แผนภาพของเซลลไ์ ฟฟ้าเคมี (Cell Diagram) แผนภาพเซลล์ไฟฟ้าเคมี คือ กลุมสัญลักษณ์ที่แสดงเซลล์กัลวานิกหนึ่ง ๆ ซ่ึงบอกใหทราบถึง ชนิดของคร่งึ เซลล์ องค์ประกอบของแตละครง่ึ เซลลแ์ ละข้วั ไฟฟาู ของเซลล์ พลังงานท่ีเกิดขึ้นจากปฏิกิริยารีดอกซ์ ดวยการเคลื่อนอิเล็กตรอนผานวงจรภายนอกจากข้ัวหนึ่งไปยังอีกข้ัว หนง่ึ ของเซลลไ์ ฟฟูาเคมี ทําใหเกดิ ศกั ย์ไฟฟูาของเซลล์ข้ึน และพลังงานนี้จะมากหรือนอยข้ึนกับกําลังจากแรง ผลกั อิเล็กตรอนออกจากข้ัวแอโนดและแรงดงึ ดูดอิเล็กตรอนเขาข้ัวแคโทด ในปฏิกิริยารีดอกซ์ถาเกิดปฏิกิริยา ออกซเิ ดชนั ใหอ เิ ลก็ ตรอนอยางรวดเร็ว และเกิดปฏิกริ ิยารดี กั ชัน รบั อิเลก็ ตรอนงายและรวดเร็ว ก็จะพบวาเกิด การถายโอนอิเล็กตรอนอยา งรุนแรง ปฏกิ ิริยารดี อกซน์ ก้ี ็จะเกดิ พลังงานปริมาณมาก ศักย์ไฟฟูาของเซลล์ก็จะ มากขึ้นดวย (กําลังในการผลักและดูดอิเล็กตรอนของปฏิกิริยาในเซลล์ถูกวัดในรูปศักย์ไฟฟูาของเซลล์ (E) เรียกอกี อยางหนงึ่ วา แรงเคลอื่ นไฟฟูา ) ศกั ยไ์ ฟฟา้ ของคร่งึ เซลล์ เม่อื นาํ คร่ึงเซลล์ Zn (s) / Zn2+ (aq) , ครึ่งเซลล์ Cu (s) / Cu2+ (aq) และครึ่งเซลล์ Mg (s) / Mg2+ (aq) มาตอ เปน็ เซลลก์ ัลวานกิ แบบตาง ๆ และตอ กับแกลวานอมิเตอร์เขา ไปในวงจร และอานคา ศักย์ไฟฟูาของ เซลล์ไดด ังตารางดังน้ี เซลล์ เซลล์กลั วานิก ขั้วของแกลวานอมเิ ตอร์ ศักย์ไฟฟ้าของเซลล์ ท่ี เบนเขา๎ (V) 1 Zn(s)/Zn2+ (aq) ตอกบั Cu (s) / Cu2+ (aq) 2 Cu (s) / Cu2+ (aq) ตอ กบั Mg (s) / Mg2+ (aq) Cu 1.1 Cu 2.72 จากการทดลองจะเห็นไดวาเม่ือใชคร่ึงเซลล์ตางกัน คาศักย์ไฟฟูาของเซลล์จะไมเทากัน แสดงวาคา ศักยไ์ ฟฟาู ของแตละครง่ึ เซลล์มีคาไมเ ทากนั การวัดคา ศกั ยไ์ ฟฟูาของคร่ึงเซลล์ เพื่อหาคาศักย์ไฟฟูา จะกระทํา โดยตรงไมไ ด เน่ืองจากคร่งึ เซลลไ์ มค รบวงจร แตถา นําคร่งึ เซลล์ 2 ครงึ่ เซลล์มาตอกันใหครบวงจรไฟฟูาก็จะได คา ศักย์ไฟฟูาของเซลล์ ซึ่งก็ยังไมสามารถทราบไดวาแตละครึ่งเซลล์มีคาศักย์ไฟฟูาเทาใด ดังนั้นในทางปฏิบัติ จึงหาคา ศกั ยไ์ ฟฟูาของคร่งึ เซลลไ์ ดโ ดยการเปรยี บเทียบ กลาวคือ ตองกําหนดใหคร่ึงเซลล์ใดคร่ึงเซลล์หนึ่งเป็น ครึ่งเซลล์มาตรฐานซง่ึ ทราบคา ศักยไ์ ฟฟาู แนนอน แลว จงึ นาํ ไปตอ กบั คร่งึ เซลลอ์ ่ืนทตี่ องการหาคาศกั ยไ์ ฟฟาู การใชคร่ึงเซลล์มาตรฐานแตกตางกัน ก็จะทําใหไดคาศักย์ไฟฟูาท่ีแตกตางกันไปดวย ดังน้ัน เพื่อไมให เกิดความสบั สนนักเคมจี ึงไดก าํ หนดใหใชเ ซลล์ไฮโดรเจนมาตรฐานเปน็ สากลในการเปรียบเทียบ ครึง่ เซลล์ไฮโดรเจนมาตรฐาน (Standard Hydrogen Electrode) ครึง่ เซลลไ์ ฮโดรเจนมาตรฐาน (Standard Hydrogen Electrode , SHE) เป็นครึ่งเซลล์มาตรฐานสากล ทใ่ี ชเปรียบเทยี บหาคาศกั ยไ์ ฟฟูาของคร่งึ เซลล์ที่ตอ งการ ครงึ่ เซลลไ์ ฮโดรเจนมาตรฐานประกอบดวยขั้วไฟฟูาท่ี ทาํ ดวยแพลทินมั แบลก (Platinum back) จุมในสารละลายกรด HCl เขมขน 1 โมล/ลิตร มีก฿าซ H2 ผานลงใน สารละลายตลอดเวลา ก฿าซทใี่ ชนี้มคี วามดนั 1 บรรยากาศ (atm) และแพลทินัมแบลกท่ีใชเป็นข้ัวไฟฟูาตองทํา ใหม พี ื้นที่ผิวมาก มรี ูพรนุ เพือ่ ใหเ กิดปฏกิ ิรยิ าไดร วดเร็วขึ้น และรกั ษาสมดุลระหวา ง H2 และ H+ ในสารละลาย ดงั สมการ (อณุ หภูมิ 25 0C) 2H+ (aq , 1 mol / dm3 ) + 2e- Pt H2 (g , 1 atm) รปู คร่ึงเซลล์ไฮโดรเจนมาตรฐาน
เน่ืองจากคร่ึงเซลล์ไฮโดรเจนมาตรฐานใชเป็นสากลในการเปรียบเทียบจึงกําหนดคา ศักย์ไฟฟูา มาตรฐานของครึง่ เซลล์ (E0 ) เทากับ 0.00 โวลต์ และเขียนแผนภาพของครึง่ เซลล์เป็น Pt (s)/H2 (1 atm) / H+ ( 1 mol / dm3 ) ครงึ่ เซลลไ์ ฮโดรเจนมาตรฐาน อาจจะเกิดปฏกิ ิรยิ าออกซิเดชัน หรือ รดี ักชนั ท้ังนี้ขน้ึ อยูกับคร่งึ เซลลท์ ่ีนํามาตอดว ยปฏิกริ ิยาท่เี กดิ ข้ึน และคา ศกั ยไ์ ฟฟูาแสดงไดด ังนี้ ครึง่ ปฏกิ ิรยิ าไฮโดรเจนมาตรฐาน ศกั ย์ไฟฟ้าคร่ึงเซลลม์ าตรฐาน ออกซเิ ดชัน H2 (g) 2H+ (aq) + 2e- 0.00 โวลต์ รีดักชัน 2H+ + 2e- H2 0.00 โวลต์ ก. ศักยไ์ ฟฟ้ามาตรฐานของคร่ึงเซลล์ เมื่อนําครึ่งเซลล์ท่ีตองการทราบคาศักย์ไฟฟูาของครึ่งเซลล์ มาตอเขากับคร่ึงเซลล์ไฮโดรเจน มาตรฐาน คาศักยไ์ ฟฟูาทห่ี าไดนั้น จะเรยี กวา ศกั ย์ไฟฟ้ามาตรฐานของคร่งึ เซลล์ (กําหนดสญั ลักษณ์ คือ E 0 ) ถาทดลองโดยใชครึ่งเซลล์ท่ีประกอบดวยสารละลายเขมขน 1 โมลตอลิตร และถามีก฿าซเก่ียวของดวยตองมี ความดัน 1 บรรยากาศ (atm) ท่ีอณุ หภูมิ 25 องศาเซลเซียส ข. การหาคําศักย์ไฟฟ้ามาตรฐานของคร่งึ เซลล์ (E 0 ) การหาคา ศกั ย์ไฟฟูามาตรฐานของคร่ึงเซลล์ในทางปฏิบัตสิ ามารถทาํ ไดด งั น้ี 1. นาํ ครง่ึ เซลลท์ ่ตี องการหาคา E 0 นัน้ มาตอ เป็นเซลลก์ ลั วานิกกับคร่ึงเซลล์ไฮโดรเจนมาตรฐาน ใหครบวงจรโดยมโี วลตม์ เิ ตอรต์ อ อยดู วย แลว อานคาศักยไ์ ฟฟูามาตรฐานของเซลล์ 2. สังเกตการเบนของเข็มโวลต์มิเตอร์ ข้ัวท่ีเข็มเบนออกจะเป็นขั้วท่ีเกิดปฏิกิริยาออกซิเดชัน (ขว้ั ลบ) ซึ่งเรยี กวา ขัว้ แอโนด และขั้วที่เขม็ เบนเขาหา จะเป็นข้ัวท่ีเกิดปฏิกิริยารีดักชัน (ข้ัวบวก) ซึ่งเรียกวาขั้ว แคโทด) 3. กําหนดใหคา ครงึ่ เซลล์ไฮโดรเจนมาตรฐานมคี า E 0 = 0.00 โวลต์ 4. นําคา ศักย์ไฟฟาู มาตรฐานของเซลล์ทีอ่ านได มาคํานวณหาศักย์ไฟฟูามาตรฐานของครึ่งเซลล์ ไดจ ากสตู ร E0 = ศกั ย์ไฟฟูาสูง - ศักยไ์ ฟฟูาต่าํ หรอื cell = -E0 cell E0 E0 cathode anode เมื่อ E0 = ศักย์ไฟฟาู มาตรฐานของเซลล์ทอ่ี า นไดจ ากโวลต์มิเตอร์ cell E0 = ศักยไ์ ฟฟาู มาตรฐานของครึ่งเซลลท์ ี่เกิดปฏกิ ริ ิยารีดกั ชัน (ขวั้ บวก) cathode E0 = ศักยไ์ ฟฟูามาตรฐานของคร่งึ เซลล์ทเี่ กิดปฏกิ ริ ิยาออกซเิ ดชัน (ข้ัวลบ) anode ตวั อยํางการหาคาํ ศักย์ไฟฟ้ามาตรฐานของคร่งึ เซลล์ คร่ึงเซลลส์ งั กะสตี อ กับครงึ่ เซลล์ไฮโดรเจนมาตรฐาน รปู การหาศักย์ไฟฟูาของครงึ่ เซลล์ สังกะสีโดยการตอกบั ครึ่งเซลลไ์ ฮโดรเจนมาตรฐาน
เมื่อตอ คร่ึงเซลล์สงั กะสีมาตรฐานกบั ครงึ่ เซลลไ์ ฮโดรเจนมาตรฐาน โดยมีโวลต์มิเตอร์ตออยูดวยเป็นเซลล์ กัลวานิก พบวาเข็มของโวลต์มิเตอร์เบนจากขั้ว Zn ไปยังข้ัว Pt ท่ีผานดวยH2 (g) แสดงวาขั้ว Zn ให อิเล็กตรอนเกดิ ปฏิกิริยาออกซิเดชัน เป็นข้ัวแอโนด และขั้ว Pt (H2) รบั อิเลก็ ตรอน เกดิ ปฏิกิรยิ ารีดักชัน เป็นขั้ว แคโทด และอา นคา ศกั ย์ไฟฟูามาตรฐานของเซลล์ไดเทา กับ 0.763 โวลต์ เน่ืองจากใชคร่ึงเซลล์ไฮโดรเจนมาตรฐานเป็นสากลในการเปรียบเทียบหาคาศั กย์ไฟฟูามาตรฐานของ ครึง่ เซลลส์ งั กะสี จงึ ให E 0 = 0.00 โวลต์ H จากสูตร E0 = -E0 E0 cell cathode anode แทนคา 0.763 = 0.00 - E0 Zn2 =E 0 -0.763 โวลต์ Zn2 และศักย์ไฟฟาู มาตรฐานของคร่ึงเซลล์สังกะสีเทากับ -0.763 โวลต์ คาน้ีเรียกวา ศักย์ไฟฟูามาตรฐาน ของครึง่ เซลลร์ ีดักชนั ( E0 ) นนั้ คือ Zn2 Zn2+ (aq) + 2e- Zn (s) E0 = -0.763 โวลต์ Zn2 แผนภาพของเซลล์สงั กะสี-ไฮโดรเจนมาตรฐานคอื Zn (s) / Zn2+ (1 mol / dm3 ) / / H+ ( 1 mol /dm3 ) / H2 (g , 1 atm ) / Pt (s) หมายเหตุ คา E0 ที่คาํ นวณไดจ ากสูตร E0 = -E0 E0 cell cathode anode เป็นคา E0 แบบรดี ักชัน ไมว าจะเป็นครึง่ เซลล์ที่แคโทดหรอื ครง่ึ เซลล์แอโนด คอื เป็นศกั ยไ์ ฟฟูาของครงึ่ เซลลม์ าตรฐานรดี ักชนั เป็นคา E0 ที่แสดงถงึ ความสามารถในการรบั อิเล็กตรอน ดังนน้ั เมือ่ เขียนสมการของปฏิกิริยาแสดง คา E0 จงึ ตอ งเป็นสมการของปฏิกิริยารดี ักชัน เซลลท์ องแดงกบั ครง่ึ เซลล์ไฮโดรเจนมาตรฐาน รปู แสดงครงึ่ เซลลท์ องแดงมาตรฐานกับครึง่ เซลลไ์ ฮโดรเจนมาตรฐาน เมื่อตอคร่ึงเซลล์ทองแดงกับคร่ึงเซลล์ไฮโดรเจนมาตรฐาน โดยมีโวลต์มิเตอร์ตออยูดวยเป็นเซลล์ กัลวานิก พบวา เข็มของโวลต์มิเตอร์เบนจากขั้ว Pt (H2) ไปยังข้ัว Cu แสดงวาข้ัว Pt (H2) ใหอิเล็กตรอน
เกิดปฏิกิริยาออกซิเดชัน เป็นขั้วแอโนด และข้ัว Cu รับอิเล็กตรอน เกิดปฏิกิริยารีดักชัน เป็นขั้วแคโทด และ อา นคา ศกั ยไ์ ฟฟูามาตรฐานของเซลลไ์ ด เทา กบั 0.337 โวลต์ เนอื่ งจากใชคร่งึ เซลลไ์ ฮโดรเจนมาตรฐานในการเปรยี บเทยี บหาคา E 0 2 จึงให Cu E 0 = 0.00 โวลต์ H จากสูตร E0 = -E0 E0 cell cathode anode แทนคา 0.337 = E0 - 0.00 Cu 2 =E 0 +0.337 โวลต์ Cu 2 และศกั ยไ์ ฟฟาู มาตรฐานของครง่ึ เซลล์สังกะสีเทากับ +0.337 โวลต์ คาน้ีเรียกวา ศักย์ไฟฟูามาตรฐาน ของครง่ึ เซลล์รดี กั ชนั ( E0 ) นนั้ คือ Cu 2 Cu2+ (aq) + 2e- Cu (s) E0 = +0.34 โวลต์ Cu 2 แผนภาพของเซลล์สงั กะสี-ไฮโดรเจนมาตรฐานคอื Pt (s) / H2 (g , 1 atm ) / H+ ( 1 mol /dm3 ) / / Cu2+ (1 mol / dm3 ) / Cu (s) การหาคา ศักยไ์ ฟฟาู มาตรฐานของครึ่งเซลล์ดวยวิธีเดียวกันน้ีสามารถจะหาคาศักย์ไฟฟูามาตรฐานของ ครง่ึ เซลลต์ าง ๆ ไดดังตารางท่ี 16.5 ดงั น้ี ตารางแสดงคา ศักยไ์ ฟฟูามาตรฐานของคร่ึงเซลล์ (E0 ) ตา ง ๆที่ 25 0C
