พระภาสกร ภรู ิวฑฒฺ โน (ภาวิไล) (๔) สัทธาจริต ไดแ ก ผมู ศี รัทธาเปน ความประพฤติปกติ หนักไปทาง มีจิตซาบซึ้งช่ืนบาน นอมใจเล่ือมใสโดยงาย พึงชักนําไปในสิ่งที่ควรแกการ เลื่อมใส และความเชื่อที่มีเหตุผล เชนการใชกรรมฐานในหมวด อนุสติ ๑๐ ใน ๖ ขอตน (คือ พุทธานุสติ ธัมมานุสติ สังฆานุสติ สีลานุสติ จาคานุสติ และเทวตานุสต)ิ เปน เครอ่ื งระลกึ ถึงอยูเนืองๆ (๕) พุทธิจริต หรือ ญาณจริต ไดแก ผูมีความรูเปนความประพฤติ ปกติ หนักไปทางใชความคิดพิจารณา พึงสงเสริมแนะนําใหใชความคิดไป ในทางที่ชอบ เชน ยกองคธรรมมาพิจารณาถึงความเปนไปภายใตกฎไตรลักษณ กรรมฐานที่เหมาะสม คือ มรณสติ (ระลึกถึงความตาย) อุปสมานุสติ (ธรรมเปนที่สงบ มีคุณของนิพพานเปนเครื่องระลึก) จตุธาตุววัฏฐาน (ธาตุ ๔) และ อาหาเรปฏกิ ลู สญั ญา (ความเปน ปฏิกูลในอาหาร) (๖) วิตกจริต ไดแก ผูมีวิตกเปนความประพฤติปกติ หนักไปทาง นึกคิด จับจด ฟุงซาน พึงแกดวยกรรมฐานท่ีสะกดอารมณ เชน เจริญ อานาปานสติ หรอื เพง กสิณ เปนตน กรรมฐาน และขีดข้นั ของผลสําเร็จ รูปกรรมฐาน ๓๖ ในกรรมฐาน ๔๐ นั้น นอกจากจะเหมาะกับ จริต ท่ีตางกันแลว ยังตางกันโดยผลสําเร็จสูงตํ่ามากนอย ที่สามารถทําให เกดิ ขึ้นดวย คือมขี อบเขตในการใหเ กิดสมาธิในระดับตางๆ (ต้ังแตปฏิภาคนิมิต, อุปจารสมาธิ, ปฐมฌาน, ทุติยฌาน, ตติยฌาน จนถึง จตุตถฌาน) โดย ไมเทา เทยี มกัน ดงั ตอ ไปน้ี (๑) กสณิ ๑๐ ยงั ใหถงึ ไดส งู สุด คือ จตุตถฌาน (๒) อสุภะ ๑๐, กายคตาสติ ยังใหถึง ปฐมฌาน (๓) อนุสติ ๑๐ ใน ๖ ขอแรก, อุปสมานุสติ, มรณสติ, อาหาเรปฏิกูลสัญญา, จตุธาตุววัฏฐาน ยังใหถึงไดสูงสุดเพียง อุปจารสมาธิ (๔) อัปปมัญญา ๔ ใน ๓ ขอแรก ยังใหถึง ตติยฌาน (๕) อุเบกขาอัปปมัญญา ยังใหได อุปจารสมาธิ แลว กาวขา มไปสู จตุตถฌาน 36
ปฏิจจสมุปบาท สําหรับคนรนุ ใหม วิปส สนา ๕) วิปสสนา คือ สังขาร สภาพท่ีปรุงแตง อัน ยังภพใหสิ้นไป เปนการฝกอบรมปญ ญา ใหเกดิ ความเห็นแจงรูช ัดตรงตอความเปนจริงของ สภาวธรรม, ปญญาท่ีเห็น ไตรลักษณ อันถอดถอนความหลงผิดรูผิดใน สังขารเสียได ซึ่งสภาวะของจิตในขณะที่ปรุงแตงเปนวิปสสนาน้ัน จิตเปน มหากศุ ลจิต โดยมี รูป-นาม ขันธ ๕ ท้ังภายใน ภายนอก เปนอารมณแก การปฏิบัติวิปสสนา และดําเนินวิปสสนาดวยการ โยนิโสมนสิการ คือการ นกึ คดิ พจิ ารณาไปโดยแยบคาย และ โอปนยิโก นอมเขามาสูใจ จนเหน็ แจง สภาวธรรมอนั เปนไปตามกฎไตรลกั ษณ เปนสําคญั ใน ปฐมเสขสูตร ขทุ กนกิ าย อิติวุตฺตก ขอ ท่ี ๑๙๔ พระผมู ีพระภาคเจา ทรงตรสั เร่ืองโยนโิ สมนสิการ เปน คาถาประพันธว า “ธรรมอยางอื่นอันมีอุปการะมาก เพ่ือบรรลุประโยชนอันสูงสุด แหงภิกษุผูเปนเสขะ เหมือนโยนิโสมนสิการไมมีเลย ภิกษุเร่ิมตั้งไวซึ่ง มนสิการโดยแยบคาย พงึ บรรลุนิพพานอันเปนทส่ี ้ินไปแหงทุกขไ ด” ใน สพั พาสวะสังวรสูตร มัชฌิมนิกาย มูลปณณาสก ขอที่ ๑๑ พระผูมี พระภาคเจาทรงตรสั เรอ่ื งโยนิโสมนสกิ าร เปนปจจัยใหส ้นิ อาสวะไวดังนี้ “ดูกอนภิกษุท้ังหลาย ความสิ้นอาสวะจะมีได แกภิกษุผูรูผูเห็น โยนิโสมนสิการ และอโยนโิ สมนสิการ ดูกอนภิกษุทั้งหลาย เมื่อภิกษุมนสิการโดยไมแยบคาย อาสวะ ท้ังหลายทย่ี งั ไมเกิดยอมเกดิ ขนึ้ ทีเ่ กิดขน้ึ แลว ยอมเจริญ ดูกอนภิกษุทั้งหลาย เมื่อภิกษุมนสิการโดยแยบคาย อาสวะ ทัง้ หลายทยี่ ังไมเกิดยอ มไมเ กิดขึน้ และที่เกิดขน้ึ แลว เธอยอ มละเสียได” 37
พระภาสกร ภรู วิ ฑฒฺ โน (ภาวิไล) ใน ปฐมโยนิโสมนสิการ สัมปทาสูตร สังยุตตนิกาย มหาวารวรรค ขอที่ ๑๓๖ และ ๑๗๒ พระผูมีพระภาคเจาทรงตรัสเร่ืองโยนิโสมนสิการ เปน นิมิตแหง อรยิ มรรคไวด ังนี้ “ดูกอนภิกษุท้ังหลาย เมื่อพระอาทิตยจะขึ้น สิ่งท่ีข้ึนมากอน สิ่งทีเ่ ปน นิมติ มากอน คือแสงเงนิ แสงทอง สิ่งที่เปนเบื้องตน เปนนิมิตมากอน เพื่อความบังเกิดแหง อริยมรรคอันประกอบดวยองค ๘ ของภิกษุ คือความถึงพรอมแหงการ กระทาํ ไวในใจโดยแยบคาย (โยนโิ ส-มนสิการ) ฉนั น้ันเหมอื นกนั ” “ดูกอนภกิ ษทุ ง้ั หลาย เรายังไมเล็งเห็นธรรมอันอื่นแมสักอยางหน่ึง ซ่ึงจะเปนเหตุใหอริยมรรคอันประกอบดวยองค ๘ ที่ยังไมเกิด ยอมเกิดข้ึน หรือที่เกิดขึ้นแลว ยอมถึงความเจริญบริบูรณ เหมือนความถึงพรอม แหง การกระทาํ ไวใ นใจโดยแยบคาย (โยนิโส-มนสิการ) เลย” ใน อวิชชาสูตร อังคุตตรนิกาย ทสกนิปาต ยมกวรรค พระผูมี พระภาคเจาทรงตรัสเรื่อง อาหาร (ปจจัย) ของโยนิโสมนสิการ และ อโยนิโสมนสกิ าร ไว มีความโดยสรุปดงั นี้ การไมคบสัตบุรุษท่ีบริบูรณ ยอมทําให ไมไดฟงพระสัทธรรมที่ บริบูรณๆ ยอมทําให ไมมีศรัทธาที่บริบูรณๆ ยอมทําให อโยนิโสมนสิการ บริบูรณๆ ยอมทําให ไมมีสติสัมปชัญญะท่ีบริบูรณๆ ยอมทําให ไมสํารวม อินทรียท่ีบริบูรณๆ ยอมทําให ทําทุจริต ๓ ท่ีบริบูรณๆ ยอมทําให มนี วิ รณ ๕ ทบ่ี ริบรู ณๆ ยอมทําให อวิชชาบริบูรณ การคบสัตบุรุษท่บี ริบรู ณ ยอมทาํ ให ไดฟง พระสัทธรรมที่บริบูรณๆ ยอมทําให มีศรัทธาบริบูรณๆ ยอมทําให โยนิโสมนสิการบริบูรณๆ ยอมทําใหสติสัมปชัญญะบริบูรณๆ ยอมทําให สํารวมอินทรียบริบูรณๆ ยอมทําให ทําสุจริต ๓ บริบูรณๆ ยอมทําให สติปฏฐาน ๔ บริบูรณๆ ยอม ทําให โพชฌงค ๗ บริบูรณๆ ยอ มทาํ ให วิชชาและวมิ ตุ ตบิ ริบรู ณ 38
ปฏิจจสมุปบาท สําหรับคนรนุ ใหม ใน ปฐมปาสสูตร สังยุตตนิกาย สคาถวรรค ขอ ๔๒๕ พระผูมี พระภาคเจาทรงตรัส ยกยองใหความสําคัญสูงสุดในโยนิโสมนสิการ ไดแก การตรกึ การคดิ ทีแ่ ยบคาย การคิดทฉี่ ลาดไวดังนี้ “ดูกอนภิกษุทั้งหลาย ความหลุดพนอยางยอดเยี่ยม เราทําให แจง แลว เพราะโยนโิ สมนสกิ าร เพราะโยนิโสสัมมัปปธาน ดูกอนภิกษุท้ังหลาย แมเธอท้ังหลาย ก็จงบรรลุอยางยอดเยี่ยม เพราะโยนิโสมนสิการ เพราะโยนโิ สสมั มปั ปธาน” เปนท่ีรูกันทั่วไปวา อริยมรรคมีองค ๘ คือมัชฌิมาปฏิปทา ทาง สายกลาง อันดําเนินไปสูความพนทุกขน้ัน สามารถสรุปรวมลงในสิกขา ๓ กลาวคือ ศีล สมาธิ และปญญา และเม่ือยนยอลงเปน ๒ แลวก็ไดแก สมถะ และวิปสสนา ฉะนั้นพึงเขาใจวา การเจริญวิปสสนา การเจริญสติปฏฐาน การเจริญอริยมรรคมีองค ๘ การเจริญธัมมวิจยสัมโพชฌงค การบําเพ็ญ ปญ ญาสิกขา การทําปรญิ ญากิจเพื่อรอบรูในอุปาทานขันธ ๕ แมมีพยัญชนะ ตา งกนั แตก ม็ คี วามหมายเหมอื นกนั คอื เปน เรือ่ งของ “วปิ ส สนา” ท้ังสนิ้ วิปส สนาญาณ ๙1 เม่ือเรามาดทู ี่หัวขอและความหมายของ วิปส สนาญาณ ๙ คือ วิปสสนาญาณ ๙ = ญาณในวิปสสนา, ญาณที่นับเขาในวิปสสนา หรือท่ีจัดเปนวิปสสนา เปนความรูที่ทําใหเกิดความเห็นแจง เขาใจสภาวะ ของสิ่งทั้งหลายตามเปนจริง ๑. อุทยัพพยานุปสสนาญาณ = ญาณอนั พจิ ารณาเห็นความเกิด และความดับ โดย พิจารณา ความเกิดขึ้นและดับไปแหงเบญจขันธ จนเห็น ชัดวา (ความเห็นแจงโดยใจ ไมใชการเห็นภาพ) ส่ิงท้ังหลายเกิดข้ึน ครั้นแลว กต็ องดบั ไป ลว นเกดิ ข้ึน แลวกด็ บั ไปทั้งหมด 1 ขุ.ปฏิ. ๓๑/๑/๑ ; วิสุทธ.ิ ๓/๒๖๒-๓๑๙ ; สังคห. ๕๕. 39
พระภาสกร ภูรวิ ฑฺฒโน (ภาวไิ ล) ๒. ภังคานุปสสนาญาณ = ญาณอันคํานึงเห็นความสลาย เม่ือ เห็นความเกิดดับ เชนนั้นแลว คํานึงเดนชัด ในสวนความดับ อันเปนจุด จบสิ้น กเ็ หน็ วาสังขารทั้งปวง ลวนจะตองสลายไปทัง้ หมด ๓. ภยตูปฏฐานญาณ = ญาณอันพิจารณาเห็นสังขาร ปรากฏ เปนของนากลัว เม่ือ พิจารณาเห็น ความแตกสลายอันมีท่ัวไป แกทุกส่ิง ทุกอยาง เชนน้ันแลว สังขารทั้งปวง ไมวาจะเปนไปในภพใดคติใด ก็ปรากฏ เปน ของนา กลวั เพราะลว นแตจะตองสลายไป ไมปลอดภยั ทงั้ สน้ิ ๔. อาทีนวานุปสสนาญาณ = ญาณอันคํานึงเห็นโทษ เมื่อ พิจารณาเห็น สังขารทั้งปวง ซึ่งลวนตองแตกสลายไป เปนของนากลัว และ ไมปลอดภัยทั้งส้ินแลว ยอม คํานึงเห็น สังขารทั้งปวงนั้นวา เปนโทษ เปนสิ่งที่มคี วามบกพรอง จะตอ งระคนอยูดวยทุกข ๕. นิพพิทานุปสสนาญาณ = ญาณอันคํานึงเห็นดวยความหนาย เม่ือ พิจารณาเห็น สังขาร วาเปนโทษเชนนั้นแลว ยอมเกิดความหนาย ไมเพลินติดใจ ๖. มุญจิตุกัมยตาญาณ = ญาณอันคํานึงดวยใครจะพนไปเสีย เมื่อหนา ยสังขารทงั้ หลายแลว ยอ มปรารถนาท่ีจะพนไปจากสงั ขารเหลานน้ั ๗. ปฏิสังขานุปสสนาญาณ = ญาณอันคํานึงพิจารณาหาทาง พนไปเสีย เม่ือตองการจะพนไปเสีย จึงกลับหันไป ยกเอาสังขารท้ังหลาย ขึ้นมาพิจารณา กําหนดดวยไตรลักษณ เพื่อมองหาอุบายท่ีจะปลดเปลื้อง ออกไป ๘. สังขารุเปกขาญาณ = ญาณอันเปนไปโดยความเปนกลาง ตอ สงั ขาร เมื่อ พิจารณาสังขาร ตอไป ยอมเกิดผล คือ ความรูเห็นสภาวะ ของสังขาร ตามความเปนจริง วามีความเปนอยูเปนไปของมันอยางนั้น เปนธรรมดา จงึ ปลงตกวางใจเปนกลางได ไมยินดียินรายในสังขารทั้งหลาย แตน้ัน มองเห็นนิพพานเปนสันติบท ญาณจึงแลนมุงไปยังนิพพาน เลิกละ ความเกยี่ วเกาะกบั สงั ขารเสยี ได 40
ปฏิจจสมุปบาท สําหรบั คนรนุ ใหม ๙. สัจจานุโลมิกญาณ (อนุโลมญาณ) = ญาณอันเปนไปโดย อนุโลม แกก ารหยงั่ รอู รยิ สัจ เมือ่ วางใจเปนกลาง ไมพะวงตอสังขารท้ังหลาย และญาณแลนตรงสูนิพพานแลว ญาณอันคลอยตอการตรัสรูอริยสัจ ยอมจะ เกิดขน้ึ ในลําดับถัดไป เปน ขัน้ สดุ ทายของวิปส สนาญาณ เราจะเห็นไดวา ญาณทั้งหลายในวิปสสนาญาณน้ัน ลวนแลวแต เปนญาณอันประกอบดวยการ นึก คิด (คํานึง) พิจารณา ท้ังสิ้น ไมใช แตการ เพียรเพง ตามดู รูอยู เฉยๆ เทาน้ัน ฉะนั้นเพ่ือความเขาใจชัดเจน ในเรื่อง “การนึก-คิด-พิจารณา” วาเปนการปฏิบัติ “วิปสสนากัมมัฏฐาน” อยา งไร ขอใหเรามาวเิ คราะหพ ฤติกรรมการทํางานของจิตกันกอน ดงั นี้ การนึก คดิ และพิจารณา จิต คือธาตุรู ธรรมชาติของจิตคือการรู ส่ิงที่ถูกจิตรูเรียกวา อารมณ… โดยธรรมชาติ จิตของเราจะเปนท่ีรวบรวมไวดวยความรู หรือ ขอมูลท่ีจิตเคยรับรูเอาไว อยางมากมายมหาศาล ซึ่งขอมูลในจิตเหลาน้ัน ในภาษาบาลีรวมเรียกวา วิญญาณ ซ่ึงแปลเปน ภาษาไทยวา ความรู และใน ขณะเดียวกัน จิตก็มี กิริยาการรับรู ซึ่งบาลีก็เรียกวา วิญญาณ ดวยเชนกัน ทําหนาที่รูผานชองทาง (อายตนะ) ตางๆ คือ ตา หู จมูก ล้ิน กาย ใจ แลวบันทกึ ตรงเขา สูใ จตลอดเวลา นอกจากนี้ จิตยังมี สัญญา คือ กิริยาความจําไดหมายรู ไดแก ความสามารถในการนึก คือ ดึงขอมูลเกา ที่จิตเคยจดจํา บันทึก บัญญัติ ตีราคา หรอื ใหคุณคาเอาไว ข้ึนมาใหรบั รูใหม แตส่ิงทเี่ กิดขึ้น ไมใชจะเปนเพียงการรับรูเฉยๆ เทานั้น แตจิตจะมี สังขาร คือ กิริยาการปรุงแตง ไดแกการ คิด พิจารณา และตัดสิน ทั้ง วิญญาณ คือขอมูลฝายท่ีมันไดรับเขามาใหม และ สัญญา คือขอมูลเกา ท่ีมันนึกขึ้นมาได จากที่เคยจดจํา บันทึก บัญญัติ ตีราคา ใหคุณคาเอาไวนั้น และเกดิ การตัดสินใหมต อขอ มลู ทัง้ หลายท่เี ขา มาประกอบรว มกัน 41
