Important Announcement
PubHTML5 Scheduled Server Maintenance on (GMT) Sunday, June 26th, 2:00 am - 8:00 am.
PubHTML5 site will be inoperative during the times indicated!

Home Explore 2. สุขศึกษา พลศึกษา ทช21002

2. สุขศึกษา พลศึกษา ทช21002

Published by clube.indy, 2020-04-21 00:28:26

Description: 2. สุขศึกษา พลศึกษา ทช21002

Search

Read the Text Version

143 เร่อื งท่ี 1 การปอ งกนั อันตรายจากการประกอบอาชีพ สขุ ภาพกบั การประกอบอาชพี มีความสมั พนั ธกันอยางมาก คือ 1. การประกอบอาชพี ทําใหเรามีความเปนอยูทด่ี ีและในขณะเดียวกันการท่ีเราจะ สามารถประกอบอาชีพไดจ าํ เปนตองมสี ขุ ภาพทดี่ ที ัง้ รา งกายและจติ ใจ ทั้งสองสงิ่ นต้ี องควบคกู ันไปจงึ จะทํางานไดอยางมปี ระสิทธิภาพ 2. ความสัมพนั ธในทางลบ คอื การประกอบอาชพี สงผลเสียตอ สขุ ภาพ ทําใหเกดิ โรค และอนั ตรายได ดังน้นั จงึ จาํ เปนทต่ี องควบคุมและปอ งกนั โรค รวมทง้ั อันตรายจากการประกอบอาชีพ นอกจากนค้ี วรใหการศึกษาแกป ระชาชนใหป ระกอบอาชพี ไดอยา งปลอดภยั ปจ จยั ที่เปนสาเหตุของการเกดิ โรคและอันตรายจากการประกอบอาชพี ปจ จัยที่สําคัญไดแก 1. บุคคลผปู ฏิบัติงานและควบคมุ การทาํ งาน เปน ผูค วบคุม กําหนด และปฏบิ ัตกิ ารทาํ สงิ่ ตาง ๆ องคประกอบตา ง ๆ ของบคุ คลทส่ี ง ผลใหเกิดโรคหรอื อันตรายจากการทาํ งาน ไดแก 1.1 สภาวะทางรา งกายและจิตใจ รางกายและจิตใจออนแอทําใหเกิดโรคหรือ อันตรายได 1.2 ลกั ษณะนสิ ัยการทํางาน ตองรักการทํางาน ละเอยี ด รอบคอบ จึงจะไมเกดิ โรคหรอื อันตราย 1.3 การขาดความรูค วามสามารถในการทาํ งานและประสบการณก็เปน อีกปจจัย หนึง่ ทีท่ ําใหเกิดโรค 2. สภาพแวดลอ มทางกายภาพ ไดแก สถานท่ีทาํ งาน แสง เสยี ง ฯลฯ 3. สารเคมี เปน สิ่งทมี่ ีประโยชนแ ละโทษในการประกอบอาชพี 4. เชอ้ื โรคและพษิ ของเช้อื โรค เมือ่ เขา สูรางกายอาจเกดิ อนั ตรายได 5. เครอื่ งจักร เคร่ืองมือ และในการทาํ งาน หากใชอ ยางไมถูกตอ ง อาจเกิดอนั ตรายได

144 สภาพการณท ีไ่ มปลอดภัย (Unsafe Conditions) เครอ่ื งจกั ร : ไมมีอปุ กรณป อ งกันสว นท่ีเคลอ่ื นไหว หรือมไี มเพียงพอ เคร่ืองมือ : อปุ กรณชาํ รดุ เปนอันตราย ส่ิงของ : วสั ดุ วางไมเปนระเบยี บ อาคาร : สงิ่ ปลกู สรางไมมน่ั คง สารเคมี : วตั ถุมีพิษไมมที เ่ี ก็บโดยเฉพาะ สภาพ ความรอน ความเย็น แสงสวา ง เสียงดัง ฝุนละออง ไอระเหย ฯลฯ การกระทาํ ท่ีไมป ลอดภยั (Unsafe Acts) ท เดนิ เครอ่ื งจกั รหรอื ทํางานที่ไมใ ชหนาท่ีของตน หรอื ไมรงู าน ท เดินเครื่องเร็วเกนิ ควร ท ถอดอปุ กรณปองกนั อันตรายออก ท ใชเ คร่ืองมือไมถ ูกวิธี ไมเ หมาะสม หรอื ไมป ลอดภยั ท ทา ปฏิบตั ิงานไมเ หมาะสม ท ไมใชอ ุปกรณปอ งกันสวนบคุ คล ท ประมาท มกั งาย หรอื หยอกลอกันในขณะทาํ งาน ท จงใจฝา ฝน กฎระเบียบ ท อืน่ ๆ 1.1 ความปลอดภัยท่วั ไปในบรเิ วณโรงงาน ขอพงึ ปฏิบตั เิ พือ่ ความปลอดภยั ในโรงงาน 1. หามสูบบุหร่ีในบริเวณโรงงาน ยกเวน บรเิ วณที่อนุญาตใหส ูบได 2. หามทิง้ กน บุหรีล่ งบนพ้ืน ตอ งท้ิงลงในภาชนะที่จัดไวใ หเ ทา นั้น 3. หา มนําไมขดี ไฟ หรอื ไฟแช็คชนิดจังหวะเดยี วเขาไปในบรเิ วณทห่ี ามสูบบหุ ร่ี 4. หา มหงุ ตม อาหารในบรเิ วณท่ีหามสบู บุหร่ี 5. หา มนําอาหารหรอื เครื่องดื่มเขาไปในบริเวณท่ผี ลติ สารเคมอี ันตรายและคลงั พสั ดุ 6. หา มเกบ็ เสื้อผา รองเทา หมวก ถุงมอื และของใชสวนตัวอนื่ ๆ ไวในท่ีตามใจชอบ ใหจ ัดเก็บไวในตูทจ่ี ดั ไวใ หเ ทานัน้ 7. หามบวนนา้ํ ลายลงบนพื้นโรงงาน หรือในบริเวณทที่ ํางาน 8. ใหท ้งิ ขยะมูลฝอยในถังทจ่ี ัดไวไ หเทานน้ั 9. ควรรักษาความสะอาดของเคร่ืองใชป ระจําตัวอยา งสม่าํ เสมอ

145 10. ตอ งสวมเสอ้ื ผา รองเทา ใหเ รียบรอยตลอดเวลาทที่ ํางานในโรงงาน และสวม หมวกพรอ มท้ังอุปกรณปองกันอนั ตรายอนื่ ๆ ที่จําเปน เมอื่ ทํางานในโรงงาน 11.หากมอี ุบตั ิเหตเุ กิดข้นึ ใหรายงานตอ ผูบงั คบั บญั ชาทันที 12.หากรสู ึกเจบ็ ปวยในเวลาทํางานใหรีบรายงานตอ ผบู ังคบั บญั ชาเพ่อื จะไดท าํ การ รักษาพยาบาลทนั ที 13.ใหเ ดินตามทางท่จี ัดไวใ นโรงงาน อยาวงิ่ เม่ือไมมีเหตุจําเปน 14.จัดเกบ็ และเรียงสิ่งของใหเ ปน ระเบียบ เพ่ือใหมีทางเดนิ หรือทํางานไดส ะดวกและ ปลอดภยั 15. หามเลน เยาแหย หรอื หยอกลอ กนั ในบรเิ วณที่ทาํ งาน 16. หา มฝก ขบั ขี่ยานพาหนะในบรเิ วณโรงงาน 17. ตองเรยี นรถู ึงวิธีการดับเพลิงและการใชอ ปุ กรณด บั เพลงิ ประเภทตาง ๆ การใชแ ละเก็บรักษาเครื่องมืออุปกรณก ารทํางาน 1. ใหเกบ็ เครื่องมือและอปุ กรณตาง ๆ ใหเ ปนระเบียบเรียบรอยและเก็บรกั ษาใหอยู ในสภาพท่ดี ี เม่ือจะใชห รอื เตรยี มจะใช ตอ งวางไวใ นที่ทีไ่ มเปน อนั ตรายแกบคุ คลอืน่ 2. ในขณะปฏิบตั งิ านบนที่สูงหา มวางเครื่องมอื หรืออุปกรณอ ื่นใดบนนั่งรา นแทน บันได หรอื ทส่ี งู เวนแตจะไดมีท่เี กบ็ ไวไมใหตก 3. เคร่ืองมือไฟฟาชนิดมือถือหรือชนดิ เคลื่อนยายได และไมมีฉนวนหุมสองช้ัน จะตอ งมีสายไฟฟาชนดิ สามสายและปลกั๊ ท่ตี อไปยังสายดิน 4. ผูป ฏิบัตงิ านทกุ คนเม่ือพบเห็นเครื่องมือเครอ่ื งใช หรืออุปกรณซง่ึ ถาปลอยท้ิงไว อาจกอใหเ กิดอนั ตราย หรอื พบเหน็ เครือ่ งมืออุปกรณท่ีใชปอ งกันอันตรายน้นั ไมไดมาตรฐาน ใหแจง ผูบงั คับบญั ชาทราบโดยทนั ที 5. ในการปฏิบตั งิ านแตล ะครั้ง หามผูปฏิบัตงิ านใชเคร่ืองมือทีช่ ํารุดบกพรอ ง การใชอปุ กรณย กยา ยสิง่ ของ 1. อุปกรณย กของจะตองไมบ รรทุกน้ําหนักเกินกวามาตรฐานการใชงานท่ีกําหนด ไว 2. ผปู ฏบิ ตั งิ านที่ทํางานเกย่ี วกับอปุ กรณยกของจะตอ งสวมเครอ่ื งปองกนั อันตรายท่ี เหมาะสมกับงาน เชน หมวกนิรภยั รองเทา นิรภยั และถงุ มอื นริ ภัย ฯลฯ 3. การทาํ งานเกย่ี วกบั อุปกรณย กของจําเปน ท่จี ะตองมีการประสานงานกับเจาหนา ท่ี คนอน่ื ท่ีทาํ งานอยูในบริเวณเดยี วกัน 4. ผูใชปนจั่น กวาน และเครน จะตองเปนผูที่มีหนาท่ีและไดรับอนุญาตจาก ผูบงั คับบญั ชาแลวเทา น้ัน

146 5. กอ นทําการใชป น จ่นั กวา น และเครนในแตละวัน ผใู ชจะตอ งตรวจสอบใหแ นใจ วาปน จัน่ กวาน และเครนอยูในสภาพที่เหมาะสมกบั การใชงานและสามารถใชง านไดอยางปลอดภัย เชน ตรวจหารอยราย รอยแตก การหลุดหลวมของนอตระบบไฮดรอลกิ ส ระบบควบคุมการทํางาน สมอ เกยี่ ว โซ และเชือก เปน ตน 6. ผใู ชปนจ่ันจะตองไมย กของหนกั ขา มศรี ษะบุคคลอน่ื นอกจากหัวหนา งานจะส่ัง และผูปฏิบัติงานท่ที ํางานอยูใกล ๆ หรืออยูใตอุปกรณยกของนน้ั จะตองระมัดระวังสิ่งของตกลงมา ตลอดเวลา 7. ในขณะทป่ี นจน่ั หรอื เครื่องยกอ่นื ๆ กาํ ลังยกของคา งอยู ผใู ชจ ะตองเอาใจใสและ ควบคุมอยา งดี 8. ในการปฏบิ ตั ิงาน ผูใชปนจ่นั หรือเคร่อื งยกอ่ืน ๆ ตองดูสัญญาณจากพนกั งานผมู ี ความรคู วามชํานาญ และมหี นาที่ในเร่ืองนีแ้ ตเ พยี งผเู ดียวเทานั้น 9. เมื่อใชปนจ่ัน กวาน และเครนในบริเวณท่ีมีสายไฟหรืออุปกรณไฟฟาที่มี กระแสไฟฟา ไหลผา นอยู ผูใ ชจ ะตองไมน ําสวนหนึ่งสวนใดของปนจ่ัน กวา น และเครนซง่ึ ไมมีเครือ่ ง ปอ งกันเขาใกลส ายไฟหรืออปุ กรณไฟฟานอ ยกวา ระยะทก่ี ฎหมายกําหนดไว 10. สลิงที่ใชกับเคร่ืองยกตาง ๆ จะตองเปนชนิดท่ีทําดวยลวด โซเ หล็ก หรือเชอื ก มะนลิ า 11. สลงิ ทุกเสนจะตอ งมีความแข็งแรงพอท่ีจะรับน้ําหนักไดไ มนอยกวา 8 เทาของ สิง่ ของทจ่ี ะยก 12. กอนทจี่ ะใชสลงิ จะตองตรวจดูใหละเอยี ดถี่ถว นวา จะใชไดอยางปลอดภยั หรือไม หามใชส ลิงที่หงกิ งอหรือมีเสน เกลยี วขาดจนทาํ ใหความแข็งแรงนอ ยกวา ที่กาํ หนดไวในขอ 11 13. เมื่อจะใชสลิงยกของท่ีมีขอบแข็งคม จะตองใชไมหรือส่ิงรองรับอ่ืน ๆ ที่ เหมาะสมรองกันไวไ มใ หสลงิ ชาํ รดุ เสียหาย การใชเครือ่ งกลึง 1. หามวางเคร่อื งมอื หรอื วตั ถตุ า ง ๆ ไวบ นแทนเลอื่ นของเคร่ืองกลึง เวนแตเครื่องมือ ท่จี าํ เปน ตอ งใชใ นงานที่กาํ ลังทาํ อยเู ทา นนั้ 2. จะตอ งจดั หาลงั ถงั หรอื ภาชนะอน่ื ๆ ที่เหมาะสมไวส ําหรับใสเ ศษวัตถุ 3. ผูปฏิบัติงานทุกคนที่ปฏบิ ัตงิ านกับเครื่องจักรกลจะตองสวมแวนตานริ ภัยเพื่อ ปองกนั อนั ตรายซึงอาจเกิดข้ึนกับดวงตา และตอ งใชแผน ปด หนาอกทท่ี ําดวยผาท่ีมีสวนประกอบของ ใยสังเคราะหน อ ยทส่ี ุด เพ่อื ปอ งกนั เศษโลหะทรี่ อน ซงึ่ อาจจะกระเดน็ ถกู ผิวหนงั หรอื เสือ้ ผาทีส่ วมใส 4. หา มวัดขนาดช้ินงานขณะท่ีเครอื่ งกลึงกาํ ลังหมุน 5. หา มใชมอื ไปจับเพื่อดึงเศษโลหะออกจากช้ินงาน โดยเฉพาะขณะทก่ี าํ ลังกลงึ อยู

147 การใชเครื่องขดั หรือหนิ เจียร 1. จะตอ งติดตั้งเคร่ืองขัดหรือหินเจยี รใหยึดแนน กับพ้นื โตะ หรือฐานอื่น ๆ ท่ีม่ันคง แข็งแรง 2. จะตองมีฝาครอบเครื่องขัดเพ่ือปองกันไมใหผูปฏิบตั งิ านไดรับอันตรายจากเศษ โลหะท่กี ระเดน็ ออกมา 3. จะตองไมตง้ั อัตรารอบหมุนของจานขัดเกินอัตรารอบหมุนเร็วท่ีบริษัทผูผลิต กําหนดไว 4. จะตองปรับแผน รองขัด (Work Rest) ใหพอเหมาะโดยใหหางจากจานขัดไมเกิน 1/8 นิ้ว 5. จานขัดทสี่ กึ มากจนใชการไดไ มดี จะตอ งเปลยี่ นใหมทันที 6. จานขดั ทชี่ ํารดุ จะตอ งท้งิ ไป อยา นํากลบั มาใชอ กี 7. ผปู ฏบิ ตั ิงานทปี่ ฏบิ ัติงานกบั เครือ่ งขัดจะตองสวมแวนนิรภัยเพ่ือปองกันอนั ตราย อนั อาจจะเกดิ ขึ้นกับดวงตา และสวมเครอ่ื งกรองอากาศหายใจปองกันอันตรายจากฝนุ ท่ีอาจจะเกิดกับ ระบบหายใจ และสวมถงุ มือปอ งกนั เศษโลหะ การใชเครือ่ งตัด 1. ในการทํางานกับเครื่องตัด ผูปฏิบัติงานจะตอ งสวมเครื่องปองกันอนั ตรายสวน บุคคล เชน เครอ่ื งปอ งกนั ดวงตา ถงุ มือ รองเทา ผา หรอื หนังกนั เศษโลหะ 2. เครอื่ งตดั จะตองมเี ครอ่ื งปอ งกนั อันตรายประจาํ เครื่อง เชน แผนใสนิรภัยปองกัน เศษช้นิ งานกระเด็นเขาตา หรอื มีฝาครอบวงลอ 3. ในหองปฏบิ ัตงิ านจะตอ งมีระบบระบายอากาศที่เพยี งพอ เพ่ือกําจัดฝุนโลหะท่ี เกิดขนึ้ ถา ไมม ีระบบระบายอากาศ จะตองใหผูปฏิบัติงานสวมอุปกรณป อ งกนั ฝนุ ตลอดระยะเวลาที่ ปฏบิ ัตงิ านกบั เคร่ืองตัดดังกลา ว การใชเครือ่ งปม โลหะ 1. ควรใชเครอ่ื งปมที่อยูในสภาพทปี่ ลอดภัยตอการใชงาน หรือมีการตดิ ตั้งอุปกรณ ปอ งกันอนั ตรายแลวเทา น้ัน 2. ถาตอ งปม งานชิน้ เล็กหรืองานท่คี อ นขา งยุงยาก ควรใชเ ครอ่ื งมอื ชว ยจับชนิ้ งาน 3. เม่ือตองการตดิ ตงั้ เคลือ่ นยา ย และปรับแตงแมพ มิ พ ควรใชบลอ็ กนิรภัยทุกครงั้ 4. การติดตั้ง เคล่ือนยาย หรือปรบั แตงแมพ ิมพ ตองกระทาํ โดยบุคคลท่ีไดร ับการ ฝกอบรมแลวเทา น้นั

148 การใชเ ครือ่ งจกั รท่วั ไป 1. ขจัดสวนที่เปนอันตรายทุกสว นของเครื่องจักรใหหมดไป (อาจใชหุนยนตชว ย ทาํ งานในจดุ ที่มีอันตราย เปน ตน ) หรอื ทาํ การปอ งกันสวนท่ีมอี นั ตรายนัน้ เชน ติดตัง้ ท่ปี อ งกนั หรือฝา ครอบ หรือใชเครื่องจักรอตั โนมัติ 2. ทาํ งานตามระเบยี บวธิ ปี ฏบิ ัติงานอยางเครงครดั 3. สวมใสเสือ้ ผาที่รัดกมุ อยา สวมเสื้อปลอ ยชาย 4. สวมใสเครื่องปอ งกนั และใชเคร่อื งมือที่ถูกตอ งและเหมาะสมกับงานท่ีทํา และ ตองระวงั ในการใชถ งุ มือ เพราะถุงมือบางอยางอาจจะไมเหมาะกบั งานบางอยา ง 5. ในการตรวจสอบ ซอมแซม และทําความสะอาดเคร่ืองจักรนั้น จะตองหยุด เคร่อื งจกั รใหเรยี บรอ ยและมีเครือ่ งหมายชี้บอกหรอื ตดิ ปายแขวนวา “หา มเดนิ เครอ่ื ง” 6. ใหตรวจตราเคร่ืองจักรกอนเดินเครื่องและตรวจสอบเปนระยะ ๆ และระวัง อนั ตรายขณะตรวจตราเคร่อื งจักรและกอนเริม่ เดนิ เครือ่ ง 7. เม่ือจะตอ งทาํ งานรว มกนั จะตอ งแนใจวาทุกคนเขา ใจในสญั ญาณเพอื่ การสื่อสาร ตาง ๆ อยางชดั เจนและถูกตอ งตรงกนั 8. อยาเขา ไปในสวนที่เปนอันตรายของเครื่องจักร หรือสวนที่ทํางานเคลอ่ื นไหว ตลอดเวลาถาจําเปน ตอ งเขาไปในบริเวณนัน้ ตอ งแนใ จวา เคร่อื งจักรไดห ยุดเดนิ เครือ่ งแลว การใชเคร่ืองมอื 1. เลือกใชเครอื่ งมอื ที่เหมาะสมกับงานทที่ าํ 2. รักษาเคร่ืองมือใหอยูในสภาพที่ดีอยูเสมอ โดยตรวจสอบสภาพกอ นการใชงานทุก คร้ัง 3. ซอมแซมหรอื หาเครอ่ื งมือใหมท ดแทนเคร่ืองมอื ท่ชี ํารุดหรอื แตกหักโดยทันที 4. ลา งน้าํ มันจากเคร่ืองมือหรอื ชิ้นงาน เพอื่ ปองกันอบุ ตั ิเหตุจาการลน่ื ไถล 5. ตรวจสอบและปฏิบตั ิตามขอแนะนาํ การใชเ คร่อื งมือ 6. จับหรือถอื เครอื่ งมือใหกระชบั การจบั แบบหลวม ๆ อาจกอใหเ กิดอุบัติเหตุได 7. อยาเรมิ่ งานโดยไมต รวจสอบสภาพตา ง ๆ โดยรอบหรือบรเิ วณพ้นื ท่ีที่ทาํ งานกอน การใชสายพานลาํ เลียง 1. สายพานลาํ เลยี งตองมสี วิตซหยุดฉกุ เฉิน และตองตรวจสอบใหรจู ุดทต่ี ิดตั้งสวิตซ ฉกุ เฉนิ กอ นท่จี ะเริ่มใชสายพานลําเลยี ง 2. มอี ุปกรณค รอบหรือบงั สว นทห่ี มนุ ไดข องสายพาน เชน ลูกกลง้ิ มเู ล ฯลฯ 3. ถาของที่ลาํ เลยี งมโี อกาสตกลงมาได ตอ งมีสวนปด หรือครอบปองกัน

