Important Announcement
PubHTML5 Scheduled Server Maintenance on (GMT) Sunday, June 26th, 2:00 am - 8:00 am.
PubHTML5 site will be inoperative during the times indicated!

Home Explore วิทยาศาตร์ พว31001

วิทยาศาตร์ พว31001

Published by clube.indy, 2020-04-18 01:11:11

Description: วิทยาศาตร์ พว31001

Search

Read the Text Version

93 กิจกรรมของมนุษย์ทสี ่งผลกระทบต่อสิงแวดล้อมและทรัพยากรธรรมชาติ ได้แก่ . กิจกรรมทางดา้ นอุตสาหกรรม โดยไม่มกี ารคาํ นึงถงึ สิงแวดลอ้ ม มีการใชท้ รัพยากรธรรมชาติ มากมาย และก่อให้เกดิ มลพษิ ตอ่ สิงแวดลอ้ มเช่น อตุ สาหกรรมเหมืองแร่ มีการเปิดหนา้ ดิน ก่อให้เกิดปัญหา การชะลา้ ง พงั ทลายของดนิ และปัญหานาํ ทิง จากเหมอื งลงสู่แหลง่ นาํ กอ่ ให้เกิดมลพิษทางนาํ . กิจกรรมทางการเกษตร เช่น มีการใช้ยาฆา่ แมลงเพือเพิมผลผลิต ส่งผลให้เกิดอันตรายต่อ สิงแวดล้อม และสุขภาพอนามยั ของมนุษยเ์ นืองจากมีการสะสมสารพิษ ไว้ในร่างกายของสิงมีชีวิต และ สิงแวดลอ้ ม ก่อใหเ้ กิดอนั ตรายในระยะยาวและเกิดความสูญเสีย ทางดา้ นเศรษฐกิจ เนืองจากการเจ็บป่ วย ของประชาชน และคณุ ภาพสิงแวดลอ้ มทีแยล่ ง . กิจกรรมการบริโภคของมนุษย์ ส่งผลใหม้ ีการใชท้ รัพยากรอยา่ งฟุ่มเฟื อย ขาดการคาํ นึงถงึ สิงแวดลอ้ ม ก่อให้เกิดปัญหาสิงแวดลอ้ มตามมา เช่น ปริมาณขยะทีมากขึนจากการบริโภคของเรานีทีมากขนึ ซงึ ยากต่อการกาํ จดั โดยเกิดจากการใชท้ รัพยากร อยา่ งไมค่ ุม้ ค่า ทาํ ใหป้ ริมาณทรัพยากรธรรมชาติ ลดน้อยลง เป็ นตน้ เรืองที ปรากฏการณ์ทางธรณวี ิทยาทีมีผลกระทบต่อชีวิตและสิงแวดล้อม ละลุ \"ละล\"ุ เป็ นภาษาเขมร แปลว่า \"ทะลุ\" เป็นปรากฏการณ์ทางธรรมชาติแต่มีพนื ทีกวา้ งกว่า 2,000 ไร่ ละลุ เกดิ จากนาํ ฝนกดั เซาะ ยุบตวั หรือพงั ทลายของดิน เนืองจากสภาพดินแข็งจะคงอยูไ่ มย่ ุบตวั เมอื ถกู ลม กดั กร่อนจึงมีลกั ษณะเป็ น รูปต่าง ๆ มองคลา้ ยกาํ แพงเมอื ง หน้าผา บ้างมีลกั ษณะเป็นแท่ง ๆ จึงทาํ ให้ละลุ มีความสวยงามและแปลกตาแตกต่างกนั ตามจินตนาการของแต่ละคน ซึงในทุก ๆ ปี ละลุจะเปลียนรูปร่าง ของมนั ไปเรือย ๆ ตามแต่ลมและฝนทีช่วยกันตกแต่งชนั ดิน และในบางพืนทีกจ็ ะมีละลทุ ีขึนอยูก่ ลางพืนที ทาํ นาของชาวบา้ นซึงสีนาํ ตาลทองของละลุ ตดั กบั สีเขียวสดของต้นข้าว เป็ นสิงทีสวยงามมาก ทีหาดูไม่ได้ ในกรุงเทพสวยจนไดร้ ับขนานนามวา่ เป็ น แกรนแคนยอนของเมืองไทย เลยทีเดียว “ละลุ” ทีจงั หวดั สระแกว้ นีจะมีลกั ษณะคลา้ ยกบั “แพะเมืองผี” ของจงั หวดั แพร่ หรือ “เสาดินนาน้อย” (ฮอ่ มจอ๊ ม) จ.น่าน บางคนก็จะ เรียกว่า “แพะเมืองผแี ห่งใหม่” แต่ทีนีจะมีละลุเยอะกว่าซึงจะมลี ะลุ กระจายกนั อยู่เป็ นจุด ๆ ในพืนที ประมาณ 2,000 ไร่โดยจะแบง่ ละลอุ อกเป็นโซน ๆ ซึงแต่ละโซนก็จะมีละลุทีมลี กั ษณะสวยงามแตกต่างกนั สําหรับความเหมือนกันของ ละลุ แพะเมืองผี และเสาดินนาน้อยก็คือ ทงั 3 แห่งลว้ นเป็ นปรากฏการณ์ ธรรมชาติทีเกิดจากการเปลยี นแปลงของเปลอื กโลกจากการ ถล่มของหนา้ ดิน ส่วนทีแข็งกว่าก็จะคงตัวอยู่ ดา้ นบน ทาํ หน้าทีเป็นดงั หมวกเหลก็ คุ้มกนั ชนั กรวดทรายทีออ่ นกว่าด้านล่าง โดยมีลมและฝนช่วยกนั ทาํ หนา้ ทศี ิลปิ นตกแต่งชนั ดินในเวลาลา้ น ๆ ปี แปลกตาแตกตา่ งกนั ไป ไมว่ า่ จะเป็นรูปเจดีย์ ปราสาท ดอกเห็ด กาํ แพง หรือรูปอะไรก็สุดแท้ แต่ว่าคนทีมองจะจินตนาการ

94 ภาพละลุ อาํ เภอตาพระยา จงั หวดั สระแกว้ ทฤษฎกี ารเคลอื นทขี องแผ่นเปลือกโลก นกั วทิ ยาศาสตร์ไดพ้ ยายามศกึ ษาและรวบรวมขอ้ มลู เพอื สรุปเป็นทฤษฎีอธบิ ายสาเหตุการเกิดของ แผน่ ดินไหว ในปัจจุบนั ทฤษฎีการเคลอื นทีของแผ่นเปลือกโลก (Plate Tectonics Theory) ไดร้ ับการยอมรับ มากทีสุด ทฤษฎีนีพฒั นามาจากทฤษฎีว่าด้วยทวีปเลือน (Theory of Continental Drift) ของอลั เฟรด โลทาร์ เวเกเนอร์ (Alfred Lothar Wegener พ.ศ. - นักวิทยาศาสตร์ ชาวเยอรมนั ) ซึงเสนอไวเ้ มือ พ.ศ. ตอ่ มา แฮร์รี แฮมมอนด์ เฮสส์ (Harry Hammond Hess พ.ศ. - นกั ธรณีวิทยา ชาวอเมริกนั ) ไดเ้ สนอแนวคิด ทีพฒั นาใหม่นีในทศวรรษ ทฤษฎีการเคลือนทีของแผน่ เปลือกโลก ไดอ้ ธิบายว่า ปรากฏการณ์แผ่นดินไหวเกิดจากการ เคลอื นทีของแผน่ เปลือกโลกเป็ นลาํ ดบั ขนั ตอน ดงั นี เมือโลกแยกตัวจากดวงอาทิตยม์ ีสภาพเป็ นกลุ่มก๊าซ ร้อน ต่อมาเยน็ ตวั ลงเป็นของเหลวร้อน แต่เนืองจากบริเวณ ผิวเยน็ ตวั ลงไดเ้ ร็วกว่าจึงแข็งตวั ก่อน ส่วนกลาง ของโลกยงั คงประกอบดว้ ยของธาตุหนักหลอมเหลว ในทางธรณีวิทยา ไดแ้ บ่งโครงสรา้ งของโลกออกเป็น ส่วนใหญ่ๆ เรียกว่า เปลือกโลก (crust) เนือโลก (mantle) และแก่นโลก (core) เปลือกโลกเป็ นส่วนทีเป็น ของแข็งและเปราะ ห่อหุ้มอยชู่ นั นอกสุด ของโลก จนถงึ ระดบั ความลึกประมาณ กิโลเมตร เรียกอกี อย่าง หนึงว่า ธรณีภาคชันนอก หรื อลิโทสเฟี ยร์ (Lithosphere) ใตช้ นั นีลงไปเป็ นส่วนบนสุดของชนั เนือโลก เรียกว่า ฐานธรณีภาค หรือแอสเทโนสเฟี ยร์ (asthenosphere) มลี กั ษณะเป็ นหินละลายหลอมเหลวทีเรียกว่า หินหนืด (magma) มีความออ่ นตวั และยดื หยุ่นได้ อยูล่ กึ จากผิวโลกลงไป - กิโลเมตร ใตจ้ ากฐาน ธรณีภาคลงไป ยงั คงเป็นส่วนทีเป็นเนือ โลกอยู่ จนกระทงั ถึงระดบั ความลกึ ประมาณ ,900 กิโลเมตรจากผิว โลก จึงเปลียน เป็นชนั แก่นโลก ซึงแบ่งเป็ น ชนั ยอ่ ย คือ แก่นโลกชนั นอก และแก่นโลกชันใน โดยแก่น โลกชนั ในนนั จะอยลู่ ึกสุดจนถึงจุด ศนู ยก์ ลางของโลก ทรี ะดบั ความลึก ,370 กิโลเมตร จากผวิ โลกการเกิด แผ่นดินไหวนนั ส่วนใหญ่จาํ กดั อยู่เฉพาะทีชนั ของเปลือกโลก โดยทีเปลือกโลกไม่ไดเ้ ป็ นชินเดียวกนั ทงั หมด เนืองจากวา่ เมอื ของเหลวทีร้อนจัดปะทะชันแผ่นเปลอื กโลก ก็จะดนั ตวั ออกมา แนวรอยแยกของ

95 แผ่นเปลือกโลกจึงเป็ นแนวทีเปราะบางและเกิดเหตุการณ์แผ่นดินไหว และ ภูเขาไฟระเบิดมาก จากการ บนั ทึกประวตั ิปรากฏการณ์แผน่ ดินไหว ทาํ ใหส้ ามารถประมาณการแบ่งของแผน่ เปลือกโลกไดเ้ ป็น แผน่ คือ - แผ่นยเู รเชีย (Eurasian Plate) - แผ่นแปซิฟิก (Pacific Plate) - แผ่นออสเตรเลยี (Australian Plate) - แผน่ ฟิลปิ ปิ นส์ (Philippines Plate) - แผน่ อเมริกาเหนือ (North American Plate) - แผน่ อเมริกาใต้ (South American Plate) - แผ่นสโกเชีย (Scotia Plate) - แผน่ แอฟริกา (African Plate) - แผ่นแอนตาร์กติก (Antarctic Plate) - แผน่ นซั กา (Nazca Plate) - แผ่นโคโคส (Cocos Plate) - แผน่ แคริบเบียน (Caribbean Plate) - แผน่ อนิ เดีย (Indian Plate) - แผ่นฮวนเดฟกู า (Juan de Fuca Plate) - แผ่นอาหรับ (Arabian Plate) แผน่ เปลอื กโลกทีกลา่ วมาแลว้ ไม่ไดอ้ ยูน่ ิง แตม่ ีการเคลอื นทคี ลา้ ยการเคลือนยา้ ยวตั ถบุ นสายพาน ลาํ เลียงสิงของ จากผลการสาํ รวจทอ้ งมหาสมุทรในช่วงทศวรรษ พบว่า มีแนวสันเขากลางมหาสมุทร รอบโลก (Global Mid Ocean Ridge) ซึงมคี วามยาวกว่า ,000 กิโลเมตร กวา้ งกว่า กิโลเมตร จากการศึกษาทางด้านธรณีวิทยา พบว่า หินบริเวณสนั เขาเป็ นหินใหม่ มอี ายุน้อยกว่าหินทีอยูใ่ นแนวถัด ออกมา จึงไดม้ ีการตงั ทฤษฎีว่า แนวสนั เขากลางมหาสมทุ รนีคือ รอยแตกกึงกลางมหาสมุทร รอยแตกนีเป็ น รอยแตกของแผน่ เปลือกโลก ซึงถูกแรงดนั จากหินหนืดภายในเปลือกโลกดนั ออกจากกันทีละนอ้ ย รอยแยก ของแผน่ เปลือกโลกทีกล่าวมาแลว้ ทาํ ใหเ้ กิดการเคลือนทีของแผน่ เปลือกโลกตา่ ง ๆ การเคลอื นทีของแผ่นเปลือกโลกทาํ ให้ เกิดแผน่ ดินไหวตามรอยต่อของแผน่ ต่าง ๆ โดยสรุปแลว้ การเคลือนไหวระหวา่ งกนั ของเปลอื กโลกมี ลกั ษณะ ไดแ้ ก่ ( ) บริเวณทีแผน่ เปลือกโลกแยกออกจากกนั (Diver- gence Zone) ( ) บริเวณทแี ผน่ เปลอื กโลกชนกนั (Convergence Zone) และ ( ) บริเวณทีแผ่นเปลอื ก โลกเคลือนทีพาดผ่านกนั (Transform or Fracture Zone)

96 บรเิ วณทแี ผ่นเปลือกโลกแยกออกจากกัน ตวั อยา่ งทีเห็นไดช้ ดั ไดแ้ ก่ การแยกตวั ของสนั เขากลางมหาสมุทรแอตแลนติก (Mid Atlantic Ridge) สนั เขานีเป็ นส่วนหนึงของสนั เขากลางมหาสมทุ รรอบโลก มแี นวเริมตน้ จากมหาสมุทรอาร์กติกลง มายงั ปลายทวีปแอฟริกา มผี ลทาํ ใหแ้ ผน่ อเมริกาเหนือเคลือนทีแยกออกจากแผน่ ยเู รเชีย และแผน่ อเมริกาใต้ เคลือนทีแยกออกจากแผน่ แอฟริกา ความเร็วของการเคลอื นทีอยรู่ ะหว่าง - เซนติเมตรตอ่ ปี ตวั อยา่ งของ การเคลือนทีจะเห็นไดจ้ ากการแยกตวั ของแผน่ ดินบริเวณภูเขาไฟคราฟลา (Krafla Volcano) ทางตะวนั ออกเฉียงเหนือของเกาะไอซ์แลนด์ แผ่นดินไหวทเี กิดขึนจากเหตุการณ์นีจะมลี กั ษณะตืนและ มีทิศทางตามแนวแกนของการเคลือนที แผ่นดินไหวทีเกดิ จากการแยกตวั นีจะมขี นาดไมเ่ กิน ตามมาตรา ริกเตอร์ บริเวณทแี ผ่นเปลือกโลกชนกนั เมือแผน่ เปลือกโลกแผ่นหนึงมดุ ตวั ลงใตอ้ กี แผ่นหนึง บริเวณทีแผน่ เปลือกโลกมุดตวั ลง (Subduction Zone) จะเกิดร่องนาํ ลึกและภูเขาไฟ แผน่ ดนิ ไหวอาจเกิดขึนทีความลึกต่างกนั ไดต้ งั แต่ความลึกใกลผ้ ิวโลก จนถึงความลึกลงไปหลายร้อยกิโลเมตร (อาจลึกถึง กิโลเมตร) การเคลอื นทีแบบนีจะก่อให้เกิด แผ่นดนิ ไหวรุนแรงมากทีสุด โดยมขี นาดเกิน ตามมาตราริกเตอร์ ตวั อยา่ งเช่น การเกิดแผน่ ดินไหวใน มลรัฐอะแลสกา ประเทศสหรัฐอเมริกา เกิดจากแผน่ แปซิฟิ กชนกับแผ่นอเมริกาเหนือ และแผ่นดินไหวที ประเทศชลิ ี เกิดจากแผ่นนซั กาชนและจมลงใตแ้ ผน่ อเมริกาใต้ บรเิ วณทแี ผ่นเปลือกโลกเคลือนทีพาดผ่านกัน แผน่ ดินไหวทีเกิดขึนจะตนื (อยทู่ ีความลกึ ประมาณ กิโลเมตร) ขนาดไม่เกิน . ตามมาตรา ริกเตอร์ ตวั อย่างของแผ่นดินไหวประเภทนีไดแ้ ก่ แผน่ แปซิฟิ ก เคลอื นทีพาดผา่ นแผน่ อเมริกาเหนือ ทาํ ให้ เกิดรอยเลือนทีสําคัญคือ รอยเลอื นแซนแอนเดรียส (San Andreas Fault) ในมลรัฐแคลิฟอร์เนีย ประเทศ สหรัฐอเมริกา ทีรอยเลอื นประเภทนี แผน่ ผวิ โลกจะเคลอื นทีผา่ นกนั ในแนวราบ แต่มีการจมตัวหรือยกตัว สูงขึนนอ้ ยกว่าการเคลือนทีใน ลกั ษณะแรก การเกิดแผ่นดินไหวอาจเกิดจากการเคลือนตวั ของแผ่นเปลือกโลกทงั ลกั ษณะรวมกนั ก็ได้ ตวั อย่างเช่น แผ่นดินไหวทีมลรฐั เนวาดา ประเทศสหรัฐอเมริกา ภาพแสดงโครงสร้างของโลก

97 ภาพแสดงการแบ่งแผน่ เปลือกโลก คลืนแผ่นดนิ ไหวคืออะไร ขณะทแี ผน่ เปลอื กโลกยดึ ติดกนั อยู่ แรงดันของของเหลวภายใต้แผ่นเปลือกโลกจะทาํ ให้รอยต่อ เกิดแรงเคน้ (Stress) เปรียบเทียบไดก้ บั การดดั ไม้ซงึ ไมจ้ ะดดั งอและสะสมแรงเคน้ ไปเรือย ๆ จนแรงเคน้ เกนิ จดุ แตกหัก ไมก้ จ็ ะหกั ออกจากกนั ในทาํ นองเดยี วกนั เมือเปลือกโลกสะสมแรงเคน้ ถงึ จดุ แตกหัก เปลือกโลก จะเคลอื นทีสัมพทั ธ์ ระหวา่ งกนั พร้อมทงั ปลดปล่อยพลงั งานออกมา ทาํ ใหเ้ กิดการเปลียนแปลงรูปร่างของ เปลือกโลกและเกิดแรงสันสะเทือนเป็นคลืนแผ่นดินไหว ซงึ คนเราสามารถรู้สึกได้ และสร้างความเสียหาย แก่สิงก่อสร้างทวั ไป การส่งผ่านพลงั งานทีเปลอื กโลกปลดปล่อยจากจุดหนึงไปยงั จุดหนึง เกิดจากการ เคลอื นตวั ของอนุภาคของดนิ การเคลอื นตวั ของอนุภาคของดินดงั ทีกลา่ วมานีจะมลี กั ษณะ คลา้ ยคลนื จึงเรียกวา่ คลืนแผน่ ดินไหว คลืนแผน่ ดินไหวมี ประเภท คือ ประเภทแรก เป็นคลืนทีเกิดจากการอดั ตวั ทีเรียกว่า คลืนอดั ตัว (Compressional Wave) หรือ คลืน ปฐมภมู ิ (Primary Wave : P - Wave) หากเรามองทีอนุภาคของดิน ณ จุดใดจุดหนึง เมอื แผ่นเปลอื กโลก เคลอื นทีเกิดแรงอดั ขึน ทาํ ใหอ้ นุภาคของดินถกู อดั เขา้ หากนั อยา่ งรวดเร็ว การอดั ตวั อย่างรวดเร็ว ของอนุภาค ดินก่อให้เกิดแรงปฏิกริ ิยาภายใน ตอ่ ตา้ นการหดตวั แรงปฏิกิริยานีจะทาํ ใหด้ ินขยายตวั ออกอยา่ งรวดเร็ว ผ่าน จดุ ทีเป็นสภาวะเดิม การขยายตวั ของอนุภาคดินนีก็จะทาํ ใหเ้ กิดแรงอดั ในอนุภาคถดั ไป ทาํ ใหเ้ กิดปฏิกิริยา ต่อเนืองเป็นลูกโซ่ และแผร่ ัศมอี อกโดยรอบ คลนื นีจะเคลือนทดี ว้ ยความเร็ว . - กิโลเมตร/วนิ าที ประเภทที เป็นคลนื ทีเกิดจากการเปลยี นรูปร่างของอนุภาคแบบเฉือน เรียกวา่ คลืนเฉือน (Shear Wave หรือ คลนื ทุติยภูมิ (Secondary Wave : S - Wave) เช่นเดียวกบั แรงอดั เมือแผ่นเปลอื กโลกเคลอื นที นอกจากแรงอดั แลว้ ยงั เกิดแรงทีทําให้อนุภาคของดิน เปลียนรูปร่าง การเปลียนรูปร่างของอนุภาคดิน ก่อใหเ้ กิดแรงปฏิกิริยาภายในต่อตา้ นการเปลียนรูปร่าง ซึงทาํ ใหเ้ กดิ การเคลือนทีเป็นคลนื แผ่รัศมี ออกโดยรอบ คลืนนีจะเคลอื นที ดว้ ยความเร็วประมาณร้อยละ - ของคลืนอดั ตวั โดยธรรมชาติคลืนอดั ตวั จะทาํ ใหเ้ กิดการสันสะเทือนในทิศทางเดียวกนั กบั ทีคลืน เคลือนทีไป ส่วนคลนื เฉือนจะทาํ ใหพ้ ืนดินสันสะเทือนในทิศทางตงั ฉากกบั ทิศทางการเคลอื นทีของคลืน ถงึ แม้ว่า ความเร็วของคลืนแผ่นดินไหวจะต่างกนั มากถงึ เท่า แต่อตั ราส่วนระหว่างความเร็วของคลนื อดั ตวั

