Important Announcement
PubHTML5 Scheduled Server Maintenance on (GMT) Sunday, June 26th, 2:00 am - 8:00 am.
PubHTML5 site will be inoperative during the times indicated!

Home Explore วิทยาศาตร์ พว31001

วิทยาศาตร์ พว31001

Published by clube.indy, 2020-04-18 01:11:11

Description: วิทยาศาตร์ พว31001

Search

Read the Text Version

193 พลาสติกรีไซเคลิ ( Plastic recycle)￿ การแปรรูปของใชแ้ ลว้ กลบั มาใชใ้ หม่ หรือกระบวนการทเี รียกวา่ \"รีไซเคิล\" คือ การนาํ เอาของเสียที ผ่านการใชแ้ ลว้ กลบั มาใชใ้ หม่ทอี าจเหมอื นเดิม หรือไม่เหมือนเดิมกไ็ ด้ ของใชแ้ ลว้ จากภาคอุตสาหกรรม นาํ กลบั มาใชใ้ หม่ ไดแ้ ก่ กระดาษ แกว้ กระจก อะลูมเิ นียม และพลาสตกิ \"การรีไซเคิล\" เป็นหนึงในวิธกี าร ลดขยะ ลดมลพษิ ให้กบั สภาพแวดลอ้ ม ลดการใชพ้ ลงั งานและลดการใชท้ รัพยากรธรรมชาตขิ องโลกไมใ่ ห้ ถกู นาํ มาใชส้ ินเปลืองมากเกนิ ไป การแปรรูปของใช้แล้วกลบั มาใช้ใหม่มกี ระบวนการอยู่ 4 ขนั ตอน ได้แก่ 1. การเกบ็ รวบรวม 2. การแยกประเภทวสั ดุแต่ละชนิดออกจากกนั 3. การผลิตหรือปรับปรุง 4. การนาํ มาใชป้ ระโยชนใ์ นขนั ตอนการผลติ หรือปรับปรุงนนั วสั ดุทีแตกตา่ งชนิดกนั จะมีกรรมวธิ ี ในการผลติ แตกตา่ งกนั เช่น ขวด แกว้ ทีต่างสี พลาสติกทีตา่ งชนิด หรือกระดาษทีเนือกระดาษ และสีที แตกตา่ งกนั ตอ้ งแยกประเภทออกจากกนั ปัจจุบนั เราใชพ้ ลาสติกฟุ่มเฟื อยมาก แต่ละปี ประเทศไทยมขี ยะพลาสติกจาํ นวนมาก ซึงเป็นปัญหา ดา้ นสิงแวดลอ้ มของโลก จึงมีความพยายามคิดคน้ ทาํ พลาสติกทีย่อยสลายทางชวี ภาพ (Biodedradable) มาใช้ แทน แต่พลาสตกิ บางชนิดยงั ไมส่ ามารถย่อยสลายทางชีวภาพได้ ในทางปฏบิ ตั ิยงั คงกาํ จดั ขยะพลาสติกดว้ ย วธิ ีฝังกลบใตด้ นิ และเผา ซึงกอ่ ใหเ้ กิดปัญหาดา้ นสิงแวดลอ้ มตามมา วธิ ีทีดีทีสุดในการดูแลสิงแวดลอ้ ม

194 เกียวกบั ขยะพลาสติก คือ ลดปริมาณการใช้ใหเ้ หลอื เท่าทีจาํ เป็ น และมกี ารนาํ พลาสติกบางชนิด กลบั ไปผ่านบางขนั ตอนในการผลิต แลว้ นาํ กลบั มาใชง้ านใหมไ่ ด้ตามเดิม อุตสาหกรรมพลาสติก ประเทศ สหรฐั อเมริกา (The Society of Plastics Industry ; SPI) ไดก้ าํ หนดสัญลกั ษณ์เพอื บ่งชีประเภทของพลาสติกรี ไซเคิล ซึงจะกาํ กบั ไวใ้ นผลติ ภณั ฑ์สินคา้ ทีทาํ ดว้ ยพลาสตกิ ดงั ต่อไปนี พลาสติกกลุ่มที 1 คือ เพท (PETE) สัญลักษณ์คือ 1 เป็ น พลาสตกิ ทีส่วนใหญ่มีความใส มองทะลุได้ มคี วามแขง็ แรง ทนทา นแล ะเหนี ยวป้ อ งกันกา รผ่ าน ของก๊ าซได้ดีมี จุดหลอมเหลว 250 - 260 องศาเซลเซียส มีความหนาแน่น 1.38 - 1.39 นิยมนาํ มาใชท้ าํ บรรจภุ ณั ฑ์ตา่ ง ๆ เชน่ ขวดนาํ ดืม ขวดนาํ ปลา ขวดนาํ มนั พืช เป็นตน้ พลาสติกกลุ่มที 2 คือ HDPE สญั ลกั ษณค์ ือ 2 เป็นพลาสติก ทมี ีความหนาแน่นสูง คอ่ นขา้ งนิม มีความเหนียวไม่แตกง่าย มีจดุ หลอมเหลว 130 องศาเซลเซียส มคี วามหนาแน่น 0.95 - 0.92 นิยมนาํ มาใชท้ าํ บรรจุภณั ฑ์ทาํ ความสะอาด เช่น แชมพู ถุงรอ้ นชนดิ ข่นุ ขวดนม เป็นตน้ พลาสติกกลุ่มที 3 คือ พีวีซี (PVC) สัญลกั ษณ์คือ 3 เป็ น พลาสติกทีมีลักษณะทังแข็งและนิม สามารถผลิตเป็ น ผลิตภณั ฑไ์ ดห้ ลายรูปแบบ มสี ีสันสวยงาม มจี ุดหลอมเหลว 75 - 90 องศาเซลเซียส เป็ นพลาสติกทีนิยมใช้มาก เชน่ ท่อพวี ซี ี สายยาง แผ่นฟิ ล์มห่ออาหาร เป็นตน้ พลาสตกิ กลุ่มที 4 คอื LDPE สญั ลกั ษณ์คอื 4 เป็นพลาสตกิ ทีมีความหนาแน่นตาํ มีความนิมกว่า HDPE มีความเหนียว ยืด ตัว ไ ด้ใ น ร ะ ดับ ห นึ ง ส่ ว น ใ หญ่ ใ ส ม อ ง เ ห็ น ไ ด้ จุดหลอมเหลว 110 องศาเซลเซียส มีความหนาแน่น 0.92 - 0.94 นิยมนาํ มาใชท้ าํ แผน่ ฟิ ลม์ ห่ออาหารและห่อของ

195 พลาสติกกล่มุ ที 5 คือ pp สญั ลกั ษณ์คอื 5 เป็นพลาสตกิ ทีส่วน ใหญ่มีความหนาแน่นค่อนข้างตํา มีความแข็งและเหนียว คงรูปดี ทนตอ่ ความร้อน และสารเคมี มจี ดุ หลอมเหลว 160 - 170 องศาเซลเซียส ความหนาแน่น 0.90 - 0.91 นิยมนํามาใช้ ทาํ บรรจุภัณฑ์สําหรับอาหารในครัวเรือน เชน่ ถุงร้อนชนิด ใส จาน ชาม อุปกรณ์ไฟฟ้ าบางชนดิ พลาสติกกลุ่มที 6 คือ PS สัญลักษณ์คือ 6 เป็ นพลาสติกทมี ี ความใส แขง็ แต่เปราะแตกง่าย สามารถทาํ เป็ นโฟมได้ มีจุด หลอมเหลว 70 - 115 องศาเซลเซียส ความหนาแน่น 0.90 - 0.91 นิยมนาํ มาใชท้ าํ บรรจุภัณฑ์ เช่น กล่องไอศกรีม กลอ่ ง โฟม ฯลฯ พลาสตกิ กลมุ่ ที 7 คอื อนื ๆ เป็นพลาสตกิ ทีนอกเหนอื จาก พลาสติกทงั 6 กลุ่ม พบมากมายหลากหลายรูปแบบ . . ยางและยางสังเคราะห์ ยางธรรมชาติ คอื วสั ดุพอลเิ มอร์ทีมีตน้ กาํ เนิดจากของเหลวของพชื บางชนดิ ซึงมีลกั ษณะ เป็ นของเหลวสีขาว คลา้ ยนาํ นม มสี มบตั เิ ป็นคอลลอยด์ อนุภาคเล็ก มตี วั กลางเป็นนาํ ประวัติยางธรรมชาติ ไมส่ ามารถแสดงรูปนไี ดใ้ นขณะนี ยางธรรมชาติเป็ นนํายางจากตน้ ไมย้ ืนต้น มีชือเรี ยกอีกชือหนึง คือ นํายางจากต้นยาง ยางพาราหรือตน้ ยางพารา ยางพารามีถนิ กาํ เนิดบริเวณลุ่มนําอเมซอน ประเทศ บราซิล และเปรู ในทวีปอเมริกาใต้ ซึงชาวอนิ เดยี นแดงเผา่ มายนั ในอเมริกากลาง ไดร้ ู้จกั การนาํ ยางพารามาใชก้ อ่ นปี พ.ศ. โดยการจุ่มเทา้ ลงในนาํ ยางดิบ เพือ ทาํ เป็นรองเทา้ ส่วนเผ่าอนื ๆ ก็นาํ ยางไปใชป้ ระโยชน์ ในการทาํ ผา้ กนั ฝน ทาํ ขวด ใส่นํา และทาํ ลูกบอลยางเล่นเกมส์ต่าง ๆ เป็ นต้น จนกระทงั คริสโตเฟอร์ โคลมั บสั ไดเ้ ดินทางมาสาํ รวจทวปี อเมริกาใต้ ในระหว่างปี พ.ศ. - และ ได้พบกับชาวพืนเมืองเกาะเฮติทีกําลงั เล่นลกู บอลยางซึงสามารถกระดอนได้ ทาํ ให้คณะผเู้ ดนิ ทางสาํ รวจประหลาดใจจึงเรียกวา่ \"ลกู บอลผีสิง\"

196 ต่อมาในปี พ.ศ. นกั วทิ ยาศาสตร์ชาวฝรังเศสชือชาลส์ มารีเดอลา คองตามีน์ (Charles Merie de la Condamine) ได้ให้ชือเรียกยางตามคาํ พนื เมืองของชาวไมกาว่า \"คาโอชู\" (Caoutchouc) ซึงแปลว่าต้นไม้ ร้องไห้ และใหช้ ือเรียกของเหลวทีมีลกั ษณะขนุ่ ขาวคลา้ ยนาํ นมซึงไหลออกมาจากต้นยาง เมือกรีดเป็ นรอย แผลว่า ลาเทกซ์ (latex) และใน พ.ศ. ฟาราเดย์ (Faraday) ได้รายงานว่ายางธรรมชาติเป็ นสารที ประกอบดว้ ย ธาตุคาร์บอนและไฮโดรเจน มีสูตรเอมไพริเคิล คือ C H หลงั จากนัน จึงไดม้ กี ารปรับปรุง สมบตั ิของยางพาราเพอื ให้ใชง้ านไดก้ วา้ งขึนเพือตอบสนองความตอ้ งการของมนุษย์ การผลิตยางธรรมชาติ แหล่งผลิตยางธรรมชาติทีใหญ่ทีสุดในโลกคือ แถบเอเชียตะวนั ออกเฉียงใต้คิดเป็ นร้อยละ ของ แหล่งผลิตทงั หมด ส่วนทเี หลือมาจากแอฟริกากลาง ซึงพนั ธุ์ยางทีผลติ ในเอเชียตะวนั ออกเฉียงใต้ คือ พนั ธุ์ฮเี วียบราซิลเลยี นซสิ (Hevea brasiliensis) นาํ ยางทีกรีดไดจ้ ากตน้ จะเรียกว่านาํ ยางสด (field latex) นาํ ยาง ทีไดจ้ ากตน้ ยางมีลกั ษณะเป็นเมด็ ยางเล็ก ๆ กระจายอยใู่ นนาํ (emulsion) มีลกั ษณะเป็ นของเหลวสีขาว มีสภาพ เป็นคอลลอยด์ มีปริมาณของแข็งประมาณร้อยละ - pH . - นาํ ยางมคี วามหนาแน่นประมาณ . - . กรัมตอ่ มลิ ลิลิตร มคี วามหนืด - เซนติพอยส์ ส่วนประกอบในนาํ ยางสดแบ่งออกไดเ้ ป็น ส่วน คือ 1.￿ ส่วนทีเป็นเนือยาง % 2.￿ ส่วนทีไม่ใชย่ าง % 2.1￿ ส่วนทีเป็นนาํ % 2.2￿ ส่วนของลทู อยด์ % นาํ ยางสดทีกรีดไดจ้ ากตน้ ยาง จะคงสภาพความเป็นนาํ ยางอย่ไู ดไ้ ม่เกิน ชัวโมง เนืองจากแบคทีเรีย ในอากาศ และจากเปลือกของตน้ ยางขณะกรีดยางจะลงไปในนาํ ยาง และกินสารอาหารทีอยใู่ นนาํ ยาง เช่น โปรตีน นาํ ตาล ฟอสโฟไลปิ ด โดยแบคทีเรียจะเจริญเติบโตอยา่ งรวดเร็ว ปฏกิ ิริยาทีเกิดขึนหลงั จากแบคทีเรีย กินสารอาหาร คือ จะเกิดการยอ่ ยสลายไดเ้ ป็นก๊าซชนิดต่าง ๆ เช่น ก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ ก๊าซมีเทน เริม เกิดการบดู เน่าและส่งกลนิ เหมน็ การทีมีกรดทีระเหยง่ายเหลา่ นีในนาํ ยางเพิมมากขึน จะส่งผลใหค้ ่า pH ของ นาํ ยางเปลียนแปลงลดลง ดงั นันนํายางจึงเกิดการสูญเสียสภาพ ซึงสงั เกตไดจ้ าก นาํ ยางจะค่อย ๆ หนืดขึน เนืองจากอนุภาคของยางเริมจบั ตวั เป็นเม็ดเลก็ ๆ และจบั ตวั เป็นกอ้ นใหญข่ ึน จนนาํ ยางสูญเสียสภาพโดยนาํ ยางจะแยกเป็น ส่วน คอื ส่วนทีเป็นเนือยาง และส่วนทีเป็นเซรุ่ม[ ] ดงั นนั เพอื ป้ องกนั การสูญเสียสภาพของ นาํ ยางไม่ใหอ้ นุภาคของเม็ดยางเกิดการรวมตัวกันเองตามธรรมชาติ จึงมีการใส่สารเคมีลงไปในนํายาง เพือเก็บรกั ษานาํ ยางใหค้ งสภาพเป็นของเหลว โดยสารเคมีทีใช้ในการเก็บรักษานาํ ยางเรียกว่า สารป้ องกนั การจับตัว (Anticoagulant) ไดแ้ ก่ แอมโมเนีย โซเดียมซลั ไฟด์ ฟอร์มาลดีไฮด์ เป็ นตน้ เพือทีรักษานํายางไม่ให้เสีย สูญเสียสภาพ