ลักษณะสาคญั ของคาํ E0 ของครึ่งเซลล์ 1. คาํ E0 ของครึ่งเซลล์ในตารางท่ี 16.5 เป็นคาศักย์ไฟฟูามาตรฐานของคร่ึงเซลล์รีดักชัน ซ่ึงแสดงถึง ความสามารถในการรับอเิ ลก็ ตรอนของสาร โดยหาไดจากการเปรยี บเทียบกบั ครงึ่ เซลล์ไฮดดรเจนมาตรฐาน = 0.00 โวลต์ ดังนนั้ ถา E0 ของคร่ึงเซลล์ใดมีคานอยกวา 0.00 โวลต์ คือมีคา เน่อื งจากคา E 0 H ติดลบ แสดงวา สารครึ่งเซลล์นั้นจะรับอิเล็กตรอนไดสู H+ ในคร่ึงเซลล์ไฮโดรเจนมาตรฐานไมได และถา E0 ของคร่ึงเซลล์ใดมีคามากกวา 0.00 โวลต์ คือมีคาเป็นบวก แสดงวา สารในครึ่งเซลล์นั้นสามารถรับ อเิ ล็กตรอนไดดีกวา H+ ในครง่ึ เซลล์ไฮโดรเจนมาตรฐาน 2. คําศักยไ์ ฟฟา้ มาตรฐานของครงึ่ เซลล์ มี 2 แบบ คือ 2.1 ศกั ยไ์ ฟฟาู มาตรฐานของครง่ึ เซลลร์ ดี ักชนั (Standard Reduction Potential) สัญลักษณ์คือ E 0 เป็นคาศักย์ไฟฟูามาตรฐานของคร่ึงเซลล์ท่ีแสดงถึงความสามารถในการรับอิเล็กตรอน ซ่ึงเขียนดวย r สมการของปฏิกริ ยิ ารดี กั ชนั ดงั นี้ Mn+ (aq) + ne- M (s) E 0 r 2.2 ศักย์ไฟฟูามาตรฐานของคร่ึงเซลล์ออกซิเดชัน (Standard Oxidation Potential) สัญลักษณ์คือ EO0 เป็นคาศักย์ไฟฟูามาตรฐานของคร่ึงเซลล์ท่ีแสดงถึงความสามารถในการใหอิเล็กตรอน ซึ่ง เขยี นดว ยสมการของปฏกิ ริ ยิ าออกซเิ ดชนั ดงั นี้ Mn+ (aq) + ne- M(s) ครึ่งเซลล์ใด ๆ ท่ีไมไดกําหน E 0 * O E0 E0 ดสมการของปฏิกิริยา แตกําหนดคา อยางเดียว คา ท่ี กาํ หนดใหนนั้ หมายถึง E 0 เพราะคา E 0 เปน็ คาทีใ่ ชเ ปน็ หนวย SI r r E0 ของคร่งึ เซลล์ 3. หลักเกณฑ์คณติ ศาสตรก์ ับคาํ การใชห ลักเกณฑค์ ณติ ศาสตรก์ บั คา E0 โดยไมต องคาํ นึงถึงประเภทของคา E0 3.1 คูณหรือหารตัวเลขใด ๆ เขาไปในสมการเคมี คา E0 คงที่ไมเปลี่ยนแปลง เพราะคา E0 เป็น คามาตรฐานท่ี 25 0C 1 atm และสารละลายเขม ขน 1 mol/dm3 3.2 สมการของปฏิกิริยาเขียนกลับขางกัน คา E0 ก็ตองเปล่ียนเคร่ืองหมายเป็นตรงขามดวย (จากบวกลบ , จากลบ บวก) ดังนี้ Cu2+ (aq) + 2e- Cu(s) E0 = +0.34 โวลต์ Cu 2 ถา Cu (s) Cu2+ (aq) + 2e- E0 = -0.34 โวลต์ Cu 2 3.3 ถาสมการของปฏิกิริยาบวกกัน คา E0 ตองบวกกัน และถานําสมการของปฏิกิริยามาลบกัน คา E0 ตอ งลบกันดว ย ดังน้ี สมการของปฏิกริ ิยาบวกกนั (1), Cu2+ (aq) + 2e- Cu(s) (2), Zn (s) Zn2+ (aq) + 2e- E10 = +0.34 โวลต์ (1) + (2) ; Cu2+ (aq) + Zn (s) Cu(s)+ Zn2+ (aq) E 0 = -0.763 โวลต์ สมการลบกนั 2 E0 = (+0.34) + (0.76) = +1.1 V รวม (3) Cu2+ (aq) + 2e- Cu(s) E 0 = +0.34 โวลต์ (4) Mg2+ (aq) + 2e- Mg (s) 3 E 0 = -2.38 โวลต์ 4
(3)-(4) ; Cu2+ (aq) - Mg2+ (aq) Cu(s) - Mg (s) E0 = (+0.34)- (-2.38) รวม หรอื เขียนใหมไดวา ; Cu2+ (aq)+ Mg (s) Cu(s)+ Mg2+ (aq) E0 = 2.72 โวลต์ รวม 4. ความแรงของตัวออกซิไดซ์และตวั รดี ิวซข์ องธาตแุ ละไอออนของธาตุกับคํา E0 4.1 ธาตุอโลหะหรือไอออนบวกของโลหะที่มีคา E0 มาก จะเป็นตัวออกซิไดส์ท่ีแรง และตรงกัน ขาม ไอออนลบของอโลหะหรือ ธาตุโลหะนัน้ ก็จะเป็นตวั รีดิวซท์ อี่ อ น เชน Cl2 มคี า E0 Cl- จะเป็นตัวรดี วิ ซ์ที่ออ น = +1.36 V (มีคา มาก) แสดงวา Cl2 เป็นตวั ออกซไิ ดส์ท่แี รง แตในทางตรงขาม Ag+ มีคา E0 = +0.80 V (มีคามาก) แสดงวา Ag+ เป็นตัวออกซิไดส์ท่ีแรง แตในทางตรง ขาม Ag จะเป็นตัวรีดิวซ์ทอี่ อน 4.2 ธาตอุ โลหะหรือไอออนบวกของโลหะท่มี คี า E0 นอย จะเป็นตัวออกซิไดส์ท่ีออน และตรงกัน ขา ม ไอออนลบของอโลหะ หรือ ธาตโุ ลหะนั้นก็จะเปน็ ตวั รีดวิ ซท์ แี่ รง เชน S8 มีคา E0 = -0.48 V (มคี านอ ย) แสดงวา S8 เป็นตัวออกซิไดส์ที่ออน แตในทางตรงขาม S2- จะเปน็ ตวั รดี วิ ซ์ทีแ่ รง Na+ มีคา E0 = -2.71 V (มีคานอย) แสดงวา Na+ เป็นตัวออกซิไดส์ที่ออน แตในทางตรง ขา ม Na จะเป็นตัวรดี ิวซ์ที่แรง 5. เซลล์กลั วานิกใด ๆ จะไดว๎ ําครึ่งเซลล์ใดท่ีมีคํา E0 สูงกวํา จะรับอิเล็กตรอน เกิดปฏิกิริยารีดักชัน ข้ัวในครึ่งเซลล์นั้นจะเป็นข้ัวแคโทด (ข้ัวบวก) และครึ่งเซลล์ใดท่ีมีคา E0 ต่ํากวาจะใหอิเล็กตรอนเกิดปฏิกิริยา ออกซิเดชัน ขว้ั ในครงึ่ เซลลน์ ั้นจะเปน็ แอโนด (ขั้วลบ) 6. ศกั ยไ์ ฟฟา้ ของครง่ึ เซลลข์ ้นึ อยํูกับอุณหภูมิ ความเขมขนของสารละลายในครึ่งเซลล์ และข้ึนอยูกับ ชนิดของครึ่งเซลล์ เชน ศักย์ไฟฟูาของครึ่งเซลล์เปล่ียนตาม(แปรผันตรง)กับความเขมขนของสารละลายคร่ึง เซลลน์ ้นั แตแ ปรผกผันกนั กบั อุณหภูมิของครงึ่ เซลลน์ ั้น ๆ 7. E0 ของคร่ึงเซลล์ไมํข้ึนอยํูกับอัตราการเกิดปฏิกิริยา กลาวคือ คร่ึงเซลล์ที่มีคา E0 มากหรือนอย อตั ราการเกดิ ปฏกิ ริ ิยาอาจจะเร็วหรอื ชา ก็ได ค. การนาคาํ E0 ของครึง่ เซลลไ์ ปใช๎ 1. ใช๎คาํ E0 บอกความแรงของตวั ออกซิไดส์และความแรงของตัวรีดวิ ซ์ ตัวอยําง สารในขอ ใดตอ ไปนเี้ ปน็ ตัวออกซิไดส์ท่ีแรงที่สุด ข. H2O2 ในกรด ค. MnO4- ในกรด ก. H2O2 ในกรด ง. MnO4- ในเบส จ. CrO42- ในกรด (ใชค า E0 ของสารท่ีตองการในตารางท่ี 16.5) วธิ ีทา จากตารางคา E0 ของสารตา ง ๆ เขียนสมการของปฏกิ ริ ยิ ารดี กั ชนั ของครึ่งเซลล์ไดดงั น้ี + 2H+ 2e- E0 = +1.776 V ก. H2O2 + 2e- + 2OH-+2OH- H2O E0 = +0.88 V ข. H2O2 MMnnOO44-- 8H+ +5e- Mn2+ E0 = ค. + 2H2O + 3e- + 4MHn2O2+ 4OH- +1.491 V ง. + E0 = +0.588 V จ. CrO42- + 8H+ + 3e- + Cr3+ + 4H2O E0 = +1.195 V เน่ืองจากคา E0 ของ H2O2 ในขอ ก. มคี า มากทีส่ ุด ดงั น้นั H2O2 ในกรดจงึ เปน็ ตวั ออกซิไดส์ท่แี รงทสี่ ดุ 2. ใช๎คํา E0 อธิบายสํวนประกอบตําง ๆ ของเซลล์กัลป์วานิกพร๎อมท้ังเขียนแผนภาพของเซลล์ กลั วานิกได๎
ตัวอยาํ ง เซลล์กัลวานกิ เซลลห์ น่งึ ประกอบดว ยคร่ึงเซลลอ์ ะลูมเิ นียมมาตรฐานกับครึ่งเซลล์เหล็กมาตรฐาน จง ตอบคําถามตอ ไปนี้ ก. ข้ัวใดเปน็ ขว้ั แอโนดและแคโทด ตามลาํ ดับ ข. เขียนสมการท่ีเกิดขึ้นในแตล ะครึ่งเซลล์ ค. เขียนสมการของปฏกิ ริ ยิ ารีดอกซ์ ง. เขยี นแผนภาพเซลล์ (ใชค า E0 ของครงึ่ เซลล์ในตารางท่ี 16.5) วธิ ีทา ขอ มูลจากตารางเปน็ ดงั นี้ Al (s) E0 = -1.706 V Al3+ (aq) + 3e- Fe (s) E0 = -0.409 V Fe2+ (aq) + 2e- ก. เนอื่ งจากคา E 0 > E 0 แสดงวา ครึ่งเซลล์อะลูมิเนียมมาตรฐาน ใหอิเล็กตรอนเกิดปฏิกิริยา Fe2 Al3 ออกซเิ ดชัน ดงั น้ัน Al จงึ เปน็ ขวั้ แอโนด และครึง่ เซลล์เหล็กมาตรฐานรบั อิเล็กตรอนเกิดปฏิกิริยารีดักชัน ดังน้ัน Fe จงึ เปน็ ข้วั แคโทด ข. ปฏิกริ ิยาออกซเิ ดชัน Al (s) Al3+ (aq) + 3e- Fe2+ (aq) + 2e- Fe (s) ปฏกิ ริ ยิ ารีดักชัน 2Al (s) + 3Fe2+ (aq) 2Al3+ (aq) + 3Fe (s) ค. ปฏิกิรยิ ารีดอกซ์ ง. แผนภาพเซลลก์ ลั วานิกน้คี อื Al (s) / Al3+ (aq) / / Fe2+ (aq) / Fe (s) E0 3. ใช๎คํา คานวณหาคําศักย์ไฟฟ้ามาตรฐานของเซลล์ ( E0 ) หรือแรงเคลื่อนไฟฟ้าของเซลล์ cell หรือโวลเตจของเซลล์ ตัวอยาํ ง จงคํานวณหาคา ศกั ยไ์ ฟฟาู มาตรฐานของเซลล์กลั วานิก ท่ปี ระกอบดว ยครงึ่ เซลลม์ าตรฐาน Zn (s) / Zn2+ (aq) ตอ กบั คร่ึงเซลล์มาตรฐาน Ag (s) / Ag+ (aq) (ใชคา E0 ของครง่ึ เซลลท์ ่ตี อ งการในตารางท่ี 16.5) วิธีทาที่ 1 ใชสูตรคํานวณ คา E0 ท่ีจะแทนในสูตรตองเป็นคาศักย์ไฟฟูามาตรฐานของคร่ึงเซลล์รีดักชัน(ดัง ปรากฏในตารางท่ี 16.5 ) ท้งั หมด ไมวา ครึ่งเซลล์นนั้ จะเกดิ ปฏิกิรยิ าออกซิเดชันหรอื รดี กั ชัน จากตารางจะไดวา E0Ag = +0.80 V และ E 0 = -0.76 V Zn2 คา >E 0 E0 แสดงวาขวั้ สงั กะสีเป็นข้ัวแอโนด และข้ัวเงินเปน็ ขั้วแคโทด Ag Zn2 จากสตู ร E0 = -E0 E0 cell cathode anode แทนคา E0 = (+0.80) - (-0.76) = 1.56 V cell เพราะฉะน้ันศกั ย์ไฟฟาู มาตรฐานของเซลล์ = 1.56 V วธิ ที าท่ี 2 ใชวธิ ีคณติ ศาสตร์ (ไมตอ งคาํ นึงถงึ ประเภทของ E0 ) หลกั 1.ทาํ จํานวนอเิ ลก็ ตรอนในสมการของปฏิกริ ยิ าเทากนั 2.นําสมการมาบวกหรือลบกันเพ่ือใหอิเล็กตรอนหมดไป คา E0 ของคร่ึงเซลล์ก็บวกหรือลบกัน E0 ดว ย ผลลพั ธข์ องคา สุทธกิ ค็ อื E0 cell