98 กบั ความเร็วของคลืนเฉือนคอ่ นขา้ งคงที ฉะนนั นักวิทยาศาสตร์ดา้ นแผน่ ดินไหวจึงสามารถคาํ นวณหาระยะ ทางถึงจุดศนู ยก์ ลางของแผ่นดินไหวได้ โดยเอาเวลาทีคลืนเฉือนมาถึง ลบดว้ ยเวลาทีคลืนอัดตัวมาถงึ (เวลาเป็ นวนิ าท)ี คณู ดว้ ยแฟกเตอร์ จะไดร้ ะยะทางโดยประมาณเป็ นกิโลเมตร (S - P) x 8 S คือ เวลาทคี ลืนเฉือนเคลอื นทีมาถงึ P คือ เวลาทคี ลนื อดั ตวั เคลอื นทีมาถึง คลนื แผน่ ดินไหวจะเคลอื นทีไปรอบโลก ฉะนัน หากเรามีเครืองมอื ทีละเอยี ดเพียงพอ ก็สามารถ วดั การเกดิ แผน่ ดนิ ไหว จากทไี หนก็ไดบ้ นโลก หลกั การนีไดน้ าํ มาใช้ในการตรวจจับเรืองการทดลองอาวุธ ปรมาณู เทคโนโลยีทีมีอยู่ในปัจจุบนั สามารถตรวจจับ การระเบิดของอาวุธปรมาณู ทีก่อใหเ้ กิดการ สนั สะเทือนเทยี บเท่ากบั แผน่ ดินไหวขนาด . ตามมาตราริกเตอร์ เราใช้อะไรวัดขนาดของแผ่นดนิ ไหว ขนาดของแผน่ ดินไหวสามารถวดั ได้ดว้ ยเครืองวดั ความไหวสะเทือน (Seismograph) หลกั การ โดยสังเขปของเครืองมอื คอื มตี วั โครงยึดติดกบั พืนดิน เมอื แผ่นดินมกี าร เคลือนที กระดาษกราฟทีติดอยู่กบั โครงจะเคลอื นทีตามแผน่ ดนิ แต่ลูกตุม้ ซงึ มคี วาม เฉือยจะไม่เคลอื นทตี าม ปากกาทีผกู ติดกบั ลูกตมุ้ ก็จะเขียน กราฟลงบนกระดาษ และในขณะเดียวกนั กระดาษก็จะหมุนไปดว้ ยความเร็วคงที ทาํ ใหไ้ ดก้ ราฟแสดง ความสมั พนั ธ์ของขนาดการเคลอื นทขี องแผน่ ดินต่อหน่วยเวลา การวดั แผน่ ดินไหวนิยมวดั อยู่ แบบ ได้แก่ การวดั ขนาด (magnitude) และการวดั ความรุนแรง (intensity) การวดั ขนาดเป็ นการวดั กาํ ลงั หรือพลงั งาน ทีปลดปล่อยในการเกิดแผน่ ดินไหว ส่วนการวดั ความรุนแรงเป็นการวดั ผลกระทบของแผน่ ดินไหว ณ จุดใด จุดหนึงทีมตี ่อคน โครงสร้างอาคาร และพืนดิน มาตรวดั แผ่นดินไหวมีอย่หู ลายมาตรา ในทีนีจะกลา่ วถึง เฉพาะทีนิยมใชท้ วั ไป มาตรา ไดแ้ ก่ มาตราริกเตอร์ มาตราวดั ขนาดโมเมนต์ และมาตราความรุนแรงเมอร์คลั ลี ก. มาตราริกเตอร์ มาตราการวดั ขนาดแผน่ ดินไหวทีไดร้ ับความนิยมมากทีสุดในขณะนี ได้แก่ มาตราริกเตอร์ ซึงเสนอโดย ชาลส์ เอฟ. ริกเตอร์ (Charles F. Richter นกั วิทยาศาสตร์ดา้ นแผ่นดนิ ไหว ชาวอเมริกนั ) ใน พ.ศ. ริกเตอร์ ค้นพบว่า การวดั ค่าแผ่นดินไหวทีดีทีสุด ได้แก่ การวดั พลงั งานจลน์ ทีเกิดขนึ ในขณะเกิดแผน่ ดินไหว ริกเตอร์ไดบ้ นั ทกึ คลนื แผน่ ดินไหวจากเหตุการณ์แผ่นดินไหวจาํ นวนมาก งานวิจัยของริกเตอร์แสดงให้เห็นว่า พลงั งานแผ่นดินไหวทีสูงกวา่ จะทาํ ใหเ้ กิดความสูงคลืน (amplitude) ทีสูงกว่า เมือระยะทางห่างจากจุดทีเกิดแผ่นดินไหวเท่ากนั ริกเตอร์ ได้หาความสมั พนั ธท์ างคณิตศาสตร์ ระหว่างพลงั งานกบั ความสูงคลืน และปรับแกด้ ว้ ยระยะทางจากศูนยก์ ลางการเกิดแผน่ ดินไหว ML = log A+D ML ขนาดของแผ่นดนิ ไหว A ความสูงคลืนหน่วยเป็นมลิ ลิเมตร D ตวั แปรปรับแกร้ ะยะทางจากศนู ยก์ ลางแผ่นดินไหว ขึนอยู่กบั สถานทีเกดิ แผ่นดนิ ไหว

99 ข. มาตราขนาดโมเมนต์ การวดั ขนาด ดว้ ยมาตราริกเตอร์เป็ นทีรู้จักกันอย่างแพร่หลาย แต่วิธีการ ของริกเตอร์ยงั ไมแ่ มน่ ตรงนกั ในเชิงวิทยาศาสตร์ เมือมีสถานีตรวจวดั คลืนแผน่ ดินไหวมากขึนทวั โลก ขอ้ มลู ทไี ด้ แสดงวา่ วิธีการของริกเตอร์ใชไ้ ดด้ ีเฉพาะในช่วงความถแี ละระยะทางหนึงเท่านนั ใน พ.ศ. ฮิรู คะนะโมะริ ( Hiroo Kanamori นักธรณีฟิ สิกส์ ชาวญีปุ่น) ไดเ้ สนอวธิ ีวดั พลงั งานโดยตรงจากการวดั การ เคลือนทีของรอยเลือน มาตราการวดั ขนาดของคะนะโมะริ เรียกว่า มาตราขนาดโมเมนต์(Moment Magnitude Scale) ค. มาตราความรุนแรงเมอร์ คลั ลี นอกจากการวดั ขนาดแผน่ ดินไหว บางครังนักธรณีวิทยาใช้ มาตราความรุนแรง ( Intensity) เพอื อธบิ ายผลกระทบทีแตกต่างกันของแผ่นดินไหว มาตราความรุนแรงที นิยมใชก้ นั ไดแ้ ก่ มาตราความรุนแรงเมอร์คลั ลี ( Mercalli Intensity Scale) ซึงมาตราความรุนแรงเมอร์คัลลี กําหนดขึนครังแรกโดย กวีเซปเป เมอร์คลั ลี ( Guiseppe Mercalli) ชาวอติ าเลียน นักวิทยาศาสตร์ ดา้ นแผ่นดินไหวและภูเขาไฟ) ใน พ.ศ. และต่อมาปรับปรุงโดยแฮร์รี วดู ( Harry Wood) นักวทิ ยาศาสตร์ ดา้ นแผน่ ดินไหว ชาวอเมริกนั ) และแฟรงก์ นิวแมนน์ ( Frank Neumann นกั วิทยาศาสตร์ดา้ นแผน่ ดินไหว ชาวอเมริกนั ) ใน พ.ศ. มาตราความรุนแรงเมอร์คลั ลีจดั ลาํ ดบั ขนั ความรุนแรงตามเลขโรมนั จาก I-XII แผ่นดินถล่ม (land slides) แผ่นดินถลม่ เป็ นปรากฏการณ์ธรรมชาติของการสึกกร่อนชนิดหนึง ทีก่อให้เกิดความเสียหายต่อ บริเวณพนื ทีทีเป็ นเนินสูงหรือภูเขาทีมีความลาดชนั มาก เนืองจากขาดความสมดุลในการทรงตวั บริเวณ ดงั กลา่ ว ทําใหเ้ กิดการปรับตัวของพืนดินต่อแรงดึงดูดของโลกและเกิดการเคลือนตวั ขององคป์ ระกอบ ธรณีวทิ ยาบริเวณนนั จากทีสงู ลงสู่ทีตาํ แผ่นดินถล่มมกั เกดิ ในกรณีทีมฝี นตกหนักมากบริเวณภเู ขาและภูเขา นนั อุม้ นาํ ไวจ้ นเกิดการอมิ ตวั จนทาํ ให้เกิดการพงั ทลาย ประเภทของแผ่นดนิ ถล่ม แบง่ ตามลกั ษณะการเคลือนตวั ได้ 3 ชนิดคอื 1. แผ่นดินถลม่ ทีเคลอื นตวั อยา่ งชา้ ๆเรียกวา่ Creep เชน่ SurficialCreep 2. แผน่ ดินถลม่ ทีเคลอื นตวั อย่างรวดเร็วเรียกว่า Slide หรือ Flow เช่น Surficial Slide 3. แผ่นดินถล่มทีเคลือนตวั อยา่ งฉบั พลนั เรียกวา่ Fall Rock Fall นอกจากนียงั สามารถแบง่ ออกไดต้ ามลกั ษณะของวสั ดุทีลว่ งหลน่ ลงมาได้ 3 ชนิด คือ o￿ แผน่ ดินถลม่ ทีเกิดจากการเคลือนตวั ของผวิ หนา้ ดินของภูเขา o￿ แผน่ ดินถล่มทีเกดิ จากการเคลือนทีของวตั ถุทียงั ไม่แขง็ ตวั o￿ แผน่ ดนิ ถล่มทีเกดิ จากการเคลือนตวั ของชนั หิน

100 แผ่นดินถล่มในประเทศไทย แผน่ ดินถล่มในประเทศไทย ส่วนใหญ่มกั เกิดภายหลงั ฝนตกหนกั มากบริเวณภูเขาซึงเป็นตน้ นาํ ลาํ ธาร บริเวณตอนบนของประเทศ โดยเฉพาะในภาคเหนือและภาคตะวนั ออกเฉียงเหนือ มีโอกาสเกิด แผ่นดินถล่มเนืองมาจากพายหุ มุนเขตร้อนเคลือนผ่านในระหว่างเดือนกรกฎาคมถึงสิงหาคม ในขณะที ภาคใตจ้ ะเกิดในชว่ งฤดมู รสุมตะวนั ออกเฉียงเหนือ ระหว่างเดือนพฤศจกิ ายนถงึ ธนั วาคม ปัจจยั ทีส่งเสริมความรุนแรงของแผ่นดินถล่ม 1. ปริมาณฝนทตี กบนภูเขา 2. ความลาดชนั ของภเู ขา 3. ความสมบรู ณข์ องป่ าไม้ 4. ลกั ษณะทางธรณีวทิ ยาของภเู ขา ลําดับเหตกุ ารณ์ของการเกิดแผ่นดินถล่ม เมอื ฝนตกหนกั นาํ ซึมลงไปในดินอย่างรวดเร็ว ในขณะทีดิน อิมนาํ แรงยึดเกาะระหว่างมวลดินจะ ลดลง ระดบั นาํ ใตผ้ วิ ดินสูงขึนจะทาํ ใหแ้ รงตา้ นทานการเลอื นไหล ของดินลดลง เมือนาํ ใตผ้ วิ ดนิ มีระดบั สูงก็ จะไหลภายในช่องวา่ งของดิน ลงตามความชนั ของลาดเขา เมอื มีการเปลียนความชนั ก็จะเกดิ เป็ นนาํ ผุด และ เป็ นจดุ แรกทีมีการเลือนไหลของดิน เมือเกิดดินเลือนไหลแลว้ ก็จะเกิดต่อเนืองขึนไปตามลาดเขา ปัจจยั สําคญั ทีเป็ นสาเหตขุ องการเกิดแผ่นดินถล่ม ลกั ษณะของดินทเี กิดจากการผพุ งั ของหินบนลาดเขา ลาดเขาทีมคี วามลาดชนั มาก (มากกว่า 30 เปอร์เซนต)์ มีการเปลียนแปลงสภาพป่ า เรอื งที ปัญหาและผลกระทบของระบบนิเวศและสภาพสิงแวดล้อมในชุมชนท้องถินประเทศและโลก ในปัจจุบนั นีสภาพปัญหาความออ่ นแอของระบบนิเวศของเมืองต่าง ๆ ในประเทศไทย ซึงเป็ นผล พวงดา้ นหนึงจากการเตบิ โตของเมืองทีไร้ ระเบียบ และอกี ดา้ นหนึงเกิดจากการพฒั นา เศรษฐกจิ ในอดตี ทีนาํ เทคโนโลยสี มยั ใหม่มาใช้ในการจัดหาและใช้ทรัพยากรในกระบวนการผลิต และรูปแบบของการบริโภค ทีไม่เหมาะสม ทาํ ให้ทรัพยากรอนั จาํ กดั ของประเทศและสิงแวดลอ้ มธรรมชาติถกู ใชส้ อย และทาํ ลายจน เสือมทงั สภาพ ปริมาณและคุณภาพ จนเกือบหมดศักยภาพและยากทีจะฟื นฟูขึนมาใหม่ ซาํ ยงั ก่อให้เกิด มลพิษหลาย ๆ ดา้ นพร้อมกนั สภาพการณ์ดังกลา่ วจะยงั คงความรุนแรงและเป็ นปัญหาเร่งด่วนทีตอ้ งรี บ ดาํ เนินการแกไ้ ขและพฒั นาอยา่ งเป็นระบบ เนืองจากการเพิมขึนของประชากรในเขตเมือง จะยงั คงเพิมทวี ขึนอย่างต่อเนืองแบบแผนตลอดจนกระบวนการผลิตและการบริโภคทีไม่เหมาะสมดงั เดิมยงั ไม่อาจ ปรับเปลียนแกไ้ ขไดโ้ ดยทนั ทีในระยะเวลาสนั ๆ และประการทีสาํ คญั มาก คอื หากไม่รีบเร่งดาํ เนินการใด ๆ สภาพของระบบนิเวศทีเปราะบางในลกั ษณะทีเป็ นอย่ดู งั กล่าว โดยเฉพาะจากสาเหตุของการแพร่กระจาย

101 ของมลพิษ ทงั มลพิษทางนําทางอากาศ ทางเสียงจากสารเคมี ของเสีย อันตรายต่าง ๆ และจากความ สนั สะเทือน กาํ ลงั กลายเป็นขอ้ จาํ กดั ของการพฒั นาเมอื งทีน่าอยอู่ ยา่ งยงั ยืน ทงั ทางดา้ นเศรษฐกจิ สงั คม และ กายภาพทีเป็ นผลต่อสุขอนามยั ของประชาชน พอจะมีตัวอยา่ งทีไดจ้ ากการศึกษาสภาวะด้านสิงแวดลอ้ มของเมืองหลายเมืองทีกาํ ลงั เติบโต ทีชใี หเ้ หน็ ว่าการปล่อยปละละเลยขาดความเอาใจใส่ดูแลและปล่อยใหเ้ กิดความขาดแคลนสาธารณูปโภค ของเมือง หรือการขาดความเอาใจใส่ในการบาํ รุง รักษาระบบนาํ ประปา และการสุขาภบิ าล อนั เป็นสิงจาํ เป็น ต่อการดาํ รงชีพอย่างถกู สุขลกั ษณะของประชากรเมืองไดส้ ร้างความเสียหายอย่างใหญ่หลวงต่อเศรษฐกิจได้ เมอื เกิดโรคระบาดร้ายแรง เช่น การระบาดของอหิวาตกโรคทีเกิดขึนในประเทศกล่มุ ลาตินอเมริกาในช่วงปี ค.ศ. เป็นตน้ ยงั มตี วั อยา่ งทีแสดงให้เห็นว่า การเสือมโทรมของสภาพแวดลอ้ มของเมอื งมีผลกระทบ โดยตรงต่อสุขภาพของประชากรทีสามารถอา้ งอิงไดอ้ ีกมาก จนรัฐบาลของหลายประเทศต้องหันมาให้ ความสนใจตระหนักกับปัญหาของสภาวะแวดลอ้ มโดยเฉพาะของเมืองอย่างจริ งจงั เพราะเหตุการณ์ ความสูญเสียทีเกิดขนึ ในเมืองอนื ยอ่ มมีโอกาสเกิดขึนในเมืองของทุก ๆ ประเทศไดเ้ ช่นกนั ในสหสั วรรษที ประเทศไทย (เชน่ เดียวกบั หลาย ๆ ประเทศ) กาํ ลงั เริมใหค้ วามสําคญั กับแนวทางการพฒั นาเมือง แนวใหม่ คอื การพฒั นาเมอื งใหน้ ่าอย่อู ย่างยงั ยนื อนั เป็ นแนวนโยบายเชิงยุทธศาสตร์ทีมีความสําคัญยงิ ต่อ การพัฒนาพืนทีเมือง เพราะการพัฒนาในแนวทางนีจะต้องมีการดาํ เนินงานทีประสานและสนับสนุน สอดคลอ้ งซึงกนั และกนั ในหลาย ๆ ดา้ น และหลายสาขาพร้อม ๆ กนั อย่างมีระบบเป็ นเชิงองคร์ วม (Holistic Approach) คือ เป็นกระบวนการพฒั นาทีมกี ารวางกรอบวิสัยทศั น์ และแนวทางพฒั นาทีสอดคลอ้ งตอ้ งกนั ทงั ในดา้ นประชากร ทรัพยากร สิงแวดลอ้ มตามธรรมชาติ และสภาพแวดลอ้ มอนื ๆ ทางกายภาพทีสร้างขึน (Built Environment) ทรัพยากรดา้ นศลิ ปะและวฒั นธรรม ความรู้ และวิทยากรสมยั ใหม่ โดยเฉพาะการให้ ความสาํ คญั กบั การใช้ทรัพยากรธรรมชาติอยา่ งมปี ระสิทธิภาพ สนับสนุนกระบวนการฟื นฟแู ละพฒั นา ทรัพยากรทีสรา้ งทดแทนขึนใหมไ่ ด้ และมีการอนุรักษส์ ภาพแวดลอ้ มทีเหมาะสมเสริมสร้างจิตวิญญาณและ คุณค่าของเมืองด้วยการให้ความสําคญั ในดา้ นการดํารงรักษาฟื นฟูศิลปะและวัฒนธรรมทีดีงามทีเป็ น เอกลกั ษณ์ของแต่ละทอ้ งถิน และเปิ ดโอกาสใหท้ อ้ งถนิ เขา้ ร่วมในขบวนการพฒั นาเพอื ยกระดบั ศกั ยภาพของ ตนเองเพอื เป็นภูมคิ ุม้ กนั แรงกดดนั ของการเปลียนแปลงต่าง ๆ ทีเป็นผลของการจดั ระเบียบใหมข่ องโลกทาง การคา้ และเทคโนโลยี โดยมกี รอบกลยทุ ธ์เพือไปสู่ความเป็ นเมอื งทีน่าอยอู่ ยา่ งยงั ยืน ดงั นี ท￿ มุ่งส่งเสริมการพฒั นาเมืองและชุมชนให้เป็ นฐานของการพฒั นาอยา่ งยงั ยนื ท￿ พืนทีเมอื งและชุมชนจะตอ้ งเป็ นสถานที ๆ คาํ นึงถึงความเชือมโยงระหว่างสิงแวดลอ้ ม (ระบบ นิเวศของเมือง) กบั สุขภาพของประชาชน ท￿ ใชก้ ลยทุ ธ์การพฒั นาแบบพหุภาคี ทีเปิดโอกาสให้กบั การมีส่วนร่วมของประชาชนมากทีสุด ดงั ตวั อย่างทีกล่าวถงึ แลว้ แต่ตน้ การพฒั นาดา้ นภายภาพในพนื ทมี ผี ลโดยตรงต่อสุขภาพของผอู้ ยอู่ าศยั ดงั นนั ในการกาํ หนดกรอบของการพัฒนา จึงควรคํานึงถึงวิธีการพฒั นาอยา่ งรอบคอบและสอดคล้องพอเพียง เนืองจากสิงแวดลอ้ มทีมีการสร้างขึนในเมืองนัน (Built - Environment) ประกอบขึนดว้ ยสิงแวดลอ้ มทงั

102 ภายนอกอาคารซึงหมายถงึ พนื ทีนอกอาณาเขตของบา้ นเรือน สิงทีปลกู สร้างอนื สถานทีประกอบการต่าง ๆ ในเขตหมบู่ า้ น ชุมชน เมือง หรือชนบท และในสิงแวดลอ้ มภายในของบา้ นเรือน และสิงปลูกสรา้ งอนื ทีผคู้ น เขา้ ใชส้ อย และการใชส้ อยนัน อาจเป็ นอนั ตรายต่อผูใ้ ชเ้ นืองจากสิงแวดลอ้ มทีสร้างขึนนันไมเ่ หมาะสมต่อ การใชง้ านปกตกิ ลบั กลายเป็นบ่อเกิดของเชือโรค โรคระบาด หรือเป็ นสาเหตุทีก่อให้เกิดการบาดเจ็บ หรือ แมก้ ระทังเป็ นสาเหตุของการตายก่อนวยั อนั สมควร ดังนันการสร้างสิงแวดล้อมขึนมา (Built – Environment) จงึ ตอ้ งคาํ นึงถึงผลกระทบทีจะมตี ่อสุขภาพของผใู้ ชง้ านภายใตห้ ลกั ทวี า่ “สิงแวดล้อมทมี นุษย์ สร้างขึนในชุมชน ไม่ว่าจะเป็ นในอาคาร บ้านเรือน หรอื ในชุมชนระดับหม่บู ้านหรือในเมอื งทุก ๆ ขนาดควร เป็ นสิงแวดล้อมทีปลอดภยั ต่อการอย่อู าศยั ใช้งานเป็ นทีซงึ ภยันตรายจากสิงแวดล้อม ต้องมีโอกาสเกิดขนึ ได้ น้อยทีสุด และเป็ นทซี ึงไม่ควรเป็ นต้นเหตุของการบาดเจบ็ การเจบ็ ไข้ได้ป่ วยใด ๆ หรือเป็ นสาเหตุของการ ตายก่อนวัยอนั สมควร” ปัญหาคือเราจะทาํ ให้เป็นไปตามความตอ้ งการนีไดอ้ ย่างไร พบขอ้ สรุปทีสอดคลอ้ ง ตรงกนั กบั หลกั ของเมืองทีมีสภาวะแวดลอ้ มทีเหมาะกบั การอยู่อาศยั ในลกั ษณะของเมืองน่าอยูน่ ัน มีการ จดั การดา้ นสิงแวดลอ้ มอยา่ งเหมาะสม มปี ระสิทธิภาพ สอดคลอ้ งรองรับขนาดทีขยายขึนของถินฐานของ เมอื งทีมกี ารขยายตวั ของเศรษฐกิจเพิมมากขึน เป็นผลให้ตอ้ งเพมิ อปุ สงคท์ ีมีต่อทรัพยากรทอ้ งถิน และนอก ทอ้ งถินเพราะการบริโภคทีเพิมขึนนี ต้องมีการจดั การอนุรักษร์ ักษาทรัพยากรธรรมชาติทีมีอย่อู ยา่ งจาํ กดั โดยเฉพาะอย่างยงิ สาํ หรับทรัพยากรธรรมชาติบางอย่างทีไม่อาจทดแทนได้อย่างดีทีสุด และการจดั การกบั ของเสียทถี ูกขบั ถ่ายออกจากเมืองอย่างมปี ระสิทธิภาพ โดยมงี านหลกั ทงั ประการทีเกียวขอ้ งกบั การจดั การ ดา้ นสิงแวดลอ้ มของเมืองทีสาํ คญั ไดแ้ ก่ 1.￿ การสงวนรักษาไวซ้ งึ ทรัพยากรธรรมชาตหิ ลกั โดยเฉพาะอยา่ งยงิ การจดั การดา้ นนาํ เพือใหท้ ุก คนไดร้ ับนาํ สะอาดเพือการอุปโภคบริโภค และเพือการเพาะปลูกและแหลง่ นาํ ต่าง ๆ ไดร้ ับการดูแลป้ องกนั อย่างดีทีสุด 2.￿ บรรดาของเสีย ขยะ ทีขบั ถา่ ยออกจากกิจกรรมของเมือง มกี ารขนถ่ายอย่างมีประสิทธิภาพ 3.￿ ไมป่ ลอ่ ยให้มีการโยนภาระหรือตน้ ทุน ดา้ นสิงแวดลอ้ มทีเป็นภาระของบุคคลหรือธุรกิจ (ซึงเป็นตน้ กาํ เนิดของมลภาวะนนั ) ให้กบั ผอู้ นื โลกาภวิ ฒั น์และการเปลียนแปลงระบบนิเวศเมือง การจดั ระเบียบใหม่ของเศรษฐกิจภายใต้เงือนไขข้อกาํ หนดของกระแสโลกาภิวตั น์ในช่วง ทศวรรษทีผา่ นมา ได้มีอิทธิพลต่อกระแสการเลยี นแบบแผนการลงทุน - การผลิตและการบริโภคจาก ต่างประเทศเป็ นอย่างมาก การเอาอยา่ งทีขาดความเข้าใจทีถกู ต้องนี ได้แผ่ขยาย และมีอิทธิพลเหนือ พฤติกรรมของชุมชนในท้องถิน สร้างความเชือมโยงทางดา้ นวฒั นธรรมในด้านการผลิตและในดา้ นการ บริ โภคจากระดับท้องถินกับระดับโลกทีเรี ยกความสัมพนั ธ์นีว่า Globalization ภายใต้ขบวนการนี การมงุ่ เนน้ ปรับปรุงให้ความสาํ คญั ตอ่ การพฒั นาสภาพแวดลอ้ ม ส่วนแนวคิดด้านการพฒั นาอย่างยงั ยืนทีมี ผลต่อการฟื นฟูทางดา้ นของระบบนิเวศเมือง ทงั ทางดา้ นทรัพยากรและดา้ นสิงแวดลอ้ มตามธรรมชาติและ