149 4. อยากาวหรอื กระโดดขา มสายพานลาํ เลียงขณะทํางาน 5. เมื่อจาํ เปนตองซอมหรอื ตรวจตราสายพานลําเลียงเพราะมกี ารทํางานผิดพลาดตอง ปด สวิตซทาํ งานกอนทีจ่ ะซอมหรือตรวจตราสายพานลาํ เลยี งนน้ั การเช่อื มโลหะ 1. ขณะทําการเช่ือมดวยไฟฟา ภายในอาคาร จะตองใชฉากกนั้ กําบังเพ่ือเปนเครื่อง ปอ งกนั อนั ตรายแกผูปฏบิ ตั ิงานคนอ่ืน หรือผูทอ่ี ยูใกลเคียง 2. ขณะทาํ การเชื่อมหรอื การตัดดว ยกาซหรือไฟฟา ผูเ ช่ือมหรือตัดจะตองใชเ ครื่อง กาํ ลังหนา ท่เี หมาะสม มเี ลนสป อ งกันนัยนต าตามประเภทของการเชอ่ื มหรอื การตดั นั้น และตองสวมถงุ มอื หนังดวย 3. จะตอ งมีเครือ่ งดับเพลิงประจําพื้นที่ และพรอมท่ีจะใชไดเสมอในกรณีเกิดเพลิง ไหม 4. เมื่อจะใชเครอื่ งเช่อื มไฟฟา ผทู ําการเชอื่ มจะตองม่ันใจวาตนไมไดสัมผัสกบั พ้ืนท่ี เปย กช้ืน 5. หา มสวมถุงมือทเี่ ปยกนํ้ามนั หรือจาระบหี ยิบจบั เคร่อื งเช่อื ม 6. ถังออกซิเจนและอะเซทลิ นี จะตองมกี ารยึดใหแ นน เพ่ือปองกันการลม และจะตอง ไมว างทอ อะเซทิลนี นอนราบกับพนื้ เปน อันขาด 7. ใหใชไกบังคับแรงเคลื่อน (Pressure Regulator) บังคับใหออกซิเจนและ อะเซทลิ ีนไหลไปยังไฟเช่อื มอยางสมา่ํ เสมอ 8. ในขณะทําการเปดลน้ิ ถังออกซิเจน หามผูปฏิบัติงานคนหน่ึงคนใดยืนอยูห นา เคร่ืองบังคบั ออกซเิ จน 9. หา มทําการเชอ่ื ม ตดั หรือบดั กรใี กลต ัวถังหรอื ท่ีตัวถัง หรือภาชนะอน่ื ที่เคยใสวัตถุ ตดิ ไฟหรอื วัตถุทเี่ กิดระเบิดได จนกวา จะไดทําการระบายอากาศ หรือลา งถังหรือภาชนะเหลาน้ันให สะอาดแลว 10. เมอื่ ทาํ การเชื่อมหรือเผาหรือใหความรอนกับตะกั่ว แคดเมียม วัตถุอาบสงั กะสี หรือวตั ถุอื่นใด รวมทั้งสารที่ใชชว ยในการเช่ือม จนทําใหเกิดควันข้นึ จะตองจัดใหมีระบบระบาย อากาศที่ดีพอ เพือ่ ปองกนั มใิ หผ ูป ฏิบตั งิ านสดู ควันพิษทเ่ี ปนอนั ตรายเขา ไป ถาหากไมสามารถทําการ ระบายอากาศได จะตองสวมหนา กากหรือเคร่ืองชวยหายใจท่ีไดรับการรับรองแลวตลอดเวลาท่ี ปฏบิ ัตงิ าน 11. เม่ือทําการเชื่อมในสถานท่ีอับอากาศจะตองมีการระบายอากาศออกอยางมี ประสิทธิภาพ

150 คนละแหง 12. การเกบ็ รกั ษาถังออกซิเจนและถังอะเซทลิ ีนเปน จํานวนมาก จะตองแยกเก็บไว การเช่อื ม 13. การเชือ่ มดว ยไฟฟาหรอื กาซใกลก บั แบตเตอรี่ ตอ งยกแบตเตอรใ่ี หพ นจากบรเิ วณ การพนสี 1. ดวงโคม พัดลมดดู อากาศและสายไฟในหองพน สี จะตองใชชนิดท่ีมคี วาม ทนทานตอไอระเหยของสไี ดด ี 2. สวติ ซด วงโคม เตา เสยี บ หรอื อุปกรณอ น่ื ๆ ทีอ่ าจกอ ใหเ กดิ ประกายไฟ จะตอ งไม ตดิ ตง้ั ไวภ ายในหองพนสี 3. หามสบู บุหรี่ จุดไฟหรอื ทําใหเกิดประกายไฟภายในหอ งพนสี 4. ในขณะทําการพนสีในหอ งพนสี ผูปฏิบัติงานทุกคนจะตองสวมหนากาก หมวก เสือ้ แขนยาวไมพ ับแขน ถงุ มอื กางเกงขายาว และรองเทา หุมสน 5. ขณะที่กําลงั ทาํ การพนสี ทุกคนที่อยูในหองพนสีจะตองสวมหนากากแบบท่ีมี เครือ่ งกรอง หรอื ใชผ า ปดปากและจมูก การทาํ งานเกี่ยวกับแบตเตอรี่ 1. หามสูบบุหร่ี จุดไฟ หรือทาํ ใหเ กดิ ประกายไฟภายในหอ งอัดแบตเตอร่ี หรือใน หองเกบ็ แบตเตอร่ี เพอ่ื ปอ งกนั การระเบดิ ของกาซไฮโดรเจน 2. เมอื่ จะปฏิบตั กิ ารใด ๆ เก่ยี วกบั นํา้ กรด ผปู ฏบิ ตั ิงานจะตอ งสวมถุงมือยาง แวนตา นิรภัย และผากันเปอ นทาํ ดวยยาง 3. ในกรณีทีน่ ํา้ กรดหกหรอื กระเดน็ ถูกสว นหน่ึงสวนใดของรางกายใหใชนํ้าสะอาด ลา งออกทนั ที แลวรบี ไปพบแพทย 4. กอ นทําการตอ หรอื ปลดสายขว้ั แบตเตอรี่ ตอ งแนใจวาไดตดั วงจรไฟฟา แลว 5. ในการยกหรอื เคล่ือนยายแบตเตอรี่หรอื กลองบรรจุแบตเตอรหี่ ามเอยี งหรือตะแคง แบตเตอรี่ เพอ่ื ปองกนั การหกหรอื กระเด็นของน้ํากรด 6. ขว้ั ของแบตเตอรขี่ นาดใหญควรปด กน้ั ดวยฉนวน เพอ่ื ปองกันการลดั วงจร 7. ในการเคล่อื นยายแบตเตอรต่ี องระมัดระวังไมใหแบตเตอรก่ี ระทบซ่งึ กันและกัน หรือกระแทกกบั สิง่ อื่นท่ีอาจจะทาํ ใหแ ตกหรอื รา วได และหามวางแบตเตอรซ่ี อ นกันโดยเดด็ ขาด

151 การใชเครอ่ื งปอ งกนั นัยนตาและหู 1. เมอื่ ปฏิบัตงิ านในสถานทีท่ ี่อาจเกดิ อนั ตรายกบั นัยนต า จะตองสวมเคร่ืองปองกนั นัยนตาชนดิ ทีไ่ ดมาตรฐาน 2. ผูป ฏบิ ัตงิ านที่ทาํ งานเก่ยี วกบั การติดต้ังหรือซอ มบาํ รุง และลกั ษณะงานเปน งานท่ี กอ ใหเกดิ ประกายไฟฟา เศษวตั ถกุ ระจาย จะตองสวมแวน นริ ภัยปองกนั นัยนตา 3. การปฏิบัตงิ านในที่ที่มเี สยี งดงั มาก ๆ จนเปนอันตรายตอระบบการไดยินของ ผูปฏบิ ตั ิงาน จะตองกําหนดใหผูป ฏิบัติงานทุกคนใชเครื่องปอ งกันอันตรายตอหูชนิดเสยี บหรือชนิด ครอบดวย 1.2 ความปลอดภยั ในการทาํ งานเกย่ี วกับไฟฟา กฎขอ บังคบั ท่ัวไป 1. พนักงานทีท่ าํ งานเกย่ี วกับการซอ ม ตอเติม ตดิ ตงั้ อปุ กรณไฟฟาตอ งสวมเสือ้ ผา ที่ แหงและสวมรองเทาพนื้ ยาง พรอมท้ังตดั กระแสไฟฟาทม่ี ายังจุดที่ทาํ งานตลอดระยะเวลาท่ีทาํ งาน เกย่ี วกับไฟฟา 2. เคร่อื งมอื ท่ใี ชกบั งานไฟฟาชนิดใชม อื จับ ตองมฉี นวนซง่ึ อยใู นสภาพดหี มุ ที่ดามจับ 3. ในกรณีท่มี กี ารปฏิบัตงิ าน ตรวจสอบ ซอมแซม หรือตดิ ตัง้ ไฟฟา ที่เกยี่ วกับการผลิต ตองตัดสวิตซต ัวที่เก่ยี วขอ ง พรอมลอ็ กกญุ แจปอ งกนั การสบั สวิตซ อปุ กรณและเครื่องจักรไฟฟา 1. มอเตอรท ่ใี ชใ นบรเิ วณที่มวี ัตถุไวไฟตอ งเปน ชนดิ กันระเบดิ 2. หลอดไฟฟา หรอื โคมไฟ ซึ่งใชในบรเิ วณทีม่ ีวตั ถุไวไฟ ตอ งเปน ชนิดทีม่ ีฝาครอบ มิดชดิ และมตี ะแกรงโลหะหมุ รอบนอกอกี ชน้ั หนงึ่ 3. สวิตซไฟฟาในบริเวณที่มีวัตถุไวไฟตอ งเปนชนิดที่มีกลองโลหะหุมมดิ ชดิ และ เตา เสยี บที่ใชตอ งเปน ชนิดท่มี ีฝาปด 4. การตดิ ตงั้ สวติ ซท ุกตัวตองเลือกชนดิ ท่ีมีอัตราทนกระแสสูงพอที่จะใชก ับกระแส สงู สุดในวงจรทใี่ ชนน้ั ได 5. การตดิ ตั้งแผงสวิตซตองมตี ปู ดมิดชิด และตองตั้งหางจากเคร่ืองจักรพอสมควร สว นทเี่ ปนโลหะของแผงสวิตซต อ งตอลงดนิ 6. เมื่อใชอุปกรณไฟฟาท้ังหมดพรอมกันในวงจรแตล ะวงจร จะตอ งมกี ระแสไฟฟา ไมเ กินขนาดของกระแสไฟฟาสงู สุดท่ยี อมใหใชกบั ไฟฟาของวงจรน้ัน

152 7. การติดตั้งซอมแซม หรือแกไขดัดแปลงหมอแปลงไฟฟา ซึ่งแปลงไฟจาก ไฟฟา แรงสูงตงั้ แต 12,000 โวลตขึน้ ไป ตอ งติดตอขอความชวยเหลือหรือขอคําแนะนําจากเจา หนา ที่ ของการไฟฟา เสียกอน 8. ตองมีการตรวจสอบ และทดสอบเครื่องกําเนิดไฟฟาฉุกเฉิน ใหอยูในสภาพท่ี พรอ มจะใชงานไดอ ยางปลอดภัยอยูเสมอ 9. หามพนกั งานทาํ งานเก่ยี วกบั หมอแปลงไฟฟา ที่มีความดนั ตง้ั แต 380 โวลตข ้ึนไป กอนไดรับอนญุ าตจากหัวหนาฝายซอมบาํ รงุ 10. การซอ มแซม ดดั แปลง หรอื แกไขอปุ กรณและเครื่องจักรไฟฟาเปนหนา ท่ีของ พนกั งานหนว ยซอ มบํารงุ เทา น้ัน วธิ ปี อ งกนั อันตรายจากไฟฟา ช็อต 1. ผูป ฏบิ ัตงิ านทีเ่ ก่ียวขอ งกบั ไฟฟา ตอ งมคี วามรเู กยี่ วกับไฟฟา 2. เมอ่ื พบส่งิ ผดิ ปกติตาง ๆ เกิดข้นึ กบั สายไฟ ตองแจง ใหผ ูบงั คับบญั ชาทราบทันที 3. ในการปฏบิ ตั งิ านท่ีเกยี่ วขอ งกับไฟฟา ตอ งใชผชู าํ นาญงานเทา นั้น 4. ตอ งปดตูสวติ ซไฟฟา เสมอ และจะตองไมมีสง่ิ กดี ขวางวางอยูบริเวณตูไฟฟา 5. ตอ งตดิ ตงั้ สายดินเสมอ 6. ตรวจสอบอุปกรณปอ งกนั ไฟฟา ดดู ไฟฟาร่ัว กอ นใชอุปกรณไ ฟฟานน้ั ๆ เสมอ 7. การเปด หรอื ปดระบบไฟฟา ตองแนใจกอ นวา ปลอดภยั แลว 8. เมื่อเลกิ ใชอุปกรณไ ฟฟา แลว ใหเก็บเขา ท่เี สมอ 9. ถา ตองทาํ งานอยูใ กลระบบไฟฟา เชน มีสายไฟฟา อยูเหนือศีรษะตอ งระมัดระวงั อยาไปสมั ผัสถูกสายไฟฟาดังกลาว 10. หามทาํ งานโดยไมส วมชุดปอ งกนั ไฟฟา ดดู โดยเดด็ ขาด 1.3 ความปลอดภัยในการทาํ งานกับวตั ถอุ นั ตราย วัตถุอนั ตราย วัตถุอันตราย หมายถึง วัตถุทีส่ ามารถลุกไหมได ตดิ ไฟได และระเบิดได วัตถุ อันตรายตาง ๆ เหลาน้ี มักจะมีกฎหมายควบคุมเปนพิเศษ และมีขอบังคับเพื่อใหทํางานไดโดย ปราศจากอบุ ตั ิเหตุ

153 วัตถุอนั ตราย แบง ออกไดเปน 1. สารระเบิดได สารเหลา น้ีจะลกุ ติดไฟไดง ายและระเบดิ ข้นึ เมอ่ื มีความรอน มีการกระแทกหรอื มกี ารเสียดสี สารระเบิดไดมีชื่อเรียกแตกตางกันไป ผูทีท่ ํางานกับสารเหลาน้ีควรจะจดจาํ ชื่อสาร เหลานใี้ หไ ดและมีการติดปา ยวาเปน สารอันตราย หรือวัตถุอนั ตราย นอกจากนี้ยังควรรูถงึ วิธีการใช สารเหลานอ้ี ยางถกู ตองดว ย 2. สารลุกไหมได สารลกุ ไหมได เชน สารฟอสฟอรัสแดงและสารฟอสฟอรัสเหลืองสามารถลุก ติดไฟไดเ องเมอ่ื สมั ผสั กับอากาศ ตัวอยางสารลกุ ไหมได เชน พวกคารไ บด และสารประกอบโลหะ ของโซเดยี ม ซ่งึ จะลกุ ตดิ ไฟไดเมอื่ สมั ผสั กับนาํ้ 3. สารไวไฟ กา ซไวไฟ เชน กาซถานหิน กาซอะเซทลิ ีน กาซโพรเพน ฯลฯ กาซเหลา นม้ี ี คุณสมบัติไวไฟและยังสามารถระเบิดไดอีกดวยหากกาซเหลานี้ผสมอยูในอากาศในสัดสวนที่ พอเหมาะ นอกจากน้ีสารละลายไวไฟตาง ๆ เชน น้ํามัน ทินเนอร ก็ยังมีคุณสมบัติไวไฟและยัง สามารถระเบดิ อยา งรุนแรงไดอ กี ดว ย สารเหลา น้ีจะกอ ใหเกิดอุบตั เิ หตุไดงายถา มีการเคล่อื นยา ยผดิ วธิ ี ดังนั้นผทู ท่ี าํ การ ขนยา ยจะตอ งรูว ธิ ขี นยายทถ่ี กู ตองดว ย อันตรายของวตั ถุอันตราย 1. กาซคารบ อนมอนอกไซด (Carbon Monoxide) กาซคารบอนมอนอกไซดเ กิดจากการเผาไหมท่ีไมสมบูรณ เกิดขึ้นไดท้ังใน โรงงานและในสถานท่ีทาํ งาน กาซคารบอนมอนอกไซดเปนกา ซทีเ่ บากวากาซออกซเิ จนเลก็ นอย เปน กาซที่ไมมีสี ไมมกี ลนิ่ และไมมกี ารกระตนุ เตอื นใด ๆ จึงเปน กา ซที่อนั ตรายตอรา งกาย เพราะกา ซนีจ้ ะ ทําใหเม็ดเลอื ดขนถา ยออกซิเจนนอยลง เปนเหตุใหเกิดอาการขาดออกซเิ จน (Suffocation) ได เม่ือตองทาํ งานในสถานทีท่ ่ีมีกา ซคารบ อนมอนนอกไซด ควรปฏิบัตดิ ังนี้ 1. กอนเรม่ิ งาน ตองตรวจดูความหนาแนนของกาซคารบอนไดออกไซดดวย เครือ่ งตรวจวัดกาซกอน 2. ใหระบายอากาศออกจนกวา ความหนาแนนของกาซคารบ อนไดออกไซดจะ ตา่ํ กวา 50 ppm (0.005%) 3. ตอ งสวมใสห นา กากกรองทเ่ี หมาะสม 4. ถา ความหนาแนน ของกา ซคารบอนมอนอกไซดสูง หรอื ความเขม ขนของ ออกซเิ จนตาํ่ ใหใ ชเครอื่ งชวยหายใจ หรอื หนา กากแบบมีอากาศเสริม

154 2. สารละลายอนิ ทรยี  (Organic Solvents) มสี ารละลายอินทรียเปนจํานวนมากท่ีใชใ นสถานที่ทาํ งานและบานพักอาศัย สารละลายอินทรยี เ หลา นี้สามารถแทรกซึมเขาสูรางกายไดหลายทางทั้งทางระบบหายใจในรปู ของไอ ระเหย เพราะเปนสารทีส่ ามารถระเหยไดใ นอุณหภมู ิปกติ และแพรผ านผวิ หนงั ไดเพราะเปนตัวทํา ละลายไขมันนอกจากนี้ยังอาจทําใหห มดสติได เพราะจะไปรบกวนการทํางานของระบบประสาท สวนกลาง ดังนนั้ จงึ จาํ เปนอยางย่ิงทีจ่ ะตอ งรคู ณุ สมบัติของสารละลายอินทรียที่จะใชเ หลา นั้น และ จะตอ งใชอ ยางถูกตอ งเพ่อื ใหเกิดอนั ตรายนอ ยทสี่ ุด ระบายอากาศ วธิ ปี ฏิบตั ิงานกบั สารละลายอนิ ทรียอ ยา งปลอดภยั ประกายไฟ 1. ระวงั อยา ใหสารละลายอนิ ทรียห ก 2. ปดฝาภาชนะบรรจสุ ารละลายอนิ ทรียเสมอ ทําได 3. ไมลางมอื ดวยสารละลายอนิ ทรยี  4. ตรวจตราระบบระบายอากาศอยเู สมอ อยาใหมีส่งิ ใดไปขัดขวางทาง 5. หา มใชส ารละลายอินทรยี ใ กลบรเิ วณทมี่ ไี ฟหรือบรเิ วณทีอ่ าจเกิด 6. สวมใสอปุ กรณป องกนั ท่เี หมาะสมเสมอขณะใชส ารละลายอนิ ทรีย 7. ตอ งใชระบบระบายอากาศเสมอในขณะใชส ารละลายอินทรยี  8. หลีกเลยี่ งการสัมผัสไอระเหยของสารละลายอนิ ทรียใหมากทสี่ ดุ เทาที่จะ 3. ฝุน ปกตโิ รคปอดที่เกิดจากฝนุ ทีห่ ายใจเขา ไปจะมชี ื่อเรยี กวา โรคปอดฝุนหรือนิวโม โคนิซิส (Pneumoconiosis) ฝุนที่สูดดมเขามาจะฝงตัวอยูในปอดและปอดไมสามารถขจัดสิ่ง แปลกปลอมเหลา นีไ้ ด เมื่อมีการสะสมมากข้นึ ปอดจะรสู กึ แนน อดึ อัด ทาํ ใหห ายใจไมออก วิธีแกไขที่ ดที สี่ ดุ คือการปอ งกันโรคนี้ไวกอน โดยปรับปรุงสภาพแวดลอมในบริเวณทีท่ ํางานและปรับเปลี่ยน วิธกี ารทํางาน เชน การขจดั ฝนุ ในสถานที่ทาํ งาน หรอื การสวมใสหนากากปอ งกันฝุน