Zn2+ (aq) + 2e- Zn (s) E10= -0.76 V ……….. (1) Ag+ (aq) + e- Ag (s) E 0 = +0.80 V ……….. (2) 2 (2) x 2; 2Ag+ (aq) + 2e- 2Ag (s) E 0 = +0.80 V ……….. (3) 2 (3) - (1) ; 2Ag+ (aq) - Zn2+ (aq) 2Ag(s) - Zn(s) E0 = (+0.80)- (-0.76) รวม 2Ag (aq) + Zn (s) 2Ag (s) + Zn2+ (aq) 4. ใชค๎ ํา E0 ทานายทิศทางของปฏิกริ ิยารีดอกซ์ E0 = 1.56 V cell หลักทั่วไปสามารถใชคา E0 ทาํ นายทิศทางของปฏกิ ริ ยิ ารดี อกซ์ ไดด ังนี้ 1. ถา E0 มีเคร่อื งหมายเป็นบวก หรอื มคี ามากกวา ศนู ย์ แสดงวา ปฏิกิริยารีดอกซ์น้ันสามารถ cell เกดิ ขนึ้ ไดต ามสมการท่ีเขียน หรือสมการนัน้ เกิดขึ้นไดเ อง 2. ถา E0 มีเคร่ืองหมายเป็นลบ หรือมีคานอยกวาศูนย์ แสดงวาปฏิกิริยารีดอกซ์นั้นไม cell สามารถเกดิ ข้นึ ไดตามสมการที่เขยี น หรอื สมการนัน้ เกิดข้นึ ในทศิ ทางยอนกลับ 3. ถา E0 = 0 แสดงวาปฏิกริ ยิ ารดี อกซท์ เี่ กดิ ข้ันขณะน้ันเขา สภู าวะสมดุล cell ตัวอยําง กําหนด =E 0 -0.25 V , E0 = -0.76 และ =E 0 +0.34 V Ni 2 Zn2 Cu 2 ปฏกิ ริ ยิ ารีดอกซ์ Zn (s) + Ni2+ Zn2+ (aq) + Ni (s) หาคา E0 ไดดังนี้ cell จากสตู ร E0 = E 0 2 (แคโทด) - E0 ( แอโนด) cell Ni Zn2 แทนคา E0 = (-0.25) - (-0.76) = +0.51 V cell เนือ่ งจากคา >E0 0 แสดงวา ปฏกิ ิริยารดี อกซ์นี้เกิดข้ึนไดเ อง cell ปฏิกริ ิยา Cu (s) + Ni2+ (aq) Cu2+ (aq) + Ni (s) หาคา E0 ไดดงั น้ี cell จากสตู ร E0 = E 0 2 (แคโทด) - E 0 2 ( แอโนด) cell Ni Cu แทนคา E0 = (-0.25) - (+0.34) = -0.59 V cell เนือ่ งจากคา E0 < 0 แสดงวา ปฏิกิริยารดี อกซ์นีเ้ กิดขน้ึ เองตามสมการท่ีเขยี นไมไ ด แตสามารถเกิดข้ึน cell ไดใ นทิศทางยอนกลับคอื Cu2+ (aq) + Ni (s) Cu (s) + Ni2+ (aq) คําอธิบายเพิ่มเติม : ถาจุมโลหะสังกะสีลงในสารละลาย NiCl2 (Ni2+ (aq) ) จะเกิดปฏิกิริยา พบวาเกิดโลหะ นิกเกิล และถาจุมโลหะทองแดงลงในสารละลาย NiCl2 (Ni2+ (aq) ) จะไมเกิดปฏิกิริยา (ไมพบการ เปลย่ี นแปลงใด ๆ เกดิ ขึน้ ) แตถา จุม โลหะนิกเกลิ ลงในสารละลาย CuCl2 จะเกดิ ปฏิกิริยา คือเกิดโลหะทองแดง และไดส ารละลายสเี ขียวของ Ni2+(aq)
5. ใชค๎ ํา E0 หาคํา E0 ของครึ่งเซลล์อ่นื ๆ ตวั อยาํ ง เซลลไ์ ฟฟาู เคมีชนิดหนงึ่ เกดิ ปฏิกิริยาดงั น้ี Fe3+ (aq) + Cu2+ (aq) Cu2+ (aq) + Fe2+ (aq) จงตอบคาํ ถามตอไปน้ี E0 = +0.62 V cell ก. เขียนรูปสมการเซลลไ์ ฟฟาู เคมนี ้แี ละ (1) ระบุรายช่ือเกลือของ Cu และ Fe ทเี่ หมาะสมสําหรบั ปฏกิ ริ ยิ าน้ี (2) ชนิดของขว้ั ทใี่ ชควรทาํ จากอะไร และขัว้ ใดเปน็ ขั้วแอโนด และแคโทดตามลําดับ (3) เขียนทิศทางการไหลของอเิ ล็กตรอน ข. สารใดเป็นตวั ออกซไิ ดส์ และตัวรดี ิวซ์ ค. เขยี นแผนภาพแสดงเซลลไ์ ฟฟาู เคมนี ้ี ง. ถา Fe3+ (aq) + e- Fe2+ (aq) E0 = +0.77 V cell จงหาคา E0 ของสมการ Cu2+ (aq) + e- Cu+ (aq) วธิ ที า ก. จากสมการของปฏิกิรยิ าท่ีกําหนดใหน้ี ไมมีโลหะรวมอยูดวยในปฏิกิริยา มีแตไอออนของโลหะตาง ๆ แสดงวา ทุกครึ่งเซลล์ใชข วั้ เฉื่อยทง้ั หมด เชน Pt เซลล์ไฟฟูาเคมีนี้มีคา E0 > 0 แสดงวา ปฏิกิริยาเกิดขึ้นตามสมการที่เขียนเป็นเซลล์กัลวา cell นิก ดังนั้นรปู แสดงเซลลไ์ ฟฟาู เขียนไดด ังนี้ 1. สารละลายเกลือของ Cu คือ CuCl2 , Cu2Cl2 เป็นตน สวนสารละลายเกลือของ Fe คือ FeCl2 , FeCl3 2. ขั้ว P อเิ ล็กตรอนไหลออก เกดิ ปฏิกริ ิยา เปน็ ขว้ั แอโนด และข้ัว Q อิเล็กตรอนไหลเขา เกิดปฏิกิริยา รดี กั ชัน เปน็ ข้ัวแคโทด สารที่ใชเปน็ ข้วั เฉื่อย เชน Pt หรือ แกรไ์ ฟต์ 3. อิเล็กตรอนไหลจากขั้ว P ไปยังขั้ว Q , Cu+ (aq) เคลื่อนเขาหาขั้ว P ไปใหอิเล็กตรอน สวน Cu2+ (aq) เคลื่อนออกจากข้ัว P สําหรับ Fe3+ เคลื่อนเขาหาขั้ว Q ไปรับอิเล็กตรอนเกิด Fe2+ และ Fe2+ (aq) เคลื่อนออกจากขั้ว Q ข. Fe3+ เป็นตัวออกซไิ ดส์ Cu+ เปน็ ตัวรดี ิวซ์ ค. แผนภาพของเซลลค์ ือ Pt (s) / Cu+ (aq) / / Fe3+ (aq) / Fe2+ (aq) / Pt (s) ง. จากสูตร = -E0 cell E0 E0 cathode anode แทนคา
=E0 -E 0 E0 cell Fe3 Cu +0.62 = +0.77 - E0 Cu =E 0 +0.15 V Cu แสดงวา Cu2+ (aq) + e- Cu+ (aq) E0 = +0.15 V 3. ขั้นอธบิ ายและลงข๎อสรุป (Explanation) (10 นาท)ี 3.1 ครแู ละนกั เรียนรว มกันสรุปเรื่อง ศกั ย์ไฟฟูาของเซลลแ์ ละศกั ยไ์ ฟฟาู มาตรฐานของคร่งึ เซลล์ ศักย์ไฟฟา้ ของเซลล์ กระแสอเิ ล็กตรอน ท่ีเกดิ จากเซลลไ์ ฟฟูาเคมี เกิดจากแรงผลักอิเล็กตรอนออกจากขั้วแอโนด ผานวงจร ภายนอกไปยังขั้วแคโทดเมื่อกระแสไฟฟูาไหลผานจุดสองจุดที่มีศักย์ไฟฟูาตางกัน กระแสไฟฟูาจะไหลจาก ศกั ย์ไฟฟูาสูงไปสูศักย์ไฟฟูาตํ่า ซง่ึ มีทิศทางการไหลสวนทางกับการไหลของอเิ ลก็ ตรอน ความตา งศกั ย์จะวดั เป็น หนวยโวลต์ เชน แบตเตอร่ีมคี วามตางศักย์ 6 โวลต์ (V) ศักยไ์ ฟฟาู ระหวางขั้วของเซลล์ไฟฟูาเคมี เรียกวา ศักย์ไฟฟูาของเซลล์ (E cell ) ศักย์ไฟฟูาของเซลล์ขั้น อยูกับความเขมขน ของไอออนในเซลล์ อุณหภูมิ และความดันยอยของกา฿ ซที่เกย่ี วขอ งกบั ปฏกิ ิริยาของเซลล์ ถาศักย์ไฟฟูาระหวางข้ัวของเซลล์ไฟฟูาเคมี (เซลล์กัลวานิก) หาไดจากการใชแตละคร่ึงเซลล์ที่มีความ เขมขน ของไอออนมนเซลล์เทากับ 1 โมลตอลิตร ความดันยอยของก฿าซที่เก่ียวของเทากับ 1 บรรยากาศ และ ทําทอ่ี ุณหภูมิ 25 องศาเซลเซียส ศกั ยไ์ ฟฟูาของเซลลน์ ี้เรียกวา ศกั ย์ไฟฟาู ของเซลล์มาตรฐาน ( E0 ) cell 4. ขัน้ ขยายความร๎ู (Elaboration) (40 นาที) 4.1 ครูใหนักเรียนทําแบบฝึกหัดเร่ือง ศักย์ไฟฟูาของเซลล์ พรอมท้ังสุมนักเรียนออกมาชวยกันเฉลย คําตอบกนั ในหอ งเรยี น ครแู นะนําแนวทางในการหาคําตอบ 5. ข้นั ประเมิน (Evaluation) (10 นาท)ี 5.1 ครูประเมนิ นกั เรียนจากการตอบคําถาม 5.2 การสังเกตพฤติกรรมรายบคุ คล 5.3 แบบฝกึ หดั เรือ่ ง ศักย์ไฟฟูาของเซลล์กลั วานกิ วสั ดุ อุปกรณ์ สือ่ และแหลํงเรยี นรู๎ 1. power point เรือ่ ง เซลลก์ ลั วานกิ 2. หนงั สอื เรียนเคมเี ลม 4 3. แบบฝกึ หดั เรื่อง ศักย์ไฟฟูาของเซลล์กลั วานิก
การวัดและการประเมินผล การวดั ผลประเมนิ ผลดา๎ น วธิ กี ารวัด เคร่อื งมือวัด เกณฑ์การผําน 1. คาํ ถาม 1. ดา นความรู 1. การตอบคําถาม 1. ไดค ะแนนรอ ยละ 60 ขึ้นไป 2. ดา นทักษะ 1. การทาํ แบบฝกึ หดั 1. โจทยแ์ บบฝกึ หดั 1. ไดคะแนนรอยละ 60 ขนึ้ ไป 3. ดานคุณลักษณะท่ีพึง 1.สั ง เ ก ต พ ฤ ติ ก ร ร ม 1.แบบสังเกตพฤติกรรม 1. ระดบั คณุ ภาพ ประสงค์ รายบคุ คล รายบุคคล ปานกลางข้นึ ไป
ความสนใจใฝ่ ๎ูร ้ัตงใจเรียน แบบสงั เกตพฤตกิ รรมรายบุคคล และทา ิกจกรรมวชิ า ...................................................................................................... ชั้น ......................................... เลขที่ ชื่อ-นามสกลุ การแลกเป ี่ลยนเ ีรยน ู๎ร ักบเพ่ือน ีมความซ่ือสัตย์ในการทา ิกจกรรมหมายเหตุ ใหบันทกึ โดยใชเครอ่ื งหมาย ้ัตงปัญหาห ืรอคาถามสร๎างสรร ์ค = แสดงพฤติกรรมที่พงึ ประสงคต์ ามคาดหวัง ทางานไ ๎ดเ ีรยบ ๎รอย ูถก ๎ตองและครบ ๎ถวน = ไมแ สดงพฤติกรรมท่ีพงึ ประสงค์ตามคาดหวงั หมายเห ุตเกณฑ์การประเมิน นกั เรยี นมพี ฤติกรรมทพ่ี ึงประสงคต์ ามคาดหวังตงั้ แต ๓ รายการข้ึนไป ถือวา ผา นเกณฑ์การประเมนิ
บนั ทกึ หลงั แผนการจัดการเรียนร๎ู รายวิชาเคมี 5 รหัสวิชา ว30225 ระดับชัน้ มัธยมศึกษาปีที่ 6 1. ดา๎ นความร๎ู ………………………………………………………………………………………………………………………………………………… ………………………………………………………………………………………………………………………………………………… ………………………………………………………………………………………………………………………………………………… ………………………………………………………………………………………………………………………………………………… 2. ด๎านทักษะ/กระบวนการ ………………………………………………………………………………………………………………………………………………… ………………………………………………………………………………………………………………………………………………… ………………………………………………………………………………………………………………………………………………… ………………………………………………………………………………………………………………………………………………… 3. ด๎านคณุ ลกั ษณะอนั พงึ ประสงค์ ………………………………………………………………………………………………………………………………………………… ………………………………………………………………………………………………………………………………………………… ………………………………………………………………………………………………………………………………………………… ………………………………………………………………………………………………………………………………………………… 4.ปัญหาและอปุ สรรค ………………………………………………………………………………………………………………………………………………… ………………………………………………………………………………………………………………………………………………… ………………………………………………………………………………………………………………………………………………… ………………………………………………………………………………………………………………………………………………… 5. แนวทางการแก๎ไข ………………………………………………………………………………………………………………………………………………… ………………………………………………………………………………………………………………………………………………… ………………………………………………………………………………………………………………………………………………… ………………………………………………………………………………………………………………………………………………… ลงช่อื ........................................................ครูผูสอน ( นางสาวสุทิพย์ สุขสบาย) ............../............../...........