103 ทางดา้ นสงั คม - การเมือง เป็ นเพียงเป้ าหมายอันดบั รอง พร้อม ๆ กับความเปลียนแปลงอยา่ งมากมาย เพราะกระแสโลกาภวิ ฒั น์นี ระบบนิเวศของเมืองก็เปลยี นเสือมสภาพลง แตใ่ นขณะเดียวกนั การบริหารและการจดั การ ของทอ้ งถินส่วนใหญ่ยงั ไมม่ สี มรรถภาพและตามไม่ทนั กบั สถานการณ์ใหม่ ๆ ทีปรับเปลียนอย่างรวดเร็ว ผลตามมา คือ ปัญหาต่อการพฒั นาทางกายภาพของเมอื ง เช่น ปัญหาความขดั แยง้ ในการใชท้ ีดินสาธารณูปโภค และสาธารณูปการของเมืองไม่ทนั และไม่พอเพียง การบาํ บัดของเสียไม่มีประสิทธิภาพ ชักนําปัญหาความ เสือมโทรมของทรพั ยากรธรรมชาติและสิงแวดลอ้ ม ส่งผลกระทบเชิงลบต่อระบบนิเวศ และความสามารถใน การพฒั นาอยา่ งยงั ยนื ในอนาคตของเมืองและชุมชนชนบทต่าง ๆ ระบบนิเวศของเมืองตามความหมายทีเข้าใจ กันอย่หู มายถงึ การเกียวข้องสมั พนั ธ์กนั ระหว่างสิงแวดลอ้ มทีสร้างขึน (Built Environment) กับผทู้ ีใชง้ าน สิงแวดลอ้ มนนั เราสามารถแบง่ สิงแวดลอ้ มนีเป็ น กลุ่ม กลุ่มแรกคือ สิงแวดลอ้ มภายในอาคารและกลมุ่ ที คือ สิงแวดลอ้ มนอกอาคาร และเฉพาะทีเกียวกบั ปัญหาทางสุขภาพทีจะกลา่ วถึงต่อไป อันตรายและทีมาของปัญหาของระบบนิเวศเมอื งต่อสุขภาพประชากร เราสามารถแบ่งอนั ตรายทมี ตี ่อสุขภาพของมนุษยท์ ีเกดิ จากสิงแวดลอ้ มไดเ้ ป็น ส่วน คือ 1)￿ สิงแวดลอ้ มภายในอาคาร 2)￿ สิงแวดลอ้ มภายนอกอาคารในหมู่บา้ นและในเมือง . อันตรายต่อสุขภาพอันสืบเนอื งมาจากสภาวะแวดล้อมภายในของอาคาร สภาวะแวดลอ้ มภายในบา้ นอยู่อาศยั ดอ้ ยคุณภาพเกือบจะทงั หมดจะพบวา่ มีรูปแบบของอนั ตราย ต่อสุขภาพเหมือน ๆ กนั อยู่ อย่าง คือ 1)￿ นาํ สะอาดเพือการใชส้ อยและระบบสุขาภิบาลทีไมพ่ อเพยี ง 2)￿ มลภาวะภายในอาคารมีระดบั สูง 3)￿ ความแออดั เกนิ มาตรฐานของการอย่อู าศยั มี สาเหตุสาํ คญั ทีสรา้ งความเสียงต่อสุขภาพของ ผอู้ ยู่อาศยั . เชือโรคทีมากบั นาํ มตี วั เลขทีระบุว่ามที ารกและเด็กกวา่ ลา้ นคนทีต้องเสียชีวิตด้วยเหตุของ โรคทีเกิดจากการขาดแคลนนาํ สะอาดเพือการบริโภคและสภาพของระบบสุขาภิบาลทีเลวร้ายภายในทีอยู่ อาศยั . มลภาวะทางอากาศ ภายในอาคารทีมกั จะเกิดจากผลของการเผาไหมข้ องเชือไฟต่าง ๆ ทีไม่ สมบรู ณ์ภายใน เตาไฟทีไมม่ ปี ระสิทธิภาพและคุณภาพตาํ หรือจากระบบสรา้ งความอบอุ่นภายในบ้านเรือน ทีไม่มีประสิทธิภาพ ผลกระทบของมลภาวะทางอากาศต่อสุขภาพทีเกิดขึนภายในทีอยอู่ าศยั จะรุนแรงมาก หรือรุนแรงนอ้ ยขนึ อยกู่ บั ระบบการระบายอากาศของอาคารทีดีหรือไม่ดีด้วย รวมทงั ระยะเวลาทีผูอ้ าศยั อยู่ ภายใตส้ ภาวะเช่นนนั และชนิดของเชอื เพลงิ ในกรณีของเชือเพลงิ ธรรมชาติ เช่น ฟื น จะพบว่าการเผาไหม้ ก่อให้เกิดกา๊ ซคาร์บอนมอนนอกไซด์ ออกไซด์ของไนโตรเจน กาํ มะถนั และสารเคมอี นื อกี - ชนิด

104 ซงึ ลว้ นแลว้ แต่ทาํ อนั ตรายต่อระบบทางเดินหายใจไดท้ งั สิน . การออกแบบอาคารทีคาํ นึงถึงอนั ตรายต่อสุขภาพไวก้ ็จะมสี ่วนช่วยลดความเสียหายลงไดด้ ว้ ย ความแออดั ของการอยูอ่ าศยั มกั จะทาํ ใหเ้ กดิ การบาดเจ็บดว้ ย อบุ ตั ิเหตุ หรือการตดิ เชืออยา่ งรุนแรงของระบบ ทางเดินหายใจ โดยเฉพาะจากโรคนิวมอเนีย วณั โรค จะพบว่าการอยู่อาศยั ทีมลี กั ษณะแออดั ทีแต่ละคนมเี นือ ทีอย่อู าศยั เฉลยี ตาํ กวา่ ตารางเมตรหรืออกี กรณีหนึงทีการอยอู่ าศยั มีลกั ษณะแออดั เช่น อาศยั รวมกัน - คนต่อหอ้ งพักอาศัย ห้อง ก็จะทําให้การแพร่กระจายเชือโรคจากบุคคลหนึงไปยงั ผอู้ นื ได้อยา่ งง่ายดาย นอกจากการตดิ เชือแลว้ พบวา่ เหตุผสมผสานระหวา่ งความแออดั และคุณภาพทีตาํ กว่ามาตรฐานของทีอยู่ อาศยั เพิมอตั ราความเสียงต่ออุบตั ภิ ัยภายในบ้านเรือนทีเกิดจากการลวกพอง ไหมไ้ ฟและอุบัติเหตุไฟไหม้ ตวั เลขจากทวั โลกพบวา่ หนึงในสามของการตายทีมสี าเหตุจากอุบตั ิเหตุมาจากอบุ ตั ิภยั ภายในบา้ นอยู่อาศยั . สภาวะแวดล้อมทีเป็ นอันตรายในชุมชน สาํ หรับหมู่บา้ นหรือชุมชนใด ๆ ทีการจัดการด้าน สิงแวดลอ้ มไมพ่ อเพียงมักจะเป็ นผลให้เกิดความเสียงสูงต่อสุขภาพอันเกิดจากเชือโรค บางชนิดทีขยะ เป็ นบอ่ เกิดเมอื มขี ยะมูลฝอยตกคา้ ง นาํ ท่วมจากการขาดระบบระบายนาํ ทีดี และถนนทีไมส่ ามารถใช้งานได้ ในทุกลกั ษณะอากาศเป็ นสาเหตุของอุบตั ิเหตุทังภายในและรอบ ๆ ของชุมชนในแต่ละปี ความตายจาก อบุ ตั ิเหตบุ นทอ้ งถนนมีจาํ นวนสูงถึง , ราย รวมทังยงั มีผบู้ าดเจ็บในจาํ นวนทีสูงกว่าอีกหลายเท่าตวั นอกจากทีกล่าวแลว้ ยงั พบว่า อันตรายต่อสุขภาพทางกายยงั จะเกิดจากทีตงั ของชุมชนทีอยู่บนพืนทีที โดยสภาพทางภูมศิ าสตร์แล้วไม่เหมาะสมกบั การเป็นทีตงั ของชุมชนอยอู่ าศยั ทีตงั ชุมชนเหลา่ นี มกั จะมี ลกั ษณะเป็นทีลาดชนั นาํ ท่วมซาํ ซาก หรือเป็นทะเลทรายแห้งแลง้ มีประชากรยากจนหลายสิบลา้ นคนทีมี รายไดน้ อ้ ยจนทีไม่มีทางเลอื กอย่างอืนนอกจากตอ้ งอยอู่ าศยั ในพืนทดี งั กลา่ ว และมีความเสียงต่อสุขภาพของ ตนอย่างหลีกเลยี งไมไ่ ด้ เรืองที แนวทางการแก้ไขปัญหาทรัพยากรธรรมชาตแิ ละสิงแวดล้อมในชุมชน ปัญหาสิงแวดล้อมในเขตเมอื ง . ภาวะมลพษิ อากาศเสีย การแกไ้ ขปัญหาอากาศเสีย ปัจจุบันเนน้ การแกป้ ัญหาควนั ดาํ และอากาศเสียจากรถยนต์ ซึงเป็น สาเหตใุ หญ่ โดยมีการกาํ หนดค่ามาตรฐานสาํ หรับควนั ดาํ ทีปลอ่ ยออกจากท่อไอเสียของรถยนต์ทีใชน้ าํ มนั ดีเซลและค่ามาตรฐานสําหรับก๊าซคาร์บอนมอนอกไซด์ทีปลอ่ ยออกจากท่อไอเสียของรถยนตท์ ีใช้นาํ มนั เบนซินไวส้ าํ หรบั ควบคุมดแู ลไมใ่ ห้รถยนต์ปล่อยอากาศเสียเหลา่ นันเกินมาตรฐาน โดยมสี าํ นกั งานตาํ รวจ และกรมการขนส่ งทางบกเป็ นหน่วยงานควบคมุ การแกไ้ ขปัญหาให้ไดผ้ ลอยา่ งจริงจงั ก็ตอ้ งอาศยั ความร่วมมอื จากประชาชน โดยจะต้องมีความ ตืนตวั และเขา้ ใจในปัญหาทีเกียวกบั อากาศเสียตลอดจนทราบถงึ วธิ ีการป้ องกนั และแกไ้ ขปัญหาอยา่ งถูกตอ้ ง

105 เช่น ดูแลรักษาเครืองยนต์ของรถยนตป์ ระเภทต่าง ๆ ใหอ้ ยูใ่ นสภาพดี ซึงนอกจากจะช่วยลดอากาศเสียแลว้ ยงั ช่วยประหยดั เชือเพลิงอีกดว้ ย สําหรับโรงงานอุตสาหกรรมก็ตอ้ งเห็นใจผอู้ าศยั ข้างเคียงโดยไม่ปลอ่ ย อากาศเสียทมี ีปริมาณความเขม้ ขน้ ของสารมลพิษสูงเกินมาตรฐานทีกาํ หนดโดยกรมโรงงานอุตสาหกรรม นอกจากนี การปลูกตน้ ไมจ้ ะช่วยในการกรองอากาศเสียได้ ดังนันจึงควรร่วมมอื กนั ปลกู และดูแลรักษา ตน้ ไมใ้ นเขตเมืองดว้ ย . ปัญหาทางสังคม ชุมชนแออดั สาํ หรับปัญหาชุมชนแออดั ซึงมักเกิดขึนในเมอื งมากกว่าในชนบทนัน หน่วยราชการหลัก ทีรับผดิ ชอบ คือ การเคหะแห่งชาติ และองคก์ รท้องถิน (เช่น ในพืนทีกรุงเทพมหานครองค์กรรับผิดชอบ ได้แก่ กรุงเทพมหานคร) โดยการปรับปรุงทงั ในด้านกายภาพ สงั คม และเศรษฐกิจ ไดแ้ ก่ การปรับปรุ ง ทางด้านสาธารณูปโภค เช่น ทางเท้า ทางระบายนาํ ไฟฟ้ า ประปา การจัดการขยะมูลฝอย การปรับปรุง สภาพแวดลอ้ มชุมชน การป้ องกนั อคั คภี ยั รวมทงั มีโครงการต่าง ๆ เช่น การฝึกอาชีพ โครงการหน่วยแพทย์ เคลือนที และส่งเสริ มใหป้ ระชาชนทอ้ งถินได้มีส่วนร่วมในการแก้ไขปัญหาของชุมชน โดยการจดั ตงั คณะกรรมการชุมชนเพอื ทาํ หน้าทีแทนผอู้ ยอู่ าศยั ในชุมชน ในการประสานงานกับหน่วยงานทีเกียวข้องใน การพฒั นาชมุ ชนและเป็นแกนนาํ ในการพฒั นาชมุ ชน นอกจากนันการเคหะแห่งชาติยงั มีการดาํ เนินงานใน ดา้ นความมนั คงในการครอบครองทีดิน เช่น ขอความร่วมมือเจ้าของทีดินในการทาํ สญั ญาใหผ้ อู้ ยอู่ าศยั ใน ชุมชนทกี ารเคหะแห่งชาติเขา้ ไปปรับปรุงไดอ้ ยู่อาศยั ต่อไปอย่างน้อย ปี เร่งรัดการออกกฎหมายเกียวขอ้ ง เช่น พระราชบญั ญตั ิปรบั ปรุงชุมชนแออดั นอกจากการแกไ้ ขปัญหาชุมชนแออดั โดยวิธีปรับปรุงทางด้านต่าง ๆ ดงั กล่าวขา้ งตน้ ในทีดินเดิม แลว้ ยงั มโี ครงการจดั หาทีอยู่ใหใ้ หม่สาํ หรบั ชมุ ชนแออดั ทีประสบปัญหาความเดือดรอ้ นดา้ นทีอยอู่ าศยั จากที เดิม เช่น กรณีเพลงิ ไหม้ ถกู ไลท่ ี ถกู เวนคนื ทีดนิ เป็นตน้ จึงเหน็ ไดว้ ่า การแกไ้ ขปัญหาชุมชนแออดั ให้ไดผ้ ล อย่างจริงจงั จาํ เป็นตอ้ งไดร้ ับความร่วมมอื ทงั ภาครัฐและภาคเอกชน การขาดแคลนพนื ทีสีเขียวและพืนทีเพือการนันทนาการ ปัญหาการขาดแคลนพืนทเี พือการพกั ผ่อนหยอ่ นใจในเขตเมอื งนนั กรุงเทพมหานครนับวา่ ประสบ ปัญหารุนแรงทีสุด อนั เนืองมาจากเป็ นศูนย์กลางของประเทศในทุก ๆ ดา้ น เช่น การบริหารประเทศ การพาณิชย์ การศึกษา ในการแกไ้ ขปัญหาดงั กลา่ ว รัฐมีนโยบายสนับสนุนให้พืนทีดงั กล่าวทีมีอยเู่ ดิมคง สภาพไวใ้ ห้มากทีสุด เช่น การเขา้ ไปดาํ เนินการในตาํ บลบางกะเจ้าและอกี ตาํ บลใกลเ้ คียงเนือทีประมาณ , ไร่ เพือรักษาสภาพแวดลอ้ มใหเ้ ป็ นพนื ทีสีเขียวใหม้ ากทีสุด และการเพิมจาํ นวนพนื ทีดังกล่าว รัฐมี นโยบาย หากเป็นการยา้ ยอาคารสถานทีออกไปจากทีดินของรฐั รัฐกจ็ ะปรับปรุงบริเวณเดิมนนั ใหเ้ ป็นพืนที สีเขียวตวั อยา่ งของบริเวณหนา้ วดั ราชนัดดาราม โดยรืออาคารโรงภาพยนตร์ศาลาเฉลิมไทยแลว้ ปรับปรุง พืนทีดงั กลา่ วให้มีสวนสาธารณะรวมอยดู่ ้วย สาํ หรับโครงการต่อ ๆ ไป เช่น บริเวณกรมอตุ ุนิยมวิทยา ถนนสุขุมวิท เรือนจาํ พเิ ศษกรุ งเทพมหานคร ถนนมหาไชยบริเวณโรงงานยาสูบ บริเวณโดยรอบป้ อม-

106 พระสุเมรุ ถนนพระสุเมรุ ซึงมีโครงการจะยา้ ยออกไปแลว้ จดั บริเวณใหเ้ ป็นสวนสาธารณะ ทาํ ใหป้ ระชาชน ไดม้ พี ืนทเี พือการพกั ผ่อนหย่อนใจเพมิ ขึน ในส่วนของภาคเอกชนนนั หากคาํ นึงถงึ เรืองนีก็สามารถจัดพืนที ใหโ้ ลง่ ว่างใหม้ ากทสี ุดเทา่ ทีจะทาํ ได้ สาํ หรบั การแกไ้ ขปัญหาในระยะยาวนนั รัฐมีแนวทางการจดั การพืนทีสีเขียวและนนั ทนาการทัว ทงั ประเทศ ในรูปของการจดั ตงั องคก์ รเพอื การจดั การพืนทีสีเขียวฯ และสนบั สนุนโครงการทงั ภาครัฐและ เอกชนทมี ผี ลต่อพนื ทีสีเขยี ว และพืนทีนันทนาการของชุมชน แผ่นดินทรุด นําท่วม ปัญหาแผ่นดินทรุดเป็ นปัญหาใหญ่ทีตอ้ งแกไ้ ขโดยรีบด่วน ดงั นัน ประชาชนจงึ ควรใหค้ วามร่วมมือ กบั ทางราชการ โดยการใชน้ าํ บาดาลอยา่ งประหยดั และมีประสิทธิภาพ รวมทงั ปฏิบัติตามพระราชบญั ญัติ นาํ บาดาลอยา่ งเคร่งครัด ขณะนีไดม้ กี ารกาํ หนดมาตรการทีจะแก้ไขปัญหาแผ่นดินทรุดในบริเวณเขตพืนที ชนั ในของกรุงเทพมหานคร และเขตบางเขน เขตพระโขนง เขตบางกะปิ อาํ เภอพระประแดง และเขตอาํ เภอ เมืองสมทุ รปราการ โดยให้ยกเลกิ ใชน้ ําบาดาลในเขตวกิ ฤติทีมีอตั ราการทรุดของพนื ดินสูงดงั กล่าวและใหม้ ี การลดการใชน้ าํ บาดาลในพืนทีอนื ๆ ลงดว้ ย ซึงตามพระราชบญั ญตั ินาํ บาดาลกาํ หนดให้ผทู้ ีจะทาํ การเจาะ นาํ บาดาล หรือใช้นาํ บาดาล หรือระบายนาํ ลงในบ่อบาดาลจะต้องไดร้ ับอนุญาตจากกรมทรัพยากรธรณี กระทรวงอตุ สาหกรรมเสียก่อน ตลอดจนมีการกาํ หนดอตั ราค่าธรรมเนียมการใชน้ าํ บาดาลดว้ ย ปัญหาสิงแวดล้อมในเขตชนบท . ความเสือมโทรมของทรัพยากรธรรมชาติ เมอื ความเสือมโทรมของทรัพยากรธรรมชาตมิ สี าเหตุหลกั มาจากการกระทาํ ของมนุษย์ การแกไ้ ข ปัญหาจงึ ไม่เพียงพอแต่ต้องปลกู ฝังจิตสาํ นึกให้กบั ประชาชนถงึ เรืองความสําคัญของทรัพยากรธรรมชาติ และการรักษาใหค้ งอยถู่ าวรเพือลูกหลานเท่านนั หากรัฐยงั ตอ้ งดาํ เนินการแกไ้ ขปัญหาอยา่ งจริงจัง ทังใน ส่วนทีเกียวกบั การเพมิ เนือทีป่ า ทงั ป่ าไมแ้ ละป่ าชายเลน โดยการสนับสนุนใหภ้ าคเอกชนเขา้ มามีส่วนร่วม และวางแนวทางยบั ยงั การบุกรุกทาํ ลายทรัพยากรเหล่านนั เชน่ การจดั หาทีทาํ กนิ ใหร้ าษฎรให้พนื ทีป่ าสงวน เสือมโทรมการป้ องกนั มใิ หก้ ารทาํ นากุง้ มาทาํ ลายพืนทปี ่ าชายเลน การป้ องกนั มิให้เกิดปัญหามลพิษอนั เกิด จากสารเคมี และจากการระบายนาํ โสโครกจากแหลง่ ชุมชนและโรงงานอุตสาหกรรมลงสู่แหลง่ นําโดยมิได้ ผ่านการบาํ บดั เสียก่อน ตลอดจนต้องใหม้ ีการบงั คับใชม้ าตรการทีเดด็ ขาดและมีประสิทธิภาพในการทีจะ ป้ องกนั การบกุ รุกทาํ ลายทรัพยากรธรรมชาติ . มลพษิ ทางด้านสารพิษทางการเกษตร ในการดําเนินงานเพือแกไ้ ขปัญหามลพิษดา้ นสารพิษทางการเกษตรนัน รัฐไดด้ าํ เนินการใน หลาย ๆ เรือง เริมตงั แต่การปรบั ปรุงแกไ้ ขกฎหมาย ซึงช่องโหว่ของกฎหมายเดิมมีผลให้สารพิษหลายชนิด ทีนาํ เขา้ จากตา่ งประเทศสามารถนาํ มาใชไ้ ดอ้ ย่างอสิ ระโดยไมต่ อ้ งผา่ นการควบคุมจากทางการ ดงั นนั ในปี พ.ศ. จึงได้มีการปรับปรุงแกไ้ ขการประกาศควบคุมวตั ถมุ ีพิษเสียใหม่ โดยนาํ มาขอขึนทะเบียนจาก ทางการเสียก่อนจึงจะสามารถนําไปใชไ้ ด้ นอกจากนนั ในส่วนทีเกียวข้องประชาชนโดยตรงก็มกี ารจดั

