมาเปน สกั ขีพยาน และรว มโมทนา ในการใหอโหสกิ รรมแกก ันและกนั และแกผ เู คยลว งเกนิ ตอขาพระพุทธเจา มาแลว ทง้ั หลายทง้ั ปวง ในทกุ กัปทกุ กลั ปท กุ อสงไขย จนถงึ ปจ จบุ นั ชาต.ิ .. ขาพระพุทธเจาทั้งหลาย ขอประกาศใหอโหสิกรรมแกตนเอง ตลอดจนถงึ พอแมพี่นอ ง ปูยา ตายาย ลงุ ปานา อา บตุ รธดิ า ภรรยาสามี ลกู หลานเหลนทัง้ หลาย ญาติมติ รสหายท้ังหลาย หมคู ณะผูรว มงานท้ังหลาย คูแ ขงคูคา ครู ักคูแ คน คบู ุญคกู รรมทง้ั หลาย ครูบาอาจารยท ้งั หลาย อปุ ชฌายอ าจารยท้ังหลาย ตลอดจนพรหมเทพเทวดา มนษุ ย สรรพสตั ว สรรพวิญญาณ สรรพเจา กรรมนายเวร ทงั้ หลายทั้งปวง ทกุ ทา นทุกพระองค ท่ีเคยเขนฆา ทํารา ยรังแก ปลนจลี้ ักขโมย เบยี ดบงั ยักยอก ขม ขนื ผิดประเวณี โกหกหลอกลวง ตม ตุน คดโกง ตระบดั สตั ย หกั หลงั ทรยศ อกตญั ู เสยี ดสดี าวา บังคบั ฝนใจ ใหกินเหลาเมายา ท้ังแกต ัวขา พเจาเอง หรือแมใน บคุ คล และส่งิ ท่ขี าพเจารักหวงแหน ไมวา ในชาตนิ ้ภี พน้ี หรือในภพชาตใิ ดๆ กต็ าม ในทุกกปั ทกุ กัลป ทกุ อสงไขย ทงั้ เจตนาหรือไมเ จตนา ทง้ั ตอ หนา และลบั หลงั ท้งั ทรี่ ูและไมร ู อันเปน เหตุใหขา พเจา ท้ังหลาย ทุกขกายก็ดี ทุกขใ จกด็ ี ขา พเจา ขออโหสิกรรม และใหอโหสกิ รรมแกท า นท้งั หลายท้งั ปวง จนหมดสิ้น ต้งั แตบ ัดนี้ ตราบเทาเขาสพู ระนิพพาน การอาฆาตพยาบาท สาปแชง จองเวรจองกรรมใดๆ ที่ขาพเจาได เคยประกาศไว หรือผูกใจเก็บไว ในชาติน้ีภพนี้ หรือในภพชาตใิ ดๆ ก็ตาม ขาพเจา ใหอ โหสิกรรม ยกเลกิ ใหเ ปนโมฆะท้ังสิ้น เพ่อื ใหห มดเวรสิน้ กรรม ตอ กันและกัน นบั แตบดั นี้ ตราบจนถึงพระนิพพาน 221
พระภาสกร ภูริวฑฺฒโน (ภาวไิ ล) ขอใหเราทานทั้งหลาย ท่ีอยูพรอมหนากันในท่ีน้ี ตลอดจนพอซ้ือ แมซ้ือ พอเกิดแมเกิด พรหมเทพเทวดา ท่ีปกปกรักษาขาพเจาทั้งหลาย จงทราบวา บัดนี้ขาพเจาทั้งหลาย ไดใหอโหสิกรรมแกกันและกันแลว และ จะไมเอาการกระทําทั้งหลายในอดีต มาเปนเหตุทําราย ทําลาย เบียดเบียน ซงึ่ กนั และกนั อีกตอ ไป ขา พระพทุ ธเจา ท้งั หลาย ขอโมทนาความดี กับพระสัมมาสัมพุทธเจา ทกุ ๆ พระองค