Important Announcement
PubHTML5 Scheduled Server Maintenance on (GMT) Sunday, June 26th, 2:00 am - 8:00 am.
PubHTML5 site will be inoperative during the times indicated!

Home Explore วิทยาศาตร์ พว31001

วิทยาศาตร์ พว31001

Published by clube.indy, 2020-04-18 01:11:11

Description: วิทยาศาตร์ พว31001

Search

Read the Text Version

หนังสือเรียนสาระความรู้พนื ฐาน รายวชิ า วทิ ยาศาสตร์ ( พว ) ระดบั มธั ยมศึกษาตอนปลาย (ฉบบั ปรับปรุง พ.ศ. 25 ) หลกั สูตรการศึกษานอกระบบระดบั การศึกษาขนั พืนฐาน พุทธศกั ราช สานกั งานส่งเสริมการศึกษานอกระบบและการศึกษาตามอธั ยาศยั สานกั งานปลดั กระทรวงศึกษาธิการ กระทรวงศึกษาธิการ ห้ามจาหน่าย หนงั สือเรียนเล่มนีจดั พมิ พด์ ว้ ยเงินงบประมาณแผน่ ดินเพือการศึกษาตลอดชีวติ สาหรับประชาชน ลิขสิทธิเป็นของ สานกั งาน กศน. สานกั งานปลดั กระทรวงศึกษาธิการ เอกสารทางวิชาการลาดบั ที 11/

หนงั สือเรียนสาระความรู้พืนฐาน ) รายวิชา วทิ ยาศาสตร์ ( พว ระดบั มธั ยมศึกษาตอนปลาย ฉบบั ปรับปรุง พ.ศ. 25 ลิขสิทธิเป็นของ สานกั งาน กศน. สานกั งานปลดั กระทรวงศึกษาธิการ เอกสารทางวชิ าการลาดบั ที 11/2554

คาํ นํา กระทรวงศึกษาธิการได้ประกาศใช้หลักสูตรการศึกษานอกระบบระดับการศึกษาขันพืนฐาน พุทธศกั ราช เมือวนั ที กนั ยายน พ.ศ. แทนหลกั เกณฑ์และวิธีการจดั การศกึ ษานอกโรงเรียน ตามหลกั สูตรการศกึ ษาขนั พืนฐาน พทุ ธศกั ราช ซึงเป็ นหลักสูตรทีพัฒนาขึนตามหลกั ปรัชญาและ ความเชือพืนฐานในการจดั การศกึ ษานอกโรงเรียนทีมกี ลุ่มเป้ าหมายเป็นผใู้ หญ่มกี ารเรียนรูแ้ ละสงั สมความรู้ และประสบการณอ์ ย่างต่อเนือง ในปี งบประมาณ กระทรวงศึกษาธิการได้กาํ หนดแผนยุทธศาสตร์ในการขบั เคลือนนโยบาย ทางการศกึ ษาเพอื เพิมศกั ยภาพและขีดความสามารถในการแข่งขันให้ประชาชนไดม้ ีอาชีพทีสามารถสร้าง รายไดท้ ีมังคังและมนั คง เป็ นบุคลากรทีมีวินัย เปี ยมไปด้วยคุณธรรมและจริยธรรม และมีจิตสํานึก รับผิดชอบต่อตนเองและผอู้ ืน สาํ นกั งาน กศน. จึงไดพ้ จิ ารณาทบทวนหลกั การ จุดหมาย มาตรฐาน ผลการ เรียนรู้ทีคาดหวงั และเนือหาสาระ ทงั กลุ่มสาระการเรียนรู้ ของหลกั สูตรการศึกษานอกระบบระดับ การศึกษาขันพืนฐาน พุทธศกั ราช ให้มีความสอดคลอ้ งตอบสนองนโยบายกระทรวงศึกษาธิการ ซึงส่งผลให้ต้องปรับปรุงหนังสือเรียน โดยการเพิมและสอดแทรกเนือหาสาระเกียวกบั อาชีพ คุณธรรม จริยธรรมและการเตรียมพร้อม เพือเข้าสู่ประชาคมอาเซียน ในรายวิชาทีมีความเกียวขอ้ งสมั พันธ์กัน แต่ยงั คงหลกั การและวิธีการเดิมในการพฒั นาหนังสือทีใหผ้ เู้ รียนศึกษาค้นควา้ ความรู้ด้วยตนเอง ปฏบิ ตั ิ กิจกรรม ทาํ แบบฝึกหดั เพือทดสอบความรู้ความเขา้ ใจ มีการอภิปรายแลกเปลียนเรียนรู้กบั กลุ่มหรือศึกษา เพิมเติมจากภมู ิปัญญาทอ้ งถิน แหล่งการเรียนรู้และสืออืน การปรับปรุงหนังสือเรียนในครงั นี ไดร้ ับความร่วมมืออย่างดยี งิ จากผูท้ รงคุณวฒุ ิในแต่ละสาขาวชิ า และผเู้ กียวขอ้ งในการจดั การเรียนการสอนทีศกึ ษาคน้ ควา้ รวบรวมขอ้ มูลองคค์ วามรู้จากสือต่าง ๆ มาเรียบ เรียงเนือหาให้ครบถว้ นสอดคล้องกับมาตรฐาน ผลการเรียนรู้ทีคาดหวงั ตวั ชีวดั และกรอบเนือหาสาระ ของรายวิชา สาํ นักงาน กศน. ขอขอบคุณผมู้ ีส่วนเกียวขอ้ งทุกท่านไว้ ณ โอกาสนี และหวงั ว่าหนังสือเรียน ชุดนีจะเป็ นประโยชน์แก่ผูเ้ รียน ครู ผสู้ อน และผูเ้ กียวขอ้ งในทุกระดับ หากมีข้อเสนอแนะประการใด สาํ นักงาน กศน. ขอนอ้ มรับดว้ ยความขอบคุณยงิ

สารบัญ หน้า คาํ นาํ คาํ แนะนาํ การใชห้ นังสือเรียน โครงสร้างรายวิชา (พว 31001) วิทยาศาสตร์ บทที ทกั ษะทางวิทยาศาสตร์ และกระบวนการทางวทิ ยาศาสตร์ บทที โครงงานวิทยาศาสตร์ บทที เซลล์ บทที พนั ธุกรรมและความหลากหลายทางชีวภาพ บทที เทคโนโลยชี ีวภาพ บทที ทรัพยากรธรรมชาติและสิงแวดลอ้ ม บทที ธาตุ สมบตั ขิ องธาตแุ ละธาตกุ มั มนั ตรังสี บทที สมการเคมี และปฏกิ ิริยาเคมี บทที โปรตีน คาร์โบไฮเดรต และไขมนั บทที ปิ โตรเลียมและพอลิเมอร์ บทที สารเคมกี บั ชีวติ และสิงแวดลอ้ ม บทที แรงและการเคลือนที บทที เทคโนโลยอี วกาศ บทที 4 อาชีพช่างไฟฟ้ า เฉลยแบบฝึกหัดทา้ ยบท บรรณานุกรม คณะผจู้ ดั ทาํ

คาํ แนะนาํ การใช้หนงั สือเรยี น หนังสือเรียนสาระความรู้พนื ฐาน รายวิชาวิทยาศาสตร์ ระดบั มธั ยมศกึ ษาตอนปลาย รหสั พว เป็ นหนงั สือเรียนทีจดั ทาํ ขึน สาํ หรับผเู้ รียนทีเป็นนักศกึ ษานอกระบบ ในการศกึ ษาหนังสือเรียนสาระความรู้พนื ฐาน รายวิชาวทิ ยาศาสตร์ ผเู้ รียนควรปฏิบตั ิดงั นี 1.￿ ศึกษาโครงสร้างรายวิชาให้เขา้ ใจในหวั ขอ้ และสาระสาํ คัญ ผลการเรียนรู้ทีคาดหวงั และ ขอบข่ายเนือหาของรายวิชานนั ๆ โดยละเอียด 2.￿ ศึกษารายละเอียดเนือหาของแต่ละบทอย่างละเอียด และทํากิจกรรมตามทีกาํ หนด แล้ว ตรวจสอบกับแนวตอบกิจกรรมตามทีกําหนด ถา้ ผูเ้ รียนตอบผิดควรกลับไปศึกษาและทําความเข้าใจ ในเนือหานนั ใหมใ่ ห้เขา้ ใจ ก่อนทีจะศกึ ษาเรืองต่อ ๆ ไป 3.￿ ปฏบิ ตั กิ ิจกรรมทา้ ยเรืองของแต่ละเรือง เพอื เป็นการสรุปความรู้ ความเขา้ ใจของเนือหาในเรือง นนั ๆ อีกครงั และการปฏิบตั กิ ิจกรรมของแต่ละเนือหา แต่ละเรือง ผเู้ รียนสามารถนาํ ไปตรวจสอบกบั ครูและ เพือน ๆ ทีร่วมเรียนในรายวชิ าและระดบั เดียวกนั ได้ 4.￿ หนงั สือเรียนเล่มนีมี 4 บท บทที ทกั ษะทางวทิ ยาศาสตร์ และกระบวนการทางวทิ ยาศาสตร์ บทที โครงงานวทิ ยาศาสตร์ บทที เซลล์ บทที พนั ธุกรรมและความหลากหลายทางชีวภาพ บทที เทคโนโลยีชีวภาพ บทที ทรัพยากรธรรมชาติและสิงแวดลอ้ ม บทที ธาตุ สมบตั ขิ องธาตแุ ละธาตุกมั มนั ตรังสี บทที สมการเคมี และปฏกิ ิริยาเคมี บทที โปรตีน คาร์โบไฮเดรต และไขมนั บทที ปิ โตรเลยี มและพอลิเมอร์ บทที สารเคมีกบั ชีวิตและสิงแวดลอ้ ม บทที แรงและการเคลือนที บทที เทคโนโลยอี วกาศ บทที 4 อาชพี ช่างไฟฟ้ า

โครงสร้างรายวชิ า (พว 31001) วิทยาศาสตร์ สาระสําคญั . กระบวนการทางวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี เรือง ธรรมชาติของวิทยาศาสตร์ กระบวนการ ทางวิทยาศาสตร์ วิธีการทางวิทยาศาสตร์ ทกั ษะกระบวนการทางวิทยาศาสตร์ เจตคติทางวิทยาศาสตร์ เทคโนโลยี และโครงงานวิทยาศาสตร์ . สิงมีชีวิตและสิงแวดล้อม เรื อง เซลล์ พันธุกรรมและความหลากหลายทางชีวภาพ เทคโนโลยีชวี ภาพ ทรัพยากรธรรมชาติและสิงแวดลอ้ ม 3. สารเพือชีวิต เรือง ธาตุและสมบตั ิของธาตุ กัมมนั ตภาพรังสี สมการเคมีและปฏกิ ิริยาเคมี โปรตีน คาร์โบไฮเดรตและไขมนั ปิ โตรเลยี มและพอลิเมอร์ สารเคมกี บั สิงมชี ีวิตและสิงแวดลอ้ ม . แรงและพลงั งานเพือชีวิต เรือง แรงและการเคลือนที พลงั งานเสียง . ดาราศาสตร์เพอื ชีวติ เรือง เทคโนโลยีอวกาศ ผลการเรียนรู้ทคี าดหวงั . ใช้ความรู้และกระบวนการทางวิทยาศาสตร์ วิธีการทางวทิ ยาศาสตร์ ทกั ษะกระบวนการทาง วิทยาศาสตร์ เจตคตทิ างวทิ ยาศาสตร์ การทาํ โครงงานวิทยาศาสตร์และนาํ ผลไปใชไ้ ด้ 2. อธิบายเกียวกบั การแบ่งเซลล์ พันธุกรรมและการถ่ายทอดทางพันธุกรรม การผ่าเหล่า ความหลากหลายทางชีวภาพ เทคโนโลยีชีวภาพ การใช้ประโยชน์ และผลกระทบทีเกิดจากการใช้ เทคโนโลยี ชีวภาพต่อสงั คม และสิงแวดลอ้ มได้ 3. อธิบายเกียวกบั ปัญหาทีเกิดจากการใช้ทรัพยากรธรรมชาติ และสิงแวดลอ้ มในระดับท้องถิน ประเทศและโลกปรากฏการณ์ทางธรณีวิทยาทีมีผลกระทบต่อชีวิต และสิงแวดลอ้ ม วางแผนและปฏบิ ัติ ร่วมกบั ชุมชนเพอื ป้ องกนั และแกไ้ ขปัญหาทรพั ยากรธรรมชาติ และสิงแวดลอ้ มได้ 4.อธิบายเกียวกบั โครงสร้างอะตอมตารางธาตุ สมการและปฏิกิริยาเคมีทีพบในชีวิตประจําวัน คาร์โบไฮเดรต ไขมนั และโปรตีน ปิ โตรเลยี มและผลติ ภณั ฑ์ พอลเิ มอร์ สารเคมีกับชีวิต การนําไปใช้และ ผลกระทบต่อชวี ติ และสิงแวดลอ้ มได้ 5.อธิบายเกียวกบั แรงและความสัมพนั ธข์ องแรงกบั การเคลือนทีในสนามโนม้ ถว่ ง สนามแม่เหลก็ สนามไฟฟ้ า การเคลอื นทีแบบตา่ ง ๆ และการนาํ ไปใชป้ ระโยชน์ได้

6. อธิบายเกยี วกบั สมบตั ิ ประโยชน์และมลภาวะจากเสียง ประโยชน์และโทษของธาตุกมั มนั ตรังสี ต่อชวี ิตและสิงแวดลอ้ มได้ 7. ศกึ ษา คน้ ควา้ และอธิบายเกียวกับการใช้เทคโนโลยีอวกาศในการศึกษาปรากฏการณ์ต่างๆ บน โลกและในอวกาศ 8. อธบิ าย ออกแบบ วางแผน ทดลอง ทดสอบ ปฏิบตั ิการเรืองไฟฟ้ าได้อย่างถกู ตอ้ งและปลอดภยั คิด วิเคราะห์ เปรียบเทียบขอ้ ดี ขอ้ เสีย ของการต่อวงจรไฟฟ้ าแบบอนุกรม แบบขนาน แบบผสม ประยุกต์ และเลือกใชค้ วามรู้ และทกั ษะอาชีพช่างไฟฟ้ า ให้เหมาะสมกบั ดา้ นบริ หารจดั การและการบริการ เพือนาํ ไปสู่การจดั ทาํ โครงงานวิทยาศาสตร์ ขอบข่ายเนือหา บทที ทกั ษะทางวิทยาศาสตร์ และกระบวนการทางวทิ ยาศาสตร์ บทที โครงงานวทิ ยาศาสตร์ บทที เซลล์ บทที พนั ธุกรรมและความหลากหลายทางชีวภาพ บทที เทคโนโลยชี ีวภาพ บทที ทรพั ยากรธรรมชาติและสิงแวดลอ้ ม บทที ธาตุ สมบตั ิของธาตแุ ละธาตกุ มั มนั ตรังสี บทที สมการเคมี และปฏกิ ิริยาเคมี บทที โปรตนี คาร์โบไฮเดรต และไขมนั บทที ปิ โตรเลียมและพอลิเมอร์ บทที สารเคมีกบั ชีวติ และสิงแวดลอ้ ม บทที แรงและการเคลือนที บทที เทคโนโลยีอวกาศ บทที 4 อาชีพช่างไฟฟ้ า

1 บทที 1 ทกั ษะทางวทิ ยาศาสตร์และกระบวนการทางวิทยาศาสตร์ สาระสําคัญ วิทยาศาสตร์เป็ นเรื องของการเรียนรู้เกียวกบั ธรรมชาติ โดยมนุษยใ์ ชท้ ักษะต่างๆ สาํ รวจและ ตรวจสอบ ทดลองเกียวกับปรากฏการณ์ทางธรรมชาติ และนาํ ผลทีไดม้ าจดั ใหเ้ ป็ นระบบ และตงั ขึนเป็ น ทฤษฏี ซงึ ทกั ษะทางวทิ ยาศาสตร์ ประกอบดว้ ยกนั 13 ทกั ษะ ในการดาํ เนินการหาคาํ ตอบเรืองใดเรืองหนึงนอกจากจะตอ้ งใชท้ กั ษะทางวิทยาศาสตร์แลว้ ในการ หาคาํ ตอบจะตอ้ งมีการกาํ หนดลาํ ดบั ขนั ตอนอย่างเป็ นระบบตงั แต่ตน้ จนจบเรียกลาํ ดับขนั ตอนในการหา คาํ ตอบเหล่านีวา่ กระบวนการทางวิทยาศาสตร์ ซงึ ประกอบดว้ ย 5 ขนั ตอน ผลการเรียนรู้ทคี าดหวัง เรืองที 1 อธบิ ายธรรมชาตขิ องวิทยาศาสตร์และทกั ษะทางวทิ ยาศาสตร์ เรืองที 2 อธิบายขนั ตอนกระบวนการทางวทิ ยาศาสตร์ เรืองที อธิบายและบอกวิธีการใชว้ สั ดแุ ละอุปกรณ์ทางวทิ ยาศาสตร์ ขอบข่ายเนือหา เรืองที ธรรมชาตขิ องวิทยาศาสตร์และทกั ษะทางวิทยาศาสตร์ เรืองที กระบวนการทางวทิ ยาศาสตร์ เรืองที วสั ดุ และ อปุ กรณ์ทางวิทยาศาสตร์

2 เรืองที ธรรมชาตขิ องวิทยาศาสตร์และทกั ษะทางวทิ ยาศาสตร์ วทิ ยาศาสตร์เป็นเรืองของการเรียนรู้เกียวกบั ธรรมชาติ โดยมนุษยใ์ ชก้ ระบวนการสังเกต สาํ รวจ ตรวจสอบ ทดลองเกียวกบั ปรากฏการณ์ทางธรรมชาติ และนําผลมาจดั เป็ นระบบหลกั การ แนวคิดและ ทฤษฎี ดงั นนั ทกั ษะวทิ ยาศาสตร์ จึงเป็ นการปฏิบตั ิ เพือใหไ้ ด้มาซึงคาํ ตอบในขอ้ สงสยั หรือขอ้ สมมติฐาน ต่าง ๆ ของมนุษยต์ งั ไว้ ทกั ษะทางวิทยาศาสตร์ ประกอบดว้ ย 1.￿ การสงั เกต เป็นวิธกี ารไดม้ าของขอ้ สงสัย รับรู้ขอ้ มูล พจิ ารณาขอ้ มลู จากปรากฏการณ์ ทางธรรมชาติทีเกดิ ขึน 2.￿ ตงั สมมติฐาน เป็นการการระดมความคิด สรุปสิงทีคาดวา่ จะเป็นคาํ ตอบของปัญหาหรือ ขอ้ สงสยั นนั ๆ 3.￿ ออกแบบการทดลอง เพือศกึ ษาผลของตวั แปรทีตอ้ งศกึ ษา โดยควบคุมตวั แปรอืน ๆ ทีอาจมีผล ต่อตวั แปรทีตอ้ งการศกึ ษา 4.￿ ดาํ เนินการทดลอง เป็ นการจดั กระทาํ กบั ตัวแปรทีกาํ หนด ซึงไดแ้ ก่ ตวั แปรต้น ตวั แปรตาม และตวั แปรทีตอ้ งควบคุม 5.￿ รวบรวมขอ้ มลู เป็ นการบนั ทึกรวบรวมผลการทดลองหรือผลจากการกระทาํ ของตวั แปร ทีกาํ หนด 6.￿ แปลและสรุปผลการทดลอง ทักษะกระบวนการทางวิทยาศาสตร์ประกอบด้วย ทกั ษะ ดงั นี . ทกั ษะขนั มูลฐาน ทักษะ ไดแ้ ก่ . ทกั ษะการสังเกต (Observing) . ทกั ษะการวดั (Measuring) . ทกั ษะการจาํ แนกหรือทกั ษะการจดั ประเภทสิงของ (Classifying) . ทกั ษะการใชค้ วามสมั พนั ธร์ ะหว่างสเปซกบั เวลา (Using Space/Relationship) . ทกั ษะการคาํ นวณและการใชจ้ าํ นวน (Using Numbers) . ทกั ษะการจดั กระทาํ และสือความหมายขอ้ มลู (Comunication) . ทกั ษะการลงความเห็นจากขอ้ มลู (Inferring) . ทกั ษะการพยากรณ์ (Predicting) . ทักษะขันสูงหรือทกั ษะขันผสม ทักษะ ไดแ้ ก่ . ทกั ษะการตงั สมมติฐาน (Formulating Hypthesis) . ทกั ษะการควบคุมตวั แปร (Controlling Variables) . ทกั ษะการตีความและลงขอ้ สรุป (Interpreting data)