197 การนาํ ยางธรรมชาติไปใชง้ านมีอยู่ รูปแบบคือ รูปแบบนาํ ยาง และรูปแบบยางแห้ง ในรูปแบบนํา ยางนนั นาํ ยางสดจะถูกนาํ มาแยกนาํ ออกเพือเพิมความเขม้ ขน้ ของเนือยางขนั ตอนหนึงก่อนดว้ ยวธิ ีการต่าง ๆ แต่ทีนิยมใชใ้ นอุตหสาหกรรมคือการใชเ้ ครืองเซนตริฟิ วส์ ในขณะทีการเตรียมยางแห้งนนั มกั จะใชว้ ิธีการ ใส่กรดอะซิตกิ ลงในนาํ ยางสด การใส่กรดอะซิติกเจือจางลงในนํายาง ทาํ ให้นาํ ยางจับตัวเป็นกอ้ น เกิดการ แยกชนั ระหว่างเนือยางและนาํ ส่วนนาํ ทีปนอยู่ในยางจะถูกกาํ จดั ออกไปโดยการรีดดว้ ยลกู กลงิ ลูกกลิง วิธีการหลกั ๆ ทีจะทาํ ให้ยางแห้งสนิทมี วธิ ีคือ การรมควนั ยาง และการทาํ ยางเครพ แต่เนืองจากยางผลิต ไดม้ าจากเกษตรกรจากแหลง่ ทีแตกต่างกนั ทาํ ให้ตอ้ งมกี ารแบ่งชนั ของยางตามความบริสุทธิของยางนัน ๆ รูปแบบของยางธรรมชาติ ยางธรรมชาติสามารถแบ่งออกเป็นหลายประเภทตามลกั ษณะรูปแบบของยางดิบ ไดแ้ ก่ ท￿ นาํ ยาง o￿ นาํ ยางสด o￿ นาํ ยางขน้ ท￿ ยางแผน่ ผงึ แหง้ : ยางทีไดจ้ ากการนํานาํ ยางมาจบั ตัวเป็ นแผ่นโดยสารเคมที ีใชจ้ ะตอ้ งตามเกณฑ์ที กาํ หนด ส่วนการทาํ ใหแ้ หง้ อาจใชว้ ิธีการผงึ ลมในทีร่ม หรือ อบในโรงอบก็ไดแ้ ต่ตอ้ งปราศจากควนั ท￿ ยางแผ่นรมควนั ท￿ ยางเครพ ท￿ ยางแท่ง : ก่อนปี ยางธรรมชาตทิ ีผลิตขึนมา ส่วนใหญ่จะผลติ ในรูปของยางแผ่นรมควนั ยางเครพ หรือนาํ ยางข้น ซึงยางธรรมชาติเหลา่ นีจะไม่มีการระบุมาตรฐานการจดั ชันยางทีชดั เจน ตามปกติจะใชส้ ายตาในการพิจารณาตัดสินชนั ยาง ต่อมาในปี สถาบนั วิจยั ยางมาเลเซีย (Rubber Research Institute of Malaysia) ได้มีการผลิตยางแท่งขึนเป็ นแห่งแรก เพือเป็ นการ ปรับปรุงและพฒั นาคุณภาพของยางธรรมชาตใิ หไ้ ดม้ าตรฐาน เหมาะสมกบั การใชง้ าน จนทาํ ให้ยาง แทง่ เป็นยางธรรมชาติชนิดแรกทีผลติ มาโดยมกี ารควบคุมคุณภาพให้ได้มาตรฐาน ตลอดจนมีการ ระบุคุณภาพของยางดิบทีผลิตไดแ้ น่นอน ท￿ ยางแท่งความหนืดคงที : เป็นยางทีผลิตขึน เพือใช้ในอุตสาหกรรมทาํ ผลิตภณั ฑท์ ีตอ้ งการควบคุม ความหนืดของยางทีใชใ้ นการแปรรูป เชน่ อุตสาหกรรมยางท่อ อุตสาหกรรมทาํ กาว ท￿ ยางสกิม : ยางสกิมเป็นยางธรรมชาติทีไดจ้ ากการจบั ตวั นาํ ยางสกิม (skim latex) ดว้ ยกรดแลว้ นาํ ยาง ทีไดไ้ ปทาํ การรีดแผ่นและทาํ ใหแ้ หง้ โดยนาํ ยางสกิมเป็นนาํ ส่วนทีเหลอื จากการทาํ นาํ ยางขน้ ดว้ ยการนาํ นาํ ยางสดมาทาํ การเซนตริฟิ วส์ แยกอนุภาคเมด็ ยางออกจากนาํ ซงึ อนุภาคเมด็ ยางเบากวา่ นาํ ส่วนใหญ่จึงแยกตวั ออกไปเป็นนาํ ยางขน้ นาํ ยางขน้ ทีไดม้ ปี ริมาณเนือยางอยรู่ อ้ ยละ –

198 ซึงนาํ ยางสกิม คือ ส่วนทีเหลือจากการเซนตริฟิ วส์แยกเนือยางส่วนใหญ่ออกไปแลว้ กย็ งั มสี ่วนของ เนือยางออกมาดว้ ย ซึงเป็นเนือยางทีมขี นาดอนุภาคเลก็ ๆ มปี ริมาณเนือยางอยูร่ ้อยละ - การผสมยางธรรมชาตกิ ับพอลิเมอร์ชนดิ อนื ยางธรรมชาติเป็ นยางทมี ีสมบตั ิเด่นดา้ นความเหนียวติดกนั ทีดี, สมบัติดา้ นการขึนรูปทีดี, ความร้อน สะสมในขณะการใชง้ านตาํ เป็นตน้ แต่ก็มีสมบตั ิบางประการทีเป็ นขอ้ ดอ้ ย ดังนนั ในการแกไ้ ขข้อด้อยนัน สามารถทาํ ไดโ้ ดยการเลือกเอาสมบตั ิทีดีจากยางสงั เคราะห์ชนิดอืนมาทดแทน เช่น สมบตั ิดา้ นความทนทาน ต่อการขดั ถูของยางบิวตาไดอีน (BR), สมบัติความทนทานต่อนํามันของยางไนไตรล์ (NBR), สมบัติ ความทนทานต่อความร้อนและโอโซนของยาง EPDM เป็ นตน้ โดยการผสมยางธรรมชาติกบั ยางสังเคราะห์ เหล่านีเขา้ ดว้ ยกนั แต่การทีจะผสมใหเ้ ขา้ กนั ไดน้ นั ยางสังเคราะห์ชนิดนนั ๆ ตอ้ งไมม่ ีความเป็ นขวั เหมือนกบั ยางธรรมชาติ จึงจะทาํ ให้ยางผสมรวมเขา้ กนั เป็นเฟสเดียวกันไดด้ ีขึน เช่น ยาง BR, SBR, EPDM และ NBR (เกรดทีมีอะคริโลไนไตรลต์ าํ ๆ) ซึงปัจจยั ทีมีผลโดยตรงต่อสมบตั ขิ องยางผสมทีไดน้ นั มดี งั นี ความหนืดของยาง ยางธรรมชาติก่อนทีจะทําการผสมต้องทาํ การบดเพือลดความหนืดในตอนเริมตน้ การผสมใหเ้ ทา่ กบั ยางสงั เคราะห์หรือใกลเ้ คียง ซึงจะทาํ ให้ยางทงั สองผสมเขา้ กนั ไดด้ ีขึน ท￿ ระบบการวลั คาไนซ์ของยาง ระบบทีใชใ้ นการวลั คาไนซ์ตอ้ งมีความเหมอื นหรือแตกต่างกนั ไมม่ ากนกั เพอื ป้ องกนั การแยกเฟสของยางผสมขณะทีทาํ การผสมยาง ท￿ ความเป็ นขัวของยาง ในกรณีทีทําการผสมยางทีมีความเป็ นขวั แตกต่างกนั มาก ควรพิจารณาถึง ความสามารถในการกระจายตวั ของสารเคมีในยางแตล่ ะชนิด โดยเฉพาะสารตัวเร่งและสารตวั เติม เพราะสารเหล่านีมีแนวโนม้ ทีจะกระจายตวั ไดด้ ีในยางทีมีความเป็นขวั ซึงอาจส่งผลให้ยางผสม มสี มบตั ิตาํ ลงจากทีควรจะเป็ น หากการกระจายตวั ของสารเคมไี มด่ เี ทา่ ทคี วร ยางสังเคราะห์ไดม้ กี ารผลติ มานานแลว้ ตงั แต่ ค.ศ. ซึงสาเหตทุ ีทาํ ใหม้ ีการผลติ ยางสงั เคราะห์ ขึนในอดีต เนืองจากการขาดแคลนยางธรรมชาตทิ ีใชใ้ นการผลิตอาวุธยุทโธปกรณ์และปัญหาในการขนส่ง จากแหล่งผลิตในช่วงสงครามโลกครงั ที จนถงึ ปัจจุบนั ไดม้ กี ารพฒั นาการผลิตยางสังเคราะห์ เพือให้ไดย้ าง ทีมีคณุ สมบตั ิตามตอ้ งการในการใชง้ านทีสภาวะตา่ ง ๆ เช่น ทีสภาวะทนต่อนาํ มนั ทนความร้อน ทนความเย็น เป็นตน้ การใชง้ านยางสงั เคราะห์จะแบ่งตามการใชง้ านออกเป็น ประเภทคือ ท￿ ยางสาํ หรับงานทวั ไป (Commodity rubbers) เช่น IR (Isoprene Rubber) BR (Butadiene Rubber) ท￿ ยางสาํ หรับงานสภาวะพิเศษ (Specialty rubbers) เชน่ การใชง้ านในสภาวะอากาศร้อนจดั หนาวจดั หรือ สภาวะทีมกี ารสัมผสั กบั นาํ มนั ไดแ้ ก่ Silicone, Acrylate rubber เป็ นตน้

199 การผลติ ยางสงั เคราะห์เป็ นการผลติ โดยการทาํ ปฏิกิริยาพอลเิ มอไรเซชัน (polymerization) ซึงการ พอลิเมอไรเซชัน คือ ปฏกิ ิริยาการเตรียมพอลิเมอร์ (polymer) จากมอนอเมอร์ (monomer) โดยพอลิเมอร์ ในทีนีคือ ยางสงั เคราะหท์ ตี อ้ งการผลติ ในส่วนของมอนอเมอร์ คอื สารตงั ตน้ ในการทาํ ปฏกิ ิริยานนั เอง ชนดิ ของยางสังเคราะห์ . ยางบวิ ไทล์ (Butyl Rubber, IIR) : ยางบิวไทลเ์ ป็นโคพอลิเมอร์ระหว่างมอนอเมอร์ของไอโซพรีน และไอโซบวิ ทาลีน เพอื ทีจะรักษาสมบตั ิเด่นของไอโซบิวทาลนี ไว้ ยางบวิ ไทลจ์ ะมปี ริมาณไอโซพรีน เพียงเล็กน้อย (ประมาณ . - โมลเปอร์เซนต์) เพียงเพือให้สามารถวัลคาไนซด์ ว้ ยกาํ มะถนั ได้เท่านัน เนืองจากพอลไิ อโซบวิ ทาลีนไม่มพี นั ธะคู่ทีว่องไวต่อการทาํ ปฏิกิริยา อยา่ งไรกต็ ามการทีมีปริมาณไอโซพรีน เพียงเลก็ นอ้ ยนีทาํ ใหก้ ารวลั คาไนซย์ างบิวไทล์เป็ นไปอย่างช้ามาก ทาํ ให้เกิดปัญหาในการสุกร่วมกบั ยางไม่ อิมตัวอืน ๆ ยางบิวไทล์มนี ําหนักโมเลกุลเฉลยี อยู่ในช่วง , ถึง , มคี ่าความหนืดมนู ี (ML + °C) อยูใ่ นช่วง ถงึ การกระจายขนาดโมเลกุลค่อนขา้ งจะกวา้ ง ทาํ ให้การแปรรูปยางบิวไทล์ทาํ ได้ง่าย ยางบิวไทลม์ สี มบตั ิทีดีหลายประการ คือ ทนต่อการออกซิเดชนั ทนต่อโอโซน ทนต่อความดนั ไอนาํ ไดส้ ูง และ มคี วามเป็ นฉนวนไฟฟ้ าทีดี อย่างไรก็ตาม เนืองจากยางบิวไทลป์ ลอ่ ยใหก้ ๊าซซึมผ่านไดต้ าํ มาก ทาํ ให้ตลาดส่วน ใหญ่ของยางบิวไทล์ คือ ยางในรถยนต์ทุกขนาด . ยางบิวตาไดอีน (Butadiene Rubber, BR) หรือ ยางบิวนา (Buna Rubber) ผลิตจากปฏิกิริยาพอล-ิ เมอไรเซชนั แบบสารละลาย (solution polymerization) ซึงมีการจัดเรียงตวั ได้ทงั แบบ cis- , แบบ tran- , และแบบ vinyl- , โดยยางชนิดนีจะมีนาํ หนักโมเลกุลเฉลียประมาณ , - , มีสมบัติเด่นดา้ น ความยืดหยนุ่ ความตา้ นทานตอ่ การขดั ถู ความสามารถในการหักงอทีอณุ หภูมติ าํ ความร้อนสะสมในยางตาํ และเป็นยางทีไม่มีขวั จงึ ทนต่อนาํ มนั หรือตวั ทาํ ละลายทีไม่มขี วั ยางบวิ ตาไดอนี ส่วนใหญ่ใชใ้ นอตุ สาหกรรม ยางลอ้ เพราะเป็ นยางทีมีความต้านทานต่อการขัดถสู ูง และมกั ถกู นาํ ไปทาํ ใส้ในลูกกอลฟ์ และลูกฟุตบอล เนืองจากมสี มบตั ิดา้ นการกระเดง้ ตวั ทีดี 3. ยางสไตรีนบิวตาไดอนี (Styrene-Butadiene Rubber, SBR) : ยางสไตรีนบิวตาไดอีน หรือยาง SBR เป็นยางสังเคราะห์ทีเตรียมขึนโดยการนาํ สไตรีนมาโคพอลิเมอไรซ์กบั บวิ ตาไดอนี โดยวิธีพอลเิ มอไร- เซชนั แบบอมิ ลั ชนั (emulsion polymerization) โดยเรียกยางทีได้วา่ E-SBR และอาจใช้วิธีพอลิเมอไรเซชนั แบบสารละลาย (solution polymerization) เรียกว่า L-SBR โดยทวั ไปสัดส่วนของสไตรีนต่อบิวตาไดอีนอยู่ ในชว่ ง - % 4. ยางซิลโิ คน (Silicone Rubber) : เป็นยางสังเคราะห์ทีใชง้ านเฉพาะอย่างและราคาสูง เป็นได้ทงั สารอินทรียแ์ ละอนินทรียพ์ ร้อม ๆ กนั เนืองจากโมเลกลุ มีโครงสร้างของสายโซ่หลกั ประกอบดว้ ย ซิลกิ อน (Si) กบั ออกซเิ จน (O2) และมีหมูข่ า้ งเคียงเป็ นสารพวกไฮโดรคาร์บอน ซึงต่างจากพอลเิ มอร์ชนิดอืน ๆ ทาํ ให้ ยางซิลิโคน ทนทานต่อความร้อนไดส้ ูง และยงั สามารถออกสูตรยางให้ทนทานความร้อนไดส้ ูงประมาณ °C ยางซิลโิ คนมีช่องว่างระหวา่ งโมเลกุลทีสูงและมีความทนทานต่อแรงดึงตํา เนืองจากมีแรงดึงดูด ระหวา่ งโมเลกลุ ตาํ มาก

