143 เร่อื งท่ี 1 การปอ งกนั อันตรายจากการประกอบอาชีพ สขุ ภาพกบั การประกอบอาชพี มีความสมั พนั ธกันอยางมาก คือ 1. การประกอบอาชพี ทําใหเรามีความเปนอยูทด่ี ีและในขณะเดียวกันการท่ีเราจะ สามารถประกอบอาชีพไดจ าํ เปนตองมสี ขุ ภาพทดี่ ที ัง้ รา งกายและจติ ใจ ทั้งสองสงิ่ นต้ี องควบคกู ันไปจงึ จะทํางานไดอยางมปี ระสิทธิภาพ 2. ความสัมพนั ธในทางลบ คอื การประกอบอาชพี สงผลเสียตอ สขุ ภาพ ทําใหเกดิ โรค และอนั ตรายได ดังน้นั จงึ จาํ เปนทต่ี องควบคุมและปอ งกนั โรค รวมทง้ั อันตรายจากการประกอบอาชีพ นอกจากนค้ี วรใหการศึกษาแกป ระชาชนใหป ระกอบอาชพี ไดอยา งปลอดภยั ปจ จยั ที่เปนสาเหตุของการเกดิ โรคและอันตรายจากการประกอบอาชพี ปจ จัยที่สําคัญไดแก 1. บุคคลผปู ฏิบัติงานและควบคมุ การทาํ งาน เปน ผูค วบคุม กําหนด และปฏบิ ัตกิ ารทาํ สงิ่ ตาง ๆ องคประกอบตา ง ๆ ของบคุ คลทส่ี ง ผลใหเกิดโรคหรอื อันตรายจากการทาํ งาน ไดแก 1.1 สภาวะทางรา งกายและจิตใจ รางกายและจิตใจออนแอทําใหเกิดโรคหรือ อันตรายได 1.2 ลกั ษณะนสิ ัยการทํางาน ตองรักการทํางาน ละเอยี ด รอบคอบ จึงจะไมเกดิ โรคหรอื อันตราย 1.3 การขาดความรูค วามสามารถในการทาํ งานและประสบการณก็เปน อีกปจจัย หนึง่ ทีท่ ําใหเกิดโรค 2. สภาพแวดลอ มทางกายภาพ ไดแก สถานท่ีทาํ งาน แสง เสยี ง ฯลฯ 3. สารเคมี เปน สิ่งทมี่ ีประโยชนแ ละโทษในการประกอบอาชพี 4. เชอ้ื โรคและพษิ ของเช้อื โรค เมือ่ เขา สูรางกายอาจเกดิ อนั ตรายได 5. เครอื่ งจักร เคร่ืองมือ และในการทาํ งาน หากใชอ ยางไมถูกตอ ง อาจเกิดอนั ตรายได
144 สภาพการณท ีไ่ มปลอดภัย (Unsafe Conditions) เครอ่ื งจกั ร : ไมมีอปุ กรณป อ งกันสว นท่ีเคลอ่ื นไหว หรือมไี มเพียงพอ เคร่ืองมือ : อปุ กรณชาํ รดุ เปนอันตราย ส่ิงของ : วสั ดุ วางไมเปนระเบยี บ อาคาร : สงิ่ ปลกู สรางไมมน่ั คง สารเคมี : วตั ถุมีพิษไมมที เ่ี ก็บโดยเฉพาะ สภาพ ความรอน ความเย็น แสงสวา ง เสียงดัง ฝุนละออง ไอระเหย ฯลฯ การกระทาํ ท่ีไมป ลอดภยั (Unsafe Acts) ท เดนิ เครอ่ื งจกั รหรอื ทํางานที่ไมใ ชหนาท่ีของตน หรอื ไมรงู าน ท เดินเครื่องเร็วเกนิ ควร ท ถอดอปุ กรณปองกนั อันตรายออก ท ใชเ คร่ืองมือไมถ ูกวิธี ไมเ หมาะสม หรอื ไมป ลอดภยั ท ทา ปฏิบตั ิงานไมเ หมาะสม ท ไมใชอ ุปกรณปอ งกันสวนบคุ คล ท ประมาท มกั งาย หรอื หยอกลอกันในขณะทาํ งาน ท จงใจฝา ฝน กฎระเบียบ ท อืน่ ๆ 1.1 ความปลอดภัยท่วั ไปในบรเิ วณโรงงาน ขอพงึ ปฏิบตั เิ พือ่ ความปลอดภยั ในโรงงาน 1. หามสูบบุหร่ีในบริเวณโรงงาน ยกเวน บรเิ วณที่อนุญาตใหส ูบได 2. หามทิง้ กน บุหรีล่ งบนพ้ืน ตอ งท้ิงลงในภาชนะที่จัดไวใ หเ ทา นั้น 3. หา มนําไมขดี ไฟ หรอื ไฟแช็คชนิดจังหวะเดยี วเขาไปในบรเิ วณทห่ี ามสูบบหุ ร่ี 4. หา มหงุ ตม อาหารในบรเิ วณท่ีหามสบู บุหร่ี 5. หา มนําอาหารหรอื เครื่องดื่มเขาไปในบริเวณท่ผี ลติ สารเคมอี ันตรายและคลงั พสั ดุ 6. หา มเกบ็ เสื้อผา รองเทา หมวก ถุงมอื และของใชสวนตัวอนื่ ๆ ไวในท่ีตามใจชอบ ใหจ ัดเก็บไวในตูทจ่ี ดั ไวใ หเ ทานัน้ 7. หามบวนนา้ํ ลายลงบนพื้นโรงงาน หรือในบริเวณทที่ ํางาน 8. ใหท ้งิ ขยะมูลฝอยในถังทจ่ี ัดไวไ หเทานน้ั 9. ควรรักษาความสะอาดของเคร่ืองใชป ระจําตัวอยา งสม่าํ เสมอ
145 10. ตอ งสวมเสอ้ื ผา รองเทา ใหเ รียบรอยตลอดเวลาทที่ ํางานในโรงงาน และสวม หมวกพรอ มท้ังอุปกรณปองกันอนั ตรายอนื่ ๆ ที่จําเปน เมอื่ ทํางานในโรงงาน 11.หากมอี ุบตั ิเหตเุ กิดข้นึ ใหรายงานตอ ผูบงั คบั บญั ชาทันที 12.หากรสู ึกเจบ็ ปวยในเวลาทํางานใหรีบรายงานตอ ผบู ังคบั บญั ชาเพ่อื จะไดท าํ การ รักษาพยาบาลทนั ที 13.ใหเ ดินตามทางท่จี ัดไวใ นโรงงาน อยาวงิ่ เม่ือไมมีเหตุจําเปน 14.จัดเกบ็ และเรียงสิ่งของใหเ ปน ระเบียบ เพ่ือใหมีทางเดนิ หรือทํางานไดส ะดวกและ ปลอดภยั 15. หามเลน เยาแหย หรอื หยอกลอ กนั ในบรเิ วณที่ทาํ งาน 16. หา มฝก ขบั ขี่ยานพาหนะในบรเิ วณโรงงาน 17. ตองเรยี นรถู ึงวิธีการดับเพลิงและการใชอ ปุ กรณด บั เพลงิ ประเภทตาง ๆ การใชแ ละเก็บรักษาเครื่องมืออุปกรณก ารทํางาน 1. ใหเกบ็ เครื่องมือและอปุ กรณตาง ๆ ใหเ ปนระเบียบเรียบรอยและเก็บรกั ษาใหอยู ในสภาพท่ดี ี เม่ือจะใชห รอื เตรยี มจะใช ตอ งวางไวใ นที่ทีไ่ มเปน อนั ตรายแกบคุ คลอืน่ 2. ในขณะปฏิบตั งิ านบนที่สูงหา มวางเครื่องมอื หรืออุปกรณอ ื่นใดบนนั่งรา นแทน บันได หรอื ทส่ี งู เวนแตจะไดมีท่เี กบ็ ไวไมใหตก 3. เคร่ืองมือไฟฟาชนิดมือถือหรือชนดิ เคลื่อนยายได และไมมีฉนวนหุมสองช้ัน จะตอ งมีสายไฟฟาชนดิ สามสายและปลกั๊ ท่ตี อไปยังสายดิน 4. ผูป ฏิบัตงิ านทกุ คนเม่ือพบเห็นเครื่องมือเครอ่ื งใช หรืออุปกรณซง่ึ ถาปลอยท้ิงไว อาจกอใหเ กิดอนั ตราย หรอื พบเหน็ เครือ่ งมืออุปกรณท่ีใชปอ งกันอันตรายน้นั ไมไดมาตรฐาน ใหแจง ผูบงั คับบญั ชาทราบโดยทนั ที 5. ในการปฏิบตั งิ านแตล ะครั้ง หามผูปฏิบัตงิ านใชเคร่ืองมือทีช่ ํารุดบกพรอ ง การใชอปุ กรณย กยา ยสิง่ ของ 1. อุปกรณย กของจะตองไมบ รรทุกน้ําหนักเกินกวามาตรฐานการใชงานท่ีกําหนด ไว 2. ผปู ฏบิ ตั งิ านที่ทํางานเกย่ี วกับอปุ กรณยกของจะตอ งสวมเครอ่ื งปองกนั อันตรายท่ี เหมาะสมกับงาน เชน หมวกนิรภยั รองเทา นิรภยั และถงุ มอื นริ ภัย ฯลฯ 3. การทาํ งานเกย่ี วกบั อุปกรณย กของจําเปน ท่จี ะตองมีการประสานงานกับเจาหนา ท่ี คนอน่ื ท่ีทาํ งานอยูในบริเวณเดยี วกัน 4. ผูใชปนจั่น กวาน และเครน จะตองเปนผูที่มีหนาท่ีและไดรับอนุญาตจาก ผูบงั คับบญั ชาแลวเทา น้ัน
146 5. กอ นทําการใชป น จ่นั กวา น และเครนในแตละวัน ผใู ชจะตอ งตรวจสอบใหแ นใจ วาปน จัน่ กวาน และเครนอยูในสภาพที่เหมาะสมกบั การใชงานและสามารถใชง านไดอยางปลอดภัย เชน ตรวจหารอยราย รอยแตก การหลุดหลวมของนอตระบบไฮดรอลกิ ส ระบบควบคุมการทํางาน สมอ เกยี่ ว โซ และเชือก เปน ตน 6. ผใู ชปนจ่ันจะตองไมย กของหนกั ขา มศรี ษะบุคคลอน่ื นอกจากหัวหนา งานจะส่ัง และผูปฏิบัติงานท่ที ํางานอยูใกล ๆ หรืออยูใตอุปกรณยกของนน้ั จะตองระมัดระวังสิ่งของตกลงมา ตลอดเวลา 7. ในขณะทป่ี นจน่ั หรอื เครื่องยกอ่นื ๆ กาํ ลังยกของคา งอยู ผใู ชจ ะตองเอาใจใสและ ควบคุมอยา งดี 8. ในการปฏบิ ตั ิงาน ผูใชปนจ่นั หรือเคร่อื งยกอ่ืน ๆ ตองดูสัญญาณจากพนกั งานผมู ี ความรคู วามชํานาญ และมหี นาที่ในเร่ืองนีแ้ ตเ พยี งผเู ดียวเทานั้น 9. เมื่อใชปนจ่ัน กวาน และเครนในบริเวณท่ีมีสายไฟหรืออุปกรณไฟฟาที่มี กระแสไฟฟา ไหลผา นอยู ผูใ ชจ ะตองไมน ําสวนหนึ่งสวนใดของปนจ่ัน กวา น และเครนซง่ึ ไมมีเครือ่ ง ปอ งกันเขาใกลส ายไฟหรืออปุ กรณไฟฟานอ ยกวา ระยะทก่ี ฎหมายกําหนดไว 10. สลิงที่ใชกับเคร่ืองยกตาง ๆ จะตองเปนชนิดท่ีทําดวยลวด โซเ หล็ก หรือเชอื ก มะนลิ า 11. สลงิ ทุกเสนจะตอ งมีความแข็งแรงพอท่ีจะรับน้ําหนักไดไ มนอยกวา 8 เทาของ สิง่ ของทจ่ี ะยก 12. กอนทจี่ ะใชสลงิ จะตองตรวจดูใหละเอยี ดถี่ถว นวา จะใชไดอยางปลอดภยั หรือไม หามใชส ลิงที่หงกิ งอหรือมีเสน เกลยี วขาดจนทาํ ใหความแข็งแรงนอ ยกวา ที่กาํ หนดไวในขอ 11 13. เมื่อจะใชสลิงยกของท่ีมีขอบแข็งคม จะตองใชไมหรือส่ิงรองรับอ่ืน ๆ ที่ เหมาะสมรองกันไวไ มใ หสลงิ ชาํ รดุ เสียหาย การใชเครือ่ งกลึง 1. หามวางเคร่อื งมอื หรอื วตั ถตุ า ง ๆ ไวบ นแทนเลอื่ นของเคร่ืองกลึง เวนแตเครื่องมือ ท่จี าํ เปน ตอ งใชใ นงานที่กาํ ลังทาํ อยเู ทา นนั้ 2. จะตอ งจดั หาลงั ถงั หรอื ภาชนะอน่ื ๆ ที่เหมาะสมไวส ําหรับใสเ ศษวัตถุ 3. ผูปฏิบัติงานทุกคนที่ปฏบิ ัตงิ านกับเครื่องจักรกลจะตองสวมแวนตานริ ภัยเพื่อ ปองกนั อนั ตรายซึงอาจเกิดข้ึนกับดวงตา และตอ งใชแผน ปด หนาอกทท่ี ําดวยผาท่ีมีสวนประกอบของ ใยสังเคราะหน อ ยทส่ี ุด เพ่อื ปอ งกนั เศษโลหะทรี่ อน ซงึ่ อาจจะกระเดน็ ถกู ผิวหนงั หรอื เสือ้ ผาทีส่ วมใส 4. หา มวัดขนาดช้ินงานขณะท่ีเครอื่ งกลึงกาํ ลังหมุน 5. หา มใชมอื ไปจับเพื่อดึงเศษโลหะออกจากช้ินงาน โดยเฉพาะขณะทก่ี าํ ลังกลงึ อยู
147 การใชเครื่องขดั หรือหนิ เจียร 1. จะตอ งติดตั้งเคร่ืองขัดหรือหินเจยี รใหยึดแนน กับพ้นื โตะ หรือฐานอื่น ๆ ท่ีม่ันคง แข็งแรง 2. จะตองมีฝาครอบเครื่องขัดเพ่ือปองกันไมใหผูปฏิบตั งิ านไดรับอันตรายจากเศษ โลหะท่กี ระเดน็ ออกมา 3. จะตองไมตง้ั อัตรารอบหมุนของจานขัดเกินอัตรารอบหมุนเร็วท่ีบริษัทผูผลิต กําหนดไว 4. จะตองปรับแผน รองขัด (Work Rest) ใหพอเหมาะโดยใหหางจากจานขัดไมเกิน 1/8 นิ้ว 5. จานขัดทสี่ กึ มากจนใชการไดไ มดี จะตอ งเปลยี่ นใหมทันที 6. จานขดั ทชี่ ํารดุ จะตอ งท้งิ ไป อยา นํากลบั มาใชอ กี 7. ผปู ฏบิ ตั ิงานทปี่ ฏบิ ัติงานกบั เครือ่ งขัดจะตองสวมแวนนิรภัยเพ่ือปองกันอนั ตราย อนั อาจจะเกดิ ขึ้นกับดวงตา และสวมเครอ่ื งกรองอากาศหายใจปองกันอันตรายจากฝนุ ท่ีอาจจะเกิดกับ ระบบหายใจ และสวมถงุ มือปอ งกนั เศษโลหะ การใชเครือ่ งตัด 1. ในการทํางานกับเครื่องตัด ผูปฏิบัติงานจะตอ งสวมเครื่องปองกันอนั ตรายสวน บุคคล เชน เครอ่ื งปอ งกนั ดวงตา ถงุ มือ รองเทา ผา หรอื หนังกนั เศษโลหะ 2. เครอื่ งตดั จะตองมเี ครอ่ื งปอ งกนั อันตรายประจาํ เครื่อง เชน แผนใสนิรภัยปองกัน เศษช้นิ งานกระเด็นเขาตา หรอื มีฝาครอบวงลอ 3. ในหองปฏบิ ัตงิ านจะตอ งมีระบบระบายอากาศที่เพยี งพอ เพ่ือกําจัดฝุนโลหะท่ี เกิดขนึ้ ถา ไมม ีระบบระบายอากาศ จะตองใหผูปฏิบัติงานสวมอุปกรณป อ งกนั ฝนุ ตลอดระยะเวลาที่ ปฏบิ ัตงิ านกบั เคร่ืองตัดดังกลา ว การใชเครือ่ งปม โลหะ 1. ควรใชเครอ่ื งปมที่อยูในสภาพทปี่ ลอดภัยตอการใชงาน หรือมีการตดิ ตั้งอุปกรณ ปอ งกันอนั ตรายแลวเทา น้ัน 2. ถาตอ งปม งานชิน้ เล็กหรืองานท่คี อ นขา งยุงยาก ควรใชเ ครอ่ื งมอื ชว ยจับชนิ้ งาน 3. เม่ือตองการตดิ ตงั้ เคลือ่ นยา ย และปรับแตงแมพ มิ พ ควรใชบลอ็ กนิรภัยทุกครงั้ 4. การติดตั้ง เคล่ือนยาย หรือปรบั แตงแมพ ิมพ ตองกระทาํ โดยบุคคลท่ีไดร ับการ ฝกอบรมแลวเทา น้นั
148 การใชเ ครือ่ งจกั รท่วั ไป 1. ขจัดสวนที่เปนอันตรายทุกสว นของเครื่องจักรใหหมดไป (อาจใชหุนยนตชว ย ทาํ งานในจดุ ที่มีอันตราย เปน ตน ) หรอื ทาํ การปอ งกันสวนท่ีมอี นั ตรายนัน้ เชน ติดตัง้ ท่ปี อ งกนั หรือฝา ครอบ หรือใชเครื่องจักรอตั โนมัติ 2. ทาํ งานตามระเบยี บวธิ ปี ฏบิ ัติงานอยางเครงครดั 3. สวมใสเสือ้ ผาที่รัดกมุ อยา สวมเสื้อปลอ ยชาย 4. สวมใสเครื่องปอ งกนั และใชเคร่อื งมือที่ถูกตอ งและเหมาะสมกับงานท่ีทํา และ ตองระวงั ในการใชถ งุ มือ เพราะถุงมือบางอยางอาจจะไมเหมาะกบั งานบางอยา ง 5. ในการตรวจสอบ ซอมแซม และทําความสะอาดเคร่ืองจักรนั้น จะตองหยุด เคร่อื งจกั รใหเรยี บรอ ยและมีเครือ่ งหมายชี้บอกหรอื ตดิ ปายแขวนวา “หา มเดนิ เครอ่ื ง” 6. ใหตรวจตราเคร่ืองจักรกอนเดินเครื่องและตรวจสอบเปนระยะ ๆ และระวัง อนั ตรายขณะตรวจตราเคร่อื งจักรและกอนเริม่ เดนิ เครือ่ ง 7. เม่ือจะตอ งทาํ งานรว มกนั จะตอ งแนใจวาทุกคนเขา ใจในสญั ญาณเพอื่ การสื่อสาร ตาง ๆ อยางชดั เจนและถูกตอ งตรงกนั 8. อยาเขา ไปในสวนที่เปนอันตรายของเครื่องจักร หรือสวนที่ทํางานเคลอ่ื นไหว ตลอดเวลาถาจําเปน ตอ งเขาไปในบริเวณนัน้ ตอ งแนใ จวา เคร่อื งจักรไดห ยุดเดนิ เครือ่ งแลว การใชเคร่ืองมอื 1. เลือกใชเครอื่ งมอื ที่เหมาะสมกับงานทที่ าํ 2. รักษาเคร่ืองมือใหอยูในสภาพที่ดีอยูเสมอ โดยตรวจสอบสภาพกอ นการใชงานทุก คร้ัง 3. ซอมแซมหรอื หาเครอ่ื งมือใหมท ดแทนเคร่ืองมอื ท่ชี ํารุดหรอื แตกหักโดยทันที 4. ลา งน้าํ มันจากเคร่ืองมือหรอื ชิ้นงาน เพอื่ ปองกันอบุ ตั ิเหตุจาการลน่ื ไถล 5. ตรวจสอบและปฏิบตั ิตามขอแนะนาํ การใชเ คร่อื งมือ 6. จับหรือถอื เครอื่ งมือใหกระชบั การจบั แบบหลวม ๆ อาจกอใหเ กิดอุบัติเหตุได 7. อยาเรมิ่ งานโดยไมต รวจสอบสภาพตา ง ๆ โดยรอบหรือบรเิ วณพ้นื ท่ีที่ทาํ งานกอน การใชสายพานลาํ เลียง 1. สายพานลาํ เลยี งตองมสี วิตซหยุดฉกุ เฉิน และตองตรวจสอบใหรจู ุดทต่ี ิดตั้งสวิตซ ฉกุ เฉนิ กอ นท่จี ะเริ่มใชสายพานลําเลยี ง 2. มอี ุปกรณค รอบหรือบงั สว นทห่ี มนุ ไดข องสายพาน เชน ลูกกลง้ิ มเู ล ฯลฯ 3. ถาของที่ลาํ เลยี งมโี อกาสตกลงมาได ตอ งมีสวนปด หรือครอบปองกัน