3 . ทกั ษะการกาํ หนดนิยามเชิงปฏบิ ตั ิการ (Defining Operationally) . ทกั ษะการทดลอง (Experimenting) รายละเอียดทักษะกระบวนการทางวทิ ยาศาสตร์ทัง ทักษะ มรี ายละเอียดโดยสรุปดังนี ทักษะการสังเกต (Observing) หมายถึง การใชป้ ระสาทสัมผสั ทงั ในการสังเกต ไดแ้ ก่ ใชต้ าดูรูปร่าง ใชห้ ฟู ังเสียง ใชล้ นิ ชิมรส ใชจ้ มกู ดมกลนิ และใชผ้ วิ กายสมั ผสั ความร้อนเยน็ หรือใชม้ ือจบั ตอ้ ง ความอ่อนแขง็ เป็นตน้ การใชป้ ระสาทสัมผสั เหล่านีจะใชท้ ีละอย่างหรือหลายอย่างพร้อมกนั เพือรวบรวม ขอ้ มลู กไ็ ดโ้ ดยไมเ่ พมิ ความคิดเห็นของผสู้ ังเกตลงไป ทกั ษะการวัด (Measuring) หมายถงึ การเลือกและการใช้เครืองมือวดั ปริมาณของสิงของ ออกมาเป็นตวั เลขทีแน่นอนไดอ้ ยา่ งเหมาะสม และถกู ตอ้ งโดยมีหน่วยกาํ กับเสมอในการวดั เพือหาปริมาณ ของสิงทีวดั ตอ้ งฝึ กใหผ้ เู้ รียนหาคาํ ตอบ ค่า คือ จะวดั อะไร วดั ทาํ ไม ใช้เครื องมืออะไรวดั และจะวัดได้ อยา่ งไร ทกั ษะการจําแนกหรือทักษะการจัดประเภทสิงของ (Classifying) หมายถึง การแบ่งพวก หรือการเรียงลาํ ดบั วตั ถุ หรือสิงทีอยใู่ นปรากฏการณ์ โดยการหาเกณฑ์หรือสร้างเกณฑใ์ นการจาํ แนกประเภท ซงึ อาจใชเ้ กณฑค์ วามเหมือนกนั ความแตกต่างกนั หรือความสัมพนั ธ์กันอย่างใดอยา่ งหนึงก็ได้ ซึงแลว้ แต่ ผเู้ รียนจะเลอื กใชเ้ กณฑ์ใด นอกจากนีควรสรา้ งความคดิ รวบยอดให้เกิดขึนดว้ ยวา่ ของกลมุ่ เดียวกนั นนั อาจแบง่ ออกไดห้ ลายประเภท ทังนีขึนอยกู่ บั เกณฑ์ทีเลอื กใช้ และวตั ถชุ ินหนึงในเวลาเดียวกนั จะตอ้ งอยเู่ พียง ประเภทเดยี วเท่านัน ทกั ษะการใช้ความสัมพนั ธ์ระหว่างสเปซกับเวลา (Using Space/Relationship) หมายถงึ การหาความสัมพนั ธ์ระหวา่ งมิติตา่ งๆ ทีเกียวกบั สถานที รูปทรง ทิศทาง ระยะทาง พนื ที เวลา ฯลฯ เช่น การหาความสมั พนั ธ์ระหว่าง สเปซกับสเปซ คือ การหารูปร่างของวตั ถุ โดยสงั เกตจากเงาของวตั ถุ เมือให้แสงตกกระทบวตั ถุในมุมต่างๆกนั ฯลฯ การหาความสัมพนั ธร์ ะหวา่ ง เวลากบั เวลา เช่น การหาความสัมพนั ธ์ระหว่างจังหวะการแกว่งของ ลูกตุม้ นาฬิกากบั จงั หวะการเตน้ ของชีพจร ฯลฯ การหาความสมั พนั ธ์ระหว่าง สเปซกบั เวลา เช่น การหาตาํ แหน่งของวตั ถุทีเคลือนทีไปเมือเวลา เปลียนไป ฯลฯ ทักษะการคาํ นวณและการใช้จํานวน (Using Numbers) หมายถึง การนาํ เอาจาํ นวนทีได้ จากการวดั การสงั เกต และการทดลองมาจดั กระทาํ ให้เกดิ ค่าใหม่ เช่น การบวก ลบ คูณ หาร การหาค่าเฉลีย การหาค่าต่างๆ ทางคณิตศาสตร์ เพอื นาํ ค่าทีไดจ้ ากการคาํ นวณ ไปใชป้ ระโยชน์ในการแปลความหมาย และ การลงขอ้ สรุป ซึงในทางวิทยาศาสตร์เราตอ้ งใชต้ วั เลขอยู่ตลอดเวลา เชน่ การอา่ นเทอร์โมมิเตอร์ การตวงสาร ต่าง ๆ เป็นตน้

4 ทักษะการจดั กระทาํ และสือความหมายข้อมูล (Communication) หมายถึงการนําเอาขอ้ มลู ซึงได้มาจากการสังเกต การทดลอง ฯลฯ มาจดั กระทาํ เสียใหม่ เช่น นํามาจัด เรียงลาํ ดับ หาค่าความถี แยกประเภท คาํ นวณหาค่าใหม่ นาํ มาจดั เสนอในรูปแบบใหม่ ตวั อยา่ งเช่น กราฟ ตาราง แผนภมู ิ แผนภาพ วงจร ฯลฯ การนาํ ขอ้ มูลอย่างใดอย่างหนึง หรือหลาย ๆ อยา่ งเช่นนีเรียกว่า การสือ ความหมายขอ้ มลู ทักษะการลงความเห็นจากข้อมูล (Inferring) หมายถึง การเพิมเติมความคิดเห็นให้กบั ขอ้ มูลทมี ีอย่อู ย่างมเี หตผุ ลโดยอาศยั ความรู้หรือประสบการณ์เดิมมาช่วย ขอ้ มูลอาจจะไดจ้ ากการสังเกต การวดั การทดลอง การลงความเห็นจากขอ้ มูลเดียวกนั อาจลงความเหน็ ไดห้ ลายอยา่ ง ทักษะการพยากรณ์ (Predicting) หมายถึง การคาดคะเนหาคาํ ตอบล่วงหน้าก่อนการ ทดลองโดยอาศยั ขอ้ มูลทีไดจ้ ากการสังเกต การวดั รวมไปถงึ ความสัมพนั ธร์ ะหว่างตวั แปรทีได้ศึกษามาแลว้ หรืออาศยั ประสบการณท์ ีเกิดซาํ ๆ ทกั ษะการตังสมมตุ ฐิ าน (Formulating Hypothesis) หมายถงึ การคิดหาค่าคาํ ตอบลว่ งหนา้ ก่อนจะทาํ การทดลอง โดยอาศยั การสงั เกต ความรู้ ประสบการณ์เดิมเป็นพืนฐาน คาํ ตอบทีคิดล่วงหน้ายงั ไม่ เป็ นหลกั การ กฎ หรือทฤษฎีมาก่อน คาํ ตอบทีคิดไวล้ ่วงหนา้ นี มกั กล่าวไวเ้ ป็นขอ้ ความทีบอกความสมั พนั ธ์ ระหว่างตวั แปรต้นกบั ตวั แปรตามเช่น ถา้ แมลงวนั ไปไข่บนก้อนเนือ หรือขยะเปี ยกแลว้ จะทําให้เกิดตวั หนอน ทักษะการควบคุมตัวแปร (Controlling Variables) หมายถงึ การควบคุมสิงอนื ๆ นอกเหนือจากตวั แปรอสิ ระ ทีจะทาํ ใหผ้ ลการทดลองคลาดเคลือน ถ้าหากว่าไม่ควบคุมใหเ้ หมือน ๆ กัน และเป็นการป้ องกนั เพอื มิใหม้ ีขอ้ โตแ้ ยง้ ขอ้ ผิดพลาดหรือตดั ความไม่น่าเชอื ถอื ออกไป ตวั แปรแบง่ ออกเป็น ประเภท คอื 1.￿ ตวั แปรอสิ ระหรือตวั แปรตน้ 2.￿ ตวั แปรตาม 3.￿ ตวั แปรทีตอ้ งควบคุม ทักษะการตีความและลงข้อสรุป (Interpreting data) ข้อมูลทางวิทยาศาสตร์ ส่วนใหญ่จะอย่ใู นรูปของลกั ษณะตาราง รูปภาพ กราฟ ฯลฯ การนําขอ้ มลู ไปใชจ้ ึงจาํ เป็ นตอ้ งตคี วามใหส้ ะดวกทีจะสือความหมายไดถ้ กู ตอ้ งและเขา้ ใจตรงกนั การตีความหมายข้อมลู คือ การบรรยายลกั ษณะและคุณสมบตั ิ การลงข้อสรุป คือ การบอกความสมั พนั ธ์ของขอ้ มูลทีมีอยู่ เช่น ถา้ ความดนั น้อย นาํ จะเดือด ทีอุณหภมู ิตาํ หรือนาํ จะเดือดเร็ว ถา้ ความดนั มากนาํ จะเดือดทีอุณหภมู ิสูงหรือนาํ จะเดือดชา้ ลง ทักษะการกําหนดนิยามเชิงปฏบิ ัตกิ าร (Defining Operationally) หมายถึง การกาํ หนด ความหมาย และขอบเขตของคาํ ต่าง ๆ ทีมอี ยู่ในสมมติฐานทีจะทดลองใหม้ ีความรัดกุม เป็ นทีเข้าใจตรงกนั

5 และสามารถสังเกตและวดั ได้ เช่น “ การเจริญเติบโต ” หมายความว่าอย่างไร ต้องกาํ หนดนิยามใหช้ ัดเจน เช่น การเจริญเติบโตหมายถึง มคี วามสูงเพิมขึน เป็นตน้ ทกั ษะการทดลอง ( Experimenting ) หมายถึง กระบวนการปฏบิ ตั ิการโดยใชท้ กั ษะต่าง ๆ เช่น การสงั เกต การวดั การพยากรณ์ การตงั สมมตุ ิฐาน ฯลฯ มาใชร้ ่วมกนั เพอื หาคาํ ตอบ หรือทดลอง สมมุติฐานทตี งั ไว้ ซึงประกอบดว้ ยกจิ กรรม ขนั ตอน 1.￿ การออกแบบการทดลอง 2.￿ การปฏบิ ตั กิ ารทดลอง 3.￿ การบนั ทึกผลการทดลอง การใชก้ ระบวนการวิทยาศาสตร์ แสวงหาความรู้ หรือแก้ปัญหาอย่างสมาํ เสมอ ช่วยพฒั นา ความคิดสรา้ งสรรคท์ างวทิ ยาศาสตร์ เกิดผลผลติ หรือผลติ ภัณฑ์ทางวิทยาศาสตร์ เกิดผลผลิตหรือผลิตภัณฑ์ ทางวทิ ยาศาสตร์ ทแี ปลกใหม่ และมีคุณคา่ ตอ่ การดาํ รงชีวิตของมนุษยม์ ากขึน คุณลักษณะของบุคคลทมี ีจิตวทิ ยาศาสตร์ ลักษณะ 1. เป็นคนทีมีเหตผุ ล 1) จะตอ้ งเป็นคนทียอมรับ และเชือในความสาํ คญั ของเหตผุ ล 2) ไม่เชือโชคลาง คาํ ทาํ นาย หรือสิงศกั ดิสิทธติ ่าง ๆ 3) คน้ หาสาเหตขุ องปัญหาหรือเหตุการณ์และหาความสัมพนั ธข์ องสาเหตุกบั ผลทีเกดิ ขนึ 4) ตอ้ งเป็นบุคคลทีสนใจปรากฏการณ์ต่าง ๆ ทีเกิดขึน และจะต้องเป็ นบุคคลทีพยายาม คน้ หาคาํ ตอบวา่ ปรากฏการณ์ต่าง ๆ นันเกิดขึนไดอ้ ยา่ งไร และทาํ ไมจึงเกิดเหตุการณ์ เช่นนนั 2. เป็นคนทีมีความอยากรูอ้ ยากเห็น 1) มีความพยายามทีจะเสาะแสวงหาความรู้ในสถานการณ์ใหม่ ๆ อยูเ่ สมอ 2) ตระหนกั ถึงความสาํ คญั ของการแสวงหาขอ้ มูลเพมิ เติมเสมอ 3) จะตอ้ งเป็นบุคคลทีชอบซกั ถาม คน้ หาความรู้โดยวธิ ีการต่าง ๆ อยู่เสมอ 3. เป็นบุคคลทีมใี จกวา้ ง 1) เป็นบคุ คลทกี ลา้ ยอมรับการวิพากษ์วิจารณจ์ ากบุคคลอืน 2) เป็นบคุ คลทีจะรับรู้และยอมรับความคิดเห็นใหม่ ๆ อยูเ่ สมอ 3) เป็นบุคคลทเี ต็มใจทจี ะเผยแพร่ความรู้และความคิดใหแ้ ก่บุคคลอืน 4) ตระหนกั และยอมรับขอ้ จาํ กดั ของความรู้ทีคน้ พบในปัจจุบนั 4. เป็นบุคคลทีมคี วามซอื สตั ย์ และมีใจเป็ นกลาง 1) เป็ นบคุ คลทมี คี วามซือตรง อดทน ยุติธรรม และละเอียดรอบคอบ 2) เป็ นบคุ คลทีมีความมนั คง หนักแน่นต่อผลทีไดจ้ ากการพิสูจน์ 3) สังเกตและบนั ทึกผลต่าง ๆ อย่างตรงไปตรงมา ไม่ลาํ เอียง หรือมีอคติ

6 5. มีความเพยี รพยายาม 1) ทาํ กิจกรรมทีไดร้ ับมอบหมายใหเ้ สร็จสมบรู ณ์ 2) ไมท่ อ้ ถอยเมือผลการทดลองลม้ เหลว หรือมอี ปุ สรรค 3) มีความตงั ใจแน่วแน่ต่อการคน้ หาความรู้ 6. มคี วามละเอยี ดรอบคอบ ) รู้จกั ใชว้ ิจารณญาณก่อนทีจะตดั สินใจใด ๆ ) ไม่ยอมรับสิงหนึงสิงใดจนกว่าจะมกี ารพสิ ูจน์ทีเชอื ถือได้ ) หลกี เลยี งการตดั สินใจ และการสรุปผลทียงั ไมม่ กี ารวิเคราะหแ์ ลว้ เป็นอย่างดี เรอื งที กระบวนการทางวทิ ยาศาสตร์ การดาํ เนินการเรืองใดเรืองหนึงจะตอ้ งมีการกาํ หนดขนั ตอน อยา่ งเป็ นลาํ ดบั ตงั แต่ตน้ จนแลว้ เสร็จ ตามจุดประสงคท์ ีกาํ หนด กระบวนการทางวิทยาศาสตร์ จึงเป็ นแนวทางการดาํ เนินการ โดยใชท้ กั ษะวิทยาศาสตร์มาใชใ้ น การจดั การ ซึงมีลาํ ดบั ขนั ตอน ขนั ตอน ดงั นี 1.￿ การกาํ หนดปัญหา 2.￿ การตงั สมมติฐาน 3.￿ การทดลองและรวบรวมขอ้ มลู 4.￿ การวิเคราะห์ขอ้ มูล 5.￿ การสรุปผล ขันตอนที การกาํ หนดปัญหา เป็นการกําหนดหัวเรืองทีจะศกึ ษาหรือปฏิบัติการแก้ปัญหาเป็ น ปัญหาทไี ดม้ าจากการสังเกต จากขอ้ สงสัยในปรากฏการณ์ต่าง ๆ ทีพบเห็น เช่น ทาํ ไมตน้ ไมท้ ีปลูกไว้ ใบเหียวเฉา ปัญหามีหนอนมาเจาะกงิ มะม่วงแกไ้ ขไดอ้ ยา่ งไร ปลากดั ขยายพนั ธุ์ไดอ้ ยา่ งไร ตวั อย่างการกาํ หนดปัญหา ป่ าไมห้ ลายแห่งถกู ทาํ ลายอยใู่ นสภาพทีไม่สมดุล หนา้ ดินเกิดการพงั ทลาย ไม่มตี ้นไม้ หรือวชั พืช หญา้ ปกคลมุ ดิน เมอื ฝนตกลงมานาํ ฝนจะกดั เซาะหน้าดินไปกบั กระแสนําแต่บริเวณพืนทีมีวชั พืชและหญ้า ปกคลมุ ดนิ จะช่วยดดู ซบั นาํ ฝนและลดอตั ราการไหลของนาํ ดงั นนั ผดู้ าํ เนินการจงึ สนใจอยากทราบว่า อตั รา การไหลของนาํ จะขึนอย่กู บั สิงทีช่วยดูดซบั นาํ หรือไม่ โดยทดลองใชแ้ ผน่ ใยขดั เพอื ทดสอบอตั รา การไหล ของนาํ จงึ จดั ทาํ โครงงาน การทดลอง การลดอตั ราไหลของนาํ โดยใชแ้ ผ่นใยขดั ขันตอนที การตงั สมมติฐานและการกาํ หนดตวั แปรเป็ นการคาดคะเนคาํ ตอบของปัญหาใดปัญหา หนึงอยา่ งมีเหตุผล โดยอาศยั ขอ้ มูลจากการสงั เกต การศกึ ษาจากเอกสารทีเกียวขอ้ ง การพบผรู้ ู้