200 5. ยางคลอโรพรีน (Chloroprene Rubber, CR) : มีชือทางการคา้ ว่า ยางนีโอพรี น (Neoprene Rubber) เป็นยางทีสงั เคราะหจ์ ากมอนอเมอร์ของคลอโรพรีน ภายใตส้ ภาวะทีเหมาะสม โมเลกุลของยาง CR สามารถจดั เรียงตวั ไดอ้ ยา่ งเป็นระเบียบสามารถตกผลกึ ไดเ้ มอื ดึง มีสมบัติคลา้ ยยางธรรมชาติ ยาง CR เป็ น ยางทีมีขวั เนืองจากประกอบดว้ ยอะตอมของคลอรีน ทาํ ใหย้ างชนิดนีมีสมบัติด้านการทนไฟ, ความทนต่อ สารเคมแี ละนาํ มนั ซงึ ผลิตภณั ฑย์ างทใี ชง้ านในลกั ษณะดงั กลา่ วไดแ้ ก่ ยางซีล, ยางสายพานลาํ เลียงในเหมืองแร่ เป็ นตน้ 2.2.3 เส้นใยธรรมชาตแิ ละเส้นใยสังเคราะห์ เส้นใย (Fibers) คือ พอลเิ มอร์ชนิดหนึงทีมโี ครงสร้างของโมเลกุลสามารถนํามาเป็ นเส้นด้าย หรือ เส้นใย จาํ แนกตามลกั ษณะการเกดิ ได้ ดงั นี ประเภทของเส้ นใย ท￿ เส้นใยธรรมชาติ ทีรู้จกั กันดีและใกล้ตัว คอื เส้นใยเซลลโู ลส เช่น ลนิ ิน ปอ เสน้ ใยสบั ปะรด เส้นใยโปรตีน จากขนสัตว์ เช่น ขนแกะ ขนแพะ เส้นใยไหม เป็นเสน้ ใยจากรังไหม ท￿ เส้นใยสังเคราะห์ มีหลายชนิดทใี ช้กันทัวไปคอื เซลลูโลสแอซีเตด เป็นพอลเิ มอร์ทีเตรียมไดจ้ ากการใชเ้ ซลลโู ลสทาํ ปฏกิ ิริยากบั กรดอซิติกเขม้ ข้น โดยมกี รอซลั ฟูริกเป็ นตวั เร่งปฏกิ ิริยา การใชป้ ระโยชนจ์ ากเซลลโู ลสอะซีเตด เช่น ผลติ เป็นเสน้ ใยอาร์แน 60 ผลิตเป็นแผน่ พลาสติกทีใชท้ าํ แผงสวติ ชแ์ ละหุ้มสายไฟ ไนลอน (Nylon) เป็ นพอลิเมอร์สงั เคราะห์จาํ พวกเสน้ ใย เรียกว่า “ เส้นใยพอลิเอไมด”์ มหี ลายชนิด เช่น ไนลอน 6,6 ไนลอน 6,10 ไนลอน 6 ซึงตวั เลขทีเขียนกาํ กับหลงั ชือจะแสดงจาํ นวนคาร์บอนอะตอม ในมอนอเมอร์ของเอมีนและกรดคาร์บอกซิลิก ไนลอนจดั เป็ นพวกเทอร์มอพลาสติก มีความแข็งมากกว่า พอลิเมอร์แบบเติมชนิดอืน (เพราะมีแรงดึงดูดทีแข็งแรงของพนั ธะเพปไทด์) เป็ นสารทีติดไฟยาก (เพราะไนลอนมีพนั ธะ C-H ในโมเลกุลน้อยกว่าพอลิเมอร์แบบเติมชนิดอืน) ไนลอนสามารถทดสอบ โดยผสมโซดาลาม (NaOH + Ca(OH)หรือเผาจะให้กา๊ ซแอมโมเนีย ดาครอน (Dacron) เป็นเสน้ ใยสังเคราะหพ์ วกพอลิเอสเทอร์ ซึงเรียกอีกชือหนึงวา่ Mylar มปี ระโยชน์ทาํ เสน้ ใยทาํ เชอื ก และฟิลม์ Orlon เป็นเส้นใยสังเคราะห์ ทีเตรียมไดจ้ าก Polycrylonitrile 2.2.4 ผลกระทบของการใช้พอลิเมอร์ ปัจจุบนั มกี ารใชผ้ ลิตภัณฑจ์ ากพอลิเมอร์อย่างมากมาย ทงั ในด้านยานยนต์ การก่อสร้าง เครืองใช้ เฟอร์นิเจอร์ ของเล่น รวมทงั วงการแพทย์ และยงั มีแนวโน้มทีใช้ผลิตภัณฑจ์ ากพอลิเมอร์มากยิงขึน เนืองจากวสั ดุ สิงของเครืองใชต้ า่ ง ๆ ทีผลติ จากพอลิเมอร์ไมว่ า่ จะเป็ นพลาสติก ยาง หรือเสน้ ใย เมอื ใช้แลว้ มกั จะสลายตวั ยาก ยงั เกิดสิงตกคา้ งมากขึนเรือย ๆ และสารตงั ต้นของพอลิเมอร์ส่วนใหญ่เป็ นสารประกอบ

201 ไฮโดรคาร์บอน ซึงเมอื ทาํ ปฏกิ ริ ิยากบั ออกซิเจนและไนโตรเจนไดออกไซด์ เกดิ เป็ นสารประกอบเปอร์ออก- ซีแอซิติลไนเตรต (PAN) ซึงเป็ นพิษทาํ ให้เกิดการระคายเคืองตา และระบบทางเดินหายใจ และยงั ทาํ ให้ ไฮโดรเจนในชันบรรยากาศลดลงดว้ ย จะเห็นได้ว่า ผลิตภณั ฑ์พอลิเมอร์แมจ้ ะมีประโยชน์มากมาย แตก่ ่อใหเ้ กิดมลภาวะทางสิงแวดลอ้ มไดม้ ากมายเช่นกนั ทงั อากาศ ทางนาํ ทางดิน สรุปไดด้ งั นี . โรงงานอตุ สาหกรรมทีผลติ ผลิตภณั ฑ์พอลิเมอร์ต่าง ๆ มีการเผาไหมเ้ ชอื เพลิง เกิดหมอกควนั และ กา๊ ซคาร์บอนไดออกไซด์ ซึงเป็นก๊าซพิษ นอกจากนี ไฮโดรคาร์บอน ยงั ทาํ ใหเ้ กิดสารประกอบ ออกซีแอวิ- ติลไนเตรต ซึงเป็ นพิษกระจายไปในอากาศ ทาํ ใหส้ ัดส่วนของอากาศเปลียนแปลงไป และอุณหภูมิของ อากาศเปลียนแปลงไปดว้ ย นอกจากเกิดมลภาวะทางอากาศแลว้ ในกระบวนการผลิตของโรงงาน อุตสาหกรรม มกั ปล่อยสารพิษลงสู่แหล่งนํา เช่น อุตสาหกรรมพลาสติกปล่อยสารพีซีบี (PCB- polychlorinated biphenyls) ซงึ ทาํ ให้เกิดผมร่วง ผิวหนังพุพอง ออ่ นเพลยี และสารเคมบี างอย่างละลายลงนาํ ทาํ ใหม้ ีสมบตั ิเป็ นกรด ปริมาณออกซิเจนลดลง เป็ นอนั ตรายกบั สิงมชี ีวติ ในนาํ . การใชผ้ ลิตภัณฑ์พอลิเมอร์ของผูบ้ ริโภค เป็ นทีทราบแล้วว่าผลิตภัณฑ์พอลิเมอร์ส่วนใหญ่ สลายตวั ยาก มีการนํามาใช้มากขึนทุกวัน ทาํ ให้มีซากเศษผลิตภัณฑ์มากยิงขึน เกิดจากการทับถม หมกั หมมบนดิน เกิดกลินก๊าซฟ้ ุงกระจาย เพิมมลภาวะในอากาศ พนื ทีดินถกู ใช้ไปในการจัดเก็บทิงซาก ผลิตภณั ฑ์มากขึน ทาํ ให้พนื ทีสาํ หรบั ใชส้ อยลดลง และดินไมเ่ หมาะต่อการใชป้ ระโยชนเ์ ป็ นมลภาวะทางดิน มากขึน นอกจากนีซากผลติ ภัณฑ์ บางส่วนถกู ทิงลงในแหลง่ นาํ นอกจากทาํ ใหน้ าํ เสียเพมิ มลภาวะทางนาํ แลว้ ยงั ทบั ถมปิ ดกนั การไหลของนาํ ทาํ ให้การไหลถ่ายเทของนาํ ไมส่ ะดวก อาจทาํ ให้นาํ ท่วมได้ ￿￿￿￿￿￿￿￿￿ผลติ ภณั ฑ์ ทีผลติ จากพอลเิ มอร์ส่วนใหญเ่ ป็นพลาสตกิ หลงั จากใชง้ านพลาสตกิ เหลา่ นีไปช่วงเวลา หนึง มกั ถูกทงิ เป็นขยะพลาสติก￿ซึงส่วนหนึงถูกนํากลบั มาใช้อกี ￿ในลกั ษณะต่าง ๆ￿กัน￿และอีกส่วนหนึง ถูกนาํ ไปกาํ จดั ทิงโดยวิธีการต่าง ๆ￿การนาํ ขยะพลาสติกไปกาํ จัดทิงโดยการฝังกลบเป็นวิธีทีสะดวกแต่มี ผลเสียต่อสิงแวดลอ้ ม￿ทงั นี เพราะโดยธรรมชาติพลาสติกจะถูกย่อยสลายไดย้ าก￿จึงทบั ถมอยู่ในดิน￿และ นบั วนั ยงิ มปี ริมาณมากขึนตามปริมาณการใชพ้ ลาสตกิ ส่วนการเผาขยะพลาสติกก็ก่อใหเ้ กิดมลพิษและเป็ น อนั ตรายอยา่ งมาก￿วิธีการแกป้ ัญหาขยะพลาสติกทีไดผ้ ลดีทสี ุดคือ￿การนาํ ขยะพลาสตกิ กลบั มาใชป้ ระโยชน์ ใหม￿่ การนาํ ขยะพลาสตกิ ใชแ้ ลว้ กลบั มาใชป้ ระโยชน์ใหม่มหี ลายวิธี￿ดงั นี 1. การนาํ กลบั มาใช้ซํา ผลิตภัณฑ์พลาสติกทีใชแ้ ลว้ เช่น สามารถนํากลับมาทําความสะอาดเพือใช้ซาํ ไดห้ ลายครัง แต่ภาชนะเหล่านันจะเสือมคุณภาพลง และความสวยงามลดลงตามลาํ ดบั นอกจากนียงั ต้องคาํ นึงถึง ความสะอาดและความปลอดภยั ดว้ ย 2. การหลอมขึนรูปผลิตภณั ฑ์ใหม่ การนาํ ขยะพลาสติกกลบั มาใชใ้ หม่ โดยวธิ ีขึนรูปเป็ นผลิตภณั ฑใ์ หม่ เป็นวธิ ีทีนิยมกนั มาก แต่เมือ เทียบกบั ปริมาณของขยะพลาสตกิ ทงั หมดกย็ งั เป็ นเพียงส่วนน้อย การนําพลาสติกใช้แลว้ มาหลอมขึนรูปใหม่ เช่นนี สามารถทาํ ไดจ้ าํ กดั เพียงไมก่ ีครงั ทงั นีเพราะพลาสติกดังกล่าวจะมีคุณภาพลดลงตามลาํ ดับ และต้อง

202 ผสมกบั พลาสติกใหมใ่ นอตั ราส่วนทีเหมาะสมทุกครัง อีกทงั คุณภาพของผลติ ภณั ฑ์ทีได้จากพลาสติกทีนาํ กลบั มาใชใ้ หมจ่ ะตาํ กวา่ ผลิตภณั ฑท์ ีไดจ้ ากพลาสตกิ ใหมท่ งั หมด . การเปลียนเป็ นผลิตภณั ฑ์ของเหลวและก๊าซ การเปลียนขยะพลาสติกเป็ นผลิตภัณฑ์ของเหลวและก๊าซเป็ นวิธี การทีทําให้ได้สาร ไฮโดรคาร์บอนทีเป็นขยะเหลวและก๊าซ หรือเป็นสารผสมไฮโดรคาร์บอนหลายชนิด ซึงอาจใชเ้ ป็ นเชือเพลงิ โดยตรง หรือกลนั แยกเป็นสารบริสุทธิ เพอื ใชเ้ ป็นวตั ถดุ ิบสาํ หรบั การผลิตพลาสติกเรซินได้เช่นเดียวกันกับ วตั ถุดบิ ทีไดจ้ าก ปิ โตรเลยี ม กระบวนการนีจะได้พลาสติกเรซินทีมีคุณภาพสูงเช่นเดียวกนั วิธีการเปลยี น ผลิตภณั ฑ์พลาสติกทีใช้แลว้ ให้เป็ นของเหลวนีเรียกวา่ ลคิ วแิ ฟกชัน (Liquefaction) ซึงเป็นวิธีไพโรไลซิส โดยใช้ความร้อนสูง ภายใต้บรรยากาศไนโตรเจนหรื อก๊าซเฉือยชนิดอืน นอกจากของเหลวแลว้ ยงั มี ผลติ ภณั ฑข์ า้ งเคียงเป็นกากคาร์บอนซึงเป็ น ของแข็ง สามารถใชเ้ ป็นเชือเพลงิ ได้ สําหรับก๊าซทีเกิดขึนจาก กระบวนการไพโรไลซิส คือ ก๊าซไฮโดรคาร์บอน สามารถใช้เป็ นเชือเพลงิ ได้เช่นกนั นอกจากนี ยงั อาจมี ก๊าซอนื ๆ เกิดขึนดว้ ย เช่น กา๊ ซไฮโดรเจนคลอไรด์ ซึงใชป้ ระโยชนใ์ นอตุ สาหกรรมบางประเภทได้ . การใช้เป็ นเชือเพลิงโดยตรง พลาสติกประเภทเทอร์โมพลาสติกส่วนมากมีสมบัติเป็นสารทีติดไฟและลุกไหมไ้ ด้ดีจึงใชเ้ ป็ น เชือเพลงิ ไดโ้ ดยตรง . การใช้เป็ นวัสดุประกอบ อาจนาํ พลาสติกใชแ้ ล้วผสมกบั วัสดุอย่างอืน เพือผลิตเป็ นผลิตภัณฑ์วสั ดุประกอบทีเป็ น ประโยชนไ์ ด้ เช่น ไมเ้ ทียม หินออ่ นเทียม แต่ผลติ ภณั ฑเ์ หล่านีอาจมคี ุณภาพไม่สงู นกั

203 กจิ กรรมท้ายบท กจิ กรรมที ประชากรมนุษย์กบั ทรัพยากรธรรมชาติ แนวคดิ หลกั การเพมิ ขึนของทรัพยากรมนุษย์ ทาํ ให้ทรัพยากรธรรมชาตติ ่าง ๆ ถกู ใชไ้ ปมากขึน โดยเฉพาะพืนที ป่ าไม้ ผลการเรียนรู้ทีคาดหวัง . สาํ รวจและอภิปรายการเปลยี นแปลงสภาพแวดลอ้ มในทอ้ งถนิ . สืบคน้ ขอ้ มลู และนาํ เสนอจาํ นวนประชากรในทอ้ งถนิ เวลาทาํ กิจกรรมประมาณ ชวั โมง สือการเรียนรู้ . วดี ิทศั น์ หรือ CD-ROM เรืองการใชท้ รพั ยากรธรรมชาติ เช่น เรือง การใชน้ าํ มนั . ภาพถา่ ยทอ้ งถนิ ในอดตี กบั ปัจจบุ นั . ขอ้ มลู ประชากรและขอ้ มูลการใชน้ าํ มนั ทงั ในอดีต และปัจจุบนั แนวการจดั กิจกรรม . ครูนาํ เขา้ สู่บทเรียนโดยให้นักเรียนพิจารณาภาพกรุงเทพมหานครบริเวณถนนเยาวราชในปัจจบุ นั และในอดีตเพือนาํ ไปสู่ปัญหาประชากรมนุษยก์ บั การใช้ทรัพยากรธรรมชาติ เช่น เรืองการใช้นาํ มนั เปลียนแปลงไปหรือไม่ อยา่ งไร . นกั เรียนร่วมกันอภิปรายว่าแตกต่างกนั อย่างไร อะไร เป็ นสาเหตุของการเปลียนแปลง โดยใช้ ขอ้ มลู การใชน้ าํ มนั และจาํ นวนประชากรของประเทศไทยประกอบ . นักเรียนชมวีดิทศั น์ เรืองการใชท้ รัพยากรธรรมชาติ อภิปรายและตอบคาํ ถาม เพอื นาํ ไปสู่ข้อสรุปว่า จํานวนประชากรทีเพิมขึนมีผลต่อการลดลงของ ทรัพยากรธรรมชาติ เพราะมนุ ษย์ต้องการใช้ ทรัพยากรธรรมชาติ เช่น นาํ มนั ในการเป็นเชือเพลิงรถยนตเ์ พอื ไปทาํ งาน หรือทาํ กิจกรรมต่าง ๆ ฯลฯ การประเมนิ ผล ประเมินผลจากการอภิปราย การทาํ ใบบนั ทึกกิจกรรมและการตอบคาํ ถามร่วมกนั

