Important Announcement
PubHTML5 Scheduled Server Maintenance on (GMT) Sunday, June 26th, 2:00 am - 8:00 am.
PubHTML5 site will be inoperative during the times indicated!

Home Explore 8. วิทยาศาตร์ พว21001

8. วิทยาศาตร์ พว21001

Published by clube.indy, 2020-04-20 02:08:03

Description: 8. วิทยาศาตร์ พว21001

Search

Read the Text Version

หนงั สือเรียนสาระความรู้พนื ฐาน รายวิชา วทิ ยาศาสตร์ (พว ) ระดบั มัธยมศึกษาตอนต้น (ฉบบั ปรับปรุง พ.ศ. 25 ) หลกั สูตรการศึกษานอกระบบ ระดบั การศึกษาขนั พนื ฐาน พทุ ธศกั ราช สานกั งานส่งเสริมการศึกษานอกระบบและการศึกษาตามอธั ยาศยั สานกั งานปลดั กระทรวงศกึ ษาธิการ กระทรวงศึกษาธิการ ห้ามจาหน่าย หนงั สือเรียนเล่มนีจดั พิมพด์ ว้ ยเงินงบประมาณแผน่ ดินเพือการศึกษาตลอดชีวติ สาหรับประชาชน ลิขสิทธิเป็นของ สานกั งาน กศน. สานกั งานปลดั กระทรวงศึกษาธิการ เอกสารทางวิชาการลาดับที 10/

หนงั สือเรียนสาระความรู้พนื ฐาน ) รายวชิ า วทิ ยาศาสตร์ (พว ระดบั มธั ยมศึกษาตอนตน้ ฉบบั ปรับปรุง พ.ศ. 25 ลิขสิทธิเป็นของ สานกั งาน กศน. สานกั งานปลดั กระทรวงศึกษาธิการ เอกสารทางวชิ าการลาดบั ที 10/

คาํ นํา กระทรวงศึกษาธกิ ารไดป้ ระกาศใชห้ ลกั สูตรการศกึ ษานอกระบบระดบั การศึกษาขนั พืนฐาน พุทธศักราช เมือวนั ที กันยายน พ.ศ. แทนหลักเกณฑ์และวิธีการจัดการศึกษานอก โรงเรียน ตามหลกั สูตรการศึกษาขนั พืนฐาน พทุ ธศกั ราช ซึงเป็นหลกั สูตรทีพฒั นาขึนตามหลกั ปรัชญาและความเชือพนื ฐานในการจดั การศึกษานอกโรงเรียนทีมกี ลุ่มเป้ าหมายเป็ นผูใ้ หญ่มีการเรียนรู้ และสงั สมความรู้และประสบการณอ์ ยา่ งต่อเนือง ในปี งบประมาณ กระทรวงศึกษาธิการไดก้ ําหนดแผนยุทธศาสตร์ในการขับเคลอื น นโยบายทางการศึกษาเพือเพิมศกั ยภาพและขีดความสามารถในการแข่งขันให้ประชาชนได้มีอาชีพ ทีสามารถสร้างรายไดท้ ีมงั คงั และมนั คง เป็นบุคลากรทีมวี ินยั เปี ยมไปดว้ ยคณุ ธรรมและจริยธรรม และ มีจิตสาํ นึกรับผดิ ชอบต่อตนเองและผูอ้ ืน สาํ นกั งาน กศน. จึงไดพ้ ิจารณาทบทวนหลกั การ จุดหมาย มาตรฐาน ผลการเรียนรู้ทีคาดหวงั และเนือหาสาระ ทงั กลุ่มสาระการเรียนรู้ ของหลกั สูตรการศึกษา นอกระบบระดบั การศึกษาขนั พืนฐาน พุทธศักราช ให้มีความสอดคลอ้ งตอบสนองนโยบาย กระทรวงศึกษาธิการ ซึงส่งผลใหต้ ้องปรับปรุงหนงั สือเรียน โดยการเพิมและสอดแทรกเนือหาสาระ เกียวกบั อาชีพ คุณธรรม จริยธรรมและการเตรี ยมพร้อม เพือเขา้ สู่ประชาคมอาเซียน ในรายวิชาทีมี ความเกียวขอ้ งสัมพันธ์กัน แต่ยงั คงหลกั การและวิธีการเดิมในการพัฒนาหนงั สือทีใหผ้ ูเ้ รียนศกึ ษา คน้ ควา้ ความรูด้ ว้ ยตนเอง ปฏิบตั กิ ิจกรรม ทาํ แบบฝึ กหดั เพอื ทดสอบความรู้ความเข้าใจ มีการอภิปราย แลกเปลยี นเรียนรูก้ บั กลมุ่ หรือศกึ ษาเพมิ เติมจากภูมปิ ัญญาทอ้ งถิน แหล่งการเรียนรู้และสืออืน การปรับปรุงหนงั สือเรียนในครังนี ไดร้ ับความร่วมมืออย่างดียงิ จากผทู้ รงคุณวุฒิในแต่ละ สาขาวชิ า และผเู้ กยี วขอ้ งในการจดั การเรียนการสอนทีศึกษาคน้ ควา้ รวบรวมข้อมลู องคค์ วามรู้จากสือ ต่าง ๆ มาเรียบเรียงเนือหาให้ครบถว้ นสอดคล้องกบั มาตรฐาน ผลการเรียนรู้ทีคาดหวงั ตวั ชีวดั และ กรอบเนือหาสาระของรายวชิ า สํานักงาน กศน. ขอขอบคุณผูม้ สี ่วนเกียวข้องทุกท่านไว้ ณ โอกาสนี และหวงั ว่าหนงั สือเรียนชุดนีจะเป็นประโยชนแ์ ก่ผูเ้ รียน ครู ผูส้ อน และผูเ้ กียวข้องในทุกระดับ หากมี ขอ้ เสนอแนะประการใด สาํ นกั งาน กศน. ขอนอ้ มรับดว้ ยความขอบคุณยงิ

สารบัญ หน้า คํานํา คาํ แนะนําการใช้หนังสือเรียน โครงสร้างรายวชิ า พว 21001 วทิ ยาศาสตร์ บทที ทกั ษะทางวทิ ยาศาสตร์และกระบวนการทางวทิ ยาศาสตร์ บทที โครงงานวทิ ยาศาสตร์ บทที เซลล์ บทที กระบวนการดาํ รงชีวิตของพืชและสัตว์ บทที ระบบนิเวศ บทที โลก บรรยากาศ ปรากฏการณท์ างธรรมชาติ สิงแวดลอ้ มและ ทรัพยากรธรรมชาติ บทที สารและการจาํ แนกสาร บทที ธาตแุ ละสารประกอบ บทที สารละลาย บทที สารและผลติ ภณั ฑใ์ นชวี ติ บทที แรงและการใชป้ ระโยชน์ บทที งานและพลงั งาน บทที ดวงดาวกบั ชีวติ บทที 14 อาชีพช่างไฟฟ้ า บรรณานุกรม คณะทาํ งาน

คาํ แนะนําการใช้หนงั สือเรยี น หนังสือเรียนสาระความรู้พนื ฐาน รายวิชาวิทยาศาสตร์ ระดบั มธั ยมศึกษาตอนต้น หลกั สูตร การศึกษานอกระบบ ระดบั การศกึ ษาขันพืนฐาน พทุ ธศกั ราช รหสั พว เป็ นหนังสือเรียน ทีจดั ทาํ ขึน สาํ หรับผเู้ รียนทเี ป็นนักศกึ ษานอกระบบ ในการศึกษาหนังสือเรียนสาระความรู้พนื ฐาน รายวิชาวทิ ยาศาสตร์ ผเู้ รียนควรปฏบิ ตั ิดงั นี 1. ศึกษาโครงสร้างรายวิชาให้เข้าใจในหวั ข้อและสาระสาํ คัญ ผลการเรียนรู้ทีคาดหวงั และขอบข่ายเนือหาของรายวชิ านัน ๆ โดยละเอียด 2. ศึกษารายละเอียดเนือหาของแต่ละบทอย่างละเอียด และทาํ กิจกรรมตามทีกําหนด แลว้ ตรวจสอบกับแนวตอบกิจกรรมตามทีกาํ หนด ถ้าผูเ้ รียนตอบผิดควรกลบั ไปศึกษาและทาํ ความ เขา้ ใจในเนือหานนั ใหมใ่ ห้เขา้ ใจ ก่อนทจี ะศึกษาเรืองตอ่ ๆ ไป 3. ปฏิบตั ิกิจกรรมท้ายเรืองของแต่ละเรือง เพือเป็ นการสรุปความรู้ ความเข้าใจของเนือหา ในเรืองนนั ๆ อีกครัง และการปฏิบัติกิจกรรมของแต่ละเนือหา แต่ละเรื อง ผูเ้ รี ยนสามารถนาํ ไป ตรวจสอบกบั ครูและเพอื น ๆ ทีร่วมเรียนในรายวชิ าและระดบั เดียวกนั ได้ 4. หนังสือเรียนเลม่ นีมี 4 บท บทที ทกั ษะทางวิทยาศาสตร์และกระบวนการทางวิทยาศาสตร์ บทที โครงงานวทิ ยาศาสตร์ บทที เซลล์ บทที กระบวนการดาํ รงชีวติ ของพชื และสตั ว์ บทที ระบบนิเวศ บทที โลก บรรยากาศ ปรากฏการณ์ทางธรรมชาติ สิงแวดลอ้ มและ ทรัพยากรธรรมชาติ บทที สารและการจาํ แนกสาร บทที ธาตุและสารประกอบ บทที สารละลาย บทที สารและผลติ ภณั ฑใ์ นชีวิต บทที แรงและการใชป้ ระโยชน์ บทที งานและพลงั งาน บทที ดวงดาวกบั ชวี ติ บทที 14 อาชีพช่างไฟฟ้ า

โครงสร้างรายวิชา พว วทิ ยาศาสตร์ สาระสําคญั 1. กระบวนการทางวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี เรือง ธรรมชาติของวิทยาศาสตร์ กระบวนการทางวิทยาศาสตร์ วิธีการทางวิทยาศาสตร์ ทักษะกระบวนการทางวิทยาศาสตร์ เจตคติ ทางวทิ ยาศาสตร์ เทคโนโลยี และโครงงานวทิ ยาศาสตร์ . สิงมีชีวติ และสิงแวดลอ้ ม เรือง เซลล์ กระบวนการดาํ รงชีวิตของพืชและสตั ว ระบบนิเวศ โลก บรรยากาศ ปรากฏการณท์ างธรรมชาติ ทรพั ยากรธรรมชาติและสิงแวดลอ้ ม 3. สารเพอื ชีวติ เรือง การจาํ แนกสาร ธาตุและสารประกอบ สารละลาย กรด เบส สารและ ผลิตภณั ฑ์ในชีวติ . แรงและพลงั งานเพือชีวติ เรือง แรงและการใชป้ ระโยชน์ของแรงงานและพลงั งาน . ดาราศาสตร์เพือชีวติ เรือง ดวงดาวกบั ชีวติ ผลการเรียนรู้ทคี าดหวงั 1. ใชค้ วามรู้และกระบวนการทางวทิ ยาศาสตร์ วธิ ีการทางวทิ ยาศาสตร์ ทกั ษะกระบวนการ ทางวิทยาศาสตร์ เจตคติทางวทิ ยาศาสตร์ และทาํ โครงงานวทิ ยาศาสตร์ได้ . อธิบายเกียวกบั เซลล์ กระบวนการดาํ รงชวี ิตของพชื และระบบต่าง ๆ ของสัตว์ . อธิบายเกียวกบั ความสัมพนั ธ์ระหว่างสิงมีชีวิตกับสิงแวดลอ้ ม ในระบบนิเวศ การถา่ ยทอด พลงั งาน การแกป้ ัญหา การดูแลรักษา และการอนุรักษท์ รัพยากรธรรมชาตแิ ละสิงแวดลอ้ มของท้องถนิ และประเทศ . อธิบายเกียวกับโลก และบรรยากาศ ปรากฏการณ์ทางธรรมชาติ การกระทาํ ของมนุษยท์ ีมี ผลต่อการเปลยี นแปลงของโลกในปัจจุบนั การป้ องกนั ภยั ทีเกิดจากปรากฏการณ์ทางธรรมชาติ . อธิบายเกียวกับสมบัติทางกายภาพและทางเคมีของสาร การจําแนกสาร กรด-เบส ธาตุ สารประกอบ สารละลาย ของผสม การใช้สารและผลิตภัณฑ์ ในชีวติ ประจําวนั ได้อยา่ งถูกตอ้ งและ ปลอดภยั ต่อชวี ิต . อธิบายเกียวกบั แรง และการใชป้ ระโยชน์ของแรง . อธิบายเกียวกบั พลงั งานไฟฟ้ า การต่อวงจรไฟฟ้ า เครืองใชไ้ ฟฟ้ าในชีวิตประจาํ วนั แสงและ สมบตั ิของแสง เลนส์ ประโยชน์และโทษจากแสง การเปลียนรูปพลงั งาน พลงั งานความร้อนและ แหล่งกาํ เนิด การนาํ พลงั งานไปใชป้ ระโยชน์ในชวี ติ ประจาํ วนั และการอนุรักษพ์ ลงั งานได้ . อธิบายเกียวกบั ดวงดาว และการใชป้ ระโยชน์

. อธิบาย ออกแบบ วางแผน ทดลอง ทดสอบ ปฏิบตั ิการเรืองไฟฟ้ าได้อย่างถกู ต้องและ ปลอดภยั คิด วิเคราะห์ เปรียบเทียบขอ้ ดี ขอ้ เสีย ของการต่อวงจรไฟฟ้ าแบบอนุกรม แบบขนาน แบบผสม ประยกุ ต์และเลอื กใชค้ วามรู้ และทกั ษะอาชีพช่างไฟฟ้ า ใหเ้ หมาะสมกบั ดา้ นบริหารจดั การ และการบริการ เพอื นาํ ไปสู่การจดั ทาํ โครงงานวทิ ยาศาสตร์ ขอบข่ายเนือหา บทที ทกั ษะทางวิทยาศาสตร์และกระบวนการทางวิทยาศาสตร์ บทที โครงงานวทิ ยาศาสตร์ บทที เซลล์ บทที กระบวนการดาํ รงชีวติ ของพืชและสัตว์ บทที ระบบนิเวศ บทที โลก บรรยากาศ ปรากฏการณ์ทางธรรมชาติ สิงแวดลอ้ มและทรัพยากรธรรมชาติ บทที สารและการจาํ แนกสาร บทที ธาตุและสารประกอบ บทที สารละลาย บทที สารและผลติ ภณั ฑ์ในชีวิต บทที แรงและการใชป้ ระโยชน์ บทที งานและพลงั งาน บทที ดวงดาวกบั ชวี ติ บทที 14 อาชีพช่างไฟฟ้ า

1 บทที 1 ทักษะทางวทิ ยาศาสตร์และกระบวนการทางวทิ ยาศาสตร์ สาระสําคัญ วทิ ยาศาสตร์เป็นเรืองของการเรียนรู้เกียวกับธรรมชาติ โดยมนุษยใ์ ช้ทักษะต่าง ๆ สํารวจและ ตรวจสอบ ทดลองเกียวกับปรากฏการณ์ทางธรรมชาติ และนาํ ผลทีไดม้ าจัดให้เป็นระบบ และตังขึน เป็ นทฤษฎี ซึงทกั ษะทางวทิ ยาศาสตร์ ประกอบดว้ ย 13 ทกั ษะ ในการดาํ เนินการหาคาํ ตอบเรืองใดเรืองหนึง นอกจากจะตอ้ งใชท้ กั ษะทางวิทยาศาสตร์แลว้ ในการหาคาํ ตอบจะตอ้ งมกี ารกาํ หนดลาํ ดับขนั ตอนอย่างเป็ นระบบตงั แต่ตน้ จนจบเรียงลาํ ดับขนั ตอน ในการหาคาํ ตอบเหล่านีวา่ กระบวนการทางวิทยาศาสตร์ ซึงประกอบดว้ ย 5 ขนั ตอน ผลการเรียนรู้ทีคาดหวงั 1. อธิบายธรรมชาติและความสาํ คญั ของวทิ ยาศาสตร์และเทคโนโลยี 2. อธิบายทกั ษะทางวิทยาศาสตร์ทงั ทกั ษะได้ 3. อธิบายกระบวนการทางวิทยาศาสตร์ทงั ขนั ตอนได้ 4. นาํ ความรู้และกระบวนการทางวทิ ยาศาสตร์ไปใชแ้ กป้ ัญหาต่าง ๆ ได้ ขอบข่ายเนือหา เรืองที กระบวนการทางวิทยาศาสตร์ เรืองที 2 เทคโนโลยี เรืองที วสั ดุและอุปกรณท์ างวทิ ยาศาสตร์