พระธรรมเจาทุกๆ พระองค พระอริยะสังฆเจาทุกๆ พระองค พระปจเจกพุทธเจา ทุกๆ พระองค พระอรหันตสาวกเจาทุกๆ พระองค ทานทาวพระยายมราช ทานทาวจตุโลกบาล และพระสยามเทวาธิราชทุกๆ พระองค ท่โี ปรดเมตตากรณุ า เสด็จมาเปนสักขีพยาน ในการใหอโหสิกรรม ของขา พระพทุ ธเจาทงั้ หลาย โมทนาสาธุ โมทนาสาธุ โมทนาสาธุ ดวยอานิสงส แหงการใหอโหสิกรรมน้ี ขอใหเจากรรมนายเวร ท้ังหลายทั้งปวงของขาพเจา จงกรุณาใหอโหสิกรรมแกขาพระพุทธเจา โดย งายเทอญ. • โมทนาสาธุ โมทนาสาธุ โมทนาสาธุ • ขอใหกรรมท้ังหลายท้งั ปวงจงเปน อโหสิ (๓ ครง้ั ) • ขอใหว ิบากกรรมช่ัวทัง้ หลายทัง้ ปวง จงยุตกิ ารสงผล (๓ ครั้ง) • ขอใหวิบากกรรมดีท้ังหลายท้ังปวง จงสง ผลสําเร็จ (๓ ครง้ั ) • โมทนาสาธุ โมทนาสาธุ โมทนาสาธุ • ขอใหขาพเจา พรอมดวยพรหมเทพเทวดา สรรพสัตวสรรพ วิญญาณ สรรพเจากรรมนายเวรท้ังหลายทั้งปวง จงสําเร็จมรรค ผล นิพพาน ในชาติปจจบุ ัน ฉับพลันนี้ เทอญ. ---///--- 222
บรรณานกุ รม ธรรมปฎก, พระ (ประยุทธ ปยุตฺโต). พุทธธรรม ฉบับขยายความ. กรงุ เทพมหานคร: โรงพิมพม หาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย, ๒๕๓๘ ธรรมปฎก.พระ.(ประยุทธ ปยุตฺโต).พจนานุกรมพุทธศาสตร ฉบับประมวล ธรรม. กรุงเทพมหานคร: โรงพิมพมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย, ๒๕๔๓ ธรรมปฎก.พระ.(ประยุทธ ปยุตฺโต). พจนานุกรมพุทธศาสน ฉบับประมวล ศัพท. กรุงเทพมหานคร: โรงพิมพมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย, ๒๕๔๓ ญาณสังวร, สมเด็จพระ, สมเด็จพระสังฆราช. (เจริญ สุวฑฺฒโน). ความ เขาใจเรื่องปฏิจจสมุปบาท. กรุงเทพมหานคร: โรงพิมพมหา- มกฏุ ราชวิทยาลัย, ๒๕๔๒ พุทธทาสภิกขุ, (เงื่อม อินฺทปฺโญ). เร่ืองสําคัญท่ีสุดสําหรับพุทธบริษัท ปฏิจจสมุปบาท หลักปฏิบัติอริยสัจจท่ีสมบูรณแบบ. กรุงเทพ- มหานคร : ธรรมสภา, ม.ป.ป. บรรจบ บรรณรุจิ. กระบวนธรรมเพ่ือความเขาใจชีวิต ปฏิจจสมุปบาท เกิด-ดํารงอยู-ตาย และสืบตออยางไร. กรุงเทพมหานคร: ธรรมสภา, ม.ป.ป. สัทธัมมโชติกะ ธัมมาจริยะ, พระ. ปรมัตถโชติกะ มหาอภิธัมมัตถสังคห- ฎีกา ปริจเฉทที่ ๕ เลม ๑ ภูมิจตุกกะและปฏิสนธิจตุกกะ. กรงุ เทพมหานคร: โรงพิมพมหาจฬุ าลงกรณราชวทิ ยาลัย, ๒๕๔๐ ------- 223