204 ใบบันทกึ กิจกรรม ใบบันทกึ กจิ กรรม ชือ..........................................................................................ชัน..........................เลขท.ี ..................... วนั ที..................... .เดอื น........................................................ ปี พ.ศ........................... ประชากรมนุษย์กบั การใช้นํามนั เยาวราชในปี เยาวราชในปัจจบุ ัน กิจกรรมที ขยะกบั คณุ ภาพสิงแวดล้อม แนวควาจมาคกิดกหาลรสกั ังเกตพบว่า.................................................................................................................................. ............................ป..ัญ...ห...า..ข...ย..ะ..ม...ลู ..ฝ..อ..ย...เป...็น...ป...ัญ...ห...า..ส..ิง..แ..ว...ด..ล..อ.้ ..ม..ท...ีม...น..ุษ...ย..ท.์ ..กุ..ค...น...ต..้อ...ง..ช..่ว...ย..ก..นั...ด...ูแ..ล..ร..ั.ก..ษ...า..ส..ิ.ง..แ..ว..ด...ล..อ้...ม....... .ข..ย..ะ..ม...ูล..ฝ..อ...ย..ม..หี...ล...า.ย..ป...ร..ะ..เ.ภ...ท.....ท...งั ..ป...ร..ะ..เ.ภ...ท...ท..ีย...อ่ ..ย..ส...ล..า..ย..ไ...ด..้ต...า..ม..ธ...ร..ร..ม...ช..า..ต..ิแ...ล..ะ...ย..อ่ ..ย..ส...ล...า.ย..ไ...ด..้อ...ย..า..ก......ร.ี.ไ..ซ...เ.ค..ิล...เ.ป..็.น....... .ก..า..ร..น...าํ..เ.อ..า..ว..ส.ั ..ด...ุท..ี.ใ.ช...แ้..ล...้ว..ก...ล..บั...ไ..ป...เ.ข...้า.ก...ร..ะ...บ..ว...น...ก..า..ร..ผ...ล..ติ...ใ..ห...ม..่...ไ..ด..้ว...สั ..ด...ุใ..ห...ม..ท่...ีส...า..ม...า.ร..ถ...น...าํ..ไ..ป...ใ..ช..เ้.ป...็ น...ป...ร..ะ...โ..ย..ช..น...์.... .ต..่อ..ไ...ป........................................................................................................................................................................ .ผ..ล...ก..า..ร..เ.ร..ีย..น...ร..ู้ท...ีค..า..ด..ห...ว...งั ........................................................................................................................................... ............................1......ส..า.ํ .ร..ว...จ..แ..ล...ะ.อ...ภ..ิป...ร..า..ย..เ.ก..ีย...ว..ก..บั...ส..า..เ.ห...ต..ุ.ท..ีท...าํ..ใ..ห..โ้...ร..ง..เร..ี.ย..น...ม..ปี...ร..ิม..า..ณ....ข..ย..ะ..ม...า.ก...ห...ร.ื.อ..น...อ้..ย..................... ...............................................ว...ิเ.ค..ร..า..ะ..ห...์ข..อ.้ ..ม..ูล...แ..ล..ะ..อ...ภ..ปิ...ร..า..ย..เ.ก..ี.ย..ว..ก..บั...เ.ว..ล..า..ใ..น...ก..า..ร..ย..อ่...ย..ส..ล...า.ย...แ..ต..่ล...ะ..ช..น...ิด........................ .............................................................ท...าํ..ก..ร..ะ..ด...า.ษ...ร..ีไ..ซ...เ.ค..ลิ...เ.พ...อื ..ล..ด...ป...ร.ิ.ม..า..ณ...ข...ย..ะ..ใ..น...ช..ุม...ช..น...........................................

205 เวลาทํากจิ กรรม 4 ชวั โมง สือการเรียนรู้ . กระดาษใชแ้ ลว้ หรือหนังสือพมิ พ์ . เครืองปันนาํ ผลไม้ . ตะแกรงตาถี . กะละมงั . สีผสมอาหาร . แป้ งมนั แนวทางการจดั กิจกรรม . ครูสนทนากบั นักเรียนเรืองขยะในชุมชนทีนาํ มาทิงในแต่ละวนั เพือนาํ สู่ปัญหาขยะในชุมชน . ครูใหน้ กั เรียนสาํ รวจขยะในชมุ ชนเป็ นเวลา สปั ดาห์ โดยเกบ็ รวมรวมขอ้ มูล เช่น จาํ นวน ชนิด . นักเรียนนาํ ขอ้ มลู เกียวกบั ขยะทีสาํ รวจไดม้ านาํ เสนอในรูปของแผนภูมิ . นกั เรียนวิเคราะห์ขอ้ มูลเกียวกบั ระยะเวลาในการย่อยสลายขยะ ทีสาํ รวจไดแ้ ลว้ ตอบคาํ ถาม และ อภิปรายร่วมกัน เพอื นาํ ไปสู่ข้อสรุปว่า “ขยะในสิงแวดล้อมมีหลายประเภท ทงั ทียอ่ ยสลายไดเ้ องตาม ธรรมชาติและขยะทไี ม่ยอ่ ยสลาย” . เพอื สร้างจติ สาํ นึกใหก้ บั นกั เรียนทาํ กระดาษรีไซเคิลโดยใหน้ ักเรียนศึกษาวิธีการทาํ กระดาษและ ออกแบบการทดลองทาํ กระดาษรีไซเคิลเอง

206 ใบบันทึกกิจกรรม ใบบันทกึ กิจกรรม แผ่นที ชือ..........................................................................................ชัน..........................เลขท.ี ..................... วนั ที......................เดือน........................................................ปี พ.ศ. .......................... สํารวจขยะในชุมชน บันทกึ ผลการสํารวจขยะในบริเวณชุมชน บริเวณทีสํารวจ ขยะทีสํารวจได้ บริเวณทีพกั ตลาด วดั โรงเรียน สวนสาธารณะ อืน ๆ

207 ใบบันทึกกิจกรรม ใบบันทึกกจิ กรรม แผ่นที 2 ชือ..........................................................................................ชัน..........................เลขท.ี ..................... วนั ที......................เดอื น........................................................ปี พ.ศ. .......................... กระดาษรีไซเคิล วิธีทาํ วสั ดุ - อุปกรณ์ 1. ฉีกกระดาษเป็นชินเล็ก ๆ แช่นาํ จนเปือยยุ่ย . ตะแกรง . กะละมงั . เทกระดาษลงในกะละมงั ทีมีนาํ ผสมสีอยู่ . สีผสมอาหาร . กระดาษใชแ้ ลว้ . นาํ ตะแกรงค่อย ๆ ร่อนกระดาษให้สมาํ เสมอ . .................... . .................... . นาํ ตะแกรงค่อย ๆ ร่อนกระดาษไปตากแดดจนแหง้ . ค่อย ๆ แกะกระดาษรีไซเคิลออก . นาํ กระดาษไปใชป้ ระโยชน์ต่อ ติดกระดาษรีไซเคลิ ของนักเรยี นบริเวณนี

208 แบบฝึ กหัดท้ายบทที เรือง ปิ โตรเลยี มและพอลิเมอร์ ตอนที จงทําเครืองหมาย x ลงในข้อทีถูกต้อง . วิธีการแยกนาํ มนั ดิบออกเป็ นส่วน ๆ คือวธิ ีการทเี รียกว่าอะไร ก. การกลนั ไอนาํ ข. การกลนั ลาํ ดบั ส่วน ค. การกลนั แบบคาตาลิติก แครกกงิ ง. การกลนั แบบโพลเิ มอไรเซชนั . การกลนั นาํ มนั ดิบที อณุ หภูมิสูงจะไดผ้ ลติ ภณั ฑ์จาํ พวกใด ก. นํามนั ดีเซล ข. ไข ค. นํามนั เตา ง. ยางมะตอย . ผลิตภณั ฑ์ทีไดจ้ ากการกลนั ลาํ ดบั ส่วนนาํ มนั ดิบจะมมี ากหรือน้อยขึนอย่กู บั อะไร ก. กระบวนการกลนั ข. อุณหภูมิ ค. แหล่งนาํ มนั ดิบ ง. การขนส่ง . การกลนั นาํ มนั ดิบทีอุณหภมู ิ ๐C จะไดผ้ ลิตภณั ฑอ์ ะไร ก. นาํ มนั เตา ข. ไข ค. นํามนั ดีเซล ง. แก๊สปิ โตรเลียม . ผลกระทบจากการใชป้ ิ โตรเลยี มส่วนใหญ่มีสาเหตุมาจากอะไร ก. การเพิมของประชากร ข. อากาศร้อน ค. มีราคาแพง ง. ถูกทุกขอ้ . ค่า BOD มาตรฐานนาํ ทิงของกระทรวงอุตสาหกรรมมคี ่าอยทู่ เี ทา่ ใด ก. mg/l ข. mg/l ค. mg/l ง. mg/l

209 . ขอ้ ใดจดั เป็นพอลิเมอร์ธรรมชาติ ก. ตะกร้า ข. แป้ ง ค. เส้นดา้ ย ง. ผา้ ไนลอน . พอลิเมอร์แบบใดมีคุณสมบตั ิ มคี วามหนาแน่นและจุดหลอมเหลว ก. แบบเส้น ข. แบบกิง ค. แบบร่างแห ง. ถกู ทกุ ขอ้ . เมลามนี ทีใชท้ าํ ถว้ ยชาม เป็นพอลเิ มอร์ทีมรี ูปร่างแบบใด ก. แบบเสน้ ข. แบบกิง ค. แบบร่างแห ง. ถูกทุกขอ้ 10. ฟิ ลม์ ถา่ ยภาพ ดอกไมพ้ ลาสติก ผลิตมาจากพลาสติกชนิดใด ก. ไนลอน ข. อีพอกซี ค. พอลเิ อสเทอร์ ง. พอลิเอทิลีน ตอนที จงตอบคําถามต่อไปนี .จงอธิบายการเกิดปิ โตรเลียม และกระบวนการเกิดปิโตรเลยี ม .การสาํ รวจทางธรณีวิทยาเพือหาแหล่งปิ โตรเลียมชว่ ยให้ไดข้ อ้ มลู ในการคาดคะเนในเรืองใด .การสาํ รวจทางธรณีฟิ สิกส์เพือหาแหล่งปิ โตรเลียมไดแ้ ก่การสาํ รวจในเรืองใด และข้อมูลทีไดม้ ี ประโยชน์ อย่างไร 4. วตั ถดุ ิบทีสาํ คญั ทใี ชส้ าํ หรบั การผลติ พลาสติก คือ ผลติ ภณั ฑท์ ีไดจ้ ากอะไร 5. โครงสรา้ งของพอลิเมอร์แบ่งออกเป็ นกีแบบ อธิบายสมบตั ิของแต่ละแบบมาพอสังเขป

210 บทที 11 สารเคมีกับชีวติ และสิงแวดล้อม สาระสําคัญ ชีวิตประจาํ วนั ของมนุษยท์ ีจะดาํ รงชีวิตให้มคี วามสุขนนั ร่างกายต้องสมบูรณ์ แขง็ แรง สิงทีจะมา บนั ทอนความสุขของมนุษย์ คือ สารเคมีทีเขา้ สู่ร่างกาย จึงจาํ เป็นตอ้ งรู้ถงึ การใช้สารเคมี ผลกระทบจากการ ใชส้ ารเคมี ผลการเรียนรู้ทีคาดหวงั 1.￿ อธิบายความสาํ คญั และความจาํ เป็นทตี อ้ งใชส้ ารเคมีได้ 2.￿ อธิบายวธิ ีการใชส้ ารเคมีบางชนิดไดถ้ ูกตอ้ ง 3.￿ อธิบายผลกระทบทีเกิดจากการใชส้ ารเคมไี ด้ ขอบข่ายเนือหา เรืองที ความสาํ คญั ของสารกบั ชีวิตและสิงแวดลอ้ ม เรืองที ความจาํ เป็ นทตี อ้ งใชส้ ารเคมี เรืองที การใชส้ ารเคมที ีถูกตอ้ งและปลอดภยั เรืองที ผลกระทบทีเกดิ จากการใชส้ ารเคมี

211 เรืองที ความสําคัญของสารกบั ชีวติ และสิงแวดล้อม สิงแวดล้อม คือ ทุกสิงทุกอย่างทีอยู่รอบตวั มนุษยท์ งั ทีมีชีวิตและไม่มชี ีวิต รวมทงั ทีเป็ นรูปธรรม (สามารถจับ ตอ้ งและมองเห็นได)้ และนามธรรม (ตวั อยา่ งเช่นวฒั นธรรมแบบแผน ประเพณี ความเชือ) มีอทิ ธิพลเกียว โยงถึงกนั เป็นปัจจยั ในการเกือหนุนซึงกนั และกนั ผลกระทบจากปัจจยั หนึงจะมสี ่วนเสริมสร้างหรือทาํ ลาย อกี ส่วนหนึง อยา่ งหลีกเลยี งมไิ ด้ สิงแวดลอ้ มเป็ นวงจรและวฏั จกั รทีเกียวขอ้ งกนั ไปทงั ระบบ สิงแวดล้อมแบ่งออกเป็ นลักษณะกว้าง ๆ ได้ 2 ส่วนคอื $ สิงแวดลอ้ มทีเกิดขึนเองตามธรรมชาติ เช่น ป่ าไม้ ภูเขา ดิน นาํ อากาศ ทรัพยากร $ สิงแวดลอ้ มทีมนุษยส์ ร้างขึน เชน่ ชุมชนเมือง สิงก่อสร้างโบราณสถาน ศลิ ปกรรม ขนบธรรมเนียม ประเพณี และวฒั นธรรม มนุษย์กบั สิงแวดล้อม มนุษยม์ คี วามสัมพนั ธ์กบั สิงแวดลอ้ มอย่างแนบแน่น ในอดีตปัญหาเรืองความสมดุลของธรรมชาติ ตามระบบนิเวศยงั ไมเ่ กิดขึนมากนกั ทงั นีเนืองจากผูค้ นในยุคตน้ ๆ นัน มีชีวติ อยใู่ ต้อิทธิพลของธรรมชาติ ความเปลียนแปลงทางด้านธรรมชาติและสภาวะแวดล้อมเป็ นไปอย่างค่อยเป็ นค่อยไป จึงอยูใ่ นวิสัย ทีธรรมชาติสามารถปรับสมดุลของตัวเองได้ แต่ปัจจุบันนีปรากฏว่าไดเ้ กิดมีปัญหาอย่างรุ นแรงดา้ น สิงแวดลอ้ มขึนในบางส่วนของโลกและปัญหาดงั กลา่ วนี ก็มีลกั ษณะคลา้ ยคลงึ กนั ในทกุ ประเทศทงั ทีพฒั นา แลว้ และกาํ ลงั พฒั นา 6 ปัญหาทางดา้ นภาวะมลพษิ ทีเกียวกบั นาํ 6￿ ปัญหาทรัพยากรธรรมชาติทีเสือมสลายและหมดสินไปอยา่ งรวดเร็ว เช่น นํามนั แร่ธาตุ พืชสัตว์ ทงั ทีเป็นอาหารและการอนุรักษ์ไวเ้ พือการศึกษา 6￿ ปัญหาทีเกียวกบั การตงั ถินฐานของชุมชนมนุษย์ เช่น การวางผงั เมอื งและชุมชนไม่ถกู ตอ้ งทาํ ให้เกิด การแออดั ยดั เยียด ใชท้ รัพยากรผิดประเภทและเกิดปัญหาจากของเหลือทิงพวกขยะมูลฝอย สสาร หมายถึง สิงทีมมี วล ตอ้ งการทีอยู่ และสามารถสมั ผสั ได้ หรืออาจหมายถงึ สิงตา่ งๆทีอยู่รอบตวั เรา มตี วั ตน ตอ้ งการทีอยูส่ ัมผสั ได้ อาจมองเห็นหรือมองไม่เหน็ กไ็ ด้ เช่น อากาศ ดิน นาํ เป็ นตน้ สาร หมายถึง สสารทที ราบสมบตั ิ หรือสสารทีจะศกึ ษา เป็นสสารทีเฉพาะเจาะจง สมบัติของสาร หมายถงึ ลกั ษณะเฉพาะตวั ของสาร เช่น เนือสาร สี กลนิ รส การนาํ ไฟฟ้ า การละลายนํา จุดเดือด จุดหลอมเหลว ความเป็ นกรด - เบส เป็นตน้