155 วิธใี ชหนา กากปองกนั ฝนุ อยางถกู วธิ ี 1. หนา กากควรกระชับกับใบหนา ซง่ึ ฝุนจะไมสามารถแทรกเขาไประหวา งรอ ง ของหนา กากกบั ใบหนาได 2. แมส ภาพของสถานทที่ าํ งานโดยทว่ั ไปจะสะอาด แตอาจจะมีฝนุ ขนาดเลก็ อยู ได จงึ ควรสวมหนากากปองกันฝุนไว ถา บริเวณนัน้ มฝี นุ ขนาดเลก็ อยไู ด จงึ ควรสวมหนากากปองกัน ฝุน ไว ถา บริเวณนั้นมฝี ุนอยู 3. หามสวมหนากากกรองฝนุ ในบริเวณทอ่ี ับอากาศ หรอื บริเวณทม่ี ีกาซพิษ 4. ควรเก็บรักษาหนากากไวในที่ท่ีอากาศถายเทดี และเก็บอยางถูกหลักวิธี รวมทัง้ ควรเปลย่ี นไสกรองเม่อื จาํ เปน 5. หนา กากกันฝนุ โดยทัว่ ไปจะใชสาํ หรบั งานชั่วคราวเทานน้ั 4. สารเคมีจําเพาะ สารเคมีจําเพาะจะถูกจัดเปนสารเคมีอันตราย เพราะจะกอใหเกิดอันตรายตอ สุขภาพรางกาย เชน กอใหเกิดโรคมะเรง็ จากการทํางาน โรงผวิ หนัง ระบบประสาทเส่ือม ฯลฯ ปจจบุ นั มีการใชส ารเคมีอยอู ยางกวางขวางในงานอุตสาหกรรมจงึ ตองระมัดระวังเปน อยางยง่ิ การปองกนั อันตรายจากการใชส ารเคมีจาํ เพาะ 1. อยาทําหกหรือกระเดน็ ลงบนพน้ื 2. กอ นเร่มิ ทํางานตองสวมอปุ กรณปองกนั อนั ตรายสว นบุคคลหรือติดตั้งระบบ ระบายอากาศทวั่ ไปในท่ที าํ งาน 3. จดั การปฏบิ ตั ิงานใหเ ปนไปตามระเบยี บขอ บังคบั ของกฎหมาย 4. เมื่อตองการขนยา ยหรือเกบ็ สารเคมีเหลา นั้น จะตองบรรจลุ งภาชนะทเ่ี หมาะสม ใหเรยี บรอ ย 5. หา มสบู บหุ รี่ รับประทานอาหาร หรอื ด่มื นํา้ ในขณะทกี่ ําลงั ทํางานกบั สารเคมี 6. หา มสมั ผัสเสื้อผา ที่เปอนสารเคมี 7. จดั ใหมกี ารสวมชดุ ปองกันหรืออปุ กรณป องกันอันตรายจากสารเคมี 8. หามนาํ สารเคมีนอ้ี อกไปหรือเขา ไปยงั หนวยงานอนื่ โดยไมไ ดรับอนุญาต 9. เส้ือผาที่สวมใสขณะทํางานยอมมีสารเคมีปนเปอนจึงควรที่จะชําระลาง รางกายเปลย่ี นเสือ้ ผาใหม กอ นทจี่ ะรบั ประทานอาหารหรือกอ นกลับบาน และนาํ เสื้อผาทีใ่ สทํางาน นน้ั ไปซักหรือทาํ ความสะอาดทันที

156 5. สภาพไรอ ากาศหรืออบั อากาศ อุบตั เิ หตจุ ากการขาดอากาศหายใจมกั เกดิ ขึน้ ไดใ นบริเวณทีเ่ ปนใตถ ุนอาคาร ถัง หรือบริเวณอโุ มงคข ุดเจาะ ฯลฯ อาการขาดอากาศมีผลโดยตรงตอ การทํางานของสมอง และบอ ยครงั้ ที่นําไปสู ความสญู เสยี อยางใหญห ลวง ท้ังน้ีเพราะการอยูใ นที่แคบหรืออับอากาศซ่ึงมักไมค อยมคี นไดเขาไปบอ ย นัก กย็ ากทจ่ี ะพบหรอื ชว ยชีวติ ไดทนั หากมอี ุบัติเหตเุ กิดขึน้ วธิ ปี องกนั การขาดอากาศหายใจมดี งั นี้ 1. ตรวจสอบความหนาแนน ของออกซิเจนกอ นลงมอื ปฏบิ ัตงิ าน 2. จัดระบบระบายอากาศที่เหมาะสม 3. มีการปฐมพยาบาลอยางถกู ตองและเหมาะสม ขอ พึงปฏิบัติเมือ่ ตองทํางานในบรเิ วณที่มสี ภาพไรอากาศหรอื อับอากาศ 1. กอนเขาบรเิ วณอนั ตรายทมี่ ีออกซิเจนนอยหรือออกซเิ จนใกลหมด เชน ในบอ หรอื ถัง จาํ เปน ตอ งจัดใหมรี ะบบระบายอากาศที่ดี (อยางไรก็ตามก็เปนอนั ตรายมากเชนกนั ถา ใชอ อกซเิ จนบริสทุ ธอ์ิ ยา งเดียว) ความหนาแนนของออกซิเจนทเี่ หมาะสมคือ ไมน อยกวา 18% 2. หามเขาไปในบรเิ วณท่ีมสี ภาพขาดออกซเิ จน ยกเวน ผูมหี นา ทีเ่ กี่ยวของเทานน้ั 3. ผจู ะเขา ไปในบริเวณอบั อากาศ ตองมีการเฝา ดแู ละติดตามโดยหัวหนางาน หรอื เพือ่ นรว มงาน และระบบระบายอากาศจะตองจัดใหมีออกซิเจนอยางนอย 18% ดว ย 4. ถาลกั ษณะงานไมสามารถจัดระบบระบายอากาศไดใหใ ชอุปกรณชว ยหายใจ ท่เี หมาะสม เชน เคร่อื งกรองอากาศ หรือระบบสายลม 5. ถาสภาพท่ีทํางานน้ันขาดอากาศมาก ๆ ใหสวมใสอุปกรณนิรภัย เชน หนากาก เข็มขดั นิรภยั หรือสายสงอากาศในขณะทปี่ ฏิบัตงิ านอยใู นบริเวณน้นั 6. ตรวจสอบอุปกรณป อ งกันทกุ คร้งั กอนเรมิ่ ทํางาน 7. ถาไดรับอุบัติเหตุจะขาดอากาศหายใจ ผูทําการชวยเหลือจะตองสวมใส อุปกรณชวยหายใจท่ีมีระบบระบายอากาศทด่ี ี ดังอธิบายไวในขอ 4 ขางตน (หนากากปองกันกาซ ไมไ ดจัดไวส าํ หรับกรณีขาดอากาศ ควรขนยายผปู ว ยออกไปสทู โ่ี ลงโดยเร็วท่ีสุด และชว ยหายใจดวย การเปาปาก ฯลฯ ) การจัดใหมีระบบระบายอากาศ เพื่อสุขภาพทด่ี ีควรจดั ใหมรี ะบบระบายอากาศทีเ่ หมาะสมในสถานประกอบการ จําเปน อยางยิ่งท่ีจะตองจัดระบบระบายอากาศในสถานประกอบการที่มีอุณหภูมแิ ละความรอ นสูง

157 หรือมกี าซหรอื ไอท่ีเกิดขึ้นจากตัวทําละลายอินทรียห รือสารอนื่ ๆ การปลอยปละละเลยท่ีจะจัดทํา ระบบระบายอากาศจะเปน สาเหตุท่ีกอใหเกิดอาการปวดศรี ษะและวิงเวียนศีรษะได และปญหาที่จะ ตามมาก็คอื ความเจ็บปว ยตาง ๆ ทมี่ สี าเหตุจากสารเคมีอนั ตราย การเปด หนาตางหรือประตนู นั้ เปนการถายเทอากาศทั่วไปตามปกติ การตดิ ตั้ง ระบบระบายอากาศเฉพาะท่ีหรือในตําแหนงที่จําเปนน้ัน ควรติดต้ังใหเหมาะสมกับลักษณะของ สารเคมอี นั ตรายทีจ่ ะตอ งใช แตค วรตระหนักไววา ในบางครัง้ การเปดหนา ตางอาจใหผ ลที่ตรงขา ม กนั ก็ได 1.4 ความปลอดภัยในการทํางานกับผลิตภณั ฑเ คมี ขอพงึ ปฏิบัติทั่วไปในการทาํ งานกับผลิตภณั ฑเคมี 1. กอนปฏิบัติงานตองทราบถึงชนิดของผลิตภัณฑและอันตรายที่อาจเกิดขึ้น ถา สงสัยใหปรึกษาผูบ งั คบั บญั ชาทเี่ กีย่ วขอ ง 2. กอนขนยายผลิตภัณฑตองสงั เกตวาหีบหอ ไมแ ตกหรือบุบสลายซึ่งอาจจะทําให ตกหลน สภู ายนอกได 3. หลกี เลี่ยงการสัมผัสกับผลิตภณั ฑโ ดยตรง ใหส วมเคร่ืองปอ งกนั เชน ถุงมือ เสอ้ื คลมุ เครอ่ื งกรองอากาศ หมวก แวน ตา ฯลฯ 4. หามรับประทานอาหาร เครอื่ งด่ืม หรอื สูบบหุ รี่ในขณะปฏิบตั งิ าน 5. ขณะปฏิบตั ิงานหามใชมอื ขย้ีตา หรือใชมือสัมผสั กับปากจนกวาจะลางมือให สะอาดเสียกอ น 6. กอนรับประทานอาหาร สูบบุหรี่ หรือเขาหองสุขา ตองถอดอุปกรณปองกัน อันตรายและลา งมอื ใหสะอาดเสียกอ น 7. หา มผูที่ไมมีหนา ทเี่ กีย่ วของปฏิบัติงานเกี่ยวกบั ผลิตภัณฑเคมี 8. หากเกิดอุบัติเหตุ ภาชนะบรรจุผลิตภัณฑแตกเสียหาย ตองรีบรายงาน ผบู ังคับบญั ชาท่ีรับผดิ ชอบทนั ที หรือจดั การเกบ็ กวาด เช็ดถบู ริเวณใหส ะอาดตามวธิ ีที่กําหนด ไมค วร ปลอยทง้ิ ไว 9. ในขณะปฏบิ ตั ิงานหากพบวา มกี ารเจ็บปว ย หรือวิงเวียนศีรษะใหหยุดปฏบิ ัติงาน ทนั ที พรอมทัง้ รายงานใหผบู ังคับบัญชาผูร บั ผดิ ชอบทราบ หรือทําการปฐมพยาบาลอยางถูกตองแลว รีบนาํ ไปพบแพทยพ รอมนาํ ฉลากหรือผลติ ภัณฑไปดว ย 10. อุปกรณปองกันอันตรายที่ใชแลวตองทําความสะอาดหรือทําลายทิ้งตาม คําแนะนาํ ท่ีไดกาํ หนดไว

158 11. เมื่อเสร็จส้ินการปฏิบัติงานแตละครั้ง ตองลางมือ อาบน้ํา และผลัดเปล่ียน เส้ือผา ทสี่ ะอาด ความปลอดภัยในการใชผลิตภัณฑเ คมใี นการผลิต 1. พนักงานตอ งอา นคาํ แนะนาํ ขา งกลองบรรจุผลติ ภัณฑเคมที ุกชนิดใหล ะเอียดกอน ท่จี ะนาํ เขา โรงงานผลติ 2. กลอ งผลิตภัณฑเ คมที ุกกลองท่นี าํ เขา โรงงานผลิตตอ งอยูในสภาพดีไมแ ตกรัว่ 3. พนกั งานตองสวมถุงมอื เสือ้ คลุมแขนยาว หนากาก รองเทาหุมสน กอ นเปด กลอ งสารเคมีทีจ่ ะนาํ มาใชในการผลติ 4. ตองระมดั ระวังเปน พเิ ศษในการบรรจผุ ลติ ภัณฑเคมี พยายามใหฝุน หรอื ละออง ของสารเคมีปลิวกระจายนอ ยทสี่ ุด 5. กลองเปลา ของผลติ ภณั ฑเคมี หลังจากใชแลวตองนําไปเก็บรวมกนั ในทมี่ ิดชิด (หากจาํ เปนตอ งมกี ุญแจปด) กอ นนาํ ไปทาํ ลาย เผาทง้ิ หรอื ฝง ดนิ 6. หลังจากที่พนักงานทํางานเรียบรอยแลว ใหลางมือ ลางหนา หรืออาบนํ้า และ เปลยี่ นเส้อื ผา ใหมกอ นรับประทานอาหารหรือสูบบหุ ร่ี 7. หามสบู บหุ รข่ี ณะปฏิบัติงาน 8. หามรบั ประทานอาหารหรือเครื่องด่ืมในบรเิ วณโรงงานผลิตหรือโรงงานบรรจุ ความปลอดภยั ในการเกบ็ ผลติ ภัณฑเ คมีในคลังพัสดุ 1. พนักงานตองอานฉลากผลติ ภณั ฑเ คมที กุ ครง้ั กอ นทําการเก็บเขา คลังพัสดุ 2. ผลิตภัณฑเ คมีบางอยางตองเกบ็ ในทแี่ หง สะอาด มอี ากาศถายเทดี และ มี อณุ หภูมิไมเกิน 46o C 3. ผลติ ภัณฑเคมตี องเก็บใหห างจากอาหารและภาชนะบรรจุอาหาร 4. ไมควรเก็บผลิตภัณฑเ คมีวางซอนกนั สงู เกินกวา 5 เมตร 5. หา มสบู บหุ ร่ใี นคลงั พสั ดุ ยกเวน บรเิ วณท่ีกาํ หนดให 6. พนักงานตองสวมถุงมือ หนากาก รองเทา และเส้ือแขนยาวขณะปฏิบัติงานซึ่ง สมั ผัสกบั สารเคมีโดยตรง 7. ผลิตภัณฑเคมีที่ตกหลนตามพื้นใหกวาดเก็บใสถังอยางระมัดระวังเพ่ือนําไป ทําลายหรือฝง ดนิ ในบรเิ วณที่กาํ หนด ถาเปนผลิตภณั ฑช นดิ เหลวใหใ ชท รายแหง กลบแลว กวาดเกบ็ ไป ฝงดิน หามลางดวยนํ้า 8. ผลติ ภณั ฑเคมีทุกชนดิ ตอ งปดฉลากทกุ กลอ งกอนนําเขาเก็บในคลงั พสั ดุ 9. คลังเก็บผลิตภัณฑเ คมี ตองปดกุญแจหลงั จากเลิกงาน

159 การเกดิ ไอเคมีไวไฟ การเกิดไอเคมไี วไฟในโรงงาน หมายถงึ การปลอยไอเคมีไวไฟจาํ นวนมาก ซง่ึ อาจ ลุกติดไฟ หรือระเบิดเมื่อมีแหลง ทกี่ อ ใหเ กิดประกายไฟ หรอื อาจเกดิ จากการลกุ ไหมข องสารเคมหี รือ กา ซทมี่ ีจุดวาบไฟ (Flash Point) ต่ําและมชี ว งไวไฟกวา ง จดุ วาบไฟ (Flash Point) ของสารเคมเี หลว คอื อณุ หภมู ิตํา่ สดุ ท่สี ารเคมนี ัน้ จะใหไอ เคมีทส่ี ามารถผสมกับอากาศเปน สวนผสมท่ีพรอมจะลกุ ไหมเมื่อมีแหลง เกดิ ประกายไฟ ชว งไวไฟ (Flammability Limit) คอื ชวงระหวา งความเขมขน ต่ําสุด และสงู สดุ ของ ไอเคมีในอากาศซึง่ จะเกดิ การลกุ ไหมไดเ มื่อมีแหลง เกดิ ประกายไฟ สวนผสมของไอเคมีและอากาศที่ ตํา่ กวาชว งไวไฟน้ีจะเจอื จางเกนิ ไปที่จะลกุ ไหมได และในทาํ นองเดยี วกนั สว นผสมที่สงู กวาชว งไวไฟ น้จี ะเขม ขนเกนิ ไปทจ่ี ะตดิ ไฟ เมือ่ เกิดกลุมไอเคมีจาํ นวนมาก หามพนักงานเขาไปในบริเวณทเี่ กิดไอเคมีนั้น ควร รับแจง หนว ยดบั เพลิงประจําโรงงานเตรยี มพรอมเพ่อื ทาํ การชว ยเหลอื ทันที วิธีปฏบิ ตั ิเม่อื เกิดกลุม ไอเคมี 1. ปลอดภยั ไวกอน เมอ่ื พบไอเคมีจํานวนมากไมวาจะเกิดจากการหกราดบนพ้ืน หรือเกดิ จากการร่วั จากทอ สงเคมีหรือจากถังเคมีตา ง ๆ หากมีขอสงสัยใหสมมุตไิ วกอนวากําลังเกิด กลมุ ไอเคมไี วไฟ อยาเสยี เวลาไปหาเครื่องวดั ประมาณไอเคมี เพราะกวาจะรู ประมาณไอและอากาศ ก็มมี ากเพยี งพอทจี่ ะลกุ ไหมหรือระเบดิ ได และกเ็ ปนเวลาทท่ี านไดเขาไปอยูในกลุม ไอเคมีไวไฟเสีย แลว 2. ออกไปใหพ นจากบรเิ วณทเ่ี กดิ กลุม ไอเคมีไวไฟทันที และรับแจง ใหห ัวหนา งาน หรือผูจัดการทราบ 3. ใหใ ชน า้ํ ฉีดเปน ฝอยเพื่อไลไอเคมี โดยใชหัวฉีดน้าํ จากตูดับเพลิงในกรณีท่ีเกิด กลุมไอเคมีไวไฟบรเิ วณรีแอกเตอร ใหเ ปดวาลวนา้ํ ปลอ ยนา้ํ จากหัวฝก บัวซึ่งติดตงั้ อยเู หนือรีแอกเตอร เพื่อไลไ อเคมี 4. หากกลมุ ไอเคมไี วไฟกําลงั ลุกติดไฟใหฉีดนา้ํ หลอ เคร่อื งมอื เครือ่ งใชหรือถงั ตาง ๆ ท่ีอยูร อบ ๆ บรเิ วณนั้น เพื่อปองกนั การลกุ ลามขยายตัวของไฟและการระเบิด อยาพยายามเขาไปดบั ไฟทจ่ี ุดลุกไหม แตใหหาแหลงทมี่ าของไอเคมแี ละจัดการกําจัดตน ตอของการเกิดไอเสียกอ นโดยไม ตอ ง เขา ไปในกลุมไอเคมี แลวจึงเขาทาํ การดบั ไฟ

160 1.4 ความปลอดภัยเก่ียวกบั อัคคภี ยั การปอ งกันอัคคภี ยั ในบรเิ วณโรงงาน พนกั งานทกุ คนจะตอ งปฏบิ ัติดังน้ี 1. รจู ักคุณสมบัติเครอื่ งดับเพลงิ ทุกชนิดที่ใชอยใู นโรงงาน และสามารถนาํ มาใช งานไดท นั ที และเหมาะสมกบั ลกั ษณะของไฟเม่ือตองการ 2. หา มนาํ เคร่ืองดับเพลิงมาฉดี เลน หรอื หยอกลอ กัน 3. ใหค วามสนใจกบั เครือ่ งมือดับเพลิงในแผนก และจะตองมกี ารตรวจสอบสภาพ ของเคร่อื งดบั เพลงิ อยูเสมอ เมื่อพบหรอื สงสัยวา เครอื่ งดับเพลงิ เคร่อื งใดอยใู นสภาพชาํ รุดหรือน้าํ หนกั พรอ งไป ใหรายงานผูบงั คับบญั ชาตามลาํ ดบั ชั้นทนั ที 4. จะตอ งไมต ดิ ตง้ั หรือวางเคร่ืองจักรหรือสง่ิ ของใด ๆ เอาไวใ นตําแหนง ซึง่ จะเปน อุปสรรคหรือกีดขวางการนําเครอื่ งดบั เพลิงมาใชโดยสะดวก 5. วัตถซุ ง่ึ ไวไฟหรือน้าํ มนั เชื้อเพลงิ ชนดิ บรรจถุ ัง เมอ่ื นาํ มาใชแ ลวจะตองปดฝาให สนิทและทภี่ าชนะบรรจคุ วรจะมีเคร่อื งหมายแสดงวาเปน สารไวไฟ 6. หามนาํ นา้ํ มันเชือ้ เพลงิ หรือเคมภี ัณฑไ วไฟใด ๆ ไปใชในการซักลางเส้อื ผา 7. พนักงานทกุ คนจะตองทําความเขา ใจกับวิธปี ฏิบตั ิเม่ือเกิดเพลงิ ไหม พนกั งานทุก คนจะตอ งใหความรว มมอื ในการซอมภาคปฏบิ ตั โิ ดยพรอมเพรยี งกัน 8. ไมวาเพลิงจะเกิดจากอะไรก็ตาม หากเกิดขึ้นใกลกับสายไฟฟา เครื่องมือ เคร่อื งใชห รอื แผงสวิตซไ ฟฟา ใหป ลดสะพานไฟตดั วงจรไฟฟาทันที เม่อื เกดิ เพลิงไหม 1. เม่ือเกิดเพลงิ ไหมข น้ึ ในบริเวณทที่ ํางาน จงอยา ต่นื ตระหนกจนเสยี ขวญั พยายาม รักษาขวัญและกําลังใจไวใ หม ่ัน การต่ืนตระหนกจนเสยี ขวญั อาจทาํ ใหเหตุการณเ ลวรายลงอกี 2. รบี แจง ใหเ พ่อื นรวมงานทุกคนในบรเิ วณเพลิงไหมและหนว ยดับเพลิงทราบ เพ่ือ ดําเนินการดับเพลิงและแจง เหตุเพลิงไหมไปยงั หนวยดบั เพลิงของราชการ 3. พนักงานผูไมม หี นาทเี่ ก่ียวของกับการดบั เพลงิ ตองรีบออกจากตัวอาคารโดยเรว็ ตามแผนอพยพหนีไฟ และไปรวมกันท่ีบริเวณหนาประตูทางเขาโรงงาน เพื่อรอคําส่ังจากผู ประสานงานดับเพลงิ ตอ ไป 4. พนกั งานท่ีไดร บั มอบหมายใหเปน หนวยดับเพลิงโรงงาน จะตองเตรยี มหัวฉีด สายดบั เพลิง เพ่ือตอ เขากบั ขอ ตอ ทอ น้ําดับเพลงิ และอยใู นสภาพเตรียมพรอมโดยเร็วท่ีสุด ในกรณีที่ เพลิงอยูในตาํ แหนง ท่ีหัวฉดี ใหญจะฉดี มาถงึ อาจไมจาํ เปนตองใชทอดับเพลิงและหัวเล็กฉดี ตอ ท้ังน้ี ใหข้ึนอยกู ับดุลยพนิ จิ ของหนวยดับเพลิงโรงงาน