พระภาสกร ภูริวฑฺฒโน (ภาวไิ ล) ทําใหเกิดผลเปน เวทนา คือปฏิกิริยาการเสวยอารมณข้ึน เปน ความพอใจ (สุข) หรือไมพอใจ (ทุกข) หรือเปนกลางๆ ไมสุขไมทุกข ดวย อํานาจปญญาที่รูเทาทัน (อุเบกขา) หรือแมในบางครั้งก็เปนกลาง ดวยยัง ไมรู ยังไมสนใจ ยังตัดสินไมไดวาจะพอใจดีหรือไมพอใจดี (อทุกขมสุข) ในขณะเดียวกัน จิตก็จะบันทึกผลจากการนึกคิดปรุงแตงเหลานี้เขาสูใจ ในฐานะเปนวิญญาณ ความรูใหม ทับถมซอนลงในวิญญาณความรูที่มีอยู แตเ ดิมลงไป อยา งไมรูจกั จบจกั ส้นิ การนึก คือ สัญญา (ความจําไดหมายรู) หรือการระลึกได เปนการเรียกขอมูลความรู ท่ีบันทึกอยูในจิตแตเดิมแลวขึ้นมาใชงาน เพ่ือ ประกอบกับการคิด การพิจารณา ในการตัดสินใจ หรือใหคุณคาคร้ังใหมๆ ท่ีมีตอสิ่งที่รับรูเขามาใหม ทางตา หู จมูก ล้ิน กาย หรือแมแตเพียงเฉพาะ ขอ มลู ความรูท่จี ติ จดจําบันทกึ ไวแ ตเดิมน้ัน การคิด คือ สงั ขาร หรือกิริยาการปรุงแตงของจิต เปนการทํางาน ของจิต ที่มีตอขอมูลที่จิตรับเขามาใหม นํามาประมวลเขากับขอมูลเกาที่มี สัญญา ความจําไดหมายรู ระลึกนึกขึ้นได จนเกิดเปนการตัดสินคุณคาของ สิ่งตางๆ ที่มันไดรับรูมานั้น และในขณะเดียวกัน ผลของการคิด ก็จะกลาย เปนความรใู หมท่บี ันทึกเขา สูใจ ในฐานะวิญญาณความรใู หมของใจ การพิจารณา คือ การคิดตอเน่ือง หรือการคิดหลายๆ ครั้ง หลายๆ ข้ันตอน หลายๆ แงมุม จนเกิดความรูความเขาใจเพิ่มข้ึน หรือ จนกระท่ังเขาใจลึกซ้ึงในสิ่งท่ีพิจารณาน้ัน ซ่ึงตลอดเวลาท่ีมีการพิจารณา ก็ จะตอ งมี สัญญา การดงึ เอาขอ มลู เกา ที่สง่ั สมไวเดมิ ในแงมมุ ตา งๆ มากมาย เขามารวมในการคิดพิจารณาน้ันดวย ในการน้ีอาจเรียกไดวา เปนการเขา “เคลา” อยางลุมลึก กับอารมณของจิต ภาษาบาลีเรียก โยนิโสมนสิการ การพจิ ารณาโดยแยบคาย วิตก เปนภาษาบาลี หมายถึงความตรึก หรือตริ ไดแกการยกจิต ขน้ึ สูอ ารมณ การคิด การดําริ 42
ปฏจิ จสมุปบาท สําหรบั คนรุน ใหม สวนคําวา วิจาร หมายถึงความตรอง การพิจารณาอารมณ การตามฟนอารมณ ฉะน้ัน เมื่อนํามาเปรียบเทียบกัน คําวา วิตกวิจาร นั้น จึงหมายถงึ การ คิด และพจิ ารณา นั่นเอง การเกิดขึ้นของความรู เม่ือมีการนึก คิด และการพิจารณาเกิดข้ึน ผลลัพธท่ีไดออกมา ก็คือความรู แตความรูที่ไดมาน้ัน จะเปนความรูท่ีถูกตองเปน สัมมาทิฏฐิ หรือไมถูกตอง คือเปน มิจฉาทิฏฐิ ก็ข้ึนอยูกับวา ความรูเหลาน้ัน สอดคลอง หรอื ขัดแยง กบั ความเปนจริงที่แทจรงิ ของธรรมชาติ นอกจากนี้ความรูตางๆ ก็มีความเชื่อมโยงระหวางกัน ความรูท่ี เกิดขึ้นใดๆ จึงมักเปนการแทนคาของความรูอีกหลายๆ ประการ ดังเชน ความรูที่เกิดจากการคิดพิจารณา ก็จะเปนผลรวมของความรูท่ีเรานํามา ประกอบในการคิดพิจารณานั้นๆ ยกตัวอยางเชน ถาเราไมเคยเห็นตนกุหลาบ เม่ือมีใครนําเอาตนกุหลาบมาใหพิจารณา เราก็จะพบวา ตนกุหลาบมี องคประกอบตางๆ มีดอก ใบ ก่ิง กาน และหนามแหลมคม ซ่ึงท่ีกลาวมานั้น ก็เปนลักษณะเฉพาะตัวของตนกุหลาบ ฉะน้ันในคราวตอไป เมื่อมีใครพูด ถึงตนกุหลาบ เราจะเขาใจไดทันที เพราะเปนส่ิงท่ีเราเคยพบเห็นและ พิจารณามาแลว โดยไมต องนกึ ภาพดอก ใบ ก่ิง กาน และหนามอันแหลมคม ของมัน ข้ึนมาในใจทั้งหมดอีก ฉะนั้น เม่ือมีใครพูดถึงตนกุหลาบ เราก็ สามารถเขาใจทันที และผานไปสูเรื่องอื่นไดเลย ในจิตของเราจึงเต็มไปดวย วิญญาณ ความรูในลักษณะเชนน้ี คือแตละความรูนั้น ก็จะเปนโยงใยของ ความรูตางๆ หลายๆ ความรู ที่เชื่อมโยงถึงกัน กลาวคือ การท่ีเรากลาววา เรารูชัดเจน หรือรูแจงในเรื่องใดเร่ืองหน่ึง ก็หมายความวา เรารูถึงความ เช่อื มโยงของสง่ิ ที่เรารนู ัน้ กับความรูอน่ื ๆ อกี มากมาย ซ่งึ วิญญาณคือความรู แบบรวบยอดสําเร็จรูปน้ีเอง ท่ีมาทําหนาท่ีเปน สติ และ สัมปชัญญะ คือ ความระลึกและรู (แบบสําเร็จรูปและพรอมใชงาน) ไดอยางทันเวลาทันทวงที ดังคาํ จํากัดความของ สต-ิ สมั ปชัญญะ ตอ ไปนี้ 43
พระภาสกร ภรู วิ ฑฺฒโน (ภาวไิ ล) สติ คืออะไร? สติ คือ ความระลึกได, นึกได, ความไมเผลอ, การ คุมใจไวกับกิจ หรือ กุมจิตไวกับส่ิงท่ีเก่ียวของ, จําการท่ีทําและคําท่ีพูดแลว แมนานได สัมปชัญญะ คืออะไร? สัมปชัญญะ คือ ความรูตัวท่ัวพรอม, ความรูตระหนัก, ความรชู ดั เขาใจชัด ซงึ่ สิ่งทีน่ ึกได อีกประการหน่ึงท่ีสําคัญ คือ ความรู ไมวาจะเปนความรูใหม หรือ ความรูเกาท่ีมีอยูเดิมในจิตของเราน้ัน ควรท่ีจะสอดคลอง กลมกลืน และ ไมขัดแยงกันดวย แตถาหากความรูท่ีเรารับเขาไปใหม เกิดไปขัดแยง คือ ไมลงรอยกับความรูท่ีมีอยูแตเดิม แนนอน ความสงสัย งุนงง ไมเขาใจ หรือไมยอมรับก็จะเกิดขึ้น ซ่ึงเราก็จะตองใช สัญญา ความจําไดหมายรู คนหาขอมูลอื่นๆ จากสวนลึกของใจ หรือมี วิญญาณ รับรูขอมูลจาก ภายนอกเขามาใหมทาง อายตนะ คือ ชองทางรับรู เพ่ือเอามาทําหนาที่ เชื่อมตอ ใหระบบความรูของเราที่ถูกรบกวนจนสับสนวุนวายนั้น เขาสูความ เปนอนั หนง่ึ อันเดียวกนั ปญหาอยูท่ี วิญญาณ คือความรูที่เราสะสมไวนั้น จะเปนความรู ที่ถูกตองหรือไมถูกตอง เปนความรูที่สอดคลองกับความเปนจริงในธรรมชาติ หรือเปนความรูที่ขัดแยงกับความจริงของธรรมชาติ ถาความรูเดิมของเรา เปนความรูท่ีผิด และขัดแยงกับธรรมชาติ เราจะทําอยางไรกับสิ่งที่เขามาใหม แนนอนการคัดเลือก ตัดสิน เปรียบเทียบ และพิสูจนทราบในความรูใหม ก็เกิดข้ึน โดยการใช สัญญา ดึงเอาความรูที่มีอยูเดิม ขึ้นมาสอบสวน (โดยทั่วไป เปนการรับรูและจดจําไวท้ังสองกรณี ท้ังความรูท่ีมีอยูเดิม และ ความรูที่เขามาใหม โดยไมทันไดนํามาเปรียบเทียบตัดสิน ฉะน้ันความรู ที่สั่งสมไวในจิตของคนทั่วไป จึงเปนโมหะความหลง เปนความสับสนไมเขาใจ ท่ีคั่งคางอยูในจิต อันเปนปญหาสําคัญ ของมนุษยในยุคสมัยแหงขาวสาร ขอมลู นี)้ 44
ปฏิจจสมปุ บาท สาํ หรบั คนรนุ ใหม การตดั สนิ ใจ เม่ือมีความรูใหมเกิดข้ึน ส่ิงที่จะเกิดข้ึนตามมาก็คือ การตัดสินใจ เพราะมีสัญญา ความจําไดหมายรู ในวิญญาณ ความรูเห็นจดจําท่ีมีอยูเดิม วาส่ิงนี้จะทําใหเกิดความสุข ส่ิงนี้จะทําใหเกิดความทุกข สิ่งใดท่ีทําใหเกิด ความสุข ก็เกิด ราคะ ความกําหนัดยินดีในส่ิงนั้น ครั้นเกิดความกําหนัด ยินดีข้ึนในสิ่งน้ันแลว กามตัณหา ความปรารถนาตองการท่ีจะได ในสิ่ง เหลานั้น ก็จะเกิดตามขึ้นมา เพ่ือหวังมาปรนเปรอตามชองทางรับรู อยางท่ี มันเคยไดรับรู คร้ันเม่ือมีความปรารถนาตองการมากขึ้น คือมันตองการที่ จะไดมาบอยๆ และมากข้ึนๆ จิตจึงเกิด ภวตัณหา ความตองการในความ เปนเจาของ ในความเปนผูมีฐานะ ตําแหนง ยศถาบรรดาศักดิ์ตางๆ อันจะ เอือ้ อํานวยใหไดม าโดยงายซึ่ง กามตณั หา อันเปน ทป่ี รารถนาน้นั ๆ แตถาเกิดรูเห็นวา ใคร หรือสิ่งใด จะทําใหเกิดทุกข หรือเปน อุปสรรคแกการไดมาซ่ึงสิ่งบําเรอกามอันเปนท่ีปรารถนาน้ันๆ หรือขัดขวาง ตอการมีบทบาทฐานะ ในความเปนเจาของ ในความมีฐานะ ความมี ตําแหนง ความมียศถาบรรดาศักดิ์ตางๆ ท่ีตนตองการ ก็จะทําใหเกิด ปฏิฆะ ความครุนขัดใจ ความแคนเคืองข้ึงเคียด และความหมนหมองใจ จนทําใหเกิดความไมพอใจในภพหรือสถานะท่ีเปนอยู จิตจึงเกิด วิภวตัณหา ความทะยานอยากในวิภพ อยากในความไมเปนน่ันเปนนี่ หรืออยากให พรากพนดับสญู ไปเสยี ตราบใดก็ตาม ที่ความรูท่ีเกิดข้ึนมาจากการ นึก คิด พิจารณานั้น ยังเปนสาเหตุใหเกิดการต้ังคุณคาที่ผิด (อวิชชา) ในส่ิงตางๆ กลาวคือ รูป เสียง กลิ่น รส และสัมผัสทั้งหลาย รวมทั้งรูป หรืออรูป อันเปนอารมณ ที่ต้ังของใจใดๆ ที่ใจยังยึดมั่นและใหคุณคาอยู อุปาทาน ความยึดถือในส่ิง เหลาน้ัน ก็จะเกิดข้ึน แลวประมวลกันข้ึนเปน ภพ คือท่ีอยู ที่ยึดเหนี่ยวของใจ ใหติดอยู ขังอยู ยากแกการท่ีจะสละละทิ้งไปได เม่ือมีภพเปนท่ีอยูของใจ ชาติ คือการเกดิ ของใจทย่ี ดึ เหน่ยี วในภพดงั กลาวกห็ นไี มพ น 45
พระภาสกร ภรู ิวฑฒฺ โน (ภาวิไล) แลว ชรา มรณะ โสกะ ปริเทวะทุกข โทมนัส อุปายาส ของ สิ่งที่ใจยึดเหน่ียวเหลานั้นก็ตามมา อันเปนไปตามกฎพระไตรลักษณ ซ่ึงเปน สภาวะทแ่ี ทจ รงิ ของสรรพสง่ิ ทใ่ี จหลงไปยดึ เหนี่ยว ไปใหค ุณคาผิดๆ ท่ีไมมี อยจู รงิ (อวิชชา) ในส่งิ ตางๆ เหลานั้น ท้ังหมดท่ีแสดงมาจนถึงบัดน้ี คือพฤติกรรมการทํางานโดยคราวๆ ของจิต ฉะน้ัน… อะไรเลา… คือการปฏิบัติวิปสสนากัมมัฏฐาน เพื่อการ หลุดพน อะไรเลา… คือส่ิงที่จะเรียกไดวาเปนการบรรลุธรรม จนสามารถ กําจัด ตัดกเิ ลสไดเ ปน สมจุ เฉทปหาน กเ็ พราะวา อวิชชา คือมหาเหตุของกิเลส คือความโลภ โกรธ หลง ซ่ึงครอบคลุมจิตใหเศราหมอง แลวอวิชชาคืออะไร ส่ิงท้ังหลายที่เรียกวา อวิชชา อันเปนเหตุลากจูงเราทั้งหลาย ใหเวียนวายตายเกิดมานานนับภพ นับชาติไมถวนน้ัน ก็คือ การไมรูแจงตามความเปนจริง ของสิ่งที่มีอยู เปนอยู จึงสงผลใหเกิด อุปาทาน ความยึดถือ ความยึดมั่นถือม่ัน การตั้ง คณุ คาทผี่ ดิ ใหก ับสงิ่ ทไี่ มไ ดมคี ุณคา อยา งแทจ รงิ กส็ ่ิงเหลา นีไ้ มใ ชหรอื คือกายภายใน กายภายนอก ที่เราไปตั้งคุณคา ตีราคา วามันเปนท่ีต้ังท่ีมาของความสุข หรือความทุกขประการตางๆ เราสุข เพราะสมหวังในส่ิงที่ปรารถนาที่ใหคุณคาเหลาน้ัน เราทุกข เพราะ ผิดหวัง หรือตองสูญเสียในคุณคาเหลานั้น แลวส่ิงเหลานั้น มันมีคุณคา เชน น้ัน จริงๆ หรือ? หัวขอวิปสสนาท้ังหลาย ท่ีพระศาสดาสัมมาสัมพุทธเจา ไดทรง แสดงไวใหเราดําเนินจิต นึก คิด พิจารณา คือโยนิโสมนสิการนั้น ก็คือการ เขาไปประจักษใน อุปาทาน คือ คุณคาจอมปลอมทั้งหลายที่เราเคยตั้งไว ทั้งในกายภายใน กายภายนอก ในเวทนาทั้งหลาย ท้ังภายในภายนอก ท่ีนํามาซึ่ง สุข ทุกข หรือความไมสุขไมทุกข ก็เพราะหลงไปผูกติด เชอ่ื มโยง เกี่ยวเน่ืองดว ยกายอนั เราต้งั คณุ คาท่ีผิดไวท งั้ สิน้ 46