107 ฝึกอบรมการใชส้ ารพิษอย่างถกู ตอ้ งและปลอดภยั การเผยแพร่ความรู้เกียวกบั สารพิษแก่ประชาชนในรูปของ สือต่าง ๆ เช่น สารคดีโทรทศั น์ โดยหวงั วา่ เมือประชาชนเกดิ ความรู้ ความเขา้ ใจเกยี วกบั การใชส้ ารเคมีอยา่ ง ถูกตอ้ งตามหลกั วิชาการแลว้ จะเป็นการช่วยลดมลพิษทีจะเกิดจากสารพษิ ทางการเกษตรไดอ้ กี ทางหนึงดว้ ย เรืองที การวางแผนพฒั นาทรัพยากรธรรมชาตแิ ละสิงแวดล้อม ทรพั ยากรธรรมชาติ หมายถึง สิงทีมีอยู่ตามธรรมชาติ ซึงไดแ้ ก่ อากาศ นาํ ดนิ แร่ธาตุ ป่ าไม้ สัตวป์ ่ า พลงั งานความร้อน พลงั งานแสงแดด และอืน ๆ มนุษยไ์ ดใ้ ช้ทรัพยากรธรรมชาติในการดาํ รงชีวิต นับตงั แต่เกิดจนกระทงั ตาย ทรัพยากรธรรมชาติจึงเป็นประโยชนแ์ ละมีความสาํ คญั อยา่ งยงิ ตอ่ มวลมนุษย์ สิงแวดลอ้ ม หมายถึง สิงต่าง ๆ ทุกสิงทีอยลู่ อ้ มรอบตัวเราทงั สิงทีมีชีวิตและไมม่ ีชีวิต สิงต่าง ๆ เหลา่ นีอาจเป็ นไดท้ ังสิงทีเกดิ ขึนโดยธรรมชาติและสิงทีมนุษยส์ ร้างขึน สิงแวดลอ้ มทีเกดิ ขึนโดยธรรมชาติ ไดแ้ ก่ บรรยากาศ นาํ ดนิ แร่ธาตุ พืชและสัตว์ ส่วนสิงแวดลอ้ มทีมนุษยส์ ร้างขึน ได้แก่ สาธารณูปการต่าง ๆ เช่น ถนน เขือนกนั นาํ ฝาย คูคลอง เป็นตน้ ทรัพยากรธรรมชาติและสิงแวดลอ้ มนันมีความสําคญั มากต่อการพัฒนาและความเจริ ญของ ประเทศ ตลอดจนถึงคุณภาพชีวิตทีดีของประชาชน ประเทศทีมีทรัพยากรธรรมชาติอุดมสมบูรณ์และ สิงแวดลอ้ มดี ก็จะส่งผลใหป้ ระชาชนในประเทศนนั มคี ุณภาพชีวิตและความเป็ นอยทู่ ีดีด้วยอยา่ งไมต่ ้อง สงสยั ปัจจุบนั ประเทศไทยมีปัญหาเกียวกบั ความเสือมโทรมของทรัพยากรธรรมชาติและสิงแวดลอ้ ม หลายประการ ซึงจาํ เป็นตอ้ งแกไ้ ข เช่น เรืองป่ าไมถ้ กู ทาํ ลาย นาํ ในแมน่ าํ ลาํ คลองเน่าเสีย มลพิษของอากาศ ในพืนทีบางแห่งมีมากจนถึงขีดอนั ตรายเหลา่ นีเป็ นตน้ การแก้ไขในเรืองเช่นนีอาจทาํ ได้ โดยการจดั การ ทรัพยากรธรรมชาติและสิงแวดลอ้ มอยา่ งถูกตอ้ งโดยเร่งด่วน หลกั การในการจดั การทรพั ยากรธรรมชาติและ สิงแวดลอ้ มอาจทาํ ไดโ้ ดยพจิ ารณาเป็นเรือง ๆ ดงั ต่อไปนี ทรัพยากรทใี ช้แล้วหมดไป ได้แก่ นํามนั ปิ โตรเลียมและกา๊ ซธรรมชาติ เป็ นทรัพยากรธรรมชาติทีหมดสินได้เมือหมดแลว้ ก็ไม่ สามารถเกดิ ขึนมาใหม่ได้ หรือถา้ เกดิ ใหมก่ ต็ อ้ งใชเ้ วลานานหลายลา้ นปีจงึ จะเกิดมขี ึน แต่ในการใช้เราจะใช้ หมดไปในวนั เวลาอนั รวดเร็ว การจดั การทรัพยากรประเภทนี จึงตอ้ งเน้นให้ใช้อยา่ งประหยดั ใชใ้ ห้คุม้ ค่า ทีสุดและให้ไดป้ ระโยชน์ทีสุด ไมเ่ ผาทิงไปโดยเปลา่ ประโยชน์ สินแร่ เป็ นทรัพยากรทีหมดสินได้ และถา้ หมดสินแลว้ ก็ยากทีจะทาํ ใหม้ ใี หม่ได้ การจัดการเกียวกบั สินแร่ทาํ ไดโ้ ดยการใชแ้ ร่อยา่ งฉลาดเพอื ให้แร่ทีขุดขึนมาใชไ้ ดป้ ระโยชน์มากทีสุด แร่ชนิดใดทีเมอื ใชแ้ ลว้ อาจนาํ กลบั มาใชใ้ หม่ไดอ้ ีกกใ็ ห้นาํ มาใช้ ไม่ทิงใหส้ ญู เปล่า นอกจากนนั ยงั ตอ้ งสาํ รวจหาแหล่งแร่ใหม่ ๆ อยเู่ สมอ ทรัพยากรทใี ช้ไม่หมดสิน มีอยใู่ นธรรมชาติมากมายหลายชนิด เช่น ป่ าไม้ สตั ว์ป่ า นํา ดิน และ อากาศ

108 ป่ าไม้ เป็นทรพั ยากรไม่หมดสิน เพราะถา้ ป่ าถกู ทาํ ลาย ก็อาจปลูกป่ าขึนมาทดแทนได้ การจดั การ เกียวกบั ป่ าไมท้ าํ ได้ โดยการรกั ษาป่ าไมใ้ หค้ งสภาพความเป็นป่ า ถา้ ตดั ตน้ ไมล้ งเพือนาํ มาใชป้ ระโยชนก์ ต็ อ้ ง ปลกู ใหม่เพือทดแทนเสมอ ไมท้ ีตดั จากป่ าตอ้ งใชไ้ ดค้ มุ้ ค่า และหาวสั ดุอนื มาใชแ้ ทนเพือลดการใชไ้ มล้ งให้มาก สัตวป์ ่ า เป็นทรัพยากรไมห่ มดสิน เพราะเพมิ จาํ นวนได้ การจดั การเกียวกบั สตั วป์ ่ าทาํ ได้ โดยการ ป้ องกนั และรักษาสัตวป์ ่ าใหค้ งอย่ไู ด้ ไม่สูญพนั ธุห์ มดไป ไมย่ อมให้สตั วป์ ่ าถูกทาํ ลายถูกลา่ ถกู ฆ่ามาก เกินไป หรือถึงกบั สูญพนั ธุ์ นาํ เป็ นทรัพยากรไม่หมดสิน เพราะธรรมชาติจะนาํ นาํ กลบั คืนมาใหม่ในรูปของนาํ ฝน หลกั การ จดั การเรืองนาํ กค็ ือ การควบคุมและรักษานาํ ธรรมชาตไิ วท้ งั ในรูปปริมาณและคุณภาพไดอ้ ย่างดี ไม่ปลอ่ ยให้ แหง้ หายหรือเน่าเสียทงั นีกเ็ พอื ใหค้ งมีนาํ ใชต้ ลอดเวลา ดิน เป็ นทรัพยากรไมห่ มดสิน แต่เสือมสภาพไดง้ ่าย เพราะฝนและลมสามารถทาํ ลายดินชนั บนให้ หมดไปไดโ้ ดยรวดเร็ว คนกเ็ ป็นอกี สาเหตุหนึงทีทาํ ให้ดินเสือมสภาพไดม้ าก หลกั การจัดการเรืองดิน ได้แก่ การรกั ษาคณุ ภาพของดินใหค้ งความอดุ มสมบูรณ์อยเู่ สมอ โดยการรักษาดินชนั บนให้คงอยู่ ไมป่ ลอ่ ยสารพษิ ลงในดินอนั จะทาํ ใหด้ ินเสีย อากาศ เป็นทรัพยากรทีไม่หมดสิน และมีอยู่มากมายทีเปลอื กโลก หลกั การจดั การกบั อากาศ ไดแ้ ก่ การรกั ษาคุณภาพของอากาศไวใ้ หบ้ ริสุทธิพอสาํ หรับหายใจ ไม่มีก๊าซพิษเจือปนอยกู่ า๊ ซพิษควนั พษิ ในอากาศ นีเองทีทาํ ใหอ้ ากาศเสีย วิธีการสําคัญทีใชใ้ นการจดั การทรัพยากรธรรมชาติและสิงแวดลอ้ ม ได้แก่ การออกกฎหมาย ควบคุมการจดั ตังองค์กรเพือบริหารงาน การวางแผนพฒั นาสิงแวดลอ้ ม การกําหนดมาตรฐานคุณภาพ สิงแวดลอ้ ม การศกึ ษาและจัดทาํ รายงานการประเมินผลกระทบสิงแวดลอ้ มจากโครงการพฒั นา ทงั ของ ภาครัฐและภาคเอกชนและการประชาสมั พนั ธ์และสิงแวดลอ้ มศึกษา ในวิธีการทงั หลายทงั ปวงนี การออก กฎหมายซึงมีบทลงโทษทีเหมาะสมจะเป็ นวิธีการสําคัญวิธีการหนึ งสามารถช่วยให้การจัดการ ทรัพยากรธรรมชาติและสิงแวดลอ้ มประสบผลสําเร็ จ ตัวอย่างของกฎหมายในเรื องนี มีอาทิเช่น พระราชบัญญัติสงวนและคุ้มครองสัตวป์ ่ า พระราชบญั ญตั ิอุทยานแห่งชาติ พระราชบญั ญัติป่ าสงวน แห่งชาติ พระราชบญั ญตั วิ ตั ถมุ ีพษิ พระราชบญั ญตั ิแร่ พระราชบญั ญตั โิ รงงานแห่งชาติ พระราชบญั ญตั ิการ ผงั เมือง พระราชบัญญัตินําบาดาล และพระราชบญั ญตั ิควบคุมอาคาร เป็ นต้น การจัดองค์กรเพือการ บริหารงานดา้ นการกาํ หนดนโยบายแผนการจัดการ การวางแผนงาน โครงการเป็ นวิธีการหนึงของการ จดั การทรพั ยากรธรรมชาติและสิงแวดลอ้ มในระดบั หน่วยงานปฏิบตั ิ ในปั จจุบันมีหน่ วยงานรั บผิดชอบในด้านสิ งแวดล้อมโดยตรง หน่ วยงานภายใต้ กระทรวงวิทยาศาสตร์เทคโนโลยีและสิงแวดลอ้ ม คือ สํานักงานนโยบายและแผนสิงแวดลอ้ ม กรมควบคุม มลพิษและกรมส่งเสริมคุณภาพสิงแวดลอ้ ม นอกจากนียงั ไดม้ กี ารจดั ตงั สาํ นกั งานสิงแวดลอ้ มภมู ภิ าคขนึ ภาค ในภาคเหนือ ภาคใต้ ภาคตะวนั ออกและภาคตะวนั ออกเฉียงเหนือ การวางแผนเพือแก้ไขปัญหาหรือพฒั นา ทรัพยากรธรรมชาติและสิงแวดลอ้ มในแผนพฒั นาเศรษฐกิจและสงั คมแห่งชาติ เป็นอีกวิธีหนึงทีจะทาํ ใหก้ าร

109 จดั การทรัพยากรธรรมชาติและสิงแวดลอ้ มสอดคลอ้ งกับการพฒั นาเศรษฐกิจและสังคมของประเทศ การจดั ทาํ แผนในลกั ษณะนีไดด้ าํ เนินการมาตงั แต่แผนพฒั นาฯ ฉบบั ที ในแผนพฒั นาเศรษฐกิจและสงั คม แห่งชาติ ฉบับที (พ.ศ. - ) ได้มีการจัดทําแผนเพือการจัดการทรัพยากรธรรมชาติและ สิงแวดลอ้ มไวช้ ดั เจนกว่าแผนทีแลว้ มา โดยแยกเป็ นแผนการบริหารและจัดการทรัพยากรธรรมชาติและ แผนการพฒั นาสิงแวดลอ้ มเพือคุณภาพชวี ติ วธิ กี ารสาํ คญั อกี วธิ ีหนึงในการจดั การทรัพยากรธรรมชาติและ สิงแวดลอ้ ม ก็คือ การกาํ หนดมาตรฐานเพือการควบคุมภาวะมลพิษของประเทศและควบคุมแหล่งกาํ เนิด เพือใหค้ ุณภาพสิงแวดลอ้ มอยู่ในระดบั มาตรฐานทีกาํ หนดตวั อย่างของมาตรฐานคุณภาพสิงแวดล้อม ทีกาํ หนดขึนแลว้ ไดแ้ ก่ มาตรฐานคา่ ควนั ดาํ และคา่ กา๊ ซคาร์บอนมอนอกไซดท์ ีระบายออกจากท่อไอเสียของ รถยนต์ มาตรฐานคุณภาพอากาศเสียทีระบายออกจากโรงงาน มาตรฐานคุณภาพอากาศในบรรยากาศ มาตรฐานระดบั เสียงของรถยนต์ รถจกั รยานยนต์ และเรือ มาตรฐานและวิธีการตรวจสอบคุณภาพนาํ ทะเล ชายฝัง มาตรฐานคุณภาพนาํ ทิง มาตรฐานควบคุมการระบายนาํ ทิงจากอาคารบางประเภทและบางขนาด มาตรฐานคุณภาพนาํ ดืม มาตรฐานวตั ถุมพี ิษในอาหารและเครืองสําอาง การวางแผนพฒั นาสิงแวดลอ้ ม ในแผนพฒั นาเศรษฐกิจและสงั คมแห่งชาติ ประเทศไทยไดเ้ ริมมแี ผนพฒั นาเศรษฐกจิ และสงั คมแห่งชาติมา ตงั แต่ พ.ศ. แตก่ ารวางแผนพฒั นาในระยะแรก ๆ ยงั ไม่ให้ความสําคญั กับปัญหาสิงแวดลอ้ มมากนกั โดยในแผนพัฒนาฯ ฉบบั ที (พ.ศ. - ) แผนพฒั นาฯ ฉบับที (พ.ศ. - ) และ แผนพฒั นาฯ ฉบบั ที (พ.ศ. - ) ไดเ้ นน้ การระดมใชป้ ระโยชน์จากทรัพยากรธรรมชาติ โดยขาด การวางแผนการจดั การทีเหมาะสม ขาดการคาํ นึงถงึ ผลกระทบสิงแวดลอ้ มจนในช่วงของปลายแผนพฒั นาฯ ฉบบั ที ไดป้ รากฏให้เห็นชดั ถงึ ปัญหาความเสือมโทรมของทรพั ยากรหลกั ของประเทศ โดยเฉพาะอย่างยิง ป่ าไม้ ดินแหลง่ นาํ และแร่ธาตุ รวมทงั ไดเ้ ริมมีการแพร่กระจายของมลพิษ ทงั มลพิษทางนาํ มลพิษทาง อากาศ เสียง กากของเสีย และสารอันตราย ดังนัน ประเทศไทยจึงได้เริ มให้ความสําคัญกับปัญหา สิงแวดลอ้ มมาตงั แต่แผนพฒั นาฯ ฉบบั ที เป็นตน้ มา แผนพัฒนาฯ ฉบับที (พ.ศ. - ) กาํ หนดแนวทางการฟื นฟบู ูรณะทรัพยากรทีถูกทาํ ลายและมีสภาพเสือมโทรม การกาํ หนดแนว ทางการแกไ้ ขปัญหาสิงแวดลอ้ มอยา่ งกวา้ ง ๆ ไวใ้ นแผนพฒั นาด้านต่าง ๆ และไดใ้ ห้ความสําคัญกบั ปัญหา สิงแวดลอ้ มอยา่ งจริงจงั ขึน โดยไดม้ กี ารจดั ทาํ นโยบายและมาตรการการพฒั นาสิงแวดลอ้ มแห่งชาติ ขึน ตามพระราชบญั ญตั ิส่งเสริมและรักษาคุณภาพสิงแวดลอ้ มแห่งชาติ พ.ศ. แผนพฒั นาฯ ฉบับที (พ.ศ. - ) กาํ หนดแนวทางการจัดการสิงแวดลอ้ มให้ชดั เจนยงิ ขึน โดยการนาํ นโยบายและมาตรการการ พฒั นาสิงแวดลอ้ มแห่งชาติทีไดจ้ ดั ทาํ ขึนมาเป็นกรอบในการกาํ หนดแนวทาง มีการกาํ หนดมาตรฐานคุณภาพ สิงแวดล้อม กําหนดให้โครงการพฒั นาของรัฐขนาดใหญ่ต้องจดั ทาํ รายงานการวิเคราะห์ผลกระทบ สิงแวดลอ้ มรวมทงั มกี ารจดั ทาํ แผนการจดั การสิงแวดลอ้ มระดบั พืนที เช่น การพฒั นาลุ่มนาํ ทะเลสาบสงขลา

110 การจดั การสิงแวดลอ้ มบริเวณชายฝังทะเลตะวนั ออก การวางแผนการจดั การดา้ นสิงแวดลอ้ ม เพือการพฒั นา ภาคใตต้ อนบน แผนพัฒนาฯ ฉบับที (พ.ศ. - ) ไดม้ กี ารปรับทศิ ทาง และแนวคิดในการพฒั นาทรัพยากรธรรมชาติและสิงแวดลอ้ มใหม่ โดยการ นาํ เอาทรัพยากรธรรมชาติทุกประเภท ซึงได้แก่ ทรัพยากรทีดิน ทรัพยากรป่ าไม้ ทรัพยากรแหล่งนํา ทรัพยากรประมง และทรัพยากรธรณี และการจัดการมลพิษมาไวใ้ นแผนเดียวกัน ภายใตช้ ือแผนพฒั นา ทรัพยากรธรรมชาติและสิงแวดลอ้ มโดยให้ความสาํ คญั ในเรืองของการปรับปรุงการบริหารและการจดั การ ให้มีประสิทธิภาพอยา่ งเป็ นระบบ และสนับสนุนให้มีการใช้เทคโนโลยีสมัยใหม่ เพือให้มีการนําเอา ทรัพยากรธรรมชาติมาใชป้ ระโยชน์ไดอ้ ยา่ งมีประสิทธิภาพ ไม่ทาํ ลายสิงแวดลอ้ มและไม่ก่อใหเ้ กิดปัญหา มลพิษ และทีสาํ คญั คือ เน้นการส่งเสริมใหป้ ระชาชน องคก์ รและหน่วยงานในระดับทอ้ งถนิ มีการวาง แผนการจัดการและการกําหนดแผนปฏิบัติการในพืนทีร่วมกบั ส่วนกลางอย่างมีระบบ โดยเฉพาะการ กาํ หนดให้มกี ารจดั ทาํ แผนพฒั นาทรพั ยากรธรรมชาติและสิงแวดลอ้ มในระดบั จงั หวดั ทวั ประเทศ แผนพฒั นาฯ ฉบับที (พ.ศ. - ) การจดั การทรัพยากรธรรมชาติและสิงแวดลอ้ มยงั คงเป็ นการดาํ เนินงานอยา่ งต่อเนือง โดยการ สนบั สนุนองค์กรเอกชนประชาชน ทังในส่วนกลางและส่วนทอ้ งถิน ให้เขา้ มามีบทบาทในการกาํ หนด นโยบายและแผนการจดั การ การเร่ งรัดการดาํ เนินงานตามแผนการจัดการทรัพยากรธรรมชาติและ สิงแวดลอ้ มทีมอี ยแู่ ลว้ การจดั ตังระบบขอ้ มูลทรัพยากรธรรมชาติและสิงแวดลอ้ มให้เป็นระบบเดียวกนั เพือใชใ้ นการวางแผน การนํามาตรการด้านการเงินการคลังมาช่วยในการจัดการและการเร่งรัดการออก กฎหมายเกียวกบั การอนุรักษ์ทรัพยากรธรรมชาติ ตลอดจนการนาํ เอาเทคโนโลยีทีทนั สมยั มาใชใ้ นการ ควบคุมและแกไ้ ขปัญหาสิงแวดลอ้ ม แผนพัฒนาฯ ฉบับที (พ.ศ. - ) การฟื นฟบู รู ณะพนื ทีป่ าเพือการอนุรกั ษใ์ ห้ไดร้ ้อยละ ของพนื ทีประเทศและจดั ทาํ เครืองหมาย แนวเขตพนื ทีป่ าอนุรักษ์ การรักษาพนื ทีป่ าชายเลนเพือรักษาความสมดุลของสภาวะแวดลอ้ มและความ หลากหลายทางชีวภาพใหค้ งไวไ้ มต่ าํ กวา่ ลา้ นไร่ ส่งเสริมการจดั การทรัพยากรธรรมชาติในรูปแบบ ของป่ าชมุ ชนเพือการอนุรักษ์พฒั นาสภาวะแวดลอ้ มและคุณภาพชีวติ ของชุมชน แผนพฒั นาฯ ฉบับที (พ.ศ. - ) การพฒั นาปรับปรุงการจัดการใหเ้ กิดความสมดุลระหว่างการใชป้ ระโยชน์กบั การอนุรักษ์ฟื นฟู ส่งเสริมการนาํ ทรัพยากรไปใชป้ ระโยชน์ทียงั ยนื การบริหารจัดการทรัพยากรธรรมชาติสิงแวดลอ้ มทีอาศยั กระบวนการ มสี ่วนร่วมของทกุ ภาคส่วนในสงั คม มงุ่ เนน้ ประสิทธิภาพ การกาํ กบั ควบคุมทีมีประสิทธภิ าพ มีความโปร่งใส สุจริต

111 แผนพัฒนาฯ ฉบบั ที (พ.ศ. - ) การพฒั นาดา้ นทรัพยากรธรรมชาติและสิงแวดลอ้ ม คํานึงถึง “ความหลากหลายทางชีวภาพ” การพัฒนาอาชีพจะตอ้ งให้ความสําคญั และคาํ นึงถงึ “ระบบนิเวศน์” ชุมชนจะเป็ นผูใ้ ช้และดูแลอนุรักษ์ ทรัพยากรธรรมชาติและสิงแวดลอ้ มอยา่ งเป็นธรรม เรืองที การปฏบิ ตั ติ นหรือการร่วมมอื กบั ชุมชนในการป้ องกนั พัฒนาหรือแก้ไขปัญหา ทรัพยากรธรรมชาติและสิงแวดล้อม แนวทางการอนุรักษ์และพัฒนาสภาพแวดล้อม การอนุรักษ์ หมายถงึ การรูจ้ กั ใชท้ รัพยากรธรรมชาติอยา่ งชาญฉลาด เพอื ใหม้ ีประโยชนต์ ่อมหาชน มากทีสุด และใชไ้ ด้เป็ นเวลานานทีสุด ทงั นี ต้องให้มกี ารสูญเสียทรัพยากรน้อยทีสุด และจะต้องมกี าร กระจายการใชท้ รัพยากรใหเ้ ป็นไปโดยทวั ถึงกนั ดว้ ย การพฒั นา หมายถึง การทาํ ใหเ้ จริญ การปรับปรุงเปลียนไปในทางทีทาํ ใหเ้ จริญขึน ซึงการทีจะทาํ ใหเ้ กิดการพฒั นาขึนไดน้ นั จะตอ้ งมีการวางแผนตอ้ งอาศยั วชิ าความรู้และเทคโนโลยเี ข้ามาช่วย จึงจะทาํ ให้ การพฒั นานันบรรลตุ ามวตั ถปุ ระสงค์ ความจําเป็ นทจี ะต้องมีการอนุรักษ์และพัฒนาสภาพแวดล้อม ทรพั ยากรธรรมชาติและสภาพแวดลอ้ มทพี บอย่ทู วั ไปในทอ้ งถนิ หรือตามชุมชนตา่ ง ๆ ทวั ประเทศ นนั ทสี าํ คญั ไดแ้ ก่ ดิน นาํ อากาศ แร่ธาตุ ป่ าไม้ และสัตวป์ ่ า ซึงลว้ นแต่ให้คุณประโยชน์ทงั สิน เหตุผลทีเรา ควรเร่งอนุรักษแ์ ละพฒั นาสภาพแวดลอ้ ม ก็เนืองมาจากทรัพยากรธรรมชาติของประเทศเราไดถ้ ูกทาํ ลายลง มาจนขาดความสมดลุ แนวทางในการอนุรักษ์และพัฒนาสภาพแวดล้อม 3.1￿ระดับบุคคล ประชาชนทุกคนควรมจี ติ สาํ นึกทีดีต่อแนวทางการอนุรักษแ์ ละพฒั นา สภาพแวดลอ้ ม ซึงมีวิธีการงา่ ย ๆ ดงั ตอ่ ไปนี ) ตอ้ งรู้จกั ประหยดั ) ตอ้ งรู้จกั รกั ษา ) ตอ้ งรูจ้ กั ฟื นฟูทรัพยากรใหฟ้ ืนตวั และรูจ้ กั ปรับปรุงให้ดีขึน ) ช่วยกนั ส่งเสริมการผลิตและการใชท้ รัพยากรอยา่ งมีประสิทธภิ าพ ) ตอ้ งรู้จกั นาํ ทรพั ยากรทใี ชแ้ ลว้ มาผลติ ใหม่ ) ตอ้ งรูจ้ กั นาํ ทรัพยากรอืน ๆ มาใชแ้ ทนทรัพยากรทีมีราคาแพงหรือกาํ ลงั จะลดนอ้ ยหมดสูญไป ) ตอ้ งช่วยกนั คน้ ควา้ สาํ รวจหาแหล่งทรัพยากรใหม่ เพอื นาํ มาใชแ้ ทนทรัพยากรธรรมชาติทีหายาก ) ตอ้ งไมท่ าํ ลายทรัพยากรธรรมชาติ ) ตอ้ งเตม็ ใจเขา้ รบั การอบรมศึกษา ใหเ้ ขา้ ใจถึงปัญหาและวิธีการอนุรักษ์ทรพั ยากรธรรมชาติ