149 4. อยากาวหรอื กระโดดขา มสายพานลาํ เลียงขณะทํางาน 5. เมื่อจาํ เปนตองซอมหรอื ตรวจตราสายพานลําเลียงเพราะมกี ารทํางานผิดพลาดตอง ปด สวิตซทาํ งานกอนทีจ่ ะซอมหรือตรวจตราสายพานลาํ เลยี งนน้ั การเช่อื มโลหะ 1. ขณะทําการเช่ือมดวยไฟฟา ภายในอาคาร จะตองใชฉากกนั้ กําบังเพ่ือเปนเครื่อง ปอ งกนั อนั ตรายแกผูปฏบิ ตั ิงานคนอ่ืน หรือผูทอ่ี ยูใกลเคียง 2. ขณะทาํ การเชื่อมหรอื การตัดดว ยกาซหรือไฟฟา ผูเ ช่ือมหรือตัดจะตองใชเ ครื่อง กาํ ลังหนา ท่เี หมาะสม มเี ลนสป อ งกันนัยนต าตามประเภทของการเชอ่ื มหรอื การตดั นั้น และตองสวมถงุ มอื หนังดวย 3. จะตอ งมีเครือ่ งดับเพลิงประจําพื้นที่ และพรอมท่ีจะใชไดเสมอในกรณีเกิดเพลิง ไหม 4. เมื่อจะใชเครอื่ งเช่อื มไฟฟา ผทู ําการเชอื่ มจะตองม่ันใจวาตนไมไดสัมผัสกบั พ้ืนท่ี เปย กช้ืน 5. หา มสวมถุงมือทเี่ ปยกนํ้ามนั หรือจาระบหี ยิบจบั เคร่อื งเช่อื ม 6. ถังออกซิเจนและอะเซทลิ นี จะตองมกี ารยึดใหแ นน เพ่ือปองกันการลม และจะตอง ไมว างทอ อะเซทิลนี นอนราบกับพนื้ เปน อันขาด 7. ใหใชไกบังคับแรงเคลื่อน (Pressure Regulator) บังคับใหออกซิเจนและ อะเซทลิ ีนไหลไปยังไฟเช่อื มอยางสมา่ํ เสมอ 8. ในขณะทําการเปดลน้ิ ถังออกซิเจน หามผูปฏิบัติงานคนหน่ึงคนใดยืนอยูห นา เคร่ืองบังคบั ออกซเิ จน 9. หา มทําการเชอ่ื ม ตดั หรือบดั กรใี กลต ัวถังหรอื ท่ีตัวถัง หรือภาชนะอน่ื ที่เคยใสวัตถุ ตดิ ไฟหรอื วัตถุทเี่ กิดระเบิดได จนกวา จะไดทําการระบายอากาศ หรือลา งถังหรือภาชนะเหลาน้ันให สะอาดแลว 10. เมอื่ ทาํ การเชื่อมหรือเผาหรือใหความรอนกับตะกั่ว แคดเมียม วัตถุอาบสงั กะสี หรือวตั ถุอื่นใด รวมทั้งสารที่ใชชว ยในการเช่ือม จนทําใหเกิดควันข้นึ จะตองจัดใหมีระบบระบาย อากาศที่ดีพอ เพือ่ ปองกนั มใิ หผ ูป ฏิบตั งิ านสดู ควันพิษทเ่ี ปนอนั ตรายเขา ไป ถาหากไมสามารถทําการ ระบายอากาศได จะตองสวมหนา กากหรือเคร่ืองชวยหายใจท่ีไดรับการรับรองแลวตลอดเวลาท่ี ปฏบิ ัตงิ าน 11. เม่ือทําการเชื่อมในสถานท่ีอับอากาศจะตองมีการระบายอากาศออกอยางมี ประสิทธิภาพ
150 คนละแหง 12. การเกบ็ รกั ษาถังออกซิเจนและถังอะเซทลิ ีนเปน จํานวนมาก จะตองแยกเก็บไว การเช่อื ม 13. การเชือ่ มดว ยไฟฟาหรอื กาซใกลก บั แบตเตอรี่ ตอ งยกแบตเตอรใ่ี หพ นจากบรเิ วณ การพนสี 1. ดวงโคม พัดลมดดู อากาศและสายไฟในหองพน สี จะตองใชชนิดท่ีมคี วาม ทนทานตอไอระเหยของสไี ดด ี 2. สวติ ซด วงโคม เตา เสยี บ หรอื อุปกรณอ น่ื ๆ ทีอ่ าจกอ ใหเ กดิ ประกายไฟ จะตอ งไม ตดิ ตง้ั ไวภ ายในหองพนสี 3. หามสบู บุหรี่ จุดไฟหรอื ทําใหเกิดประกายไฟภายในหอ งพนสี 4. ในขณะทําการพนสีในหอ งพนสี ผูปฏิบัติงานทุกคนจะตองสวมหนากาก หมวก เสือ้ แขนยาวไมพ ับแขน ถงุ มอื กางเกงขายาว และรองเทา หุมสน 5. ขณะที่กําลงั ทาํ การพนสี ทุกคนที่อยูในหองพนสีจะตองสวมหนากากแบบท่ีมี เครือ่ งกรอง หรอื ใชผ า ปดปากและจมูก การทาํ งานเกี่ยวกับแบตเตอรี่ 1. หามสูบบุหร่ี จุดไฟ หรือทาํ ใหเ กดิ ประกายไฟภายในหอ งอัดแบตเตอร่ี หรือใน หองเกบ็ แบตเตอร่ี เพอ่ื ปอ งกนั การระเบดิ ของกาซไฮโดรเจน 2. เมอื่ จะปฏิบตั กิ ารใด ๆ เก่ยี วกบั นํา้ กรด ผปู ฏบิ ตั ิงานจะตอ งสวมถุงมือยาง แวนตา นิรภัย และผากันเปอ นทาํ ดวยยาง 3. ในกรณีทีน่ ํา้ กรดหกหรอื กระเดน็ ถูกสว นหน่ึงสวนใดของรางกายใหใชนํ้าสะอาด ลา งออกทนั ที แลวรบี ไปพบแพทย 4. กอ นทําการตอ หรอื ปลดสายขว้ั แบตเตอรี่ ตอ งแนใจวาไดตดั วงจรไฟฟา แลว 5. ในการยกหรอื เคล่ือนยายแบตเตอรี่หรอื กลองบรรจุแบตเตอรหี่ ามเอยี งหรือตะแคง แบตเตอรี่ เพอ่ื ปองกนั การหกหรอื กระเด็นของน้ํากรด 6. ขว้ั ของแบตเตอรขี่ นาดใหญควรปด กน้ั ดวยฉนวน เพอ่ื ปองกันการลดั วงจร 7. ในการเคล่อื นยายแบตเตอรต่ี องระมัดระวังไมใหแบตเตอรก่ี ระทบซ่งึ กันและกัน หรือกระแทกกบั สิง่ อื่นท่ีอาจจะทาํ ใหแ ตกหรอื รา วได และหามวางแบตเตอรซ่ี อ นกันโดยเดด็ ขาด
151 การใชเครอ่ื งปอ งกนั นัยนตาและหู 1. เมอื่ ปฏิบัตงิ านในสถานทีท่ ี่อาจเกดิ อนั ตรายกบั นัยนต า จะตองสวมเคร่ืองปองกนั นัยนตาชนดิ ทีไ่ ดมาตรฐาน 2. ผูป ฏบิ ัตงิ านที่ทาํ งานเก่ยี วกบั การติดต้ังหรือซอ มบาํ รุง และลกั ษณะงานเปน งานท่ี กอ ใหเกดิ ประกายไฟฟา เศษวตั ถกุ ระจาย จะตองสวมแวน นริ ภัยปองกนั นัยนตา 3. การปฏิบัตงิ านในที่ที่มเี สยี งดงั มาก ๆ จนเปนอันตรายตอระบบการไดยินของ ผูปฏบิ ตั ิงาน จะตองกําหนดใหผูป ฏิบัติงานทุกคนใชเครื่องปอ งกันอันตรายตอหูชนิดเสยี บหรือชนิด ครอบดวย 1.2 ความปลอดภยั ในการทาํ งานเกย่ี วกับไฟฟา กฎขอ บังคบั ท่ัวไป 1. พนักงานทีท่ าํ งานเกย่ี วกับการซอ ม ตอเติม ตดิ ตงั้ อปุ กรณไฟฟาตอ งสวมเสือ้ ผา ที่ แหงและสวมรองเทาพนื้ ยาง พรอมท้ังตดั กระแสไฟฟาทม่ี ายังจุดที่ทาํ งานตลอดระยะเวลาท่ีทาํ งาน เกย่ี วกับไฟฟา 2. เคร่อื งมอื ท่ใี ชกบั งานไฟฟาชนิดใชม อื จับ ตองมฉี นวนซง่ึ อยใู นสภาพดหี มุ ที่ดามจับ 3. ในกรณีท่มี กี ารปฏิบัตงิ าน ตรวจสอบ ซอมแซม หรือตดิ ตัง้ ไฟฟา ที่เกยี่ วกับการผลิต ตองตัดสวิตซต ัวที่เก่ยี วขอ ง พรอมลอ็ กกญุ แจปอ งกนั การสบั สวิตซ อปุ กรณและเครื่องจักรไฟฟา 1. มอเตอรท ่ใี ชใ นบรเิ วณที่มวี ัตถุไวไฟตอ งเปน ชนดิ กันระเบดิ 2. หลอดไฟฟา หรอื โคมไฟ ซึ่งใชในบรเิ วณทีม่ ีวตั ถุไวไฟ ตอ งเปน ชนิดทีม่ ีฝาครอบ มิดชดิ และมตี ะแกรงโลหะหมุ รอบนอกอกี ชน้ั หนงึ่ 3. สวิตซไฟฟาในบริเวณที่มีวัตถุไวไฟตอ งเปนชนิดที่มีกลองโลหะหุมมดิ ชดิ และ เตา เสยี บที่ใชตอ งเปน ชนิดท่มี ีฝาปด 4. การตดิ ตงั้ สวติ ซท ุกตัวตองเลือกชนดิ ท่ีมีอัตราทนกระแสสูงพอที่จะใชก ับกระแส สงู สุดในวงจรทใี่ ชนน้ั ได 5. การตดิ ตั้งแผงสวิตซตองมตี ปู ดมิดชิด และตองตั้งหางจากเคร่ืองจักรพอสมควร สว นทเี่ ปนโลหะของแผงสวิตซต อ งตอลงดนิ 6. เมื่อใชอุปกรณไฟฟาท้ังหมดพรอมกันในวงจรแตล ะวงจร จะตอ งมกี ระแสไฟฟา ไมเ กินขนาดของกระแสไฟฟาสงู สุดท่ยี อมใหใชกบั ไฟฟาของวงจรน้ัน
152 7. การติดตั้งซอมแซม หรือแกไขดัดแปลงหมอแปลงไฟฟา ซึ่งแปลงไฟจาก ไฟฟา แรงสูงตงั้ แต 12,000 โวลตขึน้ ไป ตอ งติดตอขอความชวยเหลือหรือขอคําแนะนําจากเจา หนา ที่ ของการไฟฟา เสียกอน 8. ตองมีการตรวจสอบ และทดสอบเครื่องกําเนิดไฟฟาฉุกเฉิน ใหอยูในสภาพท่ี พรอ มจะใชงานไดอ ยางปลอดภัยอยูเสมอ 9. หามพนกั งานทาํ งานเก่ยี วกบั หมอแปลงไฟฟา ที่มีความดนั ตง้ั แต 380 โวลตข ้ึนไป กอนไดรับอนญุ าตจากหัวหนาฝายซอมบาํ รงุ 10. การซอ มแซม ดดั แปลง หรอื แกไขอปุ กรณและเครื่องจักรไฟฟาเปนหนา ท่ีของ พนกั งานหนว ยซอ มบํารงุ เทา น้ัน วธิ ปี อ งกนั อันตรายจากไฟฟา ช็อต 1. ผูป ฏบิ ัตงิ านทีเ่ ก่ียวขอ งกบั ไฟฟา ตอ งมคี วามรเู กยี่ วกับไฟฟา 2. เมอ่ื พบส่งิ ผดิ ปกติตาง ๆ เกิดข้นึ กบั สายไฟ ตองแจง ใหผ ูบงั คับบญั ชาทราบทันที 3. ในการปฏบิ ตั งิ านท่ีเกยี่ วขอ งกับไฟฟา ตอ งใชผชู าํ นาญงานเทา นั้น 4. ตอ งปดตูสวติ ซไฟฟา เสมอ และจะตองไมมีสง่ิ กดี ขวางวางอยูบริเวณตูไฟฟา 5. ตอ งตดิ ตงั้ สายดินเสมอ 6. ตรวจสอบอุปกรณปอ งกนั ไฟฟา ดดู ไฟฟาร่ัว กอ นใชอุปกรณไ ฟฟานน้ั ๆ เสมอ 7. การเปด หรอื ปดระบบไฟฟา ตองแนใจกอ นวา ปลอดภยั แลว 8. เมื่อเลกิ ใชอุปกรณไ ฟฟา แลว ใหเก็บเขา ท่เี สมอ 9. ถา ตองทาํ งานอยูใ กลระบบไฟฟา เชน มีสายไฟฟา อยูเหนือศีรษะตอ งระมัดระวงั อยาไปสมั ผัสถูกสายไฟฟาดังกลาว 10. หามทาํ งานโดยไมส วมชุดปอ งกนั ไฟฟา ดดู โดยเดด็ ขาด 1.3 ความปลอดภัยในการทาํ งานกับวตั ถอุ นั ตราย วัตถุอนั ตราย วัตถุอันตราย หมายถึง วัตถุทีส่ ามารถลุกไหมได ตดิ ไฟได และระเบิดได วัตถุ อันตรายตาง ๆ เหลาน้ี มักจะมีกฎหมายควบคุมเปนพิเศษ และมีขอบังคับเพื่อใหทํางานไดโดย ปราศจากอบุ ตั ิเหตุ
153 วัตถุอนั ตราย แบง ออกไดเปน 1. สารระเบิดได สารเหลา น้ีจะลกุ ติดไฟไดง ายและระเบดิ ข้นึ เมอ่ื มีความรอน มีการกระแทกหรอื มกี ารเสียดสี สารระเบิดไดมีชื่อเรียกแตกตางกันไป ผูทีท่ ํางานกับสารเหลาน้ีควรจะจดจาํ ชื่อสาร เหลานใี้ หไ ดและมีการติดปา ยวาเปน สารอันตราย หรือวัตถุอนั ตราย นอกจากนี้ยังควรรูถงึ วิธีการใช สารเหลานอ้ี ยางถกู ตองดว ย 2. สารลุกไหมได สารลกุ ไหมได เชน สารฟอสฟอรัสแดงและสารฟอสฟอรัสเหลืองสามารถลุก ติดไฟไดเ องเมอ่ื สมั ผสั กับอากาศ ตัวอยางสารลกุ ไหมได เชน พวกคารไ บด และสารประกอบโลหะ ของโซเดยี ม ซ่งึ จะลกุ ตดิ ไฟไดเมอื่ สมั ผสั กับนาํ้ 3. สารไวไฟ กา ซไวไฟ เชน กาซถานหิน กาซอะเซทลิ ีน กาซโพรเพน ฯลฯ กาซเหลา นม้ี ี คุณสมบัติไวไฟและยังสามารถระเบิดไดอีกดวยหากกาซเหลานี้ผสมอยูในอากาศในสัดสวนที่ พอเหมาะ นอกจากน้ีสารละลายไวไฟตาง ๆ เชน น้ํามัน ทินเนอร ก็ยังมีคุณสมบัติไวไฟและยัง สามารถระเบดิ อยา งรุนแรงไดอ กี ดว ย สารเหลา น้ีจะกอ ใหเกิดอุบตั เิ หตุไดงายถา มีการเคล่อื นยา ยผดิ วธิ ี ดังนั้นผทู ท่ี าํ การ ขนยา ยจะตอ งรูว ธิ ขี นยายทถ่ี กู ตองดว ย อันตรายของวตั ถุอันตราย 1. กาซคารบ อนมอนอกไซด (Carbon Monoxide) กาซคารบอนมอนอกไซดเ กิดจากการเผาไหมท่ีไมสมบูรณ เกิดขึ้นไดท้ังใน โรงงานและในสถานท่ีทาํ งาน กาซคารบอนมอนอกไซดเปนกา ซทีเ่ บากวากาซออกซเิ จนเลก็ นอย เปน กาซที่ไมมีสี ไมมกี ลนิ่ และไมมกี ารกระตนุ เตอื นใด ๆ จึงเปน กา ซที่อนั ตรายตอรา งกาย เพราะกา ซนีจ้ ะ ทําใหเม็ดเลอื ดขนถา ยออกซิเจนนอยลง เปนเหตุใหเกิดอาการขาดออกซเิ จน (Suffocation) ได เม่ือตองทาํ งานในสถานทีท่ ่ีมีกา ซคารบ อนมอนนอกไซด ควรปฏิบัตดิ ังนี้ 1. กอนเรม่ิ งาน ตองตรวจดูความหนาแนนของกาซคารบอนไดออกไซดดวย เครือ่ งตรวจวัดกาซกอน 2. ใหระบายอากาศออกจนกวา ความหนาแนนของกาซคารบ อนไดออกไซดจะ ตา่ํ กวา 50 ppm (0.005%) 3. ตอ งสวมใสห นา กากกรองทเ่ี หมาะสม 4. ถา ความหนาแนน ของกา ซคารบอนมอนอกไซดสูง หรอื ความเขม ขนของ ออกซเิ จนตาํ่ ใหใ ชเครอื่ งชวยหายใจ หรอื หนา กากแบบมีอากาศเสริม
154 2. สารละลายอนิ ทรยี (Organic Solvents) มสี ารละลายอินทรียเปนจํานวนมากท่ีใชใ นสถานที่ทาํ งานและบานพักอาศัย สารละลายอินทรยี เ หลา นี้สามารถแทรกซึมเขาสูรางกายไดหลายทางทั้งทางระบบหายใจในรปู ของไอ ระเหย เพราะเปนสารทีส่ ามารถระเหยไดใ นอุณหภมู ิปกติ และแพรผ านผวิ หนงั ไดเพราะเปนตัวทํา ละลายไขมันนอกจากนี้ยังอาจทําใหห มดสติได เพราะจะไปรบกวนการทํางานของระบบประสาท สวนกลาง ดังนนั้ จงึ จาํ เปนอยางย่ิงทีจ่ ะตอ งรคู ณุ สมบัติของสารละลายอินทรียที่จะใชเ หลา นั้น และ จะตอ งใชอ ยางถูกตอ งเพ่อื ใหเกิดอนั ตรายนอ ยทสี่ ุด ระบายอากาศ วธิ ปี ฏิบตั ิงานกบั สารละลายอนิ ทรียอ ยา งปลอดภยั ประกายไฟ 1. ระวงั อยา ใหสารละลายอนิ ทรียห ก 2. ปดฝาภาชนะบรรจสุ ารละลายอนิ ทรียเสมอ ทําได 3. ไมลางมอื ดวยสารละลายอนิ ทรยี 4. ตรวจตราระบบระบายอากาศอยเู สมอ อยาใหมีส่งิ ใดไปขัดขวางทาง 5. หา มใชส ารละลายอินทรยี ใ กลบรเิ วณทมี่ ไี ฟหรือบรเิ วณทีอ่ าจเกิด 6. สวมใสอปุ กรณป องกนั ท่เี หมาะสมเสมอขณะใชส ารละลายอนิ ทรีย 7. ตอ งใชระบบระบายอากาศเสมอในขณะใชส ารละลายอินทรยี 8. หลีกเลยี่ งการสัมผัสไอระเหยของสารละลายอนิ ทรียใหมากทสี่ ดุ เทาที่จะ 3. ฝุน ปกตโิ รคปอดที่เกิดจากฝนุ ทีห่ ายใจเขา ไปจะมชี ื่อเรยี กวา โรคปอดฝุนหรือนิวโม โคนิซิส (Pneumoconiosis) ฝุนที่สูดดมเขามาจะฝงตัวอยูในปอดและปอดไมสามารถขจัดสิ่ง แปลกปลอมเหลา นีไ้ ด เมื่อมีการสะสมมากข้นึ ปอดจะรสู กึ แนน อดึ อัด ทาํ ใหห ายใจไมออก วิธีแกไขที่ ดที สี่ ดุ คือการปอ งกันโรคนี้ไวกอน โดยปรับปรุงสภาพแวดลอมในบริเวณทีท่ ํางานและปรับเปลี่ยน วิธกี ารทํางาน เชน การขจดั ฝนุ ในสถานที่ทาํ งาน หรอื การสวมใสหนากากปอ งกันฝุน
155 วิธใี ชหนา กากปองกนั ฝนุ อยางถกู วธิ ี 1. หนา กากควรกระชับกับใบหนา ซง่ึ ฝุนจะไมสามารถแทรกเขาไประหวา งรอ ง ของหนา กากกบั ใบหนาได 2. แมส ภาพของสถานทที่ าํ งานโดยทว่ั ไปจะสะอาด แตอาจจะมีฝนุ ขนาดเลก็ อยู ได จงึ ควรสวมหนากากปองกันฝุนไว ถา บริเวณนัน้ มฝี นุ ขนาดเลก็ อยไู ด จงึ ควรสวมหนากากปองกัน ฝุน ไว ถา บริเวณนั้นมฝี ุนอยู 3. หามสวมหนากากกรองฝนุ ในบริเวณทอ่ี ับอากาศ หรอื บริเวณทม่ี ีกาซพิษ 4. ควรเก็บรักษาหนากากไวในที่ท่ีอากาศถายเทดี และเก็บอยางถูกหลักวิธี รวมทัง้ ควรเปลย่ี นไสกรองเม่อื จาํ เปน 5. หนา กากกันฝนุ โดยทัว่ ไปจะใชสาํ หรบั งานชั่วคราวเทานน้ั 4. สารเคมีจําเพาะ สารเคมีจําเพาะจะถูกจัดเปนสารเคมีอันตราย เพราะจะกอใหเกิดอันตรายตอ สุขภาพรางกาย เชน กอใหเกิดโรคมะเรง็ จากการทํางาน โรงผวิ หนัง ระบบประสาทเส่ือม ฯลฯ ปจจบุ นั มีการใชส ารเคมีอยอู ยางกวางขวางในงานอุตสาหกรรมจงึ ตองระมัดระวังเปน อยางยง่ิ การปองกนั อันตรายจากการใชส ารเคมีจาํ เพาะ 1. อยาทําหกหรือกระเดน็ ลงบนพน้ื 2. กอ นเร่มิ ทํางานตองสวมอปุ กรณปองกนั อนั ตรายสว นบุคคลหรือติดตั้งระบบ ระบายอากาศทวั่ ไปในท่ที าํ งาน 3. จดั การปฏบิ ตั ิงานใหเ ปนไปตามระเบยี บขอ บังคบั ของกฎหมาย 4. เมื่อตองการขนยา ยหรือเกบ็ สารเคมีเหลา นั้น จะตองบรรจลุ งภาชนะทเ่ี หมาะสม ใหเรยี บรอ ย 5. หา มสบู บหุ รี่ รับประทานอาหาร หรอื ด่มื นํา้ ในขณะทกี่ ําลงั ทํางานกบั สารเคมี 6. หา มสมั ผัสเสื้อผา ที่เปอนสารเคมี 7. จดั ใหมกี ารสวมชดุ ปองกันหรืออปุ กรณป องกันอันตรายจากสารเคมี 8. หามนาํ สารเคมีนอ้ี อกไปหรือเขา ไปยงั หนวยงานอนื่ โดยไมไ ดรับอนุญาต 9. เส้ือผาที่สวมใสขณะทํางานยอมมีสารเคมีปนเปอนจึงควรที่จะชําระลาง รางกายเปลย่ี นเสือ้ ผาใหม กอ นทจี่ ะรบั ประทานอาหารหรือกอ นกลับบาน และนาํ เสื้อผาทีใ่ สทํางาน นน้ั ไปซักหรือทาํ ความสะอาดทันที