161 การปอ งกนั อัคคภี ยั ในสํานกั งาน 1. พนักงานทุกคนจะตอ งทราบขอ บงั คับเกีย่ วกบั ความปลอดภยั ในสํานักงานเปนอยางดี 2. พนกั งานทุกคนควรฝกใชเคร่ืองดบั เพลงิ ใหเ ปน 3. พนักงานทุกคนตองปฏิบัติตามกฎขอบังคับความปลอดภัยในสํานักงานโดย เครงครัด เชน หา มสบู บหุ รใ่ี นบริเวณหา มสูบ 4. บริษัทอาจจัดใหมีการซอมดับเพลิงเมื่อเกิดเพลิงไหมหรือกรณีฉุกเฉิน ณ สาํ นักงานรว มกับเจาหนาทีข่ องทางราชการ พนักงานทกุ คนจะตองใหค วามรวมมอื ในการซอมโดย พรอมเพรยี งกนั 5. หา มวางสงิ่ ของกีดขวางทางออกฉุกเฉนิ เม่ือเกิดเพลงิ ไหม 1. ใหพนักงานที่พบเพลิงไหมรีบดับเพลิงตามความสามารถทันทีหากเห็นวาไม สามารถดับเพลงิ ดว ยตนเองได ใหรบี แจงผูประสานงานดบั เพลิงทราบทนั ที 2. ผปู ระสานงานจะแจง ใหเจา หนา ท่บี ริหารของบริษัททราบ และเปด สัญญาณเพลงิ ไหม 3. เมื่อมีสัญญาณเพลิงไหมใหพนักงานทุกคนหยุดปฏิบัติงานทันทีและจัดเก็บ เอกสารที่สาํ คัญพรอมทงั้ ของมีคาไวในที่ปลอดภยั แลว รีบออกจากบรเิ วณทที่ ํางานในทศิ ทางตรงขาม กบั บรเิ วณเกดิ เพลิงไหม 4. การออกจากอาคาร หา มวง่ิ และหามใชลิฟตโดยเด็ดขาด 5. ใหพนกั งานที่ออกจากอาคารแลว ทกุ คนไปรวมกนั ในบริเวณทีจ่ อดรถอาคารเพื่อ ตรวจสอบจํานวนและรอรบั คําส่ังจากผูประสานงานตอไป 1.5 ความปลอดภัยในสาํ นกั งาน พืน้ สํานักงาน - ทางเดนิ - ประตู 1. ควรใหพ ้นื สํานักงานมคี วามสะอาดอยูเสมอ 2. พ้ืนสํานักงานควรอยใู นแนวระดบั ราบไมล าดเอียงหรืออยูต า งระดับกัน หากไม สามารถหลกี เล่ยี งได ใหใชสีสันแสดงใหเ หน็ ชดั เจน 3. ใหใชวัสดกุ นั ลน่ื ปทู ับบนกระเบ้อื งหรือพื้นขดั มนั ที่ล่นื 4. ในขณะปฏบิ ตั ิงาน หา มวง่ิ หรือทําการลื่นไถลแทนการเดิน 5. ในขณะที่มีการขัดหรือทําความสะอาดพนื้ ผูปฏิบตั งิ านควรสังเกตปา ยคําเตือน และเดนิ หรอื ปฏิบัติงานดว ยความระมดั ระวังมากยิ่งขน้ึ 6. ในกรณีที่มีนํ้า นํ้ามัน หรือส่ิงที่ทําใหเกิดการลื่นบนพื้นสํานักงานใหแจง เจา หนาที่ท่ีรับผิดชอบโดยทนั ที โดยกอ นแจง ใหแ สดงเครือ่ งหมายเตอื นไวด วย

162 7. ในกรณีท่ีพบเห็นวัสดุหรือเครื่องใชสํานักงาน เชน ดินสอ ท่ีหนีบกระดาษ ยางลบ หรือส่ิงอน่ื ใดตกหลนอยบู นพ้นื ใหเ กบ็ โดยทนั ทีเพราะอาจเปนสาเหตุใหลนื่ หกลม ได 8. ในขณะเดินถงึ มุมตึกใหเดินทางดานขวาของทางเดิน และเดินอยางชา ๆ ดวย ความระมัดระวงั เพอ่ื หลีกเลย่ี งการชนกบั ผูอ่ืนซึ่งกําลงั เดนิ มาจากอีกมมุ หน่ึง 9. ควรติดต้งั กระจกเงาทํามมุ ในบริเวณมมุ อบั ทอ่ี าจเกิดอบุ ัตเิ หตุไดง า ย 10. สายโทรศพั ท สายเครื่องคิดเลข หรอื สายไฟฟา ควรติดตัง้ ใหเรียบรอ ย เพ่ือ ไมใ หก ดี ขวางทางเดนิ 11. อยายนื หรือเดินใกลบ รเิ วณประตูที่ปดอยู เพราะบุคคลอ่นื อาจจะเปดประตูมา กระแทกได 12. เมอ่ื จะผา นเขา ออกบังตา หรอื เปดปดประตบู านกระจก ควรเขาออกหรือเปดปด ดว ยความระมัดระวังอยา งชา ๆ และในการใชบ ังตาหรอื ประตูทเี่ ปดปดสองบาน ใหใชบังตาหรือบาน ประตูทางดา นขวา 13. บังตาหรือประตูบานกระจกท่ีเปด ปดสองทาง ใหติดเครื่องหมาย “ดึง” หรือ “ผลัก” ใหช ัดเจน 14. ไมควรจัดเก็บวัสดุอุปกรณสงิ่ ของตาง ๆ หรือปลอยใหมีสิ่งกีดขวางบริเวณ ทางเดินหรอื ชองประตู การใชบ ันได การใชบนั ไดอยางปลอดภัย 1. กอนขน้ึ หรอื ลงบันได ควรสังเกตสง่ิ ทีอ่ าจกอ ใหเ กดิ อันตรายขึ้นได 2. ถาบริเวณบนั ไดมแี สงสวางไมเ พียงพอ หรือราวบันไดหรือข้ันบันไดชํารุด ให แจง เจาหนาทเี่ พ่ือทําการแกไขใหเ รยี บรอย 3. อยาปลอยใหมเี ศษวสั ดุชิน้ เล็กชิ้นนอยตกอยูตามขัน้ บันได เชน เศษกรวด เศษ แกว ฯลฯ 4. ไมควรติดต้ังสิ่งที่ดึงดูดความสนใจ เชน กระจกเงา ภาพโปสเตอร เครือ่ งประดบั ตกแตงตาง ๆ ไวบริเวณบนั ได 5. ควรจัดใหม ีพรมหรือท่เี ช็ดเทาบรเิ วณเชิงบันได เพื่อความปลอดภัย 6. อยาว่งิ ข้ึนหรอื ลงบันได ควรขน้ึ ลงดว ยความระมัดระวัง 7. หามเลนหรือหยอกลอ กันในขณะขึน้ หรือลงบันได 8. การข้นึ ลงบันได ใหข ้ึนลงทางดา นขวาและจบั ราวบนั ไดทกุ ครัง้ 9. อยา ปลอยราวบันไดจนกวาจะมกี ารขน้ึ หรอื ลงบันไดเปน ที่เรยี บรอ ยแลว

163 10. ในขณะขึ้นหรือลงบันได ใหใ ชสายตามองขั้นบันไดที่จะกาวตอไปและหาม กระทาํ ส่ิงใด ๆ ในลกั ษณะทจี่ ะกอใหเ กดิ อนั ตราย เชน การอา นหนังสือ หรอื คนสิ่งของในกระเปา ถอื เปนตน 11. อยา ข้ึนหรอื ลงบันไดเปน กลุมใหญใ นเวลาเดียวกัน การใชบ ันไดพาดและบนั ไดยนื อยา งปลอดภัย 1. กอนใชบันไดพาดหรือบันไดยนื ตอ งตรวจสอบความแข็งแรงโดยทว่ั ไป ตอง แนใ จวาไมมีรอยหัก รอยรา ว และมียางกนั ล่นื 2. เมอ่ื ใชบันไดพาดกับผนงั ตองพาดใหไดประมาณ 70 องศาและควรสงู กวา จุดท่ีจะ ทํางานอยางนอย 60 เซนตเิ มตร 3. ถา เปน ไปได ควรยึดหวั และทายของบนั ไดดว ยเชอื ก แตถา ทาํ ไมไ ดค วรใหคนอื่น ชวยใชมือจับยึดให 4. พ้นื วางบันไดตองเรียบ และปราศจากหลมุ บอ หรือโหนกนนู 5. ขณะปน บันไดขึ้นหรือลงใหมองไปขา งหนา และไมทาํ งานบนบนั ไดดวยทา ทางที่ ไมเ หมาะสม 6. กรณมี แี ผนรองยืนบนบันไดยนื ขาของบันไดตองหางกันไมเกิน 1.8 เมตร และ แผน รองยืนตองสูงไมเกนิ 2 เมตร 7. บันไดยืนตอ งมีตัวล็อกขาท่ีกางไวด วย 8. ถา ใชบ นั ไดยนื ในจุดทไี่ มแ นใ จวา จะมคี วามปลอดภยั เพียงพอตองมีผูชวยคอยยดึ จบั บนั ไดนั้นไว 9. อยายืนบนแผน รองยืน เมอื่ ตอ งอยูส งู เกิน 1.2 เมตร โตะทํางาน - เกา อ้ี - ตู 1. ตลอดเวลาการทาํ งานไมค วรเปด ลิน้ ชกั โตะ ลนิ้ ชกั ตูเ อกสาร หรอื ตูอน่ื ใดคา งไว ใหปดทุกครั้งท่ไี มใชง าน 2. หา มวางพัสดุ สงิ่ ของ หรือกลอ งใตโ ตะทาํ งาน 3. หา มเอนหรอื พิงพนกั เกาอี้ โดยใหรับน้าํ หนกั เพียงขา งใดขา งหน่ึง 4. ใหมพี ้นื ท่เี คล่ือนยายเกาอ้ี สําหรบั การเขา ออกท่ีสะดวก 5. หามวางพสั ดุ สิง่ ของตา ง ๆ บนหลงั ตเู พราะอาจตกหลน ลงมาเปนอันตราย 6. อยาเปด ลิน้ ชักตูเอกสารในเวลาเดยี วกันเกนิ กวาหน่งึ ล้ินชัก 7. การจดั เอกสารใสในลิน้ ชกั ตู ควรจัดใสเอกสารจากช้นั ลา งสุดข้ึนไป เพือ่ เปน การ ถว งดลุ นา้ํ หนัก และใหห ลกี เลีย่ งการใสเอกสารในลิ้นชกั มากเกนิ ไป 8. ใหใ ชหจู บั ลิน้ ชักทุกครั้งเม่ือจะเปดปด ลิน้ ชักเพ่อื ปองกันนวิ้ ถูกหนีบ 9. การจดั วางตูล น้ิ ชักตตู องไมเ กะกะชองทางเดินในขณะท่ีปดใชงาน

164 สายไฟฟาและเตา เสยี บ 1. สายไฟฟาทม่ี รี อยฉีกขาด หรอื ปลัก๊ ไฟฟาที่แตกราว ตองทําการเปล่ียนทันที หาม พนั ดวยเทปพนั สายไฟหรอื ดัดแปลงซอมแซมอยา งใดอยา งหนง่ึ 2. เตาเสียบที่ชํารุดจะตองทําการซอ มแซมโดยทันที ในระหวางรอการซอ มแซม จะตองปด หรอื ครอบ เพ่ือปองกันไมใ หผ อู ืน่ มาใชง าน 3. เครื่องมอื หรอื อุปกรณไฟฟา ตาง ๆ ท่ใี ชภ ายในสาํ นกั งาน ใหว างในตําแหนงท่ใี กล เตา เสยี บมากทีส่ ดุ เพ่ือหลีกเล่ยี งสายไฟฟา ท่ีทอดยาวไปตามพื้น หรือหลกี เลย่ี งการใชส ายตอ ในกรณีที่ ไมอาจวางในตําแหนงใกลเตาเสียบได ใหแสดงเคร่ืองหมายใหชัดเจนเพื่อปองกันการเดินสะดุด สายไฟฟา 4. ในการใชอุปกรณไฟฟาใหแนใจวาแรงดันไฟฟาเหมาะสมกับความตองการ แรงดนั ไฟฟาของอปุ กรณนนั้ ๆ 5. การวางหรอื เคลอ่ื นยา ยเคร่อื งใชส ํานักงาน ตองระวงั อยาใหมีการวางหรือเคล่ือนยา ย ไปทบั ถูกสายไฟฟา การใชเ ครอ่ื งใชส าํ นกั งาน 1. ในขณะขนยา ยกระดาษควรระมัดระวงั กระดาษบาดมือ 2. ใหเก็บปากกาหรือดินสอ โดยการเอาปลายช้ลี ง หรือวางราบในชนิ้ ชัก 3. ใหทําการหบุ ขากรรไกรท่ีเปด ซองจดหมาย ใบมดี คดั เตอร หรอื ของมีคมอ่ืน ๆ ให เขา ทก่ี อนทําการเก็บ 4. การใชเ ครื่องตัดกระดาษ ตอ งระวงั นิว้ มือใหอ ยูหางจากใบมีด ขณะท่ีกําลงั ทําการ ตดั กระดาษ และหลีกเลี่ยงการตัดกระดาษจํานวนมากเกินไปพรอมกันทเี ดียว ถา ไมไ ดใ ชง านใหลด ใบมดี ลงใหตํา่ ทสี่ ุด อยา ยกใบมีดคางเอาไว 5. การแกะลวดเยบ็ กระดาษไมค วรใชมอื หรอื เล็บ ใหใ ชท ่ีดงึ ลวดเยบ็ กระดาษทุกครง้ั 6. เฟอรนิเจอรทเี่ ปนโลหะใหทําการลบมุมทุกแหง เพอื่ ความปลอดภยั 7. ควรใชบันไดหรือช้ันเหยียบ เมื่อตองการหยิบของในที่สูง ไมควรยืนบนกลอ ง โตะ หรือเกาอตี้ ดิ ลอ 8. หลงั เลิกงานทุกวนั ใหป ด ไฟฟา ทกุ ดวงและตัดวงจรอปุ กรณไฟฟา ภายในหอ งทาํ งาน ทั้งหมด 9. เครอ่ื งใชส าํ นักงานทอ่ี าจกอใหเ กดิ อันตราย เชน สายพาน ลกู กลิ้ง เกียร เฟอ ง ลอ ฯลฯ ถาไมม กี ารติดตง้ั อปุ กรณปอ งกนั อนั ตรายเอาไว ใหติดต้ังอปุ กรณปอ งกันอันตรายนน้ั ใหเรยี บรอ ย กอนทจ่ี ะใชงาน

165 10. หามทําความสะอาด ปรับ แตง หรือเปล่ียนแปลงสวนประกอบใด ๆ ของ เคร่ืองใชสํานกั งานที่อาจกอใหเกิดอนั ตรายในขณะที่เคร่ืองกาํ ลังทาํ งาน 11. ตอ งทําการศกึ ษาวธิ ีใชแ ละขอ ควรระวงั ของเครื่องใชส ํานักงานท่ีมีอนั ตรายใหด ี กอนปรับแตง 12. ถามีผูปฏิบัติงานสองคน หรือมากกวาสองคนขึ้นไปทํางานกับเคร่ืองใช สาํ นักงานท่ีมอี นั ตรายเคร่ืองเดยี วกัน ผูป ฏิบัติงานแตละคนจะตอ งระมัดระวงั ซึ่งกันและกัน 13. อยาถอดอุปกรณปอ งกันอันตรายหรือเปดแผงเคร่ืองใชส ํานักงานท่ีมีอันตราย โดยเด็ดขาด กรณเี ครือ่ งขดั ของใหตดิ ตอ ชางเพือ่ มาทําการซอมแซม 14. เคร่ืองใชสํานักงานที่ใชกําลังไฟฟาและมิไดเปนชนิดท่ีมีฉนวนหุมสองช้ัน จะตองมีระบบสายดินติดอยูท่คี รอบโลหะผานปล๊กั และหามมีการดัดแปลงปลกั๊ เพ่ือตัดวงจรสายดิน ออก 15. ใหต ัดกระแสไฟฟา ของเคร่อื งใชส ํานกั งานทใี่ ชไฟฟา ทุกคร้งั ที่ไมใชห รือเมื่อจะ ปรับแตง เครื่อง การใชล ฟิ ต 1. ในขณะเกดิ เพลิงไหม หามทุกคนใชล ฟิ ต ใหใชบันไดหนีไฟเทานั้น 2. กอนใชลิฟตทุกคร้ังใหสังเกตวาตัวลิฟตเล่ือนมาอยูในระดับเดียวกับพ้ืนแลว หรอื ไม ถา ตวั ลิฟตอ ยูตา งระดบั กบั พนื้ ใหระมัดระวังการสะดดุ ขณะเดินเขาลิฟต สําหรับสุภาพสตรีที่ สวมรองเทาสนสูงหรอื สน เล็กตอ งกา วขา ม เพอ่ื ปอ งกนั การลนื่ และหกลม 3. ในการใชลฟิ ต ใหเ ขาลฟิ ตอ ยางรวดเร็วและระมดั ระวัง อยา ลงั เลใจ 4. หามสบู บุหรใ่ี นลฟิ ต 5. เมือ่ ลิฟตเลอ่ื นถึงชั้นที่ตองการ ใหรอประตูลฟิ ตเปด เต็มทีแ่ ลวกาวออกจากลิฟต อยางรวดเร็ว

166 6. หามใชม อื จบั หรือดนั ประตูลิฟตเพอ่ื ใหลิฟตรอบุคคลอน่ื ใหใ ชปุมควบคมุ ประตู ลฟิ ตท ต่ี ิดตง้ั อยภู ายในลิฟต 7. ในกรณเี กดิ เหตุฉุกเฉนิ ขณะอยูในลิฟต ใหปฏิบัตติ ามขอแนะนํา ซงึ่ ติดอยภู ายใน ลฟิ ต พยายามควบคมุ สติใหไ ด อยา ตกใจเปนอนั ขาด กจิ กรรม 5 ส สคู วามปลอดภัย สถานท่ที าํ งานจะปลอดภัยดวยการปฏบิ ตั ิ 5 ส สถานทดี่ ําเนินกิจกรรม 5 ส จะปลอดภัยกวา ถูกสขุ อนามยั กวา และมีการผลิตดีกวา ในการทําใหส ถานที่ทํางานนา อยู นา ดู สะดวกสบายและปลอดภยั น้นั จะตอ งกําจัดสิง่ ที่ไมตอ งใชแ ลว ออกไปใหหมด และจดั ส่ิงท่ีจะเกบ็ ใหเปนหมวดหมู เพอ่ื ความสะดวก สะอาด และสวยงาม กจิ กรรม 5 ส สะสาง : แยกรายการสงิ่ ของที่จาํ เปน และไมจําเปน ทิ้งสิ่งของท่ีไมจ าํ เปน ออกไปใหมากทีส่ ดุ เทา ทจ่ี ะทาํ ได สะดวก : เก็บเคร่ืองมืออุปกรณไวในที่ที่ใชไดสะดวกและเก็บในสภาพท่ี ปลอดภัย สะอาด : จดั ระเบียบการดแู ลความสะอาดของสถานท่ที ํางาน เชน การกําจัด ฝนุ ละออง สขุ ลกั ษณะ : ดูแลเสื้อผาและรักษาสภาพสถานท่ีทํางานใหสะอาดเรียบรอย อยา ปลอยใหสกปรกรกรุงรังเปน เดด็ ขาด สรางนิสัย : ปฏิบัติ 4 ส ขางตน จนเปนนิสัย 1.6 ความปลอดภยั ในการประกอบอาชพี เกษตรกรรม ปจ จบุ นั การประกอบอาชพี เกษตรกรรม มกี ารนําเคร่ืองจักรกล เชน รถแทรกเตอร