7 ในเรืองนนั ๆ ฯลฯ และกาํ หนดตวั แปรทเี กียวขอ้ งกบั การทดลอง ได้แก่ ตวั แปรตน้ ตัวแปรตาม ตัวแปร ควบคุม ตวั อย่าง สมมติฐาน แผน่ ใยขดั ช่วยลดอตั ราการไหลของนาํ (ทาํ ใหน้ าํ ไหลชา้ ลง) ตวั แปร ตวั แปรตน้ คือ แผ่นใยขดั ตวั แปรตาม คือ ปริมาณนาํ ทีไหล ตวั แปรควบคุม คือ ปริมาณนาํ ทีเทหรือรด ขันตอนที การทดลองและรวบรวมขอ้ มลู เป็นการปฏิบตั ิการทดลองคน้ หาความจริงให้สอดคลอ้ ง กบั สมมติฐานทีตงั ไวใ้ นขนั ตอนการตงั สมมติฐาน (ขนั ตอนที ) และรวบรวมข้อมูลจากการทดลองหรือ ปฏบิ ตั ิการนนั อย่างเป็นระบบ ตวั อย่าง การออกแบบการทดลอง วสั ดุอปุ กรณ์ จดั เตรียมวสั ดอุ ปุ กรณ์ โดยจดั เตรียม กระบะ จาํ นวน กระบะ -￿ ทรายสาํ หรบั ใส่กระบะทงั ให้มีปริมาณเท่า ๆ กนั -￿ กิงไมจ้ าํ ลอง สาํ หรับปักในกระบะทงั จาํ นวนเท่า ๆ กนั -￿ แผ่นใยขดั สาํ หรับปบู นพนื ทรายกระบะใดกระบะหนึง -￿ นาํ สาํ หรับเทลงในกระบะทงั กระบะปริมาณเทา่ ๆ กนั ขันตอนที การวิเคราะหข์ อ้ มูลและทดสอบสมมติฐานเป็ นการนาํ ขอ้ มูลทีรวบรวมไดจ้ ากขนั ตอน การทดลองและรวบรวมขอ้ มูล (ขนั ตอนที ) มาวิเคราะห์หาความสัมพนั ธข์ องข้อเท็จจริงต่าง ๆ เพอื นํามา อธิบายและตรวจสอบกบั สมมติฐานทีตังไวใ้ นขนั ตอนการตงั สมมติฐาน (ขนั ตอนที ) ถา้ ผลการวเิ คราะห์ ไมส่ อดคลอ้ งกบั สมมติฐาน สรุปได้ว่าสมมติฐานนนั ไม่ถกู ตอ้ ง ถา้ ผลวเิ คราะหส์ อดคลอ้ งกบั สมมติฐาน ตรวจสอบหลายครังไดผ้ ลเหมือนเดิมก็สรุปได้ว่าสมมติฐานและการทดลองนนั เป็ นจริง สามารถนาํ ไป อา้ งองิ หรือเป็นทฤษฎีต่อไปนี ตัวอย่าง วิธีการทดลอง นาํ ทรายใส่กระบะทงั ใหม้ ปี ริมาณเท่า ๆ กนั ทาํ เป็นพืนลาดเอียง กระบะที วางแผ่นใยขดั ในกระบะทรายแลว้ ปักกิงไมจ้ าํ ลอง กระบะที ปักกิงไมจ้ าํ ลองโดยไมม่ ีแผ่นใยขดั ทดลองเทนาํ จากฝกั บวั ทีมปี ริมาณนาํ เท่า ๆ กนั พร้อม ๆ กนั ทงั กระบะ การทดลอง ควรทดลองมากกวา่ ครัง เพอื ให้ไดผ้ ลการทดลองทีมคี วามน่าเชอื ถือ

8 ผลการทดลอง กระบะที (มีแผ่นใยขดั ) นาํ ทีไหลลงมาในกระบะ จะไหลอย่างชา้ ๆ เหลือปริมาณน้อย พืนทราย ไม่พงั กิงไมจ้ าํ ลองไมล่ ม้ กระบะที (ไม่มีแผน่ ใยขดั ) นาํ ทีไหลลงสู่พนื กระบะจะไหลอยา่ งรวดเร็ว พร้อมพดั พาเอากิงไม้ จาํ ลองมาดว้ ย พืนทรายพงั ทลายจาํ นวนมาก ขันตอนที การสรุปผล เป็ นการสรุ ปผลการศึกษา การทดลอง หรือการปฏิบตั ิการนัน ๆ โดยอาศยั ขอ้ มลู และการวิเคราะห์ขอ้ มูลจากขนั ตอนการวิเคราะห์ขอ้ มูล (ขนั ตอนที ) เป็นหลกั สรุปผลการทดลอง จากการทดลองสรุปไดว้ ่าแผน่ ใยขดั มีผลต่อการไหลของนาํ ทาํ ให้นาํ ไหลไดอ้ ยา่ งชา้ ลง รวมทงั ช่วย ให้กงิ ไมจ้ าํ ลองยดึ ติดกบั ทรายในกระบะได้ ซึงตา่ งจากกระบะทีมีแผน่ ใยขัดทีนําไหลอย่างรวดเร็ว และพดั เอากิงไมแ้ ละทรายลงไปดว้ ย เมือดาํ เนินการเสร็จสิน ขนั ตอนนีแลว้ ผดู้ าํ เนินการตอ้ งจดั ทาํ เป็นเอกสารรายงานการศกึ ษา การทดลองหรือการปฏิบตั ิการนนั เพอื เผยแพร่ต่อไป เทคโนโลยี และการนําเทคโนโลยไี ปใช้ เทคโนโลยี เทคโนโลยี (Technology) หมายถึง ความรู้ วิชาการรวมกับความรู้วิธีการและความชํานาญ ทีสามารถนาํ ไปปฏบิ ตั ิให้เกิดประโยชน์สงู สุด สนองความตอ้ งการของมนุษยเ์ ป็นสงิ ทีมนุษยพ์ ฒั นาขึน เพือช่วยในการทาํ งานหรือแกป้ ัญหาต่าง ๆ เช่น อปุ กรณ์, เครืองมือ, เครืองจกั ร, วสั ดุ หรือ แมก้ ระทงั ทีไมไ่ ด้ เป็ นสิงของทีจบั ตอ้ งได้ เช่น ระบบหรือกระบวนการต่าง ๆ เทคโนโลยี มีความสัมพนั ธก์ บั การดาํ รงชีวิต ของมนุษยม์ าเป็นเวลานาน เป็นสิงทีมนุษยใ์ ช้แก้ปัญหาพืนฐาน ในการดาํ รงชีวิต เช่น การเพาะปลูก ทีอยู่ อาศยั เครืองนุ่งห่ม ยารักษาโรค ในระยะแรกเทคโนโลยีทีนาํ มาใช้ เป็ น เทคโนโลยีพืนฐานไม่สลบั ซับซอ้ น เหมือนดงั ปัจจุบัน การเพิมของประชากร และขอ้ จาํ กดั ดา้ นทรัพยากรธรรมชาติ รวมทังมีการพัฒนา ความสมั พนั ธ์กบั ต่างประเทศเป็ นปัจจยั ดา้ นเหตุสาํ คญั ในการนาํ และพฒั นาเทคโนโลยีมาใชม้ ากขึน เทคโนโลยีในการประกอบอาชีพ . เทคโนโลยีกบั การพฒั นาอุตสาหกรรม การนาํ เทคโนโลยีมาใชใ้ นการผลิต ทาํ ให้ประสิทธภิ าพ ในการผลิตเพิมขึน ประหยดั แรงงาน ลดตน้ ทุนและ รักษาสภาพแวดลอ้ ม เทคโนโลยีทีมีบทบาทในการ พฒั นาอตุ สาหกรรมในประเทศไทย เช่น คอมพิวเตอร์ และอิเล็กทรอนิกส์ การสือสาร เทคโนโลยีชีวภาพ และพนั ธุกรรม วิศวกรรม เทคโนโลยเี ลเซอร์ การสือสาร การแพทย์ เทคโนโลยพี ลงั งาน เทคโนโลยีวสั ดุ- ศาสตร์ เช่น พลาสติก แกว้ วสั ดกุ ่อสร้าง โลหะ . เทคโนโลยีกบั การพฒั นาดา้ นการเกษตร ใชเ้ ทคโนโลยีในการเพิมผลผลิต ปรับปรุงพนั ธุ์ เป็ นต้น เทคโนโลยีมบี ทบาทในการพฒั นาอยา่ งมาก แต่ทงั นีการนาํ เทคโนโลยมี าใชใ้ นการพฒั นาจะตอ้ งศกึ ษาปัจจยั

9 แวดลอ้ มหลายดา้ น เช่น ทรัพยากรสิงแวดลอ้ ม ความเสมอภาคในโอกาสการแขง่ ขนั ทางเศรษฐกิจและสังคม เพือให้เกิดความ ผสมกลมกลืนต่อการพฒั นาประเทศชาติและส่วนอืน ๆ อีกมาก เทคโนโลยที ีใช้ในชีวิตประจําวัน การนาํ เทคโนโลยีมาใชใ้ นชีวิตประจาํ วันของมนุษย์มีมากมาย เนืองจากการไดร้ ับการพฒั นา ทางด้านเทคโนโลยกี นั อย่างกวา้ งขวาง เช่น การส่งจดหมายผ่านทางอินเตอร์เน็ต การหาความรู้ผ่าน อินเตอร์เน็ต การพูดคุยและแลกเปลียนความคิดเห็นกัน การอ่านหนังสือผา่ นอินเตอร์เน็ต ลว้ นแต่เป็ น เทคโนโลยีทีมคี วามก้าวหน้าอยา่ งรวดเร็ว เป็ นการประหยดั เวลาและสามารถหาความรู้ต่าง ๆ ได้รวดเร็ว ยงิ ขึน เทคโนโลยกี อ่ เกิดผลกระทบต่อสังคมและในพืนทีทีมีเทคโนโลยีเขา้ ไปเกียวข้องในหลายรูปแบบ เทคโนโลยไี ดช้ ่วยให้สังคมหลาย ๆ แห่งเกิดการพัฒนาทางเศรษฐกิจมากขึนซึงรวมทงั เศรษฐกิจโลก ในปัจจุบัน ในหลาย ๆ ขนั ตอนของการผลิตโดยใช้เทคโนโลยไี ดก้ ่อใหผ้ ลผลติ ทีไมต่ ้องการ หรือเรียกว่า มลภาวะ เกิดการสูญเสียทรัพยากรธรรมชาติและเป็ นการทาํ ลายสิงแวดลอ้ ม เทคโนโลยหี ลาย ๆ อย่างทีถกู นาํ มาใชม้ ผี ลต่อค่านิยม และวฒั นธรรมของสังคม เมอื มีเทคโนโลยใี หม่ ๆ เกิดขึนก็มกั จะถูกตงั คาํ ถาม ทางจริยธรรม เทคโนโลยีทเี หมาะสม คาํ ว่าเทคโนโลยีทีเหมาะสม หมายความถงึ เหมาะสมต่อสภาพเศรษฐกิจ สงั คม และความต้องการ ของประเทศ เทคโนโลยีบางเรืองเหมาะสมกบั บางประเทศ ทงั นีขึนอยู่กบั สภาวะของแต่ละประเทศ . ความจาํ เป็นทีนาํ เทคโนโลยีมาใชใ้ นประเทศไทย ประชาชนส่วนใหญ่เป็ นเกษตรกร รายไดจ้ าก ผลผลิตทางการเกษตรมีมากกว่ารายไดอ้ ย่างอนื และประมาณร้อยละ 80 ของประชากรอาศยั อยู่ในชนบท ดงั นนั การนําเทคโนโลยมี าใชจ้ ึงเป็ นเรืองจาํ เป็น โดยเฉพาะอย่างยงิ เทคโนโลยที างการเกษตร สินค้าทาง การเกษตร ส่วนใหญ่ส่งออกจาํ หน่ายต่างประเทศในลกั ษณะวตั ถุดิบ เชน่ การขายเมล็ดโกโก้ให้ต่างประเทศ แลว้ นําไปผลติ เป็ นช็อกโกแลต หากตงั โรงงานในประเทศไทยต้องใช้เทคโนโลยีเข้ามามีบทบาทในการ พฒั นาการแปรรูป 2. เทคโนโลยีทีเหมาะสม มีผูร้ ู้หลายท่านได้ตีความหมายของคาํ ว่า “เหมาะสม” ว่าเหมาะสมกับ อะไรต่อเศรษฐกิจระยะเวลาหรือระดับเทคโนโลยที ีเหมาะสม คือ เทคโนโลยีทีสามารถนาํ มาใช้ให้เกิด ประโยชน์ตอ่ การดาํ เนินกิจการตา่ ง ๆ และสอดคลอ้ งกบั ความรู้ ความสามารถ ประสบการณ์ สภาพแวดลอ้ ม วฒั นธรรมสิงแวดลอ้ ม และกาํ ลงั เศรษฐกจิ ของคนทวั ไป เทคโนโลยีทีเกียวข้อง ได้แก่ 1. การตดั ต่อยีน (genetic engineering) เทคโนโลยดี ีเอ็นเอสายผสม (recombinant DNA) และ เทคโนโลยโี มเลกลุ เครืองหมาย (molecular markers) 2. การเพาะเลยี งเซลล์ และการเพาะเลียงเนือเยือ (cell and tissue culturing) พชื และสัตว์ 3. การใชป้ ระโยชน์จุลินทรียบ์ างชนิดหรือใชป้ ระโยชนจ์ ากเอนไซมข์ องจุลนิ ทรีย์

10 เทคโนโลยชี ีวภาพทางการเกษตร ไดแ้ ก่การพฒั นาการเกษตร ดา้ นพืช และสตั ว์ ดว้ ยเทคโนโลยชี ีวภาพ . การปรับปรุงพนั ธุ์พืชและการผลติ พืชพนั ธุใ์ หม่ (crop lmprovement) เช่น พชื ไร่ พชื ผกั ไมด้ อก . การผลิตพืชพนั ธุด์ ีให้ไดป้ ริมาณมาก ๆ ในระยะเวลาอนั สนั (micropropaagation) . การผสมพนั ธุส์ ัตวแ์ ละการปรับปรุงพนั ธุ์สัตว์ (breeding and upggrading of livestocks) 4. การควบคมุ ศตั รูพืชโดยชีววธิ ี (biological pest control) และจลุ ินทรียท์ ีช่วยรักษาสภาพแวดลอ้ ม 5. การปรับปรุงขบวนการการผลติ อาหารให้มีประสิทธิภาพและมีความปลอดภยั ต่อผบู้ ริโภค 6. การริเริมคน้ ควา้ หาทรัพยากรธรรมชาติมาใชป้ ระโยชน์ (search for utilization of unused resources) และการสร้างทรัพยากรใหม่ เรอื งที วัสดุและอุปกรณ์ทางวทิ ยาศาสตร์ อุปกรณ์ทางวทิ ยาศาสตร์ คือ เครืองมือทีให้ทงั ภายในและภายนอกห้องปฏิบัติการเพือใช้ทดลอง และหาคาํ ตอบต่าง ๆ ทางวทิ ยาศาสตร์ ประเภทของเครืองมอื ทางวิทยาศาสตร์ . ประเภททวั ไป เชน่ บีกเกอร์ หลอดทดสอบ ไพเพท บิวเรต กระบอกตวง หลอดหยดสาร แทง่ แกว้ คนสาร ซึงอุปกรณ์เหล่านีผลิตขนึ จากวสั ดุทีเป็นแกว้ เนืองจากป้ องกันการทาํ ปฏิกิริยากับสารเคมี นอกจากนียงั มี เครืองชงั แบบต่าง ๆ กลอ้ งจุลทรรศน์ ตะเกยี งแอลกอฮอล์ เป็ นต้น ซึงอปุ กรณ์เหล่านีมีวิธีใช้ งานทีแตกต่างกนั ออกไป ตามลกั ษณะของงาน 2. ประเภทเครืองมอื ชา่ ง เป็ นอุปกรณ์ทีใชไ้ ดท้ งั ภายในหอ้ งปฏบิ ตั ิการ และภายนอกห้องปฏิบัติการ เช่น เวอร์เนีย คีม และแปรง เป็นตน้ 3. ประเภทสินเปลอื ง และสารเคมี เป็นอุปกรณ์ทางวทิ ยาศาสตร์ทีใชแ้ ลว้ หมดไปไม่สามารถ นาํ กลบั มาใชไ้ ดอ้ กี เช่น กระดาษกรอง กระดาษลติ มสั และสารเคมี การใช้อุปกรณ์ทางวทิ ยาศาสตร์ประเภทต่าง ๆ 1. การใช้งานอปุ กรณ์วิทยาศาสตร์ประเภททวั ไป บีกเกอร์(BEAKER) บีกเกอร์มีหลายขนาดและมีความจุต่างกนั โดยทีขา้ งบีกเกอร์จะมีตัวเลขระบุความจุของบีกเกอร์ ทาํ ให้ผใู้ ชส้ ามารถทราบปริมาตรของของเหลวทีบรรจุอยไู่ ดอ้ ยา่ งคร่าว ๆ และบีกเกอร์มคี วามจุตงั แต่ 5 มิลลิลิตรจนถึงหลาย ๆ ลติ ร อีกทังเป็นแบบสูง แบบเตยี และแบบรูปทรงกรวย (conical beaker) บีกเกอร์ จะมปี ากงอเหมอื นปากนกซึงเรียกวา่ spout ทาํ ให้การเทของเหลวออกไดโ้ ดยสะดวก spout ทาํ ใหส้ ะดวก ในการวางไมแ้ กว้ ซึงยนื ออกมาจากฝาทีปิ ดบกี เกอร์ และ spout ยงั เป็ นทางออกของไอนาํ หรือแกส๊ เมือทาํ การ ระเหยของเหลวในบกี เกอร์ทีปิ ดดว้ ยกระจกนาฬกิ า (watch grass)

11 การเลือกขนาดของบีกเกอร์เพือใส่ของเหลวนันขึนอยกู่ บั ปริมาณของเหลวทีจะใส่ โดยปกติให้ ระดบั ของเหลวอยูต่ าํ กว่าปากบีกเกอร์ประมาณ 1 - 1 ½ นิว ประโยชน์ของบกี เกอร์ 1. ใชส้ าํ หรบั ตม้ สารละลายทีมีปริมาณมาก ๆ 2. ใชส้ าํ หรับเตรียมสารละลายต่าง ๆ 3. ใชส้ าํ หรับตกตะกอนและใชร้ ะเหยของเหลวทีมีฤทธิกรดนอ้ ย หลอดทดสอบ ( TEST TUBE ) หลอดทดสอบมีหลายชนิดและหลายขนาด ชนิดทีมีปากและไม่มีปาก ชนิดธรรมดาและชนิดทนไฟ ขนาดของหลอดทดสอบระบุได้ 2 แบบ คือ ความยาวกบั เสน้ ผ่าศูนยก์ ลางริมนอกหรือขนาดความจุเป็ น ปริมาตร ดงั แสดงในตารางต่อไปนี ความยาว * เส้นผ่าศูนย์กลางริมนอก ความจุ (มลิ ลลิ ิตร) (มลิ ลลิ ิตร) 75 * 11 4 100 * 12 8 120 * 15 14 120 * 18 18 150 * 16 20 150 * 18 27 หลอดทดสอบส่วนมากใช้สาํ หรับทดลองปฏิกิริยาเคมีระหว่างสารต่าง ๆ ทีเป็ นสารละลาย ใชต้ ม้ ของเหลวทีมปี ริมาตรน้อย ๆ โดยมี test tube holder จบั กนั รอ้ นมือ หลอดทดสอบแบบทนไฟจะมขี นาดใหญ่ และหนากว่าหลอดธรรมดา ใชส้ าํ หรับเผาสารต่าง ๆ ด้วย เปลวไฟโดยตรงในอุณหภูมิทีสูง หลอดชนิดนีไมค่ วรนําไปใชส้ ําหรับทดลองปฏกิ ิริยาเคมีระหว่างสาร เหมอื นหลอดธรรมดา ไพเพท (PIPETTE) ไพเพทเป็นอุปกรณท์ ใี ชใ้ นการวดั ปริมาตรไดอ้ ย่างใกลเ้ คียง มีอยู่หลายชนิด แต่โดยทัวไปทีมีใช้อยู่ ในห้องปฏิบัติการมีอยู่ 2 แบบ คือ Volumetric pipette หรือ Transfer pipette และ Measuring pipette Transfer pipette ซึงใชใ้ นการวดั ปริมาตรไดเ้ พียงค่าเดียว คือถา้ หาก Transfer pipette จุ 25 มล. ก็จะวดั