156 5. สภาพไรอ ากาศหรืออบั อากาศ อุบตั เิ หตจุ ากการขาดอากาศหายใจมกั เกดิ ขึน้ ไดใ นบริเวณทีเ่ ปนใตถ ุนอาคาร ถัง หรือบริเวณอโุ มงคข ุดเจาะ ฯลฯ อาการขาดอากาศมีผลโดยตรงตอ การทํางานของสมอง และบอ ยครงั้ ที่นําไปสู ความสญู เสยี อยางใหญห ลวง ท้ังน้ีเพราะการอยูใ นที่แคบหรืออับอากาศซ่ึงมักไมค อยมคี นไดเขาไปบอ ย นัก กย็ ากทจ่ี ะพบหรอื ชว ยชีวติ ไดทนั หากมอี ุบัติเหตเุ กิดขึน้ วธิ ปี องกนั การขาดอากาศหายใจมดี งั นี้ 1. ตรวจสอบความหนาแนน ของออกซิเจนกอ นลงมอื ปฏบิ ัตงิ าน 2. จัดระบบระบายอากาศที่เหมาะสม 3. มีการปฐมพยาบาลอยางถกู ตองและเหมาะสม ขอ พึงปฏิบัติเมือ่ ตองทํางานในบรเิ วณที่มสี ภาพไรอากาศหรอื อับอากาศ 1. กอนเขาบรเิ วณอนั ตรายทมี่ ีออกซิเจนนอยหรือออกซเิ จนใกลหมด เชน ในบอ หรอื ถัง จาํ เปน ตอ งจัดใหมรี ะบบระบายอากาศที่ดี (อยางไรก็ตามก็เปนอนั ตรายมากเชนกนั ถา ใชอ อกซเิ จนบริสทุ ธอ์ิ ยา งเดียว) ความหนาแนนของออกซิเจนทเี่ หมาะสมคือ ไมน อยกวา 18% 2. หามเขาไปในบรเิ วณท่ีมสี ภาพขาดออกซเิ จน ยกเวน ผูมหี นา ทีเ่ กี่ยวของเทานน้ั 3. ผจู ะเขา ไปในบริเวณอบั อากาศ ตองมีการเฝา ดแู ละติดตามโดยหัวหนางาน หรอื เพือ่ นรว มงาน และระบบระบายอากาศจะตองจัดใหมีออกซิเจนอยางนอย 18% ดว ย 4. ถาลกั ษณะงานไมสามารถจัดระบบระบายอากาศไดใหใ ชอุปกรณชว ยหายใจ ท่เี หมาะสม เชน เคร่อื งกรองอากาศ หรือระบบสายลม 5. ถาสภาพท่ีทํางานน้ันขาดอากาศมาก ๆ ใหสวมใสอุปกรณนิรภัย เชน หนากาก เข็มขดั นิรภยั หรือสายสงอากาศในขณะทปี่ ฏิบัตงิ านอยใู นบริเวณน้นั 6. ตรวจสอบอุปกรณป อ งกันทกุ คร้งั กอนเรมิ่ ทํางาน 7. ถาไดรับอุบัติเหตุจะขาดอากาศหายใจ ผูทําการชวยเหลือจะตองสวมใส อุปกรณชวยหายใจท่ีมีระบบระบายอากาศทด่ี ี ดังอธิบายไวในขอ 4 ขางตน (หนากากปองกันกาซ ไมไ ดจัดไวส าํ หรับกรณีขาดอากาศ ควรขนยายผปู ว ยออกไปสทู โ่ี ลงโดยเร็วท่ีสุด และชว ยหายใจดวย การเปาปาก ฯลฯ ) การจัดใหมีระบบระบายอากาศ เพื่อสุขภาพทด่ี ีควรจดั ใหมรี ะบบระบายอากาศทีเ่ หมาะสมในสถานประกอบการ จําเปน อยางยิ่งท่ีจะตองจัดระบบระบายอากาศในสถานประกอบการที่มีอุณหภูมแิ ละความรอ นสูง
157 หรือมกี าซหรอื ไอท่ีเกิดขึ้นจากตัวทําละลายอินทรียห รือสารอนื่ ๆ การปลอยปละละเลยท่ีจะจัดทํา ระบบระบายอากาศจะเปน สาเหตุท่ีกอใหเกิดอาการปวดศรี ษะและวิงเวียนศีรษะได และปญหาที่จะ ตามมาก็คอื ความเจ็บปว ยตาง ๆ ทมี่ สี าเหตุจากสารเคมีอนั ตราย การเปด หนาตางหรือประตนู นั้ เปนการถายเทอากาศทั่วไปตามปกติ การตดิ ตั้ง ระบบระบายอากาศเฉพาะท่ีหรือในตําแหนงที่จําเปนน้ัน ควรติดต้ังใหเหมาะสมกับลักษณะของ สารเคมอี นั ตรายทีจ่ ะตอ งใช แตค วรตระหนักไววา ในบางครัง้ การเปดหนา ตางอาจใหผ ลที่ตรงขา ม กนั ก็ได 1.4 ความปลอดภัยในการทํางานกับผลิตภณั ฑเ คมี ขอพงึ ปฏิบัติทั่วไปในการทาํ งานกับผลิตภณั ฑเคมี 1. กอนปฏิบัติงานตองทราบถึงชนิดของผลิตภัณฑและอันตรายที่อาจเกิดขึ้น ถา สงสัยใหปรึกษาผูบ งั คบั บญั ชาทเี่ กีย่ วขอ ง 2. กอนขนยายผลิตภัณฑตองสงั เกตวาหีบหอ ไมแ ตกหรือบุบสลายซึ่งอาจจะทําให ตกหลน สภู ายนอกได 3. หลกี เลี่ยงการสัมผัสกับผลิตภณั ฑโ ดยตรง ใหส วมเคร่ืองปอ งกนั เชน ถุงมือ เสอ้ื คลมุ เครอ่ื งกรองอากาศ หมวก แวน ตา ฯลฯ 4. หามรับประทานอาหาร เครอื่ งด่ืม หรอื สูบบหุ รี่ในขณะปฏิบตั งิ าน 5. ขณะปฏิบตั ิงานหามใชมอื ขย้ีตา หรือใชมือสัมผสั กับปากจนกวาจะลางมือให สะอาดเสียกอ น 6. กอนรับประทานอาหาร สูบบุหรี่ หรือเขาหองสุขา ตองถอดอุปกรณปองกัน อันตรายและลา งมอื ใหสะอาดเสียกอ น 7. หา มผูที่ไมมีหนา ทเี่ กีย่ วของปฏิบัติงานเกี่ยวกบั ผลิตภัณฑเคมี 8. หากเกิดอุบัติเหตุ ภาชนะบรรจุผลิตภัณฑแตกเสียหาย ตองรีบรายงาน ผบู ังคับบญั ชาท่ีรับผดิ ชอบทนั ที หรือจดั การเกบ็ กวาด เช็ดถบู ริเวณใหส ะอาดตามวธิ ีที่กําหนด ไมค วร ปลอยทง้ิ ไว 9. ในขณะปฏบิ ตั ิงานหากพบวา มกี ารเจ็บปว ย หรือวิงเวียนศีรษะใหหยุดปฏบิ ัติงาน ทนั ที พรอมทัง้ รายงานใหผบู ังคับบัญชาผูร บั ผดิ ชอบทราบ หรือทําการปฐมพยาบาลอยางถูกตองแลว รีบนาํ ไปพบแพทยพ รอมนาํ ฉลากหรือผลติ ภัณฑไปดว ย 10. อุปกรณปองกันอันตรายที่ใชแลวตองทําความสะอาดหรือทําลายทิ้งตาม คําแนะนาํ ท่ีไดกาํ หนดไว
158 11. เมื่อเสร็จส้ินการปฏิบัติงานแตละครั้ง ตองลางมือ อาบน้ํา และผลัดเปล่ียน เส้ือผา ทสี่ ะอาด ความปลอดภัยในการใชผลิตภัณฑเ คมใี นการผลิต 1. พนักงานตอ งอา นคาํ แนะนาํ ขา งกลองบรรจุผลติ ภัณฑเคมที ุกชนิดใหล ะเอียดกอน ท่จี ะนาํ เขา โรงงานผลติ 2. กลอ งผลิตภัณฑเ คมที ุกกลองท่นี าํ เขา โรงงานผลิตตอ งอยูในสภาพดีไมแ ตกรัว่ 3. พนกั งานตองสวมถุงมอื เสือ้ คลุมแขนยาว หนากาก รองเทาหุมสน กอ นเปด กลอ งสารเคมีทีจ่ ะนาํ มาใชในการผลติ 4. ตองระมดั ระวังเปน พเิ ศษในการบรรจผุ ลติ ภัณฑเคมี พยายามใหฝุน หรอื ละออง ของสารเคมีปลิวกระจายนอ ยทสี่ ุด 5. กลองเปลา ของผลติ ภณั ฑเคมี หลังจากใชแลวตองนําไปเก็บรวมกนั ในทมี่ ิดชิด (หากจาํ เปนตอ งมกี ุญแจปด) กอ นนาํ ไปทาํ ลาย เผาทง้ิ หรอื ฝง ดนิ 6. หลังจากที่พนักงานทํางานเรียบรอยแลว ใหลางมือ ลางหนา หรืออาบนํ้า และ เปลยี่ นเส้อื ผา ใหมกอ นรับประทานอาหารหรือสูบบหุ ร่ี 7. หามสบู บหุ รข่ี ณะปฏิบัติงาน 8. หามรบั ประทานอาหารหรือเครื่องด่ืมในบรเิ วณโรงงานผลิตหรือโรงงานบรรจุ ความปลอดภยั ในการเกบ็ ผลติ ภัณฑเ คมีในคลังพัสดุ 1. พนักงานตองอานฉลากผลติ ภณั ฑเ คมที กุ ครง้ั กอ นทําการเก็บเขา คลังพัสดุ 2. ผลิตภัณฑเ คมีบางอยางตองเกบ็ ในทแี่ หง สะอาด มอี ากาศถายเทดี และ มี อณุ หภูมิไมเกิน 46o C 3. ผลติ ภัณฑเคมตี องเก็บใหห างจากอาหารและภาชนะบรรจุอาหาร 4. ไมควรเก็บผลิตภัณฑเ คมีวางซอนกนั สงู เกินกวา 5 เมตร 5. หา มสบู บหุ ร่ใี นคลงั พสั ดุ ยกเวน บรเิ วณท่ีกาํ หนดให 6. พนักงานตองสวมถุงมือ หนากาก รองเทา และเส้ือแขนยาวขณะปฏิบัติงานซึ่ง สมั ผัสกบั สารเคมีโดยตรง 7. ผลิตภัณฑเคมีที่ตกหลนตามพื้นใหกวาดเก็บใสถังอยางระมัดระวังเพ่ือนําไป ทําลายหรือฝง ดนิ ในบรเิ วณที่กาํ หนด ถาเปนผลิตภณั ฑช นดิ เหลวใหใ ชท รายแหง กลบแลว กวาดเกบ็ ไป ฝงดิน หามลางดวยนํ้า 8. ผลติ ภณั ฑเคมีทุกชนดิ ตอ งปดฉลากทกุ กลอ งกอนนําเขาเก็บในคลงั พสั ดุ 9. คลังเก็บผลิตภัณฑเ คมี ตองปดกุญแจหลงั จากเลิกงาน
159 การเกดิ ไอเคมีไวไฟ การเกิดไอเคมไี วไฟในโรงงาน หมายถงึ การปลอยไอเคมีไวไฟจาํ นวนมาก ซง่ึ อาจ ลุกติดไฟ หรือระเบิดเมื่อมีแหลง ทกี่ อ ใหเ กิดประกายไฟ หรอื อาจเกดิ จากการลกุ ไหมข องสารเคมหี รือ กา ซทมี่ ีจุดวาบไฟ (Flash Point) ต่ําและมชี ว งไวไฟกวา ง จดุ วาบไฟ (Flash Point) ของสารเคมเี หลว คอื อณุ หภมู ิตํา่ สดุ ท่สี ารเคมนี ัน้ จะใหไอ เคมีทส่ี ามารถผสมกับอากาศเปน สวนผสมท่ีพรอมจะลกุ ไหมเมื่อมีแหลง เกดิ ประกายไฟ ชว งไวไฟ (Flammability Limit) คอื ชวงระหวา งความเขมขน ต่ําสุด และสงู สดุ ของ ไอเคมีในอากาศซึง่ จะเกดิ การลกุ ไหมไดเ มื่อมีแหลง เกดิ ประกายไฟ สวนผสมของไอเคมีและอากาศที่ ตํา่ กวาชว งไวไฟน้ีจะเจอื จางเกนิ ไปที่จะลกุ ไหมได และในทาํ นองเดยี วกนั สว นผสมที่สงู กวาชว งไวไฟ น้จี ะเขม ขนเกนิ ไปทจ่ี ะตดิ ไฟ เมือ่ เกิดกลุมไอเคมีจาํ นวนมาก หามพนักงานเขาไปในบริเวณทเี่ กิดไอเคมีนั้น ควร รับแจง หนว ยดบั เพลิงประจําโรงงานเตรยี มพรอมเพ่อื ทาํ การชว ยเหลอื ทันที วิธีปฏบิ ตั ิเม่อื เกิดกลุม ไอเคมี 1. ปลอดภยั ไวกอน เมอ่ื พบไอเคมีจํานวนมากไมวาจะเกิดจากการหกราดบนพ้ืน หรือเกดิ จากการร่วั จากทอ สงเคมีหรือจากถังเคมีตา ง ๆ หากมีขอสงสัยใหสมมุตไิ วกอนวากําลังเกิด กลมุ ไอเคมไี วไฟ อยาเสยี เวลาไปหาเครื่องวดั ประมาณไอเคมี เพราะกวาจะรู ประมาณไอและอากาศ ก็มมี ากเพยี งพอทจี่ ะลกุ ไหมหรือระเบดิ ได และกเ็ ปนเวลาทท่ี านไดเขาไปอยูในกลุม ไอเคมีไวไฟเสีย แลว 2. ออกไปใหพ นจากบรเิ วณทเ่ี กดิ กลุม ไอเคมีไวไฟทันที และรับแจง ใหห ัวหนา งาน หรือผูจัดการทราบ 3. ใหใ ชน า้ํ ฉีดเปน ฝอยเพื่อไลไอเคมี โดยใชหัวฉีดน้าํ จากตูดับเพลิงในกรณีท่ีเกิด กลุมไอเคมีไวไฟบรเิ วณรีแอกเตอร ใหเ ปดวาลวนา้ํ ปลอ ยนา้ํ จากหัวฝก บัวซึ่งติดตงั้ อยเู หนือรีแอกเตอร เพื่อไลไ อเคมี 4. หากกลมุ ไอเคมไี วไฟกําลงั ลุกติดไฟใหฉีดนา้ํ หลอ เคร่อื งมอื เครือ่ งใชหรือถงั ตาง ๆ ท่ีอยูร อบ ๆ บรเิ วณนั้น เพื่อปองกนั การลกุ ลามขยายตัวของไฟและการระเบิด อยาพยายามเขาไปดบั ไฟทจ่ี ุดลุกไหม แตใหหาแหลงทมี่ าของไอเคมแี ละจัดการกําจัดตน ตอของการเกิดไอเสียกอ นโดยไม ตอ ง เขา ไปในกลุมไอเคมี แลวจึงเขาทาํ การดบั ไฟ
160 1.4 ความปลอดภัยเก่ียวกบั อัคคภี ยั การปอ งกันอัคคภี ยั ในบรเิ วณโรงงาน พนกั งานทกุ คนจะตอ งปฏบิ ัติดังน้ี 1. รจู ักคุณสมบัติเครอื่ งดับเพลงิ ทุกชนิดที่ใชอยใู นโรงงาน และสามารถนาํ มาใช งานไดท นั ที และเหมาะสมกบั ลกั ษณะของไฟเม่ือตองการ 2. หา มนาํ เคร่ืองดับเพลิงมาฉดี เลน หรอื หยอกลอ กัน 3. ใหค วามสนใจกบั เครือ่ งมือดับเพลิงในแผนก และจะตองมกี ารตรวจสอบสภาพ ของเคร่อื งดบั เพลงิ อยูเสมอ เมื่อพบหรอื สงสัยวา เครอื่ งดับเพลงิ เคร่อื งใดอยใู นสภาพชาํ รุดหรือน้าํ หนกั พรอ งไป ใหรายงานผูบงั คับบญั ชาตามลาํ ดบั ชั้นทนั ที 4. จะตอ งไมต ดิ ตง้ั หรือวางเคร่ืองจักรหรือสง่ิ ของใด ๆ เอาไวใ นตําแหนง ซึง่ จะเปน อุปสรรคหรือกีดขวางการนําเครอื่ งดบั เพลิงมาใชโดยสะดวก 5. วัตถซุ ง่ึ ไวไฟหรือน้าํ มนั เชื้อเพลงิ ชนดิ บรรจถุ ัง เมอ่ื นาํ มาใชแ ลวจะตองปดฝาให สนิทและทภี่ าชนะบรรจคุ วรจะมีเคร่อื งหมายแสดงวาเปน สารไวไฟ 6. หามนาํ นา้ํ มันเชือ้ เพลงิ หรือเคมภี ัณฑไ วไฟใด ๆ ไปใชในการซักลางเส้อื ผา 7. พนักงานทกุ คนจะตองทําความเขา ใจกับวิธปี ฏิบตั ิเม่ือเกิดเพลงิ ไหม พนกั งานทุก คนจะตอ งใหความรว มมอื ในการซอมภาคปฏบิ ตั โิ ดยพรอมเพรยี งกัน 8. ไมวาเพลิงจะเกิดจากอะไรก็ตาม หากเกิดขึ้นใกลกับสายไฟฟา เครื่องมือ เคร่อื งใชห รอื แผงสวิตซไ ฟฟา ใหป ลดสะพานไฟตดั วงจรไฟฟาทันที เม่อื เกดิ เพลิงไหม 1. เม่ือเกิดเพลงิ ไหมข น้ึ ในบริเวณทที่ ํางาน จงอยา ต่นื ตระหนกจนเสยี ขวญั พยายาม รักษาขวัญและกําลังใจไวใ หม ่ัน การต่ืนตระหนกจนเสยี ขวญั อาจทาํ ใหเหตุการณเ ลวรายลงอกี 2. รบี แจง ใหเ พ่อื นรวมงานทุกคนในบรเิ วณเพลิงไหมและหนว ยดับเพลิงทราบ เพ่ือ ดําเนินการดับเพลิงและแจง เหตุเพลิงไหมไปยงั หนวยดบั เพลิงของราชการ 3. พนักงานผูไมม หี นาทเี่ ก่ียวของกับการดบั เพลงิ ตองรีบออกจากตัวอาคารโดยเรว็ ตามแผนอพยพหนีไฟ และไปรวมกันท่ีบริเวณหนาประตูทางเขาโรงงาน เพื่อรอคําส่ังจากผู ประสานงานดับเพลงิ ตอ ไป 4. พนกั งานท่ีไดร บั มอบหมายใหเปน หนวยดับเพลิงโรงงาน จะตองเตรยี มหัวฉีด สายดบั เพลิง เพ่ือตอ เขากบั ขอ ตอ ทอ น้ําดับเพลงิ และอยใู นสภาพเตรียมพรอมโดยเร็วท่ีสุด ในกรณีที่ เพลิงอยูในตาํ แหนง ท่ีหัวฉดี ใหญจะฉดี มาถงึ อาจไมจาํ เปนตองใชทอดับเพลิงและหัวเล็กฉดี ตอ ท้ังน้ี ใหข้ึนอยกู ับดุลยพนิ จิ ของหนวยดับเพลิงโรงงาน
161 การปอ งกนั อัคคภี ยั ในสํานกั งาน 1. พนักงานทุกคนจะตอ งทราบขอ บงั คับเกีย่ วกบั ความปลอดภยั ในสํานักงานเปนอยางดี 2. พนกั งานทุกคนควรฝกใชเคร่ืองดบั เพลงิ ใหเ ปน 3. พนักงานทุกคนตองปฏิบัติตามกฎขอบังคับความปลอดภัยในสํานักงานโดย เครงครัด เชน หา มสบู บหุ รใ่ี นบริเวณหา มสูบ 4. บริษัทอาจจัดใหมีการซอมดับเพลิงเมื่อเกิดเพลิงไหมหรือกรณีฉุกเฉิน ณ สาํ นักงานรว มกับเจาหนาทีข่ องทางราชการ พนักงานทกุ คนจะตองใหค วามรวมมอื ในการซอมโดย พรอมเพรยี งกนั 5. หา มวางสงิ่ ของกีดขวางทางออกฉุกเฉนิ เม่ือเกิดเพลงิ ไหม 1. ใหพนักงานที่พบเพลิงไหมรีบดับเพลิงตามความสามารถทันทีหากเห็นวาไม สามารถดับเพลงิ ดว ยตนเองได ใหรบี แจงผูประสานงานดบั เพลิงทราบทนั ที 2. ผปู ระสานงานจะแจง ใหเจา หนา ท่บี ริหารของบริษัททราบ และเปด สัญญาณเพลงิ ไหม 3. เมื่อมีสัญญาณเพลิงไหมใหพนักงานทุกคนหยุดปฏิบัติงานทันทีและจัดเก็บ เอกสารที่สาํ คัญพรอมทงั้ ของมีคาไวในที่ปลอดภยั แลว รีบออกจากบรเิ วณทที่ ํางานในทศิ ทางตรงขาม กบั บรเิ วณเกดิ เพลิงไหม 4. การออกจากอาคาร หา มวง่ิ และหามใชลิฟตโดยเด็ดขาด 5. ใหพนกั งานที่ออกจากอาคารแลว ทกุ คนไปรวมกนั ในบริเวณทีจ่ อดรถอาคารเพื่อ ตรวจสอบจํานวนและรอรบั คําส่ังจากผูประสานงานตอไป 1.5 ความปลอดภัยในสาํ นกั งาน พืน้ สํานักงาน - ทางเดนิ - ประตู 1. ควรใหพ ้นื สํานักงานมคี วามสะอาดอยูเสมอ 2. พ้ืนสํานักงานควรอยใู นแนวระดบั ราบไมล าดเอียงหรืออยูต า งระดับกัน หากไม สามารถหลกี เล่ยี งได ใหใชสีสันแสดงใหเ หน็ ชดั เจน 3. ใหใชวัสดกุ นั ลน่ื ปทู ับบนกระเบ้อื งหรือพื้นขดั มนั ที่ล่นื 4. ในขณะปฏบิ ตั ิงาน หา มวง่ิ หรือทําการลื่นไถลแทนการเดิน 5. ในขณะที่มีการขัดหรือทําความสะอาดพนื้ ผูปฏิบตั งิ านควรสังเกตปา ยคําเตือน และเดนิ หรอื ปฏิบัติงานดว ยความระมดั ระวังมากยิ่งขน้ึ 6. ในกรณีที่มีนํ้า นํ้ามัน หรือส่ิงที่ทําใหเกิดการลื่นบนพื้นสํานักงานใหแจง เจา หนาที่ท่ีรับผิดชอบโดยทนั ที โดยกอ นแจง ใหแ สดงเครือ่ งหมายเตอื นไวด วย
