Important Announcement
PubHTML5 Scheduled Server Maintenance on (GMT) Sunday, June 26th, 2:00 am - 8:00 am.
PubHTML5 site will be inoperative during the times indicated!

Home Explore ปฏิจจสมุปบาท สำหรับคนรุ่นใหม่.

ปฏิจจสมุปบาท สำหรับคนรุ่นใหม่.

Published by thiwadon jirapunyo, 2021-09-24 11:52:14

Description: พระภาสกร ภูริวฑฺฒโน (ภาวิไล).

Search

Read the Text Version

พระภาสกร ภรู วิ ฑฒฺ โน (ภาวไิ ล) ปฏิจจสมปุ บาทสายดบั พระพุทธองคทรงแสดงปฏิจจสมุปบาทไว ๒ ประเภท และแตละ ประเภทก็แสดงไวเปนแบบความสัมพันธ ๒ นัย โดยนัยแรกจะทรงแสดง กระบวนการเกิด เรียกวา สมุทยวาร และนัยหลังจะแสดง กระบวนการดับ เรียกวา นิโรธวาร ดงั ตัวอยา งตอ ไปน้ี ๑. ประเภทที่เปน หลักทัว่ ไป เปนกลางๆ ไมร ะบุช่อื หวั ขอ ปจจัย ก. อมิ สมฺ ึ สติ อิทํ โหติ เม่อื สิง่ นมี้ ี ส่งิ น้ีจึงมี อิมสฺสุปปฺ าทา อิทํ อปุ ฺปชฺชติ เพราะสิง่ นี้เกิดขนึ้ ส่งิ น้ีจงึ เกดิ ข้ึน ข. อิมสมฺ ึ อสติ อทิ ํ น โหติ เมือ่ สง่ิ น้ีไมม ี สิ่งน้ีกไ็ มม ี อมิ สสฺ นโิ รธา อทิ ํ นริ ชุ ฌฺ ต1ิ เพราะส่งิ นี้ดบั ไป ส่งิ น้กี ด็ บั (ดวย) ตามรูปพยัญชนะท่ีกลาวมา เขาไดกับคําวา อิทัปปจจยตา ภาวะท่ี มีสิ่งๆ น้ี เปนปจจัย โดยขอ ก. เปน สมุทยวาร คือ กระบวนการเกิด และ ขอ ข. เปน นิโรธวาร คอื กระบวนการดับ ๒. ประเภทที่เปน หลักประยุกต โดยการแจกแจงหัวขอ ซึ่งนัยแรก จะแสดง สมุทยวาร คือกระบวนการเกิดไปตามลําดับ ที่เรียกวา อนุโลม- ปฏิจจสมุปบาท อันเทียบไดกับ ทุกขสมุทัย เหตุใหเกิดทุกข ไดแก ขอ ๒ ในอริยสัจ ๔ สวนนัยหลังจะแสดง นิโรธวาร คือกระบวนการดับ อันเปน การแสดงยอนลําดับ จึงเรียกวา ปฏิโลมปฏิจจสมุปบาท ซ่ึงเทียบไดกับ ทกุ ขนิโรธ ความดับแหง ทุกข ไดแ ก ขอ ๓ ในอริยสัจ ๔ ดังตัวอยางตอไปน้ี ก. อวชิ ชฺ าปจจฺ ยา สงฺขารา เพราะ อวชิ ชา เปนปจจยั สังขาร จึงมี สงฺขาราปจฺจยา วิฺญาณ เํ พราะ สังขาร เปน ปจ จยั วิญญาณ จึงมี 1 ส.ํ น.ิ ๑๖/๖๔, ๑๔๔/๓๓, ๗๘, ฯลฯ 136

ปฏิจจสมปุ บาท สาํ หรบั คนรุน ใหม วิฺญาณปจฺจยา นามรปู  เพราะ วิญญาณ เปนปจจัย นามรูป จึงมี นามรปู ปจฺจยา สฬายตนํ เพราะ นามรปู เปนปจ จัย สฬายตนะ จึงมี สฬายตนปจฺจยา ผสโฺ ส เพราะ สฬายตนะ เปน ปจจยั ผัสสะ จงึ มี ผสสฺ ปจจฺ ยา เวทนา เพราะ ผัสสะ เปน ปจ จยั เวทนา จึงมี เวทนาปจจฺ ยา ตณหฺ า เพราะ เวทนา เปนปจจัย ตณั หา จึงมี ตณหฺ าปจฺจยา อปุ าทานํ เพราะ ตณั หา เปนปจจยั อปุ าทาน จงึ มี อปุ าทานปจจฺ ยา ภโว เพราะ อปุ าทาน เปน ปจ จยั ภพ จึงมี ภวปจจฺ ยา ชาติ เพราะ ภพ เปน ปจจัย ชาติ จึงมี ชาติปจฺจยา ชรามรณํ เพราะ ชาติ เปนปจ จยั ชรามรณะ จงึ มี โสกปรเิ ทวทุกฺขโทมนสฺสปุ ายาสา สมภฺ วนฺติ ความโศก ความครํ่าครวญ ทกุ ข โทมนสั และความคับแคน ใจ จงึ มีพรอ ม เอวเมตสสฺ เกวลสฺส ทุกฺขกขฺ นธฺ สสฺ สมุทโย โหติ ความเกิดขน้ึ แหง กองทุกขท้ังปวงนี้ จึงมไี ดดว ยประการฉะน้ี ข. อวชิ ฺชาย เตฺวว อเสสวิราคนโิ รธา สงฺขารนิโรโธ เพราะ อวชิ ชา สํารอกดับไปไมเ หลือ สงั ขาร จึงดบั สงฺขารนิโรธา วิ ฺญาณนโิ รโธ เํ พราะ สังขาร ดบั วญิ ญาณ จึงดบั วิ ฺญาณนโิ รธา นามรปู นโิ รโธ เพราะ วิญญาณ ดับ นามรูป จงึ ดบั นามรูปนโิ รธา สฬายตนนโิ รโธ เพราะ นามรูป ดบั สฬายตนะ จึงดบั สฬายตนนโิ รธา ผสฺสนโิ รโธ เพราะ สฬายตนะ ดับ ผสั สะ จงึ ดบั ผสสฺ นิโรธา เวทนานโิ รโธ เพราะ ผัสสะ ดบั เวทนา จงึ ดบั เวทนานโิ รธา ตณฺหานโิ รโธ เพราะ เวทนา ดบั ตณั หา จงึ ดบั ตณหฺ านโิ รธา อปุ าทานนิโรโธ เพราะ ตัณหา ดบั อุปาทาน จึงดับ อุปาทานนโิ รธา ภวนโิ รโธ เพราะ อปุ าทาน ดบั ภพ จึงดับ ภวนโิ รธา ชาตนิ ิโรโธ เพราะ ภพ ดบั ชาติ จงึ ดับ ชาตินโิ รธา ชรามรณํ เพราะ ชาติ ดบั ชรามรณะ (จงึ ดับ) 137

พระภาสกร ภรู ิวฑฒฺ โน (ภาวไิ ล) โสกปริเทวทกุ ฺขโทมนสฺสปุ ายาสา นิรชุ ฌฺ นตฺ ิ ความโศก ความครํ่าครวญ ทกุ ข โทมนัส ความคบั แคน ใจ กด็ ับ เอวเมตสฺส เกวลสสฺ ทุกขฺ กขฺ นฺธสสฺ นิโรโธ โหต1ิ ความดบั แหง กองทุกขท ัง้ มวลน้ี ยอ มมีดว ยประการฉะน้ี จะเหน็ วาปฏจิ จสมุปบาทแบบ นิโรธวาร หรือ ปฏิโลมปฏิจจสมุปบาท ทีแ่ สดง กระบวนการดับแบบยอนลาํ ดบั นี้ ก็คอื ทุกขนโิ รธ ความดับแหงทกุ ข ในหลัก อริยสัจ ๔ นั่นเอง แตกระน้ันเมื่อมาพิจารณา อริยสัจ ๔ ในฐานะที่เปน “กฎความเปนเหตุเปนผลของทุกข” ท่ีมีขอสรุปวา “ทุกข” เปนสิ่งท่ีมีเหตุ มีผล และอยูภายใตค วามเปนเหตุเปนผล กลา วคือ ทุกข คือ สภาพท่ีทนไดยาก เปนผล โดยมี ทุกขสมุทัย เหตุให เกิดทกุ ข กลา วคอื ตณั หา เปนเหตุ ทุกขนโิ รธ ความดับทุกข เปนผล โดยมี ทุกขนิโรธคามินีปฏิปทา ทางปฏบิ ตั ิใหถงึ ความดับทุกข คอื อรยิ มรรคมอี งค ๘ เปนเหตุ เมอ่ื มาถึงจุดนี้ คาํ ถามทเี่ กดิ ขึ้น ก็คือ แลว อริยมรรคมีองค ๘ อันเปน ฝา ยเหตุของความดบั ทกุ ขเลา จะอยู ณ ที่แหง ใดในวงจรปฏจิ จสมปุ บาท คําตอบกค็ ือ ณ ทๆ่ี มี วปิ ส สนา คือ สงั ขาร สภาพทปี่ รงุ แตง อนั ยัง ภพใหสน้ิ ไป โดยมีศีลเปน บาทฐาน มสี มาธิเปนกําลัง มีการอธิษฐานเพื่อ ความพนทุกข คือถึงพระนิพพานในปจจุบันเปนเปาหมาย และมีทาน เปนดจุ เสบียง ท่ียัง สัปปายะ คือความสะดวกสบาย อันเกื้อกูลแกการปฏิบัติ วปิ ส สนาใหเกดิ ขนึ้ 1 วินย. ๔/๑-๓/๑-๕, ส.ํ น.ิ ๑๖/๑-๓, ๑๔๔/๑, ๗๘, ฯลฯ 138

ปฏจิ จสมปุ บาท สําหรับคนรนุ ใหม อริยมรรคมีองค ๘ อริยมรรคมีองค ๘ หรือ อริยอัฏฐังคิกมรรค แปลวา ทางมีองค ๘ ประการอนั ประเสริฐ ซึง่ มอี งคธ รรม ๘ ประการ ดังตอไปนี้ ๑. สมั มาทฏิ ฐิ คือ ความเห็นชอบ ไดแก ๑.๑ ความเห็นชอบใน กฎธรรมชาติ ๔ ประการ คือ (๑) กฎของการกระทาํ คือ กฎแหง กรรม (๒) กฎของความเปลีย่ นแปลง คอื ไตรลกั ษณ (๓) กฎของเหตุผล (เนนที่ทุกข) คือ อรยิ สจั ๔ (๔) กฎของความเปนปจจัยโยงใยถึงกนั (เนน ท่ีทุกข) คอื ปฏิจจสมปุ บาท ๑.๒ ความเหน็ ชอบใน พระรตั นตรัย ๑.๓ ความเหน็ ชอบใน พระนิพพาน ๒. สมั มาสังกัปปะ คอื ความดําริชอบ คดิ ชอบ ไตรตรองชอบ ไดแ ก ๒.๑ กศุ ลวติ ก คือ ความตรกึ ที่เปนกศุ ล, ความนกึ คิดที่ดีงาม ไดแก (๑) เนกขัมมวติ ก ความตรึกปลอดจากกาม การสละออก ไมปรนปรอื อยาก (๒) อพยาบาทวิตก ความตรกึ ปลอดจากพยาบาท มเี มตตา ไมขัดเคืองมุงราย (๓) อวิหงิ สาวิตก ความตรึกปลอดจากเบียดเบียน มีกรณุ า ไมทาํ ลายทาํ รา ย ๒.๒ วิปสสนา คือ การอบรมปญญาใหเห็นแจงรูชัด ยอมรับสภาวะ ของสรรพสิง่ ทง้ั หลายตามจรงิ (๑) โยนโิ สมนสกิ าร การพจิ ารณาโดยแยบคาย สบื สาว แยกแยะเหตุปจจัย (๒) โอปนยิโก ธรรมควรนอ มเขา มาพจิ ารณาสอนใจตน อันนาํ ไปสนู พิ พาน 139

พระภาสกร ภูริวฑฺฒโน (ภาวไิ ล) ๓. สมั มาวาจา คอื เจรจาชอบ ไดแ ก วจสี ุจรติ , ประพฤตชิ อบดวยวาจา มี ๔ คือ (๑) มสุ าวาทา เวรมณี เจตนาเวนจากการพดู เท็จ ไมเปนความจรงิ (๒) ปสุณาย วาจาย เวรมณี เจตนาเวนจากการพดู สอ เสยี ด ยยุ งใหแ ตกแยก (๓) ผรสุ าย วาจาย เวรมณี เจตนาเวน จากการพดู คําหยาบ (๔) สมฺผปฺปลาปา เวรมณี เจตนาเวน จากการพูดเพอเจอ เหลวไหล ไรส าระ ๔. สัมมากัมมันตะ คอื กระทําชอบ ไดแ ก กายสุจริต ความประพฤตชิ อบดวยกาย มี ๓ คอื (๑) ปาณาติปาตา เวรมณี เจตนาเวน จากปลงชวี ติ (๒) อทินฺนาทานา เวรมณี เจตนาเวนจากถือเอาของทีเ่ ขาไมใ ห ดงั ขโมย (๓) กาเมสุมิจฺฉาจารา เวรมณี เจตนาเวนจากประพฤตผิ ดิ ในกาม ๕. สมั มาอาชีวะ คอื เล้ยี งชพี ชอบ ไดแก (๑) เวนมิจฉาชพี ไมเล้ียงชีพในทางทุจริต ไมป ระกอบการคา อนั ไมค วร1 (๒) ประกอบสัมมาชีพ การหาเลีย้ งชพี ในทางสจุ ริต ๖. สมั มาวายามะ คือ พยายามชอบ ไดแก ปธาน หรือ สัมมปั ปธาน ๔ คือ (๑) สงั วรปธาน เพยี รระวงั ปดกนั้ ยับยั้งอกศุ ลธรรมที่ยงั ไมเ กดิ ไมใ หเ กิดขึน้ (๒) ปหานปธาน เพยี รขจัด ละบาปและอกศุ ลธรรมทเี่ กิดข้ึนแลวใหห มดไป 1 มิจฉาวณิชชา การคาขายที่ผิด ไมชอบธรรม ไมควรแกอุบาสก ไดแก ๑) สัตถวณิชชา คาอาวุธ ๒) สัตตวณิชชา คามนุษย ๓) มังสวณิชชา คาเนื้อสัตว ๔) มชั ชวณชิ ชา คาของเมา ๕) วิสวณิชชา คายาพษิ 140

ปฏจิ จสมุปบาท สาํ หรบั คนรุนใหม (๓) ภาวนาปธาน เพียรเจรญิ กศุ ลธรรมทย่ี งั ไมเกดิ ใหเกดิ มีขึ้น สําเร็จขนึ้ (๔) อนุรักขนาปธาน เพยี รรักษา กศุ ลธรรมทเ่ี กิดแลว ใหต ้งั มัน่ จนไพบลู ย ๗. สมั มาสติ คือ ระลกึ ชอบ ไดแ ก สติปฏ ฐาน ๔ ท่ีตงั้ ของสติ อันควรระลึกและ พจิ ารณาใหรเู ห็นตามจริง อยูเ สมอ (๑) กายานปุ สสนาสตปิ ฏฐาน ระลึก พจิ ารณาใหร เู หน็ ตามจรงิ ในกาย (๒) เวทนานปุ สสนาสตปิ ฏฐาน ระลกึ พจิ ารณาใหรูเหน็ ตามจรงิ ในเวทนา (๓) จิตตานุปสสนาสตปิ ฏฐาน ระลกึ พจิ ารณาใหร เู ห็นตามจรงิ ในจิต (๔) ธมั มานุปส สนาสติปฏ ฐาน ระลกึ พจิ ารณาใหรูเห็นตามจริงในธรรม ๘. สัมมาสมาธิ คอื จิตตงั้ มนั่ ชอบ ไดแก (๑) อปุ จารสมาธิ สมาธิจวนแนว แน อันสนบั สนนุ แกการเจรญิ วปิ สสนา (๒) อปั ปนาสมาธิ สมาธแิ นว แน คือ ฌาน ตง้ั แตปฐมฌาน จนถงึ ฌาน ๔ ทั้งน้ี อริยมรรคมีองค ๘ คือทางดําเนินอันประเสริฐน้ี ยอมมี ปลายทางท่ีแนนอน คือความหลุดพนไปจากทุกข หรือพระนิพพานเปน เปาหมาย ฉะนั้นผูใดที่อางวาตนเปนนักปฏิบัติ หรือเปนผูปฏิบัติในทาง พระพุทธศาสนา ตามหลักอริยมรรคมีองค ๘ ของพระศาสดาแลว แตทวา ยังไมไดมีการตั้งจิตเจตนาเพื่อเปาหมายสูงสุด คือพระนิพพานแลว พึง สํารวมใจกระทําซึ่ง อธิษฐานบารมี ตั้งจิตเจตนารวบรวมกําลังใจ กําลัง บุญบารมีทั้งหมด ที่ตนเคยสรางเคยสั่งสมมา ในทุกภพทุกชาติอันหา ประมาณมิไดนั้น มาเปนบาทฐาน มาเปนกําลังในการดําเนินอริยมรรค ใหเ ขาถงึ พระนพิ พานโดยเร็วทีส่ ุด 141

พระภาสกร ภูรวิ ฑฒฺ โน (ภาวไิ ล) นอกจากน้ี จะตอ งอธิษฐานยกเลิกเจตนาแตด้ังเดิมทุกประการ อัน ตนนั้นไดเคยตั้งจิตอธิษฐาน1 หรือผูกเวรจองกรรม2 เอาไว ที่จะเปน อปุ สรรคแกการปฏบิ ัตเิ พอื่ มรรคผลนิพพานในปจจบุ นั ดวย การอธิษฐานเพ่ือพระนิพพาน จึงเปนกุญแจสําคัญท่ีสุด เปน เครื่องวัด สมั มาทิฏฐิ ของนกั ปฏิบตั วิ า ถงึ พรอมดว ยศรัทธา แนวแนใ น พระรัตนตรัยมากนอยเพียงใด หรือวายังมี วิจิกิจฉา คือความลังเลสงสัยใน พระพทุ ธเจา และพระธรรมคําสอนของพระพทุ ธองคอยอู กี อีกประการหน่ึง มีความพยายามที่จะเทียบ องคของอริยมรรค เขาใน ไตรสิกขา คือ ขอท่ีจะตองศึกษา, ขอปฏิบัติที่เปนหลักสําหรับศึกษา คือ ฝก หัดอบรมกาย วาจา ใจ ใหม ปี ญญาย่งิ ข้ึนไป จนบรรลุจุดหมายสูงสุด คอื พระนพิ พาน กลา วคอื 1 การอธิษฐานบารมีบางประเภท แมเจตนาจะเปนมหากุศล แตก็เปน อปุ สรรคแก อรยิ มรรค เชน ๑) อธิษฐานพุทธภูมิ เพ่ือการตรัสรูเองเปนพระสัมมาสัมพุทธเจา และสอน ผอู ่นื ใหบรรลุตามได ๒) อธิษฐานปจเจกภูมิ เพื่อการตรัสรูเองเปนพระปจเจกพุทธเจา ทวาสอน ผูอ ืน่ ใหบ รรลุตามไมได ๓) อธษิ ฐานสาวกภูมิ และมหาสาวกภูมิ ตดิ ตามพระโพธิสัตวองคอื่นๆ ที่ไมใช พระศาสดาสัมมาสมั พทุ ธเจา พระมหาสมณโคดม พระพทุ ธเจาพระองคปจ จบุ ัน ๔) อธิษฐานจํากัดเวลาไว วาจะตองไดมรรคผลพรอมคนน้ันคนน้ี อันเคย เปน ท่รี ักท่ีพอใจในอดีต 2 การอาฆาตพยาบาท ผูกเวรจองกรรม ก็มีฐานะเปนเชน อธิษฐานบารมี แตเปน ไปในฝา ยช่วั ตราบใดที่ยังไมไดมีการยกเลิก ยังไมไดมีการใหอโหสิกรรมแกผูที่ เราผกู เวรไว พยาบาทเหลานั้นก็จะมาเปนอุปสรรคขัดขวาง มิใหเกิดความสําเร็จในการ ปฏบิ ตั ธิ รรมเพ่ือความกา วลวงทกุ ข เขา ถึงมรรค ผล นิพพานได 142