2 เรืองที กระบวนการทางวทิ ยาศาสตร์ วทิ ยาศาสตร์เป็นเรืองของการเรียนรู้เกียวกบั ธรรมชาติ โดยมนุษยใ์ ชก้ ระบวนการสงั เกต สาํ รวจ ตรวจสอบ ทดลองเกียวกบั ปรากฏการณ์ทางธรรมชาติ และนาํ ผลมาจดั เป็นระบบหลกั การ แนวคิดและ ทฤษฎี ดังนัน ทักษะวิทยาศาสตร์ จึงเป็ นการปฏิบัติ เพือให้ไดม้ าซึงคําตอบในข้อสงสัยหรื อ ขอ้ สมมตฐิ านต่าง ๆ ของมนุษยต์ งั ไว้ ทกั ษะทางวทิ ยาศาสตร์ ประกอบดว้ ย 1. การสงั เกต เป็นวธิ กี ารไดม้ าของขอ้ สงสัย รับรู้ขอ้ มูล พจิ ารณาขอ้ มลู จากปรากฏการณ์ ทางธรรมชาติทีเกดิ ขึน 2. ตงั สมมติฐาน เป็นการระดมความคิด สรุปสิงทีคาดว่าจะเป็นคาํ ตอบของปัญหาหรือ ขอ้ สงสัยนนั ๆ 3. ออกแบบการทดลองเพอื ศกึ ษาผลของตวั แปรทีตอ้ งศึกษา โดยควบคุมตวั แปรอนื ๆ ทีอาจ มผี ลต่อตวั แปรทตี อ้ งการศกึ ษา 4. ดาํ เนินการทดลอง เป็นการกระทาํ กบั ตวั แปรทกี าํ หนด ซึงไดแ้ ก่ ตวั แปรตน้ ตวั แปรตาม และตวั แปรทตี อ้ งควบคุม 5. รวบรวมขอ้ มูล เป็ นการบนั ทึกรวบรวมผลการทดลองหรือผลจากการกระทาํ ของตวั แปร ทีกาํ หนด 6. แปลและสรุปผลการทดลอง คุณลกั ษณะของบุคคลทมี จี ิตวทิ ยาศาสตร์ 1. เป็นคนทมี ีเหตุผล 1) จะตอ้ งเป็นคนทียอมรับ และเชือในความสาํ คญั ของเหตผุ ล 2) ไม่เชอื โชคลาง คาํ ทาํ นาย หรือสิงศกั ดิสิทธิต่าง ๆ 3) คน้ หาสาเหตุของปัญหาหรือเหตุการณ์และหาความสัมพนั ธข์ องสาเหตุกบั ผล ทีเกิดขนึ 4) ตอ้ งเป็นบุคคลทีสนใจปรากฏการณ์ต่าง ๆ ทีเกิดขนึ และจะตอ้ งเป็นบุคคลทีพยายาม คน้ หาคาํ ตอบวา่ ปรากฏการณ์ต่าง ๆ นนั เกิดขึนไดอ้ ยา่ งไร และทาํ ไมจึงเกดิ เหตุการณเ์ ช่นนนั 2. เป็นคนทีมคี วามอยากรู้อยากเห็น 1) มีความพยายามทีจะเสาะแสวงหาความรู้ในสถานการณ์ใหม่ ๆ อยเู่ สมอ 2) ตระหนักถงึ ความสาํ คญั ของการแสวงหาขอ้ มูลเพมิ เติมเสมอ 3) จะตอ้ งเป็นบุคคลทีชอบซกั ถาม คน้ หาความรู้โดยวิธกี ารต่าง ๆ อย่เู สมอ 3. เป็นบุคคลทมี ใี จกวา้ ง 1) เป็นบุคคลทีกลา้ ยอมรับการวพิ ากษ์วจิ ารณจ์ ากบุคคลอืน

3 2) เป็นบุคคลทจี ะรับรู้และยอมรับความคิดเห็นใหม่ ๆ อย่เู สมอ 3) เป็นบุคคลทีเต็มใจทจี ะเผยแพร่ความรู้และความคิดให้แกบ่ ุคคลอนื 4) ตระหนักและยอมรับขอ้ จาํ กดั ของความรู้ทีคน้ พบในปัจจุบนั 4. เป็ นบคุ คลทีมคี วามซือสตั ย์ และมีใจเป็นกลาง 1) เป็นบคุ คลทีมีความซอื ตรง อดทน ยตุ ิธรรม และละเอยี ดรอบคอบ 2) เป็นบุคคลทีมคี วามมนั คง หนกั แน่นต่อผลทีไดจ้ ากการพิสูจน์ 3) สงั เกตและบนั ทึกผลตา่ ง ๆ อยา่ งตรงไปตรงมา ไมล่ าํ เอียง และมอี คติ 5. มีความเพียรพยายาม 1) ทาํ กิจกรรมทีไดร้ ับมอบหมายให้เสร็จสมบูรณ์ 2) ไมท่ อ้ ถอยเมือผลการทดลองลม้ เหลว หรือมีอปุ สรรค 3) มคี วามตงั ใจแน่วแน่ต่อการคน้ หาความรู้ 6. มคี วามละเอยี ดรอบคอบ ) รู้จกั ใชว้ จิ ารณญาณกอ่ นทีจะตดั สินใจใด ๆ ) ไมย่ อมรับสิงหนึงสิงใดจนกว่าจะมีการพสิ ูจนท์ ีเชือถอื ได้ ) หลีกเลยี งการตดั สินใจ และการสรุปผลทียงั ไม่มีการวิเคราะหแ์ ลว้ เป็นอยา่ งดี

4 กิจกรรมที ภาพ ก ภาพ ข ภาพแสดงทรัพยากรธรรมชาติทเี คยมอี ย่างสมบูรณ์ได้ถูกทําลายจนร่อยหรอไปแล้ว ใหศ้ ึกษาภาพและสรุปผลการเกดิ ความแตกต่างกนั ของภาพ โดยใชท้ กั ษะทางวิทยาศาสตร์ ตามหวั ขอ้ ต่อไปนี 1. จากการสังเกตภาพเห็นขอ้ แตกต่างในเรืองใดบา้ ง ................................................................................................................................................................... ................................................................................................................................................................... ................................................................................................................................................................... ................................................................................................................................................................... ................................................................................................................................................................... .................................................................................................................................................................. 2. ตงั สมมติฐานของสาเหตุความแตกตา่ งกนั ทางธรรมชาติ จากภาพดงั กลา่ วสามารถตงั สมมติฐาน สาเหตุความแตกต่างอะไรบา้ ง ................................................................................................................................................................... .................................................................................................................................................................. ................................................................................................................................................................... .................................................................................................................................................................. ................................................................................................................................................................... ..................................................................................................................................................................

5 กระบวนการทางวิทยาศาสตร์ การดาํ เนินการเรืองใดเรืองหนึงจะตอ้ งมกี ารกาํ หนดขนั ตอน อยา่ งเป็ นลาํ ดบั ตงั แต่ตน้ จนแลว้ เสร็จตามวตั ถปุ ระสงค์ทกี าํ หนด กระบวนการทางวทิ ยาศาสตร์ จงึ เป็ นแนวทางการดาํ เนินการโดยใช้ทักษะวิทยาศาสตร์ ใชใ้ นการจดั การ ซึงมลี าํ ดบั ขนั ตอน ดงั นี 1. การกาํ หนดปัญหา 2. การตงั สมมติฐาน 3. การทดลองและรวบรวมขอ้ มูล 4. การวเิ คราะหข์ อ้ มลู 5. การสรุปผล ขันตอนที การกําหนดปัญหา เป็ นการกาํ หนดหวั เรืองทีจะศึกษาหรือปฏิบตั ิการแกป้ ัญหา เป็ นปัญหาทีไดม้ าจากการสังเกต จากขอ้ สงสัยในปรากฏการณ์ตา่ ง ๆ ทีพบเห็น เช่น ทาํ ไมตน้ ไมท้ ีปลกู ไวใ้ บเหียวเฉา ปัญหามหี นอนมาเจาะกิงมะม่วงแกไ้ ขไดอ้ ยา่ งไร ปลากดั ขยายพนั ธุไ์ ดอ้ ย่างไร ตวั อยา่ งการกาํ หนดปัญหา ป่ าไมห้ ลายแห่งถูกทาํ ลายอยใู่ นสภาพทีไม่สมดุล หน้าดินเกิดการพงั ทลาย ไม่มีต้นไม้ หรือ วชั พชื หญา้ ปกคลมุ ดิน เมอื ฝนตกลงมานาํ ฝนจะกดั เซาะหน้าดินไปกบั กระแสนาํ แต่บริเวณพืนทีมีวชั พชื และหญา้ ปกคลุมดนิ จะชว่ ยดดู ซบั นาํ ฝนและลดอตั ราการไหลของนาํ ดงั นนั ผดู้ าํ เนินการจึงสนใจอยาก ทราบว่า อัตราการไหลของนําจะขึนอยกู่ ับสิงทีช่วยดูดซับนําหรื อไม่ โดยทดลองใช้แผ่นใยขัด เพอื ทดสอบอตั ราการไหลของนาํ จึงจดั ทาํ โครงงาน การทดลอง การลดอตั ราไหลของนาํ โดยใชแ้ ผน่ ใยขดั ขันตอนที การตงั สมมติฐานและการกาํ หนดตัวแปรเป็ นการคาดคะเนคาํ ตอบของปัญหาใด ปัญหาหนึงอย่างมเี หตุผล โดยอาศยั ข้อมลู จากการสังเกต การศกึ ษาจากเอกสารทีเกียวขอ้ ง การพบผรู้ ู้ ในเรืองนนั ๆ ฯลฯ และกาํ หนดตวั แปรทีเกียวขอ้ งกบั การทดลอง ไดแ้ ก่ ตวั แปรตน้ ตวั แปรตาม ตวั แปร ควบคุม สมมติฐาน ตวั อยา่ ง แผ่นใยขดั ช่วยลดอตั ราการไหลของนาํ (ทาํ ให้นาํ ไหลชา้ ลง) ตวั แปร ตวั แปรตน้ คือ แผ่นใยขดั ตวั แปรตาม คือ ปริมาณนาํ ทีไหล ตวั แปรควบคมุ คือ ปริมาณนาํ ทีเทหรือรด

6 ขันตอนที การทดลองและรวบรวมขอ้ มลู เป็นการปฏิบตั กิ ารทดลองคน้ หาความจริงให้ สอดคลอ้ งกบั สมมตฐิ านทีตงั ไว้ ในขนั ตอนการตงั สมมติฐาน (ขนั ตอนที ) และรวบรวมขอ้ มูลจากการ ทดลองหรือปฏบิ ตั กิ ารนันอย่างเป็นระบบ ตวั อย่าง การออกแบบการทดลอง วสั ดุอุปกรณ์ จดั เตรียมวสั ดุอุปกรณ์ โดยจดั เตรียม กระบะ จาํ นวน กระบะ - ทรายสาํ หรับใส่กระบะทงั ให้มปี ริมาณเท่า ๆ กนั - กิงไมจ้ าํ ลอง สาํ หรบั ปักในกระบะทงั จาํ นวนเท่า ๆ กนั - แผน่ ใยขดั สาํ หรับปูบนพนื ทรายกระบะใดกระบะหนึง - นาํ สาํ หรับเทลงในกระบะทงั ปริมาณเท่า ๆ กนั ขันตอนที การวิเคราะหข์ ้อมลู และทดสอบสมมติฐานเป็ นการนาํ ข้อมูลทีรวบรวมได้จาก ขนั ตอนการทดลองและรวบรวมขอ้ มูล (ขนั ตอนที ) มาวิเคราะหห์ าความสัมพนั ธข์ องขอ้ เทจ็ จริงต่าง ๆ เพอื นาํ มาอธิบายและตรวจสอบกบั สมมติฐานทีตงั ไว้ ในขนั ตอนการตงั สมมติฐาน (ขนั ตอนที ) ถา้ ผลการวิเคราะห์ไม่สอดคลอ้ งกับสมมติฐาน สรุปไดว้ ่าสมมติฐานนนั ไม่ถูกตอ้ ง ถา้ ผลวิเคราะห์ สอดคลอ้ งกบั สมมตฐิ าน ตรวจสอบหลายครงั ไดผ้ ลเหมือนเดิมก็สรุปไดว้ ่าสมมติฐานและการทดลอง นนั เป็นจริง สามารถนาํ ไปอา้ งองิ หรือเป็นทฤษฎีต่อไปได้ ตัวอย่าง - วธิ ีการทดลอง นาํ ทรายใส่กระบะทงั ใหม้ ีปริมาณเท่า ๆ กนั ทาํ เป็นพืนลาดเอียง กระบะที วางแผน่ ใยขดั ในกระบะทรายแลว้ ปักกิงไมจ้ าํ ลอง กระบะที ปักกงิ ไมจ้ าํ ลองโดยไมม่ ีแผน่ ใยขดั ทดลองเทนาํ จากฝกั บวั ทีมีปริมาณนาํ เท่า ๆ กนั พร้อม ๆ กนั ทงั กระบะ การทดลอง ควรทดลองมากกว่า ครัง เพือใหไ้ ดผ้ ลการทดลองทมี ีความน่าเชอื ถือ - ผลการทดลอง กระบะที (มีแผ่นใยขดั ) นาํ ทีไหลลงมาในกระบะ จะไหลอยา่ งชา้ ๆ เหลือปริมาณน้อย พนื ทรายไมพ่ งั กิงไมจ้ าํ ลองไมล่ ม้ กระบะที (ไม่มีแผ่นใยขดั ) นาํ ทีไหลลงสู่พืนกระบะจะไหลอย่างรวดเร็ว พรอ้ มพดั พาเอา กิงไมจ้ าํ ลองมาดว้ ย พืนทรายพงั ทลายจาํ นวนมาก ขันตอนที การสรุปผล เป็นการสรุปผลการศกึ ษา การทดลอง หรือการปฏบิ ตั ิการนนั ๆ โดยอาศยั ขอ้ มูลและการวิเคราะห์ขอ้ มูลและทดสอบสมมติฐาน (ขนั ตอนที ) เป็นหลกั

7 สรุปผลการทดลอง จากการทดลองสรุปไดว้ า่ แผน่ ใยขดั มผี ลต่อการไหลของนาํ ทาํ ใหน้ าํ ไหลไดอ้ ยา่ งช้าลง รวมทงั ช่วยใหก้ ิงไมจ้ าํ ลองยดึ ติดกับทรายในกระบะได้ ซึงต่างจากกระบะทีไม่มีแผน่ ใยขัดทีนําไหลอย่าง รวดเร็ว และพดั เอากิงไมแ้ ละทรายลงไปดว้ ย เมือดาํ เนินการเสร็จสิน ขนั ตอนนีแลว้ ผดู้ าํ เนินการตอ้ งจดั ทาํ เป็ นเอกสารรายงานการศกึ ษา การทดลองหรือการปฏิบตั ิการนนั เพือเผยแพร่ต่อไป ทกั ษะทางวทิ ยาศาสตร์และกระบวนการทางวทิ ยาศาสตร์ วิทยาศาสตร์เป็นเรืองของการเรียนรู้เกยี วกบั ธรรมชาติ โดยมนุษยใ์ ชก้ ระบวนการสังเกต สาํ รวจ ตรวจสอบ ทดลองเกียวกบั ปรากฏการณ์ทางธรรมชาติ และนาํ ผลมาจดั เป็นระบบหลกั การ แนวคิดและ ทฤษฎี ดงั นัน ทกั ษะทางวิทยาศาสตร์ จึงเป็ นการปฏิบัติเพือให้ไดม้ าซึงคาํ ตอบในขอ้ สงสัยหรื อ ขอ้ สมมตฐิ านต่าง ๆ ของมนุษยต์ งั ไว้ ทกั ษะทางวิทยาศาสตร์ ประกอบด้วย 1. การสังเกต เป็นวิธกี ารไดม้ าของขอ้ สงสยั รับรู้ขอ้ มูล พจิ ารณาขอ้ มูล จากปรากฏการณ์ ทางธรรมชาติทีเกิดขึน 2. ตงั สมมติฐาน เป็นการระดมความคิด สรุปสิงทคี าดว่าจะเป็นคาํ ตอบของปัญหาหรือขอ้ สงสยั นนั ๆ 3. ออกแบบการทดลองเพือศกึ ษาผลของตวั แปรทีตอ้ งศึกษา โดยควบคุมตวั แปรอนื ๆ ทีอาจมี ผลต่อตวั แปรทีตอ้ งการศกึ ษา 4. ดาํ เนินการทดลอง เป็นการกระทาํ ตวั แปรทีกาํ หนด ไดแ้ ก่ ตวั แปรตน้ ตวั แปรตามและ ตวั แปรทีตอ้ งการศึกษา 5. รวบรวมขอ้ มูล เป็ นการบนั ทึกรวบรวมผลการทดลองหรือผลจากการกระทาํ ของตวั แปร ทีกาํ หนด 6. แปลและสรุปผลการทดลอง ทกั ษะกระบวนการทางวิทยาศาสตร์ประกอบด้วย ทกั ษะ ดังนี 1. ทกั ษะขันมูลฐาน ทักษะ ได้แก่ . ทกั ษะการสังเกต (Observing) . ทกั ษะการวดั (Measuring) . ทกั ษะการจาํ แนกหรือทกั ษะการจดั ประเภทสิงของ (Classifying) . ทกั ษะการใชค้ วามสัมพนั ธร์ ะหว่างสเปสกบั เวลา (Using Space / Relationship) . ทกั ษะการคาํ นวณและการใชจ้ าํ นวน(Using Numbers) . ทกั ษะการจดั กระทาํ และสือความหมายขอ้ มลู (Comunication)