12 ปริมาตรของของเหลวไดเ้ ฉพาะ 25 มล. เท่านัน Transfer pipette มหี ลายขนาดตงั แต่ 1 มล. ถึง 100 มล. ถึงแม้ ไพเพทชนิดนีจะใชว้ ดั ปริมาตรไดอ้ ย่างใกลเ้ คียงความจริงกต็ าม แตก่ ็ยงั มีขอ้ ผดิ พลาดซึงขึนอยู่กบั ขนาดของ ไพเพท เช่น Transfer pipette ขนาด 10 มล. มีความผิดพลาด 0.2% Transfer pipette ขนาด 30 มล. มีความผิดพลาด 0.1% Transfer pipette ขนาด 50 มล. มีความผิดพลาด 0.1% Transfer pipette ใชส้ าํ หรับส่งผ่านของสารละลาย ทีมีปริมาตรตามขนาดของไพเพท เมือปล่อยสารละลาย ออกจากไพเพทแลว้ ห้ามเป่ าสารละลายทีตกคา้ งอยูท่ ีปลายของไพเพท แต่ควรแตะปลายไพเพทกบั ข้าง ภาชนะเหนือระดับสารละลายภายในภาชนะนนั ประมาณ 30 วินาที เพือใหส้ ารละลายทีอยู่ข้างในไพเพท ไหลออกมาอีก ไพเพทชนิดนีใชไ้ ดง้ ่ายและเร็วกวา่ บิวเรท Measuring pipette หรือ Graduated pipette (บางที เรียกว่า Mohr pipette) จะมีขีดบอกปริมาตรตา่ ง ๆ ไว้ ทาํ ใหส้ ามารถใชไ้ ดอ้ ยา่ งกวา้ งขวาง คือสามารถใชแ้ ทน Transfer pipette ได้ แต่ใชว้ ดั ปริมาตรไดแ้ น่นอนนอ้ ยกว่า Transfer pipette และมีความผิดพลาดมากกว่า เช่น Measuring pipette ขนาด 10 มล. มีความผดิ พลาด 0.3% Measuring pipette ขนาด 30 มล. มีความผิดพลาด 0.3% บวิ เรท (BURETTE) บิวเรทเป็ นอปุ กรณ์วดั ปริมาตรทีมขี ีดบอกปริมาตรต่าง ๆ และมกี ็อกสาํ หรับเปิ ด-ปิ ด เพอื บังคบั การไหลของของเหลว บิวเรทเป็นอุปกรณ์ทีใชใ้ นการวิเคราะห์ มขี นาดตังแต่ 10 มล. จนถงึ 100 มล. บิวเรท สามารถวดั ปริมาตรได้อย่างใกลเ้ คียงความจริงมากทีสุด แต่ก็ยงั มคี วามผดิ พลาดอยเู่ ลก็ น้อย ซึงขึนอยู่กบั ขนาดของบวิ เรท เช่น บิวเรทขนาด 10 มล. มีความผิดพลาด 0.4% บิวเรทขนาด 25 มล. มคี วามผิดพลาด 0.24% บิวเรทขนาด 50 มล. มคี วามผิดพลาด 0.2% บิวเรทขนาด 100 มล. มคี วามผิดพลาด 0.2%

13 เครืองชัง ( BALANCE ) โดยทวั ไปจะมี 2 แบบคือ แบบ triple - beam และ แบบ equal - arm แบบ triple-beam balance เป็ นเครืองชังชนิด Mechanical balance อีกชนิดหนึงทีมีราคาถูกและใชง้ ่าย แต่มีความไวนอ้ ย เครืองชงั ชนิดนีมแี ขนขา้ งขวาอยู่ 3 แขนและในแต่ละแขนจะมีขีดบอกนําหนักไวเ้ ช่น 0 - 1.0 กรัม,0 - 10 กรัม, 0 - 100 กรัม และยงั มีตุม้ นาํ หนักสาํ หรบั เลอื นไปมาไดอ้ กี ดว้ ย แขนทงั 3 นีติดกบั เขม็ ชอี นั เดียวกนั วิธีการใช้เครืองชังแบบ (Triple - beam balance) 1. ตงั เครืองชงั ใหอ้ ยู่ในแนวระนาบ แลว้ ปรับใหแ้ ขนของเครืองชังอยใู่ นแนวระนาบโดยหมุนสกรู ให้เข็มชีตรงขีด 0 2. วางขวดบรรจสุ ารบนจานเครืองชงั แลว้ เลือนตุม้ นําหนกั บนแขนทงั สาม เพอื ปรับให้เข็มชีตรงขีด 0 อา่ นนาํ หนกั บนแขนเครืองชงั จะเป็ นนาํ หนักของขวดบรรจุสาร 3. ถา้ ตอ้ งการชงั สารตามนาํ หนกั ทีตอ้ งการกบ็ วกนาํ หนักของสารกบั นาํ หนักของขวดบรรจุสารทีได้ ในขอ้ 2 แลว้ เลอื นตุม้ นาํ หนักบนแขนทงั 3 ใหต้ รงกบั นาํ หนักทีตอ้ งการ 4. เติมสารทีตอ้ งการชงั ลงในขวดบรรจุสารจนเขม็ ชีตรงขดี 0 พอดี จะไดน้ าํ หนกั ของสาร ตามตอ้ งการ 5. นาํ ขวดบรรจุสารออกจากจานของเครืองชงั แลว้ เลอื นตมุ้ นาํ หนักทุกอนั ใหอ้ ยู่ที 0 ทาํ ความสะอาด เครืองชงั หากมสี ารเคมหี กบนจานหรือรอบๆ เครืองชงั

แบบ equal-arm balance 14 เป็ นเครืองชงั ทีมแี ขน 2 ขา้ งยาวเท่ากนั เมอื วดั ระยะจากจุด หมนุ ซึงเป็ นสันมดี ขณะทีแขนของเครืองชงั อยู่ในสมดุล เมือตอ้ งการหานาํ หนกั ของสารหรือวตั ถุ ใหว้ างสารนนั บนจานดา้ นหนึงของเครืองชงั ตอนนีแขนของเครืองชงั จะไม่อยใู่ นภาวะทีสมดุลจึงตอ้ งใส่ตุม้ นาํ หนกั เพอื ปรับให้ แขนเครืองชงั อยใู่ นสมดุล วิธีการใช้เครืองชังแบบ (Equal - arm balance) 1. จดั ให้เครืองชงั อย่ใู นแนวระดบั ก่อนโดยการปรับสกรูทีขาตงั แลว้ หาสเกลศนู ยข์ องเครืองชงั เมอื ไม่มีวตั ถอุ ยู่บนจาน ปลอ่ ยทีรองจาน แลว้ ปรับให้เขม็ ชีทีเลข 0 บนสเกลศนู ย์ 2. วางขวดบรรจุสารบนจานทางดา้ นซ้ายมอื และวางตุม้ นาํ หนกั บนจานทางขวามือของเครืองชงั โดยใชค้ มี คบี 3. ถา้ เขม็ ชมี าทางซา้ ยของสเกลศนู ยแ์ สดงว่าขวดชงั สารเบากว่าตุม้ นาํ หนกั ตอ้ งยกปุ่มควบคุมคาน ขึน เพอื ตรึงแขนเครืองชงั แลว้ เติมตุ้มนาํ หนกั อกี ถา้ เขม็ ชีมาทางขวาของสเกลศูนยแ์ สดงว่าขวดชงั สารเบา กวา่ ตุม้ นาํ หนัก ตอ้ งยกปุ่มควบคุมคานขึน เพอื ตรึงแขนเครืองชงั แลว้ เอาตุม้ นําหนกั ออก 4. ในกรณีทีตุม้ นาํ หนกั ไม่สามารถทาํ ใหแ้ ขนทงั 2 ข้างอยูใ่ นระนาบได้ ใหเ้ ลือนไรเดอร์ไปมา เพือปรับนาํ หนักทงั สองขา้ งให้เท่ากนั 5. บนั ทึกนาํ หนักทงั หมดทีชงั ได้ 6. นาํ สารออกจากขวดใส่สาร แลว้ ทาํ การชงั นาํ หนักของขวดใส่สาร 7. นาํ หนักของสารสามารถหาไดโ้ ดยนาํ นําหนกั ทีชงั ไดค้ รังแรกลบนาํ หนักทีชงั ไดค้ รังหลงั 8. หลงั จากใชเ้ ครืองชงั เสร็จแลว้ ใหท้ าํ ความสะอาดจาน แลว้ เอาตุม้ นาํ หนักออกและเลือนไรเดอร์ให้ อย่ทู ีตาํ แหน่งศูนย์ 2.การใช้งานอุปกรณ์วิทยาศาสตร์ประเภทเครืองมอื ช่าง เวอร์เนีย (VERNIER ) เป็ นเครืองมอื ทีใชว้ ดั ความยาวของวตั ถทุ งั ภายใน และภายนอกของชินงาน เวอร์เนียคาลิเปอร์ มีลกั ษณะทวั ไป ดงั รูป

15 ส่ วนประกอบของเวอร์ เนยี สเกลหลกั 4 - 5 เป็ นสเกลไมบ้ รรทดั ธรรมดา ซึงเป็นมลิ ลเิ มตร (mm) และนิว (inch) สเกลเวอร์เนีย 6 ซงึ จะเลอื นไปมาไดบ้ นสเกลหลกั ปากวดั 1 ใชห้ นีบวตั ถุทีตอ้ งการวดั ขนาด ปากวดั 2 ใชว้ ดั ขนาดภายในของวตั ถุ แกน 3 ใชว้ ดั ความลึก ปุ่ม 7 ใชก้ ดเลอื นสเกลเวอร์เนียไปบนสเกลหลกั สกรู 8 ใชย้ ดึ สเกลเวอร์เนียใหต้ ิดกบั สเกลหลกั การใช้เวอร์เนยี 1. ตรวจสอบเครืองมือวดั ดังนี 1.1 ใชผ้ า้ เช็ดทาํ ความสะอาด ทุกชนิ ส่วนของเวอร์เนียร์ก่อนใชง้ าน 1.2 คลายลอ็ คสกรู แลว้ ทดลองเลอื นเวอร์เนียสเกลไป - มาเบา ๆ เพอื ตรวจสอบดูว่าสามารถใชง้ าน ไดค้ ลอ่ งตวั หรือไม่ 1.3 ตรวจสอบปากวดั ของเวอร์เนีย โดยเลอื นเวอร์เนียร์สเกลใหป้ ากเวอร์เนียวดั นอกเลือนชิดติดกัน จากนนั ยกเวอร์เนียร์ขึนส่องดวู ่า บริเวณปากเวอร์เนียร์ มแี สงสว่างผา่ นหรือไม่ ถา้ ไม่มแี สดงว่าสามารถใช้ งานไดด้ ี กรณีทแี สงสว่างสามารถลอดผา่ นได้ แสดงวา่ ปากวดั ชาํ รุดไม่ควรนาํ มาใชว้ ดั ขนาด 2. การวดั ขนาดงาน ตามลําดับขันดงั นี 2.1 ทาํ ความสะอาดบริเวณผวิ งานทีตอ้ งการวดั 2.2 เลอื กใชป้ ากวดั งานใหเ้ หมาะสมกับลกั ษณะงานทีต้องการ เช่น ถา้ ตอ้ งการวดั ขนาดภายนอก เลือกใชป้ ากวดั นอก วดั ขนาดดา้ นในชินงานเลอื กใชป้ ากวดั ใน ถา้ ตอ้ งการวดั ขนาดงานทีทีเป็ นช่องเลก็ ๆ ใช้ บริเวณส่วนปลายของปากวดั นอก ซืงมลี กั ษณะเหมอื นคมมดี ทงั 2 ดา้ น 2.3 เลอื นเวอร์เนียร์สเกลใหป้ ากเวอร์เนียร์สมั ผสั ชนิ งาน ควรใชแ้ รงกดให้พอดีถา้ ใช้แรงมากเกินไป จะทาํ ให้ขนาดงานทอี า่ นไม่ถกู ตอ้ งและปากเวอร์เนียร์จะเสียรูปทรง

16 2.4 ขณะวดั งาน สายตาตอ้ งมองตงั ฉากกบั ตาํ แหน่งทีอา่ น แลว้ จึงอา่ นคา่ 3. เมอื เลกิ ปฏิบตั งิ าน ควรทําความสะอาด ชะโลมด้วยนํามนั และเก็บรักษาด้วยความระมัดระวัง ในกรณที ไี ม่ได้ใช้งานนาน ๆ ควรใช้วาสลนี ทาส่วนทจี ะเป็ นสนมิ คมี (TONG) คีมมีอยหู่ ลายชนิด คีมทีใชก้ ับขวดปริมาตรเรียกว่า flask tong คีมทีใช้กบั บีกเกอร์เรียกว่า beaker tong และคมี ทีใชก้ บั เบา้ เคลอื บเรียกว่า crucible tong ซงึ ทาํ ดว้ ยนิเกิลหรือโลหะเจือเหล็กทไี ม่เป็ นสนิม แตอ่ ยา่ นาํ crucible tong ไปใชจ้ บั บกี เกอร์หรือขวดปริมาตรเพราะจะทาํ ให้ลืนตกแตกได้ 3. การใช้งานอปุ กรณ์วทิ ยาศาสตร์ประเภทสินเปลอื งและสารเคมี กระดาษกรอง (FILTER PAPER) เป็ นกระดาษทีกรองสารทีอนุภาคใหญ่ออกจากของเหลว ซึงมี ขนาดของอนุภาคทีเล็กกว่า กระดาษลิตมัส (LITMUS) เป็ นกระดาษทีใชท้ ดสอบสมบัติความเป็ นกรด - เบสของของเหลว กระดาษลิตมัสมีสองสีคือสีแดงหรือสีชมพู และสีนําเงินหรือสีฟ้ า วิธีใช้คือการสัมผสั ของเหลวลงบน กระดาษ ถา้ หากของเหลวมสี ภาพเป็นกรด (pH < . ) กระดาษจะเปลยี นจากสีนาํ เงินเป็ นสีแดง และในทาง กลบั กนั ถา้ ของเหลวมสี ภาพเป็นเบส (pH > . ) กระดาษจะเปลยี นจากสีแดงเป็ นสีนําเงิน ถา้ หากเป็นกลาง ( . ≤ pH ≤ . ) กระดาษทงั สองจะไมเ่ ปลียนสี สารเคมี หมายถงึ สารทีประกอบดว้ ยธาตุเดียวกนั หรือสารประกอบจากธาตตุ ่างๆรวมกนั ด้วยพนั ธะ เคมซี ึงในหอ้ งปฏิบตั ิการจะมสี ารเคมีมากมาย ห้องปฏบิ ัตกิ ารทางวิทยาศาสตร์ (LAB) ในการทาํ การทดลองทางวทิ ยาศาสตร์นนั ผทู้ ดลองควรทาํ การทดลองในหอ้ งปฏบิ ตั กิ าร เนืองจากว่า ภายในห้องปฏบิ ตั ิการปราศจากสิงรบกวนจากภายนอก อาทิเช่น กระแสลม ฝ่ นุ ละออง ซึงตัวแปรเหลา่ นี อาจทาํ ใหผ้ ลการ ทดลองคลาดเคลอื นได้ ลกั ษณะของห้องปฏิบตั ิการ 1) ห้องปฏบิ ตั ิการทีมีขนาดเทา่ กนั ทุกหอ้ ง จะช่วยให้การจัดการต่าง ๆ ภายในหอ้ งปฏิบัติการทาํ ได้ สะดวก เนืองจากสามารถจัดการให้ เป็ นไปในแนวทางเดียวกันและมีความสะดวกในการปรับเปลยี นได้ ดีกว่าหอ้ งปฏิบตั กิ ารทีมขี นาดแตกตา่ งกนั 2) หอ้ งปฏบิ ตั ิการทเี ป็นสีเหลยี มจตั ุรัสจะช่วยให้การดูแล การให้คาํ แนะนาํ และการอาํ นวย ความสะดวกทาํ ไดอ้ ย่างทวั ถึง ลกั ษณะห้องปฏบิ ตั ิการทดี ีตอ้ งไมม่ ีซอกและมุมต่าง ๆ และไม่ควรมีเสา อยภู่ ายในห้อง