ปฏจิ จสมุปบาท สําหรับคนรนุ ใหม ๑) สัมมาวาจา สัมมากัมมันตะ และ สัมมาอาชีวะ จัดเขาใน อธิศีลสิกขา สิกขาคือศีลอันยิ่ง, ขอปฏิบัติสําหรับฝกอบรมในทางความ ประพฤตอิ ยา งสงู ๒) สัมมาวายามะ สัมมาสติ และ สัมมาสมาธิ จัดเขาใน อธจิ ิตตสกิ ขา สิกขาคือจิตอันย่ิง, ขอปฏิบัติสําหรับฝกอบรมจิต เพื่อใหเกิด คุณธรรม เชน สมาธิอยา งสงู ๓) สัมมาทิฏฐิ และ สัมมาสังกัปปะ จัดเขาใน อธิปญญาสิกขา สิกขาคือปญญาอันยิ่ง, ขอปฏิบัติสําหรับฝกอบรมปญญา เพื่อใหเกิดความ รูแ จงอยา งสูง แตทั้งน้ี เราพึงสําเหนียกอยูเสมอวา พระศาสดาสัมมาสัมพุทธเจา ของเรานั้น ยามเม่ือทรงตรัสถึง อริยสัจ ๔ คือ ทุกข สมุทัย นิโรธ มรรคน้ัน ยังไมเคยปรากฏเลย ที่พระองคใชคําวามรรคมีองค ๓ หรือมรรคคือ ไตรสิกขา ไดแก ศีล สมาธิ ปญญา มีแตทรงตรัสวา มรรคมีองค ๘ เทานั้น จึงควรที่เราจะตองใหความสําคัญวา ทุกๆ องคของมรรค ลวนมีความสําคัญ ไมควรทีเ่ ราจะมองขาม มิฉะนั้นพระพุทธองคก็คงจะบัญญัติ มรรคมีองค ๓ ไปนานแลว... ถาเชนนั้น เม่ือมีผูสรุปมรรคมีองคแปดลงใน ไตรสิกขา อะไรบา งทีข่ าดหายไป? ตามความเขาใจของคนทั่วๆ ไป ไตรสิกขา หรือ สิกขา ๓ ก็คือ ศีล สมาธิ และปญญา เทานั้น ไมไดรวมถึงเปาหมาย คือ การบรรลุจุดหมาย สูงสดุ ถึงพระนพิ พานเขาไปดวย อีกประการหนึ่ง มรรค แปลวา หนทาง หรือทางดําเนิน แนนอนวา ในเม่ือเปน หนทาง ก็ตองมีทั้งตนทางและปลายทาง อริยมรรคมีองค ๘ ของ พระพุทธองคก็เชนกัน ก็มีท้ังตนทางและปลายทางดวยเชนกัน ตนทางของ มรรคก็คือ ทุกข ความทนไดยาก และสมุทัย สาเหตุของทุกข คือตัณหา ความทะยานอยากทั้งหลาย สวนปลายทางของมรรค ก็คือ นิโรธ ความ ดับพนจากทุกขไ ปโดยสิน้ เชิง คอื พระนิพพาน 143

พระภาสกร ภรู ิวฑฒฺ โน (ภาวไิ ล) ฉะนั้นส่ิงสําคัญท่ีจะขาดหายไป หากสรุปอริยมรรคมีองค ๘ ลงใน ไตรสิกขา ก็คือ “เจตนาเพ่ือพระนิพพานน่ันเอง” ซึ่งเห็นไดจากระยะหลัง สํานักปฏิบัติธรรมหลายๆ สํานัก ก็ละเลย มิไดใหความสนใจในการที่จะนํา ผูปฏบิ ตั ิ ใหอ ธิษฐานเพอ่ื มรรคผลนิพพานในปจจบุ ัน จึงขอเนนไวอีกครั้งหนึ่งวา ตราบใดที่ยังไมมีการอธิษฐานเพื่อ พระนิพพานในปจจุบัน ตราบนั้นการปฏิบัติธรรมใดๆ ไมวาจะพากเพียร ครํ่าเครงยากเย็นปานใด ก็ยังไมใชการปฏิบัติในอริยมรรคมีองค ๘ ของ พระพทุ ธองค คงเทียบไดแตเพยี งขน้ั ของการสัง่ สมบุญญาบารมีเทา นัน้ แลวการอธิษฐานเพื่อพระนพิ พานในปจ จบุ นั จะเกิดข้ึนไดอ ยา งไร ? พระพุทธองคท รงแสดงอริยสัจ ๔ เรม่ิ ตน ดว ย ทกุ ข ความทนไดยาก และแสดงกิจในอริยสัจ ๔ ในสวนของทุกขวาคือ ปริญญา การกําหนดรู ตามหลักวา ทุกฺขํ อริยสจฺจํ ปริฺเญยฺยํ อันมีความหมายวา ทุกข คือสิ่งท่ี ตองกาํ หนดรู ตองศึกษาใหรูจกั ใหเ ขา ใจชัดเจนถึงภาวะทุกขที่มีอยูประจําโลก ประจําชวี ิต และเกดิ ขน้ึ ซํา้ ซาก ซ้ําแลวซา้ํ อกี ไมม ีวนั สิ้นสุด ตราบใดท่ีเรายังโง ยังหลงใหลมาเวียนวายตายเกิดอยู ตราบนั้น เราก็ตองไดประสบพบกับความทุกข อยางยากท่ีจะหลีกเลี่ยงได การเห็น ทุกขน้ี จงึ เปน แรงขบั ดนั ใหเกดิ การอธษิ ฐานเพ่อื พระนิพพานในปจจุบนั หรืออกี นยั หนึง่ อาจสรปุ เปน สมการไดวา อรยิ มรรคมอี งค ๘ = อธิษฐานมงุ พระนิพพาน + ไตรสกิ ขา = เห็นทุกข + ไมลังเลสงสัยในพระรัตนตรัย + ศลี สมาธิ ปญ ญา 144

ปฏิจจสมปุ บาท สําหรับคนรุนใหม จากไตรสิกขา มาเปน สมถะและวปิ สสนา ไตรสิกขา คือ ขอท่ีจะตองศึกษา, ขอปฏิบัติท่ีเปนหลักสําหรับศึกษา คอื ฝกหัดอบรมกาย วาจา ใจ ใหม ปี ญญาย่ิงข้ึนไป จนบรรลุจุดหมายสูงสุด คือพระนพิ พาน กลา วคือ ๑) อธศิ ลี สกิ ขา สิกขาคือศลี อันยงิ่ , ขอ ปฏิบัตอิ บรมความประพฤติ ๒) อธิจิตตสกิ ขา สิกขาคอื จิตอันยิง่ , ขอ ปฏบิ ตั ิอบรมจติ ใหเ กดิ คณุ ธรรม เชน สมาธิ ๓) อธปิ ญ ญาสกิ ขา สิกขาคือปญ ญาอนั ยง่ิ , ขอปฏิบตั ิอบรมปญญา ใหเกิดความรูแจง ฉะน้ัน อธิจิตตสิกขา และอธิปญญาสิกขา จึงเปนเครื่องดําเนิน เพ่ือใชในการปฏิบัติพัฒนาจิต ขจัดออกซ่ึง กิเลส คือความเศราหมอง ทั้งปวง อันมี อวิชชา ความไมรูตามเปนจริงเปนท่ีมา โดยมี อธิศีลสิกขา คอื ศีล ความเปนปกตอิ นั ย่ิง เปน บาทฐานแกก ารปฏบิ ัติพฒั นาจิต อธิจติ ตสิกขา ไดแก สมั มาสติ ความระลึกชอบ สมั มาสมาธิ ความ มีจิตตั้งม่ันชอบ และสัมมาวายามะ ความเพียรพยายามชอบ ในแงปฏิบัติ ก็คือ สมถกรรมฐาน อธปิ ญ ญาสิกขา ไดแ ก สมั มาทฏิ ฐิ ความเห็นชอบ และสัมมาสังกัปปะ ความดาํ รชิ อบ ในแงปฏบิ ตั ิ ก็คือ วปิ สสนากรรมฐาน ภาวนา ๒ ไดแ ก (๑) สมถภาวนา หรือ สมถกรรมฐาน คือ การฝกอบรมจิตใหเกิด ความสงบ เปน สมาธิ (๒) วิปสสนาภาวนา หรือ วิปสสนากรรมฐาน คือ การฝกอบรม พฒั นาปญ ญา ใหเ กดิ ความรแู จงตามเปนจรงิ เรียกอีกอยา งวา “เจริญปญญา” 145

พระภาสกร ภูริวฑฒฺ โน (ภาวไิ ล) พิจารณาถึงจุดนี้ จะเห็นไดวา สมถะและวิปสสนานั้น จะตอง ปฏิบัติดําเนินไปดวยกัน ถึงจะสอดคลองตรงกับหลักอริยมรรคมีองค ๘ ไมใช แยกกันปฏิบัติ เหมือนท่ีบางสํานักพยายามอวดอางวา แนวปฏิบัติของตนเปน วิปสสนา แลวโจมตีสํานักอ่ืนวาเปนสมถะ ซึ่งการหลงผิดและยกตนขมทาน เชน นน้ั เปน การบง บอกวา ยงั ขาดความเขาใจในอรยิ มรรคอยูมากทเี ดยี ว ในเรื่องของสมถกรรมฐาน และวิปสสนากรรมฐานนั้น ไดแสดงไว อยางกวางขวางพอสมควรแลว ในหัวขอ เสนทางของสังขาร จึงไมขอนํามา กลา วซ้ําในทน่ี ้ี วิปสสนา คอื สังขาร การปรุงแตง อนั ยงั ภพใหส นิ้ ไป สังขารอันยังภพใหส้ินไป ไดแก วิปสสนา การฝกอบรมปญญา ใหเกิดความเห็นแจง รูชัดตรงตอความเปนจริงของสภาวธรรม, ปญญาที่ เห็นไตรลักษณ อันถอดถอนความหลงผิดรูผิดในสังขารเสียได ซ่ึงมีปจจัย สาํ คัญ คือ โยนโิ สมนสิการ การพิจารณาโดยแยบคาย และ โอปนยิโก การนอม เขา มาสใู จ จนเห็นแจง สภาวธรรมอันเปน ไปตาม กฎไตรลักษณ เพื่อตอกย้ําความเขาใจท่ีถูกตอง ตอการปฏิบัติวิปสสนากรรมฐาน จึงขอนําขอความที่เคยใชอธิบายกระบวนการทํางานของจิต ดังที่ไดเคย นําเสนอไปแลว มาใหอานกันอีกคร้ังหนึ่ง ขอทานผูอาน จงเดินจิตพิจารณา ตามชา ๆ กจ็ ะเห็นภาพชัดเจนวา วิปส สนาทีแ่ ทจ ริงเปนเชน ไร “ก็เพราะวา อวิชชา คือมหาเหตุของกิเลส คือ ความโลภ โกรธ หลง ซ่งึ ครอบคลุมจิตใหเศราหมอง แลวอวิชชาคืออะไร สิ่งทั้งหลาย ท่ีเรียกวา อวิชชา อันเปนเหตุลากจูงเราท้ังหลาย ใหเวียนวายตายเกิดมานาน นับภพ นับชาติไมถวนนั้น ก็คือ การไมรูแจงตามความเปนจริง ของส่ิงท่ีมีอยู เปนอยู จึงสงผลใหเกิด อุปาทาน ความยึดถือ ความยึดม่ันถือม่ัน ในการ ตั้งคณุ คา ทผี่ ดิ ใหกบั สิ่งทไ่ี มไดม คี ณุ คาอยา งแทจรงิ … 146

ปฏจิ จสมุปบาท สาํ หรับคนรนุ ใหม ก็ส่งิ เหลา น้ีไมใ ชหรอื คอื กายภายใน กายภายนอก ท่ีเราไปต้ังคุณคา ตีราคา วามันเปนที่ต้ังท่ีมา ของความสุข ความทุกขประการตางๆ เราสุข เพราะ สมหวังในสงิ่ ทป่ี รารถนาใหคุณคาเหลาน้ัน เราทุกข เพราะผิดหวัง หรือตอง สญู เสยี ในคุณคา เหลา น้นั แลวสิ่งเหลา น้ัน มนั มคี ณุ คาเชนน้นั จริงๆ หรือ ? หัวขอวิปสสนาท้ังหลาย ที่พระศาสดาสัมมาสัมพุทธเจา ไดทรง แสดงไวใหเราดําเนินจิต นึก คิด พิจารณา คือโยนิโสมนสิการน้ัน ก็คือการ เขาไปประจักษใน อุปาทาน คือ คุณคาจอมปลอมทั้งหลาย ที่เราเคยต้ังไว ท้ัง ในกายภายใน กายภายนอก ในเวทนาทั้งหลาย ท้ังภายในภายนอก ที่นํามาซ่ึง สุข ทุกข หรือความไมสุขไมทุกข ก็เพราะหลงไปผูกติด เชื่อมโยง เก่ียวเนื่อง ดวยกายอันเราตั้งคุณคาที่ผิดไวท้ังส้ิน จิตของเราหรือของผูอื่นทั้งปวงก็เชนกัน ความทจี่ ิตเหลา น้นั หลงไปผกู พนั ยึดมั่น ใหคุณคาจอมปลอม ไวกับกายของตน และกายอ่ืนๆ จึงตองมากระทบกระท่ัง เศราหมอง ส่ันสะเทือนไปตามความ กระทบกระทั่งทั้งหลายเหลาน้ัน ก็ธรรมทั้งหลาย คือความจริงของธรรมชาติ และชีวิต ท่เี กิดขึ้นแกเราหรือผูอ่ืน รวมท้ังสิ่งอ่ืนๆ ทั้งหลายภายนอก ก็ลวนเปน ธรรมเดียวกัน คือความเปนไปภายใตกฎพระไตรลักษณ อันมีสามัญลักษณะ คือความเกดิ ข้นึ ต้ังอยู และดับไปเชน เดยี วกนั กาย เวทนา จิต ธรรม อันเปนหัวขอแหง สติปฏฐาน จึงหมายถึง การทเี่ ราตองเขา ไปทําความระลึก (สติ) ใหเห็นถึงภาวะตามความเปนจริงของ กาย ท้ังหลาย เวทนา ความรูสึกสุข ทุกข ไมสุขไมทุกขทั้งหลาย จิต และ อาการอันเนื่องดวยจติ ท้ังหลาย และความเปนไปตาม ธรรม อันสมํ่าเสมอกัน ของชีวิตท้ังหลาย ทั้งภายในคือในกายของเรา ท้ังภายนอก คือในกายของ คนอ่ืนสัตวอื่น เพื่อเปนการรวบรวมขอมูลที่ถูกตองตรงตามความเปนจริง ของโลกและชีวิต แลวนําไปเปนวัตถุดิบใหแกการปฏิบัติวิปสสนา คือการนึก คิด และพิจารณาโดยแยบคาย ไปตามความเปนจริง ภายใตกฎไตรลักษณ อันจะสงใหเกิดผลที่มุงหวัง คือการท่ีใจประจักษแจง ยอมรับความจริงแท ทมี่ อี ยปู ระจาํ โลก คอื ความเปนไปตาม กฎไตรลกั ษณ น้ัน นนั่ เอง 147

พระภาสกร ภูรวิ ฑฺฒโน (ภาวไิ ล) การเขาเผชิญหนากับความเปนจริง การตีแผความจริงให ปรากฏแกใ จ สิ่งเหลาน้ีคือหนาท่ีของวิปสสนา แลวความจริงเหลานั้นมิใช อะไรอื่น คือสภาวะความเปนไปภายใตกฎไตรลักษณ ไดแก อนิจจัง ความเปล่ียนแปลง ความคงที่อยูไมได ทุกขัง ความท่ีไมมีใครจะไปฝน ใหเปน ไปดงั ใจปรารถนาตอ งการได และความเปน อนัตตา ความหาตัวตน เราเขาที่แทจริงไมได แตเพราะอวิชชา คือการไมรูแจงตามความเปนจริง ของส่ิงที่มีอยูเปนอยู ซ่ึงสงผลใหเกิดการต้ังคุณคา ในส่ิงท่ีไมมีคุณคา อยางแทจ ริงนั้น ไดมาปกคลุมปดบังใจของเราไว เราจึงหลงไปยึดติด ไปให คุณคา และทะยานอยากไปในคณุ คาเหลานั้น อยางไมลมื หลู มื ตา นอกจากน้ีพระศาสดายังทรงยํ้าแลวยํ้าอีกวา สัจธรรมท่ีพระองค ทรงคนพบ ก็คือ อริยสัจ ๔ ความจริงอันย่ิงแหงชีวิต ๔ ประการ ไดแก ทุกข ความที่ ชีวิตเต็มไปดวยความขัดของ ไมอาจเปนไปดังใจปรารถนา สมุทัย สาเหตุแหงทุกข เนื่องมาจากตัณหาความทะยานอยาก ดวยอํานาจ แหงอวิชชา นิโรธ ความพนไปจากทุกขอยางส้ินเชิง คือพระนิพพานน้ัน มีอยู จริง และ มรรค หนทางอันจะนําไปสูความพนทุกขได ก็คือมรรคมีองค ๘ ซึง่ สามารถสรปุ ลงไดใน ไตรสิกขา คอื ศีล สมาธิ และปญญา ฉะน้ันการปฏบิ ัติ วปิ สสนากัมมฏั ฐาน (นึก คิด พิจารณาโดยแยบคาย) เพ่ือความหลุดพน ตามหลักในทางพระพุทธศาสนา ก็คือการปฏิบัติในหลัก ศีล สมาธิ ปญญา โดยมี สติปฏฐาน ๔ เปนกระบวนการในการปฏิบัติ เพื่อ ความหลุดพนท่ีสมบูรณแบบ ดวยการรวบรวมขอมูลขอเท็จจริง ของโลก และชีวิต แลวนํามาพิสูจนวิเคราะหโดยขบวนการวิปสสนา (นึก คิด พิจารณา โดยแยบคาย) ตีแผความจริงของส่ิงที่มีอยู คือธรรมชาตินั้นๆ ใหปรากฏแกใจ จนประจักษในความเปนไปของสรรพสิ่ง ท่ีมีการเกิดขึ้น ดํารงอยู และ แตกดับไป ตามกฎไตรลักษณ ประจักษชัดถึงภาวะทุกขที่มีอยูประจําชีวิต จนเกิดความหนาย คลายความกําหนัด คลายความกอดรัดของใจ ที่เคย ลุม หลง ใหค ุณคา ผิดๆ ทไ่ี มม ีอยจู รงิ กบั สรรพส่ิงท้ังหลาย 148