8 . ทกั ษะการลงความเห็นจากขอ้ มลู (Inferring) . ทกั ษะการพยากรณ์ (Predicting) 2. ทักษะขนั สูงหรือทกั ษะขันผสม ทกั ษะ ได้แก่ 1. ทกั ษะการตงั สมมุติฐาน (Formulating Hypothesis) 2. ทกั ษะการควบคมุ ตวั แปร (Controlling Variables) 3. ทกั ษะการตีความและลงขอ้ สรุป (Interpreting data) 4. ทกั ษะการกาํ หนดนิยามเชิงปฏบิ ตั ิการ (Defining Operationally) 5. ทกั ษะการทดลอง (Experimenting) รายละเอยี ดทักษะกระบวนการทางวทิ ยาศาสตร์ทงั ทกั ษะ มรี ายละเอียด โดยสรุปดงั นี ทกั ษะการสังเกต (Observing) หมายถึง การใชป้ ระสาทสัมผสั ทงั ในการสังเกต ได้แก่ ใชต้ า ดูรูปร่าง ใชห้ ูฟังเสียง ใชล้ นิ ชิมรส ใชจ้ มูกดมกลนิ และใชผ้ วิ กายสัมผสั ความร้อนเยน็ หรือใชม้ ือจบั ตอ้ ง ความอ่อนแข็ง เป็ นต้น การใช้ประสาทสัมผัสเหล่านีจะใช้ทีละอย่างหรื อหลายอย่างพร้อมกัน เพอื รวบรวมขอ้ มูลก็ไดโ้ ดยไม่เพิมความคิดเห็นของผสู้ ังเกตลงไป ทักษะการวัด (Measuring) หมายถึง การเลือกและการใช้เครื องมือวดั ปริมาณของสิงของ ออกมาเป็ นตวั เลขทีแน่นอนได้อยา่ งเหมาะสม และถูกต้องโดยมีหน่วยกาํ กบั เสมอในการวดั เพอื หา ปริมาณของสิงทีวดั ตอ้ งฝึกใหผ้ เู้ รียนหาคาํ ตอบ คาํ คือ จะวดั อะไร วดั ทาํ ไม ใชเ้ ครืองมืออะไรวดั และ จะวดั ไดอ้ ย่างไร ทักษะการจําแนกหรือทกั ษะการจัดประเภทสิงของ (Classifying) หมายถึง การแบ่งพวกหรือ การเรียงลาํ ดบั วตั ถุ หรือสิงทีอยูใ่ นปรากฏการณโ์ ดยการหาเกณฑ์หรือสรา้ งเกณฑใ์ นการจาํ แนกประเภท ซึงอาจใชเ้ กณฑ์ความเหมือนกัน ความแตกต่างกัน หรือความสัมพนั ธ์กันอย่างใดอย่างหนึงก็ได้ ซึงแลว้ แต่ผเู้ รียนจะเลือกใช้เกณฑใ์ ด นอกจากนีควรสร้างความคิดรวบยอดให้เกิดขึน เช่น ของกลุ่ม เดียวกนั อาจแบ่งออกไดห้ ลายประเภท ทงั นีขึนอยู่กบั เกณฑท์ ีเลอื กใช้ และวตั ถชุ ินหนึงในเวลาเดียวกนั จะตอ้ งเป็นประเภทเดียวกนั เทา่ นนั ทักษะการหาพนื ทแี ละความสัมพนั ธ์ระหว่างพืนทแี ละเวลา (Using Space / Relationship) หมายถงึ การหาความสมั พนั ธ์ระหว่างมติ ิต่าง ๆ ทีเกยี วกบั สถานที รูปทรง ทิศทาง ระยะทาง พนื ที เวลา ฯลฯ เช่น การหาความสมั พนั ธ์ระหว่าง สเปสกบั สเปส คือ การหารูปร่างของวตั ถุ โดยสังเกตจากเงาของ วตั ถเุ มือแสงตกกระทบวตั ถใุ นมมุ ต่าง ๆ การหาความสัมพนั ธร์ ะหว่าง เวลากบั เวลา เช่น การหาความสมั พนั ธร์ ะหว่างจังหวะการแกว่ง ของลูกตมุ้ นาฬิกากบั จงั หวะการเตน้ ของชีพจร การหาความสมั พนั ธ์ระหวา่ ง สเปสกบั เวลา เชน่ การหาตาํ แหน่งของวตั ถุทีเคลือนทีไปเมือเวลา เปลยี นไป

9 ทกั ษะการคาํ นวณและการใช้จาํ นวน (Using Numbers) หมายถงึ การนาํ เอาจาํ นวนทีไดจ้ ากการ วดั การสังเกต และการทดลองมาจดั กระทาํ ให้เกดิ คา่ ใหม่ เชน่ การบวก ลบ คณู หาร การหาค่าเฉลีย การหาค่าต่าง ๆ ทางคณิตศาสตร์ เพอื นาํ ค่าทีไดจ้ ากการคาํ นวณไปใชป้ ระโยชน์ในการแปลความหมาย และการลงขอ้ สรุป ซึงในทางวิทยาศาสตร์เราตอ้ งใชต้ วั เลขอยูต่ ลอดเวลา เชน่ การอา่ น เทอร์โมมิเตอร์ การตวงสารต่าง ๆ เป็นตน้ ทกั ษะการจดั กระทาํ และสือความหมายข้อมูล (Communication) หมายถึง การนาํ เอาข้อมูล ซึงได้มาจากการสังเกต การทดลอง ฯลฯ มาจัดกระทาํ เสียใหม่ เช่น นํามาจัดเรียงลาํ ดับ หาค่าความถี แยกประเภท คํานวณหาค่าใหม่ นํามาจดั เสนอในรูปแบบใหม่ ตัวอย่างเช่น กราฟ ตาราง แผนภูมิ แผนภาพ วงจร ฯลฯ การนําข้อมูลอยา่ งใดอย่างหนึง หรือหลาย ๆ อยา่ งนี เรียกว่า การสือความหมาย ขอ้ มูล ทักษะการลงความเหน็ จากข้อมูล (Inferring) หมายถงึ การเพิมเติมความคิดเห็นใหก้ ับข้อมูล ทีมีอยู่อย่างมเี หตุผล โดยอาศยั ความรู้หรือประสบการณ์เดิมมาช่วย ขอ้ มูลอาจจะไดจ้ ากการสังเกต การวดั การทดลอง การลงความเหน็ จากขอ้ มูลเดียวกนั อาจลงความเห็นไดห้ ลายอยา่ ง ทักษะการพยากรณ์ (Predicting) หมายถงึ การคาดคะเนหาคาํ ตอบล่วงหน้าก่อนการทดลอง โดยอาศยั ขอ้ มูลทีไดจ้ ากการสงั เกต การวดั รวมไปถึงความสัมพนั ธร์ ะหวา่ งตัวแปรทีได้ศึกษามาแลว้ หรืออาศยั ประสบการณท์ ีเกิดซาํ ๆ ทักษะการตงั สมมุติฐาน (Formulating Hypothesis) หมายถงึ การคิดหาค่าคาํ ตอบล่วงหน้า ก่อนจะทาํ การทดลอง โดยอาศยั การสงั เกต ความรู้ ประสบการณ์เดิมเป็ นพืนฐาน คาํ ตอบทีคิดลว่ งหนา้ ยงั ไม่เป็ นหลกั การ กฎ หรื อทฤษฎีมาก่อน คําตอบทีคิดไวล้ ว่ งหน้านี มกั กล่าวไวเ้ ป็ นขอ้ ความทีบอก ความสัมพนั ธ์ระหวา่ งตวั แปรตน้ กบั ตวั แปรตาม เชน่ ถา้ แมลงวนั ไปไข่บนกอ้ นเนือ หรือขยะเปี ยกแลว้ จะทาํ ให้เกดิ ตวั หนอน ทักษะการควบคมุ ตวั แปร (Controlling Variables) หมายถึง การควบคุมสิงอืนๆ นอกเหนือจาก ตวั แปรอสิ ระ ทีจะทาํ ให้ผลการทดลองคลาดเคลือน ถา้ หากว่าไมค่ วบคมุ ใหเ้ หมือน ๆ กนั และเป็นการ ป้ องกนั เพือมิใหม้ ขี อ้ โตแ้ ยง้ ขอ้ ผิดพลาด หรือตดั ความไม่น่าเชือถอื ออกไป ตวั แปรแบ่งออกเป็น ประเภท คือ 1. ตวั แปรอสิ ระหรือตวั แปรตน้ 2. ตวั แปรตาม 3. ตวั แปรทีตอ้ งควบคุม ทกั ษะการตีความและลงข้อสรุป (Interpreting data) ขอ้ มูลทางวิทยาศาสตร์ ส่วนใหญจ่ ะอยใู่ นรูปของลกั ษณะตาราง รูปภาพ กราฟ ฯลฯ การนาํ ขอ้ มูลไปใชจ้ ึงจาํ เป็นตอ้ งตีความใหส้ ะดวกทีจะสือความหมายไดถ้ กู ตอ้ งและเขา้ ใจตรงกนั การตคี วามหมายขอ้ มลู คือ การบรรยายลกั ษณะและคณุ สมบตั ิ

10 การลงขอ้ สรุป คือ การบอกความสมั พนั ธข์ องขอ้ มลู ทีมีอยู่ เช่น ถา้ ความดนั นอ้ ย นาํ จะเดือด ทีอุณหภูมิตาํ หรือนาํ จะเดือดเร็ว ถา้ ความดนั มากนาํ จะเดือดทีอณุ หภมู ิสูงหรือนาํ จะเดือดชา้ ลง ทักษะการกําหนดนิยามเชิงปฏิบัติการ (Defining Operationally) หมายถึง การกาํ หนด ความหมายและขอบเขตของคาํ ต่าง ๆ ทีมีอยูใ่ นสมมติฐานทีจะทดลองให้มีความรัดกุม เป็ นทีเขา้ ใจ ตรงกนั และสามารถสงั เกตและวดั ได้ เชน่ “การเจริญเติบโต” หมายความว่าอยา่ งไร ต้องกาํ หนดนิยาม ให้ชดั เจน เช่น การเจริญเติบโตหมายถึง มีความสูงเพมิ ขึน เป็นตน้ ทักษะการทดลอง (Experimenting) หมายถึง กระบวนการปฏบิ ตั ิการ โดยใชท้ กั ษะต่าง ๆ เช่น การสังเกต การวดั การพยากรณ์ การตังสมมติฐาน ฯลฯ มาใช้ร่วมกันเพือหาคําตอบ หรือทดลอง สมมติฐานทีตงั ไว้ ซึงประกอบดว้ ยกจิ กรรม ขนั ตอน 1. การออกแบบการทดลอง 2. การปฏิบตั กิ ารทดลอง 3. การบนั ทกึ ผลการทดลอง การใชก้ ระบวนการวิทยาศาสตร์ แสวงหาความรู้หรื อแกป้ ัญหาอยา่ งสมาํ เสมอ ช่วยพฒั นา ความคิดสร้างสรรค์ทางวิทยาศาสตร์ เกิดผลผลติ หรือผลิตภัณฑ์ทางวิทยาศาสตร์ทีแปลกใหม่และมี คุณคา่ ต่อการดาํ รงชีวิตของมนุษยม์ ากขนึ คุณลกั ษณะของบุคคลทีมจี ติ วทิ ยาศาสตร์ ลกั ษณะ 1. เป็ นคนมเี หตผุ ล 1) จะตอ้ งเป็นคนทียอมรับ และเชือในความสาํ คญั ของเหตุผล 2) ไมเ่ ชอื โชคลาง คาํ ทาํ นาย หรือสิงศกั ดิสิทธิต่าง ๆ 3) คน้ หาสาเหตขุ องปัญหาหรือเหตุการณ์และหาความสัมพนั ธ์ของสาเหตกุ บั ผลทีเกดิ ขนึ 4) ตอ้ งเป็นบุคคลทสี นใจปรากฏการณ์ตา่ ง ๆ ทีเกิดขนึ และจะตอ้ งเป็นบุคคลทีพยายาม คน้ หาคาํ ตอบวา่ ปรากฏการณ์ต่าง ๆ นนั เกิดขึนไดอ้ ย่างไร และทาํ ไมจึงเกิดเหตุการณเ์ ช่นนนั 2. เป็ นคนทีมีความอยากรู้อยากเห็น 1) มคี วามพยายามทีจะเสาะแสวงหาความรู้ในสถานการณ์ใหม่ ๆ อยเู่ สมอ 2) ตระหนักถึงความสาํ คญั ของการแสวงหาขอ้ มูลเพิมเติมอยเู่ สมอ 3) จะตอ้ งเป็นบุคคลทีชอบซกั ถาม คน้ หาความรู้โดยวธิ ีการตา่ ง ๆ อยเู่ สมอ 3. เป็ นบุคคลทมี ีใจกว้าง 1) เป็ นบคุ คลทีกลา้ ยอมรับการวิพากษ์วจิ ารณจ์ ากบุคคลอนื 2) เป็ นบุคคลทจี ะรับรู้และยอมรับความคิดเหน็ ใหม่ ๆ อยเู่ สมอ 3) เป็ นบคุ คลทเี ตม็ ใจทีจะเผยแพร่ความรูแ้ ละความคิดให้แกบ่ ุคคลอืน 4) ตระหนักและยอมรบั ขอ้ จาํ กดั ของความรู้ทีคน้ พบในปัจจุบนั

11 4. เป็ นบุคคลทีมคี วามซือสัตย์ และมีใจเป็ นกลาง 1) เป็ นบคุ คลทมี คี วามซือตรง อดทน ยุติธรรม และละเอียดรอบคอบ 2) เป็ นบุคคลทมี ีความมนั คง หนักแน่นต่อผลทีไดจ้ ากการพสิ ูจน์ 3) สงั เกตและบนั ทกึ ผลต่าง ๆ อยา่ งตรงไปตรงมา ไมล่ าํ เอียงและมีอคติ 5. มคี วามเพยี รพยายาม 1) ทาํ กิจกรรมทีไดร้ ับมอบหมายใหเ้ สร็จสมบูรณ์ 2) ไมท่ อ้ ถอย เมอื ผลการทดลองลม้ เหลว หรือมีอุปสรรค 3) มีความตงั ใจแน่วแน่ต่อการคน้ หาความรู้ 6. มีความละเอยี ดรอบคอบ 1) รู้จกั ใชว้ ิจารณญาณก่อนทีจะตดั สินใจใด ๆ 2) ไม่ยอมรับสิงหนึงสิงใดจนกว่าจะมกี ารพิสูจนท์ ีเชอื ถือได้ 3) หลีกเลียงการตดั สินใจ และการสรุปผลทียงั ไม่มกี ารวิเคราะหแ์ ลว้ เป็นอยา่ งดี แบบทดสอบ ทักษะวิทยาศาสตร์ คาํ ชีแจง จงนาํ ตวั อกั ษรหน้าทกั ษะตา่ ง ๆ ไปเติมหนา้ ขอ้ ทีสัมพนั ธ์กนั ก. ทกั ษะการสงั เกต ข. ทกั ษะการวดั ค. ทกั ษะการคาํ นวณ ง. ทกั ษะการจาํ แนกประเภท จ. ทกั ษะการทดลอง ............ . ด.ญ.อริษากาํ ลงั ทดสอบวทิ ยาศาสตร์ ............ . ด.ญ.วิไล วดั อณุ หภมู ิของอากาศได้ 40o C ............ . มา้ มี ขา สุนัขมี ขา ไก่มี ขา นกมี ขา ชา้ งมี ขา ............ . ด.ญ. พนิดา กาํ ลงั เทสารเคมี ............ . ด.ช. สุบินใชต้ ลบั เมตรวดั ความยาวของสนามตะกร้อ ............ . ด.ญ. พจิ ิตรแบง่ ผลไมไ้ ด้ กลุม่ คือ กลุ่มรสเปรียวและกลมุ่ รสหวาน ............ . ด.ญ.วรรณนิภา ดูภาพยนตร์วิทยาสาสตร์ มติ ิ ............ . ด.ญ. นนั ทพร หยดสารละลายไอโอดีน ลงบนขา้ วเหนียวทีเตรียมไว้ ............ . รูปทรงกระบอกมีความสูงประมาณ นิว ผิวเรียบ ............ . นักวทิ ยาศาสตร์แบ่งพืชออกเป็ น พวก คอื พชื ใบเลยี งเดียวและพชื ใบเลียงคู่

12 กจิ กรรม ที กระบวนการทางวิทยาศาสตร์ ใหน้ ักศกึ ษาออกแบบแกป้ ัญหาจากสถานการณ์ต่อไปนี โดยมอี ุปกรณ์ ดงั นี เมล็ดถวั ถว้ ยพลาสตกิ กระดาษทชิ ชู นาํ กระดาษสีดาํ กาํ หนดปัญหา............................................................................................................................................ การตงั สมมติฐาน....................................................................................................................................... การกาํ หนดตวั แปร ตวั แปรตน้ ..................................................................................................................................... ตวั แปรตาม.................................................................................................................................. ตวั แปรควบคมุ .............................................................................................................................. การทดลอง................................................................................................................................................. ................................................................................................................................................................. ................................................................................................................................................................. ................................................................................................................................................................. ................................................................................................................................................................. ................................................................................................................................................................. ................................................................................................................................................................. ................................................................................................................................................................. .................................................................................................................................................................. .................................................................................................................................................................. .................................................................................................................................................................