ปฏจิ จสมปุ บาท สาํ หรบั คนรนุ ใหม จิตของเราหรือจิตของผูอื่นท้ังปวงก็เชนกัน ความท่ีจิตเหลานั้น หลงไปผูกพันยึดมั่น ใหคุณคาจอมปลอมไวกับกายของตนและกายอ่ืนๆ จึงตองมากระทบกระทัง่ เศราหมอง สั่นสะเทอื นไปตามความกระทบกระท่ัง ทัง้ หลายเหลา นัน้ กธ็ รรมท้งั หลาย คอื ความจริงของธรรมชาติและชีวิต ทั้งที่ เกิดข้ึนแกเราหรือผูอ่ืน รวมทั้งส่ิงอื่นๆ ทั้งหลายภายนอก ก็ลวนเปนธรรม เดียวกัน คือความเปนไปภายใตกฎพระไตรลักษณ อันมีสามัญลักษณะ คือ ความเกิดข้นึ ตั้งอยู และดับไปเชนเดียวกนั กาย เวทนา จิต ธรรม อันเปนหัวขอแหง สติปฏฐาน จึงหมายถึง การที่เราตองเขาไปทําความระลึก (สติ) ใหเห็นถึงภาวะตามความเปนจริง ของ กาย ท้ังหลาย เวทนา ความรูสึกสุข ทุกข ไมสุขไมทุกขทั้งหลาย จิต และอาการอันเน่ืองดวยจิตท้ังหลาย และความเปนไปตาม ธรรม อันสมํ่าเสมอ กนั ของชีวิตทัง้ หลาย ทงั้ ภายในคอื ในกายของเรา ท้ังภายนอกคือในกายของ คนอื่นสัตวอ่ืน เพ่ือเปนการรวบรวมขอมูลท่ีถูกตอง ตรงตามความเปนจริง ของโลกและชีวิต แลวนําไปเปนวัตถุดิบใหแกการปฏิบัติวิปสสนา คือการ นึก คิด และพิจารณาโดยแยบคายไปตามความเปนจริงภายใตกฎไตรลักษณ อันจะสงใหเกิดผลท่ีมุงหวัง คือการที่ใจประจักษแจง ยอมรับความจริงแท ท่ีมีอยปู ระจาํ โลก คอื ความเปนไปตาม กฎไตรลกั ษณ นน้ั น่ันเอง การเขาเผชิญหนากับความเปนจริง และการตีแผความจริงให ปรากฏแกใจ ส่ิงเหลาน้ีคือหนาท่ีของวิปสสนา แลวความจริงเหลานั้นมิใช อะไรอนื่ คอื สภาวะความเปน ไปภายใต กฎไตรลักษณ ไดแก อนิจจัง ความ เปล่ียนแปลง ความคงท่ีอยูไมได ทุกขัง ความที่ไมมีใครจะไปฝนใหเปนไป ดังใจปรารถนาตองการได และความเปน อนัตตา ความหาตัวตนเราเขา ท่ีแทจริงไมได แตเพราะอวิชชา คือการไมรูแจงตามความเปนจริงของสิ่งที่ มีอยูเปนอยู ซ่ึงสงผลใหเกิดการตั้งคุณคาในสิ่งที่ไมมีคุณคาอยางแทจริงนั้น ไดมาปกคลุมปดบังใจของเราไว เราจึงหลงไปยึดติด ใหคุณคา และ ทะยานอยาก ไปในคุณคา เหลา นั้น อยางไมล ืมหูลมื ตา 47
พระภาสกร ภูริวฑฒฺ โน (ภาวิไล) นอกจากนี้พระศาสดายังทรงยํ้าแลวย้ําอีกวา สัจธรรมท่ีพระองค ทรงคนพบ ก็คือ อริยสัจ ๔ ความจริงอันยิ่งแหงชีวิต ๔ ประการ ไดแก ทุกข ความที่ชีวิตเต็มไปดวยความขัดของ ไมเปนไปดังใจปรารถนา สมุทัย สาเหตุแหงทุกข เน่ืองมาจากตัณหาความทะยานอยาก ดวยอํานาจแหง อวชิ ชา นิโรธ ความพนไปจากทุกขอยางสิ้นเชิง คือพระนิพพานนั้นมีอยูจริง และ มรรค หนทางอันจะนําไปสูความพนทุกขได ก็คือมรรคมีองค ๘ ซึง่ สามารถสรุปลงไดใ น ไตรสกิ ขา คอื ศีล สมาธิ และปญญา ฉะนั้นการปฏิบัติ วิปสสนากัมมัฏฐาน (นึก คิด พิจารณา โดย แยบคาย) เพื่อความหลุดพน ตามหลักในทางพระพุทธศาสนา ก็คือการ ปฏิบัติในหลัก ศีล สมาธิ ปญญา โดยมี สติปฏฐาน ๔ เปนกระบวนการ ในการปฏิบัติเพ่ือความหลุดพนท่ีสมบูรณแบบ ดวยการรวบรวมขอมูล ขอเท็จจริงของโลกและชีวิต แลวนํามาพิสูจนวิเคราะหโดยขบวนการวิปสสนา (นึก คิด พิจารณาโดยแยบคาย) ตีแผความจริงของส่ิงที่มีอยู คือธรรมชาติ นั้นๆ ใหปรากฏแกใจ จนประจักษในความเปนไปของสรรพสิ่ง ที่มีการ เกิดข้ึน ดํารงอยู และแตกดับไป ตามกฎไตรลักษณ ประจักษชัดถึงภาวะ ทุกขท่ีมีอยูประจําชีวิต จนเกิดความหนาย คลายความกําหนัด คลายความ กอดรัดของใจ ท่ีเคยลุมหลง ใหคุณคาผิดๆ ที่ไมมีอยูจริง กับสรรพส่ิง ทั้งหลาย ไมวาจะเปน รูป เสียง กล่ิน รส สัมผัส ทั้งภายในภายนอก ไมวา จะเปนกายของตน หรือกายของใครๆ ใจไดประจักษชัดแลววา คุณคา จอมปลอมเหลานั้นมันมิไดมีอยูจริง หรือมีคาจริงๆ อยางที่เคยหวัง เคยตั้ง ราคาใหกับมัน จิตจึงเปนอิสระ หมดความกังวล ไมยึดเหน่ียว ใหคุณคากับ สิ่งใดๆ อีก นอกจากพระนิพพาน จิตมีนิพพานเปนอารมณ แลวสลัดออก หลุดพน ไปจากสิง่ ที่เกยี่ วเกาะรอยรดั ท้งั หลายท้ังปวง 48
ปฏิจจสมปุ บาท สาํ หรบั คนรนุ ใหม เหตุเพราะตปี ญ ญา ๓ ไมแตก ที่พรรณนามาทั้งหมด เกี่ยวกับการนึก คิด พิจารณา, การเกิดข้ึน ของความรู, การตัดสินใจ และโยงใยมาจนถึงการปฏิบัติวิปสสนา (การนึก คิด พิจารณาอยางถูกตองแยบคาย) ก็เพ่ือจะชี้ใหเห็นวา การเกิดข้ึนของ ความรู หรือปญญาในทางพระพุทธศาสนาน้ัน ตองดําเนินไปตามขั้นตอนท่ี พระพุทธองคไดทรงแสดงไว กลาวคอื “ปญ ญา ๓” อันไดแก สุตมยปญญา ๑ จนิ ตามยปญ ญา ๑ และภาวนามยปญ ญา ๑ ข้ันตอนท่ีเริ่มตนดวย “สุตมยปญญา” การเขาหา “กัลยาณมิตร” อันไดแก พระพุทธ พระธรรม พระสงฆ ครูบาอาจารย ผูมีความรูและ ประสบการณในการปฏิบัติดําเนินมากอน โดยนอมฟง จดจํา หลักธรรม คาํ สงั่ สอนเหลานั้น แลวจึง “โอปนยิโก” คือ นอมนํามานึก คิด พิจารณา ไตรตรอง วิตกวิจาร หาเหตุผล เทียบเคียงกับประสบการณดั้งเดิม อันไดรู ไดเห็น ไดยิน ไดกลิ่น ไดลิ้ม ไดสัมผัสมากอนแลวในสวนของตน ซ่ึงจัดเปน กระบวนการในสว นของ “จนิ ตามยปญญา” ครั้นเม่ือได “โยนิโสมนสิการ” คือ ดําเนินการ นึก คิด พิจารณา ไตรตรองโดยแยบคาย ไปตามคลองธรรมแหงกฎไตรลักษณ หรือ อริยสัจ ๔ (ปฏบิ ตั วิ ิปส สนา) จนเกิดความเห็นแจง ยอมรับ และประจักษใจตอความจริง อนั เปน กฎของธรรมชาติ ที่มีอยูเปนอยูของสรรพส่ิง กลาวคือ รูป-นาม ทั้งปวง วามีธรรมชาติอัน เกิด-ดับ เกิด-ดับ สืบสายตอเน่ืองกันไป ตามเหตุตาม ปจจัยที่เขามาประกอบกันแลวนั้น จิตก็จะเห็นชัดในความเส่ือมสลายของ สรรพสังขาร เห็นสังขารท้ังหลายปรากฏเปนของนากลัว เต็มดวยทุกขโทษ จนเกดิ ความหนา ยใครจะพน ไปเสยี จติ จงึ มาพิจารณาถึงคุณคาผิดๆ ท่ีตนเคยต้ังไวในส่ิงตางๆ อันเปน ตนเหตุของความยินดีพอใจทะยานอยาก ท่ีเปนเหตุลากจูง พาใหไปเวียนวาย ตายเกิด ตอภพตอชาติทุกขทรมานไมร จู กั จบจักส้ิน (เกิดวิปส สนาญาณ ๙) 49
พระภาสกร ภรู วิ ฑฺฒโน (ภาวิไล) เม่ือน้ันจิตก็จะปลงวาง คลายความยึดถือ คลายความกําหนัดยินดี ท่เี คยมี “อวิชชา” ใหค ณุ คาที่ผดิ ๆ ไวกับส่ิงท่ีไมมีคุณคาแทจริงทั้งหลาย เหลาน้ัน จนบังเกิดเปนผลสําเร็จ คือการละไดซ่ึงอวิชชา ตัณหา และ อุปาทาน… “กิเลส” คอื ความเศราหมองของจิต อันไดแก ความโลภ โกรธ หลง ก็ถูกลบลางทําลายหายสูญไป ดุจแสงอาทิตยสาดสองทําลายรัตติกาล อันมืดมิด… นี้จึงชื่อวาเปน “ภาวนามยปญญา” กลาวคือ ปญญาอันยัง ความสําเร็จใหเกิดขึ้น เพราะผลสําเร็จที่มุงหวังนั้น ก็คือ “ความหลุดพน ของใจ” จากกองกเิ ลสสิ่งเศรา หมองทั้งหลายน้นั นั่นเอง ปญหาสําคัญท่ีเกิดกับนักปฏิบัติในปจจุบัน คือการเขาใจผิดคิดวา “ภาวนามยปญญา” น้ัน เปนปญญาที่เกิดในสมาธิ (สมถะภาวนา) เปนผล ของการบําเพ็ญสมาธิอยางอุกฤษฏเทานั้น แตหาไดเปนเชนนั้นไม เพราะ ตราบใดที่จิตมกี ารกาํ หนดเพง ตามดู รอู ยูเฉยๆ โดยไมมี วิปสสนา คือการ นึก คิด พิจารณา ไตรตรองโดยแยบคาย ไปใน รูป-นาม จนเห็นแจง ไตรลักษณ คือการเกิดดับของรูป-นาม ทั้งหลายทั้งปวงนั้น ตราบนั้น… ภาวนามยปญญา คือปญญาท่ียังความสําเร็จท่ีมุงหวัง คือความรูแจงเห็นจริง ตามกฎไตรลักษณและความหลุดพน ก็เกิดข้ึนไมได มีแตจะเกิดอุปาทาน ความยึดม่ัน สรางภาพข้ึนมาหลอกตนเองวา ตนเห็นการเกิด-ดับ เกิด-ดับ ของ รูป-นาม เปนภาพหลอนใจ ดวยหลงทองจําญาณ ๑๖ มาลวงหนา แลวเพงเขาๆ โดยปรารถนาจะไดรับผลสําเร็จ คือญาณ ๑๖ ที่ตนจดจํา ทองไว จนขึ้นใจแลวน้ัน… จิตจึงหลอกจิต ดวยการสรางภาพข้ึนมา ทําให หลงทางไปเสียนักตอนักแลว เมื่อเริ่มตนมาผิดอยางน้ี แถมยังคอยดักจิต ไมใหนึก คิด พิจารณา ดวยการบริกรรม “คิดหนอๆ” เขาเสียอีก ก็เลย ปวยการท่ีจะกลาวถึงการไดญาณเทียมๆ ในลําดับตอๆ ไป เพราะนั่นก็เปน ภาพลวง ท่ีจิตหลอกจิตตอๆ มา… ญาณ ๑๖ ท่ีเอามาประกาศแตงต้ังกัน และกัน ก็เลยเปนญาณเทียมๆ เปนพระอริยะเทียมๆ พระอรหันตเทียมๆ สดุ ทายกอ็ นจิ จงั ถอยหลงั รูดลงๆ จนตองลาสิกขา สกึ ออกไปมากมาย 50
ปฏจิ จสมุปบาท สาํ หรบั คนรนุ ใหม สภาวธรรมท่ีถูกตองแทจริง คือ เมื่อปหานกิเลสไดแลว ไมวาจะ ทําลายสังโยชน1 (กิเลสที่ผูกมัด รอยรัดใจสัตวไวกับทุกข) ได ๓ อยางบาง (พระโสดาบัน) ๕ อยางบาง (พระอนาคามี) หรือทั้ง ๑๐ อยางบาง (พระ อรหันต ผูตัดกิเลสไดเด็ดขาดหมดส้ิน เปนสมุจเฉทปหาน) จิตของผูนั้นจะ รูชัดดวยตนเองเปนปจจัตตัง วากิเลส คือสังโยชนนั้นๆ ไดส้ินไปจากใจแลว ไมม อี ํานาจเหนอื ใจใหไปกอ เหตรุ อ ยรดั อันเพ่ิมพนู ทุกขเ ชนนั้นอีก ในกรณีของพระอรหันต ทานจะรูชัดแจงแกใจทานวา… โทมนัส คือทุกขทางใจทั้งหลายไดสิ้นไปแลว กิเลส สิ่งอันยังใจใหเศราหมองท้ังปวง ไดปหานไปดวยอริยมรรคมีองค ๘ จนหมดสิ้นแลว ภพชาติส้ินสุดลงแลว กิจเพ่ือกลับมาเวียนวายตายเกิดตอไปอีกไมมี จิตไดปลงวางภาระทุกอยาง ลงเปนอัตโนมัติ จิตจะไมย ดึ มั่นในสภาวธรรมทไี่ ดบรรลุนั้นแตอ ยางใด การปฏิบัติในหลัก สิกขา ๓ คือ ศีล สมาธิ ปญญา โดยมี ศรัทธา (สัทธา) เต็มเปยมไมคลอนแคลน ไมลังเลสงสัยในพระรัตนตรัย มี อธิษฐาน จิตแนว แน มงุ ม่ันเพื่อเปาหมายสูงสุดคือ พระนิพพาน ความหลุดพนจากทุกข อยางแทจริง อีกท้ังยังมี ทาน ที่เปนดุจเสบียงธรรมมาหลอเลี้ยง สนับสนุน ตอปจจัยภายนอก ใหเกิด สัปปายะ ความสะดวกสบายเหมาะสม เกื้อกูลตอ การปฏบิ ตั พิ ัฒนา ทัง้ หมดนี้เปนปจ จยั ทส่ี นับสนนุ ตอการปฏบิ ัติ วปิ สสนา 1 สังโยชน คอื กิเลสทผ่ี กู มดั รอยรดั ใจสัตวไวกับทกุ ข มี ๑๐ อยา ง คอื ก. โอรัมภาคิยสังโยชน คือ สังโยชนเบื้องต่ํา มี ๕ อยาง คือ (๑) สักกายทิฏฐิ ความเห็น วาเปนตัวของตน (๒) วิจิกิจฉา ความลังเลสงสัย (๓) สีลัพพตปรามาส ความถือม่ันศีลพรต (๔) กามราคะ ความตดิ ใจในกาม (๕) ปฏิฆะ ความกระทบกระทั่งใจ ข. อุทธัมภาคิยสังโยชน คือ สังโยชนเบ้ืองสูง มี ๕ อยาง คือ (๖) รูปราคะ ความติดใจรูปธรรมอันประณีต (๗) อรูปราคะ ความติดใจในอรูปธรรม (๘) มานะ ความ ถือวาตัวเปนน่ันเปนนี่ มีตัวตนเปรียบเทียบกับผูอ่ืน (๙) อุทธัจจะ ความฟุงซาน (๑๐) อวิชชา ความไมรจู รงิ หมายเหตุ พระโสดาบัน ละสังโยชน ๓ ขอตนได, พระสกิทาคามี ทําสังโยชนขอ (๔), (๕) ใหเบาบางลงดวย, พระอนาคามี ละสังโยชน ๕ ขอเบ้ืองตํ่า ไดห มด, พระอรหนั ตล ะสงั โยชนไ ดท้ังหมด ทง้ั เบ้อื งต่ําและสูง 51