167 รถไถนา เคร่ืองเก็บเกี่ยว เครือ่ งผอนแรง เปนตน และสารเคมี เชน ปยุ เคมี สารกําจัดศตั รูพืช สารฆา แมลง เขามาใชอยา งมากมาย เพอ่ื ชว ยเพมิ่ ผลผลติ ซึง่ ส่ิงเหลานี้หากนาํ ไปใชอยา งไมถกู ตองจะมีผลเสีย ตอสุขภาพและชีวติ อันตรายจากการประกอบอาชีพเกษตรกรรม มี 5 ประการ ดงั น้ี ประการที่ 1 สารเคมี เชน ปยุ สารกาํ จัดศัตรูพืช สารฆาแมลง สารพิษปราบวัชพืช สารกาํ จัดเชอื้ รา สารกําจดั สตั ว สารพษิ กําจดั สาหราย ไสเดอื นฝอย หอยทาก สารเคมีเหลา น้หี ากใชถูก วธิ ีก็มปี ระโยชน หากใชผ ิดวิธเี ปนโทษอยางมากเชนกัน เกษตรกรจาํ เปนตอ งทราบส่งิ เหลา นี้ ท วิธเี ก็บ การใช โดยอา นจากฉลากขางภาชนะบรรจุ ท เมอื่ ใชห มดแลว ตองทาํ ลายภาชนะบรรจุโดยการเผาหรือฝง ท ไมค วรสูบบหุ รีข่ ณะทําการฉดี พน ท ระวังการสมั ผัสสารเคมที ีผ่ วิ หนังเนอื่ งจากสามารถดดู ซึมทางผิวหนงั ได ท ระวังการสูดดมหายใจเขา สทู างเดินหายใจ ท ไมยนื ใตล มขณะฉดี พน สารเคมี ท เครอื่ งใชต า ง ๆ สําหรับการฉดี พน ตอ งดูแลไมใ หเสือ่ มสภาพ รวั่ ซมึ ท เวลาผสมยาหามใชมอื กวน ประการท่ี 2 อันตรายจากฝุนที่เกิดจากเกษตรกรรม ฝุนเกิดขึ้นจํานวนมากใน กิจกรรมนวดขาว และกิจกรรมอนื่ ๆ ในนา ปญ หาทเ่ี กิดขึ้นคือ ฝนุ จะเปนสวนท่ีรับเอาเชื้อรา ละออง เกสรดอกไม และพวกสเปอรปะปนอยู และจะนําโรคสคู นได ทําใหผ ูสัมผสั เกิดเชื้อรา โรคปอดฝนุ ฝาย โรคปอดชานออย โรคปอดชาวนา วิธีปอ งกัน คือ ท เกษตรควรสวมหนา กากปองกันฝุน ท รักษาความสะอาดของผิวหนังหลังเสร็จงานแลว ท ใชวิธีพนนํ้าเพื่อลดการฟุงกระจายของฝุน ท หาความรูเพ่ือปองกนั ตัวเอง รวมท้ังเพ่ือใหทราบถึงภยั ตา ง ๆ ที่อาจเกิดข้นึ เชน อาการเกิดโรค จะไดสามารถปองกนั ตวั เองไมใ หเ กดิ โรคลกุ ลามตอไป ประการท่ี 3 อันตรายจากการเปนโรคติดเชื้อจากสัตว ที่สาํ คญั คือ มา ววั ควาย แกะ แพะ สกุ ร สุนัข สัตวป าที่กินเนื้อ นก เปด ไก เปนตน โรคติดเชื้อท่ีสําคัญ ไดแ ก โรคแอนแทรกซ โรค กลัวนํา้ บาดทะยกั เลพโตสไปโรซสี กลากเกลื้อน ของเช้อื รา วิธีปองกนั คือ

168 ท เกษตรกรควรทราบแหลงโรค วธิ ีการแพรโ รค ท เมอ่ื สัตวปวยตอ งเผาหรือฝงทาํ ลายเชื้อ ฉีดวคั ซีนปองกันโรคแกส ตั ว ท รกั ษาความสะอาดของผิวหนัง ระวังมิใหสัมผัสกบั ผวิ หนังของสัตวท ี่เปน โรค ท ทําความสะอาดแผลทันทเี ม่อื มีบาดแผลเกิดขนึ้ ประการท่ี 4 อนั ตรายจากความรอ น แสง เสียง ความสัน่ สะเทือน เกษตรกรอาจเปน ตะคริว ออ นเพลีย หรอื เปนลม อนั เนื่องมาจากการไดรบั ความรอ นทมี่ าจากแสงอาทติ ย หรือไดร ับเสียง ดังจากเคร่ืองจักรกล ซ่งึ มีผลตอสขุ ภาพจิตดว ย รวมท้ังเกิดอาการหูตึง หรือหูหนวกได อนั ตรายจาก แสงจา ซ่ึงพบมากทาํ ใหเ กดิ ตอ สญู เสียการมองเหน็ และในการใชเ คร่ืองจกั รก็มีปญ หา การสั่นสะเทอื น จากเครือ่ งจักร เชน รถแทรกเตอร เคร่อื งเกย่ี วขาว เครอ่ื งไถ เครอื่ งเจาะ เลื่อยไฟฟา ความส่ันสะเทอื นมี อนั ตรายตอมอื และแขน ทําใหเกิดอาการปวดขอ ตอ เมื่อยลา ระบบยอยอาหารผิดปกติ กระดูกอักเสบ วิธปี องกนั อันตรายเหลา นไี้ ดแ ก ท การสวมใสอุปกรณป อ งกันอันตรายสวนบุคคล เชน ถุงมอื อดุ หู ท การปอ งกนั เกย่ี วกบั ความรอน ทาํ ไดโ ดยใหส วมเสือ้ ผา หนา แขนยาว แตเปน ผาที่ระบายอากาศไดด ี ท ด่มื น้ําผสมเกลือใหเขม ขน ประมาณ 0.1% ท หยุดพกั ระหวา งงานบอ ยข้นึ หากอากาศรอนจดั มาก ประการที่ 5 อุบัติเหตุในงานเกษตรกรรม เชน การถูกของมีคมบาด ไดแก มีด ขวาน เคยี ว เมอื่ เกิดบาดแผลเกษตรกรไมมีเวลาท่จี ะทําความสะอาดแผลหรือปฐมพยาบาลโดยทนั ที โอกาสทจ่ี ะไดร บั เชอื้ โรค เชน โรคบาดทะยัก จึงพบบอ ย และเปนสาเหตุการตายที่สําคญั หรือการใช เครอ่ื งยนตท่ใี ชไฟฟา กอ็ าจเกดิ ไฟฟา ดดู หรอื เกิดการไหมตามผิวหนังขึ้นได ซ่งึ ควรตองเรียนรูเรือ่ งการ ใชไ ฟฟาใหถ ูกตองดวย นอกจากนีย้ งั มอี ันตรายจากการใชเ คร่ืองยนต เชน เชอื ก โซ สายพาน หนีบหรอื บบี อัด ทาํ ใหม อี บุ ตั ิเหตเุ กดิ ขนึ้ ทนี่ ้ิวมือเปน สวนใหญ โรคจากการทํางานท่ีสําคัญและพบบอยทสี่ ุดในเกษตรกรคอื การปวดหลังจากการ ทาํ งานอนั เน่อื งมาจากทา ทางการทํางานทีฝ่ นธรรมชาติ ทาํ ใหเ กิดอาการปวดเมื่อยกลามเนื้อ การปวด เม่ือยกลา มเนอื้ ทีเ่ กิดขนึ้ ซํา้ ๆ ทุกวนั เรยี กวา โรคบาดเจ็บซ้าํ ซาก หรือโรคบาดเจ็บซํ้าบอย สามารถแกไข ได ควรจะไดเ รยี นรูวธิ ีการหาเครื่องทุนแรงหรือประยกุ ตว ิธีการทํางานเพื่อบรรเทาอาการเหลานั้นให ลดนอยลง ตวั อยางเชน การใชเคร่อื งหวานเมล็ดพืชแทนการกม เงยในการหวานโดยคนก็จะทาํ ใหการ ทาํ งานเปน สขุ ข้ึนได

169 เรอ่ื งที่ 2 การปฐมพยาบาลเบ้อื งตน การปฐมพยาบาล คอื การใหก ารชว ยเหลอื เบอ้ื งตนตอผปู ระสบอนั ตราย หรือเจบ็ ปวย ณ สถานท่เี กดิ เหตกุ อ นท่ีจะถึงมือแพทย หรอื โรงพยาบาล เพอื่ ปอ งกันมิใหเ กิดอันตรายแกชีวติ หรอื เกดิ ความพกิ ารโดยไมส มควร วัตถุประสงคข องการปฐมพยาบาล 1. เพอ่ื ใหมีชีวติ อยู 2. เพื่อไมใ หไดรบั อนั ตรายเพมิ่ ขึ้น 3. เพ่อื ใหก ลับคืนสสู ภาพเดมิ ไดโดยเรว็ หลักทัว่ ไปในการปฐมพยาบาล 1. อยา ตนื่ เตน ตกใจ และอยา ใหค นมงุ เพราะจะแยงผบู าดเจบ็ หายใจ 2. ตรวจดูวาผบู าดเจ็บยงั รูส ึกตัว หรอื หมดสติ 3. อยากรอกยา หรือนํา้ ใหแ กผูบาดเจบ็ ในขณะทไี่ มร ูสึกตวั 4. รีบใหก ารปฐมพยาบาลตอการบาดเจบ็ ท่อี าจทําใหเ กดิ อันตรายถึงแกช ีวติ โดยเรว็ กอ น สวนการบาดเจ็บอ่ืน ๆ ท่ไี มร ุนแรงมากนักใหดําเนนิ การปฐมพยาบาลในลาํ ดบั ถัดมา การบาดเจบ็ ทตี่ องไดร บั การชวยเหลอื โดยเร็ว คือ 1. การขาดอากาศหายใจ 2. การตกเลอื ด และมีอาการช็อก 3. การสมั ผัส หรือไดร ับสิง่ มพี ษิ ทร่ี ุนแรง การปฐมพยาบาลเม่อื เกิดอาการบาดเจบ็ ขอ เคลด็ สาเหตุ เกดิ จากการฉกี ขาด หรือการยดึ ตวั ของเนื้อเยื่อ กลา มเนือ้ หรือเสน เอน็ รอบขอ ตอ อาการ - เวลาเคลอื่ นไหวจะรสู ึกปวดบรเิ วณขอ ตอ ท่ีไดร ับอนั ตราย - บวมแดงบริเวณรอบ ๆ ขอ ตอ

170 การปฐมพยาบาล - อยาใหข อตอ บรเิ วณทเ่ี จบ็ เคลอื่ นไหว - อยาใหข องหนักกดทบั บรเิ วณขอท่เี จ็บ - ควรประคบดว ยความเยน็ ไวกอน - ถามอี าการปวดรนุ แรง ใหร บี นําไปพบแพทย ขัดยอก สาเหตุ เกิดจากการทก่ี ลามเนอื้ ยึดตัวมากเกินไป ซ่งึ เกดิ ข้นึ เพราะการเคลอื่ นไหวอยา งรุนแรง และรวดเร็วมากเกนิ ไป อาการ เจบ็ ปวดบรเิ วณที่ไดรับบาดเจ็บ ตอมามีอาการบวม การปฐมพยาบาล - ใหผบู าดเจ็บน่งั หรอื นอนในทา ทส่ี บาย และปลอดภยั - ถาปวดมากอาจบรรเทาอาการโดยการประคบความเย็นกอน แลวตอดว ยประคบ ความรอ น ตาบาดเจ็บ การปฐมพยาบาลเกย่ี วกบั ตานน้ั ควรใหการปฐมพยาบาลเฉพาะตาที่บาดเจบ็ เลก็ นอย เทานัน้ ถาบาดเจ็บรุนแรงใหห าผา ปดแผลสะอาดปด ตาหลวม ๆ แลวนาํ ผบู าดเจบ็ สงโรงพยาบาล โดยเรว็ ผงเขาตา สาเหตุ - มีสงิ่ แปลกปลอมเขา ตา - ระคายเคอื งตา คัน หรือปวดตา การปฐมพยาบาล - ใชน าํ้ สะอาดลางตาใหท่วั - ถาผงไมอ อกใหหาผาสะอาดปด ตาหลวม ๆ แลวนาํ ผบู าดเจบ็ ไปพบแพทย

171 สารเคมเี ขา ตา สาเหตุ กรด หรือดางเขา ตา อาการ - ระคายเคอื งตา - เจ็บปวด และแสบตามาก การปฐมพยาบาล - ใหลางตาดว ยนํา้ ท่สี ะอาดโดยวิธีการใหนํ้าไหลผา นลูกตา จนกวา สารเคมี จะออกมา - ใชผ าปดแผลทส่ี ะอาดปด ตาหลวม ๆ แลวนําผูบาดเจ็บไปพบแพทย โดยเร็วทส่ี ุด ไฟไหม หรือน้ํารอ นลวก สาเหตุ บาดแผลอาจจะเกิดจากถูกไฟโดยตรง ประกายไฟ ไฟฟา วตั ถุที่รอ นจัด น้ําเดอื ด สารเคมี เชน กรด หรอื ดา งท่ีมคี วามเขมขน อาการ แบงเปน 3 ลกั ษณะ - ลกั ษณะท่ี 1 ผิวหนงั แดง - ลกั ษณะที่ 2 เกิดแผลพอง - ลักษณะที่ 3 ทาํ ลายชัน้ ผวิ หนงั เขา ไปเปนอนั ตรายถงึ เนือ้ เยือ่ ท่ีอยใู ตผวิ หนัง บางครง้ั ผบู าดเจบ็ จะมอี าการช็อก การปฐมพยาบาล บาดแผลในลกั ษณะที่ 1 และ 2 ซ่งึ ไมส าหสั ใหป ฐมพยาบาลดงั น้ี - ประคบดวยความเย็นทนั ที - ใชน า้ํ มันทาแผลได และปด แผลดวยผา ท่สี ะอาด ใชผ า พนั แผลพนั แตอยา ใหแนน มาก บาดแผลในลักษณะท่ี 3 ใหปฐมพยาบาลดงั นี้ - ถาผบู าดเจ็บมีอาการช็อก รบี ใหก ารปฐมพยาบาลอาการชอ็ กกอ น

172 - หา มดงึ เศษผา ท่ีถูกไฟไหมซงึ่ ตดิ อยูกับรา งกายออก - นําผบู าดเจ็บสงโรงพยาบาลโดยเร็วที่สุดเทา ท่ีจะทําได กระดูกเคลือ่ น สาเหตุ กระดูกเคล่ือนเกิดขึ้นเพราะปลายกระดกู ขา งหน่งึ ซ่ึงประกอบกนั เขาเปน ขอ ตอ เคล่อื นทห่ี ลุดออกจากเสนเอน็ ท่หี ุม หอบริเวณขอตอไว อาการ - ตึงและปวดมากบรเิ วณขอ ตอ ทีห่ ลดุ - ขอตอ จะมรี ปู รา ง และตาํ แหนงผดิ ไปจากเดิม การปฐมพยาบาล - จดั ใหผูบ าดเจ็บอยูในทาทส่ี บายทส่ี ุด - หา มกด หรอื ทําใหขอตอน้นั เคล่อื นไหวเปน อันขาด - นาํ ผบู าดเจบ็ สง แพทยใหเ ร็วท่สี ุด - การเคลือ่ นยายผบู าดเจบ็ ควรใชเปลหาม กระดกู หกั กระดกู หักมีอยู 2 แบบ คอื 1. กระดูกหกั ชนดิ ธรรมดา หรือชนดิ ปด ไดแ ก การมีกระดูกหกั เพยี งอยา งเดยี ว ไมแทงทะลผุ ิวหนงั ออกมา 2. กระดูกหักชนิดมบี าดแผล หรือชนิดเปด ไดแก การมกี ระดกู หักแลวแทงทะลุ ผวิ หนงั ออกมา หรือวัตถุจากภายนอกแทงทะลผุ ิวหนังเขาไปกระทบกับกระดูก ทาํ ใหก ระดกู หัก อาการ - บวม - เวลาเคลอ่ื นไหวจะเจ็บบริเวณทไ่ี ดรบั อันตราย - ถาจับบริเวณที่ไดร ับอนั ตรายจะรูสึกนุมน่ิม และอาจมีเสียงปลายกระดกู ทห่ี กั เสียด สีกัน - อวยั วะเบย้ี วบิดผดิ รปู

173 การปฐมพยาบาล - อยา เคล่ือนยา ยผปู ระสบอนั ตราย นอกจากจะจําเปน จรงิ ๆ การเคลอื่ นยาย อาจทาํ ใหบ าดเจ็บมากข้นึ ไปอีก - คอยระวงั ใหปลายกระดกู ทแี่ ตกอยนู ่งิ ๆ - ปอ งกันอยาใหเกดิ อาการช็อก - ถากระดกู ทหี่ ักแทงทะลผุ วิ หนงั ออกมาขางนอก ใหหามเลอื ดโดยใชน ้วิ กด หรอื ใชส ายสาํ หรับรดั หา มเลอื ด - ใชผ า ปด แผลที่สะอาด ปด ปากแผล หรือกระดกู ที่โผลอ อกมา - ถามีความจําเปน ที่จะตอ งเคลอ่ื นยายผูบาดเจบ็ ควรใชเฝอ กช่ัวคราว สายคลอ งแขน หมอน และเปลเฝอกช่ัวคราวอาจทาํ ดว ยวัตถใุ ด ๆ ก็ไดท อ่ี ยูใกลมือ เชน กระดาน มวน หนังสอื พมิ พ มวนฟาง หรอื รม ใหผ กู เฝอ กกับแขน หรือขาตรงที่หักท้งั ขางลา ง และขา งบน และถา สามารถทาํ ไดใ หผ ูกมัดจากท่ี ๆ แตกไปท้งั สองขาง จะทาํ ใหเฝอกชัว่ คราวแข็งแรงขึ้น ใชก ระดาษ ผา สาํ ลี หรอื วัตถอุ ่ืน ๆ ทคี่ ลา ยกนั รองเฝอก เพ่อื ใหบ รเิ วณทีไ่ ดร ับอนั ตรายอยูในระดบั เดยี วกัน ซึ่งการทํา วธิ ีนีเ้ ฝอ กจะพอดี ไมก ดกระดกู บางแหง มากเกินไป สําหรับการใสเ ฝอกทแี่ ขนหรอื ขานน้ั ควรใสให รอบทกุ ดานดีกวาใสเฉพาะดานใดดานหนงึ่ และใหใชผาเปน ชิ้น ๆ หรอื เชอื กทเ่ี หนยี ว ๆ ผกู เฝอก แต ผา สาํ หรับผูกในยามฉกุ เฉินที่ดีทีส่ ุดก็คอื ผา พนั แถบยาว ๆ - บางคร้งั กอนจะเขาเฝอ กจําเปน ตอ งเคลอ่ื นยายผบู าดเจบ็ บา งเลก็ นอย ควรจะใหใคร คนหน่งึ จับแขน หรอื ขาสว นทอี่ ยูเหนอื และสวนทีอ่ ยูต่ํากวา บริเวณที่กระดูกนัน้ หักใหอยนู ิง่ ๆสว นคน อื่น ๆ ใหชวยกันรบั นา้ํ หนักของรา งกายไว วธิ ที ีด่ ที ี่สดุ กค็ ือ ใชเปลหาม - กระดูกสันหลัง หรือคอหัก หรือสงสัยวาจะหัก จะตองใชความระมัดระวังเปน พเิ ศษ ถาคนเจบ็ หมดสตอิ าจจะไมร วู า กระดูกคอ หรือกระดกู สนั หลงั หัก นอกจากผูทําการปฐมพยาบาล น้ันจะมีความรใู นเรอื่ งนเี้ ปน พิเศษ กระดกู หักธรรมดาอาจจะกลายเปน กระดกู หักชนิดมีบาดแผลไดถ า หากไมร ะมัดระวงั ในการเคลือ่ นยายผูบ าดเจบ็ ดงั นั้น หากสามารถทาํ ไดค วรงดเวนการเคล่ือนยายใด ๆ จนกวา แพทยจะมาทาํ การชวยเหลือ การเคลอ่ื นยา ยผูทีก่ ระดูกคอหัก - เมื่อจะทําการเคลื่อนยายผูบาดเจ็บท่ีกระดูกคอหัก ใหเอาบานประตู หรือแผน กระดานกวาง ๆ มาวางลงขา งคนเจบ็ ใหปลายกระดานเลยศีรษะคนเจ็บไปประมาณ 4 นิ้ว เปนอยาง นอ ย - ถาผูบาดเจ็บนอนหงาย ใหใครคนหน่ึงคุกเขาลงเหนอื ศรี ษะ ใชม ือทั้งสองจบั ศีรษะ ไวใ หนิ่ง ๆ เพ่ือใหศรี ษะ และหัวไหลเคล่ือนไหวเปน จงั หวะเดียวกนั กบั รางกาย สวนคนอื่น ๆ จะเปน คนเดยี ว หรือหลายคนกไ็ ดช วยกนั จบั เสอ้ื ผา ของผูบาดเจบ็ ตรงหัวไหล และตะโพก แลว