แบบฝึกหดั เรอ่ื ง ศักย์ไฟฟ้าของเซลล์กลั วานกิ 1. รปู แสดงเซลลก์ ลั วานิก ประกอบดว ยขัว้ Ni มาตรฐาน และขว้ั M มาตรฐาน ปฏกิ ริ ิยาครึ่งเซลล์ Ni (s) / Ni2+ (aq) ดังน้ี Ni2+ (aq) + 2e- Ni (s) E0 = -0.246 V E0 จากการวัดคา E0 และชนดิ M (s) ท่ีใช ดงั ตารางขา งลา ง จงหาคา ของ cell M2+(aq) + 2e- M (s) ถา เซลล์กลั วานกิ ทุกเซลล์เข็มโวลต์มเิ ตอรเ์ บนเขาหาขั้ว Ni ขอ M E 0 (V) cell ก Cr +0.664 ข Co +0.31 ค Cd +1.57 2. เซลล์ไฟฟูาเคมี 2 เซลล์ เกิดปฏกิ ริ ยิ าดังสมการ V2+ + VO2+ + 2H+ 2V3+ + H2O E0 = 0.616 V cell V3+ + Ag+ + H2O VO2+ + 2H+ + Ag E0 = 0.439 V cell กาํ หนด E0 = +0.80 V จงคาํ นวณหาคา E0 ของ V3+ + e V2+ Ag 3. จงทาํ นายวาปฏกิ ริ ยิ ารีดอกซ์ใดตอไปนี้สามารถเกดิ ไดต ามสมการทเ่ี ขยี นนี้ ก. Sn(s) + Zn2+ (aq) Sn2+ (aq) + Zn (s) ข. 2Fe3+ (aq) + 2I- (aq) 2Fe2+ (aq) + I2 (aq) ค. 4NO3- (aq) + 4H+ (aq) 3O2 (g) + 4NO (g) + 2H2O (l)
เฉลยศักยไ์ ฟฟ้าของเซลล์กัลวานิก 1. แนวคิด เซลล์กัลวานิกทุกเซลล์ท่ีสรางขึ้นเบนเขาหาข้ัว Ni แสดงวา คร่ึงเซลล์ M เกิดปฏิกิริยา ออกซเิ ดชันและครงึ่ เซลล์ Ni เกดิ ปฏกิ ริ ยิ ารีดักชัน ข้ัว M เปน็ แอโนด และขวั้ Ni เป็นแคโทด ก. เซลลก์ ัลวานกิ ท่ีเกิดจากคร่ึงเซลล์โครเมยี ม กับครึง่ เซลล์นิกเกิล จากสูตร E0 = -E0 E0 cell cathode anode แทนคา +0.664 = (-0.246) - E0 Cr 2 =E 0 -0.91 V Cr 2 ข. เซลลก์ ลั วานกิ ทเ่ี กดิ จากครงึ่ เซลลโ์ คบอลต์กับครง่ึ เซลลน์ ิกเกิล จากสตู ร E0 = -E0 E0 cell cathode anode แทนคา +0.31 = (-0.246) - E0 Co 2 =E 0 -0.556 V Co 2 ค. เซลล์กลั วานกิ ท่ีเกดิ จากครงึ่ เซลลแ์ คดเมียมกับครึง่ เซลลน์ กิ เกลิ จากสูตร E0 = -E0 E0 cell cathode anode แทนคา +0.157 = (-0.246) - E0 Cd 2 =E 0 -0.403 V Cd 2 2. แนวคิด สมการแสดงปฏิกิริยาของเซลล์ 2 เซลล์ (1) V2+ + VO2+ + 2H+ 2V3+ + H2O E0 = 0.616 V cell (2) V3+ + Ag+ + H2O VO2+ + 2H+ + Ag E0 = 0.439 V cell (1) + (2) ; V2+ + VO2+ + 2H+ + V3+ + Ag+ + H2O 2V3+ + H2O + VO2+ + 2H+ + Ag E0 = (0.616) + (0.439) V รวม จะได V2+ + Ag+ 2V3+ + Ag E0 = 1.055 V รวม จากสตู ร E0 = -E0 E0 แทนคา cell cathode anode
+1.055 = (+0.80) - E0 V3 =E 0 -0.255 V V3 แสดงวา V3+ + e V2+ E0 = -0.255 V 3. แนวคดิ ก. จากสตู ร E0 = -E0 E0 cell cathode anode แทนคา E0 = (-0.76) - (-0.1364) cell E0 = -0.6236 V cell เนอ่ื งจากคา E0 < 0 แสดงวาปฏกิ ริ ยิ านไ้ี มเกิดตามทีเ่ ขยี น cell ข. จากสตู ร E0 = -E0 E0 cell cathode anode แทนคา E0 = (+0.770) - (+0.5388) cell E0 = +0.2362 V cell เนอ่ื งจากคา E0 > 0 แสดงวาปฏกิ ิริยานี้เกิดตามทเ่ี ขยี น cell ค. E0 = -0.269 V cell เนือ่ งจากคา E0 < 0 แสดงวาปฏกิ ริ ิยานไ้ี มเกิดตามท่เี ขยี น cell
หนํวยการเรยี นรู๎ท่ี 9 ไฟฟา้ เคมี แผนการจัดการเรยี นรท๎ู ่ี 9 เรอ่ื ง ประเภทของเซลล์กัลวานกิ รหัสวชิ า ว30225 กลุํมสาระการเรียนร๎ูวทิ ยาศาสตร์ ช้ันมธั ยมศึกษาปีที่ 6 รายวิชา เคมี 5 (เพมิ่ เตมิ ) ภาคเรยี นที่ 2 เวลา 2 ชว่ั โมง ผลการเรียนร๎ู อธิบายหลักการทาํ งานพรอมท้งั เขยี นสมการแสดงปฏิกิริยาท่เี กิดขึน้ ในเซลลก์ ลั วานกิ เซลลป์ ฐมภมู ิ และเซลล์ทตุ ยิ ภมู แิ บบตา ง ๆ ได สาระการเรยี นร๎ู เซลล์กลั วานกิ แบงตามลกั ษณะปฏิกริ ยิ าที่เกิดขน้ึ ภายในเชลล์ไดเ ปน็ สองประเภท ดงั นี้ 1) เซลล์ปฐมภูมิ เป็นเซลล์กัลวานิกที่สรางขึ้นแลวนําไปใชจายกระแสไฟฟูาไดทันที โดยท่ี ปฏกิ ิริยาเคมีภายในเซลล์เกิดข้ึนอยางสมบูรณ์ ไมสามารถเปลี่ยนผลิตภัณฑ์กลับมาเป็นสารตั้งตนไดอีก จึงไม สามารถนํากลบั มาใชใ หมไ ด 2) เซลล์ทตุ ยิ ภูมิ เป็นเซลล์กัลวานิกที่สรางขึน้ แลวตองนําไปอดั ไฟเสยี กอ น จึงจะนาํ ไปใชเ พื่อจาย กระแสไฟฟูาได และเม่ือนําไปใชแ ลว สามารถทาํ ใหเ กิดปฏกิ ริ ยิ ายอ นกลบั โดยอัดไฟหรือประจไุ ฟจึงนาํ กลับมาใช ใหมไ ดอ ีก จุดประสงคก์ ารเรียนร๎ู ดา๎ นความรู๎ (Knowledge) - อธิบายหลกั การทาํ งานของเซลลป์ ฐมภมู แิ ละเซลลท์ ตุ ยิ ภูมิได ดา๎ นทักษะ (Process) - เปรียบเทียบความแตกตางระหวา งเซลลป์ ฐมภูมิและเซลล์ทุติยภมู ิได ด๎านคุณลักษณะอนั พงึ ประสงค์ (Affective) 1. ปฏบิ ตั ิตนเป็นผูมีความสนใจใฝุรู และมรี ะเบยี บวินัย 2. ปฏิบัติตนเปน็ ผูมีความรับผดิ ชอบ ตรงตอ เวลา 3. ปฏบิ ัตติ นเป็นผูมคี วามซอ่ื สัตย์ สจุ รติ ความคดิ รวบยอด เซลลก์ ัลวานกิ (Galvanic cell) คอื เซลลไ์ ฟฟูาทเี่ ปล่ียนพลังงานเคมีเป็นพลังงานไฟฟูา ประกอบดวย คร่งึ เซลล์ 2 ครึ่งเซลลม์ าตอ กัน และเช่ือมใหครบวงจรโดยใชส ะพานไอออนตอระหวา งครง่ึ เซลล์ไฟฟาู ทั้งสอง ลักษณะสําคัญของเซลล์กัลวานิก 1. กระแสไฟฟูาท่ีเกิดขึ้นเปน็ กระแสตรง คือ กระแสอเิ ล็กตรอน 2. อเิ ล็กตรอนจะไหลจากครึ่งเซลล์ท่ีมีศกั ย์ไฟฟาู ต่ําไปยงั ครึง่ เซลลท์ ี่มีศักยไ์ ฟฟูาสูง เซลลก์ ลั วานิกแบง ออกไดเ ป็น 2 ชนิด 1. เซลลป์ ฐมภมู ิ คอื เซลล์กัลวานกิ ทป่ี ฏกิ ิรยิ าเคมีภายในเซลลเ์ กิดขนึ้ อยา งสมบูรณ์ ไมสามารถเปลย่ี นผลติ ภัณฑ์
กลบั มาเปน็ สารตั้งตน ได คอื ใชแ ลว หมดไปไมส ามารถนาํ กลบั มาใชไดอกี เชน ถา นไฟฉาย เซลลแ์ อลคาไลน์ เซลล์ปรอท เซลล์เงิน เปน็ ตน 2. เซลล์ทุตยิ ภมู ิ คอื เซลลก์ ลั วานิกทเ่ี มือ่ นาํ ไปใชแลว สามารถทําใหเกดิ ปฏกิ ริ ยิ ายอนกลับไดโดยการอดั ไฟ หรือประจุ ไฟ แลว จงึ สามารถนาํ กลบั มาใชใหมได เชน เซลล์สะสมไฟฟูาแบบตะกวั่ เซลลน์ กิ เกลิ – แคดเมียม สมรรถนะสาคัญของผเ๎ู รียน ความสามารถในการสือ่ สาร ความสามารถในการคิด ความสามารถในการแกปญั หา ความสามารถในการใชท ักษะชวี ิต ความสามารถในการใชเทคโนโลยี คุณลักษณะอันพึงประสงค์ ความซื่อสัตย์สจุ ริต มวี นิ ัย ความรักชาติ ศาสน์ กษตั ริย์ อยูอยางพอเพียง มงุ มน่ั ในการทํางาน ใฝเุ รยี นรู รักความเปน็ ไทย มีจิตสาธารณะ แนวความคิดเพือ่ การเรียนรู๎ในศตวรรษที่ 21 ทกั ษะดานการเรยี นรูและนวตั กรรม สาระวิชาหลกั (Core Subjects) ทกั ษะดานชวี ติ และอาชพี ทกั ษะดานสารสนเทศ สือ่ และเทคโนโลยี กิจกรรมการเรียนร๎ู วธิ สี อน โดยใชก ระบวนการสืบเสาะความรู (Inquiry Cycle หรือ Inquiry Method : 5E) ช่วั โมงท่ี 1-2 1. ข้ันสรา๎ งความสนใจ (Engagement) (10 นาที) 1.1 ครูสนทนากับนกั เรียนเร่ือง ประเภทเซลลก์ ัลวานกิ 1.2 ครใู ชกระตนุ นักเรียนดังนี้ 1. ประเภทของเซลล์กัลวานิกมีกีป่ ระเภทอะไรบา ง ตอบ 2 ประเภท 1. เซลลป์ ฐมภมู ิ 2. เซลลท์ ุตยิ ภมู ิ 2. เซลลป์ ฐมภมู แิ ละเซลล์ทตุ ิยภมู ิแตกตางกนั อยางไร ตอบ เซลล์ปฐมภูมิ คือเซลล์กัลวานิกท่ีปฏิกิริยาเคมีภายในเซลล์เกิดขึ้นอยางสมบูรณ์ ไมสามารถ เปล่ยี นผลิตภัณฑ์ กลบั มาเป็นสารตง้ั ตนได คือ ใชแ ลวหมดไปไมสามารถนํากลับมาใชไดอีก เซลล์ทุติยภมู ิ คือเซลลก์ ลั วานกิ ท่ีเมื่อนาํ ไปใชแลวสามารถทําใหเ กดิ ปฏิกิริยายอนกลับไดโดยการอัดไฟ หรือประจุไฟ แลวจึงสามารถนาํ กลบั มาใชใหมได 1.3 ครูนาํ นกั เรียนเขา สบู ทเรียน เรื่อง ประเภทเซลล์กัลวานิก
2. ขัน้ สารวจและค๎นหา (Exploration) ( 25 นาท)ี 2.1 ครูใหนกั เรียนแบง กลุมนกั เรียนออกเปน็ 4 กลุม กลมุ ละเทา ๆ กัน 2.2 โดยใหน ักเรยี นจับฉลากเลือกหวั เรื่องในการศกึ ษา 1. เซลล์ปฐมภูมิ 2. เซลลท์ ตุ ิยภมู ิ 2.3 ครใู หน ักเรียนทาํ การศึกษาจากในหนังสือ อินเตอรเ์ นต็ และหอ ง สมุด 3. ขั้นอธบิ ายและลงข๎อสรปุ (Explanation) (25 นาท)ี 3.1 ครูใหนักเรียนแตละกลุม ชวยกันระดมความคิดและแจกกระดาษบร฿ูฟ ใหนักเรียนทําแผนผัง ความคดิ สรุปตามหัวขอท่ีนกั เรียนไดรบั 3.2 ครูใหนักเรียนแตละกลุมออกมานําเสนอ โดยครูแจกแบบประเมินการนําเสนอเพื่อนแตละกลุม ลงคะแนน และครูทาํ แบบประเมนิ การนําเสนอของนกั เรียน 4. ขั้นขยายความร๎ู (Elaboration) (50 นาท)ี 4.1 ครใู หน กั เรยี นดวู ีดีโอเรอ่ื ง ประเภทของเซลลก์ ัลวานิกเพิ่มเตมิ เพ่ือใหนักเรยี นเขาใจมากยิ่งขน้ึ https://www.youtube.com/watch?v=LNog6Tt32TM&t=8s https://www.youtube.com/watch?v=-R5e9DtSplI&t=6s https://www.youtube.com/watch?v=SCagWXdOGaA&t=43s 4.2 ครูใหนักเรยี นทําแบบฝึกหัดลงสมดุ แบบฝกึ หดั ท่ี 9.5 หนา 58 หนังสอื เคมเี พิม่ เตมิ 4 5. ข้นั ประเมิน (Evaluation) (10 นาที) 5.1 ครูประเมินนักเรียนจากการตอบคําถาม 5.2 การสังเกตพฤติกรรมรายกลุม 5.3 แบบประเมินการนําเสนองานหนาช้นั เรียน 5.4 แบบฝึกหัดในหนังสอื เรียน 5.5 แบบสังเกตพฤตกิ รรมรายบุคคล วัสดุ อปุ กรณ์ สอ่ื และแหลํงเรยี นรู๎ 1. ส่อื วดี โี อ 1.1 เซลลก์ ลั วานิก https://www.youtube.com/watch?v=HbGsU0YtKc&list=PLWUVm5gA1ho3jMhTZHxK5pA- XByMW_l7W&index=13 1.2 ประเภทของเซลลก์ ัลวานกิ ถานไฟฉาย https://www.youtube.com/watch?v=LNog6Tt32TM&t=8s 1.3 เซลล์แอลคาไลน์ เซลลป์ รอทและเซลลเ์ งิน https://www.youtube.com/watch?v=-R5e9DtSplI&t=6s 1.4 เซลล์ทุติยภูมเิ ซลลส์ ะสมไฟฟาู แบบตะกวั่ เซลลน์ ิกเกลิ แคดเมยี ม เซลล์โซเดยี มซลั เฟอร์ https://www.youtube.com/watch?v=SCagWXdOGaA&t=43s 2. หนังสือเรียนเคมีเลม 4 3. แบบฝึกหดั ที่ 9.5 หนา 58 หนังสอื เคมีเพมิ่ เตมิ 4
การวดั และการประเมนิ ผล การวดั ผลประเมินผลดา๎ น วิธกี ารวัด เครอื่ งมอื วัด เกณฑก์ ารผาํ น 1. ดานความรู 1. แบบฝึกหัด 1. โจทย์แบบฝึกหดั 1. ไดคะแนนรอยละ 2. ชนิ้ งาน 60 ขึ้นไป 2. แผนผงั ความคดิ 2. ดานทักษะ 1. การนําเสนองานหนา 1. แบบประเมนิ การ 1. ไดคะแนนรอยละ ชั้นเรียน นําเสนอ 60 ขึ้นไป 2. สังเกตพฤติกรรมราย 2. แบบสงั เกตพฤตกิ รรม 2. ระดบั คณุ ภาพ กลุม รายกลมุ ปานกลางขน้ึ ไป 3. ดานคุณลักษณะที่พึง -สั ง เ ก ต พ ฤ ติ ก ร ร ม -แบบสังเกตพฤติกรรม 1. ระดบั คุณภาพ ประสงค์ รายบุคคล รายบคุ คล ปานกลางขึ้นไป
บันทึกหลงั แผนการจัดการเรียนร๎ู รายวิชาเคมี 5 รหัสวชิ า ว30225 ระดับชัน้ มธั ยมศึกษาปีท่ี 6 1. ดา๎ นความรู๎ ………………………………………………………………………………………………………………………………………………… ………………………………………………………………………………………………………………………………………………… ………………………………………………………………………………………………………………………………………………… ………………………………………………………………………………………………………………………………………………… 2. ด๎านทักษะ/กระบวนการ ………………………………………………………………………………………………………………………………………………… ………………………………………………………………………………………………………………………………………………… ………………………………………………………………………………………………………………………………………………… ………………………………………………………………………………………………………………………………………………… 3. ดา๎ นคณุ ลกั ษณะอนั พึงประสงค์ ………………………………………………………………………………………………………………………………………………… ………………………………………………………………………………………………………………………………………………… ………………………………………………………………………………………………………………………………………………… ………………………………………………………………………………………………………………………………………………… 4.ปญั หาและอปุ สรรค ………………………………………………………………………………………………………………………………………………… ………………………………………………………………………………………………………………………………………………… ………………………………………………………………………………………………………………………………………………… ………………………………………………………………………………………………………………………………………………… 5. แนวทางการแก๎ไข ………………………………………………………………………………………………………………………………………………… ………………………………………………………………………………………………………………………………………………… ………………………………………………………………………………………………………………………………………………… ………………………………………………………………………………………………………………………………………………… ลงช่อื ........................................................ครูผูสอน ( นางสาวสทุ ิพย์ สุขสบาย) ............../............../...........