พระภาสกร ภรู ิวฑฺฒโน (ภาวิไล) วิปสสนาญาณ ๙ และญาณ ๑๖ สรุปก็คือ การพิจารณารูแจง อริยสัจ ๔ สงเคราะหลงในกฎไตรลักษณ พิจารณาองคธรรมนั้นจนจบรอบ โดยการมี สติ สมาธิ และปญญาสมดุลกัน หน่ึงขณะจิตเดียวที่หยั่งถึง และ พิจารณาจบ ก็ไดช่ือวา ไดญาณท้ัง ๑๖ ชั้นครบถวน ไมใชไดกันเปนญาณๆ หรือไดเปนช้ันๆ อยางที่เอามาแตงต้ังกัน เพราะนั่นเปนสัญญาอุปาทาน เปนโมหะความหลงผิด เพราะถาไดสภาวธรรมที่เปนของแทแลว จะตอง เปน ปจ จัตตงั อันสามารถรเู องเหน็ เองไดดวยญาณปญ ญา ไมจําเปนตองให ใครมาชวยตัดสนิ ไมใชการตรกึ เอาตามอาการทีค่ าดหมายแตอ ยา งใด… เพราะฉะน้ัน จึงไมบังควรท่ีจะไปดูถูกดูหมิ่น “จินตามยปญญา” ก็เพราะเหตุวา จินตามยปญญา น้ีแหละ ที่เปนอาการของ “วิปสสนา” การนึก คิด พิจารณาไปตามคลองธรรมแหง กฎไตรลักษณ ที่เปนตัว “เหตุ” อันมี “พละ ๕” คือ ศรัทธา วิริยะ สติ สมาธิ และปญญา เปน “ปจจัย” อนั นําไปสผู ลสําเรจ็ กลาวคือ “ภาวนามยปญญา” ในท่ีสดุ อยาลืมวา “ภาวนามยปญญา” คอื ปญญาอันยังผลสําเร็จใหเกิดขึ้น ฉะนั้น ตราบใดที่ยังไมไดรับผลสําเร็จ ปญญาท่ีดําเนินอยูนั้น ก็ลวนแต เปน “สตุ มยปญ ญา” และ “จนิ ตามยปญ ญา” ทัง้ ส้ิน แลวคิด นึก พจิ ารณาอยา งไรเลา จึงเปนวปิ สสนา? จากหนังสือกรรมทีปนี เลมที่ ๒ โดยพระเดชพระคุณหลวงพอ พระพรหมโมลี หนา ๓๓๙-๓๔๐ ไดอา งความไวว า “วิปสสนา” น้ันสําเร็จรูปมาจากอรรถวิเคราะหที่วา ปฺจกฺขนฺเธสุ วิวิเธน อนิจฺจาทิ อากาเรน ปสฺสตีติ วิปสฺสนา ซึ่งแปลเปนใจความวา ปญญาใด ยอมเห็นแจงในอุปาทานขันธทั้ง ๕ ซึ่งมีรูปขันธเปนตน และมี วิญญาณขันธเปนปริโยสาน โดยอาการตางๆ คือ โดยอาการที่ปรากฏเปน อนิจจลักษณ เปนอาทิ ปญญานัน้ เรยี กชื่อวา “วิปส สนา” 52
ปฏจิ จสมุปบาท สําหรบั คนรุน ใหม นอกจากนี้ทานเจา คุณพระพรหมโมลียงั ไดย ํ้าไวอกี วา “บรรดาพระอริยมรรคอันประเสริฐสุดในพระบวรพุทธศาสนา คือ พระโสดาปตติมรรคญาณ พระสกิทาคามิมรรคญาณ พระอนาคามิมรรคญาณ และพระอรหัตมรรคญาณ จักอุบัติข้ึนในขันธสันดานแหงประชาสัตวในโลก ท้ังหลายได ก็โดยการบาํ เพ็ญวิปสสนากรรมฐาน ดวยวิธียึดเอาอุปาทานขันธ ๕ มาเปนอารมณ ตอง ตั้งสติ กําหนด พิจารณา อุปาทานขันธท้ังหลาย โดย กระทําไวในใจ ดวยอุบายอันแยบคาย (โยนิโสมนสิการ) เพื่อใหเห็น อปุ าทานขนั ธทงั้ หลาย เปนไปโดยอาการแหง ไตรลักษณเทา นัน้ ” ทั้งนี้จึงเปนการยืนยันวา “วิปสสนา” นั้น เปนการนึก คิด และ พิจารณาโดยแยบคาย ไปในขอบเขตของขันธ ๕ ใหเกิดความเห็นแจง ตามความเปนจริง กลาวคือพระไตรลักษณ ที่มีปรากฏอยูแลวเปนธรรมดา ใน “สังขาร” หรือสิ่งทีถ่ กู ปรงุ แตง ข้นึ มาทั้งหลาย แตไ ดถกู ความเห็นผิด คือ “อวิชชา” ครอบงาํ ไว ไมใ หเห็นแจง ตามความเปนจริง วปิ สสนา และเวทนาของวิปสสนา จากท่ีกลา ววา “วปิ ส สนา” คือสังขาร สภาพที่ปรุงแตง อัน ยังภพ ใหสิ้นไป เปนการฝกอบรมปญญา ใหเกิดความเห็นแจงรูชัดตรงตอความ เปนจรงิ ของสภาวธรรม, ปญ ญาทีเ่ ห็นไตรลักษณ อันถอดถอนความหลงผิด รูผิดในสังขารเสียได ซึ่งมี โยนิโสมนสิการ คือการพิจารณาโดยแยบคาย และ โอปนยิโก การนอมเขามาสูใจ จนเห็นแจงสภาวธรรมอันเปนไปตาม กฎไตรลกั ษณ เปนปจ จัยสาํ คญั ทา นอาจารย อบุ าสิกาเพียงเดอื น ธนสารพิพิธ ไดสรุปกระบวนการ ของ “วิปสสนา” ไว ใหชื่อวา “กฎของความสมดุล” โดยมีหลักใหญ ใจความวา คอื … “การคิดใหเปนระเบียบ พิจารณาหาเหตุผลต้ังแตตนจนจบ แลวนอ มลงสูไ ตรลกั ษณ” 53
พระภาสกร ภูริวฑฺฒโน (ภาวิไล) โดยอธิบายและช้ีแจงไวว า ๑. การคิดใหเปนระเบียบ หมายถึง เมื่อยกเรื่องใดเรื่องหน่ึง ข้ึนมาเปนองคธรรม ก็ใหนึกคิดพิจารณาเกี่ยวกับเรื่องน้ันเพียงเร่ืองเดียว ตอ เน่อื งไปตง้ั แตต นจนจบ ตัง้ แต (๑) การเกดิ ขน้ึ และเหตปุ จ จยั ทท่ี าํ ใหเ กิดข้นึ (๒) การดาํ เนนิ ท่ีผานมา และเหตปุ จจยั ที่อุปถมั ภก ารดาํ เนินมา (๓) การปรากฏในปจ จุบนั และเหตปุ จจัยทีอ่ ปุ ถัมภการปรากฏในปจจบุ ัน (๔) การดาํ เนินตอไป และเหตุปจ จัยที่อุปถมั ภแ กการดําเนินตอ ไป (๕) การเส่อื มสลาย และเหตปุ จ จัยทเี่ บยี ดเบยี นใหเ ส่อื มสลาย (๖) การสน้ิ สดุ และเหตุปจ จัยที่มาตัดรอนใหเกิดการสนิ้ สดุ (๗) แลว สรุปลงสูไตรลักษณ การนกึ คิด พิจารณาไปตั้งแตตน จนจบเชนน้ี จึงเทากับเปนการจัด ระเบยี บทางความคดิ เปนการทํามรรค คือเสนทางการปฏิบัติเพ่ือความหลุดพน ใหสอดคลอ งพรอ มเพรียง (สมังคี) กันไป ตั้งแตเ รมิ่ ลงมอื ปฏิบัตเิ ลยทีเดยี ว ๒. พิจารณาหาเหตุผลต้ังแตตนจนจบ แลวนอมลงสูไตรลักษณ ก็เชนกัน เปนการนํากฎธรรมชาติ มาตีแผใหใจไดรับรูอยางถองแท ถึงการ ที่วตั ถุธาตุ และสรรพชวี ิตทั้งหลาย ดํารงอยูภายใตก ฎธรรมชาตทิ ั้ง ๔ คือ (๑) กฎธรรมชาติแหงการกระทํา และผลจากการกระทําน้ันๆ ในการพจิ ารณาหาเหตผุ ลตัง้ แตต นจนจบ เรายอมเหน็ ชัดตามความเปนจรงิ วา พฤติกรรมใดๆ ท่ีบุคคล หรือสัตวไดกระทําเอาไว ลวนสงผลตอบสนองตอ บุคคล หรือสตั วท กี่ อ ใหเกดิ พฤติกรรมนั้นๆ เสมอ การกระทําใดๆ ที่ไมเบียดเบียนตอตนเองและผูอื่น ประกอบดวย กุศลคือญาณปญญา ไมประกอบดวยโลภะ โทสะ โมหะแลว ยอมสงผลให ผูกระทํานนั้ ไดรับผลเปนความสขุ 54
ปฏิจจสมปุ บาท สําหรับคนรนุ ใหม แตการกระทําใดๆ ที่มุงเบียดเบียนตนเองและผูอื่น ท้ังยังไม ประกอบดวยกุศล คือญาณปญญา อีกยังประกอบดวย โลภะ โทสะ โมหะ แลว ยอมสงผลใหผูกระทํานั้นไดรับผลเปนความทุกข น้ีก็คือการพิจารณา บคุ คล หรอื สรรพชีวิตทั้งหลาย ในความเปนไปภายใต กฎแหงกรรม น่นั เอง (๒) กฎธรรมชาติแหงความเปล่ียนแปลง ในการพิจารณาหา เหตุผลต้ังแตตนจนจบ แลวนอมลงสูไตรลักษณ เรายอมเห็น อนิจจตา ความเปนของไมเที่ยง เปล่ียนแปลงอยูเสมอ ไมอาจคงที่อยูได ทุกขตา ความเปนทุกข สภาวะขัดแยงอันเน่ืองดวยความไมเปนไปตามประสงค ตราบใดท่ีบุคคลยงั กอปรดวยความเห็นผิด ปฏิเสธ ไมยอมรับในความเปนจริง ของชีวิตและกฎธรรมชาติ โดยเฉพาะอยางยิ่งในความเปนอนิจจตา คือ ความเปนของไมเท่ียง ฉะนั้น ปฏิฆะ ความขัดแยง กระทบกระท่ัง เปนทุกข ยอมจะเกิดข้ึนตามมา น้ีก็เพราะมีการเปล่ียนแปลงน่ันเอง อนัตตตา ความ เปนของไมใชตน ในเม่ือสิ่งท้ังปวง มีสภาวะแปรเปล่ียนไปตามกาลเวลา ไมอาจยั่งยืนคงทนอยูได ไมสามารถดํารงอยูเปนที่พ่ึงพิงอิงอาศัยแกเราได สิ่งท้ังปวงจึงปราศจากสาระความมีตัวตน ท้ังหมดนี้เพราะมีการเปลี่ยนแปลง อันมีพื้นฐานมาแตกาลเวลา กลาวคือ อดีต อนาคต และความเชื่อมโยง แหงอดตี และอนาคตน่ันเอง น้ีก็คือการพิจารณาวัตถุธาตุและสรรพชีวิตท้ังหลาย ในความเปน ไปภายใต กฎไตรลกั ษณ น่นั เอง (๓) กฎธรรมชาติแหงความเปนเหตุเปนผล ใหเห็นชัดเจนวา วตั ถุธาตุและสรรพชีวิตท้งั หลาย ลว นอยูภ ายใตกฎของความเปนเหตุเปนผลน้ี ทั้งส้ิน ฉะนั้น ผลใดๆ ที่เกิดปรากฎขึ้นมา จะเกิดข้ึนมาอยางลอยๆ โดยท่ี ไมม ีปมีขลุย ไมไ ด จะตองมีสิ่งหนึ่งส่ิงใดเปนตนเหตุเสมอ ความทุกขก็เชนกัน เปนส่ิงที่อยูภายใตกฎธรรมชาติแหงความเปนเหตุเปนผลน้ีดวย ดังเชนท่ี เราพิจารณาวัตถุธาตุ และสรรพชีวิตท้ังหลาย ในความเปน อริยสัจ ๔ ซึ่งมี ทุกข สมุทัย นิโรธ และมรรค เปน องคแหงเหตุและผลของทุกขน ั่นเอง 55
พระภาสกร ภูรวิ ฑฺฒโน (ภาวิไล) (๔) กฎธรรมชาติแหงผล ท่ีมาแตเหตุและปจจัย ในการพิจารณา หาเหตุผลต้ังแตตนจนจบ แลวนอมลงสูไตรลักษณน้ัน เรายอมเห็นชัดแจงวา ผลใดๆ ท่ีเกิดข้ึนนั้น มิใชมีเพียงแตเหตุเทาน้ันที่ยังใหเกิดผลข้ึน แตยังมี ปจ จัยอีกมากมายท่เี ขาประกอบรว มดวย จึงจะยังผลจําเพาะน้ันๆ ใหเกิดขึ้นได ฉะน้ันอีกนัยหนึ่ง สรรพส่ิงท้ังหลายจึงเปนปจจัยแกกันและกัน รวมกันให เกิดข้ึน รวมกันใหต้ังอยู รวมกันใหแตกดับไป นี้ก็คือการพิจารณาวัตถุธาตุ และสรรพชวี ติ ท้ังหลาย ในความเปนไปภายใตก ฎ ปจ จยาการ อาการที่เปน ปจจัยแกก ันและกันนั่นเอง ๓. การคิดท่ีเปนระเบียบ พิจารณาหาเหตุผลต้ังแตตนจนจบ แลวนอมลงสูไตรลักษณ เปนทั้งการทํา สมถกรรมฐาน และวิปสสนา กรรมฐาน และดวยเหตุนี้ ทานพระอาจารยนพพร อาทิจฺจวํโส จึงไดใหช่ือ การปฏิบัติตาม “กฎของความสมดุล” ท่ีมีลักษณะเปนทั้งการทําสมถะ และวิปส สนาไปพรอมๆ กนั น้ีวา เปนการปฏิบตั แิ บบ “วปิ ส สนาในฌาน” กรรมฐาน (กัมมัฏฐาน) หมายถึง อารมณเปนที่ต้ังแหงการงาน คือ การเจริญภาวนา, ท่ีตัง้ แหง งานคอื ความเพยี รฝกอบรมจิต, วธิ ฝี กอบรมจิต ภาวนา หมายถึง การเจริญ, การทําใหเกิดมีข้ึน (ผลที่มุงหวัง), การทําใหเ ปนใหม ขี ้นึ , การฝกอบรมพฒั นากาย-ใจ ภาวนา ๒ ไดแ ก (๑) สมถภาวนา หรือ สมถกรรมฐาน คือ การฝกอบรมจิตใหเกิด ความสงบ เปนสมาธิ (๒) วิปสสนาภาวนา หรือ วิปสสนากรรมฐาน คือ การฝกอบรม พัฒนาปญญา ใหเกิดความรูแจงตามเปนจริง เรียกอีกอยางวา เปนการ “เจรญิ ปญ ญา” 56