ปฏิจจสมปุ บาท สําหรบั คนรนุ ใหม ไมวาจะเปน รูป เสียง กล่ิน รส สัมผัส ทั้งภายในภายนอก ไมวา จะเปนกายของตน หรือกายของใครๆ ใจไดประจักษชัดแลววา คุณคา จอมปลอมเหลาน้ัน มันมิไดมีอยูจริง หรือมีคาจริงๆ อยางท่ีเคยหวัง เคย ตั้งราคาใหกับมัน จิตจึงเปนอิสระ หมดความกังวล ไมยึดเหน่ียว ใหคุณคา กับส่ิงใดๆ อีก นอกจากพระนิพพาน จิตมีนิพพานเปนอารมณ แลวสลัด ออก หลุดพน ไปจากส่งิ ทเ่ี ก่ียวเกาะรอ ยรดั ท้งั หลายทง้ั ปวง” บนั ไดวิปส สนา หรือ “วปิ สสนาชกมวย” ทา นอาจารย อุบาสกิ าเพียงเดือน ธนสารพพิ ิธ ไดสรุปกระบวนการ ของ วปิ สสนา ไว ใหช ื่อวา “กฎของความสมดลุ ” โดยมหี ลักวา คือ “การคิดใหเปนระเบียบ พิจารณาหาเหตุผลต้ังแตตนจนจบ แลว นอมลงสูไตรลกั ษณ” โดยอธบิ ายช้ีแจงไวว า ๑. การคิดใหเปนระเบียบ หมายถึง เมื่อยกเรื่องใดเร่ืองหนึ่งขึ้นมา เปนองคธรรม ก็ใหนึกคิดพิจารณาเก่ียวกับเรื่องนั้น แตเพียง เรื่องเดียว ตอเนื่องไปตง้ั แตตนจนจบ ตงั้ แต (๑) การเกิดข้ึน และเหตุปจ จยั ท่ีทาํ ใหเกิดข้นึ (๒) การดําเนนิ ทผี่ านมา และเหตุปจจยั อันอุปถัมภแ กการดําเนินมา (๓) การปรากฏในปจจุบัน และเหตุปจจัยอันอุปถัมภแกการปรากฏ ในปจจุบนั (๔) การดําเนินตอไป และเหตุปจจัยอันอุปถัมภแกการที่จะ ดาํ เนนิ ตอ ไป (๕) การเส่ือมสลาย และเหตุปจจัยท่ีมาเบียดเบียน ใหเกิดการ เสอื่ มสลาย 149

พระภาสกร ภรู ิวฑฒฺ โน (ภาวิไล) (๖) การสน้ิ สุด และเหตปุ จ จัยทมี่ าตดั รอน ใหเกดิ การสิน้ สดุ (๗) แลว สรปุ ลงสูไ ตรลักษณ การนึก คิด พิจารณาไปต้ังแตตนจนจบเชนน้ี จึงเทากับเปนการ จัดระเบียบทางความคิด เปน การทํามรรค คือ เสนทางการปฏิบัติเพื่อความ หลุดพน ใหสอดคลองพรอมเพรียง (สมังคี) กันไป ต้ังแตเริ่มลงมือปฏิบัติ เลยทีเดียว ๒. พิจารณาหาเหตุผลต้ังแตตนจนจบ แลวนอมลงสูไตรลักษณ เปน การนํากฎธรรมชาติ มาตีแผใหใจไดรับรูอยางถองแท ถึงการท่ีวัตถุธาตุ และสรรพชวี ติ ทง้ั หลาย ลวนดาํ รงอยูภ ายใตกฎธรรมชาตทิ ้งั ๔ คือ (๑) กฎธรรมชาติแหงการกระทําและผลจากการกระทําน้ันๆ คือการพิจารณาบุคคล หรือสรรพชีวิตทั้งหลาย ในความเปนไป ภายใต กฎแหงกรรม (๒) กฎธรรมชาติแหงความเปล่ียนแปลง คือการพิจารณา วัตถุธาตุและสรรพชวี ิตทงั้ หลาย ในความเปนไปภายใต กฎไตรลกั ษณ (๓) กฎธรรมชาติแหงความเปนเหตุเปนผล คือการพิจารณา ใหเห็นชัดเจนวา บรรดาวัตถุธาตุ และสรรพชีวิตทั้งหลาย ลวนเปนสิ่งที่อยู ภายใตกฎธรรมชาติแหงความเปนเหตุเปนผล ซ่ึง “ผล” ทั้งหลาย จะเกิด ข้ึนเองโดยลําพังไมได ตองมี “เหตุ” มากอน และที่สําคัญคือ “ทุกข” ก็เปน สง่ิ ทอ่ี ยภู ายใตกฎธรรมชาติแหงความเปนเหตุเปนผลน้ีดวย ไดแก อริยสัจ ๔ อันมที ุกข สมุทัย นิโรธ มรรค เปน องคแหงเหตุและผลของทุกขนัน่ เอง (๔) กฎธรรมชาติแหงผล ที่มาแตเหตุและปจจัย คือการพิจารณา ใหเห็นชัดเจนวา “ผล” ท่ีเกิดขึ้น มิไดมีเพียงเหตุเทาน้ัน แตยังมีปจจัยอีก มากมายรวมกัน จึงจะยังผลจําเพาะน้ันๆ ใหเกิดขึ้นได ฉะนั้นอีกนัยหน่ึง สรรพสิ่งทั้งหลายจึงเปนปจจัยแกกันและกัน รวมกันใหเกิดขึ้น รวมกันให ตง้ั อยู รวมกันใหแ ตกดับไป น้กี ค็ ือการพิจารณาวัตถุธาตุและสรรพชีวิตท้ังหลาย ในความเปนไปภายใตก ฎ ปจ จยาการ อาการทีเ่ ปนปจ จยั แกกนั และกันนนั่ เอง 150

ปฏจิ จสมุปบาท สําหรับคนรุนใหม หรอื เมื่อมองในกรณขี องเหตปุ จจยั ทก่ี อ ใหเกิด “ทุกข” หรือความ “ดับทกุ ข” ปจ จยาการ ในแงข องทกุ ขนี้ กค็ ือหลกั ปฏจิ จสมปุ บาท นั่นเอง ๓. การคิดที่เปนระเบียบ พิจารณาหาเหตุผลตั้งแตตนจนจบ แลวนอมลงสูไตรลักษณ เปนท้ังการทํา สมถกรรมฐาน และวิปสสนา กรรมฐาน และดวยเหตุน้ี ทานพระอาจารยนพพร อาทิจฺจวํโส จึงไดใหช่ือ การปฏบิ ัติตาม “กฎของความสมดุล” ที่มีลักษณะเปนท้ังการทําสมถะและ วปิ ส สนาไปพรอมๆ กันนี้ วา เปนการปฏิบตั ิแบบ “วิปสสนาในฌาน” สมถกรรมฐาน คือ การฝกอบรมจติ ใหเ กิดความสงบ เปนสมาธิ วิปสสนากรรมฐาน คือ การเจริญปญญา ฝกอบรมพัฒนาปญญา ใหเกิดความรูแจงตามเปนจริง ดวยการพิจารณาอยางแยบคาย (โยนิโสมนสิการ) ไปในธรรมทั้งหลาย ท้ังภายในภายนอก แลวจงึ นอ มเขามาสตู น (โอปนยิโก) จนประจักษแจงและยอมรับสภาวะตามความเปนจริง คือ “กฎธรรมชาติ” ท่มี ีอยเู ปน ธรรมดา ในธรรม คอื วตั ถธุ าตุหรือสิ่งมีชีวิตน้ันๆ การปฏิบัติธรรมเพื่อความหลุดพน จะตองใชทั้งสมถะและ วิปสสนาสนับสนุนกัน จึงจะทําใหเกิดความสําเร็จได สมถะเปนการ ตระเตรียมความพรอม กอใหเกิดพละกําลังของใจ ในขณะที่วิปสสนานั้น เปนการนํากําลังที่ส่ังสมเอาไว มาใชงานอยางมีประสิทธิภาพ เพ่ือบรรลุผล คือความรแู จง จากท่ีกลาวมา ผูเขียนมีความเห็นวา การปฏิบัติธรรมเพ่ือความ หลุดพนจากทุกขท้ังปวง เพื่อเขาถึงพระนิพพาน เปรียบไดกับ การตอสู ระหวางฝายอธรรม คือกิเลสทั้งหลาย กับฝายธรรมะ คือสัจธรรม ความจริงของโลกและชีวิต อันเปนผลจากความตรัสรูของพระพุทธองค ถาพายแพ ก็ยังมีเรา ที่ยังหลง เวียนวายตายเกิดอีกตอไป แตถาชนะได ก็จะ หมดเรา ใหเ ขาถึงพระนิพพานอันเปนบรมสุข. 151

พระภาสกร ภรู วิ ฑฒฺ โน (ภาวไิ ล) “วปิ ส สนาชกมวย” 152

ปฏจิ จสมปุ บาท สาํ หรับคนรนุ ใหม ในเมื่อเปนการตอสู ผูเขียนจึงเปรียบเทียบกับการชกมวย เพื่อให เห็นภาพชัดเจน โดยเสนอวา การท่ีเราจะปฏิบัติธรรม เพื่อบรรลุถึงที่สุด แหงทุกข คือพระนิพพานนั้น เปรียบไดกับการที่เราอยากเปนนักมวย แลว ปรารถนาท่ีจะไตเตาขึ้นไปเปนแชมปโลก ถาอยูๆ เพียงความอยากเฉยๆ แลวอวดดี ซาข้ึนไปตอยกับแชมปโลกโดยตรง ก็เตรียมโลงไวไดเลย เพราะ… ตายแน ไมมีทางรอดหรอก หรือถาเตรียมตัวมาไมดีพอ ออกไป ชกตอนยังไมพรอม ก็มีเปอรเซ็นตท่ีจะตองเสียมวย แพหมดรูป หรือถึงกับ ถอดใจ ไมก ลา ขึ้นชกอกี นาน จวบจนตลอดชาติกเ็ ปน ได ไตบลั ลงั กแ ชมป ฉะน้ัน เมื่อริจะเปนนักมวย นักปฏิบัติกันแลว ก็ขอจงอดใจสักนิด ตรวจสอบตระเตรยี มความพรอ มของตนใหเ กิดความมั่นใจเสยี กอ น วาเรามี องคประกอบสมควรหรือยงั ทจี่ ะขนึ้ เวทีชก ใหตรวจสอบดวู า ๑. วัตถุทาน เรามหี รือไม มากนอยเพยี งใด เปนนักมวยก็ตองมีทุนรอน มีน้ําเล้ียง ไมเชนนั้นจะเอาอะไรมากิน มาใช ในขณะทีก่ าํ ลงั ฝกฝน เคีย่ วกรํา ฟตซอม เก็บตัว ตลอดถึงขึ้นชก เพื่อ ไตเ ตาขึน้ สูบลั ลงั กโ ลก เปนนักปฏิบัติธรรมก็ตองมีบุญทาน เปนดุจเสบียงธรรม เสบียงใจ เสบียงชีวิต ที่อุปถัมภ อํานวยใหเกิด สัปปายะ มีสิ่งอันเหมาะสมเกื้อกูล สนับสนนุ แกการบําเพญ็ ภาวนา ใหไดผ ลดี1 1 สัปปายะ ๗ ส่ิงหรือสภาวะท่ีเหมาะสม เก้ือกูลสนับสนุนแกการบําเพ็ญ ภาวนาใหไ ดผ ลดี ชวยใหส มาธิต้ังม่นั ไมเส่ือมถอย มี ๗ ประการ คอื ๑) อาวาสสัปปายะ มีทอ่ี ยูเ หมาะสม ไมพลุกพลา นจอแจ ๒) โคจรสัปปายะ มีที่หาอาหาร เที่ยวบิณฑบาต ท่ีเหมาะสม เชน ไมใกล ไมไกลจากชมุ ชนที่มีอาหารบรบิ รู ณ 153

พระภาสกร ภรู วิ ฑฒฺ โน (ภาวไิ ล) ๓) ภัสสสัปปายะ มีการพูดคุยแตพอเหมาะ พอประมาณ และในเร่ืองท่ี สมควร คอื กถาวัตถุ ๑๐ ๔) ปุคคลสัปปายะ มี กัลยาณมิตร มีบุคคลท่ีดีมีคุณธรรม มีภูมิปญญา เปน มติ รเปน ที่ปรกึ ษา ๕) โภชนสัปปายะ มีอาหารที่เหมาะสม เก้ือกูลแกสุขภาพ และไมเปน อุปสรรคแกก ารภาวนา ๖) อุตุสัปปายะ มีธรรมชาติแวดลอม ดินฟาอากาศ ฤดูกาล ท่ีเหมาะสม ไมหนาวไมรอนเกินไป ๗) อิริยาปถสัปปายะ มีกรรมฐาน และอิริยาบถในการปฏิบัติท่ีเหมาะสม ถูกจรติ นสิ ยั กถาวตั ถุ ๑๐ คือ เรือ่ งทภ่ี ิกษคุ วรพดู ควรสนทนากนั ไดแก ๑) อัปปจฉกถา ความมักนอย, ถอยคําชักนําใหมีความมักนอย ปรารถนา นอย ไมมกั มากอยากดงั ๒) สันตุฏฐิกถา ความสันโดษ, ถอยคําชักนําใหมีความสันโดษ พอใจตามมี ตามได ไมฟุงเฟอ ๓) ปวิเวกกถา ความสงัด, ถอ ยคําชักนําใหม คี วามสงดั กายสงัดใจ ๔) อสังสัคคกถา ความไมคลุกคลี, ถอยคําชักนําใหมีความไมคลุกคลีดวยหมู ไมต ิดพวกพอ ง ๕) วิริยารัมภกถา ความเพียร, ถอยคําชักนําใหมีความเพียร ปรารภความ เพียร มุงม่นั ทาํ ความเพยี ร ๖) สีลกถา ศีล, ถอยคําชกั นาํ ใหม เี จตนาตั้งมั่นอยใู นศีล ๗) สมาธกิ ถา สมาธิ, ถอ ยคําชักนาํ ใหยินดี ในการตัง้ จติ ใหแนวแนเ ปนสมาธิ ๘) ปญญากถา ปญญา, ถอยคําชักนําใหเกิดการใชปญญาพิจารณาธรรม ดวยความเฉลียวฉลาด และซือ่ ตรง ๙) วิมุตติกถา วิมุตติ, ถอยคําชักนําใหมีความปฏิบัติ เพื่อพนไปจากกิเลส และกองทกุ ขท้งั ปวง คอื นิพพาน ๑๐) วิมุตติญาณทัสสนกถา ความรูความเห็นในวิมุตติ, ถอยคําชักนําใหมี ความสนใจและเขาใจในนพิ พาน 154

ปฏิจจสมปุ บาท สําหรบั คนรนุ ใหม ๒. อภยั ทาน เรามหี รอื ไม มากนอยเพยี งใด เปนนักมวย ก็ตองมีใจนักเลง มีนํ้าใจนักกีฬา เลนตามกฎกติกา รแู พ รชู นะ รอู ภยั เปนนักปฏิบัติธรรม ก็ตองมีใจนักเลงเชนกัน คือ มีความองอาจ กลาหาญ พรอมท่ีจะสละออก ซึ่งบรรดาความโลภ ความโกรธ ความหลง ดวยการ ๑) ใหวัตถุทาน เพื่อสละออกซ่ึงความโลภ ความตระหนี่ กอใหเกิด สัปปายะดงั กลาวแลว ๒) ใหอ ภัยทาน เพ่อื สละออกซึง่ ความโกรธ ความครุนแคน ขุนเคือง อาฆาตพยาบาท ๓) ใหธรรมทาน (แกตนเอง) เพ่ือสละออกซึ่งความหลง ดวยการ เขาหากัลยาณมิตร ผูรูธรรม เห็นธรรม แจงธรรม และเหนือธรรม รับคําแนะนํา สง่ั สอน เพ่ือนอ มมาพฒั นาสตปิ ญ ญา ในสวนของการใหอภัยทานน้นั มีหลักปฏบิ ตั ิอยู ๓ กรณี คอื ๑) รจู ักท่จี ะใหอภัยแกต นเอง และพรอมทจ่ี ะเรม่ิ ตนใหม ไมจมปลัก อยูกบั อดีต ๒) รูจกั ทจ่ี ะใหอภยั แกผ อู ืน่ ไมอ าฆาตพยาบาท จองลางจองผลาญ หรือผูกเวรจองกรรม ๓) รูจักที่จะขออภัยจากผูอื่น ดวยสํานึกสลดใจในกรรมช่ัว อันตน หลงผดิ กอ มาแตอ ดตี ๓. ธรรมทาน เราไดขวนขวายใหเกิดใหมีแกตนหรือไม มากนอย เพียงใด เปนนักมวย ก็ตองมีการศึกษาตํารับตํารา คัมภีรช้ันเชิงเกี่ยวกับ วงการหมัดมวย รูหลัก รูพื้นฐาน รูทิศทาง รูลีลาท่ีเปนแมไมของมวย สามารถอานฝมือ อานทางมวยของคูตอสูออก และรูวาจะแกทางมวยได อยางไร จึงจะสามารถมีชยั ชนะเหนือคตู อ สไู ด 155