212 สมบตั ิของสารจาํ แนกได้ ประเภท คือ ็ สมบตั ิทางกายภาพ สมบตั ทิ างกายภาพเป็นสมบตั ิทีสังเกตไดจ้ ากลกั ษณะภายนอกหรือใชเ้ ครืองมือง่าย ๆในการสังเกต ซึงเป็นสมบตั ิทไี มเ่ กียวขอ้ งกบั ปฏิกิริยาเคมี เช่น สี กลิน รส สถานะ จดุ เดือด ลกั ษณะรูปผลกึ ความหนาแน่น การนาํ ไฟฟ้ า การละลาย จุดหลอมเหลว ็ สมบตั ิทางเคมี สมบตั ิทางเคมีเป็ นสมบัติทีเกียวขอ้ งกบั โครงสร้างภายในของสาร เป็ นสมบัติทีสังเกตได้เมือมี ปฏิกริ ิยาเคมีเกิดขึน เชน่ ความเป็นกรด - เบส การเกดิ สนิม ความเป็นโลหะ - อโลหะ เป็นตน้ เรืองที ความจําเป็ นทีต้องใช้สารเคมี สารในชวี ิตประจําวนั ในชีวิตประจาํ วนั เราจะตอ้ งเกียวขอ้ งกบั สารหลายชนิด ซึงมีลกั ษณะแตกต่างกนั สารทีใช้ใน ชีวติ ประจาํ วนั จะมสี ารเคมีเป็นองค์ประกอบ สารแต่ละชนิดมีสมบัติหลายประการ และนาํ มาใช้ประโยชน์ แตกตา่ งกนั เราตอ้ งจาํ แนกประเภทของสารเพือความสะดวกในการศกึ ษาและการนาํ ไปใช้ ประเภทของสารในชวี ิตประจาํ วนั สารปรุงแต่งอาหาร สารปรุงแต่งอาหาร หมายถึง สารทเี ติมลงไปในอาหารเพอื ให้เกิดความน่ารับประทาน สารเหล่านัน จะไปเพมิ สี รส กลินของอาหาร รวมไปถงึ การใส่วิตามิน ใส่ผงชูรส ใส่เครืองเทศดว้ ย เช่น ย นาํ ตาล ใหร้ สหวาน เกลือ นาํ ปลา ให้รสเคม็ ย นาํ ส้มสายชู นาํ มะนาว ซอสมะเขือเทศ ใหร้ สเปรียว ตัวอย่างของสารปรุงแต่ง นําส้มสายชู นาํ ส้มสายชเู ป็นสารเคมีทีใชป้ รุงอาหาร ทาํ ให้อาหารมีรสเปรียว นําส้มสายชูแท้ ไดจ้ ากการหมกั ธญั พชื หรือผลไม้ มที งั ชนิดกลนั และไมก่ ลนั นําส้มสายชูเทียม ไดจ้ ากการนาํ กรดนาํ ส้มมาผสมนาํ เพือทาํ ใหเ้ จือจาง นําส้มสายชูปลอม ทาํ มาจากกรดกาํ มะถนั หรือกรดเกลอื ผสมนาํ ให้เจือจาง จึงไม่ควรนาํ มาใชป้ รุงรสอาหาร รับประทาน เพราะจะเป็นอนั ตรายต่อร่างกาย ทาํ ให้กระเพาะเป็นแผล

213 การเลอื กซือนําส้มสายชู ศกึ ษาฉลากชือสามญั ทางการคา้ เครืองหมายการคา้ เลขทะเบียนอาหาร เครืองหมายมาตรฐานการคา้ ผผู้ ลติ ผแู้ ทนจาํ หน่าย วนั หมดอายุ ปริมาตรสุทธิ สงั เกตความใสไมม่ ตี ะกอน ขวดและฝาขวด ของนาํ ส้มสายชูไมส่ ึกกร่อน ผงชูรส มีชือทางเคมีว่า โมโนโซเดียมกลูตาเมท (Monosodium glutamate) หรือ เรียกย่อว่า MSG. มีผลกึ สีขาวเป็นแท่งคลา้ ยกระดกู ผลติ จากมนั สําปะหลงั หรือกากนาํ ตาล โดยทวั ไปเชือว่าทาํ ให้อาหารอร่อยยงั มี ผงชูรสปลอมวางขายตามทอ้ งตลาด ซึงผงชูรสปลอมจะเป็ นอนั ตรายต่อสุขภาพได้ ดังนัน จึงควรเลือกซือ อยา่ งระมดั ระวงั ผงชูรสจะมลี ักษณะรูปร่างดังนี • เป็ นผลึกสีขาวค่อนขา้ งใส ไมม่ ีความวาว • เป็นแท่งสีเหลียม ไม่เรียบ ปลายขา้ งใดขา้ งหนึงเล็กคลา้ ยรูปกระบอง • เป็นแท่งสีเหลยี ม ไม่เรียบ แต่ปลายทงั สองขา้ งใหญ่คอดตรงกลางคลา้ ยรูปกระดกู ผงชูรสมีคุณสมบตั ิละลายไดด้ ีในนาํ ทงั ยงั ช่วยละลายไขมนั ให้ผสมกลมกลนื กบั นาํ มีรสเหมือนนาํ ตม้ เนือ สามารถกระตุน้ ปุ่มปลายประสาทโคนลินกบั ลาํ คอ ทาํ ใหร้ ู้สึกอร่อยขึน สารทใี ช้ทาํ ความสะอาด สารทีใชท้ าํ ความสะอาด หมายถงึ สารทมี คี ุณสมบตั ิในการชาํ ระลา้ งสิงสกปรก ใชใ้ นการดูแลรักษา สภาพของร่างกาย เสือผา้ นอกจากนนั ยงั ชว่ ยใหเ้ ครืองใชแ้ ละเครืองสุขภณั ฑ์อยู่ในสภาพดี มคี วามอดทน อันตรายจากการใช้สารทีใช้ทําความสะอาด ์ จากการใชห้ รือ ทไี มถ่ ูกตอ้ งผดิ วตั ถปุ ระสงค์ เช่น นาํ ผงซกั ฟอกมาลา้ งเนือหมู ์￿ จากการสัมผสั ทาํ ใหผ้ ิวหนงั บริเวณทไี ดร้ ับการสมั ผสั เกิดอากาศปวดแสบปวดร้อน ระคายเคอื ง หรือไหมเ้ กรียมได้ ์￿ จากการรับประทาน ทาํ ใหเ้ กิดอาการปวดร้อน ภายในช่องปาก บริเวณลาํ คอ กล่อง เสียง หลอดอาหาร ระบบทางเดินอาหาร ทาํ ใหเ้ กิดอาการนาํ ลายฟูมปาก อาเจียน อุจจาระร่วง ถ่ายเป็นเลือด ความดนั โลหิตลดลงอยา่ งรวดเร็ว ตบั และไตถกู ทาํ ลายและเสียชีวิตไดใ้ นทีสุด ์￿ ถา้ สูดควนั สีขาวของกรดเขม้ ขน้ เขา้ ไป จะทาํ ใหเ้ กิดอาการสาํ ลกั ไอ แสบจมกู อาจเป็ นแผลเปื อย ในระบบทางเดนิ หายใจ ทาํ ลายเยอื บโุ พรงจมูก ทาํ ลายระบบการรับกลนิ ์￿ หากเขา้ ตาจะทาํ ลายเยอื บุตา มอี าการปวดร้อนบริเวณดวงตา นาํ ตาไหล ในกรณีทีไดร้ ับสารทีมี ความเขม้ ขน้ สงู อาจรุนแรงถึงขนั ตาบอดได้

214 สารทใี ช้เป็ นเครืองสําอาง เครืองสาํ อาง หมายถงึ วตั ถทุ มี งุ่ หมายเอาไว้ ทา ถู นวด โรย พน่ หยอด ใส่ อบหรือกระทาํ ดว้ ยวธิ ี อืนใด ต่อส่วนหนึงส่วนใดของร่างกายเพือความสะอาด ความสวยงาม หรือส่งเสริมใหเ้ กิดความสวยงาม ตลอดทงั เครืองประทินผวิ ตา่ ง ๆ ด้วย แต่ไม่รวมถงึ เครืองประดับและเครืองแต่งตวั ซึงเป็ นอุปกรณ์ร่างกาย ภายนอก รวมทงั วตั ถุทีมงุ่ หมายใชเ้ ป็นส่วนผสมในการในการผลติ เครืองสาํ อางโดยเฉพาะ อนั ตรายของเครอื งสําอาง เครืองสาํ อางอาจกอ่ ใหเ้ กิดอนั ตรายต่อผใู้ ช้ ส่วนใหญ่เกิดอาการอกั เสบเป็ นผืนแดง เป็นเมด็ หรือตุ่มคันเกิดอาการแพต้ ่อผวิ หนงั เยือตา บางชนิดทาํ ให้ผมร่วง บางชนิดทาํ ใหเ้ กิดอาการอกั เสบรุนแรง แผลเน่าเปื อย ก่อนตดั สินใจซอื เครืองสาํ อาง ควรเลือกเครืองสาํ อางทีผา่ นการตรวจรับรองจากองคก์ ารอาหาร และยา (อย.) และทดสอบใชก้ ่อนว่าเหมาะสมกบั ตวั เองหรือไม่ เกิดอาการแพห้ รืออกั เสบหรือไม่ สารทีใช้เป็ นยา สารทีใชเ้ ป็นยา หมายถงึ สารหรือผลติ ภณั ฑท์ ีมีวตั ถุประสงค์ในการใช้เพอื ให้เกิดการเปลียนแปลง ทางสรีรวิทยาของร่างกาย หรือทาํ ใหเ้ กิดการเปลียนแปลงของขบวนการทางพยาธิวิทยาซึงทาํ ใหเ้ กิดโรค ทงั นีเพือก่อใหเ้ กิดประโยชนแ์ ก่ผไู้ ดร้ บั ยานนั สารทถี กู จดั ใหเ้ ป็ นยาควรมปี ระโยชน์ในการใชโ้ ดยมหี ลกั ใหญ่ 3 ประการ คือ 1. ใชป้ ระโยชน์ในการรักษาโรคให้หายขาด 2. ใชป้ ระโยชนใ์ นการควบคุมโรคหรือบรรเทาอาการ 3. ใชป้ ระโยชน์ในการป้ องกนั โรค นอกจากนี ยายงั มีประโยชน์ในการวนิ ิจฉยั โรค เชน่ การทดสอบภาวการณ์ ตงั ครรภ์โดยการใชเ้ อสโตรเจน (Estrogens) และการทดสอบการทาํ งานของระบบควบคุมการหลงั ฮอร์โมน ของต่อมใตส้ มองและต่อมหมวกไตโดยใชย้ าคอร์ตซิ อล (Cortisol) ข้อควรระวังในการใช้ ยาเป็นสิงทีให้ทงั คุณและโทษ กล่าวคือถา้ รู้จักใชก้ ็จะใหค้ ุณประโยชน์ แต่ถ้าใช้ไม่ถูกต้องก็จะ กลายเป็ นโทษหรืออนั ตรายต่อร่างกายจนถึงขนั เสียชีวิตได้ การใช้ยาจึงตอ้ งใชด้ ้วยความระมดั ระวงั และใช้ เท่าทีจาํ เป็นจริง ๆ

215 สารเคมที ใี ช้ในการเกษตร สารเคมที ีใชใ้ นการเกษตร หมายถึง สารเคมีทีใชเ้ พอื ม่งุ หวงั เพมิ ผลทางการเกษตรหรือใช้ เพือกาํ จัด แมลงศตั รูพืช แบ่งเป็น ประเภท คือ สารเคมที ีใชใ้ นการเพมิ ผลผลติ และสารเคมีทีใชใ้ นกาํ จดั แมลงศตั รูพชื สารเคมที ใี ช้ในการเพิมผลผลิต สารเคมีทีใชใ้ นการเพิมผลผลิต คือ วสั ดุใดก็ตามทีเราใส่ลงไปในดินไม่ว่าในทางใด โดยวสั ดุนัน มีธาตุอาหารจาํ เป็นสาํ หรับพืช ซึงพชื สามารถนาํ ไปใชป้ ระโยชน์ได้ เราเรียกวา่ “ป๋ ุย” สารเคมีทใี ช้ในกําจัดแมลงศัตรูพืช สารเคมที ใี ชใ้ นกาํ จดั แมลงศตั รูพืช หมายถึง สารเคมหี รือส่วนผสมของสารใด ๆ ก็ตาม ทีใชป้ ้ องกัน กาํ จดั ทาํ ลายหรือขบั ไลศ่ ตั รูพชื อนั ตรายของสารกําจดั แมลงและศัตรูพชื M￿ เป็ นอนั ตรายต่อผใู้ ช้ ถา้ ผใู้ ชข้ าดความระมดั ระวงั หรือถา้ ใชไ้ ม่ถกู วิธี M￿ สิงแวดลอ้ มเสียสมดุล ถา้ สารกระจายในอากาศ หรือสะสมตกคา้ งในนาํ ในดิน M￿ ทาํ ให้ร่างกายทาํ งานผิดปกติ ถา้ มกี ารสะสมสารเคมใี นร่างกายมากเกินไป และอาจถึงขนั เสียชีวิตได้ ประเภทของสารทใี ช้ในชีวติ ประจําวัน แบ่งตามคณุ สมบัตคิ วามเป็ นกรด - เบส สารทีมคี วามเป็ นกรด สารประเภทนีมรี สเปรียวทาํ ปฏิกิริยาเคมกี บั โลหะ เช่น สงั กะสีทาํ ปฏกิ ิริยาเคมีกบั หินปนู ตวั อยา่ ง สารประเภทนี ไดแ้ ก่ มะนาว นาํ สม้ สายชู นาํ อดั ลม นาํ มะขาม นาํ ยาลา้ งหอ้ งนาํ เมือสารทีมีสมบตั ิเป็ นกรด ทดสอบดว้ ยกระดาษลิตมสั กระดาษลิตมสั จะเปลียนจากสีนาํ เงินเป็ นแดง สารทมี ีสมบัตเิ ป็ นเบส สารประเภทนีมรี สฝาด เมอื นาํ มาถกู บั ฝ่ ามือจะรู้สึกลืนมือ ทาํ ปฏิกิริยากบั ไขมนั หรือนาํ มนั พืช หรือ นาํ มนั สัตว์ จะไดส้ ารประเภทสบู่ ตวั อยา่ งสารประเภทนี เช่น นาํ ปนู ใส โซดาไฟ ผงฟู นาํ ขีเถา้ เมอื นาํ สารทีมี สมบตั ิเป็นเบสทดสอบดว้ ยกระดาษลิตมสั กระดาษลติ มสั จะเปลยี นจากสีแดงเป็ นสีนาํ เงิน