112 . ระดับชุมชน เนืองจากประชาชนแต่ละคนเป็นสมาชิกของชุมชนทีตนอาศยั อยู่ ซึงลกั ษณะ และสภาพของชุมชน จะมผี ลกระทบมาถึงประชาชนในชุมชนนนั ๆ ด้วย ทงั ทีเป็ นสิงทีดีและไมด่ ี ในการ อนุรักษค์ วรร่วมมือร่วมใจกนั ดงั นี . ประชาชนในชมุ ชนจะตอ้ งตระหนกั ถงึ การเขา้ ไปมสี ่วนร่วมในการอนุรักษแ์ ละพฒั นา สภาพแวดลอ้ มในชุมชนของตน . ประชาชนในชุมชนจะตอ้ งมีความรู้ ความเขา้ ใจในเรืองระบบของการจดั การ และสามารถ แกไ้ ขปรับปรุงและเปลียนแปลงสภาพแวดลอ้ มทเี สือมโทรมให้ดีขึน . จดั ระบบวิธีการอนุรกั ษ์ และพฒั นาสภาพแวดลอ้ มในชุมชนของตนใหป้ ระสานงานกับหน่วย ของรัฐและเอกชน . ระดับรฐั บาล . รัฐบาลควรกาํ หนดนโยบาย และวางแนวทางการอนุรักษ์และพฒั นาสภาพแวดลอ้ มทังในระยะ สนั และระยะยาว เพือเป็นหลกั การให้หน่วยงานและเจา้ หน้าทีของรัฐทีเกียวขอ้ งไดย้ ดึ ถือปฏิบตั ติ ่อไป . ในฐานะทีเป็ นพลเมืองดีของชุมชนและของประเทศ ประชาชนไทยทุกคนควรปฏิบตั ิตน ใหถ้ กู ตอ้ งตามกฎขอ้ บงั คบั หรือตามกฎหมายเกียวกบั สิงแวดลอ้ มทีสาํ คญั . หน่วยงานของรัฐทังในทอ้ งถินและภูมิภาค จะต้องเป็ นผนู้ ําและเป็ นแบบอย่างทีดีในการ อนุรักษ์และพัฒนาสภาพแวดลอ้ ม รวมทังจะต้องให้ความสนับสนุนและร่วมมือกบั ภาคเอกชนและ ประชาชนไปดว้ ย . เผยแพร่ ข่าวสารข้อมูลกฎหมายท้องถิน และความรู้ทางด้านการอนุรักษ์และพัฒนา สภาพแวดลอ้ มทงั ทางตรงและทางออ้ ม . หน่วยงานทีรับผิดชอบในทอ้ งถิน ภูมิภาค ต้องรี บเร่งดาํ เนินการแกไ้ ขฟื นฟสู ภาพแวดลอ้ ม ทีเสือมโทรมไปให้กลบั สู่สภาพเช่นเดมิ และหาทางป้ องกนั ไมใ่ ห้เกิดสภาพการณ์เช่นนนั ขึนมาอีก เรืองที สภาวะโลกร้อน สาเหตแุ ละผลกระทบ การป้ องกนั และการแก้ไขปัญหาโลกร้อน ภาวะโลกร้อน (Global Warming) ภาวะโลกร้อน (Global Warming) หรือ ภาวะภูมอิ ากาศเปลยี นแปลง (Climate Change) เป็นปัญหา ใหญ่ของโลกเราในปัจจบุ นั สงั เกตไดจ้ าก อุณหภมู ิ ของโลกทีสงู ขึนเรือย ๆ สาเหตุหลกั ของปัญหานี มาจาก ก๊าซเรือนกระจก (Greenhouse gases) ปรากฏการณ์เรือนกระจก มีความสาํ คญั กับโลก เพราะกา๊ ซจาํ พวก คาร์บอนไดออกไซด์ หรือ มเี ทน จะกกั เกบ็ ความร้อนบางส่วนไวใ้ นในโลก ไมใ่ หส้ ะทอ้ นกลบั สู่บรรยากาศ ทงั หมด มิฉะนัน โลกจะกลายเป็ นแบบดวงจันทร์ ทีตอนกลางคืนหนาวจดั (และตอนกลางวันร้อนจดั เพราะไม่มบี รรยากาศ กรองพลงั งาน จาก ดวงอาทิตย)์ ซึงการทาํ ให้โลกอุ่นขึนเช่นนี คลา้ ยกับหลกั การของ เรือนกระจก (ทีใชป้ ลกู พชื ) จึงเรียกว่า ปรากฏการณ์เรือนกระจก (Greenhouse Effect) แต่การเพิมขึนอย่าง ต่อเนืองของ CO2 ทีออกมาจาก โรงงานอุตสาหกรรม รถยนต์ หรือการกระทาํ ใดๆทีเผา เชือเพลงิ ฟอสซิล

113 (เช่น ถ่านหิน นาํ มนั กา๊ ซธรรมชาติ หรือ สารประกอบไฮโดรคาร์บอน) ส่งผลให้ระดบั ปริมาณ CO2ในปัจจุบนั สูงเกิน 300 ppm (300 ส่วนในลา้ นส่วน) เป็นครังแรกในรอบกว่า 6 แสนปี ซึงคาร์บอนไดออกไซดท์ ีมากขึนนี ไดเ้ พิมการกกั เก็บความร้อนไวใ้ นโลกของเรามากขึนเรือย ๆ จนเกิดเป็นภาวะโลกร้อน ดงั เช่น ปัจจุบนั ภาวะ โลกร้อนภายในช่วง 10 ปี นบั ตงั แต่ปี พ.ศ. 2533 มานี ได้มีการบนั ทึกถึงปี ทีมีอากาศร้อนทีสุดถงึ 3 ปี คือ ปี พ.ศ. 2533, พ.ศ. 2538 และปี พ.ศ. 2540 แมว้ ่าพยากรณ์การเปลียนแปลงสภาพภูมิอากาศ ยงั มีความไม่ แน่นอนหลายประการ แต่การถกเถียงวิพากษ์วจิ ารณ์ไดเ้ ปลยี นหวั ขอ้ จากคาํ ถามทีว่า \"โลกกาํ ลงั ร้อนขึนจริง หรือ “เป็ น” ผลกระทบจากการทีโลกร้อนขึนจะส่งผลร้ายแรงและต่อเนืองต่อสิงทีมีชีวิตในโลกอย่างไร\" ดงั นนั ยงิ เราประวิงเวลาลงมือกระทาํ การแกไ้ ขออกไปเพียงใด ผลกระทบทีเกิดขึนก็จะยิงร้ายแรงมากขึน เท่านนั และบุคคลทีจะไดร้ ับผลกระทบมากทีสุดกค็ ือ ลกู หลานของพวกเราเอง สาเหตุ ภาวะโลกร้อนเป็ นภยั พิบัติทีมาถึง โดยทีเราทุกคนต่างทราบถึงสาเหตุของการเกิดเป็นอย่างดี นันคือ การทีมนุษยเ์ ผาผลาญเชือเพลงิ ฟอสซิล เช่น ถ่านหิน นาํ มนั และก๊าซธรรมชาติ เพือผลิตพลงั งาน เราตา่ งทราบดีถึงผลกระทบบางอย่างของภาวะโลกร้อน เช่น การละลายของนาํ แข็งในขวั โลก ระดบั นาํ ทะเล ทีสงู ขึน ความแห้งแลง้ อย่างรุนแรง การแพร่ระบาดของโรคร้ายต่างๆ อทุ กภยั ปะการังเปลียนสีและการเกิด พายุรุนแรงฉบั พลนั โดยผทู้ ีได้รับผลกระทบมากทีสุด ได้แก่ ประเทศตามแนวชายฝัง ประเทศทีเป็ นเกาะ และภูมิภาคทีกาํ ลงั พฒั นาอยา่ งเอเชียอาคเนย์ จากการทาํ งานของคณะกรรมการของรัฐบาลนานาชาติว่าดว้ ย เรืองการเปลียนแปลงสภาพภูมิอากาศทีมีองค์การวิทยาศาสตร์ ไดร้ ่ วมมือกบั องค์การสหประชาชาติ เฝ้ าสังเกตผลกระทบต่าง ๆ และไดพ้ บหลกั ฐานใหมท่ ีแน่ชดั วา่ จากการทีภาวะโลกร้อนขึนในช่วง 50 กวา่ ปี มานี ส่วนใหญ่เป็ นผลมาจากการกระทาํ ของมนุษย์ ซึงส่งผลกระทบอยา่ งต่อเนืองใหอ้ ุณหภูมิของโลก เพิมขึนในทุกหนทุกแห่ง ประมาณ 1.4 - 5.8 องศาเซลเซียส การเปลยี นแปลงสภาพภูมิอากาศไม่ได้ เปลียนแปลงไปทีละเล็กทลี ะนอ้ ย แต่เป็นการเปลยี นแปลงอยา่ งรุนแรงซงึ เกิดขึนบอ่ ยครงั และมคี วามรุนแรง มากขึนเรือยๆ ตวั อย่างทีเห็นไดช้ ดั ไดแ้ ก่ ความแหง้ แลง้ อยา่ งรุนแรง วาตภยั อุทกภัย พายุฝนฟ้ าคะนอง พายุ ทอร์นาโด แผ่นดินถล่ม และการเกิดพายรุ ุนแรงฉับพลนั จากภาวะอนั ตรายเหล่านีพบว่า ผูท้ ีอาศยั อยใู่ นเขต พนื ทีทีเสียงกบั การเกิดเหตุการณ์ดงั กลา่ ว ซึงไดร้ ับผลกระทบมากกวา่ พนื ทสี ่วนอนื ๆ ยงั ไม่ไดร้ ับการเอาใจ ใส่และช่วยเหลอื เท่าทีควร นอกจากนี ยงั มีการคาดการณ์วา่ การทีอณุ หภมู ขิ องโลกสงู ขึน เป็นเหตุใหป้ ริมาณ ผลผลิตเพือการบริโภคโดยรวมลดลง ซึงทาํ ใหจ้ าํ นวนผอู้ ดอยากหิวโหยเพิมขึนอีก 60 - 350 ลา้ นคน ในประเทศไทยและฟิ ลปิ ปินส์ มโี ครงการพลงั งานต่าง ๆ ทีจดั ตงั ขึน และการดาํ เนินงานของโครงการเหลา่ นี ได้ส่งผลกระทบต่อระบบนิเวศวิทยาอยา่ งเห็นไดช้ ดั ตัวอยา่ งเช่น การเปลียนแปลงของฝนทีไม่ตกตาม ฤดกู าล และปริมาณนาํ ฝนทีตกในแต่ละช่วงได้เปลียนแปลงไป การบุกรุกและทาํ ลายป่ าไมท้ ีอุดมสมบรู ณ์ การสงู ขึนของระดบั นาํ ทะเลและอุณหภมู ิของนาํ ทะเล ซึงส่งผลกระทบอยา่ งมากต่อระบบนิเวศ ตามแนว ชายฝัง และจากการทีอณุ หภูมขิ องนาํ ทะเลสงู ขึนนี ไดส้ ่งผลกระทบต่อการเปลียนสีของนาํ ทะเล ดังนัน แนว ปะการังตา่ ง ๆ จึงไดร้ ับผลกระทบและถกู ทาํ ลายเช่นกนั

114 ประเทศไทยเป็นตวั อย่างของประเทศทีมีชายฝังทะเล ทีมีความยาวประมาณ 2,490 กิโลเมตร และ เป็ นแหล่งทีมีความสาํ คญั อยา่ งมากต่อเศรษฐกิจของประเทศ โดยเฉพาะอยา่ งยิง การประมง การเพาะเลียง สตั ว์นํา และความไม่แน่นอนของฤดูกาล ทีส่งผลกระทบต่อการทําเกษตรกรรม มีการคาดการณ์ว่า หากระดบั นาํ ทะเลสูงขึนอีกอยา่ งน้อย 1 เมตรภายในทศวรรษหนา้ หาดทรายและพนื ทชี ายฝงั ในประเทศไทย จะลดน้อยลง สถานทีตากอากาศชายทะเล รวมถงึ อุตสาหกรรมการท่องเทียวในสถานทีท่องเทียวต่างๆ เช่น พทั ยา และ ระยองจะไดร้ ับผลกระทบโดยตรง แมแ้ ต่กรุงเทพมหานคร ก็ไม่สามารถหลีกเลยี งจากผลกระทบ ของระดบั นาํ ทะเลทีสูงขึนนีเช่นกนั ปัญหาดา้ นสุขภาพ กเ็ ป็นเรืองสาํ คญั อีกเรืองหนึงทีไดร้ ับผลกระทบอย่าง รุนแรง จากสภาพภูมิอากาศทีเปลียนแปลงนีดว้ ย เนืองจากอุณหภูมิและความชืนทีสูงขึน ส่งผลใหม้ ีการ เพิมขึนของยงุ มากขึน ซงึ นาํ มาสู่การแพร่ระบาดของไขม้ าลาเรียและไขส้ ่า นอกจากนีโรคทีเกียวขอ้ งกับนาํ เช่น อหิวาตกโรค ซึงจดั ว่าเป็นโรคทีแพร่ระบาดไดอ้ ยา่ งรวดเร็วโรคหนึงในภูมภิ าคนี คาดวา่ จะเพิมขึนอยา่ ง รวดเร็วและตอ่ เนือง จากอุณหภูมิและความชืนทสี ูงขนึ คนยากจนเป็นกลุม่ คนทมี คี วามเสียงสูงต่อผลกระทบ จากการเปลยี นแปลงนี ประกอบกบั การใหค้ วามรูใ้ นดา้ นการดแู ลรักษาสุขภาพทีดี ยงั มีไม่เพยี งพอ ปัจจุบนั นี สญั ญาณเบืองตน้ ของสภาพภมู ิอากาศทเี ปลยี นแปลงไป ไดป้ รากฏขึนอยา่ งแจง้ ชดั ดงั นัน สมควรหรือไม่ที จะรอจนกว่าจะคน้ พบขอ้ มลู มากขึนหรือ มคี วามรู้ในการแกไ้ ขมากขึน ซงึ ณ เวลานนั กอ็ าจสายเกนิ ไปแลว้ ที จะแกไ้ ขได้ กลไกของสภาวะโลกร้ อน ในสภาวะปกติ โลกจะไดร้ ับพลงั งานประมาณ . % จากดวงอาทิตย์ ในรูปแบบของการแผ่รังสี พลงั งานทีเหลอื มาจากความร้อนใต้พิภพซึงหลงเหลอื จากการก่อตวั ของโลกจากฝ่ นุ ธุลใี นอวกาศ และการ สลายตวั ของธาตุกัมมนั ตรังสีทีมีอยูใ่ นโลก ตงั แต่ดึกดาํ บรรพม์ าโลกเราสามารถรักษาสมดุลของพลงั งาน ทีไดร้ ับอย่างดเี ยยี ม โดยมีการสะทอ้ นความร้อน และการแผร่ ังสีจากโลกจนพลงั งานสุทธิทีไดร้ ับในแต่ละ วนั เทา่ กบั ศนู ย์ ทาํ ให้โลกมสี ภาพอากาศเหมาะสมต่อสิงมีชีวติ หลากหลาย กลไกหนึงทีทาํ ให้โลกเรารักษา พลงั งานความร้อนไวไ้ ด้คือ “ปรากฏการณ์เรือนกระจก” (greenhouse effect) ทีทาํ หน้าทีดกั และสะท้อน ความร้อนทโี ลกแผก่ ลบั ออกไปในอวกาศใหก้ ลบั เขา้ ไปในโลกอีก หากไม่มีแก๊สกลมุ่ นีโลกจะไม่สามารถ เก็บพลงั งานไว้ได้ และจะมีอุณหภูมิแปรปรวนในแต่ละวัน แก๊สกลุ่มนีจึงทาํ หน้าทีเสมือนผา้ ห่มบาง ๆ ทีคลุมโลกทหี นาวเยน็ แตก่ ลบั กลายเป็นวา่ ในช่วงระยะเวลาหลายสิบปี ทีผ่านมา โลกเราได้มกี ารสะสมแก๊ส เรือนกระจกในชันบรรยากาศมากขึน เนืองจากการเผาไหมเ้ ชือเพลิงต่าง ๆ ทีใช้ในกิจกรรมประจาํ วัน โดยเฉพาะอย่างยงิ การเผาไหมน้ าํ มนั เชือเพลิงทีขุดขึนมาจากใตด้ ิน การเพิมขึนของแก๊สเรือนกระจกทาํ ให้ โลกไม่สามารถแผ่ความร้อนออกไปไดอ้ ย่างทีเคย ส่งผลให้อุณหภูมขิ องโลกเพมิ มากขึนอย่างต่อเนือง เสมอื นกบั โลกเรามผี า้ ห่มทีหนาขึนนนั เอง ปรากฏการณ์เรอื นกระจกคืออะไร? “ปรากฏการณ์เรือนกระจก” (greenhouse effect) คอื ปรากฏการณ์ทีโลกมอี ณุ หภมู ิสงู ขึนเนืองจาก พลังงานแสงอาทิตย์ ในช่วงความยาวคลนื อินฟราเรดทีสะทอ้ นกลับถูกดูดกลืนโดยโมเลกุลของไอนํา

115 คาร์บอนไดออกไซด์ (CO2) มีเทน (CH4) และ CFCsไนตรัสออกไซด์ (N2O) ในบรรยากาศทาํ ใหโ้ มเลกุล เหล่านีมีพลงั งานสงู ขึนมีการถ่ายเทพลงั งานซึงกันและกันทาํ ใหอ้ ณุ หภูมิในชนั บรรยากาศสูงขึนการถ่ายเท พลงั งานและความยาวคลืนของโมเลกุลเหล่านีต่อ ๆ กันไป ในบรรยากาศทาํ ใหโ้ มเลกุลเกิดการสันการ เคลอื นไหว ตลอดเวลาและมาชนถูกผิวหนังของเรา ทาํ ใหเ้ รารู้สึกร้อน ในประเทศในเขตหนาวมีการ เพาะปลกู พืชโดยอาศยั การควบคุมอณุ หภูมิความร้อนโดยใชห้ ลกั การทีพลงั งานความร้อนจากแสงอาทิตย์ ส่องผ่านกระจก แต่ความร้อนทอี ย่ภู ายในเรือนกระจกไม่สามารถสะทอ้ นกลบั ออกมาทาํ ใหอ้ ุณหภูมภิ ายใน สงู ขึนเหมาะแก่การเพาะปลกู ของพืช จึงมีการเปรียบเทียบปรากฏการณ์ทีอุณหภูมขิ องโลกสูงขึนนีว่าภาวะ เรือนกระจก(greenhouse effect) ก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ (CO2) เป็ นก๊าซทีสะสมพลงั งานความร้อนใน บรรยากาศโลกไวม้ ากทีสุดและมผี ลทาํ ให้ อณุ หภูมขิ องโลกสงู ขึนมากทีสุดในบรรดาก๊าซเรือนกระจกชนิด อืนๆ CO2ส่วนมากเกิดจากการกระทาํ ของมนุษย์ เช่น การเผาไหมเ้ ชือเพลิง, การผลิตซีเมนต,์ การเผาไม้ ทาํ ลายป่ า ก๊าซทีก่อให้เกดิ ปรากฏการณ์เรือนกระจก มดี งั นี •￿ คาร์บอนไดออกไซด์ (CO2) เกิดจากการเผาไหมต้ ่าง ๆ •￿ มีเทน ซึงส่วนใหญ่เกิดจากการสลายตวั ของอนิ ทรียวตั ถุ เชน่ ขยะมลู ฝอยทยี ่อยสลายได้ ของเสีย อุจจาระ •￿ ซี เอฟ ซี (CFC) เป็นสารประกอบสาํ หรับทาํ ความเยน็ พบในเครืองทาํ ความเยน็ ต่าง ๆ เป็ นสิง ทีอยรู่ ่วมกบั ฟรีออน และยงั พบไดใ้ นสเปรยต์ ่าง ๆ อกี ดว้ ย •￿ Nitrous Oxide (N2O) เป็ นกา๊ ซมพี ษิ ทีเกิดจากเครืองยนต์ การเผาถา่ นหิน และใชป้ ระกอบ ในรถยนต์เพอื เพมิ กาํ ลงั เครือง ก๊าซเหล่านีเช่น CFC จะทาํ ปฏกิ ิริยากบั รังสีอลั ตราไวโอเลตและแตกตวั ออกเป็นโมเลกุลคลอรีนและ โมเลกุลต่างๆอีกหลายชนิด ซึงโมเลกุลเหลา่ นีจะเป็ นตวั ทาํ ลายโมเลกุลของออกซิเจนชนิดพิเศษหรือ O3 บนชันบรรยากาศโอโซน ทาํ ใหร้ ังสีอัลตราไวโอเลต และอินฟาเรดส่องผา่ นลงมายงั พนื โลกมากขึน ในขณะเดียวกันก๊าซเหลา่ นีก็กนั รังสีไม่ให้ออกไปจากบรรยากาศโลก ดว้ ยว่าทีรังสีเหลา่ นีเป็ นพลังงาน พวกมนั จงึ ทาํ ให้โลกรอ้ นขนึ •￿ ก๊าซไฮโดรฟลูโรคาร์บอน ( HFCS) •￿ กา๊ ซคลอโรฟลอู อโรคาร์บอน ( CFCS) •￿ ก๊าซซลั เฟอร์เฮกซ่าฟลูโอโรด์ ( SF6 ) กา๊ ซเหล่านีสมควรทีจะตอ้ งลดการปล่อยออกมา ซึงผทู้ ีจะลดการปลอ่ ยก๊าซเหล่านีไดก้ ค็ อื มนุษยท์ ุกคน