ความสนใจใฝ่ ๎ูร ้ัตงใจเรียน แบบสงั เกตพฤตกิ รรมรายบุคคล และทา ิกจกรรมวชิ า ...................................................................................................... ชั้น ......................................... เลขที่ ชื่อ-นามสกลุ การแลกเป ี่ลยนเ ีรยน ู๎ร ักบเพ่ือน ีมความซ่ือสัตย์ในการทา ิกจกรรมหมายเหตุ ใหบันทกึ โดยใชเครอ่ื งหมาย ้ัตงปัญหาห ืรอคาถามสร๎างสรร ์ค = แสดงพฤติกรรมที่พงึ ประสงคต์ ามคาดหวัง ทางานไ ๎ดเ ีรยบ ๎รอย ูถก ๎ตองและครบ ๎ถวน = ไมแ สดงพฤติกรรมท่ีพงึ ประสงค์ตามคาดหวงั หมายเห ุตเกณฑ์การประเมิน นกั เรยี นมพี ฤติกรรมทพ่ี ึงประสงคต์ ามคาดหวังตงั้ แต ๓ รายการข้ึนไป ถือวา ผา นเกณฑ์การประเมนิ
แบบประเมนิ การนาเสนองาน กลํมุ ……………………………………………....…หัวขอ๎ เรื่อง………..…………………………………… ลาดับ รายการประเมนิ ระดับคะแนน 123 1 เนือ้ หาครบถวน 2 การวางแผนงานอยา งเปน็ ระบบ 3 การตอบคําถาม 4 มคี วามสวยงาม ความคดิ สรางสรรค์ 5 นาํ เสนอชดั เจน นาสนใจ รวม รวมคะแนน การตัดสินคณุ ภาพ เกณฑ์การให๎คะแนน เกณฑ์การตัดสินคุณภาพ ผลงานหรือพฤติกรรมความสมบูรณ์ชดั เจน ให 3 คะแนน ชํวงคะแนน ระดบั คณุ ภาพ ผลงานหรือพฤตกิ รรมมขี อ บกพรอ งบางสว น ให 2 คะแนน ผลงานหรือพฤติกรรมมขี อ บกพรองมาก ให 1 คะแนน 11-15 3 (ดี) 6-10 2 (ปานกลาง) ตํา่ กวา 6 1 (ปรับปรงุ )
แบบสังเกตพฤติกรรมการทางานเปน็ กลมํุ กลุม .......................................................................................................... สมาชิกในกลมุ 1. 2....................................................................... ...................................................................... 3. 4....................................................................... ...................................................................... 5. 6....................................................................... ...................................................................... คาชีแ้ จง: ใหน กั เรยี นทาํ เครื่องหมาย ในชอ งทตี่ รงกบั ความเปน็ จริง พฤตกิ รรมท่ีสงั เกต คะแนน 1 32 1. มสี วนรวมในการแสดงความคดิ เห็น 2. มคี วามกระตือรือรน ในการทาํ งาน 3. รบั ผิดชอบในงานทไ่ี ดร บั มอบหมาย 4. มีขั้นตอนในการทํางานอยา งเปน็ ระบบ 5. ใชเวลาในการทํางานอยา งเหมาะสม รวม เกณฑก์ ารให๎คะแนน พฤตกิ รรมที่ทําเป็นประจาํ ให 3 คะแนน พฤติกรรมทท่ี ําเปน็ บางครง้ั ให 2 คะแนน พฤตกิ รรมท่ที ํานอยคร้ัง ให 1 คะแนน เกณฑ์การให๎คะแนน ชวงคะแนน ระดับคุณภาพ 13-15 ดี 8-12 ปานกลาง 5-7 ปรับปรงุ
แผนการจัดการเรยี นรูท๎ ี่ 10 หนวํ ยการเรยี นร๎ูที่ 9 ไฟฟ้าเคมี เร่ือง การกดั กรํอนของโลหะและการปอ้ งกัน รหัสวชิ า ว30225 ชนั้ มัธยมศึกษาปีท่ี 6 รายวิชา เคมี 5 (เพิม่ เติม) กลุมํ สาระการเรยี นร๎ูวทิ ยาศาสตร์ ภาคเรยี นท่ี 2 เวลา 3 ชวั่ โมง ผลการเรยี นรู๎ 1. อธบิ ายสาเหตหุ รือภาวะทที่ ําใหโลหะเกิดการผกุ รอน พรอมท้ังเขยี นสมการแสดงปฏกิ ิรยิ าได 2. อธิบายวิธปี อู งกันการผุกรอ นของโลหะได สาระการเรยี นรู๎ การกัดกรอนโลหะ คือการที่โลหะทําปฏิกิริยากับสารตาง ๆ ในส่ิงแวดลอมรอบ ๆ โลหะ แลวทําให โลหะนน้ั เปล่ยี นสภาพเปน็ ไอออน หรือกลายเปน็ สารประกอบออกไซดห์ รือสารประกอบไฮดรอกไซด์ จดุ ประสงคก์ ารเรียนร๎ู ดา๎ นความร๎ู (Knowledge) 1. อธิบายสาเหตหุ รือภาวะทที่ ําใหโลหะเกดิ การกดั กรอนได 2. สามารถอธิบายแนวทางการปูองกนั การกัดกรอนได ดา๎ นทักษะ (Process) 3. เขียนสมการการเกิดปฏกิ ริ ิยาการกัดกรอ นของโลหะได ด๎านคณุ ลักษณะอันพงึ ประสงค์ (Affective) 1. ปฏบิ ัตติ นเป็นผมู ีความสนใจใฝุรู และมรี ะเบยี บวินยั 2. ปฏบิ ัติตนเปน็ ผูมคี วามรับผิดชอบ ตรงตอเวลา 3. ปฏบิ ตั ติ นเปน็ ผูมีความซอื่ สัตย์ สจุ รติ ความคดิ รวบยอด การกัดกรอนของโลหะ (Corrosion) คือ การท่ีโลหะทําปฏิกิริยากับสารตาง ๆ ในสิ่งแวดลอมรอบ ๆ โลหะ แลว ทาํ ใหโ ลหะนน้ั เปลี่ยนสภาพเป็นไอออน หรือกลายเป็นสารประกอบออกไซด์/สารประกอบไฮดรอก ไซด์ ซ่ึงอาจเกดิ ขนึ้ ไดจ ากหลาย ๆ สภาวะ เชน เมอ่ื โลหะอยูในสภาวะความเปน็ กรด ความเค็ม หรืออยู ใกลกับ โลหะที่เสยี อเิ ลก็ ตรอนยาก เปน็ ตน การเกิดสนิมเกิดจากโลหะเหลก็ เสยี อิเล็กตรอนใหแ กน้าํ และออกซิเจน เกิดเป็น ซึง่ ถูกออกซิเจน และน้ําในอากาศออกซิไดซ์ไปเป็น (s) และเปลี่ยนไปเป็น n O สีของสนิมนั้นอาจ มีสีที่ แตกตา งกันขน้ึ อยกู ับ จาํ นวนของนํา้ (n O) ในผลกึ แตแ หงซงึ่ อาจไมเ ทากนั การปูองกันการกดั กรอนของโลหะทําไดโดยการปูองกันไมใหผิวโลหะสัมผัสสารเคมีหรือนํ้าและ ออกซิเจนใน อากาศ โดยวธิ ีการตาง ๆ ดังนี้ 1. การเคลือบผิวโลหะ สามารถเคลือบไดโดย การทาสี การชุบนํ้ามัน หรือการเคลือบดวย พลาสติก
2. การชุบ เป็นการชุบผิวโลหะดวยโลหะอีกชนิดหนึ่ง โลหะที่นิยมนํามาใชชุบจะเป็นโลหะที่ถูก กัดกรอน ไดย าก เชน นิกเกลิ ทองแดง ดบี กุ เงิน โครเมยี ม เป็นตน 3. การทาํ เป็นโลหะผสม โดยการนําโลหะต้ังแต 2 ชนิดข้ึนไปมาหลอมรวมกัน ทาํ ใหทนตอการกัด กรอ น 4. วธิ แี คโทดกิ เปน็ การปอู งกนั การกัดกรอนโดยนาํ โลหะที่มีคา E0red ตํา่ หรือตัวรีดิวซ์ที่ดีกวาไป พนั ไวกับโลหะทตี่ อ งการไมใ หเ กิดสนมิ โลหะท่ีมคี า E0red ต่ําจะเป็นแอโนด และโลหะทีไ่ มตองการใหเกิด สนิม มี E0red สงู กจ็ ะเปน็ แคโทด 5. วธิ ีอะโนไดซ์ เป็นการเปลีย่ นผิวหนาของโลหะใหกลายเปน็ โลหะออกไซด์ โลหะที่นิยมใช เชน อะลูมิเนียม โครเมียม ดีบุก สังกะสี โดยกระแสไฟฟูา 12 V ซ่ึงโลหะออกไซด์ที่เกิดข้ึนจะทนการกัด กรอน มากกวาโลหะปกติ ออกไซด์ของโลหะเหลาน้จี ะเคลอื บผิวของโลหะไมใ หเกดิ การกัดกรอ นตอไป 6. การรมดาํ เป็นการปูองกันการกัดกรอนและเพ่ิมความสวยงามใหแกชิ้นโลหะ เชน ปืน ดาบ โดยให เหล็กไปทําปฏิกริ ยิ ากับสารเคมีเฉพาะ เปลี่ยนผิวหนาเหล็กใหกลายเป็น FeO(OH) วิธีการนี้สามารถใช กบั โลหะอน่ื ๆ ได เชน ทองแดง ทองเหลือง อะลูมเิ นียม เงนิ และสแตนเลส เปน็ ตน 7. การเคลอื บผวิ โลหะ สมรรถนะสาคัญของผ๎ูเรียน ความสามารถในการส่อื สาร ความสามารถในการคิด ความสามารถในการแกป ญั หา ความสามารถในการใชทกั ษะชีวติ ความสามารถในการใชเทคโนโลยี คุณลกั ษณะอนั พึงประสงค์ ความซ่อื สตั ย์สุจริต มีวนิ ัย ความรกั ชาติ ศาสน์ กษัตริย์ มุงมั่นในการทํางาน อยูอยางพอเพียง ใฝุเรยี นรู มีจติ สาธารณะ รักความเป็นไทย แนวความคิดเพ่อื การเรียนรใ๎ู นศตวรรษที่ 21 ทกั ษะดา นการเรยี นรูและนวตั กรรม สาระวชิ าหลัก (Core Subjects) ทกั ษะดานชีวิตและอาชพี ทักษะดา นสารสนเทศ ส่อื และเทคโนโลยี กจิ กรรมการเรยี นร๎ู วิธสี อน โดยใชก ระบวนการสืบเสาะความรู (Inquiry Cycle หรือ Inquiry Method : 5E) ชั่วโมงที่ 1-3 1. ขั้นสรา๎ งความสนใจ (Engagement) (20 นาที) 1.1 ครูทบทวนความรเู ดิมเกยี่ วกบั เซลล์กลั วานิกและเซลลอ์ เิ ล็กโทรไลติก โดยใหนกั เรยี นตอบคาํ ถาม จากแผนภาพเซลล์กลั วานกิ และเซลลอ์ ิเล็กโทรไลติก 1.2 ครทู บทวนความรเู ดิมเกี่ยวกับการเปลย่ี นแปลงของโลหะในธรรมชาติ โดยใหน ักเรียน ตอบคาํ ถามจากบตั รคําถาม
- จากภาพชุดที่ 1 กบั ภาพชดุ ท่ี 2 มคี วามสัมพนั ธ์กนั อยางไร (แนวคําตอบ ภาพชุดท่ี 1 และภาพ ชุดที่ 2 เป็นภาพแสดงการเปลีย่ นแปลงของโลหะกอ นการใชง านและ หลังการใชง านจนเกดิ เป็นสนมิ เหล็ก) - ขอมูลจากภาพที่ 2 และ ภาพที่ 4 นักเรียนคิดวามีวิธีการแกไขหรือปูองกันไดหรือไม จงยกตวั อยาง (แนวคาํ ตอบ สามารถแกไ ขได เชน ภาพท่ี 2, 4 อาจใชน้ํามนั หลอ ลน่ื หรือทาจารบี) 2. ขัน้ สารวจและค๎นหา (Exploration) ( 70 นาท)ี 2.1 ครูใหนักเรียนแบงกลุม กลุมละ 4-5 คน และใหนกั เรียนแตละกลมุ ศึกษา คน ควาเกี่ยวกับ การกดั กรอ นของโลหะและการปูองกนั ตามรายละเอียดในหนังสือเรียน ใบความรู และอนิ เทอร์เน็ต โดยรวบรวม ขอมูลจากการศึกษาคน ควาใหไดมากทีส่ ุด 2.2 เมื่อนักเรยี นศึกษา คน ควา เก่ยี วกบั การกดั กรอนของโลหะและการปูองกนั แลว ครใู หันกั เรียนแต ละกลมุ รวมกันทาํ การทดลอง “ปจั จัยในการเกิดการกดั กรอ นของโลหะเหล็ก” โดยมจี ุดประสงคข์ องการ ทดลองคอื - ระบสุ ภาวะท่ีทาํ ใหโลหะเหลก็ เกดิ การกัดกรอ นได - อธิบายกระบวนการถายโอนอิเล็กตรอน และเขียนสมการการเกดิ ปฏิกริ ยิ าของการกัดกรอน ของโลหะ พรอ มทัง้ บอกตัวรีดวิ ซ์ และออกซไิ ดซไ์ ด - เพื่อศกึ ษาการปูองกนั การกัดกรอ นของโลหะได 3. ขั้นอธบิ ายและลงขอ๎ สรุป (Explanation) (25 นาท)ี 3.1 ใหน กั เรยี นแตละกลุมรว มกนั อภปิ รายผลท่ีไดจากการทําการทดลองเกย่ี วกบั ปัจจยั ในการเกิดการ กัดกรอนของโลหะเหล็ก 3.2 ครูสุมนักเรยี นตัวแทนจากกลมุ ตาง ๆ มานาํ เสนอผลการทดลองหนาช้นั เรยี น 4. ขั้นขยายความร๎ู (Elaboration) (45 นาท)ี 4.1 ใหนกั เรียนศึกษาบัตรทายคํา เร่ืองการปอู งกันการกดั กรอนของโลหะ 4.2 ใหนักเรียนทําแบบฝึกหัด โดยมีสถานการณ์คือ เมื่อ นายโชติ ตองการลอมร้ัวลวดหนาม ท่ีดิน ขนาด 10 ไร แตลวดหนามทีน่ าํ มาลอมรัว้ เปน็ ลวดหนามทีผ่ ลิตขนึ้ จากเหล็ก ทําใหเ กิดสนมิ ไดงายนายโชติ จึงตองการที่จะลดการเกิด สนิมเหล็กโดยการนําโลหะไปพันกับลวดหนาม ใหสามารถใชงานโดยไมเกิดสนิม นาน 1 ปี และนายโชติควรจะเลือกโลหะชนิดใด จึงจะเหมาะสมและใชตนทุนนอยท่ีสุด ขอมูลประกอบการ ตัดสินใจของนายโชติ 5. ขั้นประเมนิ (Evaluation) (20 นาท)ี 5.1 ประเมินผูเรยี นจากสภาพจริง เชน ใชแบบทดสอบความเขา ใจ โดยการรายงานหนา หอง 5.2 ประเมินจากใบงาน 1 ใบงานท่ี 2 เร่อื งปัจจยั ในการเกดิ การกดั กรอ นของโลหะเหลก็ 5.3 ประเมนิ จากการทาํ แบบทดสอบ เรอ่ื งปจั จยั ในการเกดิ การกดั กรอ นของโลหะเหล็ก
5.4 สงั เกตพฤติกรรมเปน็ รายกลมุ 5.5 แบบทดสอบหลงั เรียนเรื่อง ปจั จยั ในการเกิดการกดั กรอ นของโลหะเหลก็ วสั ดุ อปุ กรณ์ ส่อื และแหลํงเรียนร๎ู 1. power point เร่ือง ปจั จัยในการเกิดการกัดกรอนของโลหะเหลก็ 2. หนังสือเรยี นเคมเี ลม 4 4. ใบความรูเรอ่ื งการปูองกนั การกัดกรอ นของโลหะ 5. ใบกิจกรรมการทดลอง เรื่อง การชุบตะปูเหล็กดว ยสงั กะสี เรอื่ ง ปจั จยั ในการเกดิ การกดั กรอ นของโลหะเหล็ก 6. ใบงานที่ 2 การเขยี นแผนผงั ความคิด เรื่อง การกดั กรอ นของโลหะและการปูองกนั 7. ใบงานที่ 1 เร่ือง การกัดกรอ นของโลหะและการปอู งกนั การวดั และการประเมนิ ผล การวดั ผลประเมนิ ผลดา๎ น วิธกี ารวัด เคร่อื งมอื วดั เกณฑก์ ารผาํ น 1. ดานความรู 1. การทําแบบฝึกหัด 1. โจทยแ์ บบฝึกหัด 1. ไดคะแนนรอยละ 60 ข้ึนไป 2. แผนผงั ความคดิ 2. ช้นิ งาน 3. ทดสอบวัดความรู 3. ขอสอบ ความเขา ใจในเนอ้ื หา 2. ดา นทักษะ 1. การนําเสนองาน 1. แบบประเมินการ 1. ไดคะแนนรอยละ 2. กิจกรรมการทดลอง นาํ เสนองาน 60 ข้ึนไป 2. ใบกิจกรรมการ ทดลอง 3. ดานคุณลักษณะท่ีพึง - สังเกตพฤติกรรมราย -แบบสังเกตพฤติกรรม 1. ระดบั คณุ ภาพ ประสงค์ กลุม รายกลมุ ปานกลางข้นึ ไป
บนั ทึกหลังแผนการจัดการเรยี นร๎ู รายวิชาเคมี 5 รหัสวิชา ว30225 ระดบั ชน้ั มัธยมศกึ ษาปีที่ 6 1. ดา๎ นความรู๎ ………………………………………………………………………………………………………………………………………………… ………………………………………………………………………………………………………………………………………………… ………………………………………………………………………………………………………………………………………………… ………………………………………………………………………………………………………………………………………………… 2. ด๎านทักษะ/กระบวนการ ………………………………………………………………………………………………………………………………………………… ………………………………………………………………………………………………………………………………………………… ………………………………………………………………………………………………………………………………………………… ………………………………………………………………………………………………………………………………………………… 3. ดา๎ นคณุ ลกั ษณะอนั พึงประสงค์ ………………………………………………………………………………………………………………………………………………… ………………………………………………………………………………………………………………………………………………… ………………………………………………………………………………………………………………………………………………… ………………………………………………………………………………………………………………………………………………… 4.ปัญหาและอปุ สรรค ………………………………………………………………………………………………………………………………………………… ………………………………………………………………………………………………………………………………………………… ………………………………………………………………………………………………………………………………………………… ………………………………………………………………………………………………………………………………………………… 5. แนวทางการแก๎ไข ………………………………………………………………………………………………………………………………………………… ………………………………………………………………………………………………………………………………………………… ………………………………………………………………………………………………………………………………………………… ………………………………………………………………………………………………………………………………………………… ลงชื่อ........................................................ครูผูสอน ( นางสาวสุทิพย์ สุขสบาย) ............../............../...........