216 สารทมี ีความเป็ นกลาง สารประเภทนีมีสมบตั ิหลายประการและเมือนาํ มาทดสอบดว้ ยกระดาษลิตมสั แลว้ กระดาษลิตมสั จะไม่มีการเปลียนแปลง ตวั อย่างของสารประเภทนี เช่น นาํ นาํ เกลอื นาํ เชอื ม เป็นตน้ อนิ ดเิ คเตอร์สําหรบั กรด - เบส อินดิเคเตอร์เป็นสารทีใชท้ ดสอบความเป็ นกรด - เบส ของสารละลายได้ ส่วนใหญ่เป็นสารอินทรีย์ มีสมบตั ิเป็นกรดอ่อน ซึงมสี ีเปลยี นไปเมือความเป็นกรด - เบส ของสารละลายเปลียนไป หรือค่า pH (positive potential of the hydrogen ions) ของสารละลายเปลยี นไป จึงใชก้ ารเปลียนสีบอกค่า pH ของสารละลายได้ อนิ ดิเคเตอร์ทีควรรู้จกั คือ กระดาษลติ มสั สารละลาย ฟี นอลฟ์ ธาลีน และยูนิเวอร์ซัลอนิ ดิเคเตอร์ (อินดิเคเตอร์ สกดั ไดจ้ ากดอกไมส้ ีแดงและสีม่วง เช่น ดอกอญั ชนั และดอกตอ้ ยตงิ ใหส้ ีม่วง ดอกชบาซอ้ นและดอกกระเจียบ ให้สีแดง เป็นตน้ ) กระดาษลิตมัส เปลียนสีกระดาษลติ มสั จากนาํ เงินเป็ นแดง แตส่ ีแดงไม่เปลียนสารมีคุณสมบตั ิเป็นกรด เปลยี นสีกระดาษลิตมสั จากแดง เป็นนาํ เงิน แต่สีนาํ เงินไม่เปลียนสารมคี ุณสมบตั ิเป็นเบส กระดาษลิตมสั ทงั สองสีไมเ่ ปลยี น สารมคี ุณสมบตั ิเป็นกลาง สารละลายฟี นอล์ฟธาลีน ! สารละลายฟี นอลฟ์ ธาลนี เปลยี นสีเป็นสีชมพ่มู ่วง สารนนั มสี มบตั ิเป็นเบส ! สารละลายฟี นอลฟ์ ธาลีน ใสไม่มสี ีสารนนั อาจเป็น กรดหรือเป็นกลางก็ได้ ยูนเิ วอร์ซัลอินดเิ คเตอร์ - ค่า pH มีค่านอ้ ยกว่า สารละลายเป็ นกรด - ค่า pH มีค่ามากกวา่ สารละลายเป็นเบส - ค่า pH มีค่าเท่ากบั สารละลายเป็นกลาง ข้อควรระวงั ในการใช้สารละลายกรด กรดเป็นสารทีมีพษิ ต่อมนุษยแ์ ละสตั ว์ เพราะมีฤทธิในการกดั กร่อน ดังนันในการใชส้ ารทีมฤี ทธิเป็ น กรดในชีวติ ประจาํ วนั จะตอ้ งใช้อย่างระมดั ระวงั โดยเฉพาะภาชนะทีนาํ มาบรรจุสารละลายทีมีฤทธิเป็ นกรด เช่น นาํ ส้มสายชู นาํ มะนาว นาํ มะขามเปียก ควรใชภ้ าชนะทีเป็ นแก้วหรือกระเบืองเคลือบ ไม่ควรใชภ้ าชนะที เป็ นโลหะหรือพาสติกโดยเดด็ ขาด ส่วนสารละลายกรดทีมีผลตอ่ สิงแวดลอ้ มนนั เมอื นาํ มาลา้ งพนื หรือสุขภณั ฑ์ แลว้ ไม่ควรปล่อยลงในแหล่งนาํ นอกจากนีสารละลายกรดยงั ทาํ ลายพืนบา้ นทีเป็ นหินปูน ทาํ ให้พืนบ้านชาํ รุด ดงั นนั การใชส้ ารละลายกรดจึงตอ้ งใชใ้ หถ้ ูกวธิ ี และอ่านคาํ แนะนาํ ใหเ้ ขา้ ใจก่อนนาํ ไปใช้

217 ข้อควรระวงั ในการใช้สารละลายเบส สารละลายเบสมฤี ทธใิ นการกดั กร่อน เมือเบสสมั ผสั กบั ผวิ หนังจะทาํ ใหผ้ วิ หนงั เกิดการอกั เสบ ปวดแสบปวดรอ้ นและลอกเป็นขุย ดงั นันควรระวงั ในการสมั ผสั กบั เบส โดยสงั เกตได้วา่ เบสสัมผสั ถกู ส่วน ใดของร่างกายจะรู้สึกลืน ๆ จึงควรรีบลา้ งออกดว้ ยนาํ สะอาดแลว้ ลา้ งออกด้วยนาํ สม้ สายชูและลา้ งดว้ ยนาํ สะอาดอีกครัง การหาค่า pH ของสารในชวี ิตประจาํ วนั สารละลายกรด - เบส สามารถเปลียนสีกระดาษลิตมสั ได้ นอกจากนียงั สามารถเปลยี นสีของ กระดาษยนู ิเวอร์ซลั อนิ เคเตอร์ และสีของสารทไี ดจ้ ากส่วนต่าง ๆ ของพืช เชน่ ดอก ใบ เป็ นต้นสิงทีนาํ มาใช้ ในการตรวจสอบเพอื จาํ แนกความเป็นกรด - เบสของสารละลายหรือสารละลายเบสได้ เรียกวา่ อนิ ดิเคเตอร์ การทีจะบอกวา่ สารละลายมีความเป็ นกรด - เบสมากน้อยเท่าใดใชร้ ะบุเป็ นค่า pH ซึงกาํ หนดว่าสารทีมีค่า pH ทีเท่ากบั มสี มบตั ิเป็นกลาง และถา้ ค่า pH ตาํ กว่า จะเป็ นกรด ยงิ ค่า pH นอ้ ย ยงิ มีความเป็ นกรดมาก ถา้ ค่า pH สูงกว่า จะเป็นเบส ยงิ มีค่า pH มาก ยิงมคี วามเป็ นเบสมาก ตวั อย่างผลการทดสอบสารละลายบางชนดิ ด้วยอนิ ดเิ คเตอร์ชนิดต่าง ๆ ผลทีสังเกตไดเ้ มอื ทดสอบ สารละลายตวั อยา่ ง กระดาษลิตมสั นาํ คนั จาก นาํ คนั จาก นาํ คนั จาก ดอกกหุ ลาบ กะหลาํ ปลมี ว่ ง ดอกอญั ชัญ เปลยี นจากสีแดง . นาํ มะนาว เปลยี นจากสีนาํ เงนิ เปลียนจากสีแดง เป็นสีนาํ เงิน เป็นสีนาํ เงนิ . นาํ ผงซกั ฟอก เป็ นแดง . นาํ สม้ สายชู เปลยี นจากสีนาํ เงิน เป็นสีนาํ เงิน ไมเ่ ปลยี น . นาํ ยาลา้ งจาน เปลยี นจากสีแดงเป็น . ยาลดกรด นาํ เงิน เปลียนเป็ นสี แดง เปลียนเป็ นสี แดง เปลยี นเป็นสีนาํ เงิน 6. ผงฟู . นาํ ขีเถา้ เปลยี นจากสีแดงเป็น เปลยี นเป็นสีนาํ เงนิ เปลยี นเป็นสีนาํ เงิน เปลยี นเป็นสีนาํ เงิน นาํ เงิน เปลียนเป็นสีนาํ เงนิ เปลยี นเป็นสีนาํ เงนิ เป็นสีนาํ เงิน เปลยี นจากสีแดงเป็น นาํ เงนิ เปลียนจากสีนาํ เงนิ เป็นสีนาํ เงิน เป็นสีนาํ เงนิ เปลียนจากสีนาํ เงิน เปลียนจากสีนาํ เงิน เป็นสีนาํ เงนิ เป็ นแดง เปลยี นจากสีแดงเป็น นาํ เงนิ เปลยี นจากสีแดงเป็น นาํ เงนิ

218 สีของยนู ิเวอร์ซลั อนิ ดิเคเตอร์ แดง แดง แดง แดง ชมพู ส้ม เหลือง เขียว เขียว นาํ นาํ ม่วง ม่วง ม่วง ม่วง นาํ เงิน เงิน เงิน ม่วง กรด กลาง เบส pH1 pH3 pH6 pH8 pH10 pH13 ตวั อย่างค่า pH ของสารและสีของยูนเิ วอร์ซัลอนิ ดิเคเตอร์ตงั แต่ pH 0-14 เรอื งที การใช้สารให้ถูกต้องและปลอดภัย เมอื นาํ สารต่างๆมาใชเ้ ราตอ้ งศึกษาขอ้ มลู และวธิ ีการใชส้ ารใหเ้ ขา้ ใจกอ่ นโดยปฏบิ ตั ิ ดงั นี . อา่ นฉลากให้เขา้ ใจ ก่อนนาํ สารชนิดนนั ไปใชป้ ระโยชน์ . ใชส้ ารอยา่ งถูกตอ้ ง เหมาะสมตามวธิ ีแนะนาํ . ใชส้ ารในปริมาณเทา่ ทีจาํ เป็ น . ใชส้ ารหมดแลว้ ตอ้ งกาํ จดั ภาชนะบรรจุสารอย่างเหมาะสม สารบางประเภททีเรานาํ มาใชป้ ระโยชน์เป็ นสารอนั ตราย และเป็นสารทีคงสภาพอยู่ไดน้ าน เช่น สารกาํ จดั ศตั รูพืช เมือเกษตรกรนาํ มาฉีดพน่ ผลติ ผล จะมีสารพิษตกคา้ งอยู่กบั ผลติ ผลและพืนทีในบริเวณที ใชส้ าร ซึงมีผลต่อคน สัตวแ์ ละสิงแวดลอ้ ม ดงั นนั การนาํ สารต่าง ๆ มาใชโ้ ดยเฉพาะสารทีมีพิษ จึงต้องรู้จกั ใชอ้ ยา่ งระมดั ระวงั เพือไม่ใหเ้ กิด อนั ตรายต่อตวั เราเอง รวมทงั ก่อใหเ้ กิดผลกระทบต่อสิงแวดลอ้ มรอบตวั เราดว้ ย

219 เรืองที ผลกระทบทีเกดิ จากการใช้สารเคมี ของเสียเป็ นอนั ตรายต่อสิงแวดล้อม ของเหลอื ทิงจากการอุปโภค บริโภค หรือสิงของเสือมสภาพจนใชก้ ารไม่ได้แลว้ ตลอดจนของที มนุษยไ์ มต่ อ้ งการจะใชต้ อ่ ไปแลว้ เรารวมเรียกวา่ \"ของเสีย\" ของเสียบางชนิดไมเ่ ป็นพษิ ภยั ต่อมนุษยแ์ ละ สิงแวดลอ้ มมากนัก เชน่ ของเสียจาํ พวกเศษอาหาร เศษกระดาษจากบา้ นเรือนทพี กั อาศยั แต่ของเสียบางชนิด เป็ นอนั ตรายต่อชีวติ ของมนุษยแ์ ละสตั ว์ ตลอดจนสิงแวดลอ้ มอนื ๆ อยา่ งมาก จาํ เป็ นตอ้ งเก็บหรือกาํ จดั ทิง ไปโดยระมดั ระวงั ให้ถกู หลกั วชิ าการ อาจทาํ ให้เกิดอนั ตรายต่อสุขภาพอนามยั ของมนุษยแ์ ละสิงแวดลอ้ มได้ โดยเฉพาะอยา่ งยงิ เมือมีการปนเปื อนหรือสะสมอยใู่ น \"ห่วงโซ่อาหาร\" จะเป็นสาเหตุหรือทาํ ให้เกิดการเจ็บป่ วยอยา่ งเฉียบพลนั หรือแบบเรือรัง ซึงจะทาํ ให้พกิ ารหรือเสียชีวติ ได้ เราเรียกของเสียประเภทนีว่า \"ของเสียที เป็ นอนั ตราย\" และในบางกรณีของเสียทีเป็นอนั ตรายอาจมีลกั ษณะของ ความเป็นอนั ตรายหลายประเภทรวมกนั ของเสียทีเป็ นอนั ตราย ได้แก่ของเสียทีมีลักษณะของความเป็ น อันตรายลกั ษณะใดลักษณะหนึง หรอื หลายลักษณะรวมกัน ดังต่อไปนี 1. ของเสียเป็ นพิษ หรือเจือปน หรือมีส่วนประกอบของสารที เป็ นพิษ เช่น มีส่วนประกอบของสารปรอท ตะกัว แคดเมียม สารหนู ยาฆา่ แมลง เป็ นตน้ 2. ของเสียทีติดไฟง่าย หรือมีส่วนประกอบของสารทีติดไฟง่าย หรือสารไวไฟซึงอาจทาํ ใหเ้ กิดไฟไหมไ้ ด้ ถา้ เก็บไวใ้ กลไ้ ฟ หรือเมือมีอณุ หภมู ิสูงมาก ๆ 3. ของเสียทีมีฤทธิเป็ นกรดหรือด่างซึงสามารถกดั กร่อนวสั ดุต่าง ๆ ตลอดจนเนือเยือของร่างกาย มนุษยห์ รือสตั ว์ 4. ของเสียทีเมอื ทาํ ปฏกิ ิริยากบั สารอนื เช่น นาํ จะทาํ ใหเ้ กิดมกี า๊ ซพิษ ไอพษิ หรือควนั พิษ หรือของ เสียทีเมือไดร้ ับการทาํ ใหร้ ้อนขึนในทีจาํ กดั อาจเกิดการระเบิดได้ 5. ของเสียทีเป็นสารกมั มนั ตรังสี หรือมสี ารกมั มนั ตรังสีเจือปนอยู่ 6. ของเสียทีเมือถกู นาํ ชะลา้ ง จะปลดปล่อยสารทีเป็ นอนั ตรายดงั กล่าวขา้ งตน้ ออกมาได้ 7. ของเสียทีมเี ชอื โรคติดตอ่ ปะปนอยู่