17 3) ห้องปฏบิ ตั ิการทเี ป็นสีเหลยี มผืนผา้ ตอ้ งมีลกั ษณะหอ้ งไมย่ าวหรือแคบเกินไป จนทาํ ใหม้ มุ มอง จากโต๊ะสาธิตหน้าชนั เรียนแคบมาก หรือหน้าชนั และหลังชันเรียนอยู่ห่างกนั เกินไป โดยทัวไปควรมี สัดส่วนของดา้ นกวา้ งตอ่ ดา้ นยาวไม่เกิน 1 : 1.2 4) พนื ของหอ้ งปฏบิ ตั ิการตอ้ งไม่มรี อยตอ่ หรือมีรอยต่อนอ้ ยทีสุด พนื หอ้ งควรทาํ ด้วยวสั ดุทีทนต่อ สารเคมี ไขมนั และนาํ มนั ไดด้ ี ไมล่ ืนเมอื เปี ยกนาํ และพืนห้องไม่ควรมีสีอ่อนมากเนืองจากจะเกิดรอยเปื อน ไดง้ ่าย หรือมีสีเขม้ มากจนทาํ ให้ความสวา่ งของห้องลดน้อยลง ความปลอดภัยในการใช้ห้องปฏิบัตกิ าร (1) ระมดั ระวงั ในการทาํ ปฏบิ ตั กิ ารและทาํ ปฏิบตั ิการอยา่ งตงั ใจ ไมเ่ ลน่ หยอกลอ้ กนั (2) เรียนรู้ตาํ แหน่งทีเกบ็ และศกึ ษาการใชง้ านของอุปกรณท์ ีเกียวกับความปลอดภัย เช่น ตู้ยา ทีลา้ ง ตาหรือก๊อกนาํ เครืองดบั เพลงิ ทีกดสญั ญาณไฟไหม้ (ถา้ ม)ี และทางออกฉุกเฉิน (3) อ่านคู่มอื ปฏบิ ตั ิการให้เขา้ ใจก่อนลงมือปฏบิ ตั ิ แต่ถา้ ไม่เขา้ ใจขนั ตอนใดหรือยงั ไม่เข้าใจการใช้ งานของอุปกรณ์ทดลองใด ๆ ก็จะตอ้ งปรึกษาครูจนเขา้ ใจก่อนลงมอื ทาํ ปฏิบตั กิ าร (4) ปฏบิ ตั ิตามคมู่ อื อย่างเคร่งครัด ในกรณีทีต้องการทาํ ปฏิบัติการนอกเหนือจากทีกาํ หนด จะตอ้ ง ไดร้ ับอนุญาตจากครูก่อนทุกครัง (5) ไม่ควรทาํ ปฏิบตั ิการอย่ใู นห้องปฏบิ ตั กิ ารเพียงคนเดียว เพราะถา้ มีอบุ ตั ิเหตุเกิดขึนก็จะไมม่ ีผใู้ ห้ ความช่วยเหลือ (6) ไมร่ ับประทานอาหารหรือดมื เครืองดมื ในห้องปฏิบตั กิ าร และไมใ่ ชเ้ ครืองแกว้ หรืออปุ กรณ์ ทาํ ปฏบิ ตั ิการเป็ นภาชนะใส่อาหารและเครืองดมื (7) ดูแลความสะอาดและความเป็ นระเบียบบนโต๊ะทาํ ปฏิบตั ิการตลอดเวลาให้มีเฉพาะคู่มือ ปฏิบัติการและอุปกรณ์จดบนั ทึกเท่านนั อยบู่ นโต๊ะทาํ ปฏบิ ัติการ ส่วนกระเป๋ าหนงั สือและเครืองใช้อืน ๆ ต้องเก็บไว้ในบริเวณทีจดั ไวใ้ ห้ (8) อา่ นคู่มอื การใชอ้ ุปกรณท์ ดลองทุกชนิดก่อนใชง้ าน ถา้ เป็ นอปุ กรณ์ไฟฟ้ าจะตอ้ งให้มือแห้งสนิท ก่อนใช้ การถอดหรือเสียบเตา้ เสียบตอ้ งจบั ทีเตา้ เสียบเท่านนั อยา่ จบั ทีสายไฟ (9) การทดลองทีใชค้ วามร้อนจากตะเกียงและแก๊ส ตอ้ งทาํ ด้วยความระมดั ระวงั เป็ นพิเศษ ไมร่ ิน ของเหลวทีตดิ ไฟง่ายใกลเ้ ปลวไฟ ไม่มองลงในภาชนะขณะทีตงั ไฟ ขณะเผาสารในหลอดทดลองตอ้ งหัน ปากหลอดไปในบริเวณทไี ม่มผี อู้ นื อยู่ และดบั ตะเกียงหรือปิ ดแก๊สทนั ทีเมือเลกิ ใชง้ าน (10) สารเคมที ุกชนิดในหอ้ งปฏบิ ตั ิการเป็ นอนั ตราย ไมส่ ัมผสั ชิม หรือสูดดมสารเคมใี ด ๆ นอกจาก จะไดร้ ับคาํ แนะนาํ ทีถกู ตอ้ งแลว้ และไม่นาํ สารเคมีใด ๆ ออกจากหอ้ งปฏิบตั ิการ (11) ตรวจสอบสลากทีปิ ดขวดสารเคมีทุกครงั กอ่ นนาํ มาใช้ รินหรือตกั สารออกมาในปริมาณ ทีพอใชเ้ ท่านนั ไม่เทสารเคมที เี หลอื กลบั ขวดเดิม และไมเ่ ทนาํ ลงในกรด

18 (12) การทาํ ปฏบิ ัติการชีววิทยา จะต้องทาํ ตามเทคนิคปลอดเชือตลอดเวลาดว้ ยการลา้ งมอื ด้วยสบู่ ก่อนและหลงั ทาํ ปฏบิ ตั ิการ ทาํ ความสะอาดโต๊ะทาํ ปฏิบัติการให้ปลอดเชือก่อนและหลงั ปฏบิ ตั ิการ และใช้ เทคนิคเฉพาะในการหยบิ จบั จุลนิ ทรีย์ ถา้ มีปัญหาดา้ นสุขภาพเกียวกบั ระบบภูมิคุ้มกัน ต้องแจ้งใหค้ รูทราบ ก่อนทาํ ปฏบิ ตั ิการ (13) เมือเกิดอุบตั ิเหตุหรือมคี วามผดิ ปกติใด ๆ เกิดขนึ ใหร้ ายงานครูทนั ทีและดาํ เนินการ ปฐมพยาบาลอย่างถูกวธิ ดี ว้ ย (14) เมือทาํ การทดลองเสร็จแลว้ ตอ้ งทาํ ความสะอาดเครืองมอื และเก็บเขา้ ทีเดิมทุกครงั ทาํ ความสะอาด โต๊ะทาํ ปฏบิ ตั ิการและสอดเกา้ อีเขา้ ใตโ้ ตะ๊ ลา้ งมอื ดว้ ยสบู่และนาํ ก่อนออกจากหอ้ งปฏบิ ตั ิการ การทาํ ความสะอาดบริเวณทีปนเปื อนสารเคมี อบุ ตั เิ หตุจากสารเคมหี กในหอ้ งปฏบิ ตั ิการเป็นสิงทีเกิดขึนได้ตลอดเวลา ถา้ ทาํ ปฏบิ ตั ิการโดยขาด ความระมดั ระวัง แต่เมือเกิดขึนแลว้ จะต้องรีบกาํ จดั สารเคมีทีปนเปื อนและทาํ ความสะอาดอย่างถกู วิธี เพอื ป้ องกนั อนั ตรายจากสารเหล่านัน สารเคมีแต่ละชนิดมสี มบตั ิและความเป็นอนั ตรายแตกต่างกนั จึงต้องมี ความรู้ความเขา้ ใจเกียวกบั การทาํ ความสะอาดบริเวณทีปนเปื อนสารเคมีเหลา่ นนั ซึงมขี อ้ แนะนาํ ดงั ต่อไปนี (1) สารทเี ป็ นของแขง็ ควรใชแ้ ปรงกวาดสารมารวมกนั ตกั สารใส่ในกระดาษแข็งแลว้ นาํ ไปทาํ ลาย (2) สารละลายกรด ควรใช้นาํ ลา้ งบริเวณทีมีสารละลายกรดหกเพือทาํ ให้กรดเจือจางลง และใช้ สารละลายโซเดียมไฮโดรเจนคาร์บอเนตเจอื จางลา้ งเพอื ทาํ ลายสภาพกรด แลว้ ลา้ งดว้ ยนาํ อกี ครัง (3) สารละลายเบส ควรใชน้ าํ ลา้ งบริเวณทีมีสารละลายเบสหกและซบั นําให้แห้ง เนืองจาก สารละลายเบสทีหกบนพนื จะทาํ ใหพ้ นื บริเวณนนั ลืน ตอ้ งทาํ ความสะอาดลกั ษณะดงั กลา่ วหลาย ๆ ครัง และ ถา้ ยงั ไมห่ ายลนื อาจตอ้ งใชท้ รายโรยแลว้ เกบ็ กวาดทรายออกไป (4) สารทเี ป็ นนํามันควรใชผ้ งซกั ฟอกลา้ งสารทเี ป็ นนาํ มนั และไขมนั จนหมดคราบนาํ มนั และพนื ไม่ลืน หรือทาํ ความสะอาดโดยใชท้ รายโรย เพอื ซบั นาํ มนั ให้หมดไป (5) สารทรี ะเหยง่าย ควรใชผ้ า้ เช็ดบริเวณทีสารหยดหลายครังจนแหง้ และในขณะเช็ดถูจะตอ้ งมกี าร ป้ องกนั ไมใ่ ห้สมั ผสั ผิวหนงั หรือสดู ไอของสารเขา้ ร่างกาย (6) สารปรอท กวาดสารปรอทกองรวมกนั แลว้ ใชเ้ ครืองดดู เก็บรวบรวมไวใ้ นกรณีทีพืนทีสารปรอท หกมรี อยแตกหรือรอยร้าวจะมีสารปรอทแทรกเขา้ ไปอยูข่ า้ งในต้องปิ ดรอยแตกหรือรอยร้าวนนั ด้วยการทา ขีผงึ ทบั รอยดังกล่าว เพือกันการระเหยของปรอท หรืออาจใชผ้ งกํามะถนั โรยบนปรอท เพือให้เกิดเป็ น สารประกอบซลั ไฟด์ แลว้ เก็บกวาดอีกครังหนึง

19 กิจกรรมที ทกั ษะทางวทิ ยาศาสตร์ ภาพ ก ภาพ ข ภาพแสดงทรัพยากรธรรมชาติทีเคยมีอย่างสมบรู ณไ์ ดท้ าํ ลายจนร่อยหรอไปแลว้ ให้ศึกษาภาพและสรุปผลการเกดิ ความแตกต่างกนั ของภาพสมุดกิจกรรม โดยใชท้ กั ษะ ทางวทิ ยาศาสตร์ตามหวั ขอ้ ต่อไปนี 1.￿จากการสังเกตภาพเห็นขอ้ แตกต่างในเรืองใดบา้ ง 2.￿ตงั สมมติฐานของสาเหตุความแตกตา่ งกนั ทางธรรมชาติ จากภาพดงั กล่าวสามารถตงั สมมติฐาน และหาสาเหตคุ วามแตกต่างทางธรรมชาติอะไรบา้ ง แบบทดสอบบทที เรือง ทกั ษะกระบวนการทางวทิ ยาศาสตร์ คาํ ชีแจง จงเลือกคาํ ตอบทีถูกทสี ุด 1. ค่านาํ ทีบา้ น 3 เดือนทีผ่านมาสูงกวา่ ปกติ จากขอ้ ความเกดิ จากทกั ษะขอ้ ใด ก. สังเกต ข. ตงั ปัญหา ค. ตงั สมมติฐาน ง. ออกแบบการทดลอง 2. จากขอ้ 1 นกั เรียนพบวา่ ท่อประปารัวจึงทาํ ให้ค่านาํ สูงกว่าปกตินกั เรียนใช้วิธีการทางวทิ ยาศาสตร์ข้อใด ในการตรวจสอบขอ้ เท็จจริง ก. ตงั ปัญหา ข. ตงั สมมติฐาน ค. ออกแบบการทดลอง ง. สรุปผล

20 3. ลกั ษณะนิสัยของนักวทิ ยาศาสตร์ขอ้ ใดทีทาํ ใหง้ านประสบความสาํ เร็จ ก. ชอบจดบนั ทึก ข. รกั การอา่ น ค. ชอบคน้ ควา้ ง. ความพยายามและอดทน 4. น้อยสวมเสือสีดาํ เดินทาง 2 กิโลเมตร และเปลียนเสือตวั ใหม่เป็ นสีขาวเดินในระยะทางเท่ากนั และ วดั อณุ หภมู ิจากตวั เองหลงั เดนิ ทางทงั 2 ครัง ปรากฏวา่ ไม่เทา่ กนั ปัญหาของน้อยคือขอ้ ใด ก. สีใดมคี วามร้อนมากกว่ากนั ข. สีมีผลต่ออณุ หภูมขิ องร่างกายหรือไม่ ค. สีดาํ ร้อนกว่าสีขาว ง. สวมเสือสีขาวเยน็ กว่าสีดาํ 5. แกว้ เลยี งแมว 2 ตัว ตัวที 1 กินนมกับปลายา่ งและขา้ วสวย ตวั ที 2กินปลาทูกบั ขา้ วสวย 4 สัปดาหต์ ่อมา ปรากฏวา่ แมวทังสองตวั มีนาํ หนกั เพิมขึนเทา่ กนั ปัญหาของแกว้ ก่อนการทดลองคอื ขอ้ ใด ก. ปลาอะไรทีแมวชอบกนิ ข. แมวชอบกินปลาทูหรือปลายา่ ง ค. ชนิดของอาหารมผี ลต่อการเจริญเติบโตหรือไม่ ง. ปลาททู าํ ให้แมวสองตวั นาํ หนักเพิมขึนเท่ากนั 6. ตอ้ ยทาํ เสือเปือนด้วยคราบอาหารจึงนาํ ไปซกั ดว้ ยผงซักฟอก A ปรากฏว่าไมส่ ะอาด จึงนําไปซักดว้ ย ผงซกั ฟอก B ปรากฏว่าสะอาด กอ่ นการทดลองตอ้ ยตงั ปัญหาว่าอย่างไร ก. ชนิดของผงซกั ฟอกมผี ลตอ่ การลบรอยเปื อนหรือไม่ ข. ผงซกั ฟอก A ซกั ผา้ ไดส้ ะอาดกว่าผงซกั ฟอก B ค. ผงซกั ฟอกใดซกั ไดส้ ะอาดกวา่ กนั ง. ถา้ ใชผ้ งซกั ฟอก B จะซกั ไดส้ ะอาดกว่าผงซกั ฟอก A 7. นํานาํ 400 ลกู บาศก์เซนติเมตรใส่ลงในภาชนะ ทองแดง และสังกะสี อยา่ งละเท่าๆกัน ต้มให้เดือด ปรากฏวา่ นาํ ในภาชนะอลมู เิ นียมเดือดก่อนนาํ ในภาชนะสงั กะสี การทดลองนีตงั สมมติฐานว่าอย่างไร ก. ถา้ ตม้ นาํ เดือดในปริมาณทีเท่ากนั นาํ จะเดือดในเวลาเดยี วกนั ข. ถา้ ตม้ นาํ เดือดดว้ ยภาชนะทีทาํ ดว้ ยอลมู เิ นียม ดงั นนั นาํ จะเดือดเร็วกวา่ การตม้ ดว้ ยภาชนะสังกะสี ค. ถา้ ตม้ นาํ ทีทาํ ดว้ ยภาชนะโลหะชนิดเดยี วกนั นาํ จะเดือดในเวลาเดยี วกนั ง. ถา้ ตม้ นาํ เดอื ดดว้ ยภาชนะทีต่างชนิดกนั นาํ จะเดือดในเวลาต่างกนั

21 8. จากปัญหา “ชนิดของเสียงจะมผี ลต่อการเจริญเตบิ โตของไกห่ รือไม”่ ควรจะตงั สมมติฐานว่าอย่างไร ก. จงั หวะของเพลงมผี ลตอ่ การเจริญเติบโตของไก่หรือไม่ ข. ไก่ทีชอบฟังเพลงจะโตดีกวา่ ไก่ทีไม่ฟังเพลง ค. ถา้ ไก่ฟงั เพลงไทยเดิมจะโตดกี ว่าไกท่ ีฟังเพลงสากล ง. ไก่ทีฟงั เพลงสากลและเพลงไทยเดิมจะโตเท่ากนั 9. จากปัญหา “ผงซักฟอกมีผลต่อการเจริ ญเติบโตของผกั กระเฉดหรือไม่” สมมติฐาน ก่อนการทดลอง คือขอ้ ใด ก. ถา้ ใชผ้ งซกั ฟอกเทลงในนาํ ดงั นนั ผกั กระเฉดจะเจริญเติบโตดี ข. พืชจะเจริญเติบโตดีเมอื ใส่ผงซกั ฟอก ค. ผงซกั ฟอกมีสารทาํ ให้ผกั กระเฉดเจริญเติบโตไดด้ ี ง. ผกั กระเฉดจะเจริญเติบโตหรือไมถ่ า้ ขาดผงซกั ฟอก 10. นิงใชส้ าํ ลกี รองนาํ น้อยใชใ้ ยบวบกรองนาํ 2 คน ใชว้ ธิ ีการทดลองเดยี วกนั ทงั 2 คน ใชส้ มมติฐานร่วมกนั ในขอ้ ใด ก. สาร ขอ้ ใดกรองนาํ ไดใ้ สกว่ากนั ข. นาํ ใสสะอาดดว้ ยสาํ ลีและใยบวบ ค. ถา้ ไม่ใชใ้ ยบวบและสาํ ลีนาํ จะไมใ่ สสะอาด ง. ถา้ ใชใ้ ยบวบกรองนาํ ดงั นนั นาํ จะใสสะอาดกว่าใชส้ าํ ลี . เมือใส่นาํ แขง็ ลงในแกว้ แลว้ ตงั ทิงไวส้ ักครู่จะพบว่ารอบนอกของแกว้ มีหยดนาํ เกาะอยเู่ ต็ม ขอ้ ใดเป็ นผล จากการสงั เกต และบนั ทกึ ผล ก. มหี ยดนาํ ขนาดเลก็ และขนาดใหญเ่ กาะอยูจ่ าํ นวนมากทีผิวแกว้ ข. ไอนาํ ในอากาศกลนั ตวั เป็ นหยดนาํ เกาะอยู่รอบๆแกว้ ค. แกว้ นาํ รัวเป็นเหตใุ ห้นาํ ซึมออกมาทีผวิ นอก ง. หยดนาํ ทีเกิดเป็นกระบวนการเดียวกบั การเกิดนาํ คา้ ง . กระบวนการทางวิทยาศาสตร์ขนั ตอนใด ทีจะนาํ ไปสู่การสรุปผล และการศกึ ษาต่อไป ก. การตงั สมมติฐานและการออกแบบการทดลอง ข. การสงั เกต ค. การรวบรวมขอ้ มูล ง. การหาความสมั พนั ธ์ของขอ้ เท็จจริง . ในการออกแบบการทดลองจะตอ้ งยึดอะไรเป็ นหลกั ก. สมมติฐาน ข. ขอ้ มลู ค. ปัญหา ง. ขอ้ เท็จจริง

22 . สมมตฐิ านทางวทิ ยาศาสตร์จะเปลียนเป็นทฤษฎีไดเ้ มือใด ก. เป็นทียอมรับโดยทวั ไป ข. อธบิ ายไดก้ วา้ งขวาง ค. ทดสอบแลว้ เป็นจริงทุกครัง ง. มีเครืองมอื พิสูจน์ . อุปกรณ์ต่อไปนี ขอ้ ใดเป็นอุปกรณ์สาํ หรับหาปริมาตรของสาร ก. หลอดฉีดยา ข. กระบอกตวง ค. เครืองชงั สองแขน ง. ถกู ทงั ขอ้ ก. และขอ้ ข. . ในกระบวนการทางวทิ ยาศาสตร์ ถา้ หากผลการทดลองทีไดจ้ ากการทดสอบสมมติฐาน ไม่สอดคลอ้ งกบั สมมติฐาน จะตอ้ งทาํ อย่างไร ก. สังเกตใหม่ ข. ตงั ปัญหาใหม่ ค. ออกแบบการทดลองใหม่ ง. เปลียนสมมติฐาน . ขอ้ ใดเรียงลาํ ดบั ขนั ตอนของวิธกี ารทางวทิ ยาศาสตร์ไดถ้ ูกตอ้ ง ก. การตงั สมมติฐาน การรวบรวมขอ้ มูล การทดลอง และสรุปผล ข. การตงั สมมติฐาน การสงั เกตและปัญหา การตรวจสอบสมมติฐานและการทดลอง และสรุปผล ค. การสงั เกตและปัญหา การทดลองและตังสมมติฐาน การตรวจสอบสมมติฐาน และสรุปผล ง. การสังเกตและปัญหา การตงั สมมติฐาน การตรวจสอบสมมติฐานการทดลอง และสรุปผล . นกั วิทยาศาสตร์จะสรุปผลการทดลองไดอ้ ยา่ งมีความเชือมนั เมอื ใด ก. ออกแบบการทดลองทีมีการควบคมุ ตวั แปรต่างๆ อยา่ งรัดกมุ มากทีสุด ข. กาํ หนดปัญหาและตงั สมมติฐานทีดี ค. รวบรวมขอ้ มลู จากแหล่งต่างๆ มาเปรียบเทียบกบั ผลการทดลองไดถ้ กู ตอ้ งตรงกนั ง. ผลการทดลองสอดคลอ้ งตามทฤษฎที มี อี ยู่เดิม . วิธีการทางวทิ ยาศาสตร์ขนั ตอนใด ทีถือว่าเป็ นความกา้ วหนา้ ทางวิทยาศาสตร์อยา่ งแทจ้ ริง ก. การตงั ปัญหาและการตงั สมมติฐาน ข. การตรวจสอบสมมตฐิ าน ค. การตงั สมมติฐาน ง. การตงั ปัญหา