13 เรืองที เทคโนโลยี เทคโนโลยี (Technology) หมายถงึ ความรู้ วิชาการ รวมกบั ความรูว้ ิธกี ารและความชาํ นาญ ทีสามารถนาํ ไปปฏิบตั ใิ หเ้ กิดประโยชน์สูงสุด สนองความตอ้ งการของมนุษยเ์ ป็นสิงทีมนุษยพ์ ฒั นาขึน เพือช่วยในการทาํ งานหรือแก้ปัญหาต่าง ๆ เช่น อปุ กรณ์, เครืองมือ, เครืองจักร, วสั ดุ หรือ แมก้ ระทัง ทีไม่ได้เป็ นสิงของทีจบั ต้องได้ เช่น ระบบหรือกระบวนการต่าง ๆ เทคโนโลยี มีความสัมพันธ์กับ การดาํ รงชีวิตของมนุษยม์ าเป็ นเวลานาน เป็ นสิงทีมนุษยใ์ ช้แกป้ ัญหาพนื ฐาน ในการดํารงชีวิต เช่น การเพาะปลูก ทีอยูอ่ าศยั เครืองนุ่งห่ม ยารักษาโรค ในระยะแรกเทคโนโลยที ีนํามาใช้ เป็ นเทคโนโลยี พนื ฐานไมส่ ลบั ซบั ซอ้ นเหมือนดงั ปัจจุบนั การเพมิ ของประชากร และขอ้ จาํ กดั ดา้ นทรัพยากรธรรมชาติ รวมทังมีการพัฒนาความสัมพนั ธ์กับต่างประเทศเป็ นปัจจยั ดา้ นเหตุสาํ คัญในการนาํ และพฒั นา เทคโนโลยมี าใชม้ ากขึน เทคโนโลยใี นการประกอบอาชพี 1. เทคโนโลยีกบั การพฒั นาอตุ สาหกรรม การนาํ เทคโนโลยมี าใชใ้ นการผลติ ทาํ ให้ประสิทธิภาพ ในการผลิตเพมิ ขึน ประหยดั แรงงาน ลดตน้ ทุน และรักษาสภาพแวดลอ้ ม เทคโนโลยที ีมีบทบาทในการ พฒั นาอุตสาหกรรมในประเทศไทย เช่น คอมพิวเตอร์ และอิเล็กทรอนิกส์ การสือสาร เทคโนโลยชี ีวภาพ และพนั ธุกรรม วิศวกรรม เทคโนโลยเี ลเซอร์ การสือสาร การแพทย์ เทคโนโลยพี ลงั งาน เทคโนโลยวี สั ดุ- ศาสตร์ เชน่ พลาสติก แกว้ วสั ดุก่อสร้าง โลหะ 2. เทคโนโลยกี บั การพฒั นาดา้ นการเกษตร ใชเ้ ทคโนโลยีในการเพิมผลผลติ ปรับปรุงพนั ธุ์ เป็ นตน้ เทคโนโลยีมีบทบาทในการพัฒนาอยา่ งมาก แต่ทังนี การนําเทคโนโลยีมาใช้ในการพัฒนา จะต้องศึกษาปัจจัยแวดลอ้ มหลายดา้ น เช่น ทรัพยากรสิงแวดลอ้ ม ความเสมอภาคในโอกาสและ การแข่งขนั ทางเศรษฐกิจและสงั คม เพอื ใหเ้ กิดความผสมกลมกลืนต่อการพฒั นาประเทศชาติและส่วน อืน ๆ อกี มาก เทคโนโลยที ใี ช้ในชีวิตประจาํ วนั การนําเทคโนโลยีมาใช้ในชีวิตประจาํ วนั ของมนุษยม์ ีมากมายเนืองจากการไดร้ ับการพฒั นา ทางด้านเทคโนโลยี อย่างกว้างขวาง เช่น การส่งจดหมายผ่านทางอินเทอร์เน็ต การหาความรู้ผ่าน อินเทอร์เน็ต การพดู คยุ และแลกเปลียนความคดิ เห็นกัน การอ่านหนงั สือผ่านอนิ เทอร์เน็ต ลว้ นแต่เป็น เทคโนโลยที ีมีความกา้ วหน้าอย่างรวดเร็ว เป็นการประหยดั เวลาและสามารถหาความรู้ตา่ ง ๆไดร้ วดเร็ว ยงิ ขึน

14 เทคโนโลยีก่อเกิดผลกระทบต่อสังคมและพืนทที ีมเี ทคโนโลยเี ขา้ ไปเกียวข้องในหลายรูปแบบ เทคโนโลยีไดช้ ่วยให้สงั คมหลาย ๆ แห่งเกดิ การพฒั นาทางเศรษฐกิจมากขึนซึงรวมทงั เศรษฐกจิ โลก ในปัจจบุ นั ในหลาย ๆ ขนั ตอนของการผลิตโดยใช้เทคโนโลยี ซึงก่อให้เกิดผลผลิตทีไม่ตอ้ งการหรือ เรียกว่ามลภาวะ เกิดการสูญเสียทรัพยากรธรรมชาติและเป็นการทาํ ลายสิงแวดลอ้ ม เทคโนโลยหี ลาย ๆ อย่างทีถกู นาํ มาใชม้ ีผลต่อค่านิยมและวฒั นธรรมของสังคม เมือมีเทคโนโลยใี หม่ ๆ เกิดขึนกม็ กั จะถูกตงั คาํ ถามทางจริยธรรม เทคโนโลยที เี หมาะสม คาํ ว่าเทคโนโลยที ีเหมาะสม หมายความถึง เหมาะสมต่อสภาพเศรษฐกิจ สงั คม และความ ต้องการของประเทศ เทคโนโลยบี างเรืองเหมาะสมกับบางประเทศ ทงั นีขึนอยู่กบั สภาวะของแต่ละ ประเทศ . ความจาํ เป็นทีนาํ เทคโนโลยีมาใชใ้ นประเทศไทย ประชาชนส่วนใหญ่เป็นเกษตรกร รายได้ จากผลผลิตทางการเกษตรมมี ากกวา่ รายไดอ้ ยา่ งอืน และประมาณร้อยละ 80 ของประชากรอาศยั อย่ใู น ชนบท ดงั นนั การนาํ เทคโนโลยีมาใช้จึงเป็ นเรืองจาํ เป็ น โดยเฉพาะอยา่ งยงิ เทคโนโลยที างการเกษตร สินคา้ ทางการเกษตร ส่วนใหญ่ส่งออกจาํ หน่ายต่างประเทศในลกั ษณะวตั ถดุ ิบ เช่น การขายเมล็ดโกโก้ ให้ตา่ งประเทศแลว้ นาํ ไปผลิตเป็นชอ็ คโกแลต หากตงั โรงงานในประเทศไทยตอ้ งใชเ้ ทคโนโลยีเข้ามามี บทบาทในการพฒั นาการแปรรูป 2. เทคโนโลยีทเี หมาะสม มผี รู้ ู้หลายท่านไดต้ ีความหมายของคาํ ว่า “เหมาะสม” ว่าเหมาะสมกับ อะไร เหมาะสมต่อเศรษฐกจิ ระยะเวลาหรือระดบั เทคโนโลยที ีเหมาะสม เทคโนโลยที ีสามารถนํามาใช้ ให้เกิดประโยชน์ต่อการดาํ เนินกิจการต่าง ๆ สอดคลอ้ งกับความรู้ ความสามารถ ประสบการณ์ สภาพแวดลอ้ ม วฒั นธรรมสิงแวดลอ้ ม และกาํ ลงั เศรษฐกิจของคนทวั ไป เทคโนโลยที เี กยี วข้อง ได้แก่ 1. การตัดต่อยนี (genetic engineering) เทคโนโลยดี ีเอน็ เอสายผสม (recombinant DNA) และ เทคโนโลยีโมเลกลุ เครืองหมาย (molecular markers) 2. การเพาะเลยี งเซลล์ และ/หรือ การเพาะเลียงเนือเยอื (cell and tissue culturing) พชื และสตั ว์ 3. การใชป้ ระโยชนจ์ ุลนิ ทรียบ์ างชนิดหรือใชป้ ระโยชน์จากเอนไซมข์ องจุลนิ ทรีย์ เทคโนโลยีชวี ภาพทางการเกษตร ไดแ้ ก่ การพฒั นาการเกษตร ดา้ นพืช และสัตว์ ดว้ ยเทคโนโลยชี ีวภาพ 1. การปรบั ปรุงพนั ธุพ์ ืชและการผลิตพืชพนั ธุ์ใหม่ (crop improvement) เช่น พืชไร่ พชื ผกั ไมด้ อก . การผลิตพืชพนั ธุ์ดใี หไ้ ดป้ ริมาณมาก ๆ ในระยะเวลาอนั สนั (micropropaagation) . การผสมพนั ธุส์ ัตวแ์ ละการปรับปรุงพนั ธุ์สัตว์ (breeding and upgrading of livestocks)

15 4. การควบคมุ ศตั รูพชื โดยชีววิธี (biological pest control) และจุลินทรียท์ ีชว่ ยรักษา สภาพแวดลอ้ ม 5. การปรับปรุงกระบวนการการผลติ อาหารใหม้ ปี ระสิทธิภาพและมีความปลอดภยั ตอ่ ผบู้ ริโภค 6. การริเริมค้นควา้ หาทรัพยากรธรรมชาติมาใช้ประโยชน์ (search for utilization of unused resources) และการสรา้ งทรัพยากรใหม่ เรอื งที วัสดุและอุปกรณ์ทางวทิ ยาศาสตร์ อุปกรณ์ทางวิทยาศาสตร์ คือ เครืองมือทีใช้ทงั ภายในและภายนอกห้องปฏบิ ัติการ เพือใช้ ทดลองและหาคาํ ตอบตา่ ง ๆ ทางวิทยาศาสตร์ ประเภทของเครืองมอื ทางวิทยาศาสตร์ 1. ประเภททวั ไป เช่น บีกเกอร์ หลอดทดสอบ ไพเพท บิวเรต กระบอกตวง หลอดหยดสาร แท่งแก้วคนสาร ซึงอุปกรณ์เหล่านีผลติ ขึนจากวสั ดุทีเป็ นแกว้ เนืองจากป้ องกันการทาํ ปฏิกิริยากับ สารเคมี นอกจากนียงั มี เครืองชงั แบบต่าง ๆ กลอ้ งจุลทรรศน์ ตะเกียงแอลกอฮอล์ เป็ นตน้ ซึงอุปกรณ์ เหล่านีมีวิธีใชง้ านแตกต่างกนั ออกไป ตามลกั ษณะของงาน 2. ประเภทเครื องมือช่าง เป็ นอุปกรณ์ทีใช้ได้ทังภายในห้องปฏิบัติการ และภายนอก ห้องปฏิบตั กิ าร เช่น เวอร์เนีย คีม และแปรง เป็นตน้ 3. ประเภทสินเปลือง และสารเคมี เป็นอปุ กรณท์ างวิทยาศาสตร์ทใี ชแ้ ลว้ หมดไปไม่สามารถนาํ กลบั มาใชไ้ ดอ้ ีก เชน่ กระดาษกรอง กระดาษลติ มสั และสารเคมี การใช้อุปกรณ์ทางวทิ ยาศาสตร์ประเภทต่าง ๆ 1.การใช้งานอุปกรณ์วิทยาศาสตร์ประเภททัวไป บีกเกอร์(BEAKER) บีกเกอร์มหี ลายขนาดและมีความจุตา่ งกนั โดยทีขา้ งบีกเกอร์จะมตี วั เลขระบุความจุของบีกเกอร์ ทาํ ให้ผใู้ ชส้ ามารถทราบปริมาตรของของเหลวทีบรรจุอยู่ไดอ้ ยา่ งคร่าวๆ และบกี เกอร์มคี วามจุตงั แต่ 5 มิลลลิ ิตรจนถึงหลาย ๆ ลิตร อีกทงั เป็นแบบสูง แบบเตีย และแบบรูปทรงกรวย (conical beaker) บีกเกอร์จะมีปากงอเหมือนปากนกซึงเรียกว่า spout ทาํ ใหก้ ารเทของเหลวออกได้โดยสะดวก spout ทาํ ให้สะดวกในการวางไมแ้ กว้ ซงึ ยนื ออกมาจากฝาทีปิ ดบีกเกอร์ และ spout ยงั เป็ นทางออกของไอนาํ หรือแก๊สเมือทาํ การระเหยของเหลวในบีกเกอร์ทีปิ ดดว้ ยกระจกนาฬกิ า (watch grass) การเลือกขนาดของบีกเกอร์เพือใส่ของเหลวนัน ขึนอยกู่ ับปริ มาณของเหลวทีจะใส่ โดยปกติให้ระดับ ของเหลวอยตู่ าํ กวา่ ปากบีกเกอร์ประมาณ 1 - 1 1/2 นิว

16 ประโยชน์ของบกี เกอร์ 1. ใชส้ าํ หรับตม้ สารละลายทมี ีปริมาณมาก ๆ 2. ใชส้ าํ หรับเตรียมสารละลายต่าง ๆ 3. ใชส้ าํ หรับตกตะกอนและใชร้ ะเหยของเหลวทีมฤี ทธเิ ป็ นกรดนอ้ ย หลอดทดสอบ ( TEST TUBE ) หลอดทดสอบมหี ลายชนิดและหลายขนาด ชนิดทีมีปากและไม่มีปาก ชนิดธรรมดาและชนิด ทนไฟ ขนาดของหลอดทดสอบระบุได้ 2 แบบ คือ ความยาวกบั เส้นผ่าศนู ยก์ ลางริมนอกหรือขนาด ความจเุ ป็นปริมาตร ดงั แสดงในตารางต่อไปนี ความยาว * เส้นผ่าศูนย์กลางริมนอก ความจุ (มิลิเมตร) (มิลเิ มตร) 75 * 11 100 * 12 4 120 * 15 8 120 * 18 14 150 * 16 18 150 * 18 20 27 หลอดทดสอบส่วนมากใชส้ าํ หรับทดลองปฏิกิริยาเคมรี ะหวา่ งสารต่าง ๆ ทเี ป็นสารละลาย ใชต้ ม้ ของเหลวทีมีปริมาตรนอ้ ย ๆ โดยมี test tube holder จบั กนั ร้อนมือ หลอดทดสอบแบบทนไฟจะมีขนาดใหญ่ และหนากว่าหลอดธรรมดา ใช้สําหรับเผาสารต่าง ๆ ดว้ ยเปลวไฟโดยตรงในอณุ หภมู ิทีสูง หลอดชนิดนีไม่ควรนาํ ไปใชส้ ําหรับทดลองปฏิกิริยาเคมรี ะหวา่ ง สารเหมอื นหลอดธรรมดา ไพเพท (PIPETTE) ไพเพทเป็นอุปกรณท์ ใี ชใ้ นการวดั ปริมาตรไดอ้ ย่างใกลเ้ คยี ง มอี ย่หู ลายชนิด แต่โดยทวั ไปทีมีใชอ้ ยใู่ นห้องปฏิบัติการมีอยู่ 2 แบบ คือ Volumetric pipette หรือ Transfer pipette และ Measuring pipette Transfer pipette ซึงใชใ้ นการวดั ปริมาตร ไดเ้ พยี งคา่ เดียว คอื ถา้ หาก Transfer pipette จุ 25 มล. ก็จะวดั ปริมาตรของของเหลว ไดเ้ ฉพาะ 25 มล. เท่านนั Transfer pipette มหี ลายขนาดตงั แต่ 1 มล. ถึง 100 มล. ถงึ แมไ้ พเพทชนิดนีจะใช้วดั ปริมาตรไดอ้ ยา่ งใกล้เคียงความจริงก็ตาม แต่ก็ยงั มี ขอ้ ผดิ พลาดซงึ ขนึ อยกู่ บั ขนาดของไพเพท เช่น

17 Transfer pipette ขนาด 10 มล. มีความผิดพลาด 0.2% Transfer pipette ขนาด 30 มล. มคี วามผิดพลาด 0.1% Transfer pipette ขนาด 50 มล. มีความผิดพลาด 0.1% Transfer pipette ใชส้ าํ หรับส่งผ่านของสารละลาย ทมี ีปริมาตรตามขนาดของไพเพท เมือปลอ่ ย สารละลายออกจากไพเพทแลว้ หา้ มเป่ าสารละลายทีตกคา้ งอยู่ทปี ลายของไพเพท แตค่ วรแตะปลาย ไพเพทกับขา้ งภาชนะเหนือระดับสารละลายภายในภาชนะนนั ประมาณ 30 วินาที เพือใหส้ ารละลาย ทีอยู่ข้างในไพเพทไหลออกมาอีก ไพเพทชนิดนีใชไ้ ดง้ ่ายและเร็วกวา่ บิวเรท Measuring pipette หรือ Graduated pipette (บางทีเรียกว่า Mohr pipette) จะมีขดี บอกปริมาตรต่าง ๆ ไว้ ทาํ ให้สามารถใชไ้ ดอ้ ยา่ ง กวา้ งขวาง คือสามารถใช้แทน Transfer pipette ได้ แต่ใชว้ ดั ปริมาตรได้แน่นอนน้อยกว่า Transfer pipette และมคี วามผดิ พลาดมากกว่า เช่น Measuring pipette ขนาด 10 มล. มีความผิดพลาด 0.3% Measuring pipette ขนาด 30 มล. มคี วามผดิ พลาด 0.3% บิวเรท (BURETTE) บิวเรทเป็นอุปกรณ์วดั ปริมาตรทีมขี ีดบอกปริมาตรต่างๆ และมีก๊อกสาํ หรับเปิด - ปิ ด เพอื บงั คบั การไหลของของเหลว บิวเรทเป็นอุปกรณ์ทีใชใ้ นการวเิ คราะห์ มีขนาดตงั แต่ 10 มล. จนถงึ 100 มล. บิวเรท สามารถวดั ปริมาตรไดอ้ ยา่ งใกลเ้ คียงความจริงมากทีสุด แตก่ ย็ งั มีความผิดพลาดอยูเ่ ล็กน้อย ซึงขึนอยู่กบั ขนาดของบิวเรท เชน่ บิวเรทขนาด 10 มล. มคี วามผิดพลาด 0.4% บิวเรทขนาด 25 มล. มคี วามผิดพลาด 0.24% บิวเรทขนาด 50 มล. มีความผดิ พลาด 0.2% บิวเรท ขนาด 100 มล. มีความผิดพลาด 0.2% เครืองชัง ( BALANCE ) โดยทวั ไปจะมี 2 แบบคือ แบบ triple - beam และ แบบ equal - arm แบบ triple - beam เป็ นเครืองชงั ชนิด Mechanical balance อีกชนิดหนึงทีมีราคาถกู และใช้ง่าย แต่มีความไวน้อย เครืองชงั ชนิดนีมแี ขนขา้ งขวาอยู่ 3 แขนและในแต่ละแขนจะมขี ีดบอกนาํ หนกั ไวเ้ ช่น 0 - 1.0 กรัม