162 7. ในกรณีท่ีพบเห็นวัสดุหรือเครื่องใชสํานักงาน เชน ดินสอ ท่ีหนีบกระดาษ ยางลบ หรือส่ิงอน่ื ใดตกหลนอยบู นพ้นื ใหเ กบ็ โดยทนั ทีเพราะอาจเปนสาเหตุใหลนื่ หกลม ได 8. ในขณะเดินถงึ มุมตึกใหเดินทางดานขวาของทางเดิน และเดินอยางชา ๆ ดวย ความระมัดระวงั เพอ่ื หลีกเลย่ี งการชนกบั ผูอ่ืนซึ่งกําลงั เดนิ มาจากอีกมมุ หน่ึง 9. ควรติดต้งั กระจกเงาทํามมุ ในบริเวณมมุ อบั ทอ่ี าจเกิดอบุ ัตเิ หตุไดง า ย 10. สายโทรศพั ท สายเครื่องคิดเลข หรอื สายไฟฟา ควรติดตัง้ ใหเรียบรอ ย เพ่ือ ไมใ หก ดี ขวางทางเดนิ 11. อยายนื หรือเดินใกลบ รเิ วณประตูที่ปดอยู เพราะบุคคลอ่นื อาจจะเปดประตูมา กระแทกได 12. เมอ่ื จะผา นเขา ออกบังตา หรอื เปดปดประตบู านกระจก ควรเขาออกหรือเปดปด ดว ยความระมัดระวังอยา งชา ๆ และในการใชบ ังตาหรอื ประตูทเี่ ปดปดสองบาน ใหใชบังตาหรือบาน ประตูทางดา นขวา 13. บังตาหรือประตูบานกระจกท่ีเปด ปดสองทาง ใหติดเครื่องหมาย “ดึง” หรือ “ผลัก” ใหช ัดเจน 14. ไมควรจัดเก็บวัสดุอุปกรณสงิ่ ของตาง ๆ หรือปลอยใหมีสิ่งกีดขวางบริเวณ ทางเดินหรอื ชองประตู การใชบ ันได การใชบนั ไดอยางปลอดภัย 1. กอนขน้ึ หรอื ลงบันได ควรสังเกตสง่ิ ทีอ่ าจกอ ใหเ กดิ อันตรายขึ้นได 2. ถาบริเวณบนั ไดมแี สงสวางไมเ พียงพอ หรือราวบันไดหรือข้ันบันไดชํารุด ให แจง เจาหนาทเี่ พ่ือทําการแกไขใหเ รยี บรอย 3. อยาปลอยใหมเี ศษวสั ดุชิน้ เล็กชิ้นนอยตกอยูตามขัน้ บันได เชน เศษกรวด เศษ แกว ฯลฯ 4. ไมควรติดต้ังสิ่งที่ดึงดูดความสนใจ เชน กระจกเงา ภาพโปสเตอร เครือ่ งประดบั ตกแตงตาง ๆ ไวบริเวณบนั ได 5. ควรจัดใหม ีพรมหรือท่เี ช็ดเทาบรเิ วณเชิงบันได เพื่อความปลอดภัย 6. อยาว่งิ ข้ึนหรอื ลงบันได ควรขน้ึ ลงดว ยความระมัดระวัง 7. หามเลนหรือหยอกลอ กันในขณะขึน้ หรือลงบันได 8. การข้นึ ลงบันได ใหข ้ึนลงทางดา นขวาและจบั ราวบนั ไดทกุ ครัง้ 9. อยา ปลอยราวบันไดจนกวาจะมกี ารขน้ึ หรอื ลงบันไดเปน ที่เรยี บรอ ยแลว
163 10. ในขณะขึ้นหรือลงบันได ใหใ ชสายตามองขั้นบันไดที่จะกาวตอไปและหาม กระทาํ ส่ิงใด ๆ ในลกั ษณะทจี่ ะกอใหเ กดิ อนั ตราย เชน การอา นหนังสือ หรอื คนสิ่งของในกระเปา ถอื เปนตน 11. อยา ข้ึนหรอื ลงบันไดเปน กลุมใหญใ นเวลาเดียวกัน การใชบ ันไดพาดและบนั ไดยนื อยา งปลอดภัย 1. กอนใชบันไดพาดหรือบันไดยนื ตอ งตรวจสอบความแข็งแรงโดยทว่ั ไป ตอง แนใ จวาไมมีรอยหัก รอยรา ว และมียางกนั ล่นื 2. เมอ่ื ใชบันไดพาดกับผนงั ตองพาดใหไดประมาณ 70 องศาและควรสงู กวา จุดท่ีจะ ทํางานอยางนอย 60 เซนตเิ มตร 3. ถา เปน ไปได ควรยึดหวั และทายของบนั ไดดว ยเชอื ก แตถา ทาํ ไมไ ดค วรใหคนอื่น ชวยใชมือจับยึดให 4. พ้นื วางบันไดตองเรียบ และปราศจากหลมุ บอ หรือโหนกนนู 5. ขณะปน บันไดขึ้นหรือลงใหมองไปขา งหนา และไมทาํ งานบนบนั ไดดวยทา ทางที่ ไมเ หมาะสม 6. กรณมี แี ผนรองยืนบนบันไดยนื ขาของบันไดตองหางกันไมเกิน 1.8 เมตร และ แผน รองยืนตองสูงไมเกนิ 2 เมตร 7. บันไดยืนตอ งมีตัวล็อกขาท่ีกางไวด วย 8. ถา ใชบ นั ไดยนื ในจุดทไี่ มแ นใ จวา จะมคี วามปลอดภยั เพียงพอตองมีผูชวยคอยยดึ จบั บนั ไดนั้นไว 9. อยายืนบนแผน รองยืน เมอื่ ตอ งอยูส งู เกิน 1.2 เมตร โตะทํางาน - เกา อ้ี - ตู 1. ตลอดเวลาการทาํ งานไมค วรเปด ลิน้ ชกั โตะ ลนิ้ ชกั ตูเ อกสาร หรอื ตูอน่ื ใดคา งไว ใหปดทุกครั้งท่ไี มใชง าน 2. หา มวางพัสดุ สงิ่ ของ หรือกลอ งใตโ ตะทาํ งาน 3. หา มเอนหรอื พิงพนกั เกาอี้ โดยใหรับน้าํ หนกั เพียงขา งใดขา งหน่ึง 4. ใหมพี ้นื ท่เี คล่ือนยายเกาอ้ี สําหรบั การเขา ออกท่ีสะดวก 5. หามวางพสั ดุ สิง่ ของตา ง ๆ บนหลงั ตเู พราะอาจตกหลน ลงมาเปนอันตราย 6. อยาเปด ลิน้ ชักตูเอกสารในเวลาเดยี วกันเกนิ กวาหน่งึ ล้ินชัก 7. การจดั เอกสารใสในลิน้ ชกั ตู ควรจัดใสเอกสารจากช้นั ลา งสุดข้ึนไป เพือ่ เปน การ ถว งดลุ นา้ํ หนัก และใหห ลกี เลีย่ งการใสเอกสารในลิ้นชกั มากเกนิ ไป 8. ใหใ ชหจู บั ลิน้ ชักทุกครั้งเม่ือจะเปดปด ลิน้ ชักเพ่อื ปองกันนวิ้ ถูกหนีบ 9. การจดั วางตูล น้ิ ชักตตู องไมเ กะกะชองทางเดินในขณะท่ีปดใชงาน
164 สายไฟฟาและเตา เสยี บ 1. สายไฟฟาทม่ี รี อยฉีกขาด หรอื ปลัก๊ ไฟฟาที่แตกราว ตองทําการเปล่ียนทันที หาม พนั ดวยเทปพนั สายไฟหรอื ดัดแปลงซอมแซมอยา งใดอยา งหนง่ึ 2. เตาเสียบที่ชํารุดจะตองทําการซอ มแซมโดยทันที ในระหวางรอการซอ มแซม จะตองปด หรอื ครอบ เพ่ือปองกันไมใ หผ อู ืน่ มาใชง าน 3. เครื่องมอื หรอื อุปกรณไฟฟา ตาง ๆ ท่ใี ชภ ายในสาํ นกั งาน ใหว างในตําแหนงท่ใี กล เตา เสยี บมากทีส่ ดุ เพ่ือหลีกเล่ยี งสายไฟฟา ท่ีทอดยาวไปตามพื้น หรือหลกี เลย่ี งการใชส ายตอ ในกรณีที่ ไมอาจวางในตําแหนงใกลเตาเสียบได ใหแสดงเคร่ืองหมายใหชัดเจนเพื่อปองกันการเดินสะดุด สายไฟฟา 4. ในการใชอุปกรณไฟฟาใหแนใจวาแรงดันไฟฟาเหมาะสมกับความตองการ แรงดนั ไฟฟาของอปุ กรณนนั้ ๆ 5. การวางหรอื เคลอ่ื นยา ยเคร่อื งใชส ํานักงาน ตองระวงั อยาใหมีการวางหรือเคล่ือนยา ย ไปทบั ถูกสายไฟฟา การใชเ ครอ่ื งใชส าํ นกั งาน 1. ในขณะขนยา ยกระดาษควรระมัดระวงั กระดาษบาดมือ 2. ใหเก็บปากกาหรือดินสอ โดยการเอาปลายช้ลี ง หรือวางราบในชนิ้ ชัก 3. ใหทําการหบุ ขากรรไกรท่ีเปด ซองจดหมาย ใบมดี คดั เตอร หรอื ของมีคมอ่ืน ๆ ให เขา ทก่ี อนทําการเก็บ 4. การใชเ ครื่องตัดกระดาษ ตอ งระวงั นิว้ มือใหอ ยูหางจากใบมีด ขณะท่ีกําลงั ทําการ ตดั กระดาษ และหลีกเลี่ยงการตัดกระดาษจํานวนมากเกินไปพรอมกันทเี ดียว ถา ไมไ ดใ ชง านใหลด ใบมดี ลงใหตํา่ ทสี่ ุด อยา ยกใบมีดคางเอาไว 5. การแกะลวดเยบ็ กระดาษไมค วรใชมอื หรอื เล็บ ใหใ ชท ่ีดงึ ลวดเยบ็ กระดาษทุกครง้ั 6. เฟอรนิเจอรทเี่ ปนโลหะใหทําการลบมุมทุกแหง เพอื่ ความปลอดภยั 7. ควรใชบันไดหรือช้ันเหยียบ เมื่อตองการหยิบของในที่สูง ไมควรยืนบนกลอ ง โตะ หรือเกาอตี้ ดิ ลอ 8. หลงั เลิกงานทุกวนั ใหป ด ไฟฟา ทกุ ดวงและตัดวงจรอปุ กรณไฟฟา ภายในหอ งทาํ งาน ทั้งหมด 9. เครอ่ื งใชส าํ นักงานทอ่ี าจกอใหเ กดิ อันตราย เชน สายพาน ลกู กลิ้ง เกียร เฟอ ง ลอ ฯลฯ ถาไมม กี ารติดตง้ั อปุ กรณปอ งกนั อนั ตรายเอาไว ใหติดต้ังอปุ กรณปอ งกันอันตรายนน้ั ใหเรยี บรอ ย กอนทจ่ี ะใชงาน
165 10. หามทําความสะอาด ปรับ แตง หรือเปล่ียนแปลงสวนประกอบใด ๆ ของ เคร่ืองใชสํานกั งานที่อาจกอใหเกิดอนั ตรายในขณะที่เคร่ืองกาํ ลังทาํ งาน 11. ตอ งทําการศกึ ษาวธิ ีใชแ ละขอ ควรระวงั ของเครื่องใชส ํานักงานท่ีมีอนั ตรายใหด ี กอนปรับแตง 12. ถามีผูปฏิบัติงานสองคน หรือมากกวาสองคนขึ้นไปทํางานกับเคร่ืองใช สาํ นักงานท่ีมอี นั ตรายเคร่ืองเดยี วกัน ผูป ฏิบัติงานแตละคนจะตอ งระมัดระวงั ซึ่งกันและกัน 13. อยาถอดอุปกรณปอ งกันอันตรายหรือเปดแผงเคร่ืองใชส ํานักงานท่ีมีอันตราย โดยเด็ดขาด กรณเี ครือ่ งขดั ของใหตดิ ตอ ชางเพือ่ มาทําการซอมแซม 14. เคร่ืองใชสํานักงานที่ใชกําลังไฟฟาและมิไดเปนชนิดท่ีมีฉนวนหุมสองช้ัน จะตองมีระบบสายดินติดอยูท่คี รอบโลหะผานปล๊กั และหามมีการดัดแปลงปลกั๊ เพ่ือตัดวงจรสายดิน ออก 15. ใหต ัดกระแสไฟฟา ของเคร่อื งใชส ํานกั งานทใี่ ชไฟฟา ทุกคร้งั ที่ไมใชห รือเมื่อจะ ปรับแตง เครื่อง การใชล ฟิ ต 1. ในขณะเกดิ เพลิงไหม หามทุกคนใชล ฟิ ต ใหใชบันไดหนีไฟเทานั้น 2. กอนใชลิฟตทุกคร้ังใหสังเกตวาตัวลิฟตเล่ือนมาอยูในระดับเดียวกับพ้ืนแลว หรอื ไม ถา ตวั ลิฟตอ ยูตา งระดบั กบั พนื้ ใหระมัดระวังการสะดดุ ขณะเดินเขาลิฟต สําหรับสุภาพสตรีที่ สวมรองเทาสนสูงหรอื สน เล็กตอ งกา วขา ม เพอ่ื ปอ งกนั การลนื่ และหกลม 3. ในการใชลฟิ ต ใหเ ขาลฟิ ตอ ยางรวดเร็วและระมดั ระวัง อยา ลงั เลใจ 4. หามสบู บุหรใ่ี นลฟิ ต 5. เมือ่ ลิฟตเลอ่ื นถึงชั้นที่ตองการ ใหรอประตูลฟิ ตเปด เต็มทีแ่ ลวกาวออกจากลิฟต อยางรวดเร็ว
166 6. หามใชม อื จบั หรือดนั ประตูลิฟตเพอ่ื ใหลิฟตรอบุคคลอน่ื ใหใ ชปุมควบคมุ ประตู ลฟิ ตท ต่ี ิดตง้ั อยภู ายในลิฟต 7. ในกรณเี กดิ เหตุฉุกเฉนิ ขณะอยูในลิฟต ใหปฏิบัตติ ามขอแนะนํา ซงึ่ ติดอยภู ายใน ลฟิ ต พยายามควบคมุ สติใหไ ด อยา ตกใจเปนอนั ขาด กจิ กรรม 5 ส สคู วามปลอดภัย สถานท่ที าํ งานจะปลอดภัยดวยการปฏบิ ตั ิ 5 ส สถานทดี่ ําเนินกิจกรรม 5 ส จะปลอดภัยกวา ถูกสขุ อนามยั กวา และมีการผลิตดีกวา ในการทําใหส ถานที่ทํางานนา อยู นา ดู สะดวกสบายและปลอดภยั น้นั จะตอ งกําจัดสิง่ ที่ไมตอ งใชแ ลว ออกไปใหหมด และจดั ส่ิงท่ีจะเกบ็ ใหเปนหมวดหมู เพอ่ื ความสะดวก สะอาด และสวยงาม กจิ กรรม 5 ส สะสาง : แยกรายการสงิ่ ของที่จาํ เปน และไมจําเปน ทิ้งสิ่งของท่ีไมจ าํ เปน ออกไปใหมากทีส่ ดุ เทา ทจ่ี ะทาํ ได สะดวก : เก็บเคร่ืองมืออุปกรณไวในที่ที่ใชไดสะดวกและเก็บในสภาพท่ี ปลอดภัย สะอาด : จดั ระเบียบการดแู ลความสะอาดของสถานท่ที ํางาน เชน การกําจัด ฝนุ ละออง สขุ ลกั ษณะ : ดูแลเสื้อผาและรักษาสภาพสถานท่ีทํางานใหสะอาดเรียบรอย อยา ปลอยใหสกปรกรกรุงรังเปน เดด็ ขาด สรางนิสัย : ปฏิบัติ 4 ส ขางตน จนเปนนิสัย 1.6 ความปลอดภยั ในการประกอบอาชพี เกษตรกรรม ปจ จบุ นั การประกอบอาชพี เกษตรกรรม มกี ารนําเคร่ืองจักรกล เชน รถแทรกเตอร
167 รถไถนา เคร่ืองเก็บเกี่ยว เครือ่ งผอนแรง เปนตน และสารเคมี เชน ปยุ เคมี สารกําจัดศตั รูพืช สารฆา แมลง เขามาใชอยา งมากมาย เพอ่ื ชว ยเพมิ่ ผลผลติ ซึง่ ส่ิงเหลานี้หากนาํ ไปใชอยา งไมถกู ตองจะมีผลเสีย ตอสุขภาพและชีวติ อันตรายจากการประกอบอาชีพเกษตรกรรม มี 5 ประการ ดงั น้ี ประการที่ 1 สารเคมี เชน ปยุ สารกาํ จัดศัตรูพืช สารฆาแมลง สารพิษปราบวัชพืช สารกาํ จัดเชอื้ รา สารกําจดั สตั ว สารพษิ กําจดั สาหราย ไสเดอื นฝอย หอยทาก สารเคมีเหลา น้หี ากใชถูก วธิ ีก็มปี ระโยชน หากใชผ ิดวิธเี ปนโทษอยางมากเชนกัน เกษตรกรจาํ เปนตอ งทราบส่งิ เหลา นี้ ท วิธเี ก็บ การใช โดยอา นจากฉลากขางภาชนะบรรจุ ท เมอื่ ใชห มดแลว ตองทาํ ลายภาชนะบรรจุโดยการเผาหรือฝง ท ไมค วรสูบบหุ รีข่ ณะทําการฉดี พน ท ระวังการสมั ผัสสารเคมที ีผ่ วิ หนังเนอื่ งจากสามารถดดู ซึมทางผิวหนงั ได ท ระวังการสูดดมหายใจเขา สทู างเดินหายใจ ท ไมยนื ใตล มขณะฉดี พน สารเคมี ท เครอื่ งใชต า ง ๆ สําหรับการฉดี พน ตอ งดูแลไมใ หเสือ่ มสภาพ รวั่ ซมึ ท เวลาผสมยาหามใชมอื กวน ประการท่ี 2 อันตรายจากฝุนที่เกิดจากเกษตรกรรม ฝุนเกิดขึ้นจํานวนมากใน กิจกรรมนวดขาว และกิจกรรมอนื่ ๆ ในนา ปญ หาทเ่ี กิดขึ้นคือ ฝนุ จะเปนสวนท่ีรับเอาเชื้อรา ละออง เกสรดอกไม และพวกสเปอรปะปนอยู และจะนําโรคสคู นได ทําใหผ ูสัมผสั เกิดเชื้อรา โรคปอดฝนุ ฝาย โรคปอดชานออย โรคปอดชาวนา วิธีปอ งกัน คือ ท เกษตรควรสวมหนา กากปองกันฝุน ท รักษาความสะอาดของผิวหนังหลังเสร็จงานแลว ท ใชวิธีพนนํ้าเพื่อลดการฟุงกระจายของฝุน ท หาความรูเพ่ือปองกนั ตัวเอง รวมท้ังเพ่ือใหทราบถึงภยั ตา ง ๆ ที่อาจเกิดข้นึ เชน อาการเกิดโรค จะไดสามารถปองกนั ตวั เองไมใ หเ กดิ โรคลกุ ลามตอไป ประการท่ี 3 อันตรายจากการเปนโรคติดเชื้อจากสัตว ที่สาํ คญั คือ มา ววั ควาย แกะ แพะ สกุ ร สุนัข สัตวป าที่กินเนื้อ นก เปด ไก เปนตน โรคติดเชื้อท่ีสําคัญ ไดแ ก โรคแอนแทรกซ โรค กลัวนํา้ บาดทะยกั เลพโตสไปโรซสี กลากเกลื้อน ของเช้อื รา วิธีปองกนั คือ
168 ท เกษตรกรควรทราบแหลงโรค วธิ ีการแพรโ รค ท เมอ่ื สัตวปวยตอ งเผาหรือฝงทาํ ลายเชื้อ ฉีดวคั ซีนปองกันโรคแกส ตั ว ท รกั ษาความสะอาดของผิวหนัง ระวังมิใหสัมผัสกบั ผวิ หนังของสัตวท ี่เปน โรค ท ทําความสะอาดแผลทันทเี ม่อื มีบาดแผลเกิดขนึ้ ประการท่ี 4 อนั ตรายจากความรอ น แสง เสียง ความสัน่ สะเทือน เกษตรกรอาจเปน ตะคริว ออ นเพลีย หรอื เปนลม อนั เนื่องมาจากการไดรบั ความรอ นทมี่ าจากแสงอาทติ ย หรือไดร ับเสียง ดังจากเคร่ืองจักรกล ซ่งึ มีผลตอสขุ ภาพจิตดว ย รวมท้ังเกิดอาการหูตึง หรือหูหนวกได อนั ตรายจาก แสงจา ซ่ึงพบมากทาํ ใหเ กดิ ตอ สญู เสียการมองเหน็ และในการใชเ คร่ืองจกั รก็มีปญ หา การสั่นสะเทอื น จากเครือ่ งจักร เชน รถแทรกเตอร เคร่อื งเกย่ี วขาว เครอ่ื งไถ เครอื่ งเจาะ เลื่อยไฟฟา ความส่ันสะเทอื นมี อนั ตรายตอมอื และแขน ทําใหเกิดอาการปวดขอ ตอ เมื่อยลา ระบบยอยอาหารผิดปกติ กระดูกอักเสบ วิธปี องกนั อันตรายเหลา นไี้ ดแ ก ท การสวมใสอุปกรณป อ งกันอันตรายสวนบุคคล เชน ถุงมอื อดุ หู ท การปอ งกนั เกย่ี วกบั ความรอน ทาํ ไดโ ดยใหส วมเสือ้ ผา หนา แขนยาว แตเปน ผาที่ระบายอากาศไดด ี ท ด่มื น้ําผสมเกลือใหเขม ขน ประมาณ 0.1% ท หยุดพกั ระหวา งงานบอ ยข้นึ หากอากาศรอนจดั มาก ประการที่ 5 อุบัติเหตุในงานเกษตรกรรม เชน การถูกของมีคมบาด ไดแก มีด ขวาน เคยี ว เมอื่ เกิดบาดแผลเกษตรกรไมมีเวลาท่จี ะทําความสะอาดแผลหรือปฐมพยาบาลโดยทนั ที โอกาสทจ่ี ะไดร บั เชอื้ โรค เชน โรคบาดทะยัก จึงพบบอ ย และเปนสาเหตุการตายที่สําคญั หรือการใช เครอ่ื งยนตท่ใี ชไฟฟา กอ็ าจเกดิ ไฟฟา ดดู หรอื เกิดการไหมตามผิวหนังขึ้นได ซ่งึ ควรตองเรียนรูเรือ่ งการ ใชไ ฟฟาใหถ ูกตองดวย นอกจากนีย้ งั มอี ันตรายจากการใชเ คร่ืองยนต เชน เชอื ก โซ สายพาน หนีบหรอื บบี อัด ทาํ ใหม อี บุ ตั ิเหตเุ กดิ ขนึ้ ทนี่ ้ิวมือเปน สวนใหญ โรคจากการทํางานท่ีสําคัญและพบบอยทสี่ ุดในเกษตรกรคอื การปวดหลังจากการ ทาํ งานอนั เน่อื งมาจากทา ทางการทํางานทีฝ่ นธรรมชาติ ทาํ ใหเ กิดอาการปวดเมื่อยกลามเนื้อ การปวด เม่ือยกลา มเนอื้ ทีเ่ กิดขนึ้ ซํา้ ๆ ทุกวนั เรยี กวา โรคบาดเจ็บซ้าํ ซาก หรือโรคบาดเจ็บซํ้าบอย สามารถแกไข ได ควรจะไดเ รยี นรูวธิ ีการหาเครื่องทุนแรงหรือประยกุ ตว ิธีการทํางานเพื่อบรรเทาอาการเหลานั้นให ลดนอยลง ตวั อยางเชน การใชเคร่อื งหวานเมล็ดพืชแทนการกม เงยในการหวานโดยคนก็จะทาํ ใหการ ทาํ งานเปน สขุ ข้ึนได