23 . ขอ้ ใดเป็ นลกั ษณะของสมมตฐิ านทีดี ก. สามารถอธิบายปัญหาไดห้ ลายแง่หลายมุม ข. ครอบคลมุ เหตกุ ารณ์และปรากฏการณ์ต่างๆ ภายในสภาพแวดลอ้ มเดียวกนั ค. สามารถแกป้ ัญหาทีสงสยั ไดอ้ ย่างชดั เจน ง. สามารถอธบิ ายปัญหาตา่ งๆ ได้ แจ่มชดั 21. “ แมเ่ หล็กไฟฟ้ าจะดดู จาํ นวนตะปูไดม้ ากขึนใช่หรือไม่ ถา้ แม่เหลก็ ไฟฟ้ านนั มจี าํ นวนแบตเตอรีเพมิ ขึน ” จากขอ้ ความขา้ งตน้ ข้อใดกล่าวถงึ ตวั แปรได้ถูกต้อง ก. ตวั แปรอสิ ระ คือ จาํ นวนแบตเตอรี ข. ตวั แปรอสิ ระ คือ จาํ นวนตะปูทีถูกดูด ค. ตวั แปรตาม คอื จาํ นวนแบตเตอรี ง. ตวั แปรตาม คอื ชนิดของแบตเตอรี 22. “การงอกของเมลด็ ขา้ วโพด ในเวลาทตี ่างกนั ขนึ อยูก่ บั ปริมาณของนาํ ทีเมลด็ ข้าวโพดไดร้ ับ ใช่หรือไม”่ จากขอ้ ความขา้ งตน้ ข้อใดกล่าวถงึ ตวั แปรได้ถูกต้อง ก. ตวั แปรอสิ ระ คือ ความสมบรู ณ์ของเมล็ดขา้ วโพด ข. ตวั แปรตาม คือ เวลาในการงอกของเมลด็ ขา้ วโพด ค. ตวั แปรทีตอ้ งควบคุม คือ ปริมาณนาํ ง. ถูกทุกขอ้ ทีกลา่ วมา 23. ให้นักเรียนเรียงลาํ ดบั ขนั ตอนการตงั สมมุติฐาน ต่อไปนี 1. จากปัญหาทศี ึกษาบอกไดว้ ่าตวั แปรใดเป็นตวั แปรตน้ และตวั แปรใดเป็น ตวั แปรตาม 2. ตงั สมมุติฐานในรูป “ ถา้ ....ดงั นนั ” 3. ศกึ ษาธรรมชาติของตวั แปรตน้ ต่างๆทมี ผี ลต่อตวั แปรตามมากทีสุดอย่างมหี ลกั การและเหตุผล 4. บอกตวั แปรตน้ ทีอาจจะมีผลต่อตวั แปรตาม ก. ขอ้ 1 , 2 , 3 และ 4 ตามลาํ ดบั ข. ขอ้ 1 , 4, 3 และ 2 ตามลาํ ดบั ค. ขอ้ 4 , 2 , 3 และ 1 ตามลาํ ดบั ง. ขอ้ 4 , 1 , 3 และ 2 ตามลาํ ดบั 24. พิจารณาขอ้ ความต่อไปนีวา่ ขอ้ ความใดเป็นการตงั สมมติฐาน ก. ขณะเปิ ดขวดมีเสียงดงั ป๊ อก ข. ฟองก๊าซทปี ดุ ขึนมา คือ ก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ ค. เครืองดืมทีแชไ่ วใ้ นตูเ้ ยน็ จะมีรสหวาน ง. ทุกขอ้ เป็นสมมุติฐานทงั หมด

24 25. การกาํ หนดนิยามเชงิ ปฏบิ ตั กิ ารทีดีควรมีลกั ษณะอย่างไร ก. มคี วามชดั เจน ข. ทาํ การวดั ได้ ค. สังเกตได้ ง. ถกู ทงั ขอ้ ก ข และ ค 26. ถา้ นักเรียนจะกาํ หนดนิยามเชิงปฏิบตั ิการ ” การเจริญเตบิ โตของไก่ ” นักเรียนจะมีวิธีการกาํ หนดนิยาม เชิงปฏิบตั ิการโดยคาํ นึงถึงขอ้ ใดเป็นเกณฑ์ ก. ตรวจสอบจากความสูงของไก่ทเี พิมขึน ข. นาํ หนกั ไก่ทีเพิมขึน ค. ความยาวของปี กไก่ ง. ถูกทกุ ขอ้ 27. ขอ้ ใดคอื ความหมายของคาํ วา่ “ การทดลอง ” ก. การทดลองมี 3 ขนั ตอน คือการออกแบบการทดลอง การปฏิบตั ิการทดลอง และการบนั ทึกผล การทดลอง ข. เป็นการตรวจสอบทมี าและความสาํ คญั ของปัญหาทีศึกษา ค. เป็นการตรวจสอบสมมุติฐานทีตงั ไวว้ ่าถูกตอ้ งหรือไม่ ง. ถกู ทงั ขอ้ ก. และขอ้ ค. 28. ถา้ นักเรียนตอ้ งการจะตรวจสอบว่าดินต่างชนิดกันจะอมุ้ นาํ ได้ในปริมาณทีต่างกันอย่างไร นกั เรียนตงั สมมุติฐานไดว้ า่ อย่างไร ก. ถา้ ชนิดของดินมีผลต่อปริมาณนาํ ทีอมุ้ ไว้ ดงั นนั ดินเหนียวจะอุม้ นาํ ได้มากกว่าดินร่วนและดิน ร่วนจะอุม้ นาํ ไวไ้ ดม้ ากกว่าดินทราย ข. ดินตา่ งชนิดกนั ยอ่ มอุม้ นาํ ไวไ้ ดต้ า่ งกนั ดว้ ย ค. ดินทมี ีเนือดินละเอยี ดจะอุม้ นาํ ไดด้ ีกว่าดนิ เนือหยาบ ง. ถูกทุกขอ้ ทีกลา่ วมา

25 จากขอ้ มูลตอ่ ไปนีให้ตอบคาํ ถามขอ้ และขอ้ 30 จากการทดลองละลายสาร A ทลี ะลายในของเหลว B ณ อณุ หภูมติ า่ ง ๆ ดงั นี อณุ หภมู ิของเหลว B ปริมาณของสาร A ทลี ะลาย ในของเหลว B (องศาเซลเซียส) (g) 20 5 30 10 40 20 50 40 29. ทอี ุณหภูมิ 20 องศาเซลเซียส สาร A ละลายในของเหลว B ไดก้ ีกรัม ก. ละลายได้ 20 กรมั ข. ละลายได้ 15 กรมั ค. ละลายได้ 10 กรัม ง. ละลายได้ 5 กรัม 30. จากขอ้ มูลในตาราง เมืออุณหภมู สิ ูงขนึ การละลายของสาร A เป็ นอยา่ งไร ก. สาร A ละลายในสาร B ไดน้ ้อยลง ข. สาร A ละลายในสาร B ไดม้ ากขึน ค. อณุ หภมู ไิ มม่ ผี ลต่อการละลายของสาร A ง. ไมส่ ามารถสรุปไดเ้ พราะขอ้ มูลมีไม่เพียงพอ

26 แบบทดสอบ ทักษะวทิ ยาศาสตร์ คาํ ชีแจง จงนาํ ตวั อกั ษรหนา้ ทกั ษะตา่ ง ๆ ไปเติมหนา้ ขอ้ ทีสัมพนั ธก์ นั ก.￿ ทกั ษะการสงั เกต ข.￿ ทกั ษะการวดั ค.￿ ทกั ษะการคาํ นวณ ง.￿ ทกั ษะการจาํ แนกประเภท จ.￿ ทกั ษะการทดลอง ............ . ด.ญ.อริษากาํ ลงั ทดสอบวิทยาศาสตร์ ............ .ด.ญ.วไิ ล วดั อณุ หภมู ิของอากาศได้ 40o C ............ . มา้ มี ขา สุนัข มี ขา ไก่มี ขา นกมี ขา ชา้ งมี ขา ............ . ด.ญ. พนิดา กาํ ลงั เทสารเคมี ............ . ด.ช. สุบินใชต้ ลบั เมตรวดั ความยาวของสนามตะกร้อ ............ . ด.ญ. พิจิตรแบง่ ผลไมไ้ ด้ กลุม่ คือ กล่มุ รสเปรียวและรสหวาน ............ . วรรณนิภา ดูภาพยนตร์วิทยาศาสตร์ มิติ ............ . ด.ญ. นนั ทพร หยดสารละลายไอโอดีน ลงบนขา้ วเหนียวทเี ตรียมไว้ ............ . รูปทรงกระบอกมีความสูงประมาณ นิว ผิวเรียบ ............ . นักวทิ ยาศาสตร์แบ่งพชื ออกเป็ น พวก คือ พชื ใบเลยี งเดียวและพืชใบเลียงคู่ กิจกรรม ที กระบวนการทางวทิ ยาศาสตร์ ให้นักศึกษาออกแบบแกป้ ัญหาจาสถานการณ์ต่อไปนี โดยมอี ุปกรณ์ ดงั นี เมลด็ ถวั ถว้ ยพลาสติก กระดาษทิชชู นาํ กระดาษสีดาํ กาํ หนดปัญหา..................................................................... การตงั สมมติฐาน................................................................ การกาํ หนดตวั แปร ตวั แปรตน้ .......................................................................... ตวั แปรตาม......................................................................... ตวั แปรควบคุม....................................................................

27 การทดลอง ............................................................................................................................................................. ............................................................................................................................................................. ............................................................................................................................................................. ............................................................................................................................................................. ............................................................................................................................................................. ............................................................................................................................................................. ............................................................................................................................................................. วเิ คราะห์ขอ้ มูลและทดสอบสมมตฐิ าน ............................................................................................................................................................. ............................................................................................................................................................. ............................................................................................................................................................. ............................................................................................................................................................. ............................................................................................................................................................. ............................................................................................................................................................. ............................................................................................................................................................. ............................................................................................................................................................. ............................................................................................................................................................. สรุปผลการทดลอง ............................................................................................................................................................. ............................................................................................................................................................. ............................................................................................................................................................. ............................................................................................................................................................. ............................................................................................................................................................. .............................................................................................................................................................

28 บทที 2 โครงงานวทิ ยาศาสตร์ สาระสําคญั โครงงานวทิ ยาศาสตร์เป็นกิจกรรมเกียวกบั วทิ ยาศาสตร์ ซึงเป็นกิจกรรมทีตอ้ งใชก้ ระบวนการ ทางวิทยาศาสตร์ ในการศกึ ษาคน้ ควา้ โดยผูเ้ รียนจะเป็ นผดู้ าํ เนินการดว้ ยตนเองทงั หมด ตงั แต่เริมวางแผน ในการศึกษาคน้ ควา้ การเก็บรวบรวมขอ้ มูล จนถงึ การแปลผล สรุปผล และการเสนอผลการศึกษา โดยมี ผชู้ าํ นาญการเป็นผใู้ ห้คาํ ปรึกษา ผลการเรียนรู้ทคี าดหวัง 1.￿ อธิบายประเภทเลือกหัวขอ้ วางแผน วิธีนาํ เสนอและประโยชนข์ องโครงงานได้ 2.￿ วางแผนและทาํ โครงงานวิทยาศาสตร์ได้ 3.￿ อธิบายและบอกแนวทางในการนาํ ผลจากโครงงานไปใชไ้ ด้ ขอบข่ายเนือหา เรืองที ประเภทโครงงานวทิ ยาศาสตร์ เรืองที ขนั ตอนการทาํ โครงงานวิทยาศาสตร์ เรืองที การนาํ เสนอโครงงานวทิ ยาศาสตร์

29 เรอื งที ประเภทของโครงงานวิทยาศาสตร์ โครงงานวทิ ยาศาสตร์เป็นกิจกรรมเกยี วกบั วิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี ซึงเป็ นกิจกรรมทีตอ้ งใช้ กระบวนการทางวทิ ยาศาสตร์ในการศกึ ษาคน้ ควา้ โดยผเู้ รียนจะเป็ นผดู้ าํ เนินการด้วยตนเองทังหมด ตงั แต่ เริ มวางแผนในการศึกษาค้นควา้ การเก็บรวบรวมขอ้ มลู จนถึงเรืองการแปลผล สรุ ปผล และเสนอผล การศึกษา โดยมผี ชู้ าํ นาญการเป็นผใู้ ห้คาํ ปรึกษา ลกั ษณะและประเภทของโครงงานวทิ ยาศาสตร์ จาํ แนกไดเ้ ป็น ประเภท ดงั นี 1.￿ โครงงานประเภทสาํ รวจ เป็นโครงงานทีมีลกั ษณะเป็ นการศกึ ษาเชิงสาํ รวจ รวบรวมขอ้ มูลแลว้ นาํ ขอ้ มลู เหล่านันมาจดั กระทําและนําเสนอในรู ปแบบต่าง ๆ ดังนัน ลักษณะสําคัญของ โครงงานประเภทนี คือ ไม่มีการจดั ทาํ หรือกาํ หนดตวั แปรอิสระทีตอ้ งการศกึ ษา 2.￿ โครงงานประเภททดลอง เป็นโครงงานทีมลี กั ษณะกิจกรรมทีเป็นการศึกษาหาคาํ ตอบ ของปัญหาใดปัญหาหนึงดว้ ยวิธีการทดลอง ลักษณะสําคัญของโครงงานนีคือต้องมีการ ออกแบบการทดลองและดาํ เนินการทดลองเพือหาคาํ ตอบของปัญหาทีตอ้ งการทราบหรือ เพอื ตรวจสอบสมมติฐานทีตงั ไว้ โดยมกี ารจดั กระทาํ กบั ตวั แปรต้นหรือตัวแปรอิสระ เพือดูผล ทีเกิดขนึ กบั ตวั แปรตาม และมกี ารควบคมุ ตวั แปรอืน ๆ ทไี ม่ตอ้ งการศึกษา 3.￿ โครงงานประเภทการพฒั นาหรือประดิษฐ์ เป็ นโครงงานทีมีลกั ษณะกิจกรรมทีเป็ นการศึกษา เกียวกับการประยุกต์ ทฤษฎี หรือหลกั การทางวิทยาศาสตร์ เพอื ประดิษฐ์เครืองมือ เครืองใช้ หรืออุปกรณ์เพือประโยชน์ใชส้ อยต่าง ๆ ซึงอาจเป็ นการประดิษฐข์ องใหม่ ๆ หรือปรับปรุง ของเดิมทีมีอยใู่ หม้ ปี ระสิทธภิ าพสูงขึน ซึงจะรวมไปถึงการสร้างแบบจาํ ลอง เพืออธิบายแนวคดิ 4.￿ โครงงานประเภทการสร้างทฤษฎีหรืออธิบาย เป็ นโครงงานทีมีลกั ษณะกิจกรรมทีผทู้ าํ จะตอ้ ง เสนอแนวคิด หลกั การ หรือทฤษฎีใหม่ ๆ อย่างมีหลักการทางวิทยาศาสตร์ในรูปของสูตร สมการหรือคาํ อธิบายอาจเป็ นแนวคิดใหม่ทียังไม่เคยนาํ เสนอ หรืออาจเป็ นการอธิบาย ปรากฏการณ์ในแนวใหม่ก็ได้ ลักษณะสําคัญของโครงงานประเภทนี คือ ผูท้ าํ จะต้องมี พืนฐานความรู้ทางวทิ ยาศาสตร์เป็นอย่างดี ต้องคน้ ควา้ ศึกษาเรืองราวทีเกียวขอ้ งอย่างลึกซึง จึงจะสามารถสร้างคาํ อธิบายหรือทฤษฎไี ด้

30 กจิ กรรมที โครงงาน 1 ) ให้นักศกึ ษาพจิ ารณาชือโครงงานต่อไปนีแลว้ ตอบวา่ เป็ นโครงงานประเภทใด โดยเขยี นคาํ ตอบ ลงในช่องว่าง 1.￿ แปรงลบกระดานไร้ฝ่ นุ โครงงาน..................................................... 2.￿ ยาขดั รองเทา้ จากเปลือกมงั คุด โครงงาน..................................................... 3.￿ การศกึ ษาบริเวณป่ าชายเลน โครงงาน..................................................... 4.￿ พฤติกรรมลองผดิ ลองถกู ของนกพิราบโครงงาน..................................................... 5.￿ บา้ นยุคนิวเคลียร์ โครงงาน..................................................... 6.￿ การศึกษาคุณภาพนาํ ในแม่นาํ เจา้ พระยาโครงงาน.................................................... 7.￿ เครืองส่งสญั ญาณกนั ขโมย โครงงาน...................................................... 8.￿ สาหร่ายสีเขียวแกมนาํ เงินปรบั สภาพนาํ เสียจากนากงุ้ โครงงาน................................ 9.￿ ศึกษาพฤติกรรมการเรียนรู้แบบมเี งอื นไขของหนูขาว โครงงาน............................... 10.￿ศกึ ษาวงจรชวี ติ ของตวั ดว้ ง โครงงาน...................................................... ) ให้นักศกึ ษาอธิบายความสาํ คญั ของโครงงานวทิ ยาศาสตร์วา่ มคี วามสาํ คญั อย่างไร .......................................................................................................................................................................... .......................................................................................................................................................................... .......................................................................................................................................................................... .......................................................................................................................................................................... .......................................................................................................................................................................... .......................................................................................................................................................................... .......................................................................................................................................................................... .......................................................................................................................................................................... เรืองที ขันตอนการทําโครงงานวทิ ยาศาสตร์ การทาํ กจิ กรรมโครงงานเป็ นการทาํ กิจกรรมทีเกดิ จากคาํ ถามหรือความอยากรู้อยากเห็นเกียวกบั เรืองต่าง ๆ ดงั นนั การทาํ โครงงานจึงมขี นั ตอน ดงั นี 1.￿ ขันสํารวจหรอื ตัดสินใจเลือกเรืองทจี ะทํา การตัดสินใจเลือกเรืองทีจะทาํ โครงงานควรพิจารณาถึงความพร้อมในด้านต่าง ๆ เช่นแหลง่ ความรู้เพียงพอทีจะศึกษาหรือขอคาํ ปรึกษา มีความรู้และทกั ษะในการใชเ้ ครืองมืออปุ กรณ์ต่าง ๆ ทีใชใ้ นการศึกษา มีผทู้ รงคณุ วฒุ ิรับเป็นทีปรึกษา มเี วลา และงบประมาณเพียงพอ