ปฏิจจสมปุ บาท สําหรบั คนรุนใหม ภาวนา ๔ ไดแก (๑) กายภาวนา คือ การพัฒนาฝกฝนอบรมกาย (อินทรีย ๕ คือ ตา หู จมูก ลนิ้ กาย) ในการตดิ ตอเกี่ยวขอ งและปฏบิ ตั ิกบั สิ่งท้ังหลายภายนอก ดวยความดีงาม มีคุณประโยชน ไมเกิดโทษ ยังกุศลธรรมใหงอกงาม อกุศลธรรมใหเส่ือมสูญ หรือเปนการ พัฒนาความสัมพันธท่ีสมดุล กับ สงิ่ แวดลอ มทางกายภาพ (๒) สีลภาวนา คือ การพัฒนาความประพฤติ ใหถึงพรอมใน ความเปนปกติ อันเหมาะสมสอดคลองกับสภาวะของตน, การเจริญศีล, การฝกอบรมตนใหตั้งอยูในศีล อยูในระเบียบวินัย ไมเบียดเบียนตนเอง และผอู ื่นใหเดอื ดรอนเสยี หาย เปน เหตใุ หอยรู ว มกบั ผูอ ื่นไดดว ยความดีงาม เก้ือกูล (๓) จิตตภาวนา คือ การเจริญจิต, การฝกฝนอบรมพัฒนาจิตใจ ใหเขม แข็งมนั่ คง และเจริญงอกงามดวยคุณธรรมท้ังหลาย เชน มีเมตตากรุณา ขยันหม่นั เพยี ร อดทน มีสมาธิ สดชื่น เบิกบาน เปน สุขผองใส เปน ตน (๔) ปญญาภาวนา คือ การเจริญปญญา, การฝกฝนอบรมพัฒนา ปญญา ใหเกิดความเห็นแจง รู และเขาใจส่ิงท้ังหลายตามเปนจริง จนเกิด ความเทาทันตอสภาวะการเปลี่ยนแปลงของโลกและชีวิต สามารถชําระจิต ใหเปนอิสระ บริสุทธ์ิ สะอาด ปราศจากกิเลส คือ ส่ิงเศราหมองทั้งหลาย ทั้งปวง จนเปนผูพนไปจากทุกขไดหมดส้ินอยางแทจริง, สามารถแกไข ปญ หาท่เี กิดข้ึนไดด ว ยปญญา จากท่ีกลาววา การคิดท่ีเปนระเบียบ พิจารณาหาเหตุผลต้ังแต ตนจนจบ แลวนอมลงสูไตรลักษณ เปนทั้งการทํา สมถกรรมฐาน และ วปิ ส สนากรรมฐาน (วิปสสนาในฌาน) ไปพรอมๆ กันน้ัน ใหพิจารณาตาม หลกั เกณฑตอ ไปนี้ 57
พระภาสกร ภรู ิวฑฺฒโน (ภาวิไล) คําวา สมถกรรมฐาน คือ การฝกอบรมจิตใหเกิดความสงบ เปนสมาธิ และคําวา วิปสสนากรรมฐาน คือ การเจรญิ ปญญา ฝกอบรมพัฒนาปญญา ใหเกิดความรูแจงตามเปนจริง ดวยการพิจารณาอยางแยบคาย (โยนิโส- มนสิการ) ไปในธรรมทั้งหลาย ท้ังภายในภายนอก แลวจึงนอมเขามาสูตน (โอปนยิโก) จนประจักษแจง และยอมรับสภาวะตามความเปนจริง คือ “กฎธรรมชาติ” ท่มี อี ยูเปนธรรมดา ในธรรม คอื วัตถุธาตุ หรอื สิง่ มชี ีวติ นัน้ ๆ การปฏิบัติธรรมเพ่ือความหลุดพนน้ัน จะตองมีท้ังสมถะและ วิปสสนา สนับสนุนกัน จึงจะทําใหเกิดความสําเร็จได สมถะ เปนการ ตระเตรียมความพรอม กอใหเกิดพละกําลังของใจ ในขณะท่ีวิปสสนานั้น เปนการนํากําลังที่ส่ังสมเอาไว มาใชงานอยางมีประสิทธิภาพ เพ่ือใหไดผล คือความรูแจง โดยท่ีการปฏิบัติธรรมแบบท่ีนิยมกันมาแตเดิมในภูมิภาคนี้ นักปฏบิ ัตจิ ะตองฝก สมาธิใหเชยี่ วชาญเสียกอน แลวจึงคอยนอมมาพิจารณา ธรรมในภายหลัง คอื อยูในขายตองทาํ สมถะกอ น แลวมาทําวิปส สนาภายหลัง พระอรหนั ต ผูบรรลุเปาหมายสูงสุดในการขจัดทุกข พระอรหันต คือ ผูท่ีบรรลุอรหัตตผลแลว จึงเปนผูควรแกการ เคารพบชู าและรบั ทักษิณา คอื ของทาํ บญุ หรือทานท่ีถวายเพ่ือผลอันเจริญ ในคัมภรี ปรมัตถโชตกิ า จําแนกพระอรหันตไ วเ ปน ๒ ประเภท คอื ๑. สุกขวิปสสก, วิปสสนายานิก, สุทธวิปสสนายานิก (ผูมี วิปสสนาลวนๆ เปนยาน) คือ ผูท่ีบรรลุอรหัตตผล ดวยการเจริญวิปสสนา ลวนๆ แมจะไมไดทําสมถกรรมฐานจนถึงข้ันไดฌานมากอนก็ตาม แตก็ สามารถเจริญวิปสสนา โดยอาศัยเพียงอุปจารสมาธิ ในการพิจารณาธรรมโดย แยบคาย (โยนิโสมนสิการ) และนอมเขามาสูตน (โอปนยิโก) จนประจักษแจง ไตรลักษณ ขจัดกิเลสไดหมดส้ินเปนสมุจเฉทปหาน ถึงความเปนพระอรหันต ซ่ึง ในขณะเม่ือจะสําเร็จอรหัตนั้น จะเปนผูไดปฐมฌาน บาลีเรียกวา ปญญาวิมุต 58
ปฏจิ จสมปุ บาท สําหรับคนรุนใหม ๒. สมถยานิก (ผูมีสมถะเปนยาน) คือ ผูที่บรรลุอรหัตตผล ดวยการ เจริญสมถะจนไดฌานสมาบัติ แลวจึงเจริญวิปสสนาตอจนไดสําเร็จอรหัต บาลเี รยี กวา อภุ โตภาควมิ ตุ หรือ เจโตวมิ ุต สมเด็จพระมหาสมณเจากรมพระยาวชิรญาณวโรรส ทรงประมวล พระอรหนั ตไวเปน ๔ หมวด ปรากฏในธรรมวภิ าค ปรเิ ฉทที่ ๒ หนา ๔๑ คอื ๑. สกุ ขวิปสสโก ผูเ จรญิ วปิ ส สนาลว น ๒. เตวชิ โช ผไู ดว ิชชา ๓ (ญาณ ๓) คอื (๑) ปพุ เพนวิ าสานสุ สตญิ าณ ระลึกชาตไิ ด (๒) จุตูปปาตญาณ มีทิพพจักขุญาณ เห็นการเวียน วา ยตายเกิดของสตั ว (๓) อาสวกั ขยญาณ มคี วามรูที่ทาํ ใหส ้ินอาสวะ ๓. ฉฬภิญโญ ผไู ดอ ภญิ ญา ๖ ความรูอันย่งิ ยวด คอื (๑) อิทธิวธิ ิ มีความรทู ีท่ าํ ใหแ สดงฤทธติ์ า งๆ ได (๒) ทพิ พโสต มีหูทิพย (๓) เจโตปรยิ ญาณ กาํ หนดใจคนอ่นื ได (๔) ปุพเพนิวาสานสุ สตญิ าณ ระลึกชาติได (๕) ทิพพจกั ขญุ าณ มีตาทิพย (๖) อาสวักขยญาณ มคี วามรูท ่ที ําใหส ้ินอาสวะ ๔. ปฏิสมั ภทิ ัปปตโต ผบู รรลุ ปฏิสมั ภิทา ๔ มปี ญญาแตกฉาน (๑) อัตถปฏิสัมภิทา มีปญญาแตกฉานในอรรถ ปรีชา แจงใน ความหมาย (๒) ธัมมปฏิสัมภิทา มีปญญาแตกฉานในธรรม ปรีชา แจงใน หลักธรรม 59
พระภาสกร ภูรวิ ฑฒฺ โน (ภาวไิ ล) (๓) นิรุตติปฏิสัมภิทา มีปญญาแตกฉานในนิรุกติ ปรีชาแจงใน ภาษา (๔) ปฏิภาณปฏิสัมภิทา มีปญญาแตกฉานในปฏิภาณ ปรชี าแจงใน ความคดิ จากการจาํ แนกประเภทของพระอรหนั ต ผูบรรลุเปาหมายสูงสุดใน การขจดั ทกุ ขดังทีแ่ สดงมานั้น จึงไดขอสรปุ วา แนวทางทจี่ ะปฏิบัติเพื่อความ หลุดพน จนประจักษแจงไตรลักษณ ขจัดกิเลสไดหมดส้ินเปนสมุจเฉทปหาน ถึงความเปนพระอรหันตนั้น มีไดหลายวิธี เปรียบไดกับบุคคลจะเดินทาง ข้ึนสยู อดเขา ยอมมีหลากหลายวิธีท่ีจะดําเนินไปสูยอดภูเขาน้ัน เชน ตะลุยปา ฝาหนามขามหวย ปนขึ้นทางหนาผาบาง เลาะเลียบไปในทางลาดชันบาง ตดั ถนนขึน้ ไปบา ง ไตข้ึนตามแนวถนนทเี่ ขาตัดลัดทางใหแลว บา ง จนกระท่ัง ข้ึนเฮลิคอปเตอรไปลงที่ยอดเขา หรือข้ึนเครื่องบิน แลวกระโดดรมไปลงที่ ยอดเขากไ็ ด ไมผ ดิ กติกา เพราะทา ยท่ีสดุ กไ็ ปถงึ ยอดเขา เฉกเชนเดียวกัน แตการที่ใครจะสะดวกใชเสนทางสายใดน้ัน ก็ข้ึนอยูกับบุญบารมี และกรรมวิบากท่ีแตละบุคคลไดเคยส่ังสมมา อันจะตกผลึกกลายเปนสันดาน วาสนา และจริต (จริยา) เฉพาะของบุคคลคนน้ันน่ันเอง แตก็เปนการ แนนอนที่ หนทางที่ดําเนินมาน้ัน ยอมมีสวนขัดเกลาฝกฝนใหบุคคลนั้นๆ มีคุณสมบัติพิเศษที่แตกตางกันดวย คนท่ีดําเนินมาในหนทางท่ียากลําบาก กย็ อมมีความแข็งแรงสมบกุ สมบันของรางกาย มากกวาผูท่ีดําเนินมาในทาง ทีเ่ รยี บงาย สรุปคอื มีฤทธ์ิมากกวานั่นเอง ฉะน้ันโดย วิถีของการปฏิบัติเพ่ือความพนทุกข เราสามารถ จําแนกไดเปน ๒ วถิ ี คอื ๑. วิถี เจโตวิมุต หรือ อุภโตภาควิมุต คือทําสมถะกอน แลวคอย นอมมาทําวิปสสนาภายหลัง อันเปนหลักปฏิบัติยอดนิยมในอดีต วิถีนี้ เรยี กในภาษาของนกั ปฏิบตั วิ า วิถี สมาธิ อบรมปญญา 60
ปฏิจจสมปุ บาท สําหรับคนรนุ ใหม ๒. วิถี ปญญาวิมุต หรือ สุกขวิปสสโก คือ ทําวิปสสนาไปเลย ตั้งแตตน ซ่ึงในขณะที่กําลังดําเนินจิตวิปสสนา ยกจิตข้ึนพิจารณาธรรม ไปตาม “กฎของความสมดุล” คือ การคิดท่ีเปนระเบียบ พิจารณาหา เหตุผลตั้งแตต นจนจบ แลวนอ มลงสไู ตรลกั ษณ นน้ั จะเปน ทงั้ การทําสมถะ และวิปสสนาไปพรอมๆ กัน วิถีน้ี เรียกในภาษาของนักปฏิบัติวา ปญญา อบรมสมาธิ เพราะเม่ือพิจารณาจบจนกระท่ังลงใจแลว จิตจะเขาสูความสงบ แนวแนเปนสมาธิ ดวยอาการพักจิต ๑ และดวยความรูแจมแจงแทงตลอด ไมส งสัยในองคธรรมแลว ๑ เพ่ือเปรียบเทียบใหเกิดความชัดเจน ขอใหดูการเดินฌาน ในแบบ สมถะกรรมฐาน กอ น หลกั การเดินฌานของสมถะกรรมฐาน การเดนิ ฌาน ๑ ถงึ ฌาน ๔ มอี งคประกอบดังนี้ ฌาน ๑ ประกอบดว ยองค ๕ คอื วติ ก วจิ าร ปต ิ สุข เอกัคตา ฌาน ๒ ประกอบดว ยองค ๓ คือ ปติ สขุ เอกคั ตา ฌาน ๓ ประกอบดว ยองค ๒ คอื สุข เอกคั ตา ฌาน ๔ ประกอบดวยองค ๒ คอื เอกัคตา อุเบกขา การเดินฌานแบบสมถะตามแบบฉบับที่แสดงไว เปนการปฏิบัติเพ่ือ ขม กเิ ลส หรือ ระงบั นิวรณ ๕ ซง่ึ มีดงั ตอ ไปนี้ ปฐมฌาน (ฌาน ๑) มีองค ๕ คอื ๑. วิตก (ความตรึก) ทาํ หนาทสี่ งบหรือขม กามฉันท ๒. วจิ าร (ความตรอง) ทาํ หนาทีส่ งบหรอื ขม พยาบาท ๓. ปต ิ ทําหนา ทีส่ งบหรอื ขม ถนี ะมิทธะ ๔. สุข ทาํ หนา ทสี่ งบหรือขม อทุ ธัจจะ ๕. เอกัคตา ทําหนา ท่สี งบหรอื ขม วิจิกิจฉา สวนฌาน ๒, ๓, ๔ เปนผลจากการทํางานของจิตในฌาน ๑ คือ เกดิ สมาธหิ รือความสงบ ฌานของสมถะกรรมฐาน ดําเนนิ ตามหลักการนี้ 61
พระภาสกร ภรู ิวฑฒฺ โน (ภาวไิ ล) “กฎของความสมดุล” หรอื “วปิ ส สนาในฌาน” การปฏิบัติตาม “กฎของความสมดุล” คือ “การยกหัวขอธรรมะ (องคธ รรม) ขึ้นมา สูการคิดท่ีเปนระเบียบ พิจารณาหาเหตุผลต้ังแตตน จนจบ แลวนอมลงสูไตรลักษณ” (นอมลงสูไตรลักษณ คือการสรุปหัวขอ ลงในกฎไตรลักษณ) ที่วาเปนการปฏิบัติแบบ “วิปสสนาในฌาน” เพราะ เปน ทง้ั การทาํ ทั้งสมถะและวิปสสนาไปพรอมๆ กนั นั้นคืออยางไร พิจารณาองคฌานของ “วิปสสนาในฌาน” จากฌาน ๑ ถึง ฌาน ๔ มอี งคป ระกอบดงั น้ี ฌาน ๑ ประกอบดวยองค ๕ คือ วติ ก วิจาร ปต ิ สขุ เอกัคตา ฌาน ๒ ประกอบดวยองค ๓ คอื ปติ สุข เอกัคตา ฌาน ๓ ประกอบดว ยองค ๒ คือ สขุ เอกคั ตา ฌาน ๔ ประกอบดว ยองค ๒ คอื เอกัคตา อเุ บกขา การเดินฌานแบบวปิ ส สนาในฌาน มีรูปแบบการเดินจติ เพ่ือพจิ ารณาธรรมดงั ตอไปนี้ ฌาน ๑ (ก) ยกหัวขอธรรมะ (องคธรรม) ข้ึนมาพิจารณา คือวิตก หรือความตรึก (ข) ทําการพิจารณาและเกิดความเขาใจ ก็เปน วิจาร หรือ ความตรอง (ค) เม่ือทําการพิจารณาหาเหตุ-ผล แลวนอมลงสูไตรลักษณ และเห็นวาเปนการถูกตอง ก็เกิดปติ-สุข สวนเอกัคตาก็คือ หัวขอธรรมะ ๑ หัวขอ ที่ไดทาํ การพิจารณาแลวนั้น นี่กเ็ ปน ฌาน ๑ ฌาน ๒ เมื่อจิตรับรูหัวขอธรรมะท่ีพิจารณา เห็นแลววาถูกตอง จิตก็จะมีความละเอียดลง เพราะพิจารณาธรรมจบรอบแลว เม่ือเห็นวา ถูกตอง ก็มีความปติ แลวก็เกิดความสุขกับหัวขอธรรมะนั้น หัวขอธรรมะ ๑ หัวขอ กค็ ือ เอกัคตา นกี่ เ็ ปนฌาน ๒ 62