\"พอ\" คือ คําทีส่ องในชีวติ ครึ่งหนงึ่ ของอวยั วะ และเลอื ดเนือ้ … พอ คอื ผูใหม า… ตราบใดทล่ี ูกยังมลี มหายใจ ไมว า จะอยูใ นสถานะไหน… ยอมไมส ามารถทดแทนพระคณุ ของ \"พอ\" ใหห มดสิน้ ได ขอใหบญุ กศุ ล คือ ทาน ศีล ภาวนา ทลี่ ูกไดกระทําไว ท้ังท่ีสาํ เรจ็ แลว และทจ่ี กั กระทําใหสําเร็จนั้น… เปน กตัญกู ตเวทติ า บชู า… ซง่ึ … พระคณุ ของ \"พอ \" ภาพ : โยมพอ คอื ศ.กิตติคุณ ดร.ระวี ภาวไิ ล และผูเ ขียน เม่อื กวา สสี่ บิ ปมาแลว 224
ประวัตผิ ูเขยี น ช่อื พระภาสกร ภูรวิ ฑฒฺ โน (ภาวิไล) ชือ่ เดิม นริ นั ดร ภาวไิ ล วัน เดือน ปเ กิด วันพฤหัสบดที ่ี ๒๘ ธันวาคม พ.ศ. ๒๕๐๔ ณ กรงุ แคนเบอรา ประเทศออสเตรเลยี เปน บุตรของ ศ.ดร.ระวี ภาวิไล และนางอุไรวรรณ ภาวิไล บรรพชา อปุ สมบท พ.ศ. ๒๕๑๕, พ.ศ. ๒๕๑๗ บรรพชาสามเณรภาคฤดูรอน ณ วัดชลประทานรังสฤษฏ ปากเกรด็ นนทบรุ ี โดยมี พระธรรมโกศาจารย (หลวงพอ ปญ ญานันทภิกขุ) เปน พระอุปช ฌาย วันจันทรที่ ๒๖ กุมภาพนั ธ พ.ศ. ๒๕๓๙ อุปสมบทเปนพระภิกษุ ณ วัดคุณแมจันทร แขวงประเวศ กทม. โดยมี สมเด็จพระญาณวโรดม (ประยูร สนฺตงฺกุโร) วัดเทพศริ นิ ทราวาส กทม. เปนพระอุปช ฌาย 225
การศึกษา สําเร็จการศกึ ษาชัน้ มัธยมศึกษาปท ี่ ๕ (ม.ศ. ๕) พ.ศ. ๒๕๒๒ จากโรงเรยี นสาธิตจุฬาลงกรณมหาวทิ ยาลัย พ.ศ. ๒๕๒๖ สําเร็จการศึกษาระดับปริญญาตรี วิทยาศาสตรบัณฑิต สาขาฟสิกส จากคณะวิทยาศาสตร จุฬาลงกรณ พ.ศ. ๒๕๔๒ มหาวิทยาลัย สอบไลไ ดน กั ธรรมชั้นเอก สาํ นักเรยี นจงั หวดั เชยี งใหม ประสบการณ กอตั้งและเปนผูจัดการ บริษัทพิคเจอร โพรเจค จํากัด พ.ศ. ๒๕๓๐ ตั้งอยูที่ ถนนเอกมัย แขวงคลองตัน เขตคลองเตย กทม. ใหบริการ ถา ยภาพบคุ คล และภาพโฆษณา ปจจุบัน พ.ศ. ๒๕๔๔-ปจจุบัน เปนผูอาํ นวยการ ธรรมสถาน มหาวิทยาลัยเชียงใหม วัดฝายหิน ถนนสุเทพ ตาํ บลสุเทพ อําเภอเมือง จังหวัดเชียงใหม ๕๐๒๐๐ โทรศัพท 053-943684 E-mail: [email protected] 226