ความสนใจใฝ่ ๎ูร ้ัตงใจเรียน แบบสงั เกตพฤตกิ รรมรายบุคคล และทา ิกจกรรมวชิ า ...................................................................................................... ชั้น ......................................... เลขที่ ชื่อ-นามสกลุ การแลกเป ี่ลยนเ ีรยน ู๎ร ักบเพ่ือน ีมความซ่ือสัตย์ในการทา ิกจกรรมหมายเหตุ ใหบันทกึ โดยใชเครอ่ื งหมาย ้ัตงปัญหาห ืรอคาถามสร๎างสรร ์ค = แสดงพฤติกรรมที่พงึ ประสงคต์ ามคาดหวัง ทางานไ ๎ดเ ีรยบ ๎รอย ูถก ๎ตองและครบ ๎ถวน = ไมแสดงพฤติกรรมท่ีพงึ ประสงค์ตามคาดหวงั หมายเห ุตเกณฑ์การประเมิน นกั เรยี นมพี ฤติกรรมทพ่ี ึงประสงคต์ ามคาดหวังตงั้ แต ๓ รายการข้ึนไป ถือวา ผา นเกณฑ์การประเมนิ
ใบกิจกรรมการทดลอง เร่อื ง การชุบตะปูเหลก็ ดว๎ ยสงั กะสี การทดลองนม้ี ีจดุ มุงหมายเพอื่ ศึกษาหลกั การชุบดวยไฟฟาู จุดประสงคก์ ารทดลอง 1. ทําการทดลองชบุ ดวยไฟฟาู ได 2. อธิบายหลกั การชบุ ดว ยไฟฟาู และเขียนสมการแสดงปฏิกิรยิ าทเ่ี กิดขนึ้ ท่ีข้ัวไฟฟูาได สารเคมี 1. ตะปเู หล็กหรือชนิ้ งานเหลก็ 2. แผน สังกะสีขนาด 1 cm × 4 cm 3. สารละลายซิงคซ์ ลั เฟต 0.1 mol/dm3 4. สารละลายกรดไฮโดรคลอริก 1 mol/dm3 อปุ กรณ์ 1. บกี เกอรข์ นาด 50 cm3 2. แบตเตอรี่ 3 โวลต์ 3. สายไฟฟูาพรอมคลปิ จระเข 4. ปากคบี วธิ กี ารทดลอง 1. ใชก ระดาษทรายขัดตะปเู หลก็ ขนาดยาวประมาน 3 cm แลว นาํ ไปใชใ นสารละลายกรด HCl 1 mol/dm3 2 นาที นําออกมาลางน้ําใหส ะอาดและเช็ดผิวใหแหง 2. เตมิ สารละลาย ZnSO4 0.1 mol/dm3 70 cm3 ลงในบีกเกอร์ขนาด 100 cm3 3. ตอแผน สงั กะสเี ขากบั ขัว้ บวกและตอตะปเู หล็กเขา กบั ขว้ั ลบของแบตเตอร่ี ใชศ ักย์ไฟฟูาประมาน 3 โวลต์ ดังรูป สังเกตการณเ์ ปล่ียนแปลงทีเ่ กิดขึน้ เมอ่ื เวลาผานไปประมาณ 5 นาที บันทึกผลการทดลอง มีสารสีเทาเกาะที่ตะปูเหล็กสวนท่ีจุมอยูในสารละลาย และแผนสังกะสีที่จุมในสารละลายกรอน สงั เกตเหน็ ผิวขรขุ ระเล็กนอ ย สรปุ ผลการทดลอง 1. จดั สง่ิ ที่ตอ งการชุบเปน็ ข้วั แคโทด 2. ตอ งการชบุ ดวยโลหะใด ใชโลหะนนั้ เป็นขั้วแอโนด 3. สารละลายอิเล็กโทรไลตต์ องมไี อออนของโลหะทเ่ี ปน็ ข้วั ทีต่ องการชุบ 4. ตองการใชไ ฟฟาู กระแสตรงเพอื่ ใหอ เิ ล็กตรอนไหลในทิศทางเดยี วตลอดเวลา 5. ขณะชบุ โลหะ ความเขม ขน ของสารละลายอเิ ลก็ โทรไลตไ์ มเ ปลี่ยนแปลงตราบใดทีข่ ้วั แอโนดยังไมกรอ นหมด
ใบกิจกรรมการทดลอง เรื่อง การชบุ ตะปเู หลก็ ดว๎ ยสังกะสี การทดลองนม้ี ีจุดมงุ หมายเพอื่ ศึกษาหลักการชุบดว ยไฟฟูา จุดประสงคก์ ารทดลอง ………………………………………………………………………………………………………………………………………………………… ……………………………………………………………………………………………………………………………………………………… สารเคมี 1. ………………………………………… 2. ……………………………………… 3. ………………………………………… 4. ………………………………………… อุปกรณ์ 1. ………………………………………… 2. ………………………………………… 3. ………………………………………… 4. ………………………………………… วธิ ีการทดลอง ………………………………………………………………………………………………………………………………………………………… ………………………………………………………………………………………………………………………………………………………… ………………………………………………………………………………………………………………………………………………………… ………………………………………………………………………………………………………………………………………………………… ………………………………………………………………………………………………………………………………………………………… ………………………………………………………………………………………………………………………………………………………… บันทกึ ผลการทดลอง ………………………………………………………………………………………………………………………………………………………… ………………………………………………………………………………………………………………………………………………………… สรปุ ผลการทดลอง ………………………………………………………………………………………………………………………………………………………… ………………………………………………………………………………………………………………………………………………………… ………………………………………………………………………………………………………………………………………………………… ………………………………………………………………………………………………………………………………………………………… ………………………………………………………………………………………………………………………………………………………… …………………………………………………………………………………………………………………………………………………………
ใบความร๎ู เรื่องการปอ้ งกันการกดั กรอํ นของโลหะ โลหะในธรรมชาติเกิดการกัดกรอนหรือเกิดสนิม ซ่ึงเป็นส่ิงที่สามารถพบเห็นไดโดยท่ัวไป ใน ชีวติ ประจาํ วนั โดยเฉพาะกับวัสดอุ ปุ กรณ์ เคร่ืองมือ เคร่ืองใช หรือส่ิงกอสรางท่ีทําดวยโลหะหรือมี โลหะเป็น สวนประกอบ เม่ือโลหะเกิดการกัดกรอนหรือเกิดสนิมกอใหเกิดการสูญเสียทางเศรษฐกิจและ สิ้นเปลือง ทรพั ยากรเพมิ่ มากขึ้น การปูองกันการกัดกรอนของโลหะทําไดโดยการปูองกันไมใหผิวโลหะสัมผัสกับสารเคมี หรือน้ําและ ออกซเิ จนในอากาศ โดยวิธีการตาง ๆ ดังนี้ 1. การเคลอื บผวิ โลหะ สามารถเคลอื บไดโ ดย การทาสี การชุบนาํ้ มนั หรือ การเคลอื บดวยพลาสติก การทาสเี คลือบผิวโลหะ การใชพลาสตกิ เคลือบผวิ โลหะ 2. การชุบโลหะ เป็นการชบุ ผิวโลหะดว ยโลหะอีกชนิดหนึ่ง โลหะทน่ี ิยมนํามาใชท ําโลหะสาํ หรบั ชุบท่ี ผวิ ดาน นอกจะเปน็ โลหะทีถ่ ูกกดั กรอนไดยาก เชน นกิ เกลิ ทองแดง ดีบุก เงิน โครเมยี ม เปน็ ตน การชบุ โลหะ 3. การทาเป็นโลหะผสม โดยการนาํ โลหะตั้งแต 2 ชนดิ ข้ึนไปมาหลอมรวมกนั ทําใหท นตอ การกัดกรอ น เชน อัลลอยด์ (Alloy) 4. วิธแี คโทดกิ เปน็ การปอู งกนั การกัดกรอนโดยนาํ โลหะท่มี ีคา E0red ต่าํ หรือตัวรีดวิ ซท์ ดี่ ีกวา ไปพันไว ใกล ๆ โลหะท่ีไมต องการใหเ กดิ สนิม โลหะทมี่ คี า E0red ตา่ํ จะเปน็ แอโนด และโลหะท่ไี มต องการให เกดิ สนมิ มี E0red สงู ก็จะเปน็ แคโทด การแคโทดกิ เหลก็ ด๎วยแมกนเี ซียม
5. วิธีอะโนไดซ์ เป็นการเปลี่ยนผวิ หนา ของโลหะใหก ลายเปน็ โลหะออกไซด์ โดยใชโลหะ เชน อะลูมิเนยี ม โครเมียม ดบี กุ สงั กะสี ดวยกระแสไฟฟูา 12 V โดยโลหะออกไซดท์ ่ีเกิดข้นึ จะตอ งทน การกดั กรอ นมากกวา โลหะปกติ ออกไซดข์ องโลหะเหลานจ้ี ะเคลือบผิวของโลหะไมใ หเกดิ การกัด กรอ นตอ ไป ดังตัวอยา งเชน การอะโนไดซ์อะลมู เิ นยี ม 1) เตรยี มชนิ้ งานโดยขัดชิ้นงานใหส ะอาด แลวลา งไขมัน ลางนาํ้ และเช็ดใหแหง กรณชี ้นิ งาน เปน็ Al(s) ใช NaOH(aq) ในการลางไขมนั และเตรยี มผวิ ใหส ะอาด ดงั สมการ 2Al(s) + 2NaOH(aq) + 6H2O(l) 2NaAl(OH)4(aq) + 3H2(g) 2) นาํ แผน อะลูมเิ นยี มไปทาํ อะโนไดซใ์ นสารละลายกรดซลั ฟิวรกิ (H2SO4) + กรดออกซาลกิ ทแ่ี อโนดจะเกดิ O2(g) ซง่ึ O2(g) ท่ีเกิดขน้ึ จะไปทําปฏิกริ ิยากบั Al ได Al2O3 และ Al2O3 จับ ผวิ Al แนน มรี พู รนุ เล็ก ๆ จบั สยี อมโลหะไดด ี สวนท่แี ผน แคโทด จะเกิด H2(g) ซึง่ ไมท ําปฏกิ ริ ยิ า กบั Al Cathode : 2H+(aq) + 2e- H2(g) Anode : 2Al(s) + 3H2O(l) Al2O3(s) + 6H+(aq) + 6e- Redox : 2Al(s) + 3H2O(l) Al2O3(s) + 3H2(g) ผลิตภัณฑ์จากการอะโนไดซ์ 3) สามารถนาํ แผน อะลมู เิ นียมที่ผา นการอะโนไดซแ์ ลว ไปยอมสีโลหะไดท ่ีอุณหภูมิ 50 – 60 °C ประมาณ 10 - 20 นาที 6. การรมดา เปน็ การปูองกันการกดั กรอนและเพ่ิมความสวยงามใหแ กชิน้ โลหะ เชน ปืน ดาบ โดยให เหล็กไป ทาํ ปฏิกิรยิ ากบั สารเคมเี ฉพาะ เปลี่ยนผิวหนาเหล็กใหกลายเป็น FeO(OH) วิธีการน้ี สามารถใชกับโลหะอ่ืน ๆ ได เชน ทองแดง ทองเหลอื ง อะลูมเิ นียม เงิน และสแตนเลส เปน็ ตน โดยมีข้นั ตอนดังนี้ 1) เตรยี มชน้ิ งานโดยขดั ผิวดวยกระดาษทรายชนดิ ละเอยี ด ลางไขมันดว ยไตรคลอโรเอทลิ ีน หรอื Na3PO4 แลวลางดวยนา้ํ สะอาด 2) นําไปตมกับสารละลายทีม่ ี NaOH 375 g + NaNO3 125 g ในสารละลาย 1 dm3
Fe(s) จะทําปฏกิ ิริยาแลวไดเปน็ FeO(OH)(s) ทม่ี ีสีนาํ้ ตาลดํา เรยี กวา เซปดิ ิโอโครไซด์ (Cepidiocrocite) ซึ่งไมเกิดสนิมหรือกดั กรอ น 7. การทาผิวโลหะด๎วยสารยับย้ังการผกุ รอํ น เชน - เคลอื บดว ยเกลือโครเมต ทาํ ใหเกดิ FeCrO4 เคลอื บผิวเหล็ก - เกลอื บวิ ทิลลามนี ซ่ึงอยใู นรปู (CuHg)3NH+ นยิ มเติมลงไปในหมอ น้าํ รถยนต์ จะทําใหเกิด ฟิล์มบาง ๆ ปิด ผิวเหลก็ ท่ใี ชท าํ หมอนาํ้
ใบงานที่ 1 คาชแ้ี จง จงตอบคาถามตํอไปนี้ เมือ่ นายโชติ ตองการลอ มร้ัวลวดหนามที่ดนิ ขนาด 10 ไร แตลวดหนามท่ีนํามาลอมรั้ว เป็นลวดหนามท่ี ผลติ ขน้ึ จากเหล็ก ทาํ ใหเ กดิ สนมิ ไดงาย นายโชติ จึงตองการท่ีจะลดการเกิด สนิมเหล็กโดยการนําโลหะไปพัน กับลวดหนาม ใหสามารถใชงานโดยไมเกิดสนิมนาน 1 ปี และนายโชติควรจะเลือกโลหะชนิดใด จึงจะ เหมาะสมและใชต น ทุนนอ ยทสี่ ดุ ขอ มลู ประกอบการตัดสนิ ใจของนายโชติ มีดงั นี้ โลหะ อตั ราการกัดกรอํ นเมอ่ื ตํอกับลวดเหลก็ ราคาโลหะ (บาท/กรมั ) (กรัม/เดือน) เหลก็ 300 5 เงิน 2 x 10-6 135 สังกะสี 12.5 12 นกิ เกลิ 1 x 10-5 32 โครเมยี ม 4.2 25 กาํ หนดใหคาศักยไ์ ฟฟาู มาตรฐานรีดกั ชนั ดงั นี้ Ag(s) E0red = +0.80 V Ag+(aq) + e- Ni(s) E0red = -0.28 V Ni2+(aq) + 2e- Fe(s) E0red = -0.44 V Fe2+(aq) + 2e- Cr(s) E0red = -0.74 V Cr3+(aq) + 3e- Zn(s) E0red = -0.76 V Zn2+(aq) + 2e- นายโชตคิ วรจะเลือกโลหะชนิดใด จงึ จะเหมาะสมและใชต น ทุนนอยทสี่ ุด เพราะอะไรจงอธบิ าย …………………………………………………………………………………………………………………………………… …………………… ……………………………………………………………………………………………………………… ………………………………………… ………………………………………………………………………………………… ……………………………………………………………… …………………………………………………………………… …………………………………………………………………………………… ……………………………………………… ………………………………………………………………………………………………………… ………………………… ……………………………………………………………………………………………………………………………… …… …………………………………………………………………………………………………………………………………… ………….....