18 0 - 10 กรัม 0 - 100 กรัม และยงั มีตุ้มนาํ หนกั สาํ หรับเลือนไปมาได้อีกดว้ ย แขนทงั 3 นีติดกบั เข็มชี อนั เดียวกนั วิธีการใช้เครอื งชังแบบ (Triple - beam balance) 1. ตงั เครืองชงั ให้อยูใ่ นแนวระนาบ แลว้ ปรับใหแ้ ขนของเครืองชงั อยใู่ นแนวระนาบ โดยหมุน สกรูใหเ้ ข็มชตี รงขีด 0 2. วางขวดบรรจุสารบนจานเครืองชงั แลว้ เลอื นตุม้ นาํ หนกั บนแขนทงั สาม เพือปรับให้เข็ม ชีตรงขดี 0 อา่ นนาํ หนกั บนแขนเครืองชงั จะเป็ นนาํ หนกั ของขวดบรรจุสาร 3. ถา้ ตอ้ งการชงั สารตามนาํ หนักทีตอ้ งการก็บวกนาํ หนกั ของสารกบั นาํ หนกั ของขวดบรรจุสาร ทีไดใ้ นขอ้ 2 แลว้ เลอื นตมุ้ นาํ หนกั บนแขนทงั 3 ให้ตรงกบั นาํ หนกั ทีตอ้ งการ 4. เติมสารทีตอ้ งการชงั ลงในขวดบรรจุสารจนเข็มชีตรงขีด 0 พอดี จะได้นําหนักของสาร ตามตอ้ งการ 5. นาํ ขวดบรรจุสารออกจากจานของเครืองชงั แลว้ เลือนตุม้ นาํ หนกั ทุกอนั ให้อยู่ที 0 ทาํ ความสะอาด เครืองชงั หากมีสารเคมหี กบนจานหรือรอบ ๆ เครืองชัง แบบ equal-arm เป็ นเครืองชังทีมีแขน 2 ขา้ งยาวเท่ากนั เมือวัดระยะจากจุดหมุนซึงเป็ นสันมีด ขณะทีแขนของเครื องชังอยู่ในสมดุล เมือต้องการหานาํ หนกั ของสารหรือวตั ถุ ให้วางสารนันบนจานด้านหนึ งของ เครืองชงั ตอนนีแขนของเครืองชงั จะไม่ อยู่ในภาวะทีสมดุลจงึ ตอ้ งใส่ตุม้ นาํ หนัก เพือปรับให้แขนเครืองชงั อยู่ในสมดุล วธิ กี ารใช้เครอื งชังแบบ (Equal - arm balance) 1. จดั ใหเ้ ครืองชงั อยู่ในแนวระดบั ก่อนโดยการปรบั สกรูทีขาตังแลว้ หาสเกลศูนยข์ องเครืองชงั เมอื ไมม่ วี ตั ถุอยบู่ นจาน ปล่อยทีรองจาน แลว้ ปรับให้เขม็ ชีทีเลข 0 บนสเกลศนู ย์ 2. วางขวดบรรจุสารบนจานทางดา้ นซา้ ยมือและวางตุม้ นาํ หนักบนจานทางขวามือของเครืองชงั โดยใชค้ บี คมี

19 3. ถา้ เขม็ ชีมาทางซา้ ยของสเกลศูนย์ แสดงวา่ ขวดชงั สารเบากวา่ ตุ้มนําหนัก ตอ้ งยกปุ่มควบคุม คานขึนเพอื ตรึงแขนเครืองชงั แลว้ เติมตุม้ นาํ หนักอีกถา้ เข็มชมี าทางขวาของสเกลศูนย์ แสดงวา่ ขวดชงั สารเบากวา่ ตุม้ นาํ หนกั ตอ้ งยกปุ่มควบคมุ คานขึน เพอื ตรึงแขนเครืองชงั แลว้ เอาตุม้ นาํ หนักออก 4. ในกรณีทีตุม้ นาํ หนักไมส่ ามารถทาํ ให้แขนทงั 2 ขา้ งอยู่ในระนาบได้ ให้เลือนไรเดอร์ไปมา เพอื ปรับนาํ หนักทงั สองขา้ งใหเ้ ทา่ กนั 5. บนั ทึกนาํ หนกั ทงั หมดทีชงั ได้ 6. นาํ สารออกจากขวดใส่สาร แลว้ ทาํ การชงั นาํ หนกั ของขวดใส่สาร 7. นาํ หนกั ของสารสามารถหาไดโ้ ดยนาํ นาํ หนักทีชงั ไดค้ รังแรกลบนาํ หนักทีชงั ไดค้ รังหลงั 8. หลงั จากใชเ้ ครืองชงั เสร็จแลว้ ให้ทาํ ความสะอาดจาน แลว้ เอาตุม้ นาํ หนกั ออกและเลือน ไรเดอร์ให้อยทู่ ีตาํ แหน่งศนู ย์ 2. การใช้งานอปุ กรณ์วทิ ยาศาสตร์ประเภทเครืองมือช่าง เวอร์เนยี (VERNIER ) เป็ นเครืองมือทีใชว้ ดั ความยาวของวตั ถุทงั ภายใน และภายนอกของชินงาน เวอร์เนียคาลิเปอร์ มีลกั ษณะ ดงั นี ส่ วนประกอบของเวอร์ เนีย สเกลหลกั A เป็ นสเกลไมบ้ รรทดั ธรรมดา ซึงเป็นมลิ ลเิ มตร (mm) และนิว (inch) สเกลเวอร์เนีย B ซึงจะเลือนไปมาไดบ้ นสเกลหลกั ปากวดั C – D ใชห้ นีบวตั ถทุ ีตอ้ งการวดั ขนาด ปากวดั E – F ใชว้ ดั ขนาดภายในของวตั ถุ แกน G ใชว้ ดั ความลกึ ปุ่ม H ใชก้ ดเลอื นสเกลเวอร์เนียไปบนสเกลหลกั สกรู I ใชย้ ึดสเกลเวอร์เนียใหต้ ิดกบั สเกลหลกั

20 การใช้เวอร์เนีย 1. ตรวจสอบเครืองมือวดั ดงั นี 1.1 ใชผ้ า้ เช็ดทาํ ความสะอาด ทุกชินส่วนของเวอร์เนียร์ก่อนใชง้ าน 1.2 คลายล็อคสกรู แลว้ ทดลองเลอื นเวอร์เนียสเกลไป - มาเบา ๆ เพือตรวจสอบดวู ่าสามารถใช้ งานไดค้ ลอ่ งตวั หรือไม่ 1.3 ตรวจสอบปากวดั ของเวอร์เนียโดยเลือนเวอร์เนียร์สเกลให้ปากเวอร์เนียวดั นอกเลอื น ชิดติดกนั จากนนั ยกเวอร์เนียร์ขึนส่องดวู า่ บริเวณปากเวอร์เนียร์ มแี สงสว่างผ่านหรือไม่ ถา้ ไม่มีแสดงวา่ สามารถใชง้ านไดด้ ี กรณีทีแสงสวา่ งสามารถลอดผา่ นได้ แสดง ว่าปากวดั ชาํ รุดไมค่ วรนาํ มาใชว้ ดั ขนาด 2. การวดั ขนาดงาน ตามลาํ ดบั ขนั ดงั นี 2.1 ทาํ ความสะอาดบริเวณผวิ งานทีตอ้ งการวดั 2.2 เลือกใชป้ ากวดั งานใหเ้ หมาะสมกบั ลกั ษณะงานทตี อ้ งการ เช่น ถา้ ตอ้ งการวดั ขนาดภายนอก เลือกใชป้ ากวดั นอก วดั ขนาดดา้ นในชินงานเลือกใชป้ ากวดั ใน ถา้ ตอ้ งการวดั ขนาดงานทีเป็ นช่องเลก็ ๆ ใชบ้ ริเวณส่วนปลายของปากวดั นอก ซืงมลี กั ษณะเหมือนคมมีดทงั 2 ดา้ น 2.3 เลอื นเวอร์เนียสเกลใหป้ ากเวอร์เนียสัมผสั ชินงาน ควรใชแ้ รงกดใหพ้ อดีถา้ ใชแ้ รงมาก เกินไป จะทาํ ใหข้ นาดงานทีอา่ นไม่ถกู ตอ้ งและปากเวอร์เนียจะเสียรูปทรง 2.4 ขณะวดั งาน สายตาตอ้ งมองตงั ฉากกบั ตาํ แหน่งทีอ่าน แลว้ จึงอา่ นค่า 3. เมือเลกิ ปฏิบตั งิ าน ควรทาํ ความสะอาด ชโลมดว้ ยนาํ มนั และเก็บรักษาดว้ ยความระมดั ระวงั ในกรณี ทีไมไ่ ดใ้ ชง้ านนาน ๆ ควรใชว้ าสลีนทาส่วนทีจะเป็นสนิม คมี (TONG) คีมมีอยูห่ ลายชนิด คีมทีใช้กบั ขวดปริมาตรเรียกว่า flask tong คีมทีใชก้ บั บีกเกอร์ เรียกว่า beaker tong และคีมทีใช้กบั เบา้ เคลอื บเรียกว่า crucible tong ซึงทาํ ดว้ ยนิเกิลหรือโลหะเจือเหลก็ ทีไม่ เป็ นสนิม แต่อยา่ นาํ crucible tong ไปใชจ้ บั บกี เกอร์หรือขวดปริมาตรเพราะจะทาํ ให้ลนื ตกแตกได้ 3. การใช้งานอุปกรณ์วิทยาศาสตร์ประเภทสินเปลืองและสารเคมี กระดาษกรอง (FILTER PAPER) เป็ นกระดาษทีกรองสารทีอนุภาคใหญ่ออกจากของเหลว ซึงมีขนาดของอนุภาคทีเล็กกวา่ กระดาษลิตมสั (LITMUS) เป็ นกระดาษทีใชท้ ดสอบสมบัติความเป็ นกรด เบสของของเหลว กระดาษลติ มสั มีสองสีคือสีแดงหรือสีชมพู และสีนําเงินหรือสีฟ้ า วิธีใช้คือการสมั ผสั ของเหลวลงบน กระดาษ ถา้ หากของเหลวมีสภาพเป็ นกรด (pH < . ) กระดาษจะเปลียนจากสีนําเงินเป็ นสีแดง และ ในทางกลบั กนั ถา้ ของเหลวมสี ภาพเป็นเบส (pH > . ) กระดาษจะเปลยี นจากสีแดงเป็นสีนาํ เงิน ถา้ หาก เป็ นกลาง ( . ≤ pH ≤ . ) กระดาษทงั สองจะไมเ่ ปลยี นสี

21 สารเคมี หมายถึง สารทีประกอบดว้ ยธาตุเดียวกนั หรือสารประกอบจากธาตุต่าง ๆ รวมกนั ดว้ ย พนั ธะเคมีซึงในห้องปฏบิ ตั ิการจะมสี ารเคมีมากมาย แบบทดสอบเรอื ง ทักษะกระบวนการทางวทิ ยาศาสตร์ คําชแี จง จงเลอื กคําตอบทีถูกทสี ุด 1. ค่านาํ ทีบา้ น 3 เดือนทีผา่ นมาสงู กว่าปกติ จากขอ้ ความเกดิ จากทกั ษะขอ้ ใด ก. สังเกต ข. ตงั ปัญหา ค. ตงั สมมติฐาน ง. ออกแบบการทดลอง 2. จากขอ้ 1 นกั เรียนพบว่า ท่อประปารวั จึงทาํ ใหค้ ่านาํ สูงกว่าปกตินักเรียนใชว้ ิธีการทางวิทยาศาสตร์ ขอ้ ใดในการตรวจสอบขอ้ เทจ็ จริง ก. ตงั ปัญหา ข. ตงั สมมติฐาน ค. ออกแบบการทดลอง ง. สรุปผล 3. ลกั ษณะนิสัยของนกั วิทยาศาสตร์ขอ้ ใดทีทาํ ให้งานประสบความสาํ เร็จ ก. ชอบจดบนั ทึก ข. รักการอ่าน ค. ชอบคน้ ควา้ ง. ความพยายามและอดทน 4. น้อยสวมเสือสีดาํ เดินในระยะทาง 2 กิโลเมตร และเปลยี นเสือตวั ใหม่เป็นสีขาวเดินในระยะทาง เท่ากนั และวดั อณุ หภมู จิ ากตวั เองหลงั เดินทางทงั 2 ครัง ปรากฏวา่ ไม่เท่ากนั ปัญหาของน้อยคือขอ้ ใด ก. สีใดมีความร้อนมากกวา่ กนั ข. สีมผี ลต่ออุณหภูมิของร่างกายหรือไม่ ค. สีดาํ รอ้ นกวา่ สีขาว ง. สวมเสือสีขาวเยน็ กว่าสีดาํ

22 5. แกว้ เลยี งแมว 2 ตัว ตวั ที 1 กินนมกบั ปลายา่ งและข้าวสวย ตัวที 2 กินปลาทูกบั ขา้ วสวย 4 สปั ดาห์ ต่อมาปรากฏว่าแมวทงั สองตวั มนี าํ หนกั เพิมขึนเท่ากนั ปัญหาของแกว้ ก่อนการทดลองคอื ขอ้ ใด ก. ปลาอะไรทีแมวชอบกิน ข. แมวชอบกนิ ปลาทูหรือปลายา่ ง ค. ชนิดของอาหารมีผลตอ่ การเจริญเติบโตหรือไม่ ง. ปลาททู าํ ใหแ้ มวสองตวั นาํ หนกั เพิมขึนเท่ากนั 6. ตอ้ ยทาํ เสือเปื อนดว้ ยคราบอาหารจึงนาํ ไปซกั ดว้ ยผงซกั ฟอก A ปรากฏว่าไมส่ ะอาด จึงนาํ ไปซกั ดว้ ย ผงซกั ฟอก B ปรากฏวา่ สะอาด ก่อนการทดลองตอ้ ยตงั ปัญหาวา่ อย่างไร ก. ชนิดของผงซกั ฟอกมผี ลตอ่ การลบรอยเปื อนหรือไม่ ข. ผงซกั ฟอก A ซกั ผา้ ไดส้ ะอาดกว่าผงซกั ฟอก B ค. ผงซกั ฟอกใดซกั ไดส้ ะอาดกวา่ กนั ง. ถา้ ซกั ดว้ ยผงซกั ฟอก B จะสะอาดกวา่ ผงซกั ฟอก A 7. นาํ นาํ 400 ลกู บาศก์เซนติเมตรใส่ลงในภาชนะ ทองแดง และสังกะสี อย่างละเทา่ ๆกนั ตม้ ใหเ้ ดือด ปรากฏว่านาํ ในภาชนะอลมู เิ นียมเดือดก่อนนาํ ในภาชนะสงั กะสี การทดลองนีตงั สมมติฐานว่าอยา่ งไร ก. ถา้ ตม้ นาํ เดือดในปริมาณทเี ท่ากนั จะเดือดในเวลาเดยี วกนั ข. ถา้ ตม้ นาํ เดอื ดดว้ ยภาชนะทีทาํ ดว้ ยอลูมเิ นียมดงั นนั นาํ จะเดือดเร็วกว่าการตม้ ดว้ ยภาชนะ สังกะสี ค. ถา้ ตม้ นาํ ทีทาํ ดว้ ยภาชนะโลหะชนิดเดียวกนั จะเดือดในเวลาเดียวกนั ง. ถา้ ตม้ นาํ เดือดดว้ ยภาชนะทีตา่ งชนิดกนั จะเดือดในเวลาตา่ งกนั 8. จากปัญหา “ชนิดของเสียงจะมีผลต่อการเจริญเตบิ โตของไก่หรือไม”่ ควรจะตงั สมมติฐานวา่ อยา่ งไร ก. จงั หวะของเพลงมผี ลตอ่ การเจริญเติบโตของไก่หรือไม่ ข. ไก่ทีชอบฟังเพลงจะโตดีกวา่ ไก่ทีไมฟ่ ังเพลง ค. ถา้ ไก่ฟงั เพลงไทยเดิมจะโตดีกว่าไก่ฟงั เพลงสากล ง. ไกท่ ีฟังเพลงสากลและเพลงไทยเดิมจะโตเท่ากนั 9. จากปัญหา \"ผงซกั ฟอกมีผลต่อการเจริญเติบโตของผกั กระเฉดหรือไม่ \"สมมติฐาน ก่อนการทดลองคือ ขอ้ ใด ก. ถา้ ใชผ้ งซกั ฟอกเทลงในนาํ ดงั นนั ผกั กระเฉดจะเจริญเติบโตดี ข. พืชจะเจริญเติบโตดีเมอื ใส่ผงซกั ฟอก ค. ผงซกั ฟอกมีสารทาํ ให้ผกั กระเฉดเจริญเติบโตดี ง. ผกั กระเฉดจะเจริญเติบโตหรือไม่ถา้ ขาดผงซกั ฟอก

23 10. นงิ ใชส้ าํ ลกี รองนาํ นอ้ ยใชใ้ ยบวบกรองนาํ 2 คน ใชว้ ธิ ีการทดลองเดียวกันทงั 2 คน ใช้สมมติฐาน ร่วมกนั ในขอ้ ใด ก. สาร ขอ้ ใดกรองนาํ ไดใ้ สกวา่ กนั ข. นาํ ใสสะอาดดว้ ยสาํ ลแี ละใยบวบ ค. ถา้ ไม่ใชใ้ ยบวบและสาํ ลนี าํ จะไม่ใสสะอาด ง. ถา้ ใชใ้ ยบวบกรองนาํ ดงั นนั นาํ จะใสสะอาดกว่าใชส้ าํ ลี . เมือใส่นาํ แขง็ ลงในแกว้ แลว้ ตงั ทิงไวส้ กั ครู่จะพบวา่ รอบนอกของแกว้ มหี ยดนาํ เกาะอยู่เต็ม ขอ้ ใดเป็นผลจากการสังเกต และบนั ทึกผล ก. มีหยดนาํ ขนาดเลก็ และขนาดใหญเ่ กาะอยู่จาํ นวนมากทผี ิวแกว้ ข. ไอนาํ ในอากาศกลนั ตวั เป็ นหยดนาํ เกาะอย่รู อบๆแกว้ ค. แกว้ นาํ รัวเป็นเหตใุ ห้นาํ ซมึ ออกมาทผี ิวนอก ง. หยดนาํ ทีเกดิ เป็นกระบวนการเดียวกบั การเกิดนาํ คา้ ง . กระบวนการทางวทิ ยาศาสตร์ขนั ตอนใด ทีจะนาํ ไปสู่การสรุปผล และการศึกษาต่อไป ก. การตงั สมมติฐานและการออกแบบการทดลอง ข. การสังเกต ค. การรวบรวมขอ้ มูล ง. การหาความสมั พนั ธ์ของขอ้ เทจ็ จริง . ในการออกแบบการทดลองจะตอ้ งยดึ อะไรเป็ นหลกั ก. สมมติฐาน ข. ขอ้ มลู ค. ปัญหา ง. ขอ้ เท็จจริง . สมมตฐิ านทางวิทยาศาสตร์จะเปลียนเป็นทฤษฎีไดเ้ มือใด ก. เป็นทียอมรบั โดยทวั ไป ข. อธิบายไดก้ วา้ งขวาง ค. ทดสอบแลว้ เป็นจริงทุกครัง ง. มเี ครืองมือพิสูจน์ . อุปกรณ์ต่อไปนี ขอ้ ใดเป็นอปุ กรณส์ าํ หรับหาปริมาตรของสาร ก. หลอดฉีดยา ข. กระบอกตวง ค. เครืองชงั สองแขน ง. ถกู ทงั ขอ้ ก. และขอ้ ข.