220 เครืองสําอางและยาทีหมดอายุ ผลกระทบของของเสียทเี ป็ นอนั ตรายต่อสิงแวดล้อม การจดั การของเสียทีเป็ นอนั ตรายโดยไม่ระมดั ระวงั หรือไม่ถูกต้องเหมาะสมจะก่อให้เกิดปัญหา พนื ฐานทีมผี ลกระทบตอ่ สุขภาพของมนุษยแ์ ละสิงแวดลอ้ มได้ 4 ประการคอื 1. ทาํ ให้เกิดความเสียงต่อการเกิดโรคมะเร็ง การสมั ผสั หรือเกียวข้องกับของเสียทีเป็ นอันตราย ซึงประกอบดว้ ยสารพิษทเี ป็นสารก่อมะเร็ง อาจทาํ ให้เกิดโรคมะเร็งไดโ้ ดยเฉพาะเมือไดร้ ับสารเหลา่ นันเป็ น เวลาติดต่อกนั นาน ๆ อาทิ การหายใจเอาอากาศทีมสี ารพวกไดออกซิน เบนซิน ฟอร์มาลดีไฮดเ์ ข้าไป หรือ กินอาหารหรือนาํ ทีปนเปื อนดว้ ยสารเคมพี วกยาฆา่ แมลง 2. ทาํ ให้เกิดความเสียงต่อการเกิดโรคอนื การทีไดร้ ับสารเคมีหรือสารโลหะหนกั บางชนิดเขา้ ไปใน ร่างกาย อาจทาํ ใหเ้ จบ็ ป่ วยเป็นโรคต่าง ๆ จนอาจถึงตายได้ เช่น โรคทางสมองหรือทางประสาท หรือโรคที ทาํ ให้เกิดความผิดปกติของร่างกาย ตวั อย่างของโรคทีเกิดจากการจดั การของเสียทีเป็ นอนั ตรายอย่างไม่ ถกู ตอ้ ง เช่น โรคมินามาตะ ซึงเกิดจากสารปรอท โรคอิไต-อิไต ซึงเกิดจากสารแคดเมียมและโรคแพพ้ ิษสาร ตะกวั เป็นตน้ 3. ทาํ ให้เกิดผลกระทบต่อระบบนิเวศ สารโลหะหนัก หรือสารเคมีต่าง ๆ ทีเจือปนอยู่ในของเสียที เป็ นอนั ตราย นอกจากจะเป็ นอนั ตรายต่อมนุษยแ์ ลว้ ยงั เป็นอนั ตรายต่อสิงมชี ีวติ อนื ๆ ทังพืชและสัตว์ ทาํ ให้ เจ็บป่ วยและตายไดเ้ ช่นกนั หรือถา้ ได้รับสารเหล่านันในปริมาณไม่มากพอทีจะทาํ ใหเ้ กิดอาการอยา่ ง เฉียบพลัน ก็อาจมีผลกระทบต่อโครงสร้างของโครโมโซมทําให้เกิดการเปลียนแปลงทางพันธุกรรม นอกจากนีการสะสมของสารพิษไวใ้ นพืชหรื อสัตว์แลว้ ถ่ายทอดไปตามห่วงโซ่อาหาร ในทีสุดอาจเป็ น อนั ตรายต่อมนุษยซ์ ึงนาํ พืชและสตั วด์ งั กล่าวมาบริโภค 4. ทาํ ให้เกิดผลเสียหายต่อทรพั ยส์ ินและสงั คม เช่น เกิดไฟไหม้ เกิดการกัดกร่อนเสียหายของวสั ดุ เกิดความเสือมโทรมของสิงแวดลอ้ ม ซงึ จะส่งผลทางออ้ มทาํ ให้เกิดปัญหาทางสังคมดว้ ย

221 การเกดิ เพลิงไหมโ้ รงงานจะทาํ ให้สารอนั ตรายต่าง ๆ แพร่กระจายออกไป ของเสียทเี ป็ นอันตรายก่อให้เกดิ อนั ตรายต่อมนุษย์และสิงแวดล้อมได้อย่างไร ของเสียทีเป็นอนั ตราย หรือสารทเี จือปนอยู่ในของเสียทีเป็นอนั ตรายอาจก่อใหเ้ กิดอนั ตราย ต่อสุขภาพอนามยั ของมนุษยแ์ ละสิงแวดลอ้ มไดห้ ลายทาง คือ 1. โดยการสมั ผสั โดยตรง หากของเสียพวกกรดหรือด่างทีมีความเขม้ ขน้ ไม่มากหกรดถูกร่างกาย อาจทาํ ใหผ้ วิ หนังบริเวณทีสัมผสั เกดิ ระคายเคืองเป็ นผืน แต่ถา้ มีความเขม้ ข้นมาก ๆ อาจทาํ ให้ผิวหนังไหม้ หรือเนือเยอื ถูกทาํ ลายจนเกิดบาดแผลพุพอง นอกจากนีการใชย้ าฆ่าแมลงโดยไม่มีอุปกรณ์ป้ องกัน เช่น หนา้ กาก และถุงมอื สารดงั กล่าวอาจซึมเขา้ ทางผิวหนังได้ การกินสารเหล่านีเข้าไปโดยตรงจะเป็ นอนั ตราย อยา่ งมาก และทาํ ใหเ้ กดิ อาการอยา่ งเฉียบพลนั ดงั นัน ควรระมดั ระวงั ร่างกายหรืออาหารไมใ่ ห้สัมผสั กบั ของเสีย ไม่ควรนาํ ภาชนะบรรจุของเสียทีเป็นอนั ตรายมาใชอ้ กี เนืองจากอาจมีเศษของสารอนั ตรายเหลือ คา้ งอยู่ 2. โดยการสะสมอย่ใู นห่วงโซ่อาหาร พืชและสตั วจ์ ะดูดซึมหรือกินเอาสารอนั ตรายต่าง ๆ ทีมสี ะสม อยูใ่ นดินหรือในอาหารเขา้ ไป สารดังกล่าวจะไปสะสมอย่ใู นส่วนต่าง ๆ ของพชื และสัตวน์ ัน ๆ เนืองจาก สารอนั ตรายเหลา่ นีสลายตวั ได้ชา้ ดงั นนั ในร่างกายของพืชและสัตว์จึงมีความเขม้ ข้นของสารเพิมมากขึน เป็ นลาํ ดบั เมือมนุษยก์ ินพชื หรือสัตวน์ นั ก็จะไดร้ บั สารอนั ตรายเขา้ ไปดว้ ย และจะไปสะสมอยูใ่ นร่างกายของ มนุษยจ์ นมปี ริมาณมากและก่อใหเ้ กิดอาการเจบ็ ป่ วยตา่ ง ๆ ออกมาในทีสุด 3. โดยการปนเปือนต่อแหล่งนาํ ทีใชใ้ นการอปุ โภคและบริโภค การนําของเสียทีเป็ นอนั ตรายไปฝัง โดยไม่ถกู วิธี อาจทาํ ให้เกิดนาํ เสียทีมีสารอนั ตรายปนเปื อน นาํ เสียเหลา่ นีจะไหลซึมผ่านชนั ดินลงไปยงั แหล่งนาํ ใตด้ ิน นอกจากนีการนําของเสียทีเป็ นอนั ตรายมากองทิงไว้ อาจทาํ ใหน้ ําฝนไหลชะพาเอาสาร อนั ตรายตา่ ง ๆ ไปปนเปือนในแม่นาํ ลาํ คลอง ดงั นนั เมือเรานาํ นาํ ใตด้ ินหรือนาํ ผวิ ดนิ ทีมีการปนเปื อน ของของเสียทีเป็นอนั ตรายมาบริโภคหรืออปุ โภค เรากอ็ าจจะไดร้ บั สารอนั ตรายตา่ ง ๆ เหล่านันเขา้ ไปดว้ ย

222 4. โดยการเจือปนอย่ใู นอากาศ ของเสียทีเป็ นอนั ตรายบางชนิดจะระเหยปลอ่ ยสารต่าง ๆ ออกมา หรือปลิวฟ้ ุงเป็นฝ่ ุนผสมอยใู่ นอากาศทีเราหายใจ นอกจากนี การเผาของเสียทีเป็ นอนั ตรายโดยไม่มีการ ควบคุมปัญหาอากาศอย่างเข้มงวด อาจทาํ ให้มีสารอนั ตรายปะปนอยู่ในอากาศในรูปของไอหรือฝ่ นุ ของ สารเคมีต่าง ๆ 5. โดยการระเบิดหรือไฟไหม้ การเก็บของเสียทีมีลกั ษณะไวไฟหรือติดไฟง่ายในสถานทีต่าง ๆ จะตอ้ งมีมาตรการระมดั ระวงั การติดไฟหรือระเบิด โดยเฉพาะอยา่ งยงิ หากสถานทีทีเกบ็ มอี ุณหภมู สิ ูงเกิน กวา่ จุดวาบไฟของของเสีย นอกจากนีการนําของเสียต่างชนิดกันมาผสมกัน อาจมีปฏกิ ิริยาเคมีต่อกันอยา่ ง รุนแรงจนเกิดระเบดิ ขึน ทาํ อนั ตรายต่อชีวติ และทรัพยส์ ินได้ สินคา้ สารเคมเี มอื ถูกเพลงิ ไหมจ้ ะกลายเป็ นของเสียทีเป็นอนั ตราย ผลกระทบของสารเคมีทีมตี ่อสุขภาพ ปัจจัยทีทาํ ให้สารเคมีมีผลต่อสุขภาพของคน จากการศึกษาของ Dr.Helen Marphy ผเู้ ชียวชาญ ทางดา้ นพษิ วทิ ยา จากโครงการ Community IPM จาก FAO ประเทศอินโดนีเซีย พบว่าปัจจยั ทีมคี วามเสียง ของสุขภาพของคนอนั ดบั ตน้ ๆ คือ 1. เกษตรกรใช้สารเคมชี นิดทีองค์การ WHO จาํ แนกไวใ้ นกลุ่ม 1a และ 1b คือ ทีมีพิษร้ายแรงยงิ (Extremely toxic) และมีพษิ ร้ายแรงมาก (Very Highly toxic) ตามลาํ ดับ ซึงมีความเสียงสูงทาํ ให้เกิดการ เจบ็ ป่ วยแก่เกษตรกร ซงึ ใชส้ ารพิษ โดยเฉพาะสารทงั สองกลมุ่ ดงั กลา่ ว 2. การผสมสารเคมีหลายชนิดฉีดพน่ ในครังเดียว ซึงเป็นลกั ษณะทีทาํ ใหเ้ กิดความเขม้ ขน้ สงู เกิดการ แปรสภาพโครงสร้างของสารเคมี เมอื เกดิ การเจบ็ ป่ วยแพทยไ์ ม่สามารถรักษาคนไขไ้ ดเ้ นืองจากไม่มียารักษา โดยตรง ทาํ ให้คนไขม้ โี อกาสเสียชีวติ สูง 3. ความถขี องการฉีดพน่ สารเคมี ซึงหมายถึงจาํ นวนครงั ทีเกษตรกรฉีดพน่ เมอื ฉีดพน่ บ่อยโอกาสที จะสัมผสั สารเคมีกเ็ ป็ นไปตามจาํ นวนครงั ทีฉีดพน่ ทาํ ให้ผฉู้ ีดพ่นได้รับสารเคมใี นปริมาณทีมากและสะสม ในร่างกายและผลผลติ

223 4. การสัมผสั สารเคมีของร่างกายผฉู้ ีดพน่ บริเวณผิวหนังเป็นพนื ที ๆ มากทีสุดของร่างกาย หากผฉู้ ีด พน่ สารเคมไี ม่มีการป้ องกนั หรือเสือผา้ ทีเปี ยกสารเคมี และโดยเฉพาะบริเวณทีมือและขาของผฉู้ ีดพ่น ทาํ ให้ มีความเสียงสูง ทงั นีเพราะสารเคมปี ้ องกนั และกาํ จัดศตั รูพชื ถกู ผลิตมาใหท้ าํ ลายแมลงโดยการทะลทุ ะลวง หรือดดู ซึมเขา้ ทางผวิ หนังของแมลง รวมทงั ใหแ้ มลงกินแลว้ ตาย ดงั นัน ผวิ หนงั ของคนทีมคี วามอ่อนนุ่มกว่า ผิวหนงั ของแมลงง่ายต่อการดูดซึมเข้าไปทางต่อมเหงือนอกเหนือจากการสูดละอองเข้าทางจมกู โดยตรง จงึ ทาํ ให้มคี วามเสียงอนั ตรายมากกวา่ แมลงมากมาย 5. พฤติกรรมการเก็บสารเคมี และทาํ ลายภาชนะบรรจุไม่ถกู ต้อง ทาํ ให้อันตรายต่อผอู้ ยู่อาศยั โดยเฉพาะเดก็ ๆ และสตั วเ์ ลียง เรอื งสารละลายทเี ป็ นกรด - เบส กิจกรรมที คาํ ชีแจง . ให้ผเู้ รียนบนั ทึกผลการทดลองเฉพาะสารตวั อยา่ งทีเลอื กทาํ การทดลอง ชนิด . ให้ผเู้ รียนสรุปผลการทดลองจากสารตวั อย่างทงั หมดวา่ เป็นกรดหรือเบสเพราะเหตุใด . ให้ผเู้ รียนตอบคาํ ถาม กจิ กรรม pH ของสารในชีวติ ประจาํ วนั ตารางบนั ทึกผล ค่า pH การเปลยี นสีของกระดาษลติ มสั สีแดง สีนาํ เงิน นาํ มะนาว นาํ สม้ สายชู นาํ ขีเถา้ สารละลายยาสีฟัน นาํ ยาลา้ งห้องนํา นาํ สบู่ นาํ ประปา นาํ อดั ลม (ไมม่ สี ี) สรุปผลการทดลองจากกจิ กรรม ........................................................................................................................................... ........................................................................................................................................... คําถาม 1.￿ สารในชีวติ ประจาํ วนั แต่ละชนิด มคี ่า pH เป็นอยา่ งไร ........................................................................................................................................... ...........................................................................................................................................

224 2.￿ มสี ารใดบา้ งเป็ นเบส สารใดบา้ งเป็นกรด ทราบไดอ้ ยา่ งไร ........................................................................................................................................... ........................................................................................................................................... . ผเู้ รียนมวี ธิ กี ารทดสอบความเป็นกรด - เบสของนาํ ในแหล่งนาํ ของชุมชนไดอ้ ยา่ งไร ถา้ ตอ้ งการทราบว่าแหล่งนาํ ในชุมชนมีความเป็ นกรด - เบสเพียงใด ผูเ้ รียนจะมีวิธีการทดสอบ อยา่ งไร ........................................................................................................................................... ........................................................................................................................................... . . ผเู้ รียนคิดวา่ จากการศึกษากจิ กรรมนีสามารถนาํ ไปใชใ้ นชวี ิตประจาํ วนั ไดอ้ ย่างไร ........................................................................................................................................... ........................................................................................................................................... กจิ กรรมที เรอื ง การตรวจหาโซเดยี มเมตาฟอสเฟตในผงชูรส อปุ กรณ์ . ผงชรู ส . นาํ สะอาด 3. แกว้ . ปนู ขาว . นาํ สม้ สายชู 6. ชอ้ น วธิ ีดาํ เนินกิจกรรม ขันเตรียมนําปูนขาวผสมกรดนําส้ม วธิ ีทาํ นาํ ยาปนู ขาวผสมกรดนาํ สม้ ใชป้ ูนขาวประมาณครึงชอ้ นชา ละลายในนาํ ส้มสายชูประมาณ 7 ชอ้ นโตะ๊ คนให้ทวั ประมาณ - นาที แลว้ ทิงไวใ้ หต้ ะกอนนอนกน้ รินเอานาํ ยาใสขา้ งบนออกมาใช้ นาํ ยา ใสนีคือ “นาํ ปูนขาวผสมกรดนาํ ส้ม” ขันตอนการทดลอง 1. นาํ ผงชรู สทีสงสยั ประมาณ 1 ชอ้ นชา ละลายในนาํ สะอาดประมาณครึงแกว้ 2. ใส่ “นาํ ปนู ขาวผสมกรดนาํ สม้ ” ลงไปประมาณ 1 ชอ้ นชา

225 (ถา้ เป็นผงชรู สแทจ้ ะไมม่ ตี ะกอนเกิดขึน แต่ถา้ เป็ นผงชูรสทีมีโซเดียมเมตาฟอสเฟตผสมอยู่จะเกิด ตะกอนขุ่นขาวทนั ที) บันทกึ ผลการทดลอง การเปลยี นแปลงเมอื ใส่นําปูนขาวผสมกรดนําส้ม ตวั อย่างผงชูรส ผงชูรส ผงชูรส สรุปผลการทดลองจากกจิ กรรม ........................................................................................................................................... ........................................................................................................................................... โซเดียมเมตาฟอสเฟต โซเดียมเมตาฟอสเฟต เป็ นผลึกแท่งเหลียมยาวคลา้ ยผงชรู สมาก แต่มีลกั ษณะใส และเรียบกว่า ถา้ บริโภคเขา้ ไปแลว้ จะ เกิดอาการถ่ายทอ้ งอยา่ งรุนแรง แบบฝึ กหัดบทที เรอื ง สารเคมี กับชีวติ และสิงแวดล้อม คําชีแจง ให้นักเรยี นเลือกคําตอบทถี ูกทีสุดเพยี งข้อเดยี ว 1. ขอ้ ใดไม่เกียวขอ้ งกบั สารเคมีทีใชใ้ นชีวิตประจาํ วนั ก. นาํ ปลา ข. ยาสีฟัน ค. ผงซกั ฟอก ง. ไม่มีขอ้ ถกู 2. การทดสอบความเป็นกรด - เบส ของสารเคมีใชอ้ ุปกรณข์ อ้ ใด ก. กระดาษกรอง ข. กระดาษลติ มสั ค. สารละลายไอโอดนี ง. สารละลายไฮโดรคลอริค