ปฏิจจสมปุ บาท สาํ หรบั คนรนุ ใหม ฌาน ๓ เม่ือจิตเดินเรียบลง จิตจะละเอียดลง ดวยเห็นชัดใน ความถูกตองน้ัน จิตเดินเรียบลงอีก จนปติหายไป (เม่ือมีปติ จิตยังมีคลื่น ส่ันอยู) จึงมีแตความสุขกับหัวขอธรรมะนั้น ก็เปนสุขกับเอกัคตา (สุข-เอกัคตา) หรือทีเ่ รยี กวา ฌาน ๓ ฌาน ๔ จติ เดนิ เรยี บลงอีก ลงสูความละเอียดลึก ความสุขุมคัมภีร ภาพก็เกิดขึน้ กบั หัวขอธรรมะ ท่ีไดพิจารณาแลวน้ันวา ถูกตอง… เปนแนแท จิตก็เหลือเปนหนึ่ง หรือ เอกัคตา กับหัวขอธรรมะน้ัน วาถูกตองแนแลว จิตจงึ วางลงเปน อเุ บกขา ในขณะจิตเดยี วกนั เรยี กวา ฌาน ๔ จะเห็นวา เปนการเดินฌานไปพรอมกับการพิจารณาธรรมนั่นเอง เขียนเปน สตู รไดด ังตอไปนี้ สูตรการเดินฌานแบบ “วปิ สสนาในฌาน” สตู รการเดนิ ฌาน ๑ ถึง ฌาน ๔ แบบ “วิปส สนาในฌาน” ฌาน ๑ มีองค ๕ คอื วติ ก (ความตรึก) ยกหัวขอธรรมะข้ึนมาพิจารณา วิจาร (ความตรอง) ทําการพิจารณา ปติ มคี วามเขาใจ สุข เหน็ วา ถกู ตอ ง เอกคั ตา ในหวั ขอธรรมะนั้น จติ ก็จะเริ่มละเอียดลง แลวก็จะเดนิ ไปสูฌ าน ๒ ฌาน ๒ มอี งค ๓ คือ ปติ ธรรมะทีไ่ ดพิจารณาแลว ถูกตองแนนอน สขุ อิ่มใจ เอกคั ตา ในหวั ขอธรรมะน้นั จิตก็จะละเอียดลงอีก ขณะท่ีสมาธิเพิ่มขึ้นอัตโนมัติ และจิตก็จะ เดินเขาสูฌาน ๓ 63
พระภาสกร ภรู วิ ฑฒฺ โน (ภาวไิ ล) ฌาน ๓ มอี งค ๒ คือ สขุ เต็มต้ืนในความอ่ิมใจ เอกคั ตา ในหัวขอ ธรรมะน้นั จิตก็จะละเอียดลงๆ ความสุขุมคัมภีรภาพเกิดข้ึน สมาธิละเอียด ทรงตวั เปนฌาน ๔ ฌาน ๔ มอี งค ๒ คอื เอกัคตา หัวขอ ธรรมะนน้ั พิจารณาถกู ตอ งดแี ลว อุเบกขา จติ จึงปลอยวางโดยอตั โนมัติ เมื่อจิตรับทราบแลววา การพิจารณาธรรมะหัวขอน้ันถูกตอง ก็จะ อุเบกขาปลอยวางโดยอัตโนมัติ เปนการพิจารณาธรรมจบ ๑ รอบ สมาธิ ก็จะทรงตัวอยูอยางน้ัน (จิตจะพักในฌาน ๔) จนกวาสมาธิจะถอน หรือ ถอยออกมารับอารมณใหม (หัวขอธรรมใหม) สมาธิจิตก็จะเดินหมุนรอบ หมนุ รอบ อยูอยา งน้นั จนกวาจะเลิกทํากรรมฐาน นี่คือการทํากรรมฐานแบบ “สมถะ + วิปสสนา” หรือ “วิปสสนา + สมถะ” คือ ถาทําเปนและถูกหลัก มันก็ทําอยูดวยกัน แตถาทําไมเปน มันกต็ อ งแยกกนั ทํา นแ่ี หละ คอื การทาํ กรรมฐานแบบ “วปิ ส สนาในฌาน” สูตรเปรยี บเทียบการเดินฌาน แบบสมถะ ปฐมฌานแบบสมถะ “สงบ” นิวรณ ๕ ฌาน ๑ วติ ก (ความตรกึ ) สงบ กามฉนั ทะ วิจาร (ความตรอง) สงบ พยาบาท ปติ สงบ ถนี ะมทิ ธะ สขุ สงบ อุทธัจจะ เอกคั ตา สงบ วิจิกิจฉา 64
ปฏจิ จสมุปบาท สาํ หรบั คนรนุ ใหม แบบวิปส สนาในฌาน ปฐมฌาน แบบวิปสสนาในฌาน “ประหาร” กเิ ลส ฌาน ๑ วิตก (ความตรึก) ยกหัวขอธรรมะข้ึนมาพิจารณา วจิ าร (ความตรอง) ทําการพิจารณาจนจบ ปติ มคี วามเขาใจ สุข เห็นวาถกู ตอง เอกคั ตา ในหัวขอธรรมะนนั้ น่ีคือความแตกตางกัน… ระหวางปฐมฌานของสมถะ และปฐมฌาน ของวิปสสนาในฌาน ปฐมฌานแบบสมถะ “สงบนิวรณ ๕” ปฐมฌาน แบบวิปสสนาในฌาน “ประหารกิเลส” ฉะน้ันการปฏิบัติแบบวิปสสนา ในฌาน ก็คือหลักสูตรโดยตรง… ของพระศาสดาสัมมาสัมพุทธเจา พระศาสดาของพวกเรานั้นเอง เม่ือไดพิจารณาลงตัวในเร่ืองปฐมฌานหรือฌาน ๑ แลว ตอมาเรา ก็มาพิจารณาถึงลําดับขององคฌานท้ังหมด ต้ังแต ฌาน ๑ ถึง ฌาน ๔ ทั้ง แบบ “สมถะ” และ แบบ “วปิ ส สนาในฌาน” ฌาน ๑ มอี งค ๕ คอื วิตก วจิ าร ปติ สุข เอกคั ตา ฌาน ๒ มอี งค ๓ คือ ปติ สุข เอกคั ตา ฌาน ๓ มีองค ๒ คือ สุข เอกคั ตา ฌาน ๔ มอี งค ๒ คอื เอกัคตา อเุ บกขา ถาจะมาพิจารณาถึงองคฌาน ต้ังแตฌาน ๑ ถึงฌาน ๔ แลว ก็จะ พบวา มี “เอกัคตา” เปนตัวยนื โรง คอื มอี ยใู นฌาน ๑ ถงึ ฌาน ๔ 65
พระภาสกร ภูริวฑฺฒโน (ภาวไิ ล) ในวิธีเดินฌานแบบ “สมถะ” ไดใหคําอธิบายเก่ียวกับ “เอกัคตา” ไววา “เปนการรวมจิตเปนหนึ่ง” ในวิธีเดินฌานแบบ “วิปสสนาในฌาน” ต้ังแตฌาน ๑ ถึง ฌาน ๔ ก็มี “เอกัคตา” เปนตัวยืนโรงเชนกัน… โดย ขอใหคําอธิบายเก่ียวกับ “เอกัคตา” ในที่น้ีวา “เปนการพิจารณาธรรม ครง้ั ละ ๑ เรื่อง” ฉะน้นั กม็ าถึงสูตรของ “เอกคั ตา” “เอกัคตา” (สมาธิ) สมถะ (การพจิ ารณา) วปิ ส สนา “การรวมจิตเปน หนง่ึ ” “การคิดคร้ังละ ๑ เร่ือง” (ตามกฎของธรรมชาต)ิ ก็จะเห็นไดวา “เอกัคตา” มีไดเปนกําลัง ๒ หรือ เอกัคตา๒ ฉะนั้น ก็เปน การลงตัวไดว า ทง้ั “สมถะ” และ “วปิ สสนา” สามารถทําพรอมกันได พิจารณาตอไปถึง ฌาน ๒-๓-๔ ก็จะเห็นไดวา เปนฌานเสวยผล คือ ฌาน ๑ เปนฌานท่ีทํางาน ฌาน ๒-๓-๔ เปนฌานเสวยผลของฌาน ๑ ท้ังส้ิน ไมวาจะเปนหลัก “สมถะ” หรือ “วิปสสนาในฌาน” จะเปนการ ตอเนื่องในลักษณะเดียวกันท้ังน้ัน คือ ทําจิตใหเปนสมาธิมากข้ึน มากข้ึน… จนถงึ ฌาน ๔ คือ สงบทสี่ ดุ การเดินฌานแบบ “สมถะ” ฌาน ๑ ทําการระงับนิวรณ ๕ แลวจิตคอยๆ สงบลงๆ เปนสมาธิ เริ่มสงบจากฌาน ๒ จิตเดินเรียบลงเปนฌาน ๓ และสงบสงัดเปนหน่ึง ในฌาน ๔ จึงเปนการทาํ สมาธิเพียงอยา งเดียว 66
ปฏจิ จสมปุ บาท สําหรบั คนรุนใหม การเดินฌานแบบ “วปิ ส สนาในฌาน” ฌาน ๑ ทําการพิจารณาขอธรรมะ เม่ือทําการพิจารณาลงตัวแลว จิตก็จะคอยๆ สงบลงเปนสมาธิ ฌาน ๒ เปนสมาธิแลว จิตสงบเรียบลงๆ เปนฌาน ๓ และจติ รวมเปน หน่งึ ในฌาน ๔ และพักในฌาน ๔ ดังน้ีก็จะเห็นไดชัดเจนวา ในการปฏิบัติแบบนี้ ฌาน ๑ นั้นจะเปน “วิปสสนา” และ ฌานที่เหลือ คือ ฌาน ๒-๓-๔ เปน “สมถะ” จึงเปนการ ทําท้ัง “วิปสสนา” และ “สมถะ” ไปดวยกัน ฉะน้ัน สมถะ คือ การทํา สมาธิ หรือ การสรางพลังใหจิต และ วิปสสนา คือการพิจารณา หรือ การทํางานของจติ เพ่อื ถอดถอนกเิ ลส ในฌาน ๑ ทําการพิจารณาธรรม ก็คือการทํางานของจิต หรือการ ในฌาน ๒ ใชงานทางจิต ในฌาน ๓ ในฌาน ๔ เปนฌานเสวยผลของฌาน ๑ คือเม่ือจิตทํางานเสร็จแลว ก็เริ่มพักในฌาน ๒ (ฌาน ๒ มีองค ๓ คือ ปติ-สุข- เอกัคตา) การที่มี “ปติ” นี้ แสดงถึงความกระเพ่ือม ของคลน่ื จิต คอื อาการทจ่ี ิตยังไมสงบนง่ิ จนถึงท่สี ุด มีองค ๒ คือ ปติหายไป เหลือแตสุข กับเอกัคตา (แสดง ถึงการสงบน่ิงลงอยางมากของคล่ืนจิต การเดินจิตจึงได เรยี บลง เรยี กวา “สขุ ”) จะเหลือเพียงแตเอกัคตา กับอุเบกขา คือจิตจะสงบลง จนถึงที่สุด และพักใน ฌาน ๔ “เอกัคตา” คือหัวขอธรรมะ “อุเบกขา” คือการปลอยวาง ก็เรียกวา เปนการปลอยวาง หัวขอธรรมะ จิตจงึ นิ่งเฉย หรอื “พัก” น่นั เอง ในหลักการปฏิบัติแบบ “วิปสสนาในฌาน” เมื่อปฏิบัติไปแลว ก็จะ พบวา จิตจะมีการทํางานเปนวงจรอยูอยางน้ี คือ พิจารณาธรรมในฌาน ๑ แลว เร่มิ พกั ในฌาน ๒-๓ และพกั สงบในฌาน ๔ 67
พระภาสกร ภูริวฑฺฒโน (ภาวิไล) เมื่อพักพอแลว จิตจะถอนออกมารับอารมณใหม (องคธรรม) แลวก็ทําการพิจารณาธรรมในฌาน ๑ และพักในฌาน ๒-๓-๔ เปนวงจรอยู อยา งนี้ จนกวาจะหยุดทาํ กรรมฐาน ถาจะพิจารณาโดยถองแทแลว จะเห็นไดวา การปฏิบัติตามแบบ “วิปส สนาในฌาน” นี้ เปนหลกั การทาํ งานทางจิตท่ีดีที่สุดในโลก เพราะเปน การทําตามหลัก “อิทัปปจยตา” หรือท่ีเรียกกันวา “การทํางานแบบครบวงจร” หรอื ตามระบบ “Q.C.” นน่ั เอง และการปฏิบัติแบบ “วิปสสนาในฌาน” น้ี ก็มิใชหลักปฏิบัติที่ไดคิดขึ้นมาใหม แตนับวาเปนหลักสูตรการปฏิบัติของ พระพุทธเจา พระศาสดาของเราโดยแท… โมทนาสาธุ… โมทนาสาธุ… โมทนาสาธุ… ขอแสดงอรรถาธิบายท้ังหมดท่ีกลาวมาน้ี เปนการช้ีแจงใหเห็นวา การปฏิบัติตาม “กฎของความสมดุล” นั้น มีเหตุผลความเปนมาอยางไร อธิบายไวใหนักปฏิบัติท่ีเปน “ผูรู” ท้ังหลาย ไดเขาใจชัดเจนเทานั้นวา หลักการปฏิบัติแบบน้ี “เปนไปตามคําสอนของพระศาสดา และถูกตอง ตรงตามคําสอนของพระศาสดา” ทัง้ สิน้ !1 1 อุบาสิกาเพียงเดือน ธนสารพิพิธ พิจารณาธรรม ๑๒ เมษายน ๒๕๓๑ เวลา ๒๐.๑๕ น. 68
ปฏจิ จสมุปบาท สาํ หรบั คนรุน ใหม สรปุ การทํางานของจิต จากผัสสะไปสูเวทนา ๑) กามาวจร-ปุญญาภิสังขาร สภาพท่ีปรุงแตงกรรมฝายดี คือ บุญ ที่เปนกามาวจร ไดแก กุศลเจตนา ในกุศลกรรมบถ ๑๐ อันเปนไป ในกามภพ โดยสภาวะของจิต ในขณะท่ีปรุงแตงเปนบุญน้ัน จิตเปน มหากุศลจิต โดยมีกามารมณที่นาปรารถนา คือ กามาวจร-อิฏฐารมณ เปนอารมณเครอื่ งยึดหนว งของจิต เวทนาท่ีเกิดแตจิต อันปรุงแตงเปนบุญน้ี มีไดทั้งที่เปน โสมนัส คือ ความสุขใจ และทเี่ ปน อเุ บกขา คือ ความรสู ึกเฉยๆ ๒) กามาวจร-อปุญญาภิสังขาร สภาพท่ีปรุงแตงกรรมฝายช่ัว คือ บาป ท่เี ปน กามาวจร ซ่ึงบาปเหลานี้ไดแก อกุศลเจตนา ในอกุศลกรรมบถ ๑๐ ทางแหงอกุศลกรรม อันเปนไปในกามภพ โดยสภาวะของจิตในขณะท่ี ปรุงแตงเปนบาปน้ัน จิตเปนไดท้ัง โลภมูลจิต โทสมูลจิต และโมหมูลจิต คือ จิตโลภ จติ โกรธ และจิตหลง โดย 69
พระภาสกร ภรู วิ ฑฒฺ โน (ภาวไิ ล) ๒.๑) จิตจะเปน โลภมูลจิต คือ จิตโลภ ก็ตอเมื่อมีกามารมณท่ี นาปรารถนา คือ กามาวจร-อิฏฐารมณ เปนอารมณเคร่ืองยึดหนวงของจิต และเวทนาที่เกิดแตจิต อันปรุงแตงเปนบาป ดวยอํานาจจิตโลภน้ี มีไดทั้ง ท่ีเปน โสมนสั คือ ความสุขใจ และทเ่ี ปน อเุ บกขา คอื ความรูส กึ เฉยๆ ๒.๒) จิตจะเปน โทสมูลจิต คือ จิตโกรธ ก็ตอเม่ือมีกามารมณท่ี ไมนาปรารถนา คือ กามาวจร-อนิฏฐารมณ เปนอารมณเคร่ืองยึดหนวง ของจิต ซึ่งเวทนาที่เกิดแตจิต อันปรุงแตงเปนบาป ดวยอํานาจจิตโกรธน้ี มีแตเ ฉพาะท่ีเปน โทมนสั คอื ความทุกขใ จเทา นนั้ หมายเหตุ ท้ังจิตโลภและจิตโกรธ ลวนมี อกุศลเจตสิก กลุมหลงผิด คือ โมจตุกก ๔ ไดแก โมหะ ความหลง อหิริกะ ความไมละอายบาป อโนตตัปปะ ความไมกลัวบาป อุทธัจจะ ความฟุงซาน ซ่ึงเปนเจตสิกท่ีเกิด กบั อกศุ ลจติ ทุกดวง เกดิ รว มดวยทุกครงั้ ๒.๓) จิตจะเปน วิจิกิจฉา-โมหมูลจิต คือ จิตหลง ชนิดคลางแคลง สงสัย (อุเปกฺขาสหคตํ วิจิกิจฺฉาสมฺปยุตฺตํ) ซ่ึงมีความลังเลสงสัยเคลือบแคลง (วิจิกิจฉา) เปนลักษณะ โดยขาดความปลงใจหรือปกใจ (อธิโมกข) ลงใน อารมณนั้น และไมสามารถทําความอิ่มใจ (ปติ) และความพอใจ (ฉันทะ) ในอารมณนั้น จึงในขณะซ่ึงกําลังปรุงแตง (วิตก-วิจาร-วิริยะ) โดยความ ลังเลสงสัยอยูนั้น จิตจึงมีเวทนาเปน อุเบกขา มีความรูสึกเฉยๆ ไมสุข หรือทุกขในอารมณนัน้ ๒.๔) จิตจะเปน อุทธัจจะ-โมหมูลจิต คือ จิตหลง ชนิดฟุงซาน (อเุ ปกขฺ าสหคตํ อทุ ฺธจจฺ สมฺปยตุ ฺตํ) ซ่ึงมีความไมสงบ ซัดสาย หมุนพลานไป เปนลักษณะ แมจะมีความปลงใจหรือปกใจ (อธิโมกข) และไมมีความลังเล สงสัยเคลือบแคลง (วิจิกิจฉา) ในอารมณน้ัน แตไมสามารถทําความอ่ิมใจ (ปติ) และความพอใจ (ฉันทะ) ในอารมณนั้น จึงในขณะซ่ึงกําลังปรุงแตง (วิตก-วิจาร-วิริยะ) โดยความฟุงซานอยูน้ัน จิตจึงมีเวทนาเปน อุเบกขา มีความรูสึกเฉยๆ ไมสขุ หรือทุกขในอารมณน ั้น 70