169 เรอ่ื งที่ 2 การปฐมพยาบาลเบ้อื งตน การปฐมพยาบาล คอื การใหก ารชว ยเหลอื เบอ้ื งตนตอผปู ระสบอนั ตราย หรือเจบ็ ปวย ณ สถานท่เี กดิ เหตกุ อ นท่ีจะถึงมือแพทย หรอื โรงพยาบาล เพอื่ ปอ งกันมิใหเ กิดอันตรายแกชีวติ หรอื เกดิ ความพกิ ารโดยไมส มควร วัตถุประสงคข องการปฐมพยาบาล 1. เพอ่ื ใหมีชีวติ อยู 2. เพื่อไมใ หไดรบั อนั ตรายเพมิ่ ขึ้น 3. เพ่อื ใหก ลับคืนสสู ภาพเดมิ ไดโดยเรว็ หลักทัว่ ไปในการปฐมพยาบาล 1. อยา ตนื่ เตน ตกใจ และอยา ใหค นมงุ เพราะจะแยงผบู าดเจบ็ หายใจ 2. ตรวจดูวาผบู าดเจ็บยงั รูส ึกตัว หรอื หมดสติ 3. อยากรอกยา หรือนํา้ ใหแ กผูบาดเจบ็ ในขณะทไี่ มร ูสึกตวั 4. รีบใหก ารปฐมพยาบาลตอการบาดเจบ็ ท่อี าจทําใหเ กดิ อันตรายถึงแกช ีวติ โดยเรว็ กอ น สวนการบาดเจ็บอ่ืน ๆ ท่ไี มร ุนแรงมากนักใหดําเนนิ การปฐมพยาบาลในลาํ ดบั ถัดมา การบาดเจบ็ ทตี่ องไดร บั การชวยเหลอื โดยเร็ว คือ 1. การขาดอากาศหายใจ 2. การตกเลอื ด และมีอาการช็อก 3. การสมั ผัส หรือไดร ับสิง่ มพี ษิ ทร่ี ุนแรง การปฐมพยาบาลเม่อื เกิดอาการบาดเจบ็ ขอ เคลด็ สาเหตุ เกดิ จากการฉกี ขาด หรือการยดึ ตวั ของเนื้อเยื่อ กลา มเนือ้ หรือเสน เอน็ รอบขอ ตอ อาการ - เวลาเคลอื่ นไหวจะรสู ึกปวดบรเิ วณขอ ตอ ท่ีไดร ับอนั ตราย - บวมแดงบริเวณรอบ ๆ ขอ ตอ
170 การปฐมพยาบาล - อยาใหข อตอ บรเิ วณทเ่ี จบ็ เคลอื่ นไหว - อยาใหข องหนักกดทบั บรเิ วณขอท่เี จ็บ - ควรประคบดว ยความเยน็ ไวกอน - ถามอี าการปวดรนุ แรง ใหร บี นําไปพบแพทย ขัดยอก สาเหตุ เกิดจากการทก่ี ลามเนอื้ ยึดตัวมากเกินไป ซ่งึ เกดิ ข้นึ เพราะการเคลอื่ นไหวอยา งรุนแรง และรวดเร็วมากเกนิ ไป อาการ เจบ็ ปวดบรเิ วณที่ไดรับบาดเจ็บ ตอมามีอาการบวม การปฐมพยาบาล - ใหผบู าดเจ็บน่งั หรอื นอนในทา ทส่ี บาย และปลอดภยั - ถาปวดมากอาจบรรเทาอาการโดยการประคบความเย็นกอน แลวตอดว ยประคบ ความรอ น ตาบาดเจ็บ การปฐมพยาบาลเกย่ี วกบั ตานน้ั ควรใหการปฐมพยาบาลเฉพาะตาที่บาดเจบ็ เลก็ นอย เทานัน้ ถาบาดเจ็บรุนแรงใหห าผา ปดแผลสะอาดปด ตาหลวม ๆ แลวนาํ ผบู าดเจบ็ สงโรงพยาบาล โดยเรว็ ผงเขาตา สาเหตุ - มีสงิ่ แปลกปลอมเขา ตา - ระคายเคอื งตา คัน หรือปวดตา การปฐมพยาบาล - ใชน าํ้ สะอาดลางตาใหท่วั - ถาผงไมอ อกใหหาผาสะอาดปด ตาหลวม ๆ แลวนาํ ผบู าดเจบ็ ไปพบแพทย
171 สารเคมเี ขา ตา สาเหตุ กรด หรือดางเขา ตา อาการ - ระคายเคอื งตา - เจ็บปวด และแสบตามาก การปฐมพยาบาล - ใหลางตาดว ยนํา้ ท่สี ะอาดโดยวิธีการใหนํ้าไหลผา นลูกตา จนกวา สารเคมี จะออกมา - ใชผ าปดแผลทส่ี ะอาดปด ตาหลวม ๆ แลวนําผูบาดเจ็บไปพบแพทย โดยเร็วทส่ี ุด ไฟไหม หรือน้ํารอ นลวก สาเหตุ บาดแผลอาจจะเกิดจากถูกไฟโดยตรง ประกายไฟ ไฟฟา วตั ถุที่รอ นจัด น้ําเดอื ด สารเคมี เชน กรด หรอื ดา งท่ีมคี วามเขมขน อาการ แบงเปน 3 ลกั ษณะ - ลกั ษณะท่ี 1 ผิวหนงั แดง - ลกั ษณะที่ 2 เกิดแผลพอง - ลักษณะที่ 3 ทาํ ลายชัน้ ผวิ หนงั เขา ไปเปนอนั ตรายถงึ เนือ้ เยือ่ ท่ีอยใู ตผวิ หนัง บางครง้ั ผบู าดเจบ็ จะมอี าการช็อก การปฐมพยาบาล บาดแผลในลกั ษณะที่ 1 และ 2 ซ่งึ ไมส าหสั ใหป ฐมพยาบาลดงั น้ี - ประคบดวยความเย็นทนั ที - ใชน า้ํ มันทาแผลได และปด แผลดวยผา ท่สี ะอาด ใชผ า พนั แผลพนั แตอยา ใหแนน มาก บาดแผลในลักษณะท่ี 3 ใหปฐมพยาบาลดงั นี้ - ถาผบู าดเจ็บมีอาการช็อก รบี ใหก ารปฐมพยาบาลอาการชอ็ กกอ น
172 - หา มดงึ เศษผา ท่ีถูกไฟไหมซงึ่ ตดิ อยูกับรา งกายออก - นําผบู าดเจ็บสงโรงพยาบาลโดยเร็วที่สุดเทา ท่ีจะทําได กระดูกเคลือ่ น สาเหตุ กระดูกเคล่ือนเกิดขึ้นเพราะปลายกระดกู ขา งหน่งึ ซ่ึงประกอบกนั เขาเปน ขอ ตอ เคล่อื นทห่ี ลุดออกจากเสนเอน็ ท่หี ุม หอบริเวณขอตอไว อาการ - ตึงและปวดมากบรเิ วณขอ ตอ ทีห่ ลดุ - ขอตอ จะมรี ปู รา ง และตาํ แหนงผดิ ไปจากเดิม การปฐมพยาบาล - จดั ใหผูบ าดเจ็บอยูในทาทส่ี บายทส่ี ุด - หา มกด หรอื ทําใหขอตอน้นั เคล่อื นไหวเปน อันขาด - นาํ ผบู าดเจบ็ สง แพทยใหเ ร็วท่สี ุด - การเคลือ่ นยายผบู าดเจบ็ ควรใชเปลหาม กระดกู หกั กระดกู หักมีอยู 2 แบบ คอื 1. กระดูกหกั ชนดิ ธรรมดา หรือชนดิ ปด ไดแ ก การมีกระดูกหกั เพยี งอยา งเดยี ว ไมแทงทะลผุ ิวหนงั ออกมา 2. กระดูกหักชนิดมบี าดแผล หรือชนิดเปด ไดแก การมกี ระดกู หักแลวแทงทะลุ ผวิ หนงั ออกมา หรือวัตถุจากภายนอกแทงทะลผุ ิวหนังเขาไปกระทบกับกระดูก ทาํ ใหก ระดกู หัก อาการ - บวม - เวลาเคลอ่ื นไหวจะเจ็บบริเวณทไ่ี ดรบั อันตราย - ถาจับบริเวณที่ไดร ับอนั ตรายจะรูสึกนุมน่ิม และอาจมีเสียงปลายกระดกู ทห่ี กั เสียด สีกัน - อวยั วะเบย้ี วบิดผดิ รปู
173 การปฐมพยาบาล - อยา เคล่ือนยา ยผปู ระสบอนั ตราย นอกจากจะจําเปน จรงิ ๆ การเคลอื่ นยาย อาจทาํ ใหบ าดเจ็บมากข้นึ ไปอีก - คอยระวงั ใหปลายกระดกู ทแี่ ตกอยนู ่งิ ๆ - ปอ งกันอยาใหเกดิ อาการช็อก - ถากระดกู ทหี่ ักแทงทะลผุ วิ หนงั ออกมาขางนอก ใหหามเลอื ดโดยใชน ้วิ กด หรอื ใชส ายสาํ หรับรดั หา มเลอื ด - ใชผ า ปด แผลที่สะอาด ปด ปากแผล หรือกระดกู ที่โผลอ อกมา - ถามีความจําเปน ที่จะตอ งเคลอ่ื นยายผูบาดเจบ็ ควรใชเฝอ กช่ัวคราว สายคลอ งแขน หมอน และเปลเฝอกช่ัวคราวอาจทาํ ดว ยวัตถใุ ด ๆ ก็ไดท อ่ี ยูใกลมือ เชน กระดาน มวน หนังสอื พมิ พ มวนฟาง หรอื รม ใหผ กู เฝอ กกับแขน หรือขาตรงที่หักท้งั ขางลา ง และขา งบน และถา สามารถทาํ ไดใ หผ ูกมัดจากท่ี ๆ แตกไปท้งั สองขาง จะทาํ ใหเฝอกชัว่ คราวแข็งแรงขึ้น ใชก ระดาษ ผา สาํ ลี หรอื วัตถอุ ่ืน ๆ ทคี่ ลา ยกนั รองเฝอก เพ่อื ใหบ รเิ วณทีไ่ ดร ับอนั ตรายอยูในระดบั เดยี วกัน ซึ่งการทํา วธิ ีนีเ้ ฝอ กจะพอดี ไมก ดกระดกู บางแหง มากเกินไป สําหรับการใสเ ฝอกทแี่ ขนหรอื ขานน้ั ควรใสให รอบทกุ ดานดีกวาใสเฉพาะดานใดดานหนงึ่ และใหใชผาเปน ชิ้น ๆ หรอื เชอื กทเ่ี หนยี ว ๆ ผกู เฝอก แต ผา สาํ หรับผูกในยามฉกุ เฉินที่ดีทีส่ ุดก็คอื ผา พนั แถบยาว ๆ - บางคร้งั กอนจะเขาเฝอ กจําเปน ตอ งเคลอ่ื นยายผบู าดเจบ็ บา งเลก็ นอย ควรจะใหใคร คนหน่งึ จับแขน หรอื ขาสว นทอี่ ยูเหนอื และสวนทีอ่ ยูต่ํากวา บริเวณที่กระดูกนัน้ หักใหอยนู ิง่ ๆสว นคน อื่น ๆ ใหชวยกันรบั นา้ํ หนักของรา งกายไว วธิ ที ีด่ ที ี่สดุ กค็ ือ ใชเปลหาม - กระดูกสันหลัง หรือคอหัก หรือสงสัยวาจะหัก จะตองใชความระมัดระวังเปน พเิ ศษ ถาคนเจบ็ หมดสตอิ าจจะไมร วู า กระดูกคอ หรือกระดกู สนั หลงั หัก นอกจากผูทําการปฐมพยาบาล น้ันจะมีความรใู นเรอื่ งนเี้ ปน พิเศษ กระดกู หักธรรมดาอาจจะกลายเปน กระดกู หักชนิดมีบาดแผลไดถ า หากไมร ะมัดระวงั ในการเคลือ่ นยายผูบ าดเจบ็ ดงั นั้น หากสามารถทาํ ไดค วรงดเวนการเคล่ือนยายใด ๆ จนกวา แพทยจะมาทาํ การชวยเหลือ การเคลอ่ื นยา ยผูทีก่ ระดูกคอหัก - เมื่อจะทําการเคลื่อนยายผูบาดเจ็บท่ีกระดูกคอหัก ใหเอาบานประตู หรือแผน กระดานกวาง ๆ มาวางลงขา งคนเจบ็ ใหปลายกระดานเลยศีรษะคนเจ็บไปประมาณ 4 นิ้ว เปนอยาง นอ ย - ถาผูบาดเจ็บนอนหงาย ใหใครคนหน่ึงคุกเขาลงเหนอื ศรี ษะ ใชม ือทั้งสองจบั ศีรษะ ไวใ หนิ่ง ๆ เพ่ือใหศรี ษะ และหัวไหลเคล่ือนไหวเปน จงั หวะเดียวกนั กบั รางกาย สวนคนอื่น ๆ จะเปน คนเดยี ว หรือหลายคนกไ็ ดช วยกนั จบั เสอ้ื ผา ของผูบาดเจบ็ ตรงหัวไหล และตะโพก แลว
174 คอ ย ๆ เล่อื นผูบ าดเจบ็ นนั้ วางลงบนแผน กระดาน หรือบานประตู ใหผูบาดเจ็บนอนหงายอยา ยกศรี ษะ ขนึ้ และอยา ใหคอบิดไปมา - ถาผูบาดเจ็บนอนคว่ําหนา ควรจะวางบานประตู หรือกระดานลงขาง ๆ ตัว ผบู าดเจ็บน้ัน เอาแขนเหยยี ดไปทางศรี ษะ คุกเขาลงเอามอื จับขางศีรษะของผูบ าดเจ็บ โดยใหมอื ปด หู และมมุ ขากรรไกร แลว คอยพลิกคนเจ็บใหน อนหงายบนกระดาน เวลาพลิกใหนอนหงายจะตอ งให ศรี ษะอยนู ิง่ ๆ และใหอยรู ะดบั เดียวกับลําตัว ท้ังศรี ษะ และลําตวั จะตองพลิกใหพรอ ม ๆ กัน - ระหวา งทที่ าํ การเคลอ่ื นยาย ควรจะใชหนังรัด หรอื ผาพนั แผลก็ไดหลาย ๆ อนั รัด รอบตัวของผบู าดเจ็บใหต ดิ แนน กบั แผนกระดาษ หรอื ถา มเี ปลก็ใหใ ชเ ปลหาม การเคลอื่ นยายผทู ่ีกระดูกสนั หลงั หัก - อยารีบยกผูบาดเจ็บท่ีสงสัยวากระดูกสันหลังจะหัก ตองถามกอนวาสามารถ เคลอ่ื นไหว ไดห รือไม ถา ผบู าดเจ็บไมไ ดสติ และสงสัยวา จะไดร ับอนั ตรายท่ีกระดูกสันหลัง ใหปฏิบัติ เชนเดียวกับผูทกี่ ระดูกคอหกั - ถา พบคนทสี่ งสยั วา กระดกู สนั หลังหักนอนคว่ําหนา อยู คอย ๆ พลกิ ใหน อนหงาย ลงบนแผน กระดาน หรอื เปล แลว หาอะไรมารองสันหลงั ตอนลาง - ถาผบู าดเจ็บนอนหงาย คอ ย ๆ เลื่อนใหนอนบนกระดาน โดยปฏบิ ัตเิ ชนเดยี วกบั ผูท่ี กระดูกคอหัก - ผบู าดเจบ็ ทส่ี งสัยวา กระดกู สนั หลังหัก หามยกในทานั่งโดยเดด็ ขาด กะโหลกศรี ษะแตก สมองไดรบั ความกระทบกระเทอื น ผทู ี่ประสบอนั ตรายจนกะโหลกศรี ษะแตก หรือสะเทือน จะมอี าการเลือดออกทางหู ตา และจมกู อาจมีของเหลวสขี าวไหลออกมาจากหู ตาดําอาจจะมีขนาดไมเทา กัน หนาแดง หรือซดี ก็ ได การปฐมพยาบาล - ถา หนา มีสปี กติ หรอื สแี ดง ควรวางผูบาดเจบ็ นอนลง แลวหนนุ ศรี ษะใหสงู เลก็ นอย ถา หนาซดี ควรวางศีรษะในแนวราบ - พลกิ ศีรษะใหอ ยูใ นลักษณะทีไ่ มถูกทบั บริเวณทส่ี งสัยวากระดูกจะแตก - ถามีบาดแผลปรากฏใหหามเลือด และปดบาดแผลดวยผาปดแผลที่สะอาด ผูก ผา พนั แผลดา นตรงขา มกบั บาดแผล - ใหค วามอบอนุ แกผ ูบาดเจบ็ อยเู สมอ และอยา ใหส ารกระตนุ ใด ๆ แกผบู าดเจบ็
175 การหา มเลือดเมื่อเกดิ อนั ตรายจากของมคี ม วิธีหา มเลือดมหี ลายวิธี ไดแ ก 1. การกดดว ยนว้ิ มอื มีวธิ ีปฏิบตั ิดงั น้ี - ในกรณีที่บาดแผลเลอื ดออกไมม าก จะหา มเลือดโดยใชผา สะอาดปดทบ่ี าดแผลแลว พนั ใหแ นน ถายงั มีเลอื ดไหลซึม ใหใชน้วิ มอื กดตรงบาดแผลดวยก็ได - ในกรณที ีเ่ สน โลหิตแดงใหญขาด หรอื ไดร ับอันตรายอยางรุนแรงเปน บาดแผลใหญ ควรใชน ิว้ มือกดเพอื่ หามเลอื ดไมใหไหลออกมา และใหก ดลงบรเิ วณระหวางบาดแผลกับหวั ใจ เชน - เลือดไหลออกจากหนังศรี ษะ และสวนบนของศีรษะ ใหก ดท่ีเสน เลือดบริเวณขมับ ดานทีม่ บี าดแผล - เลือดไหลออกจากใบหนา ใหกดทีเ่ สน เลอื ดใตข ากรรไกรลา งดา นที่มบี าดแผลหาง จากมมุ ขากรรไกรไปขางหนา ประมาณ 1 นวิ้ - เลือดไหลออกมาจากคอ ใหกดลงไปบริเวณตนคอขาง ๆ หลอดลมดานท่ีมี บาดแผล แตการกดตาํ แหนง นี้นานๆ อาจจะทาํ ใหผถู ูกกดหมดสติได ฉะนน้ั ควรใชวธิ นี ้ีตอเมือ่ ใชวิธีอื่น ๆ ไมไดผ ลแลวเทา นั้น - เลือดไหลออกมาจากแขนทอ นบน ใหก ดลงไปที่ไหปลารา ตอนบนสดุ ใกลหัวไหล ของแขนดา นท่มี บี าดแผล - เลอื ดไหลออกมาจากแขนทอนลา ง ใหกดทเี่ สนเลือดบริเวณแขนทอนบนดานใน ก่งึ กลางระหวา งหวั ไหลก ับขอ ศอก - เลอื ดออกทีข่ า ใหก ดเสนเลอื ดบริเวณขาหนีบดา นทม่ี ีบาดแผล 2. การใชส ายรัดหามเลอื ด ในกรณีทเี่ ลอื ดไหลออกจากเสนโลหิตแดงทีแ่ ขน หรอื ขา ใชน ิว้ มือกดแลวเลือด ไมหยดุ ควรใชสายสาํ หรบั หามเลอื ดโดยเฉพาะ - สายรดั สาํ หรับแขน ใหใชรดั เสนโลหิตที่ตน แขน สายรัดสําหรับขาใหใชรดั เสน โลหติ ทโ่ี คนขา - อยาใชสายรดั ผูกรดั ใหแ นน เกนิ ไป และควรจะคลายออกเปน เวลา 3 วินาที ทุก ๆ 10 นาที จนกวาเลือดจะหยดุ - ถาไมม ีสายรัดแบบมาตรฐาน อาจใชวัตถทุ ่ีแบน ๆ เชน เข็มขัด หนังรัด ผาเชด็ ตวั เนคไท หรอื เศษผา ทาํ เปนสายรดั ได แตอยาใชเ ชือกเสนลวด หรอื ดายทําเปน สายรดั เพราะอาจจะบาด หรือเปน อนั ตรายแกผวิ หนังบริเวณท่ีผกู ได