ใบงานท่ี 2 คาชี้แจง จงเขยี นแผนผงั ความคดิ (mind mapping) สรุป เร่อื ง การกัดกรอ นของโลหะและการปูองกนั
แบบทดสอบ เรอื่ งปจั จัยในการเกิดการกัดกรอํ นของโลหะเหลก็ คาชแี้ จง๎ แบบทดสอบแบบปรนยั 4 ตวั เลอื ก ใหน๎ กั เรยี นทาเครือ่ งหมาย ลงในกระดาษคาตอบ 1. การเกดิ สนมิ จะเกิดชาลงมากท่ีสุด เมือ่ มีโลหะใดตอ อยูกบั ตะปเู หลก็ ก. โลหะแมกนเี ซียม ข. โลหะทองแดง ค. โลหะสังกะสี ง. โลหะเงนิ 2. สถานการณใ์ นขอ ใดถกู ตองเกีย่ วกับการกัดกรอนของโลหะ เมอื่ โลหะคูห น่ึงอยดู ว ยกัน โลหะชิน้ ที่ 1 โลหะช้นิ ท่ี 2 โลหะท่ีถูกกัดกรอน ก. Fe Sn Sn ข. Al Sn Al ค. Fe Cr Fe ง. Al Cr Cr 3. สภาวะใดที่เหลก็ จะถูกกดั กรอนไดเรว็ ที่สดุ ก. มนี ้ําและอากาศ ข. มอี ากาศและสารละลาย NaOH ค. มนี ้ํา อากาศ และลวดทองแดงผูกติดอยู ง. มีน้าํ ออกซิเจน และลวดแมกนเี ซยี มผูกติดอยู 4. ขอใดถกู ตองท่ีสดุ ในการฝังลวดแมกนีเซียมไวใ หสัมผัสกบั ทอเหลก็ บรรจนุ ้ํามนั ท่ีใตดิน เพ่อื ลดการกดั กรอ นของทอ ก. ลวดแมกนีเซียมเป็นตัวออกซิไดซ์ ข. ลวดแมกนีเซยี มเป็นตวั รบั อเิ ลก็ ตรอนจากทอเหลก็ ค. ลวดแมกนเี ซยี มเป็นตวั สงผานอิเล็กตรอนไปยังทอ เหล็ก ง. ลวดแมกนีเซียมเป็นตัวปูองกนั มิใหท อ เหล็กสมั ผัสกบั ความชื้นโดยตรง 5. ขอ ใดไมถ ือวา เปน็ การปอู งกันการกัดกรอ นของโลหะ ก. การรมดําอาวธุ ปนื ข. ทาสนี ํา้ มันที่ประตเู หล็กหนาบา น ค. การชะโลมนาํ้ มันตะปกู อนตตี ะปลู งในเนือ้ ไม ง. การขดั คราบดําหมนออกจากชุดสรอ ยเคร่อื งเงิน
6. จากการทดสอบตะปเู หลก็ ดังตอ ไปนี้ I II III IV ตะปูในหลอดใดจะเป็นสนมิ ก. หลอดที่ I ข. หลอดที่ II ค. หลอดที่ III ง. หลอดที่ IV 7. การปอู งกันการกัดกรอ นของโลหะ วธิ ใี ดที่ตองผา นกระบวนการอเิ ลก็ โทรไลซสิ ก. วธิ รี มดํา ข. วธิ แี คโทดิก ค. การเคลือบพลาสติก ง. การชุบโลหะดว ยไฟฟาู 8. สงั กะสแี ผน เรยี บใชทาํ รางนา้ํ ฝนมกี ารผลิตจากแผน เหล็กเคลือบสังกะสี และกระปอ งนํ้าผลไมท ี่ทําจาก เหล็ก เคลอื บดว ยอะลมู เิ นยี ม ผลิตภณั ฑ์ชนดิ ใดจะเกดิ สนมิ เรว็ กวา กันเม่อื อยใู นสภาวะที่สัมผสั อากาศ และความช้นื ก. กระปองน้าํ ผลไม ข. สังกะสแี ผนเรยี บ ค. เกิดสนมิ พรอมกัน เพราะเปน็ เหลก็ เหมือนกนั ง. ไมเกดิ สนมิ ทัง้ 2 ชนดิ เพราะมกี ารปูองกันการกดั กรอ น จงใชข๎ ๎อมูลตํอไปนีใ้ นการตอบคาถาม ขอ๎ 9 - 10 ในการศึกษาการผุกรอ นของโลหะ โดยติดตามการ เปล่ียนแปลงที่เกิดขนึ้ กับโลหะในหลอดทดลองที่ บรรจุนํา้ แลวนํามาทดสอบดว ย และฟีนอลฟ์ ทา ลนี มีผลการทดลองดงั นี้ Fe ; E0red = -0.44 V กาํ หนดให Fe2+ + 2e- A ; E0red = -1.66 V B ; E0red = -2.37 V A3+ + 3e- C ; E0red = -0.25 V B2+ + 2e- Fe ; E0red = +0.34 V C2+ + 2e- D2+ + 2e-
9. โลหะ C จะเกดิ การกัดกรอน เมือ่ ตอ เขา กบั โลหะใด ก. ตอโลหะ C กับโลหะ A ข. ตอ โลหะ C กับโลหะ B ค. ตอ โลหะ C กับโลหะ Fe ง. ตอโลหะ C กับโลหะ D 10. จากการทดลอง ขอสรุปใดถูกตอง ก. โลหะ B ทําใหต ะปเู หลก็ เสยี อิเล็กตรอนไดง ายข้ึน ข. สชี มพทู เ่ี กิดข้นึ มาจาก OH- ทเ่ี กดิ ในปฏิกิริยาออกซิเดชัน ค. ในทกุ สภาวะ ตะปูเหลก็ เกดิ สนิมท้ังหมดเนอื่ งจากนํา้ และอากาศ ง. เกดิ สนิมเหล็กทต่ี ะปูพนั ดวยโลหะ D มากกวา ตะปูพันดวยโลหะ C
เฉลยแบบทดสอบ เรื่องปัจจัยในการเกิดการกดั กรํอนของโลหะเหล็ก คาชีแ้ จง๎ แบบทดสอบแบบปรนยั 4 ตัวเลือก ใหน๎ กั เรียนทาเครอ่ื งหมาย ลงในกระดาษคาตอบ 1. การเกดิ สนิมจะเกดิ ชาลงมากท่ีสุด เมอ่ื มโี ลหะใดตอ อยกู บั ตะปูเหล็ก ก. โลหะแมกนีเซียม ข. โลหะทองแดง ค. โลหะสังกะสี ง. โลหะเงิน 2. สถานการณ์ในขอใดถูกตองเกยี่ วกับการกดั กรอนของโลหะ เม่อื โลหะคหู นึ่งอยูดวยกนั โลหะช้นิ ท่ี 1 โลหะชน้ิ ที่ 2 โลหะท่ีถูกกดั กรอน ก. Fe Sn Sn ข. Al Sn Al ค. Fe Cr Fe ง. Al Cr Cr 3. สภาวะใดท่ีเหลก็ จะถกู กดั กรอนไดเร็วท่สี ุด ก. มนี ํ้าและอากาศ ข. มอี ากาศและสารละลาย NaOH ค. มนี ํา้ อากาศ และลวดทองแดงผกู ติดอยู ง. มีนํ้า ออกซเิ จน และลวดแมกนเี ซยี มผกู ติดอยู 4. ขอใดถูกตองทีส่ ดุ ในการฝงั ลวดแมกนเี ซียมไวใหสมั ผัสกับทอเหลก็ บรรจนุ า้ํ มนั ท่ีใตดิน เพอ่ื ลดการกดั กรอนของทอ ก. ลวดแมกนีเซยี มเป็นตวั ออกซิไดซ์ ข. ลวดแมกนเี ซยี มเปน็ ตวั รับอิเล็กตรอนจากทอเหลก็ ค. ลวดแมกนีเซียมเปน็ ตัวสง ผานอิเลก็ ตรอนไปยงั ทอเหล็ก ง. ลวดแมกนเี ซยี มเป็นตัวปอู งกันมใิ หทอเหล็กสมั ผัสกับความชื้นโดยตรง 5. ขอ ใดไมถ อื วา เป็นการปูองกนั การกดั กรอนของโลหะ ก. การรมดําอาวธุ ปืน ข. ทาสีนํ้ามันท่ปี ระตเู หล็กหนาบาน ค. การชะโลมน้ํามนั ตะปูกอนตตี ะปูลงในเนอ้ื ไม ง. การขดั คราบดําหมนออกจากชดุ สรอยเครอ่ื งเงิน
6. จากการทดสอบตะปูเหลก็ ดงั ตอไปนี้ I II III IV ตะปูในหลอดใดจะเป็นสนมิ ก. หลอดที่ I ข. หลอดท่ี II ค. หลอดท่ี III ง. หลอดท่ี IV 7. การปูองกันการกดั กรอนของโลหะ วธิ ีใดที่ตอ งผานกระบวนการอิเล็กโทรไลซิส ก. วธิ ีรมดาํ ข. วิธีแคโทดิก ค. การเคลอื บพลาสตกิ ง. การชบุ โลหะดว ยไฟฟาู 8. สังกะสแี ผน เรียบใชทํารางน้าํ ฝนมีการผลิตจากแผน เหล็กเคลือบสงั กะสี และกระปอ งนํา้ ผลไมท ท่ี ําจาก เหลก็ เคลือบดวยอะลมู ิเนยี ม ผลิตภัณฑช์ นิดใดจะเกิดสนิมเร็วกวากันเมือ่ อยใู นสภาวะท่ีสมั ผัสอากาศ และ ความชน้ื ก. กระปองนํ้าผลไม ข. สงั กะสแี ผน เรียบ ค. เกิดสนิมพรอ มกนั เพราะเป็นเหล็กเหมือนกนั ง. ไมเ กิดสนมิ ท้ัง 2 ชนดิ เพราะมีการปอู งกันการกัดกรอน จงใชข๎ อ๎ มลู ตอํ ไปนใี้ นการตอบคาถาม ขอ๎ 9 - 10 ในการศึกษาการผุกรอนของโลหะ โดยติดตามการเปล่ียนแปลงท่ีเกิดข้ึนกับโลหะในหลอดทดลองท่ี บรรจุน้ํา แลว นาํ มาทดสอบดวย และฟนี อลฟ์ ทาลีน มผี ลการทดลองดังน้ี กาํ หนดให Fe2+ + 2e- Fe ; E0red = -0.44 V A3+ + 3e- A ; E0red = -1.66 V B2+ + 2e- B ; E0red = -2.37 V C2+ + 2e- C ; E0red = -0.25 V D2+ + 2e- Fe ; E0red = +0.34 V
9. โลหะ C จะเกดิ การกัดกรอน เมือ่ ตอ เขา กบั โลหะใด ก. ตอโลหะ C กับโลหะ A ข. ตอ โลหะ C กับโลหะ B ค. ตอ โลหะ C กับโลหะ Fe ง. ตอโลหะ C กับโลหะ D 10. จากการทดลอง ขอสรุปใดถูกตอง ก. โลหะ B ทําใหต ะปเู หลก็ เสยี อิเล็กตรอนไดง ายข้ึน ข. สชี มพทู เ่ี กิดข้นึ มาจาก OH- ทเ่ี กดิ ในปฏิกิริยาออกซิเดชัน ค. ในทกุ สภาวะ ตะปูเหลก็ เกดิ สนิมท้ังหมดเนอื่ งจากนํา้ และอากาศ ง. เกดิ สนิมเหล็กทต่ี ะปูพนั ดวยโลหะ D มากกวา ตะปูพันดวยโลหะ C
การทดลอง เรือ่ ง ปจั จยั ในการเกิดการกัดกรอํ นของโลหะเหลก็ สมาชิกในกลํมุ ชือ่ ...........................................................เลขท.่ี ......... ชอ่ื ...........................................................เลขท่.ี ......... ชื่อ...........................................................เลขท.่ี ......... ชื่อ...........................................................เลขที่.......... ชอ่ื ...........................................................เลขท.ี่ ......... ชื่อ...........................................................เลขที่.......... กลุมท่ี ........................ ชั้นมัธยมศึกษาปที ่ี......................... จุดประสงค์ 1. ระบุสภาวะท่ีทําใหโลหะเหลก็ เกดิ การกัดกรอ นได 2. อธบิ ายกระบวนการถา ยโอนอเิ ลก็ ตรอน และเขียนสมการการเกิดปฏิกริ ิยาของการกัดกรอนของโลหะ พรอมท้ังบอกตวั รีดิวซ์ และออกซไิ ดซไ์ ด 3. เพ่อื ศึกษาการปูองกนั การกัดกรอ นของโลหะได อุปกรณแ์ ละสารเคมี 1. หลอดทดลองขนาดเล็ก 9 หลอด 10. ลวดทองแดง 15 cm 1 เสน 2. จกุ ยาง 1 อัน 11. ลวดแมกนีเซียม 2.5 cm 1 เสน 3. ท่วี างหลอดทดลอง 1 อัน 12. สารดดู ความช้นื (SiO2) 4. ตะปู ขนาด 5 cm 8 ตวั 13. ชอนตกั สาร 1 อัน 5. กระดาษทราย 1 แผน 14. กระบอกตวง 1 อัน 6. นาํ้ กลน่ั 15. นา้ํ มะนาว 7. นํ้าตม เดือด ท่ีเยน็ แลว 16. ปากคบี 1 อัน 8. นํา้ มันพชื 17. สารละลาย Ferroxyl 50 mL 9. สารละลาย NaCl 18. หลอดหยด 2 อัน วธิ กี ารทดลอง 1. นําหลอดทดลองขนาดเลก็ จํานวน 8 หลอด จุกยาง จํานวน 1 อัน และตะปู ขนาด 3.5 cm จํานวน 8 ตัว ขดั ตะปใู หสะอาดดวยกระดาษทราย แลวจัดชดุ อปุ กรณ์ดงั นี้ หลอดทดลอง A ใสต ะปูทข่ี ัดผิวสะอาด ลงในหลอดทดลอง หลอดทดลอง B ใสตะปทู ีพ่ ันดวยลวดทองแดงลงในหลอดทดลอง เติมน้ํากล่นั 5 mL หลอดทดลอง C ใสตะปทู พ่ี ันดวยลวดแมกนเี ซยี มลงในหลอดทดลอง เตมิ น้ํากลน่ั 5 mL หลอดทดลอง D ใสต ะปูลงในหลอดทดลอง เตมิ น้ําตม ที่เยน็ แลว 4 mL และเติมนา้ํ มนั พชื 1 mL หลอดทดลอง E ใสต ะปลู งในหลอดทดลอง เตมิ สารละลาย NaCl เขมขน 1 mol/dm3 5 mL หลอดทดลอง F ใสต ะปูลงในหลอดทดลอง เติมนาํ้ มะนาว 5 mL หลอดทดลอง G ใสต ะปูลงในหลอดทดลอง เติมนํา้ กลน่ั 5 mL ปิดดวยจุกยาง หลอดทดลอง H ใสตะปูลงในหลอดทดลอง เตมิ สารดดู ความชื้น 1 ชอ นเบอร์ 2 ปิดดว ยจุกยาง 2. สงั เกตการเปลยี่ นแปลง
3. เติม Ferroxyl (aq) ลงในหลอดทดลองขนาดเล็ก 9 หลอด หลอดละ 5 ml แลวนําตะปูเหล็กในขอท่ี 1 การทดลอง A – H หยอนลงใน Ferroxyl (aq) ทเี่ ตรียมไว สงั เกตการเปล่ียนแปลงและบันทกึ ผล ตารางบนั ทกึ ผลการทดลอง ผลการเปลีย่ นแปลงท่ีสงั เกตได๎ หลอดทดลอง สงั เกตดว๎ ยตาเปลํา สารละลาย Ferroxyl A B C D E F G H สรปุ และอภปิ รายผลการทดลอง ………………………………………………………………………………………………………………………………………………...……….. ………………………………………………………………………………………………………………………………………………...……….. ………………………………………………………………………………………………………………………………………………...……….. ………………………………………………………………………………………………………………………………………………...……….. ………………………………………………………………………………………………………………………………………………...……….. ………………………………………………………………………………………………………………………………………………...……….. ………………………………………………………………………………………………………………………………………………...……….. ………………………………………………………………………………………………………………………………………………...……….. ………………………………………………………………………………………………………………………………………………...……….. ตอบคาถามทา๎ ยการทดลอง 1. การกัดกรอนของโลหะเหล็กเกดิ ขน้ึ ไดอ ยางไร ………………………………………………………………………………………………………………………………………………...……….. ………………………………………………………………………………………………………………………………………………...……….. 2. ปัจจยั ที่ทําใหตะปูเหล็กเกดิ การกัดกรอนเร็วกวาภาวะปกติ เพราะอะไร ………………………………………………………………………………………………………………………………………………...……….. ………………………………………………………………………………………………………………………………………………...……….. ………………………………………………………………………………………………………………………………………………...………..