พระภาสกร ภรู ิวฑฺฒโน (ภาวิไล) นกั มวย จึงตองศกึ ษาคนควาจากตาํ รบั ตําราบา ง หรอื เขา หาครูมวย ผูมคี วามรูความสามารถ ทจี่ ะเปนครูฝกทด่ี ใี หแ กต นไดบา ง เปนนักปฏิบัติธรรม ก็ตองมีการศึกษาเรียนรู มีการพัฒนา สติปญ ญาใหแกต นเอง โดยมี ปจจัยที่ทําใหเกิดสัมมาทิฏฐิ อันเปน บุพภาค (สวนตน) ของการศึกษา อยู ๒ ประการ คือ ๑) ปรโตโฆสะ หมายถงึ เสยี งจากผอู ืน่ , การกระตุนหรอื ชักจูงจาก ภายนอก ไดแ กการรบั ฟง คาํ แนะนาํ สัง่ สอน เลา เรียนความรู สนทนาซักถาม ฟงคําบอกเลา หรือชักจูงของผูอื่น โดยเฉพาะ การไดฟง ไดอาน ไดศึกษา และปฏิบัติตามพระสัทธรรม ท่ีแสดงไวในพระไตรปฎก อรรถกถา คัมภีร และหนงั สือธรรมะ ท่ีทานผูรูจริง ผูเปนกัลยาณมิตร ไดเทศนาสั่งสอนเอาไว (กลั ยาณมติ ตตา ความมีกลั ยาณมิตร) ดังมีพทุ ธพจน ตรัสไวด ังนี้ เชน “ความมีกัลยาณมิตร เทากับเปนพรหมจรรย (การครองชีวิต ประเสริฐ) ท้ังหมดทีเดียว เพราะวาผูมีกัลยาณมิตร พึงหวังสิ่งนี้ได คือ จักเจรญิ จกั ทําใหมาก ซ่ึงอารยอัษฎางคกิ มรรค (อรยิ มรรค มอี งค ๘)” “เราไมเล็งเห็น องคประกอบภายนอก อื่นแมสักอยางเดียว ที่มี ประโยชนมากสําหรับภิกษุผูเปนเสขะ เหมือนความมีกัลยาณมิตร, ภิกษุผูมี กัลยาณมติ ร ยอมกําจัดอกุศลได และยอมยงั กศุ ลใหเกดิ ขึ้น” ๒) โยนิโสมนสิการ หมายถึง การใชความคิดใหถูกวิธี, การกระทํา ในใจโดยแยบคาย, การมองสิ่งท้ังหลายดวยความคิดพิจารณาอยางสืบคนถึง ตนเคา แลวสาวหาเหตุผลจนตลอดสาย, การพิเคราะหแยกแยะออก ดวย ปญ ญาและอบุ ายวิธคี ิดทเ่ี ปน ระเบียบ ใหเ หน็ สง่ิ นัน้ ๆ หรือปญ หานั้นๆ ตาม สภาวะความเปนจริง อันเปนไปตามความสัมพันธแหงเหตุปจจัย ที่เปนไป ตามกฎของธรรมชาติ ดังมีพุทธพจน ตรัสไวดงั น้ี เชน 156

ปฏิจจสมปุ บาท สาํ หรบั คนรุน ใหม “เราไมเล็งเห็น องคประกอบภายใน อื่นแมสักอยางเดียว ท่ีมี ประโยชนมากสําหรับภิกษุผูเปนเสขะ เหมือนโยนิโสมนสิการ ภิกษุผูมี โยนโิ สมนสิการ ยอมกาํ จดั อกศุ ลได และยอ มยงั กศุ ลใหเกิดข้ึน” “เราไมเล็งเห็นธรรมอื่น แมสักขอหนึ่ง ซึ่งเปนเหตุให สัมมาทิฏฐิ ทย่ี งั ไมเกดิ กเ็ กิดขึ้น ท่ีเกดิ ขน้ึ แลว ก็เจรญิ ยงิ่ ขนึ้ เหมือน โยนิโสมนสิการเลย” “เราไมเ ลง็ เหน็ ธรรมอื่น แมสักขอหน่ึง ซง่ึ จะเปนเหตุให ความสงสัย ท่ียังไมเกิด ก็ไมเกิดขึ้น ที่เกิดขึ้นแลว ก็ถูกขจัดเสียได เหมือน โยนิโสมนสิการ เลย” ๔. ศีลและวินัย เราไดมีเจตนา วิรัติรักษาใหเกิดใหมีแกตน สมควร แกฐ านะแลว หรอื ไม มากนอยเพียงใด ศีล คือ ขอบัญญัติที่กําหนดขึ้น เพื่อควบคุมรักษา ปกติ ของกาย วาจา ใหอยูในความสุจริตเรียบรอยดีงาม ตามฐานะบทบาท และชั้นภูมิ ของบุคคล ไมวาบุคคลน้ันจะเปน ฆราวาส นักบวช ปะขาว นางชี สามเณร สามเณรี สกิ ขมานา พระภิกษุ พระภกิ ษณุ ี เปนนักมวย ก็ตองมีศีลมีวินัยของนักมวย คืออยูในกรอบกติกา ของคายมวย มีวินัยในการฝกซอม ถึงเวลาเชาก็ตองลุกออกมาวิ่ง มาออก กําลังกาย ไมวาจะหนาวจะรอนเชนไร ก็ตองฝนใจรักษาวินัยและขอวัตร ใหเขมแข็ง เขมขนเขาไว จึงจะมีโอกาสและมีพละกําลังกาย พอที่จะข้ึนไป ตอสูบนเวทีได ครั้นขึ้นชกบนเวทีแลว ก็ตองเคารพกฎ กติกา มารยาท ไมเ ชนนัน้ อาจถูกจบั แพฟาลว เสยี ชื่อเสยี ง เสียโอกาสได เปน นักปฏบิ ตั ธิ รรม ก็ตองมศี ลี มวี ินยั ศีลในแงของ ศีลบารมี คือปกติของกายวาจา ที่เกิดจากการมี เจตนาตั้งม่ัน ควบคุมตนไมใหไปกระทบกระท่ังเบียดเบียน ท้ังแกตนเอง และผอู ่ืน ไดแก เบญจศลี คอื ศีล ๕ โดยมี 157

พระภาสกร ภูริวฑฺฒโน (ภาวิไล) ๑) ปาณาติปาตา เวรมณี คือ เวนจากการฆาฟน ทําลาย ประทุษรา ย ปลดิ ปลงชวี ติ ทัง้ ของตนเอง และผูอ่นื สัตวอ ่ืน ๒) อทินนาทานา เวรมณี คอื เวนจากการถอื เอาของทีเ่ ขาไมไดให คดโกง ปลน จ้ี ลกั ขโมย ละเมิดกรรมสทิ ธิ์ และทําลายทรพั ยส นิ สมบัตขิ องผอู ืน่ ๓) กาเมสุมิจฉาจารา เวรมณี คือ เวนจากการประพฤติผิดในกาม หรือลวงละเมิดในบุคคลและสิ่งอันเปนที่รักใครหวงแหนของผูอื่น รวมไปถึง การฝาฝน กระทําผิด ซ่งึ กฎกติกาอันชอบธรรมของสังคม ๔) มุสาวาทา เวรมณี คือ เวนจากการพูดเท็จ โกหก หลอกลวง ทําลายสัจจะ ๕) สุราเมรยมัชชปมาทัฏฐานา เวรมณี คือ เวนจากของเมา ไดแก สรุ าเมรัย อันเปนทตี่ ั้งแหงความประมาท และส่งิ เสพติดใหโ ทษ ศีลในแงของศีลบารมี คือปกติของกายวาจา ดังที่กลาวมาน้ี เปน เหตุใหผ ูที่ต้ังเจตนาวริ ัตริ ักษาไวไ ด มผี ลานสิ งส ดงั ตอ ไปนี้ ๑) เปนทรี่ กั ของมนษุ ย สตั ว และอมนุษยท้ังหลาย ดวยไมเบียดเบียน ใหเขาไดร บั ทุกขโทษ ๒) เปนผูไมสรางกรรมช่ัวใหมในปจจุบัน อันจะมีผลวิบาก เปน ความทุกขใ นอนาคต ๓) เปนเหตุใหถึงซ่ึงสุคติ คือท่ีเกิดท่ีเปนไปอันเจริญ แมจิตจะมี กิเลสอยู คือยังมี ความโลภ ความโกรธ ความหลง แตดวยมีเจตนาท่ีม่ันคง ไมยอมลวงศีลโดยเด็ดขาด หากตายไปในขณะใด อันจิตยังมีเจตนาท่ีมั่นคง ในศีลอยู ก็พึงมีภพใหมในอนาคต ต้ังแตความเปนสัมภเวสี (แหงมนุษย) ขนึ้ ไป ไมเกดิ ในภพของเดรัจฉาน หรือภพทตี่ ํา่ กวา ๔) เปนเหตุใหบริบูรณดวยโภคทรัพย เพราะไมไดสรางอุปสรรค ใหแกชีวิต จึงไมตองเดือดรอนเสียหายในเร่ืองที่ไมควรเสีย เชน อานิสงส ของการไมเบียดเบียนชีวิตผูอ่ืน ยอมเปนเหตุใหมีสุขภาพรางกายที่ดี ไม บาดเจบ็ ปวยไข ไมต องเปน ภาระในการเยียวยารักษาโรค 158

ปฏิจจสมปุ บาท สาํ หรับคนรุน ใหม หรอื ดวยอานสิ งสของการไมลักขโมย คดโกง คอรัปชั่น หรือเอารัด เอาเปรียบใคร ก็ไมตองสูญเสียทรัพยดวยการถูกโจรกรรม ปลนชิง วิ่งราว หรือถูกไฟไหม นํ้าทวม แผนดินไหว (สึนามิ) ใหตอง วินาศฉิบหาย จนถึง กบั ตองสนิ้ เน้อื ประดาตัว ๕) เปนเหตุใหเขาถึง มรรค ผล นิพพาน เพราะเปนฐานที่ต้ัง แหงธรรม ในอริยมรรคมีองค ๘ ถึง ๓ ประการ คือ สัมมาวาจา เจรจาชอบ, สัมมากมั มนั ตะ กระทําชอบ, และ สมั มาอาชวี ะ เลีย้ งชีพชอบ ศีลในแงของ เนกขัมมะบารมี คือ ขอบัญญัติท่ีเปนเบื้องตนของ พรหมจรรย การครองชีวิตประเสริฐ ดวยการไมเสพ ไมปรนเปรอตนดวย กาม (คือ รูป เสียง กล่ิน รส สัมผัส) ท้ังยังไมปรุงแตงตน เพ่ือเปนอารมณ เคร่อื งเสพใหแ กผ อู ื่นดวย ในกรณีน้ีไดแก ศีล ๘ ของ ปะขาว นางชี (แมชี) ตลอดจนผูถืออุโบสถศีล ซ่ึงจะเห็นไดวา สวนที่เปลี่ยนแปลงไปจากศีล ๕ น้ัน เปนไปเพ่ือลดบทบาทการพ่ึงพา ปรนเปรอตนดวยกาม อันเปนปกติ วสิ ยั ของฆราวาส ศลี ๘ มีขอ ๑, ๒, ๔, ๕ ตรงกันกับศลี ๕ แตเ ปลีย่ นขอ ๓ คือ ๓) อพรหฺมจริยา เวรมณี คือ เวนจาก อสัทธรรม1 กรรมอันเปน ขาศกึ แกพ รหมจรรย 1 อสัทธรรม คือ ธรรมของอสัตบุรุษ คือคนไมดี มีหลายหมวด เชน อสัทธรรม ๗ คือท่ีตรงขามกับสัทธรรม ๗ ไดแก ความปราศจากซึ่ง ศรัทธา, หิริ, โอตตัปปะ, ความเปน พหสู ูต, ความเพยี รอันปรารภแลว , สตมิ ่นั คง และปญญา อีกสํานวน คําวา “ทอดกายเพื่อเสพอสัทธรรมก็ดี” หมายถึง เมถุนธรรม คือการรว มประเวณี 159

พระภาสกร ภรู วิ ฑฺฒโน (ภาวไิ ล) และเพิ่มขอ ๖-๘ คอื ๖) วกิ าลโภชนา เวรมณี คือ เวนจากบรโิ ภคอาหารในเวลาวิกาล ๗) นัจจคีตวาทิตวิสูกทัสสนา มาลาคันธวิเลปนธารณ มัณฑน- วิภูสนัฏฐานา เวรมณี คือ เวนจากการดูหรือฟง การฟอนรํา ขับรอง ประโคมเคร่ืองดนตรีตางๆ เวนจากการละเลนท่ีเปนขาศึกแกกุศล เวนจาก การทัดทรงตกแตงรางกาย ดวยเคร่ืองประดับ ดอกไม ของหอม เครื่องทา เคร่อื งยอม เครอื่ งสาํ อางผดั ผิวใหงามตา งๆ ๘) อุจจาสยนมหาสยนา เวรมณี คือ เวนจากการนั่งนอนเหนือ เตียงต่ัง อันมีเทาสูงเกินประมาณ หรือที่น่ังที่นอนอันสูงใหญ ที่ภายในใส นนุ และสําลี รวมถงึ อาสนะ อนั วิจิตรงดงาม ดว ยลวดลายเงินทองตางๆ สว น ศีล ๑๐ ของสามเณร สามเณรี ศีล ๒๒๗ ของพระภิกษุสงฆ และ ศีล ๓๑๑ ของพระภกิ ษุณี นน้ั มอี ยทู ้ัง ๓ องคประกอบ คอื ๑) องคประกอบเพ่ือความไมเบียดเบียนตนเองและผูอ่ืน ไดแก สว นท่ีสอดคลอ งตรงกับเบญจศลี คือ ศลี ๕ ของเหลา ฆราวาส ๒) องคประกอบเพ่ือพรหมจรรย การครองชีวิตประเสริฐ ไดแก สวนที่เปนไปเพื่อความไมเสพ ไมปรนเปรอตนดวยกาม (คือ รูป เสียง กลิ่น รส สมั ผัส) ท้ังยงั ไมปรุงแตงตน เพ่ือเปนอารมณเครือ่ งเสพใหแ กผ อู ื่นดว ย ๓) องคประกอบเพ่ือความสมควรแกบทบาทหนาที่ ทั้งฝายตน และตอสงั คมภายนอก ศีล ๑๐ เปนศีลที่สามเณรและสามเณรี ผูเปนเหลากอของสมณะ จักไดรักษาเปนประจํา เปนขอปฏิบัติในการฝกหัดกายวาจาใหย่ิงๆ ขึ้นไป เพอื่ เตรยี มความพรอ มกอ นที่จะอุปสมบทเปนพระภิกษุและพระภกิ ษณุ ี ศีล ๑๐ มีหัวขอเหมือนศีล ๘ แตแยกขอ ๗ ออกเปน ๒ ขอ (๗-๘) แลว เลื่อนขอ ๘ เดิมไปเปน ขอ ๙ และเติมขอ ๑๐ เขามา คือ 160

ปฏิจจสมุปบาท สาํ หรบั คนรุนใหม ๗) นจั จคีตวาทติ วสิ กู ทัสสนา เวรมณี ๘) มาลาคนั ธวิเลปนธารณมัญฑนวิภูสนฏั ฐานา เวรมณี ๙) อุจจาสยนมหาสยนา เวรมณี ๑๐) ชาตรูปรชตปฏคิ คฺ หณา เวรมณี คือ เวน จากการรับทองและเงิน ศีล ๒๒๗ เปนศีลสาํ หรบั พระภกิ ษุ มใี นภิกษปุ าฏโิ มกข ศีล ๓๑๑ เปน ศีลสาํ หรบั พระภกิ ษุณี มีในภกิ ษณุ ีปาฏโิ มกข วตั ถุประสงคใ นการบัญญตั วิ ินัย ๑๐1 เหตุผลที่พระพุทธองคทรงปรารภ ในการบัญญัติสิกขาบท แก พระสงฆ มี ๑๐ ขอ คือ ๑) สงฺฆสุฏุตาย เพ่ือความดีงาม ที่เปนไปโดยความเห็นชอบรวมกัน ของสงฆ ๒) สงฺฆผาสตุ าย เพื่อความผาสุกแหง สงฆ ๓) ทุมมฺ งกฺ นู ํ ปคุ คฺ ลานํ นิคคฺ หาย เพ่ือกําราบคนหนา ดา นไมร ูจักอาย ๔) เปสลานํ ภิกฺขูนํ ผาสุวิหาราย เพ่ือความอยูผาสุกแหงเหลาภิกษุ ผูมศี ีลดงี าม ๕) ทิฏฐธมฺมิกานํ อาสวานํ สํวราย เพ่ือปดกั้นความเส่ือมเสีย ทกุ ขรอ นทจี่ ะมีในปจ จบุ นั ๖) สมฺปรายิกานํ อาสวานํ ปฏิฆาตาย เพ่ือบําบัดความเส่ือมเสีย ทกุ ขรอ นทีจ่ ะมีในอนาคต ๗) อปฺปสนฺนานํ ปสาทาย เพื่อความเล่ือมใสของชุมชน ที่ยัง ไมเลอ่ื มใส ๘) ปสนฺนานํ ภิยฺโยภาวาย เพื่อความเลื่อมใสยิ่งข้ึนไป ของชุมชน ท่ีเล่ือมใสแลว 1 วนิ ย. ๑/๒๐/๓๗, อง.ฺ ทสก. ๒๔/๓๑/๗๔. 161

พระภาสกร ภรู ิวฑฒฺ โน (ภาวไิ ล) ๙) สทธฺ มมฺ ฏฐ ิติยา เพ่อื ความดํารงตง้ั มน่ั แหงสทั ธรรม ๑๐) วินยานุคฺคหาย เพ่ืออนุเคราะหแกวินัย ใหมีความหนักแนน มัน่ คงยิง่ ขน้ึ ในองั คตุ ตรนิกาย ทกุ นปิ าต1 พระพทุ ธองคแ สดงไวอกี ๒ ประการ คือ ๑๑) เพอ่ื เอือ้ อนเุ คราะหแกคฤหสั ถผ ูครองเรอื นท้ังหลาย ๑๒) เพื่อตดั รอนฝก ฝา ยของภกิ ษผุ มู ีความปรารถนาชั่วราย นอกจากนใ้ี นภาคปฏบิ ตั ิ ผูเขยี นไดสรุป วัตถุประสงคในการบัญญัติ สิกขาบท ไวอีกนัยหน่ึง เพื่อใชในการตรวจสอบพิจารณาในกรณีที่เกิดปญหา ขึ้นในทางพระวินัย โดยไดขอสรุปวา การบัญญัติสิกขาบทที่มาในพระ ปาฏิโมกขน้นั มีวตั ถุประสงคท่ีสําคัญ ๕ ประการ คอื ๑) เพอ่ื การไมเ บียดเบียนตนเองและผอู ืน่ (อาชวี ปรสิ ุทธิศีล, ขันติสงั วรศลี ) ๒) เพ่ือการประพฤตพิ รหมจรรย คือ ออกจากกาม (อินทรียสังวรศลี , สติสังวร, วริ ยิ สังวร) ๓) เพ่อื การใชส อยปจจัย ๔ อันสมควรแกค วามเปนสมณะ (ปจจัยสนั นิสิตศลี , ปจ จัยปจจเวกขณ, ญาณสังวร) ๔) เพ่ือความสามคั คี ผาสกุ เรยี บรอ ยดีงามแหงสงฆ (ปาฏิโมกขสงั วรศีล, ปาฏิโมกขสงั วร, สีลสามัญญตา) ๕) เพือ่ ภาพพจนท ดี่ งี ามของสงฆ ตอชุมชน (ความไมเปนโลกวชั ชะ คือ ความไมเปนเหตใุ หโลกตเิ ตยี น) กลาวโดยสรุป เมื่อตั้งใจที่จะเปนนักปฏิบัติธรรม ก็ตองมีศีล มีวินัย เพื่อควบคุมรักษา ปกติของกายวาจา ใหอยูในความสุจริตเรียบรอยดีงาม ตามบทบาทฐานะ และชนั้ ภมู ขิ องบุคคล 1 อง.ฺ ทุก. ๒๐/๔๓๖/๑๒๓ 162