24 . ในกระบวนการทางวทิ ยาศาสตร์ ถา้ หากผลการทดลองทไี ดจ้ ากการทดสอบสมมตฐิ าน ไม่สอดคลอ้ งกบั สมมติฐาน จะตอ้ งทาํ อยา่ งไร ก. สังเกตใหม่ ข. ตงั ปัญหาใหม่ ค. ออกแบบการทดลองใหม่ ง. เปลยี นสมมติฐาน . ขอ้ ใดเรียงลาํ ดบั ขนั ตอนของวิธีการทางวิทยาศาสตร์ไดถ้ ูกตอ้ ง ก. การตงั สมมติฐาน การรวบรวมขอ้ มลู การทดลอง และสรุปผล ข. การตงั สมมติฐาน การสงั เกตและปัญหา การตรวจสอบสมมติฐานและการทดลอง และสรุปผล ค. การสงั เกตและปัญหา การทดลองและตงั สมมติฐาน การตรวจสอบสมมติฐาน และสรุปผล ง. การสังเกตและปัญหา การตงั สมมติฐาน การตรวจสอบสมมติฐานและการทดลอง และสรุปผล . นักวิทยาศาสตร์จะสรุปผลการทดลองไดอ้ ยา่ งมคี วามเชือมนั เมือใด ก. ออกแบบการทดลองทีมีการควบคมุ ตวั แปรต่างๆ อย่างรัดกุมมากทีสุด ข. กาํ หนดปัญหาและตงั สมมติฐานทีดี ค. รวบรวมขอ้ มูลจากแหล่งตา่ งๆ มาเปรียบเทียบกบั ผลการทดลองไดถ้ ูกตอ้ งตรงกนั ง. ผลการทดลองสอดคลอ้ งตามทฤษฎีทมี ีอยูเ่ ดมิ . วิธกี ารทางวิทยาศาสตร์ขนั ตอนใด ทีถอื วา่ เป็ นความกา้ วหนา้ ทางวทิ ยาศาสตร์อย่างแทจ้ ริง ก. การตงั ปัญหาและการตงั สมมติฐาน ข. การตรวจสอบสมมตฐิ าน ค. การตงั สมมติฐาน ง. การตงั ปัญหา . ขอ้ ใดเป็ นลกั ษณะของสมมติฐานทีดี ก. สามารถอธิบายปัญหาไดห้ ลายแง่หลายมุม ข. ครอบคลมุ เหตุการณ์และปรากฏการณ์ต่างๆ ภายในสภาพแวดลอ้ มเดียวกนั ค. สามารถแกป้ ัญหาทีสงสยั ไดอ้ ยา่ งชดั เจน ง. สามารถอธิบายปัญหาตา่ งๆ ได้ แจ่มชดั 21. “ แม่เหลก็ ไฟฟ้ าจะดูดจาํ นวนตะปไู ดม้ ากขึนใช่หรือไม่ถา้ แม่เหลก็ ไฟฟ้ านนั มีจาํ นวนแบตเตอรีเพมิ ขึน” จากขอ้ ความขา้ งตน้ ข้อใดกล่าวถึงตวั แปรได้ถูกต้อง ก. ตวั แปรอิสระ คอื จาํ นวนแบตเตอรี ข. ตวั แปรอิสระ คือ จาํ นวนตะปูทถี ูกดดู ค. ตวั แปรตาม คอื จาํ นวนแบตเตอรี ง. ตวั แปรตาม คอื ชนิดของแบตเตอรี

25 22. “การงอกของเมล็ดขา้ วโพด ในเวลาทีต่างกันขึนอย่กู ับปริมาณของนําทีเมล็ดข้าวโพดไดร้ ับ ใช่หรือไม่ ” จากขอ้ ความขา้ งตน้ ข้อใดกล่าวถึงตวั แปรได้ถูกต้อง ก. ตวั แปรอิสระ คือ ความสมบูรณข์ องเมล็ดขา้ วโพด ข. ตวั แปรตาม คือ เวลาในการงอกของเมล็ดขา้ วโพด ค. ตวั แปรทตี อ้ งควบคมุ คือ ปริมาณนาํ ง. ถกู ทกุ ขอ้ ทีกลา่ วมา 23. ให้นกั เรียนเรียงลาํ ดบั ขนั ตอนการตงั สมมุติฐาน ต่อไปนี 1. จากปัญหาทีศึกษาบอกไดว้ า่ ตวั แปรใดเป็นตวั แปรตน้ และตวั แปรใดเป็น ตวั แปรตาม 2. ตงั สมมตุ ิฐานในรูป “ ถา้ ....ดงั นนั ” 3. ศึกษาธรรมชาติของตวั แปรตน้ ต่างๆทีมผี ลต่อตวั แปรตามมากทีสุดอย่างมีหลกั การและเหตผุ ล 4. บอกตวั แปรตน้ ทีอาจจะมผี ลตอ่ ตวั แปรตาม ก. ขอ้ 1 , 2 , 3 และ 4 ตามลาํ ดบั ข. ขอ้ 1 , 4, 3 และ 2 ตามลาํ ดบั ค. ขอ้ 4 , 2 , 3 และ 1 ตามลาํ ดบั ง. ขอ้ 4 , 1 , 3 และ 2 ตามลาํ ดบั 24. พิจารณาขอ้ ความตอ่ ไปนีวา่ ขอ้ ความใดเป็นการตงั สมมติฐาน ก. ขณะเปิ ดขวดมเี สียงดงั ป๊ อก ข. ฟองกา๊ ซทปี ดุ ขึนมา คือ ก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ ค. เครืองดืมทีแชไ่ วใ้ นตูเ้ ยน็ จะมีรสหวาน ง. ทุกขอ้ เป็นสมมตุ ิฐานทงั หมด 25. การกาํ หนดนิยามเชิงปฏิบตั กิ ารทดี ีควรมีลกั ษณะอย่างไร ก. มีความชดั เจน ข. ทาํ การวดั ได้ ค. สังเกตได้ ง. ถกู ทงั ขอ้ ก ข และ ค 26. ถา้ นกั เรียนจะกาํ หนดนิยามเชิงปฏบิ ตั ิการ “ การเจริญเติบโตของไก่ ” นักเรียนจะมวี ิธีการกาํ หนดนิยาม เชิงปฏบิ ตั ิการโดยคาํ นึงถึงขอ้ ใดเป็นเกณฑ์ ก. ตรวจสอบจากความสูงของไก่ทีเพิมขึน ข. นาํ หนักไกท่ ีเพิมขึน ค. ความยาวของปี กไก่ ง. ถกู ทุกขอ้

26 27. ขอ้ ใดคือความหมายของคาํ ว่า “การทดลอง” ก. การทดลองมี 3 ขนั ตอน คือการออกแบบการทดลอง การปฏิบตั ิการทดลอง และการบนั ทึก ผลการทดลอง ข. เป็นการตรวจสอบทมี าและความสาํ คญั ของปัญหาทีศึกษา ค. เป็นการตรวจสอบสมมตุ ฐิ านทีตงั ไวว้ า่ ถูกตอ้ งหรือไม่ ง. ถกู ทงั ขอ้ ก. และขอ้ ค. 28. ถา้ นักเรียนตอ้ งการจะตรวจสอบวา่ ดินตา่ งชนิดกนั จะอุม้ นาํ ไดใ้ นปริมาณทีต่างกันอยา่ งไร นักเรียน ตงั สมมตุ ิฐานไดว้ า่ อยา่ งไร ก. ถา้ ชนิดของดินมีผลต่อปริมาณนาํ ทีอุม้ ไว้ ดงั นนั ดินเหนียวจะอุม้ นาํ ได้มากกว่าดินร่วนและ ดินร่วนจะอุม้ นาํ ไวไ้ ดม้ ากกว่าดินทราย ข. ดินตา่ งชนิดกนั ยอ่ มอุม้ นาํ ไวไ้ ดต้ ่างกนั ดว้ ย ค. ดินทีมเี นือดินละเอยี ดจะอุม้ นาํ ไดด้ ีกวา่ ดินเนือหยาบ ง. ถูกทุกขอ้ ทีกลา่ วมา จากขอ้ มูลต่อไปนีให้ตอบคาํ ถามขอ้ และขอ้ 30 จากการทดลองละลายสาร A ทีละลายในของเหลว B ณ อุณหภมู ติ า่ งๆ ดงั นี อุณหภูมิของเหลว B ปริมาณของสาร A ทลี ะลาย ในของเหลว B (องศาเซลเซียส) (g) 20 5 30 10 40 20 50 40 29. ทีอุณหภูมิ 20 องศาเซลเซียส สาร A ละลายในของเหลว B ไดก้ ีกรัม ก. ละลายได้ 20 กรมั ข. ละลายได้ 15 กรัม ค. ละลายได้ 10 กรัม ง. ละลายได้ 5 กรมั

27 30. จากขอ้ มูลในตาราง เมอื อุณหภมู สิ ูงขนึ การละลายของสาร A เป็ นอยา่ งไร ก. สาร A ละลายในสาร B ไดน้ อ้ ยลง ข. สาร A ละลายในสาร B ไดม้ ากขึน ค. อณุ หภมู ิไมม่ ีผลต่อการละลายของสาร A ง. ไมส่ ามารถสรุปไดเ้ พราะขอ้ มลู มไี ม่เพียงพอ เฉลยแบบทดสอบทกั ษะวทิ ยาศาสตร์ .จ .ข .ข .ง .จ .ข .ก .ง .ก .จ กิจกรรมที กระบวนการทางวิทยาศาสตร์ กิจกรรม ที กระบวนการทางวิทยาศาสตร์ ใหผ้ เู้ รียนออกแบบแกป้ ัญหาจากสถานการณต์ ่อไปนี โดยมอี ปุ กรณ์ ดงั นี เมล็ดถวั ถว้ ยพลาสติก กระดาษทิชชู นาํ กระดาษสีดาํ กาํ หนดปัญหา แสงมีผลต่อการเจริญเตบิ โตของเมลด็ ถวั หรือไม่ การตงั สมมติฐาน ถา้ แสงมีผลต่อการเจริญเติบโตของเมลด็ ถวั แลว้ ดงั นนั เมลด็ ถวั ทีไดร้ ับแสง จะเจริญเติบโตไดด้ ีกวา่ ตวั แปรตน้ แสง ตวั แปรตาม การเจริญเติบโตของเมล็ดถวั ตวั แปรควบคุม เมล็ดถวั ,ถว้ ยพลาสตกิ ,กระดาษทิชชู,ปริมาณนาํ การทดลอง 1. แช่เมล็ดถวั เขียวไว้ 1 คืน 2. ใส่นาํ ลงในถว้ ยพลาสติก 3 ใบ ให้มีระดบั นาํ สงู ประมาณ 1 ซ.ม. 3. พบั ทบกระดาษทิชชหู ลาย ๆ ชนั พรมนาํ ให้ชนื แลว้ นาํ ไปบุดา้ นในของถว้ ย ทาํ เชน่ นีกบั ถว้ ยพลาสติกทงั 3 ใบ 4. วางเมลด็ ถวั เขียว 6 เมล็ด ทแี ชน่ าํ แลว้ ไวร้ ะหว่างกระดาษทิชชแู ละถว้ ย 5. ถว้ ยใบที ใหใ้ ชก้ ระดาษสีดาํ ปิ ดไวโ้ ดยระมดั ระวงั ไม่ใหแ้ สงเขา้ ไปในถว้ ย ถว้ ยใบที วางไวบ้ ริเวณ ใกลเ้ คียงบริเวณใบที 6. สังเกตการเจริญเตบิ โตโดยวดั ความสูงของเมลด็ ถวั ทุกวนั และบนั ทึกผลของเมลด็ ถวั ทุกวนั เป็ นเวลา 5 วนั และเติมนาํ ลงในถว้ ยให้สูง 1 ซ.ม. ทุกวนั

28 เฉลยแบบทดสอบบทที เรือง ทักษะกระบวนการทางวิทยาศาสตร์ .ข .ข .ง .ค .ค .ก .ข .ค .ก .ง .ก .ก .ก .ค .ง .ง .ง .ค .ข .ค .ก .ข .ข .ค .ง .ง .ง .ง .ง .ข

29 บทที 2 โครงงานวทิ ยาศาสตร์ สาระสําคัญ โครงงานวิทยาศาสตร์เป็นกิจกรรมเกียวกบั วิทยาศาสตร์ ซึงเป็นกิจกรรมทีต้องใช้กระบวนการ ทางวิทยาศาสตร์ ในการศกึ ษาค้นคว้า โดยผูเ้ รียนจะเป็ นผดู้ าํ เนินการด้วยตนเองทงั หมด ตังแต่เริม วางแผนในการศึกษาคน้ ควา้ การเกบ็ รวบรวมขอ้ มลู จนถึงการแปลผล สรุปผล และการเสนอ ผลการศกึ ษา โดยมผี ชู้ าํ นาญการเป็นผใู้ หค้ าํ ปรึกษา ผลการเรียนรู้ทีคาดหวัง 1. อธิบายประเภท เลอื กหวั ขอ้ วางแผน วิธีทาํ นาํ เสนอและประโยชนข์ องโครงงานได้ 2. วางแผนการทาํ โครงงานได้ 3. ทาํ โครงงานวทิ ยาศาสตร์เป็นกลุม่ ได้ 4. อธิบายและบอกแนวทางในการนาํ ผลจากโครงงานไปใชป้ ระโยชน์ได้ 5. นาํ ความรู้เกียวกบั โครงงานไปใชป้ ระโยชน์ในชวี ติ ประจาํ วนั ได้ ขอบข่ายเนือหา เรืองที 1 ประเภทของโครงงานวิทยาศาสตร์ เรืองที 2 ขนั ตอนการทาํ โครงงานวทิ ยาศาสตร์ เรืองที 3 การนาํ เสนอโครงงานวิทยาศาสตร์