176 3. การยกบริเวณท่ีมบี าดแผลใหส งู กวา หวั ใจ ในกรณีทม่ี บี าดแผลเลอื ดออกทีเ่ ทา จัดใหผูบาดเจบ็ นอนลงแลว ยกเทาข้นึ กจิ กรรม ใหผ เู รยี นรวบรวมขอมูลการไดรับอันตรายจากการทาํ งานของตนเอง สมาชิกใน ครอบครวั และเพอ่ื นรว มงาน ดังนี้ 1. ขา พเจาเคยไดร บั อนั ตรายจากการทาํ งาน ดงั น้ี ท งาน / หนาที่ที่ปฏบิ ตั ิ หรอื เคยปฏบิ ัต.ิ ..................................................................................... ........................................................................................................................................... ท อนั ตรายทเ่ี คยไดร ับ 1. .................................................................................................................................... 2. .................................................................................................................................... 3. .................................................................................................................................... ท การปอ งกัน และแกไ ข 1. .................................................................................................................................... 2. .................................................................................................................................... 3. .................................................................................................................................... 2. สมาชกิ ในครอบครวั เคยไดร ับอนั ตรายจาการทํางาน คอื ......................................................... ท งาน / หนา ท่ที ี่ปฏบิ ัติ หรอื เคยปฏบิ ตั .ิ ................................................................................. .......................................................................................................................................... ท อนั ตรายทเี่ คยไดรบั 1. .................................................................................................................................... 2. .................................................................................................................................... 3. .................................................................................................................................... ท การปองกนั และแกไข 1. ..................................................................................................................................... 2. .................................................................................................................................... 3. .....................................................................................................................................
177 3. เพื่อนรวมงานทเ่ี คยไดรบั อันตรายจากการทาํ งาน ดงั นี้ ท งาน / หนา ทท่ี ่ปี ฏบิ ัติ หรือเคยปฏบิ ัต.ิ ................................................................................. .......................................................................................................................................... ท อนั ตรายท่เี คยไดรบั 1. ........................................................................ ............................................................ 2. .................................................................................................................................... 3. ..................................................................................................................................... ท การปองกนั และแกไ ข 4. .................................................................................................................................... 5. .................................................................................................................................... 6. ....................................................................................................................................
178 บทท่ี 9 ทักษะชวี ติ เพ่อื การสือ่ สาร สาระสําคญั การมีความรคู วามเขาใจเกีย่ วกับทกั ษะท่จี ําเปนสําหรับชีวิตมนษุ ย โดยเฉพาะทกั ษะ การสือ่ สาร ทักษะการสรางสัมพันธภาพระหวา งบุคคล ทักษะการเขาใจผอู น่ื จะชวยใหบุคคลดาํ รงชีวิต อยูในครอบครัว ชุมชน และสังคมอยา งมีความสขุ ผลการเรียนรทู ี่คาดหวัง เพอ่ื ใหผูเ รยี น 1. มีความรูความเขาใจเก่ียวกับทักษะชีวิตทีจ่ ําเปน 3 ประการ ไดแก ทักษะการ ส่ือสาร ทักษะการสรางสัมพนั ธภาพระหวางบุคคล และทกั ษะการเขา ใจผูอนื่ 2. ประยกุ ตใชทักษะชีวิตในการดําเนินชีวิต และในการทาํ งานอยางมีประสิทธิภาพ ขอบขายเน้อื หา เร่อื งที่ 1 ความหมายของทกั ษะชีวิต เร่ืองท่ี 2 ทกั ษะชีวิตท่จี าํ เปน 3 ประการ
179 เรือ่ งที่ 1 ความหมายของทักษะชวี ิต คาํ วา ทกั ษะ (Skill) หมายถึง ความชดั เจน และความชํานาญในเรอื่ งใดเร่อื งหนง่ึ ซงึ่ บุคคลสามารถสรางขึ้นไดจากการเรียนรู ไดแก ทักษะการอาชพี การกฬี า การทํางานรวมกับผูอนื่ การ อา น การสอน การจดั การ ทักษะทางคณติ ศาสตร ทักษะทางภาษา ทักษะทางการใชเ ทคโนโลยี ฯลฯ ซ่งึ เปนทักษะภายนอกท่สี ามารถมองเหน็ ไดช ัดเจนจากการกระทํา หรือจากการปฏิบัติ ซ่งึ ทักษะดังกลาว นนั้ เปน ทักษะทีจ่ าํ เปน ตอการดาํ รงชวี ิต ที่จะทาํ ใหผ ูมีทกั ษะเหลา นั้นมีชีวิตที่ดี สามารถดํารงชีพอยูใน สังคมได โดยมีโอกาสท่ดี กี วา ผไู มมีทักษะดังกลาว ซ่ึงทักษะประเภทนี้เรียกวา Livelihood skill หรือ Skill for living ซึ่งเปน คนละอยางกับทกั ษะชีวิต ที่เรยี กวา Life skill (ประเสริฐ ตันสกลุ ) ดังน้ัน ทักษะชวี ติ หรือ Life skill จงึ หมายถึง คุณลักษณะ หรอื ความสามารถเชิงสงั คม จติ วทิ ยา (Psychosocial competence) ท่เี ปนทักษะภายในที่จะชวยใหบ คุ คลสามารถเผชิญสถานการณตา ง ๆ ที่เกิดข้ึนใน ชีวติ ประจาํ วันไดอยา งมปี ระสิทธิภาพ และเตรียมพรอมสาํ หรับการปรับตัวในอนาคต ไมวาจะเปน เรอ่ื ง การดูแลสขุ ภาพ เอดส ยาเสพติด ความปลอดภยั สิง่ แวดลอ ม คุณธรรมจริยธรรม ฯลฯ เพ่ือใหส ามารถมี ชีวิตอยใู นสงั คมไดอ ยางมีความสุข หรอื จะกลาวงาย ๆ ทกั ษะชีวติ ก็คอื ความสามารถในการแกปญหา ทต่ี องเผชิญในชวี ติ ประจําวัน เพื่อใหอ ยรู อดปลอดภัย และสามารถอยรู ว มกับผูอ่ืนไดอยา งมีความสขุ 1.1 องคประกอบของทักษะชีวติ องคป ระกอบของทกั ษะชีวิต จะมีความแตกตา งกันตามวัฒนธรรม และสถานท่ี แต ทักษะชีวติ ที่จาํ เปน ทส่ี ุดท่ีทุกคนควรมี ซึง่ องคการอนามัยโลกไดสรุปไว และถอื เปนหัวใจสําคัญใน การดาํ รงชวี ิต คือ 1. ทกั ษะการตัดสินใจ (Decision making) เปนความสามารถในการตดั สินใจ เกี่ยวกบั เรอ่ื งราวตาง ๆ ในชีวิตไดอ ยา งมีระบบ เชน ถาบคุ คลสามารถตัดสินใจเก่ยี วกบั การกระทําของ ตนเองที่เกี่ยวกับพฤตกิ รรมดานสุขภาพ หรอื ความปลอดภัยในชีวติ โดยประเมนิ ทางเลือก และผลท่ีได จากการตดั สินใจเลอื กทางทถี่ ูกตองเหมาะสม กจ็ ะมผี ลตอการมสี ขุ ภาพทดี่ ีท้ังรา งกาย และจติ ใจ 2. ทักษะการแกปญ หา (Problem Solving) เปนความสามารถในการจัดการกับ ปญหาทเี่ กิดขึน้ ในชีวิตไดอ ยางมรี ะบบ ไมเกิดความเครยี ดทางกาย และจติ ใจ จนอาจลกุ ลามเปน ปญหา ใหญโ ตเกินแกไ ข 3. ทักษะการคิดสรางสรรค (Creative thinking) เปนความสามารถในการคิดทจ่ี ะ เปนสวนชวยในการตัดสินใจ และแกไขปญหาโดยการคิดสรางสรรค เพื่อคนหาทางเลือกตาง ๆ รวมทง้ั ผลท่จี ะเกดิ ข้นึ ในแตละทางเลือก และสามารถนาํ ประสบการณมาปรับใชในชวี ิตประจาํ วนั ได อยา งเหมาะสม
180 4. ทกั ษะการคิดอยางมวี ิจารณญาณ (Critical thinking) เปนความสามารถใน การ คิดวิเคราะหข อมลู ตาง ๆ และประเมินปญ หา หรอื สถานการณท อ่ี ยรู อบตัวเรา ทม่ี ีผลตอการ ดําเนิน ชวี ิต 5. ทักษะการสื่อสารอยางมีประสิทธิภาพ (Effective communication) เปน ความสามารถในการใชคําพูด และทาทาง เพื่อแสดงออกถึงความรูสึกนึกคิดของตนเองไดอยาง เหมาะสมกับวัฒนธรรม และสถานการณตา ง ๆ ไมว า จะเปนการแสดงความคิดเห็น การแสดง ความ ตอ งการ การแสดงความช่ืนชม การขอรอง การเจรจาตอรอง การตักเตือน การชวยเหลือการปฏิเสธ ฯลฯ 6. ทกั ษะการสรางสมั พนั ธภาพระหวางบุคคล (Interpersonal relationship) เปน ความสามารถในการสรางความสัมพันธทดี่ ีระหวา งกันและกัน และสามารถรักษาสมั พันธภาพไวได ยืนยาว 7. ทกั ษะการตระหนักรใู นตน (Self awareness) เปนความสามารถในการคนหารูจ กั และเขาใจตนเอง เชน รูข อดี ขอ เสยี ของตนเอง รูความตองการ และสิ่งที่ไมตองการของตนเอง ซึ่งจะ ชวยใหเ รารูตัวเองเวลาเผชญิ กบั ความเครยี ด หรอื สถานการณตาง ๆ และทักษะน้ยี ังเปนพ้ืนฐานของการ พัฒนาทกั ษะอื่น ๆ เชน การสอื่ สาร การสรางสัมพนั ธภาพ การตดั สินใจ ความเห็นใจผอู น่ื 8. ทักษะการเขาใจผูอ่ืน (Empathy) เปนความสามารถในการเขา ใจความเหมอื น หรือความแตกตางระหวา งบคุ คล ในดานความสามารถ เพศ วยั ระดับการศึกษา ศาสนา ความเชือ่ สี ผิว อาชพี ฯลฯ ชวยใหสามารถยอมรบั บุคคลอื่นที่ตางจากเรา เกิดการชวยเหลือบุคคลอื่นท่ีดอยกวา หรือไดรบั ความเดือดรอ น เชน ผูตดิ ยาเสพติด ผตู ิดเชอ้ื เอดส 9. ทักษะการจัดการกับอารมณ (Coping with emotion) เปนความสามารถในการ รบั รอู ารมณของตนเอง และผูอ่ืน รูวาอารมณม ีผลตอ การแสดงพฤติกรรมอยางไร รวู ิธีการจัดการกบั อารมณโกรธ และความเศราโศก ท่ีสงผลทางลบตอ รา งกาย และจติ ใจไดอยา งเหมาะสม 10. ทักษะการจัดการกับความเครยี ด (Coping with stress) เปนความสามารถในการ รับรูถึงสาเหตุของความเครียด รูวิธีผอนคลายความเครียด และแนวทางในการควบคุมระดั บ ความเครยี ด เพอ่ื ใหเกดิ การเบี่ยงเบนพฤติกรรมไปในทางทถ่ี ูกตอง เหมาะสม และไมเ กิดปญ หาดาน สุขภาพ 1.2 กลวิธใี นการสรา งทกั ษะชวี ิต จากองคป ระกอบของทักษะชีวิต 10 ประการ เมือ่ จะนาํ ไปใชพ ัฒนาทักษะชีวติ สามารถแบง ไดเปน 2 สวน ดงั น้ี
181 1. ทักษะชีวิตท่ัวไป คือ ความสามารถพื้นฐานท่ีใชเผชิญปญหาปกติใน ชีวิตประจาํ วัน เชน ความเครียด สุขภาพ การคบเพอื่ น การปรบั ตัว ครอบครัวแตกแยก การบริโภค อาหาร ฯลฯ 2. ทกั ษะชวี ติ เฉพาะ คือ ความสามารถที่จําเปนในการเผชิญปญหาเฉพาะ เชน ยาเสพ ติด โรคเอดส ไฟไหม น้าํ ทวม การถูกลว งละเมิดทางเพศ ฯลฯ เรื่องที่ 2 ทกั ษะชีวิตที่จําเปน 3 ประการ ท ทักษะการสือ่ สารอยางมปี ระสิทธิภาพ (Effective communication) ท ทกั ษะการสรางสมั พันธภาพระหวางบคุ คล (Interpersonal relationship) ท ทักษะการเขา ใจผูอ น่ื (Empathy) 2.1 ทกั ษะการสอื่ สารอยางมีประสทิ ธิภาพ การสื่อสาร เปนกระบวนการสรางความเขาใจกันระหวางบุคคล โดยอาจเปนการ สือ่ สารทางเดียว (one-way communication) คอื การส่อื ขา วสารจากผูสงสาร ไปยงั ผูรบั สาร โดยไมม ี การสอ่ื สารกลบั หรอื สะทอนความรูสกึ กลับไปยงั ผูสง สารอีกครง้ั สว นการส่อื สารสองทาง (Two-way Communication) เปน การสื่อขาวสารจากผูส งสารไปยงั ผูรับสาร และมีการสอ่ื สารกลบั หรอื สะทอน ความรสู ึกกลบั จากผรู บั สาร ไปยงั ผสู ง สารอกี ครัง้ จึงเรียกวา เปน การสื่อสารสองทาง การส่อื สารระหวางบคุ คล นับวาเปนความจําเปนอยางยงิ่ เพราะในการดาํ เนนิ ชีวิต ปกตใิ นปจจบุ นั การส่ือสารเขามามีบทบาทอยางยงิ่ ในทุกกิจกรรม ไมว าจะเปน การส่ือสารดวย การ พดู การเขยี น การแสดงกริ ิยาทาทาง หรือการใชเคร่อื งมอื ส่ือสารที่เปนเทคโนโลยสี มัยใหม ตา ง ๆ เชน โทรศพั ท Internet e-mail ฯลฯ ท้งั น้ี การสือ่ สารดวยวธิ ใี ด ๆ ก็ตาม ควรทําใหผ ูสง สาร และผรู บั สารเกิดความเขา ใจอนั ดตี อกนั และเกดิ สมั พันธภาพท่ีดตี ามมา ซง่ึ ทักษะที่จาํ เปนในการสื่อสาร ไดแ ก การรจู กั แสดงความคดิ เห็น หรือความตองการใหถกู กาลเทศะ และการรจู ักแสดงความช่นื ชมผอู ่ืน การ รูจ กั ขอรอ ง การเจรจาตอรองในสถานการณค บั ขันจาํ เปน การตกั เตือนดว ยความจริงใจ และใชวาจา สุภาพ การรูจ ักปฏิเสธเม่ือถูกชักชวนใหปฏิบตั ิในสิ่งท่ีผิดขนบธรรมเนยี มประเพณี หรือผดิ กฎหมาย เปน ตน การส่อื สารดวยการปฏเิ สธ หลาย ๆ คนไมก ลา ปฏเิ สธคาํ ชักชวนของเพือ่ น หรอื คนรกั เมอื่ ไปทําในสง่ิ ทตี่ นเองไม เหน็ ดวย เชน การมเี พศสมั พันธท ี่ไมปลอดภัย การเท่ียวซองโสเภณี การเสพยาเสพตดิ ฯลฯ อันที่จรงิ การปฏิเสธเปน สิทธขิ องทุกคน การปฏเิ สธคาํ ชักชวนของเพ่อื น หรือคนรักเม่อื ทาํ ในส่งิ ที่ตนเองไมเ หน็