116 ตารางแสดงแก๊สเรือนกระจกและแหล่งทีมา แก๊สเรือนกระจก แหล่งทมี า ส่งผลให้โลกร้อนขึน (%) แกส๊ คาร์บอนไดออกไซด์ 1) จากแหล่งธรรมชาติ เช่น กระบวนการหายใจของ 57 ( CO2 ) สิงมีชีวติ 12 แก๊สมเี ทน (CH 4 ) 2) จากมนุษย์ เชน่ การเผาไหมเ้ ชือเพลิงจากโรงงาน อตุ สาหกรรมต่าง ๆ , การตดั ไมท้ าํ ลายป่ า (ลดการดดู ซบั CO2 ) 1) จากแหลง่ ธรรมชาติ เช่น จากการย่อยสลายของสิงมชี ีวิต, การเผาไหมท้ ีเกิดจากธรรมชาติ 2) จากมนุษย์ เช่น จากนาขา้ ว, แหล่งนาํ ท่วม, จากการเผา ไหมเ้ ชือเพลิงประเภทถา่ นหิน นาํ มนั และแกส๊ ธรรมชาต 1) จากมนุษย์ เช่น อุตสาหกรรมทีใชก้ รดไนตริกใน 6 ขบวนการผลติ , อุตสาหกรรมพลาสตกิ , อุตสาหกรรม แก๊สไนตรัสออกไซด์(N2O) ไนลอน, อตุ สาหกรรมเคม,ี การเผาไหมเ้ ชือเพลิงจาก ซากพืชและสตั ว,์ ป๋ ยุ , การเผาป่ า 2) จากแหล่งธรรมชาติ - อยูใ่ นภาวะทีสมดุล จากมนษุ ย์ เช่น อตุ สาหกรรมต่าง ๆ และอุปกรณ์เครืองใช้ ในชีวิตประจาํ วนั เช่น โฟม, กระป๋ องสเปรย,์ เครืองทาํ แกส๊ ทมี สี ่วนประกอบคลอโร ความเยน็ ; ตูเ้ ยน็ แอร์, ตวั ทาํ ลาย (แกส๊ นีจะรวมตวั ทางเคมี 25 ฟลอู อโรคาร์บอน(CFCS) ไดด้ ีกบั โอโซนทาํ ให้โอโซนในชนั บรรยากาศลดลงหรือ เกิดรูรัวในชนั โอโซน) ผลกระทบจากสภาวะโลกร้ อน แมว้ ่าโดยเฉลยี แลว้ อุณหภูมิของโลกจะเพมิ ขึนไมม่ ากนกั แต่ผลกระทบทีเกิดขึนจะส่งผลต่อเป็ น ทอด ๆ และจะมีผลกระทบกบั โลกในทีสุด ขณะนีผลกระทบดงั กลา่ วเริมปรากฏใหเ้ ห็นแลว้ ทวั โลก รวมทงั ประเทศไทย ตวั อยา่ งทีเห็นได้ชัด คือ การละลายของนาํ แขง็ ทวั โลก ทังทีเป็ นธารนาํ แข็ง (glaciers) แหลง่ นาํ แขง็ บริเวณขวั โลก และในกรีนแลนด์ ซึงจัดว่าเป็นแหล่งนําแข็งทีใหญ่ทีสุดในโลก นําแขง็ ทีละลายนี จะไปเพมิ ปริมาณนาํ ในมหาสมุทร เมือประกอบกบั อุณหภูมเิ ฉลยี ของนาํ สงู ขึน นาํ ก็จะมีการขยายตวั ร่วมดว้ ย ทาํ ให้ปริมาณนาํ ในมหาสมุทรทัวโลกเพมิ ขึนเป็ นทวีคูณ ทาํ ให้ระดบั นาํ ทะเลสูงขึนมาก ส่งผลใหเ้ มือง สาํ คญั ๆ ทีอยรู่ ิมมหาสมุทรตกอยใู่ ตร้ ะดับนาํ ทะเลทันที มีการคาดการณ์วา่ หากนาํ แข็งดงั กลา่ วละลายหมด จะทาํ ให้ระดบั นาํ ทะเลสงู ขึน - เมตรทเี ดียว ผลกระทบทีเริมเหน็ ไดอ้ ีกประการหนึงคือ การเกิดพายุหมุน

117 ทีมคี วามถมี ากขึน และมคี วามรุนแรงมากขนึ ดว้ ย ดังเราจะเห็นไดจ้ ากข่าวพายเุ ฮอริเคนทีพดั เขา้ ถล่มสหรัฐ หลายลูกในชว่ งสองสามปี ทผี ่านมา แตล่ ะลกู กส็ ร้างความเสียหายในระดับหายนะทงั สิน สาเหตุอาจอธิบาย ไดใ้ นแง่พลงั งาน กลา่ วคือ เมือมหาสมทุ รมีอุณหภูมสิ ูงขึน พลงั งานทีพายุไดร้ ับก็มากขึนไปด้วย ส่งผลให้ พายุมคี วามรุนแรงกว่าทเี คย นอกจากนนั สภาวะโลกร้อนยงั ส่งผลใหบ้ างบริเวณในโลกประสบกับสภาวะ แห้งแลง้ อย่างไม่เคยมมี าก่อน เช่นขณะนีได้เกิดสภาวะโลกร้อนรุนแรงขึนอีก เนืองจากตน้ ไมใ้ นป่ าทีเคย ทาํ หน้าทีดูดกลืนแกส๊ คาร์บอนไดออกไซด์ไดล้ ม้ ตายลงเนืองจากขาดนาํ นอกจากจะไมด่ ูดกลืนแก๊สต่อไป แลว้ ยงั ปลอ่ ยคาร์บอนไดออกไซด์ออกมาจากกระบวนการยอ่ ยสลายด้วย และยงั มีสญั ญาณเตือนจากภยั ธรรมชาติอืน ๆ อกี มาก ซงึ หากเราสังเกตดี ๆ จะพบว่าเป็นผลจากสภาวะนีไมน่ ้อย ผลกระทบด้านนเิ วศวทิ ยา แถบขวั โลกไดร้ ับผลกระทบมากทีสุด และกอ่ ให้เกิดการเปลียนแปลงมากมาย โดยเฉพาะอย่างยงิ ภูเขานาํ แขง็ กอ้ นนาํ แขง็ จะละลายอยา่ งรวดเร็ว ทาํ ใหร้ ะดบั นาํ ทะเลทางขวั โลกเพมิ ขึน และไหลลงสู่ทวั โลก ทาํ ให้เกิดนาํ ท่วมไดท้ ุกทวปี นอกจากนีจะพลอยทาํ ให้สตั วท์ างทะเลเสียชีวิตเพราะระบบนิเวศเปลียนแปลง ส่วนทวีปยโุ รป ในยุโรปใต้ภูมิประเทศจะกลายเป็ นพนื ทีลาดเอยี งเกิดความแห้งแลง้ ในหลายพืนทีปัญหา อุทกภยั จะเพิมขึนเนืองจากธารนาํ แข็งบนบริเวณยอดเขาสูงทีปกคลมุ ดว้ ยหิมะจะละลายจนหมด ขณะทีทวปี เอเชียอณุ หภูมจิ ะสูงขึนเกิดฤดกู าลทแี ห้งแลง้ มีนาํ ท่วม ผลติ ผลทางอาหารลดลง ระดบั นาํ ทะเลสงู ขึน สภาวะ อากาศแปรปรวน อาจทาํ ใหเ้ กิดพายตุ ่าง ๆ เขา้ ไปทาํ ลายบา้ นเรือนทีอยูอ่ าศยั ของประชาชน ซึงปัจจุบนั ก็เห็น ผลกระทบไดช้ ดั แต่แถบทวีปอเมริกาเหนืออุตสาหกรรมการผลิตอาหารจะไดร้ ับผลประโยชน์เนืองจาก อากาศทอี ุน่ ขึน พรอ้ ม ๆ กบั ทุ่งหญา้ ใหญ่ของแคนาดา และทงุ่ ราบใหญ่สหรฐั อเมริกาจะลม้ ตาย เพราะความ แปรปรวนของอากาศจะส่งผลตอ่ สตั ว์ นักวิจยั ไดม้ ีการคาดประมาณอณุ หภูมิผวิ โลก ในอกี ปี ข้างหน้า หรือประมาณปี ว่าอณุ หภมู จิ ะสงู ขึนจากปัจจุบนั ราว . องศาเซลเซียส เนืองจากคาดการณ์ว่าจะมกี าร ปล่อยกา๊ ซคาร์บอนไดออกไซด์ถึงรอ้ ยละ และก๊าซมเี ทนร้อยละ ของก๊าซเรือนกระจก สําหรับประเทศ ไทยมีอุณหภูมิสูงขึนประมาณ องศาเซลเซียส ในช่วง ปี อย่างไรก็ตามหากอณุ หภูมเิ พิมสูงขึน - องศาเซลเซียส จะทาํ ใหพ้ ายุใต้ฝ่ นุ เปลยี นทิศทาง เกิดความรุนแรง และมีจาํ นวนเพิมขึนร้อยละ - ใน อนาคต นอกจากนีฤดรู ้อนจะขยายเวลายาวนานขึน ในขณะทีฤดหู นาวจะสนั ลง ผลกระทบด้านเศรษฐกิจ รัฐทีเป็ นเกาะเล็ก ๆ ของทวีปอเมริกา จะไดร้ ับผลจากระดับนําทะเลทีสูงขึนกดั กร่อนชายฝัง จะสรา้ งความเสียหายแกร่ ะบบนิเวศ แนวปะการังจะถกู ทาํ ลาย ปลาทะเลประสบปัญหา เนืองจากระบบนิเวศ ทีแปรเปลยี นไป ธุรกิจทอ่ งเทียวทางทะเลทีสาํ คญั จะสูญเสียรายไดม้ หาศาล นอกจากนีในเอเชียยงั มีโอกาส ร้อยละ - ทีอาจเกิดฝนกระหนาํ และมรสุมอย่างรุนแรง รวมถึงเกดิ ความแหง้ แลง้ ในฤดรู ้อนทียาวนาน ทงั นีในปี - ประเทศไทยเกิดความเสียหายจากอทุ กภยั พายุ และภยั แลง้ คิดเป็ นมูลค่าเสียหายทาง เศรษฐกิจมากกวา่ , ล้านบาท รายงาน “Global Deserts Outlook” ของโครงการสิงแวดล้อมแห่ง สหประชาชาติ เนืองในวนั สิงแวดลอ้ มโลก มถิ นุ ายน ชีวา่ ภายใน ปี ขา้ งหนา้ ระบบนิเวศ ทางทะเลทราย

118 จะเปลียนแปลงไป ทงั ดา้ นชีววิทยา เศรษฐกิจและวฒั นธรรม ปัจจุบนั พชื และสัตว์ทางทะเลทราย คือ แหล่ง ทรัพยากรมีคุณค่าสําหรับผลติ ยา และธญั ญาหารใหม่ ๆ ทีทาํ ให้ไม่ตอ้ งสินเปลอื งนาํ และยงั มีช่องทาง เศรษฐกิจใหม่ ๆ ทีเป็นมติ รกับธรรมชาติ เช่นการทําฟาร์มกุง้ และบ่อปลาในทะเลทรายรัฐอาริโซนาและ ทะเลทรายเนเกฟ ในอิสราเอล อยา่ งไรก็ตามทะเลทรายทีมอี ยู่ แห่งทัวโลกกาํ ลงั เผชิญปัญหาใหญ่ไม่ใช่ เรืองการขยายตัว แต่เป็ นความแห้งแล้งเนืองจากโลกร้อน ธารนําแข็งซึงส่งนํามาหล่อเลียงทะเลทราย ในอเมริกาใตก้ าํ ลงั ละลาย นาํ ใต้ดินเค็มขึน รวมทังผลกระทบทีเกิดจากนาํ มือมนุษย์ ซึงหากไม่มีการลงมือ ป้ องกันอย่างทันท่วงที ระบบนิเวศวิทยา และสตั ว์ป่ าในทะเลทรายจะสูญหายไปภายใน ปี ขา้ งหน้า ในอนาคตประชากร ลา้ นคน ทีอาศยั อยู่ในเขตทะเลทรายทวั โลกจะอยไู่ มไ่ ด้อกี ต่อไป เพราะอณุ หภูมิ สูงขึน และนาํ ถกู ใชจ้ นหมด หรือเคม็ จนดืมไม่ได้ ผลกระทบด้านสุขภาพ ภาวะโลกร้อนไม่เพียงทาํ ใหร้ ะบบนิเวศเปลียนแปลงไป แต่มีสิงซ่อนเร้นทีแอบแฝงมาพร้อม ปรากฏการณน์ ีดว้ ยวา่ โลกร้อนขึนจะสร้างสภาวะทพี อเหมาะพอควร ใหเ้ ชอื โรคเจริญเติบโตอย่างรวดเร็ว เดวิท พิเมนเทล นกั นิเวศวิทยาแห่งมหาวิทยาลัยคอร์แนลในอเมริกา ระบุว่าโลกร้อนขึนจะก่อให้เกิด สภาพแวดลอ้ มทีเหมาะสมแก่การฟักตวั ของเชือโรค และศตั รูพืชทีเป็นอาหารของมนุษยบ์ างชนิด โรคที ฟกั ตวั ไดด้ ีในสภาพร้อนชืนของโลก จะสามารถเพมิ ขึนมากในอีก ปี ขา้ งหนา้ ทงั จะมีการติดเชือเพิมมาก ขึนในโรคมาลาเรีย ไขส้ ่า อหิวาตกโรค และอาหารเป็นพิษ นักวทิ ยาศาสตร์ในทีประชุมองคก์ ารอนามยั โลก และ London School of Hygiene and Tropical Medicine วิทยาลยั ศึกษาดา้ นสุขอนามยั และเวชศาสตร์เขตร้อน ขององั กฤษแถลงวา่ ในแตล่ ะปี ประชาชนราว , คน เสียชีวติ เพราะไดร้ ับผลกระทบจากภาวะโลกร้อน ตงั แต่โรคมาลาเรีย ไปจนถึงการขาดแคลนสุขอนามยั ทดี ี และตวั เลขผเู้ สียชวี ิตนีอาจเพิมขึนเกือบสองเท่าตัว ในอีก ปี ขา้ งหนา้ แถลงการณ์ของคณะแพทยร์ ะดับโลกระบุว่า เด็กในประเทศกาํ ลงั พฒั นาจดั อยู่ในกลุม่ เสียงมากทีสุด เช่นในประเทศแถบแอฟริกา ละตนิ อเมริกา และเอเชยี ตะวนั ออกเฉียงใต้ ทีจะตอ้ งเผชิญกบั การ แพร่ขยายของการขาดแคลนสุขอนามยั โรคทอ้ งร่วง และโรคมาเลเรีย ท่ามกลางอุณหภมู โิ ลกร้อนขึน นาํ ท่วม และภยั แลง้ การป้ องกนั วิธีการช่วยป้ องกนั สภาวะโลกร้อน ดงั นี 1.￿การลดระยะทาง 2.￿ปิ ดเครืองปรับอากาศ 3.￿ลดระดบั การใชง้ านของเครืองใชไ้ ฟฟ้ า 4.￿Reuse 5.￿การรักษาป่ าไม้ 6.￿ลดการใชน้ าํ มนั

119 ตวั อย่างเช่น 1.￿ลดระยะทางใช้สําหรับการขนส่งอาหาร เนืองจากมลพิษจากการขนส่งนันเป็ นตัวการ สําคญั มากทสี ุดในการเพิมปริมาณ กา๊ ซคาร์บอนไดออกไซด์ในบรรยากาศ ให้เราพยายามบริโภคอาหารทผี ลติ และ ปลกู ในทอ้ งถิน จะชว่ ยลดพลงั งานทใี ชส้ าํ หรับการขนส่งลงได้ . ปิดเครืองปรับอากาศในโรงแรมทีเราไดเ้ ข้าพกั พร้อมทงั อยา่ ใหพ้ นกั งานนาํ ผา้ ขนหนูทียงั ไม่ สกปรกมากไปซกั โดยพงึ ระลกึ ว่าเราไมไ่ ดช้ ่วยใหโ้ รงแรมประหยดั ไฟฟ้ า แต่เรากาํ ลงั ช่วยโลกทเี ราอาศยั อยู่ . ลดระดบั การใชง้ านเครืองใชไ้ ฟฟ้ าลงแมเ้ พียงนอ้ ยนิด เช่น เพิมความร้อนของเครืองปรบั อากาศ ในสาํ นกั งาน หรือทีพกั อาศยั ลงสักหนึงองศา หรือปิ ดไฟขณะไมใ่ ชง้ าน ปิ ดฝาหมอ้ ทีมีอาหารร้อนอยู่ หรือ ลดจาํ นวนชวั โมงการดโู ทรทศั น์ หรือฟังวิทยุลง อาจลดค่าใช้จ่ายของเราไม่มากนกั แต่จะส่งผลมหาศาล ต่อโลก . Reuse นาํ กระดาษ หรือภาชนะบรรจุอนื ๆ กลบั ไปใชใ้ หม่ พยายามซือสิงของทีมีอายกุ ารใช้ งานนาน ๆ จะชว่ ยลดการใชพ้ ลงั งานของโลกอยา่ งมากมาย . รักษาป่ าไมใ้ หไ้ ดม้ ากทีสุด และลด หรืองดการจดั ซือสิงของ หรือเฟอร์นิเจอร์ตา่ ง ๆ ทีทาํ จากไม้ ทีตดั เอามาจากป่ า เพือปล่อยให้ตน้ ไม้ และป่ าไมเ้ หล่านีไดท้ าํ หนา้ ทีการเป็นปอดของโลกสืบไป . ลดการใชน้ าํ มนั จากการขบั ขยี วดยานพาหนะ โดยปรับเปลียนนิสัยการขบั รถ เช่น ลดความเร็ว ในการขบั รถลง ตรวจสอบสภาพลมในลอ้ รถใหเ้ หมาะสม และคอ่ ย ๆ เหยียบคนั เร่ง รถยนต์ เมือตอ้ งการเร่ง ความเร็วและทดลองเดินให้มากทีสุด การแก้ปัญหาโลกร้อน เราจะหยุดสภาวะโลกร้อนไดอ้ ยา่ งไร เป็ นเรืองทีน่าเป็นห่วงวา่ เราคงไม่อาจหยดุ ยงั สภาวะโลกร้อน ทีกาํ ลงั จะเกิดขนึ ในอนาคตได้ ถึงแมว้ ่าเราจะหยดุ ผลิตแก๊สเรือนกระจกโดยสินเชิง ตงั แต่บัดนี เพราะโลก เปรียบเสมอื นเครืองจกั รขนาดใหญ่ทีมกี ลไกเลก็ ๆ จาํ นวนมากทาํ งานประสานกนั การตอบสนองทีมตี ่อการ กระตุน้ ต่าง ๆ จะตอ้ งใชเ้ วลานานกวา่ จะกลบั เข้าสู่สภาวะสมดุล และแน่นอนว่า สภาวะสมดุลอนั ใหม่ทีจะ เกิดขึนย่อมจะแตกตา่ งจากสภาวะปัจจุบนั อยา่ งมาก แต่เราก็ยงั สามารถบรรเทาผลอนั ร้ายแรงทีอาจจะเกิดขึน ในอนาคต เพอื ใหค้ วามรุนแรงลดลงอยใู่ นระดบั ทีพอจะรับมอื ได้ และอาจจะชะลอปรากฏการณ์โลกร้อนให้ ชา้ ลง กินเวลานานขึน สิงทีเราพอจะทาํ ไดต้ อนนี คือ พยายามลดการผลติ แก๊สเรือนกระจกลง และเนืองจาก เราทราบว่าแก๊สดงั กลา่ วมาจากกระบวนการใชพ้ ลงั งาน การประหยดั พลงั งานจึงเป็ นแนวทางหนึงในการลด อตั ราการเกิดสภาวะโลกรอ้ นไปในตวั วธิ กี ารแก้ปัญหาโลกร้อน มีดังนี . เปลยี นหลอดไฟ การเปลยี นหลอดไฟจากหลอดไส้ เป็นหลอดฟลูออเรสเซนตห์ นึงดวง จะช่วย ลดคาร์บอนไดออกไซดไ์ ด้ ปอนดต์ ่อปี . ขบั รถใหน้ อ้ ยลง หากเป็นระยะทางใกล้ ๆ สามารถเดิน หรือขีจกั รยานแทนได้ การขบั รถยนต์ เป็ นระยะทาง ไมล์ จะปลอ่ ยคาร์บอนไดออกไซด์ ปอนด์

120 . รีไซเคิลให้มากขึน ลดขยะของบา้ นคุณใหไ้ ด้ครึงหนึง จะช่วยลดคาร์บอนไดออกไซด์ไดถ้ ึง , ปอนดต์ อ่ ปี . เช็คลมยาง การขบั รถโดยทยี างมีลมนอ้ ย อาจทาํ ใหเ้ ปลืองนํามนั ขึนไดถ้ ึง % จากปกติ นํามนั ทุก ๆ แกลลอนทีประหยดั ได้ จะลดคาร์บอนไดออกไซดไ์ ด้ ปอนด์ . ใชน้ าํ รอ้ นใหน้ ้อยลง ในการทาํ นําร้อนใชพ้ ลงั งานในการต้มสูงมาก การปรับเครืองทาํ นาํ อุ่น ใหม้ อี ณุ หภมู ิและแรงนาํ ใหน้ อ้ ยลง จะลดคาร์บอนไดออกไซด์ได้ ปอนด์ต่อปี หรือการซักผา้ ในนําเย็น จะลดคาร์บอนไดออกไซดไ์ ดป้ ีละ ปอนด์ . หลีกเลียงผลิตภัณฑ์ทีมีบรรจุ ภัณฑ์เยอะ เพียงแค่ลดขยะของคุณเอง % จะลด คาร์บอนไดออกไซด์ได้ , ปอนด์ต่อปี . ปรับอุณหภมู ิหอ้ งของคุณ (สาํ หรับเมอื งนอก) ในฤดูหนาว ปรับอณุ หภูมิของ heater ให้ตาํ ลง องศา และในฤดรู ้อน ปรบั ใหส้ ูงขึน องศา จะลดคาร์บอนไดออกไซด์ได้ , ปอนด์ต่อปี . ปลูกตน้ ไม้ การปลกู ตน้ ไมห้ นึงตน้ จะดูดซบั คาร์บอนไดออกไซด์ได้ ตนั ตลอดอายขุ องมนั . ปิดเครืองใชไ้ ฟฟ้ าทีไมใ่ ช้ ปิ ดทวี ี คอมพวิ เตอร์ เครืองเสียง และเครืองใชไ้ ฟฟ้ าต่าง ๆ เมือไม่ใช้ จะลดคาร์บอนไดออกไซดไ์ ดน้ ับพนั ปอนด์ต่อปี แบบฝึ กหัดบทที แบบฝึ กหัดเรือง ทรัพยากรธรรมชาติและสิงแวดล้อม . จงบอกกระบวนการเปลยี นแปลงของสิงมชี วี ติ วา่ มีกปี ระเภท อะไรบา้ ง ............................................................................................................................................. ............................................................................................................................................. ............................................................................................................................................. ............................................................................................................................................. ............................................................................................................................................. . ละลุ คืออะไร ............................................................................................................................................. ............................................................................................................................................. ............................................................................................................................................. ............................................................................................................................................. .............................................................................................................................................