30 เรืองที ประเภทของโครงงานวทิ ยาศาสตร์ โครงงานวทิ ยาศาสตร์เป็นกิจกรรมเกยี วกบั วทิ ยาศาสตร์และเทคโนโลยี ซึงเป็นกิจกรรมทีต้อง ใชก้ ระบวนการทางวทิ ยาศาสตร์ในการศกึ ษาคน้ ควา้ โดยผเู้ รียนจะเป็นผดู้ าํ เนินการด้วยตนเองทงั หมด ตงั แต่เริมวางแผนในการศกึ ษาคน้ ควา้ การเก็บรวบรวมขอ้ มลู จนถงึ เรืองการแปลผล สรุปผล และเสนอ ผลการศึกษา โดยมีผชู้ าํ นาญการเป็นผใู้ หค้ าํ ปรึกษา ลกั ษณะและประเภทของโครงงานวทิ ยาศาสตร์ จาํ แนกไดเ้ ป็น ประเภท ดงั นี . โครงงานประเภทสาํ รวจ เป็ นโครงงานทีมีลกั ษณะเป็ นการศกึ ษาเชิงสํารวจ รวบรวมขอ้ มูล แล้วนาํ ขอ้ มูลเหล่านนั มาจัดทําและนาํ เสนอในรูปแบบต่าง ๆ ดังนัน ลักษณะสําคัญของโครงงาน ประเภทนีคือ ไม่มกี ารจดั ทาํ หรือกาํ หนดตวั แปรอิสระทีตอ้ งการศกึ ษา . โครงงานประเภททดลอง เป็นโครงงานทีมีลกั ษณะกิจกรรมทีเป็ นการศึกษาหาคาํ ตอบของ ปัญหาใดปัญหาหนึงด้วยวิธีการทดลอง ลกั ษณะสาํ คัญของโครงงานนีคือ ต้องมีการออกแบบการ ทดลองและดาํ เนินการทดลอง เพอื หาคาํ ตอบของปัญหาทีต้องการทราบหรือเพอื ตรวจสอบสมมติฐาน ทีตงั ไว้ โดยมีการจดั กระทาํ กบั ตวั แปรตน้ หรือตวั แปรอิสระ เพอื ดผู ลทีเกดิ ขึนกบั ตวั แปรตาม และมีการ ควบคุมตวั แปรอนื ๆ ทไี มต่ อ้ งการศกึ ษา . โครงงานประเภทการพฒั นาหรือประดิษฐ์ เป็นโครงงานทีมลี กั ษณะกิจกรรมทีเป็นการศึกษา เกียวกับการประยกุ ต์ ทฤษฎี หรื อหลักการทางวิทยาศาสตร์ เพือประดิษฐ์เครืองมือ เครืองใช้ หรื อ อุปกรณ์ เพือประโยชน์ใชส้ อยต่าง ๆ ซึงอาจเป็นการประดิษฐข์ องใหม่ ๆ หรือปรับปรุงของเดิมทีมีอยูใ่ ห้ มปี ระสิทธภิ าพสูงขึน ซึงจะรวมไปถึงการสร้างแบบจาํ ลองเพืออธิบายแนวคิด . โครงงานประเภทการสร้างทฤษฎีหรืออธิบาย เป็ นโครงงานทีมลี ักษณะกิจกรรมทีผูท้ าํ จะตอ้ งเสนอแนวคิด หลกั การ หรือทฤษฎีใหม่ ๆ อย่างมหี ลกั การทางวทิ ยาศาสตร์ในรูปของสูตรสมการ หรือคาํ อธิบายอาจเป็นแนวคิดใหม่ทียงั ไมเ่ คยนาํ เสนอ หรืออาจเป็นการอธิบายปรากฏการณ์ในแนวใหม่ ก็ได้ ลกั ษณะสาํ คญั ของโครงงานประเภทนี คอื ผทู้ าํ จะตอ้ งมพี ืนฐานความรูท้ างวิทยาศาสตร์เป็นอย่างดี ตอ้ งศกึ ษาคน้ ควา้ เรืองราวทีเกียวขอ้ งอยา่ งลกึ ซงึ จึงจะสามารถสร้างคาํ อธิบายหรือทฤษฎีได้

31 กจิ กรรมที 1) ใหน้ กั ศึกษาพิจารณาชือโครงงานต่อไปนีแลว้ ตอบว่าเป็นโครงงานประเภทใด โดยเขียน คาํ ตอบลงในช่องว่าง 1. แปรงลบกระดานไร้ฝ่ นุ โครงงาน....................................... 2. ยาขดั รองเทา้ จากเปลือกมงั คุด โครงงาน....................................... 3. การศึกษาบริเวณป่ าชายเลน โครงงาน....................................... 4. พฤติกรรมลองผดิ ลองถกู ของนกพิราบ โครงงาน....................................... 5. บา้ นยุคนิวเคลยี ร์ โครงงาน....................................... 6. การศึกษาคณุ ภาพนาํ ในแม่นาํ เจา้ พระยา โครงงาน....................................... 7. เครืองส่งสัญญาณกนั ขโมย โครงงาน....................................... 8. สาหร่ายสีเขียวแกมนาํ เงินปรบั สภาพนาํ เสียจากนากงุ้ โครงงาน.......................... 9. ศึกษาพฤตกิ รรมการเรียนรู้แบบมเี งือนไขของหนูขาว โครงงาน.......................... 10. ศกึ ษาวงจรชวี ิตของตวั ดว้ ง โครงงาน....................................... ) ให้นกั ศึกษาอธิบายความสาํ คญั ของโครงงานวิทยาศาสตร์วา่ มีความสาํ คญั อย่างไร ................................................................................................................................................................... ................................................................................................................................................................... ................................................................................................................................................................... ................................................................................................................................................................... ................................................................................................................................................................... ................................................................................................................................................................... ................................................................................................................................................................... ................................................................................................................................................................... ................................................................................................................................................................... ...................................................................................................................................................................

32 เรอื งที ขันตอนการทําโครงงานวทิ ยาศาสตร์ การทํากิจกรรมโครงงานเป็ นการทํากิจกรรมทีเกิดจากคําถามหรือความอยากรู้อยากเห็น เกียวกบั เรืองต่าง ๆ ดงั นันการทาํ โครงงานจงึ มขี นั ตอนดงั นี 1. ขันสํารวจหรอื ตดั สินใจเลอื กเรืองทีจะทํา การตดั สินใจเลือกเรืองทีจะทาํ โครงงานควรพจิ ารณาถึงความพร้อมในด้านต่าง ๆ เช่น แหลง่ ความรู้เพียงพอทีจะศึกษาหรือขอคาํ ปรึกษา มคี วามรู้และทกั ษะในการใช้เครืองมอื อปุ กรณ์ต่างๆ ทีใชใ้ นการศกึ ษา มผี ทู้ รงคุณวฒุ ริ ับเป็นทีปรึกษา มเี วลา และงบประมาณเพยี งพอ 2. ขันศกึ ษาข้อมลู ทีเกียวข้องกบั เรืองทตี ัดสินใจทํา การศึกษาขอ้ มลู ทีเกียวขอ้ งกบั เรืองทีตัดสินใจทํา จะช่วยให้ผเู้ รียนได้แนวคิดทีจะ กาํ หนดขอบขา่ ยเรืองทีจะศึกษาคน้ ควา้ ใหเ้ ฉพาะเจาะจงมากขึนและยงั ไดค้ วามรู้ เรืองทีจะศกึ ษาคน้ ควา้ เพิมเติมจนสามารถออกแบบการศกึ ษา ทดลอง และวางแผนดาํ เนินการทาํ โครงงานวิทยาศาสตร์อย่าง เหมาะสม 3. ขันวางแผนดาํ เนินการ การทาํ โครงงานวทิ ยาศาสตร์ไม่ว่าเรืองใดจะตอ้ งมีการวางแผนอย่างละเอยี ด รอบคอบ และมกี ารกาํ หนดขนั ตอนในการดาํ เนินงานอย่างรัดกมุ ทงั นีเพือใหก้ ารดาํ เนินงานบรรลจุ ดุ มุ่งหมายหรือ เป้ าหมายทีกาํ หนดไว้ ประเด็นทีต้องร่วมกนั คิดวางแผนในการทาํ โครงงานมีดงั นี คือ ปัญหา สาเหตุ ของปัญหา แนวทาง และวิธีการแก้ปัญหาทีสามารถปฏิบัติได้ การออกแบบการศึกษาทดลอง โดยกาํ หนดและควบคุมตวั แปร วสั ดุอุปกรณแ์ ละสารเคมี เวลา และสถานที ทีจะปฏิบตั งิ าน 4. ขันเขียนเค้าโครงของโครงงานวิทยาศาสตร์ การเขยี นเคา้ โครงของโครงงานวทิ ยาศาสตร์ มรี ายละเอียดดงั นี 4.1 ชือโครงงาน เป็ นขอ้ ความสนั ๆ กะทดั รัด ชดั เจน สือความหมายตรง และมีความ เฉพาะเจาะจงวา่ จะศกึ ษาเรืองใด 4.2 ชือผทู้ าํ โครงงาน เป็นผูร้ ับผดิ ชอบโครงงาน ซึงอาจเป็นรายบุคคลหรือกลุม่ ก็ได้ 4.3 ชือทีปรึกษาโครงงาน ซึงเป็นอาจารยห์ รือผทู้ รงคุณวุฒิกไ็ ด้ 4.4 ทีมาและความสาํ คญั ของโครงงาน เป็ นการอธิบายเหตุผลทีเลือกทาํ โครงงานนี ความสาํ คญั ของโครงงาน แนวคดิ หลกั การ หรือทฤษฎีทีเกียวกบั โครงงาน 4.5 วตั ถปุ ระสงคโ์ ครงงาน เป็ นการบอกจุดมุ่งหมายของงานทีจะทาํ ซึงควรมคี วาม เฉพาะเจาะจงและเป็นสิงทีสามารถวดั และประเมินผลได้ 4.6 สมมติฐานของโครงงาน(ถา้ ม)ี สมมติฐานเป็ นคาํ อธิบายทีคาดไวล้ ่วงหนา้ ซึงจะ ผดิ หรือถูกก็ได้ สมมติฐานทดี ีควรมีเหตุผลรองรับ และสามารถทดสอบได้

33 4.7 วสั ดุอุปกรณ์และสิงทีต้องใช้ เป็ นการระบุวัสดุอุปกรณ์ทีจาํ เป็ นต้องใชใ้ นการ ดาํ เนินงานว่ามอี ะไรบา้ ง ไดม้ าจากไหน 4.8 วธิ ีดาํ เนินการ เป็ นการอธิบายขนั ตอนการดาํ เนินงานอย่างละเอียดทุกขนั ตอน 4.9 แผนปฏิบตั กิ าร เป็นการกาํ หนดเวลาเริมตน้ และเวลาเสร็จงานในแต่ละขนั ตอน 4.10 ผลทีคาดว่าจะไดร้ ับ เป็ นการคาดการณ์ผลทีจะได้รับจากการดาํ เนินงานไว้ ล่วงหนา้ ซึงอาจไดผ้ ลตามทีคาดไวห้ รือไม่กไ็ ด้ 4.11 เอกสารอา้ งองิ เป็ นการบอกแหลง่ ขอ้ มูลหรือเอกสารทใี ชใ้ นการศึกษาคน้ ควา้ 5. ขันลงมอื ปฏบิ ตั ิ การลงมอื ปฏิบตั ิเป็นขนั ตอนทสี าํ คญั ตอนหนึงในการทาํ โครงงานเนืองจากเป็นการ ลงมอื ปฏบิ ัติจริงตามแผนทีได้กาํ หนดไวใ้ นเค้าโครงของโครงงาน อย่างไรก็ตามการทาํ โครงงานจะ สาํ เร็จไดด้ ว้ ยดี ผเู้ รียนจะตอ้ งคาํ นึงถึงเรืองความพร้อมของวสั ดุอุปกรณ์ และสิงอืน ๆ เช่นสมุดบันทึก กิจกรรมประจาํ วนั ความละเอียดรอบคอบและความเป็นระเบียบในการปฏบิ ัติงาน ความประหยดั และ ความปลอดภัยในการปฏบิ ัติงาน ความน่าเชือถอื ของข้อมูลทีไดจ้ ากการปฏิบัติงาน การเรียงลาํ ดบั ก่อนหลงั ของงานส่วนยอ่ ย ๆ ซึงต้องทาํ แต่ละส่วนใหเ้ สร็จก่อนทาํ ส่วนอืนต่อไปในขนั ลงมือปฏบิ ตั ิ จะตอ้ งมีการบนั ทกึ ผล การประเมนิ ผล การวิเคราะห์ และสรุปผลการปฏบิ ตั ิ 6. ขันเขยี นรายงานโครงงาน การเขียนรายงานการดาํ เนินงานของโครงงาน ผเู้ รียนจะตอ้ งเขยี นรายงานให้ชดั เจน ใชศ้ ัพท์เทคนิคทีถูกต้อง ใชภ้ าษากะทดั รัด ชัดเจน เข้าใจง่าย และตอ้ งครอบคลุมประเด็นสาํ คัญ ๆ ทงั หมดของโครงงานไดแ้ ก่ ชือโครงงาน ชือผทู้ าํ โครงงาน ชือทปี รึกษา บทคัดยอ่ ทีมาและความสําคัญ ของโครงงาน จุดหมาย สมมติฐาน วิธีดําเนินงาน ผลการศึกษาค้นควา้ ผลสรุปของโครงงาน ขอ้ เสนอแนะ คาํ ขอบคุณบุคลากรหรือหน่วยงานและเอกสารอา้ งองิ 7. ขันเสนอผลงานและจัดแสดงผลงานโครงงาน หลงั จากทาํ โครงงานวทิ ยาศาสตร์เสร็จแลว้ จะตอ้ งนาํ ผลงานทีได้มาเสนอและจดั แสดง ซงึ อาจทาํ ไดห้ ลายรูปแบบ เชน่ การจดั นิทรรศการ การประชุมทางวชิ าการ เป็ นต้น ในการเสนอผลงาน และจัดแสดงผลงานโครงงานวิทยาศาสตร์ ควรนําเสนอใหค้ รอบคลมุ ประเด็นสําคัญ ๆ ทงั หมดของ โครงงาน

34 กิจกรรมที . วางแผนจดั ทาํ โครงงานวทิ ยาศาสตร์ทีน่าสนใจอยากรู้มา โครงงาน โดยดาํ เนินการ ดงั นี 1) - ระบุประเดน็ ทสี นใจ/อยากรู้/อยากแกไ้ ขปัญหา ( ประเด็น) - ระบุเหตุผลทีสนใจ/อยากรู้/อยากแกไ้ ขปัญหา (ทาํ ไม) - ระบุแนวทางทีสามารถแกไ้ ขปัญหานีได้ (ทาํ ได)้ - ระบุผลดหี รือประโยชน์ทางการแกไ้ ขโดยใชก้ ระบวนการทีระบุ (พิจารณาขอ้ มูลจากขอ้ ) มาเป็ นชือโครงงาน 2) ระบุชือโครงงานทตี อ้ งการแกไ้ ขปัญหาหรือทดลอง 3) ระบุเหตุผลของการทาํ โครงงาน (มีวตั ถุประสงคอ์ ยา่ งไร ระบุเป็ นขอ้ ๆ) 4) ระบุตวั แปรทตี อ้ งการศกึ ษา (ตวั แปรตน้ ตวั แปรตาม และตวั แปรควบคุม) 5) ระบุความคาดเดา (สมมติฐาน) ทีตอ้ งการพิสูจน์ . จากขอ้ มูลตามขอ้ ) ให้นักศกึ ษาเขียนเคา้ โครงโครงงานตามประเดน็ ดงั นี ) ชอื โครงงาน (จาก )................................................................................................ ) ทีมาและความสาํ คญั ของโครงงาน (จาก ).............................................................. ) วตั ถุประสงคข์ องโครงงาน (จาก ).......................................................................... ) ตวั แปรทีตอ้ งการศกึ ษา (จาก )................................................................................ ) สมมติฐานของโครงงาน (จาก ).............................................................................. ) วสั ดุอุปกรณ์และงบประมาณทีตอ้ งใช้ . วสั ดุอปุ กรณ.์ ............................................................................................. . งบประมาณ............................................................................................... ) วธิ ีดาํ เนินงาน ( ทาํ อยา่ งไร ) ) แผนการปฏิบตั ิงาน ( ระบุกิจกรรม วนั เดือนปี และสถานทีทีปฏบิ ตั ิงาน ) กิจกรรม วนั เดือนปี สถานทีปฏบิ ตั งิ าน หมายเหตุ 9) ผลทีคาดวา่ จะไดร้ ับ (ทาํ โครงงานนีแลว้ มผี ลดีอยา่ งไรบา้ ง)...................................... ) เอกสารอา้ งองิ (ใชเ้ อกสารใดบา้ งประกอบในการคน้ ควา้ หาความรู้ในการทาํ โครงงานนี) . นาํ เคา้ โครงทจี ดั ทาํ เสร็จแลว้ ไปขอคาํ ปรึกษาจากอาจารยท์ ีปรึกษา แลว้ ขออนุมตั ิดาํ เนินงาน . ดาํ เนินงานตามแผนปฏบิ ตั ิงานทีกาํ หนดในเคา้ โครงโครงงาน พร้อมบนั ทึกผล ) สภาพปัญหาและแนวทางแกไ้ ข (ถา้ มี) ในแต่ละกิจกรรม ) บนั ทึกผลการทดลองทกุ ครงั