182 ดวยอยา งเหมาะสม และไดผ ลจะชว ยปองกันการมีพฤติกรรมเสีย่ งได คนสวนใหญไมก ลาปฏิเสธคํา ชกั ชวนของเพือ่ น หรอื คนรกั เพราะกลวั วา เพ่อื น หรอื คนรักจะโกรธ แตถาสามารถปฏิเสธไดถูกตอง ตามขนั้ ตอนจะไมทําใหเสยี เพอื่ น การปฏเิ สธทด่ี ี จะตองปฏเิ สธอยางจริงจงั ทัง้ ทาทาง คําพูด และนํา้ เสียง เพอ่ื แสดงความตง้ั ใจอยาง ชัดเจนท่จี ะขอปฏเิ สธ การปฏเิ สธมี 3 ขั้นตอน คือ 1. บอกความรูสึกเปน ขออา งประกอบเหตผุ ล เพราะการบอกความรสู กึ จะโตแ ยงยาก กวาการบอกเหตุผลอยา งเดยี ว 2. การขอปฏิเสธเปนการบอกปฏเิ สธชดั เจนดวยคาํ พดู 3. การถามความเห็นชอบเพ่ือรกั ษาน้าํ ใจของผชู วน และความขอบคุณเม่ือผชู วน ยอมรับการปฏิเสธ ตวั อยา งการปฏิเสธเมอ่ื ถูกชวนไปเสพยาเสพติด แดงเปนผชู วน และแอม เปนผูปฏเิ สธ แดง : คืนน้ีมีปารต ท้ี ห่ี อง แอม ไปใหไ ดนะ มขี องดีอยางวา ใหม ๆ มาใหล อง แอม : ของอยา งวานนั้ ไมด ีตอสุขภาพ ขอไมล อง แดงคงไมวา นะ ขอบคณุ มากที่ชวน แดง : .................................... การหาทางออกเม่ือถูกเซาซี้ หรือสบประมาท บางครั้งผูชวนพูดเซาซี้เพ่ือชวนให สําเร็จ ผถู ูกชวนไมควรหว่ันไหวกบั คําพูด เพราะจะทาํ ใหขาดสมาธใิ นการหาทางออก ควรยืนยันการ ปฏเิ สธดวยทาทีมั่นคง และหาทางออกโดยวิธีตอ ไปนี้ ปฏิเสธซ้ํา โดยไมต อ งใชข อ อา ง พรอมทั้งบอกลา แลวเดินจากไปทนั ที การตอ รอง โดยการชวนไปทํากจิ กรรมอืน่ ท่ีดีกวา การผัดผอน โดยการยืดระยะเวลาออกไปเพอื่ ใหผชู วนเปล่ียนความตงั้ ใจ เชน
183 ขน้ั ตอน ตวั อยางคําพดู 1. อางความรูสกึ ประกอบเหตผุ ล “ฉนั ไมช อบ มันไมดีตอ สขุ ภาพ” 2. ขอปฏเิ สธ “ขอไมไปนะเพอื่ น” 3. การขอความเห็นชอบ “เธอคงเขา ใจนะ” 4. ถูกเซาซี้ หรือถกู สบประมาท “ไมล องดีกวา เราขอกลบั กอ นนะ” “ฉันคดิ วา เรากลับบา นกนั เลยดีกวา” 4.1 การปฏิเสธซ้าํ “แดงคิดวา เราควรรอไปอีกสักระยะหนง่ึ เมอ่ื เราทงั้ สอง 4.2 การตอ รอง พรอมทีจ่ ะรับผดิ ชอบครอบครัว คอ ยคิดเรอ่ื งน”้ี 4.3 การผดั ผอ น สถานการณทชี่ วนไปเที่ยวซอง ชัยเปน ผูช วน ยทุ ธเปนผูปฏเิ สธ ชยั : วันนก้ี นิ ขาวเยน็ แลว ไปเที่ยวอยา งวากนั นะ ยุทธ : เราไมช อบสถานที่อยางนนั้ กลัวตดิ โรคดว ย ขอไมไปนะเพ่อื น ชยั : เราไปหลายหนไมเหน็ เปน อะไรเลย ชักสงสยั แลว วานายเปนผชู าย เต็มรอยหรอื เปลา ชวนทไ่ี รไมไ ปสักที ยทุ ธ : ไมล ะ เอาไวคราวหลงั พวกนายไปเทย่ี วทอ่ี ่นื เราจะไปดว ย คร้งั นี้ขอตวั กอ นนะ ขอบใจมากทช่ี วน ในเร่ืองความรกั ผหู ญงิ เมือ่ มีความรัก จะมีความรูสกึ ชอบ หรอื รกั ตองการความรัก ความอบอุน ความใกลชิดผกู พนั ทางใจ ไมคาดคิดวาฝา ยชายตองการอะไรจากความใกลช ิด จึงขาด ความระมดั ระวัง อาจเผลอตัวเผลอใจไปตามที่ฝายชายตองการ เปน คา นยิ มของชาย โดยถือเปนเรื่อง ปกตทิ จี่ ะมเี พศสมั พนั ธก ับหญิงบริการ หรือคนรักเพ่ือปลดเปลอื้ งความใคร เพราะเม่ือผูชายรกั หรือ ชอบผูห ญิงมกั จะตอ งการผูกพนั ทางกาย คือ ความรัก ความใคร เมื่อผูชายตองการผกู พนั ทางกายกจ็ ะ คดิ หาวธิ กี ารตา ง ๆ เพอื่ ทําใหเกิดพฤตกิ รรมท่ีจะนาํ ไปสูส่งิ ท่ตี นตอ งการ โดยคดิ วาฝายหญงิ ก็ตองการ เชน กัน การมีเพศสัมพันธครง้ั แรก ฝายหญิงไมไดมีความสุขทางเพศอยางที่ฝายชายเขาใจ ตรงกนั ขา มจะมคี วามวิตกกังวล กลัวต้ังครรภ กลัวแฟนจะทอดทิ้ง หรือดูถกู กลวั เพ่ือนรู กลัวพอแม เสยี ใจ แตฝา ยชายจะมีความสุขทางเพศ และภูมใิ จท่ไี ดเ ปนเจาของ การมเี พศสมั พันธในคร้ังตอ ๆ มา ฝายหญิงมักจะยนิ ยอมเพราะความรกั ความผกู พัน ความกังวล กลัวถูกทอดทิ้งหากไมยอม แตฝา ยชาย
184 ถือเปนเรอื่ งปกติ เปนการหาความสุขรวมกัน ปญหาที่ตามมาคือ การต้ังครรภ หรือโรคตาง ๆ ฉะนนั้ การคบเพื่อนตา งเพศ ผูหญงิ ควรปฏิบตั ิตนอยางไรบา ง เชน - ไมค วรอยูด วยกนั ตามลาํ พังสองตอสองในท่ีลับตา เพราะความใกลชดิ สามารถไปสู การมเี พศสมั พันธไ ด - ผูหญงิ ควรแตงกายมดิ ชิด ไมแตงกายลอ แหลม - ผหู ญงิ ควรระมดั ระวังตัวขณะอยูใกลชิดกับเพื่อนตางเพศ ควรรักนวลสงวนตัว ระวังการสัมผสั หรือถูกเน้ือตอ งตวั สําหรบั ผชู าย เม่อื มีโอกาสอยูกันตามลําพงั สองตอสองควรยับยัง้ ชง่ั ใจ และไมคิดหา วธิ ตี า ง ๆ ทจ่ี ะทาํ ใหเ กดิ พฤตกิ รรมท่ีจะนําไปสูส ิง่ ทต่ี นตองการ โดยคาดคดิ เอาเองวา ฝา ยหญิงกต็ อ งการ เชน เดียวกบั ตน ตัวอยางการสอ่ื สารดว ยการปฏเิ สธ ปจจุบันปญหาการมเี พศสมั พนั ธกอ นวัยอันควร ลุกลาม รนุ แรงถึงข้นั เปนปญหาการ ตงั้ ครรภท ่ีไมพงึ ประสงคเพมิ่ สูงขึ้นในกลุมวยั รุน วยั เรยี น ทาํ ใหตองออกกลางคัน หรอื แอบไปทาํ แทง จนทําใหเ กดิ อันตรายถงึ แกชวี ติ เปน จํานวนมาก ดงั น้นั เรอื่ งท่พี อ แมไ มอ ยากใหเ กิดเร่อื งหนึ่งคือ ไมอยากใหลูกมี “เซ็กส” กอนวัยอัน ควร อยากใหเรยี นหนังสือจบ ใหเปนผใู หญทร่ี บั ผดิ ชอบตัวเองไดมากกวาน้ี แตขาวเด็กวัยรุนตอนนี้ก็ออกมามากเหลือเกิน วา เห็นเรื่อง “เซก็ ส” เปนเรือ่ งธรรมดา ไมเ หน็ จะเสียหายตรงไหน บางคนเปลี่ยนคูเปนวา เลน บางคูก ็เชาหอพักอยูดว ยกัน เชาไปเรียนดวยกนั เย็นกลบั มานอนดวยกนั พอแมอยตู า งจงั หวดั ไมร ูเรื่อง คิดวา ลูกคงตั้งใจเรยี นอยา งเดียว ทีไ่ หนได เรือ่ งน้พี อแมจ ะทาํ เฉยไมไ ดแมล ูกเราจะเปนเด็กเรียบรอย ยงั ไมม ีทีทาวา จะสนใจเพศ ตรงขามกต็ าม พอ แมก ต็ อ งชวนคุยเมื่อมีโอกาส หากพอ แมล ูกดูโทรทัศนดวยกัน จะมีฉากอยา งวาใน ละครไทยอยูหลายเร่ือง เชน พระเอกเสียทีนางราย หรือนางเอกใจออ นยอมพระเอกกอ น แตส ดุ ทาย ไมไดแ ตง งานกัน พอแมก็ถือโอกาสนี้ชวนลูกคุยเสียเลย ไมวา จะเปนลกู ชาย หรือลกู สาวก็ตองระวัง เรื่องน้ดี วยกันทง้ั นน้ั ซึง่ อาจแนะนาํ ลกู ดังนี้ อยาอยูกันตามลําพงั สองตอสองในที่ลับตาคน แมอีกฝายจะชวนกไ็ มตองตามใจ ให รจู ักปฏเิ สธ ท ถาดแู ลวอีกฝา ยจะผูกมดั โดยอางวา “รกั จรงิ หวงั แตง ” หรืออะไรก็แลวแต ทจี่ ะสรรหามาพร่าํ พรรณนา ตองใหล กู เราพดู กบั อีกฝายแบบเปด ใจ เปด เผย ดวยทาทีทมี่ น่ั ใจวา “ไม ตอ งการใหม ีอะไรกนั เกนิ เลยกวา น้ี เพราะเรายังเด็กยังไมสมควร” หรือ “ยังไมพรอม” แมว าเราจะรัก เขามากกค็ วรคบกนั แคเ ปน แฟนกอ น เวลายงั มอี กี ยาวนาน ใครจะรูว า คนนี้ใชคแู ทห รือไม ท ตองรจู ักหลีกเล่ียง หรือกลาปฏิเสธท่จี ะมเี พศสมั พันธ ถาอีกฝายยงั ต้ือ
185 ตองใหร จู ักเอาตวั รอดใหไ ด ท ใหเ บีย่ งเบนความสนใจของอกี ฝา ยไปยังเรอ่ื งอื่น เชน อาจชวนไปเลนกีฬา หรอื ชวนคุยในเรื่องท่ีคิดวา อีกฝายจะหยุดฟง ท ถา อกี ฝายยงั ไมยอมฟงเหตผุ ล โดยอาจจะมีขอ อา งวา “ถา ไมย อม แสดงวา ไมรกั จริง” หากถึงข้นั นี้ละกอ ตอ งใหล ูกคดิ ใหมแ ลววา ควรจะคบกันเปนแฟนตอ ไปอกี ไหม เพราะอีก ฝา ยคงตอ งพยายามหาโอกาสอีกเรอ่ื ย ๆ แลว แนใ จไหมวา ลกู จะไมใ จออ นเขาสกั วนั ท ทส่ี าํ คัญ พอแมต องชวนลูกคุย ถงึ ผลเสยี ของการมีเพศสมั พนั ธกอนวัย อนั ควรดวย 2.2 ทกั ษะการสรา งสมั พนั ธภาพระหวา งบุคคล คงไดยินคําพูดนบี้ อย ๆ วา “คนเราอยูคนเดียวในโลกไมได” เราตองพงึ่ พาอาศัยกัน ซ่งึ จะตองมีสมั พันธภาพที่ดตี อกัน การท่ีจะสรางสัมพนั ธภาพใหเกดิ ขึน้ ระหวา งกนั นัน้ เปน เรื่องไมยาก แรกเรม่ิ คือ 1. มกี ารติดตอพบปะกนั เราจะตองมีการตดิ ตอพบปะพดู คุยกบั คนที่ตอ งการมีสัมพันธภาพกบั เขา ใหเวลากับ เขา ทาํ งานรวมกัน ทํากิจกรรมรวมกนั เลนกีฬาดว ยกนั และในที่สุดเราก็มโี อกาสสรางมิตรภาพท่ีดีตอ กนั 2. มคี วามสนใจและประสบการณร วมกนั ประสบการณเปนส่ิงที่นําคนสองคนใหม ารวมมือกัน การชว ยเหลอื กันในระหวาง การเลาเรียน หรือการทํางานดวยกัน มีความสนใจในเรื่องเดียวกัน การรวมประสบการณ และ แลกเปลย่ี นประสบการณร ะหวางกนั เปนการสรางมิตรภาพที่ดใี หเ กิดขึ้นได 3. มีทศั นคติและความเชื่อท่คี ลายคลงึ กนั ชวงวัยรุนเปนชวงท่ีความคิด ทัศนคติ และความรสู ึกอาจมีการเปล่ียนแปลงอยาง รวดเรว็ ถาคนไหนมีความคดิ เหน็ คลา ยคลึงกบั เรา เราจะรสู ึกพอใจ แตถา คนไหนมีความคิดแตกตางกับ เรา เราจะรสู กึ ไมพอใจ แตใ นความเปนจริงตอ งเขา ใจวา คนสวนใหญไมไดม ีความเห็นเหมือนกันทุก เรอื่ ง แมในคนทเ่ี ปน มิตรตอกันเพียงใดก็ตาม จะสรางสัมพนั ธภาพท่ดี ไี ดอยางไร การเรียนรูวิธีการสรางสัมพันธภาพท่ดี ีเปนสําคัญ และทกุ คนควรจะคนหาเพื่อใหเกดิ มิตรภาพ ดังน้ี 1. ความใสใจ เอาใจใสซ ึ่งกนั และกัน ดแู ลกันท้งั ยามสขุ ยามทกุ ข
186 2. ความไวเนอื้ เชอ่ื ใจ การอยูกบั ผูอ ่ืนอยา งมคี วามสขุ เราตอ งไววางใจในตัวเขา และตอ งใหเขาไววางใจในตวั เราดว ย 3. การยอมรับ เราจะตองรจู ักใหก ารยอมรบั และนบั ถือคนอน่ื รจู กั แสดงความ ช่นื ชม และยนิ ดกี ับความสําเรจ็ ของผูอื่น 4. การมีสว นรวม และการแบงปน สมั พนั ธภาพที่ดีคอื การไดมีสวนรว มแบง ปนใน ประสบการณ รจู ักรับฟงความคิด และยอมรับความจริงจากคนสว นมาก 5. การมีความยืดหยนุ คนท่มี ีความยืดหยนุ จะเปนคนทส่ี ามารถมคี วามสุข แมจะอยู กบั คนที่มคี วามเห็นตางกัน 6. ความเห็นอกเห็นใจผูอ่ืน การแสดงความเห็นอกเห็นใจ จะทําไดงายถามี สมั พันธภาพทดี่ ีตอ กัน เพราะจะไมเ กดิ ความเขา ใจผิดตอ กนั จากการท่คี นเราตองมีสัมพนั ธภาพทีด่ กี ับผอู ่ืนน้ัน กเ็ พื่อที่จะสามารถอยูรวมกับผูอืน่ ได โดยทไี่ ดร บั การชวยเหลอื จากผอู ื่นตามสมควร ไมวา จะเปนเพือ่ น พอแม พ่นี อง หรือคน อื่น ๆ โดยเฉพาะการมสี ัมพันธภาพที่ดีระหวา งพอแมก ับลกู วยั รุน เปนส่งิ ทส่ี าํ คญั มาก เพ่ือลูกจะไดเ ตบิ โตเปน ผใู หญทีด่ ี และประสบความสําเร็จในชวี ิตตอ ไป การสรางสมั พนั ธภาพดว ยการให ท การฝกใหเปน ผเู สยี สละ หรอื เปนผูใ หน ั้น พอแมจะตองสอนลกู หรือเปน ตัวอยา งในการเปน ผูใหเสมอ ท การใหโดยทัว่ ไปนน้ั เรามักจะนกึ ถึงแตการใหสงิ่ ของ หรือเงินทอง แตค วาม จริงยงั มีสิ่งสําคญั ท่ที กุ คนควรใหแกกัน ไดแ ก การใหรอยยิ้ม ใหความจริงใจ ใหก ารชว ยเหลือ ให คาํ ชมเชย ใหความเมตตา ใหอภัย ฯลฯ ซ่งึ การใหส งิ่ เหลานไี้ มตอ งเสยี เงินทองซ้อื หา แตต อ งเปน การให ทอ่ี อกมาจากใจจริง จะเปนการสรา งมติ รภาพทีด่ ตี อ กนั ท ใหนกึ เสมอวา จงเปนผใู หเถดิ ใหผ อู ่ืนใหมากข้นึ รับใหน อ ยลง จงึ จะเปน การ ทาํ ใหค รอบครัวเรามีความสขุ และสังคมจะอบอนุ เพอื่ ลกู ไดซึมซับ และนําไปใชในการเปนผใู หเ สมอ กบั เพ่อื น ๆ พี่ นอ ง และคนอ่ืน ๆ ทอ่ี ยรู วมกนั การฝกใหเปนคนนา รัก นา คบหา เคยไดย นิ อาจารยท า นหน่ึงพูดในรายการโทรทัศนนานมาแลว วา “ลกู เราไมวาจะเปน อยา งไร มนั ก็ดูนารกั ไปหมดในสายตาพอ แม แตเ ราจะตอ งสอนลกู เราใหเ ปนคนนารัก เพื่อที่คนอ่ืนเขา จะไดร ักลกู เราดว ย”
187 ท พวกเราที่เปนผูใหญค งเคยเหน็ เด็กประเภทนบี้ า ง เชน - เห็นผใู หญแลว ไมไ หว ทาํ เปนมองไมเหน็ - พูดจาไมเพราะ หนาบง้ึ ตงึ - ไมร จู ักกาลเทศะ - เอาแตใ จตัวเอง - ทําทาอวดดี เดก็ ทเ่ี ปนอยางน้ี ผูใหญก็จะมองวาไมน ารักเลย บางทีทําใหอดคิดไมไดวา พอ แมคงไมมเี วลาสง่ั สอน ท สวนในกลมุ ของเด็กวัยรุนดวยกัน ไดลองถามวาเพื่อนแบบไหนท่ีไมอยากคบ ดวย กไ็ ดค ําตอบวา - ประเภทท่ีชอบดถู ูกเพ่อื น - เอาเปรียบไมชว ยงานกลมุ - ขี้อิจฉาเพื่อน เหน็ เพือ่ นมีดไี มไ ด - ชอบพดู ใหคนอน่ื หนาแตก หมอไมรับเย็บ - คยุ โมโออวดตนเอง และวา คนอ่ืน - ชอบแกลงเพือ่ น ถาเปนอยา งน้ีเพ่ือนกไ็ มอยากคบหาสมาคม และไมอยากใหเขา รวมกลุม เพราะเขา ท่ีไหนก็วงแตกกระเจงิ ทกุ ที จนเพอ่ื น ๆ เออื มระอา ท คนเปน พอ แมคงเศรา ใจมาก ถาลูกเรากลายเปน คนนารงั เกยี จทีไ่ มม ใี คร อยากคบ ดังน้ันพอ แมตอ งพยายามพูดคุยยกตัวอยางคนทที่ ําตัวนา รกั และคนที่ทําตัวไมน ารกั ให ลกู เห็น เพ่ือเปรียบเทียบ และเอาเปนตัวอยาง ซ่ึงลกั ษณะของคนนารักนั้น พระเทพวิสุทธิกวี แหง วัด โสมนัสวิหาร กรงุ เทพมหานคร ไดกลา ววา คนที่นา รกั ยอ มมคี ุณสมบัติ 9 ประการ คือ 1. ไมเ ปนคนอวดดี 2. ไมพ ดู มากจนเขาเบือ่ 3. เปนคนออนนอมถอ มตน 4. รูจักผอนสนั้ ผอ นยาว 5. พดู จาออนหวาน 6. เปนคนเสยี สละ ไมเ อาเปรยี บผอู นื่ 7. เปนคนกตัญูกตเวที 8. เปนคนไมม ีนิสัยริษยา เสยี ดสีผอู ่นื 9. เปนคนมีนสิ ยั สุขมุ รอบคอบ ไมย กตนขมทาน
188 “พอแมท่ีหวังใหล ูกเปน ท่ีรกั ของผใู หญ และเพือ่ นฝงู ตองพยายามเพาะนสิ ยั ดงั กลาวใหก ับลูก ก็จะทาํ ใหก ารอยูร วมกับผอู ื่นในสังคมเกิดเปนสัมพันธภาพท่ีดีระหวางกันและกัน ทุกคนกจ็ ะมีแตค วามสุข” 2.3 ทักษะการเขา ใจผูอ ืน่ การที่บุคคลจะอยูในครอบครัว อยูในสังคมอยางมคี วามสุข จําเปนตองรูจกั ตนเอง และรูจกั ผทู ีต่ นเกยี่ วของสมั พนั ธด ว ย ดงั ภาษติ จีนท่วี า “รเู ขา รูเรา รบรอ ยคร้งั ชนะรอ ยครั้ง” ดังน้นั การท่ีเราจะทาํ ความรูจกั ผูอื่น ซ่ึงเราจะตองเก่ยี วขอ งสัมพันธดวย ไมว าจะเปน ภายในครอบครัวของเราเอง หรอื ในสถานศกึ ษา ในสถานทที่ ํางาน เพราะเราไมสามารถอยูคนเดียวได ในทุกที ทุกสถานการณ หลักในการเขา ใจผูอน่ื มดี งั นี้ 1. ตองคํานงึ วาคนทกุ คนมศี กั ดศ์ิ รคี วามเปนมนุษยเชนเดียวกับเรา จงึ ควรปฏิบัตกิ บั เพอื่ นมนุษยทุกคนดวยความเคารพในศกั ด์ศิ รีของความเปน มนุษยเทาเทียมกัน ไมวาจะเปน คนจน คนรวย คนแก เดก็ คนพกิ าร ฯลฯ 2. บุคคลทุกคนมคี วามแตกตางกัน ท้ังพ้ืนฐานความรู ฐานะทางเศรษฐกิจ สภาพ ความเปน อยู ระดบั การศกึ ษา การปลกู ฝง คณุ ธรรม คานิยม ระเบียบ วินัย ความรบั ผิดชอบ ฯลฯ ดงั น้ัน หากเรายอมรับความแตกตา งระหวา งบุคคลดงั กลา ว จะทาํ ใหเราพยายามทําความเขา ใจเขา และสื่อสาร กับเขาดวยกริ ิยาวาจาสภุ าพ ซึ่งหากยังไมเ ขาใจเราก็จําเปนตองอดทน และอธบิ ายดว ยภาษาที่เขาใจงาย ไมแ สดงอาการดูถูกดูแคลน หรอื แสดงอาการหงุดหงิด ราํ คาญ เปนตน 3. การเอาใจเขามาใสใ จเรา บุคคลทัว่ ไปมักชอบใหคนอืน่ เขาใจตนเอง ยอมรบั ใน ความตอ งการ ควรเปน ตัวตนของตนเอง ดงั น้ันจงึ มกั มคี าํ พูดตดิ ปากเสมอ เชน ฉันอยา งนั้น ฉันอยาง นี้ ทําไมเธอไมทําอยา งน้ัน ทําไมเธอไมทําอยางน้ี ทาํ ไมเธอถึงไมเขา ใจฉนั ฯลฯ ซึง่ เปน การเอาใจเรา ไปยัดเยยี ดใสใจเขา และมกั ไมพึงพอใจในทกุ เรอื่ ง ทุกฝา ย ท้งั นใี้ นดานกลับกนั หากเราคดิ ใหม ปฏบิ ัติ ใหม โดยพยายามทาํ ความเขาใจผูอ น่ื ไมว าจะเปน พอแมเขาใจลูก หรือลกู เขาใจ พอ แม เพอ่ื นเขาใจ เพือ่ น โดยการทาํ ความเขา ใจวาเขาหรือเธอมีเหตผุ ลอะไร ทําไมจงึ แสดงพฤติกรรมเชนนั้น เขามีความ ตองการอะไร เขาชอบอะไร ฯลฯ เม่ือเราพยายามเขาใจเขา และปฏิบัติใหสอดคลอ งกบั ความชอบ ความตองการของเขาแลว ก็จะทําใหการอยูรวมกัน หรอื การทํางานรวมกันเปนไปดวยความราบรื่น และแสดงความสงบสนั ติสขุ ในครอบครัว ชุมชน และสงั คม 4. การรับฟงผูอน่ื การที่เราจะเขาใจผูอน่ื ไดดีหรือไม ขึ้นอยูกับวา เรารับฟงความ คดิ เหน็ ความตอ งการของเขามากนอยเพียงใด บุคคลทั่วไปในปจจุบนั ไมชอบฟงคนอ่ืนพูด แตชอบท่ี จะพูดใหคนอื่นฟง และปฏบิ ัตติ าม ดงั นั้น สิง่ สําคญั ทีเ่ ปนพ้ืนฐานที่จะทาํ ใหเราเขาใจผูอ่ืนก็คือ ทักษะ การฟง ซ่งึ จะตองเปน การฟงอยา งต้ังใจ ไมข ัดจังหวะ หรอื แสดงอาการเบ่ือหนาย และควรแสดงกิริยา