121 . คลนื แผน่ ดินไหว คืออะไร ............................................................................................................................................. ............................................................................................................................................. ............................................................................................................................................. ............................................................................................................................................. ............................................................................................................................................. . จงอธิบายหลกั การของเครืองวดั ความไหวสะเทือนของขนาดแผ่นดินไหวมาพอสังเขป ............................................................................................................................................. ............................................................................................................................................. ............................................................................................................................................. ............................................................................................................................................. ............................................................................................................................................. . การวดั แผน่ ดนิ ไหวมีกีแบบ อะไรบา้ ง ............................................................................................................................................. ............................................................................................................................................. ............................................................................................................................................. ............................................................................................................................................. . จงอธิบายปรากฏการณ์แผน่ ดินถลม่ (land slides) ............................................................................................................................................. ............................................................................................................................................. ............................................................................................................................................. ............................................................................................................................................. ............................................................................................................................................. . แผ่นดินถลม่ ในประเทศไทยทีเกดิ ขึนในภาคเหนือ และภาคตะวนั ออกเฉียงเหนือ เกิดจากสาเหตุใด ............................................................................................................................................. ............................................................................................................................................. ............................................................................................................................................. ............................................................................................................................................. .............................................................................................................................................

122 . ปัจจยั สาํ คญั ทีเป็ นสาเหตขุ องการเกิดแผ่นดินถล่ม ............................................................................................................................................. ............................................................................................................................................. ............................................................................................................................................. ............................................................................................................................................. ............................................................................................................................................. . ปรากฏการณ์เรือนกระจก คอื อะไร ............................................................................................................................................. ............................................................................................................................................. ............................................................................................................................................. ............................................................................................................................................. ............................................................................................................................................. . กา๊ ซชนิดใดทกี ่อให้เกิดปรากฏการณ์เรือนกระจก ............................................................................................................................................. ............................................................................................................................................. ............................................................................................................................................. ............................................................................................................................................. ............................................................................................................................................. . ทรัพยากรธรรมชาติ หมายถึง ............................................................................................................................................. ............................................................................................................................................. ............................................................................................................................................. ............................................................................................................................................. ............................................................................................................................................. . ทรพั ยากรธรรมชาติแบง่ ออกเป็นกปี ระเภท อะไรบา้ ง ............................................................................................................................................. ............................................................................................................................................. ............................................................................................................................................. ............................................................................................................................................. .............................................................................................................................................

123 บทที 7 ธาตุ สมบัตขิ องธาตแุ ละธาตุกัมมันตภาพรังสี สาระสําคญั ทฤษฎี โครงสร้าง และการจดั เรียงอเิ ลก็ ตรอนในอะตอม สมบตั ิของธาตุตามตารางธาตุ ประโยชน์ ของตารางธาตุ สมบตั ิธาตุกมั มนั ตภาพรงั สีและกมั มนั ตภาพรงั สี ประโยชนแ์ ละผลกระทบจากธาตุ กมั มนั ตภาพรังสี ผลการเรียนรู้ทคี าดหวัง อธิบายเกียวกบั โครงสรา้ งอะตอม ตารางธาตุ สมการและปฏกิ ิริยาเคมีทีพบในชีวติ ประจาํ วนั ขอบข่ายเนือหา เรืองที 1 ธาตุ เรืองที 2 ตารางธาตุ เรืองที 3 ธาตุกมั มนั ตภาพรงั สี

124 เรอื งที 1 ธาตุ ความหมายของธาตุ ธาตุ สารเป็ นสารบริสุทธทิ ีมีโมเลกลุ ประกอบดว้ ยอะตอมชนิดเดียวกนั มีธาตุทีคน้ พบแลว้ 109 ธาตุ เป็ นธาตทุ อี ย่ใู นธรรมชาติ 89 ธาตุ เช่น โซเดียม (Na) แมกนีเซียม (Mg) คาร์บอน (C) ออกซิเจน (O) เป็ นตน้ แผนผงั การจดั ธาตุ 20 ธาตุแรกออกเป็นหมวดหมู่ ตารางแสดงสมบตั ิบางประการของธาตุ เรียงตามมวลอะตอม ธาตุ สญั ลกั ษณ์ มวล ลกั ษณะที d ความเป็ น ความวอ่ งไว อะตอม อุณหภูมปิ กติ (g/cm3) โลหะ- ในการ mp.(0C) เกิดปฏกิ ิริยา อโลหะ มาก ไฮโดรเจน H 1.008 ก๊าซไม่มีสี -259 0.07* อโลหะ ไมเ่ กิด มาก ฮีเลยี ม He 4.003 กา๊ ซไมม่ สี ี -272 0.15* โลหะ ปานกลาง ปานกลาง ลิเทียม Li 6.94 ของแข็งสีเงนิ 180 0.53 โลหะ นอ้ ย เบริลเลยี ม Be 9.01 ของแขง็ สีเงิน 1280 1.45 โลหะ โบรอน B 10.81 ของแขง็ สีดาํ 2030 2.34 กึงโลหะ คาร์บอน C 12.01 ของแข็งสีดาํ 3730 2.26 อโลหะ mp. = จุดหลอมเหลว d = ความหนาแนน่ * = ความหนาแน่นขณะเป็นของเหลว

125 จากตารางแสดงสมบตั ขิ องธาตุ ถา้ จดั ธาตุเหลา่ นีมาจดั เป็นพวกโดยอาศยั เกณฑ์ต่าง ๆ ตามตาราง จะแบ่งธาตุออกเป็น 3 กลุ่ม ดงั นี 1. โลหะ (metal) เป็ นกลุม่ ธาตุทีมสี มบตั เิ ป็นตวั นาํ ไฟฟ้ าได้ นาํ ความร้อนทีดี เหนียว มจี ุดเดือดสงู ปกติเป็ นของแข็งทีอุณหภมู ิห้อง (ยกเวน้ ปรอท) เช่น แคลเซียม อะลมู เิ นียม เหล็ก เป็นตน้ 2. อโลหะ (non-metal) เป็ นกลุ่มธาตุทีมสี มบตั ไิ ม่นาํ ไฟฟ้ า มีจดุ หลอมเหลวและจุดเดอื ดตาํ เปราะบาง และมกี ารแปรผนั ทางดา้ นคุณสมบตั ิทางกายภาพมากกวา่ โลหะ 3. กงึ โลหะ (metalloid) เป็ นกลุ่มธาตุทีมสี มบตั กิ าํ กงึ ระหว่างโลหะและอโลหะ เช่น ธาตุ ซิลิคอน และเจอเมเนียม มสี มบตั ิบางประการคลา้ ยโลหะ เช่น นาํ ไฟฟ้ าไดบ้ า้ งทีอณุ หภูมปิ กติ และ นาํ ไฟฟ้ าไดม้ ากขึน เมอื อณุ หภูมเิ พมิ ขึน เป็ นของแขง็ เป็ นมนั วาวสีเงิน จดุ เดอื ดสูง แต่เปราะแตกง่าย คลา้ ยอโลหะ เช่น ออกซเิ จน กาํ มะถนั ฟอสฟอรัส เป็นตน้ แบบจาํ ลองอะตอม เป็ นทียอมรับกันแลว้ ว่าสารต่าง ๆ นันประกอบดว้ ยอะตอม แต่อย่างไรก็ตามยงั ไมม่ ีผใู้ ดเคยเห็น รูปร่างทีแทจ้ ริงของอะตอม รูปร่างหรือโครงสรา้ งของอะตอม จึงเป็นเพยี งจินตนาการหรือมโนภาพทีสร้าง ขึนเพือให้สอดคลอ้ งกบั การทดลอง เรียกว่า “แบบจาํ ลองอะตอม” ซึงจดั เป็ นทฤษฎีประเภทหนึงแบบจาํ ลอง อะตอมอาจเปลียนแปลงไปได้ ตามผลการทดลองหรือข้อมูลใหม่ ๆ เมือแบบจําลองอะตอมเดิมอธิบาย ไม่ได้ ดังนนั แบบจําลองอะตอม จึงไดม้ ีการแกไ้ ขพฒั นาหลายครังเพือให้สอดคล้องกบั การทดลอง นกั วิทยาศาสตร์ไดใ้ ชก้ ลอ้ งจุลทรรศนอ์ เิ ล็กตรอนทีมกี าํ ลงั ขยายสงู มากร่วมกบั คอมพวิ เตอร์และถ่ายภาพทีเชือ ว่าเป็ นภาพภายนอกของอะตอม อะตอมของทองคาํ ถ่ายภาพดว้ ยกลอ้ งจุลทรรศน์อเิ ลก็ ตรอน

126 แบบจําลองอะตอมของดอลตนั ในปี พ.ศ. 2346 (ค.ศ.1803) จอห์น ดอลตนั (John Dalton) นกั วทิ ยาศาสตร์ ชาวองั กฤษไดเ้ สนอทฤษฎอี ะตอม เพือใชอ้ ธิบายเกียวกบั การเปลียนแปลงของสารก่อนและหลงั ทาํ ปฏกิ ิริยา รวมทงั อตั ราส่วนโดยมวลของธาตุทรี วมกนั เป็น สารประกอบ ซงึ สรุปไดด้ งั นี 1. ธาตุประกอบดว้ ยอนุภาคเลก็ ๆ หลายอนุภาค อนุภาค เหลา่ นีเรียกวา่ “อะตอม” ซึงแบ่งแยกไม่ได้ และทาํ ใหส้ ูญหายไม่ได้ 2. อะตอมของธาตุชนิดเดยี วกนั มสี มบตั ิเหมือนกนั เช่น มีมวลเท่ากนั แต่จะมสี มบตั ิต่างจาก อะตอมของธาตุอืน 3. สารประกอบเกดิ จากอะตอมของธาตุมากกว่าหนึงชนิดทาํ ปฏิกิริยาเคมกี นั ในอตั ราส่วนที เป็ นเลขลงตวั นอ้ ย ๆ ทฤษฎีอะตอมของดอลตนั ใชอ้ ธบิ ายลกั ษณะและสมบตั ิของอะตอมไดเ้ พยี งระดบั หนึง แต่ต่อมา นกั วิทยาศาสตร์คน้ พบขอ้ มลู บางประการทีไม่สอดคลอ้ งกบั ทฤษฎีอะตอมของ ดอลตนั เช่น พบวา่ อะตอม ของธาตชุ นิดเดียวกนั อาจมีมวลแตกตา่ งกนั ได้ อะตอมสามารถแบ่งแยกได้ แบบจาํ ลองอะตอมของดอลตนั แบบจําลองอะตอมของทอมสัน เซอร์ โจเซฟ จอหน์ ทอมสนั (J.J Thomson) นักวทิ ยาศาสตร์ชาวองั กฤษไดส้ นใจปรากฏการณ์ทีเกิดขึนใน หลอดรังสีแคโทด จงึ ทาํ การทดลองเกียวกบั การนาํ ไฟฟ้ าของ แก๊สขึนในปี พ.ศ. 2440 (ค.ศ. 1897) และไดส้ รุปสมบตั ิของรังสี ไวห้ ลายประการ ดงั นี 1. รังสีแคโทดเดินทางเป็นเสน้ ตรงจากขวั แคโทดไปยงั ขวั แอโนด เนืองจากรังสีแคโทดทาํ ใหเ้ กิดเงาดาํ ของวตั ถไุ ด้ ถา้ นาํ วตั ถุไปขวางทางเดินของรังสี 2. รังสีแคโทดเป็นอนุภาคทมี ีมวล เนืองจากรังสีทาํ ให้ใบพดั ทีขวางทางเดนิ ของรังสีหมุนไดเ้ หมือนถูกลมพดั 3. รังสีแคโทดประกอบดว้ ยอนุภาคทีมีประจุลบ เนืองจากเบียงเบนเขา้ หาขวั บวกของสนามไฟฟ้ า

127 หลอดรังสีแคโทด รังสีแคโทด เบียงเบนเขา้ หาขวั บวกของสนามไฟฟ้ า จากผลการทดลองนี ทอมสันอธิบายไดว้ ่า อะตอมของโลหะทีขวั แคโทดเมือได้รับกระแสไฟฟ้ า ทีมคี วามต่างศกั ยส์ ูงจะปล่อยอิเล็กตรอนออกมาจากอะตอม อิเลก็ ตรอนมีพลงั งานสูง และเคลอื นทีภายใน หลอด ถ้าเคลือนทีชนอะตอมของแก๊สจะทําให้อิเล็กตรอนในอะตอมของแก๊สหลุดออกจากอะตอม อิเลก็ ตรอนจากขวั แคโทดและจากแกส๊ ซงึ เป็ นประจุลบจะเคลือนทีไปยงั ขวั แอโนด ขณะเคลอื นทีถา้ กระทบ ฉากทีฉาบสารเรืองแสง เชน่ ZnS ทาํ ใหฉ้ ากเกิดการเรืองแสง ซึงทอมสนั สรุปว่ารังสีแคโทดประกอบดว้ ย อนุภาคทีมีประจุลบเรียกว่า “อิเล็กตรอน” และยงั ไดห้ าค่าอตั ราส่วนประจุต่อมวล (e/m) ของอิเล็กตรอน โดยใชส้ ยามแม่เหล็กและสนามไฟฟ้ าช่วยในการหา ซึงได้ค่าประจุต่อมวลของอิเลก็ ตรอนเท่ากบั 1.76 x 10.8 C/g ค่าอตั ราส่วน e/m นีจะมีค่าคงที ไม่ขึนอยู่กบั ชนิดของโลหะทีเป็ นขวั แคโทด และไมข่ ึนอยกู่ บั ชนิด ของแก๊สทีบรรจุอยใู่ นหลอดรังสีแคโทด แสดงว่าในรังสีแคโทดประกอบดว้ ยอนุภาคไฟฟ้ าทีมีประจุลบ เหมือนกันหมดคือ อิเล็กตรอน นันเอง ทอมสันจึงสรุปว่า “อิเลก็ ตรอนเป็นส่วนประกอบส่วนหนึงของ อะตอมและอเิ ล็กตรอนของทุกอะตอมจะมีสมบตั ิเหมอื นกนั ” การค้นพบโปรตอน ในปี พ.ศ. 2409 (ค.ศ. 1866) ออยเกน โกลดช์ ไตน์ นักวิทยาศาสตร์ชาวเยอรมนั ไดท้ าํ การทดลอง โดยเจาะรูทขี วั แคโทดในหลอดรังสีแคโทด พบวา่ เมอื ผ่านกระแสไฟฟ้ าเขา้ ไปในหลอดรงั สีแคโทดจะมี อนุภาคชนิดหนึงเคลอื นทีเป็นเส้นตรงไปในทิศทางตรงกนั ขา้ มกบั การเคลือนทขี องรังสีแคโทดผา่ นรูของ ขวั แคโทด และทาํ ใหฉ้ ากดา้ นหลงั ขวั แคโทดเรืองแสงได้ โกลดช์ ไตน์ไดต้ งั ชอื วา่ “รงั สีแคแนล” (canal ray) หรือ “รังสีบวก” (positive ray) สมบตั ขิ องรังสีบวก มีดงั นี 1. เดนิ ทางเป็นเสน้ ตรงไปยงั ขวั แคโทด 2. เมอื ผา่ นรงั สีนีไปยงั สนามแม่เหล็กและสนามไฟฟ้ า รังสีนีจะเบียงเบนไปในทิศทางตรงขา้ มกบั รังสีแคโทด แสดงว่ารงั สีนีประกอบดว้ ยอนุภาคทีมีประจไุ ฟฟ้ าเป็นบวก 3. มอี ตั ราส่วนประจุต่อมวลไม่คงที ขึนอยู่กบั ชนิดของแก๊สในหลอด และถา้ เป็นแก๊สไฮโดรเจนรงั สีนี จะมีอตั ราส่วนประจุต่อมวลสงู สุด เรียกอนุภาคบวกในรงั สีแคแนลของไฮโดรเจนวา่ “โปรตอน”

128 4. มีมวลมากกว่ารังสีแคโทด เนืองจากความเร็วในการเคลือนทีตาํ กว่ารงั สีแคโทดทอมสันได้ วเิ คราะห์การทดลองของโกลด์ ชไตน์ และการทดลองของทอมสัน จึงเสนอแบบจาํ ลองอะตอมวา่ “อะตอมเป็นรูปทรงกลมประกอบดว้ ยเนืออะตอมซึงมปี ระจุบวกและมอี ิเล็กตรอนซึงมปี ระจุลบกระจาย อยู่ทวั ไป อะตอมในสภาพทีเป็นกลางทางไฟฟ้ าจะมจี าํ นวนประจุบวกเท่ากบั จาํ นวนประจุลบ” แบบจาํ ลองอะตอมของทอมสนั แบบจาํ ลองอะตอมของรทั เทอร์ฟอร์ด ในปี พ.ศ.2453 (ค.ศ.1910) เซอร์ เออร์เนสต์ รัทเทอร์ฟอร์ด (Sir Ernest Rutherford) ไดศ้ ึกษาแบบจาํ ลอง อะตอมของทอมสัน และเกดิ ความสงสัยวา่ อะตอมจะมีโครงสรา้ ง ตามแบบจาํ ลองของทอมสันจริงหรือไม่ โดยตงั สมมติฐานว่า “ถา้ อะตอมมโี ครงสรา้ งตามแบบจาํ ลองของทอมสัน จริง ดงั นนั เมือยิงอนุภาคแอลฟาซึงมีประจไุ ฟฟ้ าเป็นบวกเขา้ ไป ในอะตอม แอลฟาทุกอนุภาคจะทะลผุ า่ นเป็นเส้นตรงทงั หมด เนืองจากอะตอมมีความหนาแน่นสมาํ เสมอเหมอื นกนั หมดทงั อะตอม” เพอื พสิ ูจนส์ มมติฐานนี รัทเทอร์ฟอร์ดไดท้ าํ การทดลองยงิ อนุภาคแอลฟาไปยงั แผ่นทองคาํ บาง ๆ โดยมีความหนาไมเ่ กิน 10 - 4 cm โดยมฉี ากสารเรืองแสงรองรับ ปรากฏผลการทดลอง ดงั นี 1. อนุภาคส่วนมากเคลอื นทที ะลผุ า่ นแผ่นทองคาํ เป็นเส้นตรง 2. อนุภาคส่วนน้อยเบียงเบนไปจากเสน้ ตรง 3. อนุภาคส่วนน้อยมากสะทอ้ นกลบั มาดา้ นหน้าของแผ่นทองคาํ

129 ถา้ แบบจาํ ลองอะตอมของทอมสันถูกตอ้ ง เมอื ยงิ อนุภาคแอลฟาไปยงั แผ่นทองคาํ บาง ๆ นี อนุภาค แอลฟาควรพุ่งทะลผุ า่ นเป็นเสน้ ตรงทงั หมดหรือเบียงเบนเพียงเลก็ นอ้ ย เพราะอนุภาคแอลฟามีประจุบวก จะเบยี งเบนเมอื กระทบกับประจุบวกทีกระจายอย่ใู นอะตอม แต่แบบจาํ ลองอะตอมของทอมสนั อธิบายผล การทดลองของรัทเทอร์ฟอร์ดไมไ่ ด้ รัทเทอร์ฟอร์ดจงึ เสนอแบบจาํ ลองอะตอมขึนมาใหม่ ดงั นี แบบจาํ ลองอะตอมของรัทเทอร์ฟอร์ท แบบจําลองอะตอมของโบร์ จากแบบจาํ ลองอะตอมของรัทเทอร์ฟอร์ดทาํ ให้ทราบถึงการจัดโครงสร้างของอนุภาคต่าง ๆ ในนิวเคลยี ส แต่ไมไ่ ดอ้ ธิบายว่าอเิ ลก็ ตรอนรอบนิวเคลียสอยู่ในลกั ษณะใด นักวิทยาศาสตร์ในลาํ ดับต่อมา ได้หาวิธีทดลองเพือรวบรวมข้อมูลเกียวกบั ตาํ แหน่งของอิเล็กตรอนทีอยูร่ อบนิวเคลียส วิธีหนึงก็คือ การศกึ ษาสมบัติและปรากฏการณ์ของคลืนและแสง แลว้ นํามาสร้างเป็ นแบบจาํ ลอง คลืนชนิดต่าง ๆ เช่น คลืนแสง คลืนเสียง มสี มบตั ิสาํ คญั ประการ คือ ความยาวคลืนและความถี คลืนแสงเป็นคลืนแมเ่ หล็กไฟฟ้ าทีมคี วามถแี ละความยาวคลนื ต่าง ๆ กนั ดงั รูปตอ่ ไปนี

130 แบบจาํ ลองอะตอมแบบกล่มุ หมอก อเิ ล็กตรอนเคลือนทรี อบนิวเคลยี สอยา่ งรวดเร็ว ดว้ ยรัศมไี ม่แน่นอนจึงไมส่ ามารถบอกตาํ แหน่ง ทีแน่นอนของอิเล็กตรอนไดบ้ อกไดแ้ ตเ่ พยี งโอกาสทีจะพบอิเลก็ ตรอนในบริเวณต่าง ๆ ปรากฏการณ์แบบนี เรียกวา่ กลมุ่ หมอกของอิเล็กตรอน บริเวณทีมกี ลุ่มหมอกอเิ ล็กตรอนหนาแน่นจะมโี อกาสพบอเิ ลก็ ตรอน มากกวา่ บริเวณทีเป็นหมอกจาง การเคลือนทีของอเิ ลก็ ตรอนรอบนิวเคลยี สอาจเป็นรูปทรงกลมหรือรูปอืน ๆ ขนึ อยู่กบั ระดบั พลงั งานของอเิ ล็กตรอน แต่ผลรวมของกล่มุ หมอกของอเิ ล็กตรอนทกุ ระดบั พลงั งาน การจดั เรียงอิเล็กตรอนในอะตอม 1. อิเลก็ ตรอนทวี ิงอยรู่ อบ ๆ นิวเคลยี สนนั จะอยกู่ นั เป็ นชนั ๆตามระดบั พลงั งาน ระดบั พลงั งานทีอยู่ ใกลน้ ิวเคลยี สทีสุด (ชนั K) จะมีพลงั งานตาํ ทีสุด และอเิ ลก็ ตรอนในระดบั พลงั งานชนั ถดั ออกมาจะมี พลงั งานสูงขีน ๆตามลาํ ดบั พลงั งานของอเิ ล็กตรอนของระดบั ชนั พลงั งาน K < L < M < N < O < P < Q หรือชนั ที 1< 2 < 3 <4 < 5 < 6 < 7

131 2. ในแต่ละชนั ของระดบั พลงั งาน จะมจี าํ นวนอิเลก็ ตรอนได้ ไม่เกิน 2n2 เมือ n = เลขชนั เลขชนั ของชนั K=1,L=2,M=3,N=4,O=5,P=6 และ Q=7 ตวั อย่าง จาํ นวน e- ในระดบั พลงั งานชนั K มีได้ ไม่เกิน 2n2 = 2 x 12 = 2x1 = 2 จาํ นวน e-ในระดบั พลงั งานชนั N มีได้ ไมเ่ กิน 2n2 = 2 x 42 = 2x16 = 32 3. ในแต่ละระดบั ชนั พลงั งาน จะมรี ะดบั พลงั งานชนั ยอ่ ยได้ ไมเ่ กิน 4 ชนั ย่อย และมีชอื เรียกชนั ย่อย ดงั นี s , p , d , f ในแตล่ ะชันยอ่ ย จะมจี าํ นวน e-ได้ ไม่เกนิ ดงั นี ระดบั พลงั งานชนั ยอ่ ย s มี e- ได้ ไมเ่ กนิ 2 ตวั ระดบั พลงั งานชนั ยอ่ ย p มี e- ได้ ไมเ่ กิน 6 ตวั ระดบั พลงั งาน ชนั ยอ่ ย d มี e-ได้ ไม่เกิน 10 ตวั ระดบั พลงั งานชนั ยอ่ ย f มี e-ได้ ไมเ่ กนิ 14 ตวั เขียนเป็น s2 p6 d10 f14 การจดั เรียงอเิ ลก็ ตรอน ใหจ้ ดั เรียง e- ในระดบั พลงั งานชนั ยอ่ ยโดยจดั เรียงลาํ ดบั ตามลูกศร