รายนามผรู วมพิมพหนังสอื “ปฏิจจสมปุ บาทสําหรบั คนรนุ ใหม” (ฉบบั พิมพค ร้ังท่ี ๒/๒๕๕๐) ๑) ศ.ดร.คุณหญงิ พยอม สิงหเ สนห ครอบครวั ๓๐,๐๐๐ บาท ๒) วงศวภิ า เทพหัสดนิ ณ อยุธยา ๒๐,๐๐๐ บาท ๓) โยคียุวพทุ ธฯ ศูนย ๒ /๑๕-๑๗ มิ.ย. ๒๕๕๐ ๑๗,๐๐๐ บาท ๔) เรืออากาศโท เฉลิมกิจ โรจนวิภาค ๑๐,๐๐๐ บาท ๕) อภินันท-ธนพันธ ศิรโิ ยธิพันธ ๘,๐๐๐ บาท ๖) วรชนุ อยูจ ินดา ๗,๐๐๐ บาท ๗) มลู นิธิสขุ ะมงคล ๕,๐๐๐ บาท ๘) ชยั ต้งั จิตชัชวาล ครอบครวั ๕,๐๐๐ บาท ๙) คณะ อ.วีระชาติ ศิรไิ กรวฒั นาวงศ ๔,๑๖๐ บาท ๑๐) ไอยรา ธนาพร, อรวรรณ วงศเมธากูล ๓,๖๐๐ บาท ๑๑) อุทศิ แด Lidwina Burkle และ อัมพร โกเมศ ๓,๖๐๐ บาท รายละ ๓,๐๐๐ บาท ๑) พระศรญี าณโสภณ (รองเจา อาวาสวดั พระรามเกาฯ) ๒) ขนษิ ฐา อัครนธิ ิกลุ ๓) นพ.สเุ ทพ วงศแ พทย ๔) ไฉไล-เคี้ยนหวา ถ่มั , ประไพพรรณ-ทวีป ชาตธิ ํารง ครอบครัว ๕) สุพัฒน- ฐติ ิพันธ- ด.ญ.ประทับใจ- ด.ญ.ณหทยั รัตนศริ ิวไิ ล รายละ ๒,๐๐๐ บาท ๑) อวี าน แวน อูทรฟี ๒) ธนู พุม ประกอบศรี ๓) ปกรณ บรริ าช ๔) สตปย า เพชรรัตน ๕) ชว งโชติ-วรณัน-จรณ-สรญั ญา ทรงเจรญิ ๖) อรทยั สืบทรพั ยอ นนั ต ครอบครัว ๗) พลู ศกั ด์ิ-สชุ าดา ต้ังเธียรกุล ๘) เผา ไทย ปาลกะวงศ ณ อยธุ ยา ๙) สรนิ ยา เชย่ี วพิมลพร ครอบครวั ๑๐) คณะเจาหนา ท่ี ยุวพุทธกิ สมาคมฯ ศูนย ๑, ๓. ๑๑) อรพนิ ท ตระกลู ชวนดี ๑๒) บรรจง-สวุ ัฒน- ศุภสิ รา-ด.ช.ปราชญ อมฤตกลุ รายละ ๑,๕๐๐ บาท ๑) ไมตรี-อญั ชลี-นิกร วรี ะนิติกุล, ลว้ั อภชิ าติกติ ติกร บุตรธิดา รายละ ๑,๐๐๐ บาท ๑) อุบาสกิ าเพียงเดือน ธนสารพพิ ิธ ๒) ธชธร-รงุ นภา- ด.ช.กฤติน-ด.ญ.ปทิตตา ๓) สุทธิลักษณ- ศรีสนทิ บริราช ๔) ดุจใจ-ชัยชนะ กรกจิ สุวรรณ ๕) นพ.ธนพ ศรสี ุวรรณ ๖) สวุ ัฒน โชติวรรณ ๗) กฤตยิ า ถาวร 227