3. จงเขยี นสมการการกดั กรอ นของตะปเู หลก็ กบั ลวดทองแดง พรอ มท้งั บอกตัวรีดวิ ซ์และออกซไิ ดซ์ ………………………………………………………………………………………………………………………………………………...……….. ………………………………………………………………………………………………………………………………………………...……….. ………………………………………………………………………………………………………………………………………………...……….. ………………………………………………………………………………………………………………………………………………...……….. 4. คา E0 มีความสมั พนั ธอ์ ยางไรกบั การกัดกรอ นของตะปเู หล็ก ………………………………………………………………………………………………………………………………………………...……….. ………………………………………………………………………………………………………………………………………………...……….. 5. ส่งิ ใดทช่ี วยปอู งกันไมใหต ะปเู หล็กเกดิ การกัดกรอ น เพราะอะไร ………………………………………………………………………………………………………………………………………………...……….. ………………………………………………………………………………………………………………………………………………...……….. ………………………………………………………………………………………………………………………………………………...……….. ………………………………………………………………………………………………………………………………………………...……….. เฉลย ตารางบันทกึ ผลการทดลอง ผลการเปล่ยี นแปลงท่ีสงั เกตได๎ หลอด สังเกตดว๎ ยตาเปลาํ สารละลาย Ferroxyl A ไมพ บการเปลี่ยนแปลง สขี องสารละลายเปลีย่ นจากสเี หลอื งเปน็ สีเหลอื ง แกมเขียวในบรเิ วณปลายแหลมของตะปู B เกิดตะกอนสนี ํา้ ตาลแดง บรเิ วณกน หลอดทดลอง สีของสารละลายเปล่ียนจากสเี หลอื งเป็นสเี ขียว ออน ๆ และมีสี เขียวเขม มากบรเิ วณปลายตะปู C สารละลายใสไมม สี ี มี ฟองอากาศเกดิ ขึน้ ใน สารละลายเปลย่ี นจากสีเหลืองเปน็ สชี มพูทบ่ี รเิ วณ บริเวณ Mg(s) และรอบ ๆ หลอดทดลอง ลวด ลวด Mg และสี ชมพูเขม ขน้ึ เรอื่ ย ๆ จนท้งั หลอด Mg กรอน เลก็ นอ ย เปลยี่ นเปน็ สีชมพแู ดง D ไมพ บการเปลย่ี นแปลง สีของสารละลายไมเ ปลย่ี นสี E เกิดตะกอนสนี ้าํ ตาลแดง บริเวณกนหลอดทดลอง สารละลายเปลย่ี นจากสเี หลืองเปน็ สีเขยี วเขม และ และบรเิ วณกานตะปมู ีจุดสี น้ําตาลแดง ตะปูเปล่ยี นเปน็ สีดํา แสดงใหเห็นการกดั กรอ น F สีของนาํ้ มะนาวจางลง ตะปู ไมเกิดการ สารละลายเปลี่ยนจากสเี หลอื งเปน็ สีเขียวเขมแกม เปลยี่ นแปลง นา้ํ เงิน และตะปู เปลีย่ นเป็นสดี า แสดงใหเห็นการ กดั กรอ น G เกิดตะกอนสนี าํ้ ตาลแดงท่ี บรเิ วณกนหลอด สีของสารละลายเปลยี่ นจากสี เหลืองเปน็ สีเขียว ทดลอง หวั ตะปมู รี อยสีสม แดงเกดิ ขนึ้ เลก็ นอ ย ออน ๆ ตะปู เปลี่ยนเปน็ สีดาํ H ไมพบการเปลย่ี นแปลง สขี องสารละลายไมเ ปล่ียนส
สรุปและอภิปรายผลการทดลอง ...............จากผลการทดลอง การเปลย่ี นสขี องสารละลาย Ferroxyl จากสีเหลืองเปลยี่ นเปน็ สีเขียวหรือสีน้ําเงิน Fe2+(aq) ถา สารละลายเปล่ียนจาก เป็นการเปลีย่ นแปลงทีแ่ สดงถงึ การกัดกรอนของเหล็ก จาก Fe(S) สีเหลืองเป็นสีชมพูแดง แสดงวา H2O(l) และ O2(g) ในอากาศ มีการรับอิเล็กตรอนเกิดการเปล่ียนแปลงจาก H2O(l) + O2(g) OH-(aq) ………………………………………………………………………………………………………. ...............การทดลองท่ีแสดงถึงการที่โลหะเหล็กเกิดการกัดกรอน คือ การทดลอง A , B , E , F และ G และ ปจั จยั ทที่ ําใหเกิดการกัดกรอ นของโลหะเหล็ก คอื …………………………………………………………………………………… - เม่อื สมั ผัสกบั โลหะทีเ่ สยี อเิ ล็กตรอนยาก มคี า E0red สูง .................................................................................. - เมือ่ สมั ผสั กบั กรด .............................................................................................................................................. - เมื่อสมั ผสั กับเกลอื ของสารประกอบไอออนิก เชน NaCl และ ………………………………………………………………… - เม่อื สัมผสั กับน้าํ และ ออกซเิ จนในอากาศ สามารถเขยี นสมการไดดงั น้ี ............................................................. ............1. Fe(s) + Cu2+(aq) Fe2+(aq) + Cu(s) ตัวรีดวิ ซ์คอื Fe(s) ตวั ออกซไิ ดซค์ ือ Cu2+(aq) Fe2+(aq) + H2(g) ตัวรีดวิ ซ์คือ Fe(s) ตวั ออกซิไดซค์ อื 2H+(aq) ............2. Fe(s) + 2H+(aq) ............3. 2Fe(s) + O2(g) + 2H2O(l) 2Fe2+(aq) + 4OH-(aq) ตวั รดี ิวซ์คือ Fe(s) ตัวออกซิไดซค์ อื O2(g) ...............การทดลองทโ่ี ลหะเหลก็ ไมเ กิดการกัดกรอน คือ การทดลอง C (โลหะเหล็กพันอยูกับลวดแมกนีเซียม ลวดแมกนีเซียมมีคา E0red ตํา่ กวา เหลก็ เหล็กจงึ ไมเกดิ การกัดกรอน การทดลอง D (ใชนํ้ามันปูองกันไมใหนํ้า สมั ผัสกับออกซิเจนในอากาศ และการทดลอง H เตมิ สารดูดความชื้นเป็นการลดความชื้นในอากาศทําใหโลหะ เหลก็ ไมเกิดการกัดกรอ น ..................................................................................................................................... ตอบคาถามท๎ายการทดลอง 1. การกดั กรอนของโลหะเหล็กเกดิ ขน้ึ ไดอ ยางไร .....เกิดจาการทโี่ ลหะเหลก็ Fe(S) เสียอิเล็กตรอนไปเปน็ Fe2+(aq)…………………….……………………………………….. ………………………………………………………………………………………………………………………………………………...……….. 2. ปจั จัยที่ทําใหตะปเู หล็กเกดิ การกัดกรอนเร็วกวา ภาวะปกติ เพราะอะไร ....1. สภาวะความเปน็ กรด .................................................................................................................................. ....2. สภาวะของการเป็นเกลอื เชน NaCl …………………………………………………………………………….……..…………. ....3. เม่อื ตอ กับโลหะท่ีเสีย อิเลก็ ตรอนยาก มคี า E0red ทีส่ ูงกวา เหลก็ .............................................................. 3. จงเขียนสมการการกัดกรอ นของตะปเู หลก็ กบั ลวดทองแดง พรอมท้ังบอกตวั รีดิวซ์และออกซิไดซ์ ……………………………………………… Fe(s) + Cu2+(aq) Fe2+(aq) + Cu(s) …………………..…………………………. ..................................................ตัวรีดิวซ์ คือ Fe(s) ตัวออกซิไดซ์ คอื Cu2+(aq) ………………………………………… 4. คา E0 มีความสมั พนั ธ์อยา งไรกับการกัดกรอนของตะปูเหลก็ ...............โลหะที่มีคา E0red สูง เป็นโลหะทีเ่ สยี อเิ ลก็ ตรอนยากไมเกดิ การกัดกรอน สวนโลหะที่มีคา E0red ตํ่า เปน็ โลหะทเี่ สียอิเลก็ ตรอนงายจงึ เกดิ การกดั กรอ นไดดี ........................................................................................ 5. สิง่ ใดท่ีชวยปูองกนั ไมใหต ะปูเหลก็ เกิดการกัดกรอ น เพราะอะไร ............... 1. นาํ้ มนั พืช เพราะนํา้ มนั พืชมีกรดไขมันชนดิ ไมอ ิ่มตวั อยูในโครงสรา ง เมื่อน้ํามันพืชสัมผัสกับอากาศ O2(g) ในอากาศจะจับกบั ตําแหนง พนั ธะคขู องกรดไขมันไมอ ่ิมตวั จงึ ชว ยไมให H2O(l) สามารถรวมกับ O2(g) ใน อากาศไดตะปเู หลก็ จงึ ไมเกิดการกัดกรอน ............... 2. สารดดู ความชื้น Silica jel (SiO2) เพราะสารดูดความชื้นจะดดู เอาไอน้ําทีม่ อี ยูในอากาศเอาไว ทํา ใหโ ลหะไมเ กดิ การกดั กรอ นหรือเกดิ สนมิ เหลก็ ....................................................................................................
แบบประเมินการนาเสนองาน กลมํุ ……………………………………………....…หวั ข๎อเร่ือง………..…………………………………… ลาดบั รายการประเมิน ระดับคะแนน 123 1 เนื้อหาครบถว น 2 การวางแผนงานอยางเปน็ ระบบ 3 การตอบคาํ ถาม 4 มีความสวยงาม ความคดิ สรางสรรค์ 5 นําเสนอชดั เจน นา สนใจ รวม รวมคะแนน การตัดสินคณุ ภาพ ลงชอื่ .......................................................ผูประเมนิ (……………………………………) .........../............................/.......... เกณฑก์ ารให๎คะแนน เกณฑก์ ารตัดสินคณุ ภาพ ผลงานหรอื พฤติกรรมความสมบูรณ์ชดั เจน ให 3 คะแนน ชวํ งคะแนน ระดบั คุณภาพ ผลงานหรอื พฤตกิ รรมมีขอบกพรองบางสว น ให 2 คะแนน ผลงานหรือพฤตกิ รรมมีขอ บกพรองมาก ให 1 คะแนน 11-15 3 (ดี) 6-10 2 (ปานกลาง) ต่าํ กวา 6 1 (ปรับปรงุ )
แบบสงั เกตพฤตกิ รรมการทางานกลมํุ กลมุํ ……………………………………………....…หัวข๎อเรอื่ ง………..…………………………………… สมาชกิ กลมํุ 1……………………………………………. 2…………………………………………… 3…………………………………………... 4…………………………………………… 5…………………………………………… ลาดับ รายการประเมนิ ระดบั คะแนน 123 1 ความรบั ผิดชอบตอ หนา ของตนเอง 2 การวางแผนงานอยา งเป็นระบบ 3 การเสยี สละ และชว ยเหลอื่ เพอ่ื นรว มงาน 4 การมีสว นรวมในการแสดงความคดิ เห็น 5 งานเสร็จตามกําหนด รวม รวมคะแนน การตดั สนิ คณุ ภาพ เกณฑ์การใหค๎ ะแนน เกณฑก์ ารตัดสนิ คุณภาพ ผลงานหรอื พฤติกรรมความสมบรู ณ์ชดั เจน ให 3 คะแนน ชํวงคะแนน ระดบั คณุ ภาพ ผลงานหรือพฤติกรรมมขี อ บกพรองบางสวน ให 2 คะแนน ผลงานหรือพฤตกิ รรมมขี อ บกพรอ งมาก ให 1 คะแนน 11-15 3 (ดี) 6-10 2 (ปานกลาง) ต่าํ กวา 6 1 (ปรับปรงุ )
แผนการจัดการเรยี นรู๎ที่ 11 หนํวยการเรยี นร๎ทู ่ี 9 ไฟฟ้าเคมี เร่ือง ศึกษาการแยกสารละลาย CuSO4 ดว๎ ยไฟฟา้ รหสั วชิ า ว30225 ช้ันมธั ยมศึกษาปที ี่ 6 รายวชิ า เคมี 5 (เพิม่ เตมิ ) กลุํมสาระการเรียนรว๎ู ทิ ยาศาสตร์ ภาคเรียนท่ี 2 เวลา 3 ช่วั โมง ผลการเรียนรู๎ 1. อธบิ ายหลกั การของเซลล์อิเล็กโทรไลติกแบบตา ง ๆ พรอมทงั้ เขยี นสมการแสดงปฏกิ ิรยิ าท่ีเกดิ ข้ึน สาระการเรยี นร๎ู เซลล์อิเล็กโตรไลต์ (Electrolytic cell) คือ เซลล์ไฟฟูาเคมีท่ีเปล่ียนพลังงานไฟฟูาเป็นพลังงานเคมี เกิดจากการผานกระแสไฟฟูาลงไปในสารเคมีท่ีอยูในเซลล์ แลวทําใหเกิดปฏิกิริยาเคมี เชน การแยกนํ้าดวย กระแสไฟฟูา การชบุ โลหะดวยไฟฟูา จุดประสงคก์ ารเรียนรู๎ ดา๎ นความรู๎ (Knowledge) 1. อธบิ ายลกั ษณะของเซลลอ์ เิ ล็กโทรไลตกิ และหนา ที่ของสว นประกอบในเซลล์ได 2. อธบิ ายการเกิดกระแสไฟฟูาในเซลลอ์ เิ ล็กโทรไลติกได ด๎านทักษะ (Process) 3. ระบขุ ัว้ แอโนด ขั้วแคโทด และเขียนสมการแสดงปฏิกิริยาที่เกิดขึ้นท่ีข้ัวไฟฟูาจากการทดลองแยก สารละลายดวยไฟฟาู ได ด๎านคณุ ลักษณะอันพงึ ประสงค์ (Affective) 1. ปฏบิ ตั ติ นเป็นผมู คี วามสนใจใฝรุ ู และมีระเบียบวินัย 2. ปฏิบัตติ นเปน็ ผูมคี วามรบั ผดิ ชอบ ตรงตอ เวลา 3. ปฏิบัตติ นเปน็ ผมู ีความซื่อสัตย์ สุจรติ ความคดิ รวบยอด เซลลอ์ เิ ลก็ โตรไลติก คือ เซลล์ไฟฟาู เคมีชนดิ หนึง่ ทีใ่ ชพลังงานไฟฟาู ทําใหเกิดปฏิกริ ยิ าเคมี กลา วคือ เมอ่ื ผา นกระแสไฟฟาู เขาไปในเซลล์ จะทาํ ใหเกดิ ปฏิกิริยารีดอกซข์ ึ้นในเซลล์นัน้ เซลล์ประเภทนี้จะมีคา E 0 <0 cell (เคร่ืองหมายติดลบ) และภายในเซลล์จะมีสารอิเล็กโทรไลต์ ซง่ึ สารน้สี ามารถจะแตกตัวเป็นไอออนบวก และ ไอออนลบ และทําใหเกิดนาํ ไฟฟาู ได กระบวนการอิเล็กโทรลิซิส (Electrolysis) คอื กระบวนการแยกสารอิเลก็ โตรไลต์โดยการผานไฟฟาู กระแสตรงลงไปในสารละลาย อิเล็กโตรไลต์ แลวทาํ ใหเ กดิ ปฏิกริ ิยาเคมีเกิดข้ึนท่ขี ั้วบวก และขั้วลบของเซลล์อเิ ล็กโทรไลต์ ประโยชนข์ องกระบวนการอเิ ลก็ โทรลิซิส ไดแก ก. การแยกสารประกออบไอออนิกหลอมเหลวดว ยไฟฟูา ข. การแยกสารละลายอเิ ลก็ โตรไลต์ดวยไฟฟูา
Search
Read the Text Version
- 1
- 2
- 3
- 4
- 5
- 6
- 7
- 8
- 9
- 10
- 11
- 12
- 13
- 14
- 15
- 16
- 17
- 18
- 19
- 20
- 21
- 22
- 23
- 24
- 25
- 26
- 27
- 28
- 29
- 30
- 31
- 32
- 33
- 34
- 35
- 36
- 37
- 38
- 39
- 40
- 41
- 42
- 43
- 44
- 45
- 46
- 47
- 48
- 49
- 50
- 51
- 52
- 53
- 54
- 55
- 56
- 57
- 58
- 59
- 60
- 61
- 62
- 63
- 64
- 65
- 66
- 67
- 68
- 69
- 70
- 71
- 72
- 73
- 74
- 75
- 76
- 77
- 78
- 79
- 80
- 81
- 82
- 83
- 84
- 85
- 86
- 87
- 88
- 89
- 90
- 91
- 92
- 93
- 94
- 95
- 96
- 97
- 98
- 99
- 100
- 101
- 102
- 103
- 104
- 105
- 106
- 107
- 108
- 109
- 110
- 111
- 112
- 113
- 114
- 115
- 116
- 117
- 118
- 119
- 120
- 121
- 122
- 123
- 124
- 125
- 126
- 127
- 128
- 129
- 130
- 131
- 132
- 133
- 134
- 135
- 136
- 137
- 138
- 139
- 140
- 141
- 142
- 143
- 144
- 145
- 146
- 147
- 148
- 149
- 150
- 151
- 152
- 153
- 154
- 155
- 156
- 157
- 158
- 159
- 160
- 161
- 162
- 163
- 164
- 165
- 166
- 167
- 168
- 169
- 170
- 171
- 172
- 173
- 174
- 175
- 176
- 177
- 178
- 179
- 180
- 181
- 182
- 183
- 184
- 185
- 186
- 187
- 188
- 189
- 190
- 191
- 192
- 193
- 194
- 195
- 196
- 197
- 198
- 199
- 200
- 201
- 202
- 203
- 204
- 205
- 206
- 207
- 208
- 209
- 210
- 211
- 212
- 213
- 214
- 215
- 216
- 217
- 218
- 219
- 220
- 221
- 222
- 223
- 224
- 225
- 226
- 227
- 228
- 229
- 230
- 231
- 232
- 233
- 234
- 235
- 236
- 237
- 238
- 239
- 240
- 241
- 242
- 243
- 244
- 245
- 246
- 247