174 คอ ย ๆ เล่อื นผูบ าดเจบ็ นนั้ วางลงบนแผน กระดาน หรือบานประตู ใหผูบาดเจ็บนอนหงายอยา ยกศรี ษะ ขนึ้ และอยา ใหคอบิดไปมา - ถาผูบาดเจ็บนอนคว่ําหนา ควรจะวางบานประตู หรือกระดานลงขาง ๆ ตัว ผบู าดเจ็บน้ัน เอาแขนเหยยี ดไปทางศรี ษะ คุกเขาลงเอามอื จับขางศีรษะของผูบ าดเจ็บ โดยใหมอื ปด หู และมมุ ขากรรไกร แลว คอยพลิกคนเจ็บใหน อนหงายบนกระดาน เวลาพลิกใหนอนหงายจะตอ งให ศรี ษะอยนู ิง่ ๆ และใหอยรู ะดบั เดียวกับลําตัว ท้ังศรี ษะ และลําตวั จะตองพลิกใหพรอ ม ๆ กัน - ระหวา งทที่ าํ การเคลอ่ื นยาย ควรจะใชหนังรัด หรอื ผาพนั แผลก็ไดหลาย ๆ อนั รัด รอบตัวของผบู าดเจ็บใหต ดิ แนน กบั แผนกระดาษ หรอื ถา มเี ปลก็ใหใ ชเ ปลหาม การเคลอื่ นยายผทู ่ีกระดูกสนั หลงั หัก - อยารีบยกผูบาดเจ็บท่ีสงสัยวากระดูกสันหลังจะหัก ตองถามกอนวาสามารถ เคลอ่ื นไหว ไดห รือไม ถา ผบู าดเจ็บไมไ ดสติ และสงสัยวา จะไดร ับอนั ตรายท่ีกระดูกสันหลัง ใหปฏิบัติ เชนเดียวกับผูทกี่ ระดูกคอหกั - ถา พบคนทสี่ งสยั วา กระดกู สนั หลังหักนอนคว่ําหนา อยู คอย ๆ พลกิ ใหน อนหงาย ลงบนแผน กระดาน หรอื เปล แลว หาอะไรมารองสันหลงั ตอนลาง - ถาผบู าดเจ็บนอนหงาย คอ ย ๆ เลื่อนใหนอนบนกระดาน โดยปฏบิ ัตเิ ชนเดยี วกบั ผูท่ี กระดูกคอหัก - ผบู าดเจบ็ ทส่ี งสัยวา กระดกู สนั หลังหัก หามยกในทานั่งโดยเดด็ ขาด กะโหลกศรี ษะแตก สมองไดรบั ความกระทบกระเทอื น ผทู ี่ประสบอนั ตรายจนกะโหลกศรี ษะแตก หรือสะเทือน จะมอี าการเลือดออกทางหู ตา และจมกู อาจมีของเหลวสขี าวไหลออกมาจากหู ตาดําอาจจะมีขนาดไมเทา กัน หนาแดง หรือซดี ก็ ได การปฐมพยาบาล - ถา หนา มีสปี กติ หรอื สแี ดง ควรวางผูบาดเจบ็ นอนลง แลวหนนุ ศรี ษะใหสงู เลก็ นอย ถา หนาซดี ควรวางศีรษะในแนวราบ - พลกิ ศีรษะใหอ ยูใ นลักษณะทีไ่ มถูกทบั บริเวณทส่ี งสัยวากระดูกจะแตก - ถามีบาดแผลปรากฏใหหามเลือด และปดบาดแผลดวยผาปดแผลที่สะอาด ผูก ผา พนั แผลดา นตรงขา มกบั บาดแผล - ใหค วามอบอนุ แกผ ูบาดเจบ็ อยเู สมอ และอยา ใหส ารกระตนุ ใด ๆ แกผบู าดเจบ็

175 การหา มเลือดเมื่อเกดิ อนั ตรายจากของมคี ม วิธีหา มเลือดมหี ลายวิธี ไดแ ก 1. การกดดว ยนว้ิ มอื มีวธิ ีปฏิบตั ิดงั น้ี - ในกรณีที่บาดแผลเลอื ดออกไมม าก จะหา มเลือดโดยใชผา สะอาดปดทบ่ี าดแผลแลว พนั ใหแ นน ถายงั มีเลอื ดไหลซึม ใหใชน้วิ มอื กดตรงบาดแผลดวยก็ได - ในกรณที ีเ่ สน โลหิตแดงใหญขาด หรอื ไดร ับอันตรายอยางรุนแรงเปน บาดแผลใหญ ควรใชน ิว้ มือกดเพอื่ หามเลอื ดไมใหไหลออกมา และใหก ดลงบรเิ วณระหวางบาดแผลกับหวั ใจ เชน - เลือดไหลออกจากหนังศรี ษะ และสวนบนของศีรษะ ใหก ดท่ีเสน เลือดบริเวณขมับ ดานทีม่ บี าดแผล - เลือดไหลออกจากใบหนา ใหกดทีเ่ สน เลอื ดใตข ากรรไกรลา งดา นที่มบี าดแผลหาง จากมมุ ขากรรไกรไปขางหนา ประมาณ 1 นวิ้ - เลือดไหลออกมาจากคอ ใหกดลงไปบริเวณตนคอขาง ๆ หลอดลมดานท่ีมี บาดแผล แตการกดตาํ แหนง นี้นานๆ อาจจะทาํ ใหผถู ูกกดหมดสติได ฉะนน้ั ควรใชวธิ นี ้ีตอเมือ่ ใชวิธีอื่น ๆ ไมไดผ ลแลวเทา นั้น - เลือดไหลออกมาจากแขนทอ นบน ใหก ดลงไปที่ไหปลารา ตอนบนสดุ ใกลหัวไหล ของแขนดา นท่มี บี าดแผล - เลอื ดไหลออกมาจากแขนทอนลา ง ใหกดทเี่ สนเลือดบริเวณแขนทอนบนดานใน ก่งึ กลางระหวา งหวั ไหลก ับขอ ศอก - เลอื ดออกทีข่ า ใหก ดเสนเลอื ดบริเวณขาหนีบดา นทม่ี ีบาดแผล 2. การใชส ายรัดหามเลอื ด ในกรณีทเี่ ลอื ดไหลออกจากเสนโลหิตแดงทีแ่ ขน หรอื ขา ใชน ิว้ มือกดแลวเลือด ไมหยดุ ควรใชสายสาํ หรบั หามเลอื ดโดยเฉพาะ - สายรดั สาํ หรับแขน ใหใชรดั เสนโลหิตที่ตน แขน สายรัดสําหรับขาใหใชรดั เสน โลหติ ทโ่ี คนขา - อยาใชสายรดั ผูกรดั ใหแ นน เกนิ ไป และควรจะคลายออกเปน เวลา 3 วินาที ทุก ๆ 10 นาที จนกวาเลือดจะหยดุ - ถาไมม ีสายรัดแบบมาตรฐาน อาจใชวัตถทุ ่ีแบน ๆ เชน เข็มขัด หนังรัด ผาเชด็ ตวั เนคไท หรอื เศษผา ทาํ เปนสายรดั ได แตอยาใชเ ชือกเสนลวด หรอื ดายทําเปน สายรดั เพราะอาจจะบาด หรือเปน อนั ตรายแกผวิ หนังบริเวณท่ีผกู ได

176 3. การยกบริเวณท่ีมบี าดแผลใหส งู กวา หวั ใจ ในกรณีทม่ี บี าดแผลเลอื ดออกทีเ่ ทา จัดใหผูบาดเจบ็ นอนลงแลว ยกเทาข้นึ กจิ กรรม ใหผ เู รยี นรวบรวมขอมูลการไดรับอันตรายจากการทาํ งานของตนเอง สมาชิกใน ครอบครวั และเพอ่ื นรว มงาน ดังนี้ 1. ขา พเจาเคยไดร บั อนั ตรายจากการทาํ งาน ดงั น้ี ท งาน / หนาที่ที่ปฏบิ ตั ิ หรอื เคยปฏบิ ัต.ิ ..................................................................................... ........................................................................................................................................... ท อนั ตรายทเ่ี คยไดร ับ 1. .................................................................................................................................... 2. .................................................................................................................................... 3. .................................................................................................................................... ท การปอ งกัน และแกไ ข 1. .................................................................................................................................... 2. .................................................................................................................................... 3. .................................................................................................................................... 2. สมาชกิ ในครอบครวั เคยไดร ับอนั ตรายจาการทํางาน คอื ......................................................... ท งาน / หนา ท่ที ี่ปฏบิ ัติ หรอื เคยปฏบิ ตั .ิ ................................................................................. .......................................................................................................................................... ท อนั ตรายทเี่ คยไดรบั 1. .................................................................................................................................... 2. .................................................................................................................................... 3. .................................................................................................................................... ท การปองกนั และแกไข 1. ..................................................................................................................................... 2. .................................................................................................................................... 3. .....................................................................................................................................

177 3. เพื่อนรวมงานทเ่ี คยไดรบั อันตรายจากการทาํ งาน ดงั นี้ ท งาน / หนา ทท่ี ่ปี ฏบิ ัติ หรือเคยปฏบิ ัต.ิ ................................................................................. .......................................................................................................................................... ท อนั ตรายท่เี คยไดรบั 1. ........................................................................ ............................................................ 2. .................................................................................................................................... 3. ..................................................................................................................................... ท การปองกนั และแกไ ข 4. .................................................................................................................................... 5. .................................................................................................................................... 6. ....................................................................................................................................

178 บทท่ี 9 ทักษะชวี ติ เพ่อื การสือ่ สาร สาระสําคญั การมีความรคู วามเขาใจเกีย่ วกับทกั ษะท่จี ําเปนสําหรับชีวิตมนษุ ย โดยเฉพาะทกั ษะ การสือ่ สาร ทักษะการสรางสัมพันธภาพระหวา งบุคคล ทักษะการเขาใจผอู น่ื จะชวยใหบุคคลดาํ รงชีวิต อยูในครอบครัว ชุมชน และสังคมอยา งมีความสขุ ผลการเรียนรทู ี่คาดหวัง เพอ่ื ใหผูเ รยี น 1. มีความรูความเขาใจเก่ียวกับทักษะชีวิตทีจ่ ําเปน 3 ประการ ไดแก ทักษะการ ส่ือสาร ทักษะการสรางสัมพนั ธภาพระหวางบุคคล และทกั ษะการเขา ใจผูอนื่ 2. ประยกุ ตใชทักษะชีวิตในการดําเนินชีวิต และในการทาํ งานอยางมีประสิทธิภาพ ขอบขายเน้อื หา เร่อื งที่ 1 ความหมายของทกั ษะชีวิต เร่ืองท่ี 2 ทกั ษะชีวิตท่จี าํ เปน 3 ประการ

179 เรือ่ งที่ 1 ความหมายของทักษะชวี ิต คาํ วา ทกั ษะ (Skill) หมายถึง ความชดั เจน และความชํานาญในเรอื่ งใดเร่อื งหนง่ึ ซงึ่ บุคคลสามารถสรางขึ้นไดจากการเรียนรู ไดแก ทักษะการอาชพี การกฬี า การทํางานรวมกับผูอนื่ การ อา น การสอน การจดั การ ทักษะทางคณติ ศาสตร ทักษะทางภาษา ทักษะทางการใชเ ทคโนโลยี ฯลฯ ซ่งึ เปนทักษะภายนอกท่สี ามารถมองเหน็ ไดช ัดเจนจากการกระทํา หรือจากการปฏิบัติ ซ่งึ ทักษะดังกลาว นนั้ เปน ทักษะทีจ่ าํ เปน ตอการดาํ รงชวี ิต ที่จะทาํ ใหผ ูมีทกั ษะเหลา นั้นมีชีวิตที่ดี สามารถดํารงชีพอยูใน สังคมได โดยมีโอกาสท่ดี กี วา ผไู มมีทักษะดังกลาว ซ่ึงทักษะประเภทนี้เรียกวา Livelihood skill หรือ Skill for living ซึ่งเปน คนละอยางกับทกั ษะชีวิต ที่เรยี กวา Life skill (ประเสริฐ ตันสกลุ ) ดังน้ัน ทักษะชวี ติ หรือ Life skill จงึ หมายถึง คุณลักษณะ หรอื ความสามารถเชิงสงั คม จติ วทิ ยา (Psychosocial competence) ท่เี ปนทักษะภายในที่จะชวยใหบ คุ คลสามารถเผชิญสถานการณตา ง ๆ ที่เกิดข้ึนใน ชีวติ ประจาํ วันไดอยา งมปี ระสิทธิภาพ และเตรียมพรอมสาํ หรับการปรับตัวในอนาคต ไมวาจะเปน เรอ่ื ง การดูแลสขุ ภาพ เอดส ยาเสพติด ความปลอดภยั สิง่ แวดลอ ม คุณธรรมจริยธรรม ฯลฯ เพ่ือใหส ามารถมี ชีวิตอยใู นสงั คมไดอ ยางมีความสุข หรอื จะกลาวงาย ๆ ทกั ษะชีวติ ก็คอื ความสามารถในการแกปญหา ทต่ี องเผชิญในชวี ติ ประจําวัน เพื่อใหอ ยรู อดปลอดภัย และสามารถอยรู ว มกับผูอ่ืนไดอยา งมีความสขุ 1.1 องคประกอบของทักษะชีวติ องคป ระกอบของทกั ษะชีวิต จะมีความแตกตา งกันตามวัฒนธรรม และสถานท่ี แต ทักษะชีวติ ที่จาํ เปน ทส่ี ุดท่ีทุกคนควรมี ซึง่ องคการอนามัยโลกไดสรุปไว และถอื เปนหัวใจสําคัญใน การดาํ รงชวี ิต คือ 1. ทกั ษะการตัดสินใจ (Decision making) เปนความสามารถในการตดั สินใจ เกี่ยวกบั เรอ่ื งราวตาง ๆ ในชีวิตไดอ ยา งมีระบบ เชน ถาบคุ คลสามารถตัดสินใจเก่ยี วกบั การกระทําของ ตนเองที่เกี่ยวกับพฤตกิ รรมดานสุขภาพ หรอื ความปลอดภัยในชีวติ โดยประเมนิ ทางเลือก และผลท่ีได จากการตดั สินใจเลอื กทางทถี่ ูกตองเหมาะสม กจ็ ะมผี ลตอการมสี ขุ ภาพทดี่ ีท้ังรา งกาย และจติ ใจ 2. ทักษะการแกปญ หา (Problem Solving) เปนความสามารถในการจัดการกับ ปญหาทเี่ กิดขึน้ ในชีวิตไดอ ยางมรี ะบบ ไมเกิดความเครยี ดทางกาย และจติ ใจ จนอาจลกุ ลามเปน ปญหา ใหญโ ตเกินแกไ ข 3. ทักษะการคิดสรางสรรค (Creative thinking) เปนความสามารถในการคิดทจ่ี ะ เปนสวนชวยในการตัดสินใจ และแกไขปญหาโดยการคิดสรางสรรค เพื่อคนหาทางเลือกตาง ๆ รวมทง้ั ผลท่จี ะเกดิ ข้นึ ในแตละทางเลือก และสามารถนาํ ประสบการณมาปรับใชในชวี ิตประจาํ วนั ได อยา งเหมาะสม

180 4. ทกั ษะการคิดอยางมวี ิจารณญาณ (Critical thinking) เปนความสามารถใน การ คิดวิเคราะหข อมลู ตาง ๆ และประเมินปญ หา หรอื สถานการณท อ่ี ยรู อบตัวเรา ทม่ี ีผลตอการ ดําเนิน ชวี ิต 5. ทักษะการสื่อสารอยางมีประสิทธิภาพ (Effective communication) เปน ความสามารถในการใชคําพูด และทาทาง เพื่อแสดงออกถึงความรูสึกนึกคิดของตนเองไดอยาง เหมาะสมกับวัฒนธรรม และสถานการณตา ง ๆ ไมว า จะเปนการแสดงความคิดเห็น การแสดง ความ ตอ งการ การแสดงความช่ืนชม การขอรอง การเจรจาตอรอง การตักเตือน การชวยเหลือการปฏิเสธ ฯลฯ 6. ทกั ษะการสรางสมั พนั ธภาพระหวางบุคคล (Interpersonal relationship) เปน ความสามารถในการสรางความสัมพันธทดี่ ีระหวา งกันและกัน และสามารถรักษาสมั พันธภาพไวได ยืนยาว 7. ทกั ษะการตระหนักรใู นตน (Self awareness) เปนความสามารถในการคนหารูจ กั และเขาใจตนเอง เชน รูข อดี ขอ เสยี ของตนเอง รูความตองการ และสิ่งที่ไมตองการของตนเอง ซึ่งจะ ชวยใหเ รารูตัวเองเวลาเผชญิ กบั ความเครยี ด หรอื สถานการณตาง ๆ และทักษะน้ยี ังเปนพ้ืนฐานของการ พัฒนาทกั ษะอื่น ๆ เชน การสอื่ สาร การสรางสัมพนั ธภาพ การตดั สินใจ ความเห็นใจผอู น่ื 8. ทักษะการเขาใจผูอ่ืน (Empathy) เปนความสามารถในการเขา ใจความเหมอื น หรือความแตกตางระหวา งบคุ คล ในดานความสามารถ เพศ วยั ระดับการศึกษา ศาสนา ความเชือ่ สี ผิว อาชพี ฯลฯ ชวยใหสามารถยอมรบั บุคคลอื่นที่ตางจากเรา เกิดการชวยเหลือบุคคลอื่นท่ีดอยกวา หรือไดรบั ความเดือดรอ น เชน ผูตดิ ยาเสพติด ผตู ิดเชอ้ื เอดส 9. ทักษะการจัดการกับอารมณ (Coping with emotion) เปนความสามารถในการ รบั รอู ารมณของตนเอง และผูอ่ืน รูวาอารมณม ีผลตอ การแสดงพฤติกรรมอยางไร รวู ิธีการจัดการกบั อารมณโกรธ และความเศราโศก ท่ีสงผลทางลบตอ รา งกาย และจติ ใจไดอยา งเหมาะสม 10. ทักษะการจัดการกับความเครยี ด (Coping with stress) เปนความสามารถในการ รับรูถึงสาเหตุของความเครียด รูวิธีผอนคลายความเครียด และแนวทางในการควบคุมระดั บ ความเครยี ด เพอ่ื ใหเกดิ การเบี่ยงเบนพฤติกรรมไปในทางทถ่ี ูกตอง เหมาะสม และไมเ กิดปญ หาดาน สุขภาพ 1.2 กลวิธใี นการสรา งทกั ษะชวี ิต จากองคป ระกอบของทักษะชีวิต 10 ประการ เมือ่ จะนาํ ไปใชพ ัฒนาทักษะชีวติ สามารถแบง ไดเปน 2 สวน ดงั น้ี

181 1. ทักษะชีวิตท่ัวไป คือ ความสามารถพื้นฐานท่ีใชเผชิญปญหาปกติใน ชีวิตประจาํ วัน เชน ความเครียด สุขภาพ การคบเพอื่ น การปรบั ตัว ครอบครัวแตกแยก การบริโภค อาหาร ฯลฯ 2. ทกั ษะชวี ติ เฉพาะ คือ ความสามารถที่จําเปนในการเผชิญปญหาเฉพาะ เชน ยาเสพ ติด โรคเอดส ไฟไหม น้าํ ทวม การถูกลว งละเมิดทางเพศ ฯลฯ เรื่องที่ 2 ทกั ษะชีวิตที่จําเปน 3 ประการ ท ทักษะการสือ่ สารอยางมปี ระสิทธิภาพ (Effective communication) ท ทกั ษะการสรางสมั พันธภาพระหวางบคุ คล (Interpersonal relationship) ท ทักษะการเขา ใจผูอ น่ื (Empathy) 2.1 ทกั ษะการสอื่ สารอยางมีประสทิ ธิภาพ การสื่อสาร เปนกระบวนการสรางความเขาใจกันระหวางบุคคล โดยอาจเปนการ สือ่ สารทางเดียว (one-way communication) คอื การส่อื ขา วสารจากผูสงสาร ไปยงั ผูรบั สาร โดยไมม ี การสอ่ื สารกลบั หรอื สะทอนความรูสกึ กลับไปยงั ผูสง สารอีกครง้ั สว นการส่อื สารสองทาง (Two-way Communication) เปน การสื่อขาวสารจากผูส งสารไปยงั ผูรับสาร และมีการสอ่ื สารกลบั หรอื สะทอน ความรสู ึกกลบั จากผรู บั สาร ไปยงั ผสู ง สารอกี ครัง้ จึงเรียกวา เปน การสื่อสารสองทาง การส่อื สารระหวางบคุ คล นับวาเปนความจําเปนอยางยงิ่ เพราะในการดาํ เนนิ ชีวิต ปกตใิ นปจจบุ นั การส่ือสารเขามามีบทบาทอยางยงิ่ ในทุกกิจกรรม ไมว าจะเปน การส่ือสารดวย การ พดู การเขยี น การแสดงกริ ิยาทาทาง หรือการใชเคร่อื งมอื ส่ือสารที่เปนเทคโนโลยสี มัยใหม ตา ง ๆ เชน โทรศพั ท Internet e-mail ฯลฯ ท้งั น้ี การสือ่ สารดวยวธิ ใี ด ๆ ก็ตาม ควรทําใหผ ูสง สาร และผรู บั สารเกิดความเขา ใจอนั ดตี อกนั และเกดิ สมั พันธภาพท่ีดตี ามมา ซง่ึ ทักษะที่จาํ เปนในการสื่อสาร ไดแ ก การรจู กั แสดงความคดิ เห็น หรือความตองการใหถกู กาลเทศะ และการรจู ักแสดงความช่นื ชมผอู ่ืน การ รูจ กั ขอรอ ง การเจรจาตอรองในสถานการณค บั ขันจาํ เปน การตกั เตือนดว ยความจริงใจ และใชวาจา สุภาพ การรูจ ักปฏิเสธเม่ือถูกชักชวนใหปฏิบตั ิในสิ่งท่ีผิดขนบธรรมเนยี มประเพณี หรือผดิ กฎหมาย เปน ตน การส่อื สารดวยการปฏเิ สธ หลาย ๆ คนไมก ลา ปฏเิ สธคาํ ชักชวนของเพือ่ น หรอื คนรกั เมอื่ ไปทําในสง่ิ ทตี่ นเองไม เหน็ ดวย เชน การมเี พศสมั พันธท ี่ไมปลอดภัย การเท่ียวซองโสเภณี การเสพยาเสพตดิ ฯลฯ อันที่จรงิ การปฏิเสธเปน สิทธขิ องทุกคน การปฏเิ สธคาํ ชักชวนของเพ่อื น หรือคนรักเม่อื ทาํ ในส่งิ ที่ตนเองไมเ หน็