31 2.￿ ขันศกึ ษาข้อมูลทีเกียวข้องกบั เรอื งทตี ดั สินใจทาํ การศึกษาขอ้ มลู ทีเกียวข้องกบั เรืองทีตดั สินใจทํา จะช่วยใหผ้ เู้ รียนไดแ้ นวคิดทีจะกาํ หนด ขอบข่ายเรืองทีจะศึกษาคน้ ควา้ ใหเ้ ฉพาะเจาะจงมากขึนและยงั ไดค้ วามรู้ เรืองทจี ะศึกษาคน้ ควา้ เพิมเติมจนสามารถออกแบบการศึกษา ทดลอง และวางแผนดําเนิ นการทําโครงงาน วิทยาศาสตร์อยา่ งเหมาะสม 3.￿ ขันวางแผนดาํ เนินการ การทาํ โครงงานวิทยาศาสตร์ไมว่ ่าเรืองใดจะต้องมีการวางแผนอย่างละเอียด รอบคอบ และมี การกาํ หนดขนั ตอนในการดาํ เนินงานอยา่ งรัดกมุ ทงั นีเพอื ให้การดาํ เนินงานบรรลุจุดมงุ่ หมาย หรือเป้ าหมายทีกาํ หนดไว้ ประเด็นทีต้องร่ วมกนั คิดวางแผนในการทาํ โครงงานมีดงั นี คือ ปัญหา สาเหตุของปัญหา แนวทาง และวิธีการแก้ปัญหาทีสามารถปฏบิ ัติได้ การออกแบบ การศึกษาทดลองโดยกาํ หนดและควบคมุ ตวั แปร วสั ดุอปุ กรณ์และสารเคมี เวลา และสถานทจี ะ ปฏบิ ตั งิ าน 4.￿ ขันเขียนเค้าโครงของโครงงานวิทยาศาสตร์ การเขยี นเคา้ โครงของโครงงานวิทยาศาสตร์มีรายละเอยี ด ดงั นี 4.1￿ ชือโครงงาน เป็ นขอ้ ความสัน ๆ กะทัดรัด ชดั เจน สือความหมายตรง และมีความ เฉพาะเจาะจงว่าจะศกึ ษาเรืองใด 4.2￿ ชือผทู้ าํ โครงงาน เป็นผรู้ ับผิดชอบโครงงาน ซึงอาจเป็นรายบคุ คลหรือกลุ่มก็ได้ 4.3￿ ชือทปี รึกษาโครงงาน ซึงเป็นอาจารยห์ รือผทู้ รงคุณวฒุ ิกไ็ ด้ 4.4￿ ทีมาและความสาํ คัญของโครงงาน เป็ นการอธิบายเหตุผลทีเลือกทําโครงงานนี ความสาํ คญั ของโครงงาน แนวคดิ หลกั การ หรือทฤษฎีทีเกียวกบั โครงงาน 4.5￿ วัตถุประสงค์โครงงาน เป็ นการบอกจุดมุ่งหมายของงานทีจะทาํ ซึงควรมีความ เฉพาะเจาะจงและเป็นสิงทีสามารถวดั และประเมนิ ผลได้ 4.6￿ สมมติฐานของโครงงาน (ถา้ มี) สมมติฐานเป็ นคาํ อธิบายทีคาดไวล้ ว่ งหนา้ ซึงจะผิดหรือ ถกู กไ็ ด้ สมมตฐิ านทีดคี วรมีเหตุผลรองรบั และสามารถทดสอบได้ 4.7￿ วสั ดอุ ุปกรณ์และสงิ ทีตอ้ งใช้ เป็นการระบุวสั ดุอุปกรณ์ทีจาํ เป็ นใช้ในการดาํ เนินงานว่ามี อะไรบา้ ง ไดม้ าจากไหน 4.8￿ วธิ ีดาํ เนินการ เป็ นการอธิบายขนั ตอนการดาํ เนินงานอย่างละเอยี ดทุกขนั ตอน 4.9￿ แผนปฏิบตั ิการ เป็นการกาํ หนดเวลาเริมตน้ และเวลาเสร็จงานในแต่ละขนั ตอน 4.10￿ผลทีคาดวา่ จะไดร้ ับ เป็นการคาดการณ์ผลทจี ะไดร้ บั จากการดาํ เนินงานไวล้ ่วงหนา้ ซึงอาจไดผ้ ลตามทีคาดไวห้ รือไม่ก็ได้ 4.11￿เอกสารอา้ งอิง เป็ นการบอกแหลง่ ขอ้ มลู หรือเอกสารทใี ชใ้ นการศึกษาคน้ ควา้

32 5.￿ ขันลงมือปฏบิ ัติ การลงมือปฏิบตั ิเป็ นขนั ตอนทสี าํ คญั ตอนหนึงในการทาํ โครงงานเนืองจากเป็ นการลงมือปฏิบตั ิ จริงตามแผนทีไดก้ าํ หนดไวใ้ นเคา้ โครงของโครงงาน อยา่ งไรกต็ ามการทาํ โครงงานจะสําเร็จ ไดด้ ว้ ยดี ผเู้ รียนจะตอ้ งคาํ นึงถงึ เรืองความพร้อมของวสั ดุอุปกรณ์ และสิงอนื ๆ เช่นสมุดบันทึก กิจกรรมประจําวนั ความละเอียดรอบคอบและความเป็ นระเบียบในการปฏิบัติงาน ความประหยดั และความปลอดภยั ในการปฏิบตั ิงาน ความน่าเชือถือของข้อมลู ทีได้จากการ ปฏิบตั ิงาน การเรียงลาํ ดบั ก่อนหลงั ของงานส่วนย่อย ๆ ซึงต้องทาํ แต่ละส่วนให้เสร็จก่อนทํา ส่วนอืนต่อไปในขนั ลงมือปฏบิ ตั ิจะต้องมีการบนั ทึกผล การประเมนิ ผล การวิเคราะห์ และ สรุปผลการปฏบิ ตั ิ 6.￿ ขันเขียนรายงานโครงงาน การเขียนรายงานการดาํ เนินงานของโครงงาน ผู้เรี ยนจะต้องเขียนรายงานให้ชัดเจนใช้ ศพั ท์เทคนิคทีถกู ตอ้ ง ใชภ้ าษากะทดั รดั ชดั เจน เขา้ ใจง่าย และต้องครอบคลมุ ประเดน็ สาํ คญั ๆ ทงั หมดของโครงงานไดแ้ ก่ ชือโครงงาน ชือผทู้ าํ โครงงาน ชือทีปรึกษา บทคดั ย่อ ทีมาและ ความสาํ คญั ของโครงงาน จุดมุ่งหมาย สมมติฐาน วธิ ดี าํ เนินงาน ผลการศึกษาคน้ ควา้ ผลสรุป ของโครงงาน ขอ้ เสนอแนะ คาํ ขอบคุณบุคลากรหรือหน่วยงานและเอกสารอา้ งอิง 7.￿ ขันเสนอผลงานและจัดแสดงผลงานโครงงาน หลงั จากทาํ โครงงานวิทยาศาสตร์เสร็จแลว้ จะต้องนําผลงานทีไดม้ าเสนอและจดั แสดง ซึงอาจ ทาํ ไดห้ ลายรูปแบบ เช่น การจดั นิทรรศการ การประชมุ ทางวชิ าการ เป็นตน้ ในการเสนอผลงาน และจดั แสดงผลงานโครงงานวทิ ยาศาสตร์ ควรนาํ เสนอใหค้ รอบคลุมประเดน็ สาํ คญั ๆ ทงั หมด ของโครงงาน กิจกรรมที . วางแผนจดั ทาํ โครงงานวทิ ยาศาสตร์ทีน่าสนใจอยากรู้มา โครงงาน โดยดาํ เนินการ ดงั นี 1)￿ ระบุประเดน็ ทีสนใจ/อยากรู/้ อยากแกไ้ ขปัญหา ( ประเดน็ ) ระบุเหตุผลทีสนใจ/อยากรู้/อยากแกไ้ ขปัญหา (ทาํ ไม) ระบุแนวทางทีสามารถแกไ้ ขปัญหานีได้ (ทาํ ได)้ ระบุผลดีหรือประโยชนท์ างการแกไ้ ขโดยใชก้ ระบวนการทีระบุ (พิจารณาขอ้ มูลจากขอ้ ) มาเป็นชือโครงงาน 2)￿ ระบุชอื โครงงานทตี อ้ งการแกไ้ ขปัญหาหรือทดลอง 3)￿ ระบุเหตุผลของการทาํ โครงงาน (มวี ตั ถปุ ระสงคอ์ ย่างไร ระบุเป็ นขอ้ ๆ) 4)￿ ระบุตวั แปรทีตอ้ งการศึกษา (ตวั แปรตน้ ตวั แปรตาม และตวั แปรควบคุม) 5)￿ ระบุความคาดเดา (สมมติฐาน) ทีตอ้ งการพิสูจน์

33 . จากขอ้ มูลตามขอ้ ) ใหน้ ักศกึ ษาเขียนเคา้ โครงโครงงานตามประเด็น ดงั นี ) ชือโครงงาน (จาก )............................................................ ) ทีมาและความสาํ คญั ของโครงงาน (จาก )............................ ) วตั ถุประสงคข์ องโครงงาน (จาก )...................................... ) ตวั แปรทีตอ้ งการศึกษา (จาก )........................................... ) สมมติฐานของโครงงาน (จาก )......................................... ) วสั ดุอุปกรณ์และงบประมาณทีตอ้ งใช้ . วสั ดุอปุ กรณ์....................................................... . งบประมาณ....................................................... ) วธิ ีดาํ เนินงาน (ทาํ อย่างไร) ) แผนการปฏบิ ตั ิงาน (ระบุกิจกรรม วนั เดือนปี และสถานทที ปี ฏิบตั ิงาน) กิจกรรม วนั เดอื นปี สถานทปี ฏบิ ตั ิงาน หมายเหตุ 9) ผลทีคาดวา่ จะไดร้ บั (ทาํ โครงงานนีแลว้ มีผลดีอยา่ งไรบา้ ง) ) เอกสารอา้ งองิ (ใชเ้ อกสารใดบา้ งประกอบในการคน้ ควา้ หาความรู้ในการทาํ โครงงานนี) . นาํ เคา้ โครงทีจดั ทาํ แลว้ เสร็จไปขอคาํ ปรึกษาจากอาจารยท์ ีปรึกษา แลว้ ขออนุมตั ิดาํ เนินงาน . ดาํ เนินตามแผนปฏบิ ตั ิงานทีกาํ หนดในเคา้ โครงโครงงาน พร้อมบนั ทกึ ผล ) สภาพปัญหาและแนวทางแกไ้ ข (ถา้ มี) ในแตล่ ะกิจกรรม ) ผลการทดลองทุกครงั เรืองที การนําเสนอโครงงานวิทยาศาสตร์ การแสดงผลงานจดั ไดว้ า่ เป็นขนั ตอนสาํ คญั อกี ประการหนึงของการทาํ โครงงานเรียกไดว้ ่า เป็ นงานขันสุดทา้ ยของการทําโครงงานวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี เป็ นการแสดงผลิตผลของ ความคิด และการปฏบิ ตั กิ ารทงั หมดทผี ทู้ าํ โครงงานไดท้ มุ่ เทเวลาไป และเป็นวธิ ีการทีจะทาํ ใหผ้ ูอ้ ืน รับรู้และเข้าใจถึงผลงานนัน ๆ มีผู้กล่าวว่าการวางแผนออกแบบเพือจัดแสดงผลงานนันมี ความสาํ คญั เท่า ๆ กับการทําโครงงานนันเอง ผลงานทีทําจะดียอดเยียมเพียงใด แต่ถ้าการจดั แสดงผลงานทาํ ไดไ้ ม่ดี กเ็ ท่ากบั ไมไ่ ดแ้ สดงความดียอดเยียมของผลงานนนั นนั เอง การแสดงผลงานนนั อาจทาํ ไดใ้ นรูปแบบต่าง ๆ กัน เช่น การแสดงในรูปนิทรรศการ ซึงมี ทงั การจัดแสดงและการอธิบายด้วยคาํ พูด หรือในรูปแบบของการจดั แสดงโดยไม่มีการอธิบาย ประกอบหรือในรูปของการรายงานปากเปล่า ไม่วา่ การแสดงผลงานจะอยใู่ นรูปแบบใด ควรจะจัด ให้ครอบคลุมประเด็นสาํ คญั ดงั ต่อไปนี

34 1.￿ ชือโครงงาน ชือผทู้ าํ โครงงาน ชือทีปรึกษา 2.￿ คาํ อธิบายถงึ เหตุจูงใจในการทาํ โครงงาน และความสาํ คญั ของโครงงาน 3.￿ วธิ ีการดาํ เนินการ โดยเลอื กเฉพาะขนั ตอนทีเด่นและสาํ คญั 4.￿ การสาธิตหรือแสดงผลทไี ดจ้ ากการทดลอง 5.￿ ผลการสังเกตและขอ้ มลู เด่น ๆ ทีไดจ้ ากการทาํ โครงงาน ในการจดั นิทรรศการโครงงานนนั ควรไดค้ าํ นึงถงึ สิงต่าง ๆ ต่อไปนี 1.￿ ความปลอดภยั ของการจดั แสดง 2.￿ ความเหมาะสมกบั เนือทีจดั แสดง 3.￿ คาํ อธิบายทีเขียนแสดงควรเนน้ ประเด็นสาํ คัญ และสิงทีน่าสนใจเท่านัน โดยใช้ ขอ้ ความกะทดั รัด ชดั เจน และเขา้ ใจง่าย 4.￿ ดึงดูดความสนใจผูเ้ ขา้ ชม โดยใช้รูปแบบการแสดงทีน่าสนใจ ใช้สีทีสดใส เนน้ จุดที สาํ คญั หรือใชว้ สั ดุต่างประเภทในการจดั แสดง 5.￿ ใชต้ ารางและรูปภาพประกอบ โดยจดั วางอย่างเหมาะสม 6.￿ สิงทีแสดงทุกอย่างตอ้ งถกู ตอ้ ง ไม่มีการสะกดผดิ หรืออธิบายหลกั การทีผดิ 7.￿ ในกรณีทีเป็นสิงประดิษฐ์ สิงนนั ควรอย่ใู นสภาพทที าํ งานไดอ้ ย่างสมบูรณ์ ในการแสดงผลงาน ถา้ ผนู้ าํ ผลงานมาแสดงจะตอ้ งอธิบายหรือรายงานปากเปลา่ หรือคาํ ถามต่าง ๆ จากผชู้ มหรือตอ่ กรรมการตดั สินโครงงาน การอธิบายตอบคาํ ถาม หรือรายงานปากเปล่านนั ควรไดค้ าํ นึงถึง สิงตา่ ง ๆ ต่อไปนี 1.￿ ตอ้ งทาํ ความเขา้ ใจกบั สิงทีอธบิ ายเป็นอยา่ งดี 2.￿ คาํ นึงถึงความเหมาะสมของภาษาทีใชก้ บั ระดบั ผฟู้ ัง ควรใหช้ ดั เจนและเขา้ ใจง่าย 3.￿ ควรรายงานอย่างตรงไปตรงมา ไมอ่ อ้ มคอ้ ม 4.￿ พยายามหลกี เลยี งการอา่ นรายงาน แต่อาจจดหวั ขอ้ สาํ คญั ๆ ไว้ เพอื ช่วยให้การรายงาน เป็ นไปตามขนั ตอน 5.￿ อย่าท่องจาํ รายงานเพราะทาํ ใหด้ ูไมเ่ ป็นธรรมชาติ 6.￿ ขณะทีรายงานควรมองตรงไปยงั ผฟู้ ัง 7.￿ เตรียมตวั ตอบคาํ ถามทีเกยี วกบั เรืองนนั ๆ 8.￿ ตอบคาํ ถามอยา่ งตรงไปตรงมา ไมจ่ าํ เป็นตอ้ งกล่าวถึงสิงทีไมไ่ ดถ้ าม 9.￿ หากตดิ ขดั ในการอธิบาย ควรยอมรับโดยดี อย่ากลบเกลือน หรือหาทางหลีกเลยี งเป็ น อย่างอืน 10.￿ควรรายงานให้เสร็จภายในระยะเวลาทีกาํ หนด 11.￿หากเป็นไปไดค้ วรใชส้ ือประเภทโสตทศั นปู กรณ์ ประกอบการรายงานดว้ ย เช่น แผ่นใส หรือสไลด์ เป็ นตน้

35 ขอ้ ควรพจิ ารณาและคาํ นึงถงึ ประเดน็ ต่าง ๆ ทกี ล่าวมาในการแสดงผลงานนนั จะคลา้ ยคลงึ กนั ในการแสดงผลงานทุกประเภท แต่อาจแตกต่างกนั ในรายละเอียดปลกี ย่อยเพียงเล็กนอ้ ย สิงสาํ คญั ก็คือ พยายามให้การแสดงผลงานนนั ดึงดดู ความสนใจผชู้ ม มคี วามชดั เจน เขา้ ใจง่าย และมคี วามถูกตอ้ งในเนือหา การทาํ แผงสาํ หรบั แสดงโครงงานใหใ้ ชไ้ มอ้ ดั มขี นาดดงั รูป 60 ซม. 60 ซม. ซม. ติดบานพบั มหี ่วงรับและขอสับทาํ มมุ ฉากกบั ตวั แผงกลาง ในการเขียนแบบโครงงานควรคาํ นึงถึงสิงต่อไปนี 1.￿ ตอ้ งประกอบดว้ ยชือโครงงานชือผทู้ าํ โครงงาน ชือทีปรึกษา คาํ อธิบายยอ่ ๆ ถึงเหตุจูงใจในการ ทาํ โครงงาน ความสาํ คญั ของโครงงาน วธิ ีดาํ เนินการเลือกเฉพาะขนั ตอนทีสาํ คญั ผลทีไดจ้ ากการทดลองอาจ แสดงเป็นตาราง กราฟ หรือรูปภาพกไ็ ด้ ประโยชน์ของโครงงาน สรุปผล เอกสารอา้ งองิ 2.￿ จดั เนือทีใหเ้ หมาะสม ไมแ่ น่นจนเกนิ ไปหรือน้อยจนเกนิ ไป 3.￿ คาํ อธิบายควรกะทดั รัด ชดั เจน เขา้ ใจง่าย 4.￿ ใชส้ ีสดใส เน้นจดุ สาํ คญั เป็นการดึงดดู ความสนใจ 5.￿ อปุ กรณ์ประเภทสิงประดิษฐ์ควรอยใู่ นสภาพทีทาํ งานไดอ้ ย่างสมบูรณ์ กจิ กรรมที ใหน้ ักศกึ ษาพจิ ารณาขอ้ มูลจากกิจกรรมที มาสรุปผลการศกึ ษาทดลองในรูปแบบของ รายงานการศึกษาทดลองตามประเดน็ ดงั ต่อไปนี 1)￿ ชือโครงงาน................................................................................................. 2)￿ ผทู้ าํ โครงงาน.............................................................................................. 3)￿ ชืออาจารยท์ ีปรึกษา..................................................................................... 4)￿ คาํ นาํ 5)￿ สารบญั

36 6)￿ บทที บทนาํ -￿ ทีมาและความสาํ คญั -￿ วตั ถปุ ระสงค์ -￿ ตวั แปรทีศึกษา -￿ สมมติฐาน -￿ ประโยชนท์ ีคาดว่าจะไดร้ ับ 7)￿ บทที เอกสารทีเกียวขอ้ งกบั การทาํ โครงงาน 8)￿ บทที วิธีการศกึ ษา/ทดลอง -￿ วสั ดอุ ปุ กรณ์ -￿ งบประมาณ -￿ ขนั ตอนการดาํ เนินงาน -￿ แผนปฏิบตั งิ าน 9)￿ บทที ผลการศึกษา/ทดลอง -￿ การทดลองไดผ้ ลอยา่ งไรบา้ ง 10)￿บทที สรุปผลและขอ้ เสนอแนะ -￿ ขอ้ สรุปผลการทดลอง -￿ ขอ้ เสนอแนะ 11)￿เอกสารอา้ งอิง แบบทดสอบบทที เรือง การทาํ โครงงานวทิ ยาศาสตร์ จงเลอื กวงกลมลอ้ มรอบขอ้ คาํ ตอบทถี กู ทีสุดเพียงขอ้ เดยี ว . โครงงานวทิ ยาศาสตร์คืออะไร ก.￿แบบร่างทกั ษะในวิชาวิทยาศาสตร์ ข.￿การวจิ ยั เลก็ ๆ เรืองใดเรืองหนึงในวิชาวิทยาศาสตร์ ค.￿ธรรมชาติของวชิ าวทิ ยาศาสตร์ ง.￿ การศึกษาเพือหาความรู้โดยใชก้ ระบวนการทางวทิ ยาศาสตร์ในการแกป้ ัญหา