ปฏิจจสมปุ บาท สําหรบั คนรุนใหม ๓) อรูปาวจร-อาเนญชาภิสังขาร สภาพที่ปรุงแตงภพอันมั่นคง ไมหว่ันไหว ไดแก อรูปฌาน การเพงอารมณจนใจแนวแนเปนอัปปนาสมาธิ โดยมี อรูปธรรม เปนอารมณ สภาวะของจิตในขณะที่ปรุงแตงเปน อรูปฌานนัน้ จติ เปน อรปู าวจรกศุ ลจติ โดยมี อรูป ๔ หรืออรูปกรรมฐาน ในกรรมฐาน ๔๐ เปนอารมณเ คร่อื งยดึ หนวงของจิต เวทนาที่เกิดแตจิต อันปรุงแตงเปน อาเนญชา คือภพอันมั่นคง ไมห วัน่ ไหวนี้ จะมเี วทนาเปน อเุ บกขา คอื ความรสู ึกเฉยๆ ท่ีสืบเน่ืองมาแต อุเบกขาเวทนาเดิม อันจิตไดเจริญรูปฌาน ประเภทกสิณ (ยกเวน อากาส- กสิณ และอาโลกกสิณ) จนไดอัปปนาสมาธิ ถึงขั้น จตุตถฌาน คือฌานสี่ (ปญจมฌาน คือฌาน ๕ ในทางพระอภิธรรม) จนคลองแคลวชํานาญแลว จึงกําหนดใจใหละกสิณปฏิภาคนิมิต กาวลวง รูปสัญญา ท่ีไดแลวนั้น มาสู อรูปสญั ญา เอาเปนอารมณเ ครือ่ งยึดหนว งของจิตแทน ๔) รูปาวจร-ปุญญาภิสังขาร สภาพที่ปรุงแตงกรรมฝายดี คือ บุญ ทีเ่ ปน รูปาวจร, สภาพท่ีปรุงแตงภพอันมั่นคง ไมหวั่นไหว ไดแก รูปฌาน ๔, การเพง อารมณจ นใจแนว แนเ ปน อปั ปนาสมาธิ โดยมี รปู ธรรม เปนอารมณ ไดแ ก (๑) ปฐมฌาน คือ ฌานที่ ๑ มอี งค ๕ คอื วติ ก วิจาร ปติ สุข เอกคั ตา (๒) ทตุ ิยฌาน คือ ฌานท่ี ๒ มีองค ๓ คือ ปติ สขุ เอกคั ตา (๓) ตตยิ ฌาน คอื ฌานที่ ๓ มีองค ๒ คอื สขุ เอกคั ตา (๔) จตตุ ถฌาน คือ ฌานที่ ๔ มีองค ๒ คือ อุเบกขา เอกัคตา สภาวะของจิต ขณะท่ปี รุงแตง เปนรปู ฌานนั้น จิตเปน รูปาวจรกุศลจิต โดยมี รปู กรรมฐาน ๓๖ ในกรรมฐาน ๔๐ เปนอารมณเคร่ืองยึดหนวงของจิต รูปกรรมฐาน ๓๖ นี้ ไดแก (๑) กสิณ ๑๐ (๒) อสุภะ ๑๐ (๓) อนุสติ ๑๐ (๔) อัปปมัญญา ๔ (๕) อาหาเรปฏิกูลสัญญา (๖) จตุธาตุววัฏฐาน หรือ ธาตมุ นสกิ าร 71
พระภาสกร ภูรวิ ฑฒฺ โน (ภาวไิ ล) เวทนาท่เี กดิ แตจิต อนั ปรุงแตงเปน บุญ ที่เปนรูปาวจร คือภพอัน มั่นคงไมหวั่นไหวน้ี จะเปนไปตาม ระดับฌาน คือ สมาธิ ที่รูปกรรมฐาน ชนิดน้นั สามารถนําใหเ ขาถึงได (ตั้งแตปฏภิ าคนิมิต, อุปจารสมาธิ, ปฐมฌาน, ทตุ ิยฌาน, ตติยฌาน จนถงึ จตุตถฌาน) ซึง่ แตกตา งไมเทาเทยี มกัน ดงั ตอ ไปน้ี (๑) กสณิ ๑๐ ยังใหถึงไดส ูงสดุ คือ จตุตถฌาน (๒) อสภุ ะ ๑๐, กายคตาสติ ยงั ใหถงึ ปฐมฌาน (๓) อนุสติ ๑๐ ใน ๖ ขอแรก, อุปสมานุสติ, มรณสติ, อาหาเร- ปฏกิ ูลสญั ญา, จตธุ าตุววัฏฐาน ยงั ใหถงึ ไดสูงสุดเพยี ง อุปจารสมาธิ (๔) อปั ปมัญญา ๔ ใน ๓ ขอ แรก ยงั ใหถึง ตติยฌาน (๕) อุเบกขาอัปปมัญญา ยังใหได อุปจารสมาธิ แลวกาวขามไปสู จตุตถฌาน ๕) วิปสสนา คือ สังขาร สภาพท่ีปรุงแตง อัน ยังภพใหส้ินไป เปนการฝกอบรมปญญา ใหเกิดความเห็นแจง รูชัดตรงตอความเปนจริง ของสภาวธรรม, ปญญาที่เห็น ไตรลักษณ อันถอดถอนความหลงผิดรูผิด ในสังขารเสยี ได ซึ่งสภาวะของจิตในขณะที่ปรุงแตงเปนวิปสสนาน้ัน จิตจะเปน มหากศุ ลจิต โดยมี รูป-นาม ขันธ ๕ ทั้งภายใน ภายนอก เปนอารมณแก การปฏิบัติวิปสสนา และดําเนินวิปสสนาดวยการ โยนิโสมนสิการ คือการ นึกคดิ พิจารณาไปโดยแยบคาย และ โอปนยิโก นอมเขา มาสูใ จ จนเห็นแจง สภาวธรรมอนั เปน ไปตามกฎไตรลักษณ เปนสาํ คญั สวนเวทนา อันเปนผลมาแตการดําเนินวิปสสนานั้น ก็มีลักษณะ เปนเชนเดียวกับเวทนาที่เกิดจากรูปฌาน ดังไดพรรณนาไว ในเร่ืองของ “กฎของความสมดลุ ” และ “วปิ ส สนาในฌาน” กลา วคือ 72
ปฏจิ จสมปุ บาท สําหรับคนรนุ ใหม ฌาน ๑ มีองค ๕ คอื วติ ก (ความตรึก) ยกหวั ขอธรรมะขน้ึ มาพจิ ารณา วิจาร (ความตรอง) ทาํ การพิจารณา ปต ิ มคี วามเขาใจ สุข เห็นวา ถูกตอง เอกัคตา ในหัวขอ ธรรมะน้นั จติ ก็จะเร่ิมละเอียดลง แลวก็จะเดินไปสูฌาน ๒ ฌาน ๒ มอี งค ๓ คอื ปติ ธรรมะท่ีไดพ จิ ารณาแลวถูกตอ งแนน อน สุข อมิ่ ใจ เอกัคตา ในหวั ขอธรรมะนัน้ จิตก็จะละเอียดลงอีก ขณะท่ีสมาธิเพ่ิมข้ึนอัตโนมัติ และจิตก็จะ เดนิ เขาสฌู าน ๓ ฌาน ๓ มอี งค ๒ คือ สขุ เตม็ ต้นื ในความอมิ่ ใจ เอกัคตา ในหัวขอ ธรรมะนนั้ จิตก็จะละเอียดลงๆ ความสุขุมคัมภีรภาพเกิดขึ้น สมาธิละเอียด ทรงตวั เปนฌาน ๔ ฌาน ๔ มีองค ๒ คือ เอกคั ตา หัวขอ ธรรมะนัน้ พิจารณาถกู ตอ งดีแลว อเุ บกขา จิตจึงปลอ ยวางโดยอัตโนมัติ เม่ือจิตรับทราบแลววา การพิจารณาธรรมะหัวขอน้ันถูกตอง ก็จะ อุเบกขาปลงวางโดยอัตโนมัติ เปนการพิจารณาธรรมจบ ๑ รอบ สมาธิก็จะ ทรงตัวอยูอยางน้ัน (จิตจะพักในฌาน ๔) จนกวาสมาธิจะถอน หรือถอย ออกมารับอารมณใหม (หัวขอธรรมใหม) สมาธิจิตก็จะเดินหมุนรอบ หมุนรอบ อยอู ยางน้ัน จนกวา จะเลกิ ทํากรรมฐาน 73
พระภาสกร ภรู ิวฑฺฒโน (ภาวไิ ล) หมายเหตุ ในคัมภีรปรมัตถโชติกา กลาวถึงพระอรหันตประเภท สุกขวิปสสก, วิปสสนายานิก, สุทธวิปสสนายานิก (ผูมีวิปสสนาลวนๆ เปนยาน) คือ ผูท่ีบรรลุอรหัตตผล ดวยการเจริญวิปสสนาลวนๆ แมจะ ไมไดทําสมถกรรมฐาน จนถึงข้ันไดฌานมากอนก็ตาม แตก็สามารถเจริญ วิปสสนาได โดยอาศัยเพียง อุปจารสมาธิ ในการพิจารณาธรรมโดยแยบคาย (โยนิโสมนสิการ) และนอมเขามาสูตน (โอปนยิโก) จนประจักษแจงไตรลักษณ ขจัดกิเลสไดหมดสิ้นเปนสมุจเฉทปหาน ถึงความเปนพระอรหันต บาลีเรียกวา ปญญาวิมุต ซ่ึงมีระบุไววา ในขณะเม่ือจะสําเร็จอรหัตน้ัน จะเปนผูได ปฐมฌาน คือ ฌาน ๑ ซึ่งมีองค ๕ คือ (๑) วิตก ความตรึก (๒) วิจาร ความตรอง (๓) ปติ ความอิ่มใจ (๔) สุข ความสบายใจ (๕) เอกัคตา ความมีอารมณเ ปน หนง่ึ จึงเปนอันวา ขณะท่ีพระอรหันตประเภท สุกขวิปสสก ทานสําเร็จ อรหัตนั้น ทานจะมี ปติ และ สุข (โสมนัส) เปนเวทนา ซ่ึงสอดคลองกับ หลัก โพชฌงค ๗ ธรรมท่ีเปน องคแหงการตรัสรู อันมี ๗ ประการ คือ (๑) สติ ความระลึกได (๒) ธัมมวิจยะ ความเฟนธรรม การศึกษาวิจัย สอดสอง สืบคนไปในธรรม (๓) วิริยะ ความเพียรเพื่อจะละความชั่ว ประพฤติความดี (๔) ปติ ความด่ืมด่ําอิ่มเอมใจ (๕) ปสสัทธิ ความสงบกาย สงบใจ (๖) สมาธิ ความต้ังใจม่ัน มีใจสงบแนวแน และมี (๗) อุเบกขา ความวางใจเปน กลางได เปนผลทสี่ ดุ นอกจากน้ี ยังสอดคลองกับคํากลาวท่ีวา “ไมมีฌาน ไมมีญาณ” หรือ “ไมมีฌาน ไมมีปญญา” ซึ่งหมายความวา การเกิดขึ้นของ วิปสสนาญาณ ความรูแจงชัด ขจัดกิเลสนั้น จะตองมีสมาธิถึงขั้นฌาน (คือ ฌาน ๑ เปนตน ไป) เปน กาํ ลงั สนับสนนุ เสมอ. 74
พระภาสกร ภูรวิ ฑฺฒโน (ภาวิไล) (๓) วิภวตัณหา ความทะยานอยากในวิภพ, ความอยากในความ พรากพนไปแหงตัวตน จากความเปนอยางใดอยางหน่ึงอันไมปรารถนา อยากทําลาย อยากใหดับสูญ, ความใครอยากท่ีประกอบดวย วิภวทิฏฐิ (ความเห็นผิดในวิภพ) หรือ อุจเฉททิฏฐิ (ความเห็นวาขาดสูญ เชน เห็นวา คนและสัตวจุติจากอัตภาพน้ีแลวขาดสูญ ซึ่งตรงขามกับ สัสสตทิฏฐิ ดังกลาว มาแลว ) 76
ปฏิจจสมปุ บาท สําหรับคนรนุ ใหม จากเวทนา ไปสตู ัณหา จติ ทํางานอยางไร? เมื่อมีผัสสะ คือความกระทบเกิดขึ้น ระหวางอายตนะในกับอายตนะ ภายนอก (อารมณ) พรอมท้ังเกิดวิญญาณ (จิต) คือความรูแจงอารมณ ขึ้นใน แตละชอ งทางของการรับรู เปนจักขุวิญญาณ คือความรูทางตาบาง โสตวิญญาณ ความรูทางหูบาง ฆานวิญญาณ ความรูทางจมูกบาง ชิวหาวิญญาณ ความรูทาง ลน้ิ บา ง หรือเปนกายวิญญาณ ความรูทางกาย ท่ีมาพรอมกับเวทนาทางกาย (กายสัมผัสสชา เวทนา) เปนความรูสึก สุขกาย (กายิกสุข) หรือ ทุกขกาย (กายิกทุกข) บาง หรือเปนมโนวิญญาณ อันจิตเคยรับรู ปรุงแตง บันทึก และมีสัญญาระลึกข้ึนไดบาง จากนั้น จิตจึงรับชวงเอาวิญญาณ คือความรูนั้น (ซึง่ เปน มโนวิญญาณไปแลว ) เขา สกู ระบวนการปรุงแตง รวมกับอตีตสัญญา ความจําไดหมายรู อันจิตระลึกนึกข้ึนได จากวิญญาณ ความรู ที่จิตเคยรับรู และบันทึกไวแตอดีต อันเนื่องดวยอารมณน้ันๆ นํามาสังขาร ปรุงแตงใหม รวมกัน (ซึ่งมีวิธีการปรุงแตงได ๕ วิธี คือ ปรุงแตงเปนบุญ ๑ ปรุงแตง เปนบาป ๑ ปรุงแตงเปนอรูปฌาน ๑ ปรุงแตงเปนรูปฌาน ๑ และอยาง ยอดเยี่ยม คือปรุงแตงเปนวิปสสนา ๑) จนเกิดมีเวทนา ความรูสึก เปน ความสุขใจ (โสมนัส) ทุกขใจ (โทมนัส) หรือเฉยๆ (อุเบกขา) หรือมีเวทนา ทเี่ กิดแตฌ าน คือความเพง และวปิ ส สนา คือการกระทําใหแจงซ่ึงธรรมชาติ และกฎของธรรมชาติ ท่ีดําเนินจาก ปติ (ความอิ่มใจ) และ สุข (โสมนัส คือความสบายใจ) จนมาส้ินสุดท่ีความรูสึกเฉยๆ (อุเบกขา) อันเน่ืองแต วญิ ญาณทร่ี บั รู และปรงุ แตงมาแลวนนั้ ๆ และ โดยมี เวทนา ความรูสึกท่ีเกิดขึ้นเปนปจจัย ตัณหา ความ ทะยานอยาก หรือ ราคะ ความติดใจในอารมณนั้นๆ จึงเกิดขึ้นตามมา โดยมเี งอื่ นไขดงั ตอไปน้ี 77
พระภาสกร ภูริวฑฺฒโน (ภาวิไล) ๑. มีเวทนาเปน โสมนสั หรอื อุเบกขา อันเกดิ แต ก. การปรุงแตงเปนบุญ ดวยจิตเปนมหากุศล ใน กามาวจรอิฏฐารมณ คืออารมณทีน่ า ปรารถนาอันมปี รากฏในกามภพ ข. การปรุงแตงเปนบาป ดวยจิตเปนโลภมูลจิต คือ จิตโลภ ใน กามาวจรอิฏฐารมณ คืออารมณท่นี าปรารถนาอนั มีปรากฏในกามภพ ในกรณีทั้งคูน้ี ทั้งโสมนัสเวทนา และอุเบกขาเวทนา จะเปนปจจัย ใหเกิด กามตัณหา ความทะยานอยาก และ กามราคะ ความติดใจ ใน กามาวจรอิฏฐารมณ คืออารมณท่ีนาปรารถนาอันมีปรากฏในกามภพนั้นๆ แลวท้ังกามตัณหาและกามราคะน้ีเอง ก็จะเปนปจจัยใหเกิด ภวตัณหา ความทะยานอยากในภพ คือกามภพ อันไดแก ฐานะ ตําแหนง บทบาท ยศถาบรรดาศกั ด์ิ อันเอ้อื อํานวยตอ การทจี่ ะไดม าโดยงา ย ซ่งึ กามคุณ ๕ คือ รูป เสียง กลิ่น รส สัมผัส ที่ตนมีความเห็นผิด ต้ังคาต้ังความปรารถนา เอาไวนั้นๆ ติดตามมา ๒. มเี วทนาเปน อุเบกขา อนั เกิดแต ก. การปรุงแตงเปน บาป ดวยจิตเปน วิจิกิจฉาโมหะมูลจิต คือ จิตหลง ชนิดคลางแคลงสงสยั ท่มี อี ารมณเ ปน กามาวจรวจิ ิกิจฉารมณ ข. การปรุงแตง เปน บาป ดวยจิตเปน อุทธัจจะโมหะมูลจิต คือ จิตหลง ชนดิ ฟุงซาน ทมี่ ีอารมณเปน กามาวจรอุทธจั จารมณ ท้งั สองกรณนี ี้ จิตยังไมสามารถทําความอิ่มใจ (ปติ) และความพอใจ (ฉันทะ) ในอารมณน้ัน จึงยังไมเปนปจจัยแกตัณหา คือความทะยานอยาก ใดๆ ได จนกวาจะไดมีการปรุงแตงอารมณน้ันใหม อันยังใหพนไปจาก จิตหลงทัง้ ๒ ประการน้ี 78