132 การจัดเรียงอิเลก็ ตรอนในอะตอม ตวั อย่าง จงจดั เรียงอิเล็กตรอนของธาตุ แคลเซียม ( Ca ) ธาตุ Ca มีเลขอะตอม = 20 แสดงวา่ มี p = 20 และมี e- = 20 ตวั (ดูเลขอะตอม จากตารางธาตุ) แลว้ จดั เรียง e- ดงั นี การจดั เรียง e- ของธาตุ Ca = 2 , 8 , 8 , 2 มีแผนผงั การจดั เรียง e- ดงั นี Ca มีจาํ นวน e- ในระดบั พลงั งานชนั นอกสุด = 2 ตวั จาํ นวนอเิ ล็กตรอนในระดบั พลงั งานชนั นอกสุด เรียกว่า เวเลนซอ์ เิ ล็กตรอน (Valence electron) ดงั นนั Ca มเี วเลนซ์อเิ ล็กตรอน = 2

133 ตารางธาตุ (Periodic table of elements) เรืองที 2 ตารางธาตุ (Periodic table of elements) คอื ตารางทีนกั วทิ ยาศาสตร์ไดร้ วบรวมธาตุต่าง ๆ ไวเ้ ป็นหมวดหมตู่ ามลกั ษณะ และคุณสมบตั ิ ทีเหมือนกนั เพือเป็นประโยชนใ์ นการศึกษาในแต่ละส่วนของตารางธาตุ โดยคาบ (Period) เป็นการจดั แถว ของธาตแุ นวราบ ส่วนหมู่ (Group) เป็นการจดั แถวของธาตุในแนวดิง ซงึ มีรายละเอยี ดดงั ต่อไปนี ภาพตารางธาตปุ ัจจบุ ัน 1.￿ ธาตุหมู่หลกั มีทงั หมด 8 หมู่ 7 คาบ โดยธาตุทีอยดู่ า้ นซา้ ยของเส้นขนั บนั ได จะเป็นโลหะ (Metal) ส่วนทางดา้ นขวาเป็นอโลหะ (Non metal) ส่วนธาตุทีอยตู่ ิดกบั เส้นขนั บนั ไดนนั จะเป็นกึงโลหะ (Metalloid)

134 2.￿ ธาตุทรานซิชัน มีทังหมด 8 หมู่ แต่หมู่ 8 มีทังหมด 3 หม่ยู ่อย จึงมีธาตุต่างๆ รวม 10 หมู่ และมี ทงั หมด 4 คาบ ธาตุอนิ เนอร์ทรานซิชนั มี 2คาบโดยมชี ือเฉพาะเรียกคาบแรกว่าคาบแลนทาไนด์ 3.￿ (Lanthanide series) และเรียกคาบทีสองว่า คาบแอกทิไนด์ (Actinide series) เพราะเป็นคาบทีอยู่ ต่อมาจาก 57La (Lanthanum) และ 89Ac (Actinium) ตามลาํ ดบั คาบละ 14 ตวั รวมเป็ น 28 ตวั การจดั เรียงธาตลุ งในตารางธาตุ เมือทราบการจดั เรียงอิเล็กตรอนของธาตุตา่ ง ๆ แลว้ จะเห็นว่าสามารถจดั กลมุ่ ธาตุไดง้ ่ายขนึ โดยธาตุทีมี ระดบั พลงั งานเท่ากนั ก็จะถกู จดั อยู่ในคาบเดียวกนั ส่วนธาตุทีมีจาํ นวนอเิ ล็กตรอนในระดบั พลงั งานนอกสุด เท่ากนั กจ็ ะถกู จดั อยู่ในหมู่เดียวกนั ดงั ภาพ ภาพการจัดเรียงธาตลุ งในตารางธาตุ ประเภทของธาตใุ นตารางธาตุ ธาตุโลหะ (Metal) โลหะทรานซิชนั เป็ นตน้ ฉบับของโลหะ ธาตุโลหะเป็ นธาตุทีมีสถานะเป็ น ของแข็ง (ยกเวน้ ปรอท ทีเป็ นของเหลว) มีผิวทีมนั วาว นาํ ความร้อน และไฟฟ้ าได้ดี มจี ุดเดือดและจุด หลอมเหลวสูง (ช่วงอณุ หภูมิระหวา่ งจดุ หลอมเหลวกบั จุดเดือดจะต่างกนั มาก) ได้แก่ โซเดียม (Na) เหล็ก (Fe) แคลเซียม (Ca) ปรอท (Hg) อะลูมเิ นียม (Al) แมกนีเซียม (Mg) สังกะสี (Zn) ดีบกุ (Sn) เป็ นตน้ ธาตุอโลหะ ( Non metal ) มไี ดท้ งั สามสถานะ คุณสมบตั ิส่วนใหญ่จะตรงขา้ มกบั อโลหะ เช่น ผิวไม่มนั วาว ไมน่ าํ ไฟฟ้ า ไม่นาํ ความร้อน จุดเดือดและจุดหลอมเหลวตาํ เป็ นต้น ได้แก่ คาร์บอน(C) ฟอสฟอรัส (P) กาํ มะถนั (S) โบรมนี (Br) ออกซิเจน (O 2) คลอรีน (Cl 2) ฟลอู อรีน (F2) เป็ นตน้ ธาตุกึงโลหะ (Metalloid) เป็ นธาตุกึงตัวนํา คือ มนั จะสามารถนําไฟฟ้ าได้เฉพาะในภาวะหนึง เท่านนั ธาตุกึงโลหะเหล่านีจะอยู่บริเวณเส้นขนั บนั ได ไดแ้ ก่ โบรอน (B) ซลิ คิ อน ( Si) เป็ นตน้

135 ธาตุกมั มันตภาพรังสี เป็ นธาตุทีมีส่วนประกอบของนิวตรอน กับโปรตอน ไม่เหมาะสม (>1.5) ธาตุที 83 ขึนไป เป็ นธาตุกมั มนั ตภาพรงั สีทุกไอโซโทปมีครึงชีวิต สมบัติของธาตุในแต่ละหมู่ สมบตั ิของธาตุตามตารางธาตุ ธาตุหมู่ I A หรือโลหะอลั คาไล (alkaline metal) * โลหะอลั คาไล ไดแ้ ก่ ลเิ ทียม โซเดยี ม โพแทสเซยี ม รูบิเดียม ซเี ซียม และแฟรนเซียม มสี มบตั ิดงั นี คือ เป็ นโลหะอ่อน ใชม้ ดี ตดั ได้ - เป็นหมู่โลหะมคี วามว่องไวต่อการเกิดปฏกิ ริ ิยามากทีสุด สามารถทาํ ปฏกิ ิริยากบั ออกซิเจน ในอากาศ จึงตอ้ งเก็บไวใ้ นนาํ มนั - ออกไซด์และไฮดรอกไซดข์ องโลหะอลั คาไลละลายนาํ ไดส้ ารละลายเบสแก่ - เมอื เป็นไอออน จะมีประจุบวก - มีจุดเดือดและจุดหลอมเหลวตาํ มคี วามหนาแน่นตาํ เมอื เทียบกบั โลหะอืน ๆ - มีเวเลนซอ์ ิเลก็ ตรอน = 1 ธาตหุ มู่ II A หรือโลหะอลั คาไลนเ์ อิร์ธ (alkaline earth) โลหะอลั คาไลน์เอิร์ธ ไดแ้ ก่ เบริลเลยี ม แมกนีเซียม แคลเซียม สตรอนเชียม แบเรียม เรเดียม มสี มบตั ิดงั นี - มคี วามว่องไวตอ่ การเกดิ ปฏกิ ิริยามาก แตน่ ้อยกว่าโลหะอลั คาไล - ทาํ ปฏิกิริยากบั นาํ ไดส้ ารละลายเบส สารประกอบโลหะอลั คาไลนเ์ อิร์ธพบมากในธรรมชาติ - โลหะอลั คาไลน์เอิร์ธมคี วามว่องไวแตย่ งั น้อยกวา่ โลหะอลั คาไล - โลหะอลั คาไลน์เอิร์ธมเี วเลนซ์อิเล็กตรอน = 2 ธาตหุ มู่ III - ธาตุหมู่ III ไดแ้ ก่ B Al Ga In Tl มีสมบตั ิดงั นี คอื - มเี วเลนซอ์ เิ ลก็ ตรอน = 3 ธาตุหมู่ IV - ธาตุหมู่ IV ไดแ้ ก่ C Si Ge Sn Pb มีสมบตั ิดงั นี คอื - มีเวเลนซ์อิเล็กตรอน = 4 ธาตหุ มู่ V - ธาตุหมู่ V ไดแ้ ก่ N P As Sb Bi มสี มบตั ิดงั นี คือ - มเี วเลนซ์อเิ ลก็ ตรอน = 5

136 ธาตุหมู่ VI - ธาตุหมู่ VI ไดแ้ ก่ O S Se Te Po - มีเวเลนซอ์ ิเล็กตรอน = 6 ธาตุหมู่ VII หรือหม่แู ฮโลเจน (Halogen group) - หมู่ธาตุแฮโลเจน ไดแ้ ก่ ฟลูออรีน คลอรีน โบรมนี ไอโอดีน และแอสทาทีน - เป็ นหม่อู โลหะทีวอ่ งไวต่อการเกิดปฏกิ ริ ิยามากทสี ุด (F ว่องไวต่อการเกิดปฏกิ ริ ิยามากทีสุด) - เป็นธาตทุ มี พี ิษทุกธาตุและมีกลนิ แรง - โมเลกลุ ของธาตุแฮโลเจนประกอบดว้ ย 2 อะตอม (Cl 2 Br 2 I 2) - แฮโลเจนไอออนมปี ระจุบลบหนึง (F - C - Br - I - At -) ธาตหุ มู่ VIII หรือก๊าซเฉือย หรือก๊าซมีตระกูล (Inert gas ) - กา๊ ซมีตระกูล ไดแ้ ก่ ฮเี ลียม นีออน อาร์กอน คริปทอน ซีนอน และเรดอน - มเี วเลนซ์อเิ ลก็ ตรอนเต็ม 8 อเิ ลก็ ตรอน จึงทาํ ใหเ้ ป็นกา๊ ซทีไม่วอ่ งไวตอ่ การเกดิ ปฏิกริ ิยา - กา๊ ซมีตระกูลอยู่เป็นอะตอมเดียว แต่ยกเวน้ Kr กบั Xe ทีสามารถสร้างพนั ธะได้ ขนาดอะตอมของธาตุ หน่วยพิโกเมตร ขนาดอะตอมของธาตตุ ่าง ๆ

137 ขนาดของอะตอมนนั ถา้ จะพิจารณาถึงปัจจยั ตา่ ง ๆ ทีส่งผลกระทบต่อขนาดของอะตอมนนั อาจ แบ่งแยกออกไดเ้ ป็ นขอ้ เรียงตามลาํ ดบั ความสาํ คญั ได้ ดงั นี 1. จาํ นวนระดบั พลงั งาน 2. จาํ นวนโปรตอน 3. จาํ นวนอเิ ล็กตรอน ขนาดไอออนของธาตุ ........................... หน่วยพิโกเมตร

138 ลกั ษณะสาํ คญั ของธาตุภายในหมู่เดยี วกนั ลกั ษณะสาํ คญั ของธาตุภายในหม่เู ดยี วกนั ธาตุซึงอย่ใู นหมู่เดยี วกนั มลี กั ษณะสาํ คญั ดงั นี . ธาตุทีอยู่ในหมูเ่ ดียวกนั มีจาํ นวนเวเลนซ์อเิ ล็กตรอนเท่ากนั จึงทาํ ให้มีสมบตั ิคลา้ ยกนั เชน่ ธาตุลเิ ทียม ( Li มีการจดั อิเล็กตรอนเป็น , ) และธาตุโซเดียม ( Na มีการจดั อเิ ลก็ ตรอน เป็น , , ) ต่างก็มเี วเลนซอ์ เิ ล็กตรอนเท่ากบั ทงั สองธาตุจึงมีคุณสมบตั ิคลา้ ยกนั เป็ นตน้ . ธาตุในหม่ยู ่อย A (IA - VIII A) ยกเวน้ ธาตแุ ทรนซิชนั มเี วเลนซ์อเิ ลก็ ตรอนเทา่ กบั เลขที ของหมู่ เช่น ธาตุในหมู่ I จะมีเวเลนซอ์ เิ ล็กตรอนเท่ากบั ธาตุในหมู่ II จะมีเวเลนซ์อเิ ลก็ ตรอน เท่ากบั เป็นตน้ . ธาตุแทรนซชิ นั ส่วนใหญ่มีเวเลนซ์อเิ ลก็ ตรอนเท่ากบั ยกเวน้ บางธาตุ เช่น Cr Cu เป็ นตน้ มเี วเลนซอ์ เิ ล็กตรอนเท่ากบั . ธาตุในหม่เู ดยี วกนั จะมจี าํ นวนระดบั พลงั งานไม่เท่ากนั โดยมรี ะดบั พลงั งานเพมิ ขนึ จากบน ลงล่าง เช่น Li 11Li 19K 37Rb 55Cs เป็ นธาตุทีอยใู่ นหมูท่ ี จากบนลงลา่ ง มีจาํ นวนระดบั พลงั งาน เท่ากบั และ ตามลาํ ดบั . ธาตุในหมเู่ ดยี วกนั จากบนลงล่าง (จากคาบที ถึงคาบที ) จาํ นวนอิเลก็ ตรอนหรือ จาํ นวนโปรตอนหรือเลขอะดอมจะเพมิ ขึน ดงั นี , , , , , ตามลาํ ดบั เช่น ธาตุ หมู่ H (Z = 1) Li (Z = 3) Na (Z = 11) K (Z = 19) Rb (Z = 37) Cs (Z = 55) Fr (Z = 87 ลกั ษณะสาํ คญั ของธาตุภายในคาบเดียวกนั ธาตุซึงอยู่ภายในคาบเดียวกนั มลี กั ษณะสาํ คญั ดงั นี . ธาตุในคาบเดียวกนั มีเวเลนซอ์ เิ ล็กตรอนไม่เท่ากนั โดยมีเวเลนซ์อิเลก็ ตรอนเพมิ ขึนจาก ซา้ ยไปขวา ดงั นนั ธาตใุ นคาบเดียวกนั จึงมีสมบตั ิตา่ งกนั ยกเวน้ ธาตุแทรนซิชนั ซึงส่วนใหญ่มจี าํ นวน เวเลนซอ์ ิเลก็ ตรอนเทา่ กบั เท่ากนั จึงมีคณุ สมบตั คิ ลา้ ยกนั ทงั ในหมู่และในคาบเดียวกนั . ธาตุในคาบเดียวกนั มจี าํ นวนระดบั พลงั งานเท่ากนั และเทา่ กบั เลขทีของคาบ เชน่ ธาตุใน คาบที ทกุ ธาตุ (Li ถึง Ne) ตา่ งก็มีจาํ นวนระดบั พลงั งานเท่ากบั คือ ชัน K (n = 1) และชนั L (n = 2) เป็ นตน้

139 ประโยชน์ของตารางธาตุ 1. การจดั ธาตุเป็นหมูแ่ ละคาบ ทาํ ให้ทราบสมบตั ขิ องธาตใุ นหมูเ่ ดียวกนั ได้ 2. สามารถทีจะทราบสมบตั ิต่าง ๆ จากธาตุในหมูเ่ ดียวกนั จากธาตุทที ราบสมบตั ติ ่าง ๆ แลว้ 3. นาํ ไปทาํ นายสมบตั ิของธาตุต่าง ๆ ทียงั ไม่ทราบในปัจจบุ นั ไวล้ ว่ งหน้าได้ 4. ทาํ ใหก้ ารศกึ ษาเรืองสมบตั ิของธาตุ เป็ นไปอย่างรวดเร็ว แบบทดสอบบทที เรืองธาตแุ ละตารางธาตุ คาํ ชีแจง ให้กาเครืองหมาย X ทบั อกั ษรหน้าคาํ ตอบทีถกู ตอ้ งทีสุด เพยี งคาํ ตอบเดียว 1. สมบตั ิทีใชใ้ นการจาํ แนกสารขอ้ ใดถกู ตอ้ งทีสุด ก. โลหะเป็นธาตทุ สี ามารถนาํ ไฟฟ้ าไดท้ ุกสถานะ ข. อโลหะทุกชนิดไมส่ ามารถนาํ ไฟฟ้ าได้ ค. ออกไซต์ของโลหะเมอื ละลายนาํ มีสมบตั ิเป็นเบส ง. โลหะมคี ่าพลงั งานอิออไนส์ เพมิ ขึนตามเลขอะตอม 2. ไส้ดินสอดาํ และเพชรจดั อยู่ในขอ้ ใด ก. ธาตุต่างชนดิ กนั ข. อนั รูปของคาร์บอน ค. ไอโซโทปของคาร์บอน ง. สารประกอบคาร์บอน 3. ธาตุใดแสดงความเป็นเบสมากทีสุด ก. MgO ข. Al2O3 ค. SO2 ง. NO 4. ในตารางธาตุนนั ธาตทุ งั หมดเรียงตามลาํ ดบั ก. ขนาดอะตอม ข. มวลของอะตอม ค. อะตอมมิกนัมเบอร์ ง. แมสนัมเบอร์ 5. ในหมธู่ าตุเฉือยเดียวกนั ธาตุใดทาํ ปฏกิ ิริยาไดด้ ีทีสุด ข. Ne ก. He ค. Ar ง. Kr 6. สารประกอบออกไซต์ของธาตุ X มีสูตร XO แสดงว่าอยา่ งไร ก. ธาตุ X เป็ นธาตุหมู่ 2 ข. ธาตุ X เป็ นธาตหุ มู่ 6 ค. ธาตุ X อยู่หมู่เดียวกนั กบั ธาตุ O ง. ธาตุ X มวี าเลนต์อิเล็กตรอน 7. ธาตุทีอยหู่ มู่เดยี วกนั จะมสี ิงใดเทา่ กนั ก. จาํ นวนอิเล็กตรอน ข. จาํ นวนโปรตอน ค. จาํ นวนนิวตรอน ง. จาํ นวนวาเลนต์อิเล็กตรอน

140 8. เหตุใดทีใชฮ้ ีเลยี มผสมกบั ออกซิเจน สาํ หรบั ผทู้ ลี งไปทาํ งานในทะเลลึก ก. หาง่าย ข. ราคาถูก ค. ละลายในโลหิตน้อย ง. รวมกบั ออกซิเจนไดด้ ี 9. ธาตุเฉือยมีวาเลนตอ์ ิเลก็ ตรอนเท่าใด ก. 2 ข. 8 ค. 18 ง. 2 หรือ 8 10. ธาตุ X อย่ใู นหมู่ 6 คาบที 3 ดงั นนั ธาตุ X มเี ลขอะตอมเทา่ ใด ก. 8 ข. 9 ค. 16 ง. 24

141 บทที สมการเคมแี ละปฏิกริ ิยาเคมี สาระสําคัญ การเกดิ สมการเคมแี ละปฏิกิริยาเคมี ปัจจยั ทมี ผี ลต่อปฏิกิริยาเคมี ตลอดจนผลทีเกิดจากปฏกิ ิริยาเคมี ต่อสิงแวดลอ้ ม ผลการเรียนรู้ทคี าดหวัง 1.￿ อธิบายการเกดิ สมการเคมีและปฏิกริ ิยาเคมีและดุลสมการเคมีได้ 2.￿ อธิบายปัจจยั ทีมผี ลต่อปฏกิ ริ ิยาเคมีได้ 3.￿ อธิบายผลทีเกดิ จากปฏิกิริยาเคมีต่อชีวติ และสิงแวดลอ้ มได้ ขอบข่ายเนือหา เรืองที 1 สมการเคมี เรืองที หลกั การเขียนสมการเคมี เรืองที ปฏิกริ ิยาเคมที ีพบในชีวติ ประจาํ วนั

142 เรอื งที สมการเคมี สมการเคมี (Chemical equation) คอื สิงทีเขียนให้ทราบถึงการเปลยี นแปลงทางเคมี ซงึ เป็นตวั แทนของการเปลียนแปลงทางเคมี แสดงใหเ้ ห็นว่าสารตงั ตน้ ใดทาํ ปฏกิ ริ ิยากนั แลว้ เกิดเป็น สารผลิตภณั ฑ์ใด สารตังตน้ อย่ทู างซ้ายของลูกศร และสารผลิตภัณฑ์คือสารทีเกิดจากปฏิกิริยาเคมี จะอยู่ ทางขวาของลูกศร สัญลกั ษณ์ในวงเลบ็ แสดงสถานะ ไดแ้ ก่ G (gas) แทน แกส๊ l (liquid) แทน ของเหลว s (solid) แทน ของแข็งหรือตะกอน aq (aqueous) แทน สารทีละลายในนาํ สมการเคมีทีดุลถูกตอ้ งแลว้ ตวั เลขทีใชใ้ นการดุล หมายถึง จาํ นวนโมลของสารตงั ตน้ ทีทาํ ปฏิกิริยา พอดีกนั และจาํ นวนโมลของสารผลติ ภณั ฑท์ เี กิดขนึ ในสมการนนั สมการเคมี โดยทวั ไปแลว้ จะใชส้ ญั ลกั ษณ์ แทนของธาตุตา่ ง ๆ มลี กู ศรทีชีจากดา้ นซ้ายของสมการไปทางด้านขวา เพือบ่งบอกว่าสารตังต้น(reactant) ทางด้านซา้ ยมอื ทําปฏกิ ิริยาเกิดสารใหม่ขึนมาเรียกว่าผลิตภัณฑ์ (product) ทางดา้ นขวามือ ดังนัน จาก สมการเคมีเราสามารถใช้คํานวณหาได้ว่าใช้สารตังต้นเท่าไรแลว้ จะไดผ้ ลิตภัณฑ์ออกมาเท่าไร การเปลียนแปลงทางเคมีสามารถอธบิ ายไดโ้ ดยใชห้ ลกั 3 ประการ ดงั นี กฎทีหนงึ : กฎทรงมวล (Law of Conservation of Mass) กล่าววา่ “ ในการเปลียนแปลงทางเคมี มวลของสสารจะไมส่ ูญหาย ” กล่าวคือ มวลของสสารก่อนและหลงั การเปลยี นแปลงจะเท่ากนั กฎทีสอง : กฎสัดส่วนคงที (Law of Definite Proportions) กล่าวว่า “ เมอื ธาตุมารวมตวั กนั เกิดเป็นสารประกอบหนึงจะมสี ดั ส่วนโดยมวลคงที ” กฎทีสาม : กฎสัดส่วนพหุคูณ (Law of Multiple Proportions) กล่าวว่า “ เมือธาตุรวมตวั กนั เกิดเป็นสารประกอบไดม้ ากกว่าหนึงชนิด ถา้ ใหม้ วลอะตอมของธาตุหนึง คงที” จากกฎทรงมวล เราจึงตอ้ งทาํ ให้แต่ละขา้ งของสมการตอ้ งมีจาํ นวนอะตอม และประจุทีเทา่ กนั เรียกวา่ การดุลสมการ ซึงมีขอ้ สงั เกต ดงั นี 1. พยายามดุลธาตุทเี หมือนกนั ให้มีจาํ นวนอะตอมทงั สองดา้ นเท่ากนั ก่อน 2. ในบางปฏิกริ ิยามกี ล่มุ อะตอมให้ดุลเป็นกลุ่ม 3. ใชส้ มั ประสิทธิ(ตวั เลขทใี ชว้ างไวห้ น้าอะตอม)ชว่ ยในการดุลสมการ แลว้ นบั จาํ นวนอะตอม แตล่ ะขา้ งให้เท่ากนั เช่น


Like this book? You can publish your book online for free in a few minutes!
Create your own flipbook