๘) นพ.ศภุ นมิ ิตร ทฆี ชุณหเถยี ร ครอบครัว ๙) วรวทิ ย- เนตรชนก-ด.ญ.ภทั รภา สขุ เอ่ยี ม ๑๐) แมชปี ยอภิรวี อภไิ กรสวสั ด์ิ ๑๑) ถวิล-พัชรพร ฉันทาวรานรุ กั ษ ๑๒) จิตเกษม ณ ระนอง ๑๓) อรุณีย กาญจนสริ ภิ กั ดี ๑๔) พญ.นรลี กั ขณ พิทักษด าํ รงวงศ ครอบครัว ๑๕) บษุ กร และเพ่อื น แมค็ เคมซพั พลาย บจก. ๑๖) มานพ-สุจันทร-ด.ญ.สุพิชชา ขนั ตี ๑๗) ศริ พิ ร ทองตระกูล ๑๘) บุญชวย ปญญาไชย ครอบครัว ๑๙) ศริ ินทรท ิพย เมธยานันท ๒๐) ณรงค ศริ ลิ กั ษณ ๒๑) อโณทยั คุณาพรไพโรจน, วุฒพิ ร ทักษณิ วราจาร ๒๒) ทิพวรรณ นา ประเสรฐิ , เพญ็ พรรณ แซนา ลูกหลาน รายละ ๗๐๐ บาท ๑) ประพมิ พร นันตร ตั น, ธนสิทธ์-ิ ยวุ รนิ ทร จรญู ชัยพงศ ครอบครัว, จารวุ ัทฒ รักศักด์สิ กลุ รายละ ๕๐๐ บาท ๑) พระเกยี รติณรงค กติ ฺตวิ ฑฒฺ โน นาจารย ๒) ณิรสิ รา รัตนโชติ, รกิ าร ไพรัชเวสส ๓) นภิ า วรพันธ ๔) เฉลมิ ลกั ษณ ครี วี งศ ๕) สุดธดิ า แกว ขจร ๖) สมใจ ศริ ะกมล ๗) มชี ยั วีระไวทยะ, ทิพยอ รณุ จันทรศรีชัน้ , พบิ ูลยอ ฑั ฒ หฤหรรษปราการ, อศั จรรยรัก ราํ่ รวยมหาทรัพย ครอบครวั ๘) มนัสพร กาญจนสริ ภิ กั ดี ๙) สมพล-จริ วดี กาญจนสิรภิ ักดี ๑๐) พรทพิ ย กาญจนสริ ภิ กั ดี ๑๑) ไทยแหอวนอุตสาหกรรม บจก. ๑๒) รสสคุ นธ อยูสมบูรณ ๑๓) ราตรี เลขาวิจติ ร ๑๔) ทศวัฒน หอมแกนจันทร ๑๕) อนสุ รณ ศรีวะโร ๑๖) พนั สทิ ธิ-์ ศิริพรรณ-พาสนิ -พาสรี ี ธนสนิ ๑๗) ไตรรัตนจ ิวเวลรี่ & คาเฟ, หสน.ไตรรตั นา : โปรง นภา อคั รชิโนเรศ, ภาณวุ ัฒน - จุฑามาศ พนั ธุทอง, ศุภฤกษ ตาลเงิน, สายสุนีย ลาพงิ ค ๑๘) ศกั ดา ศรสี ุขคํา ๑๙) สัญชัย - พรรวี ภมรานนท รายละ ๓๐๐ บาท ๑) สําราญ ดา นศริ กิ ุล รายละ ๒๐๐ บาท ๑) สุรนาท บรู ณพงษ ๒) ยุทธพล ดํารงชื่นสกุล ครอบครวั ๓) จิรสุตา อมรินทรแ สงเพญ็ ๔) พ.ต.อ.ฉกาจ มาลารักษ ครอบครัว ๕) สมกมล โกมทุ แดง ๖) ขาวกลา สใุ จ ๗) โสภณา ณ ระนอง ๘) ชาญศลิ ป ชาวยอง ๙) จนิ ดา เลศิ ศริ ิวรกลุ ๑๐) ประยรู อาทิ ๑๑) วรการ-ธาตรี-ผอ งพรรณ ศิริมังฆศรี ๑๒) ร.ต.อ.สมชาย พมุ พวง ๑๓) อาริยา ศลิ าโกศล ๑๔) ปานจิตต วาฤทธ์ิ 228