37 . โครงงานวทิ ยาศาสตร์มกี ีประเภท ก.￿ ประเภท ข. ประเภท ค.￿ ประเภท ง. ประเภท . โครงงานวิทยาศาสตร์แบบใดทีเหมาะสมทีสุดกบั นักศึกษาระดบั มธั ยมศกึ ษาตอนปลาย ก. โครงงานสาํ รวจ ข. โครงงานทฤษฎี ค. โครงงานทดลอง ง. โครงงานพฒั นา, หรือประดษิ ฐ์ . ขนั ตอนใดไม่จาํ เป็นตอ้ งมีในโครงงานวิทยาศาสตร์ประเภทสาํ รวจ ก.￿ตงั ปัญหา ข.￿สรุปผล ค.￿สมมติฐาน ง.￿ การกาํ หนดตวั แปร . กาํ หนดให้สิงต่อไปนีควรจะตงั ปัญหาอย่างไร นาํ บริสุทธิ นาํ หวาน นาํ เกลอื ชนิดละ ลกู บาศก์ เซนติเมตร ตะเกียงแอลกอฮอล์ เทอร์โมมเิ ตอร์ บกี เกอร์ หลอดทดลองขนาดกลาง หลอดฉีดยา ก. นาํ ทงั สามชนิดมนี าํ หนกั เท่ากนั ข. นาํ ทงั สามชนิดมีรสชาตติ ่างกนั ค. นาํ ทงั สามชนิดมจี ดุ เดือดทีแตกต่างกนั ง. นาํ ทงั สามชนิดมคี วามใสทตี ่างกนั 6.￿ จากคาํ ถามขอ้ อะไรคือ ตวั แปรตน้ ก.￿ ความร้อนจากตะเกียงแอลกอฮอล ์ ข.￿ความบริสุทธิของนาํ ทงั สามชนิด ค.￿ขนาดของหลอดทดลอง ง.￿ อุณหภูมิของหอ้ งขณะทดลอง . ผลการทดลองทางวทิ ยาศาสตร์ทีน่าเชือถอื ไดต้ อ้ งเป็ นอย่างไร ก.￿สรุปผลไดช้ ดั เจนดว้ ยตนเอง ข.￿ทาํ ซาํ หลาย ๆ ครังและผลเหมอื นเดิมทุกครัง ค.￿ครูทปี รึกษารับประกนั ผลงาน ง.￿ ใชอ้ ุปกรณว์ ิทยาศาสตร์ในการทดลองเป็ นจาํ นวนมาก

38 . สิงใดบ่งบอกวา่ โครงงานวิทยาศาสตร์ทีจดั ทาํ นันมีคุณค่า ก.￿ประโยชนท์ ีไดร้ บั ข.￿ขอ้ เสนอแนะ ค.￿ขนั ตอนการทาํ งาน ง.￿ รูปแบบการทาํ โครงงาน . การจดั ทาํ โครงงานวทิ ยาศาสตร์ควรเริมตน้ อย่างไร ก.￿เรืองทเี ป็นทีนิยมทาํ กนั ในปัจจุบนั ข.￿เรืองทแี ปลก ๆ ใหม่ ๆ ยงั ไม่มีใครทาํ ค.￿เรืองทเี ป็นประโยชน์ใกล้ ๆ ตวั ง.￿ เรืองทีลงทุนมาก . โครงงานวิทยาศาสตร์ ทีถูกตอ้ งสมบูรณต์ อ้ งเป็นอย่างไร ก.￿ใชท้ กั ษะกระบวนการทางวทิ ยาศาสตร์ ข.￿ใชว้ ิธีคน้ ควา้ จากห้องสมดุ ค.￿ใชว้ ธิ ีหาคาํ ตอบจากการซกั ถามผรู้ ู้ ง.￿ ใชอ้ ุปกรณ์ทดลองทางวทิ ยาศาสตร์

39 บทที เซลล์ สาระสําคญั ร่างกายมนุษย์ พชื และสตั ว์ ต่างประกอบด้วยเซลล์ จึงต้องเรียนรู้เกียวกับเซลลพ์ ชื และเซลล์สตั ว์ กลไกและการรักษาดุลยภาพของพืชสัตวแ์ ละมนุษยป์ ้ องกนั ดูแลรักษา ภมู คิ ุม้ กนั ร่างกาย กระบวนการแบง่ เซลล์ ผลการเรียนรู้ทีคาดหวัง 1.￿ อธิบายรูปร่าง ส่วนประกอบ ความแตกต่าง ระบบการทาํ งาน การรักษาดุลยภาพของเซลล์พืช และเซลลส์ ตั วไ์ ด้ 2.￿ อธิบายการรักษาดุลยภาพของพืชและสัตว์ และมนุษย์ และการนาํ ความรู้ไปใช้ 3.￿ ศกึ ษา สืบคน้ ขอ้ มูลและอธบิ ายกระบวนการแบ่งเซลลแ์ บบไมโทซิส และโมโอซิสได้ ขอบข่ายเนือหา เรืองที เซลล์ เรืองที กระบวนการแบ่งเซลล์ แบบไมโทซีส และ ไมโอซสิ

40 เรอื งที เซลล์ เซลล์ (Cell) หมายถงึ หน่วยทีเล็กทีสุดของสิงมีชีวติ ซึงจะทาํ หนา้ ทีเป็ นโครงสร้างหน้าทีของการ ประสานและการเจริญเติบโตของสิงมชี ีวติ โครงสร้างพนื ฐานของเซลล์ เซลลท์ วั ไปถึงจะมีขนาด รูปร่าง และหนา้ ทีแตกต่างกันอย่างไรก็ตาม แต่ลักษณะพืนฐานภายใน เซลลม์ กั ไม่แตกต่างกนั ซึงจะประกอบดว้ ยโครงสรา้ งพืนฐานทีคลา้ ยคลงึ กนั ดงั นี . ส่ วนห่อหุ้มเซลล์ เป็ นส่วนของเซลล์ทีทําหน้าทีห่อหุม้ องคป์ ระกอบภายในเซลลใ์ ห้คงรูป อยู่ได้ ไดแ้ ก่ . เยอื หุ้มเซลล์ (Cell membrane) เยือหุม้ เซลลม์ ีชือเรียกไดห้ ลายอยา่ ง เช่น พลาสมา เมมเบรน (Plasma membrane) ไซโทพลาสมิก เมมเบรน (Cytoplasmic membrane) เยือหุ้มเซลล์ ประกอบด้วยโปรตีนประมาณ % ลิพิดประมาณ % โปรตีนส่วนใหญ่เป็ นโปรตีนทีอยูร่ วมกับ คาร์โบไฮเดรต (Glycoprotein) และโปรตีนเมือก (Mucoprotein) ส่วนลิพิดส่วนใหญ่จะเป็นฟอสโฟลิพิด (Phospholipid) และคลอเลสเทอรอล (Cholesterol) การเรียงตัวของโปรตีนและลิพิดจัดเรี ยงตัว เป็ นสารประกอบเชิงซ้อน โดยมีลพิ ิดอยู่ตรงกลาง และโปรตีนหุม้ อยทู่ ังสองดา้ น ชนั ของลิพิดจัดเรียงตวั เป็ น ชัน โดยหันดา้ นทีมปี ระจุออกด้านนอก และหันดา้ นทีไมม่ ีประจุ (Nonpolar) เข้าด้านในการเรียงตัว ในลกั ษณะเชน่ นี เรียกวา่ ยนู ิต เมมเบรน (Unit membrane) ภาพแสดงเยอื หุ้มเซลล์

41 หน้าทีของเยือหุ้มเซลล์ คอื . ห่อหุ้มส่วนของโพรโทพลาสซึมทีอยขู่ า้ งใน ทาํ ให้เซลลแ์ ต่ละเซลลแ์ ยกออกจากกนั นอกจากนี ยงั หุ้มออแกเนลล์ อีกหลายชนิดดว้ ย 2. ช่วยควบคุมการเขา้ ออกของสารต่างๆ ระหว่างภายในเซลลแ์ ละสิงแวดลอ้ ม เรียกว่า มีคุณสมบตั ิ เป็ น เซมิเพอร์มเี อเบิล เมมเบรน (Semipermeable membrane) ซึงจะยนิ ยอมให้สารบางชนิดเทา่ นัน ทผี ่านเขา้ ออกได้ ซึงการผ่านเขา้ ออกจะมีอตั ราเร็วทีแตกต่างกนั . ผนงั เซลล์ (Cell wall) เป็ นส่วนทีอย่นู อกเซลล์ พบไดใ้ นสิงมชี วี ิตหลายชนิด เช่น เซลล์ พืช สาหร่าย แบคทีเรีย และรา ผนงั เซลล์ทาํ หน้าทีป้ องกันและให้ความแขง็ แรงแก่เซลล์ โดยทีผนงั เซลล์ เป็นส่วนทไี ม่มีชีวิตของเซลล์ ผนงั เซลลพ์ ืชประกอบดว้ ยสารพวกเซลลโู ลส เพกทิน ลิกนิน คิวทนิ และซูเบอริน เป็ นองค์ประกอบอยู่ การติดต่อระหว่างเซลล์พชื อาศยั พลาสโมเดสมาตา (Plasmodesmata) เป็ นสายใยของ ไซโทพลาสซึมในเซลลห์ นึงทีทะลุผา่ นผนังเซลลเ์ ชือมต่อกบั ไซโทพลาสซึมของอกี เซลลห์ นึง ซึงเกียวขอ้ ง กบั การลาํ เลียงสารระหว่างเซลล์ . สารเคลอื บเซลล์ (Cell coat) เป็ นสารทีเซลล์สร้างขึนมาเพือห่อหุ้มเซลลอ์ ีกชนั หนึง เป็ นสารทีมีความแข็งแรง ไม่ละลายนาํ ทาํ ใหเ้ ซลลค์ งรูปร่างได้ และช่วยลดการสูญเสียนาํ ในเซลลส์ ัตว์ สารเคลอื บเซลลเ์ ป็นสารพวกไกลโคโปรตีน (Glycoprotein) โดยเป็ นโปรตีน ทีประกอบด้วย Simple protein (โปรตีนทีเมอื สลายตัวแลว้ ให้กรดอะมิโนอยา่ งเดียว) กบั คาร์โบไฮเดรต สารเคลือบเซลล์นีเป็ นส่วนสําคัญทีทาํ ให้เซลลช์ นิดเดียวกนั จดจาํ กนั ได้ และเกาะกลุ่มกันเป็ นเนือเยือเป็ น อวยั วะขึน ถา้ หากสารเคลอื บเซลลน์ ีผิดปกติไปจากเดิมเป็ นผลให้เซลลจ์ ดจาํ กนั ไม่ได้ และขาดการติดต่อ ประสานงานกนั เซลลเ์ หลา่ นีจะทาํ หน้าทผี ดิ แปลกไป เช่น เซลลม์ ะเร็ง (Cencer cell) เซลล์มะเร็งเป็ นเซลล์ที มีความผิดปกติหลาย ๆ ประการ แต่ทีสําคญั ประการหนึง คือ สารเคลือบเซลล์ ผดิ ไปจากเดิม ทาํ ใหก้ าร ติดต่อและประสานงานกบั เซลลอ์ ืนๆ ผิดไปดว้ ย เป็ นผลให้เกิดการแบ่งเซลล์อยา่ งมากมาย และไมส่ ามารถ ควบคุมการแบง่ เซลลไ์ ด้ จึงเกิดเป็นเนือร้ายและเป็ นอนั ตรายต่อชีวิต เนืองจากเซลล์มะเร็งตอ้ งใชพ้ ลงั งาน และสารจาํ นวนมาก จึงรุกรานเซลลอ์ นื ๆ ให้ไดร้ ับอนั ตราย ในพวกเห็ด รา มีสารเคลือบเซลลห์ รือผนงั เซลล์เป็ นสารพวกไคทิน (Chitin) ซึงเป็ นสาร ประเภทเดียวกนั กบั เปลอื กกุง้ และแมลง ไคทินจดั เป็ นคาร์โบไฮเดรตชนิดหนึง ซึงประกอบดว้ ยหน่วยยอ่ ย คือ N - acetyl glucosamine มายดึ เกาะกนั ดว้ ย B - , glycosidic bond สารเคลอื บเซลลห์ รือผนงั เซลล์ของพวกสาหร่ายไดอะตอม (Diatom) มีสารซิลกิ า (Silica) ซงึ เป็นสารพวกแกว้ ประกอบอยทู่ าํ ให้มองดูเป็นเงาแวววาว . โพรโทพลาสซึม (Protoplasm) โพรโทพลาสซมึ เป็นส่วนของเซลลท์ อี ยู่ภายในเยอื หุม้ เซลล์ทงั หมด ทาํ หนา้ ทีเกียวข้องกบั การเจริญ และการดาํ รงชีวิตของเซลล์ โพรโทพลาสซึมของเซลลต์ ่าง ๆ จะประกอบดว้ ยธาตุทีคลา้ ยคลึงกนั ธาตุหลกั คือ คาร์บอน ไฮโดรเจน ออกซเิ จน และไนโตรเจน ซึงรวมกนั ถงึ % ส่วนธาตุทีมนี ้อยก็คือ ทองแดง สังกะสี

42 อะลูมเิ นียม โคบอลต์ แมงกานีส โมลบิ ดินมั และโบรอน ธาตุต่าง ๆ เหล่านีจะรวมตวั กันเป็ นสารประกอบต่าง ๆ ทีจาํ เป็นต่อการดาํ รงชีวิตของเซลล์ และสิงมชี วี ติ โพรโทพลาสซึม ประกอบด้วย ส่วน คือ ไซโทพลาสซึม (Cytoplasm) และนิวเคลียส (Nucleus) . ไซโทพลาสซึม (Cytoplasm) คือส่วนของโพรโทพลาสซึมทีอยูน่ อกนิวเคลียส โดยทวั ไป ประกอบดว้ ย 2.1.1 ออร์แกเนลล์ (Organell) เป็นส่วนทีมชี ีวติ ทาํ หนา้ ทีคลา้ ยๆ กบั อวยั วะของเซลล์ แบง่ เป็นพวกทมี ีเยอื หุ้ม และพวกทีไมม่ ีเยอื หุ้ม ออร์แกเนลทีมเี ยอื หุ้ม (Membrane b bounded organell) ได้แก่ ) ไมโทคอนเดรีย (Mitochondria) พบครงั แรกโดยคอลลกิ เกอร์ (Kollicker) ไมโทคอนเดรีย ส่วนใหญ่จะมีรูปร่างกลม ท่อนสัน ท่อนยาว หรือกลมรีคลา้ ยรูปไข่ โดยทัวไปมีขนาด เสน้ ผ่านศนู ยก์ ลาง ประมาณ . - ไมครอน และยาว - ไมครอน ประกอบดว้ ยสารโปรตีน ประมาณ - % และลิพิด ประมาณ - % ไมโทคอนเดรียเป็ นออร์แกเนลลท์ ีมียนู ิต เมมเบรน หุ้ม ชนั (Double unit membrane) โดยเนือเยือชนั นอกเรียบมคี วามหนาประมาณ - องั ตรอม เยือชนั ในพบั เขา้ ดา้ นในเรียกวา่ คริสตี (Cristae) มคี วามหนาประมาณ - องั ตรอม ภายในไมโทคอนเดรียมีของเหลวซึงประกอบด้วยสารหลายชนิด เรียกวา่ มาทริกซ์ (Matrix) ไมโทคอนเดรียนอกจากจะมสี ารประกอบเคมหี ลายชนิดแลว้ ยงั มีเอนไซม์ทีสาํ คญั ในการสร้างพลงั งานจากการหายใจ โดยพบเอนไซม์ ทเี กียวขอ้ งกบั วฏั จกั รเครบส์ (Krebs cycle) ในมาทริกซ์ และพบเอนไซมใ์ นระบบขนส่งอเิ ลก็ ตรอน (Electron transport system) ทีคริสตีของเยอื ชนั ใน นอกจากนียงั พบ เอนไซมใ์ นการสังเคราะห์ DNA สังเคราะห์ RNA และโปรตนี ดว้ ย จาํ นวนของไมโทคอนเดรียในเซลลแ์ ต่ละชนิด จะมีจํานวนไม่แน่นอนขึนอยกู่ ับชนิดและ กิจกรรมของเซลล์ โดยเซลลท์ มี ีเมตาบอลิซึมสูง จะมีไมโทคอนเดรียมาก เชน่ เซลลต์ บั เซลลไ์ ต เซลลก์ ลา้ มเนือ หวั ใจ เซลลต์ ่อมต่าง ๆ เซลลท์ ีมเี มตาบอลิซึมตาํ เช่น เซลลผ์ ิวหนงั เซลล์เยือเกียวพนั จะมไี มโทคอนเดรียนอ้ ย การทีไมโทคอนเดรีย มี DNA เป็ นของตวั เอง จึงทาํ ใหไ้ มโทคอนเดรียสามารถทวีจาํ นวนได้ และยงั สามารถ สงั เคราะหโ์ ปรตีนทีจาํ เป็นต่อการทาํ งานของไมโทคอนเดรียได้ หนา้ ทขี องไมโทคอนเดรีย คือเป็ นแหล่งสร้างพลงั งานของเซลลโ์ ดยการหายใจ ระดับเซลล์ ในชว่ งวฏั จกั รเครบส์ ทีมาทริกซแ์ ละระบบขนส่งอเิ ล็กตรอนทีคริสตี ) เอนโดพลาสมกิ เรตคิ ูลัม (Endoplasmic reticulum : ER) เป็ นออร์แกเนลลท์ ีมี เมมเบร นห่อหุม้ ประกอบดว้ ยโครงสร้างระบบท่อทีมีการเชือมประสานกนั ทงั เซลล์ ส่วนของท่อยงั ติดต่อกบั เยอื หุม้ เซลล์ เยือหุ้มนิวเคลียสและกอลจิบอดีด้วย ภายในท่อมีของเหลวซึงเรียกว่า ไฮยาโลพลาสซึม (Hyaloplasm) บรรจุอยู่ เอนโดพลาสมเิ รติคลู มั แบ่งออกเป็ น ชนดิ คอื . ) เอนโดพลาสมิกเรติคูลัมชนิดเรียบ (Smooth endoplasmic reticulum : SER) เป็ นชนิดทีไม่มีไรโบโซมเกาะ มีหน้าทีสาํ คญั คือลาํ เลยี งสารต่าง ๆ เช่น RNA ลิพิตโปรตีนสงั เคราะหส์ าร


Like this book? You can publish your book online for free in a few minutes!
Create your own flipbook