ปฏิจจสมปุ บาท สําหรับคนรนุ ใหม ๑) ฆราวาส ผูมีปกติครองเรือนอยู พึงรักษาศีลในแงของ ศีลบารมี คือ ปกติของกายวาจา ที่มีเจตนาต้ังม่ัน ควบคุมตนใหตั้งอยูในความไม เบียดเบียน ทงั้ แกต นเองและผูอ่นื อนั ไดแก เบญจศีล คือ ศีล ๕ ใหม่ันคง ก็พอเพียงแกการปฏิบัติธรรม เพ่ือความพนทุกขในระยะตนแลว ตอเม่ือมี ความสําเร็จในการปฏิบัติธรรม จึงคอยปรับข้ึนไปสูปกติใหม คือศีลในระดับ พรหมจรรย เพ่ือความเปนอยูท่ีผาสุกสบาย สอดคลองกับคุณภาพของใจ ที่ถูกพัฒนาใหส งู ขนึ้ ๒) อบุ าสก อบุ าสิกา และเหลานักบวช ที่มีกําลังใจแกกลา อาศัย ศีลในแงของ เนกขัมมะบารมี คือ ขอบัญญัติที่เปนเบื้องตนของ พรหมจรรย การครองชีวิตประเสริฐ ดวยการไมเสพ ไมปรนเปรอตนดวยกาม (คือ รูป เสียง กลิ่น รส สัมผัส) ท้ังยังไมปรุงแตงตน เพื่อเปนอารมณเครื่องเสพ ใหแกผูอ่ืนดวย มาใชเปนอุปกรณในการขัดเกลาใจ ใหมีกําลังใจเหนือ กิเลสกาม เพื่อลดบทบาทการพึ่งพาปรนเปรอตนดวยกามอันเปนปกติวิสัย ของฆราวาส ซึ่งในกรณีน้ีไดแก ศีล ๘ ของปะขาว นางชี (แมชี) ตลอดจน ผูถืออุโบสถศีล, ศีล ๖ ของนางสิกขมานา ศีล ๑๐ ของ สามเณร สามเณรี ศลี ๒๒๗ ของพระภกิ ษุสงฆ ศลี ๓๑๑ ของพระภิกษุณีสงฆ ๓) แตภาวะนักบวชนั้น แมจะมีโอกาสในการปฏิบัติธรรมไดสะดวก กวาฆราวาส เพราะไมตองดิ้นรนแสวงหาปจจัย ๔ เพ่ือเลี้ยงชีพ แตก็ดํารง ชีวิตอยูดวยการพึ่งพาสังคม จึงควรปฏิบัติใหเหมาะสมแกบทบาท ฐานะ และหนา ท่ี ทัง้ ภายใน คอื สว นตน และภายนอก คือสวนสังคม ๕. ตรวจสอบปรับปรงุ คณุ สมบัติ กอนลงทะเบยี น เปนนักมวย ก็ตองเขาคายมวย ไปสมัครกับครูมวย หรือหัวหนา คายมวย ใหเขาไดสัมภาษณ ดูหนวยดูกาน ดูทวงทาวาพอจะไปไหวไหม ควรทเ่ี ขาจะมาเสียเวลาและเสยี ทรพั ยากร ในการพัฒนากบั เราหรอื ไม 163

พระภาสกร ภูริวฑฒฺ โน (ภาวิไล) เปน นักปฏิบัติธรรม ก็เชนกัน เราก็ตองมาตรวจสอบดูวา คุณสมบัติ ที่เรามีอยูติดตัวมาจนถึงวันนี้นั้น เหมาะสมที่จะลุยตอไปขางหนาหรือไม แลวมีอะไรบางท่ีเปนอุปสรรค มีสิ่งใดที่ตองแกไข และจะแกไขไดอยางไร แลวมีส่ิงใดบาง ที่ยํา่ แยเ กินกวา จะเยยี วยาแกไข อยากเปนนักมวย แตดันพิการแขนขาขาด ก็คงไปไมถึงไหน หรือ ถามีโรคภัย มีจุดออน ที่เยียวยาไมได ก็คงเปนเปาใหฝายตรงขามยิงหมัด ยงิ เทา เขาใส จนเล้ียงไมโ ต เปนนักปฏิบัติธรรมก็เชนกัน ถาเปนผูพิการมากอน เชน คนที่เคย ทํากรรมช่ัวรายแรง ถึงข้ัน อนันตริยกรรม1 ในชาติปจจุบัน ก็มั่นใจไดเลย วาเปนผูส้ินอนาคตในทางธรรม สวรรค และมรรคผลนิพพาน ไมมีทาง เปน ไปไดสําหรับเขาในชาตินี้ แตก ารปฏิบัติธรรมสําหรับเขาแลว ก็ไมถึงกับ ไรผลเสียทีเดียว เพราะอยางไรก็ดี ยังสามารถสั่งสมเปนนิสัยวาสนาไปใน อนาคต ก็ยังดีกวาท่ีจะหมดอาลัย ปลอยตัวปลอยใจใหตกต่ําลงไปอีก โดย ไมค ดิ พฒั นาแตอยางใดเลย หรือนักปฏิบัติผูน้ันมีเพศเปนพระภิกษุ ไดพายแพแก อสัทธรรม ลวงวินัยจน ตองอาบัติปาราชิก2 อันเปน อเตกิจฉา คือเยียวยาแกไขไมได เปนผูขาดจากความเปนภิกษุแลว พึงยอมรับความพายแพนั้น ลาเพศพระ ภิกษุสงฆ ไปสูเพศอื่นๆ อันเหมาะสม 1 อนันตริยกรรม คือ กรรมหนัก, กรรมท่ีเปนบาปหนักท่ีสุด ตัดทางสวรรค ตัดทางนิพพาน, กรรมที่ใหผลคือความเดือดรอนไมเวนระยะเลย มี ๕ อยาง คือ ๑) มาตุฆาต ฆามารดา ๒) ปตุฆาต ฆาบิดา ๓) อรหันตฆาต ฆาพระอรหันต ๔) โลหิตุปบาท ทํารายพระพุทธเจา จนยังพระโลหิตใหหอขึ้นไป ๕) สังฆเภท ทาํ สงฆใหแตกกนั 2 ปาราชิก เปนชื่ออาบัติหนัก ที่ภิกษุตองเขาแลว ขาดจากความเปนภิกษุ, เปนชื่อบุคคลที่พายแพ คือตองอาบัติปาราชิก ท่ีทําใหขาดจากความเปนภิกษุ, เปนช่ือ สิกขาบท ที่ปรับอาบัติหนัก ขั้นขาดจากความเปนภิกษุ มี ๔ อยาง คือ ๑) เสพเมถุน ๒) ลักของเขา ๓) ฆา มนษุ ย ๔) อวดอุตรมิ นุสธรรมที่ไมมีในตน 164

ปฏิจจสมปุ บาท สาํ หรับคนรุนใหม เพื่อจักไดไมกลายเปนพระสงฆเก จอมปลอมลวงโลก เปนเหตุให กอกรรมช่ัว ทับถมซ้ําซอน เพ่ิมเติมใหหนักหนาย่ิงขึ้นไปอีก แลว หันมา ต้ังใจปฏิบัติธรรมในเพศใหมของตน ยอมไดรับความกาวหนา อันสมควร แกเ หตปุ จ จัย หรือนักปฏิบัติผูน้ันเปนพระภิกษุ ไดลวงวินัยจน ตองอาบัติอ่ืนๆ ซ่ึงจัดเปน สเตกิจฉา สามารถเยียวยาแกไขได ซ่ึงไดแก อาบัติหนัก คือ สังฆาทิเสส อาบตั เิ บา คือ ถุลลัจจัย ปาจิตตีย ปาฏิเทสนียะ ทุกกฏ ทุพภาสิต ก็ตองเรงจัดการแกไขใหเรียบรอย ตามกฎเกณฑแบบแผนท่ีพระพุทธองค ทรงรับรอง เพ่ือไมใหเกิด วิปฏิสาร ความเดือดรอนใจ หรือเกิด นิวรณ1 ธรรมท่ีกั้นจิตไมใหบรรลุความดี กลาวคือ อุทธัจจกุกกุจจะ ความฟุงซาน รําคาญ และวิจิกิจฉา ความลังเลสงสัย อันจะมาเปนอุปสรรคแกการปฏิบัติ ธรรมเพอ่ื ความพนทกุ ข ๖. เคลยี รหน้ี ลา งบญั ชี เจรจาหยาศกึ เปนนักมวย แตมีหนี้สินรุงรัง หรือเปนเจาหน้ี ท่ีเอาใจใสแตการ ติดตามทวงเงินทวงทอง แลวจะเอาเวลา หรือเอาสมาธิที่ไหนมาใชในการ เตรียมตัวฝก ซอม เปนนักปฏิบัติธรรมก็เชนกัน หากมีหน้ีกรรมหนี้ชีวิตอยูมากมาย ทวมทน ก็คงไมมีแกใจ ที่จะมาปฏิบัติธรรม จึงจําเปนตองมาตรวจสอบดูวา ๑) หนาท่ีของเราในฐานะลูกหน้ี ตอบรรดาเจาหนี้กรรมเจาหน้ีเวรท้ังหลาย และ ๒) หนาที่ของเราในฐานะเจาหนี้ ตอบรรดาลูกหนี้กรรรมลูกหน้ีเวร ทัง้ หลาย เราไดจัดการใหถ กู ตอ งเรยี บรอยดีงามแลว หรอื ยัง 1 นิวรณ หรือ นิวรณธรรม คือ ธรรมที่ก้ันจิตไมใหบรรลุความดี, สิ่งท่ี ขัดขวางจิตไมใหกาวหนาในคุณธรรม มี ๕ อยาง คือ ๑) กามฉันท พอใจในกามคุณ ๒) พยาบาท คิดรายผูอื่น ๓) ถีนมิทธะ ความหดหูซึมเซา ๔) อุทธัจจกุกกุจจะ ความฟุงซานราํ คาญใจ ๕) วิจิกจิ ฉา ความลงั เลสงสัย 165

พระภาสกร ภูริวฑฺฒโน (ภาวิไล) ถายังไมเรยี บรอ ย กต็ องเรง ดาํ เนนิ การ ประการท่ี ๑ ในฐานะที่เราเปนลูกหนี้เขา ซ่ึงจําแนกไดเปน ๒ กรณใี หญๆ คอื ๑) เปนลูกหน้ีบุญคุณ เชนเปนหน้ีบุญคุณของพอแมที่เล้ียงดูเรามา เปนหนี้บุญคุณ ของครูบาอาจารยที่ใหการศึกษา เปนหนี้บุญคุณของ ประเทศชาติบานเมือง เปนตน หนี้เชนน้ี ใหชดใชโดยการปฏิบัติใหถูกตอง ตรงตามหนาที่ และรูจักที่จะลําดับความสําคัญของหนาท่ีใหถูกตองดวย ซึ่ง พระพุทธองคไดทรงแสดงเรื่องทิศ ๖1 วาดวยประเภทและหนาที่ ท่ีพึง ปฏิบัติในการเกี่ยวของสัมพันธกับบุคคลตางๆ ดุจทิศที่อยูรอบตัวเอาไว จงึ สมควรปฏิบตั ใิ หถูกตองเหมาะสม แตกระนน้ั การท่เี ราจะชดใชในบุญคุณเหลานั้นใหไดผลมาก พึงรูวา การมาปฏิบัติธรรมนั้นเปนยอดแหงบุญกุศล เพราะพระพุทธองคทรงแสดง ไววา บุญท่ีเกิดแตวัตถุทานทั้งหลาย (อามิสทาน) นั้น ไมอาจเปรียบไดกับ บญุ ทเ่ี กดิ แตอภยั ทาน และบญุ ที่เกิดโดยอภยั ทาน ก็ไมอาจเทียบกับบญุ ที่ได จากธรรมทาน ธรรมทานจึงเปน เลศิ ในบญุ ทัง้ หลาย2 1 ทิศ ๖ ไดแก บุคคลประเภทตางๆ ที่เราตองเก่ียวของสัมพันธ ดุจทิศที่อยู รอบตวั เรา จัดเปน ๖ ทิศ ๑) ปุรัตถิมทศิ ทิศเบอื้ งหนา ไดแ ก บดิ ามารดา พงึ อนุเคราะหฯ / บตุ รธดิ า พงึ บาํ รุงฯ ๒) ทกั ขณิ ทศิ ทิศเบอ้ื งขวา ไดแก ครอู าจารย พึงอนเุ คราะหฯ / ศิษย พงึ บาํ รุงฯ ๓) ปจ ฉมิ ทิศ ทศิ เบ้อื งหลัง ไดแ ก ภรรยา พึงอนเุ คราะหฯ / สามี พึงบาํ รุงฯ ๔) อตุ ตรทิศ ทศิ เบอื้ งซา ย ไดแก มิตรสหาย พึงอนเุ คราะหฯ / มิตรสหาย พึงบาํ รงุ ฯ ๕) เหฏฐมิ ทิศ ทศิ เบื้องลาง ไดแ ก ผรู บั ใช ผูใตบงั คับบญั ชา พึงอนุเคราะห / นาย พึงบาํ รุงฯ ๖) อปุ ริมทศิ ทิศเบือ้ งบน ไดแก พระภิกษุสงฆ สมณพราหมณ พึงอนเุ คราะห / คฤหสั ถ พึงบํารงุ ฯ ที.ปา. ๑๑/๑๙๘-๒๐๔/๒๐๒-๒๐๖. ดรู ายละเอียด ในภาคผนวกทายเลม 2 องทฺ กุ . ๒๐/๓๘๖/๑๑๔, มงคฺ ล. ๓/ 166

ปฏิจจสมปุ บาท สาํ หรับคนรนุ ใหม ในเมอื่ เรานอ มเขา มาปฏบิ ตั ิพัฒนาในทางธรรม ก็ช่ือวา เปน การให ธรรมทานแกต นเอง จึงมีอานสิ งสผลบุญทวมทน ลน เหลือ สามารถนําไปชดใช ทดแทนคุณบุพพการี คือพอแมไดเปนอยางดี จริงอยู การเล้ียงดูตอบแทน พอแมนนั้ เปน หนา ทสี่ าํ คัญ แตเลย้ี งดเู พียงรางกายของทา นยังไมพอ ดวยไม สามารถประกันอนาคตหลังความตายใหแกทานได การท่ีเราเขามาศึกษา ปฏิบตั ิธรรม เปล่ียนแปลงพฤติกรรมของเรา จากท่ีไมเคยมีทาน มายินดีใน การทําบญุ ใหท าน จากผูท่ไี มม ีศลี มาเปน ผูท ่มี ศี ีลมั่นคง จากท่ไี มเ คยปฏิบัติ ภาวนา มาปฏิบัติภาวนากลอมเกลาอุปนิสัย จนเกิดความสงบรมเย็น ท้ังแก ตนเองและผูที่อยูใกลชิด จึงทําใหทานฯ คือบิดามารดา เกิดศรัทธานอมมา สนใจใฝธรรม ไดเขามาเปนอุบาสกอุบาสิกา ผูนั่งใกลพระรัตนตรัย มีบุญ กิริยาวัตถุ คือทาน ศีล ภาวนา เปนเสบียงธรรมนําสุขแกทาน ท้ังในปจจุบัน คือเมือ่ ทานยังมีชวี ิต ตลอดจนสัมปรายภพ คอื ภพหนา ตอๆ ไปดวย ๒) เปนลูกหนี้เวรกรรม ก็อีกประการหนึ่ง ดวยเหตุที่เปนผูไป เบยี ดเบียน ทาํ ราย ทําลาย ทารุณ ขมเหง หรือคดโกง เอารัดเอาเปรียบเขา ไวกอน เรียกไดวาเปนผูกระทําความช่ัว ผิดศีล ๕ มาแตอดีตเกากอน นั่น เปนเพราะท่ีแลวมา เรายังขาดศรัทธา ขาดความรูความเขาใจ ไมยอมรับใน กฎแหงกรรม เราจึงไดตกเปนทาสของกิเลสตัณหา มีตามืดมัว หลงไป กระทําผิดศีลผิดธรรมตางๆ นาๆ จึงไดมีคูกรณี ที่เปนโจทก เปนเจากรรม นายเวร มาคอยทวงคอยตดิ ตาม ใหเ ราจาํ เปนตองชดใชอยูมากมาย และไม รูวา เขาจะมาทวง หรือมาเอาคืนเมื่อใด ซ่ึงในกรณีเชนน้ี สามารถจําแนก คูกรณไี ดอ ีกชั้นหนึง่ เปน ๒ จาํ พวก คือ ๒.๑ เจาหน้ีที่เกิดมาแลวในโลกแหงธาตุ ๔ (มีกายหยาบ) คือ เกิดมาเปนมนุษยบาง เปนสัตวบาง ท่ีเปนมนุษยไดแก คนทุกๆ คน ทั้งที่ อยูใกลชิด เปนพอแมพี่นอง บุตรหลาน ญาติมิตรสหายบาง และท่ีหางไกล คือ คนอื่นๆ ในสังคม ท่ีไปมาหาสู ติดตอสัมพันธ แวดลอม มีอิทธิพลเก่ียวของ กบั เราท้งั หลาย ไมว าจะมี ช้นั ยศ ฐานะ สงู ต่าํ หรืออยูใ นระนาบเดยี วกับเรา 167

พระภาสกร ภูริวฑฺฒโน (ภาวิไล) เพราะถาถือตามที่พระพุทธองคทรงแสดงไววา “ในสังสารวัฏ อันยาวนาน หาประมาณมิไดนี้ คนทั้งหลายท่ีเกิดมาแลว แทบจะไมมีเลย ที่ไม เคยเกยี่ วของ เปน พอ แม พ่ี นอ ง สามี ภรรยา บตุ ร ธดิ า แกก นั และกนั ” จึงประมาณไดวา มนุษยทุกคนในโลกนี้ อาจมีฐานะเปนเจาหนี้กรรม เจาหน้ีเวรของเราไดท้ังสิ้น ในกรณีน้ี พึงหาโอกาสกระทํา สังคหวัตถุ ความดีท่ีสงเคราะหยึดเหนี่ยวประสานใจกันไว อันไดแก ทาน การเอ้ือเฟอ ใหปน ปยวาจา การพูดจริงที่มีผลบํารุงน้ําใจ อัตถจริยา การบําเพ็ญ ประโยชน และ สมานัตตตา ความมีตนเสมอเขารวม โดยไมถือตัว แลวหา จังหวะดีๆ ขอขมา ขออโหสิกรรม1 ในกรรมไมดี ท่ีตนเคยหลงผิด เคย พลาดพลั้งลวงเกินเบียดเบียนแกกันมา ทั้งในชาติปจจุบันน้ี ท่ีผานมาแลว ตลอดจนในอดีต ทุกๆ ภพ ทุกๆ ชาติ ซ่ึงหากเขาใหอภัย ใหอโหสิกรรม แกเ ราแลว ก็พอจะเบาใจไดบ า งตามสมควร สาํ หรับสตั วท งั้ หลายซึง่ ส่ือสารดว ยภาษามนุษยไมได พึงสงเคราะห ดวยอาหารและเมตตาจิต ที่แผออกไปดวยความปรารถนาดี ใหสัตวท้ังหลาย จงอยูเย็นเปนสุข ปราศจากทุกขภัยเบียดเบียน กระแสเมตตาจิตที่แผไป อยางไมมีประมาณน้ัน จะทําใหความกระทบกระทั่งลดลง เปนปจจัยท่ีชวย เบี่ยงเบนผลกรรม ระหวางสัตวนนั้ กับเรา ใหเปนไปในทางท่ดี ีย่งิ ๆ ขึ้นไป ๒.๒ เจาหน้ที เี่ กดิ มาแลว ในแบบ โอปปาติกะ คือ เกิดผุดขึ้นเต็มตัว ในทันใด โดยมีรูปกายอันละเอียด ลวงจักษุมนุษย เปนอาทิสมานกาย ไดแก สัตวนรก, เปรต, อสุรกาย, สัมภเวสี (ท้ังท่ีรอนเรหาแดนเกิดในความเปน มนุษยและเดรัจฉาน) ตลอดจนพรหมเทพเทวดาท้ังหลายท้ังปวง ซึ่งเจาหนี้ จําพวกนี้ มีทั้งที่อยูใกลๆ เกี่ยวของเช่ือมโยงกับแดนมนุษย และมีท้ังท่ีมี ปกติไมเขามาเกี่ยวของกับมนุษย คือแยกแดนแยกมิติออกไป ซึ่งอายุขัย ของโอปปาติกะเหลาน้ี จะมีความยืนยาวเปนอยางมาก เม่ือเทียบกับมนุษย เปน ๆ อยางเราทา นท้ังหลาย 1 ดูตัวอยา ง บทขอขมากรรม และบทขออโหสกิ รรม ทีภ่ าคผนวกทายเลม 168