226 3. ขอ้ ใดไมใ่ ช่สารทาํ ความสะอาดทีไดจ้ ากธรรมชาติ ก. มะกรูด ข. มะนาว ค. มะพร้าว ง. มะขามเปียก 4. การสาํ รวจสิงของทีประกอบดว้ ยสารเคมีทีใชใ้ นชีวติ ประจาํ วนั พบวา่ มกี ารรับรองคุณภาพวา่ ปลอดภยั ดไู ดจ้ ากขอ้ ใด ก. ยีหอ้ ข. สถานทีผลิต ค. ส่วนประกอบของใชห้ รือรับประทาน ง. เครืองหมายทะเบียนอาหารและยา 5. ขอ้ ใดเป็ นสีจากธรรมชาติทใี หส้ ีเหลอื ง ก. ใบยา่ นาง ข. เหงา้ ขมินชนั ค. ดอกกระเจยี บ ง. ดอกอญั ชนั 6. พจนศ์ กึ ษาสารเคมชี นิดต่าง ๆ สรุปผลการทดลองและการสงั เกตบนั ทกึ เป็ นตารางไดด้ งั นี ชนิดที สารละลาย กระดาษลิตมสั กระดาษลิตมสั สีนาํ เงิน สีแดง นาํ มะนาว นาํ ขีเถา้ เปลียนสี ไมเ่ ปลยี นสี นาํ สบู่ ไม่เปลยี นสี เปลียนสี สารละลายไฮโดคลอริ ค ไม่เปลยี นสี เปลยี นสี นาํ เปล่า เปลียนสี ไม่เปลียนสี ไม่เปลียนสี ไม่เปลียนสี จากขอ้ มูลในตาราง ขอ้ ใดสรุปถกู ตอ้ ง ก. นาํ มะนาว นาํ ขีเถา้ และนาํ สบเู่ ป็นสารเคมที ีมฤี ทธิเป็ นกรด ข. นาํ ขีเถา้ และนาํ สบูเ่ ป็นสารเคมีทีมีฤทธิเป็ นกรด ค. นาํ มะนาว สารละลายไฮโดคลอริคเป็นสารเคมที มี ีฤทธิเป็ นกรด ง. นาํ มะนาว สารละลายไฮโดคลอริคเป็นสารเคมีทมี ีฤทธิเป็ นเบส

227 7. เครืองหมายมาตรฐานผลิตภณั ฑอ์ ตุ สาหกรรมขององคก์ ารอตุ สาหกรรม คือขอ้ ใด ก. ข. ค. ง. . ขอ้ ใดเป็นผลกระทบทีเกิดจากสารเคมี ก. การปนเปือนต่อแหลง่ นาํ ทีใชใ้ นการอุปโภคและบริโภค ข. ทาํ ใหเ้ กิดความเสียงต่อการเกดิ โรคมะเร็ง ค. ทาํ ให้เกิดผลเสียหายต่อทรพั ยส์ ินและสังคม ง. ถูกทกุ ขอ้

228 บทที แรงและการเคลือนที สาระสําคัญ แรง แรงทีกระทาํ ต่อวัตถุ ความหมายของแรง การเคลือนทีของวตั ถุ ความเร่ง ความสมั พนั ธ์ ระหว่างแรงและการเคลีอนทีของอนุภาคในสนามโน้มถ่วง และสนามแม่เหล็ก ประโยชน์ของ สนามแมเ่ หลก็ ผลการเรียนรู้ทคี าดหวงั อธิบายเกียวกบั แรง ความแรง ความสมั พนั ธ์ ระหว่างแรงและการเคลือนทีไดพ้ ร้อมทงั สามารถนํา ความรู้เรืองแรงไปใชใ้ นชีวติ ประจาํ วนั ได้ ขอบข่ายเนือหา เรืองที แรงและความสมั พนั ธ์ระหวา่ งการเคลอื นทีของอนุภาค เรืองที ความสมั พนั ธร์ ะหวา่ งแรงและการเคลือนทีของอนุภาคในสนามโนม้ ถ่วง สนามแม่เหล็ก และการนาํ ไปใชป้ ระโยชนใ์ นชีวติ ประจาํ วนั

229 เรืองที แรงและความสัมพนั ธ์ระหว่างการเคลอื นทีของอนุภาค 1.￿ ความหมายของแรง แรง (Force) หมายถึง สิ งทีมากระทําหรื อพยายามกระทาํ ต่อวตั ถุแลว้ ทําให้วัตถุเกิดการ เปลยี นแปลงสภาพ เช่น ถา้ มแี รงมากระทาํ กบั วตั ถซุ ึงกาํ ลงั เคลือนที อาจทาํ ใหว้ ตั ถุนัน เคลอื นทีเร็วขึน ชา้ ลง หรือหยดุ นิง หรือเปลียนทิศทาง แรง เป็ นปริมาณเวกเตอร์คือตอ้ งบอกขนาดและทศิ ทาง มีหน่วยเป็ น นิวตนั 2.￿ การเคลอื นทใี นแนวตรง เป็ นการเคลอื นทที ีไมเ่ ปลียนทิศทาง เช่น ผลไมห้ ล่นจากตน้ การเคลอื นที คอื การเปลียนตาํ แหน่งของวตั ถุทีเกียวขอ้ งกบั สิงต่อไปนี -￿ ระยะทาง (distance) คือความเร็วของเส้นทางทงั หมดเคลือนทีจากจุดเริมต้นไปยงั จุดสุดท้าย เป็ นปริมาณ สเกลาร์ -￿ การขจดั หรือกระจดั (disflacenunt) คอื ระยะทางทสี ินสุดจากจุดเริมตน้ ไปยงั จุดสุดทา้ ย มีความ ยาวเท่ากบั ความยาวของเสน้ ตรงจากจุเริมตน้ ไปยงั จุดสุดทา้ ย เป็นปริมาณเวกเตอร์ ความเร็วและอตั ราเร็ว ขณะทีรถยนต์กาํ ลงั วิง เราจะเห็นเข็มบอกความเร็วเบนขึนเรือย ๆ แสดงว่ารถเคลอื นทีดว้ ย อตั ราเร็ว เพิมขึน แต่เมอื พิจารณาถึงทิศทางรถวิงไปดว้ ย จะกล่าวไดว้ ่ารถเคลือนทีด้วยความเร็ว (เพมิ ขึน) แต่เมือ พจิ ารณาตามขอ้ เท็จจริง ผลปรากฏว่าความเร็ว ผลปรากฏว่าความเร็วของรถไม่ได้เคลอื นทีดว้ ยอตั ราเร็วที เท่ากนั ตลาด เช่น จากชา้ แลว้ เร็วขึนเรือย ๆ หรือความเร็วเพมิ บา้ งลดบา้ ง จึงนิยมบอกอตั ราเร็วเฉลยี อตั ราเร็ว = ระยะทางทีเคลอื นที เวลาทใี ช้ หรือ V = S T

230

231 ความเร่ง คือ อตั ราการเปลยี นแปลงความเร็วต่อหน่วยเวลา หรือ หมายถึง ความเร็วทีเปลียนไปใน หน่วยเวลา มหี น่วยเป็ นเมตรต่อวนิ าที (m/s2) แต่เนืองจากอตั ราเร็วมีการเปลยี นแปลง คอื มีการเปลียนขนาด ของความเร็วหรือมกี ารเปลียนแปลงทศิ ทางของความเร็ว หรือมีการเปลยี นทงั ขนาดและทศิ ทาง จึงนิยมบอก ความเร็วของรถเป็ นความเร่ งเฉลีย ความเร่งเฉลีย = ความเร็วทเี ปลยี นไป = ความเร็วปลาย - ความเร็วตน้ ชว่ งเวลาทีใช้ ช่วงเวลาทใี ช้ เมือ u = ความเร็วตน้ (ขณะเวลา t1) v = ความเร็วปลาย (ขณะเวลา t2) av = ความเร่ง จะได้ av = vv - uv t ในการเคลือนทีในแนวดิงวตั ถเุ คลือนด้วยความเร็วคงตวั เรียกความเร่ งในการตกของวัตถุว่า ความเร่งโน้มถว่ ง ซึงมคี า่ . เมตรต่อวนิ าที และถา้ ความเร่งมที ศิ ทางตรงขา้ มกบั ความเร็วตน้ จะมีค่าเป็นลบ เรียกอีกอย่างหนึงวา่ ความหน่วง ตวั อย่าง โยนลกู บอลขึนไปในแนวดิงดว้ ยความเร็วต้น . เมตรต่อวินาที นานเท่าใดลูกบอลจึงจะ เคลือนทีถึงจุดสูงสุด วิธที ํา av = vv - uv t ในทีนี มีคา่ 9.8m/ s2 ,vv = 0m/ s,u = (- 4.9)m/ s,t = ? 9.8 = 0- (- 4.9) = 4.9 แทนค่า tt t = 4.9 = 1 9.8 2 เพราะฉะนนั จะใชเ้ วลานาน 1 วนิ าที ตอบ 2

232 เรอื งที ความสัมพนั ธ์ระหว่างแรงและการเคลอื นทีของอนุภาคในสนามโน้มถ่วง สนามแม่เหลก็ และการนําไปใช้ประโยชน์ในชีวิตประจาํ วัน สนามของแรง สนามของแรง หมายถงึ บริเวณทีเมอื นาํ วตั ถุไปวางไวแ้ ลว้ เกิดแรงกระทาํ กบั วตั ถุนัน ซึงจะมีค่ามาก หรือนอ้ ยขึนอยกู่ บั ขนาดของสนาม ขนาดและตาํ แหน่งของวตั ถใุ นทีนีจะศกึ ษาสนามของแรง แบบดว้ ยกัน คือ สนามโนม้ ถ่วง สนามแมเ่ หลก็ และสนามไฟฟ้ า สนามแรงโนม้ ถ่วง หมายถึงบริเวณรอบ ๆ โลกทสี ่งแรงกระทาํ ต่อวตั ถุนนั คือ เมอื ปลอ่ ยวตั ถุจากทีสูง วตั ถจุ ะเคลอื นทีตกลงสู่ผวิ โลก ความเร็วของวตั ถุจะเพมิ ขึนเรือย ๆ ดว้ ยอตั ราคงที นนั คือ มีความเร่งคงทีเกิด จากแรงโนม้ ถ่วงทีกระทาํ ต่อวตั ถุ เนืองจากโลกมีลกั ษณะคลา้ ยผลสม้ และผวิ โลกไม่สมาํ เสมอจึงทาํ ใหค้ ่า สนามโนม้ ถว่ งจะมคี ่าเปลียนแปลงเล็กนอ้ ย ณ สนามทีต่างกัน ค่าเฉลียของสนามโนม้ ถ่วง g มคี ่าประมาณ . นิวตนั /กิโลกรัม (N/Kg) สนามโนม้ ถ่วงจะมคี า่ ลดลงเรือย ๆ เมอื ระดบั สูงขึนจากผวิ โลกแตก่ ารเคลอื นทีขนึ หรือลงของวตั ถุที บริเวณใกลผ้ ิวโลก คาํ นึงถึงแรงโนม้ ถว่ งเพียงอยา่ งเดียว ไม่คิดแรงอนื วตั ถจุ ะเคลือนทดี ว้ ยความเร่งโน้มถว่ ง ทีมคี ณุ คา่ คงค่าเท่ากบั . เมตร/วินาที (m/s ) คา่ ความโน้มถ่วงในทิศลงพิจารณาได้ ลกั ษณะ 1.￿ เมือวตั ถตุ กลงมาอยา่ งเสรี (free ball) ด้วยความเร่งโนม้ ถ่วง . เมตร/วินาที หมายความว่า ความเร็วของวตั ถจุ ะเพิมขึนวินาทีละ . เมตร/วินาที กาํ หนดให้ u = ความเร็วตน้ หน่วยเมตร/วนิ าที v = ความเร็วปลาย หน่วยเมตร/วนิ าที t = เวลาทใี ชใ้ นการเคลอื นที หน่วยวนิ าที v=0 จดุ สงู สุด สูตร v = u+gt u t=0

233

234

235

236

237

238

239

240 การเคลอื นทีในแนวเส้นตรงและการกระจดั ความเร็วและความเร่ง การเคลือนทแี นวตรงของวตั ถุ หมายถึง การเคลอื นทีโดยไม่มีการเปลยี นทิศทาง เช่นการเคลือนที ของผลไมท้ ีหล่นจากตน้ การเคลือนทขี องรถไฟบนราง หรือการวิงแข่งในล่ขู องนักวิงเป็นตน้ ปริมาณต่าง ๆ ทีเกียวขอ้ งเป็นการเคลอื นทีในแนวตรงมหี ลายอย่างดงั นี การเคลือนที คือ การเลือนตาํ แหน่งของวตั ถจุ ากตาํ แหน่งหนึงไปยงั อกี ตาํ แหน่งหนึง ระยะทาง (Distance) คือความยาวของเส้นทางทงั หมดทเี คลอื นทีจากจุดเริมตน้ ไปจนถึงจุดสุดทา้ ย การกระจดั หรือการขจดั (Displacement) คอื ระยะทางทีสินสุดจากจุดเริมตน้ ไปยงั จุดหมาย จดุ สุดทา้ ยทีความยาวเท่ากบั ความยาวของเสน้ ตรงจากจุดเริมตน้ ไปยงั จุดสุดทา้ ย ความเร็ว (velocity) คือการขจดั ทีวตั ถเุ คลือนทไี ดใ้ นหนึงหน่วยเวลาเขียนแทนดว้ ย nv = sv t ความเร็วเฉลยี (Average velocity) หมายถงึ การเปลียนแปลงการขจดั ในช่วงเวลาทีวดั เขียนแทนดว้ ย nvav = Dsv = x2 - x1 Dt t2 - t1 ตวั อย่าง รถยนตค์ นั หนึงวิงดว้ ยความเร็ว เมตร/วินาที ไปทางทิศเหนือ นานเท่าไรจึงจะเคลอื นที ไดร้ ะยะทาง เมตร วธิ ีทาํ สูตร νv = sv s = 500 m t ในทีนี v = 20 m/s t=? แทนค่า 20 = 500 t t = 500 20 = 25 รถยนต์ใชเ้ วลานาน วินาที

241 ตวั อย่าง นกตัวหนึงบินด้วยความเร็ว m/s ไปทางทิศตะวันตกเป็ นเวลา วินาที จะบินได้ ระยะทางเท่าใด วธิ ีทาํ νv = sv sv = ? t ในทีนี vv = 45 m/s แทนค่า t = 15 s 45 = vs 5 sv = 45 × 5 = 225 นกจะบินไดร้ ะยะทาง เมตร อัตราเร็ว (speed) คือระยะทางทีวตั ถเุ คลือนทีไปใน หน่วยเวลา เขยี นแทนดว้ ย V=s t อัตราเร็วเฉลีย (average speed) คือการเปลยี นแปลงระยะทางในช่วงเวลาทวี ดั เขียนแทนดว้ ย Vav Vav = Ds = x2 - x1 Dt t2 - t1

242


Like this book? You can publish your book online for free in a few minutes!
Create your own flipbook