ปฏิจจสมุปบาท สาํ หรบั คนรุน ใหม ๓. มีเวทนาเปน โทมนัส อันเกิดแตการปรุงแตงเปนบาป ดวยจิต เปน โทสะมูลจิต คือ จิตโกรธ ในกามาวจรอนิฏฐารมณ คืออารมณที่ไมนา ปรารถนาอันมีปรากฏในกามภพ ในกรณีน้ี โทมนัสเวทนา จะเปนปจจัยใหเกิด วิภวตัณหา ความทะยานอยากในวิภพ, ความอยากในความพรากพนไป แหงตัวตน จากความเปนอยางใดอยางหนึ่งอันไมปรารถนา อยากทําลาย อยากใหดับสูญ แตเมื่อภพ คือความเปนอยางใดอยางหน่ึงอันไมปรารถนา ยังดํารงอยู ไมไดแตกสลายพนไปดังใจปรารถนา จิตจึงมีความ ปฏิฆะ กระทบกระทัง่ ใจ จนเกิด โทสะ ความคิดประทษุ รา ย ติดตามมา ๔. มเี วทนาเปน อุเบกขา อันเกิดแตการปรุงแตงเปนอรูปฌาน ดวยจิต เปน อรูปาวจรกุศลจิต คือ อรูปฌานจิต ซ่ึงมีอรูปกรรมฐาน ๔ ในกรรมฐาน ๔๐ เปนอารมณ ในกรณีนี้ อุเบกขาเวทนา จะเปนปจจัยใหเกิด อรูปราคะ ความ ติดใจในอารมณแหงอรูปฌาน หรือในอรูปธรรม แลวอรูปราคะนี้เอง ก็จะเปน ปจ จยั ใหเ กิด ภวตัณหา ความทะยานอยากในภพ คอื อรูปภพ ติดตามมา ๕. มีเวทนาเปน อุเบกขา อันเกิดแตการปรุงแตงเปนรูปฌาน ดวย จิตเปน รูปาวจรกุศลจิต คือ รูปฌานจิต ซึ่งไดแก กสิณ ๑๐ อานาปานสติ และอุเบกขาอัปปมัญญา รวมเปน รูปกรรมฐาน ๑๒ ในกรรมฐาน ๔๐ ที่สามารถใหผลถึงระดับ ฌาน ๔ อันมีองค ๒ คือ เอกัคตา และอุเบกขา เปนอารมณ ในกรณีน้ี อุเบกขาเวทนา จะเปนปจจัยใหเกิด รูปราคะ ความ ติดใจในอารมณแหงรูปฌาน หรือในรูปธรรม แลวรูปราคะน้ีเอง ก็จะเปน ปจ จยั ใหเกิด ภวตัณหา ความทะยานอยากในภพ คอื รปู ภพ ติดตามมา 79
พระภาสกร ภรู ิวฑฒฺ โน (ภาวไิ ล) ๖. มเี วทนาเปน ปต ิ หรือ สุข หรอื เพียงแนวแนเ ปน สมาธิ อนั เกดิ แตการปรุงแตงเปนรูปฌาน ดวยจิตเปน รูปาวจรกุศลจิต คือ รูปฌานจิต ซึ่งไดแก เมตตาอัปปมัญญา กรุณาอัปปมัญญา มุทิตาอัปปมัญญา ที่สามารถ ใหผลถึงระดับ ฌาน ๓ อนั มีองค ๒ คือ สขุ และเอกัคตา เปน อารมณ หรอื อสุภะ ๑๐ และกายคตาสติ ที่สามารถใหผลถึงระดับ ฌาน ๑ อันมีองค ๕ คือ วิตก วิจาร ปติ สุข และเอกัคตา เปนอารมณ หรือ อนุสติ ๘ ใน ๑๐ ขอ คือ พุทธานุสติ ธัมมานุสติ สังฆานุสติ สีลานุสติ จาคานุสติ เทวตานุสติ มรณสติ และอุปสมานุสติ กับอาหาเรปฏิกูลสัญญา และจตุธาตุววัฏฐาน ท่ีสามารถใหผลถึงระดับ อุปจารสมาธิ เปนอารมณ ในกรณีทั้งหมดน้ี คือรวมเปน รูปกรรมฐาน ๒๔ ในกรรมฐาน ๔๐ นั้น เวทนาที่เกิดข้ึน ไมวา จะเปน ปติ หรือ สุข หรือ เพียงแนวแนเปนสมาธิ ก็จะเปนปจจัยใหเกิด รูปราคะ ความติดใจในอารมณแหงรูปฌาน หรือในรูปธรรม แลวรูปราคะ นเี้ อง ก็จะเปนปจจัยใหเกิด ภวตัณหา ความทะยานอยากในภพ คือ รูปภพ ตดิ ตามมา หมายเหตุ “ตัณหา” ความทะยานอยาก มีความหมายใกลเคียง ตอเน่ือง และสามารถใชแทนกัน กับคําวา “ราคะ” อันหมายถึง ความกําหนัด ยินดี ความตดิ ใจ ความยอมใจติดอยใู นอารมณ (อารมณ คือ เคร่ืองยึดหนวง ของจติ ) 80
พระภาสกร ภรู วิ ฑฒฺ โน (ภาวิไล) (๒) ทิฏุปาทาน ความยึดติดถือม่ันในทิฏฐิ, ความยึดติดฝงใจใน ลัทธิ ทฤษฎี และหลักความเช่ือตางๆ คําวา “ทิฏฐิ” ใชโดยทั่วไปหมายถึง ความเห็น ทฤษฎี และ “ความเห็นผิด” (ถาเปนความเห็นถูก หรือความ เห็นชอบ จะใชคําวา “สัมมา” นําหนาเสมอ คือ “สัมมาทิฏฐิ” ในมรรค มีองค ๘), แตในภาษาไทยมกั หมายถงึ การดื้อดงึ ในความเห็น “ทฏิ ฐ”ิ คอื ความเหน็ ผิด เรียกเตม็ ยศวา “มจิ ฉาทิฏฐิ” มี ๒ อยางคือ ๒.๑ สสั สตทฏิ ฐิ ความเหน็ วา เท่ยี ง ๒.๒ อจุ เฉททฏิ ฐิ ความเห็นวาขาดสญู หรืออกี หมวดหน่ึงมี ๓ อยาง คือ ๒.๓ อกริ ิยาทิฏฐิ ความเห็นวา ไมเปน อันทํา ๒.๔ อเหตกุ ทฏิ ฐิ ความเหน็ วา ไมมเี หตุ ๒.๕ นัตถกิ ทฏิ ฐิ ความเห็นวา ไมมี คือถืออะไรเปนหลกั ไมไ ด เชน มารดาบดิ าไมม ี เปนตน (๓) สีลัพพตุปาทาน ความยึดติดถือม่ันในศีลและขอวัตร ดวยอํานาจ กิเลส, ความถือม่ันศีลพรต คือธรรมเนียมที่ประพฤติตามกันมาจนชิน โดย เช่ือวาขลัง เปนเหตุใหงมงาย, คัมภีรธัมมสังคณี แสดงความหมายไว อยา งเดียวกบั สลี พั พตปรามาส “สีลัพพตปรามาส” คือ ความยึดถอื วา บุคคลจะบริสุทธิ์หลุดพนได ดวยศีลและวัตร (คือถือวา เพียงประพฤติศีลและวัตรใหเครงครัด ก็พอท่ีจะ บริสุทธ์ิหลุดพนได ไมตองอาศัย สมาธิ และปญญาก็ตาม ถือศีลและวัตร ทีง่ มงาย หรืออยางงมงายก็ตาม), ความถือศีลพรต โดยสักวาทําตามๆ กันไป อยางงมงาย หรือโดยนิยมวาขลัง วาศักดิ์สิทธ์ิ โดยไมเขาใจความหมายและ ความมุงหมายที่แทจริง, ความเชื่อถือศักดิ์สิทธิ์ ดวยเขาใจวาจะมีไดดวยศีล หรือพรตอยา งน้ี ลวงธรรมดาวิสยั 82
ปฏิจจสมุปบาท สําหรบั คนรนุ ใหม (๔) อัตตวาทุปาทาน การยึดติดถือม่ันใน วาทะวาตน คือความ ยึดถือสําคัญมั่นหมาย วาน่ันน่ีเปนตัวตน เชน มองเห็นเบญจขันธเปนอัตตา, อยางหยาบขึ้นมา เชน ยึดถือมั่นหมายวา น่ีเรา น่ันของเรา จนเปนเหตุให แบงแยกเปน พวกเรา พวกเขา และเกิดความถือพวก “อัตตา” คือ ตัวตน, อาตมัน, ปุถุชนยอมยึดม่ัน มองเห็นขันธ ๕ อยางใดอยางหนึ่ง หรือท้ังหมดเปนอัตตา หรือยึดถือวามีอัตตา เน่ืองดวย ขันธ ๕ โดยอาการอยา งใดอยางหน่งึ “อนตั ตา” แปลวา ไมใ ชอ ัตตา, ไมใ ชต ัวไมใ ชตน “อนัตตลักษณะ” ลักษณะที่เปนอนัตตา, ลักษณะท่ีใหเห็นวา เปน ของมใิ ชตวั ตน โดยอรรถตา งๆ เชน ๑. เปนของสูญ คือ เปนเพียงการประชุมเขาขององคประกอบที่ เปน สว นยอยๆ ท้ังหลาย วางเปลาจากความเปนสตั ว บคุ คล ตัวตน เรา เขา หรอื การสมมติเปนตา งๆ ๒. เปน สภาพหาเจา ของมไิ ด ไมเปนของใครจรงิ ๓. ไมอยูในอํานาจ ไมเปนไปตามความปรารถนา ไมขึ้นกับการ บังคบั บญั ชาของใครๆ ๔. เปนสภาวธรรมท่ีดํารงอยู หรือเปนไปตามธรรมดาของมัน เชน ธรรมทีเ่ ปน สังขตะ คือสังขาร ก็เปน ไปตามเหตปุ จ จัย ข้ึนตอเหตุปจจัย ไมมี อยโู ดยลาํ พงั ตวั แตเ ปน ไปโดยสัมพนั ธอ งิ อาศยั กนั อยกู ับส่ิงอื่นๆ ๕. โดยสภาวะของมันเอง ก็แยงหรือคานตอความเปนอัตตา มีแต ภาวะท่ีตรงขา มกบั ความเปนอตั ตา 83
พระภาสกร ภูรวิ ฑฺฒโน (ภาวไิ ล) จากตณั หา ไปสูอปุ าทาน จิตทาํ งานอยา งไร? จําแนกเปน ๔ กรณี โดยพิจารณาเช่ือมโยงจากผัสสะ การกระทบ กบั อารมณของจติ คอื 84
ปฏจิ จสมุปบาท สําหรบั คนรนุ ใหม ๑. กรณีที่มีการผัสสะกับ กามาวจรอิฏฐารมณ คือกามารมณที่นา ปรารถนา ไมวา จติ ทีเ่ กิดขนึ้ จะเปนมหากุศลจิต ที่เปนบุญ หรือเปนโลภมูลจิต คือจิตโลภ ที่เปนบาป และไมวาเวทนาที่เกิดขึ้นจะเปนโสมนัสเวทนา คือ ความสุขใจ หรือเปนอุเบกขาเวทนา คือความรูสึกท่ียังเฉยๆ อยู เวทนาท้ังสอง ลักษณะในกรณีนี้ ยอมเปนปจจัยใหเกิดซ่ึง กามตัณหา ความทะยานอยาก ในกาม คือกามคุณ ๕ ไดแก รูป เสียง กลิ่น รส สัมผัส และก็เปนปจจัย ใหเกิดซ่ึง กามราคะ คือความกําหนัดติดใจในกามคุณอีกดวย แลวท้ัง กามตัณหาและกามราคะท่ีเกิดข้ึนน้ี ก็ยังเปนปจจัยตอเน่ืองไปใหเกิด ภวตัณหา ความทะยานอยากในภพ คือกามภพ อันเอื้ออํานวยแกการไดมาโดยงาย ซง่ึ กามวตั ถุ หรือกามคุณทน่ี า ปรารถนา ซึ่งแนนอนเมื่อมี กามตัณหา กามราคะ และภวตัณหาในกามภพ เปนปจจัย กามุปาทาน ความยึดติดถือมั่นในวัตถุกามนั้นๆ ก็จะเกิดขึ้น ตามมา พรอมกับการเพิ่ม ทิฏุปาทาน ความยึดติดถือม่ันในทิฏฐิ คือ ความเห็นวา วัตถุกามน้ันๆ เปนส่ิงที่ดีงาม นําความสุขมาให เปนส่ิงท่ี แนนอนเช่ือถือได เปนกามาวจรอิฏฐารมณ คือกามารมณท่ีนาปรารถนา ยงิ่ ๆ ข้นึ ไป นอกจากนี้ อัตตวาทุปาทาน การยึดติดถือมั่นในวาทะวาตน ก็จะ ไดรับการเสริมแรง ใหถลําลึกยึดแนนลงไปอีก เพราะเหตุสําคัญวา “ตน” นั้นเปน “เจาของ” อารมณ และเวทนาท่ีเกิดขึ้นสืบเน่ืองมาแตอารมณน้ันๆ มิหนําซํ้า ยิ่งมีการปฏิบัติในศีลพรต หรือขอวัตรใดๆ แลว มีสวนใหไดรับ กามาวจรอิฏฐารมณ คือกามารมณที่นาปรารถนาน้ันๆ โดยมีเวทนาเปน โสมนัส หรืออุเบกขาก็ตาม สีลัพพตุปาทาน ความยึดติดถือม่ันในศีลพรต นัน้ ๆ กจ็ ะถกู ตอกย้าํ ใหย ํ่าแย ยดึ ตดิ ยงิ่ ๆ ขน้ึ ไป 85
Search
Read the Text Version
- 1
- 2
- 3
- 4
- 5
- 6
- 7
- 8
- 9
- 10
- 11
- 12
- 13
- 14
- 15
- 16
- 17
- 18
- 19
- 20
- 21
- 22
- 23
- 24
- 25
- 26
- 27
- 28
- 29
- 30
- 31
- 32
- 33
- 34
- 35
- 36
- 37
- 38
- 39
- 40
- 41
- 42
- 43
- 44
- 45
- 46
- 47
- 48
- 49
- 50
- 51
- 52
- 53
- 54
- 55
- 56
- 57
- 58
- 59
- 60
- 61
- 62
- 63
- 64
- 65
- 66
- 67
- 68
- 69
- 70
- 71
- 72
- 73
- 74
- 75
- 76
- 77
- 78
- 79
- 80
- 81
- 82
- 83
- 84
- 85
- 86
- 87
- 88
- 89
- 90
- 91
- 92
- 93
- 94
- 95
- 96
- 97
- 98
- 99
- 100
- 101
- 102
- 103
- 104
- 105
- 106
- 107
- 108
- 109
- 110
- 111
- 112
- 113
- 114
- 115
- 116
- 117
- 118
- 119
- 120
- 121
- 122
- 123
- 124
- 125
- 126
- 127
- 128
- 129
- 130
- 131
- 132
- 133
- 134
- 135
- 136
- 137
- 138
- 139
- 140
- 141
- 142
- 143
- 144
- 145
- 146
- 147
- 148
- 149
- 150
- 151
- 152
- 153
- 154
- 155
- 156
- 157
- 158
- 159
- 160
- 161
- 162
- 163
- 164
- 165
- 166
- 167
- 168
- 169
- 170
- 171
- 172
- 173
- 174
- 175
- 176
- 177
- 178
- 179
- 180
- 181
- 182
- 183
- 184
- 185
- 186
- 187
- 188
- 189
- 190
- 191
- 192
- 193
- 194
- 195
- 196
- 197
- 198
- 199
- 200
- 201
- 202
- 203
- 204
- 205
- 206
- 207
- 208
- 209
- 210
- 211
- 212
- 213
- 214
- 215
- 216
- 217
- 218
- 219
- 220
- 221
- 222
- 223
- 224
- 225
- 226
- 227
- 228
- 229
- 230
- 231
- 232
- 233
- 234
- 235
- 236
- 237
- 238
- 239
- 240
- 241
- 242
- 243
- 244
- 245
- 246
- 247