ปฏิจจสมปุ บาท สําหรบั คนรนุ ใหม ฉะน้ัน หากในอดีต ไมวาในชาติปจจุบันน้ี หรือในชาติภพอื่นๆ ท่ีแลวมา เราไดเคยไปเบียดเบียน ทําราย ทําลาย ทารุณ ขมเหง คดโกง เอารัดเอาเปรียบ กระทําผิดศีลผิดธรรม ย่ํายีเอาไวกับเขาเหลานั้นกอน จึงสง ผลทําใหเ ขามฐี านะเปนเชนเจา หน้ีของเรา มสี ิทธ์ทิ ่ีจะตามทวงหนีก้ รรม หนีเ้ วร ใหเ ราตอ งไปชดใชในกรรมเหลาน้ัน ทั้งในกาลสมัย และเทศะสถาน อนั สมควรแกกรรมน้นั ๆ ตวั อยา งเชนสัมภเวสี หรือผตี ายโหงบางตน ปรากฏรางข้ึนกลางถนน หนทาง หลอกหลอนใหผูที่เปนลูกหนี้กรรมในอดีต ท่ีมีกิจธุระตองขับรถ ผานไปในเสนทางน้ันๆ ใหขวัญหนีดีฝอ หรือตกใจจนขาดสติ หักหลบจน เกิดอุบัติเหตุ ทําใหรถเสียหลักพลิกคว่ําตกถนน ไดรับบาดเจ็บพิกลพิการ หรือตายตามไปก็มี หรือกรณีของหญิงสาว ท่ีเกิดต้ังครรภอันไมพึงประสงคข้ึน แลวไปทําแทง ฆาลูกนอยในทองของตน ก็เปนเหตุใหชีวิตมีแตอุปสรรค จะดําเนินกิจการงานอะไร ก็ไมรุงเรือง รังแตจะขาดทุนยอยยับอยางไมนาที่ จะเปนไปได นกี่ เ็ ปนอีกกรณีหนง่ึ ทมี่ ีผลใหสงั เกตไดอ ยางมีนยั สาํ คัญ ในกรณีของเจา หน้ี ที่เกิดมาแลว ในแบบโอปปาติกะ มีแตกายละเอียด คือ อาทิสมานกาย เชนน้ี เราพึงหาโอกาสบําเพ็ญบุญกุศล ใหทาน รักษาศีล เจริญภาวนา แลวอุทิศสวนกุศลไปให จริงอยู ที่มีแตเฉพาะ ปรทัตตุปชีวิกเปรต คือเปรตชนิดที่อยูใกลๆ เก่ียวของเช่ือมโยงกับแดนมนุษย จึงจะสามารถรับ อนุโมทนา วาสาธุ ในสวนบุญสวนกุศลท่ีอุทิศใหแลวได แตกระน้ัน หากเปน กรณีอ่ืนๆ ก็ขึ้นอยูวา กําลังบุญและกําลังจิตของผูท่ีเกี่ยวของในกองบุญ คือ การทําบุญใหทาน ผูรับทาน และเจตนาในการอุทิศสวนกุศลน้ัน จะมีมาก นอ ยเพยี งใด เปรียบไดกบั การสงของดวยมือตนใหกับคนใกลๆ หรือการใช บริการไปรษณีย เพื่อสงจดหมายหรือขาวของใหกับคนท่ีอยูหางไกล ก็เชนเดียว กับกรณีของเจาหน้ีที่เกิดมาแลวในโลกแหงธาตุ ๔ คือเราตองนอมใจลง ขอขมา ขออโหสิกรรม ดวยความสํานึกผิดในกรรมช่ัวท้ังหลาย ท่ีเราไดเคยไป กระทาํ ไวกับเขาเหลา นั้น ไมว า กรรมน้นั ๆ เราจะระลึกไดห รอื ไมไดก็ตาม 169

พระภาสกร ภูรวิ ฑฺฒโน (ภาวไิ ล) ประการท่ี ๒ ในฐานะท่ีเราเปนเจาหนี้เขา ก็สามารถจําแนกออก ได ๒ กรณเี ชน กัน ๑) เปน เจา หนี้บุญคุณ ในกรณีนี้ ไมตองคอยเปนหวง ไปตามทวงบุญ ทวงคุณอยูหรอก เพราะวา ยิ่งทวงยิ่งหมด ยิ่งทวงยิ่งหดหาย ลองยอนมาดูใจ ของตนเองวา เวลาที่ใครเขามีบุญคุณกับเรา เราสํานึกและยกยองในบุญคุณ เหลา นัน้ ในใจ คาของบุญคณุ ของเขาในใจของเราน้ัน มันไมมีประมาณ ไมมี ขอบเขต แตพอถูกทวงแลว มนั ดูจะหดลงมาเหลือเพียงเทาท่ีเขาทวงเทานั้น ในนัยเดยี วกัน เราจึงไมค วรท่ีเราจะตองคอยเฝาจดจองอยูวา เมื่อไรบุญคุณ ท่ีเราทําไวจะใหผลสักที ขอใหกลับไปศึกษาพิจารณาเร่ือง กฎแหงกรรม จนเกิดความม่ันใจไดวา ของฟรีไมมีในโลก ใครทําไวเชนไร คือกอใหเกิด ผลดีงามตอโลกมากมายเพียงใด ผลที่ดีงามเชนนั้น ยอมยอนกลับมาสนอง แกเ รา ตามเหตุปจจัยอันสมควรแกกรรมที่กระทํานั้น ไมมีทางเปนอ่ืนไปได เม่ือม่ันใจไดเชนนี้ จึงมุงมั่นแตการกระทําเหตุดี ไมโงเงาเฝาคอยแตผล จนเปนบวั แลงนํ้า หยามใจตนเอง ๒) เปนเจาหนี้เวรกรรม เพราะการเวียนวายตายเกิดในสังสารวัฏ อันยาวนานหาประมาณมิไดนี้ เรายอมมีทั้งสองบทบาท คือความเปนลูกหน้ี ๑ ความเปน เจาหนี้ ๑ ความเปนลูกหนี้ ก็เชนท่ีกลาวมา แตก็ขอเสริมวา การท่ีเราจะไป ขออโหสิกรรม จากเจาหนี้กรรมเจาหน้ีเวรของเรา อยาไดตั้งจิตไวผิดดวย อหังการวา เราเปนผูฉลาด เคยทํากรรมชั่วไว แตตอนน้ีรูกฎแหงกรรมแลว จะไปหลอกขออโหสิกรรมจากเขา ถาตั้งใจไวเชนน้ี ใครจะโงใหอโหสิกรรม แกเรา มีแตจะถูกซ้ําเติมเพ่ิมโทษใหหนักหนาสาหัส สมกับความหยาบและ อหังการของเรา ฉะน้นั จงึ เปนหลักตายตวั วา กอนที่จะไปขออโหสิกรรมจากใคร พึงสํานึกและสลดใจ ในความผิดช่ัวชา ที่ตนเคยตกเปนทาสของกิเลสตัณหา ชกั นําใหไ ปกอ กรรมทําชั่วทาํ ผิดศีลธรรม อันยังใหเ จา กรรมนายเวรทั้งหลายน้ัน ไดรบั ความทกุ ขท รมานมีประการตา งๆ ในอดีตที่ผา นมา ดังกลา ว 170

ปฏจิ จสมุปบาท สําหรับคนรุนใหม ในทางกลับกัน ความเปนเจาหน้ี นั้น ใครๆ ก็อาจเปนลูกหน้ีกรรม ลูกหน้ีเวรในอดีตของเราไดทั้งน้ัน เพราะบุคคลทั้งหลาย คือมนุษยสัตว ทั้งหลาย ยอมเปนไปได ท่ีจะเคยผิดศีลผิดธรรม กระทําลวงเกิน ฆาฟน ทําราย ทําลาย เบียดเบียนแกเราเอาไว ไมวาจะเปนในชาตินี้ภพน้ี หรือใน ภพชาติใดๆ ก็ตาม ในทุกกัป ทุกกัลป ทุกอสงไขยที่ผานมา ซ่ึงปจจุบันชาตินี้ เขาอาจมาเกิดรวมภพรวมชาติกับเราอีก โดยมีฐานะเปนพอแมของเราบาง เปนครูอาจารย เปนพี่นอง สามีภรรยา มิตรสหาย บุตรธิดา หลานเหลน อันเปนท่ีรักของเราในปจจุบันบาง และดวยอดีตกรรมเหลาน้ัน เราจึงมี ฐานะเปน เจาหน้ีกรรมเจาหน้ีเวร (เจา กรรมนายเวร) ของเขา อํานาจของกรรมวิบาก ที่เราไดเคยผูกพยาบาท อาฆาต จองเวร จองกรรมเขาไว เมอื่ เหตุปจจยั พรอ มพร่ัง จึงเกิดมีอิทธิพลเหนือจิตเหนือใจ เหนือเหตุเหนือผล ดลใจของเรา ใหขาดสติปญญา ขาดศีลและกุศลธรรม หวนกลับไปเปนฝายทํารายทําลายเบียดเบียนแกเขาอีก เพื่อเปนการตอบแทน ลา งแคนเอาคืน ในกรรมช่ัวที่เขาไดเคยลวงเกินกระทําแกเราไว แตน่ันเทากับ การสรางเวรกรรมใหม ซ่ึงเปนเหตุใหผูกเวรจองกรรม จองลางจองผลาญ ผลดั กนั ไปมา ไมม สี นิ้ สุด ดว ยเหตุท่พี ระพุทธองคท รงแสดงไววา เวรทง้ั หลายยอ มระงบั ดวยการไมจ องเวร ผูใดที่จองเวร เวรของผูนั้น ยอ มไมระงับ เวรทัง้ หลายเหลานัน้ จะระงับไปดว ยการไมจองเวรเทานัน้ ซึง่ หมายความวา ผูท ีย่ ังจองเวรอยู ยังจะตอ งมารบั ทกุ ขรบั โทษตอไป ไมมที ่ีสน้ิ สุด ผูมีปญญาทงั้ หลายจงึ พึงไตรตรองพิจารณา ใหอภัย ใหอโหสิกรรม ในกรรมเวรท้ังหลายท้ังปวงเหลานั้นเสีย เวรของผูน้ันจึงจะสงบระงับลงได อยางรวดเรว็ 171

พระภาสกร ภรู ิวฑฺฒโน (ภาวิไล) เราท้ังหลายจงเปนผูไมประมาท พรอมใจกัน ประกาศใหอโหสิกรรม1 เปน อภัยทาน เปนการสละบาป คือกรรมชั่วทั้งหลาย ท่ีเคยฝงจิตฝงใจ ผูกอาฆาตพยาบาท รอวนั เวลาจองลางจองผลาญทาํ ลาย แกคปู รบั คเู วรคกู รรม ของเราทั้งหลายเหลานั้น ดวยความสลดสังเวชใจ ในการเวียนวายตายเกิด สลดสังเวชใจ ในการท่ีจะตองหวนกลับไปกอกรรมทําชั่ว ท่ีผิดศีลผิดธรรมอีก สลดใจที่คนท้ังหลายรอบๆ ตัวเรา แมกระทั่งพอแม พ่ีนอง สามีภรรยา ญาติมิตรสหาย บุตรธิดา หลานเหลน อันเปนท่ีรักย่ิงของเรา ก็อาจมีกรรม มีวิบากกับเรา เปนลูกหนี้กรรมลูกหนี้เวรของเรา จนเปนเหตุใหเราเผลอไผล ขาดสติ ไปทํารา ยทําลาย แกแ คนเอาคนื กับเขาเหลานั้น ๗. เลกิ ลางเปา หมายอน่ื แลว ลงทะเบียนเสียที เปนนักมวย ก็ตองตั้งใจท่ีจะเปนนักมวย ไมใชนักมวยก็อยากจะเปน แตก็อยากจะเปนเจาของโรงงานดวย อยากเปนนักการเมืองดวย ถามีความ ปรารถนาเบี่ยงเบนอยางนี้ อยางไรก็หมดหวังท่ีจะไดเปนแชมปโลกแนนอน จึงตองตัดสินใจใหชัดเจนลงไปเลยวา ตนตองการอะไรแน ไมอยางน้ัน ใครเขาจะมาเสียเวลา เสยี ทนุ ทรพั ย สนบั สนุนใหเปน แชมป ขาดทนุ เปลาๆ เปน นกั ปฏิบตั ิธรรม ก็เชนกัน ตองตอบคําถามใหชัดเจนวา ปฏิบัติ ไปเพ่ืออะไร ถาจะปฏิบัติธรรมไปเพ่ือส่ังสมบุญญาบารมี เพ่ือจุดมุงหมายอื่น ทไี่ มใชก ารถงึ ท่สี ดุ แหง ทุกข คือถงึ ซงึ่ พระนิพพานในปจจุบันชาติน้ี ก็ไมตอง มาอาน “วิปสสนาชกมวย” ท่ีทานอานอยูน้ี ใหเสียเวลาไปเปลาๆ เพราะ เปาหมายของวิธีการนี้ ก็เพื่อการพนทุกขถึงพระนิพพานในชาติปจจุบัน ในพระศาสนาของพระศาสดาสัมมาสัมพุทธเจา พระมหาสมณโคดม ซ่ึงเปน เปาหมายสําคญั สงู สดุ 1 ดตู ัวอยาง บทประกาศใหอ โหสิกรรม ท่ีภาคผนวกทายเลม 172

ปฏิจจสมุปบาท สําหรบั คนรุนใหม สวนใครท่ีปรารถนาเปาหมายอ่ืนๆ เชน ทําบารมีพุทธภูมิ ปรารถนา พระโพธิญาณ หวังจะตรัสรูดวยตนเองเปนพระพุทธเจา เพื่อขนถายสรรพสัตว เขาสูมหาอมตนิพพานดวยตนเอง ในอนาคตภายภาคหนาอันไกลโพนบาง หรือทําบารมีปจเจกภูมิ ปรารถนาพระปจเจกโพธิญาณ ตรัสรูดวยตนเองเปน พระปจเจกพุทธเจา ในภายภาคหนา บาง หรอื แมก ระท่งั ไดเคยทําสนธิสัญญา ไวกับพระโพธิสัตวพระองคอื่นใด วาจะทําบารมีไปรวมงานรวมทีมกับทาน ในตําแหนงตางๆ เชน อัครสาวกฝายซายฝายขวา อสีติมหาสาวกผูเลิศ ในดานตางๆ แลวรอเวลาที่จะมาบรรลุซึ่งมรรค ผล นิพพาน ในสมัยท่ี พระโพธิสัตวพระองคนั้นจะเสด็จมาตรัสรูในอนาคตบาง และที่นาสังเวชสุดๆ คอื แอบไปทาํ สญั ญาผูกมัดเปน มัน่ เปนเหมาะ ไวกับอดีตบุคคลอันเปนที่รัก (ปจจุบันระลึกไมได) วาจะเกี่ยวกอยกันเขาพระนิพพานบาง (โรแมนติกจัง) ทั้งหมดนี้แมวาจะดูดี มีจิตดีงามเปนมหากุศล แตก็เปนการตั้งจิตที่เปน อุปสรรคตอมรรคผลนิพพานในชาติปจจุบันโดยตรง หากตองการท่ีจะเปน แชมปโ ลกอยางแทจ ริง คือบรรลุมรรคผลนิพพานในปจจุบันชาติน้ีแลว ก็จําเปน อยางย่ิงที่จะตองมีการ อธิษฐานลาพุทธภูมิ ลาปจเจกภูมิ ลาหรือยกเลิก พันธะสัญญาท้ังปวง ท่ีไดเคยหลงไปตกปากรับคํากับใครๆ เขาเอาไว ใหหมดส้ิน1 แลวอธิษฐานปกใจใหม คือลงทะเบียนท่ีจะเปนผูมุงพัฒนาตน ปฏิบตั ธิ รรมเพอ่ื ถึงซ่ึงมรรคผลนพิ พานในปจ จุบันชาตนิ ้ี สวนใครจะวายาก ก็อยาไปหลงเช่ือใหเสียกําลังใจ คนที่วายากนั้น เปนเพราะเขาเอาดีไมได หรือแอบหมกเม็ดซอนกิเลสบางประการเอาไว หรือไมก็เดินมาผิดทาง แลวก็กลัวเสียหนา กลัวเสียโอกาส กลัววาจะเสีย โลกธรรม คอื ลาภ ยศ สรรเสรญิ สขุ อนั ตนเคยไดร บั มากอ น 1 ดูตัวอยาง บทอธิษฐานลาพุทธภูมิ ลาปจเจกภูมิ ลาสาวกภูมิแบบมีเง่ือนไข และ การอธิษฐานเพื่อมรรคผลนิพพานในปจจบุ นั ชาตนิ ้ี ที่ภาคผนวกทายเลม 173