189 ตอบรับ เชน สบตา ผงกศรี ษะ ทงั้ นี้ การฟงอยางต้ังใจ จะทาํ ใหเ รารบั ทราบความคดิ ความตอ งการ หรอื ปญ หาของผูทเี่ ราเกี่ยวของดว ย ไมวาจะเปนในฐานะลูกกับพอแม พอแมก บั ลูก นายจางกับลกู จาง หัวหนา กับลูกนอง ฯลฯ ซงึ่ จะทาํ ใหเราเกิดอาการเขา ใจ และสามารถแกป ญ หาไดอยางถกู ตองในท่ีสุด กิจกรรม 1 ใหผ ูเรยี นยกตวั อยา ง วิธีการส่อื สารกบั พอ แม และหัวหนา งาน หรือลูกนอ ง ดงั น้ี 1. การสอ่ื สารกับพอ แม กรณีขอไปเทย่ี วคางคืนตา งจงั หวัด ..................................................................................................................................................... ..................................................................................................................................................... ................................................................................. .................................................................... 2. การสอื่ สารกับหวั หนางาน หรอื ลูกนอ ง กรณีขอขน้ึ เงินเดือน หรอื ลดโบนัส ..................................................................................................................................................... ..................................................................................................................................................... ................................................. ................................................................................................... กิจกรรม 2 ถาทา นมลี กู วยั รุนท่กี ําลังมีปญ หาอกหกั ถกู แฟนบอกเลิก ทานจะมีแนวทางชวยเหลือ ลกู อยา งไร โดยใชท ักษะการสอื่ สาร การสรา งสมั พนั ธภาพ และทกั ษะการเขาใจผอู ื่น ..................................................................................................................................................... ............................................................................. ........................................................................ ..................................................................................................................................................... ..................................................................................................................................................... ..................................................................................................................................................... .....................................................................................................................................................
190 บทที่ 10 อาชพี แปรรูปสมุนไพร สมุนไพรกบั บทบาททางเศรษฐกิจ สมุนไพร หมายถึง พืชที่มีสรรพคุณในการรักษาโรค หรืออาการเจ็บปวยตาง ๆ การใช สมุนไพรสาํ หรับรักษาโรค หรืออาการเจ็บปว ยตางๆ น้ี จะตองนําเอาสมนุ ไพรต้ังแตส องชนดิ ขน้ึ ไปมา ผสมรวมกนั ซงึ่ จะเรียกวา ยา ในตาํ รบั ยา นอกจากพืชสมนุ ไพรแลวยังอาจประกอบดวยสัตวและแรธ าตุ อีกดวย เราเรยี กพืช สัตว หรือแรธาตทุ ่ีเปนสว นประกอบของยาน้ีวา เภสัชวตั ถุ สมุนไพรเปน สวน หนึ่งในแผนพัฒนาเศรษฐกจิ และสังคมแหงชาติ กระทรวงสาธารณสุขไดด ําเนิน โครงการ สมุนไพร กบั สาธารณสุขมูลฐาน โดยเนน การนาํ สมุนไพรมาใชบําบดั รักษาโรคใน สถานบริการสาธารณสขุ ของ รัฐมากขนึ้ และ สง เสรมิ ใหปลกู สมุนไพรเพ่อื ใชภ ายในหมูบา นเปนการสนับสนุนใหม กี ารใชสมนุ ไพร มากย่ิงข้ึน อันเปนวิธีหนึ่งท่ีจะชวยประเทศชาติประหยัดเงินตราในการสั่งซื้อยาสําเร็จรูปจาก ตางประเทศไดปล ะเปน จํานวนมาก การผลิตสมุนไพรในรปู แบบการประกอบอาชพี ปจจุบันมีผูพยายามศึกษาคนควาเพื่อพัฒนาผลิตภัณฑสมุนไพรใหสามารถนํามาใชใน รปู แบบทีส่ ะดวกยง่ิ ขน้ึ เชน นํามาบดเปนผงบรรจุแคปซูล ตอกเปนยาเม็ด เตรยี มเปนครีมหรอื ยาขี้ผงึ้ เพื่อใชทาภายนอก เปน ตน ในการศึกษาวิจัยเพ่อื นําสมุนไพรมาใชเ ปนยาแผนปจ จุบันนั้น ไดมกี ารวจิ ัย อยางกวา งขวาง โดยพยายามสกัดสารสําคญั จากสมุนไพรเพ่ือใหไดสารท่บี รสิ ุทธ์ิ ศกึ ษาคุณสมบัติ ทางดานเคมี ฟสิกสของสารเพื่อใหทราบวาเปนสารชนิดใด ตรวจสอบฤทธิ์ดานเภสัชวิทยาใน สตั วทดลองเพือ่ ดูใหไดผลดีในการรกั ษาโรคหรอื ไมเพียงใด ศึกษาความเปน พิษและผลขา งเคยี ง เมื่อ พบวาสารชนดิ ใดใหผลในการรกั ษาทด่ี ี โดยไมมพี ิษหรือมพี ิษขางเคียงนอยจงึ นําสารนน้ั มาเตรียมเปน ยารูปแบบทเี่ หมาะสมเพ่ือทดลองใชต อ ไป การแปรรปู สมนุ ไพรเพื่อการจาํ หนา ย สมุนไพรถูกนาํ มาใชสารพัดประโยชน และถกู แปรรปู ออกมาในแบบตาง ๆ เพ่ือการจําหนาย ซ่ึงสามารถนํามาใชประกอบอาชีพ ท่ังอาชีพหลัก ละอาชีพเสรมิ ได ส่ิงสําคัญทสี่ ุดของการแปรรูป สมุนไพร คือ การปรงุ สมุนไพร การปรุงสมนุ ไพร หมายถึง การสกัดเอาตวั ยาออกมาจากเนื้อไมยา สารท่ีใชสกัดเอาตัวยา ออกมาท่ีนิยมใชก ัน ไดแ ก นา้ํ และเหลา สมุนไพรที่นํามาปรงุ ตามภมู ปิ ญ ญาดัง้ เดิมมี 7 รูปแบบ คือ
191 1.การตม เปน การสกดั ตัวยาออกมาจากไมยาดว ยน้ํารอ น เปนวิธีที่นิยมใชม ากที่สดุ ใชก บั สว นของเน้ือไมทีแ่ นน และแขง็ เชน ลาํ ตนและราก ซึง่ จะตอ งใชก ารตมจึงจะไดต วั ยาทีเ่ ปน สารสําคัญ ออกมา ขอ ดีของการตม คือ สะอาด ปลอดจากเชอื้ โรค มี 3 ลักษณะ การตมกินตางน้ํา คือการตมใหเดือดกอ นแลวตมดว ยไฟออน ๆอีก 10 นาที หลังจากนั้น นาํ มากนิ แทนนํา้ การตมเค่ยี วคอื การตมใหเ ดือดออ น ๆ ใชเ วลาตม 20-30 นาที การตม 3 เอา 1 คือ การตมจากนํ้า 3 สวน ใหเ หลอื เพียง 1 สวน ใชเวลาตม 30-45 นาที 2.การชง เปน การสกดั ตวั ยาสมนุ ไพรดว ยน้ํารอ น ใชก บั สวนท่บี อบบาง เชน ใบ ดอก ท่ีไม ตองการโดนนํา้ เดือดนาน ๆ ตวั ยากอ็ อกมาได วิธีการชง คือ ใหนํายาใสแกวเติมน้าํ รอนจดั ลงไป ปด ฝาแกวท้งิ ไวจนเยน็ ลกั ษณะนี้เปน การปลอ ยตวั ยาออกมาเตม็ ท่ี 3. การใชนํ้ามัน ตัวยาบางชนิดไมย อ ยละลายนา้ํ แมวาจะตมเคย่ี วแลวกต็ าม สวนใหญยาที่ ละลายนาํ้ จะไมละลายในน้ํามันเชนกัน จึงใชน ้ํามันสกัดยาแทน แตเนื่องจากยานํ้ามันทาแลวเหนียว เหนอะหนะ เปอนเสือ้ ผา จึงไมนยิ มปรงุ ใชก ัน 4.การดองเหลา เปน การใชกบั ตัวยาของสมุนไพรที่ไมล ะลายน้ํา แตละลายไดดีในเหลาหรอื แอลกอฮอล การดองเหลามักมีกลน่ิ แรงกวายาตม เน่ืองจากเหลา มีกลิ่นฉนุ และหากกินบอ ย ๆอาจทํา ใหตดิ ได จงึ ไมน ิยมกินกนั จะใชต อเมอ่ื กนิ ยาเม็ดหรือยาตมแลวไมไ ดผล 5.การตม คนั้ เอาน้าํ เปนการนําเอาสว นของตนไมท่ีมีน้ํามาก ๆ ออ นนุม ตําแหลกงาย เชน ใบ หัว หรือเหงา นํามาตําใหล ะเอยี ด และคั้นเอาแตน า้ํ ออกมา สมุนไพรที่ใชวิธีการนี้กินมากไมไ ด เชนกัน เพราะน้ํายาที่ไดจะมีกล่นิ และรสชาตทิ ี่รุนแรง ตัวยาเขมขนมาก ยากท่ีจะกลืนเขาไปท่ีเดยี ว ฉะน้นั กนิ ครงั้ ละหนึง่ ถว ยชาก็พอแลว 6.การบดเปนผง เปนการนาํ สมนุ ไพรไปอบหรอื ตากแหงแลว บดใหเ ปน ผง สมุนไพรที่เปน ผงละเอยี ดมากย่ิงมีสรรพคุณดี เพราะจะถกู ดดู ซึมสูลําไสง า ย จึงเขา สูรางกายไดรวดเร็ว สมุนไพรผง ชนดิ ใดทก่ี นิ ยากกจ็ ะใชปนเปนเมด็ ที่เรียกวา \"ยาลูกกลอน\" โดยใชน ํ้าเชือ่ มน้ําขาวหรือนาํ้ ผึ้ง เพอ่ื ให ตดิ กนั เปน เมด็ สวนใหญนยิ มใชน้าํ ผง้ึ เพราะสามารถเก็บไวไดน านโดย ไมขึ้นรา 7.การฝน เปนวธิ ีการท่ีหมอพ้ืนบานนิยมกนั มาก วิธีการฝน คือ หาภาชนะใสนาํ้ สะอาด ประมาณครึง่ หน่ึงแลวนาํ หนิ ลับมีดเล็ก ๆ จมุ ลงไปในหินโผลเหนือน้าํ เล็กนอย นําสมุนไพรมาฝนจน ไดน้ําสีขุนเลก็ นอ ย กนิ ครั้งละ 1 แกว
192 อยา งไรก็ตาม การแปรรูปผลติ ภณั ฑส มุนไพร ควรแปรรูปในลักษณะอาหารหรือเครอื่ งใชท่ี ไมจ ัดอยใู นประเภทยารักษา คอื ไมม สี รรพคณุ ในการรกั ษาหรือปองกัน บรรเทา บําบดั โรค เนอื่ งจาก ผลติ ภณั ฑป ระเภทยาจะตองผา นการตรวจสอบท่ีมีมาตรฐานสูงและถูกตอ ง มีผชู ํานาญการทีม่ ีคุณวฒุ ิใน การดาํ เนินการดว ย ลักษณะของผูทีจ่ ะประกอบอาชพี ผลติ ภัณฑสมุนไพรในการปรุงผลิตภัณฑจากสมุนไพร ผู ปรุงจําเปนตอ งรหู ลักการปรุงผลติ ภัณฑจากสมุนไพร 4 ประการคอื 1. เภสัชวตั ถุ ผปู รงุ ตอ งรูจักชื่อ และลักษณะของเภสชั วัตถุท้ัง 3 จําพวก คือ พืชวัตถุ สตั ว วตั ถุ และธาตุวตั ถุ รวมทั้งรูป สี กล่นิ และรสของเภสชั วตั ถนุ ้นั ๆ ตัวอยา งเชน กะเพราเปน ไมพุมขนาด เลก็ มี 2 ชนิด คอื กะเพราแดงและกะเพราขาว ใบมีกลิ่นหอม รสเผด็ รอน หลกั ของการปรุงยาขอนี้ จาํ เปน ตองเรยี นรูจากของจริง 2. สรรพคุณเภสัช ผูปรงุ ตอ งรูจักสรรพคุณของยา ซึ่งสัมพันธกับรสของสมุนไพรเรียกวา รสประธาน แบงออกเปน 2.1 สมนุ ไพรรสเย็น ไดแ ก ยาที่ประกอบดวยใบไมท่ีรสไมเผ็ดรอนเชน เกสรดอกไม สัตว เขา (เขาสตั ว 7 ชนิด) เนาวเขย้ี ว (เขย้ี วสตั ว 9 ชนิด) และของทเี่ ผาเปน ถาน ตัวอยา งเชน ยามหานิล ยา มหากาฬ เปนตน ยากลมุ นี้ใชส าํ หรบั รกั ษาโรคหรอื อาการผิดปกตทิ างเตโชธาตุ (ธาตไุ ฟ) 2.2 สมุนไพรรสรอน ไดแก ยาที่นําเอาเบญจกูล ตรีกฎก หัสคุณ ขิง และขามาปรุง ตัวอยางเชน ยาแผนโบราณท่ีเรียกวายาเหลืองทั้งหลาย ยากลุมนี้ใชส ําหรบั รกั ษาโรคและอาการ ผิดปรกตทิ างวาโยธาตุ (ธาตุลม) 2.3 สมนุ ไพรรสสขุ ุมไดแก ยาท่ผี สมดว ย โกฐ เทยี น กฤษณา กระลําพัก ชะลดู อบเชย ขอนดอก และแกน จันทนเทศ เปนตน ตวั อยางเชน ยาหอมทั้งหลาย ยากลุมนใ้ี ชรักษาความผดิ ปรกติ ทางโลหติ นอกจากรสประธานของสมุนไพรดังท่กี ลา วนี้เภสชั วตั ถุยงั มรี สตางๆ อีก 9 รสคือ รสฝาด รส หวาน รสเบื่อเมา รสขม รสมัน รสหอมเย็น รสเค็ม รสเปร้ียว และรสเผด็ รอน ในตําราสมุนไพรแผน โบราณบางตําราไดเพ่มิ รสจืดอกี รสหนึง่ ดวย 3. คณาเภสัช ผูป รุงสมุนไพรตอ งรจู ักเครื่องสมุนไพรท่ีประกอบดวยเภสชั วัตถุมากกวา 1 ชนดิ ท่นี ํามารวมกันแลว เรียกเปนชอ่ื เดียว ตวั อยา งเชน ทเวคนั ธา หมายถงึ เคร่อื งสมุนไพรท่ีประกอบดว ยเภสชั วัตถุ 2 ชนิด คอื รากบุนนาค และ รากมะซาง
Search
Read the Text Version
- 1
- 2
- 3
- 4
- 5
- 6
- 7
- 8
- 9
- 10
- 11
- 12
- 13
- 14
- 15
- 16
- 17
- 18
- 19
- 20
- 21
- 22
- 23
- 24
- 25
- 26
- 27
- 28
- 29
- 30
- 31
- 32
- 33
- 34
- 35
- 36
- 37
- 38
- 39
- 40
- 41
- 42
- 43
- 44
- 45
- 46
- 47
- 48
- 49
- 50
- 51
- 52
- 53
- 54
- 55
- 56
- 57
- 58
- 59
- 60
- 61
- 62
- 63
- 64
- 65
- 66
- 67
- 68
- 69
- 70
- 71
- 72
- 73
- 74
- 75
- 76
- 77
- 78
- 79
- 80
- 81
- 82
- 83
- 84
- 85
- 86
- 87
- 88
- 89
- 90
- 91
- 92
- 93
- 94
- 95
- 96
- 97
- 98
- 99
- 100
- 101
- 102
- 103
- 104
- 105
- 106
- 107
- 108
- 109
- 110
- 111
- 112
- 113
- 114
- 115
- 116
- 117
- 118
- 119
- 120
- 121
- 122
- 123
- 124
- 125
- 126
- 127
- 128
- 129
- 130
- 131
- 132
- 133
- 134
- 135
- 136
- 137
- 138
- 139
- 140
- 141
- 142
- 143
- 144
- 145
- 146
- 147
- 148
- 149
- 150
- 151
- 152
- 153
- 154
- 155
- 156
- 157
- 158
- 159
- 160
- 161
- 162
- 163
- 164
- 165
- 166
- 167
- 168
- 169
- 170
- 171
- 172
- 173
- 174
- 175
- 176
- 177
- 178
- 179
- 180
- 181
- 182
- 183
- 184
- 185
- 186
- 187
- 188
- 189
- 190
- 191
- 192
- 193
- 194
- 195
- 196
- 197
- 198
- 199
- 200
- 201
- 202
- 203
- 204
- 205
- 206
- 207
- 208