182 ดวยอยา งเหมาะสม และไดผ ลจะชว ยปองกันการมีพฤติกรรมเสีย่ งได คนสวนใหญไมก ลาปฏิเสธคํา ชกั ชวนของเพือ่ น หรอื คนรกั เพราะกลวั วา เพ่อื น หรอื คนรักจะโกรธ แตถาสามารถปฏิเสธไดถูกตอง ตามขนั้ ตอนจะไมทําใหเสยี เพอื่ น การปฏเิ สธทด่ี ี จะตองปฏเิ สธอยางจริงจงั ทัง้ ทาทาง คําพูด และนํา้ เสียง เพอ่ื แสดงความตง้ั ใจอยาง ชัดเจนท่จี ะขอปฏเิ สธ การปฏเิ สธมี 3 ขั้นตอน คือ 1. บอกความรูสึกเปน ขออา งประกอบเหตผุ ล เพราะการบอกความรสู กึ จะโตแ ยงยาก กวาการบอกเหตุผลอยา งเดยี ว 2. การขอปฏิเสธเปนการบอกปฏเิ สธชดั เจนดวยคาํ พดู 3. การถามความเห็นชอบเพ่ือรกั ษาน้าํ ใจของผชู วน และความขอบคุณเม่ือผชู วน ยอมรับการปฏิเสธ ตวั อยา งการปฏิเสธเมอ่ื ถูกชวนไปเสพยาเสพติด แดงเปนผชู วน และแอม เปนผูปฏเิ สธ แดง : คืนน้ีมีปารต ท้ี ห่ี อง แอม ไปใหไ ดนะ มขี องดีอยางวา ใหม ๆ มาใหล อง แอม : ของอยา งวานนั้ ไมด ีตอสุขภาพ ขอไมล อง แดงคงไมวา นะ ขอบคณุ มากที่ชวน แดง : .................................... การหาทางออกเม่ือถูกเซาซี้ หรือสบประมาท บางครั้งผูชวนพูดเซาซี้เพ่ือชวนให สําเร็จ ผถู ูกชวนไมควรหว่ันไหวกบั คําพูด เพราะจะทาํ ใหขาดสมาธใิ นการหาทางออก ควรยืนยันการ ปฏเิ สธดวยทาทีมั่นคง และหาทางออกโดยวิธีตอ ไปนี้ ปฏิเสธซ้ํา โดยไมต อ งใชข อ อา ง พรอมทั้งบอกลา แลวเดินจากไปทนั ที การตอ รอง โดยการชวนไปทํากจิ กรรมอืน่ ท่ีดีกวา การผัดผอน โดยการยืดระยะเวลาออกไปเพอื่ ใหผชู วนเปล่ียนความตงั้ ใจ เชน

183 ขน้ั ตอน ตวั อยางคําพดู 1. อางความรูสกึ ประกอบเหตผุ ล “ฉนั ไมช อบ มันไมดีตอ สขุ ภาพ” 2. ขอปฏเิ สธ “ขอไมไปนะเพอื่ น” 3. การขอความเห็นชอบ “เธอคงเขา ใจนะ” 4. ถูกเซาซี้ หรือถกู สบประมาท “ไมล องดีกวา เราขอกลบั กอ นนะ” “ฉันคดิ วา เรากลับบา นกนั เลยดีกวา” 4.1 การปฏิเสธซ้าํ “แดงคิดวา เราควรรอไปอีกสักระยะหนง่ึ เมอ่ื เราทงั้ สอง 4.2 การตอ รอง พรอมทีจ่ ะรับผดิ ชอบครอบครัว คอ ยคิดเรอ่ื งน”้ี 4.3 การผดั ผอ น สถานการณทชี่ วนไปเที่ยวซอง ชัยเปน ผูช วน ยทุ ธเปนผูปฏเิ สธ ชยั : วันนก้ี นิ ขาวเยน็ แลว ไปเที่ยวอยา งวากนั นะ ยุทธ : เราไมช อบสถานที่อยางนนั้ กลัวตดิ โรคดว ย ขอไมไปนะเพ่อื น ชยั : เราไปหลายหนไมเหน็ เปน อะไรเลย ชักสงสยั แลว วานายเปนผชู าย เต็มรอยหรอื เปลา ชวนทไ่ี รไมไ ปสักที ยทุ ธ : ไมล ะ เอาไวคราวหลงั พวกนายไปเทย่ี วทอ่ี ่นื เราจะไปดว ย คร้งั นี้ขอตวั กอ นนะ ขอบใจมากทช่ี วน ในเร่ืองความรกั ผหู ญงิ เมือ่ มีความรัก จะมีความรูสกึ ชอบ หรอื รกั ตองการความรัก ความอบอุน ความใกลชิดผกู พนั ทางใจ ไมคาดคิดวาฝา ยชายตองการอะไรจากความใกลช ิด จึงขาด ความระมดั ระวัง อาจเผลอตัวเผลอใจไปตามที่ฝายชายตองการ เปน คา นยิ มของชาย โดยถือเปนเรื่อง ปกตทิ จี่ ะมเี พศสมั พนั ธก ับหญิงบริการ หรือคนรักเพ่ือปลดเปลอื้ งความใคร เพราะเม่ือผูชายรกั หรือ ชอบผูห ญิงมกั จะตอ งการผูกพนั ทางกาย คือ ความรัก ความใคร เมื่อผูชายตองการผกู พนั ทางกายกจ็ ะ คดิ หาวธิ กี ารตา ง ๆ เพอื่ ทําใหเกิดพฤตกิ รรมท่ีจะนาํ ไปสูส่งิ ท่ตี นตอ งการ โดยคดิ วาฝายหญงิ ก็ตองการ เชน กัน การมีเพศสัมพันธครง้ั แรก ฝายหญิงไมไดมีความสุขทางเพศอยางที่ฝายชายเขาใจ ตรงกนั ขา มจะมคี วามวิตกกังวล กลัวต้ังครรภ กลัวแฟนจะทอดทิ้ง หรือดูถกู กลวั เพ่ือนรู กลัวพอแม เสยี ใจ แตฝา ยชายจะมีความสุขทางเพศ และภูมใิ จท่ไี ดเ ปนเจาของ การมเี พศสมั พันธในคร้ังตอ ๆ มา ฝายหญิงมักจะยนิ ยอมเพราะความรกั ความผกู พัน ความกังวล กลัวถูกทอดทิ้งหากไมยอม แตฝา ยชาย

184 ถือเปนเรอื่ งปกติ เปนการหาความสุขรวมกัน ปญหาที่ตามมาคือ การต้ังครรภ หรือโรคตาง ๆ ฉะนนั้ การคบเพื่อนตา งเพศ ผูหญงิ ควรปฏิบตั ิตนอยางไรบา ง เชน - ไมค วรอยูด วยกนั ตามลาํ พังสองตอสองในท่ีลับตา เพราะความใกลชดิ สามารถไปสู การมเี พศสมั พันธไ ด - ผูหญงิ ควรแตงกายมดิ ชิด ไมแตงกายลอ แหลม - ผหู ญงิ ควรระมดั ระวังตัวขณะอยูใกลชิดกับเพื่อนตางเพศ ควรรักนวลสงวนตัว ระวังการสัมผสั หรือถูกเน้ือตอ งตวั สําหรบั ผชู าย เม่อื มีโอกาสอยูกันตามลําพงั สองตอสองควรยับยัง้ ชง่ั ใจ และไมคิดหา วธิ ตี า ง ๆ ทจ่ี ะทาํ ใหเ กดิ พฤตกิ รรมท่ีจะนําไปสูส ิง่ ทต่ี นตองการ โดยคาดคดิ เอาเองวา ฝา ยหญิงกต็ อ งการ เชน เดียวกบั ตน ตัวอยางการสอ่ื สารดว ยการปฏเิ สธ ปจจุบันปญหาการมเี พศสมั พนั ธกอ นวัยอันควร ลุกลาม รนุ แรงถึงข้นั เปนปญหาการ ตงั้ ครรภท ่ีไมพงึ ประสงคเพมิ่ สูงขึ้นในกลุมวยั รุน วยั เรยี น ทาํ ใหตองออกกลางคัน หรอื แอบไปทาํ แทง จนทําใหเ กดิ อันตรายถงึ แกชวี ติ เปน จํานวนมาก ดงั น้นั เรอื่ งท่พี อ แมไ มอ ยากใหเ กิดเร่อื งหนึ่งคือ ไมอยากใหลูกมี “เซ็กส” กอนวัยอัน ควร อยากใหเรยี นหนังสือจบ ใหเปนผใู หญทร่ี บั ผดิ ชอบตัวเองไดมากกวาน้ี แตขาวเด็กวัยรุนตอนนี้ก็ออกมามากเหลือเกิน วา เห็นเรื่อง “เซก็ ส” เปนเรือ่ งธรรมดา ไมเ หน็ จะเสียหายตรงไหน บางคนเปลี่ยนคูเปนวา เลน บางคูก ็เชาหอพักอยูดว ยกัน เชาไปเรียนดวยกนั เย็นกลบั มานอนดวยกนั พอแมอยตู า งจงั หวดั ไมร ูเรื่อง คิดวา ลูกคงตั้งใจเรยี นอยา งเดียว ทีไ่ หนได เรือ่ งน้พี อแมจ ะทาํ เฉยไมไ ดแมล ูกเราจะเปนเด็กเรียบรอย ยงั ไมม ีทีทาวา จะสนใจเพศ ตรงขามกต็ าม พอ แมก ต็ อ งชวนคุยเมื่อมีโอกาส หากพอ แมล ูกดูโทรทัศนดวยกัน จะมีฉากอยา งวาใน ละครไทยอยูหลายเร่ือง เชน พระเอกเสียทีนางราย หรือนางเอกใจออ นยอมพระเอกกอ น แตส ดุ ทาย ไมไดแ ตง งานกัน พอแมก็ถือโอกาสนี้ชวนลูกคุยเสียเลย ไมวา จะเปนลกู ชาย หรือลกู สาวก็ตองระวัง เรื่องน้ดี วยกันทง้ั นน้ั ซึง่ อาจแนะนาํ ลกู ดังนี้ อยาอยูกันตามลําพงั สองตอสองในที่ลับตาคน แมอีกฝายจะชวนกไ็ มตองตามใจ ให รจู ักปฏเิ สธ ท ถาดแู ลวอีกฝา ยจะผูกมดั โดยอางวา “รกั จรงิ หวงั แตง ” หรืออะไรก็แลวแต ทจี่ ะสรรหามาพร่าํ พรรณนา ตองใหล กู เราพดู กบั อีกฝายแบบเปด ใจ เปด เผย ดวยทาทีทมี่ น่ั ใจวา “ไม ตอ งการใหม ีอะไรกนั เกนิ เลยกวา น้ี เพราะเรายังเด็กยังไมสมควร” หรือ “ยังไมพรอม” แมว าเราจะรัก เขามากกค็ วรคบกนั แคเ ปน แฟนกอ น เวลายงั มอี กี ยาวนาน ใครจะรูว า คนนี้ใชคแู ทห รือไม ท ตองรจู ักหลีกเล่ียง หรือกลาปฏิเสธท่จี ะมเี พศสมั พันธ ถาอีกฝายยงั ต้ือ

185 ตองใหร จู ักเอาตวั รอดใหไ ด ท ใหเ บีย่ งเบนความสนใจของอกี ฝา ยไปยังเรอ่ื งอื่น เชน อาจชวนไปเลนกีฬา หรอื ชวนคุยในเรื่องท่ีคิดวา อีกฝายจะหยุดฟง ท ถา อกี ฝายยงั ไมยอมฟงเหตผุ ล โดยอาจจะมีขอ อา งวา “ถา ไมย อม แสดงวา ไมรกั จริง” หากถึงข้นั นี้ละกอ ตอ งใหล ูกคดิ ใหมแ ลววา ควรจะคบกันเปนแฟนตอ ไปอกี ไหม เพราะอีก ฝา ยคงตอ งพยายามหาโอกาสอีกเรอ่ื ย ๆ แลว แนใ จไหมวา ลกู จะไมใ จออ นเขาสกั วนั ท ทส่ี าํ คัญ พอแมต องชวนลูกคุย ถงึ ผลเสยี ของการมีเพศสมั พนั ธกอนวัย อนั ควรดวย 2.2 ทกั ษะการสรา งสมั พนั ธภาพระหวา งบุคคล คงไดยินคําพูดนบี้ อย ๆ วา “คนเราอยูคนเดียวในโลกไมได” เราตองพงึ่ พาอาศัยกัน ซ่งึ จะตองมีสมั พันธภาพที่ดตี อกัน การท่ีจะสรางสัมพนั ธภาพใหเกดิ ขึน้ ระหวา งกนั นัน้ เปน เรื่องไมยาก แรกเรม่ิ คือ 1. มกี ารติดตอพบปะกนั เราจะตองมีการตดิ ตอพบปะพดู คุยกบั คนที่ตอ งการมีสัมพันธภาพกบั เขา ใหเวลากับ เขา ทาํ งานรวมกัน ทํากิจกรรมรวมกนั เลนกีฬาดว ยกนั และในที่สุดเราก็มโี อกาสสรางมิตรภาพท่ีดีตอ กนั 2. มคี วามสนใจและประสบการณร วมกนั ประสบการณเปนส่ิงที่นําคนสองคนใหม ารวมมือกัน การชว ยเหลอื กันในระหวาง การเลาเรียน หรือการทํางานดวยกัน มีความสนใจในเรื่องเดียวกัน การรวมประสบการณ และ แลกเปลย่ี นประสบการณร ะหวางกนั เปนการสรางมิตรภาพที่ดใี หเ กิดขึ้นได 3. มีทศั นคติและความเชื่อท่คี ลายคลงึ กนั ชวงวัยรุนเปนชวงท่ีความคิด ทัศนคติ และความรสู ึกอาจมีการเปล่ียนแปลงอยาง รวดเรว็ ถาคนไหนมีความคดิ เหน็ คลา ยคลึงกบั เรา เราจะรสู ึกพอใจ แตถา คนไหนมีความคิดแตกตางกับ เรา เราจะรสู กึ ไมพอใจ แตใ นความเปนจริงตอ งเขา ใจวา คนสวนใหญไมไดม ีความเห็นเหมือนกันทุก เรอื่ ง แมในคนทเ่ี ปน มิตรตอกันเพียงใดก็ตาม จะสรางสัมพนั ธภาพท่ดี ไี ดอยางไร การเรียนรูวิธีการสรางสัมพันธภาพท่ดี ีเปนสําคัญ และทกุ คนควรจะคนหาเพื่อใหเกดิ มิตรภาพ ดังน้ี 1. ความใสใจ เอาใจใสซ ึ่งกนั และกัน ดแู ลกันท้งั ยามสขุ ยามทกุ ข

186 2. ความไวเนอื้ เชอ่ื ใจ การอยูกบั ผูอ ่ืนอยา งมคี วามสขุ เราตอ งไววางใจในตัวเขา และตอ งใหเขาไววางใจในตวั เราดว ย 3. การยอมรับ เราจะตองรจู ักใหก ารยอมรบั และนบั ถือคนอน่ื รจู กั แสดงความ ช่นื ชม และยนิ ดกี ับความสําเรจ็ ของผูอื่น 4. การมีสว นรวม และการแบงปน สมั พนั ธภาพที่ดีคอื การไดมีสวนรว มแบง ปนใน ประสบการณ รจู ักรับฟงความคิด และยอมรับความจริงจากคนสว นมาก 5. การมีความยืดหยนุ คนท่มี ีความยืดหยนุ จะเปนคนทส่ี ามารถมคี วามสุข แมจะอยู กบั คนที่มคี วามเห็นตางกัน 6. ความเห็นอกเห็นใจผูอ่ืน การแสดงความเห็นอกเห็นใจ จะทําไดงายถามี สมั พันธภาพทดี่ ีตอ กัน เพราะจะไมเ กดิ ความเขา ใจผิดตอ กนั จากการท่คี นเราตองมีสัมพนั ธภาพทีด่ กี ับผอู ่ืนน้ัน กเ็ พื่อที่จะสามารถอยูรวมกับผูอืน่ ได โดยทไี่ ดร บั การชวยเหลอื จากผอู ื่นตามสมควร ไมวา จะเปนเพือ่ น พอแม พ่นี อง หรือคน อื่น ๆ โดยเฉพาะการมสี ัมพันธภาพที่ดีระหวา งพอแมก ับลกู วยั รุน เปนส่งิ ทส่ี าํ คญั มาก เพ่ือลูกจะไดเ ตบิ โตเปน ผใู หญทีด่ ี และประสบความสําเร็จในชวี ิตตอ ไป การสรางสมั พนั ธภาพดว ยการให ท การฝกใหเปน ผเู สยี สละ หรอื เปนผูใ หน ั้น พอแมจะตองสอนลกู หรือเปน ตัวอยา งในการเปน ผูใหเสมอ ท การใหโดยทัว่ ไปนน้ั เรามักจะนกึ ถึงแตการใหสงิ่ ของ หรือเงินทอง แตค วาม จริงยงั มีสิ่งสําคญั ท่ที กุ คนควรใหแกกัน ไดแ ก การใหรอยยิ้ม ใหความจริงใจ ใหก ารชว ยเหลือ ให คาํ ชมเชย ใหความเมตตา ใหอภัย ฯลฯ ซ่งึ การใหส งิ่ เหลานไี้ มตอ งเสยี เงินทองซ้อื หา แตต อ งเปน การให ทอ่ี อกมาจากใจจริง จะเปนการสรา งมติ รภาพทีด่ ตี อ กนั ท ใหนกึ เสมอวา จงเปนผใู หเถดิ ใหผ อู ่ืนใหมากข้นึ รับใหน อ ยลง จงึ จะเปน การ ทาํ ใหค รอบครัวเรามีความสขุ และสังคมจะอบอนุ เพอื่ ลกู ไดซึมซับ และนําไปใชในการเปนผใู หเ สมอ กบั เพ่อื น ๆ พี่ นอ ง และคนอ่ืน ๆ ทอ่ี ยรู วมกนั การฝกใหเปนคนนา รัก นา คบหา เคยไดย นิ อาจารยท า นหน่ึงพูดในรายการโทรทัศนนานมาแลว วา “ลกู เราไมวาจะเปน อยา งไร มนั ก็ดูนารกั ไปหมดในสายตาพอ แม แตเ ราจะตอ งสอนลกู เราใหเ ปนคนนารัก เพื่อที่คนอ่ืนเขา จะไดร ักลกู เราดว ย”