พระภาสกร ภูรวิ ฑฒฺ โน (ภาวไิ ล) เพราะถาหากมันเปนเร่ืองท่ียากมากจนเกินไปแลว ศาสนาพุทธ ก็คงจะไมม โี อกาสเจริญงอกงามขึน้ ไดใ นชมพทู วปี คงจะหมดสิ้นสูญพันธุไป ต้ังแตสองพันหารอยกวาปท่ีแลว แตนี่เจริญมาได และจะเจริญตอไปอีก นานเทานาน ตราบใดที่มีผูปฏิบัติอยางซ่ืออยางตรง ตามพระธรรมคําสอน ของพระพทุ ธองค ฉะน้นั ขอใหทา นจงพจิ ารณาใหดี วาทานพรอมแลวหรือยัง ที่จะเขา สูระบบ ท่ีพรอมจะพัฒนาใหทานไดรับความสําเร็จสูงสุดตามหลักการของ พระพุทธศาสนา แลวตัดสินใจ อธิษฐานเพ่ือมรรคผลนิพพาน ในปจจุบัน ชาติน้ี อยา งเดด็ เดยี่ วเดด็ ขาดกนั ไปเลย เมื่อไดดําเนินการตามข้ันตอนท้ัง ๗ ขอที่กลาวมา โดยเฉพาะเมื่อ ทานไดล งทะเบียน คอื อธษิ ฐานเพื่อมรรคผลนิพพานในปจจุบันชาตินี้ แลว บัดนี้ทานจึงมีสถานภาพ เปนสมาชิกสายตรงเต็มข้ัน แหงพระบวรพุทธ ศาสนา ของพระศาสดาสัมมาสัมพุทธเจา พระมหาสมณโคดม เขาสู ระบบ เครือขาย ของการเกื้อกูลสนับสนุน ใตรมเงาแหงพระพุทธบารมี ท่ีพระ พุทธองคไดท รงบาํ เพ็ญมาตลอด ๒๐ อสงไขย แสนมหากปั (นับโดยรวม) ๘. นกั มวยสรา งกําลังกาย นกั ปฏิบัติสรา งกําลังใจ เปนนักมวยตองเพาะกาย ใหม ีพละกําลงั มรี างกายแขง็ แรง จึงตอง มีการออกกาํ ลังกาย ดว ยเทคนิควธิ ตี างๆ ไดแ ก ๑) ออกกําลังกายแบบอยูกับท่ี เชน วิดพื้น ซิทอัพ ยกน้ําหนัก ฯลฯ เพ่ือเพ่ิมความแข็งแกรงของกลามเนื้อ สามารถตานทานกับส่ิงที่ถูกสงมา ปะทะ (หมดั , ศอก, แขง, เขา ฯ) ๒) ออกกําลังกายแบบเคลื่อนท่ี เชน จอกกิ้ง ว่ิงทน วิ่งมาราธอน ขึ้นเขา ลงหวย ไตผา พายเรือ วายนํ้า ฯลฯ เพ่ือเพิ่มความอึด ความอดทน เพอ่ื เผชิญตอ การตอ สู ท่ีอาจยดื เยอ้ื ยาวนาน 174

ปฏิจจสมปุ บาท สาํ หรบั คนรนุ ใหม เปนนักปฏิบัติธรรมตองเพาะใจ ใหใจมีพละกําลัง ใหใจมีความ แขง็ แรง จึงตองมกี ารออกกาํ ลงั ใจ ดวยการปฏบิ ัติ สมถกรรมฐาน หรือการ ทาํ สมาธิ ซง่ึ มหี ลายรปู แบบ ไดแ ก ๑) แบบเพงส่ิงนิ่งแนว เชน เพงกสิณ, เพงลูกแกว, เพงพระพุทธรูป หรอื บรกิ รรมดวยคําพยางคเดยี ว อยางทพี่ ราหมณใ ชค าํ วา “โอม” เปน ตน ๒) แบบเพงของเคลื่อน ๒ ฐาน ไป-มา เชน ดูลมหายใจ เขา-ออก, ดทู อง พอง-ยุบ เปน ตน หรอื การบรกิ รรมคําส้ันๆ ๒ พยางคบาง ๒ คําบาง เชน พทุ -โธ, สัมมา-อรหงั เปน ตน ๓) แบบเพงของเคลื่อน ๓ ฐานข้ึนไป เชน ดูการเคล่ือนของลม ไลจากปลายจมูก ไปถึงหนาอก ไปจบท่ีเหนือสะดือ หรือใชการสวดมนต บางบท ซ้ําไปซํา้ มาหลายๆ รอบ เชน สวดพทุ ธคณุ ๑๐๘ จบ เปนตน ๔) การเดินปราณ กําหนดรูไปตามอวัยวะรางกายสวนตางๆ หรือ การทําวตั รสวดมนตเชาเย็น จนเปน กิจวตั ร ๕) แบบอืน่ ๆ ดังที่ปรากฏใน กรรมฐาน ๔๐ มีทานผูรูเคยบอกกับผูเขียนวา “เวลาออกกําลังกาย ยกนํ้าหนัก ข้ึนๆ ลงๆ ซํ้าไปซํ้ามาน้ัน ดูเปนเรื่องท่ีซํ้าซากนาเบื่อหนายยิ่งนัก แตผลที่ เกิดข้ึนคือ กลามใหญขึ้น แข็งแรงข้ึนมิใชหรือ… การทําสมาธิก็เชนกัน เม่ือ เริ่มตนดูจะเปนเรื่องที่นาเบื่อหนาย แตเม่ือทําอยางสมํ่าเสมอและตอเนื่อง แลว ยอมสงผลคือความเปลี่ยนแปลงใหประจักษไดอยางชัดเจน กลาวคือ เปนผูมีจิตใจหนักแนน มั่นคง แข็งแรง และเยือกเย็นขึ้น ท้ังยังสงผลใหมี สติปญ ญาเฉียวฉลาดรวดเร็วขน้ึ ดวย นอกจากปฏิบัติสมาธิแบบแนวน่ิง ซึ่งเปรียบไดกับ การยกน้ําหนัก ของนักกีฬาแลว ขณะเดียวกันก็ควรทําสมาธิแบบลากยาว ซ่ึงเปรียบไดกับ การวิ่งออกกาํ ลังของนกั กฬี าดวย เชน การสวดมนตไหวพระ การทําวัตรเชา ทําวัตรเย็นยาวๆ อยางสม่ําเสมอ เปนเหตุใหจิตมีความอึด อดทน และ ยืนหยดั ไดย าวนาน กับการตอ สูเ คีย่ วกราํ ในขัน้ ของการปฏบิ ตั ิวปิ สสนา” 175

พระภาสกร ภรู วิ ฑฺฒโน (ภาวิไล) (การปฏิบัติวิปสสนา ที่ตองใช โยนิโสมนสิการ การพิจารณาอยาง แยบคาย แบบสืบสาวหาเหตุผล ต้ังแตตนจนจบ แลวจึงสรุปลงไปในกฎของ ธรรมชาติ เชน ไตรลกั ษณ เปนตน)” “การปฏิบัติสมถภาวนา หรือการทํา สมาธิ น้ัน เมื่อมีความเพียร ปฏิบัติไปอยางตอเน่ืองสมํ่าเสมอ จนจิตสามารถสงบนิวรณ ๕ เขาถึงสมาธิ ขั้นแนวแน เปนอัปปนาสมาธิ คือเขาฌานในระดับตางๆ ได จิตจะไดรับรส อันละเอียดลึกซึ้ง ของ ปติ ความอ่ิมเอมใจ สุข และ อุเบกขา ความสงบ เปนกลางของจิต อันประณีตย่ิงนั้น ซ่ึงจะมีผลใหผูปฏิบัติเกิดศรัทธา และ ทัศนคติที่ดีตอการทําสมาธิเปนอยางมาก แตก็ตองรูเทาทัน ไมไปหลงผิด ติดยดึ จนเกิด รูปราคะ และอรูปราคะข้ึนมา จนเปนอุปสรรคแกการปฏิบัติ พฒั นาตอ ไป ในขน้ั ของ วิปส สนา” จากท่ียกมาแสดงน้ี จึงขอสรุปวา ในการเตรียมพละกําลังทางใจ ของผูปฏิบัติ ท่ีมุงความหลุดพนอยางแทจริง หากทานใดเคยปฏิบัติสมถะ ภาวนามาเชนไร และยังใชไดผลดีอยู พึงอาศัยกรรมฐาน คือวิธีการปฏิบัติ ทไี่ ดผลดีอยแู ลวน้ันตอไป โดยท่ีไมจําเปนตองเปลี่ยนไปเร่ิมตนใหมในแบบ อื่นๆ ใหเสียเวลา แตที่สําคัญคือ ควรเพิ่มการสวดมนตภาวนา รวมทั้งการ ทําวัตรเชา-เย็น ใหตอเน่ืองสมํ่าเสมอ เพ่ือเปนกําลังเก้ือกูล ใหพรอมแก การปฏิบัติวิปสสนา อนั จะไดก ลาวตอ ไป สวนตัวผเู ขยี นเอง ใชอานาปานสติ คอื นงั่ สมาธดิ ลู มหายใจเขาออก สลับกับการเดินจงกรม แลวสวดบริกรรม พุทธคุณ ธรรมคุณ สังฆคุณ วนไปมา ๑๐๘ จบ พรอมๆ กับการตก (นับ) ลูกประคํา ในระหวางท่ีเดิน จงกรมอยนู น้ั ซึ่งกไ็ ดร ับผลเปนทีน่ าพอใจเชน กนั 176

ปฏจิ จสมุปบาท สาํ หรบั คนรุนใหม ๙. ออกลลี าชกลม หรือราํ มวย เปนนักมวย ไดออกกําลัง คือ เพาะกายบาง จอกกิ้งบาง พอมี กําลังข้ึนมา ถาเปนมวยสากล ก็จะเริ่มดวยการชกลม ฝกออกหมัดให แคลวคลองวองไว ฟุตเวิรค เดินหนาถอยหลัง โยกซายโยกขวา โชวลีลา โชวฟอรมใหสวยไวกอน แตถาเปนมวยไทย ครูมวยจะสอนใหเร่ิมจาก ยางสามขุม แลวก็ฝกทารํามวยไทย ที่ดูออนชอย เชื่องชา แตก็เปนแมไม แมแบบ ของลลี าทามวย ท่ีนกั มวยจะใชไดอยางรวดเร็ววองไว ในการขึ้นชก จริงๆ แตท้ังน้ี ไมวาจะเปนมวยสากลหรือวามวยไทย ในขั้นน้ีนักมวยก็ยัง สดช่ืนสบายตัวอยู เพราะคูตอสูคือลม ท่ีหาไดมีแรงตาน หรือแรงปะทะ ทีจ่ ะสะทอนกลบั มาใหสะทานเทา สะเทือนมอื ไม เปนนักปฏิบัติ เม่ือไดออกกําลังใจ ดวยการปฏิบัติสมถะภาวนา ในรูปแบบตางๆ ดังท่ีไดกลาวมาแลวพอสมควร จิตพอมีกําลังขึ้นมา ก็ควร เริ่มตนฝกทวงทาลีลาในการเจริญวิปสสนา ใหเกิดความแคลวคลองวองไว กันเสียที ซ่ึงในข้ันตอนน้ี ก็เชนเดียวกับการชกลม คือก็ยังสบายๆ แบบ เบริ ด ๆ อยู แตส ําคญั ทวี่ า แลว เราจะเร่ิมตน กนั อยา งไรดี? ครูบาอาจารยทานแนะนําวา ใหเราเริ่มตนดวยการ หยิบยกเอา วัตถุสิ่งของภายนอก ที่ไมใชทรัพยสินสมบัติ ขาวของๆ เรา แตเปนของๆ ธรรมชาติ หรือมีคนอื่นเปนเจาของ มาเปนอารมณ คือองคธรรมสําหรับ การพิจารณา โดยมีเง่ือนไขใหเปนไปตามหลัก “วิปสสนาในฌาน” หรือ “กฎของความสมดุล”1 วา คือ “การยกหวั ขอธรรมะ (องคธรรม = วัตถุส่ิงของภายนอก เพียง ๑ อยางเทานั้น) ขึ้นมา สูการคิดท่ีเปนระเบียบ พิจารณาหาเหตุผล ตั้งแต ตนจนจบ แลวนอมลงสูไตรลักษณ” (นอมลงสูไตรลักษณ คือการสรุป หวั ขอ ลงในกฎไตรลักษณ) 1 อาจารยแมชี อุบาสิกาเพียงเดือน ธนสารพิพิธ เปนผูสรุปและประกาศไว (ดูหนา…53) 177

พระภาสกร ภูรวิ ฑฒฺ โน (ภาวไิ ล) การคิดใหเปน ระเบียบ หมายถึง เมื่อยกเรื่องใดเรื่องหน่ึงข้ึนมาเปน องคธรรม ก็ให นึกคิดพิจารณาเกี่ยวกับเรื่องน้ันเพียงเรื่องเดียว ตอเน่ือง กันไปต้งั แตต น จนจบ ตั้งแต (๑) การเกิดขน้ึ และเหตุปจ จัยที่ทําใหเกิดข้ึน (๒) การดาํ เนนิ ที่ผานมา และเหตุปจ จยั อปุ ถัมภแกการดําเนินมา (๓) การปรากฏในปจ จบุ นั และเหตปุ จจัยอปุ ถมั ภแ กการปรากฏในปจ จุบัน (๔) การดําเนินตอไป และเหตปุ จ จัยอุปถมั ภแ กการท่ีจะดาํ เนนิ ตอ ไป (๕) การเสือ่ มสลาย และเหตปุ จจัยทเ่ี บียดเบยี นใหเ กดิ การเส่ือมสลาย (๖) การส้นิ สุด และเหตปุ จจยั ทีม่ าตดั รอนใหเ กดิ การสนิ้ สดุ (๗) แลวสรุปลงสไู ตรลกั ษณ การยกมาเพียง ๑ องคธรรม ในแตละครั้งที่ นึก คิด พิจารณา อารมณว ปิ สสนา จึงเปน เอกคั ตารมณ ต้งั แตแรก การ วิตก วิจาร พิจารณาไปต้ังแตตนจนจบ คือ ขอ (๑)-(๖) เปนการสอนใจ ใหรับรูและเห็นชัดใน “ปจจยาการ” คือ ความเปนปจจัย โยงใยแกกนั ในกรณีท่ีองคธรรมที่ยกมาพิจารณานั้นเปนสัตวหรือบุคคล อันมี พฤติกรรมและการกระทําทางกาย วาจา ใจปรากฏเปนไปตางๆ พึงพิจารณา ใหเห็น และยอมรับในความเปนไปของสัตวหรือบุคคลน้ัน ตามอํานาจของ “กฎแหงกรรม” คอื ทาํ ดไี ดดี ทาํ ช่วั ไดช ่วั มาประกอบดวย การนอมสรปุ ลงดวยความเตม็ อ่มิ เต็มใจ และยอมรับในกฎธรรมชาติ ท่ีเกิดขนึ้ และเปน ไปในอารมณ คอื องคธรรมนั้น สามารถกระทําไดท้ัง ๒ วิธี แลว แตจ รติ นสิ ัยและความถนดั กลาวคอื จะสรุปนอ มลงสู “ไตรลักษณ” คือ ความเปน อนิจจัง ทุกขัง อนัตตา ก็ได หรือจะสรุปนอมลงสู “อริยสัจ ๔” ในความเปนคูเหตุผลของทุกขและความดับทุกขก็ได ใหเลือกเอาวิธีสรุป แบบใดแบบหน่ึงในสองอยางนี้ ในแตละครั้งแตล ะรอบของการพิจารณา 178

ปฏจิ จสมุปบาท สําหรับคนรุนใหม องคธรรมหรือหัวขอที่ยกข้ึนมาพิจารณาเปนไปไดท่ีสามารถกระทํา ใหแจงไดในการพิจารณาเพียงรอบเดียว แตอยาประมาท เพราะสวนใหญ แลว ย่ิงเปนสิ่งท่ีเราเห็นผิดใหคุณคาเอาไวมาก ก็ย่ิงตอง อาศัยกําลังและ ความเพียร ในการพจิ ารณามากขึน้ ตามไปดวย ใหพิจารณารอบแลว รอบเลา เพ่ือขูดเกลา ทาํ ลายลาง ขจดั ไปใหส น้ิ ซาก ซงึ่ ความเห็นผิดเหลา นั้น การวิตก วจิ าร พิจารณาไปต้ังแตต น จนจบ เปน การจดั ระเบียบทาง ความคิด เปนการทํามรรค คือเสนทางการปฏิบัติเพื่อความหลุดพน ให สอดคลองพรอมเพรียง (สมังคี) กันไป ตั้งแตเริ่มลงมือปฏิบัติ ซึ่งการ ปฏิบัติเชนนี้เปน “วิปสสนาในฌาน” ดวยเปนการเดินฌานไปพรอมๆ กับ การพจิ ารณาธรรม ดงั มรี ูปแบบการเดินจติ เพอื่ พจิ ารณาธรรมดงั ตอไปนี้ ฌาน ๑ (ก) ยกหัวขอธรรมะ (องคธรรม) ข้ึนมาพิจารณา คือวิตก หรือความตรึก (ข) ทําการพิจารณาและเกิดความเขาใจ ก็เปน วิจาร หรือ ความตรอง (ค) เม่ือทําการพิจารณาหาเหตุ-ผล แลวนอมลงสูไตรลักษณ เห็นแจงวาเปนการถูกตอง ก็เกิด ปติ-สุข สวน เอกัคตา ก็คือ หัวขอธรรมะ ๑ หวั ขอ ทไ่ี ดทําการพิจารณาแลวนน้ั ฌาน ๒ เม่ือจิตรับรูหัวขอธรรมะท่ีพิจารณา เห็นแลววาถูกตอง จิตก็จะมีความละเอียดลง เพราะพิจารณาธรรมจบรอบแลว เม่ือเห็นวา ถูกตอ ง ก็มคี วามปติ แลวกเ็ กดิ ความสุขกับหัวขอธรรมะน้ัน หัวขอธรรมะ ๑ หวั ขอ กค็ อื เอกัคตา ฌาน ๓ เมื่อจิตเดินเรียบลง จิตจะละเอียดลง ดวยเห็นชัดในความ ถูกตองน้ัน จิตเดินเรียบลงอีก จนปติหายไป (ขณะปติ จิตยังมีคลื่นส่ันอยู) เหลือแตความสขุ กบั หัวขอ ธรรมะน้นั คอื เปนสุขกบั เอกัคตา (สขุ -เอกัคตา) ฌาน ๔ จิตเดินเรียบลงอีก ลงสูความละเอียดลึก ความสุขุม คัมภีรภาพก็เกิดขึ้นกับ หัวขอธรรมะ ท่ีไดพิจารณาแลวนั้นวา ถูกตอง… เปน แนแท จิตกเ็ หลือเปนหนง่ึ หรือเอกัคตา กบั หัวขอธรรมะน้นั วาถูกตอง แนแ ลว จติ จงึ วางลงเปนอุเบกขา ในขณะจิตเดยี วกนั เรียกวา ฌาน ๔ 179