รายละ ๑๐๐ บาท ๑) พาณี ศิรประภา ๒) อนกุ ฤษณ อนุกูลสวัสดิ์ ๓) ภมู ิธนิศวร อินตะ ปญญา ครอบครวั ๔) ปยะนุช ปยะตระกูล ๕) นภาพรรณ วงษต ะลา ๖) วฒั นพงศ สุทธภักดิ์ ๗) จนิ ตนา วงศตะ ๘) นนั ทมนัส ชิตทะวงศ ๙) นนทธิดา เลก็ เลศิ ศิริวงศ ๑๐) คมสันต์ิ บญุ ชุมใจ ๑๑) วุฒิพงษ ไชยเสน ๑๒) เปรมสิริ เจริญผล ๑๓) กฤษณา ปลมื้ สติ ครอบครัว ๑๔) มณีนุช ณรงคแ สง ๑๕) อมั รา เช้อื พูล ๑๖) บงกช กวิ ฒั นา ๑๗) คณิต วรวรรณธนะชัย ครอบครัว ๑๘) เอมอร เจริญวราวงศ ๑๙) ผไู มประสงคออกนาม รายยอย ปญญาภะระโน (สวัสดวิ์ งษพ ร)-วชิรปญโญ (รุงเกยี รต)ิ และคณะ ๒๕๐, ธัญวฒั น แสงสุวรรณ-วิลาวลั ย ปน ทอง ๒๒๐, ดวงฤดี-วิกรม-ไกรวนิ เจือจาน ๑๖๐, วันชัย เช่ียวชาญธนกิจ-มลั ลิกา ทพิ ยมณี ๑๕๐, มานิตย ปญ ญารัตน ๑๒๐, เพ่ิมพงศ เรืองใจ ๙๐, พัทยา สิงหกี ๕๐, พงศจักร พงษวุฒิกลุ ๔๐, ฐิตมิ า คําขนั ตี ๒๐, ประจมิ จนั ตะเภา ๒๐ โอนจาก กองทุนธรรมวหิ าร ๒๕๕๐ ๑ มกราคม-๑๑ กมุ ภาพนั ธ ๒๕๕๐ รงุ รัก ศิริเวช, เทพรตั น อึ้งเศรษฐพันธ, น.พ.ไพบูลย- ปราณี สมานโสตถวิ งศ ครอบครัว ๒,๐๐๐, มาริษา หัสแดง ๑,๘๖๐, จริ ัฐ ลิม้ ปยวรรณ ๑,๘๖๐, กัญจนณ าภทั ร สกุลสุขเสฏฐี - พิเชฏฐ ชัยยงั ๑๐๐. คาพิมพ ๑๙๘,๐๐๐ บาท ยอดเงินสมทบรว มพมิ พ ๑๙๘,๐๐๐ บาท 229
เปนสุขเพราะศลี ทา นทีป่ ระสงคความเจริญในชวี ติ พึงดํารงชีวิตใหเปนปกติ ดว ยการมี เจตนาแนวแน วริ ัตริ ักษาศลี ๕ โดยสมาทานรักษาดวยตนเองทุกเชา -คาํ่ เม่ือต่นื นอนตอนเชาและกอ นเขานอน และระหวา งวนั ก็ใหมใี จจดจอ อยกู ับศลี คอย ตรวจดูวาตนไดเผอเรอลว งศลี ขอใดบา งหรือไม ถาไม กโ็ มทนาสาธกุ ับตนเองทไ่ี ด รกั ษาศีลไวเปน อนั ดี ถาระลกึ ไดว า ทาํ ผดิ ศีลไป ใหข ออโหสกิ รรมตอ ผูไดร ับความ เดือดรอนเสียหายจากการกระทําของเราดว ยความสํานกึ ผดิ แลวทบทวนสมาทาน ศีลใหมทัง้ ๕ ขอ ทกุ ครั้งไป บทสมาทานศีล ๕ (ยอ) พทุ โธ ธัมโม สงั โฆ ศลี ขอ ๑ ไมฆ าสัตว, ศลี ขอ ๓ ไมป ระพฤติผิดในกาม, ศีลขอ ๒ ไมลักทรัพย, ศลี ขอ ๔ ไมพดู เท็จ, ศลี ขอ ๕ ไมดม่ื สรุ าและของมึนเมา บดั น้ี ขา พเจา ตั้งใจรักษาศลี แลว บดั นี้ ขา พเจา คือผูม ีศีล ดวยอาํ นาจศลี น้ี ขอใหข าพเจา (อธษิ ฐานตามสมควร) เพย้ี ง ! เชน …จงเดินทางโดยสวสั ดิภาพ …จงไดร ับความสาํ เรจ็ ในการตดิ ตอ …จงขายดบิ ขายดมี กี าํ ไรในการคา …จงเปน