35 เรืองที การนําเสนอโครงงานวทิ ยาศาสตร์ การแสดงผลงานเป็ นขนั ตอนสาํ คญั อีกประการหนึงของการทาํ โครงงาน เรียกไดว้ ่าเป็นงาน ขนั สุดทา้ ยของการทาํ โครงงานวทิ ยาศาสตร์และเทคโนโลยี เป็ นการแสดงผลิตผลของความคิดและ การปฏิบตั ิการทงั หมดทผี ทู้ าํ โครงงานไดท้ ุม่ เทเวลาไป และเป็นวธิ ีการทีจะทาํ ใหผ้ ูอ้ ืนรับรู้และเขา้ ใจถึง ผลงานนัน ๆ มีผกู้ ลา่ วว่าการวางแผนออกแบบเพือจดั แสดงผลงานนันมคี วามสําคัญเท่า ๆ กบั การทาํ โครงงานนันเอง ผลงานทที าํ จะดียอดเยียมเพยี งใด แต่ถา้ การจัดแสดงผลงานทาํ ไดไ้ ม่ดี กเ็ ท่ากับไม่ได้ แสดงความดยี อดเยียมของผลงานนนั นนั เอง การแสดงผลงานทาํ ไดใ้ นรูปแบบต่าง ๆ กัน เช่น การแสดงในรูปนิทรรศการ ซึงมีทงั การจดั แสดงและการอธิบายดว้ ยคาํ พูด หรือในรูปแบบของการจดั แสดงโดยไมม่ กี ารอธิบายประกอบหรือ ในรูปของการรายงานปากเปลา่ ไม่ว่าการแสดงผลงานจะอยใู่ นรูปแบบใด ควรจะจัดใหค้ รอบคลุม ประเดน็ สาํ คญั ดงั ตอ่ ไปนี 1. ชือโครงงาน ชือผทู้ าํ โครงงาน ชือครูทีปรึกษา 2. คาํ อธิบายถงึ เหตุจงู ใจในการทาํ โครงงาน และความสาํ คญั ของโครงงาน 3. วิธีการดาํ เนินการ โดยเลือกเฉพาะขนั ตอนทีเด่นและสาํ คญั 4. การสาธิตหรือแสดงผลทไี ดจ้ ากการทดลอง 5. ผลการสงั เกตและขอ้ มลู เด่น ๆ ทไี ดจ้ ากการทาํ โครงงาน การจดั นิทรรศการโครงงาน ควรคาํ นึงถึงสิงต่าง ๆ ตอ่ ไปนี 1. ความปลอดภยั ของการจดั แสดง 2. ความเหมาะสมกบั เนือทีจดั แสดง 3. คาํ อธิบายทเี ขียนแสดงควรเน้นประเดน็ สาํ คญั และสิงทีน่าสนใจเท่านนั โดยใช้ ขอ้ ความกะทดั รัด ชดั เจน และเขา้ ใจง่าย 4. ดึงดดู ความสนใจผเู้ ขา้ ชม โดยใชร้ ูปแบบการแสดงทีน่าสนใจ ใชส้ ีทสี ดใส เนน้ จุด ทีสาํ คญั หรือใชว้ สั ดุต่างประเภทในการจดั แสดง 5. ใชต้ ารางและรูปภาพประกอบ โดยจดั วางอยา่ งเหมาะสม 6. สิงทีแสดงทุกอยา่ งถกู ตอ้ ง ไม่มีการสะกดผิดหรืออธบิ ายหลกั การทผี ิด 7. ในกรณีทเี ป็นสิงประดิษฐ์ สิงนันควรอย่ใู นสภาพทที าํ งานไดอ้ ย่างสมบรู ณ์ ในการแสดงผลงาน ผนู้ าํ ผลงานมาแสดงจะต้องอธิบายหรือรายงานปากเปล่าหรือ ตอบคาํ ถามต่าง ๆจากผชู้ มหรือตอ่ กรรมการตดั สินโครงงาน การอธิบายตอบคาํ ถาม หรือรายงานปากเปลา่ นนั ควรไดค้ าํ นึงถึงสิงตา่ ง ๆ ต่อไปนี 1. ตอ้ งทาํ ความเขา้ ใจกบั สงิ ทีอธิบายเป็นอยา่ งดี 2. คาํ นึงถึงความเหมาะสมของภาษาทีใชก้ บั ระดบั ผฟู้ งั ควรใหช้ ดั เจนและเขา้ ใจง่าย

36 3. ควรรายงานอยา่ งตรงไปตรงมา ไมอ่ อ้ มคอ้ ม 4. พยายามหลีกเลียงการอ่านรายงาน แต่อาจจดหัวขอ้ สาํ คญั ๆ ไว้ เพือช่วยใหก้ าร รายงานเป็ นไปตามขนั ตอน 5. อยา่ ทอ่ งจาํ รายงานเ พราะทาํ ใหด้ ไู มเ่ ป็นธรรมชาติ 6. ขณะทีรายงานควรมองตรงไปยงั ผฟู้ ัง 7. เตรียมตวั ตอบคาํ ถามทีเกยี วกบั เรืองนนั ๆ 8. ตอบคาํ ถามอยา่ งตรงไปตรงมา ไมจ่ าํ เป็นตอ้ งกลา่ วถึงสิงทีไมไ่ ดถ้ าม 9. หากติดขดั ในการอธิบาย ควรยอมรับโดยดี อย่ากลบเกลอื น หรือหาทางหลีกเลยี ง เป็ นอย่างอนื 10. ควรรายงานใหเ้ สร็จภายในระยะเวลาทกี าํ หนด 11. หากเป็นไปไดค้ วรใชส้ ือประเภทโสตทศั นปู กรณ์ ประกอบการรายงานดว้ ย เช่น แผ่นใส หรือสไลด์ เป็ นตน้ ข้อควรพิจารณาและคาํ นึงถึงประเด็นต่าง ๆ ทีกล่าวมาในการแสดงผลงานนัน จะคลา้ ยคลึงกันในการแสดงผลงานทุกประเภท แต่อาจแตกต่างกนั ในรายละเอยี ดปลีกย่อยเพียง เล็กน้อย สิงสาํ คญั กค็ ือ พยายามให้การแสดงผลงานนันดึงดดู ความสนใจผูช้ ม มีความชดั เจน เข้าใจง่าย และมคี วามถูกตอ้ งในเนือหา การทาํ แผงสาํ หรบั แสดงโครงงานให้ใชไ้ มอ้ ดั มขี นาดดงั รูป 60 ซม. 60 ซม. ซม. ติดบานพบั มีห่วงรับและขอสับทาํ มุมฉากกบั ตวั แผงกลาง ในการเขยี นแบบโครงงานควรคาํ นึงถงึ สิงตอ่ ไปนี 1. ตอ้ งประกอบดว้ ยชือโครงงาน ชือผทู้ าํ โครงงาน ชือครูทีปรึกษา คาํ อธิบายยอ่ ๆ ถงึ เหตุ จูงใจในการทาํ โครงงาน ความสาํ คญั ของโครงงาน วิธีดาํ เนินการเลอื กเฉพาะขนั ตอนทีสาํ คัญ ผลทีได้ จากการทดลองอาจแสดงเป็ นตาราง กราฟ หรื อรูปภาพก็ได้ ประโยชน์ของโครงงาน สรุปผล เอกสารอา้ งองิ

37 2. จดั เนือทีให้เหมาะสม ไม่แน่นจนเกินไปหรือน้อยจนเกินไป 3. คาํ อธิบายความกะทดั รดั ชดั เจน เขา้ ใจง่าย 4. ใชส้ ีสดใส เน้นจุดสาํ คญั เป็นการดึงดูดความสนใจ 5. อุปกรณ์ประเภทสิงประดิษฐค์ วรอยู่ในสภาพทีทาํ งานไดอ้ ยา่ งสมบูรณ์ กิจกรรมที ให้นักศึกษาพิจารณาข้อมูลจากกิจกรรมที มาสรุ ปผลการศึกษาทดลองในรูปแบบของ รายงานการศึกษาทดลองตามประเดน็ ดงั ต่อไปนี 1) ชือโครงงาน..................................................................................................................................... 2) ผทู้ าํ โครงงาน................................................................................................................................... 3) ชืออาจารยท์ ีปรึกษา......................................................................................................................... 4) คาํ นาํ 5) สารบญั 6) บทที บทนาํ - ทีมาและความสาํ คญั - วตั ถปุ ระสงค์ - ตวั แปรทีศึกษา - สมมติฐาน - ประโยชน์ทีคาดว่าจะไดร้ ับ 7) บทที เอกสารทีเกยี วขอ้ งกบั การทาํ โครงงาน 8) บทที วธิ ีการศึกษา/ทดลอง - วสั ดอุ ุปกรณ์ - งบประมาณ - ขนั ตอนการดาํ เนินงาน - แผนปฏบิ ตั ิงาน 9) บทที ผลการศกึ ษา/ทดลอง - การทดลองไดผ้ ลอย่างไรบา้ ง

38 10) บทที สรุปผลและขอ้ เสนอแนะ - ขอ้ สรุปผลการทดลอง - ขอ้ เสนอแนะ 11) เอกสารอา้ งองิ แบบทดสอบ จงเลอื กวงกลมลอ้ มรอบขอ้ คาํ ตอบทีถกู ทีสุดเพยี งขอ้ เดียว 1. โครงงานวทิ ยาศาสตร์คืออะไร ก. แบบร่างทกั ษะในวชิ าวิทยาศาสตร์ ข. การวจิ ยั เล็ก ๆ เรืองใดเรืองหนึงในวิชาวิทยาศาสตร์ ค. ธรรมชาติของวชิ าวทิ ยาศาสตร์ ง. กิจกรรมทางวิทยาศาสตร์ทตี อ้ งใชก้ ระบวนการทางวทิ ยาศาสตร์ 2. โครงงานวิทยาศาสตร์มกี ีประเภท ก. ประเภท ข. ประเภท ค. ประเภท ง. ประเภท 3. โครงงานวิทยาศาสตร์แบบใดทีเหมาะสมทีสุดกบั นกั ศึกษาระดบั มธั ยมศกึ ษาตอนปลาย ก. โครงงานสาํ รวจ ข. โครงงานทฤษฎี ค. โครงงานทดลอง ง. โครงงานพฒั นาหรือประดิษฐ์ 4. ขนั ตอนใดไม่จาํ เป็นตอ้ งมใี นโครงงานวทิ ยาศาสตร์ประเภทสาํ รวจ ก. ตงั ปัญหา ข. สรุปผล ค. สมมติฐาน ง. รวบรวมขอ้ มลู

39 5. กาํ หนดใหส้ ิงต่อไปนีควรจะตงั ปัญหาอย่างไร นาํ บริสุทธิ นาํ หวาน นาํ เกลือ ชนิดละ ลกู บาศก์เซนติเมตร ตะเกียงแอลกอฮอล์ เทอร์โมมิเตอร์ บีกเกอร์ หลอด ทดลองขนาดกลาง หลอดฉีดยา ก. นาํ ทงั สามชนิดมีนาํ หนักเท่ากนั ข. นาํ ทงั สามชนิดมีรสชาติต่างกนั ค. นาํ ทงั สามชนิดมจี ดุ เดือดทีแตกต่างกนั ง. นาํ ทงั สามชนิดมจี ุดเยอื กแข็งทีแตกต่างกนั 6. จากคาํ ถามขอ้ อะไรคอื ตวั แปรตน้ ก. ความร้อนจากตะเกียงแอลกอฮอล์ ข. ความบริสุทธิของนาํ ทงั สามชนิด ค. ขนาดของหลอดทดลอง ง. ความจขุ องนาํ . ผลการทดลองทางวทิ ยาศาสตร์ทีน่าเชอื ถือไดต้ อ้ งเป็ นอยา่ งไร ก. สรุปผลไดช้ ดั เจนดว้ ยตนเอง ข. ทาํ ซาํ หลาย ๆ ครัง และผลเหมอื นเดิมทุกครัง ค. ครูทปี รึกษารบั ประกนั ผลงาน ง. ผลการทดลองเป็นไปตามสมมติฐาน . สิงใดบง่ บอกวา่ โครงงานวทิ ยาศาสตร์ทจี ดั ทาํ นันมีคุณค่า ก. ประโยชน์ทีไดร้ บั ข. ขอ้ เสนอแนะ ค. ขนั ตอนการทาํ งาน ง. สาธิตหรือแสดงผลทไี ด้ . การจดั ทาํ โครงงานวทิ ยาศาสตร์ควรเริมตน้ อย่างไร ก. เรืองทเี ป็นทีนิยมทาํ กนั ในปัจจุบนั ข. เรืองทีแปลก ๆ ใหม่ ๆ ยงั ไม่มใี ครทาํ ค. เรืองทีเป็นประโยชน์ใกล้ ๆ ตวั ง. ถูกทงั ขอ้ ก และขอ้ ข

40 . โครงงานวทิ ยาศาสตร์ ทีถกู ตอ้ งสมบรู ณ์ตอ้ งเป็นอย่างไร ก. ใชท้ กั ษะกระบวนการทางวทิ ยาศาสตร์ ข. ใชว้ ธิ ีคน้ ควา้ จากห้องสมุด ค. ใชว้ ิธหี าคาํ ตอบจากการซกั ถามผรู้ ู้ ง. ใชว้ ิธีขอคาํ ปรึกษาจากครูทปี รึกษา เฉลยแบบทดสอบบทที เรอื ง ทักษะวิทยาศาสตร์ .ค .ข .ง .ข .ข .ง .ก .จ .ง .ง

41 บทที เซลล์ สาระสําคัญ ลกั ษณะรูปร่างของเซลลพ์ ืช และเซลล์สัตว์ องคป์ ระกอบโครงสร้างและหนา้ ทีของเซลล์พืช และเซลลส์ ัตว์ กระบวนการทสี ารผา่ นเซลล์ ผลการเรียนรู้ทคี าดหวัง 1. อธิบายลกั ษณะโครงสร้าง องค์ประกอบและหนา้ ทีของเซลลไ์ ด้ 2. เปรียบเทยี บความแตกต่างระหวา่ งเซลลพ์ ืชและเซลลส์ ัตวไ์ ด้ ขอบข่ายเนือหา เรืองที ลกั ษณะรูปร่างของเซลลพ์ ืชและเซลลส์ ัตว์ เรืองที องคป์ ระกอบโครงสร้างและหนา้ ทีของเซลลพ์ ืชและเซลลส์ ตั ว์ เรืองที กระบวนการทีสารผา่ นเซลล์

42 เรืองที ลักษณะรูปร่างของเซลล์พืชและเซลล์สัตว์ เซลล์ (Cell) คือ หน่วยทีเลก็ ทสี ุดของสิงมีชีวิต เป็ นหน่วยเริมตน้ หรือหน่วยพืนฐานของ ทุกชีวติ ประวตั ิการศึกษาเซลล์ ปี ค.ศ. 1665 รอเบิร์ต ฮกุ นักวิทยาศาสตร์ชาวองั กฤษ ไดป้ ระดษิ ฐ์กลอ้ งจุลทรรศนท์ ีมคี ุณภาพดี และได้ส่องดูไมค้ อร์กทีเฉือนบาง ๆ และได้พบช่องเลก็ ๆ จาํ นวนมาก จึงเรียกช่องเล็ก ๆ นีว่า เซลล์ (cell) เซลลท์ ฮี ุกพบนนั เป็นเซลลท์ ีตายแลว้ การทีคงเป็ นช่องอยไู่ ดก้ ็เนืองจากการมีผนังเซลลน์ นั เอง ปี ค.ศ. 1824 ดวิ โทเชท์ ได้ศึกษาเนือเยอื พืชและเนือเยือสัตว์ พบว่าประกอบด้วยเซลลเ์ ช่นกนั แตม่ ลี กั ษณะทแี ตกต่างกนั อย่บู า้ ง ปี ค.ศ. 1831 รอเบิร์ต บราวน์ นักพฤกษศาสตร์ชาวองั กฤษ ได้ศกึ ษาเซลล์ขนและเซลล์อืน ๆ ของพชื พบว่ามีกอ้ นกลมขนาดเลก็ อยตู่ รงกลาง จงึ ให้ชือกอ้ นกลมนีว่า นิวเคลยี ส (Nucleus) ปี ค.ศ. 1838 มตั ทิอสั ยาคบ ชไลเดน นักพฤกษศาสตร์ชาวเยอรมนั ไดศ้ กึ ษาเนือเยือพืชต่าง ๆ และสรุปวา่ เนือเยอื ทุกชนิดประกอบดว้ ยเซลล์ ปี ค.ศ. 1839 เทโอดอร์ ชวนั น์ นกั สัตววิทยาชาวเยอรมนั ไดศ้ กึ ษาเนือเยือสตั วต์ า่ งๆ แลว้ สรุปว่าเนือเยือสตั วท์ ุกชนิดประกอบขึนดว้ ยเซลล์ ดงั นนั ในปี เดียวกนั นี ชวนั นแ์ ละชไลเดน จงึ ได้ ร่วมกนั ตงั ทฤษฎีเซลล์ (Cell Theory) ซึงมีใจความสาํ คญั ว่า สิงมีชวี ติ ทงั หลายประกอบขึนดว้ ยเซลล์ และเซลล์ คือ หน่วยพนื ฐานของสิงมีชวี ติ ทุกชนิด ทฤษฎีเซลล์ในปัจจุบนั ครอบคลมุ ถึงใจความสําคญั 3 ประการ คอื 1. สิงมีชีวติ ทงั หลายอาจมีเพยี งเซลลเ์ ดียว หรือหลายเซลล์ ซึงภายในมีสารพันธุกรรม และ มีกระบวนการเมแทบอลิซึม ทาํ ใหส้ ิงมชี วี ิตดาํ รงชีวติ อยูไ่ ด้ 2. เซลลเ์ ป็นหน่วยพนื ฐานทีเลก็ ทีสุดของสิงมีชีวติ ทีมีการจดั ระบบการทาํ งานภายใน โครงสร้างของเซลล์ 3. เซลลม์ ีกาํ เนิดมาจากเซลลแ์ รกเริม เซลลเ์ กดิ จากการแบง่ ตวั ของเซลล์เดิม แมว้ ่าชีวิตแรกเริม จะมีวิวัฒนาการมาจากสิงไม่มีชีวิต แต่นกั ชีววิทยายงั คงถือว่าการเพิมขึนของจาํ นวนเซลล์เป็ นผล สืบเนืองมา จากเซลลร์ ุ่นก่อน ปี ค.ศ. 1839 พูร์คินเย นักสตั ววิทยา ชาวเชโกสโลวาเกีย ได้ศึกษาไข่และตวั อ่อนของสตั ว์ต่างๆ ไดพ้ บวา่ ภายในมขี องเหลวใสเหนียว และออ่ นนุ่ม จึงไดเ้ รียกของเหลวใสนีว่า โพรโทพลาซึม (Protoplasm) ปี ค.ศ. 1868 ทอมสั เฮนรี ฮกั ซ์ลีย์ แพทยช์ าวองั กฤษศกึ ษาโพรโทพลาซึมและพบว่า โพรโทพลาซึมเป็นรากฐานของชีวิตเนืองจากปฏิกิริยาตา่ ง ๆ ของเซลลเ์ กิดขึนทโี พรโทพลาซึม ปี ค.ศ. 1880 วลั เทอร์ เฟลมมิง นกั ชีววทิ ยาชาวเยอรมนั ไดค้ น้ พบว่าภายในนิวเคลยี สของเซลล์ ต่าง ๆ มโี ครโมโซม


Like this book? You can publish your book online for free in a few minutes!
Create your own flipbook