187 ท พวกเราที่เปนผูใหญค งเคยเหน็ เด็กประเภทนบี้ า ง เชน - เห็นผใู หญแลว ไมไ หว ทาํ เปนมองไมเหน็ - พูดจาไมเพราะ หนาบง้ึ ตงึ - ไมร จู ักกาลเทศะ - เอาแตใ จตัวเอง - ทําทาอวดดี เดก็ ทเ่ี ปนอยางน้ี ผูใหญก็จะมองวาไมน ารักเลย บางทีทําใหอดคิดไมไดวา พอ แมคงไมมเี วลาสง่ั สอน ท สวนในกลมุ ของเด็กวัยรุนดวยกัน ไดลองถามวาเพื่อนแบบไหนท่ีไมอยากคบ ดวย กไ็ ดค ําตอบวา - ประเภทท่ีชอบดถู ูกเพ่อื น - เอาเปรียบไมชว ยงานกลมุ - ขี้อิจฉาเพื่อน เหน็ เพือ่ นมีดไี มไ ด - ชอบพดู ใหคนอน่ื หนาแตก หมอไมรับเย็บ - คยุ โมโออวดตนเอง และวา คนอ่ืน - ชอบแกลงเพือ่ น ถาเปนอยา งน้ีเพ่ือนกไ็ มอยากคบหาสมาคม และไมอยากใหเขา รวมกลุม เพราะเขา ท่ีไหนก็วงแตกกระเจงิ ทกุ ที จนเพอ่ื น ๆ เออื มระอา ท คนเปน พอ แมคงเศรา ใจมาก ถาลูกเรากลายเปน คนนารงั เกยี จทีไ่ มม ใี คร อยากคบ ดังน้ันพอ แมตอ งพยายามพูดคุยยกตัวอยางคนทที่ ําตัวนา รกั และคนที่ทําตัวไมน ารกั ให ลกู เห็น เพ่ือเปรียบเทียบ และเอาเปนตัวอยาง ซ่ึงลกั ษณะของคนนารักนั้น พระเทพวิสุทธิกวี แหง วัด โสมนัสวิหาร กรงุ เทพมหานคร ไดกลา ววา คนที่นา รกั ยอ มมคี ุณสมบัติ 9 ประการ คือ 1. ไมเ ปนคนอวดดี 2. ไมพ ดู มากจนเขาเบือ่ 3. เปนคนออนนอมถอ มตน 4. รูจักผอนสนั้ ผอ นยาว 5. พดู จาออนหวาน 6. เปนคนเสยี สละ ไมเ อาเปรยี บผอู นื่ 7. เปนคนกตัญูกตเวที 8. เปนคนไมม ีนิสัยริษยา เสยี ดสีผอู ่นื 9. เปนคนมีนสิ ยั สุขมุ รอบคอบ ไมย กตนขมทาน

188 “พอแมท่ีหวังใหล ูกเปน ท่ีรกั ของผใู หญ และเพือ่ นฝงู ตองพยายามเพาะนสิ ยั ดงั กลาวใหก ับลูก ก็จะทาํ ใหก ารอยูร วมกับผอู ื่นในสังคมเกิดเปนสัมพันธภาพท่ีดีระหวางกันและกัน ทุกคนกจ็ ะมีแตค วามสุข” 2.3 ทักษะการเขา ใจผูอ ืน่ การที่บุคคลจะอยูในครอบครัว อยูในสังคมอยางมคี วามสุข จําเปนตองรูจกั ตนเอง และรูจกั ผทู ีต่ นเกยี่ วของสมั พนั ธด ว ย ดงั ภาษติ จีนท่วี า “รเู ขา รูเรา รบรอ ยคร้งั ชนะรอ ยครั้ง” ดังน้นั การท่ีเราจะทาํ ความรูจกั ผูอื่น ซ่ึงเราจะตองเก่ยี วขอ งสัมพันธดวย ไมว าจะเปน ภายในครอบครัวของเราเอง หรอื ในสถานศกึ ษา ในสถานทที่ ํางาน เพราะเราไมสามารถอยูคนเดียวได ในทุกที ทุกสถานการณ หลักในการเขา ใจผูอน่ื มดี งั นี้ 1. ตองคํานงึ วาคนทกุ คนมศี กั ดศ์ิ รคี วามเปนมนุษยเชนเดียวกับเรา จงึ ควรปฏิบัตกิ บั เพอื่ นมนุษยทุกคนดวยความเคารพในศกั ด์ศิ รีของความเปน มนุษยเทาเทียมกัน ไมวาจะเปน คนจน คนรวย คนแก เดก็ คนพกิ าร ฯลฯ 2. บุคคลทุกคนมคี วามแตกตางกัน ท้ังพ้ืนฐานความรู ฐานะทางเศรษฐกิจ สภาพ ความเปน อยู ระดบั การศกึ ษา การปลกู ฝง คณุ ธรรม คานิยม ระเบียบ วินัย ความรบั ผิดชอบ ฯลฯ ดงั น้ัน หากเรายอมรับความแตกตา งระหวา งบุคคลดงั กลา ว จะทาํ ใหเราพยายามทําความเขา ใจเขา และสื่อสาร กับเขาดวยกริ ิยาวาจาสภุ าพ ซึ่งหากยังไมเ ขาใจเราก็จําเปนตองอดทน และอธบิ ายดว ยภาษาที่เขาใจงาย ไมแ สดงอาการดูถูกดูแคลน หรอื แสดงอาการหงุดหงิด ราํ คาญ เปนตน 3. การเอาใจเขามาใสใ จเรา บุคคลทัว่ ไปมักชอบใหคนอืน่ เขาใจตนเอง ยอมรบั ใน ความตอ งการ ควรเปน ตัวตนของตนเอง ดงั น้ันจงึ มกั มคี าํ พูดตดิ ปากเสมอ เชน ฉันอยา งนั้น ฉันอยาง นี้ ทําไมเธอไมทําอยา งน้ัน ทําไมเธอไมทําอยางน้ี ทาํ ไมเธอถึงไมเขา ใจฉนั ฯลฯ ซึง่ เปน การเอาใจเรา ไปยัดเยยี ดใสใจเขา และมกั ไมพึงพอใจในทกุ เรอื่ ง ทุกฝา ย ท้งั นใี้ นดานกลับกนั หากเราคดิ ใหม ปฏบิ ัติ ใหม โดยพยายามทาํ ความเขาใจผูอ น่ื ไมว าจะเปน พอแมเขาใจลูก หรือลกู เขาใจ พอ แม เพอ่ื นเขาใจ เพือ่ น โดยการทาํ ความเขา ใจวาเขาหรือเธอมีเหตผุ ลอะไร ทําไมจงึ แสดงพฤติกรรมเชนนั้น เขามีความ ตองการอะไร เขาชอบอะไร ฯลฯ เม่ือเราพยายามเขาใจเขา และปฏิบัติใหสอดคลอ งกบั ความชอบ ความตองการของเขาแลว ก็จะทําใหการอยูรวมกัน หรอื การทํางานรวมกันเปนไปดวยความราบรื่น และแสดงความสงบสนั ติสขุ ในครอบครัว ชุมชน และสงั คม 4. การรับฟงผูอน่ื การที่เราจะเขาใจผูอน่ื ไดดีหรือไม ขึ้นอยูกับวา เรารับฟงความ คดิ เหน็ ความตอ งการของเขามากนอยเพียงใด บุคคลทั่วไปในปจจุบนั ไมชอบฟงคนอ่ืนพูด แตชอบท่ี จะพูดใหคนอื่นฟง และปฏบิ ัตติ าม ดงั นั้น สิง่ สําคญั ทีเ่ ปนพ้ืนฐานที่จะทาํ ใหเราเขาใจผูอ่ืนก็คือ ทักษะ การฟง ซ่งึ จะตองเปน การฟงอยา งต้ังใจ ไมข ัดจังหวะ หรอื แสดงอาการเบ่ือหนาย และควรแสดงกิริยา

189 ตอบรับ เชน สบตา ผงกศรี ษะ ทงั้ นี้ การฟงอยางต้ังใจ จะทาํ ใหเ รารบั ทราบความคดิ ความตอ งการ หรอื ปญ หาของผูทเี่ ราเกี่ยวของดว ย ไมวาจะเปนในฐานะลูกกับพอแม พอแมก บั ลูก นายจางกับลกู จาง หัวหนา กับลูกนอง ฯลฯ ซงึ่ จะทาํ ใหเราเกิดอาการเขา ใจ และสามารถแกป ญ หาไดอยางถกู ตองในท่ีสุด กิจกรรม 1 ใหผ ูเรยี นยกตวั อยา ง วิธีการส่อื สารกบั พอ แม และหัวหนา งาน หรือลูกนอ ง ดงั น้ี 1. การสอ่ื สารกับพอ แม กรณีขอไปเทย่ี วคางคืนตา งจงั หวัด ..................................................................................................................................................... ..................................................................................................................................................... ................................................................................. .................................................................... 2. การสอื่ สารกับหวั หนางาน หรอื ลูกนอ ง กรณีขอขน้ึ เงินเดือน หรอื ลดโบนัส ..................................................................................................................................................... ..................................................................................................................................................... ................................................. ................................................................................................... กิจกรรม 2 ถาทา นมลี กู วยั รุนท่กี ําลังมีปญ หาอกหกั ถกู แฟนบอกเลิก ทานจะมีแนวทางชวยเหลือ ลกู อยา งไร โดยใชท ักษะการสอื่ สาร การสรา งสมั พนั ธภาพ และทกั ษะการเขาใจผอู ื่น ..................................................................................................................................................... ............................................................................. ........................................................................ ..................................................................................................................................................... ..................................................................................................................................................... ..................................................................................................................................................... .....................................................................................................................................................

190 บทที่ 10 อาชพี แปรรูปสมุนไพร สมุนไพรกบั บทบาททางเศรษฐกิจ สมุนไพร หมายถึง พืชที่มีสรรพคุณในการรักษาโรค หรืออาการเจ็บปวยตาง ๆ การใช สมุนไพรสาํ หรับรักษาโรค หรืออาการเจ็บปว ยตางๆ น้ี จะตองนําเอาสมนุ ไพรต้ังแตส องชนดิ ขน้ึ ไปมา ผสมรวมกนั ซงึ่ จะเรียกวา ยา ในตาํ รบั ยา นอกจากพืชสมนุ ไพรแลวยังอาจประกอบดวยสัตวและแรธ าตุ อีกดวย เราเรยี กพืช สัตว หรือแรธาตทุ ่ีเปนสว นประกอบของยาน้ีวา เภสัชวตั ถุ สมุนไพรเปน สวน หนึ่งในแผนพัฒนาเศรษฐกจิ และสังคมแหงชาติ กระทรวงสาธารณสุขไดด ําเนิน โครงการ สมุนไพร กบั สาธารณสุขมูลฐาน โดยเนน การนาํ สมุนไพรมาใชบําบดั รักษาโรคใน สถานบริการสาธารณสขุ ของ รัฐมากขนึ้ และ สง เสรมิ ใหปลกู สมุนไพรเพ่อื ใชภ ายในหมูบา นเปนการสนับสนุนใหม กี ารใชสมนุ ไพร มากย่ิงข้ึน อันเปนวิธีหนึ่งท่ีจะชวยประเทศชาติประหยัดเงินตราในการสั่งซื้อยาสําเร็จรูปจาก ตางประเทศไดปล ะเปน จํานวนมาก การผลิตสมุนไพรในรปู แบบการประกอบอาชพี ปจจุบันมีผูพยายามศึกษาคนควาเพื่อพัฒนาผลิตภัณฑสมุนไพรใหสามารถนํามาใชใน รปู แบบทีส่ ะดวกยง่ิ ขน้ึ เชน นํามาบดเปนผงบรรจุแคปซูล ตอกเปนยาเม็ด เตรยี มเปนครีมหรอื ยาขี้ผงึ้ เพื่อใชทาภายนอก เปน ตน ในการศึกษาวิจัยเพ่อื นําสมุนไพรมาใชเ ปนยาแผนปจ จุบันนั้น ไดมกี ารวจิ ัย อยางกวา งขวาง โดยพยายามสกัดสารสําคญั จากสมุนไพรเพ่ือใหไดสารท่บี รสิ ุทธ์ิ ศกึ ษาคุณสมบัติ ทางดานเคมี ฟสิกสของสารเพื่อใหทราบวาเปนสารชนิดใด ตรวจสอบฤทธิ์ดานเภสัชวิทยาใน สตั วทดลองเพือ่ ดูใหไดผลดีในการรกั ษาโรคหรอื ไมเพียงใด ศึกษาความเปน พิษและผลขา งเคยี ง เมื่อ พบวาสารชนดิ ใดใหผลในการรกั ษาทด่ี ี โดยไมมพี ิษหรือมพี ิษขางเคียงนอยจงึ นําสารนน้ั มาเตรียมเปน ยารูปแบบทเี่ หมาะสมเพ่ือทดลองใชต อ ไป การแปรรปู สมนุ ไพรเพื่อการจาํ หนา ย สมุนไพรถูกนาํ มาใชสารพัดประโยชน และถกู แปรรปู ออกมาในแบบตาง ๆ เพ่ือการจําหนาย ซ่ึงสามารถนํามาใชประกอบอาชีพ ท่ังอาชีพหลัก ละอาชีพเสรมิ ได ส่ิงสําคัญทสี่ ุดของการแปรรูป สมุนไพร คือ การปรงุ สมุนไพร การปรุงสมนุ ไพร หมายถึง การสกัดเอาตวั ยาออกมาจากเนื้อไมยา สารท่ีใชสกัดเอาตัวยา ออกมาท่ีนิยมใชก ัน ไดแ ก นา้ํ และเหลา สมุนไพรที่นํามาปรงุ ตามภมู ปิ ญ ญาดัง้ เดิมมี 7 รูปแบบ คือ

191 1.การตม เปน การสกดั ตัวยาออกมาจากไมยาดว ยน้ํารอ น เปนวิธีที่นิยมใชม ากที่สดุ ใชก บั สว นของเน้ือไมทีแ่ นน และแขง็ เชน ลาํ ตนและราก ซึง่ จะตอ งใชก ารตมจึงจะไดต วั ยาทีเ่ ปน สารสําคัญ ออกมา ขอ ดีของการตม คือ สะอาด ปลอดจากเชอื้ โรค มี 3 ลักษณะ การตมกินตางน้ํา คือการตมใหเดือดกอ นแลวตมดว ยไฟออน ๆอีก 10 นาที หลังจากนั้น นาํ มากนิ แทนนํา้ การตมเค่ยี วคอื การตมใหเ ดือดออ น ๆ ใชเ วลาตม 20-30 นาที การตม 3 เอา 1 คือ การตมจากนํ้า 3 สวน ใหเ หลอื เพียง 1 สวน ใชเวลาตม 30-45 นาที 2.การชง เปน การสกดั ตวั ยาสมนุ ไพรดว ยน้ํารอ น ใชก บั สวนท่บี อบบาง เชน ใบ ดอก ท่ีไม ตองการโดนนํา้ เดือดนาน ๆ ตวั ยากอ็ อกมาได วิธีการชง คือ ใหนํายาใสแกวเติมน้าํ รอนจดั ลงไป ปด ฝาแกวท้งิ ไวจนเยน็ ลกั ษณะนี้เปน การปลอ ยตวั ยาออกมาเตม็ ท่ี 3. การใชนํ้ามัน ตัวยาบางชนิดไมย อ ยละลายนา้ํ แมวาจะตมเคย่ี วแลวกต็ าม สวนใหญยาที่ ละลายนาํ้ จะไมละลายในน้ํามันเชนกัน จึงใชน ้ํามันสกัดยาแทน แตเนื่องจากยานํ้ามันทาแลวเหนียว เหนอะหนะ เปอนเสือ้ ผา จึงไมนยิ มปรงุ ใชก ัน 4.การดองเหลา เปน การใชกบั ตัวยาของสมุนไพรที่ไมล ะลายน้ํา แตละลายไดดีในเหลาหรอื แอลกอฮอล การดองเหลามักมีกลน่ิ แรงกวายาตม เน่ืองจากเหลา มีกลิ่นฉนุ และหากกินบอ ย ๆอาจทํา ใหตดิ ได จงึ ไมน ิยมกินกนั จะใชต อเมอ่ื กนิ ยาเม็ดหรือยาตมแลวไมไ ดผล 5.การตม คนั้ เอาน้าํ เปนการนําเอาสว นของตนไมท่ีมีน้ํามาก ๆ ออ นนุม ตําแหลกงาย เชน ใบ หัว หรือเหงา นํามาตําใหล ะเอยี ด และคั้นเอาแตน า้ํ ออกมา สมุนไพรที่ใชวิธีการนี้กินมากไมไ ด เชนกัน เพราะน้ํายาที่ไดจะมีกล่นิ และรสชาตทิ ี่รุนแรง ตัวยาเขมขนมาก ยากท่ีจะกลืนเขาไปท่ีเดยี ว ฉะน้นั กนิ ครงั้ ละหนึง่ ถว ยชาก็พอแลว 6.การบดเปนผง เปนการนาํ สมนุ ไพรไปอบหรอื ตากแหงแลว บดใหเ ปน ผง สมุนไพรที่เปน ผงละเอยี ดมากย่ิงมีสรรพคุณดี เพราะจะถกู ดดู ซึมสูลําไสง า ย จึงเขา สูรางกายไดรวดเร็ว สมุนไพรผง ชนดิ ใดทก่ี นิ ยากกจ็ ะใชปนเปนเมด็ ที่เรียกวา \"ยาลูกกลอน\" โดยใชน ํ้าเชือ่ มน้ําขาวหรือนาํ้ ผึ้ง เพอ่ื ให ตดิ กนั เปน เมด็ สวนใหญนยิ มใชน้าํ ผง้ึ เพราะสามารถเก็บไวไดน านโดย ไมขึ้นรา 7.การฝน เปนวธิ ีการท่ีหมอพ้ืนบานนิยมกนั มาก วิธีการฝน คือ หาภาชนะใสนาํ้ สะอาด ประมาณครึง่ หน่ึงแลวนาํ หนิ ลับมีดเล็ก ๆ จมุ ลงไปในหินโผลเหนือน้าํ เล็กนอย นําสมุนไพรมาฝนจน ไดน้ําสีขุนเลก็ นอ ย กนิ ครั้งละ 1 แกว

192 อยา งไรก็ตาม การแปรรูปผลติ ภณั ฑส มุนไพร ควรแปรรูปในลักษณะอาหารหรือเครอื่ งใชท่ี ไมจ ัดอยใู นประเภทยารักษา คอื ไมม สี รรพคณุ ในการรกั ษาหรือปองกัน บรรเทา บําบดั โรค เนอื่ งจาก ผลติ ภณั ฑป ระเภทยาจะตองผา นการตรวจสอบท่ีมีมาตรฐานสูงและถูกตอ ง มีผชู ํานาญการทีม่ ีคุณวฒุ ิใน การดาํ เนินการดว ย ลักษณะของผูทีจ่ ะประกอบอาชพี ผลติ ภัณฑสมุนไพรในการปรุงผลิตภัณฑจากสมุนไพร ผู ปรุงจําเปนตอ งรหู ลักการปรุงผลติ ภัณฑจากสมุนไพร 4 ประการคอื 1. เภสัชวตั ถุ ผปู รงุ ตอ งรูจักชื่อ และลักษณะของเภสชั วัตถุท้ัง 3 จําพวก คือ พืชวัตถุ สตั ว วตั ถุ และธาตุวตั ถุ รวมทั้งรูป สี กล่นิ และรสของเภสชั วตั ถนุ ้นั ๆ ตัวอยา งเชน กะเพราเปน ไมพุมขนาด เลก็ มี 2 ชนิด คอื กะเพราแดงและกะเพราขาว ใบมีกลิ่นหอม รสเผด็ รอน หลกั ของการปรุงยาขอนี้ จาํ เปน ตองเรยี นรูจากของจริง 2. สรรพคุณเภสัช ผูปรงุ ตอ งรูจักสรรพคุณของยา ซึ่งสัมพันธกับรสของสมุนไพรเรียกวา รสประธาน แบงออกเปน 2.1 สมนุ ไพรรสเย็น ไดแ ก ยาที่ประกอบดวยใบไมท่ีรสไมเผ็ดรอนเชน เกสรดอกไม สัตว เขา (เขาสตั ว 7 ชนิด) เนาวเขย้ี ว (เขย้ี วสตั ว 9 ชนิด) และของทเี่ ผาเปน ถาน ตัวอยา งเชน ยามหานิล ยา มหากาฬ เปนตน ยากลมุ นี้ใชส าํ หรบั รกั ษาโรคหรอื อาการผิดปกตทิ างเตโชธาตุ (ธาตไุ ฟ) 2.2 สมุนไพรรสรอน ไดแก ยาที่นําเอาเบญจกูล ตรีกฎก หัสคุณ ขิง และขามาปรุง ตัวอยางเชน ยาแผนโบราณท่ีเรียกวายาเหลืองทั้งหลาย ยากลุมนี้ใชส ําหรบั รกั ษาโรคและอาการ ผิดปรกตทิ างวาโยธาตุ (ธาตุลม) 2.3 สมนุ ไพรรสสขุ ุมไดแก ยาท่ผี สมดว ย โกฐ เทยี น กฤษณา กระลําพัก ชะลดู อบเชย ขอนดอก และแกน จันทนเทศ เปนตน ตวั อยางเชน ยาหอมทั้งหลาย ยากลุมนใ้ี ชรักษาความผดิ ปรกติ ทางโลหติ นอกจากรสประธานของสมุนไพรดังท่กี ลา วนี้เภสชั วตั ถุยงั มรี สตางๆ อีก 9 รสคือ รสฝาด รส หวาน รสเบื่อเมา รสขม รสมัน รสหอมเย็น รสเค็ม รสเปร้ียว และรสเผด็ รอน ในตําราสมุนไพรแผน โบราณบางตําราไดเพ่มิ รสจืดอกี รสหนึง่ ดวย 3. คณาเภสัช ผูป รุงสมุนไพรตอ งรจู ักเครื่องสมุนไพรท่ีประกอบดวยเภสชั วัตถุมากกวา 1 ชนดิ ท่นี ํามารวมกันแลว เรียกเปนชอ่ื เดียว ตวั อยา งเชน ทเวคนั ธา หมายถงึ เคร่อื งสมุนไพรท่ีประกอบดว ยเภสชั วัตถุ 2 ชนิด คอื รากบุนนาค และ รากมะซาง


Like this book? You can publish your book online for free in a few minutes!
Create your own flipbook