ผถู งึ พรอ มดวยสติปญ ญา รูเทาทันกเิ ลส ตณั หา อุปาทาน ทั้ง ภายนอกและภายใน ใหมกี าํ ลงั ใจในการประพฤตปิ ฏบิ ตั ิ ในธรรมอันเปนกุศล ทงั้ ปวง ขอใหอปุ สรรค เพทภยั อนั ตราย และหมมู ารทั้งหลาย จงคล่ีคลาย สลายไป ดวยอํานาจศีล อนั ขาพเจาไดบําเพญ็ แลว ณ บัดนี้ เทอญ. พระภาสกร ภรู วิ ฑฺฒโน (ภาวไิ ล) ๒๔ เมษายน ๒๕๔๙ 230
Search
Read the Text Version
- 1
- 2
- 3
- 4
- 5
- 6
- 7
- 8
- 9
- 10
- 11
- 12
- 13
- 14
- 15
- 16
- 17
- 18
- 19
- 20
- 21
- 22
- 23
- 24
- 25
- 26
- 27
- 28
- 29
- 30
- 31
- 32
- 33
- 34
- 35
- 36
- 37
- 38
- 39
- 40
- 41
- 42
- 43
- 44
- 45
- 46
- 47
- 48
- 49
- 50
- 51
- 52
- 53
- 54
- 55
- 56
- 57
- 58
- 59
- 60
- 61
- 62
- 63
- 64
- 65
- 66
- 67
- 68
- 69
- 70
- 71
- 72
- 73
- 74
- 75
- 76
- 77
- 78
- 79
- 80
- 81
- 82
- 83
- 84
- 85
- 86
- 87
- 88
- 89
- 90
- 91
- 92
- 93
- 94
- 95
- 96
- 97
- 98
- 99
- 100
- 101
- 102
- 103
- 104
- 105
- 106
- 107
- 108
- 109
- 110
- 111
- 112
- 113
- 114
- 115
- 116
- 117
- 118
- 119
- 120
- 121
- 122
- 123
- 124
- 125
- 126
- 127
- 128
- 129
- 130
- 131
- 132
- 133
- 134
- 135
- 136
- 137
- 138
- 139
- 140
- 141
- 142
- 143
- 144
- 145
- 146
- 147
- 148
- 149
- 150
- 151
- 152
- 153
- 154
- 155
- 156
- 157
- 158
- 159
- 160
- 161
- 162
- 163
- 164
- 165
- 166
- 167
- 168
- 169
- 170
- 171
- 172
- 173
- 174
- 175
- 176
- 177
- 178
- 179
- 180
- 181
- 182
- 183
- 184
- 185
- 186
- 187
- 188
- 189
- 190
- 191
- 192
- 193
- 194
- 195
- 196
- 197
- 198
- 199
- 200
- 201
- 202
- 203
- 204
- 205
- 206
- 207
- 208
- 209
- 210
- 211
- 212
- 213
- 214
- 215
- 216
- 217
- 218
- 219
- 220
- 221
- 222
- 223
- 224
- 225
- 226
- 227
- 228
- 229
- 230
- 231
- 232
- 233
- 234
- 235
- 236
- 237
- 238
- 239
- 240
- 241
- 242
- 243
- 244
- 245
- 246
- 247