พระภาสกร ภรู วิ ฑฒฺ โน (ภาวิไล) กรอเทปสมอง ประลองความจรงิ ในชีวติ ทานอาจารยแมชี อุบาสิกาเพียงเดือน ธนสารพิพิธ ไดแนะนําให นักปฏิบัติ เริ่มตนดวยการ “กรอเทปสมอง” คือ “การพิจารณาทบทวน ชีวิตประจําวัน” ซ่ึงเปนขบวนการฝกการคิดใหเปนระเบียบ โดยการไลลําดับ พฤติกรรมของตัวเราเอง ตั้งแตต่ืนนอนตอนเชา แลวระลึกไลไปตามลําดับ ของพฤติกรรม จวบจนไปจบถึงเวลา ณ ท่ีกําลังพิจารณาอยู กอนที่จะเขานอน ซ่งึ วิธนี ้ี ถาเปนนักปฏิบัติท่ีมีความจําดีหรือมีกิจธุระในชีวิตประจําวัน ในแบบ ท่ีงายๆ ไมซับซอนนัก ก็ใชวิธีทํารวดเดียวตอนกอนนอนก็ได แตในกรณีท่ี เปนผูมีกิจกรรมมาก เชนเปนนักธุรกิจ หรือประกอบอาชีพท่ีจะตองพบปะ ผูคนมากมายวุนวายตางๆ ก็อาจแบงพิจารณาเปนสอง หรือสามขยัก แลว คอ ยไปรวบยอดทบทวนอกี ครัง้ ตอนกอ นนอน กไ็ ดผ ลดีเชน กัน โดยวิธกี ารทบทวนชวี ิตประจําวันเชนน้ี ในทางธุรกิจ ก็ทําใหไมเกิด ความผิดพลาด ตกหลน หรือหลงลืมในขอตกลงท่ีอาจไปตกปากรับคํา กับใครๆ เอาไว ในกจิ ธุระของแตล ะวนั ในขณะเดียวกนั ทานอาจารยแมชีฯ กไ็ ดใหเหตุผล และประโยชนข องการปฏิบตั ิ “กรอเทปสมอง” ไวว า “ชีวิตประจําวันของแตละคนนั้น เปนพฤติกรรมที่สําเร็จประโยชน คือจบไปแลวในแตละวัน โดยมีรอบของกฎธรรมชาติปรากฏอยูพรอมแลว ทั้ง ๔ กฎ ไมวาจะเปน กฎแหง กรรม ไตรลกั ษณ กฎของเหตผุ ล (อริยสัจ ๔) และกฎของเหตุปจจัยท่ีโยงใยถึงกัน (ปฏิจจสมุปบาท) การพิจารณาชีวิต ประจําวัน จึงเปนการตอกย้ําใหเราเขาใจ และเกิดการยอมรับในกฎของ ธรรมชาติที่กําลังดําเนินไปอยูตลอดเวลาแลว ในชีวิตประจําวันของเราเอง ท้ังยังมีอานิสงส สงเสริมใหผูฝกกรอเทปสมอง ท่ีพิจารณาทบทวนชีวิต ประจําวันอยูอยางสม่ําเสมอน้ัน เปนผูที่มีความคิดเปนระเบียบ ไมสับสน ฟุงซานเปนโรคประสาท และเม่ือสูงอายุขึ้นมา ก็ไมตองกลัววาจะเปนโรค สมองเส่ือม (อัลไซเมอร) เพราะการกรอเทปสมอง ก็เทากับเปนการปรับ เสน ประสาทสมอง หรอื รองสมองใหเปน ระเบยี บ มปี ระสทิ ธภิ าพย่งิ ขนึ้ ” 180

ปฏิจจสมุปบาท สําหรบั คนรนุ ใหม ๑๐. ลลี าชกลม หรือราํ มวยตวั อยา ง คุณภทั ร คชะภตู ิ เพ่ือนสมัยเรียนมัธยมของผูเ ขียน ไดปฏิบัติธรรม ตามหลักวิปสสนาชกมวยน้ี และนําไปสนทนากับผูที่สนใจในอินเตอรเนต ไดคัดสําเนาสงมาให ผเู ขยี นเห็นวาเปน ประโยชน จงึ นาํ มาเปนตวั อยา ง ดังน้ี “พอมีกําลัง นักมวยก็จะเร่ิมชกลม หัดออกหมัดใหคลองแคลว วองไว โชวลีลา โชวฟ อรม ใหสวยไวกอ น แตเ พราะตอนนี้เปนการชกลม มัน จึงยังไมสะทานมือ เราเร่ิมจากพิจารณาส่ิงของภายนอก ส่ิงท่ีไมใชสมบัติ ของเรา เอามาฝกคิดพิจารณาหาเหตุผลกับมันกอน เหมือนเชนกับการฝก ซอมชกลมของนักมวย เชน ลองยกเอาตนไมขางถนน เอามาเปนองคธรรม แลวจึงวิตกวิจาร ไตรตรองพิจารณาหาเหตุผล เอ… มันเกิดมาอยางไรหนอ? เทศบาลเขาคงซ้ือเอาตนกลามาเลี้ยงไว มันก็เกิดข้ึนมา แลวมันก็โตขึ้น เปล่ียน จากตนเล็กกลายเปนตนใหญ โตข้ึนเรื่อยๆ มันก็เปลี่ยนแปลงของมันทุกวัน ใบเกา ปลิวหลุดรวงไป ใบใหมก ็งอกขึ้นมาแทนท่ี โตขึ้นๆๆ จนวันหนึ่ง เขาก็ ยายมาปลูกท่ีน่ี เรามาเห็นมันตั้งอยูตรงน้ี เอ… มันมีโอกาสท่ีจะตายไหม? หรือวาจะมีคนมาโคนมันทิ้งไหม? ออ… เปนไปได เอ ถามีคนมาโคนมันท้ิง เราก็คงไมไดเห็นตนไมตนน้ีอีก อนัตตาน่ีนา… มันหายไปแลวตนไมน้ี… เมอื่ เขาโคนมัน เขาก็คงตดั ออก เปนทอ นๆ เอาไปทิ้งหรือไปทําฟน มันก็คง ผุพังเผาไหม แปรสภาพหมดไป หายไปเกล้ียง… จนไมสามารถหาอะไร ท่เี ปนตวั เปน ตน หรอื หาความเปน ตนไมตน นน้ั ไดอกี มันหาไมไ ดเลย… ออ… ธรรมชาติเปนเชนนี้หนอ… เปนไปตามกฎพระไตรลักษณ จริงๆ เม่ือเกิดขนึ้ มาแลว กเ็ ปลีย่ นแปลงอยตู ลอดเวลา หาความคงทนไมได ไมมีตัวตนอะไรใหไปยึดเหน่ียวเกาะเก่ียวผูกพันได แตความที่เราไมเขาใจ จึงไปยึดมันไวไมใหมันเปลี่ยน เม่ือมันเปลี่ยนไปตามธรรมชาติ ตามเหตุ ตามปจจัยของมัน ใจเราจึงเปนทุกข ซ่ึงแทจริงแลว ทุกสิ่งทุกอยางมันก็ไมมี อะไรเปนตัวเปนตน ใหยึดใหถืออะไรไดเลยนี่นา… จบวิตกวิจาร ก็จะเกิด ปติ วบู วาบนิดๆ กลางอก หรือไมก ข็ างๆ จอน หรือขนลุก แลวแตบุคคล 181

พระภาสกร ภรู ิวฑฺฒโน (ภาวิไล) ครั้นเม่ือเราเขาใจธรรมชาติตามความเปนจริงของมัน ออ… ท่ีแทจริง มันเปนอยางนี้เอง ใจก็จะสลัดความเห็นผิดท่ีมีมาแตเดิมออกไป ใจก็ปติ เมื่อปติแลวก็สุข สุขจากการไดรูความจริงของมัน ใจจึงไมยึดเหนี่ยวผูกพัน กบั มันอีก ตอ มาปตกิ ็ดับ คงเหลือแตสุขกับเอกัคตา ครั้นสุขดับไป คงเหลือ เอกัคตาและอุเบกขา เราสามารถอุเบกขา ปลงวางอุปาทานความยึดถือ ที่เคยหลงผิดใหคุณคาในสิ่งน้ันลงได เพราะเขาใจในเหตุผล ของการเกิดข้ึน ตั้งอยู และดับไปของส่ิงนั้นๆ อันเปนไปตามกฎพระไตรลักษณน่ันเอง นี้จึง เปนอนั จบวิธกี ารฝก การชกลมของเรา… เราทําไปเรื่อยๆ ทําใหสม่ําเสมอ โดยยกองคธรรมภายนอกข้ึนมา พิจารณาบอยๆ พิจารณาทีละ ๑ เรื่อง โดยทําเทาที่มีกําลัง ถารูสึกออนลา ใหกลับไปทําทาน รักษาศีล และเสริมสมถภาวนา เพ่ือเปนการเติมกําลัง ใหแกใจ เมื่อมีกําลังใจเพ่ิมขึ้นแลว ก็กลับมาพิจารณาธรรมใหม สอนใจกัน ใหมอกี ทําอยอู ยางนจ้ี นเกดิ ความชํานาญ” ๑๑. เอากระสอบทรายมาเปนเปา ซอ มมอื เทา ใหกราวแกรง คราวนี้ก็ถึงเวลากินยาขมกันแลว ถาเปนนักมวย ก็รํามวยมาจน แคลวคลอง โชวลีลา วาดลวดลาย ฮุคซาย ฮุคขวา อัพเปอรคัท ไดงดงาม สุดเทหแลว ก็ตองเร่ิมเจ็บตัวกันบาง โดยเปลี่ยนมาชกกระสอบทรายแทนท่ี จะชกลม แนนอนมือเทา แขนขา กลามเนื้อ กระดูก และอวัยวะทั้งหลาย เมอื่ ถกู กระแทกกระท้ัน กต็ อ งมีอาการกนั บา ง กเ็ น้อื คนเปน ๆ ไมใ ชเหล็กไหล นักปฏิบัติก็เชนกัน คราวนี้เปาของเรานั้น ไมใชลมเสียแลว ไมใช องคธรรมท่ีเปนวัตถุสิ่งของภายนอก อันเปนของธรรมชาติ หรือมีคนอื่น เปนเจาของ แตคราวน้ีเราเอาทรัพยสินสมบัติ ท่ีเปนขาวของๆ เราโดยตรง เอามาเปน เปา หมายแทน แลว ก็มาดําเนนิ จิตวิปสสนา พิจารณาเชนเดียวกับ ท่ีเราไดเคยชกลมมา คือแบบท่ีเคยพิจารณาวัตถุส่ิงของภายนอก ที่เปนของ ธรรมชาติ หรอื เปนสมบตั ิของผูอ นื่ 182

ปฏจิ จสมุปบาท สาํ หรบั คนรุนใหม จากสําเนาในอินเตอรเนต คุณภัทร คชะภูติ ไดใหตัวอยางในกรณี น้ีไว ดงั ตอ ไปน้ี “พอนักมวยเร่ิมชกลมไดคลองแคลว ก็เร่ิมชกกระสอบ ตอนนี้การ ฝกเร่ิมหนักข้ึน จะมีอาการสะทานมือบาง ซึ่งความรูสึกเชนน้ีจะไมเกิดข้ึน ในตอนทีเ่ ราฝก ชกลม ทาํ ไมถึงไมเกิดความรูสึกเชนนั้น ก็เพราะเม่ือแรกเรา พิจารณาของภายนอก ซงึ่ เราไมไ ดม ีสวนไดสว นเสีย เราจึงไมรูสึกอะไร สวน การชกกระสอบนั้น เริ่มจากพิจารณาส่ิงของที่เปนทรัพยสินสมบัติของเรา แลวไลลําดับไป จากท่ีมีราคาไมมาก มีคาตอใจไมมาก เชน ปากกา โตะ เกาอ้ี อยางที่เรานั่งรับประทานอาหารกันอยูทุกวัน ทีวี วิทยุ ฯลฯ เอามา เปน องคธ รรม คร้ังละ ๑ อยาง เอามาวิตกวิจาร พิจารณาโดยแยบคายวา เอ… มันเกิดมาอยางไร หนอ? เราซ้ือมันมาจากไหน หรือใครใหเรามา แลวมันก็ยายมาต้ังอยูตรงนี้ มันเปล่ียนจากท่ีเคยเปนของใหม แลวก็เกาลงไปเร่ือยๆ มันเปล่ียนของมัน อยทู ุกวันๆ เอ… มันมีโอกาสท่ีจะพังไหม? หรือวาจะมีคนมาขโมยมันไป อ้ือ… มันก็เปนไปได เอ… ถามันพัง เราก็คงตองเสียเงินซอม แลวถาซอมไมได เรากค็ งตอ งทง้ิ มันไป หรือถามคี นมาขโมยมนั ไป เขามาขโมยของเรา… ตาม กฎแหงกรรม… เราตองเคยไปเบียดเบียน เอาขาวของๆ ผูอื่นมาเปนของตน แนๆ เราถงึ ไดรับผลอยางนี้ ในเมื่อเรารู เราศึกษามาแลวในเรื่องของกฎแหงกรรม เราตอง รักษาใจของเราไวไมใหมันทุกข พระพุทธองคตรัสไววา “ใหละการทําบาป ท้ังปวง ทําความดีใหถึงพรอม ทําจิตใจใหผองแผว” เราตองทําตาม เราจงใหอโหสิกรรมแกเขาเสียเถิด จะไดหมดเวรส้ินกรรมไป แถมเรายังได บําเพ็ญทานบารมี คือ อภัยทานอีก คิดอีกที นอกจากเราจะใหอภัยทานแลว (เทาทุน เพราะไดใชหน้ีกรรม) เราควรหากําไรดวยดีกวา ยกใหเขาไปเลย จะไดเ ปน วัตถุทาน คราวนกี้ ําไรแนๆ 183

พระภาสกร ภรู ิวฑฺฒโน (ภาวไิ ล) เรายังไดสอนใจของเราใหเห็นความจริงอีกวา กฎแหงกรรมเปน อยา งไร ถาเราลวงศลี แลว จะมผี ลอยา งไร คิดอยางนี้ ก็ทําใหเกิดกําไรอีกตอ เพราะเราไดใหธรรมทานแกตัวเราอีก ในเมอื่ มนั หายไป มันไมอยูแลว เราก็ คงจะไมไดเห็นมันอีก มันก็อนัตตาน่ีนา… หายไปแลว… หรือในเมื่อมันเสีย จนซอมไมได เราก็เอาไปท้ิง อาจจะมีคนมาเก็บไปแยกชิ้นสวน จนกระจัด กระจายออกไป และแลวในที่สุด มันก็คงผุพัง แปรสภาพไป หายไปอยาง เกล้ียงเกลา จนไมสามารถหาอะไรมาเปนตัวเปนตน หรือความเปนของชิ้นนั้น ไดอกี เลย ธรรมชาติมันก็เปนเชนน้ีเองนะ เปนไปตามกฎพระไตรลักษณจริงๆ เกิดข้ึนมา เปล่ียนแปลงตลอดเวลา หาความคงทนไมได ไมมีตัวตนใหไป ยึดถืออะไรได แตเปนเพราะมนุษยเรานั้นไมเขาใจ ไปยึดเอาไว ไมใหมัน เปล่ียน เม่ือมันเปลี่ยนแปลงไปตามธรรมชาติ ตามเหตุและปจจัยของมัน ใจจึงตองเปนทุกข แทจริงแลว ทุกสิ่งทุกอยาง มันก็ไมมีตัวตนใหยึดถือ อะไรเลยนี่นา… เมื่อเราวิตกวิจาร พิจารณาไปโดยแยบคาย จนกระทั่งใจสามารถ สลดั ความเหน็ ผิดท่ีมมี าแตเ ดมิ ออกไป ใจกป็ ต ิ เม่อื ปต ิแลวก็สุข สุขจากการ ไดรูความจริงของธรรมชาติ ใจจึงไมยึดเหน่ียวผูกพันกับมันอีก แลวปติก็ดับ คงเหลือสุขกับเอกัคตา ครั้นสุขดับ คงเหลือเอกัคตาและอุเบกขา เราจึง สามารถวางลง วางลง จนปลงตก เพราะเขาใจในเหตุผล ของการเกิดข้ึน ตั้งอยู และดับไปของส่ิงๆ น้ัน ซึ่งท้ังหมดน้ีก็เปนไปตามกฎพระไตรลักษณ น่นั เอง เปน อนั จบยก ของการซอ มชกกระสอบของเรา เราทําเรื่อยๆ ทําอยางตอเนื่อง ยกองคธรรมที่เปนส่ิงของๆ เรา ข้ึนมาพิจารณาทีละ ๑ อยาง เร่ิมจากของท่ีมีราคาไมมาก มีคาตอใจไมมาก แลวคอยๆ ขยับขึ้นมา เปนสิ่งของท่ีมีคามีราคามากขึ้น เปนส่ิงที่เรารัก เราหวงแหนมากข้ึน จะเห็นวา เราจะตองใชกําลังใจมากข้ึนเร่ือยๆ ตามคา ตามราคาทีเ่ ราตัง้ เอาไว คอยๆ พิจารณาไปเทา ท่ีมกี าํ ลัง 184

ปฏิจจสมุปบาท สาํ หรับคนรุนใหม ถารูสึกออนลา ก็ใหกลับไปทําทาน รักษาศีล และปฏิบัติสมถะ ภาวนาเพ่ิมขึ้นอีก เพื่อตุนกําลังใจใหอยูตัวเสียกอน คร้ันใจเรามีกําลังดี แลว กก็ ลบั มาพิจารณาใหม โดยทําการซอมชกลมกอน แลวคอยมาซอมชก กระสอบ คือพิจารณาวัตถสุ มบตั อิ นั ที่มีคาในใจของเราตอ เมอ่ื เราชกกระสอบ จนชํานาญ จนสามารถตานทานตอแรงกระแทกไดดี มีกําลังอยูตัวแลว จึงจะ คอยขยับข้นึ ขน้ั ตอไป” ๑๒. อวสานกระสอบทราย ท่ีสุดของการซอมชกกระสอบทราย ก็คือการแตกรุย กระจุยไป แหงกระสอบทรายใบนน้ั สวนที่สุดของวัตถุส่ิงของภายนอก ที่มีอิทธิพลแกใจ ไดแก โลกธรรม ๘ คือ มีลาภ, เส่ือมลาภ, มียศ, เสื่อมยศ, สรรเสริญ, นินทา, สุข และทุกข ทั้ง ๘ ประการนี้ เม่ือได วิตกวิจาร พิจารณาไปโดย แยบคาย จนเกิดความรูแจง และประจักษในกฎธรรมชาติ อันยังโลกธรรม ท้ัง ๘ ประการน้ัน ใหหมดคาไปจากใจเรา น้ีจึงกลายเปนปจจัย ที่สงเสริม ใหเราเปนผมู ศี ลี บริสทุ ธิ์อีกโสตหนึง่ ๑๓. ลงนวมขึน้ เวทีในคา ย โดยมีครฝู ก เปนคซู อ ม ถงึ เวลาแลว ทจ่ี ะทาํ ความคุนเคยกับสังเวียนมวย เวทีเลือด ถาเปน นักมวย เม่ือฟตซอมพรอมชก จนถึงขั้นกระสอบกระจุยแลว ยอมฮึกเหิม ท่ีจะขึ้นสูเวที แตยังกอน ยังไมใชเวลา… ควรที่จะไดมีโอกาสลองเวที และ เคี้ยวหมูใหเกิดกําลังใจกันอีกหนอย ลองพิจารณาสําเนาตอบคําถามใน อินเตอรเนท ทคี่ ุณภทั ร คชะภตู ิ ไดแ สดงไวด ังตอ ไปนี้ “ทีน้ีตอไปเราก็เร่ิมลงนวมคือชกกับคูซอมหรือครูฝก คราวน้ีตอง หดั หลบหมดั ของคซู อ มที่จะชกสวนมาบา ง ซ่ึงทักษะนี้ ไมไ ดม ใี นตอนท่ีฝก ซอม ชกกระสอบ การลงนวมก็คือ การท่ีเราพิจารณาบุคคลท่ีเรารูจัก เริ่มตนจาก ผูทไ่ี มไดสนทิ สนมนัก หรอื จะเร่ิมจากสตั วเ ล้ียงกไ็ ด กใ็ ชว ิธเี ดียวกัน 185


Like this book? You can publish your book online for free in a few minutes!
Create your own flipbook